ลำนำสตรียอดเซียน 159.1-161.2

ตอนที่ 159-1 ฆ่ากันเอง

 

เหยียนรั่วซูส่งเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มออกไป อย่างไรก็ตาม เครื่องรางเรียกขานนั้นเพียงลอยขึ้นและบินวนรอบๆ อยู่ครู่เดียวก่อนมันจะตกลงในมือของเหยียนรั่วซูอีกครั้ง


 


 


“นี่…” เหยียนรั่วซูรู้สึกงุนงงเล็กน้อยว่านางควรทำอย่างไรดี


 


 


โม่เทียนเกอนิ่วหน้าและจึงพูดว่า “ช่างมันเถอะ ดูเหมือนว่าภายในม่านพลังมายานี้แม้แต่เครื่องรางเรียกขานก็ไร้ประโยชน์” ในเมื่อนี่คือม่านพลังมายา เป็นปกติที่การกระทำของพวกนางต้องมีขีดจำกัด ครั้งนี้นางควรจะทำอย่างไรดี หากทั้งหุบเขานี้เป็นม่านพลังมายา แล้วทางออกอยู่ที่ไหนกัน


 


 


หุบเขานี้ล้อมรอบไปด้วยหน้าผา จึงมีแค่เพียงท้องฟ้า… โม่เทียนเกอเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า แต่ก็ส่ายหน้าทันทีในเวลาต่อมา ถึงแม้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานจะสามารถบินได้ แต่ท้องฟ้าก็น่าจะยังอยู่ในขอบเขตของม่านพลังมายานี้อยู่ดี


 


 


ทั้งสองคนเดินร่อนเร่ทั่วหุบเขา แต่หลังจากไม่สามารถหาคนอื่นๆ เจอได้ พวกนางจึงกลับไปที่รูปปั้นหินและนั่งอยู่บนแท่นบูชา


 


 


เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยังคงสงบนิ่งแม้จะติดอยู่ในนี้ เหยียนรั่วซูจึงค่อยๆ พึ่งพาโม่เทียนเกอโดยไม่รู้ตัว เพื่อจะคลายความวิตกกังวลของนางลง นางจึงลากโม่เทียนเกอเข้าบทสนทนา


 


 


ปรากฏว่าพวกนางผู้ฝึกตนหญิงทั้งสามคนจากสภาปี้เซวียนก่อนหน้านี้ก็ได้รีบเร่งมาที่นี่พร้อมๆ กับโม่เทียนเกอ แต่โม่เทียนเกอเร่งความเร็วของนางในตอนหลัง ดังนั้นพวกนางจึงตามหลังมาล่าช้ากว่า


 


 


บางทีอาจจะเป็นหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่โม่เทียนเกอ นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ เข้าไปในหุบเขา กลุ่มของเหยียนรั่วซูและผู้ฝึกตนชายอีกสองคนก็ได้เจอกันบนหน้าผาแห่งนั้นเช่นกัน ผู้ฝึกตนชายสองคนแซ่ลู่และแซ่หวังก็เป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกัน พวกเขาได้รู้จากผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณบนหน้าผานั้นว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานสี่คนได้เข้าไปในหน้าผาด้วยกันเรียบร้อยแล้วและมีลมพายุ อากาศพิษ และอื่นๆ อีกมากมายในหุบเขา ดังนั้นทั้งห้าคนจึงรวมกลุ่มและเข้าไปในหุบเขาด้วยกัน


 


 


ไม่เหมือนกับกลุ่มของโม่เทียนเกอ ทั้งห้าคนที่นำทางโดยผู้ฝึกตนชายสองคนได้วางม่านพลังเพื่อต้านทานลมพายุ แต่ทว่าม่านพลังซึ่งถูกวางตามตำแหน่งเข็มทิศจะดีกว่าผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของโม่เทียนเกอได้อย่างไร พวกเขาลงไปได้แค่ประมาณร้อยจั้งก็ต้านทานลมพายุได้ยากลำบากแล้ว พอถึงจุดนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่จู่ๆ ลมพายุก็อ่อนแรงลงกะทันหัน ทำให้พวกเขาสามารถร่อนลงที่หุบเขาได้อย่างราบรื่น เมื่อมาถึงหุบเขา ก็พบว่าหุบเขานั้นเงียบสงบและสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อราวกับแดนสวรรค์ แตกต่างจากลมพายุและอากาศพิษแสนอันตรายข้างบนนั้นอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเพียงแค่มองรอบๆ หุบเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเจอรูปปั้นหินนี้


 


 


ถึงตอนนี้โม่เทียนเกอก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนางถูกลมพายุพัดพา ก็หมดสติไปชั่วครู่ หลังจากนั้นนางเจอเข้ากับรูปปั้นหินแล้วจึงทำลายม่านพลัง ผลก็คือลมพายุอ่อนกำลังลงและส่งผลให้พวกเขาทั้งห้าคนสามารถเข้ามาถึงหุบเขาได้อย่างราบรื่น


 


 


หลังจากตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจมากขึ้น ม่านพลังนั้นอายุหลายพันปีแล้ว มันสูญเสียพลังดั้งเดิมของมันไปนานแล้วเพราะงั้นนางจึงสามารถทำลายมันได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมีผลกับลมพายุในหุบเขาด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น นั่นไม่ได้หมายความว่าพลังดั้งเดิมของม่านพลังนี้ยิ่งน่าเกรงขามมากกว่าที่นางจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้อีกหรือ


 


 


เส้นเลือดวิญญาณลับเส้นเล็ก ม่านพลังบนแท่นบูชา แท่นแห่งธาตุทั้งห้าลึกลับ และม่านพลังมายาที่พวกนางไม่สามารถตื่นจากมันได้ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าทุกสิ่งเป็นของปลอมแปลง แสดงให้เห็นว่าเจ้าของของสถานที่แห่งนี้เป็นคนที่น่ากลัวมาก! ยิ่งไปกว่านั้น หุบเขานี้ก็สวยงามราวกับสวรรค์อย่างเห็นได้ชัด ทว่าอากาศด้านบนที่สูงขึ้นไปถูกปกคลุมไปด้วยสารพิษและลมพายุ ประหนึ่งว่าจงใจทำให้เป็นเช่นนั้นเพื่อที่คนจะได้ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของที่นี่ เมื่อรวมเรื่องพวกนี้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน สถานที่แห่งนี้ที่จริงแล้วฟังดูเหมือนสถานที่ซึ่งผู้เยี่ยมยุทธ์อาศัยอยู่อย่างสันโดษ


 


 


อย่างไรก็ตาม แล้วรูปปั้นหินกับแท่นบูชาควรจะตีความได้ว่าอย่างไร ทั้งสองสิ่งนั้นอยู่ด้วยกันในจุดเดียวเหมือนว่าพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีบูชาเทพเจ้าของโลกมนุษย์ แต่กลับมีร่องรอยของผู้ฝึกตนอยู่ทั่วทุกแห่งในสถานที่นี้ เป็นไปได้ไหมว่าเคยมีมนุษย์ธรรมดาอยู่ในหุบเขานี้ และพวกเขาก็นับถือผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะเทพเจ้าและบูชาพวกเขา


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้หลายๆ อย่าง เหยียนรั่วซูยังคงพูดพล่ามต่อไปไม่หยุด โม่เทียนเกอรู้สึกรำคาญดังนั้นนางจึงยืนขึ้นทันทีและเรียกเสียงดัง “สหายนักพรตเหยียน”


 


 


เหยียนรั่วซูตกใจ


 


 


“เราควรแยกกันตามหาคนอื่น ถ้าเราเจอเข้ากับคนอื่นๆ เราจะมาพบกันที่นี่อีกครั้ง”


 


 


“นี่…” เหยียนรั่วซูรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย หากนางต้องเดินไปเอง ก็ค่อนข้างน่ากลัวอยู่เหมือนกัน


 


 


ครั้นเห็นความกลัวฉายอยู่ทั่วหน้าเหยียนรั่วซูเช่นเดียวกับความอายเกินกว่าจะพูดอะไรของนาง โม่เทียนเกอจึงใจอ่อนลง ที่จริงโม่เทียนเกอเห็นว่าเหยียนรั่วซูที่อ่อนแอเกินเหตุนั้นขวางหูขวางตา แต่เหยียนรั่วซูก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากเป็นผู้หญิงขี้กลัวที่ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร


 


 


โม่เทียนเกอลดน้ำเสียงอ่อนลงและพูดว่า “ถ้าสหายนักพรตคิดว่ามันลำบาก เจ้าจะอยู่ที่นี่รอข้าก็ได้ ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”


 


 


สิ่งที่โม่เทียนเกอพูดทำให้เหยียนรั่วซูพยักหน้าด้วยความขอบคุณ “ตกลง พี่ใหญ่เยี่ย ท่านต้องระวังตัวนะ”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มน้อยๆ ให้นาง ควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเหาะขึ้นไป


 


 


ตอนที่นางอยู่กับเหยียนรั่วซู พวกนางเพียงตามหาคนอื่นแค่ลวกๆ ตอนนี้พอไม่มีเหยียนรั่วซูมาพูดพล่ามอยู่ข้างนาง โม่เทียนเกอจึงมองหาคนอื่นๆ อย่างระมัดระวังจากแท่นหนึ่งไปอีกแท่นหนึ่ง


 


 


ในหุบเขารูปอักษรติง (丁) แห่งนี้ รูปปั้นหินตั้งอยู่ภายในจะงอยงุ้มตรงปลายของหุบเขาอักษรติง จากข้างบนหุบเขา นางเห็นว่ายังมีทางในหุบเขาที่ยาวเป็นแนวตั้งและแนวนอนอยู่ข้างหน้า


 


 


ต้นไม้ที่นี่มีจำนวนมากเกิน สูงเกิน และเขียวขจีเกินไป จึงยากสำหรับนางในการเหาะเหิน โม่เทียนเกอลงจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาวทันทีและเดินอย่างสุ่มๆ ไปตามสะพานเถาวัลย์ เมื่อไหร่ก็ตามที่นางเจอแท่นแห่งธาตุทั้งห้า นางจะขึ้นไปบนนั้นและปล่อยให้มันพานางไปที่บริเวณต่อไป บางทีคนอื่นๆ ก็อาจทำแบบเดียวกันกับนาง เพราะแค่ทำแบบนี้นางก็สามารถเจอพวกเขาได้


 


 


ขณะที่นางเดินไปตามสะพานเถาวัลย์ท่ามกลางต้นไม้พร้อมกับฟังเสียงหวี่ๆ ของแมลง เสียงจิบๆ ของนกที่อยู่ข้างลำธารในภูเขา และเสียงของสัตว์วิเศษที่กำลังวิ่งเล่น จู่ๆ ความคิดประหลาดก็เกิดขึ้นในจิตใจของโม่เทียนเกอ นางคิดว่านางคงไม่ถือสาอะไรหากนางจะใช้ชีวิตสันโดษไปตลอดชีวิตในสถานที่ที่เหมือนกับแดนสวรรค์เช่นนี้


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นความคิดนี้ก็เพียงแวบเข้ามาในหัวแค่ชั่ววูบก่อนที่นางจะรีบปัดทิ้งไป นางมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอยู่แล้ว นั่นก็เป็นแดนสวรรค์เหมือนกันไม่ใช่หรือ เมื่อมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนก็ไม่มีอะไรที่นี่ที่ต้องอิจฉา ถ้านางปล่อยให้ความคิดนี้ครอบงำ นางอาจไม่สามารถออกจากม่านพลังมายานี้ไปได้ตลอดชีวิตขึ้นมาจริงๆ ก็ได้!


 


 


หลังจากเดินอยู่สักพักหนึ่ง จิตสัมผัสของนางก็สัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณจางๆ ขึ้นมาทันใด โม่เทียนเกอรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา โดยไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไรอีกต่อไป นางรีบเร่งไปยังจุดที่พลังงานทางจิตวิญญาณผันผวนกระจายออกมา เคลื่อนที่สลับกันไประหว่างสะพานเถาวัลย์และแท่นแห่งธาตุทั้งห้า


 


 


ความผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นางสัมผัสได้แล้วว่าแหล่งที่มาคือผู้ฝึกตนสามคนที่กำลังต่อสู้กัน ในหมู่สามคนนั้น คนหนึ่งมีพลังงานทางจิตวิญญาณที่นางดูจะคุ้นเคยด้วย


 


 


นางก้าวขึ้นไปบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าทันทีหลังจากที่มันเลี้ยวตรงมุมหนึ่ง โม่เทียนเกอก็ได้เห็นแล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น


 


 


คนสามคนที่อยู่ที่นั่นคือผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่กับแซ่หวังและนักพรตฟางเจิ้ง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสามคน แต่พวกเขากำลังสู้กันอย่างรุนแรงราวกับไม่มีสตินึกคิด นอกจากนั้นพวกเขายังมีอะไรแปลกๆ ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวังสองคนจะร่วมมือกันในการสู้กับนักพรตฟางเจิ้ง ทว่าพวกเขาก็ขัดกันเองบางครั้งเช่นกัน นี่มันคนสามฝ่ายกำลังพยายามฆ่ากันเองชัดๆ!


 


 


หากนี่เป็นแค่การพบเจอกันธรรมดาบนถนน โม่เทียนเกอคงไม่สนใจพวกเขา ต่อให้ทั้งสามคนตายไปด้วยกันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนาง แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาเจอกับม่านพลังมายาในหุบเขานี้ด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้น ย้อนไปก่อนหน้านี้พวกเขาต่างยืนอยู่บนคนละแท่นจากแท่นหินทั้งห้าสี ใครจะไปรู้ว่าการตายของคนหนึ่งจะก่อให้เกิดปัญหากับคนอื่นๆ อีกหรือไม่


 


 


เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาในจิตใจ โม่เทียนเกอจึงเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาและเหาะไปด้วยความเร็วแสงเข้าไปหาพวกเขาและตะโกน “หยุดนะ!”


 


 


ทั้งสามคนหันมามองนางพร้อมกัน ทว่าทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดเปลี่ยนทิศทาง เครื่องมือเวทและคาถาต่างพุ่งเข้าโจมตีนางทีละชิ้น!


 


 


นักพรตฟางเจิ้งตะโกน “สหายนักพรตเยี่ย เจ้าไม่ควรเข้ามาขวาง! ข้าเป็นคนที่พบมันก่อนเป็นคนแรก!”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงแต่ก่อนที่นางจะทันคิดว่าเขาหมายความถึงอะไร เครื่องมือเวทของทั้งสามคนได้เข้าโจมตีนางแล้ว นางยกมือขึ้นทำให้เกิดกำแพงอิฐตกลงมาข้างหน้านางและสกัดกั้นการโจมตีของพวกเขาไว้ได้จนหมด ในขณะเดียวกันนางก็ได้ขว้างกระสวยอัปสราออกไปทางพวกเขาและปล่อยแรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณที่รุนแรงโดยการใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ทั้งสามคนรู้สึกจิตใจตนเองหมองมัวขึ้นและการเคลื่อนไหวก็ช้าลง ในเสี้ยววินาทีถัดมา ทั้งหมดก็ถูกล้อมไว้ด้วยกระสวยอัปสราซึ่งเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองจำนวนมาก


 


 


แต่คนพวกนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน จากทั้งเก้าคนที่ติดกับอยู่ในหุบเขานี้ ห้าคนที่อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานคือคู่รักเหยาและศิษย์ผู้หญิงจากสภาปี้เซวียน อีกสี่คนที่เหลือล้วนอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยถึงแม้จะต้องสู้กับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางถึงสามคนพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นางจะไม่กลัว แต่นางก็ยังสู้อย่างยากลำบากในศึกนี้


 


 


โดยการใช้แรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณที่เกิดมาจากระดับสองของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อให้เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเหนือกว่าจากนั้นจึงทำให้กระสวยอัปสราแตกตัวเพิ่มจำนวนออกเป็นสามเท่า โม่เทียนเกอสามารถกักขังคนทั้งสามคนไว้ได้ในเวลาเดียวกัน ในวินาทีถัดมา สุดท้ายทั้งสามคนก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ละคนเริ่มจะต่อต้าน


 


 


นักพรตฟางเจิ้งใช้แส้หางม้า ถึงแม้จะไม่ใช่เครื่องมือเวทระดับสูง แต่เขาก็มีข้อได้เปรียบตรงประสบการณ์ที่มากเหลือล้น ส่วนผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวัง คนหนึ่งเอากระบี่ออกมา อีกคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนสายเครื่องรางอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยการที่ทั้งสามคนโจมตีนางพร้อมๆ กัน ไม่ว่าอาวุธเวทของโม่เทียนเกอจะทรงพลังสักเพียงไร นางก็ยังอยู่ในสถานการณ์คับขันอยู่ดีจากการโดนรุม


 


 


ขณะนั้นเอง เวลาที่นางใช้แลกเปลี่ยนความรู้ไปกับเยี่ยจิ่งเหวินในที่สุดก็ได้เผยผลดีของมันออกมา


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่ วิชาของเขาในการต่อสู้ด้วยพลังเวทนั้นเหนือชั้นเกินกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาในดินแดนเดียวกันกับเขา เขามีกระบวนท่าที่ทรงพลังอย่างมากซึ่งรู้จักกันในนามกระบี่ลำแสงทำลายล้างพันกำลัง ทำให้เขาปล่อยลำแสงแห่งพลังกระบี่ออกมาได้หลายร้อยเพื่อจู่โจมคู่ต่อสู้ของเขา การต่อกรกับกระบวนท่านี้ก็เหมือนกับการต่อสู้กับผู้ฝึกตนหลายร้อยคนในเวลาเดียวกัน


 


 


บัดนี้เมื่อนางเห็นว่าทั้งสามคนยังเล่นงานนางพร้อมๆ กัน โม่เทียนเกอเตรียมตัวด้วยศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางไว้เรียบร้อยแล้ว นางปล่อยแรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณมหึมาอยู่สักพัก ถอนกระสวยอัปสราคืนมา จากนั้นก็ควบคุมให้ตรงเข้าหาผู้ฝึกตนสายเครื่องรางแซ่หวังทันที ในขณะเดียวกันนางก็ได้เปิดใช้ตะเกียงเสน่ห์และใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวปัดป้องการโจมตีของพวกเขาไปด้วย


 


 


นางใช้กลยุทธ์และกระบวนท่ามากมายในเวลาเดียวกันราวกับว่าไม่มีการหยุดพักในแต่ละท่วงท่าเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นผลจากการฝึกประลองของนางกับเยี่ยจิ่งเหวิน ยิ่งการเคลื่อนไหวของนางเร็วขึ้นและวิธีการที่นางใช้มีมากขึ้น โอกาสทำสำเร็จของนางก็จะยิ่งสูงขึ้นด้วย


 


 


ขณะที่ตะเกียงเสน่ห์ปล่อยแสงสว่างออกมา นางใช้กระสวยอัปสราเพื่อวางม่านพลังและศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อกดดันพวกเขา ชั่วขณะหนึ่งทั้งสามคนถูกบีบให้หยุดชั่วคราวเพราะถูกนางสะกดเอาไว้


 


 


โม่เทียนเกอตะโกน “ตื่นได้แล้ว! นี่คือม่านพลังมายา!”


 


 


คำพูดของโม่เทียนเกอพร้อมกับการที่จิตสัมผัสของพวกเขาถูกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางสะกดกลั้นเอาไว้ทำให้ทั้งสามคนตกตะลึง จิตใจพวกเขาในที่สุดก็เริ่มกระจ่างแจ้งขึ้น


 


 


โม่เทียนเกอฉวยโอกาสนี้และตะโกนต่อไป “อะไรก็ตามที่เจ้าคิดถึงจะมาปรากฏขึ้นที่นี่! เจ้าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองติดกับ!”


 


 


ในที่สุดทั้งสามคนก็หยุดจนได้ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย นักพรตฟางเจิ้งพูดว่า “นี่เป็นของปลอมหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจโล่งอก “ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าเพิ่งคิดถึงอะไร ลองคิดถึงอย่างอื่นดูสิ”


 


 


พวกเขาหันมองรอบๆ เพื่อมองอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหลังพวกเขาอย่างสงสัย ครั้งนี้ในที่สุดโม่เทียนเกอก็สังเกตเห็นดอกไม้สีขาวราวหิมะที่เต็มไปด้วยพลังงานวิญญาณของเซียนอยู่บนกำแพงหิน ดูเหมือนกับว่านางฟ้าได้ลงมายังโลกใบนี้


 


 


นางเข้าใจขึ้นมาทันที นี่คือดอกบัวหิมะหยกขาวสายพันธุ์หายากที่ส่งต่อมาจากยุคอดีตอันไกลโพ้น สามารถนำไปปรุงยาได้เป็นยาวิเศษชนิดหนึ่งที่ชื่อว่ายาสุคนธ์สวรรค์ ยานี้สามารถช่วยคนให้บรรลุผ่านดินแดนได้และได้ผลแม้แต่กับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทั้งสามคนถึงสู้กันเพื่อดอกไม้ดอกนั้น


 


 


อย่างไรก็ตาม นางมีดอกชนิดนี้อยู่มากมายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางและทั้งหมดก็เก่าแก่มากกว่าดอกนี้เสียอีก ดังนั้นนางจึงไม่เห็นความจำเป็นของมัน


 


 


ที่จริงแล้วทั้งสามคนได้สังเกตดูนางมาตลอด วินาทีที่พวกเขาเห็นนางสนใจในของสิ่งนั้น พวกเขาจะฆ่านางทันที ทว่าเมื่อโม่เทียนเกอเห็นดอกบัวหิมะหยกขาวนี้ นางก็เพียงแค่ดูประหลาดใจชั่วครู่และกลับไปมีสีหน้าสงบนิ่งของนางตามเดิม ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็ยอมฟังนางและพยายามคิดถึงสิ่งอื่น


 


 


จู่ๆ ดอกบัวหิมะหยกขาวก็เปลี่ยนไปเป็นควันสีเขียวเข้มสลายไปกลางอากาศ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตอนนี้คือพืชวิญญาณที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหนาสีม่วง ค่อยๆ แกว่งไกวสายสายลม เต็มไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ


 


 


หญ้าสะเก็ดม่วง! ทั้งสามคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างแรง พวกเขาต่างมองหน้ากันแต่ยังคงนิ่งเงียบ


 


 


พอรู้ว่าตอนนี้พวกเขาเชื่อในสิ่งที่นางพูด โม่เทียนเกอจึงถอนใจอย่างโล่งอก ถอนอาวุธเวทและเครื่องมือเวทของนางและเดินไปหาพวกเขา “พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคิดอะไรในใจมันก็จะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเจ้าที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นพืชวิญญาณหรือดอกไม้แปลกประหลาดล้วนเป็นของปลอมทั้งหมด”


 


 


ใบหน้านักพรตฟางเจิ้งแดงก่ำชั่วขณะหนึ่งและซีดขาวในเวลาต่อมา สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาว “ดูเหมือนว่าตาแก่คนนี้ยังใจร้อนเกินไป ที่จริงแล้วข้าต้องขอบคุณเจ้าของสถานที่แห่งนี้ หากมิใช่เพราะม่านพลังมายานี้ ข้าคงไม่ได้รู้ตัวว่าข้าเกือบจะมีมารในจิตใจเสียแล้ว”


 


 


จากที่นักพรตฟางเจิ้งพูด คนที่จินตนาการถึงดอกบัวหิมะหยกขาวที่นี่ก็คือตัวเขาเอง แต่มันก็สมเหตุสมผล เขาอายุไม่น้อยแล้วและก็ไม่มีกลุ่มคอยหนุนหลัง เขาเป็นคนที่วิตกกังวลที่สุดในหมู่พวกเขา ยาวิเศษที่ปรุงได้จากดอกบัวหิมะหยกขาวสามารถช่วยผู้ฝึกตนให้ทำการข้ามผ่านดินแดนได้ ดังนั้นมันจึงเป็นของที่เขาต้องการในตอนนี้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น ตอนที่เขามาถึงที่นี่ เขาก็หวังไว้อยู่แล้วว่าเขาจะสามารถหายาพิเศษประเภทนี้ได้


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งพูด ผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวังก็ดูค่อนข้างไม่สบายใจ ไม่เพียงแต่ทั้งสองคนจะเชื่อว่าดอกไม้นั้นเป็นของจริง แต่พวกเขายังถึงขนาดทะเลาะกันเองเพื่อแย่งมันอีก ต่อให้ทั้งสองคนไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ความขุ่นเคืองใจที่มีต่อกันก็ได้เกิดขึ้นมาภายในจิตใจพวกเขาแล้ว


 


 


นักพรตฟางเจิ้งประสานมือมาทางโม่เทียนเกอและพูดอย่างจริงใจ “สหายนักพรตเยี่ย ขอบคุณเจ้ามากสำหรับเรื่องนี้”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้ารับคำขอบคุณของเขา จากนั้นนางถามว่า “สหายนักพรตฟางเจิ้ง สหายนักพรตลู่ สหายนักพรตหวัง พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


คนที่ตอบก็ยังคงเป็นนักพรตฟางเจิ้ง “หลังจากข้าหายตัวไปจากข้างบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า ข้าก็พบว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้าเดินช้าๆ มาทางทิศนี้ เมื่อข้าผ่านสถานที่นี้ก็เห็นว่ามีดอกบัวหิมะหยกขาวอยู่ที่นี่ ขณะที่ข้ากำลังจะเก็บดอกบัว แต่สหายนักพรตสองคนนี้ก็รีบวิ่งเข้ามาเสียก่อน…”


 


 


เขาเหลือบมองไปทางทั้งสองคน ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงสุภาพอยู่ แต่ก็มีความรังเกียจเล็กน้อยอยู่ในสายตาของเขา เห็นได้ชัดว่าเมื่อพวกเขาเห็นดอกไม้ พวกเขาก็ต้องการเก็บมันเข้ากระเป๋าตัวเองเหมือนกันและถึงขนาดทะเลาะกับสหายศิษย์ของตัวเองเพื่อแย่งดอกไม้กัน 

 

 


ตอนที่ 159-2 ฆ่ากันเอง

 

​​​​​​​โม่เทียนเกอไม่สนใจจะขุดคุ้ยกับเรื่องนี้ต่อ นางจึงแค่กวาดสายตาทั่วตัวทั้งสองคนแซ่ลู่กับแซ่หวังแล้วจึงถามว่า “เจ้าเห็นคนอื่นๆ บ้างหรือไม่”


 


 


ทั้งสามคนล้วนส่ายหน้า


 


 


นักพรตฟางเจิ้งถาม “สหายนักพรตเยี่ย แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเจออะไรถึงได้มาที่นี่”


 


 


โม่เทียนเกอพูด “ข้าถูกส่งไปที่บริเวณรูปปั้นหินและเจอกับสหายนักพรตเหยียน แต่สหายนักพรตเหยียนและศิษย์พี่น้องของนางอีกสองคนถูกแยกออกจากกัน ส่วนสหายนักพรตเหยาและเมียของเขา ข้ายังไม่เจอพวกเขาเลย”


 


 


“ถ้าเช่นนั้นแล้วสหายนักพรตเยี่ยรู้ได้อย่างไรว่านี่คือม่านพลังมายา หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะบังเอิญเจออะไร” ผู้ฝึกตนแซ่ลู่ขัดจังหวะพวกเขา มีความสงสัยอยู่ในสายตา เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่านางก็เจอปัญหาเดียวกับเขาเช่นกัน


 


 


โม่เทียนเกอพูดอย่างแผ่วเบา “ยามที่สหายนักพรตเหยียนและตัวข้าพบกัน ข้ารู้ว่าเรากำลังใส่เสื้อผ้าเหมือนกับชุดที่อยู่บนตัวรูปปั้นหิน ดังนั้นเราจึงรู้ได้ทันทีว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แน่นอนว่าหลังจากเราลองทดสอบดู เราก็ยืนยันได้ว่านี่คือม่านพลังมายาอย่างไม่ต้องสงสัย”


 


 


“โอ้” คำตอบของนางค่อนข้างน่าประหลาดใจสำหรับคนแซ่ลู่และแซ่หวัง อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเขาเห็นวิธีการของนางแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไร สาวน้อยผู้นี้อาจจะดูอ่อนโยนแต่เมื่อนางลงมือนางก็น่ากลัวมาก การเคลื่อนไหวของนางเร็วอย่างกับสายฟ้าและอาวุธเวทของนางก็ยากจะต่อกรด้วยได้ ถึงแม้ว่านางจะอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเหมือนกับพวกเขา แต่นางก็กล้าสู้กับพวกเขาทั้งสามคนด้วยตัวเองลำพัง และยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้ดูเหมือนนางเสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


ตอนแรกเพราะพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตน พวกเขาไม่ได้คิดมากกับผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ พวกเขาคิดว่าผู้ฝึกตนหญิงคนนี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยวเหมือนกับคู่รักเหยาและนักพรตฟางเจิ้ง แต่นางกลับแข็งแกร่งมากอย่างไม่น่าเชื่อ! พอถึงตอนนี้พวกเขาก็มั่นใจแล้วว่าโม่เทียนเกอต้องเป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเช่นกัน


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย ตอนนี้เราควรจะทำอย่างไรกันดี” ทั้งสามคนเกือบจะฆ่ากันตายแต่พวกเขาก็โชคดีถูกดึงสติกลับมาได้เพราะโม่เทียนเกอ เพราะเหตุนั้น ตอนนี้นักพรตฟางเจิ้งจึงสุภาพกับนางอย่างที่สุด


 


 


โม่เทียนเกอคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เราควรจะตามหาคนอื่นๆ ก่อน บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าเราต้องประจำตำแหน่งกันคนละแท่น เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคนอื่นไม่สามารถฝ่าฟันไปได้ คงจะแย่มากหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาและส่งผลกระทบมาถึงเรา”


 


 


ทั้งสามคนคิดถึงข้อคิดเห็นของนางและรู้สึกว่าที่นางพูดก็ค่อนข้างมีเหตุผล ฝ่ายของพวกเขาต่างยืนกันบนหนึ่งในห้าแท่น เพราะฉะนั้นบางทีพวกเขาอาจจะถูกจัดว่าเป็นกลุ่มหนึ่งกลุ่มเดียวกัน พวกเขาจะทำอย่างไรหากคนหนึ่งไม่สามารถผ่านการทดสอบม่านพลังมายานี้ได้และม่านพลังนี้เปลี่ยนไปเป็นม่านพลังสังหารแทน การต้องเสียชีวิตไปแค่เพราะเหตุนั้นคงจะเสียเปล่ามาก


 


 


“สหายนักพรตเยี่ยพูดถูก” นักพรตฟางเจิ้งเป็นคนแรกที่แสดงออกว่าเห็นด้วย


 


 


ชายแซ่ลู่และแซ่หวังเหลือบมองกันก่อนจะพยักหน้าเช่นกัน “เช่นนั้นเราควรจะไปตามหาคนอื่นตอนนี้เลยหรือไม่”


 


 


“แยกกันตามหาเถอะ” โม่เทียนเกอพูด “วิธีนี้เราจะเจอพวกเขาได้เร็วกว่า สหายนักพรตเหยียนกับข้าตกลงกันว่าจะพบกันที่แถวรูปปั้นหิน ดังนั้นถ้าเราเจอคนอื่นๆ เราจะไปเจอกันที่นั่น”


 


 


“อืม ถ้าอย่างนั้นเราทั้งสี่คนแยกเป็นสองกลุ่มดีไหม เผื่อเอาไว้ ไปคนเดียวจะทำให้เราหวั่นไหวง่ายต่อการเจอกับดักอื่น การมีใครสักคนอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยเตือนให้เราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่นัก” นักพรตฟางเจิ้งเสนอแนะ


 


 


ผู้ฝึกตนชายสองคนดูขัดแย้งแต่ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเพิ่งจะสู้กันมา จึงมีความเหินห่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้น ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยนี้ พวกเขาก็ยังเชื่อใจกันเองมากกว่าเชื่อใจคนอื่น


 


 


“เช่นนั้นทำตามวิธีนี้ก็ได้” โม่เทียนเกอพูด “สหายนักพรตลู่ สหายนักพรตหวัง เจ้าทั้งสองคนเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องอยู่ด้วยกันจึงจะเหมาะ สหายนักพรตฟางเจิ้งกับข้าจะแยกไปอีกกลุ่มหนึ่ง ตกลงไหม”


 


 


สองคนแซ่ลู่กับแซ่หวังจะไม่ตกลงด้วยได้อย่างไรกัน ทั้งสองคนพยักหน้า และด้วยเหตุนี้ทั้งสี่คนจึงแยกออกเป็นสองกลุ่ม


 


 


เพราะนางอยู่กับนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอรู้สึกว่าภาระของนางลดลงเล็กน้อย นักพรตฟางเจิ้งเป็นผู้ฝึกตนอายุมากที่ท่องโลกแห่งการฝึกตนมาเป็นเวลานานแล้ว เขาคงจะไม่พูดพล่ามไม่หยุดเหมือนกับเหยียนรั่วซูแน่และเขาก็มีประสบการณ์มากกว่านางในการรับมือสิ่งต่างๆ พวกเขาออกตามหาคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว


 


 


นักพรตฟางเจิ้งและผู้ฝึกตนชายสองคนแซ่ลู่และแซ่หวังสู้กันตรงแยกติงของหุบเขารูปอักษรติง เนื่องจากโม่เทียนเกอมาจากทางรูปปั้นหิน ทั้งสองกลุ่มจึงแยกกันเข้าไปในอีกสองทางของส่วนแนวนอนของหุบเขาอักษรติง


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย” ในระหว่างการค้นหา จู่ๆ นักพรตฟางเจิ้งก็ตะโกนมาจากแท่นหินฝั่งตรงข้าม


 


 


โม่เทียนเกอหันไปและเห็นนักพรตฟางเจิ้งที่กำลังยืนอยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าอีกอัน กำลังส่งสัญญาณให้นางแล้วจึงชี้ไปในทิศทางหนึ่ง


 


 


นางหลับตาและปล่อยจิตสัมผัสออกไป แน่นอนว่านางเจอเข้ากับการผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณอ่อนๆ นางอดไม่ได้ที่จะชื่นชมจิตสัมผัสของนักพรตฟางเจิ้ง ก่อนพวกเขาจะเข้ามาถึงหุบเขา นางก็รู้แล้วว่าเขาต้องฝึกวิชาที่ทำให้จิตสัมผัสของเขากล้าแข็งแน่ แต่นางไม่เคยคาดคิดว่าจิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาสามารถช่วยดูในสิ่งที่นางพลาดไปได้ ดูเหมือนว่าประโยค “ยิ่งแก่ยิ่งฉลาด” จะเป็นความจริง ถึงแม้ระดับการฝึกตนของเขาจะต่ำกว่านางเล็กน้อย แต่นักพรตฟางเจิ้งคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่นางจะดูถูกได้เลย


 


 


ทั้งสองคนเหาะไปทางแหล่งที่มาของพลังงานทางจิตวิญญาณผันผวน ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้ยินเสียงต่อสู้กัน พวกคนที่กำลังต่อสู้กันที่จริงแล้วคือศิษย์น้องทั้งสองคนของเหยียนรั่วซู!


 


 


โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ นางเข้าใจได้เมื่อผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวังสู้กัน สุดท้ายแล้วผู้ฝึกตนชายก็ใส่ใจกับทรัพย์สินทางโลกมากกว่าผู้ฝึกตนหญิงและมีนิสัยที่ก้าวร้าวกว่าโดยธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อพวกเขาบังเอิญเจอเข้ากับทรัพย์สมบัติ มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะสู้กันเองเพื่อแย่งมันแม้พวกเขาจะมาจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกันก็ตาม แต่ผู้ฝึกตนหญิงสองคนนี้! ผู้ฝึกตนหญิงแทบจะไม่เคยลงไม้ลงมือกันเมื่อพวกนางเจอความขัดแย้ง อีกอย่างทั้งสองคนนี้ก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกันด้วย!


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่ทั้งสองคนยังคงเหาะต่อไปทางพวกนาง เป็นไปตามที่พวกเขาคาด พวกเขาเห็นผู้ฝึกตนหญิงสองคนจากสภาปี้เซวียนต่างฝ่ายต่างกำลังทุบตีกัน ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากสภาพการต่อสู้ของพวกนาง ดูเหมือนว่าพวกนางจะไม่ปรานีต่อกันเลยแม้แต่น้อย


 


 


“บัดซบนัก!” ผู้ฝึกตนหญิงชุดดำตะโกนระหว่างการต่อสู้ “เจ้ายังกล้าจะสู้กับข้าอีกรึ!”


 


 


ผู้หญิงอีกคนที่ใส่ชุดสีเหลืองและเป็นคนที่โม่เทียนเกอจำได้ว่าถูกผู้หญิงชุดดำเรียกว่าศิษย์น้องอวิ๋นถอนเครื่องมือเวทที่เป็นแหวนหยกของนางกลับคืนมาและส่งเสียง “ฮึ่ม” “ศิษย์พี่หลิ่ว ท่านเป็นคนที่โจมตีข้าก่อนนะ!”


 


 


“เจ้า–” ใบหน้าศิษย์พี่หลิ่วบิดเบี้ยว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย!” ก่อนที่พวกเขาจะเหาะเข้าไปใกล้ขึ้น จู่ๆ นักพรตฟางเจิ้งก็หยุดกะทันหันและพูดด้วยเสียงกระซิบ “ดูตรงนั้นสิ”


 


 


สายตาโม่เทียนเกอหันเปลี่ยนไปทางทิศที่เขาชี้ จากนั้นนางเห็นชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวอยู่ในจุดที่ไม่ไกลนักจากผู้ฝึกตนหญิงทั้งสอง เขาดูสง่างามและหล่อเหลาอย่างมาก


 


 


มีการผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณอยู่บนร่างของชายชุดคลุมขาวคนนั้น จากการตรวจดูเขาอยู่ชั่วขณะ นางก็รู้ว่าระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นางพึมพำด้วยความสงสัย “นี่… ไม่ใช่คนจริงๆ ใช่หรือไม”


 


 


รอยย่นปรากฏขึ้นบนคิ้วนักพรตฟางเจิ้ง เขาส่ายหน้าพูดว่า “ข้าไม่คิดว่าใช่คนจริงๆ หรอก”


 


 


โม่เทียนเกอรู้อยู่แล้วว่าม่านพลังมายานี้สามารถปลอมแปลงเป็นสัตว์วิเศษระดับสองได้ คาดว่าการสร้างตัวผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นก็คงไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับมันใช่ไหม ในเมื่อชายคนนั้นอยู่ในที่ที่หญิงทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ เขาก็น่าจะเป็นต้นเหตุในการต่อสู้กันของพวกนาง


 


 


โอย ทะเลาะกันเรื่องความรู้สึกอีกแล้ว… แน่นอนว่าสำหรับผู้ฝึกตนหญิง ความรู้สึกยังสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติเสียอีก


 


 


ขณะนั้นเอง คนที่ถูกเรียกว่าศิษย์น้องอวิ๋นโน้มตัวเข้าไปหาผู้ฝึกตนชายชุดคลุมขาว นางพูดอย่างออเซาะว่า “พี่ใหญ่ถัง ดูนี่สิ ศิษย์พี่หลิ่วนาง…”


 


 


ก่อนที่นางจะพูดจบ ศิษย์พี่หลิ่วก็ได้เหวี่ยงเครื่องมือเวทของนางซึ่งเป็นแส้ยาวและพูดอย่างเดือดดาลว่า “อวิ๋นหันเยียน! เจ้าไม่ควรรังแกคนอื่นให้มากนัก! นอกเหนือจากแกล้งทำเป็นอ่อนแอและน่าสงสาร เจ้าทำอะไรอย่างอื่นได้อีกบ้าง เจ้าว่าร้ายข้าหาว่าข้าตบตีเจ้าเมื่อมันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเจ้าไม่ไว้หน้าข้าก่อน ข้าเลย…”


 


 


ผู้หญิงที่ชื่ออวิ๋นหันเยียนเพียงแค่ชำเลืองมองนางและไม่นานนักก็มองผู้ฝึกตนชายคนนั้นอีกครั้ง นางพูดว่า “พี่ใหญ่ถัง พี่ก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนแบบนั้น ข้า…”


 


 


“อวิ๋นหันเยียน!” ศิษย์พี่หลิ่วอดไม่ได้ที่จะต้องตะโกนอย่างโกรธๆ เมื่อนางเห็นอวิ๋นหันเยียนเริ่มเช็ดน้ำตาและแสร้งทำเป็นอ่อนแอ โดยไม่รอช้า นางเหวี่ยงแส้ของนางอีกครั้ง


 


 


การวิวาทกันเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างทั้งสองคน


 


 


โม่เทียนเกอนวดหว่างคิ้วของนางอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสองคนนั้นไม่ได้สังเกตจริงๆ หรือว่า “พี่ใหญ่ถัง” มีอะไรแปลกๆ ไป ตลกดีที่พวกนางสู้กันเพื่อให้ได้รับความรักจากชายคนนี้เมื่อพวกนางยังดูไม่ออกเลยว่าเขาเป็นตัวจริงหรือไม่!


 


 


ถึงแม้สัตว์วิเศษและของอื่นๆ จะสามารถจำลองมาได้ แต่มนุษย์นั้นซับซ้อนเกินกว่าจะทำแบบจำลอง ต่อให้จำลองตัวพวกเขาออกมาได้สำเร็จก็จะมีความแตกต่างในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ ถ้าพวกนางชอบเขาจริง พวกนางก็น่าจะรู้ได้ว่านี่เป็นเพียงของเลียนแบบเท่านั้น


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเหาะเข้าไปทางพวกนางและตะโกนอย่างดัง “สหายนักพรต!”


 


 


การเข้ามาของเขาทำให้การต่อสู้หยุดลงในที่สุด ถึงอย่างนั้นพวกนางก็ยังคงส่งสายตามุ่งร้ายให้กันและสนใจนักพรตฟางเจิ้งเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น


 


 


ท้ายที่สุดศิษย์พี่หลิ่วก็จำเขาได้ นางถามว่า “สหายนักพรต มีปัญหาอะไรหรือ”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกหงุดหงิดที่ทั้งสองคนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรสำคัญในช่วงเวลานี้ เขาจึงยกมือขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไร ทำให้เครื่องมือเวทของเขาพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนชายในชุดคลุมสีขาว


 


 


หญิงทั้งสองคนตัวซีดขาวด้วยความหวาดกลัว คนสองคนที่เพิ่งสู้กันสุดแรงเมื่อครู่นี้รีบเข้าไปหานักพรตฟางเจิ้งด้วยกันเพื่อจู่โจมเขา


 


 


พอถึงตอนนั้นโม่เทียนเกอก็ตามพวกเขาทันแล้ว นางเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไปข้างหน้า สกัดกั้นการโจมตีของเครื่องมือเวทพวกนางได้โดยสมบูรณ์ ส่งผลให้นักพรตฟางเจิ้งเล่นงานผู้ฝึกตนชายในชุดคลุมขาวได้อย่างไร้การขัดขวาง


 


 


เมื่อเผชิญกับการรุกของนักพรตฟางเจิ้ง ผู้ฝึกตนชุดคลุมขาวก็ล่าถอยไปทันที จากนั้นเขาเรียกกระบี่บินออกมาและโจมตีนักพรตฟางเจิ้ง


 


 


นักพรตฟางเจิ้งไม่เคยคาดคิดว่าหุ่นตัวปลอมจะสามารถถอยและตอบโต้กลับได้ เขายังคงอึ้งอยู่ชั่วขณะแต่มันก็ทำให้เขาตอบสนองช้าไปหนึ่งก้าว กระบี่บินบากเขาสำเร็จและตัดแขนเสื้อเขาออกครึ่งหนึ่ง


 


 


“เอ๋” นักพรตฟางเจิ้งจับแขนเสื้อที่ขาดครึ่งของเขา ตกใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นที่สุด


 


 


โม่เทียนเกอตะโกน “สหายนักพรตฟางเจิ้ง หุ่นตัวนั้นมีพละกำลังของคนจริงๆ! เจ้าต้องระวังตัวด้วย!”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งดึงสติกลับคืนมาได้และรีบหลบไปทางด้านข้าง เขายกมือขึ้นอีกครั้ง ใช้เวทมนตร์เพื่อต่อสู้กับผู้ฝึกตนชายชุดคลุมขาว


 


 


ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้ฝึกตนเดี่ยวไม่อาจเทียบได้กับผู้ฝึกตนจากลุ่มหรือตระกูลผู้ฝึกตน เพราะพวกเขาขาดแคลนทั้งเครื่องมือเวท เครื่องราง ศิลาวิญญาณ และของอื่นๆ และพวกเขาก็ไม่ได้มีวิชาการฝึกตนที่ดีติดตัวด้วย โดยปกติพวกเขาจึงอ่อนแอกว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนเดี่ยวบางคนที่โดดเด่นก็มีอยู่จริงและพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเคยพบเจอความยากลำบากมามากบนเส้นทางสู่ความเป็นเซียน ความเพียรและความอดทนของพวกเขาจึงเหนือกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปและพวกเขาก็มีประสบการณ์มากกว่าด้วยเช่นกัน ผู้ฝึกตนเดี่ยวที่มีชีวิตอยู่มานานและยืนหยัดอยู่เหนือทุกคนล้วนมีสติปัญญายอดเยี่ยมและพลังเวทที่น่าเกรงกลัว


 


 


ถึงแม้นักพรตฟางเจิ้งไม่อาจถือได้ว่าเป็นคนที่มีสติปัญญายอดเยี่ยม แต่เขาก็ท่องไปทั่วโลกแห่งการฝึกตนมาหลายร้อยปีแล้ว ในเมื่อเขาสามารถกลมกลืนกับคนของโลกแห่งการฝึกตนได้จนตอนนี้เขาอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางแล้วและยังมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเก่งกว่าคนอื่นๆ มากในบางแง่มุม ตัดสินจากการที่เขายืนหยัดมาได้เป็นเวลานานเมื่อเขาสู้กับคนแซ่ลู่และแซ่หวัง โม่เทียนเกอก็พอจะเห็นพละกำลังของเขาได้บ้างแล้ว


 


 


ผู้ฝึกตนชายชุดคลุมขาวคนนี้อยู่แค่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ดังนั้นระดับการฝึกตนของเขาจึงต่ำกว่านักพรตฟางเจิ้งเล็กน้อย และเขาก็เป็นแค่หุ่นลวงตา ถึงแม้ว่าม่านพลังมายานี้จะทำให้เขาเกือบเหมือนกับคนจริงๆ แต่เขาก็ยืดหยุ่นได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนจริงๆ ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ไม่นานนักก็ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้ให้นักพรตฟางเจิ้ง


 


 


การมองดู “พี่ใหญ่ถัง” ของพวกนางตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตอย่างต่อเนื่องด้วยตาของพวกนางเองทำให้ทั้งอวิ๋นหันเยียนและศิษย์พี่หลิ่วกลัวจนหัวหด พวกนางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปหาเขาได้เพราะโม่เทียนเกอขวางทางพวกนางอยู่ ทั้งสองคนเหลือบมองกันจากนั้นจึงพุ่งเข้าโจมตีโม่เทียนเกอพร้อมๆ กัน


 


 


เมื่อเห็นว่าพวกนางคนหนึ่งใช้เครื่องมือเวทหลายอย่างในคราวเดียวและอีกคนโยนเครื่องรางปึกหนาราวกับพวกนางสู้กันหวังเอาชีวิตนาง โม่เทียนเกอก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเช่นกัน นางต้องการให้บทเรียนสั่งสอนพวกนั้น ดังนั้นนางจึงตัดสินใจว่าจะไม่ปรานีพวกนางอีก


 


 


ทั้งกระสวยอัปสราและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวถูกนำมาใช้ สิ่งหนึ่งใช้โจมตีและอีกสิ่งใช้ป้องกันเพื่อแก้ปัญหาการถูกซุ่มโจมตีในครั้งนี้ จากนั้นนางใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณปล่อยแรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณของนางออกมาทันทีและทำให้หญิงทั้งสองคนเคลื่อนไหวไม่ได้ โม่เทียนเกอไร้ความปรานี ลำแสงสีทองของกระสวยอัปสราแตกตัวออกจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ และจากนั้นแต่ละลำแสงได้พุ่งเข้าทิ่มแทงหญิงทั้งสองคนจากทุกทิศทาง


 


 


ลำแสงสีทองตกลงมาที่ตัวพวกนางอย่างโหดร้าย แรงเคลื่อนไหวของมันนั้นรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น เพราะโม่เทียนเกอใช้แรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณจากศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อสะกดพวกนางเอาไว้ หญิงทั้งสองคนจึงไร้เรี่ยวแรงที่จะสู้กลับ พวกนางทำได้เพียงแค่มองขณะที่ลำแสงเหล่านั้นแทงเข้าร่างของพวกนาง


 


 


“อ๊าก–” เสียงตะโกนสองเสียงดังขึ้นพร้อมๆ กัน


 


 


โม่เทียนเกอถอนอาวุธเวทและเครื่องมือเวทของนางกลับคืนจากนั้นร่อนลงพื้น จ้องมองอย่างเย็นชาไปที่หญิงทั้งสองคน


 


 


“เสียง “อ๊าก!” อีกเสียงดังมาจากอีกฝั่งขณะที่นักพรตฟางเจิ้งฆ่าหุ่นลวงตาในชุดคลุมขาว


 


 


หญิงทั้งสองคนหันไปอย่างพร้อมเพรียงกันครั้นได้ยินเสียงตะโกน ทั้งคู่แผดเสียงออกมาอย่างดัง “พี่ใหญ่ถัง” โดยไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง ทั้งคู่คลานขึ้นและรีบวิ่งอย่างโงนเงนไปทางผู้ฝึกตนชายชุดคลุมขาวพร้อมกับโผเข้าหาเขา พวกนางร้องไห้โฮออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าเขาไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งต่างเหลือบมองกัน ทั้งคู่หน้านิ่วคิ้วขมวด


 


 


นักพรตฟางเจิ้งชินกับการเห็นเรื่องทางโลกเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบความไร้สำนึกแบบนี้ของศิษย์จากกลุ่มการฝึกตน สำหรับโม่เทียนเกอ นางไม่พอใจที่หญิงทั้งสองคนนั้นยังไม่รู้ตัวเลยว่ามีอะไรผิดปกติจนถึงตอนนี้


 


 


“เจ้าทั้งสอง…” หลังจากร้องไห้มาสักพัก ศิษย์พี่หลิ่วคลานขึ้นมาด้วยน้ำตานองหน้า สีหน้าดุดันปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง “ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


 


โม่เทียนเกอโมโห นางส่งเสียง “ฮึ่ม” พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นแต่ก็ดันมือลงทันที ลำแสงสีทองซึ่งนางแทงพวกนางอย่างไม่ปรานีเมื่อสักครู่นี้จู่ๆ ก็แตกสลายออกจากร่างพวกนาง หญิงทั้งสองคนร้อง “อ๊าก!” ขึ้นมาอีกครั้งและร่วงลงพื้น ไหล่ของพวกนางเป็นแผลบาดเจ็บ


 


 


“คิดถึงความเป็นไปได้ที่พี่ใหญ่ถังของเจ้าจะมาอยู่ที่นี่หน่อย!” โม่เทียนเกอตะโกน “เจ้าไม่สามารถแยกแยะหุ่นลวงตาออกจากของจริงได้ด้วยซ้ำ! หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าคงปล่อยให้พวกเจ้าทั้งสองคนฆ่ากันเองไปแล้ว!”


 


 


หญิงทั้งสองคนตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด ด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา พวกนางจ้องอย่างเหม่อลอยมาที่นาง


 


 


“หุ่นลวงตา” ศิษย์พี่หลิ่วถามด้วยเสียงแหบแห้ง


 


 


โม่เทียนเกอเบือนหน้าหนี รำคาญเกินกว่าจะคุยกับพวกนาง โดยไม่มีทางเลือกอื่น นักพรตฟางเจิ้งจึงก้าวขึ้นมาเป็นคนอธิบาย “สหายนักพรต ลองคิดดูให้ดี ศิษย์พี่ของเจ้าจะมาที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


ชั่วขณะหนึ่ง หญิงทั้งสองคนพูดไม่ออก พวกนางเหลือบมองกันไปมาและไม่นานนักอวิ๋นหันเยียนก็พูดขึ้นมาอย่างลังเลว่า “ข้าและ… ศิษย์พี่หลิ่วเดินมาจนกระทั่งถึงที่นี่ ขณะที่เรากำลังคุยกัน จู่ๆ เราก็เห็นพี่ใหญ่ถังเดินเข้ามาหาเราจากตรงโน้น”


 


 


“แล้วพวกเจ้าทั้งสองพูดอะไรกับพี่ใหญ่ถังของเจ้า”


 


 


“…” หญิงทั้งสองคนนิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดศิษย์พี่หลิ่วก็พูดขึ้นมา “เราสู้กันทันทีหลังจากที่เราเห็นพี่ใหญ่ถัง…”


 


 


เช่นนั้นนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น หญิงสองคนนี้นี่…


 


 


นักพรตฟางเจิ้งไม่สามารถทนได้อีกต่อไปเช่นกัน เขาขมวดคิ้วแน่นและถามว่า “สงบสติอารมณ์เสียแล้วคิดดู ถ้าเจ้าทั้งสองคนสู้กันเช่นนี้ พี่ใหญ่ถังของเจ้าจะไม่พูดอะไรเลยจริงๆ งั้นหรือ”


 


 


หญิงทั้งสองคนเงียบอีกครั้ง สีหน้าเศร้าสร้อยบนใบหน้าของพวกนางในที่สุดก็หายไป


 


 


เพราะพวกนางเริ่มสู้กันทันทีหลังจากเห็น “พี่ใหญ่ถัง” พวกนางจึงไม่มีเวลาคิดถึงปฏิกิริยาที่เขาควรมี นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหุ่นตัวนั้นจึงไม่พูดอะไรและแค่มองอย่างงุนงง แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดก็คือทั้งที่หุ่นตัวนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่หญิงสองคนนี้ก็ยังไม่รู้ว่านั่นคือตัวปลอม!


 


 


“เอาเถอะ!” โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชา “เช็ดน้ำตาเสีย รักษาแผลแล้วก็ตามพวกเรามา!” 

 

 


ตอนที่ 160-1 หาทางออกไม่ได้

 

ผู้ฝึกตนหญิงสองคนไม่ได้บาดเจ็บหนักมากมาย ถึงแม้โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งจะพูดจาขวานผ่าซากกับพวกนาง และพวกนางก็เห็นความรู้สึกดูถูกที่โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งแสดงออกมาต่อพวกนางอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แม้กระนั้นพวกนางก็ไม่กล้าพูดอะไร ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนมีระดับการฝึกตนสูงกว่าพวกนางนั้นก็เป็นความจริง นอกจากนี้พวกนางยังได้เผชิญกับพละกำลังในการต่อสู้ของทั้งสองคนโดยตรง ในทางกลับกัน พวกนางเป็นแค่ผู้ฝึกตนหญิงที่อ่อนแอในการต่อสู้ด้วยพลังเวท หากพวกนางจะโจมตีขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าใครคนหนึ่งในสองคนนั้นก็มีพลังมากพอที่จะฆ่าพวกนางได้


 


 


ทันทีหลังจากที่พวกนางรักษาบาดแผลอย่างเชื่อฟังเสร็จ พวกนางก็ตามโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งไปโดยไม่กล้าพูดอะไร


 


 


ถึงแม้โม่เทียนเกอจะตั้งใจให้บทเรียนสั่งสอนพวกนาง แต่นางก็ไม่ได้ทำให้จุดสำคัญในร่างกายของพวกนางบาดเจ็บ หลังจากใช้คาถารักษาง่ายๆ บาดแผลของหญิงทั้งสองคนก็บรรเทาลง


 


 


หลังจากทนกับเรื่องชวนหัวเช่นนี้ กลุ่มคนทั้งสี่ยังคงออกตามหาอย่างเงียบๆ จนถึงสุดทางที่กำหนดไว้ เป็นไปตามที่คาด พวกเขาไม่เจออะไรจึงรีบกลับไปที่รูปปั้นหิน


 


 


พวกเขาเดินไปที่ก้นหุบเขาจากนั้นเลี้ยวเข้ามุม เมื่อสายตามองเห็นรูปปั้นหิน อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอก็ต้องตกตะลึง


 


 


แท่นบูชาหินว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น รวมถึงเหยียนรั่วซูด้วย


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกอ่อนแรง ถึงแม้นางจะยอมรับว่าพลังการต่อสู้ของผู้ฝึกตนหญิงยังห่างชั้นจากผู้ฝึกตนชายมากนัก แต่นางก็ได้เผชิญกับผู้ฝึกตนหญิงมาค่อนข้างมากนับตั้งแต่นางเริ่มฝึกตน และส่วนใหญ่ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชายเลย นอกเหนือจากสาวใช้ที่อยู่ข้างกายประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งมีความทะนงตัวสูงมากเกินไป หวังเชี่ยนอีและมู่หรงเยียนแห่งสำนักอวิ๋นอู้ หลัวเฟิงเสวี่ย หันชิงอวี้ และคนอื่นๆ จากโรงเรียนเสวียนชิง ทุกคนล้วนมีวิธีการในการทำสิ่งต่างๆ และภาวะจิตใจที่เทียบเท่าได้กับพวกผู้ฝึกตนชาย พวกนางไม่เคยลากคนอื่นให้ต้องมาลำบากด้วย


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงสามคนนี้จากสภาปี้เซวียนทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกโกรธเคืองอย่างแท้จริง คนหนึ่งเป็นคนขี้ขลาด อีกสองคนเป็นศัตรูหัวใจที่ขี้อิจฉา เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีแค่ผู้หญิงในกลุ่มการฝึกตนของพวกนางและไม่มีผู้ฝึกตนชายเป็นข้อเปรียบเทียบ พวกนางถึงได้หมกมุ่นกับตัวเองเช่นนี้และไม่มีความทะเยอทะยานอยากจะพัฒนาเอาเสียเลย


 


 


โม่เทียนเกอสงบสติอารมณ์ของตัวเองและพูดว่า “ข้าบอกสหายนักพรตเหยียนว่าเราจะมาพบกันที่นี่ก่อน ข้าไม่รู้ว่านางหายไปไหน”


 


 


สีหน้านักพรตฟางเจิ้งหม่นหมองลงหลังจากเขาได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด เขาเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าผู้หญิงพวกนี้จากกลุ่มการฝึกตนทำตัวไร้ประโยชน์เหลือเกิน เขาก็ยิ่งโมโห ผู้ฝึกตนเดี่ยวอย่างเขาต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเท่าไรแค่เพื่อสร้างฐานแห่งพลังงาน ภัยอันตรายและความท้าทายมากมายแค่ไหนที่พวกเขาต้องอดทน ศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนพวกนี้มีคำแนะนำจากกลุ่มและอาจารย์ให้นับถือ แต่กระนั้นพวกนางก็ยังลงเอยด้วยการทำตัวน่าผิดหวัง


 


 


“รออยู่ที่นี่เถอะ คงเป็นปัญหาแน่หากเราแยกกันอีก” นักพรตฟางเจิ้งกล่าว “และการตามหาต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาเหมือนกัน ถ้าเราต้องเสียใครไปอีก…”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งไม่ได้พูดจนจบประโยคแต่โม่เทียนเกอก็เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงพวกนี้เลยสักนิด ในเมื่อพวกเขายังแทบไม่สามารถดูแลตัวเองได้ตอนนี้ พวกเขาก็น่าจะปล่อยให้พวกนางเอาตัวรอดกันเองไปก่อน


 


 


อาจจะฟังดูโหดร้ายแต่ก็สมเหตุสมผล ถ้าพละกำลังของโม่เทียนเกอมีเหลือล้น นางคงไม่ถือสาอะไรกับการช่วยเหลือพวกนาง แต่ในเมื่อนางก็มืดแปดด้านเกี่ยวกับม่านพลังมายานี้เช่นกัน นางคิดว่านางควรหลีกเลี่ยงการถูกพวกนางลากเข้าไปพัวพันจนตัวตายก่อนดีกว่า


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยวแต่เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเพราะเขาสามารถทำตัวเ**้ยมโหดได้เมื่อจำเป็น ที่จริงแล้วเป็นโม่เทียนเกอนั่นแหละที่เขากลัวว่าจะใจอ่อน แต่ในเมื่อโม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ เขารู้ว่านั่นอาจถือได้ว่ายอมรับความคิดของเขาไปโดยปริยาย ดังนั้นในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อย ในระหว่างการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เขาได้เห็นพละกำลังของโม่เทียนเกอ เพื่อจะมีชีวิตรอดออกจากที่นี่ เขาจึงต้องการจะร่วมมือกับนาง


 


 


ณ ขณะนั้น หญิงแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่วทั้งสองคนยังไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของพวกเขา ครั้นเห็นหน้าตาดูสงสัยและไม่รู้เรื่องรู้ราวของพวกนาง โม่เทียนเกอก็รู้สึกทั้งสงสารทั้งรังเกียจ สุดท้ายนางก็แข็งใจกับการตัดสินใจของนางและแสร้งทำเป็นว่านางไม่ได้สังเกตเห็นอะไร ถึงแม้นางจะมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอยู่ในครอบครอง แต่ตอนนี้นางอยู่ในม่านพลังมายาของคนอื่น ต่อให้นางเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไปก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหากนางไม่สามารถออกจากม่านพลังนี้ได้ เพราะเหตุนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการออกจากม่านพลังมายานี้อย่างปลอดภัย นางไม่จำเป็นต้องคอยรับผิดชอบความเป็นความตายของคนอื่น


 


 


คนทั้งสี่รออยู่บนแท่นบูชารอบๆ รูปปั้นหินอยู่สักพักก่อนที่ผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวังจะกลับมาในที่สุด


 


 


เมื่อจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอรับรู้ถึงการมาถึงของพวกเขา นางตั้งใจเพ่งดูพวกเขามากขึ้นแล้วจึงพบว่ามีแค่สองคนนั้น เหยาจื่อซิวและซางหรูหว่านยังไม่ปรากฏ นางรู้สึกทั้งดีใจและผิดหวังในขณะเดียวกัน นางดีใจเพราะชายทั้งสองคนนี้กลับมาโดยไม่มีปัญหา แต่นางก็ผิดหวังเพราะนางมีความประทับใจที่ดีต่อซางหรูหว่าน นางอดรู้สึกเศร้าไม่ได้หากซางหรูหว่านหายตัวไปเช่นนั้น


 


 


เมื่อชายแซ่ลู่และแซ่หวังมาถึง พวกเขาก็มองทุกคนลวกๆ แล้วจึงถามว่า “แล้วคู่รักเหยาและแม่นางเหยียนเล่า”


 


 


ด้วยว่านักพรตฟางเจิ้งสู้กับสองคนนี้มาก่อน จึงไม่สนใจพวกเขา โม่เทียนเกอเป็นคนตอบว่า “เรายังไม่เจอคู่รักเหยาเหมือนกัน สหายนักพรตเหยียนเคยอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ เราไม่รู้ว่านางไปที่ไหน แต่นางหายไปแล้วตอนที่เรากลับมา”


 


 


ชายสองคนแซ่ลู่และแซ่หวังต่างมองกัน ทั้งคู่รู้สึกเป็นกังวล “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันดี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา เราจะมีผลกระทบไปด้วยหรือไม่”


 


 


“ข้าก็ไม่รู้” โม่เทียนเกอพูดอย่างแผ่วเบา “เราตามหาพวกเขาทั่วทั้งหุบเขา ถ้าสหายนักพรตมีความคิดอะไร เจ้าบอกเรามาได้เราจะได้ลองดู”


 


 


เมื่อพวกเขายืนอยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าสี ผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวังแสดงให้เห็นว่าพวกเขาชำนาญในด้านม่านพลัง ที่จริงแล้วโม่เทียนเกอก็มาจากตระกูลที่ชำนาญในด้านม่านพลังและนางยังมีหนังสือหลายเล่มจากยุคอดีตอันไกลโพ้นอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ดังนั้นความรู้ของนางในด้านม่านพลังจึงแน่นกว่าพวกเขาเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยมากนัก นางจงใจไม่แสดงให้เห็นขอบเขตความรู้ของนางเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยจุดอ่อนของนาง


 


 


ลู่และหวังดูตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด แต่ในชั่วขณะต่อมา ทั้งสองคนก็ขยับไปด้านข้างและเริ่มปรึกษากัน


 


 


โม่เทียนเกอฟังพวกเขาคร่าวๆ ทักษะของพวกเขาในม่านพลังนั้นค่อนข้างดีพอควร อย่างไรก็ตาม ม่านพลังมายานี้สมจริงเกินไป ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาของพวกเขาจึงไม่น่าจะใช้ได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงเคลื่อนตัวไปด้านข้างอย่างเงียบๆ นั่งลงและเริ่มครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง


 


 


ทุกม่านพลังจำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณจากวัตถุภายนอกเพื่อคอยหนุนมัน ม่านพลังบนแท่นบูชาของหุบเขาจริงถูกโม่เทียนเกอทำลายอย่างง่ายดายก็เพียงเพราะมันอายุเก่าแก่มากแล้ว ดังนั้นพลังงานทางจิตวิญญาณจึงลดลง ส่วนม่านพลังมายานี้ ในเมื่อมันสามารถสร้างสัตว์ปีศาจระดับสอง ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน และแม้แต่พืชวิญญาณอายุกว่าพันปีที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณได้ มันก็จะต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่ทำให้นางสับสน ทำไมม่านพลังนี้ถึงสามารถแสดงพลังเช่นนั้นได้ถึงแม้มันจะอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว การที่จะกักขังพวกเขาในสถานที่นี้และสร้างภาพลวงตาของสิ่งเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ ปริมาณพลังงานทางจิตวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ต้องมากมายเหลือเชื่อ มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ด้วยศิลาวิญญาณอายุหลายร้อยถึงหลายพันปีแน่นอน ศิลาวิญญาณที่ใช้ในม่านพลังประณีตเช่นนี้จะต้องเป็นของระดับสูงแน่


 


 


ศิลาวิญญาณก็ถูกแบ่งประเภทออกเป็นระดับที่แตกต่างกัน ศิลาวิญญาณทั่วไปที่ไม่ได้พูดถึงคุณภาพถือว่าเป็นระดับต่ำ นอกเหนือจากนั้นคือศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูง ศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงถือว่าไม่ธรรมดาในโลกแห่งการฝึกตน แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังต้องยากลำบากกว่าจะได้มาครอบครอง แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโม่เทียนเกอเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ส่วนแบ่งของศิษย์ที่นางได้รับจึงรวมถึงศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงด้วย แต่ถึงแม้นางจะมีศิลาวิญญาณอยู่ ก็ยังใช้ศิลาวิญญาณระดับต่ำตามปกติและใช้ศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงแค่เฉพาะตอนนางต้องการวางม่านพลังระดับสูงเท่านั้น


 


 


ยิ่งม่านพลังระดับสูงขึ้น พลังงานทางจิตวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้วางม่านพลังก็ต้องยิ่งหนาแน่นขึ้น หลังจากถึงจุดหนึ่ง ความหนาแน่นของพลังงานทางจิตวิญญาณจะไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยการแค่เพิ่มศิลาวิญญาณ ศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงต้องถูกนำมาใช้เพื่อให้ม่านพลังนั้นได้ผล เนื่องจากม่านพลังนี้จำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณปริมาณมากจนน่ากลัว โม่เทียนเกอเดาว่าศิลาวิญญาณระดับสูงที่ต้องใช้จะต้องมากกว่าหลายพันอันหรืออาจมากกว่าหลายหมื่นอัน


 


 


ศิลาวิญญาณระดับสูงมากกว่าหมื่นอัน! โม่เทียนเกอแค่คิดทบทวนคร่าวๆ แต่นางก็คิดแล้วว่ามันช่างน่ากลัว เพราะนางเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ส่วนแบ่งของนางจึงน้อยกว่าที่แบ่งสันปันส่วนไปให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแค่นิดหน่อย และมากกว่าที่แบ่งให้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานหรือศิษย์หัวกะทิหลายเท่าตัวนัก ทั้งๆ อย่างนั้น นางก็ได้รับแค่ศิลาวิญญาณระดับกลางและระดับสูงประมาณสิบอันในแต่ละปีเท่านั้น หากนางไม่ได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไปก็จะต้องใช้เวลามากกว่าพันปีในการเก็บสะสมศิลาวิญญาณระดับสูงหมื่นอัน!


 


 


นางรับผิดชอบดูแลทุกเรื่องในตำหนักซ่างชิงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จึงรู้ว่าในหมู่เครื่องบรรณาการประจำปีที่มอบให้กับประมุขเต๋าจิ้งเหอ เขาได้รับแค่ศิลาวิญญาณระดับสูงราวๆ ร้อยอันเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรือร้อยปีเพื่อรวบรวมศิลาวิญญาณหมื่นอัน ถ้าเขาต้องใช้บางส่วนไปกับการฝึกตน การวางม่านพลังและอื่นๆ อีกมากมาย ก็คงจะไม่มีอะไรเหลืออยู่มากนักในทรัพย์สินของท่านอาจารย์ขี้งกของนาง จริงไหม


 


 


เจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นคนแบบใดกัน ท่านอาจารย์ของนางเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จากหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ดีที่สุดในขั้วท้องฟ้า ถึงแม้ว่าเขาจะถือว่าร่ำรวยทรัพย์สมบัติและศิลาวิญญาณแม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ด้วยกัน แต่เขาก็ไม่มีทางใช้ศิลาวิญญาณระดับสูงหมื่นอันไปแค่เพื่อวางม่านพลังหรอก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นผู้ฝึกตนในดินแดนที่เหนือกว่าดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามา โม่เทียนเกอส่ายหน้า


 


 


นางเคยเจอจงมู่หลิงและหยวนเป่า สืบเนื่องจากม่านพลังมายาของพวกเขา ม่านพลังนี้ยังด้อยกว่าของจงมู่หลิงและดูไม่เหมือนจะเป็นผลงานของเทพผู้ฝึกตน อีกอย่างหนึ่ง จะพบเจอเทพผู้ฝึกตนได้ง่ายนักหรือ ตามคำของหยวนเป่า โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล ขั้วท้องฟ้าก็เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งของโลก มีสถานที่อย่างขั้วท้องฟ้าอีกมากกว่าสิบๆ แห่ง ยิ่งไปกว่านั้น เทพผู้ฝึกตนหน้าใหม่หนึ่งคนจะปรากฏตัวขึ้นทุกๆ หลายพันปีเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะมีดวงบังเอิญเจอถ้ำเซียนของเทพผู้ฝึกตน


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้าและครุ่นคิดต่อไปว่าจะทำลายม่านพลังนี้อย่างไรดี พลังงานทางจิตวิญญาณ… จริงสิ! ม่านพลังขนาดมหึมาเช่นนี้จะไม่สามารถใช้งานได้นานอย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาไม่สามารถทำลายม่านพลังได้ ถ้าพวกเขาจะทนอยู่ไปได้อีกหลายเดือนก็ยังถือว่าดี!


 


 


สีหน้าดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอ ทว่าวินาทีถัดมารอยยิ้มของนางก็จางหายไป นางคิดผิด นางแค่คิดว่าม่านพลังมายาจะต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณปริมาณมาก แต่นางลืมไปว่าม่านพลังมายายังสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ของคน หนึ่งวันที่จริงแล้วอาจจะรู้สึกเหมือนหนึ่งปี! ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ การติดอยู่ที่นี่หลายเดือนก็อาจเหมือนหลายร้อยปีก็เป็นได้ พวกเขาอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าไม่สามารถหนีออกไปได้มาเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ความก้าวหน้าในการฝึกตนของพวกเขาจะไม่ได้เท่ากับหลายร้อยปีไปด้วย สุดท้ายแล้วทุกคนจะไม่เป็นบ้าไปหมดหรือ


 


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้โดยยังไม่มีทางแก้ โม่เทียนเกอก็ได้แต่ถอนหายใจในที่สุด 

 

 


ตอนที่ 160-2 หาทางออกไม่ได้

 

นักพรตฟางเจิ้งสังเกตเห็นสีหน้านาง จึงเข้ามาถาม “สหายนักพรตเยี่ย เป็นอะไรหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดหาวิธีที่จะทำลายม่านพลังนี้ไม่ออก” จากนั้นนางก็หันไปมองผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวัง พวกเขาก็ส่ายหน้าและถอนหายใจเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า พวกเขาก็ไม่สามารถหาทางทำลายม่านพลังนี้ได้


 


 


ส่วนศิษย์ผู้หญิงสองคนจากสภาปี้เซวียน เมื่อเห็นว่าพวกคนที่เหลือดูระมัดระวังตัวมากแค่ไหน ในที่สุดพวกนางก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันอันตรายขนาดไหน พวกนางจึงหมดไฟกับการทะเลาะกันเองไปในที่สุด


 


 


ทั้งหกคนจนปัญญา พวกเขานั่งอยู่บนแท่นบูชามาทั้งวันจนกระทั่งท้องฟ้ามืดลงแต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถคิดหาทางแก้ได้ คู่รักเหยาและเหยียนรั่วซูก็ยังไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน


 


 


เมื่อนางเห็นท้องฟ้ามืดลง โม่เทียนเกอหาที่ว่างบนแท่นบูชาอย่างลวกๆ นั่งลงและเริ่มทำสมาธิ นางไม่รู้ว่าที่นี่ปลอดภัยหรือไม่นางจึงไม่กล้าฝึกตน นางเพียงแค่ปรับลมปราณในตอนนี้


 


 


สภาพแวดล้อมรอบตัวเงียบสงัด แต่จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นขึ้นมา


 


 


โม่เทียนเกอลืมตาและหันไปมองหญิงแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่วทั้งสอง


 


 


คนที่กำลังสะอื้นคืออวิ๋นหันเยียน ด้วยใบหน้าที่วาวไปด้วยน้ำตา นางนั่งกอดเข่า ดูราวกับว่านางอยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้า


 


 


“แม่นางอวิ๋น” ผู้ฝึกตนแซ่ลู่เดินไปหาหญิงทั้งสองและถามอย่างอ่อนโยน “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”


 


 


อวิ๋นหันเยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเอ่อไปด้วยน้ำตา นางดูทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน นางตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ข… ข้า…” นางอยากจะพูดแต่ไม่กล้า


 


 


ผู้ฝึกตนแซ่หวังก็เข้าไปหาพวกนางเช่นกัน ครั้นเห็นว่าอวิ๋นหันเยียนดูเป็นอย่างไร ผู้ฝึกตนชายทั้งสองคนก็มีสีหน้าเห็นใจ ผู้ฝึกตนแซ่ลู่เริ่มพูดปลอบใจ “แม่นางอวิ๋นอย่ากังวลไปเลย ข้าอยู่ที่นี่! ข้า… เราจะปกป้องเจ้า”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นหันเยียนกะพริบตาทำให้น้ำตาหยดลง “จริงหรือ”


 


 


ผู้ฝึกตนชายทั้งสองคนพยักหน้าอย่างจริงจัง


 


 


แต่เดิมโม่เทียนเกอคิดว่า “ศิษย์พี่หลิ่ว” จะพูดอะไรเพื่อล้ออวิ๋นหันเยียนแต่น่าประหลาดที่นางไม่ได้ทำ เมื่อโม่เทียนเกอเหลือบดูนาง นางถึงได้รู้ว่า “ศิษย์พี่หลิ่ว” กำลังนั่งเหม่อ ดวงตานางว่างเปล่า ดูประหนึ่งว่าวิญญาณของนางหายไป บางครั้งรอยยิ้มมีความสุขก็จะปรากฏขึ้นบนหน้านาง แต่สุดท้ายสีหน้าของนางมักเต็มไปด้วยความเศร้าไม่รู้จบ


 


 


โม่เทียนเกอจำได้ว่าตอนระหว่างวัน “ศิษย์พี่หลิ่ว” คนนี้และอวิ๋นหันเยียนสู้กันแย่งความรักจากผู้ชาย… นางคงกำลังคิดถึงพี่ใหญ่ถังของนางอยู่ตอนนี้ แต่ดูจากสีหน้าของนางและนึกถึงคำพูดของพวกนางตอนกลางวัน โม่เทียนเกอคิดว่านางน่าจะกำลังคิดถึงเรื่องเศร้าอยู่


 


 


เปรียบเทียบกับอวิ๋นหันเยียนที่ดูเหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยขณะที่นางพูดคุยกับผู้ฝึกตนชายสองคน “ศิษย์พี่หลิ่ว” คนนี้เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว โม่เทียนเกอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจนาง


 


 


ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดระหว่างหญิงทั้งสองคน แต่ก็เห็นชัดแล้วว่าความรู้สึกของใครลึกซึ้งกว่ากัน ขณะที่อวิ๋นหันเยียนอาจจะชินกับการเรียกร้องความสนใจจากพวกผู้ชาย ผู้ฝึกตนหญิงแซ่หลิ่วคิดถึงแค่พี่ใหญ่ถังของนางเท่านั้น ณ ตอนนี้


 


 


ที่จริงแล้วมันคงไม่แปลกเลยสักนิดถ้าพี่ใหญ่ถังคนนั้นจะชอบอวิ๋นหันเยียนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ทั้งสองฝั่งก็รู้สึกว่าอีกฝั่งหนึ่งนั้นแปลก ผู้หญิงที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชายมักจะไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้หญิงด้วยกัน และผู้ชายที่ผู้หญิงชื่นชอบโดยปกติแล้วก็มักจะถูกจัดว่า “มีเสน่ห์แค่ภายนอกแต่ไร้ค่า” โดยพวกผู้ชายด้วยกัน ไม่ว่าอวิ๋นหันเยียนจะแสร้งทำเป็นอ่อนแอหรือน่าสงสารหรือไม่ พวกผู้ชายก็จะเชื่อและชอบนาง แต่… คนผู้นั้นไม่เป็นแบบนี้ ใช่ไหม ในสายตาของเขา ผู้ชายและผู้หญิงดูเหมือนจะเหมือนกันไปหมด นอกเหนือจากการฝึกตน เขาก็ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีก…


 


 


นางไม่รู้ว่านางหลงอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองนานแค่ไหน แต่ในความมืดมิดยามค่ำคืน จู่ๆ นักพรตฟางเจิ้งก็ตะโกนขึ้นว่า “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ!”


 


 


โม่เทียนเกอตกใจ นางรีบยืนขึ้นและเตรียมสู้ทันที นางขยายจิตสัมผัสออกไปแต่ในวินาทีต่อมา นางก็ต้องตกตะลึงถึงที่สุด


 


 


จากในความมืด ชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงค่อยๆ เดินเข้ามาหาพวกเขาช้าๆ เขาแต่งตัวเหมือนปัญญาชนแต่ให้ความรู้สึกที่องอาจมาก พลังที่แผ่ออกมาจากทั้งร่างของเขาช่างน่ากลัว


 


 


ขณะนั้นเอง สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป พลังงานวิญญาณเช่นนี้… ผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง!


 


 


ด้วยความเคยชิน นักพรตฟางเจิ้งมองคนผู้นั้นให้ชัดๆ เขารีบดูปฏิกิริยาของโม่เทียนเกอทันที อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอกำลังจดจ่ออยู่กับการมองคนคนนั้นอย่างน่าประหลาดและดูราวกับว่านางกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง ไม่มีเวลาให้คิดมาก เขาประสานมือเป็นการทำความเคารพและพูดอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์พี่ ศิษย์น้องคือฟางเจิ้ง ขออภัยที่ต้องถามแต่ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ศิษย์พี่”


 


 


คนผู้นั้นไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด เขากลับเดินตรงไปยังโม่เทียนเกอแทน


 


 


นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ ล้วนหวาดกลัว ถึงแม้พวกเขาจะมีคนอยู่ฝั่งเดียวกันหลายคน แต่คนอีกฝั่งนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง! ช่องว่างระหว่างดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นห่างกันอย่างมาก! พวกเขาไม่รู้ว่าคนคนนี้มาจากที่ไหน แต่ถ้าเขามีเจตนาร้ายต่อพวกเขา เขาแค่ต้องโบกมือและพวกเขาก็จะ…


 


 


ภายใต้สายตาจับจ้องที่กังวลและเต็มไปด้วยความกลัว ในที่สุดคนคนนั้นก็หยุดอยู่ห่างจากโม่เทียนเกอแค่ไม่กี่สิบจั้ง


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจยาว ปรายตามองที่คนผู้นั้นและพูดว่า “นี่คือหุ่นลวงตา”


 


 


“หุ่นลวงตา” นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ ตะลึง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงมองอย่างระมัดระวังด้วยความกลัวว่าหุ่นตัวนี้จะมีพลังการต่อสู้ของคนจริงๆ เหมือนอย่างหุ่นที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้านี้


 


 


“เทียนเกอ” หุ่นลวงตาพูดขึ้นมาทันใด


 


 


นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ ต่างตกอกตกใจ ผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวังก็ตกใจไปตามคาดเพราะพวกเขายังไม่เคยเจอหุ่นลวงตาของมนุษย์มาก่อน สำหรับผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองคนรวมถึงหลิ่วและนักพรตฟางเจิ้ง พวกเขาอาจจะเคยเห็นหุ่นลวงตาของ “พี่ใหญ่ถัง” มาแล้วแต่ตอนนั้นหุ่นตัวนั้นไม่ได้พูดอะไร


 


 


หุ่นลวงตาเดินเข้ามาหาโม่เทียนเกอทีละก้าว ทีละก้าว มันพูดอย่างอ่อนโยน “เทียนเกอ ทำไมเจ้าไม่บอกลาข้าเมื่อตอนที่เจ้าจากมา”


 


 


โม่เทียนเกอหลับตาอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อนางลืมตาและรู้ว่าหุ่นยังคงอยู่ตรงนั้น นางก็หัวเราะอย่างขมขื่น “ทำไมข้าต้องบอกลาท่านด้วย”


 


 


หุ่นตัวนั้นใช้เวลาสักพักในการตอบ “อืม เจ้าไม่ควรบอกลาข้า ข้าไม่อยากเจอเจ้า”


 


 


ถึงแม้นางจะรู้ดีว่าสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้เป็นของปลอม แต่โม่เทียนเกอก็ยังรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกบีบ หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดนางก็ถอนใจแล้วจึงพูดอย่างแผ่วเบา “ใช่ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไม แต่การกระทำของท่านบอกให้ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากเจอข้า ข… ข้าก็ไม่อยากเจอท่านเช่นกัน ท่านควรไปซะ อย่าได้โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีก” นางพูดเช่นนั้นแล้วก็หันมองไปทางอื่นและหลับตาลง


 


 


หุ่นยังคงยืนนิ่งอยู่สักพักหนึ่งหลังจากมันได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด ทันใดนั้นมันก็ก้าวมาข้างหน้าจนอยู่ห่างจากโม่เทียนเกอแค่นิดเดียวเท่านั้น


 


 


มันลดเสียงอ่อนลงและพูดว่า “ที่จริงข้าอยากเจอเจ้า ข้าแค่… แค่…”


 


 


ขณะที่มันยื่นมือมาหมายจะกอดนาง โม่เทียนเกอก็ก้าวถอยหลังทันที นางพูดเช่นนั้นเพราะนางอยากให้หุ่นลวงตาหายไปด้วยตัวเอง แต่… แต่นางไม่สามารถควบคุมความคิดของตัวเองได้ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองตาหุ่นตัวนั้น มันเกือบจะเหมือนกับคนจริงๆ ที่มันเลียนแบบมา นางพูดคำต่อคำ “เจ้ามันของปลอม ข้าไม่อยากได้ของปลอม”


 


 


หุ่นตัวนั้นเผยรอยยิ้มอย่างไม่น่าเชื่อ รอยยิ้มซึ่งแทบจะไม่เคยปรากฏขึ้นกับตัวคนจริงๆ “ข้าคือตัวจริง เจ้ากำลังหวังว่าข้าจะเป็นตัวจริง”


 


 


“ข้า…” โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่าสภาวะจิตตอนนี้ของนางสับสนวุ่นวายมาก นางรู้ว่าหุ่นลวงตาเช่นนี้จะไม่หายไป แต่นางก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย!” ขณะนั้นเอง จู่ๆ นักพรตฟางเจิ้งก็ตะโกนขึ้นและโยนเครื่องรางให้นาง “นี่คือเครื่องรางสงบจิตใจ”


 


 


โม่เทียนเกอรับมาและแปะไว้บนตัวนางโดยไม่ลังเล ถึงแม้สภาวะจิตนางจะไม่สงบลงได้ทันที แต่อย่างน้อยก็ไม่วุ่นวายแล้ว นางค่อยๆ หายใจช้าลงก่อนที่นางจะจ้องไปที่หุ่นเบื้องหน้านางอย่างเอาจริงเอาจัง


 


 


“ข้ายอมรับ… ข้ารักท่าน แต่ข้าอยากเดินบนเส้นทางสู่ความเป็นเซียน ถ้าท่านรักข้า ข้าก็ยินดี แต่ถ้าท่านเกลียดข้า ข้าก็ไม่เสียใจ–”


 


 


ท้ายที่สุด ชายในชุดคลุมสีฟ้าอ่อนก็ค่อยๆ จางหายไปช้าๆ พร้อมกับเสียงของโม่เทียนเกอ


 


 


เมื่อหุ่นลวงตาหายไปจนหมด นักพรตฟางเจิ้งและคนอื่นๆ จึงถอนหายใจออกมาในที่สุด ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง… หุ่นลวงตาที่นี่มีพลังของคนจริงๆ ที่พวกมันเลียนแบบ ถ้าพวกเขาต้องลงเอยด้วยการสู้กับหุ่นตัวนั้นจริงๆ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดหาทางออกเลยเพราะพวกเขาคงจะต้องตายอยู่ตรงนั้นแน่นอน


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย” ตอนนี้มีบางอย่างแปลกไปในสายตานักพรตฟางเจิ้ง เมื่อเขาได้ยินหุ่นลวงตาเรียกนางด้วยอีกชื่อหนึ่ง เขาก็รู้ว่าชื่อเยี่ยเสี่ยวเทียนน่าจะเป็นชื่อปลอม แต่ก็ไม่สำคัญหรอก พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญ เพราะฉะนั้นพวกเขาอาจจะไม่ได้เจอกันอีกหลังจากแยกกันไป ไม่ว่านางจะใช้ชื่อไหนมันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขา


 


 


ประเด็นสำคัญคือหุ่นลวงตาเมื่อครู่นี้เป็นหุ่นของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง! ผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นนี่จึงเป็นการเปิดเผยว่าตัวตนของหญิงคนนี้นั้นน่าทึ่งยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก เขาต้องไม่ทำให้นางขุ่นเคืองใจไม่ว่าอย่างไรก็ตาม


 


 


นอกจากนี้นักพรตฟางเจิ้งยังสังเกตเห็นอย่างอื่นอีก เขาท่องเที่ยวทั่วโลกแห่งการฝึกตนมาหลายร้อยปีและเห็นผู้ฝึกตนมามากจนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าหุ่นลวงตาตัวนั้นใส่ชุดคลุมของโรงเรียนเสวียนชิง กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วท้องฟ้า มีโอกาสสูงมากว่าผู้หญิงคนนี้จะเกี่ยวข้องกับโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน


 


 


จากประสบการณ์อันมากมีของเขา นักพรตฟางเจิ้งวิเคราะห์ประเด็นพวกนี้ภายในระยะเวลาอันสั้นเรียบร้อยแล้วและมีวิธีปฏิบัติที่เขาเตรียมไว้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะตัวตนที่นางปิดบังไว้หรือฝีมือที่นางแสดงให้เห็นมาจนถึงตอนนี้ เขาจะต้องไม่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่พอใจเด็ดขาด


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นางยิ้มน้อยๆ ให้กับนักพรตฟางเจิ้ง “สหายนักพรตฟางเจิ้งขอบคุณสำหรับเครื่องรางสงบจิตใจ ราคาเครื่องรางสงบจิตใจค่อนข้างสูง มันไม่ใช่ถูกๆ เลย ข้าไม่ควรปล่อยให้สหายนักพรตต้องเสียของโดยใช่เหตุ เพราะฉะนั้นข้าควรจะให้เครื่องรางนี้กับสหายนักพรตเป็นการตอบแทน”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งรับสิ่งที่นางเสนอให้ ตอนที่เขาเห็นว่ามันคืออะไร เขาก็รู้สึกดีใจอย่างเหลือล้น นี่คือเครื่องรางซ่อนกายาของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน! แต่เดิมเขาค่อนข้างรู้สึกสองจิตสองใจเมื่อเขาเสนอเครื่องรางสงบจิตใจอันนั้นให้นางซึ่งมีค่ามากกว่าร้อยศิลาวิญญาณ แต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เขาได้กำไรอย่างงามเลยทีเดียว! เครื่องรางซ่อนกายาของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไม่มีราคาตลาด ต่อให้เขาสามารถซื้อหามาได้ เขาก็จะต้องจ่ายอย่างน้อยหลายร้อยศิลาวิญญาณ


 


 


“ขอบคุณสหายนักพรต ข้าจะไม่เกรงใจล่ะ” 

 

 


ตอนที่ 161-1 หนึ่งวัน สามปี

 

โม่เทียนเกอมีเหตุผลของนางเองในการให้เครื่องรางซ่อนกายาอันล้ำค่าแก่เขา อย่างแรก นางไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณตัวน้อยผู้เร่ร่อนและยากจนอีกต่อไป ตอนนี้นางเป็นคนของกลุ่มการฝึกตนและมีท่านอาจารย์ การให้แค่เครื่องรางซ่อนกายาไม่ได้มีผลอะไรกับนาง อย่างที่สอง “แสร้งทำเป็นหมูเพื่อกินเสือ” อาจจะเป็นวิธีที่ได้ผลดี แต่ถ้านางมีพละกำลังมากพอ นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุบายนี้เลยแม้แต่น้อย


 


 


ที่นั่นมีคนรวมอยู่ทั้งหมดห้ากลุ่ม เกี่ยวกับศิษย์ผู้หญิงสามคนจากสภาปี้เซวียน มันคงจะดีหากพวกนางไม่ลากทั้งกลุ่มให้ลำบากไปด้วย โม่เทียนเกอไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับพละกำลังในการต่อสู้ของพวกนาง ส่วนผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวัง ระดับการฝึกตนของพวกเขาค่อนข้างสูงและพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ หากพวกเขาร่วมมือกัน นางก็รู้สึกจริงๆ ว่าพวกเขาอาจจะรับมือได้ค่อนข้างยาก ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่สามารถร่วมมือกันเป็นหนึ่งได้ ส่วนคู่รักเหยา ในทางตรงกันข้าม กลับร่วมมือกันได้อย่างดีแต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาค่อนข้างต่ำ ระดับการฝึกตนของนักพรตฟางเจิ้งเมื่อเทียบแล้วถือว่าสูงและเขาก็แข็งแกร่งในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทรัพย์สมบัติมากนัก ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงมั่นใจว่าถ้านางสู้เต็มแรง มันคงไม่ยากที่จะเอาชนะเขา


 


 


เมื่อเป็นเช่นนั้น นางก็น่าจะแสดงให้เห็นถึงพละกำลังของนางสักเล็กน้อย ถ้าเป็นคนอื่นมันคงไม่สำคัญ แต่นักพรตฟางเจิ้งเป็นคนฉลาด ไม่เพียงแต่เขาจะเคารพยำเกรงนางแต่เขาจะเห็นนางเป็นมิตรของเขาอย่างจริงใจด้วย


 


 


ภายในม่านพลังมายา ง่ายมากที่คนจะถูกหลอกถ้าพวกเขาไม่มีคนอื่นๆ อยู่คอยเตือนสติ ดังนั้นการมีพันธมิตรก็ย่อมดีกว่าการอยู่ตัวคนเดียว


 


 


หลังจากให้เครื่องรางซ่อนกายากับนักพรตฟางเจิ้งและพูดคุยกันสักครู่หนึ่งสั้นๆ โม่เทียนเกอเข้าไปที่มุมหนึ่งและนั่งลงเพื่อทำสมาธิอีกครั้ง


 


 


เพราะหุ่นลวงตาจากเมื่อครู่นี้ ผู้ฝึกตนชายแซ่ลู่และแซ่หวังก็หมดความสนใจจะเอาชนะใจอวิ๋นหันเยียนไปเช่นกัน พวกเขาย้ายไปด้านข้างและเริ่มกระซิบกระซาบกันแทน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังคุยกันถึงตัวตนที่แท้จริงของโม่เทียนเกอ


 


 


แต่โม่เทียนเกอไม่สนใจ ไม่ว่าคนพวกนี้จะคิดกับนางอย่างไร พวกเขาแต่ละคนก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทางอยู่ดีหลังจากออกจากหุบเขา เมื่อถึงจุดนั้นตัวตนของนางจะสำคัญอะไร


 


 


เป็นเช่นนั้นเอง พวกเขาผ่านค่ำคืนไปอย่างหวาดกลัวแต่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ภาพลวงตาแทบทุกแบบปรากฏขึ้นในคืนนั้น แต่โชคดีที่พวกเขาคอยดึงสติกันและกัน ภาพลวงตาพวกนั้นจึงไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาใหญ่อะไร


 


 


ครั้นถึงรุ่งอรุณ นกก็เริ่มขับขาน แสงแรกของตะวันสาดส่องทะลุผ่านเข้ามาในหุบเขา หน้าผาที่อยู่รอบๆ หุบเขานี้ทั้งสูงและชัน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์ส่องแสงลงมายังหุบเขา ก็เป็นเวลายามมะเส็ง [1] แล้ว


 


 


คนหกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมด จึงไม่จำเป็นต้องนอนพัก อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านค่ำคืนนั้นไปด้วยสภาวะหวาดกลัว หญิงสองคนแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่วก็ไม่ได้มีสภาพจิตที่ดีสักเท่าไหร่ในตอนนี้


 


 


โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งเหลือบมองกัน ทั้งสองคนเห็นความรู้สึกหมดหนทางในดวงตาอีกฝ่าย ผู้หญิงพวกนี้ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากคอยถ่วงคนอื่น! โชคร้ายที่ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากจะทิ้งผู้หญิงพวกนี้ไป แต่พวกเขาก็เกรงว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วยถ้าทำเช่นนั้น


 


 


บัดนี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว ทว่าคนอื่นๆ ก็ยังไม่มาปรากฏตัว ชายแซ่ลู่และแซ่หวังไม่อาจนั่งเฉยๆ อยู่ได้อีก พวกเขากระซิบกันครู่หนึ่งแล้วจึงเดินมาหาโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งพร้อมๆ กัน พวกเขาติดอยู่ในม่านพลังแค่ไม่ถึงหนึ่งวันแต่ก็เกิดการรวมกลุ่มเล็กๆ ขึ้นระหว่างพวกเขาแล้ว อวิ๋นและหลิว เช่นเดียวกับลู่และหวัง ต่างมาจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกัน ต่อให้แต่ละคู่มีความขัดแย้งภายในระหว่างกันแต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกัน โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งทั้งคู่ต่างมาคนเดียวและนิสัยของพวกเขาก็ค่อนข้างคล้ายกัน ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ สนิทกันมากขึ้นไปโดยอัตโนมัติ


 


 


“สหายนักพรต” ผู้พูดคือผู้ฝึกตนแซ่ลู่


 


 


โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งลืมตาเพื่อมองเขา


 


 


ชายแซ่ลู่และแซ่หวังนั่งขัดสมาธิด้านหน้าพวกเขาแล้ว “สหายนักพรต การยังทำเช่นนี้ต่อไปนั้นไม่ใช่ทางแก้ปัญหา ม่านพลังมายาที่ซับซ้อนจะเผาผลาญพละกำลังของคนที่เข้าไปในนั้น ยิ่งเราติดอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ สถานการณ์ก็จะยิ่งอันตรายกับพวกเรามากขึ้นเท่านั้น เลือดของเราอาจจะถูกดูดกลืนไปจนไม่มีอะไรเหลือเลยก็ได้”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งตกใจสุดขีดกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน “ดูดกลืนเลือด”


 


 


ผู้ฝึกตนแซ่หวังพูดแทนและอธิบายว่า “ถูกต้อง! พวกเราศิษย์พี่น้องเป็นศิษย์จากโรงเรียนกุ่ยกู่ซึ่งแตกออกมาจากโรงเรียนเทียนเหลียง เนื่องจากโรงเรียนเทียนเหลียงถูกกำจัดไปนานแล้ว โรงเรียนกุ่ยกู่ของเราจึงแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของปรัชญาแห่งม่านพลัง”


 


 


แค่ตอนนี้ที่ผู้ฝึกตนสองคนนี้เพิ่งพูดถึงชื่อเสียงที่สืบทอดมาโดยโรงเรียนของพวกเขา โม่เทียนเกอก็เคยได้ยินชื่อโรงเรียนกุ่ยกู่มาก่อน ถึงแม้ผู้ฝึกตนแซ่หวังจะพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ความจริงก็ไม่ได้ต่างกันมากมายนัก ไม่มีกลุ่มการฝึกตนที่ยอดเยี่ยมกลุ่มไหนในขั้วท้องฟ้าที่มีชื่อเสียงในด้านม่านพลัง มีแค่กลุ่มการฝึกตนขนาดกลางจำนวนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในม่านพลัง และในหมู่พวกนั้น โรงเรียนกุ่ยกู่ก็จัดได้ว่าเป็นที่รู้จักดี


 


 


มุมปากโม่เทียนเกอเผยอขึ้นเกิดเป็นรอยยิ้มคลุมเครือบนหน้านาง คำพูดที่ผู้ฝึกตนแซ่ลู่และแซ่หวังพูดออกมาฟังดูค่อนข้างน่าหวาดกลัว นางก็ร่ำเรียนเรื่องม่านพลังมายามาก่อนเช่นกันและก็มีทฤษฎีที่บอกว่ามันจะดูดกลืนเลือดของคนอยู่จริงๆ อย่างไรก็ตามมันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนไม่สามารถแยกตัวเองออกจากม่านพลังได้ ภายในม่านพลังมายา เลือดของพวกเขาจะถูกดูดไปถ้าคนคนนั้นถูกภาพลวงตาทำให้สับสน แต่ถ้าพวกเขาสามารถครองสภาวะจิตเอาไว้ได้ พวกเขาก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก


 


 


เมื่อเห็นสีหน้านาง ชายแซ่ลู่และแซ่หวังก็รู้สึกค่อนข้างสงสัยเพราะพวกเขาไม่เข้าใจกระบวนการความคิดของนาง พวกเขาเหลือบมองกัน จากนั้นผู้ฝึกตนแซ่ลู่พูดต่อด้วยรอยยิ้ม “น้องคือลู่เซี่ยงซิน นี่คือศิษย์น้องของข้า หวังเซี่ยงจื้อ ข้าขอถามชื่อสหายนักพรตได้หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่านักพรตฟางเจิ้งทักทายกับสองคนนี้ไปก่อนหรือยัง แต่หลังจากที่นางเข้าไปในโถงที่มีแท่นแห่งธาตุทั้งห้าสี กลไกของมันก็เริ่มขึ้นทันที นางจึงได้ยินแค่แซ่ของทั้งสองคนจากซางหรูหว่าน


 


 


“ชื่อแห่งเต๋าของข้าชื่อฟางเจิ้ง” นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้าให้กับชายทั้งสองคน


 


 


โม่เทียนเกอก็ตอบเช่นกันว่า “เยี่ยเสี่ยวเทียน”


 


 


ชายแซ่ลู่และแซ่หวังดูค่อนข้างประหลาดใจแต่พวกเขาไม่ได้เซ้าซี้ว่าทำไมชื่อของนางจึงต่างจากชื่อที่ได้ยินเมื่อคืนนี้


 


 


คนทั้งสี่จึงแลกเปลี่ยนการทักทายกันอีกครั้ง จากนั้นลู่เซี่ยงซินพูดว่า “สหายนักพรต สรุปก็คือยิ่งเราอยู่ในม่านพลังมายานี้นานเท่าไร ร่างกายเราก็จะได้รับความเสียหายหนักขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราควรจะออกจากม่านพลังนี้โดยด่วน”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะหึ “เราพยายามจะออกอยู่ตลอดแต่แค่เรายังไม่สามารถหาทางออกได้เท่านั้น ในเมื่อสหายนักพรตพูดเช่นนี้ หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะเจอทางแก้ปัญหาแล้ว”


 


 


“นี่…” ลู่เซี่ยงซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


หวังเซี่ยงจื้อจึงพูดแทน “แม่นางเยี่ย ว่ากันตามตรง ม่านพลังนี้ซับซ้อนอย่างมาก เราเองก็คิดไม่ออกเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ควรจะอยู่เฉยๆ ไปตลอด หรือไม่ใช่”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเหลือบมองสีหน้าของโม่เทียนเกอแล้วจึงถามชายทั้งสอง “เช่นนั้นตามคำของสหายนักพรต เราควรจะทำอย่างไร”


 


 


พอได้ยินนักพรตฟางเจิ้งลดน้ำเสียงให้อ่อนลงเมื่อเขาพูด ลู่เซี่ยงซินจึงมีกำลังใจขึ้นมา “ตามการศึกษาด้านม่านพลังของเรา เป็นไปไม่ได้ที่ม่านพลังจะไร้ที่ติไปหมดไม่ว่ามันจะซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม ถึงแม้ว่าหุบเขานี้จะไม่กว้างใหญ่แต่มันก็ซับซ้อนมาก ตราบใดที่เรายังคงตามหาต่อไป เราจะต้องเจอกับอะไรสักอย่างได้แน่นอน”


 


 


“เจ้าพูดถูกแต่…” โม่เทียนเกอชำเลืองมองหญิงสองคนแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่ว “มีพวกเราหกคนอยู่ที่นี่ เราจะแยกกันออกตามหางั้นหรือ”


 


 


ชายแซ่ลู่และแซ่หวังสังเกตเห็นการบอกใบ้ที่นางสื่อจากสายตา พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นคนฉลาด เพราะฉะนั้นพวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายของนางได้อย่างไร ทั้งคู่ดูขัดแย้งขึ้นมาทันที “นี่…”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มเสแสร้ง “สหายนักพรต กินอย่างเดียวโดยไม่ทำงานไม่ได้หรอกนะ อ๋า!”


 


 


ลู่เซี่ยงซินไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่ในทางกลับกัน หวังเซี่ยงจื้อ… หลังจากเขาได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด ใบหน้าเขาก็แดงทันที สายตาที่โม่เทียนเกอชำเลืองมองผู้หญิงสองคนก่อนหน้านี้เป็นการถามผู้ฝึกตนชายสองคนว่าพวกเขาจะรับหน้าที่คอยดูแลผู้หญิงพวกนั้นหรือไม่ ทั้งลู่และหวังลังเลเพราะท้ายที่สุดแล้วการจีบก็คือการจีบ ชีวิตของพวกเขาเองยังคงสำคัญกว่า ตอนนี้คำพูดของโม่เทียนเกอตั้งใจจะเสียดสีพวกเขา พูดว่าพวกเขาต้องการเอาเปรียบคนอื่นแต่ไม่ต้องการรับผิดชอบใดๆ หวังเซี่ยงจื้อเป็นคนหน้าบาง พอเห็นว่าโม่เทียนเกอที่เป็นสาวสวยเช่นกันกลับพูดจาเยาะเย้ยพวกเขาซึ่งๆ หน้า เขาก็อดที่จะรู้สึกอับอายไม่ได้


 


 


ชั่วขณะหนึ่งที่สถานการณ์กลายเป็นกระอักกระอ่วน มีเพียงหญิงสองคนแซ่อวิ๋นและแซ่หลิ่วเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะพวกนางอยู่ค่อนข้างห่างจากพวกเขา


 


 


“แค่ก!” นักพรตฟางเจิ้งไอแล้วจึงพูดว่า “สหายนักพรต ตาแก่คนนี้จะขอพูดอย่างตรงไปตรงมา นับว่าเราสุภาพมากแล้วที่ไม่เอาชีวิตพวกนาง ตาแก่คนนี้ไม่อยากจะต้องแบกรับภาระแทนคนอื่น!”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว โลกของผู้ฝึกตนเดี่ยวนั้นโหดร้ายกว่าโลกที่ศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนใช้ชีวิตอยู่มากนัก โดยทั่วไปถ้าพวกเขาต้องการออกผจญภัยด้วยกัน คนที่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีพละกำลังมากพอจะไม่ถูกรับเข้ากลุ่ม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ทำให้เรื่องต่างๆ ยากลำบากสำหรับศิษย์ผู้หญิงจากสภาปี้เซวียนมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นก็ถือได้ว่าเขาแสดงความสุภาพต่อพวกนางมากพอแล้ว อย่างไรเสีย สถานการณ์นี้ก็แตกต่างจากการออกไปผจญภัยตามที่ตกลงกันไว้ ขณะนี้พวกเขาทั้งเก้าคนต้องมารวมกลุ่มกันเพราะความบังเอิญ


 


 


ในเมื่อนักพรตฟางเจิ้งพูดเช่นนี้ ชายแซ่ลู่และแซ่หวังจึงไม่มีอะไรพูดอีก หลังจากมองกันไปมา ลู่เซี่ยงซินแสดงจุดยืนของเขาทันที “ตกลง เราทั้งสี่คนจะออกค้นหาต่อ ส่วนสำหรับคนอื่น… เราไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก แต่ในเมื่อเรายืนอยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่แยกกันคนละอัน เราก็ควรจะคิดถึงการมีชีวิตรอดด้วย”


 


 


สิ่งที่เขาพูดได้รับความเห็นชอบจากอีกสามคน


 


 


คนทั้งสามยังคงระดมความคิดกันอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นลู่เซี่ยงซินจึงเดินเข้าไปคุยกับพวกผู้หญิงทั้งสองคน


 


 


โม่เทียนเกอไม่มีความสนใจในสิ่งที่พวกเขาคุยกัน นางเพียงเห็นจากไกลๆ ว่าพอได้ยินสิ่งที่ลู่เซี่ยงซินพูด อวิ๋นหันเยียนก้มหัวลงและเช็ดน้ำตา หลังจากใช้เวลาสั้นๆ ในการปลอบพวกผู้หญิง ลู่เซี่ยงซินก็กลับมาด้วยรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าเขา


 


 


โม่เทียนเกอขี้เกียจเกินกว่าจะกังวลกับเรื่องของคนอื่น โดยปกติแล้วนักพรตฟางเจิ้งก็ไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกหนุ่มสาวแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นทั้งสี่คนจึงไปตามทางด้วยความเงียบสงบ จากนาทีที่พวกเขาลงจากแท่นบูชา พวกเขาก็ออกตามหาต่อไปช้าๆ


 


 


พวกเขายังไม่ทันไปได้ไกลจากแท่นบูชาเมื่อหวังเซี่ยงจื้อร้องเรียกพวกเขาอย่างกะทันหัน


 


 


ถึงแม้ทั้งสี่คนจะเคลื่อนไปด้วยกันแต่พวกเขาก็แยกกันตามหา ขณะนั้นอีกสามคนเงยหน้าขึ้นและเพ่งมองไปที่เขา


 


 


หวังเซี่ยงจื้อส่งสัญญาณให้พวกเขา สีหน้าของเขาดูจริงจัง


 


 


ทั้งสามคนที่เหลือเหาะไปหาเขา


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอมาถึงตรงที่หวังเซี่ยงจื้อกำลังยืนอยู่ สีหน้าของนางก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที


 


 


นั่นคือเหยียนรั่วซู นางกำลังนอนแผ่อยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า ดูซีดเซียวสุดขีดและไม่หายใจ


 


 


โม่เทียนเกอหมอบลง นางพยายามจะสอดแทรกพลังงานทางจิตวิญญาณของนางเข้าไปในร่างกายของเหยียนรั่วซูแต่ก็ไม่เป็นผล นางจึงยืนขึ้นและส่ายหน้า “สายไปแล้ว”


 


 


ตั้งแต่พวกเขาติดอยู่ในม่านพลังมายา ก็ยังไม่ได้เผชิญกับอันตรายที่แท้จริงใดๆ แม้จะไม่สามารถออกไปได้ก็ตาม แต่บัดนี้เมื่อมีคนตายขึ้นมาจริงๆ สีหน้าทั้งสี่คนจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที


 


 


ม่านพลังนี้คือม่านพลังมายา แต่ก็เป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้ มันเป็นม่านพลังที่สามารถฆ่าคนได้


 


 


โม่เทียนเกอเป็นหญิงคนเดียวในทั้งสี่คน ดังนั้นหน้าที่ตรวจดูศพจึงตกอยู่ในมือนางไปโดยปริยาย


 


 


ไม่มีบาดแผลใดๆ อยู่บนร่างกายของเหยียนรั่วซู เสื้อผ้าของนางยังคงอยู่ดี ไม่มีร่องรอยของการขัดขืน ดูเหมือนกับว่าจู่ๆ นางก็ตายอยู่ตรงนั้น หลังจากตรวจสอบศพของนางอย่างรอบคอบ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าท่าทางของเหยียนรั่วซูค่อนข้างประหลาด แขนของนางยืดไปด้านข้างราวกับนางต้องการจะคว้าบางสิ่ง


 


 


“ท่านคิดว่าอย่างไร” หวังเซี่ยงจื้อถามอย่างร้อนรน


 


 


แทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอเคลื่อนพลังงานทางจิตวิญญาณของนางอีกครั้งและสอดแทรกมันเข้าไปยังส่วนบนสุดของหัวเหยียนรั่วซู


 


 


หลังจากคนเราตาย เส้นลมปราณจะเปลี่ยนกลายเป็นแข็งทื่อ ดังนั้นพลังงานทางจิตวิญญาณจึงไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ทว่าส่วนบนสุดของหัวคนที่จริงแล้วเป็นทางลัดเข้าสู่ตานเถียนของพวกเขาและพลังงานทางจิตวิญญาณก็ยังสามารถเข้าสู่ร่างกายจากจุดนั้นได้


 


 


หลายวินาทีต่อมา โม่เทียนเกอก็ชักฝ่ามือกลับและยืนขึ้นด้วยท่าทีผึ่งผาย


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยามมะเส็ง: 9:00-11:00 น. 

 

 


ตอนที่ 161-2 หนึ่งวัน สามปี

 

“สหายนักพรตเยี่ย เกิดอะไรขึ้นกันแน่” นักพรตฟางเจิ้งถามด้วยความกังวล


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจ “เลือดในร่างนางทั้งร่างเหือดแห้งไปจนหมด บางทีนางอาจจะหน้ามืดตามัวเพราะภาพลวงตาและไม่สามารถดึงตัวเองให้หลุดพ้นได้ในท้ายที่สุด” ท่าทางของเหยียนรั่วซูแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางต้องการจะคว้าบางสิ่งแต่ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหน้านางเลยในตอนนี้ ของสิ่งนั้นคงจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพลวงตาของนาง ดังนั้นเมื่อนางตายมันจึงหายไปด้วย


 


 


“…” อีกสามคนที่เหลือเงียบเสียงลงอีกครั้ง


 


 


ลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อต่างเหลือบมองกัน ทั้งคู่เห็นความตกใจในสายตาของอีกฝ่าย เมื่อพวกเขาพูดถึงเรื่องเลือดมีแนวโน้มว่าจะถูกดูดกลืนเหือดแห้งจนหมด พวกเขาแค่ต้องการทำให้สองคนนี้กลัว พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ เพราะฉะนั้นตอนนี้พวกเขาจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร


 


 


โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า “สหายนักพรต ดูเหมือนว่าเหยียนรั่วซูจะตายเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม เราไม่รู้สึกถึงอะไรเลย…”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งตกตะลึง เขาพูดว่า “สหายนักพรต เจ้ากำลังบอกว่าชีวิตของเราจะไม่ได้รับผลกระทบจากคนอื่นงั้นหรือ”


 


 


“ไม่ถูกซะทีเดียว” โม่เทียนเกอเอากระเป๋าเอกภพเปล่าออกมา ด้วยการโบกมือหนึ่งที นางเก็บศพเหยียนรั่วซูไว้ข้างใน “ท้ายที่สุดแล้วทั้งสามคนนั้นก็ยืนอยู่บนแท่นหินอันเดียวกัน บางทีแค่มีคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ก็อาจจะเพียงพอแล้ว”


 


 


ครั้นเห็นโม่เทียนเกอเก็บศพของเหยียนรั่วซูไป อีกสามคนที่เหลือก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกเขามีความคลั่งไคล้ประหลาดหรืออะไร แต่พวกเขาแค่ต้องการข้าวของที่เหยียนรั่วซูมีอยู่ในครอบครอง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าขัดโม่เทียนเกอในเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้เก็บกระเป๋าเอกภพของเหยียนรั่วซูไปโดยตรง นางแค่เก็บศพไว้เท่านั้น นางอาจจะมอบให้กับผู้ฝึกตนหญิงอีกสองคน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ


 


 


“แต่นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าถ้าเราหน้ามืดตามัวไปกับภาพลวงตา เราอาจจะสูญเสียเลือดของเราไปจนหมดและก็ตาย…”


 


 


อีกสามคนจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง


 


 


“เอาละ เราไม่ควรเสียเวลาของเราที่นี่ ออกตามหาต่อเถอะ”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้า “เรา… ควรจะระวังตัวให้มากขึ้น ตามหาเป็นคู่จะดีกว่า”


 


 


ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้กระจายกลุ่ม แต่พวกเขาก็แยกกันออกตามหา ครั้งนี้พวกเขาไม่กล้าจะเดินคนเดียวอีกแล้ว ด้วยอารมณ์ที่หดหู่ พวกเขาออกไปเป็นคู่และค้นหาตามทางอย่างช้าๆ


 


 


ไม่แน่ชัดว่าพวกเขาโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ แต่ทันทีหลังจากที่พวกเขาเริ่มค้นหาตรงสี่แยกของหุบเขา จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างดังทันที


 


 


ทั้งสี่คนต่างมองกัน หลังจากพวกเขายืนยันแล้วว่าไม่ได้เห็นภาพหลอน ในที่สุดพวกเขาจึงเหาะไปหาแหล่งต้นตอของเสียงร้องนั้น


 


 


พวกเขาไม่ได้เหาะไปไกลนักก่อนที่โม่เทียนเกอผู้มีสายตาแหลมคมจะเห็นเงาของซางหรูหว่านอยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า


 


 


นางรู้สึกดีใจแต่ความรู้สึกนั้นก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันที


 


 


นั่นคือซางหรูหว่านจริงแต่ไม่ไกลจากนางคือคนอีกคนหนึ่ง!


 


 


“อ้า!” หวังเซี่ยงจื้อร้องออกมาด้วยความแปลกใจแล้วจึงพูดอย่างประหลาดใจว่า “นั่น… นั่นมันสหายนักพรตเหยา แต่ทำไม… ทำไมเขาถึง…”


 


 


คิ้วโม่เทียนเกอขมวดมุ่น ดูจากเงานั้นคือเหยาจื่อซิวจริงๆ ทว่าเขามีอะไรบางอย่างแปลกๆ ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างไม่น่าเชื่อ! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!


 


 


โม่เทียนเกอไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อาจมีชะตาลิขิตบางอย่างอยู่ในม่านพลังมายานี้ออก อย่างไรก็ตาม ชะตาลิขิตพวกนั้นไม่น่าจะทำให้ผู้ฝึกตนกระโดดข้ามจากขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในชั่วพริบตาได้แน่! ตานเถียนและเส้นลมปราณของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นสามารถกักเก็บปริมาณพลังงานทางจิตวิญญาณได้จำกัด แต่พลังงานทางจิตวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นมากกว่าปริมาณนั้นถึงหนึ่งแสนเท่า ดังนั้นทั้งตานเถียนและเส้นลมปราณจึงต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ต่อให้มีพลังงานทางจิตวิญญาณมากพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนกระโดดจากขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้โดยทันที พวกเขาก็ยังต้องการเวลาหนึ่งถึงสามปีเพื่อหล่อหลอมร่างกายใหม่เสียก่อน!


 


 


หรือนั่นคือภาพลวงตา แต่ดูจากสีหน้าของซางหรูหว่าน ก็ไม่น่าเป็นไปได้…


 


 


อีกสามคนเต็มไปด้วยความลังเลว่าพวกเขาอยากจะมุ่งหน้าไปตรงนั้นหรือไม่ อย่างไรเสีย แรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็มีอยู่ พวกเขาไม่กล้าจะขัดแย้งกับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนั้น โม่เทียนเกอได้เหาะไปทางซางหรูหว่านเรียบร้อยแล้ว


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย!” นักพรตฟางเจิ้งตะโกนเรียกแต่เขาไม่สามารถหยุดนางได้ เขาจึงอยู่นิ่งๆ อย่างช่วยไม่ได้และยังคงลังเลอยู่ ทว่าเมื่อเขาหันกลับมาเพื่อมองอีกสองคนที่เหลือ ก็เห็นว่าทั้งลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อดูร้อนใจเหมือนกับพวกเขาอยากจะทำอะไรบางอย่าง


 


 


นักพรตฟางเจิ้งรู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดทันที “สหายนักพรต เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่ามีวิธีให้คนเรากระโดดข้ามจากขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้โดยตรง”


 


 


ลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อมองหน้ากันแล้วจึงเผยรอยยิ้มแบบขอไปที “เราจะเชื่อได้อย่างไร เราแค่… สงสัยเองหรอกน่า! ท่านไม่สงสัยหรือไรกัน”


 


 


“นี่…” มีความไม่มั่นใจในดวงตาของนักพรตฟางเจิ้ง เขาจะไม่สงสัยได้อย่างไร ในฐานะผู้ฝึกตนเดี่ยว เขาต้องใช้ความพยายามขนาดไหนแค่เพื่อให้ฝึกตนได้จนเข้าถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ตอนนี้ไม่มีเวลาเหลืออยู่ในอายุขัยของเขามากนัก ดังนั้นเขาจึงตามหาชะตาลิขิตอย่างร้อนรนเพื่อให้ได้ก้าวสู่ขั้นสุดท้ายและไปต่อยังดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่…


 


 


“จะดีที่สุดหากสหายนักพรตจะสงบสติอารมณ์ลงสักหน่อย! ข้าก็สงสัย แต่ในโลกนี้มันมีทางลัดเช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ เมื่อวานเราเกือบถูกหลอกโดยดอกบัวหิมะหยกขาวนั่น สหายนักพรตยังจำได้หรือไม่”


 


 


หลังจากเขาพูดเช่นนั้น คนทั้งสองดูประหลาดใจแต่พวกเขาก็สงบลง


 


 


นักพรตฟางเจิ้งพูดต่อ “เราน่าจะดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ไม่สายเกินไปที่เราจะหนีไปหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล”


 


 


ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอได้เหาะไปถึงข้างกายของซางหรูหว่านแล้ว นางเรียกอย่างแผ่วเบา “พี่ซางเป็นอะไรหรือไม่”


 


 


ซางหรูหว่านรู้สึกว้าวุ่นเสียจนนางไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาหานาง ตอนนี้เมื่อนางเห็นโม่เทียนเกอในที่สุด นางก็คว้ามือของโม่เทียนเกอทันที ดูเหมือนนางกำลังตื่นตระหนกอย่างรุนแรง “น้องเยี่ย ข้า…”


 


 


“พี่ใหญ่ ใจเย็นก่อน” พอเห็นว่าซางหรูหว่านไม่สามารถแม้แต่จะพูดได้ตามปกติ โม่เทียนเกอจึงปลอบนางให้สงบลงทันที “เจ้าควรบอกข้ามาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น นั่น… นั่นใช่สามีเจ้าหรือเปล่า”


 


 


ซางหรูหว่านพยักหน้าด้วยความสับสน หลังจากนางหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายนางก็สามารถพูดออกมาได้บางคำ “ใช่ นั่นคือพี่ซิว”


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า เราใช้เวลาทั้งวันออกตามหาเจ้าทั้งคู่เมื่อวานแต่ก็หาไม่พบ จู่ๆ สหายนักพรตเหยาก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างไร”


 


 


เมื่อซางหรูหว่านที่กำลังนั่งอยู่บนแท่นหินพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด นางก็ตกใจสุดขีด “น้องเยี่ย เรามาถึงที่นี่เมื่อไหร่”


 


 


รอยย่นเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่คิ้วของโม่เทียนเกอ “เมื่อวานนี้”


 


 


“เมื่อวานนี้…” ซางหรูหว่านพึมพำ ความสยองค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้านางช้าๆ “ไม่จริง พี่ซิวกับข้า… เราอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว!”


 


 


พอได้ยินคำพูดของนาง โม่เทียนเกอก็ตกใจมาก สามปี! พวกเขาทั้งหกคนแค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันหนึ่งคืน แล้วเหตุใดซางหรูหว่านถึงคิดว่ามันคือสามปีไปได้


 


 


“พี่ซาง ใจเย็นก่อน บอกข้ามาช้าๆ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าทั้งสอง”


 


 


เมื่อมีโม่เทียนเกอคอยปลอบนาง ในที่สุดซางหรูหว่านจึงสงบลงได้บ้างและเริ่มพูดช้าๆ “หลังจากแท่นแห่งธาตุทั้งห้าเริ่มทำงาน พี่ซิวกับข้าก็มาถึงที่นี่ เรารู้ว่าที่นี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณและเป็นบริเวณที่เหมาะมากสำหรับการฝึกตน นอกจากนั้นสถานที่นี้ยังสวยราวกับแดนสวรรค์และก็ไม่มีใครมารบกวนเราที่นี่ ถึงแม้ว่าเราจะออกไปไม่ได้ แต่สถานที่แห่งนี้ก็เทียบได้กับสวรรค์ ดังนั้นข้าเลยเสนอว่าเราน่าจะอาศัยอยู่ที่นี่…”


 


 


“ตอนแรกข้ารู้สึกมีความสุขมาก ไมมีใครมากวนใจเราที่นี่และเราก็ไม่จำเป็นต้องออกไปเร่ร่อนหรือซ่อนตัวจากคนอื่น… แต่พี่ซิวเขาอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ เขาบอกว่าการฝึกตนของเขามาถึงจุดตีบตัน ถึงแม้ว่าสถานที่นี้จะเต็มไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรการฝึกตนของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาบอกว่าเขาต้องการเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เขาอยากจะแข็งแกร่งขึ้น… เราทะเลาะกัน ด้วยความโกรธข้าก็เลยวิ่งหนีออกมา แต่ผลก็คือเมื่อข้ากลับมา ข้าก็เห็น…” ถึงตอนนั้นซางหรูหว่านคว้าแขนเสื้อโม่เทียนเกอ น้ำตาไหลหลั่งในที่สุด “น้องเยี่ย พี่ซิวต้องกำลังเจอกับการเบี่ยงเบนของพลังงานทางจิตวิญญาณแน่นอน! ผิด นี่มันผิดไปหมด… ดูเขาสิ…”


 


 


โม่เทียนเกอหันเหสายตาไปมองเหยาจื่อซิวที่อยู่ตรงจุดไม่ไกลจากพวกเขา เหยาจื่อซิวดูเหมือนจะฝึกวิชาลับบางอย่าง เขาลอยอยู่กลางอากาศ ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยวัตถุสีดำ เสียงเบาๆ ของพายุโหมได้ยินมาจากภายในสิ่งนั้น…


 


 


หนึ่งวัน สามปี โม่เทียนเกอพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น “วันนี้ชีวิตนิรันดร์” ในที่สุดนางก็เดาความหมายของสี่คำนี้ได้ ชีวิตนี้คือชั่วนิรันดร์และนิรันดรก็เป็นเพียงแค่หนึ่งวัน นี่เป็นแง่มุมที่น่ากลัวที่สุดของม่านพลังมายานี้!


 


 


ซางหรูหว่านมักจะวาดฝันถึงการมีชีวิตที่สงบสุข สถานที่นี้เป็นเหมือนดั่งสวรรค์ซึ่งไปกระตุ้นความคิดนั้นให้เกิดขึ้นในจิตใจของนางอีกครั้ง เพราะฉะนั้นในช่วงแรกพวกเขาจึงเผชิญกับภาพลวงตาของซางหรูหว่าน โลกที่มีเพียงแค่พวกเขาสองคนโดยไม่มีใครมารบกวน เพราะเหตุนั้นคนอื่นๆ จึงไม่สามารถหาพวกเขาพบ แต่ทว่า ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกว่าเวลาสามปีได้ผ่านไป แต่ก็ไม่ใช่ความจริง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการฝึกตนของเหยาจื่อซิวจึงไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย ซางหรูหว่านไม่กังวลกับเรื่องนี้แต่เหยาจื่อซิวรู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นมันจึงไปกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น


 


 


แต่เกิดอะไรขึ้นกับเหยาจื่อซิว โม่เทียนเกอไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ตัวนางเองก็ได้รับชะตาลิขิตที่ยิ่งใหญ่มา ไม่ว่าจะเป็นเทพบรรพบุรุษของนางหรือโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน อย่างไรก็ตาม นางไม่เชื่อว่าในโลกนี้ชะตาลิขิตจะยอมให้คนเราข้ามจากขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้แค่ในคืนเดียว!


 


 


“พี่ซาง” หลังจากผ่านไปนาน โม่เทียนเกอก็พูดขึ้นช้าๆ “ข้าคิดว่า… สามีของเจ้าไม่ได้กำลังประสบกับการเบี่ยงเบนของพลังงานทางจิตวิญญาณหรอก” ​​​​​​​

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม