เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 159-176

 ตอนที่ 159 แค่อยากจะถามให้แน่ใจ

 


 


 


 


คุณนายเฉียวเพิ่งจะเข้าใจคำถามของจิ้นหยวน สีหน้าเธอลำบากใจ ที่แท้สาเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธอนั่นเอง 


 


 


เธอได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นานสองนานแต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง จะให้เธอพูดได้อย่างไรว่าเมื่อกี้เธอเป็นคนวางแผนให้หญิงอื่นมายั่วลูกเขยตัวเอง ถ้าพูดออกไปมีหวังถูกลูกสาวถอนหงอกแน่ 


 


 


แต่ตอนนี้เธอจะอธิบายกับพวกเขาอย่างไรดีล่ะ? 


 


 


คุณนายเฉียวครุ่นคิดไปมาแต่ก็นึกไม่ออกเสียทีจนเฉียวซือมู่ชักจะทนไม่ไหว เธอรู้สึกว่าปัญหาต้องอยู่ที่โทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นแน่ เฉียวซือมู่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่ใต้หมอนแล้วยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาทันที 


 


 


คุณนายเฉียวไม่คิดว่าเฉียวซือมู่จะมือไวขนาดนี้ เธอได้แต่นั่งมองโทรศัพท์มือถือที่ตกไปอยู่ในมือลูกสาว เธอประหม่าจนได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้ลูกสาวตัวเอง “มู่มู่…” 


 


 


เฉียวซือมู่มองท่าทางมีพิรุธของคุณแม่แล้วมั่นใจทันที เธอเปิดโทรศัพท์มือถือแล้วค้นหาอย่างรวดเร็วจนเจอข้อความที่ถูกส่งให้จิ้นหยวน ในที่สุดเธอก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุเสียที น่าจะเป็นเพราะคุณแม่แอบอ้างเป็นตัวเธอแล้วแอบส่งข้อความให้จิ้นหยวน แต่ข้อความที่ถูกส่งไปให้เขามีความหมายไม่ชัดเจนจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด เธอรู้สึกทั้งแปลกใจทั้งอดขำไม่ได้ “คุณแม่คะ นี่มันโทรศัพท์มือถือของหนู คุณแม่จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้นะคะ อีกอย่าง คุณแม่รู้รหัสของหนูได้ยังไงกันคะ?” 


 


 


คุณนายเฉียวค้อนเฉียวซือมู่วงใหญ่ “แม่เลี้ยงลูกตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้ยังไม่รู้นิสัยของลูกอีกเหรอ? รหัสที่ลูกจะตั้งก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ลองครั้งสองครั้งก็รู้แล้ว” 


 


 


คนที่เข้าใจเธอที่สุดเป็นคุณแม่จริงๆ ด้วย เฉียวซือมู่ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ “ต่อให้คุณแม่รู้รหัสของหนู แต่คุณแม่ก็ไม่ควรทำอะไรตามใจชอบนะคะ อยู่ดีๆ ไปแกล้งจิ้นหยวนทำไมกันคะ?” 


 


 


คุณนายเฉียวได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้จิ้นหยวน เขาส่ายศีรษะเป็นการแสดงว่าไม่ถือสาเธอ ชั่ววินาทีที่เฉียวซือมู่ปรากฏกายต่อหน้าเขา เขาก็เดาออกทันทีว่าน่าจะเป็นฝีมือของคุณนายเฉียว และเขาเองก็พอจะเข้าใจจุดประสงค์ที่เธอทำแบบนั้น 


 


 


ในที่สุดคุณนายเฉียวก็ยอมเปิดปากจนได้ “ก็แม่อยากจะลองใจเขาว่าเขาให้ความสำคัญกับลูกหรือเปล่า ถ้าจนป่านนี้เขายังไม่โผล่มาแม่ก็จะให้ลูกเลิกกับเขา แฟนที่ไม่ให้ความสำคัญกับตัวเองจะเอาไว้ทำไม?” 


 


 


คุณนายเฉียวเอ่ยอย่างเอาแต่ใจและคิดว่าตัวเองเป็นแม่ยายของเขาจริงๆ เฉียวซือมู่นึกไม่ถึงเลยว่าคุณแม่จะเผยไต๋จนหมดเปลือกและบอกแผนการของตัวเองออกมาจนหมดแบบนี้ เธอรู้สึกลำบากใจมากจนไม่รู้จะสู้หน้าจิ้นหยวนอย่างไร 


 


 


แต่จิ้นหยวนกลับดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด กลับกัน เขาเดินเข้าไปจับมือเธอเอาไว้แล้วหันไปเอ่ยกับคุณนายเฉียวอย่างมั่นคง “คุณป้าวางใจเถอะครับ ผมจะไม่ทำให้คุณป้าผิดหวังเด็ดขาด ผมไม่มีวันทำให้มู่มู่ต้องเสียน้ำตาอย่างแน่นอน” 


 


 


เฉียวซือมู่ไม่นึกเลยว่าเขาจะเอ่ยคำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังให้คำสัตย์สาบานแบบนี้ เธอมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ จิ้นหยวนยิ้มบางๆ ให้เธอพลางจับมือเธอเอาไว้แน่น 


 


 


มือใหญ่อบอุ่นจับมือเล็กเย็นๆ ของเธอเอาไว้แน่น ความอบอุ่นนั้นราวส่งผ่านฝ่ามือเล็กๆ ของเธอจนไปถึงหัวใจของเธอจนเธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ 


 


 


คุณนายเฉียวมองดูสองหนุ่มสาวตรงหน้าแล้วรู้สึกตื้นตันใจจนพยักหน้าหงึกๆ “ดี จิ้นหยวนต้องจำคำพูดของตัวเองเอาไว้นะ ถ้าเธอรังแกมู่มู่ละก็ ป้าไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่” 


 


 


จิ้นหยวนผงกศีรษะรับอย่างหนักแน่น “คุณป้าวางใจเถอะครับว่าจะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด” 


 


 


“ดี แล้วป้าจะคอยดู” คุณนายเฉียวเชื่อคำพูดของเขาอย่างสนิทใจ นับจากนี้เขาคือคนในครอบครัวของเธอแล้ว  เธอเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วป้าเองก็จะไม่เกรงใจอีก อาหยวน หลายวันมานี้ป้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเธอไม่น้อย ได้รู้ว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา ความจริงป้าก็ไม่อยากจะรบกวนเธอหรอกนะ แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดูอีกทีป้าเองก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร เธอเองก็รู้เรื่องในครอบครัวป้าเป็นอย่างดีว่ามันน่าอับอายมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นป้าถึงกล้าขอให้เธอช่วย” 


 


 


“คุณป้ามีเรื่องอะไรจะให้ผมช่วยก็บอกมาเถอะครับ อะไรที่ผมพอจะช่วยได้ผมก็จะช่วยอย่างเต็มที่” จิ้นหยวนเอ่ยสีหน้าจริงจัง เขาไม่ได้ตกปากรับคำทันทีและไม่ได้ฉวยโอกาสโอ้อวดตัวเอง หากแต่ใช้วิธีพูดที่ซื่อตรงที่สุดแทน และนั่นทำให้คุณนายเฉียวรู้สึกมั่นใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น 


 


 


“ความจริงเรื่องที่ป้าจะขอให้ช่วยไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่อยากให้เธอช่วยหาคนคนหนึ่งให้หน่อย” คุณนายเฉียวเอ่ยพลางถอนหายใจ 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที “คุณแม่คะ!” 


 


 


คุณนายเฉียวยิ้มบางๆ ให้เธอ สีหน้าหมองเศร้า เธอเอ่ยกับจิ้นหยวนต่อ “เธอคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเราแล้ว และคงรู้ด้วยว่าที่เราสองคนแม่ลูกต้องตกระกำลำบากแบบนี้เป็นเพราะพ่อของมู่มู่ ความจริงนี่เป็นเรื่องน่าอายในครอบครัวที่ไม่ควรให้คนนอกรู้ แต่ในเมื่อเธอกับมู่มู่ตกลงปลงใจคบกันแล้ว ป้าจึงอยากขอร้องให้เธอช่วยตามหาพ่อของมู่มู่ให้หน่อย” 


 


 


เฉียวซือมู่ร้อนใจ เธอเข้าใจจุดประสงค์ของคุณแม่ทันทีที่เอ่ยประโยคแรกออกมา คุณแม่เข้าใจเธอที่สุด และลูกสาวอย่างเธอก็เข้าใจคุณแม่ของตัวเองมากที่สุดเช่นกัน 


 


 


“คุณแม่คะ คนอย่างคุณพ่อ คุณแม่ก็คิดเสียว่าคุณพ่อตายจากเราไปแล้วเถอะค่ะ ทำไมจะต้องตามหาตัวคุณพ่อกลับมาด้วยคะ? คุณแม่ทำแบบนี้ก็เท่ากับ…” 


 


 


“มู่มู่!” คุณนายเฉียวเอ่ยขัดเสียงเข้ม “คำพูดพวกนี้แม่พูดได้ คนอื่นก็พูดได้ แต่ลูกคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้ ลูกลืมแล้วเหรอว่าเมื่อก่อนพ่อรักลูกมากขนาดไหน? ตอนเด็กๆ ลูกร้องแต่จะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก พ่อก็ยิ้มหน้าบานให้ลูกขี่คอแล้วพาลูกออกไปเที่ยวเล่นทุกครั้ง ตอนนั้นพ่อยอมหาทุกอย่างมาให้ลูก คงเหลือแต่เก็บดาวและเดือนลงมาให้ไม่ได้เท่านั้น ลูกลืมไปแล้วเหรอ?” 


 


 


เฉียวซือมู่งึมงำ “แต่ว่า…” 


 


 


คุณนายเฉียวถอนหายใจหนักๆ “เมื่อก่อนพ่อของลูกเป็นคนดีมาก ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะกลายเป็นแบบนี้ แต่แม่ก็ไม่ยอมตัดใจหรอกนะ แม่อยากให้เขามายืนอยู่ตรงหน้าแล้วตอบคำถามว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ต่อให้เป็นคำโกหกก็ยังดี อย่างน้อยก็ไม่ใช่หายตัวไปทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แม่อยากจะถามพ่อว่าเป็นเพราะแม่ไม่ดีพอเหรอพ่อถึงได้ทิ้งพวกเราไปแบบนี้…” 


 


 


ใบหน้าที่มักมีแต่รอยยิ้มของคุณนายเฉียวกลายเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้ายามเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย เฉียวซือมู่เห็นสภาพของคุณแม่แล้วรู้สึกเจ็บปวดใจมาก เธอจับมือคุณแม่เอาไว้แน่นพลางร้องเรียก “คุณแม่…” ออกมาแล้วร้องไห้โฮออกมา 


 


 


สองแม่ลูกร้องไห้โฮกอดกันกลม ในที่สุดความเจ็บปวดทรมานของเฉียวซือมู่ที่สั่งสมมานานก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด ความรู้สึกที่คุณนายเฉียวพยายามเก็บกดเอาไว้หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ถูกระบายออกมาจนหมดเช่นเดียวกัน 


 


 


จิ้นหยวนเห็นทั้งสองร้องไห้กันใหญ่ก็ได้แต่ถูจมูกตัวเองเพราะทำตัวไม่ถูก เขาอยากจะปลอบแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเธอ อีกฝ่ายยังเป็นว่าที่พ่อตาเสียด้วย ต่อให้พูดอะไรออกไปก็คงไม่เหมาะสมทั้งนั้น สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไปยืนรออยู่ตรงหน้าประตูห้องเพื่อให้พวกเธอมีพื้นที่ส่วนตัว 


 


 


เขารออยู่นานเป็นชั่วโมง รอจนคุยโทรศัพท์จบไปสามสาย รอจนหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คออกมาสะสางงานจนหมดไปตั้งเยอะกว่าจะเห็นเฉียวซือมู่เดินออกมาจากห้องคนไข้แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา 


 


 


เธอยิ้มเม้มริมฝีปากอย่างลำบากใจพลางยื่นมือออกไปให้เขา “พวกเราไม่เป็นไรแล้ว กลับบ้านกันเถอะค่ะ” 


 


 


เขาลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องบอกลาคุณป้าก่อนเหรอ?” 


 


 


เธอส่ายศีรษะน้อยๆ “วันนี้คุณแม่ผ่านเรื่องต่างๆ มาเยอะมากจนเหนื่อยแล้ว ท่านเพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้นี้เอง ฉันกำชับให้นางพยาบาลดูแลท่านให้ดีแล้ว เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ” 


 


 


“โอค กลับบ้านกัน” เขายื่นมือใหญ่ออกไปจับมือเล็กของเธอเอาไว้แน่น สองหนุ่มสาวมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กัน ความรักมากมายลอยวนอยู่รอบตัวทั้งสองคน 


ตอนที่ 160 งานเลี้ยงประจำปี 


 


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาความรักของทั้งสองก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ 


จิ้นหยวนแก้นิสัยเอาแต่ใจของตัวเอง หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาเก็บซ่อนนิสัยไม่ดีของตัวเองเอาไว้จนลึก ส่วนเฉียวซือมู่เองก็พยายามปรับตัวให้โอนอ่อนตามจิ้นหยวน ทั้งสองต่างยอมถอยกันคนละก้าวจนทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีวันดีคืนและอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ปรองดอง 


แน่นอนว่าทั้งสองไม่เพียงปรองดองกันเฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น แต่ยามค่ำคืนก็เช่นเดียวกัน เฉียวซือมู่พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอมีความสุขมาก เวลากลางวันเธอดื่มด่ำกับความรักความเอาใจอย่างเต็มที่ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งเสื้อผ้าซีซั่นล่าสุดจากปารีส ทั้งเครื่องประดับเพชรนิลจินดาจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ขอแค่เธออยากได้ วันรุ่งขึ้นก็มีคนส่งของพวกนั้นมาให้เธอเลือกตามใจชอบถึงที่ราวกับสิ่งของราคาแพงพวกนั้นเป็นของฟรีก็ไม่ปาน 


การใช้ชีวิตในบรรยากาศแบบนี้ทำให้เธอเกือบจะหลงทางเสียแล้ว เกิดเป็นหญิงทั้งทีเธอมีทุกอย่างพร้อมพรักตามที่ใจต้องการ เธอได้สิ่งของเหล่านี้มาโดยไม่ต้องเปลืองแรงอะไรเลย ชีวิตแบบนี้เหมือนเธอกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์ใช่ไหม? 


เปล่าเลย 


ยามค่ำคืนคือช่วงเวลาแห่งความทรมานและความสุขของเธอ การที่ตัวเองได้ทำอะไรๆ กับชายคนรักเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก แต่ว่า ทุกอย่างก็ควรมีขอบเขตของมันไม่ใช่เหรอ 


ต่อให้เป็นอาหารชั้นเลิศแสนโอชะเพียงใดก็ตาม การกินแค่วันละมื้อหรือหลายวันกินทียังพอทำเนา แต่ให้กินทุกวัน กินทุกมื้อ ต่อให้เป็นใครก็คงทนไม่ไหวเหมือนกัน 


แต่ดูเหมือนจิ้นหยวนจะไม่เป็นอะไรเลย เขายังคงทรมานเธอทุกค่ำคืนจนดึกดื่นค่อนคืน จากนั้นยังมีกำลังเหลือเฟือและสามารถลุกไปทำงานได้ตามปกติ เฉียวซือมู่ที่ต้องนอนหมดแรงอยู่บนเตียงไม่มีแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นไม่อาจเข้าใจเขาได้เลย 


นี่อาจเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวในตำนานใช่ไหม? 


ไม่ว่าเธอจะคิดอย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่นชีวิตแบบนี้แหละคือชีวิตที่มีความสุขสมบูรณ์ เธอเองก็รู้สึกเช่นนั้น เว้นแต่เพียงชีวิตยามราตรีเท่านั้น นอกนั้นถือว่าอะไรๆ ก็ดีไปหมด 


มีเพียงสองเรื่องเท่านั้นที่สามารถทำให้จิ้นหยวนไม่พอใจได้ เรื่องแรกคือเรื่องที่ฉีหย่วนเหิงพยายามมาเกาะแกะเฉียวซือมู่อยู่บ่อยๆ ตอนแรกจิ้นหยวนยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่สุดท้ายเขาก็เห็นเข้าจนได้ จิ้นหยวนไม่ได้ระเบิดอารมณ์อย่างที่คิด หากแต่กลับเข้าบริษัทไปอย่างเงียบๆ เพื่อคิดหาวิธีเล่นงานตระกูลฉีให้เร็วขึ้น แต่ใช่ว่าเขาสามารถเล่นงานฉีหย่วนเหิงได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ เขาสามารถรับมือกับการโจมตีของจิ้นหยวนทุกรูปแบบจนทำให้จิ้นหยวนกลัดกลุ้มใจมาก พอกลับถึงบ้านก็คิดหาสารพัดวิธีที่จะบล็อกคอมพิวเตอร์ของเธอ 


แต่สุดท้ายก็ถูกเฉียวซือมู่จับได้อยู่ดี เพราะอยู่ดีๆ เธอก็ติดต่อออฟฟิศไม่ได้เสียเฉยๆ ตอนนี้     จิ้นหยวนยังไม่อนุญาตให้เธอไปทำงานด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องพักรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน กระนั้นเขายังใจดียอมให้เธอติดต่อสะสางงานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอคิดเล่นๆ ว่าตัวเองไม่ได้ไปทำงานตั้งนาน ห้องทำงานของเธอคงมีแต่ใยแมงมุมเต็มไปหมดแล้ว 


แม้กระทั่งวันที่เฝิงเจ๋อออกจากงานเธอก็ไม่มีโอกาสไปบอกลาเขาเพราะจิ้นหยวนไม่อนุญาต เหตุผลง่ายมาก เพราะตอนนี้เขายังไม่เจอตัวจ้านซีเยวี่ย ไม่รู้ว่าเธอแอบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดตรงไหน ถ้าเกิดเธอออกไปข้างนอกแล้วถูกจ้านซีเยวี่ยจับตัวไปจะทำอย่างไร? 


เหตุผลของเขาทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของเขาอีก ดังนั้นเธอจึงได้แต่มองดูเฝิงเจ๋อจากไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย เธอได้แต่คอยติดตามข่าวคราวของเขาผ่านสังคมออนไลน์เท่านั้น 


การจากไปของเฝิงเจ๋อทำให้หรงเซียวเศร้าไปพักใหญ่ เธอใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าอาการจะดีขึ้นซึ่งต้องยกความดีความชอบให้เมิ่งเสียวเสวี่ย 


วันเวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ให้ตายจิ้นหยวนก็ไม่ยอมอนุญาตให้เธอไปทำงานเสียที เขาสั่งให้เธออยู่แต่ในบ้าน ถ้าเธอจะออกไปข้างนอกก็ต้องมีคนตามไปด้วย หรือไม่ก็ต้องรอให้เขาเลิกงานแล้วพาเธอไปเอง 


ต่อให้เขาระมัดระวังมากแค่ไหนก็ตามก็ต้องมีช่องโหว่บ้างแหละ 


บ่ายวันหนึ่ง เธอเพิ่งเปิดคอมพิวเตอร์แล้วพบว่าในกล่องอีเมลมีบัตรเชิญอีการ์ดที่ลงนามซินเฟิงส่งถึงเธอ เธอแปลกใจเล็กน้อย พอเปิดออกถึงรู้ว่าอีกสามวันข้างหน้าจะมีการจัดงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทซึ่งเป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่ง วันนั้นพนักงานทุกคนจะต้องเข้าร่วมงานนี้ ไม่เว้นแม้แต่เธอ 


เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนออฟฟิศจะมีกฎระเบียบข้อนี้อยู่ แต่วันนี้เธอยุ่งมากจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท 


แล้วเธอจะไปร่วมงานดีไหมนะ? 


เธอกัดริมฝีปากตัวเองอย่างลังเล จะบอกว่าเธอไม่หวั่นไหวเลยก็คงเป็นเรื่องโกหก ใครก็ตามที่ถูกปกป้องดูแลอย่างเข้มงวดเป็นเวลานานๆ ก็คงคิดต่อต้านเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับคนบ้างานที่ชอบทำงานอย่างเธอ 


แต่เธอรู้ดีว่าจิ้นหยวนไม่มีทางอนุญาตแน่นอน เพราะงานเลี้ยงประจำปีเป็นงานเลี้ยงค็อกเทลที่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยสูง 


บางทีจ้านซีเยวี่ยอาจจะหนีไปตั้งนานแล้วก็ได้ไม่ใช่เหรอ? 


ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แล้วที่เธอต้องคอยระวังตัวอยู่ตั้งนานสองนานก็เสียแรงเปล่านะสิ! 


ตอนที่ 161  โปรยเสน่ห์สุดฤทธิ์ 


 


 


 


 


 


ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ เธอเม้มริมฝีปากอย่างตัดสินใจ เธอจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงประจำปีให้ได้ มิเช่นนั้นหมกอยู่แต่ในบ้านแบบนี้ตัวเธอต้องขึ้นสนิมเป็นแน่  


 


 


แต่เธอจะพูดโน้มน้าวเขาอย่างไรดีล่ะ? 


 


 


เธอชักลังเลเสียแล้ว นี่มันปัญหาใหญ่เลยเชียวนะ เธอคงจะแอบหนีออกไปไม่ได้แน่ๆ จากพฤติกรรมของจิ้นหยวนที่ให้ความสำคัญกับเธอมากขนาดนี้ เธอคิดว่าตัวเองต้องถูกจับได้ก่อนหนีออกนอกบริเวณคฤหาสน์เป็นแน่ 


 


 


ถ้าเช่นนั้น คงเหลือวิธีสุดท้ายแล้วล่ะ 


 


 


จิ้นหยวนที่เพิ่งกลับถึงบ้านก้าวเท้าเข้าบ้านปุ๊บก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดไปจากปกติ สาวใช้แต่ละคนต่างพากันอมยิ้ม ส่วนใบหน้าของพ่อบ้านเฉินที่มักยิ้มตามหน้าที่นั้น บัดนี้รอยยิ้มของเขากลับสดใสกว่าปกติ และหญิงสาวที่ควรยืนอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้กลับหายจ้อย 


 


 


เธอคงกำลังนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงแน่ๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นข้าง เตรียมจะกลับขึ้นห้องเพื่อเซอร์ไพรส์เธอ เขารีบเดินเข้าไปในห้องอย่างอารมณ์ดี แต่ไม่คิดเลยว่าในห้องกลับว่างเปล่าไร้เงาของเธอ 


 


 


แปลกจริง หรือว่าเธอออกไปข้างนอกอีกแล้ว? 


 


 


เขาหน้าเปลี่ยนสีแล้วไปถามหากับพ่อบ้านเฉิน ปรากฏว่าพ่อบ้านเฉินกลับตอบเขานิ่งๆ ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มมีเลศนัย “คุณเฉียวไม่ได้ออกไปข้างนอกครับ” 


 


 


จิ้นหยวนค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างแล้วเอ่ยถาม “แล้วเธออยู่ไหน?” 


 


 


พ่อบ้านเฉินตอบจริงจัง “เธอเข้าครัวตั้งแต่บ่ายแล้วครับ บอกว่าจะทำอาหารเย็นให้คุณทาน และไม่ยอมให้ใครเข้าไปช่วยเธอด้วย” 


 


 


นี่เธอจะเซอร์ไพรส์เขาอย่างนั้นเหรอ? วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหรือเปล่า?” 


 


 


เขาครุ่นคิดอยู่นานสองนานแต่ก็นึกไม่ออกเสียที ทันใดนั้น กลิ่นอาหารหอมหวนลอยมาเตะจมูกเขา นี่มัน… 


 


 


แววตาของเขาเป็นประกาย เขารีบพุ่งเข้าไปในห้องครัวแต่กลับถูกเฉียวซือมู่ไล่ออกมาเสียอย่างนั้น 


 


 


แต่จิ้นหยวนยังคงยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องครัวและคอยเฝ้ามองเธอทำอาหาร 


 


 


ยังดีที่ผ่านเวลาไปเพียงไม่นานอาหารแสนโอชะก็ถูกจัดวางเต็มโต๊ะ ทั้งหมดนี้เป็นอาหารแสนอร่อยที่เฉียวซือมู่ใช้เวลาเตรียมตลอดทั้งบ่าย 


 


 


แต่สิ่งที่จิ้นหยวนไม่รู้คือทั้งหมดทั้งมวลที่เฉียวซือมู่ทำให้เขานั้นเป็นแผนการของเธอทั้งหมด เธอสวมชุดเซ็กซี่เย้ายวนร่วมรับประทานอาหารมื้อพิเศษแสนโรแมนติกกับเขา และเธอยังโปรยเสน่ห์ให้เขาสุดฤทธิ์อยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดก็เพื่อทำให้เขาลุ่มหลงจนยอมรับปากคำขอของเธออย่างว่าง่าย แต่เธอคงประเมินความสามารถในการยั่วยวนของตัวเองต่ำเกินไป เพราะเขาไม่เห็นอาหารเลิศรสอยู่ในสายตาเลย หรือจะพูดให้ตรงกว่านี้ก็คือ เขาเห็นเธอเป็นอาหารแสนโอชะและกินเธอแทนอาหารบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ถึงเพิ่งได้สติกลับมา 


 


 


เธอถอนหายใจเฮือก แผนการของเธอคงเป็นหมันเสียแล้ว แผนการเธอได้ผล แต่คงได้ผลมากเกินไปหน่อย ตอนนี้ความเร่าร้อนผ่านพ้นไปแล้ว แล้วทีนี้เธอจะพูดกับเขาอย่างไรดีล่ะ? 


 


 


จิ้นหยวนไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเธอ เขาคิดว่าร่างกายเธอคงไม่สบายจึงช่วยนวดหลังให้เธอด้วยความรู้สึกผิด “ไม่สบายมากเลยเหรอ? ให้หมอมาดูอาการหน่อยไหม?” 


 


 


เธอรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่เอา นี่คุณเห็นว่าฉันยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ?” 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มร้าย ใบหน้าของเขาหล่อมากจนเธอใจสั่น “ทำไมต้องขายหน้าด้วย? พวกเขาจะได้รู้ไงว่าเรารักกันมาก ไม่ดีเหรอ?” 


 


 


“ฉันไม่ได้หน้าด้านเหมือนคุณนะ” เฉียวซือมู่มองเขาตาเขียวปั๊ด แต่น่าเสียดายที่เขากอดเธอเอาไว้แน่นจนทำให้พลังทำลายล้างในสายตาเธอไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ 


 


 


จิ้นหยวนถือเสียว่าเธอกำลังแง่งอน เขาอุ้มเธอไปนั่งลงบนโซฟาหนังแท้อย่างไม่คิดถือสาเธอแล้วเอ่ย “มือยังใช้งานได้อยู่หรือเปล่า? ให้ผมป้อนไหม?” 


 


 


“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?” เฉียวซือมู่ตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์ แม้เธอจะรู้สึกปวดเมื่อยแต่เธอยังพอมีแรงกินข้าวเองได้ ไม่อย่างนั้นคงน่าขายหน้ามาก 


 


 


จิ้นหยวนได้แต่มองเธอจับตะเกียบขึ้นมาแล้วค่อยๆ คีบอาหารใส่ปากด้วยความผิดหวัง เขาอยากจะลองป้อนอาหารให้เธอเหลือเกินว่าจะรู้สึกอย่างไร แต่เขากลับต้องผิดหวังอย่างแรง 


 


 


ทั้งสองรับประทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อย จิ้นหยวนเลิกคิ้วมองเธอ “เดี๋ยวเราออกไปเดินเล่นกันดีไหม?” 


 


 


“ไม่เอา ฉันไม่ไป” เธอส่ายหัวปฏิเสธเป็นพัลวัน ตอนนี้เธอปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้วยังจะให้เธอออกไปเดินเล่นอีกอย่างนั้นหรือ? นี่มันฆ่ากันชัดๆ 


 


 


จิ้นหยวนกลับดึงเธอให้ลุกขึ้นจากโซฟาอย่าง “ไม่เห็นใจและไม่ปรานี” แล้วเอ่ย “ร่างกายคุณแย่มาก ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปจะทำยังไง? ไม่ได้ คุณต้องออกกำลังกายแล้ว” 


 


 


“อะไรกัน ทั้งๆ ที่เป็นเพราะคุณ…” เธอไม่มีหน้าเอ่ยต่อ ได้แต่จ้องเขาตาเขม็ง 


 


 


จิ้นหยวนฟังแล้วเลิกคิ้ว “ผมทำไม? พูดต่อสิ” 


 


 


“เชอะ ฉันไม่พูดหรอก” เธอเบือนหน้าหนีด้วยความโมโห


ตอนที่ 162 คำสัญญา

 


 


 


 


เธอไม่ได้โง่เสียหน่อย ขืนพูดออกไปเขาคงภูมิใจและได้ใจไปอีกนาน เธอไม่มีทางทำอย่างนั้นเด็ดขาด 


 


 


จิ้นหยวนเห็นสีหน้าเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เธอแล้วเอ่ยเบาๆ ข้างหูเธอ “แบบนี้ยิ่งต้องออกกำลังกาย ไม่แน่นะ มันอาจช่วยให้เราได้ลองท่าใหม่ๆ อีกหลายท่าเลยก็ได้” 


 


 


คนคนนี้ยิ่งพูดยิ่งน่าเกลียด ใบหน้าเธอแดงซ่านแต่เขากลับทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น ราวกับว่าคำพูดน่าอายพวกนั้นไม่ได้ออกมาจากปากเขา เขาดึงมือเธอเอาไว้ “คืนนี้อากาศดี เราไปเดินเล่นแถวๆ นี้กันเถอะ” 


 


 


“อากาศดีเหรอ?” เธอได้ยินแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วแทบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นี่เรียกว่าอากาศดีอย่างนั้นเหรอ? ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงจันทร์ มีเพียงดวงดาวกะพริบแสงอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิดเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น เห็นแล้วก็รู้สึกน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก ในความคิดเธอสภาพอากาศแบบนี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าอากาศดีเลยสักนิด บางทีเขาอาจจะคิดว่าขอแค่ฝนไม่ตกก็ถือว่าอากาศดีทั้งนั้นกระมัง 


 


 


เธอได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างจำยอมเพราะเขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นก็ยอมทำตามใจเขาดีกว่า เธอจึงยื่นมือให้เขาจับเอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องให้ฉันขี่หลังลงไปข้างล่างนะ” 


 


 


เธอแค่อยากจะหาเรื่องเล่นแง่ให้เขาลำบากเล็กๆ น้อยๆ และเธอเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าถ้าเกิดเขาปฏิเสธแล้วเธอจะรับมืออย่างไรต่อ แต่ไม่นึกเลยว่าจิ้นหยวนกลับตกปากรับคำทันที “ได้ ผมยอมให้คุณขี่หลัง” 


 


 


เธอตกใจไม่น้อย พอเรียกสติกลับมาได้ก็รีบส่ายศีรษะปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่… ไม่ต้อง ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ” 


 


 


แต่จิ้นหยวนที่กำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษไม่สนคำปฏิเสธของเธอ เขาอุ้มเธอขึ้นไปยืนบนโซฟา จากนั้นหมุนตัวหันหลังให้เธอแล้วย่อตัวลง “มาสิ ขึ้นมาเร็ว” 


 


 


เธอมองแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างลังเล “คุณพูดจริงเหรอคะ? ฉันจะขึ้นไปจริงๆ แล้วนะ” 


 


 


เขาหันหน้ากลับไปมองเธออย่างอดรนทนไม่ไหว “อย่ามัวแต่โอ้เอ้ ขึ้นมาเร็ว” 


 


 


ก็ได้ คุณพูดเองนะ เธอกัดริมฝีปากล่างอย่างตัดสินใจแล้วโถมกายลงบนหลังของเขา จากนั้นสองมือจับบ่าแข็งแรงของเขาเอาไว้แน่น “พร้อมแล้ว” 


 


 


สองแขนของจิ้นหยวนรองสะโพกของเธอเอาไว้ราวชั่งน้ำหนัก “ตัวเบาจัง” 


 


 


เฉียวซือมู่จ้องหลังของเขาตาเขม็ง ทำไมเธอรู้สึกว่าคำพูดของเขาฟังดูเหมือนกำลังไม่ชอบใจที่เธอตัวเบา? ตอนนี้ยังมีคนไม่ชอบที่แฟนสาวของตัวเองหุ่นดีด้วยเหรอ? รูปร่างอย่างเธอเรียกว่าหุ่นดีตามมาตรฐาน มีสาวๆ อีกตั้งเท่าไหร่ที่อิจฉาหุ่นอย่างเธอ 


 


 


จิ้นหยวนไม่ได้มีความหมายเป็นอื่น เขาคิดแค่ว่าตัวเบาเกินไปเท่ากับร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าเทียบกับความสูงของเธอแล้วเธอควรจะหนักกว่านี้อีกสักห้ากิโลกรัมถึงจะกำลังดี 


 


 


เห็นได้ชัดเจนว่าความคิดระหว่างหญิงและชายนั้นแตกต่างกันมากเพียงใด 


 


 


ดูเหมือนจะโรแมนติก แต่ความจริงจิ้นหยวนแค่แบกเธอเดินรอบสวนดอกไม้เล็กๆ แค่รอบเดียวก็ปล่อยเธอลงแล้ว เขาให้เหตุผลว่าไหนๆ จะออกกำลังกายแล้วก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง จะพึ่งเขาไม่ได้ 


 


 


ระหว่างทางที่จิ้นหยวนแบกเธอลงไปชั้นล่าง สายตาอิจฉาของสาวใช้ทำให้เธอต้องอับอายไม่น้อย เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เล่นแบบนี้ดูเหมือนจะมากเกินไปหน่อย เพราะฉะนั้น ตอนที่เขาบอกให้เธอลงจากหลังเธอถึงได้รีบร้อนลงจากหลังของเขาทันที 


 


 


แต่ชั่วขณะที่เท้าของเธอแตะพื้น ทันใดนั้นส่วนลึกในร่างกายเธอก็เจ็บตุบๆ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้มลงบนตัวจิ้นหยวน 


 


 


เขาชักหัวคิ้วชนกันแน่นพลางรับตัวเธอเอาไว้ “เจ็บมากเลยเหรอ เดี๋ยวผมไปตามหมอให้นะ” เอ่ยจบพลางวางตัวเธอลงเพื่อจะไปตามหมอแต่กลับถูกเฉียวซือมู่กอดเขาเอาไว้แน่น “ไม่นะ ฉันแค่รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” พูดเป็นเล่น เธอจะยอมให้เขาไปตามหมอมาดูอาการตรงนั้นของเธอได้อย่างไร? เธอยอมทนเจ็บแต่ไม่ยอมทนสู้สายตาหมอเด็ดขาด 


 


 


จิ้นหยวนอยากจะไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่อยู่ในบ้านแต่กลับถูกเธอกอดเอาไว้แน่นจนขยับตัวไม่ได้ เขาจึงได้แต่มองเธอด้วยความจำยอม “คุณแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรแล้ว” 


 


 


เฉียวซือมู่รีบพยักหน้าหงึกๆ “จริงค่ะ ฉันสาบานว่าฉันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ” เมื่อกี้เธอแค่รู้สึกเจ็บตุบๆ แค่แป๊บเดียว และตอนนี้เธอไม่เป็นไรแล้ว 


 


 


จิ้นหยวนมองเธออยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าเธอไม่เป็นะอะไรแล้วจึงค่อยวางใจ แต่ตอนนี้เขาหมดอารมณ์เดินเล่นแล้ว เขาพาเธอเดินรอบสวนดอกไม้แค่สองรอบเท่านั้น จากนั้นอุ้มเธอกลับขึ้นห้อง 


 


 


เธอเอ่ยถามเขาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองต้องทนเห็นสายตาอิจฉาของพวกสาวใช้อีกรอบ “ทำไมต้องอุ้มฉันด้วย? ฉันเดินเองได้ คุณไม่ต้องอุ้มฉันหรอกค่ะ” เธอไม่ใช่เด็กทารกเสียหน่อย ปล่อยให้เขาอุ้มไปอุ้มมาแบบนี้ใช่เรื่องที่ไหนกัน 


 


 


จิ้นหยวนตอบจริงจัง “ร่างกายคุณไม่แข็งแรง ผมดูแลเอาใจใส่คุณขนาดนี้คุณยังไม่ซาบซึ้งอีกเหรอ?” 


 


 


“ไม่” เฉียวซือมู่เบิกตาโต “คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ ได้ยินไหม” เธอเอ่ยพลางดิ้นรนพลาง แต่กลับถูกจิ้นหยวนที่ไม่มีความอดทนใช้มือตีก้นเธอเข้าให้ “เด็กดื้อ เลิกงอแงได้แล้ว” 


 


 


นี่… นี่เขากล้าตีก้นฉันเหรอ? ความจริงนี้ทำให้เธอตะลึงนิ่งอึ้ง เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก นี่เธอยังจะมีหน้าอยู่ต่อไปได้อย่างไร? อายุปูนนี้แล้วยังถูกเขาอุ้มขึ้นอุ้มลง แล้วยังถูกเขาตีก้นเหมือนเด็กๆ อีก! ที่สำคัญ เขาตีเสียงดังขนาดนั้น พวกพ่อบ้านเฉินกับสาวใช้ต้องได้ยินแน่ๆ โอ้ พระเจ้า! เธออยากจะแทรกแผ่นดินหนีอายเดี๋ยวนี้เลย 


 


 


จิ้นหยวนอุ้มเธอไปวางลงบนเตียงถึงสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเธอ เขาใช้มือตบหน้าเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติแต่เธอกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ จนทำให้เขาเริ่มเป็นกังวล เขาหมุนตัวจะไปตามหมอแต่ถูกเฉียวซือมู่ที่เพิ่งได้สติกอดเขาเอาไว้แน่น “ไม่เอานะ ฉันไม่เป็นไร อย่าตามหมอนะ” 


 


 


“นี่คุณเป็นอะไรไป?” จิ้นหยวนเอ่ยถาม 


 


 


“ฉัน… ก็ใครใช้ให้คุณตีก้นฉันกันเล่า ตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยมีใครตีก้นฉันมาก่อนเลยนะ แม้แต่คุณแม่ก็ไม่เคย แต่คุณกลับ…” เธอทำหน้าน่าสงสารจนจิ้นหยวนหลุดหัวเราะออกมา “ที่แท้แม่ยายเป็นคนอ่อนโยนเหรอเนี่ย” 


 


 


“ไม่ใช่สักหน่อย เมื่อก่อนคุณแม่ดีกับฉันมาก…” พูดไปพูดมาก็โยงไปถึงเรื่องคนในครอบครัวเสียอย่างนั้น เธอเล่าเรื่องสนุกสมัยเด็กๆ ไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ตัวว่าจิ้นหยวนขึ้นมานอนลงบนเตียงกับเธอแล้ว เธอรู้สึกตัวอีกครั้งยามเมื่อจิ้นหยวนสวมกอดเธอเอาไว้ 


 


 


ได้เวลาเข้านอนแล้วเหรอ? เธอคิดๆ แล้วเอ่ยถามออกไป “คุณแม่ของคุณรักคุณมากใช่ไหมคะ? ฉันดูออกว่าท่านเป็นคนที่สง่างามมาก ท่านคงได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี” 


 


 


จิ้นหยวนพยักหน้ายอมรับ ความคิดที่อยากจะใช้เวลาอย่างอ่อนโยนกับเธอมลายหายไปพลัน แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ร่างกายของเธอคงทนรับแรงกระทบกระเทือนอีกครั้งไม่ไหวเป็นแน่ 


 


 


ทั้งสองนอนกอดกันและกันอยู่บนเตียงกว้าง ต่างเล่าเรื่องราวในครอบครัวให้ฟัง แบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ของกันและกันจนกระทั่งความง่วงคืบคลานเข้าหา ทันใดนั้นเธอเพิ่งนึกถึงเป้าหมายที่คืนนี้ตัวเองยอมถูกทรมานมาตั้งนานขึ้นมาได้ก่อนที่จะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา เธอรีบฉวยโอกาสที่เขากำลังสะลึมสะลือเอ่ยขึ้น “คุณรับปากอะไรฉันสักอย่างได้ไหมคะ?” 


 


 


เขาหลับตาตอบเธอเสียงงัวเงีย “เรื่องอะไร?” 


 


 


“เอาน่า แค่เรื่องเล็กนิดเดียวเอง คุณรับปากฉันก่อนสิคะ” เธอเอ่ยเสียงออดอ้อน 


 


 


“ได้ ผมรับปากคุณ” บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศคืนนี้ดีมากจนเขายอมตกปากรับคำทันที จากนั้นเขาดำดิ่งสู่ห้วงนิทราทันที  


 


 


และเธอได้คำสัญญาจากเขา เธอยิ้มแก้มปริพลางกอดแขนของเขาแน่น จากนั้นดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอันแสนหวานตามเขาไป


ตอนที่ 163 พบเฝิงเจ๋ออีกครั้ง

 


 


 


 


เช้าวันถัดมา จิ้นหยวนลืมเรื่องที่ตัวเองเคยรับปากเธอเอาไว้จนหมด เฉียวซือมู่คิดๆ แล้วตัดสินใจไม่บอกเขาดีกว่า ถ้าเกิดเขาท้วงขึ้นมาเธอจะได้ใช้เรื่องที่เขารับปากเธอแล้วเป็นข้ออ้างได้ 


 


 


ในขณะที่จิ้นหยวนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แต่เฉียวซือมู่กลับกำลังเตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงอย่างอารมณ์ดี 


 


 


ก่อนอื่นเธอต้องหาชุดราตรีที่เหมาะสมให้ได้เสียก่อน เธอมีชุดราตรีไม่น้อย เลือกไปเลือกมาหลายตลบ สุดท้ายตัดสินใจเลือกชุดกระโปรงสีดำที่มีความยาวถึงหัวเข่า เธอมองดูตัวเองในกระจกแล้วพยักหน้าเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ 


 


 


ดูสิ คนที่อยู่ในกระจกปากแดงฟันขาว ผิวขาวนวลเนียน ช่างเป็นหญิงสาวที่สวยจริงๆ 


 


 


จากนั้นก็เตรียมของอื่นๆ อีกมากมาย และวันเวลาสามวันล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เธอใช้วิธีบอกกับจิ้นหยวนว่าจะไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาล ขณะที่เธอกำลังพะวักพะวนอยู่นั้น จิ้นหยวนแค่มุ่นหัวคิ้วนิดๆ พลางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วอนุญาตเธอทันที 


 


 


เธอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่ครู่เดียวจิ้นหยวนก็เฉลยให้เธอหายสงสัยทันที เพราะคืนนี้เขาเองก็ต้องไปร่วมงานสมาคมเหมือนกัน และอีกฝ่ายยังเป็นคนใหญ่คนโตที่เขาปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย 


 


 


เธอแอบดีใจอยู่เงียบๆ รู้สึกว่าคืนนี้สวรรค์ช่างเป็นใจเหลือเกิน ไม่แน่ว่าคืนนี้เธออาจจะกลับถึงบ้านก่อนเขาด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงทุกอย่างก็จบอย่างสมบูรณ์แบบ 


 


 


ส่วนจิ้นหยวนนั้นไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ในใจ เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างใจลอยเพราะมัวแต่คิดหาวิธีจัดการกับจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ตัวนั้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าข้างกายเขายังมีจิ้งจอกน้อยอีกตัวที่กำลังคิดแหกคอกอันอบอุ่นของเขาเพื่อออกไปดูโลกภายนอก 


 


 


วันนี้มาถึงเร็วมาก จิ้นหยวนมัวแต่ใจลอย ส่วนเธอเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ทั้งสองต่างเก็บเรื่องราวเอาไว้ในใจ ทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารแปลกพิลึก 


 


 


สาวใช้ต่างพากันมองหน้ากันไปมาเพราะรู้สึกแปลกๆ แต่ที่น่าสนใจคือดูอย่างไรก็รู้สึกว่าเฉียวซือมู่กำลังจะทำเรื่องไม่ดีอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


เวลาล่วงไปจนถึงตอนเย็น จิ้นหยวนขับรถไปส่งเธอที่หน้าประตูโรงพยาบาลก่อน จากนั้นลูบแก้มนวลเนียนของเธอเบาๆ “เด็กดี คืนนี้รอผมมารับนะ” 


 


 


เธอรีบส่ายศีรษะปฏิเสธราวเข้าอกเข้าใจความลำบากของเขา “ไม่ต้องหรอกค่ะ ถึงเวลาเดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับเองดีกว่า” 


 


 


แต่เขากลับส่ายศีรษะไม่ยอม “เด็กโง่ รอผมที่นี่แหละ ไม่ดึกหรอก” เอ่ยจบพลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้แล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที 


 


 


เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าท่าทางของเขาแปลกมาก เพราะมันทั้งดูซับซ้อนและดูรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน เธอคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะเข้าใจ อย่าบอกนะว่าเขารู้สึกผิดที่พาเธอไปด้วยไม่ได้ 


 


 


เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ งานสมาคมพวกนั้นไม่เห็นมีดีตรงไหน ถึงจะพาเธอไปด้วยเธอก็ไม่อยากไป 


 


 


เธอดูถูกนิดๆ จากนั้นโบกมือเรียกรถแท็กซี่ได้คันหนึ่งแล้วขึ้นรถไป 


 


 


ปีนี้บริษัททำรายได้อย่างงาม อีกทั้งยังได้ตระกูลฉีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรจึงยิ่งทำให้นิตยสารซินเฟิงมั่นคงมากยิ่งขึ้น งานเลี้ยงปีนี้จึงถูกจัดขึ้นที่ชั้นยี่สิบสองในโรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์ที่หรูหราที่สุดในเมืองนี้ ที่นี่มีสถานที่กว้างใหญ่ การตกแต่งที่หรูหรา ต่อให้เฉียวซือมู่ที่มีชาติกำเนิดที่ดียังเคยมาที่นี่แค่ไม่กี่ครั้ง แล้วนับประสาอะไรกับพนักงานทั่วไป 


 


 


เฉียวซือมู่สังเกตเห็นสีหน้างุนงงของเพื่อนร่วมงานนับตั้งแต่ที่เธอก้าวเท้าเข้ามาในงานแล้ว ดูเหมือนพวกเขายังไม่ทันตั้งตัวที่เห็นเธอ แต่พอทุกคนได้สติแล้วต่างก็พากันเข้ามาพูดคุยกับเธอ 


 


 


หรงเซียวเป็นคนแรกที่เข้ามาทักเธอ เด็กสาวคนนี้เป็นคนว่องไวมากเวลาที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเฝิงเจ๋อ “พี่มู่มู่มาถึงแล้วเหรอคะ ไม่ได้เจอพี่ตั้งนาน คิดถึงพี่มากเลยค่ะ” 


 


 


คำทักทายอย่างเปิดเผยของหรงเซียวทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมาก เธอยิ้มพลางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ดูให้พอใจไปเลย” 


 


 


“ดีค่ะ” หรงเซียวยิ้มตาหยี ในมือถือจานใส่ขนมเค้กเอาไว้ 


 


 


เธอเห็นสีหน้ามีความสุขของหรงเซียวแล้วรู้สึกแปลกใจมาก นี่เธอไม่สะเทือนใจเลยเหรอที่เฝิงเจ๋อจากไปแล้ว? 


 


 


แต่ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะถามหรงเซียว เธอจึงเก็บคำถามเอาไว้ในใจแล้วหันไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ทันใดนั้นเธอเหลือบเห็นคนที่คาดไม่ถึงคนหนึ่ง และนั่นทำให้เธอเข้าใจทันทีว่าเหตุใดหรงเซียวถึงดูมีความสุขมาก 


 


 


เพราะคนคนนั้นคือเฝิงเจ๋อนั่นเอง 


 


 


น่าแปลก เขาลาออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนที่เห็นชายหนุ่มที่เธอคุ้นเคยคนนั้นเธอเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน 


 


 


ขณะเดียวกันเฝิงเจ๋อเองก็สังเกตเห็นเธอแล้วเช่นเดียวกัน เขาส่งยิ้มบางๆ ให้เธอ ความรู้สึกคุ้นเคยทำให้เธอรู้ทันทีว่านั่นคือเฝิงเจ๋อตัวจริง 


 


 


เพราะมีคำถามในใจ เธอจึงทักทายเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ พลางขยับเข้าใกล้เฝิงเจ๋อทีละนิดๆ พลาง ส่วนเฝิงเจ๋อยังคงยืนอยู่ที่เดิมและคอยเฝ้ามองการกระทำของเธออย่างยิ้มๆ ทำให้เธอเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย 


 


 


ไม่นานเธอก็เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา เธอมองเขาพลันเห็นสายตาที่คุ้นเคย เขาเอ่ยทักทาย “เจอกันอีกแล้วนะครับพี่มู่มู่” 


 


 


“เธอลาออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เธอเอ่ยถาม 


 


 


เฝิงเจ๋อตอบยิ้มๆ “ผมลาออกแล้ว แต่ บ.ก. เห็นว่าที่ผ่านมาผมทำผลงานได้ดีมากก็เลยเชิญผมมาร่วมงานเป็นการพิเศษ ผมว่างพอดีก็เลยรับปากมาร่วมงานด้วย ถือว่ามาสนุกน่ะครับ” 


 


 


เขาเอ่ยจบแล้วกวาดสายตามองไปทั่วอย่างตื่นเต้นเกินจริง “ถ้าไม่ได้มาเห็นเองกับตา ผมคงไม่อยากจะเชื่อว่ามีที่ที่ใหญ่โตหรูหราอลังการมากขนาดนี้อยู่บนโลกด้วย” 


 


 


คำพูดเกินจริงของเขาทำให้เธอหัวเราะออกมา “เธอนี่พูดโอเวอร์ไปได้ ที่นี่ไม่ได้ดีมากขนาดนั้นเสียหน่อย” 


 


 


เฝิงเจ๋อกลับเอ่ยอย่างจริงจัง “ผมพูดจริงนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะ บ.ก. ต้วน ผมคงไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ” 


 


 


เธอส่ายศีรษะเบาๆ “ที่นี่ไม่ได้ดีมากขนาดนั้น ก็แค่พอใช้ได้เท่านั้นแหละ” 


 


 


นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของเธอ ในฐานะที่เธอเคยเป็นคุณหนูในครอบครัวฐานะร่ำรวยมาก่อน และในฐานะที่เธอคบกับจิ้นหยวนมานาน เธอไม่เห็นที่นี่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ 


 


 


ใบหน้าของเฝิงเจ๋อยังคงเปื้อนยิ้มเหมือนเดิม หากแต่ยังแฝงความรู้สึกอื่นเอาไว้ด้วย “จริงสินะ สำหรับพี่แล้วที่นี่ก็แค่พอใช้ได้เท่านั้น” 


 


 


เธอฟังแล้วรู้สึกแปลกพิกล เธอกำลังจะเอ่ยปากถามแต่ถูกเขาเปลี่ยนเรื่องคุยเสียก่อน “พี่รู้ไหมครับว่าตอนนี้ผมทำงานที่ไหน?” 


 


 


คำถามของเขาทำให้เธอตื่นเต้นขึ้นมาทันที “อ้อ? ที่ฮวาฉีใช่ไหม?” 


 


 


ฮวาฉีเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ มีนักเขียนชื่อดังในวงการมากมาย เธอรู้ข้อนี้ดี แม้จะรู้สึกเสียดายมากที่ต้องเสียลูกน้องฝีมือดีอย่างเขาไป แต่เธอก็ไม่อาจรั้งเขาเอาไว้เช่นเดียวกัน 


 


 


นี่เป็นโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่ดีมาก ถ้าเป็นเธอ เธอเองก็อาจจะทนแรงดึงดูดนั้นไม่ไหวเช่นเดียวกัน 


 


 


เธอเอ่ยกับเขาอย่างจริงใจ “ยินดีด้วยนะ” 


 


 


คืนนี้ใบหน้าของเฝิงเจ๋อเปื้อนยิ้มตลอดเวลา แต่มันยังคงแฝงความหมายอื่นเอาไว้เช่นเคย “ก็จริง นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ผมควรจะดีใจถึงจะถูก” 


 


 


ควรจะหรือ? หรือว่าเขาไม่ดีใจ? เธอชักจะงงแล้วสิ เธอได้แต่มองเขาโดยไม่พูดอะไรอีก 


 


 


ดูเหมือนเฝิงเจ๋อจะรู้ตัวว่าพูดอะไรผิดไปจึงรีบเอ่ยยิ้มๆ “ผมหมายความว่าผมดีใจมาก แต่ใจจริงผมอยากทำงานกับพี่มากกว่า น่าเสียดาย…” 


 


 


ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เธอเข้าใจแล้ว เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษที่เฝิงเจ๋อมีต่อเธอจึงเอ่ยขึ้น “นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก เธอควรรักษาโอกาสนี้ให้ดี”


ตอนที่ 164 ใจสลาย

 


 


 


 


“ใช่ครับ ผมดีใจมาก” จู่ๆ เหมือนเขาจะคิดอะไรได้ สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายขึ้นจนลบสีหน้าอมทุกข์ก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น เขายิ้มพลางยื่นมือให้เธอ “เต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันแล้ว” 


 


 


คำพูดของเขาทำให้เธอปฏิเสธเขาไม่ลงคอ เธอฝืนยิ้มพลางวางมือลงบนมือของเขา “ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เราอยู่ในเมืองเดียวกันนะ ไม่ได้ไปอยู่ต่างประเทศเสียหน่อย เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่ได้เจอกันอีก?” 


 


 


เฝิงเจ๋อจับมืออ่อนนุ่มของเธอเอาไว้แล้วดึงตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา “มันก็ไม่แน่นี่ครับ ทำงานที่ฮวาฉีมีแรงกดดันเยอะมาก อาจจะทำให้ไม่มีเวลาออกไปไหนเลยก็ได้นี่ครับ” 


 


 


เขาเอ่ยพลางนำเธอเข้าสู่วงเต้นรำที่ไม่รู้ว่าดนตรีเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


ชายหนุ่มตรงหน้าเธอคือเฝิงเจ๋อซึ่งเป็นคนที่เธอสนิทมากที่สุดคนหนึ่ เธอจึงรู้สึกผ่อนคลายมาก และยังหัวเราะหยอกล้อกับเขา “ก็ไม่แน่นะ ฮวาฉีอยู่ใกล้แค่นี้เอง บางทีพี่อาจจะไปเที่ยวหาเธอก็ได้” 


 


 


เฝิงเจ๋อมองเธอแล้วยิ้ม “ก็ดีครับ แล้วผมจะรอนะ” 


 


 


“สัญญา” เธอเอ่ย 


 


 


เขาหัวเราะเบาๆ เธอหมุนตัวตามการนำของเขาและเต้นรำตามเขาอย่างพลิ้วไหว เธอถามอย่างอดใจไม่ไหว “เธอเต้นรำได้ดีมาก เคยเรียนมาก่อนหรือเปล่า?” 


 


 


เขาเอ่ยตอบ “อืม ก่อนหน้านี้เคยเรียนอยู่พักหนึ่ง แต่มันง่ายมากก็เลยไม่ได้เรียนอะไรเยอะแยะ” 


 


 


“มันก็จริง”  


 


 


สองหนุ่มสาวเต้นรำกันไปคุยเรื่องต่างๆ กันไปอย่างเพลิดเพลินจนไม่ทันสังเกตเห็นสายตาอีกคู่ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตากำลังจ้องมองพวกเขามาจากมุมมุมหนึ่ง 


 


 


“พวกพี่ทำอย่างนั้นได้ยังไง… ฮือๆๆ … ฮือๆๆ …” เธอร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว รู้สึกเจ็บปวดราวถูกควักหัวใจออกมา 


 


 


เธอรู้มานานแล้วว่าเฝิงเจ๋อมีใจให้พี่มู่มู่ แต่แฟนของพี่มู่มู่เป็นคนใหญ่คนโตขนาดนั้น พี่มู่มู่ไม่มีทางเห็นเขาอยู่ในสายตาหรอก 


 


 


เธอรู้ดีแก่ใจจึงได้แต่ยืนรออย่างเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งในงาน แต่เธอไม่นึกเลยว่าเฝิงเจ๋อจะถลำลึกมากขนาดนั้น แม้เขาจะลาออกไปแล้วแต่ก็ยังดั้นด้นเพื่อมาเต้นรำกับพี่มู่มู่อีก แถมเขามองพี่มู่มู่ด้วยสายตาที่ลึกซึ้งมากอีกต่างหาก 


 


 


แม้เธอจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เธอก็ดูถูกความอิจฉาริษยาที่เกาะกินใจตัวเองมากเกินไป เธอได้แต่เฝ้ามองเขาใช้สายตาที่เธอปรารถนามาตลอดมองหญิงอื่น แต่ยามเมื่อเธอเห็นพี่มู่มู่ไม่แยแสมันเลยสักนิด ความโกรธเกลียดเคียดแค้นพยาบาทที่แอบซ่อนอยู่ส่วนลึกสุดในใจก็ระเบิดออกมาทันที 


 


 


ทำไม ทำไมพี่มู่มู่ถึงได้ในสิ่งที่เธอไม่มีวันได้มันมา? ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรมอย่างนี้? ประทานใบหน้าที่งดงามให้เธอ ประทานรูปร่างที่สมบูรณ์แบบให้เธอ แล้วยังประทานชายหนุ่มที่รักเธอหมดหัวใจให้เธออีก ทำไมจนป่านนี้แล้วเธอยังไม่พอใจอีก แล้วยังคิดจะมาแย่งเฝิงเจ๋อของเธอไปอีก? 


 


 


เธอมันละโมบโลภมาก… 


 


 


หรงเซียวคิดไปร้องไห้ไป ทรมานจนแทบหายใจไม่ออก 


 


 


เธอยืนหลบอยู่ในมุมที่ไม่เป็นที่สังเกตและยังร้องไห้อย่างเงียบๆ ต่อให้เธอร้องไห้หนักมากแค่ไหนก็ไม่มีใครสังเกตเห็น 


 


 


แต่ในที่สุดก็มีคนมานั่งลงข้างๆ เธอแล้วเอ่ย “หรงเซียว อย่าร้องไห้เลย…” 


 


 


หรงเซียวหันไปมองคนคนนั้นผ่านสายตาพร่าเลือน “เธอ…” 


 


 


เขาส่งยิ้มเดายากให้เธอ “เธอเสียใจมากใช่ไหม? ผิดหวังมากใช่ไหม? เธออยากสั่งสอนพวกเขาไหมล่ะ?” 


 


 


เธออยากจะปฏิเสธเพราะเฉียวซือมู่ดีกับเธอมากและยังเคยให้ความช่วยเหลือเธอด้วย แต่ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะมีเจตนาร้าย แต่เธอกลับไร้เรี่ยวแรงที่จะปฏิเสธ 


 


 


คนคนนั้นดูออกว่าเธอกำลังสับสน เขายิ้มบางๆ แล้วยั่วยุเธอต่อ “เธอดูสิ สิ่งที่เธอไม่มีวันได้แต่เธอกลับได้มันไปอย่างง่ายดายแล้วยังไม่เห็นคุณค่าของมันอีก เธอคิดว่าคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีแบบนี้ไม่สมควรถูกสั่งสอนเหรอ? 


 


 


คำพูดทุกคำที่เอ่ยออกมาแทงใจดำเธอเข้าอย่างจังจนทำให้เธอหวั่นไหว 


 


 


เขายังคงพยายามไม่หยุด “ไม่ต้องห่วง ขอแค่โอกาสเล็กๆ ก็พอ เธออยากลองดูไหมล่ะ? วางใจเถอะ มันไม่ทำให้เธอบาดเจ็บหรอก อย่างมากก็แค่ทำให้เธออับอาย เธอจะได้เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้าง เธอคิดว่าไง?” 


 


 


“แล้วต้องทำยังไง?” เธอคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับแรงยั่วยุของปีศาจตนนั้นจนได้ 


 


 


ในที่สุดคนคนนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “เด็กดี…” 


 


 


ปฏิบัติการทรยศหักหลังเริ่มขึ้นตรงมุมมืดมุมหนึ่งในห้องจัดเลี้ยง ส่วนสองหนุ่มสาวที่กำลังเต้นรำอย่างสนุกสนานไม่รู้อะไรเลย เฉียวซือมู่หมุนตัวอย่างสง่างามเมื่อจบเพลง ทั้งสองหายใจหอบเล็กน้อย ต่างมองหน้าแล้วยิ้มให้แก่กัน 


 


 


เฉียวซือมู่เดินไปหยิบน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม เธอไม่ได้ออกกำลังกายมานานแล้ว คืนนี้เธอเต้นรำแค่เพลงเดียวก็รู้สึกเหนื่อยมาก เห็นชัดเจนว่าร่างกายเธออ่อนแอมากขนาดไหน เธอคิดว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปต้องเริ่มออกกำลังกายแล้ว เธอเองก็ไม่ได้เล่นโยคะมานานแล้วด้วย 


 


 


เอาตามนี้ก็แล้วกัน เธอตัดสินใจพลางดื่มน้ำผลไม้ตามอีกอึกหนึ่ง 


 


 


ในขณะเดียวกัน เฝิงเจ๋อถือแก้วไวน์ในมือเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเธอ “ไม่ดื่มเหล้าเหรอครับ?” 


 


 


เธอเอ่ยตอบ “พี่ดื่มไม่เก่ง ดื่มทีไรเกิดเรื่องน่าอายทุกที” 


 


 


เขายิ้มบางๆ พลางหมุนแก้วไวน์ในมือเล็กน้อย จากนั้นยกแก้วไวน์ขึ้นส่องดูไวน์สีแดงกับแสงไฟพลางเอ่ย “ความจริงเหล้าก็ไม่ใช่ของที่น่าดื่มจริงๆ นั่นแหละครับ แต่บางครั้งในเวลาที่สภาพจิตใจของเราย่ำแย่ก็ต้องหาอะไรมากระตุ้นเสียหน่อย และเหล้าก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด” 


 


 


เธอมองเขายิ้มๆ “รู้สึกว่าวันนี้เธอจะมีเรื่องให้ทอดถอนใจหลายเรื่องจังเลยนะ ถ้าตัดใจจากพวกเราไม่ได้ก็กลับมาสิ” 


 


 


เธอหยอกเขาเล่นแต่เขาเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “มู่มู่ หมดแก้วนี้ผมก็จะกลับแล้ว” 


 


 


“ทำไมกลับเร็วจัง?” เธอแปลกใจเล็กน้อย 


 


 


“จะช้าจะเร็วก็ต้องกลับอยู่ดี กลับเร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปทำงานแต่เช้าด้วยก็เลยไม่อยากอยู่ดึกมาก” เอ่ยพลางยื่นมือไปหยิบแก้วค็อกเทลที่อยู่ในถาดที่บริกรเดินถือมาพอดีแล้วยื่นให้เธอ “แก้วนี้ถึงจะขึ้นชื่อว่าเหล้าเหมือนกัน แต่ความจริงมันก็เป็นแค่เครื่องดื่มธรรมดา อยากลองหน่อยไหมครับ?” 


 


 


เธอยื่นมือรับแก้วค็อกเทลมาจากเขาแล้วยกขึ้น “ขออวยพรให้ชีวิตต่อจากนี้ของเธอมีแต่ความโชคดี ก้าวหน้าในหน้าที่การงานนะ” 


 


 


ปกติแล้ว ถ้าลูกน้องของเธอลาออกเธอมักจะจัดงานเลี้ยงส่งเล็กๆ ให้พวกเขาเสมอ แต่ครั้งนี้สถานการณ์ของเธอไม่เอื้ออำนวยให้เธอทำอย่างนั้นได้ เธอจึงถือโอกาสนี้อวยพรเฝิงเจ๋อแทน 


 


 


แววตาของเขาไหววูบ ชั่ววินาทีที่เขาเห็นเธอเอ่ยจบแล้วยกแก้วค็อกเทลขึ้นดื่มจนหมดแก้วเขาก็ควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป “พี่มู่มู่…” 


 


 


“อะไรเหรอ?” เธอได้ยินคำเรียกที่ไม่ได้ยินมานานแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ มันทำให้เธอหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ชายหนุ่มตรงหน้าเธอคนนี้เคยยืนบังเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้จ้านซีเยวี่ยรังแกเธอตั้งหลายครั้ง เธอยิ้มพลางเอ่ยถาม “อย่าบอกนะว่าเธออยากจะร้องไห้น่ะ? ผู้ชายตัวโตๆ ร้องไห้โฮมันไม่น่าดูเลยนะ” 


 


 


เธอเอ่ยจบปุ๊บเขาก็ยื่นแขนดึงเธอเข้าไปกอดเอาไว้แน่น เธอตกตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ “นี่เธอทำอะไรน่ะ? ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้นะ” 


 


 


“พี่เมาแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว


 

 

 


ตอนที่ 165

 

“เธอกำลังพูดเหลวไหลอะไรกัน พี่ไม่ได้ดื่มเหล้าแล้วจะเมาได้ยังไง?” เธอพยายามผลักเขาออกอย่างร้อนรนใจ ถ้าเกิดถูกใครเห็นเข้าต้องไม่ดีแน่ 


 


 


“พี่เมาแล้วจริงๆ มู่มู่เริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้ว” เขาเอ่ยทั้งๆ ที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ 


 


 


“เธอ… เธอ…” เธออยากจะดิ้นรนแต่สมองกลับมึนงง ภาพของคนตรงหน้าเริ่มพร่ามัวราวกับเธอกำลังมองเขาผ่านผ้าบางๆ  


 


 


ทำไมถึงเป็นแบบนี้? เธอไม่ได้ดื่มเหล้านี่นา… จริงสิ ต้องเป็นเพราะค็อกเทลแก้วนั้นแน่ 


 


 


เธอนึกถึงเรื่องผิดปกติขึ้นมาทันที “เฝิงเจ๋อ ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้นะ… ได้ยินหรือเปล่า…” ถึงเธอจะรู้ตัวแล้วว่ามันผิดปกติ แต่ตอนนี้ยาออกฤทธิ์แล้ว ร่างกายเธอไร้เรี่ยวแรงราวคนเมาเหล้าไม่มีผิด 


 


 


เฝิงเจ๋อทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาประคองเธอเดินออกไปยังทางเดินด้านนอกด้วยสีหน้าปกติ ทางเดินนี้เชื่อมไปยังห้องพักสำหรับแขกที่ทางโรงแรมจัดเตรียมเอาไว้ให้สำหรับแขกที่เมาเหล้า 


 


 


ทุกคนต่างรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเฝิงเจ๋อดีมากขนาดไหน เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนคุยกันอย่างสนุกสนานจึงไม่มีใครเข้าไปรบกวนพวกเขา ตอนนี้หน้าเธอแดงก่ำ ลมหายใจเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ ทุกคนคิดว่าเธอดื่มจนเมาแล้วเฝิงเจ๋อช่วยพาเธอไปพักผ่อนในห้องพักแขกจึงไม่มีใครเข้าไปขวางทางพวกเขา หนำซ้ำยังช่วยเคลียร์ทางให้พวกเขาอีกต่างหาก 


 


 


ภายนอกเธอดูเหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงและไม่ได้สติ แต่ความจริงเธอยังมีสติดีและสมองยังคงทำงานตามปกติ แต่เธอกลับไม่มีแรงทำอะไรเลย เธอกระวนกระวายใจมาก เริ่มรู้แล้วว่าไม่เพียงค็อกเทลแก้วนั้นที่มีปัญหา แต่เฝิงเจ๋อเองก็เหมือนจะมีแผนร้ายซ่อนอยู่เหมือนกัน 


 


 


ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทั้งๆ ที่เธอดีกับเขามากขนาดนั้น เพื่อเขาแล้วเธอยอมทำลายเกราะป้องกันในใจ แต่ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายเขาก็ทำแบบนี้กับเธอ เธอรู้สึกทั้งเสียใจทั้งโมโห เธอได้ยินเสียงคนรอบข้างพูดกันว่าเฝิงเจ๋อกำลังจะพาเธอเข้าไปพักในห้องพักแขก เธอรู้สึกโกรธมากจนน้ำตาไหลพราก 


 


 


หยาดน้ำตาอุ่นๆ หยดลงบนแขนของเฝิงเจ๋อจนทำให้เขาตัวสั่นเล็กน้อย แต่เขายังคงมุ่งหน้าเดินตรงไปยังห้องพักแขกจนมาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งที่ปิดประตูสนิท เขาชะงักชั่วครู่ สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปผลักประตูเปิดออก 


 


 


เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ดวงตาฉายแสงแวบหนึ่ง เขาก้มหน้าเอ่ยบอกเธอ “พี่อดทนหน่อยนะครับ ผมกำลังจะพาพี่ไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนี้แหละ” 


 


 


ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นผิดปกติถึงที่สุดแล้ว เธอพยายามใช้แรงดิ้นรน แต่ในขณะที่เธอคิดว่าตัวเองใช้ทั้งหมดที่มีเพื่อดิ้นหนี แต่ในสายตาของคนอื่นนั้นเห็นเพียงเธอกำลังขยับตัวเล็กน้อยเพราะรู้สึกไม่สบายตัว คำพูดของเฝิงเจ๋อทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเธออยากจะอาเจียน ส่วนเขากำลังพาเธอไปเข้าห้องน้ำด้วยความหวังดี 


 


 


ข้อกังขาของทุกคนหมดลงทันที เฝิงเจ๋อประคองเธอเดินเข้าไปในห้อง เขาวางเธอลงบนพื้นแล้วหมุนตัวไปปิดประตู เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครแอบดูพวกเขาอีกเขาจึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เธอ เขาย่อตัวลงพลางเรียกชื่อเธอ “มู่มู่” 


 


 


ค็อกเทลผสมยาที่เธอดื่มเข้าไปออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว ตอนนี้เธอไม่เพียงพูดไม่ได้ หนังตาก็หนักจนแทบลืมตาไม่ไหว ความมึนเบลอจู่โจมเธออย่างหนักจนทำให้เธอรู้สึกหน้ามืดตาลายและทรมานมาก 


 


 


สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เธอร้อนใจดั่งไฟลน เธอพยายามเอ่ยอย่างยากลำบาก “เธอ… เธอจะทำอะไร?” 


 


 


เสียงของเธอเบาหวิว เฝิงเจ๋อเห็นเธอขยับริมฝีปาก เขาแนบหูกับริมฝีปากของเธอจึงได้ยินว่าเธอกำลังพูดอะไรจึงตอบกลับ “แล้วพี่คิดว่าอะไรล่ะครับ?” 


 


 


เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในอก อย่าบอกนะว่าจะทำอย่างที่เธอคิด? 


 


 


เธอรู้สึกถึงร่างกายที่กำลังขยับเขยื้อนและได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากกายเขา จากนั้นเธอสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มใต้ร่างตัวเอง ดูเหมือนว่าเขาจะอุ้มเธอไปวางลงบนเตียง เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในบัดดล “เธอ… เธอปล่อยพี่เดี๋ยวนี้นะ” 


 


 


เสียงของเธอเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน และเฝิงเจ๋อก็ไม่อยากได้ยินมันด้วย

 

 

 


ตอนที่ 166

 

เฝิงเจ๋อคุกเข่าคร่อมตัวเธอเอาไว้ เขารู้ว่าแม้เธอจะหลับตาอยู่แต่เธอยังคงได้ยินเสียงของเขา เขาสะเทือนใจจนพูดพรั่งพรูความในใจออกมาเสียงเบาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “พี่รู้หรือเปล่า นับตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาทำงานที่บริษัทและได้เห็นหน้าพี่เป็นครั้งแรกผมก็ตกหลุมรักรอยยิ้มของพี่จนถอนตัวไม่ขึ้น ผมรู้ว่าผมไม่คู่ควรกับพี่ เพราะผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างพี่คงจะหาผู้ชายที่ดีกว่าผมเป็นร้อยเท่า แต่ทำไมพี่ต้องไปเป็นเมียเก็บของเขาด้วย? พี่รู้ไหมว่าตอนที่ผมรู้ข่าวนี้ผมรู้สึกสิ้นหวังมากแค่ไหน?” 


 


 


เขายิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเบาหวิว เธอยิ่งฟังยิ่งรู้สึกหวาดผวา เพราะเธอรับรู้ได้ถึงความบ้าคลั่งที่แอบซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา 


 


 


ทันใดนั้น มือเย็นเฉียบของเขาลูบไล้ผ่านใบหน้านวลเนียนของเธอไล่ระเรื่อยลงไปจนถึงต้นคองามระหง เขาเอ่ยเสียงพร่าต่ำ “พี่รู้หรือเปล่าว่าพี่เป็นนางฟ้าในความฝันของผมมาตลอด ความสุขในตอนนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยแม้แต่จะกล้าฝันถึงมาก่อน… 


 


 


“ให้ซีดีที่รวบรวมความทรงจำของเราเอาไว้แผ่นนี้กับเธอ ลองฟังดูสิในนั้นเป็นเรื่องราวความรักของเราสอง ที่บางคราวเราอาจจะลืมเลือน…” 


 


 


เสียงเพลงที่คุ้นหูดังขึ้น เฝิงเจ๋อหันไปมองกระเป๋าถือใบเล็กที่ตกอยู่ข้างเตียง และเสียงเพลงกำลังดังออกมาจากข้างในกระเป๋าใบนั้น 


 


 


เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอกำลังส่งเสียงดังเพราะมีคนโทรศัพท์หาเธอพอดี 


 


 


เฝิงเจ๋อหันหน้ากลับมาด้วยความตื่นตระหนก 


 


 


จิ้นหยวนโทรศัพท์หาเฉียวซือมู่เป็นครั้งที่สองแต่ยังไร้คนรับสาย สีหน้าของเขาเข้มจัด 


 


 


เมื่อแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีคนรับสายเขาเป็นแน่ เขาจึงโทรเข้าไปที่โรงพยาบาลทันที หลังจากเขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่เวรว่าคืนนี้ยังไม่เห็นคุณเฉียวเข้าไปที่โรงพยาบาล ทันใดนั้น รังสีเย็นยะเยือกแผ่ออกมาครอบคลุมรอบกายเขาจนทำให้หญิงสาวที่อยู่ข้างหลังถึงกับตกใจ 


 


 


ทำไมแค่มองแผ่นหลังของเขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียมาก หรือว่ารู้สึกไปเอง? 


 


 


หญิงสาวที่คิดจะโปรยเสน่ห์ให้จิ้นหยวนชักจะลังเลเล็กน้อย แต่ความละโมบโลภมากกลับเอาชนะความกลัวนั้นจนได้ เธอแสร้งทำท่าทางน่าสงสารแล้วจงใจเดินผ่านเขา ทันใดนั้นข้อเท้าของเธอพลิกแล้วร่างอ่อนปวกเปียกราวกับไร้กระดูกของเธอก็ล้มลงกับอกของเขา 


 


 


จิ้นหยวนกำลังหงุดหงิดมาก เขากำลังหรี่ตาอย่างใช้ความคิดว่าเฉียวซือมู่น่าจะไปที่ไหนได้บ้าง ทันใดนั้นเขาเหลือบเห็นหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังก้มลงกับอกของเขา ความกรุ่นโกรธพุ่งทะยาน เขาเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วถีบอีกทีจนทำให้หญิงสาวคนนั้นต้องร้องหวยโหยด้วยความเจ็บปวดเพราะศีรษะกระแทกกำแพงเข้าอย่างจังจนเลือดอาบแล้วสลบเหมือดทันที 


 


 


จิ้นหยวนไม่ได้มองหน้าเธอแม้แต่หางตาราวกับกำลังกำจัดขยะชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน เขาเพียงแค่กวาดสายตามองร่างที่นอนสลบบนพื้นแวบหนึ่งแล้วเดินจากไปอย่างเฉยชา 


 


 


เดี๋ยวก็มีคนมาจัดการเรื่องนี้แทนเขาเอง 


 


 


ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตอนที่เขาอารมณ์ดีเขาอาจจะทำแค่เบี่ยงตัวหลบการ “จู่โจม” ของเธอ แต่ในสภาวะที่เขากำลังอารมณ์เสียเหมือนตอนนี้ก็อย่ามาหาว่าเขาใจร้ายก็แล้วกัน 


 


 


จังหวะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูสมาคม ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นเบื้องหลังเขา แต่ตอนนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้วนี่ 


 


 


ระหว่างทาง ในที่สุดพ่อบ้านเฉินก็ส่งข่าวถึงจิ้นหยวน พ่อบ้านเฉินจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นบัตรเชิญในคอมพิวเตอร์ของคุณเฉียว และดูเหมือนว่าบัตรเชิญใบนั้นจะมาจากนิตยสารซินเฟิง 


 


 


ดวงตาของเขาเป็นประกายไหววูบ นึกถึงงานเลี้ยงประจำปีขึ้นมาทันที ให้ตายสิ เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร? เธอจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงประจำปีเป็นแน่ 


 


 


 สีหน้าของเขาเข้มจัด โชคดีที่ลูกน้องของเขาไหวพริบดีเลิศ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถเช็กข้อมูลจนรู้ว่างานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์ 


 


 


“ไปโรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์เดี๋ยวนี้!” เขาวางสายแล้วออกคำสั่งกับคนขับรถเสียงเย็นเยียบ 


 


 


รถของเขาขับไปจอดลงหน้าโรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงภายใต้แรงกดดันของเขา 


 


 


เขาเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปในโรงแรมทันที เมื่อเห็นว่าลิฟต์เต็มจึงตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดหนีไฟแทน พนักงานบริการรีบวิ่งตามเขาขึ้นไปเพราะคิดว่าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นเสียอีก 


 


 


เขาไม่มีเวลาอธิบาย ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งขึ้นบันไดจนไปถึงชั้นที่นิตยสารซินเฟิงจัดงานเลี้ยง 


 


 


เขาได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะจับใจแต่ในใจของเขากลับร้อนเป็นไฟ เขาตัดสินใจถีบประตูที่ปิดสนิทให้เปิดออกแขกเหรื่อในงานเลี้ยงต่างหันไปมองจิ้นหยวนที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นตาเดียวด้วยความประหลาดใจ 


 


 


พวกเขาเป็นคนข่าว มองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าจิ้นหยวนเป็นใคร ต่างคนต่างพากันกระซิบกระซาบ ต้วนฉี่รุ่ยหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เดินถือแก้วไวน์เดินเข้าไปหาเขา “ยินดีที่ได้พบ ยินดีที่ได้พบครับ ท่านประธานจิ้นมาถึงที่นี่ช่างเป็นเกียรติอย่างสูงสุด…” 


 


 


ตอนแรกจิ้นหยวนยังพอมีความอดทนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาชักจะเริ่มรำคาญคำพูดประจบสอพลอที่ไม่จบไม่สิ้นของต้วนฉี่รุ่ยเสียแล้วจึงเอ่ยแทรกขึ้น “เฉียวซือมู่ล่ะ? เธออยู่ที่ไหน?” 


 


 


ประกายดีใจในดวงตาของต้วนฉี่รุ่ยหายไปจนสิ้น “เฉียวซือมู่เหรอ? เมื่อกี้เธอดื่มจนเมา ตอนนี้กลับออกไปแล้ว?” 


 


 


“จริงหรือ?” จิ้นหยวนตาเป็นประกายวูบวาบ ดื่มจนเมาหรือ? เป็นไปไม่ได้ เธอแทบจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะดื่มจนเมา 


 


 


 ชายวัยกลางคนตรงหน้าแสร้งหัวเราะฮาๆๆ แต่กลับไม่บอกความจริงกับเขา เขาหรี่ตาเล็กน้อย ความอดทนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดหมดลงทันที “ถ้าผมบอกว่าแค่ผมกระดิกนิ้วทีเดียว นิตยสารซินเฟิงก็จะหายไปในพริบตา คุณจะเชื่อไหม?” 


 


 


ต้วนฉี่รุ่ยชะงักนิ่งอึ้ง ใบหน้าอ้วนอูมของเขาเผยความหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย แต่เขายังคงไม่ยอมเปิดปากง่ายๆ “เธอกลับไปแล้วจริงๆ ทุกคนในนี้ก็เห็น” 


 


 


จิ้นหยวนกวาดสายตามองแขกเหรื่อในงานทีละคน สีหน้าแต่ละคนมีแต่ความสงสัยเพราะเห็นชัดว่าสีหน้าของจิ้นหยวนและต้วนฉี่รุ่ยดูผิดปกติ แต่พวกเขาไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันบ้าง

 

 

 


ตอนที่ 167

 

จิ้นหยวนกวาดสายตามองไปทั่วอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นเขาผลักต้วนฉี่รุ่ยให้พ้นตัวจนต้วนฉี่รุ่ยโซเซถอยหลังไปหลายก้าว พอตั้งสติจนยืนได้มั่นคงแล้วจึงตะโกนออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ประธานจิ้น อย่ารังแกคนอื่นให้มันมากนัก” 


 


 


จิ้นหยวนทำเป็นหูทวนลม เขาเดินตรงไปยังประตูบานหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ส่วนต้วนฉี่รุ่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิม ประกายความชั่วร้ายฉายขึ้นในดวงตาของเขาแวบหนึ่ง 


 


 


ทุกคนในงานเห็นสถานการณ์ท่าจะไม่ดีจึงพากันกระซิบกระซาบ จากนั้นต่างพากันหันไปมองต้วนฉี่รุ่ยเป็นตาเดียว แต่เขายืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมเพียงชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากงานทันที 


 


 


ทุกคนต่างพากันคิดว่าเรื่องนี้มันชักจะแปลกๆ 


 


 


จิ้นหยวนแผ่รังสีเย็นยะเยือก เขาไล่เปิดประตูห้องรับรองแขกทีละห้องๆ ด้วยความโกรธเกรี้ยว ในขณะเดียวกัน หลินจื้อเฉิงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาเขา ลิฟต์ที่เขาใช้เพิ่งจะขึ้นมาถึงชั้นที่จัดงานเลี้ยง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มามือเปล่า เขายังหอบหิ้วผู้จัดการโรงแรมขึ้นมาด้วย 


 


 


จิ้นหยวนที่เห็นทั้งสองตามขึ้นมาเชิดหน้าขึ้นถามอย่างผู้เหนือกว่า “พวกเขาอยู่ห้องไหน?” 


 


 


ผู้จัดการโรงแรมเหงื่อแตกพลั่ก พอรู้ว่าจิ้นหยวนเป็นใครเขายิ่งไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม รีบขานรับจิ้นหยวนแล้วหยิบกุญแจของตัวเองออกมาไขเปิดประตูห้องห้องหนึ่งทันควัน 


 


 


ดวงตาของจิ้นหยวนฉายประกายเย็นยะเยือกที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือด เขาเดินก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้าแล้วถีบประตูเปิดออกอย่างแรง คราวนี้เขาใช้แรงถีบหนักกว่าที่ใช้ถีบหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นมาก ประตูห้องถูกถีบเปิดออกจนกระแทกเข้ากับกำแพงห้องอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว 


 


 


เตียงใหญ่อยู่ตรงหน้าประตูพอดี แต่บนเตียงกลับไร้ร่องรอยคนที่เขากำลังตามหา มีเพียงรอยยับยู่ยี่ที่เป็นหลักฐานทิ้งเอาไว้ว่าเคยมีคนนอนอยู่บนเตียงก่อนหน้านี้ 


 


 


ชั่ววินาทีนั้นเขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะโล่งใจหรือว่าควรจะเครียดมากกว่าเดิม เขาเข้าไปในห้องแต่ไม่เห็นใครสักคนจึงเอ่ยถามผู้จัดการโรงแรม “คนที่อยู่ในห้องนี้หายไปไหน?” 


 


 


สีหน้าของผู้จัดการโรงแรมเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน “เมื่อกี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ยังเห็นอยู่เลยว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามาในห้องนี้ แต่…” ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา พวกเขาออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่? 


 


 


หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่ในห้องจิ้นหยวนจึงหมุนตัวเดินออกไป “เปิดกล้องวงจรปิดให้ฉันดูเดี๋ยวนี้” 


 


 


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผู้จัดการโรงแรมกลับไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำว่า “ไม่” เขาจำต้องให้พวกเขาเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง จากนั้นเรียกภาพกล้องวงจรปิดออกมาให้เขาดู 


 


 


สีหน้าของจิ้นหยวนดูน่ากลัวราวพายุลมฝนที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงทันทีที่ได้เห็นภาพเฝิงเจ๋อพาเฉียวซือมู่เข้าไปในห้อง จากนั้นภาพหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นประมาณสิบกว่านาที 


 


 


หลินจื้อเฉิงสังเกตเห็นมือที่กำกันแน่นของจิ้นหยวนมีแต่เส้นเลือดปูดโปนเพราะความโกรธ 


 


 


“แล้วภาพจากกล้องในห้องล่ะ?” จู่ๆ จิ้นหยวนก็เอ่ยถามขึ้น 


 


 


ผู้จัดการโรงแรมเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางยิ้มอย่างลำบากใจ “โรงแรมของเราไม่มีนโยบายติดกล้องในห้องพักแขกเพื่อความเป็นส่วนตัวครับ…” 


 


 


ทันทีที่เขาเอ่ยจบภาพในกล้องวงจรปิดเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในนั้นปรากฏภาพเบื้องหลังของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอเดินช้าๆ แล้วไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องที่เฝิงเจ๋อกับเฉียวซือมู่เข้าไป เธอยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก ในที่สุดก็ตัดสินใจเคาะประตูห้อง 


 


 


“นั่นใครน่ะ?” หลินจื้อเฉิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย    


 


 


จิ้นหยวนจำเธอได้ทันที นั่นเป็นเพื่อนร่วมงานของเฉียวซือมู่ ดูเหมือนเธอจะชื่อหรงเซียว ครั้งก่อนที่เขามีเรื่องกับเฝิงเจ๋อตรงหน้าออฟฟิศ หญิงสาวคนนี้แหละที่เป็นคนพุ่งเข้าไปรับหมัดแทนเฝิงเจ๋อ 


 


 


เขาหรี่ตาอย่างจับสังเกต เห็นชัดเจนว่าเธอเป็นคนที่อยู่นอกแผนการครั้งนี้ 


 


 


เธอยืนรออยู่ชั่วครู่ ในที่สุดประตูห้องก็เปิดออก เนื่องจากมุมกล้องทำให้พวกเขามองไม่เห็นคนที่ยืนอยู่หลังประตู เห็นเพียงสองคนนั้นกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง จากนั้นหรงเซียวยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าคนที่อยู่หลังประตูไปฉาดใหญ่ 


 


 


แต่น่าแปลกที่คนที่ยืนอยู่หลังประตูกลับไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ คนคนนั้นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง หรงเซียวเดินตามเข้าไปในห้อง จากนั้นมีคนสามคนออกมาจากข้างในห้องพร้อมกัน นอกจากหรงเซียวแล้ว อีกสองคนที่ออกมาจากในห้องยังมีเฝิงเจ๋อและเฉียวซือมู่ 


 


 


เฉียวซือมู่เดินโงนเงนจนต้องพิงตัวเฝิงเจ๋อเอาไว้ หรงเซียวช่วยหิ้วปีกอยู่อีกข้าง ทั้งสามคนค่อยๆ เดินไกลออกไปจากรัศมีกล้องวงจรปิดบริเวณนั้น 


 


 


ผู้จัดการรีบเปลี่ยนไปยังภาพกล้องวงจรปิดตัวอื่นที่จับภาพทั้งสามเอาไว้ทันที ทั้งสามคนขึ้นลิฟต์ลงไปชั้นล่างแล้วเดินออกจากโรงแรม และพวกเขาเดินไกลออกไปจนพ้นรัศมีกล้องวงจรปิดของโรงแรมด้วย 


 


 


ดวงตาของจิ้นหยวนเป็นประกายวาบพลางกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน ส่วนหลินจื้อเฉิงรีบติดต่อลูกน้องทันทีอย่างรู้หน้าที่เพื่อหาวิธีตามล่าหาภาพกล้องวงจรปิดทางจราจรโดยรอบอย่างรวดเร็วที่สุด 


 


 


จิ้นหยวนเดินก้าวเท้ายาวๆ ออกจากโรงแรม เรื่องนี้แปลกมาก มีหลายจุดที่แปลกมากจนทำให้เขาคิดไม่ตก 


 


 


ถ้าเฝิงเจ๋อคิดจะทำมิดีมิร้ายเฉียวซือมู่จริง แล้วทำไมถึงยอมให้หรงเซียวปรากฏตัวขึ้นในแผนการของตัวเอง? นี่มันขัดแย้งกันไม่ใช่เหรอ? เขาดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าหญิงสาวที่ชื่อหรงเซียวชอบเฝิงเจ๋อ 


 


 


จะบอกว่าเฝิงเจ๋อแค่พาเฉียวซือมู่เข้าไปพักผ่อนในห้องอย่างนั้นเหรอ? แล้วทำไมหรงเซียวถึงทะเลาะกับเขาล่ะ? เพราะอะไรกัน? 


 


 


และที่สำคัญที่สุด ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน? 


 


 


จิ้นหยวนกลับถึงบริษัทก็มีแฮกเกอร์ทำหน้าที่รออยู่ก่อนแล้ว นิ้วมือของพวกเขาเคาะลงบนแป้นพิมพ์ด้วยความรวดเร็วราวจรวด บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏภาพและตัวเลขมากมายจนลานตา 


 


 


พวกเขาเป็นลูกน้องของจิ้นหยวนที่กำลังแฮกภาพจากกล้องวงจรปิดที่อยู่รอบๆ โรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์เพื่อสืบหาว่าทั้งสามคนออกจากโรงแรมอย่างไร 


 


 


เวลาค่อยๆ ผ่านไป จิ้นหยวนร้อนใจดั่งไฟเผา 


 


 


ในเวลาเดียวกัน ในที่สุดเฉียวซือมู่ที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงหลังใหญ่มาพักใหญ่ก็ขยับแขนขาได้เสียที เมื่อกี้เธอหมดสติไปจนทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอใจหายเพราะคิดว่าเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นกับเธอแล้ว 


 


 


เสี้ยววินานทีนั้นเธอรู้สึกสับสนมากจนอยากจะสลบอีกรอบเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับความเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่พอเธอค่อยๆ ขยับร่างกายถึงได้รู้ว่าร่างกายเธอยังคงปกติดีอยู่ เสื้อผ้ายังอยู่บนตัวเธอครบทุกชิ้น 


 


 


นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เธอไม่ค่อยเข้าใจนัก จากคำพูดที่เธอได้ยินก่อนหมดสติ ดูเหมือนว่าเฝิงเจ๋อจะต้องลงมือกับเธอให้ได้ แต่ทำไมตอนนี้ถึง… 


 


 


เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือฝ้าเพดานที่เก่าจนเริ่มออกสีเหลืองนิดๆ ตรงมุมห้องยังมีใยแมงมุมอีกต่างหาก 


 


 


ไม่ใช่สิ ที่นี่ไม่ใช่โรงแรมเอ็มเพอร์เรอร์ แล้วที่นี่มันที่ไหน? 


 


 


หัวใจเธอกระตุกอย่างแรง เธอกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที 


 


 


การกระทำของเธอส่งผลทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ สะดุ้งตื่นไปด้วย ทันใดนั้น เสียงเสียงหนึ่งดังลอยมาเข้าหูเธอ “พี่มู่มู่ พี่ฟื้นแล้วเหรอ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ?” 


 


 


นั่นมันเสียงหรงเซียวนี่? เฉียวซือมู่หันไปมองด้วยความประหลาดใจแล้วเห็นใบหน้าสวยๆ ของหรงเซียวจริงๆ 


 


 


“นี่เธอช่วยพี่เอาไว้เหรอ?” เฉียวซือมู่คิดๆ แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ 


 


 


รอยยิ้มของหรงเซียวจางลง “ไม่ใช่ค่ะ เฝิงเจ๋อต่างหากที่ช่วยพี่เอาไว้” 


 


 


“เขาเหรอ? ก็เขาจะ…” ทันใดนั้น ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหันมองไปรอบๆ กายพลางเอ่ยถาม “ที่นี่ที่ไหน?” 


 


 


รอยยิ้มของหรงเซียวดูฝืดฝืน ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอเอ่ยตอบเสียงเบา “บ้านฉันเองค่ะ” 


 


 


มิน่า เธอถึงได้รู้สึกว่ามันเป็นบ้าน เธอถอนหายใจโล่งอกแล้วเอ่ยถามขึ้นใหม่ “แล้วเฝิงเจ๋อล่ะ?”

 

 

 


ตอนที่ 168

 

ดวงตาของหรงเซียวมีประกายหยาดน้ำใส “เขาพาพี่มาส่งที่นี่เสร็จแล้วก็กลับไปเลย เขาบอกว่าเขาทำผิดต่อพี่ ไม่กล้าพบหน้าพี่อีกแล้ว บอกว่าให้พี่ไม่ต้องสนใจเขาอีก 


 


 


เฉียวซือมู่ตกใจจนรีบสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้ง แต่กลับพบว่าตัวเองยังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่มีรอยยับเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น 


 


 


หรงเซียวเห็นท่าทางของเธอแล้วรีบอธิบาย “ไม่ใช่นะคะ เขาไม่ได้… ไม่ได้ทำอะไรพี่ ที่เขาทำแบบนั้นเป็นเพราะจ้านซีเยวี่ยข่มขู่เขาค่ะ” 


 


 


“จ้านซีเยวี่ยอีกแล้วเหรอ?” เธอขมวดคิ้ว ทำไมจ้านซีเยวี่ยถึงได้เหมือนแมลงสาบที่ตีเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตายเสียที ทุกครั้งที่เธอไม่ระวังตัว จ้านซีเยวี่ยจะต้องโผล่ออกมาเล่นงานเธอทุกทีสิน่า 


 


 


น่ารำคาญชะมัด 


 


 


แต่ครั้งนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมหรงเซียวถึงถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วย? 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเธอแล้วหรงเซียวจึงค่อยๆ อธิบายที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้เธอฟัง ในส่วนของเฝิงเจ๋อนั้นเขาเป็นคนเล่าให้หรงเซียวฟังในภายหลัง ส่วนที่เหลือหรงเซียวเป็นคนเห็นเองกับตา 


 


 


หรงเซียวเล่าว่า เฝิงเจ๋อบอกกับเธอว่าจ้านซีเยวี่ยเป็นคนติดต่อหาเขาเองหลังจากที่เธอลาออกไปแล้ว หรงเซียวไม่รู้ว่าเธอใช้วิธีอะไรถึงส่งอีเมลถึงเขาได้ เธอนัดให้เขาออกไปพบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงออกไปพบเธอตามนัด จากนั้นจ้านซีเยวี่ยพูดจาหว่านล้อมเขาจนสำเร็จ และบอกให้เขาลงมือกับเฉียวซือมู่ในคืนงานเลี้ยงประจำปี 


 


 


และแน่นอนว่าเฝิงเจ๋อไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าจ้านซีเยวี่ยข่มขู่อะไรเขาบ้าง 


 


 


จ้านซีเยวี่ยวางแผนให้เฝิงเจ๋อเอาค็อกเทลผสมยาให้เฉียวซือมู่ดื่ม จากนั้นพาเข้าไปในห้องพักที่ซ่อนกล้องแอบถ่ายเอาไว้ ขณะที่กำลังจะลงมือ จู่ๆ เฝิงเจ๋อกลับหยุดกะทันหันเพราะเกิดความกลัวขึ้นมา 


 


 


เขาไม่อยากทำลายชีวิตของเฉียวซือมู่ เพราะเฉียวซือมู่ที่อยู่ในใจของเขานั้นเป็นคนที่อยู่สูงเกินเอื้อมจนแตะต้องไม่ได้ ระหว่างที่เขากำลังต่อสู้กับปีศาจในใจอย่างหนักอยู่นั้น เธอก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี 


 


 


และนั่นเป็นข้ออ้างที่ดีมากสำหรับเขา เพราะหากจ้านซีเยวี่ยรู้เข้าว่าเขาลังเลมันอาจจะทำให้จ้านซีเยวี่ยสงสัยเขาได้ สุดท้ายเขาและเธอจึงช่วยกันพาตัวเฉียวซือมู่มาที่นี่แทน 


 


 


และนี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เฉียวซือมู่ฟังแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดกลัว “ขอบใจเธอมาก โชคดีเหลือเกินที่เธอมาทันเวลาพอดี ไม่อย่างนั้น…” 


 


 


หรงเซียวเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความละอายใจ เพราะเธอเองก็ไม่ได้หวังดีตั้งแต่แรกเหมือนกัน ตอนแรกเธอเตรียมตัวเพื่อเข้าไปจับชู้ให้ได้คาหนังคาเขา แต่เธอกลับเปลี่ยนใจเพราะได้สติในวินาทีสุดท้ายเหมือนเฝิงเจ๋อ เธอจึงไม่ได้ทำผิดต่อไป 


 


 


ต้องยอมรับว่าแผนการของจ้านซีเยวี่ยชั่วร้ายมาก เพราะเธอใช้เพียงแค่ความรักที่เฝิงเจ๋อมีต่อเฉียวซือมู่และความอิจฉาริษยาของหรงเซียวมาเล่นงานเฉียวซือมู่โดยที่ตัวเองไม่ต้องออกหน้าเลย ถ้าเกิดทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการของจ้านซีเยวี่ยจริง และจ้านซีเยวี่ยปล่อยคลิปลงในอินเทอร์เน็ตแล้วล่ะก็ ต่อให้พวกเธอรวดเร็วมากแค่ไหนก็คงสู้ความเร็วของชาวเน็ตไม่ได้ ชื่อเสียงของเฉียวคงย่อยยับอย่างไม่มีวันกู้คืน 


 


 


ความจริงแผนการของจ้านซีเยวี่ยเป็นแผนการที่รอบคอบมาก แต่พลาดตรงที่จ้านซีเยวี่ยประเมินมิตรภาพระหว่างเฉียวซือมู่และเฝิงเจ๋อกับหรงเซียวต่ำเกินไป พวกเขาถึงได้กลับตัวกลับใจในวินาทีสุดท้าย มิเช่นนั้น ผลที่ออกมาคง… 


 


 


เฉียวซือมู่คิดถึงตรงนี้แล้วรู้สึกเสียวสันหลังวาบ 


 


 


แต่… เธอคิดๆ แล้วเอ่ยถามหรงเซียว “เฝิงเจ๋อกลับไปนานแล้วหรือยัง?” 


 


 


ถ้าเฝิงเจ๋อถูกจ้านซีเยวี่ยบีบบังคับให้ทำร้ายเธอด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แล้วตอนนี้เขากลับไปทั้งๆ ที่แผนล่มไม่เป็นท่า นั่นก็หมายความว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตรายนะสิ! 


 


 


หรงเซียวลังเลเล็กน้อย “น่าจะครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะ เขาบอกว่าไม่มีหน้าอยู่สู้หน้าพี่อีก เขาฝากคำพูดเอาไว้แล้วออกไปเลยค่ะ” 


 


 


เฉียวซือมู่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ตอนนี้ยาหมดฤทธิ์แล้ว เธอคลำหาอะไรสักอย่างแล้วเอ่ยถามหรงเซียว “กระเป๋าของพี่ล่ะ?” 


 


 


หรงเซียวชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะพี่มู่มู่ ตอนนั้นพวกเรารีบร้อนกันมากจนลืมกระเป๋าของพี่เอาไว้ที่โรงแรมค่ะ” 


 


 


“เหรอ” เธอมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับหรงเซียว “งั้นพี่ขอยืมโทรศัพท์มือถือของเธอหน่อยสิ” 


 


 


เธอจะโทรศัพท์หาจิ้นหยวน อย่างน้อยต้องบอกให้เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ 


 


 


หรงเซียวรีบพยักหน้าหงึกๆ แล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้เธอ เธอรับโทรศัพท์มือถือมาแล้วกดโทรหาจิ้นหยวนทันที 


 


 


เธอกดหมายเลขโทรศัพท์ทีละตัวๆ ในขณะที่จิตใจค่อยๆ สงบลงตามไปด้วย ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอก็ได้ หรือเขาอาจจะกำลังสำเริงสำราญอยู่ในงานสมาคมก็ได้ 


 


 


จิ้นหยวนกดรับสายทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “ฮัลโหล?” 


 


 


เสียงที่เฉียวซือมู่คุ้นเคยดังขึ้น เธอตื่นเต้นมากและกำลังจะอ้าปากพูด ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องดังขึ้นข้างหลังเธอ “อ๊า!” 


 


 


หัวใจของเธอกระตุกอย่างแรง ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยอะไรออกมาก็สัมผัสได้ถึงแรงลมเย็นที่จู่โจมเข้าใส่ตัวเธอ เธอไม่มีเวลาคิดมาก รีบก้มตัวลงจนสามารถหลบหลีกการจู่โจมนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด 


 


 


เสียงของจิ้นหยวนดังลอดออกมาจากโทรศัพท์มือถือ “ฮัลโหล นั่นมู่มู่หรือเปล่า? คุณพูดสิ? ได้ยินผมไหม?” 


 


 


แม้เฉียวซือมู่จะกำโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่น แต่เธอกลับไม่มีโอกาสคุยสายเลยสักนิด ใบหน้าของจ้านซีเยวี่ยที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นดูน่ากลัวจนขนลุก เธอถือมีดด้ามยาวเป็นเงาวับอยู่ในมือและกำลังย่างสามขุมเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


หรงเซียวถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งจับตัวเอาไว้ตรงมุมหนึ่งของห้อง เธอตกใจจนหน้าซีดเผือดและน้ำตานองหน้า เธอไม่คิดเลยว่าจู่ๆ จะมีคนแอบย่องเข้ามาทางหน้าต่างและจับตัวเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอได้แต่มองดูจ้านซีเยวี่ยที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานกำลังถือมีดเล่มยาวและกำลังเดินย่างสามขุมเข้าหาเฉียวซือมู่อย่างมาดร้าย 


 


 


เป็นไปไม่ได้ที่เฉียวซือมู่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์น่าประหวั่นพรั่นพรึงเช่นนี้แล้วจะไม่รู้สึกหวาดกลัว แต่เธอเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก ยิ่งเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเธอยิ่งใจเย็น เธอเพ่งมองจ้านซีเยวี่ยที่พยายามใช้มีดเล่มยาวจ้วงแทงลงบนอวัยวะสำคัญของตัวเองแล้วหลบหลีกอย่างว่องไว 


 


 


ต่อให้เธอว่องไวมากขนาดไหนแต่ก็ต้องเสียเปรียบเพราะไม่มีอาวุธ เพียงไม่นานเธอก็ได้แผลที่ต้นแขนจนเลือดไหลอาบ เสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่ถูกย้อมจนเป็นสีแดงฉาน 


 


 


เธอรู้สึกเจ็บมากแต่ไม่ยอมเผยให้เห็นความเจ็บปวดทางสีหน้าเด็ดขาด ในใจรู้สึกค่อยๆ หมดหวังลงเรื่อยๆ  คืนนี้เธอคงหนีไม่พ้นแล้วสินะ จะตายทั้งทีมิวายยังต้องมาทำให้หรงเซียวเดือดร้อนไปด้วยอีก 


 


 


จ้านซีเยวี่ยรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอเผยรอยยิ้มน่าสะพรึง “วิ่งหนีอีกสิ! ทำไมไม่วิ่งแล้วล่ะ?” 


 


 


เฉียวซือมู่โยนแจกันใบสุดท้ายในห้องอย่างใจเย็น พยายามขัดขวางจ้านซีเยวี่ยให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงเอ่ย “เธอเห็นฉันโง่มากนักหรือไงถึงจะยอมยืนอยู่กับที่ให้เธอแทงง่ายๆ น่ะ? ฉันยังไม่สิ้นคิดขนาดนั้นหรอกนะ” 


 


 


จ้านซีเยวี่ยได้ยินแล้วถึงกับหน้าเข้มจัด เธอเงื้อมือขึ้นจ้วงแทงเฉียวซือมู่อย่างเอาเป็นเอาตาย เฉียวซือมู่ก้าวเท้าถอยหนีกรูดจนแทบจะรับมือไม่ไหว 


 


 


ทันใดนั้นหรงเซียวทนดูต่อไปไม่ไหวจนตัดสินใจฝังคมเขี้ยวลงบนแขนของชายฉกรรจ์ที่กำลังจับตัวเธอเอาไว้ เธอฉวยโอกาสที่ชายคนนั้นหดมือกลับเพราะความเจ็บปวดร้องตะโกนเสียงดัง “หนีออกไปข้างนอกเร็ว!” 


 


 


เฉียวซือมู่กำลังยืนหันหลังให้ประตูห้องพอดี เธอยื่นมือออกไปจับมือจับประตูเอาไว้ ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บของหรงเซียว ดูเหมือนว่าหรงเซียวจะถูกชายฉกรรจ์ที่กำลังโมโหจัดทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ 


 


 


เธอลังเลจนทำให้มือที่กำลังจับมือจับประตูผ่อนแรงลงจนทำให้เสียโอกาสหนี เสี้ยววินาทีนั้น จ้านซีเยวี่ยพุ่งเข้ามาตรงหน้าเธอแล้วยกมีดด้ามยาวในมือขึ้นจ้วงแทงลงไปพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องของหรงเซียวที่ดังโหยหวน

 

 

 


ตอนที่ 169

 

ตายแน่แล้ว! 


 


 


นี่เป็นสิ่งที่เฉียวซือมู่คิดได้ในตอนนี้ เสี้ยววินาทีนั้นตรงหน้าเธอปรากฏภาพผู้คนมากมาย มีหรงเซียว เฝิงเจ๋อ คุณแม่ จากนั้นภาพของทุกคนเลือนหายไป เหลือไว้เพียงภาพของจิ้นหยวนที่มีรูปร่างสง่างาม ใบหน้าเปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นภาพสุดท้าย 


 


 


“ปัง!” 


 


 


ทันใดนั้น เสียงแปลกๆ เสียงหนึ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนดังขึ้น มีดเล่มยาวตรงหน้าตัวเองกลับยังไม่ได้แทงลงมาดังที่ควรจะเป็น เธอลืมตาขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ยังไม่ทันได้มองดูทุกอย่างให้ชัดเจนเธอก็ถูกใครคนหนึ่งดึงตัวเธอเข้าไปโอบกอดเอาไว้แน่น 


 


 


ไม่ต้องมีคำเอื้อนเอ่ยใดๆ และไม่ต้องเห็นเองกับตาตัวเองเธอก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของอกแกร่งผู้นี้เป็นใครจากกลิ่นเฉพาะตัวของจิ้นหยวน 


 


 


เขามาช่วยเธอแล้ว ดีจัง 


 


 


ทันใดนั้น ดวงตาของเธอเต็มไปได้วยหยาดน้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า จิ้นหยวนเพียงแค่กอดเธอเอาไว้ครู่เดียวแล้วคลายมือออกจนเธอเป็นอิสระ และนั่นทำให้เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นมองเห็นจิ้นหยวนกำลังสั่งลูกน้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ลากออกไปแล้วจัดการให้เรียบร้อย” 


 


 


“ครับ!” 


 


 


จากนั้นเสียงลากของหนักๆ ดังขึ้น เธอมองลงไปตามเสียงนั้นแล้วพบว่ามันเป็นร่างที่ไม่ไหวติงของจ้านซีเยวี่ย หัวใจเธอกระตุกอย่างแรง รีบหันไปถามจิ้นหยวนด้วยความตกใจ “เธอ… เธอเป็นอะไรไปคะ?” 


 


 


เธอหวนนึกถึงเสียงดังปังใหญ่ที่ตัวเองได้ยินเมื่อครู่แล้วไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


จิ้นหยวนเหลือบมองเธอแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเพียงสั้นๆ “เธอตายแล้ว” 


 


 


เธอชะงักนิ่งอึ้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตายแล้ว? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?” 


 


 


แม้จ้านซีเยวี่ยจะเป็นคนที่เลวร้ายที่สุด แต่เธอยังคงยอมรับความจริงไม่ได้ว่าจ้านซีเยวี่ยที่เพิ่งจะแสดงแสนยานุภาพของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตจะกลายเป็นศพไปแล้วจริงๆ 


 


 


จิ้นหยวนมองเธอหน้าเครียด พยายามสะกดกลั้นความคิดที่อยากจะดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้อย่างยากเย็นแล้วเอ่ย “ตอนนั้น ถ้าเธอไม่ตายคุณก็ต้องตาย” 


 


 


เฉียวซือมู่นิ่งเงียบ เธอยังจำความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงในเสี้ยววินาทีนั้นได้ดี ถ้าเขามาไม่ทันเวลาตอนนี้คนที่นอนจมกองเลือดคงเป็นตัวเธอเอง 


 


 


เมื่อคิดได้ดังนี้จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอเห็นกองเลือดบนพื้นแล้วก็รู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมาทันที ร่างกายเธอโงนเงนเล็กน้อย เธอยื่นมือออกไปหมายจะจับมือของเขาเอาไว้ แต่เธอกลับรู้สึกว่ามือของตัวเองสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่มันแข็งมาก 


 


 


เธอชายตามองด้วยความสงสัยแล้วพบว่าสิ่งนั้นเป็นวัตถุสีดำเป็นมันเงาเหมือนในภาพยนตร์ไม่มีผิด เธอตกใจจนหัวใจสั่นสะท้านแล้วมองเขาด้วยความหวาดกลัว 


 


 


จิ้นหยวนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่เธอเห็นอาวุธในมือของเขาแล้ว เขารีบเก็บมันอย่างรวดเร็ว แต่มาคิดๆ ดูอีกทีเขาควรทำให้เธอคิดได้เสียบ้าง จึงแข็งใจเอ่ยขึ้นใหม่ “ถ้าเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะผมมีเจ้านี่อยู่ในมือ ป่านนี้คุณคงตายไปแล้ว” 


 


 


ใช่แล้ว เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเขาเป็นคนยิงทะลุหน้าผากจ้านซีเยวี่ยเองกับมือเพื่อจบเรื่องราวทั้งหมด 


 


 


เขาก้มหน้าลงมองใบหน้าซีดขาวของเธอแล้วเอ่ยถาม “คุณกลัวเหรอ?” 


 


 


ในที่สุดเธอก็มั่นใจแล้วว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่มันคืออะไร แม้ร่างกายเธอจะเย็นเฉียบ มือสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เธอยังคงส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างดื้อรั้น “ไม่กลัว” เธอมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงอุบอิบ “เพราะฉันคุณถึงได้…” 


 


 


แววตาของเขาอ่อนแสงลงทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาอยากจะยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอแต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ 


 


 


“เราออกไปกันก่อนเถอะ” เขามองดูลูกน้องที่กำลังกุลีกุจอเคลียร์พื้นที่แล้วเอ่ยเสียเบา 


 


 


เธออยากจะออกไปจากที่นี่ตั้งนานแล้วจึงรีบตอบตกลงทันที 


 


 


ทั้งสองกำลังเดินออกจากห้อง ทันใดนั้นเธอหันกลับไปมองข้างในห้องราวเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอรีบคว้าตัวเขาเอาไว้แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “หรงเซียวล่ะ?” 


 


 


อย่าบอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ? 


 


 


เขาเหลือบมองเธอแวบหนึ่งแต่กลับไม่ตอบอะไรสักอย่าง เธอรอคำตอบของเขาอยู่ตั้งนานจนเริ่มท้อแท้เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจดี “เธอไม่เป็นอะไร พวกเราช่วยเธอเอาไว้ได้” 


 


 


เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก “คุณเกือบทำให้ฉันหัวใจหายแล้วนะ” 


 


 


จิ้นหยวนกำลังจะอ้าปากพูด แต่ทันใดนั้นเสียงขลาดๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังเธอ “พี่มู่มู่…” 


 


 


เธอหันกลับไปมองจึงเห็นหรงเซียวที่มีใบหน้าขาวซีดกำลังยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง แววตายังคงแฝงรอยหวาดผวา “พี่มู่มู่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” 


 


 


ในเวลาขวัญหนีดีฝ่อเช่นนี้หรงเซียวยังอุตส่าห์มีใจปลอบเธออีก มันทำให้เธอรู้สึกตื้นตันใจมาก เธอพยักหน้าให้หรงเซียวแล้วเอ่ย “พี่ไม่เป็นไร ขอบใจเธอมาก” 


 


 


ใบหน้าซีดขาวของหรงเซียวเริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อย เธอรีบส่ายศีรษะ “เมื่อกี้ฉันไม่ได้ช่วยอะไรพี่เลย คุณจิ้นต่างหากที่มาทันเวลาพอดี” 


 


 


เฉียวซือมู่มองหรงเซียวด้วยสายตาอ่อนโยน แค่เสียงตะโกนอย่างไม่คิดชีวิตของหรงเซียวเพียงแค่ประโยคเดียวมันก็มากเพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกขอบคุณหรงเซียวไปชั่วชีวิตแล้ว 


 


 


จิ้นหยวนที่รู้ที่มาที่ไปแล้วเริ่มมองหรงเซียวอย่างเป็นมิตรมากขึ้น “เธอเป็นคนดีมาก ฉันจะต้องตอบแทนน้ำใจเธออย่างแน่นอน” 


 


 


คราวนี้หรงเซียวหน้าแดงเป็นลูกตำลึง เธอรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่… ไม่หรอกค่ะ มันเป็นเรื่องที่ฉันสมควรทำอยู่แล้ว อีกอย่าง พี่มู่มู่ก็ดีกับฉันมาก…” 


 


 


“อย่าพูดเรื่องพวกนี้อีกเลย บ้านเธอยังอยู่ได้อีกหรือเปล่าเนี่ย? เอาอย่างนี้ กลับไปกับพี่ก่อนไหม?” เฉียวซือมู่รีบเชื้อเชิญทันที 


 


 


หรงเซียวปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ฉันไม่เป็นไรค่ะ บ้านแค่รกไปหน่อย เก็บกวาดนิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว…” 


 


 


เฉียวซือมู่อยากจะพาหรงเซียวไปด้วยเพราะไม่อยากให้เธออยู่ในบ้านที่มีคนตายคนเดียว แต่เมื่อเห็นว่าหรงเซียวปฏิเสธหนักแน่นขนาดนั้นจึงไม่ได้คะยั้นคะยอเธออีก เธอปลอบหรงเซียวอยู่อีกชั่วครู่แล้วเตรียมตัวจะกลับ 


 


 


ทันใดนั้น หรงเซียวกัดฟันเรียกเฉียวซือมู่เอาไว้เสียก่อน “พี่มู่มู่…” 


 


 


“มีอะไรเหรอ?” เฉียวซือมู่หันกลับไปเอ่ยถาม 


 


 


เฉียวซือมู่สังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของหรงเซียวตั้งนานแล้ว เธอเดาว่าหรงเซียวคงมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ เธอจึงไม่แปลกใจเลยที่ถูกหรงเซียวเรียกเอาไว้ 


 


 


จิ้นหยวนมองหญิงสาวทั้งสองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยกับเฉียวซือมู่ “เดี๋ยวผมไปรอคุณที่รถนะ” 


 


 


เขาดูออกว่าหรงเซียวมีเรื่องอยากจะคุยกับเฉียวซือมู่จึงเลี่ยงออกไปให้ทั้งสองได้คุยกันอย่างสะดวก 


 


 


เฉียวซือมู่มองหรงเซียวแล้วเอ่ยถาม “เอาล่ะ เธออยากจะคุยอะไรกับพี่เหรอ?” 


 


 


เมื่อกี้เป็นเพราะจิ้นหยวนยืนอยู่ข้างๆ หรงเซียวจึงไม่กล้าพูดความจริง ตอนนี้เขาออกไปแล้ว เธอจึงเอ่ยอย่างโล่งอก “ฉันอยากให้พี่ช่วยตามหาตัวเฝิงเจ๋อค่ะ เขา… เขา…” 


 


 


หรงเซียวอ้ำอึ้งอยู่นานสองนานแต่ก็พูดไม่จบเสียที เฉียวซือมู่คิดๆ แล้วเข้าใจทันที จู่ๆ เฝิงเจ๋อก็กลับลำไม่ทำตามแผน จ้านซีเยวี่ยไม่มีทางปล่อยเขาเอาไว้แน่ ตอนนี้เฝิงเจ๋ออาจจะกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ได้ 


 


 


สีหน้าของเฉียวซือมู่ขรึมลง “พี่เข้าใจความหมายของเธอแล้ว เดี๋ยวพี่ให้คนออกไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้แหละ” 


 


 


หรงเซียวโล่งอก สีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณมากค่ะพี่มู่มู่” 


 


 


เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่ต้องเกรงใจ เฝิงเจ๋อก็เป็นเพื่อนพี่เหมือนกันนะ” 


 


 


เธอหันไปเรียกลูกน้องของจิ้นหยวนที่ยืนอยู่อีกฝั่งให้เข้ามาหาแล้วเล่าเรื่องของเฝิงเจ๋อให้ลูกน้องคนนั้นฟังเพื่อให้เขาแจ้งเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนทราบ เธอมองดูลูกน้องคนนั้นวิ่งตรงไปยังรถที่จอดรอเธออยู่แล้วหันกลับมาครุ่นคิดเล็กน้อย “ต่อจากนี้เธอจะเอายังไงต่อ?” 


 


 


หรงเซียวทำหน้าเหลอหลา “เอายังไงต่อ ก็ไปทำงานตามปกติไงคะ” 


 


 


หรงเซียวเห็นสีหน้าของเฉียวซือมู่แล้วเพิ่งเข้าใจความหมายว่าเธอหมายถึงเรื่องของเฝิงเจ๋อ เธอยิ้มขมขื่น “ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขานานแล้วค่ะ ตอนนี้ฉันหวังเพียงแค่ขอให้เขาปลอดภัยก็พอ เรื่องอื่นฉันไม่กล้าคิดแล้วล่ะค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 170

 

น้ำเสียงของหรงเซียวเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและอ้างว้าง 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกเศร้าใจ เธอได้ยินความในใจของเฝิงเจ๋อระหว่างที่เธอตกอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นเพราะฤทธิ์ยา ในใจของเขาไม่เคยมีหรงเซียวเลยแม้แต่น้อย เพราะตั้งแต่ต้นจนจบเขาพูดถึงแต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอคนเดียวเท่านั้น 


 


 


สิ่งที่เธอได้รับรู้ทำให้เธอพูดไม่ออกแม้แต่คำปลอบใจ เธอได้แต่ถอนหายใจหนักๆ แล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “เธอก็ปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ยังมีผู้ชายดีๆ อีกเยอะแยะ” 


 


 


หรงเซียวน่าจะคิดได้แล้ว เพราะดูท่าทางเธอไม่ได้เสียใจมาก พอได้ยินคำพูดของเฉียวซือมู่แล้วยังมีใจหยอกเธออีกต่างหาก “เหมือนคุณจิ้นใช่ไหมคะ?” 


 


 


เฉียวซือมู่หน้าแดงซ่านแต่ในใจกลับภูมิใจมาก จิ้นหยวนดีกับเธอมากจริงๆ เธอจึงเชิดหน้าขึ้นด้วยความภูมิใจ “มันก็แน่อยู่แล้ว” 


 


 


พอจิ้นหยวนรู้ว่าต้องออกไปตามหาเฝิงเจ๋อก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขารู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมากจึงรีบออกคำสั่งให้ลูกน้องออกตามหาเฝิงเจ๋อทันที จากนั้นจึงเห็นเฉียวซือมู่ค่อยๆ เดินมาหาเขาอย่างช้าๆ 


 


 


เขาเปิดประตูรถแล้ววางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไว้อีกฝั่ง เขามองเธอพลางเอ่ยถาม “พวกคุณคุยอะไรกันเหรอ?” 


 


 


เธอมองเขาแวบหนึ่งเพราะรู้สึกขำความขี้ระแวงเล็กๆ น้อยๆ ของเขา “คุณรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ?” 


 


 


“เรื่องของเฝิงเจ๋อ?” เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ถ้ารู้ว่าเขาจะก่อเรื่องได้ขนาดนี้ ผมน่าจะ…” 


 


 


เฉียวซือมู่เลิกคิ้วขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยถาม “น่าจะอะไรคะ?” 


 


 


เขาหลุดปาก พลันดวงตาฉายแววจนมุมขึ้นแวบหนึ่ง 


 


 


เธอจ้องเขาตาเขม็ง “อยู่ดีๆ เฝิงเจ๋อก็ลาออก เป็นเพราะฝีมือคุณใช่ไหม?” 


 


 


พอรู้ตัวว่าหลุดปากเผยแผนการของตัวเองออกไปแล้วเขากลับไม่รู้สึกหงุดหงิดสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน “ผมบังคับให้เขาลาออกเอง แล้วจะทำไม?” 


 


 


“นี่คุณ! นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ!” เธอโมโหจนหน้าขาวเผือด 


 


 


เธอรู้สึกว่าการลาออกของเฝิงเจ๋อมันทะแม่งๆ ตั้งแต่แรกแล้วเพราะไม่มีสัญญาณอะไรบ่งบอกเลยสักนิด แต่ภายหลังเธอเห็นว่าเขาได้งานใหม่ที่ดีกว่าเดิมจึงเลิกตื๊ออีก เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราย่อมเลือกเส้นทางที่สูงขึ้น แต่เธอไม่คิดเลยว่าจิ้นหยวนจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ มันทำให้เธอโมโหจนตัวสั่น 


 


 


จิ้นหยวนมองดูท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของเธอแล้วรู้สึกว่าคลื่นแห่งความไม่พอใจถาโถมขึ้นมาจุกอยู่ในอก “สงสารเหรอ?” 


 


 


“เปล่าซะหน่อย คุณมัน… ไอ้ตัวร้าย!” เธอได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีมาตั้งแต่เล็กจนโตจึงไม่ค่อยได้เอ่ยปากด่าใครสักเท่าไหร่ เวลานี้เธอต้องนึกอยู่ตั้งนานกว่าจะนึกคำด่าออกมาได้ “คุณบีบให้เขาลาออกได้ยังไงกัน?” 


 


 


“บีบอะไรกัน?” เขายิ้มเย็น “ผมแค่เสนอทางเลือกให้เขาก็เท่านั้นเอง ทางแรกคือลาออกดีๆ แล้วผมจะเสนองานดีๆ ให้เขา อีกทางคือถูกผมไล่ออกแล้วจบลงในคุก เขาเป็นคนเลือกเส้นทางนั้นเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมด้วย” 


 


 


“คุณมันไร้เหตุผลที่สุด” เธอคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะหลุดคำด่าออกมาได้ 


 


 


จิ้นหยวนมองเธอนิ่งๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาออกหน้าช่วยคุณเอาไว้หลายครั้งแล้วล่ะก็ คุณคิดว่าผมจะปล่อยให้เขาลาออกง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? ก็ผมไม่อยากให้ผู้ชายคนอื่นมองคุณทุกวัน แล้วจะทำไม?” 


 


 


เขาเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ พูดได้อย่างสมเหตุสมผล เธอตะลึงนิ่งอึ้งจนนึกคำพูดไม่ออก 


 


 


เขามองหน้าตาเหลอหลาที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักของเธอแล้วยื่นมือแตะหน้าเธอเบาๆ “ถ้าคุณเป็นเด็กดี ไม่ทำตัวเป็นดอกไม้ล่อแมลง ผมก็จะรักคุณตลอดไป” 


 


 


“ล่อแมลงอะไร ฉันไม่ได้เต็มใจซะหน่อย” ในที่สุดเธอก็ควานหาเสียงของตัวเองจนเจอและเปล่งมันออกมาจนได้ เธอยกมือขึ้นคว้ามือเขาหมับ 


 


 


จิ้นหยวนเห็นท่าทางของเธอแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ผมดีกับเขามากแล้วนะ เงื่อนไขเดียวที่ผมต้องการจากเขาคือให้ไม่ให้เขาพบคุณอีก แต่ดูเหมือนว่าแค่เงื่อนไขข้อเดียวเขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ” 


 


 


เธอฟังคำพูดแฝงความนัยของเขาแล้วรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย “แล้วคุณคิดจะทำอะไร?” 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ย “นี่เป็นเรื่องระหว่างผมกับเขา คุณไม่ต้องยุ่ง” ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเฝิงเจ๋อจะตัดสินใจปล่อยผู้หญิงของเขาหรือไม่ แต่เรื่องที่เขาพยายามทำให้เธอเสียหาย เขาจะไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาด 


 


 


เฉียวซือมู่ร้อนรน “แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำอะไรฉันนี่ คุณอย่าทำอะไรเขาเลยนะ” 


 


 


ดวงตาของเขาวาววับ “ได้ ผมจะไม่ทำอะไรเขา” 


 


 


“คุณพูดจริงนะ?” เธอเอ่ยถามเสียงสูงอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก คิดๆ แล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องรับปากฉันก่อน นอกจากคุณแล้วลูกน้องของคุณก็ห้ามทำอะไรเขาด้วย” ถือเสียว่าเธอทำเพื่อเขาเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน 


 


 


จิ้นหยวนตกปากรับคำอย่างไม่ลังเลสักนิด “ได้ ผมรับปากคุณ” 


 


 


เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่พอได้ยินประโยคถัดไปของเขา หัวใจของเธอก็บีบรัดรุนแรงอีกครั้ง “ถ้างั้นตอนนี้ก็ได้เวลาคิดบัญชีของเราแล้ว” 


 


 


“คิด… คิดบัญชีอะไร?” เธอกินปูนร้อนท้องจนพูดตะกุกตะกัก 


 


 


เขากวาดสายตามองเธอแวบหนึ่ง “แล้วคุณคิดว่าเรื่องอะไรล่ะ?” 


 


 


นี่เขาจะคิดบัญชีย้อนหลังสินะ หัวใจของเธอกระตุกอย่างแรง ลังเลเล็กน้อยว่าควรจะพูดหวานๆ กับเขาดีหรือไม่ เผื่อเขาจะลืมเรื่องที่เธอแอบหนีออกไปข้างนอกจนเกิดเรื่องอันตรายขึ้น 


 


 


จิ้นหยวนหมดความอดทน ประกายอันตรายปรากฏชัดในดวงตาของเขาที่กำลังจ้องมองเธอ เธอก้มหน้างุดไม่กล้าสู้สายตาเขาเพราะทำความผิดเอาไว้ เขาจึงใช้นิ้วมือเชยคางของเธอให้เงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ทำไมต้องแอบหนีออกไปด้วย? แล้วยังจะพูดโกหกอีก” 


 


 


เธอต้องสบตาเขาอย่างจำยอมพลางเอ่ยอย่างจำใจ “เพราะฉันถูกขังอยู่แต่ในบ้านจนเบื่อนะสิ ฉันก็เลยอยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง” 


 


 


“ยัยโง่เอ๊ย!” เขาคิดไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ แค่นี้ มันทำให้เขาโมโหจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนจนดูน่ากลัวมาก “คุณโกหกเพราะเรื่องเพียงแค่นี้อย่างนั้นเหรอ? ถ้าคุณเบื่อทำไมคุณไม่บอกผม?” 


 


 


เฉียวซือมู่เห็นท่าทางของเขาแล้วรู้สึกลนลานจนเอ่ยออกมาเสียงดัง “คุณจะให้ฉันบอกคุณว่ายังไง? บอกคุณว่าฉันอยากออกไปข้างนอก แล้วถ้าเกิดคุณบอกว่าข้างนอกมันอันตรายล่ะ?” 


 


 


“แล้วทำไมคุณไม่ยอมให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณล่ะ?” จิ้นหยวนกัดฟันกรอด 


 


 


เธอชะงักนิ่งอึ้ง จริงสิ ทำไมเธอถึงไม่ให้เขาไปงานเลี้ยงประจำปีเป็นเพื่อนเธอล่ะ? หรือเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเธอไปงานนี้คนเดียวมาตลอด พอมาปีนี้เธอจึงลืมจิ้นหยวนไปโดยปริยายอย่างนั้นหรือ? 


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ในขณะที่เขายังคงจ้องเธอตาไม่กะพริบเธอกลับส่งยิ้มแหยๆ ให้เขาแทน “ฉันลืมไปน่ะ” 


 


 


สีหน้าของเขาเครียดขึ้ง “คุณไม่เคยแคร์ผมเลย” 


 


 


เธอร้อนรนใจมาก มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ เธอไม่ได้คิดอย่างนั้น 


 


 


“ไม่ใช่นะ ฉันแค่คิดไม่ถึงก็เท่านั้นเอง ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยจริงๆ คุณต้องเชื่อฉันนะคะ” เธอรีบอธิบายอย่างร้อนรน จิ้นหยวนมองเธออย่างเย็นชาโดยไม่ตอบใดๆ 


 


 


เฉียวซือมู่รู้ตัวว่าคำพูดของตัวเองไม่มีน้ำหนักพอ เมื่อเห็นว่าเขากำลังโมโหสุดขีดเธอจึงไม่กล้าปริปากอีก ได้แต่ขดตัวงออยู่ตรงมุมเบาะที่นั่ง 


 


 


บรรยากาศในรถเย็นยะเยือกขึ้นมาในฉับพลัน 


 


 


คนขับรถขับรถมาจอดลงตรงหน้าประตูคฤหาสน์หลังงาม เขากำลังแปลกใจว่าทำไมที่นั่งตอนหลังถึงได้เงียบนัก ทันใดนั้นเขาเห็นประตูรถเปิดออก จากนั้นคุณเฉียวเดินลงจากรถก่อนแล้วคุณชายจิ้นค่อยเดินลงจากรถตามหลัง 


 


 


คนหนึ่งเดินนำหน้า ส่วนอีกคนหนึ่งเดินตามหลัง แต่มันเป็นภาพที่ดูแปลกมากในสายตาของเขา ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังดูรักกันดี แต่ทำไมตอนนี้ถึงดูห่างเหินกันแบบนี้ล่ะ? 


 


 


หรือว่าทั้งสองคนทะเลาะกันในรถ?



ตอนที่ 171 ด้านมืดของจิ้นหยวน 


 


 


 


 


 


แผ่นกั้นระหว่างที่นั่งคนขับกับห้องผู้โดยสารเก็บเสียงได้ดีมากจนทำให้คนขับรถไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆ ด้วยความไม่เข้าใจ 


 


 


สีหน้าของจิ้นหยวนเคร่งขรึมเย็นชา เขาไม่เอ่ยอะไรสักคำจนกระทั่งกลับเข้าไปในห้อง พ่อบ้านเฉินยิ้มดีใจเป็นพิเศษที่เห็นเฉียวซือมู่กลับมาแล้วจึงเข้าไปทักทายเธอ เฉียวซือมู่ที่หัวใจกำลังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง 


 


 


เธอรู้สึกผิดเล็กน้อย ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าจ้านซีเยวี่ยจะบ้าคลั่งขนาดนั้น ก็เธอคิดว่าจ้านซีเยวี่ยถูกจับไปแล้วนี่นา 


 


 


เธอมองดูจิ้นหยวนที่เดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องน้ำแล้วแอบบ่นงุบงิบกับตัวเอง “คนขี้ใจน้อย…” 


 


 


จิ้นหยวนได้ยินเข้าพอดี เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย 


 


 


แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับฟังเย็นชา “คุณบ่นอะไร?” 


 


 


เธอตกใจสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าทั้งๆ ที่มีประตูกั้นอยู่แท้ๆ แต่เขายังอุตส่าห์หูดีได้ยินเธอบ่นงึมงำอีก จึงรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน “เปล่า ไม่มีอะไร ฉันกำลังดูมือถืออยู่น่ะ” 


 


 


เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ส่วนเธอก็ไม่กล้าบ่นอีกเหมือนกันเพราะกลัวเขาจะได้ยินอีก 


 


 


เสียงน้ำฝักบัวที่ดังซ่าๆ อยู่ข้างในทำให้เฉียวซือมู่หวนนึกถึงรูปร่างไร้ที่ติของเขาที่เธอเห็นเคย และนั่นทำให้เธอจินตนาการไปไกล 


 


 


ทันใดนั้น เสียงของจิ้นหยวนดังขึ้น “ช่วยหยิบชุดนอนให้ผมหน่อย” 


 


 


“ชุดนอนเหรอคะ?” เธอหันมองไปทางตู้เสื้อผ้าแล้วเห็นชุดนอนสีขาวของเขาวางอยู่ตรงนั้น เธอหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เธอเคาะประตูเบาๆ “นี่ค่ะ ชุดนอนของคุณ” 


 


 


เรื่องมากจริง ทำไมไม่พันผ้าขนหนูออกมานะ? 


 


 


ขณะที่เธอกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นพลันประตูห้องน้ำเปิดออก จากนั้นแขนยาวๆ ข้างหนึ่งยื่นออกมานอกห้อง เธอรีบยื่นชุดนอนเข้าไปใกล้ “อยู่ตรงนี้” 


 


 


เขาตอบอืม ทันใดนั้นมือที่กำลังจะหยิบชุดนอนกลับคว้าจับแขนเธอแทน เธอไม่ทันระวังตัวจึงถูกดึงเข้าไปในห้องน้ำที่เต็มไปด้วยไอน้ำขมุกขมัว 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นท่ามกลางความอลหม่านพลันเห็นรูปร่างไร้ที่ติไร้ซึ่งสิ่งปกปิดของเขา เธอรีบเบือนหน้าหนีแล้วกรีดร้องด้วยความตกใจ “คุณทำอะไรน่ะ?” 


 


 


จิ้นหยวนยกมือหนาใหญ่ของเขาวางลงบนอกซ้ายของเธอช้าๆ “คุณรู้หรือเปล่าว่าชั่ววินาทีที่ผมรู้ว่าคุณกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วหัวใจของผมเจ็บปวดรวดร้าวมากขนาดไหน?” 


 


 


สีหน้าของเขาสับสนวุ่นวาย ความเย็นชาที่เป็นเกราะหุ้มกายของเขาพังทลายลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน “คุณรู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณมากขนาดไหน? ผมเห็นคุณสำคัญกว่าชีวิตของผมเสียอีก กลัวเหลือเกินว่าจะทำให้คุณไม่พอใจ พยายามทำทุกอย่างให้คุณมีความสุข แล้วเป็นไง คุณแอบหนีผมออกไปข้างนอก แล้วยังถูกผู้ชายคนอื่นข่มเหงรังแกอีก…” 


 


 


เฉียวซือมู่รีบอธิบายลนลาน “เขาแค่แตะต้องตัวฉันนิดเดียว ไม่ได้… ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย…” 


 


 


เธอนึกว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดกระจ่างแจ้งแล้วเสียอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเสียแล้ว 


 


 


จิ้นหยวนฟังคำอธิบายของเธอแล้วสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย แววตาที่เคยบ้าคลั่งอ่อนแสงลง “ถ้าเขาทำอะไรคุณจริง ผมคงฆ่าเขาไปนานแล้ว ไม่รอให้คุณมาขอความเมตตาให้เขาแบบนี้หรอก” 


 


 


เวลานี้รอยยิ้มของเขาเย็นยะเยือก สีหน้าดุร้าย มันทำให้เธอหวนนึกถึงภาพครั้งแรกที่เธอเจอกับเขา ตอนนั้นความยโสโอหัง ความดูถูกเยาะเย้ยของเขาทำให้ใครเห็นเป็นต้องรู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนหลังเป็นเพราะความรู้สึกของทั้งสองลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาอีก 


 


 


และคืนนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นสีหน้าแบบนั้นอีกครั้ง มันทำให้หัวใจเธอสั่นสะท้าน เธอเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอในคืนนี้มันทำร้ายหัวใจเขามากขนาดไหน 


 


 


หัวใจเธออ่อนยวบและไม่รู้สึกว่าเขาน่ากลัวอีกต่อไป เธอเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรหนีออกไปข้างนอก ขอโทษนะคะ” 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอยอมอ่อนข้อให้เขา เขาชะงักอึ้งไปเล็กน้อย เปลวเพลิงในดวงตาอับแสงลง สีหน้าเริ่มกลับมาเป็นปกติมากขึ้น เขาค่อยๆ จับมือเธอที่ยันอกเขาเอาไว้พลางเอ่ย “ครั้งหน้า…” เขาเน้นเสียงหนักขึ้น “ครั้งหน้าถ้าคุณยังทำอย่างนี้อีก ผมจะจับตัวคุณกลับมาแล้วตีให้ขาหัก จากนั้นเอาโซ่ล่ามคุณไว้ในห้อง คุณจะได้หนีไปไหนไม่ได้อีก” 


 


 


เขาเอ่ยเสียงเบาอย่างช้าๆ ความโหดร้ายในคำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกเสียวสันหลังวาบจนต้องชายตามองหน้าเขาด้วยความหวาดหวั่น 


 


 


เขายิ้มพลางใช้นิ้วมือไล้ใบหน้าอ่อนนุ่มของเธอ “ผมล้อคุณเล่นน่ะ ผมจะทำกับคุณลงคอได้ยังไง” 


 


 


รอยยิ้มของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าความหนาวเหน็บในฤดูหนาวเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิทันที เธอรู้สึกโล่งราวกับยกภูเขาออกจากอก เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเอ่ย “คุณทำฉันตกใจจนหัวใจเกือบหยุดเต้นแน่ะ”


ตอนที่ 172 กลับไปทำงาน 


 


 


 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองกลับไปใช้ชีวิตสงบสุขเหมือนก่อนที่จะเกิดเรื่อง เฉียวซือมู่กลับไปทำงานที่บริษัทเหมือนเดิม 


 


 


แต่พอเธอก้าวเข้าไปในออฟฟิศปุ๊บก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติปั๊บ 


 


 


เพื่อนร่วมงานของเธอทั้งประหลาดใจทั้งดีใจที่เห็นเธอกลับมา ต่างกรูกันเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเธอไม่ขาดสาย เธอกวาดสายตามองไปทั่วแล้วพบว่ามีใครคนหนึ่งหายไป 


 


 


เฝิงเจ๋อนั่นเอง… 


 


 


เธอนึกถึงเรื่องที่จิ้นหยวนไปตรวจสอบมาแล้วถึงกับถอนหายใจหนักๆ เธอคิดในใจ ไม่ว่าหรงเซียวจะตัดใจจากเฝิงเจ๋อได้หรือยัง อีกเดี๋ยวเธอก็ต้องบอกความจริงให้หรงเซียวรู้ 


 


 


เพื่อนร่วมงานต่างพากันรายล้อมตัวเธอเพื่อถามโน่นนั่นนี่ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอก่อนหน้านั้นไม่ได้ถูกแพร่งพรายให้คนนอกรู้ ทุกคนรู้เพียงแค่ว่าเธอไม่สบาย แถมงานเลี้ยงประจำปีเธอยังดื่มจนเมาอีก และเพราะเธอมีแฟนที่เพียบพร้อมขนาดนั้นจึงทำให้ไม่มีใครระแวงสงสัยในตัวเธอ 


 


 


เพียงแต่ความกระตือรือร้นของทุกคนกลับแฝงความผิดปกติเอาไว้บนใบหน้าจนทำให้เธอรู้สึกสงสัย ในที่สุดหรงเซียวก็เป็นคนลากตัวเธอออกไปแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ยังไม่รู้เหรอคะ?” 


 


 


“ไม่รู้อะไร?” เธอจับต้นปลายไม่ถูก 


 


 


หรงเซียวมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ก็เรื่องที่ บ. ก. ต้วนลาออกนะสิคะ” 


 


 


“ไม่ใช่มั้ง? ทำไมพี่ไม่รู้เรื่องเลยล่ะ?” เฉียวซือมู่หน้าถอดสี 


 


 


หรงเซียวรู้สึกแปลกใจมาก เรื่องใหญ่ขนาดนี้เฉียวซือมู่ที่เป็นถึงหุ้นส่วนใหญ่ไม่น่าจะไม่รู้นี่นา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สาเหตุทันที เธอหน้าเข้มขึ้น “พี่รู้แล้ว เธอไปทำงานเถอะ” เธอฝืนยิ้มให้หรงเซียว 


 


 


หรงเซียวเป็นคนว่านอนสอนง่ายมาตลอด พอได้ยินคำพูดของเธอแล้วถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็ยอมกลับไปทำงานที่โต๊ะของตัวเองโดยดี เฉียวซือมู่เดินเข้าไปในห้องทำงานที่ไม่ได้ใช้งานมานานของตัวเอง สิ่งแรกที่เธอทำไม่ใช่เปิดคอมพิวเตอร์หากแต่โทรศัพท์หาจิ้นหยวนแทน 


 


 


เสียงของจิ้นหยวนดังลอดมาตามสาย “ที่รัก คุณกำลังทำอะไรอยู่?” 


 


 


เธอกดเสียงต่ำแล้วเอ่ยอย่างมีน้ำโห “ต้วนฉี่รุ่ยลาออกกะทันหันเป็นฝีมือคุณอีกหรือเปล่า?” 


 


 


จิ้นหยวนคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอจะต้องถามแบบนี้จึงตอบกลับ “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือผม?” 


 


 


“นอกจากคุณแล้วยังมีใครที่สามารถทำให้คนเขาลาออกโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำได้อีก?” ยิ่งรู้จักเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกตกใจกับวิธีการของเขามากขึ้น เธอเคยได้บทเรียนจากเรื่องของเฝิงเจ๋อแล้ว คราวนี้พอได้ยินข่าวนี้เธอก็นึกถึงเขาขึ้นมาทันที 


 


 


“ขอบคุณสำหรับคำชม” 


 


 


ดูเหมือนจิ้นหยวนอารมณ์ดีไม่น้อย เสียงทุ้มต่ำและเซ็กซี่ของเขาดังลอยมาเข้าหูเธอจนทำให้เธอหน้าแดงซ่าน “คุณไม่ต้องมาเฉไฉเลยนะ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าทำไมคุณถึงทำแบบนี้?” 


 


 


จิ้นหยวนไม่พูดเล่นอีก “คุณคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยงั้นเหรอ?” 


 


 


“คุณหมายความว่ายังไง?” หัวใจเธอกระตุกวูบ 


 


 


“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ คุณคิดว่าใครเป็นคนอนุญาตให้เฝิงเจ๋อกลับมาร่วมงานเลี้ยง แล้วใครเป็นคนจัดเตรียมค็อกเทลผสมยาแก้วนั้น? คุณคิดว่าเป็นฝีมือของจ้านซีเยวี่ยคนเดียวอย่างนั้นเหรอ? จ้านซีเยวี่ยมีปัญญามากพอที่จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของบริษัทที่ตัวเองลาออกไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?” 


 


 


“คุณหมายความว่า… ต้วนฉี่รุ่ยก็…” เธอหายใจกระชั้นถี่ ถึงปากเธอจะเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ แต่ในใจเธอกลับเชื่อสิ่งที่เขาพูดไปแล้ว 


 


 


คืนนั้นเธอไม่เห็นแม้แต่เงาของต้วนฉี่รุ่ยซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ในฐานะที่เขาเป็นถึงผู้บริหารระดับสูง มันใช้ได้เหรอที่เขาไม่ปรากฎตัวในงานเลย อีกอย่าง เรื่องที่เขาอนุญาตให้เฝิงเจ๋อกลับมาร่วมงานเลี้ยงประจำปีก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่เขาน่าจะทำจริงๆ ด้วย 


 


 


ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาร่วมมือกับจ้านซีเยวี่ยจริงนะสิ ทำแบบนี้แล้วเขาจะได้อะไร? 


 


 


“ได้อะไรอย่างนั้นเหรอ? ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินกับอำนาจล่ะมั้ง หรือบางทีจ้านซีเยวี่ยอาจจะกุมความลับบางอย่างของเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้าเสี่ยงอันตรายลงมือทำร้ายคุณเหรอ?” เขาเอ่ยเสียงเนิบนาบ แต่คำพูดแต่ละคำกลับตอกย้ำลงกลางใจเธอ 


 


 


เธอกัดริมฝีปากแน่น เธอรู้จักต้วนฉี่รุ่ยนานพอสมควรจึงพอจะรู้อุปนิสัยของเขา เขาเป็นคนวิสัยทัศน์แคบ ละโมบโลภมาก หูเบา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อด้อยของเขา เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะทำผิดเพราะข้อด้อยเหล่านี้ 


 


 


เธอแค่คิดว่าต้วนฉี่รุ่ยเลอะเทอะไปบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเลอะเทอะหนักขนาดนี้ เขาน่าจะรู้ตัวดีว่าตัวเองมีความสำคัญต่อกองบรรณาธิการนี้อย่างไร เธอเองก็มีคนคอยหนุนหลังอยู่จึงไม่เคยคิดว่าเขาจะโง่เง่าจนถึงขั้นกล้าคิดร้ายกับเธอ แต่ความจริงก็ตบหน้าเธออย่างไม่ปรานี อีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเฝิงเจ๋อกลับตัวกลับใจในวินาทีสุดท้ายแล้วล่ะก็ ป่านนี้เธอคงถูก… 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วความโกรธเกลียดในใจก็ปะทุขึ้นมาทันที ต้วนฉี่รุ่ยไม่รู้เลยหรือว่าผู้หญิงที่ต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายแบบนั้นจะหวาดกลัวมากขนาดไหน? นี่เขาไม่เห็นแก่มิตรภาพอันยาวนานระหว่างเพื่อนร่วมงานบ้างเลยเหรอ? 


 


 


จิ้นหยวนได้ยินเสียงหายใจกระชั้นถี่ของเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอคงกำลังโกรธมาก เขาชักจะเสียใจขึ้นมาแล้วสิที่บอกเรื่องนี้ให้เธอรู้เร็วเกินไป เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ผมให้เขาลาออกไปแต่โดยดีแล้ว ต่อไปจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก คุณสบายใจได้” 


 


 


ความจริงแล้วเขาไม่ได้ปล่อยให้ต้วนฉี่รุ่ยลาออกง่ายๆ อย่างที่พูด แต่เขาไม่อยากให้เธอรู้วิธีโหดร้ายที่ตัวเองใช้ต่างหาก ตอนนี้เขาได้ยินเสียงเธอแล้วรู้ว่าเธอกำลังเสียใจ เขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าต้องคิดบัญชีต้วนฉี่รุ่ยให้ได้ 


 


 


เฉียวซือมู่รู้อยู่แล้วว่าจิตใจของคนเรานั้นน่ากลัวมากแค่ไหน แต่เธอคิดไม่ตกเลยว่าทำไมเรื่องทุกอย่างมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ เธอกลุ้มใจไม่หาย สุดท้ายคุยกับจิ้นหยวนอีกชั่วครู่จึงวางสายไป 


 


 


เธอมองไปทางห้องทำงานของต้วนฉี่รุ่ยแวบหนึ่งเพราะคิดว่าเขากำลังเก็บของอยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าเธอเอาความกล้ามาจากไหน ทันใดนั้น เธอตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปเคาะประตูห้องทำงานของต้วนฉี่รุ่ย จากนั้นเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาตจากเขา 


 


 


สีหน้าของต้วนฉี่รุ่ยเคร่งเครียด เขาไม่ได้กำลังเก็บของอย่างที่เธอคิดเอาไว้ แต่เขากำลังนั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่หลังโต๊ะทำงาน เขาตกใจที่เห็นเธอเดินเข้ามาในห้องโดยพลการ จากนั้นเอ่ยเสียงเข้ม “ทำไมไม่เคาะประตูก่อน?” 


 


 


เฉียวซือมู่ปิดประตูห้องแล้วมองเขาตาเขม็งไม่พูดไม่จา ยามแรกเขายังกล้าจ้องเธอกลับอย่างอกผายไหล่ผึ่ง แต่ตอนหลังสายตาของเธอคมกริบจนเขาทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทน เขาเอ่ยเสียงอ่อนลง “คุณคิดจะทำอะไรน่ะ?” 


 


 


เฉียวซือมู่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เธอเข้าใจความหวังดีของจิ้นหยวนที่ไม่อยากให้คนที่คิดจะทำร้ายเธออยู่ใกล้ตัวเธอ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาให้มากที่สุด 


 


 


แต่เธออึดอัดใจมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาถามให้รู้เรื่อง 


 


 


เธอเดินหน้าช้าๆ วางสองมือลงยันโต๊ะเอาไว้ สายตาจับจ้องเขาตาไม่กะพริบ “เพราะอะไรคะ?” 


 


 


เขาเบือนสายตาหนีด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “อะไรเพราะอะไร? คุณถามอะไรผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” 


 


 


แม้ก่อนหน้านี้เฉียวซือมู่จะยังไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่พอมาเห็นท่าทางเหมือนวัวสันหลังหวะของเขาแล้วจึงแน่ใจในทันที เขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอในคืนนั้นอย่างแน่นอน 


 


 


เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พอเห็นว่าเขาก้มหน้าลงด้วยความละอายใจจึงเอ่ยขึ้น “ฉันคิดว่าฉันดีกับคุณมาก แล้วทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้?” 



 

 

 


ตอนที่ 173

 

ต้วนฉี่รุ่ยเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เขาเอ่ยเสียงแข็ง “คุณกำลังพูดอะไรผมไม่เห็นเข้าใจสักนิด คุณออกไปได้แล้ว ผมจะทำงานต่อ” 


 


 


เธอหัวเราะเยาะที่เห็นเขายังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อ “คุณคิดว่าแกล้งทำเป็นทำงานแล้วจะไล่ฉันออกไปได้อย่างนั้นเหรอคะ? คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันต่างหากที่เป็นเจ้าของบริษัทนี้ คิดจะลาออกลับหลังฉันก็ต้องดูด้วยว่าฉันจะอนุญาตหรือเปล่า” 


 


 


ต้วนฉี่รุ่ยฟังแล้วหน้าตาลนลานขึ้นมาทันที แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น…” 


 


 


เธอยิ้มเย็น “ฉันไม่อยากทำอะไรคุณ แค่อยากจะถามให้หายสงสัยเท่านั้น” เอ่ยจบเธอเน้นเสียงหนักขึ้น “คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันพอมีชื่อเสียงในวงการอยู่บ้าง ถ้าคุณให้ความร่วมมือดีๆ ฉันก็จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปให้คนนอกรู้ ไม่อย่างนั้น ถ้าเกิดทุกคนรู้ว่าคุณลาออกจากที่นี่เพราะสาเหตุอะไร ดูซิว่าคุณยังจะไปหางานที่ไหนได้อีก?” 


 


 


วงการนิตยสารนั้นแคบนิดเดียว ยิ่งสมัยนี้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตพัฒนาไปไกลมาก มันจึงเป็นเรื่องง่ายนิดเดียวหากเธอคิดจะกระจายข่าวในอินเทอร์เน็ต ต้วนฉี่รุ่ยเชื่อคำขู่ของเธอทันที เขารีบเงยหน้าขึ้นด้วยความลนลาน “ผมถูกจ้านซีเยวี่ยบีบให้ทำเรื่องนี้” 


 


 


เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะน้อยๆ “ถึงก่อนหน้านี้คุณจะลำเอียงช่วยจ้านซีเยวี่ยอยู่บ่อยๆ แต่พอหลังจากฉันซื้อบริษัทนี้เอาไว้ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรคุณเลย ฉันให้คุณทำหน้าที่ บ.ก. เหมือนเดิม แถมยังเพิ่มเงินเดือนให้คุณอีกตั้งเยอะ ฉันหวังว่าความร่วมมือของเราสองคนจะนำพานิตยสารซินเฟิงให้เปล่งประกายในวงการ แต่คุณกลับแทงข้างหลังฉัน มันทำให้ฉันเสียใจมาก เพราะฉะนั้น ฉันอยากจะถามคุณหน่อย ฉันไปทำอะไรให้คุณเหรอ คุณถึงได้คิดหาสารพัดวิธีมาทำร้ายฉันแบบนี้” 


 


 


ทันใดนั้นเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ “อย่าบอกนะว่าคุณกำลังคิดว่าถ้าฉันดูแลที่นี่ไม่ได้แล้วบริษัทจะตกเป็นของคุณ?” 


 


 


ต้วนฉี่รุ่ยหน้าตึงทันทีที่เธอเอ่ยจบ เธอเข้าใจความหมายทันทีและได้แต่ยิ้มเย็น “คุณนี่มันโง่จริงๆ นี่คุณคิดจริงๆ เหรอว่าถ้าฉันออกจากที่นี่แล้วมันจะกลายเป็นของคุณน่ะ? ทำไมคุณถึงได้มีความคิดโง่เง่าแบบนี้?” 


 


 


คำพูดของเฉียวซือมู่แทงใจดำของต้วนฉี่ทุกคำ เขาเอ่ยขึ้น “จ้านซีเยวี่ยรับปากกับผมเอง เธอบอกว่าถ้าชื่อเสียงคุณป่นปี้ย่อยยับคุณคงไม่มาทำงานอีก จากนั้นเธอจะซื้อบริษัทนี้เอาไว้เอง…” 


 


 


“นี่คุณไม่รู้เหรอว่าตระกูลจ้านล้มละลายแล้ว? เธอจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ?” เธอเอ่ยขัดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง 


 


 


ต้วนฉี่รุ่ยยิ้มขมขื่น “ผมไม่รู้จริงๆ แต่เธอบอกกับผมว่าเธอยังมีเงินฝากธนาคารอีกก้อนที่ฝากไว้ในนามของคนอื่นและสามารถเบิกเงินออกมาใช้ได้ตลอด เธอยังบอกอีกว่าถ้าผมไม่ให้ความร่วมมือกับเธอ เธอจะประจานเรื่องที่ผมเคยทำเอาไว้ ผมก็เลยต้องทำตามที่เธอบอก” น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า 


 


 


“เธอกำความลับของคุณเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?” เฉียวซือมู่เพิ่งจะเข้าใจว่าที่เขากล้าเสี่ยงอันตรายล่วงเกินเธอเป็นเพราะจ้านซีเยวี่ยกุมความลับของเขาเอาไว้ 


 


 


ต้วนฉี่รุ่ยพยักหน้าหงึกๆ “เมื่อก่อนผมเลอะเทอะจนทำเรื่องโง่เง่าเอาไว้แล้วถูกจ้านซีเยวี่ยรู้เข้า เธอจึงใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ผม ตอนนั้นผมหลงผิดไปก็เลยตกปากรับคำเธอ…” เขามองเฉียวซือมู่อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จากนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างระมัดระวัง “ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณเลย ผมจะทำคุณลงคอได้ยังไง แต่ผมก็กลัวจ้านซีเยวี่ยจะประจานเรื่องของผม เพราะฉะนั้น งานเลี้ยงคืนนั้นผมถึงต้องคอยหลบหน้าคุณตั้งแต่งานเริ่ม และผมก็ไม่ได้ทำตามแผนจนถึงที่สุด ความจริงจ้านซีเยวี่ยสั่งให้ผมพาคนไปจับชู้ แต่ผมไม่ยอม คุณอย่าไล่ผมออกเลยนะ คุณช่วยพูดกับคุณจิ้นให้ผมหน่อยได้ไหม…” 


 


 


เขาวิงวอนใบหน้าน่าสงสาร มองเธอด้วยสายตาคาดหวัง เขาหวังเหลือเกินว่าคำพูดของเขาจะทำให้เธอใจอ่อนและไม่ยอมให้เขาลาออก 


 


 


แต่คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้เฉียวซือมู่ใจอ่อนเลยสักนิด เธอมองเขาอย่างเย็นชา “ฉันว่านะ ไม่ใช่เพราะคุณทำไม่ลงคอหรอก แต่คุณกลัวจิ้นหยวนเอาคืนต่างหาก ฉันพูดถูกไหมล่ะ?” 


 


 


ต้วนฉี่รุ่ยได้ยินคำพูดของเธอแล้วสีหน้าสิ้นหวังขึ้นมาทันที เขาปากสั่นแต่ก็พูดอะไรไม่ออก 


 


 


เธอทอดถอนใจเพราะรู้สึกเกลียดความใจอ่อนของตัวเองเหลือเกิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดช่วยจ้านซีเยวี่ยทำเรื่องเลวร้ายต่อเธอตั้งเยอะแยะ ต่อให้เขาอ้อนวอนขอความเมตตาก็เพื่อไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บมากนักก็เท่านั้นเอง ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่เธอก็รู้สึกเห็นใจเขาอยู่ดี 


 


 


แต่พอมาคิดๆ ดูอีกที ถ้าเทียบกับจ้านซีเยวี่ยที่ต้องสังเวยชีวิตตัวเองกับเขาที่แค่ถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว ถือว่าบทเรียนของเขานั้นเบามาก จะว่าไปแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะความละโมบโลภมากของตัวเขาเองทั้งสิ้น 


 


 


เธอมองเขานิ่งๆ “คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้จ้านซีเยวี่ยเป็นยังไงบ้าง?” 


 


 


เขาลังเลชั่วครู่แล้วเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก “ถูกจับตัวไปแล้วใช่ไหม?” 


 


 


ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและจ้านซีเยวี่ยมีแต่เรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น แต่ตอนหลังเขาเริ่มกลัวอำนาจของจิ้นหยวนจนไม่อยากข้องแวะกับเธออีก แต่เธอกลับใช้เรื่องที่เขารับสินบนเมื่อหลายปีก่อนมาข่มขู่เขาจนเขาถูกบีบให้กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดช่วยเธอทำเรื่องเลวร้าย ภายหลังเขาได้ข่าวว่าแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะจิ้นหยวนบุกเข้าไปช่วยเฉียวซือมู่เอาไว้ได้ทันเวลาพอดี แต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง 


 


 


ตอนแรกเขาคิดเพียงแค่ว่าเธออาจจะถูกจับตัวส่งตำรวจไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเธอถึงขั้นต้องสังเวยชีวิตตัวเอง เขามองสีหน้าผิดปกติของเฉียวซือมู่แล้วหัวใจกระตุกอย่างแรง 


 


 


เฉียวซือมู่ได้แต่ส่ายศีรษะ เธอพูดออกไปไม่ได้ว่าจิ้นหยวนเป็นคนลั่นไกปลิดชีพจ้านซีเยวี่ยเองกับมือ มิเช่นนั้นจะต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ เธอจึงเอ่ยเพียงแค่ “ถ้าคุณรู้ว่าจุดจบของเธอคืออะไร คุณควรจะรู้สึกขอบคุณที่ตัวเองโชคดีมาก เพราะคุณแค่ถูกไล่ออกเท่านั้น” 


 


 


เธอเอ่ยจบแล้วกวาดสายตามองใบหน้าหวาดผวาที่เพิ่งได้สติของเขาแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากห้องทันที ต้วนฉี่รุ่ยใบหน้าหมองคล้ำ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก 


 


 


หลังจากกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองแล้วเธอก็ได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ครึ่งค่อนวัน เธอรู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน ตอนนี้สมองเธอว่างเปล่า ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานสองนาน 


 


 


ผ่านเวลาไปไม่นานจิ้นหยวนก็โทรศัพท์หาเธออีก “ถามหมดแล้วเหรอ?” 


 


 


“อะไรนะคะ?” ปฏิกิริยาแรกของเธอคือ “นี่คุณแอบติดเครื่องดักฟังไว้บนตัวฉันเหรอ?” ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอไปพบต้วนฉี่รุ่ยมา 


 


 


เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขาดังลอยออกมาจนทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้หู “ไม่ต้องติดเครื่องดักฟังผมก็เดาออกว่าคุณทำอะไรบ้าง” 


 


 


“จริงเหรอคะ?” สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง 


 


 


“ก็จริงนะสิ สามีของคุณจะทำเรื่องอย่างนั้นได้ยังไง คุณต้องเชื่อใจผมสิถึงจะถูก” เขาเอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ 


 


 


“ก็ได้ คุณโทรหาฉันเพราะเรื่องนี้เหรอคะ?” เธอเอ่ยถาม 


 


 


“ก็ใช่นะสิ แค่อยากรู้ว่าคุณอารมณ์ดีหรือเปล่า ดูเหมือนตอนนี้คุณอารมณ์ดีไม่น้อยนะ” 


 


 


“อืม ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ต้วนฉี่รุ่ยเห็นฉันขัดหูขัดตาเขาตั้งแต่แรกแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขากับจ้านซีเยวี่ยร่วมมือกันทำร้ายฉันซะหน่อย ถ้าปล่อยวางได้ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย” เธอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


แววตาของเขาเย็นเยียบทันทีที่ได้ยินคำตอบของเธอ ดูเหมือนว่าบทเรียนที่คนคนนั้นได้รับยังไม่มากพอ แต่น้ำเสียงของเขากลับเรียบนิ่งไร้ความผิดปกติใดๆ “เด็กดี คุณอย่าเอามาใส่ใจเลยนะที่คนพวกนั้นทำไม่ดีกับคุณ”

 

 

 


ตอนที่ 174

 

“อืม” เธอยังคงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่เธอเองก็รู้ว่าจิ้นหยวนหวังดีต่อเธอ เธอจึงฮึดทำเป็นร่าเริงแล้วหยอกล้อเขา “ฉันว่านะ คุณไล่ บ.ก. ออกไปแล้ว จ้านซีเยวี่ยกับเฝิงเจ๋อก็ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ฉันต้องจัดการทุกอย่างคนเดียว คุณควรจะมาช่วยฉันไม่ใช่เหรอคะ?” 


 


 


“ได้ เดี๋ยวผมเสร็จงานแล้วไปช่วยคุณทันทีเลย” 


 


 


ตอนแรกเธอแค่ล้อเขาเล่นเฉยๆ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะตกปากรับคำจริง เธอตกใจพลางเอ่ย “คุณ… คุณพูดจริงเหรอคะ?” 


 


 


มือหนึ่งของจิ้นหยวนกำลังถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ เขากำลังคุยโทรศัพท์กับเธอพลาง อีกมือหนึ่งกำลังจรดปากกาเซ็นชื่อลงบนเอกสารพลาง “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?” 


 


 


“ฉันแค่พูดเล่นเฉยๆ ตอนนี้ไม่ได้ยุ่งอะไร รอให้ฉันได้คนครบแล้วก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” เธอจับน้ำเสียงของเขาได้ว่าเขากำลังผ่อนคลาย เธอจึงคิดว่าเขาน่าจะแค่พูดล้อเล่นกับเธอเฉยๆ เท่านั้น 


 


 


จิ้นหยวนยกยิ้มมุมปาก “รอผมนะ” เอ่ยจบแล้ววางสายไป 


 


 


เฉียวซือมู่มองโทรศัพท์มือถือในมือด้วยความตะลึงนิ่งอึ้ง ไม่จริงมั้ง นี่เขาจะมาจริงๆ เหรอ? 


 


 


ที่นี่มีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำอีกตั้งเยอะแยะมากมาย แล้วเขาจะช่วยอะไรเธอได้? หรือว่าเขาแก้งานเป็นกับเขาด้วย? หรือว่าจัดหัวข้อข่าวเป็น? เธอได้แต่ใช้นิ้วมือนวดคลึงหว่างคิ้วเบาๆ ด้วยความกลุ้มใจ 


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ถึงเวลาพักเที่ยง เธอยังคงขะมักเขม้นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตามลำพังโดยไม่รู้ตัวว่าได้เวลาพักเที่ยงแล้ว หรงเซียวเดินมาเคาะประตูห้องทำงานของเธอเบาๆ 


 


 


เธอชะงักมือที่กำลังยุ่งเป็นระวิงเพื่อดูเวลาถึงได้รู้ว่าได้เวลาพักเที่ยงแล้ว เธอได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อกี้ที่เธอบ่นกับจิ้นหยวนหาใช่เรื่องล้อเล่นทั้งหมด ตอนนี้ต้วนฉี่รุ่ยไม่อยู่แล้ว ถึงแม้เมื่อก่อนจ้านซีเยวี่ยจะคอยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอ แต่อย่างน้อยจ้านซีเยวี่ยก็ยังช่วยแบ่งเบางานบางส่วน แต่ตอนนี้งานทั้งหมดมาทับถมกันอยู่ที่เธอคนเดียว แล้วเธอยังจะมีเวลาว่างที่ไหนคอยดูเวลาอีก? 


 


 


หลายชั่วโมงที่ผ่านมาเธอยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว เธอผ่อนกล้ามเนื้อร่างกายที่นั่งเครียดเกร็งมาทั้งเช้าให้ผ่อนคลายลงถึงได้รู้สึกว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัว 


 


 


หรงเซียวยื่นศีรษะโผล่เข้ามาในห้องพลางเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พี่มู่มู่ไม่ไปทานข้าวเหรอคะ?” 


 


 


ที่นี่ไม่มีโรงอาหาร ปกติแล้วพนักงานจะเป็นคนเตรียมปิ่นโตมาเอง แต่เฉียวซือมู่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยจึงส่ายศีรษะเล็กน้อย “พี่ยังไม่อยากกิน” 


 


 


หรงเซียวเห็นท่าทางหดหู่ของเฉียวซือมู่แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องช้าๆ เธอยกปิ่นโตในมือขึ้น “วันนี้ฉันเตรียมอาหารมาเยอะแยะเลย พี่มาทานด้วยกันไหมคะ?” 


 


 


เฉียวซือมู่เอ่ยปฏิเสธยิ้มๆ “ไม่เป็นไร พี่ยังไม่อยากกินน่ะ เธอกินเถอะ” 


 


 


เธอรู้ดีว่าที่หรงเซียวบอกว่าเตรียมอาหารมาเยอะแยะล้วนเป็นคำพูดรักษาน้ำใจทั้งนั้น 


 


 


หรงเซียวลังเลเล็กน้อย “พี่ต้องรักษาสุขภาพนะคะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าเพิ่งมาทำงานเลยค่ะ” เธอมองดูท่าทางเหนื่อยล้าของเฉียวซือมู่แล้วหวนนึกถึงเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนที่เพิ่งประสบมาพลางเอ่ยเตือนเธอด้วยความเป็นห่วง 


 


 


เฉียวซือมู่เอ่ยตอบยิ้มๆ “พี่ไม่เป็นไรแล้ว แค่ทำงานยุ่งทั้งเช้าก็เลยรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ” 


 


 


หรงเซียวสังเกตสีหน้าเธออย่างละเอียดแล้วค่อยวางใจลง “ถ้า… ถ้าอย่างนั้นฉันออกไปก่อนนะคะ” เอ่ยจบแล้วค่อยๆ เดินออกจากห้อง 


 


 


เธอมองดูท่าทางของหรงเซียวแล้วรู้สึกว่าหรงเซียวน่าจะมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ เธอจึงเรียกหรงเซียวเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน” 


 


 


หรงเซียวหันหน้ากลับไปมองเธอ “มีอะไรอีกหรือเปล่าคะพี่มู่มู่?” 


 


 


เฉียวซือมู่มุ่นหัวคิ้วพลางเอ่ยถาม “เธออยากถามเรื่องของเฝิงเจ๋อใช่ไหม?” 


 


 


หรงเซียวก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความลำบากใจ “ฉัน… ฉันทนไม่ได้… ถึงเขาจะไม่ชอบฉัน แต่ว่าฉัน…” เธอเอ่ยพลางน้ำตาคลอเบ้า 


 


 


เฉียวซือมู่ทอดถอนใจ รู้สึกว่าหรงเซียวโชคร้ายมากที่มาเจอคนอย่างเฝิงเจ๋อ “เขาไม่เป็นไร ตอนที่เราเจอเขา เขากำลังถูกไล่ฆ่าพอดี เราช่วยเขาเอาไว้ได้ทัน แต่เขากลับหายตัวไปจากโรงพยาบาลโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ” 


 


 


หรงเซียวเบิกตาโต “หายตัวไป?” 


 


 


เฉียวซือมู่พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ หลังจากทำแผลเสร็จแล้วเขาก็ฉวยโอกาสหนีไปตอนที่คนของเรากำลังเผลอน่ะ” เธอสังเกตเห็นสีหน้าของหรงเซียวแล้วรีบอธิบายเพิ่มเติม “เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่พักผ่อนสักระยะก็หายแล้ว เธอไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก” 


 


 


หรงเซียวสีหน้าผิดหวัง “ไปแล้ว ไปแล้วก็ดีเหมือนกัน” 


 


 


แววตาของเฉียวซือมู่ไหววูบ เธอเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “ต่อไปเธอก็ต้องหัดปล่อยวางเรื่องของเขาได้แล้วนะ โลกนี้ผู้ชายไม่ไร้เท่าใบพุทรา อย่างคนที่ชื่อเฉินจวินก็ไม่เลวเหมือนกันนะ…” 


 


 


หรงเซียวรีบเอ่ยขัดทันที “ฉัน… ฉันหมดธุระแล้ว ฉันไปก่อนนะคะ บ๊ายบายค่ะพี่มู่มู่” 


 


 


เอ่ยจบก็รีบวิ่งจู๊ดหนีออกจากห้องทันที 


 


 


เฉียวซือมู่เห็นท่าทางของหรงเซียวแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ทันใดนั้นเธอรู้สึกสลดใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอยังมีคำพูดอีกหนึ่งประโยคที่ไม่ได้บอกหรงเซียว นั่นคือ แม้คนของจิ้นหยวนจะช่วยเฝิงเจ๋อเอาไว้ได้ แต่เอ็นมือของเขาถูกตัดขาด แม้ทีมแพทย์จะผ่าตัดซ่อมแซมให้เรียบร้อยแล้ว แต่มันต้องกระทบต่อการใช้ชีวิตต่อจากนี้ของเขาอย่างแน่นอน 


 


 


ตอนแรกเธอคิดจะช่วยรักษาเขาให้ดีที่สุด แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะแอบหนีออกไปและทิ้งข้อความเอาไว้ให้เธอแค่เพียงคำเดียว “ขอโทษ” 


 


 


เธอรู้สึกแย่มาก ความรู้สึกที่มีต่อเฝิงเจ๋อสลับซับซ้อนมากจนยากอธิบาย ก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยเธอเอาไว้หลายครั้ง เธอถึงได้เชื่อใจเขามาก แต่เธอไม่คิดเลยว่เขากลับใช้ความเชื่อใจที่เธอมีให้เขากลับมาทำร้ายเธอ แล้วจู่ๆ เขาดันมากลับลำกลางอากาศอีก เพราะฉะนั้น เวลาที่เธอนึกถึงเขาทีไร เธอจึงมีความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนจนอธิบายไม่ถูก 


 


 


ต่อให้เฝิงเจ๋อไม่ได้ลาออกและยังคงมาทำงานที่นี่เหมือนเดิม แต่เธอคงไม่มีทางเชื่อใจเขาเหมือนเดิมอีกแล้ว มิตรภาพที่ถูกทำลายจนเกิดรอยร้าวคงยากจะซ่อมแซมให้กลับไปเป็นเหมือนเก่า 


 


 


“ขอให้เธอโชคดี…” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบา 


 


 


“ขอให้ใครโชคดีเหรอ?” จู่ๆ เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างกายเธอ เธอไม่ทันตั้งตัวจึงตกใจจนแทบตกจากเก้าอี้ “นั่นใครน่ะ?” 


 


 


เธอหันหน้ากลับไปมองถึงเห็นว่าจิ้นหยวนกำลังยืนอยู่ข้างกายเธอ เธอถอนหายใจโล่งอก “นี่คุณเป็นแมวหรือไง? ทำไมเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง?” 


 


 


จิ้นหยวนหงายมือยักไหล่ “เป็นเพราะคุณใจลอยเองต่างหาก ผมตัวโตขนาดนี้ เดินเข้ามาในห้องคุณยังไม่รู้สึกตัวเลย” 


 


 


เธอได้แต่มองเขาอย่างจนคำพูด “แต่ก็ไม่ควรส่งเสียงจนทำให้ฉันตกใจแบบนี้ ถ้าเกิดฉันตกใจจนเป็นอะไรขึ้นมาคุณจะทำยังไง?” 


 


 


“ง่ายนิดเดียว” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วรวบเอวเธอเข้ามากอดเอาไว้ “ผมก็จะดูแลคุณไปตลอดชีวิตไงล่ะ” 


 


 


“ไม่เอาหรอก ผู้หญิงก็ต้องทำงานเหมือนกันนะ” เธอรีบแย้งทันทีโดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาที่ฉายความไม่พอใจขึ้นมาแวบหนึ่งของจิ้นหยวน 


 


 


เขารีบปรับอารมณ์ความรู้สึกให้กลับมาดูผ่อนคลายเหมือนเดิม เขาวางคางลงบนศีรษะของเธอพลางเอ่ย “เมื่อกี้คุณกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ใจลอยจนไม่เห็นผมเดินเข้ามาน่ะ” 


 


 


“กำลังคิดถึงเฝิงเจ๋อค่ะ…” เธอตอบกลับอย่างอัตโนมัติ แต่พอรู้ตัวว่าพูดผิดไปก็รีบอธิบายเป็นพัลวัน “ฉันแค่คิดถึงเรื่องเก่าๆ ของเขาน่ะค่ะ” 


 


 


“ที่แท้คุณก็คิดถึงเขานี่เอง ผมก็นึกว่าคุณกำลังคิดถึงผมเสียอีก” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่เธอกลับรู้สึกแปลกพิกล “คิดถึงสิคะ ฉันคิดถึงคุณทั้งเช้าเลยนะ” 


 


 


“จริงเหรอ?” เขามองหน้าเธออย่างไม่เชื่อ 


 


 


เธอพยักหน้าหนักแน่นแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “จริงสิคะ ฉันพูดจริงนะ” 


 


 


ดูเหมือนเขาจะยอมเชื่อเธอแล้วจึงคลี่ยิ้มบางๆ ให้เธอ เธอรู้สึกโล่งอก เธอกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างแต่กลับถูกเขาใช้มือใหญ่แตะๆ แก้มเธอเบาๆ แล้วว่า “คนหลอกลวง”

 

 

 


ตอนที่ 175

 

“ฉันพูดจริงนะคะ…” เธอมองเขาอย่างกระเง้ากระงอด 


 


 


“โอเค ผมเชื่อคุณแล้ว” เขาก้มลงหอมศีรษะเธอเบาๆ อย่างรักใคร่แล้วจับมือเธอเอาไว้ “ตามผมมา” 


 


 


“ไปไหนคะ?” ดวงตาเป็นประกายของเธอแฝงแววฉงนสนเท่ห์ 


 


 


“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง” เขาดึงเธอให้ลุกขึ้น เดินไปพูดไป 


 


 


เธอรู้สึกแปลกใจแต่ก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี มือใหญ่อบอุ่นของเขาจับมือเล็กของเธอเอาไว้ มันทำให้จิตใจเธอสงบเป็นพิเศษ ราวกับว่าเรื่องงานที่ทำให้เธอกลุ้มใจมลายหายไปสิ้น 


 


 


ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอมึนเมาจนไม่รู้ว่าตัวเองขึ้นไปนั่งอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเรียกสติคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่รถถูกขับไปหยุดจอดอยู่ตรงหน้าร้านอาหารหรูร้านหนึ่งแล้ว 


 


 


“คุณ… คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?” เธอมองเขาตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ 


 


 


จิ้นหยวนลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้เธอ รอจนเธอลงจากรถแล้วจึงเอ่ยขึ้น “พาคุณมาทานข้าวที่นี่ไง” 


 


 


“ความจริงคุณไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ฉันกินข้าวที่ออฟฟิศเองได้…” เธอเอ่ยอย่างลังเลเพราะรู้สึกว่าเขาทำมากเกินไป 


 


 


เขามองเธอแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจอยู่ในอก ก็แค่มากินข้าวเที่ยง จำเป็นต้องกระวนกระวายมากขนาดนี้เลยหรือ? 


 


 


เธอสังเกตเห็นสายตาของเขาแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก จากการสังเกตพฤติกรรมของเขามาเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร มันทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้เขากำลังไม่พอใจอยู่ 


 


 


เขาเป็นอะไรไป? เธอคิดอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่รู้สาเหตุเสียทีจึงได้แต่ส่ายศีรษะอย่างปลงๆ ว่าจิตใจผู้ชายนั้นยากจะคาดเดาเสียจริง 


 


 


พอเดินเข้าไปในร้านเธอถึงเห็นว่าร้านอาหารร้านนี้กว้างขวางมากและร้านถูกตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ที่น่าแปลกคือ ตอนนี้เป็นเวลามื้อเที่ยงที่ควรจะต้องมีลูกค้าแน่นร้าน แต่ในร้านกลับมีเพียงแค่เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ แต่กลับไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว  


 


 


นี่มัน… เธอส่งสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยให้จิ้นหยวน แต่เขากลับเดินต่อโดยไม่อธิบายอะไรทั้งสิ้น เพียงไม่นานก็มีชายใส่สูทผูกเนคไทที่น่าจะเป็นผู้จัดการร้านเดินเข้ามาต้อนรับทั้งสองและเชื้อเชิญให้ไปนั่งที่โต๊ะกลางร้าน 


 


 


เธอมองจิ้นหยวนที่ไม่พูดไม่จาแล้วชักสังหรณ์ใจแปลกๆ จิ้นหยวนเห็นสายตาสงสัยของเธอแต่กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นหยิบเมนูอาหารขึ้นมาเปิดดู “คุณดูเมนูซิว่าอยากทานอะไร” 


 


 


ทุกอย่างดูแปลกไปหมดตั้งแต่ที่เธอเดินเข้ามาในร้านแล้ว เธอรู้สึกอึดอัดมาก อยากจะถามเหลือเกินว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่เธอก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเปิดเอ่นเมนูที่อยู่ในมือ ที่นี่เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส อาหารทั้งหมดจึงเป็นอาหารขึ้นชื่อของฝรั่งเศสทั้งหมด 


 


 


ปกติแล้วเธอกินแต่อาหารจีนเสียเป็นส่วนใหญ่และไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งเศสสักเท่าไหร่ เธอจึงสั่งเซ็ทอาหารที่ทางร้านแนะนำแทน 


 


 


จิ้นหยวนรับเมนูอาหารมาจากเธอแล้วไม่ชายตาแลมันอีก เขายื่นเมนูอาหารให้ผู้จัดการร้านที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างโต๊ะ “เอาเหมือนเธออีกหนึ่งที่” 


 


 


ผู้จัดการร้านรับเมนูอาหารมาแล้วโค้งกายอย่างสุภาพ จากนั้นหมุนตัวเดินออกไป 


 


 


จิ้นหยวนหันกลับมาปะทะเข้ากับสายตาสงสัยของเฉียวซือมู่พอดี “คุณมีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถามพลางกวาดสายตามองร้านโล่งๆ ไปทั่วร้าน 


 


 


จิ้นหยวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ผมเหมาร้านนี้น่ะ” 


 


 


เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ ด้วย เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ถ้าอยากจะทานข้าวเงียบๆ ก็เลือกที่มันเป็นห้องส่วนตัวก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องทำโอเว่อร์อย่างนี้เลย เปลืองเงินเปล่าๆ” 


 


 


จิ้นหยวนดื่มน้ำเย็นอย่างใจเย็นแล้วเอ่ย “คุณพูดถูก อย่างอื่นผมมีไม่เยอะ มีแต่เงินที่เยอะ” 


 


 


“คุณนี่หน้าไม่อายจริงๆ” เธอหัวเราะพลางส่ายศีรษะน้อยๆ แต่เขาก็พูดถูก ตอนนี้ธุรกิจของจิ้นซื่อกรุ๊ปกำลังเจริญก้าวหน้าถึงขีดสุด ขนาดคนที่ไม่ค่อยได้ทำข่าวเศรษฐกิจอย่างเธอยังเห็นข่าวของเขาอยู่บ่อยๆ แล้วนับประสาอะไรกับคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกับเขา 


 


 


ยามนี้แววตาของจิ้นหยวนลึกล้ำยากจะคาดเดาดั่งราชสีห์ที่กำลังจ้องจะขย้ำเหยื่อ เขามองเธอนิ่งแล้วเอ่ย “อาหารร้านนี้อร่อยใช้ได้ คุณลองทานดู” 


 


 


“ค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกๆ คิดๆ แล้วเอ่ยถาม “ตอนนี้ที่บริษัทคุณไม่ยุ่งเหรอคะ?” 


 


 


เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมเสียเงินจ้างคนตั้งเยอะแยะ ก็ต้องให้พวกเขาทำงานบ้างสิ จริงไหม?” 


 


 


เธอหัวเราะ “ไม่รู้ว่าใครกันนะที่ช่วงก่อนยังงานยุ่งทุกวันจนแทบจะไม่มีเวลานอน” 


 


 


จิ้นหยวนคลี่ยิ้มน้อยๆ “นั่นเป็นเพราะว่า…” 


 


 


จู่ๆ เขาก็หยุดพูดราวนึกอะไรขึ้นมาได้จนทำให้เธอต้องเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “เพราะอะไรคะ?” 


 


 


เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “เพราะต้องรับมือกับคู่แข่งที่ฝีมือไม่เบาคนหนึ่ง”  


 


 


“คู่แข่งเหรอคะ?” เธอเอ่ยช้าๆ พลางมองใบหน้าไม่บอกอารมณ์ของจิ้นหยวน หัวใจของเธอกระตุกอย่างแรงจนไม่กล้าเอ่ยถามอะไรอีก 


 


 


อย่าบอกนะว่าเป็นจ้านซีเยวี่ย? หรือว่าฉีหย่วนเหิง? 


 


 


น่าจะเป็นไปได้ทั้งสองคน เพราะฉะนั้นเธอจะคุยเรื่องนี้ต่อไม่ได้แล้ว เธอรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “คุณรู้หรือเปล่าคะว่าเมื่อก่อนฉันไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งเศสสักเท่าไหร่ ตอนหลังที่บ้านได้พ่อครัวมาใหม่คนหนึ่ง ตอนแรกจะหาพ่อครัวทำอาหารจีน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายคุณพ่อถึงได้หาพ่อครัวที่ทำเป็นแต่อาหารฝรั่งเศสมาแทน…” 


 


 


เธอเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้แข็งกระด้างไปหน่อย แต่โชคดีที่มันยังฟังดูน่าสนใจอยู่บ้าง ตอนแรกจิ้นหยวนเพียงแค่นั่งฟังเฉยๆ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกคำพูดของเธอดึงดูดจนต้องตั้งใจฟัง สองหนุ่มสาวใกล้ชิดกันมาก คนหนึ่งพูดคนหนึ่งฟัง คนหนึ่งหล่อเหลาคนหนึ่งสวยงาม ทั้งสองดูเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก 


 


 


ความจริงร้านอาหารร้านนี้มีบริกรหนุ่มสาวเยอะมาก แต่ถูกจิ้นหยวนสั่งให้ออกไปข้างนอกจนหมด แต่ละคนอยากรู้อยากเห็นจนต้องไปยืนออกันอยู่ข้างในประตูห้องครัวแล้วยื่นศีรษะโผล่ออกไปสังเกตการณ์บรรยากาศในร้านอาหาร เมื่อเห็นภาพสวยงามดุจภาพวาดสีน้ำมันแล้วต่างพากันเบิกตาโตด้วยความชื่นชมและส่งเสียงพูดคุยเจื้อยจ้าวไปด้วย 


 


 


“ดูสิ พวกเขาดูเหมาะสมกันมากเลยเนอะ…” 


 


 


“ใช่ๆ สวยมาก ช่างเป็นภาพที่งดงามอะไรอย่างนี้…” 


 


 


และมีคนที่อิจฉาริษยาเฉียวซือมู่อยู่ด้วย “ฉันว่าผู้หญิงก็ดูธรรมดา ผู้ชายคนนั้นได้แฟนอย่างนี้ถือว่าขาดทุน…” คนที่พูดจากระแนะกระแหนถูกโจมตีทันที “เธอสวยจะตาย หรือว่าเธอคิดว่าตัวเองสวยกว่า?” 


 


 


“นั่นนะสิ ทำไมต้องอิจฉาคนที่ได้ดีกว่าด้วย…” 


 


 


“จริงสิ ฉันเหมือนจะเคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหน พวกเธอไม่รู้สึกเหรอว่าคุ้นหน้าเขามากน่ะ?” จู่ๆ บริกรคนหนึ่งก็เอ่ยแทรกขึ้น 


 


 


พอเขาเอ่ยทักขึ้นมาคนอื่นๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรออกเหมือนกัน “ใช่ พอเสี่ยวหลินพูดแบบนี้แล้วก็เหมือนจะ…”  


 


 


“อ๊ะ… ฉันนึกออกแล้ว ผู้ชายคนนั้นเป็นท่านประธานจิ้นแห่งจิ้นซื่อกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


“ใช่ๆ ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง… ตอนที่ฉันเห็นรูปถ่ายของเขาในอินเทอร์เน็ตก็รู้สึกว่าเขาหล่อมากแล้วนะ แต่พอมาเห็นตัวจริงของเขาแล้วถึงได้รู้ว่าช่างภาพพวกนั้นถ่ายรูปได้ห่วยมาก ตัวจริงหล่อกว่าในรูปถ่ายตั้งเยอะเลย…”  


 


 


บริกรสาวๆ มองจิ้นหยวนตาเป็นประกายจนน้ำลายแทบหก แต่ละคนยื่นคอยืดคอยาวหวังจะได้ชื่นชมท่านประธานจิ้นที่ได้แต่เห็นตามหน้าข่าวให้เต็มตา หากไม่ใช่เพราะที่นั่งของจิ้นหยวนกับห้องครัวห่างกันมากพอสมควร ป่านนี้เขาคงเห็นพฤติกรรมไม่น่าพิสมัยของบริกรเหล่านั้นแล้ว 


 


 


ในขณะเดียวกัน มีใครคนหนึ่งฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจลูกค้าสุดพิเศษอยู่โดยการหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา 

 

 

 


ตอนที่ 176

 

คนคนนั้นหันกล้องไปทางจิ้นหยวนกับเฉียวซือมู่แล้วกดปุ่มถ่ายรูป เพียงไม่กี่วินาทีก็ได้รูปถ่ายของสองหนุ่มสาวตั้งหลายรูป  


 


 


เธอยิ้มอย่างได้ใจ เดี๋ยวเลิกงานแล้วเธอจะโพสต์รูปพวกนี้ลงในเวยป๋อของตัวเอง จะต้องมีคนตามมากรี๊ดแน่ ถ้าโชคดีเธออาจจะกลายเป็นคนดังในโลกอินเทอร์เน็ตก็ได้ 


 


 


คนที่อ่านข่าวจากอินเทอร์เน็ตอย่างเธอรู้ดีว่าจิ้นหยวนมีแฟนคลับในอินเทอร์เน็ตมากมายขนาดไหน สิ่งที่ทุกคนชอบมากที่สุดคือหน้าตาอันหล่อเหลาราวเทพบุตรของเขา รองลงมาคือทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลของเขา เพราะฉะนั้น เธอรับประกันได้เลยว่าถ้าเธอโพสต์รูปพวกนี้ลงไป เธอจะต้องดังแน่นอน 


 


 


เธอเห็นภาพความฝันที่กำลังจะกลายเป็นจริงของตัวเองแล้วแอบยิ้มกริ่มในใจ เธอกำลังจะเก็บโทรศัพท์มือถือแต่เสี้ยววินาทีนั้นเสียงดุๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเธอพอดี “เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่?” 


 


 


เธอตกใจสะดุ้งโหยง มือที่กำโทรศัพท์มือถือคลายออกจนมันหล่นลงพื้นเสียงดัง “แชะ” 


 


 


ผู้จัดการร้านเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหาเธอ ตอนแรกเขาเห็นบริกรทั้งหลายต่างจับกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์ลูกค้าจึงคิดจะเข้าไปห้ามปราม แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีคนกล้าเสียมารยาทแอบถ่ายรูปลูกค้าแบบนี้ เขาโมโหจนหน้าดำหน้าแดง 


 


 


หวังลี่หย่าได้แต่ร้องครวญครางอยู่ในใจ เธอไม่นึกเลยว่าจู่ๆ ผู้จัดการร้านจะโผล่มาจังหวะนี้พอดี และยิ่งคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะขี้ตกใจจนถูกเขาจับได้ เธอยิ้มแหยพลางพยายามแก้ต่าง “ผู้จัดการฟังฉันก่อนนะคะ ฉันแค่หยิบมันออกมาดูเวลาเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยค่ะ…” 


 


 


เธอคิดจะใช้วิธินี้เอาตัวรอด แต่เขาเป็นถึงผู้จัดการร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ มีหรือที่จะถูกคำพูดแก้ต่างไร้น้ำหนักของเธอหลอกเอาได้ง่ายๆ เขามองเธอด้วยสายตาเย็นยะเยือกพลางยื่นมือออกไป “ส่งโทรศัพท์มือถือมาให้ฉันเดี๋ยวนี้” 


 


 


หวังลี่หย่าห่อไหล่ไม่ยอมส่งโทรศัพท์มือถือให้เขา แต่พอเห็นสายตาเย็นยะเยือกของผู้จัดการร้านแล้วก็ต้องยื่นโทรศัพท์มือถือให้เขาแต่โดยดี ในขณะเดียวกันก็แอบด่าผู้จัดการร้านในใจจนไม่เหลือชิ้นดี 


 


 


ผู้จัดการร้านสั่งให้เธอปลดล็อกหน้าจอและเขาเจอรูปแอบถ่ายในนั้นจริงๆ เขาตวัดสายตามองเธอตาเขียวปั๊ด “ตอนอบรมเธอไม่ได้ฟังหรือไง? ลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้านของเราเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทั้งนั้น พวกเขาให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมาก เพราะฉะนั้น ห้ามเข้าไปพูดคุยกับพวกเขา และห้ามแอบถ่ายรูปพวกเขาเด็ดขาด สมองเธอมีแต่ขี้เลื่อยหรือไง?” 


 


 


เธอถูกด่าสั่งสอนจนไหล่ห่อไม่กล้าปริปากใดๆ ผู้จัดการร้านลบรูปแอบถ่ายทั้งหมดออก เขายื่นโทรศัพท์มือถือคืนให้เธอหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่เหลือรูปแอบถ่ายอีก เขามองเธอด้วยสายตาเย็นเยียบแล้วเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้ฉันจะไม่เอาเรื่อง แต่ถ้ายังมีครั้งหน้าอีกละก็… ไล่ออกสถานเดียว!” เอ่ยจบพลางกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ตรงนั้นแล้วว่า “พวกเธอได้ยินแล้วใช่ไหม?” 


 


 


ทุกคนต่างพากันพยักหน้าหงึกหงัก ผู้จัดการร้านจึงเดินจากไปด้วยความพอใจ 


 


 


หวังลี่หย่าตกใจจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ เธอลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วก้มลงมองโทรศัพท์มือถือในมือ ทันใดนั้น เธอยกยิ้มมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่ 


 


 


จิ้นหยวนและเฉียวซือมู่ไม่รู้เลยว่าเกิดคลื่นความไม่สงบเล็กๆ ขึ้นตรงห้องครัว ทั้งสองกำลังดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสตรงหน้า เธอสั่งสเต๊กเนื้อที่มีเครื่องเคียงเป็นมันฝรั่งบดและผักสด และยังมีไวน์แดงหอมละมุนอีกแก้ว แม้หน้าตาอาหารที่เธอสั่งจะดูธรรมดา แต่รสชาติอาหารกลับอร่อยจนบรรยายไม่ถูก 


 


 


เธอทานเพียงไม่กี่คำก็พยักหน้าด้วยความอร่อย “อันนี้รสชาติใช้ได้ อร่อยค่ะ” 


 


 


เขายิ้มน้อยๆ “ถ้าชอบก็กินเยอะๆ” 


 


 


เธอรีบส่ายศีรษะทันที “ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวยังมีของหวานอีก ฉันต้องเก็บท้องเอาไว้กินของหวานค่ะ กินเยอะมากเดี๋ยวก็กินไม่ลงกันพอดี” ร้านอาหารแบบตะวันตกมักจะเสิร์ฟของหวานเป็นลำดับสุดท้ายและเป็นเมนูที่สำคัญมาก รสชาติสเต๊กเนื้ออร่อยมากจนทำให้เธอรอลิ้มรสของหวานอย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


ในที่สุดของหวานก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะอาหาร และของหวานรายการนี้ก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง ของหวานของเธอเป็นพุดดิ้งคาราเมล เนื้อพุดดิ้งนุ่มละมุนลิ้นผสานกับความหอมหวานของคาราเมล และยังมีกลิ่นหอมผลไม้อ่อนๆ ส่วนผสมทั้งสามอย่างผสมผสานเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวจนเกิดเป็นรสชาติหอมอร่อยนุ่มละมุนจนบรรยายไม่ถูก เธอหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับรสชาติแสนอร่อยนี้ด้วยความเคลิบเคลิ้ม อารมณ์ดีขึ้นเป็นกองในฉับพลัน “อร่อยจังเลยค่ะ” 


 


 


นานๆ ทีถึงจะมีโอกาสได้เห็นเธอทำตัวน่ารักแบบนี้ จิ้นหยวนมองเฉียวซือมู่ที่ดูน่ารักจนหัวใจเต้นตึกตัก ทันใดนั้น ไฟในใจของเขาลุกโชน เขากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืน จ้องมองความบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนอยากจะขย้ำมันให้แหลกคามือ 


 


 


เธอลืมตาขึ้นแล้วอุทานเบาๆ ด้วยความสุขใจ “นี่เป็นพุดดิ้งที่อร่อยที่สุดที่ฉันเคยกินมาเลยค่ะ” แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นกลับเห็นดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับแทน เธอชะงักนิ่งอึ้งเล็กน้อย “คุณเป็นอะไรน่ะ?” เอ่ยถามแล้วกลับหน้าแดงซ่านเสียเอง เธออยู่กับเขามาตั้งนานจนอ่านสีหน้าของเขาออกหมดแล้ว ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าท่าทางของเขาในตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร 


 


 


เธอแอบคิดอยู่ในใจว่าที่นี่เป็นที่สาธารณะ เกิดใครมาเห็นหน้าตาของเขาในตอนนี้เข้าคงไม่ดีแน่ 


 


 


เธอเพิ่งจะคิดเสร็จพลันภาพตรงหน้ามืดลง เธอเงยหน้าขึ้นจึงเห็นร่างกายท่อนบนของเขากำลังโน้มเอนเข้ามาหาเธอ จากนั้นเขาขโมยจุมพิตเธอโดยไม่สนใจว่าเธอกำลังตกใจจนเบิกตาโต เขายังอุตส่าห์ชิมรสชาตินั้นแล้วเอ่ยหน้าตาเฉย “พุดดิ้งอันนี้อร่อยจริงๆ ด้วย” 


 


 


ถึงปากจะบอกว่าพุดดิ้ง แต่สายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่กลีบปากอวบอิ่มของเธออย่างไม่ละสายตาจนเธออยากจะหาผ้าพันคอสักผืนมาปิดหน้าตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด    


 


 


คุณชายจิ้น นี่มันในร้านอาหารนะ ถึงจะไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยก็เถอะ แต่เธอมั่นใจว่าต้องมีคนอีกตั้งเยอะคอยแอบดูอยู่ในที่มืดอย่างแน่นอน แล้วทำแบบนี้มันจะดีเหรอ? 


 


 


โชคดีที่จิ้นหยวนเองก็รู้ข้อนี้ดี หลังจากขโมยจูบเธอแล้วเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยอีก เขาผลักจานของหวานตรงหน้าตัวเองไปให้เธอแล้วเอ่ย “ถ้าคุณชอบมาก ผมยกของผมให้คุณก็แล้วกัน” 


 


 


ตอนแรกเธอกะจะปฏิเสธ แต่พอเห็นหน้าตาของหวานของเขาแล้วเธอก็ไม่อาจละสายตาจากมันได้อีก ของหวานของเขาเป็นเค้กแบล็คฟอเรสที่ถูกประดับประดาอย่างประณีตสวยงาม กลิ่นหอมของช็อกโกแลตเข้มข้นลอยมาตามจานที่ถูกเขาผลักเบาๆ มาไว้ตรงหน้าเธอ มันทำให้เธอไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดนั้นได้อีกต่อไป 


 


 


แต่ท้องของเธอคงรับไม่ไหวแล้ว เธอได้แต่แอบทอดถอนใจด้วยความเสียดาย แต่มือกลับหยิบส้อมคันเล็กขึ้นมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอตัดเค้กออกเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างพิถีพิถันแล้วส่งมันเข้าปากอย่างรวดเร็ว รสช๊อกโกแลตหวานมันเข้มข้น เป็นความอร่อยที่แตกต่างจากพุดดิ้งจานเมื่อกี้ เธอเคลิบเคลิ้มกับความอร่อยของมันจนอยากจะอุทานออกมาด้วยความสุขใจอีกครั้ง 


 


 


จิ้นหยวนเห็นเธอมีความสุขก็พลอยมีความสุขไปด้วย เขาส่งยิ้มให้เธอ “อร่อยไหม?” 


 


 


เธอกัดส้อมในปากแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “อึ้ม อร่อยมาก” 


 


 


จิ้นหยวนมองท่าทางน่ารักของเธอแล้วขยับกายเข้ามานั่งใกล้ๆ เธออีก เธอตกใจจนต้องรีบเอ่ยห้ามทันที “คุณจะทำอะไรน่ะ ที่นี่เป็นร้านอาหารนะ” 


 


 


จิ้นหยวนหลุดหัวเราะออกมา “ทำไมขี้อายขนาดนี้นะ” เอ่ยจบพลางขยับเข้าไปใกล้เธออีก กลิ่นกายของเขาทำให้เธอมึนเบลอจนไร้เรี่ยวแรงต้านทานการกระทำต่อมาของเขา 


 


 


เธอได้แต่นั่งมองเขาขยับเข้ามาใกล้ จากนั้น… เขายื่นมือออกมาแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดมุมปากให้เธอ จากนั้น… เขาส่งนิ้วหัวแม่มือนิ้วนั้นเข้าปากตัวเองแล้วเลียมันจนเธอสังเกตเห็นปลายลิ้นอุ่นร้อนของเขาที่แลบออกมาเพียงเล็กน้อย 


 


 


นี่… นี่มันดูเย้ายวนกว่าจูบเมื่อกี้นี้ตั้งเยอะ มันทำให้เธอหวนนึกถึงช่วงเวลาบางช่วงในยามราตรีขึ้นมาทันที ทันใดนั้น ใบหน้าของเธอเห่อแดงจนแดงก่ำ “คุณ… คุณทำแบบนี้ได้ยังไง?” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม