เล่ห์รักกลกาล 157-170

ตอนที่ 157 เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าอนุญาตท่านแต่งให้ข้า

 

เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกไป เยี่ยเม่ยกลับตะลึงงัน


 


 


ไม่ช้าหญิงสาวที่มุ่นคิ้วอยู่ตลอดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา พูดจากใจจริงๆ นางพอใจคำพูดนี้ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาก


 


 


สุดท้าย เยี่ยเม่ยก็เตือนไปประโยคหนึ่งว่า “ถึงแม้ข้ายังพอใจกับการแสดงออกของท่านในครั้งนี้ แต่ข้าหวังว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก”


 


 


 “เยี่ยนจะจดจำคำสั่งสอนของแม่นางเยี่ยเม่ยเอาไว้” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบพยักหน้า


 


 


หลังจากนั้น เขาเงยหน้ามองประตู ร้องตะโกน “อวี้เหว่ย”


 


 


อวี้เหว่ยที่อยู่หน้าประตูเรือนรู้ตัวทันที รีบเปิดประตูออก ในใจยินดีเกินเปรียบ เตี้ยนเซี่ยของเขาไม่ตายแล้ว หลังจากเข้ามาเขาก็รีบเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย นี่คือของขวัญที่เตี้ยนเซี่ยเตรียมไว้ไถ่โทษ”


 


 


หลังจากสิ้นเสียงอวี้เหว่ยตบมือ สิ่งที่ตามมาหลังเสียงปรบมือของเขาคือคนกลุ่มหนึ่ง ในมือถือถาดเดินเข้ามา


 


 


ในถาดแต่ละใบคือ กล่องผ้ากำมะหยี่ใบเล็กๆ คนทั้งหมดยืนเป็นแถวเรียงหน้ากระดาน กล่องกำมะหยี่เปิดเอาไว้


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามองด้วยสีหน้าเย็นชา


 


 


อัญมณีสีต่างๆ เรียงรายอัดแน่น มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีค่าสูงล้ำ ภายในนั้นยังมีเพชรเม็ดใหญ่โต ในฐานะที่เยี่ยเม่ยเป็นยอดนักฆ่าในยุคปัจจุบัน ก็เคยศึกษาเรื่องอัญมณีมาบ้าง


 


 


เพชรขนาดใหญ่ก้อนนี้ มีขนาดและน้ำหนักเท่ากับเพชรบนมงกุฎของสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ได้ละโมบ แต่โลกใบนี้มีสตรีน้อยคนนักที่ไม่ชอบอัญมณี


 


 


ถัดมา อวี้เหว่ยเอ่ยแทนเตี้ยนเซี่ยของตนว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เตี้ยนเซี่ยบอกแล้วว่า จะชดใช้ก็ต้องชดใช้อย่างจริงใจ ทำให้สตรีที่รักไม่ยินดี ก็นำสิ่งของที่สตรีชอบมาเพื่อเอาใจท่าน”


 


 


การกระทำเช่นนี้ หากเกิดขึ้นกับสตรีทั่วๆไป ต้องยินดีอย่างมากแน่ ความรู้สึกว่าตนได้รับความรัก ถูกทะนุถนอม ทั้งยังมีอัญมณีกองโตนี้ ต้องดีใจจนเป็นลมไปแน่ แต่เยี่ยเม่ยหาใช่สตรีทั่วไป


 


 


ถึงแม้เยี่ยเม่ยจะไม่หวั่นไหวกับอัญมณีทั้งหลาย แต่ก็ใจสั่นกับน้ำใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หญิงสาวพยักหน้า เอ่ยว่า “ความจริงใจข้าเห็นแล้ว ส่วนข้าวของพวกนี้ก็เก็บไว้ที่นี่ก่อน ถ้าต้องการข้าค่อยมารับไป”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบมองเยี่ยเม่ยทันที น้ำเสียงอ่อนโยนค่อยๆ กล่าวว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ชอบของพวกนี้หรือ”


 


 


หากเขาเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ นางบอกว่าจะมารับไปยามจำเป็น ก็หมายความว่า ในสายตาของนางไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องประดับพวกนี้ แต่สามารถนำไปแลกกับอย่างอื่นได้ ทั้งยังหมายความว่าเหล่าอัญมณีที่มีค่าควรเมืองพวกนี้ ในสายตานางไม่ได้มีค่าเท่าไหร่


 


 


เยี่ยเม่ยตอบจากใจจริง “ชอบ แต่ว่าข้าไม่ชอบใส่เครื่องประดับ ข้าชอบแสดงตัวอย่างเรียบง่าย”


 


 


ไม่ว่าจะโลภหรือไม่โลภ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้คนมักไม่อาจปฏิเสธอัญมณีทั้งหลายได้มากนัก


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยตอบออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เข้าใจความหมายของเยี่ยเม่ย ไม่ผิดเลย หลายวันที่ผ่านมา เขาไม่เห็นนางใส่เครื่องประดับ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นเสื้อผ้าธรรมดา ไม่เน้นความงดงาม ขอเพียงสวมใส่สบาย


 


 


ส่วนใบหน้าเย็นชาและความสง่างาม ทำให้ไม่ว่านางสวมชุดอะไรก็ยังคงความน่ามองไว้อยู่ดี


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองอวี้เหว่ยทีหนึ่ง ผู้เป็นบ่าวก็รีบมองข้ารับใช้ทั้งหลาย เหล่าข้ารับใช้รีบถอยออกไป อวี้เหว่ยเอ่ยอย่างรู้สถานการณ์ว่า “อัญมณีพวกนี้ ข้าน้อยจะแยกเก็บเอาไว้ ยามใดที่แม่นางเยี่ยเม่ยต้องการใช้ ก็มารับได้ทุกเมื่อ ข้าน้อยรอท่าน”


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงเย็นว่า “ขอบคุณมาก”


 


 


ในยุคปัจจุบัน ให้คนช่วยเก็บรักษาอัญมณีมากมายต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย เช่นนี้ก็ถือว่าเก็บไว้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนโดยไม่ต้องเสียเงินแล้ว


 


 


ในระหว่างความคิดนั้น เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามว่า “เชื่อว่าท่านคงเข้าใจได้ไม่ยาก ของพวกนี้เก็บไว้กับท่าน ยังมีเหตุผลอื่นอีกคือ ข้าตัวคนเดียว เก็บของพวกนี้ไว้ กลับต้องสิ้นเปลืองแรงใจเอามาก”


 


 


สมบัตินำพาซึ่งหายนะ เหตุผลนี้ใครๆ ต่างก็เข้าใจ


 


 


นางไม่กลัวความยุ่งยาก แต่มากเรื่องมาหนึ่งเรื่องไม่สู้ลดเรื่องลงไปหนึ่งเรื่อง ไม่มีใครกล้าทำอะไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่แล้ว ดังนั้นเก็บของไว้ที่เขาก็เหมาะสม


 


 


ครั้นหญิงสาวเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบตอบอย่างอ่อนโยน “เข้าใจแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจเถอะ เยี่ยนจะช่วยเจ้ารักษาของไว้ให้ดี ไม่เสียหายเลยสักน้อย”


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า


 


 


เวลานี้คนก็ถูกตีแล้ว ของก็ได้รับแล้ว ความโกรธก็ลดลงแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รีบกล่าวว่า “ส่วนเรื่องที่ข้าจะรับผิดชอบท่าน เมื่อครู่ข้าคิดอย่างละเอียดแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้าอนุญาตให้ท่านแต่งให้งานข้า”


 


 


อวี้เหว่ย “…?”


 


 


คนทั้งหมดที่กำลังขนอัญมณีออกไป “…?”


 


 


พวกเขาซวนเซไปเล็กน้อย สงสัยอย่างแรงกล้าว่าตนไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม เตี้ยนเซี่ยเป็นบุรุษผู้หนึ่ง แม่นางผู้นี้พูดอะไรกัน ยินยอมให้ เตี้ยนเซี่ยแต่งให้กับนางหรือ แม่นางผู้นี้คงไม่ได้ล้อเล่นหรอกกระมัง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็อึ้งเล็กน้อย


 


 


หลังจากได้สติ ดวงตาทอรอยยิ้ม ประกายความยินดีทอออกมาจากใจ เขาจ้องเยี่ยเม่ยถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าจริงจังใช่หรือไม่”


 


 


 “หรือท่านไม่หวังว่าข้าจะจริงจัง” เยี่ยเม่ยย้อนถาม


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบ “ย่อมไม่อย่างแน่นอน”


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเขาเช่นกัน เอ่ยความคิดในใจตนอย่างรวดเร็ว “ข้ารู้สึกดีกับท่านไม่น้อย ดังนั้นก็สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นความชอบ”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ รอยยิ้มของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งชัดเจน


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อด้วยเสียงเย็นชาอย่างว่องไว “อีกยังการแสดงออกของท่านช่วงนี้ โดยเฉพาะรู้จักสำนึกหลังทำผิด ข้าพอใจมาก”


 


 


เปลี่ยนไปเป็นคนอื่น ถูกนางฟาดแรงๆ ไม่บ่นเอาความก็ช่างเถอะ ซ้ำยังมอบของขวัญให้อีก


 


 


คิดไปเยี่ยเม่ยก็เสริมอีกคำว่า “หากพวกเราอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าอยู่ร่วมกันหรือว่าแต่งงาน ยากไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง การแสดงออกว่ารับผิดของท่าน ทำให้ข้าตระหนักได้ ต่อให้หลังจากแต่งงานแล้ว ท่านก็จะไม่ทำให้ข้าไม่มีความสุขเพราะทะเลาะกัน”


 


 


เยี่ยเม่ยพยายามวิเคราะห์แยกแยะด้วยเหตุมาตลอด ในฐานะที่เป็นหญิงแกร่ง เหตุผลของนางเหนือล้ำกว่าความรู้สึก หนึ่งใบไม้ล่วงรู้ถึงฤดูสารท[1] จากการแสดงออกต่างๆ นานา ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางมองออก ภายหน้าอีกฝ่ายไม่มีทางทำให้นางผิดหวัง หากมีการถกเถียงกัน เขาก็จะก้มหัวยอม


 


 


มาถึงตอนนี้ เยี่ยเม่ยสรุปว่า “ดังนั้นข้าเข้าใจว่า หากจะแต่งงานท่านก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว อีกทั้งข้าไปปรากฏตัวบนเตียงท่านอย่างแปลกประหลาด ท่านต้องการให้ข้ารับผิดชอบ ส่วนที่ว่าท่านแต่งให้ข้า ข้าแต่งให้ท่าน ก็ยึดเอาตามธรรมเนียนปฏิบัติของฝั่งท่านแล้วกัน แต่มีจุดหนึ่งที่หวังว่าท่านจะเข้าใจ หลังแต่งงานแล้ว คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือข้า สรุปสั้นๆคือ ท่านต้องเชื่อฟังข้า”


 


 


นี่เป็นการประกาศอำนาจแล้ว เท่ากับบอกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า ระหว่างพวกเขาใครแต่งให้ใครไม่สำคัญ หรือใครแต่งกับใครไม่สำคัญ แต่เขาต้องเชื่อฟังนาง


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับตรงไปตรงมายิ่งนัก พยักหน้าทันที ใบหน้าชั่วร้ายเจือรอยยิ้ม ตอบรับอย่างอ่อนโยน “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจเถอะ ไม่ว่าก่อนหรือหลังแต่งงาน แม่นางเยี่ยเม่ยล้วนเป็นราชินีในใจเยี่ยน คำพูดของแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนจะต้องปฏิบัติตามทุกประการ”


 


 


 


 


[1] จากเรื่องราวเล็กน้อยๆ สามารถมองออกถึงผลลัพธ์หรือสถานการณ์ทั้งหมด 

 

 


ตอนที่ 158 กำหนดวันแต่งงาน

 

 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับปากไวถึงเพียงนี้ กลับทำให้เยี่ยเม่ยเห็นอีกแง่มุมหนึ่งของอีกฝ่าย 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า กวาดตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง “อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ก่อน ส่วนเรื่องที่ท่านเป็นองค์ชาย ไม่สามารถตัดสินใจงานแต่งงานได้เอง ท่านก็ไปจัดการเสีย หากท่านจัดการไม่ดี…” 


 


 


เยี่ยเม่ยยังไม่ทันเอ่ยจบ  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตัดบทหญิงสาว “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจ ปัญหานี้เยี่ยนสามารถจัดการได้แน่ เช่นนั้นวันแต่งงานเล่า” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยคำพูดนี้ ก็ก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งประชิดตัวเยี่ยเม่ย  


 


 


บนร่างเขายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ อยู่บ้าง ล้วนเป็นเพราะเยี่ยเม่ยลงแส้ใส่เขาเมื่อครู่นี้ บาดแผลจากแส้บนร่างยังคงอยู่ ดูแล้วดึงดูดสายตามาก  


 


 


จากนั้นเจ้ากลิ่นคาวเลือดจางๆ ทำให้คนมึนงงและลุ่มหลง สำหรับนักฆ่า เยี่ยเม่ยย่อมไวต่อกลิ่นคาวเลือดเป็นพิเศษ อีกทั้งสิ่งที่ติดตามตัวเขามายังมีกลิ่นอายของบุรุษพุ่งตรงเข้ามา ทำให้เยี่ยเม่ยที่ใคร่ครวญวิเคราะห์อย่างจริงจังอยู่ครึ่งค่อนวัน แสดงออกว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงตกลงแต่งงานกับเขา ไม่สิ ยอมอนุญาตให้เขาแต่งงานให้นางต่างหาก พลันสูญเสียสติสัมปชัญญะไป อีกทั้งหน้าแดงเรื่อขึ้นมาแล้ว 


 


 


ใบหูก็กำลังร้อนผ่าว 


 


 


นางอดไม่ไหวหวนนึกคำพูด รวมถึงการแสดงออกเมื่อครู่ขึ้นมา หัวใจยิ่งไม่สงบ  รู้สึกว่าใบหน้าของตนคล้ายจะร้อนวูบขึ้นมา 


 


 


นางรู้สึกว่าในฐานะสตรีผู้หนึ่ง เป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกผู้ชายว่าจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ทั้งยังเสนอให้อีกฝ่ายแต่งงานให้กับตนเอง เรียกได้ว่านางก็บ้าบิ่นมากพอแล้ว  


 


 


อวี้เหว่ยที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความตกตะลึงแล้วตะลึงอีก  


 


 


เขารู้สึกว่าเรื่องในวันนี้พัฒนาไปเกินกว่าที่คนปกติจะคาดการณ์ได้ เดิมทีสมควรเป็นห่วงว่าวันนี้เตี้ยนเซี่ยจะถูกแม่นางเยี่ยเม่ยฆ่าหรือไม่ ไฉนจู่ๆ เรื่องถึงกลับกลายเป็นเช่นยามนี้ไปได้… 


 


 


อืม เปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ จวนจะแต่งงานกันแล้ว ซ้ำยังไปถึงขั้นพูดถึงวันแต่งงานแล้วด้วย นี่จะพัฒนาแบบก้าวกระโดดไปหรือเปล่า ดังนั้นทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้ว่า…เตี้ยนเซี่ยได้โชคในคราวเคราะห์แล้วสินะ 


 


 


ถึงตอนนี้สมควรขอบคุณที่ตัวเขาไปเอาจิ้งหรีดทำให้เรื่องราวเปิดเผยใช่หรือเปล่า เตี้ยนเซี่ยถูกฟาดอย่างร้ายกาจแต่กลับอาศัยการยอมรับความผิด ทำให้ได้รับการยอมรับจากแม่นางเยี่ยเม่ย  


 


 


ยังไม่ทันที่อวี้เหว่ยจะเข้าใจสถานการณ์ยามนี้ชัดเจน ทั้งยังไม่ทันที่เขาจะทำความเข้าใจว่าตนเองสมควรขอบคุณตัวเองที่ไปเอาจิ้งหรีดหรือว่าโทษตัวเองที่ไปเอาจิ้งหรีดกันแน่  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เดินเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง เขาเดินไปถึงเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย ปลายจมูกของทั้งคู่แทบจะชิดติดกัน ลมหายใจร้อนระอุของเขาอยู่ที่เบื้องหน้าของเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย แล้ววันแต่งงานเล่า เยี่ยนเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว สามารถเป็นสามีของแม่นาง เยี่ยเม่ยได้ทุกเมื่อ”   


 


 


เขาเข้ามาประชิดอย่างกะทันหันเช่นนี้ เยี่ยเม่ยที่หน้าแดงอยู่แล้ว ก็ยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก 


 


 


นางสงสัยว่าคนที่เมื่อครู่ยืนบอกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่าจะแต่งงานเขาอย่างมีเหตุมีผลไม่ใช่ตัวนางเอง ตอนนั้นนางถูกผีสิงแล้วหรือเปล่า คราวนี้จะทำอย่างไรก็พูดไม่ออกแล้ว  


 


 


เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยไม่พูดไม่จา องค์ชายสี่ที่ดีใจอยู่แต่เดิม กลับตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง เรียวนิ้วยาวเรียวดั่งหยกยื่นออกมาจับมือเยี่ยเม่ยเอาไว้ น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ค่อยๆ เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่พูด หรือว่าเสียใจแล้ว” 


 


 


อุณหภูมิจากปลายนิ้วเขาส่งมาที่มือนาง 


 


 


ผิวกายของทั้งสองสัมผัสกันคล้ายสามารถส่งผ่านความรู้สึกของแต่ละฝ่ายได้  และในเสี้ยวเวลานี้เองเยี่ยเม่ยรู้สึกได้ถึงความไม่สงบของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


บุรุษผู้ไม่เห็นโลกหล้าอยู่ในสายตา หลักการทั้งหลายล้วนไม่อยู่ในสายตา เหยียบย่ำคุณธรรมและชีวิตคนเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าเช่นนี้ รู้สึกไม่สงบเพราะนาง  


 


 


ในชั่วขณะนั้น เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกอาลัยอาวรณ์ความไม่สงบของเขา ดังนั้นนางจึงเงยหน้า จ้องดวงตาคู่ร้ายกาจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตรงๆ แสดงออกถึงความองอาจของหญิงแกร่งอีกครั้ง “ไม่ ความเสียใจไม่มีเลย ข้าแค่…” 


 


 


ก็แค่… 


 


 


รู้สึกขัดเขินเท่านั้น แต่เยี่ยเม่ยคิดดูแล้ว เมื่อพูดออกไปแบบนี้จะส่งผลกระทบไม่ดีต่อภาพลักษณ์เย็นชาของตัวนางเอาเสียเลย ด้วยเหตุนี้นางจึงชะงักไป เอ่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่มีอะไร ท่านจัดการปัญหาด้านเสด็จพ่อเสด็จแม่ท่านก่อนเถอะ งานแต่งงานขององค์ชายองค์หนึ่งไม่ใช่แค่ว่าท่านบอกว่าได้ก็ได้ ข้าหวังว่าจะไม่สร้างความยุ่งยากอะไรขึ้นมาทั้งนั้น  


 


 


ถึงเขาจะแสดงออกว่าไม่มีปัญหา ทว่าเยี่ยเม่ยเข้าใจดี นางที่เป็นสตรีมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน แต่งเข้าราชวงศ์อย่างกะทันหัน คาดว่าจะเป็นไปไม่ได้ 


 


 


อย่าว่าแต่คนพวกนั้นไม่อาจสืบฐานะของนางได้เลย ต่อให้มีคนสืบอย่างละเอียด ให้นางสร้างฐานะของตนขึ้นมา นางก็แต่งเรื่องไม่ออก เมื่อคิดถึงจุดนี้ เยี่ยเม่ยก็เอ่ยต่อว่า “ที่มาของข้า ข้าไม่อาจพูดได้ชัดเจน ทั้งข้ายังไม่มีใจจะอธิบายให้ใครฟัง ดังนั้นต่อให้เป็นเสด็จพ่อเสด็จแม่ของท่านถาม ข้าก็ไม่ตอบ ดังนั้น…” 


 


 


เยี่ยเม่ยยังไม่ทันเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็รู้แล้วว่านางต้องการบอกว่าอะไร 


 


 


ถึงแม้เขาก็อยากรู้ที่มาของนางมาก แต่เขาเข้าใจ ยามนี้หาใช่เวลาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่สำคัญในยามนี้คือ กำหนดวันแต่งงานเสีย ไม่ให้นางเปลี่ยนใจ 


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของเขา เอ่ยตัดบทขึ้นมาอย่างเชื่องช้า “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจเถิด เรื่องราวทั้งหลายบนโลก ขอเพียงเจ้าตอบตัวเองได้ก็พอ ตราบใดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีชีวิตอยู่หนึ่งวัน เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องราวใดๆ กับผู้ใดทั้งนั้นตลอดไป” 


 


 


เมื่อเขาให้สัญญา เยี่ยเม่ยพลันเงยหน้ามองเขาคราหนึ่ง นางสั่นสะท้านเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องราวไปตลอดอย่างนั้นหรือ  


 


 


หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เขาจะต้องช่วยนางแบกรับความลำบากไม่น้อย ทั้งยังต้องเตรียมตัวแบกรับความวุ่นวายเพื่อนางด้วยแล้วหรือ 


 


 


ตอนที่เยี่ยเม่ยมองเขา ดวงตาของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็จับจ้องที่นางพอดี  


 


 


ดวงตาคู่ร้ายมิอาจเทียบกับความชั่วร้ายที่แผ่ออกมาแต่กำเนิดของเขา ในเวลานี้นอกจากความตั้งใจและความรู้สึกล้ำลึกแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก 


 


 


มืออีกข้างของเขาปัดผ่านดวงหน้าของเยี่ยเม่ย น้ำเสียงหัวเราะน่าฟังและอ่อนโยนดังขึ้นอย่างรวดเร็ว “ทำไมกัน แม่นางเยี่ยเม่ยไม่เชื่อหรือ เจ้าต้องรู้ว่า ไม่ว่าคลื่นลมพายุฝนใดๆ บนโลกนี้ เยี่ยนสามารถแบกรับไว้ได้ ทั้งยังจะช่วยเจ้าแบกรับไว้ได้ พระชายาองค์ชายสี่มีแต่เจ้าเท่านั้น เสด็จพ่อเสด็จแม่ถามคำถามอะไร เจ้าสามารถไม่ตอบได้ ปัญหาทั้งหลาย เจ้าผลักมาไว้ที่ตัวข้า เชื่อสามีในอนาคตของเจ้า มีความสามารถในการคลี่คลายปัญหาทั้งหลาย”  


 


 


เขามีความสามารถกำจัดปัญหาทั้งหลายได้ เยี่ยเม่ยเชื่อจริงๆ เพียงแต่… 


 


 


นางมุ่นคิ้วมองเขาอีกครา ในห้วงลังเล น้ำเสียงน่าฟังของเขาเจือความขบขัน ดังขึ้นอย่างว่องไวอีกครั้ง “ไม่ต้องลังเลแล้ว เสด็จพ่อเสด็จแม่ไม่กล้าก้าวก่ายเรื่องงานแต่งของเยี่ยน ซ้ำไม่กล้าต่อต้านเยี่ยนด้วย พวกเขาก็แค่อยากนั่งบนตำแหน่งฮ่องเต้และฮองเฮาของตนเท่านั้น ยังไม่อยากตายไวถึงเพียงนี้ ดังนั้นสิ่งที่เยี่ยนต้องการในยามนี้ ก็มีแค่วันเวลาที่แม่นางเยี่ยเม่ยกำหนดให้เยี่ยนเท่านั้น” 


 


 


คำพูดไม่อาจชัดเจนไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว 


 


 


เขาแต่งงานได้ตลอดทุกเมื่อ ไม่ว่าความลำบากจากภายนอกใดๆ เขาสามารถแก้ไขได้ ตอนนี้ขอเพียงนางบอกกำหนดวันไปเท่านั้น  


 


 


เยี่ยเม่ยเงียบไปครู่หนึ่ง จากคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่อาจรู้สึกถึงความเคารพต่อบิดามารดาสักเล็กน้อยจากเขาเลย 


 


 


นางคาดเดาว่าความสัมพันธ์ของเขากับฮ่องเต้และฮองเฮาไม่ดีนัก 


 


 


           ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลต่อไปอีก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างใคร่ครวญว่า “ในเมื่อท่านมั่นใจว่าทางด้านเสด็จพ่อเสด็จแม่ท่านไม่มีปัญหา อย่างนั้น…วันแต่งงานก็กำหนดไว้วันหลังจบสงครามกับต้ามั่วแล้วกัน”  

 

 


ตอนที่ 159 หารือเรื่องของหมั้น

 

 “ดี”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบรับปากทันที คราวนี้วันแต่งงานถูกกำหนดแล้ว หว่างคิ้วของเขาเผยแววยิ้มแย้มอย่างชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเขายั่วเย้าอย่างถึงที่สุด


 


 


ใบหน้าเช่นนี้ มองนานเข้าสามารถทำให้คนหลงใหลได้จริงๆ ดังนั้นเยี่ยเม่ยรีบถอนสายตากลับ ไม่มองต่อไป กลัวว่าหากตนยังจ้องมองต่อไป ก่อนงานแต่งงาน จะจับรั้งเขาไว้ทำเรื่องที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด เรื่องที่ขัดต่อหลักคุณธรรม แต่ยามนี้เยี่ยเม่ยไม่ได้สูญสิ้นสติไป


 


 


นางเงยหน้ามอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ในยุคสมัยของพวกท่านนี้ บุรุษสามารถมีสามภรรยาสี่อนุ องค์ชายสี่แต่งพระชายารองได้ มีเมียบ่าว พวกเราจะต้องทำสัญญากันในเรื่องนี้ก่อน เพราะข้ามิอาจยอมรับได้”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา อวี้เหว่ยที่ยืนโง่งมอยู่ด้านข้างมองพัฒนาการอันแปลกประหลาดของพวกเขาอยู่ครึ่งค่อนวัน พลันได้สติขึ้นมา


 


 


จริงด้วย


 


 


นิสัยพูดคำไหนคำนั้นของแม่นางเยี่ยเม่ย ใบหน้าเผยความเย็นชาหาใช่ความเร่าร้อนในใจของนาง แต่เป็นความเผด็จการที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกนาง หวังให้แม่นางเยี่ยเม่ยใช้สามีร่วมกับผู้อื่น คาดว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากมีวันนั้นขึ้นมาจริงๆ เขาสงสัยว่า เตี้ยนเซี่ยกับสตรีนางนั้น คงถูกแม่นางเยี่ยเม่ยซ้อมเสียไม่เหลือลมหายใจสักเฮือก คนทั้งสองได้แต่เคียงคู่ลงปรโลกร่วมกัน ดังนั้นนางยกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาในตอนนี้ ก็นับว่า…มีเหตุผลและมีความเป็นไปได้


 


 


แต่อวี้เหว่ยรู้สึกว่า เตี้ยนเซี่ยก็คงไม่ทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยผิดหวังถึงจะถูก


 


 


แล้วก็จริงดังคาด


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำนั้น ดวงตาทอรอยยิ้มจ้องมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงเย้ายวนคนยังแฝงการล่อลวงร้ายกาจ “ความหมายในคำพูดของแม่นางเยี่ยเม่ยคือ ไม่ยินยอมแบ่งปันเยี่ยนกับผู้อื่นใช่หรือไม่”


 


 


เยี่ยเม่ยเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาจากใจ “ถึงจะเอ่ยเช่นนี้จะทำให้รู้สึกขนลุกไปบ้าง แต่ว่า…อธิบายเช่นนี้ก็ไม่ผิด”


 


 


นางไม่ยินยอมแบ่งเขากับใครจริงๆ


 


 


บุรุษของตัวเองไม่อาจแบ่งปันกับผู้อื่น นี่คือขอบเขตพื้นฐานในด้านความรักและการแต่งงานของผู้หญิงจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างนาง


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา เขากระชับมือนางแน่นขึ้น  แววยิ้มแย้มที่หว่างคิ้วเพิ่มขึ้นไปอีก เอ่ยปากช้าๆ “เยี่ยนชอบที่แม่นางเยี่ยเม่ยหวงแหนเยี่ยน อีกทั้งยังดีใจเป็นอย่างยิ่ง”


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาคำรบหนึ่ง ถามเสียงเย็นเยียบ “ดังนั้น ท่านรับปากแล้วหรือ”


 


 


 “คำสั่งของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง” เขารีบแสดงออกทันที ทั้งยังเอ่ยตามอย่างว่องไวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีสตรีที่โดดเด่นหาที่ใดไม่ได้อย่างแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นพระชายาองค์ชายสี่ของข้า ในสายตาของเยี่ยน ยังจะมีคนธรรมดาดาษดื่นอีกหรือ”


 


 


ในคำสัญญานี้ เขายังประจบเอาใจเยี่ยเม่ยอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสีไปด้วย


 


 


อวี้เหว่ยเงยหน้ามองท้องฟ้า…


 


 


เขาก็เข้าใจแล้วว่าไฉน เตี้ยนเซี่ยถึงได้ใจของแม่นางเยี่ยเม่ยถึงขึ้นนี้ ทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยยอมรับผิดชอบถึงระดับนี้ ฝีมือประจบเอาใจของเตี้ยนเซี่ยฝึกถึงขั้นสุดยอดแล้ว เขาอวี้เหว่ยรู้สึกเลื่อมใส เลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง


 


 


สำหรับคำประจบเอาใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับใช้กับเยี่ยเม่ยได้ผลมาก


 


 


นางพยักหน้าตอบ “สายตาของท่านไม่ธรรมดาเลย สำหรับคำสารภาพที่มีต่อความสมบูรณ์แบบของข้า ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัดสินใจแต่งงานกับท่าน เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”


 


 


สำหรับวาจาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยามนี้เยี่ยเม่ยพอใจมาก พอใจถึงขนาดที่ว่าสามารถลืมเลือนเรื่องที่คนผู้นี้บอกว่าเขาหน้าตาน่ามองกว่านาง ทั้งยังมีเรื่องที่เขาโยนงูเอาไว้บนเตียงนาง รวมถึงการกระทำเบาปัญญาเพื่อดึงดูดความสนใจนางทั้งหลายด้วย


 


 


ครั้นเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็รีบเอ่ยต่อทันที “นั่นก็เพราะช่วงเวลานี้ อยู่ร่วมกับแม่นางเยี่ยเม่ยมาตลอด ได้รับผลกระทบจากรัศมีของแม่นาง ดังนั้นสายตาของเยี่ยนถึงได้ยกระดับสูงขึ้น”  


 


 


ครั้นเขาเอ่ยเช่นนี้ ได้ผลกับเยี่ยเม่ยไม่น้อย นางตบบ่าเขา “ท่านถนัดใช้รัศมีมายกระดับตัวเอง ทั้งไม่ลืมชื่นชมผลกระทบข้าที่มีต่อท่าน นี่ก็ถือว่าหายากแล้ว สมกับเป็นบุรุษที่ข้าสนใจ”


 


 


อวี้เหว่ย “…”


 


 


ก็ได้


 


 


คนผู้หนึ่งประจบเก่งนัก อีกคนหนึ่งก็หลงตัวเองมาก ถึงกับเห็นว่าการประจบทั้งหลายเป็นคำชื่นชมตนเองที่ออกมาจากใจ


 


 


เขารู้สึกว่าในด้านนี้ เตี้ยนเซี่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยเหมาะสมกันจริงๆ เห็นพวกเขาพัฒนาไปได้ดีเช่นนี้ นอกจากเตี้ยนเซี่ยถูกซ้อมไปยกหนึ่ง ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบ ยามนี้อวี้เหว่ยรู้สึกว่าจิ้งหรีดสองตัวนั้นของเขา ช่างนำโชคนัก


 


 


หรือว่ารอจนแม่นางเยี่ยเม่ยจากไป อาศัยโอกาสที่เตี้ยนเซี่ยอารมณ์ดี ปรึกษากับเตี้ยนเซี่ยว่าเขาจะให้คนช่วยซื้อจิ้งหรีดจากเมืองหลวงอีกได้หรือไม่


 


 


ในขณะที่กำลังคิดว่าได้หรือไม่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคำนึงถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งได้ เขามองสตรีเบื้องหน้าตน และเป็นสตรีที่เขากอบกุมไว้ในฝ่ามือ อยากวางเอาไว้ในดวงใจไปตลอดชีวิต น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยอย่างอ่อนโยน “อย่างนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยหวังว่าเยี่ยนจะส่งของหมั้นเป็นอะไร”


 


 


 “ของหมั้นหรือ” เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว เรื่องนี้นางคิดไม่ถึงจริงๆ


 


 


หญิงสาวยืดตัวตรง ตอบไปว่า “ข้าตัวคนเดียวหาได้มีบิดามารดาข้างกาย ทั้งยังไม่สมบัติอะไร ดังนั้นข้าย่อมไม่มีสินเดิม หากพูดถึงของหมั้น ช่างมันก็ได้”


 


 


นางไม่มีสมบัติอะไรจริงๆ มีก็แต่เงินที่จิ่วหุนมอบให้ แต่ว่าเงินของจิ่วหุนไม่อาจใช้เป็นสินเดิมเจ้าสาว ทั้งยังมีของที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพิ่งจะมอบให้ ทว่าเห็นได้ชัดว่าไม่อาจเอามาเป็นสินเดิม ของพวกนี้เป็นสิ่งที่เขามอบให้นางอยู่แล้ว


 


 


ของหมั้นและสินเดิม นางคิดว่าสมควรเท่าเทียมกัน ดังนั้นเมื่อตัวนางหามาไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดเอาจากผู้อื่นแล้วล่ะ


 


 


เยี่ยเม่ยคิดเช่นนี้ กลับคิดไม่ถึงว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะส่ายหน้า เอ่ยปากอย่างมีเหตุผลว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ยินยอมให้เยี่ยนเป็นสามีของเจ้า ก็เป็นเมตตาจากสวรรค์ ในเมื่อสูงส่งล้ำค่าเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีสินเดิมติดตัวมาแล้ว อย่างไรเสียเดิมทีตัวแม่นางเองก็เป็นสมบัติไม่อาจประเมินราคาได้ แต่ว่าของหมั้นกลับต้องมี”


 


 


อวี้เหว่ยด้านข้างปรายตามองเตี้ยนเซี่ยที่ประจบเก่งจนขึ้นสมองไปแล้ว ความจริงเขารู้สึกอยากกลอกตา


 


 


อันที่จริงเตี้ยนเซี่ยก็เพียบพร้อมมากไม่ใช่หรือ ถึงใต้หล้านี้จะมีสตรีไม่กี่คนที่ไม่หวาดกลัวเตี้ยนเซี่ย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ก็มีสตรีแค่ไม่กี่คนที่ไม่อยากแต่งกับเตี้ยนเซี่ย ดังนั้นไฉนเตี้ยนเซี่ยต้องพูดเหมือนกับว่าตัวเองแต่งสะใภ้เข้าบ้าน ได้รับความปรานีจากสวรรค์อะไรอย่างนั้นเชียว


 


 


ช่างเถอะ นี่เป็นเรื่องของพวกเขาสองสามีภรรยา เตี้ยนเซี่ยอยากถนอมภรรยา เตี้ยนเซี่ยพอใจก็พอแล้ว เขาก็ได้แต่ดูไปเท่านั้น


 


 


คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลับทำให้เยี่ยเม่ยพยักหน้า


 


 


นางก็เข้าใจคนที่โดดเด่นอย่างนาง เดิมก็มีค่าเกินเปรียบ จุดนี้ไม่ผิดสักน้อย ดังนั้น…เขามองเรื่องนี้อย่างไร


 


 


ในขณะใช้ความคิด


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ใคร่ครวญสักครู่ ไม่ช้าใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายทอแววขบขัน กล่าวว่า “ไม่สู้แม่นางเยี่ยเม่ยบอก เจ้าอยากได้อะไร อยากได้สมบัติ เยี่ยนไปแย่งชิงให้เจ้าได้ หากต้องการลาภยศ เยี่ยนช่วยปูทางให้เจ้า หากต้องการบัลลังก์ เยี่ยนก็จะช่วยเจ้ายึดใต้หล้ามา หากเจ้าต้องการให้ผู้คนในใต้หล้าล้มตาย เยี่ยนก็สามารถเข่นฆ่าคนทั่วหล้าเพื่อเจ้า สรุปแล้วของหมั้นจำเป็นต้องมอบให้ เพียงแต่ฮูหยินต้องการอะไรเท่านั้น” 

 

 


ตอนที่ 160 เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าได้ออกไปทำร้ายคนอีกเลย

 

เขาเรียกขานฮูหยินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยหัวใจกระตุก เอ่ยจากใจว่า “พูดตามตรงแล้ว ข้าไม่ชอบคำเรียกที่ออกจะเป็นสตรีเกินไปเช่นนี้ ท่านเรียกข้าว่าแม่นางเยี่ยเม่ยเถอะ” 


 


 


อวี้เหว่ยหมดคำพูด กลอกตามองท้องฟ้า ไม่ชอบคำเรียกว่าฮูหยิน รังเกียจที่คำเรียกดูเป็นสตรีมากเกินไป ดังนั้นหากภายหน้าแต่งงานกันไปแล้ว หรือจะไม่เรียกเตี้ยนเซี่ยเป็นสามี แล้วเตี้ยนเซี่ยจะไม่ขายหน้าหรือไง 


 


 


ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหน้าไม่อาย 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยอย่างไหลลื่นว่า “หากแม่นางเยี่ยเม่ยรังเกียจว่าฮูหยินออกจะเป็นสตรีเกินไป เยี่ยนสามารถเรียกเจ้าว่าสามี” 


 


 


อวี้เหว่ย “…” ขอตัวก่อนแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ปัญหานี้หลังแต่งงานค่อยถกกันเถอะ”  


 


 


 “ได้” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบตกลงอย่างเชื่อฟังทันที 


 


 


หลังจากรับปากแล้ว น้ำเสียงชั่วร้ายของเขาก็เอ่ยว่า “ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับของหมั้น แม่นางเยี่ยเม่ยพิจารณาเรียบร้อยแล้วหรือยัง” 


 


 


 “จดเอาไว้ก่อน ไว้รอข้าคิดได้แล้ว ค่อยบอกท่าน” เยี่ยเม่ยเอ่ยปากตอบด้วยเสียงเย็นชา 


 


 


องค์ชายสี่พยักหน้า หัวเราะเบาๆ “อย่างนั้นก็ได้ เรื่องนี้ก็กำหนดตามนี้ไปก่อน แต่ว่าเรื่องในวันนี้ล้วนเป็นคำสัญญาจากคำพูดทั้งนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่กลับคำใช่ไหม”  


 


 


คำสัญญาด้วยคำพูดหรือ 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่านอกจากคำสัญญาด้วยลมปากแล้ว ยังมีคำสัญญาจากใจแบบไหนอีก 


 


 


ที่นี่ก็ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ต้องใช้แหวนแต่งงานขอแต่งงาน  


 


 


ในขณะที่หญิงสาวหน้าขรึมครุ่นคิด  


 


 


องค์ชายสี่ล้วงป้ายหยกออกจากข้างเอว อวี้เหว่ยเบิกตากว้าง มองเตี้ยนเซี่ยของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ป้ายหยกอันนั้น… 


 


 


ในขณะที่เขาตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริด ป้ายหยกที่แสดงฐานะองค์ชายที่อยู่ในมือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็แตกออกเป็นสองท่อน 


 


 


ยามนี้อวี้เหว่ยแทบรู้สึกว่าตนจะเป็นลมไปแล้ว… 


 


 


ในเวลาที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำลายป้ายหยกที่แสดงฐานะตนไปนั้น ก็เท่ากับยอมละทิ้งฐานะองค์ชายแล้ว นี่คือสัญลักษณ์ของราชวงศ์ที่สูงส่งจนไม่อาจเปรียบ องค์ชายทุกพระองค์ต่างมีคนละอัน บนป้ายสลักชื่อองค์ชายเอาไว้ 


 


 


หักแบบนี้ไปเสียแล้ว… 


 


 


ในขณะที่อวี้เหว่ยเจ็บปวดใจ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยื่นป้ายหยกอีกครึ่งหนึ่งให้เยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังกล่าวว่า “นี่คือป้ายหยกแสดงฐานะของเยี่ยน วันนี้แบ่งคนละครึ่งกับแม่นาง ก็เท่ากับว่าการแต่งงานนี้กำหนดเอาไว้แล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยรับป้ายหยกไป 


 


 


ยามนี้นางกำลังเสียใจ ทำไมตัวเองถึงไม่มีความสนใจเครื่องประดับทั้งหลาย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรติดมาในยุคโบราณนี้เลย คราวนี้ก็ดีเลย ไม่มีอะไรทั้งนั้น 


 


 


นางเก็บป้ายหยกไว้ข้างเอว ปรายตามองเขา กล่าวว่า “ก็ดี ข้าจะรักษามันเอาไว้” 


 


 


ครั้นพูดจบ เยี่ยเม่ยจ้องพิจารณาเขาอยู่สองสามที เอ่ยอย่างว่องไวว่า “อาการบาดเจ็บของท่าน ก็ไปจัดการเอาเอง ข้าขอตัวก่อน” 


 


 


เซียวเยว่ชิงบอกว่าเรื่องทางนั้นจัดการเรียบร้อย นางต้องรีบไปดูเสียหน่อย อย่างไรก็ตามยังมีเรื่องหลังจากนี้ให้เตรียมการอีก  


 


 


สิ้นเสียงเยี่ยเม่ย  เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองนางทันที น้ำเสียงน่าฟังแฝงความอ่อนแออย่างหาได้ยาก ค่อยๆ กล่าวว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนบาดเจ็บหนักถึงขั้นนี้ แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ยินยอมปลอบโยนเยี่ยน ช่วยเยี่ยนใส่ยาเลยหรือ” 


 


 


 “ไม่ยินยอม” 


 


 


เยี่ยเม่ยปฏิเสธเด็ดขาด นางมองใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายนั้น เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านได้รับบาดเจ็บเพราะท่านทำผิด ทำผิดสมควรได้รับการลงโทษ บาดแผลของท่านก็จัดการเอง หากข้าช่วยท่านใส่ยา นั่นไม่เท่ากับลงโทษท่านโดยเปล่าประโยชน์หรือ” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็คิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เอ่ยต่อว่า “ท่านก็รู้ถึงเสน่ห์ของข้า หากภายหน้าท่านต้องการให้ข้าช่วยใส่ยาให้ จงใจยั่วข้าโมโหทำร้ายท่าน ก็ไม่เป็นการดีกับใครทั้งนั้น” 


 


 


อวี้เหว่ยจนคำพูด  


 


 


อ้อ 


 


 


อย่างไรซะความหลงตัวเองเกินเหตุของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ใช่วันแรกที่พบเห็นแล้ว ดังนั้นอวี้เหว่ยผู้มากด้วยไวพริบ ในเวลานี้ก็ไม่ควรมีปฏิกิริยาตอบสนองเกินเหตุ ถูกไหม 


 


 


สองสามวันที่ผ่านมา เขากลายเป็นอวี้เหว่ยที่ได้รู้ซึ้งถึงโลกกว้าง ดังนั้นไม่อาจแตกตื่นได้ง่ายๆ  


 


 


สำหรับคำพูดของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่แตกตื่น และรู้สึกว่าไม่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา องค์ชายสี่เอ่ยขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยพูดมีเหตุผลนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเยี่ยนก็ได้แต่เลียแผลตัวเองแล้ว”   


 


 


เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


ไฉนเขาต้องพูดถึงตัวเองเสียน่าสงสารเพียงนั้นด้วย ทั้งยังเน้นคำว่าตัวเองและเลียแผลอีก 


 


 


คำสองคำนั้นเมื่อใช้เดี่ยวๆ ก็มากพอให้คนสงสารจับใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเอามาใช้ร่วมกันเลย 


 


 


แต่ความเห็นใจของเยี่ยเม่ยมีขีดจำกัด โดยเฉพาะนางเป็นคนมีหลักการของตัวเอง ในเมื่อบอกว่าลงโทษ อย่างนั้นก็ต้องลงโทษถึงที่สุด ไม่รู้จักสงสารผู้อื่น ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้  


 


 


นางมองเขาอย่างเอาความ สุดท้ายก็หมุนตัวจากไป “ข้าไปก่อนแล้ว” 


 


 


หลังจาก เยี่ยเม่ยออกจากประตูไป  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองอวี้เหว่ย เขารีบวิ่งตะบึงเข้าห้องมา “เตี้ยนเซี่ยอย่าเพิ่งลนลาน ข้าน้อยจะรีบไปเอามาให้ท่านเดี๋ยวนี้” 


 


 


ท่าทางแสดงออกว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่สงสารท่าน แต่ข้าน้อยสงสาร  


 


 


อวี้เหว่ยเอายาออกมา ยื่นให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยอย่างระวังว่า “เตี้ยนเซี่ย วันนี้ท่านน่าจะอารมณ์ดีไม่น้อยสินะ” 


 


 


 “ความหมายของเจ้าคือ เยี่ยนสมควรฉวยโอกาสที่วันนี้อารมณ์ดี ออกไปมอบความสำราญให้ทุกคน ทำให้พวกเขามีความสุขอย่างนั้นหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองอวี้เหว่ย เอ่ยปากถาม  


 


 


อวี้เหว่ยรีบส่ายหน้า ตอบตามตรงว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าออกไปทำร้ายคนอื่นอีกเลย” 


 


 


เตี้ยนเซี่ยออกไปสร้างความสำราญให้ทุกคนหรือ เกรงแต่ว่าทุกคนจะถูกเตี้ยนเซี่ยทรมานจนอยู่ไม่สู้ตายมากกว่า  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นหัวเราะคำหนึ่ง กลับไม่เอ่ยปาก อย่างไรเสียคำพูดของอวี้เหว่ยก็ตรงประเด็นนัก ที่ว่าหาความสำราญให้ทุกคนของเขา เชื่อว่าทุกคนไม่มีทางรอคอยแน่ 


 


 


อวี้เหว่ยพลันเห็นใจ “หากจิ่วหุนรู้ว่า สุดท้ายเรื่องราวเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยสงสัยว่าเขาจะช่วยท่านปิดบังคำโกหกอย่างมิดชิดหรือไม่” 


 


 


ผลลัพธ์ของการเปิดโปงคำโกหก ไม่ใช่ศัตรูหัวใจถูกกำจัด แต่ศัตรูกลับทำสำเร็จเอาตำแหน่งคู่หมั้นไปได้ 


 


 


เขารู้สึกว่าหากตนเองเป็นจิ่วหุน คงจะคิดชักดาบฆ่าคนไปแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็ได้แต่เอ่ยวิจารณ์ว่า “นับตั้งแต่โบราณมา จะดีหรือร้ายล้วนพึ่งพาอาศัยกันเป็นหลักการที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีความกล้าแบกรับความผิด ถึงมีคุณสมบัติประสบความสุข” 


 


 


อวี้เหว่ยฟังแล้ว ถึงรู้สึกว่าคำพูดนี้แปลกๆ แต่ก็ไม่อาจบอกว่าไร้เหตุผล 


 


 


เขาพยักหน้า “เตี้ยนเซี่ย บางครั้งข้าน้อยก็ไม่รู้จะบอกว่า ท่านเป็นองค์ชายที่เอ่ยคำเหลวไหล หรือว่าเป็นองค์ชายที่มีปรัชญาล้ำเลิศ” 


 


 


เขารู้สึกว่าคำพูดของเตี้ยนเซี่ย ถึงจะไม่ดูผิดปกติ แต่ก็ต้องบอกว่ามีเหตุผลมาก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงหัวเราะ เอ่ยสบายๆ ว่า “ปรัญชาหรือเหลวไหลไม่สำคัญ ที่สำคัญคือแม่นางเยี่ยเม่ยไม่รังเกียจเยี่ยนที่เป็นเช่นนี้” 


 


 


อวี้เหว่ยไม่พูด  


 


 


ก็ได้ ในสมองมีแต่คนรัก เขาไม่อยากพูดมากอีก 


 


 


 “เตี้ยนเซี่ยจะใส่ยาหรือไม่” อย่าได้บอกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ใส่ยาให้ ก็จะไม่ใส่ยาแล้ว 


 


 


คราวนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้แง่งอน เขายื่นมือออกมารับยาไป เอ่ยว่า “ต้องใส่อย่างแน่นอน ข้างกายนางยังมีจิ่วหุนที่คอยจับจ้องอยู่ เป่ยเฉินอี้ก็ใกล้จะมาถึงแล้ว หากร่างกายเยี่ยนทิ้งรอยแผลน่าเกลียดไว้ อย่างนั้นก็ขาดกำลังในการแข่งขันไปสักหน่อย”  

 

 


ตอนที่ 161 อี้อ๋องมาถึงแล้ว

 

อวี้เหว่ยหมดคำพูด เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไร แม่นางเยี่ยเม่ยก็กลายเป็นหัวข้อหลักไปแล้วใช่หรือไม่


 


 


เขามองเตี้ยนเซี่ยหน้าตาจริงจังด้วยความมึนงง “เตี้ยนเซี่ย แม่นางเยี่ยเม่ยรับปากแต่งงานแล้ว…”


 


 


ยังมีอะไรให้แข่งขันกันอีกเล่า หรือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยยังจะรับปากแต่งงานพร้อมกันสองงานด้วย


 


 


จากนั้นอวี้เหว่ยก็เสริมด้วยเหตุผลอีกว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ใช่คนพูดจากลับกลอก พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น”


 


 


ดังนั้นเตี้ยนเซี่ยก็ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น


 


 


  ถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตวัดสายตามองเขาทีหนึ่ง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย ทั้งยังใช้แววตาราวกับมองสุกรโง่งมมองอวี้เหว่ย  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยปากเนิบๆ ว่า “ความพ่ายแพ้ของคนจำนวนมากบนโลก ก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ หลงคิดว่ากอบกุมชัยชนะเอาไว้มั่นแล้ว จึงไม่ตั้งใจรักษาไว้ให้ดี สุดท้ายชัยชนะในมือก็ถูกผู้อื่นแย่งชิงไป”


 


 


หลังจากเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่สนใจอวี้เหว่ยอีก หมุนกายกลับเข้าห้อง


 


 


อวี้เหว่ยยืนอยู่หน้าประตู ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าหงึกหงัก 


 


 


ก็ถูก มีเหตุผลมาก


 


 


ก็เหมือนกับจิ้งหรีดของเขา ที่เดิมทีหลงคิดว่าจิ้งหรีดอยู่ในมือแล้ว ชีวิตที่แสนน่าเบื่อภายภาคหน้าก็จะถูกคลี่คลายไปได้


 


 


ผลลัพธ์คือหลังจากตนได้รับจิ้งหรีด ยินดีจนลืมตัวทำงานผิดพลาด สุดท้ายจิ้งหรีดที่ได้รับมาก็ถูกบีบให้เหยียบตาย


 


 


อวี้เหว่ยคิดแล้วก็ปาดน้ำตา เห็นความทุกข์ตรม “จริงด้วย คำพูดของเตี้ยนเซี่ยมีเหตุผล”


 


 


ยามนี้เขาค้นพบแล้ว เตี้ยนเซี่ยในเวลานี้มีแต่แม่นางเยี่ยเม่ย ส่วนในสายตาของตัวเขาในยามนี้ก็มีเพียงจิ้งหรีด


 


 


เมื่อใคร่ครวญดูเขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ รีบพุ่งเข้าไปในห้อง “เตี้ยนเซี่ย เมื่อครู่ท่านเพิ่งหักป้ายหยกออกเป็นสองส่วน นี่เป็นสิ่งที่ไว้แสดงฐานะองค์ชายของท่าน หากฝ่าบาททรงรู้เข้า ทั้งยังราชวงศ์อีก ฐานะองค์ชายของท่านจะไม่อาจรักษาไว้ได้”


 


 


เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยจบ คนในห้องส่งเสียงไม่ยี่หระออกมา “ฐานะองค์ชาย สำคัญมากนักหรือ”


 


 


อวี้เหว่ย “คือ…”


 


 


ก็ได้ สำหรับองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง องค์ชายสามก็คงสำคัญมาก แต่สำหรับเตี้ยนเซี่ยแล้ว ดูคล้ายไม่มีผลกระทบมากนัก


 


 


แล้วก็จริงดังความคิด น้ำเสียงสบายๆ ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง “คนไม่มีความสามารถ ถึงตั้งใจรักษาฐานะของตนจนเกินเหตุ ส่วนผู้มีความสามารถ ความสามารถก็คือฐานะ”


 


 


อวี้เหว่ยพลันหยุดพูด ความจริงก็เป็นเช่นนี้ เหล่าเสด็จพี่ทั้งหลายของเตี้ยนเซี่ยไร้ความสามารถ ก็ได้แต่ทุ่มเทกำลังรักษาฐานะของตนเพราะว่าสิ่งนี้คือทุกอย่างของพวกเขา ส่วนความสามารถของเตี้ยนเซี่ยไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครกล้าดูแคลน


 


 


ต่อให้ราชวงศ์รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยทำป้ายหยกหายแล้ว ก็ไม่ถึงขั้นขับไล่เตี้ยนเซี่ยออกจากตระกูล อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีความสามารถนั้น…


 


 


 “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”


 


 


   ……


 


 


เยี่ยเม่ยออกจากเมืองด้วยจิตใจสับสน ในสมองยังมีภาพเรื่องราวเมื่อครู่ฉายซ้ำไปมา


 


 


ป้ายหยกครึ่งชิ้นที่เอว กำลังย้ำเตือนนางว่าเรื่องเมื่อครู่คือความจริง ไม่ได้จินตนาการไปเอง ความจริงแล้วนางในเวลานี้กำลังใคร่ครวญปัญหาหนึ่ง ตัวนางหยาบคายเกินไปหรือเปล่า


 


 


ถึงเยี่ยเม่ยจะมั่นใจในตรรกะการคิดวิเคราะห์ของตนเองเป็นอย่างมาก จากการแสดงออกของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในตอนนี้ การอยู่ร่วมกันของพวกนางในภายหน้าจะมีความทุกข์น้อยมาก แต่…


 


 


ความเปลี่ยนแปลงเล่า


 


 


ในขณะที่นางกำลังวิเคราะห์ จงใจละเลยปัญหาร้ายแรงเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลง


 


 


หัวใจของคนเป็นความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่


 


 


วันนี้เขาเป็นเช่นนี้ แต่ว่าภายหน้าจะเป็นอย่างไร ยามนี้เขายอมนาง แต่วันหน้าเขายังจะยอมนางเช่นนี้ไหม


 


 


จุดนี้ใครก็บอกไม่ถูก


 


 


เพียงแต่


 


 


เยี่ยเม่ยพรูลมหายใจยาว แหงนหน้ามองท้องฟ้า เรื่องราวในโลกหาใช่ทุกเรื่องจะควบคุมเอาไว้ในมือได้ ความเปลี่ยนแปลงภายหน้าก็ถือว่าเป็นบททดสอบของตนเองแล้วกัน


 


 


หากมิได้เป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนวางแผนเอาไว้ ล่วงรู้บทสรุปทั้งหมด เช่นนั้นชีวิตคนคงน่าเบื่อหน่าย ไม่ใช่หรือไง


 


 


อีกอย่าง หัวใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนแปลง แล้วหัวใจของนางก็ไม่แน่ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง


 


 


ในขณะที่คิดเซียวเยว่ชิงก็วิ่งเข้ามา “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านมาตรวจสอบความคืบหน้าของงานหรือ”


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองเขา “ทุกอย่างดำเนินการเป็นอย่างไรบ้าง ราบรื่นหรือเปล่า”


 


 


เซียวเยว่ชิงเอ่ยปากตอบ “ตามความต้องการของท่าน พวกเราใช้ถุงทรายสูงหลายจั้ง สร้างเป็นกำแพงบดบังการมองเห็นของหน่วยสอดแนมต้ามั่ว หลังจากนั้นอาศัยยามฟ้ามืดแอบขุดหลุมเอาไว้ เชื่อว่าคนต้ามั่วกลุ่มนั้นคงยากจะพบพิรุธได้”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซียวเยว่ชิงยังเสริมต่อไป “อีกอย่างวิธีการขุดหลุมของพวกเรา…”


 


 


ระหว่างพูดไป เซียวเยว่ชิงพลันคลี่ยิ้มออกมา “ต่อให้พวกเขารู้สึกว่ามีปัญหา ก็เพียงแค่สงสัยเท่านั้น ดูไม่ออกแน่นอน ดังนั้นจึงบอกได้คำเดียวว่า ฝีมือของแม่นางเยี่ยเม่ยล้ำเลิศมาก”


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยรับคำชมจากเขาตามตรง


 


 


อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นแผนของนาง สมควรได้คำชม


 


 


เยี่ยเม่ยกำชับอีกประโยคหนึ่ง “ระวังไว้หน่อย มากคนมากคำพูด อย่าให้เกิดข่าวลือแพร่ออกไปได้”


 


 


  


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจเถอะ ข้าน้อยใช้คนที่ไว้ใจได้ทั้งหมด ไม่มีปล่อยสายลับปะปนเข้ามาแน่ อีกอย่างข้ากับพวกเขากินอยู่ร่วมกัน สั่งให้ทุกคนช่วยกันสังเกตการณ์ ไม่มีทางปล่อยให้เกิดช่องโหว่เลยสักน้อย ” เซียวเยว่ชิงตัดความเป็นไปได้ที่สายลับจะแฝงกายเข้ามาตั้งแต่จุดเริ่มต้น


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “ข่าวที่พวกแม่ทัพทะเลาะกันช่วงบ่ายแพร่ออกไปแล้วหรือยัง”


 


 


 “เชื่อว่าน่าจะส่งไปถึงหูจิวมั่วเหอแล้ว” เซียวเยว่ชิงได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง แต่รายละเอียดปลีกย่อย เขาไม่เข้าใจชัดเจน


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าพอใจ “อย่างนั้นก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปก็ปิดประตูชายแดนซะ ก่อนจะเปิดศึกกับต้ามั่ว ห้ามไม่ให้ใครออกไปเด็ดขาด กันไม่ให้ใครพบว่าพวกเจ้าขุดหลุมอยู่ที่นี่ส่งข่าวไปถึงต้ามั่วได้”


 


 


 “ขอรับ” เซียวเยว่ชิงรีบพยักหน้า


 


 


ความจริงเขากังวลเหลือเกิน ใช้ถุงทรายช่วยปกปิดไม่ให้คนต้ามั่วสังเกตได้ แต่ว่าพวกเขาขุดหลุมยามค่ำ คืน พวกคนที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างมองเห็น แบบนี้หากมีข่าวแพร่ออกไป…


 


 


เยี่ยเม่ยตัดสินใจปิดประตูเมือง เป็นความคิดที่ดีอย่างมิต้องสงสัย


 


 


แต่เซียวเยว่ชิงก็เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “แต่ประตูเมืองไม่อาจปิดไว้นาน อย่างไรพ่อค้าที่เดินทางมาต่างต้องทำการค้า ถึงสองฝ่ายทำสงคราม แต่ก็ยังมีพ่อค้าไม่รักชีวิตเดินทางมาที่นี่…”


 


 


หากปิดประตูเมืองนานเกินไป จะนำความไม่พอใจให้ชาวบ้านได้


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ไม่ปิดนานหรอก ภายในสองวันทหารต้ามั่วต้องมาแน่”


 


 


 “เอ๋” เซียวเยว่ชิงมองเยี่ยเม่ยด้วยความแปลกใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร”


 


 


หรือว่านางทำนายได้ด้วย


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ตอบ เพียงเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ทำตามคำสั่งข้าก็พอ”


 


 


 “ขอรับ” เซียวเยว่ชิงรีบรับคำ


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยตรวจสอบเสร็จสิ้น ก็หมุนตัวเตรียมกลับเข้าเมือง


 


 


ในเวลานี้เอง มีบ่าวผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหาเยี่ยเม่ยอย่างลนลาน เอ่ยถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย อี้อ๋องเดินทางติดต่อกันทั้งวันทั้งคืนจนมาถึงเมืองชายแดน ท่านจะไปรับหรือไม่” 

 

 


ตอนที่ 162 ท่านอ๋อง แม่นางเยี่ยเม่ยปฏิเสธที่จะออกมารับท่าน

 

เยี่ยเม่ยหันกลับมามองทหาร สายตาทอประกายสนใจ ชี้จมูกตัวเอง ถามเสียงเย็นชาขึ้นมาคำหนึ่ง “ข้าหรือที่จะไปต้อนรับ”


 


 


คนในโลกที่ต้องให้นางไปต้อนรับด้วยตัวเอง นางคิดว่ายังไม่เกิด


 


 


นายทหารชะงักไปชั่วครู่


 


 


ถึงเขาไม่ค่อยเข้าใจแม่นางเยี่ยเม่ย แต่ช่วงนี้ได้ฟังเรื่องมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่แม่นางเยี่ยเม่ยดูคล้ายจะมั่นใจตัวเองเป็นพิเศษ


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นเขาไม่ตอบ จึงถามขึ้นอีกว่า “ในโลกนี้จู่ๆ ก็มีคนที่พร้อมด้วยคุณสมบัติให้ข้าไปต้อนรับปรากฏกายขึ้นมาแล้ว ข้าจัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างไร เจ้าไม่เข้าใจหรือไง”


 


 


 “ไม่…ไม่มี ข้าน้อยเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนแล้ว” ทหารตอบอย่างระมัดระวัง


 


 


ถึงเยี่ยเม่ยจะรู้สึกว่านายทหารผู้นี้ไม่เข้าใจนางเลย ทั้งไม่ตระหนักถึงความเด่นล้ำเกินใครของนางด้วย โง่งมถึงขั้นคิดว่าคนที่โดดเด่นอย่างนาง จะไปต้อนรับอี้อ๋องอะไรนั่น


 


 


แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหวาดกลัว นางก็ไม่สร้างความลำบากให้ พยักหน้า “ไปเถอะ”


 


 


 “ขอรับ”


 


 


นายทหารตัวสั่นงกล่าถอยออกไป


 


 


ในใจเขาคิดว่า ถึงแม่นางเยี่ยเม่ยจะมีความสามารถมาก แต่นี่จะไม่เกินกว่าเหตุไปหรือ นั่นคืออี้อ๋องเชียวนะ


 


 


หลังจากทหารถอยออกไป


 


 


เซียวเยว่ชิงถามด้วยเสียงแปลกใจ “อี้อ๋องมาไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


 


 


น้ำเสียงของเซียวเยว่ชิงเผยความความเลื่อมใสเป่ยเฉินอี้เอาไว้ไม่น้อย นั่นคือความคารพที่มีต่อบุคคลสูงส่งมาเป็นเวลานาน ถึงได้แสดงความเคารพเช่นนี้


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงเขา กลับแปลกใจอยู่บ้าง “นั่นน่ะสิ”


 


 


เพิ่งจะได้ยินว่าอีกฝ่ายจะมา ไฉนจึงมาถึงไวขนาดนี้


 


 


แต่เมื่อคิดถึงคำวิจารณ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีต่อเป่ยเฉินอี้ เยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจคนผู้นี้สักน้อย ก็แค่บุรุษที่เห็นแก่อำนาจโดยไม่เลือกวิธีการก็เท่านั้น


 


 


นางปรายตามองเซียวเยว่ชิงทีหนึ่ง สั่งการว่า “จำเรื่องที่ข้าสั่งไว้ให้ดี แล้วก็กำชับเหล่าทหารในเมืองให้สังเกตคนรอบข้างไว้ สองวันนี้อนุญาตให้คนเข้าเมืองได้ ไม่อนุญาตให้ออกไป แม้แต่นกตัวเดียวก็บินออกไปไม่ได้ ข้าไปพักผ่อนก่อนแล้ว”


 


 


 “ขอรับ ข้าน้อยจะจัดการให้ดี ไม่ให้มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด”


 


 


เซียวเยว่ชิงรีบพยักหน้า ในใจตื่นเต้น


 


 


มีเยี่ยเม่ยที่เป็นผู้นำทัพโดดเด่นเช่นนี้ กอปรกับอี้อ๋อง การศึกของพวกเขา ยังจะไม่ชนะอีกหรือ


 


 


ส่วนคนที่มีฝีมือแต่ไม่ยอมใช้ จิตใจไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างองค์ชายสี่ ก็ปล่อยเขาไว้ไม่นับแล้วกัน….


 


 


องค์ชายสี่ไม่ก่อกวน ไม่สรรหาวิธีทรมานพวกเขา เซียวเยว่ชิงก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว


 


 


   ……


 


 


ค่ายทหารต้ามั่ว


 


 


ราชาต้ามั่วนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน จิวมั่วเหอท่าทางเหมือนนักบวชชั้นสูงสวมชุดนักบวชนั่งถัดมา มีสีหน้าจริงจัง ยังเผยความไม่ยินยอมออกมาบ้างเป็นครั้งคราว ท่าทางแสดงออกว่าถูกบังคับให้กลับเข้าสู่ทางโลก


 


 


หน่วยสอดแนมรายงานอยู่ภายในกระโจม “ท่านข่าน ใต้เท้าจิวมั่วเหอ พวกเราสืบได้ว่าวันนี้แม่ทัพศัตรูหลายคนมีความคิดแตกแยก ลงมือต่อยตีกันยกหนึ่ง จากที่ฟังมาใครต่างก็ห้ามไม่ได้แม่ทัพทั้งสองฝ่ายด่ากราดถึงบุพการีฝ่ายตรงข้าม”


 


 


ราชาต้ามั่วฟังแล้วดวงตาวาวโรจน์ “มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วย”


 


 


ทัพสองฝั่งเผชิญหน้ากัน ฝ่ายศัตรูเกิดศึกภายใน นี่เป็นเรื่องดีอย่างที่สุดไม่ใช่หรือไง


 


 


 “จากนั้นเล่า” จิวมั่วเหอถามต่อ


 


 


หน่วยสอดแนมตอบว่า “ถัดมาเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าน้อยก็สืบต่อไม่ได้อีกแล้ว คนที่สืบได้ก็ไม่สามารถออกมาได้ เพราะตอนนี้ด่านชายแดนเป่ยเฉินปิดลง บอกว่าภายในสองวันนี้ ไม่อนุญาตให้คนออกมา แม้แต่นกตัวเดียวก็ไม่ได้”


 


 


ราชาต้ามั่วรีบหัวเราะ “ดูท่าศึกภายในจะร้ายแรงแล้ว ศัตรูเกรงว่าพวกเราจะจับพิรุธได้ ตีพวกมันจนแตกพ่าย ขุนนางรัก ดูท่าพวกเราไม่ต้องคิดมากอีก การทำลายราชวงศ์เป่ยเฉินก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว”


 


 


จิวมั่วเหอกวาดตามอง ราชาต้ามั่วคำรบหนึ่ง แววตาเผยความเหยียดหยัน สงสัยในสติปัญญาของราชาต้ามั่ว แต่ก็หายไปในฉับพลัน ราชาต้ามั่วไม่ทันสังเกตได้ 


 


 


ไม่ช้าเขาก็เอ่ยว่า “ท่านข่าน ผู้นำทัพของเป่ยเฉินคือเยี่ยเม่ย สตรีผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย การพ่ายแพ้ครั้งก่อน ยังไม่พอเป็นบทเรียนให้ต้ามั่วอีกหรือ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา สีหน้ายินดีของราชาต้ามั่วก็สลายไปในทันที


 


 


ราชาต้ามั่วเอ่ยปากต่อโดยพลันว่า “จั่วอี้อ๋องทิ้งหนังสือจากไปอย่างกะทันหัน ราชสำนักเป่ยเฉินก็ส่งเป่ยเฉินอี้มาเป็นผู้ตรวจการทหาร เยี่ยเม่ยผู้นี้เป็นสตรีนางหนึ่งก็ต่อกรได้ยากเพียงนี้ ข้ากำลังสงสัยว่า ศึกนี้สมควรสู้ต่อไปหรือไม่”


 


 


ราชาต้ามั่วเอ่ยไป หัวใจก็หนักอึ้ง คำพูดประโยคนี้คือความในใจของคนจำนวนไม่น้อย


 


 


ตอนแรกที่พวกเขาคิดโจมตี ราชสำนักเป่ยเฉิน ก็เพราะว่าไม่เห็นพวกเป่ยเฉินเสียงอยู่ในสายตา เสินเซ่อเทียนวางตัวสูงส่ง ไม่ลงมารักษาชายแดนได้ง่ายๆ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีนิสัยเหมือนปีศาจ ไม่มีทางเห็นเรื่องการทหารเป็นสำคัญ ส่วนเป่ยเฉินอี้ที่สามารถทำให้ข้าศึกทุกคนหวาดกลัวได้สองขาพิการ วรยุทธ์ดับสูญ ไม่ออกจากจวนอี้อ๋องอีก


 


 


ดังนั้นพวกเขาชาวต้ามั่วถึงจู่โจม คิดว่าตีเมืองสักหลายเมือง แย่งข้าวของและสตรีกลับไปมากหน่อย เพียงพอให้ต้ามั่วไม่ขัดสนหลายปี


 


 


ในเวลานี้…


 


 


เป่ยเฉินอี้ออกมาอีกครั้ง แค่ตัวเขาก็มากพอให้ข้าศึกทั้งหลายหวาดกลัว อีกฝ่ายยังมีเยี่ยเม่ยโผล่มาอีกคน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลงมือสังหารเยียลี่ว์ซั่นเทพสงครามแห่งต้ามั่วก็เพื่อสตรีนางนี้ ดูท่าโอกาสที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะร่วมศึกเพื่อเยี่ยเม่ยมีไม่น้อย


 


 


ส่วนจั่วอี้อ๋องที่ถนัดการใช้พิษของพวกเขาก็จากไปโดยไม่กล่าวลา ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับหนึ่ง ดังนั้นทุกคนได้แต่ลนลาน


 


 


จิวมั่วเหอฟังแล้ว กลับมองราชาต้ามั่วทีหนึ่ง คล้ายไม่พอใจถามว่า “ท่านข่านกับท่านพ่อใช้วิธีการเช่นนี้บีบจิวมั่วเหอกลับสู่ทางโลก ตอนนี้กลับหวาดกลัวเป่ยเฉินอี้ หากคิดทำเช่นนี้ ท่านข่านดูแคลนความสามารถของข้า หรือว่าคิดล้อข้าเล่นกันแน่”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา ราชาต้ามั่วถึงกับสะอึกไป


 


 


  ทั่วทั้งกระโจมเข้าสู่ความเงียบสงบ


 


 


เซียวชินเพิ่งจากไปโดยทิ้งจดหมายไว้ ตอนนี้หากยั่วโมโหจิวมั่วเหอ เขาปล่อยมือไม่ยุ่งกับเรื่องของต้ามั่วอีก เมื่อราชสำนักเป่ยเฉินย้อนตีกลับ ราชาต้ามั่วรวมถึงคนทั้งหมดในที่นี้ไม่มีใครสักคนออกไปรับศึกได้


 


 


ดังนั้น ราชาต้ามั่วเอ่ยปากละล้าละลัง “ดังนั้นความหมายของขุนนางรักคือ”


 


 


 “ศึกนี้ต้องต่อสู้ ทั้งยังต้องชนะด้วย” สีหน้าจิวมั่วเหอทอประกายมุ่งมั่น จ้องราชาต้ามั่ว “ศึกนี้ปลุกความต้องการเอาชนะของกระหม่อมแล้ว กระหม่อมมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ อีกอย่าง ต้ามั่วเราสูญเสียทหารกล้าไปตั้งมาก หรอกปล่อยไปเช่นนี้ คนต้ามั่วจะยินยอมอย่างนั้นหรือ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา ราชาต้ามั่วคิดถึงสภาพน่าอนาถของศึกก่อนหน้า พลันรู้สึกว่าเจ็บไปทั้งใจ คล้ายจะท้องเสียอีกแล้ว ในความหวาดผวาก็มีโทสะเกิดขึ้นบ้างแล้ว “ขุนนางรักพูดไม่ผิด ศึกนี้ต้องสู้ เช่นนั้นเจ้าคิดว่า ต่อไปควรทำอย่างไร”


 


 


จิวมั่วเหอตอบด้วยเสียงเย็นเยียบ “เช้าวันพรุ่งนี้ ออกตีเมือง”


 


 


   ……


 


 


รถม้าของเป่ยเฉินอี้เข้าสู่ชายแดน


 


 


ผู้ติดตามที่มีกระบี่ประจำกายอยู่ข้างเอว เอ่ยรายงานด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ท่านอ๋องคือ…”


 


 


เป่ยเฉินอี้ปรายตามอง น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “ชิงเกอ ข้าจำไม่ได้ว่า เจ้ามีนิสัยพูดจาละล้าละลังเช่นนี้ ”


 


 


ชิงเกอรีบตอบ “ท่านอ๋อง คือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้นไม่ยอมออกมาต้อนรับท่าน” 

 

 


ตอนที่ 163 พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ถึงเป็นอี้อ๋อง

 

ชิงเกอเอ่ยจบ มุมปากของตนยังกระตุกไปเล็กน้อย


 


 


อย่างไรเสียชื่อเสียงของเตี้ยนเซี่ยที่มีภายนอก โดยเฉพาะหลังจากราชวงศ์จงเจิ้งจบสิ้นก็ยิ่งโด่งดัง ด้วยเหตุนี้หลายปีที่ผ่านมาต่อให้ท่านอ๋องไม่ออกจากจวน คนทั้งหลายก็ยังเคารพท่านอ๋องมาก


 


 


ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากกลัวล่วงเกินท่านอ๋อง ตัวเองถูกให้ร้าย จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย


 


 


แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้…


 


 


ถึงกับปฏิเสธมาต้อนรับ


 


 


ปฏิเสธ?


 


 


ต่อให้เป็นบรรดาองค์ชาย ยามอยู่ต่อหน้าเตี้ยนเซี่ยก็ยังร้องเรียกว่าเสด็จอา เกรงว่าต่อให้เป็นเสินเซ่อเทียนก็ยังไม่ดูแคลนเตี้ยนเซี่ย


 


 


แต่แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้ เป็นสามัญชน ถึงกับปฏิเสธที่จะมาต้อนรับ…


 


 


ชิงเกอเอ่ยปากว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าเพราะว่าแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้ได้รับตราคุมทัพ ถึงได้กำเริบเสินสานแล้ว…”


 


 


นี่ไม่ใช่กำเริบเสิบสานไม่รู้ความ ไม่แยกแยะหนักเบาหรอกหรือ


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นก็สงบนิ่งทอแววสนใจ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “นางไม่มาพบข้า อย่างนั้นข้าจะไปพบนางด้วยตัวเอง”


 


 


ดีมาก ส่งข่าวเข้าไปแล้วยังกล้าไม่ออกมารับอีกหรือ


 


 


ชิงเกอไม่กล้าพูดจา รู้แล้วว่า เตี้ยนเซี่ยของเขาโกรธขึง อย่างไรเสียหลายปีที่ผ่านมามีน้อยคนที่ไม่ไว้หน้าเตี้ยนเซี่ย


 


 


ในขณะที่ชิงเกอแผ่นหลังชาวาบ รถม้าพลันหยุดลง


 


 


ชิงเกอตระหนักได้ทันที เปิดม่านรถออก


 


 


ไม่ช้า เป่ยเฉินอี้บนรถม้าสบตากับเซียวชินข้างทาง เซียวชินมองเป่ยเฉินอี้ทีหนึ่ง ชิงเอ่ยปากก่อนว่า “อี้อ๋อง ไม่พบกันหลายปี” 


 


 


องค์รักษ์ทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนกมองเซียวชิน


 


 


เป่ยเฉินอี้หัวเราะเสียงเบา สายตาล้ำลึกยากคาดเดาจ้องเซียวชิน “ไม่ได้พบกันหลายปีแล้วจริงๆ ข้าคิดไม่ถึงว่า ซือหม่าหรุ่ยผู้เดียวจะสามารถทำให้หมอปีศาจยินยอมรักษาให้ข้า”


 


 


เซียวชินมองเป่ยเฉินอี้ เขาไม่กัดกลุ้ม เอ่ยช้าๆ ว่า “หากมิใช่ปีนั้นท่านหลงรักจงเจิ้งซี ตำแหน่งฮ่องเต้เป่ยเฉินในวันนี้ ก็เป็นของท่านไปนานแล้วมิใช่หรือ ต่างก็เป็นคนยึดมั่นในรัก อี้อ๋องไฉนต้องหัวเราะเยาะข้าด้วย”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา สีหน้าเป่ยเฉินอี้พลันขรึมลง


 


 


จู่ๆ เป่ยเฉินอี้ก็หัวเราะขึ้น เอ่ยเสียงเข้มขรึม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเชิญท่านหมอปีศาจขึ้นรถม้า ตรวจชีพจรให้ข้าเถอะ”


 


 


เซียวชินกลับชื่นชม เป่ยเฉินอี้คำหนึ่ง “อี้อ๋องช่างเก็บอารมณ์ได้ดีนัก”


 


 


หลังจากสองฝ่ายโต้ตอบกันไปมา เป่ยเฉินอี้ยังไม่เกิดโทสะ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกคนเจ้าแผนการอย่างเป่ยเฉินอี้ไม่มีทางแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ


 


 


หลังจาก เซียวชินเอ่ยจบ ก็ขึ้นรถม้ายื่นมือออกไปจับชีพจรให้เป่ยเฉินอี้


 


 


ชิงเกอที่อยู่ด้านข้างจ้องเซียวชินอย่างระวัง คล้ายกลัวอีกฝ่ายจะลงมือ


 


 


ในยามนี้เป่ยเฉินอี้หันกลับมองหน้าชิงเกอ น้ำเสียงทุ้มต่ำเสนาะหูกล่าวช้าๆ “ทำไมต้องตื่นตระหนกนัก ท่านหมอปีศาจย่อมเข้าใจ คนที่จิตใจเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างเป่ยเฉินอี้ สั่งการลงไปแต่แรกแล้ว หากเป่ยเฉินอี้เกิดอะไรขึ้นในมือของหมอปีศาจ จะมีคนมากมายนับไม่ถ้วนไล่ฆ่าซือหม่าหรุ่ย ไม่ตายไม่เลิกรา”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ มือที่จับชีพจรของ เซียวชินพลันชะงักไปเล็กน้อย


 


 


สายตาของเซียวชินหรี่ลงเผยความอำมหิต มองเป่ยเฉินอี้ “อี้อ๋องยั่วโมโหข้า ไม่เป็นผลดีกับท่าน”


 


 


 


 


 “ท่านหมอปีศาจอย่าได้โมโห ในเมื่อล้วนเป็นคนยึดมั่นในความรัก อย่างนั้นก็เชื่อว่าหมอปีศาจคงเข้าใจ ตราบใดที่ข้ายังไม่บรรลุเป้าหมายจะตายไม่ได้ ข้าเตรียมการพวกนี้เอาไว้ เพื่อรักษาชีวิตเท่านั้น” มุมปากเป่ยเฉินอี้ยกยิ้ม แต่นัยน์ตาหาได้มีรอยยิ้มไม่


 


 


เซียวชินเห็นท่าทางไม่เจ็บไม่คันของเขา ก็สะกดโทสะไว้ ก้มหน้าตั้งใจจับชีพจรต่อไป “ที่อี้อ๋องข่มขู่เซียวชินได้ ก็ไม่ใช่เพราะข้ามีจุดอ่อน แต่ท่านไม่มีจุดอ่อนก็เท่านั้น”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา บรรยากาศในรถม้าก็กดดันขึ้นหลายส่วน


 


 


เป่ยเฉินอี้ย่อมเข้าใจ เพราะเขาสั่งการว่าหากตนเองเป็นอะไรขึ้นมา ไม่อาจปล่อยซือหม่าหรุ่ยถึงได้ยั่วโทสะเซียวชิน


 


 


ดังนั้นเมื่อครู่ เซียวชินถึงจงใจประชดเขา ย้ำเตือนเขาว่า จงเจิ้งซีที่เป็นจุดอ่อนเดียวของเป่ยเฉินอี้ตายไปแล้ว


 


 


เป่ยเฉินอี้หาได้ใส่ใจ กลับถามเซียวชินคำหนึ่ง “อย่างนั้นหนีตายมาสี่ปี หมอปีศาจที่ถูกคนนับไม่ถ้วนไล่ฆ่า คิดว่าคนมีจุดอ่อนดีหรือไม่มีจุดอ่อนดีกัน”


 


 


เซียวชินพลันเงยหน้าขึ้น มองเป่ยเฉินอี้ ตอบเสียงเย็นเยียบ “ข้าพูดไม่เก่งเท่าท่านอ๋อง ขอยอมแพ้”


 


 


เซียวชินเคยมีฐานะหมอเทวดา ยามนี้แบกรับชื่อเสียงหมอปีศาจ บุรุษชาตรีผู้หนึ่งเคยช่วยเหลือผู้คน กลับถูกคนตามฆ่าหลายปี คล้ายสุนัขไร้บ้านหนีไปหลบที่ต้ามั่ว คำพูดของเป่ยเฉินอี้ช่างแทงใจเขา


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซียวชินก็ไม่อยากเถียงอีก อย่างไรคนตรงหน้าก็สามารถคาดคำนวณเรื่องราวในแผ่นดินได้ หากยังเถียงต่อไป ตัวเองคงเสียเปรียบแล้ว


 


 


เมื่อเซียวชินยอมแพ้ คำพูดทิ่มแทงอีกฝ่ายก็เก็บเอาไว้


 


 


เซียวชินตรวจอีกครู่หนึ่ง เอ่ยปากว่า “พื้นฐานกำลังภายในของอี้อ๋องล้ำลึกมาก พิษในร่างถอนออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นคาดว่าขาของท่านคงหายดีแล้ว”


 


 


 “ใช่” เป่ยเฉินอี้ไม่ปิดบังเขา


 


 


เซียวชินเอ่ยต่อไป “แต่ยามนี้พิษอีกครึ่งหนึ่ง ทำให้ไม่อาจใช้กำลังภายใน เซียวชินรักษาให้ท่านสามเดือน พิษที่เหลืออยู่ก็จะกำจัดหมด”


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า คำตอบของเซียวชินไม่ต่างจากการคาดการณ์ของเขา


 


 


เมื่อเซียวชินเอ่ยถึงตรงนี้กลับมองอี้อ๋องทีหนึ่ง คำพูดแฝงความชื่นชม “ดื่มยาพิษคร่าชีวิตลงไป อี้อ๋องกลับใช้กำลังภายในปกป้องหัวใจเอาไว้ทันที ทั้งยังปิดจุดชีพจร สะกดพิษทั้งหมดไว้ที่ขา ใช้ขาสองข้างและการสูญสิ้นวรยุทธ์แลกชีวิตไว้ กลับยังแอบซ่อนกำลังภายในไว้อวัยวะภายใน ใช้เวลาสี่ปีกำจัดพิษทีละน้อยฟื้นฟูรากฐาน แผนการของอี้อ๋อง ข้าน้อยนับถือมาก”


 


 


พิษเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นๆ เกรงว่าจะมีแต่ทางตายแล้ว


 


 


ทว่าเป่ยเฉินอี้ไม่เพียงแค่มีชีวิตอยู่ ทั้งยังค่อยๆ กำจัดพิษออกไป กำลังภายในที่แอบไว้ในอวัยวะภายในค่อยๆ ฟื้นฟูรากฐาน เป็นประโยชน์อย่างมาก หากมิใช่เป่ยเฉินอี้มีความสามารถและคาดการณ์เรื่องราวได้เช่นนี้ กำจัดพิษส่วนมากออกไป ต่อให้เขาเซียวชินมีกำลังสูงส่งคับฟ้า ก็ยังทำอะไรพิษชนิดนี้ไม่ได้


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซียวชินเสริมขึ้นอีกประโยค “หากมิใช่เพราะซือหม่าหรุ่ยเกลียดท่านจนเข้ากระดูก อาศัยความฉลาดเช่นนี้ของท่านอ๋อง ข้ายินยอมคบท่านเป็นสหาย”


 


 


น่าเสียดาย


 


 


คำพูดนี้กลับทำให้เป่ยเฉินอี้เงียบไป


 


 


เป่ยเฉินอี้สงบไปสักพัก น้ำเสียงน่าฟังก็ดังขึ้นว่า “ซือหม่าหรุ่ยแค้นข้า ไม่ใช่เพราะอาซี แต่เป็นเพราะเจ้า”


 


 


สิ้นเสียง รถม้าสงบเงียบลง


 


 


ชิงเกอฟังแล้ว ถอนหายใจ เรื่องในปีนั้น ความจริงช่างทำร้ายคน คนในเหตุการณ์บ้างก็ตาย บ้างก็มีชีวิตอย่างทุกข์ตรม


 


 


คนที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหลาย ต่างคิดว่าท่านอ๋องเป็นผู้ชนะ แต่เขารู้ดีว่าคนที่พ่ายแพ้ราบคาบก็คืออี้อ๋อง


 


 


สูญเสียตำแหน่งฮ่องเต้ในมือ ทั้งยังไม่อาจแลกชีวิตของหญิงที่รักมากที่สุดได้ ซ้ำถูกบีบให้อยู่ในจวนหลายปี ยังไม่เรียกว่าพ่ายแพ้ราบคาบหรือ


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ คนทั้งหมดไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องในปีนั้นอีก


 


 


เซียวชินพลันกล่าวว่า “ความจริงข้ารู้สึกแปลกใจไม่น้อย ถ้าท่านอ๋องได้พบแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้นจะตกใจหรือไม่” 

 

 


ตอนที่ 164 เจ้าไม่ใช่พี่สาวข้า

 

 “อ้อ” เป่ยเฉินอี้กวาดสายตามองเขา


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “เหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้”


 


 


 “นาง…พิเศษมาก” เซียวชินใคร่ครวญดีแล้ว ถึงตอบออกมาเช่นนี้ ไม่ช้าเขารีบกล่าวต่อ “ข้าเคยมีวาสนาพบนางสองครั้ง สตรีนางนี้ไม่ว่าความสามารถ หรือความคิดพิสดาร ล้วนทำให้คนแตกตื่นได้ ไม่แน่ว่าหมากของท่านอ๋อง อาจถูกนางทำให้วุ่นวายได้”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงขั้นนี้ เซียวชินก็กล่าวต่อ “ยังมีอีกอารุ่ยคอยช่วยเหลือนางอยู่ที่เมือง บอกว่าเพื่อเซียวเซ่อหยาง แต่นิสัยของอารุ่ยข้ารู้ดี หากมิใช่เยี่ยเม่ยมีความพิเศษ นางไม่มีทางรั้งอยู่แน่”


 


 


หลังจากเซียวชินแจกแจงการวิเคราะห์ของตนจบ


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง ใสแววตาล้ำลึกเกินคาดเดาฉายแววเย็นเยียบ “ตามจริงยังไม่ทันพบหน้า นางก็ทำให้ข้าแปลกใจแล้ว”


 


 


เซียวชินมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ


 


 


จากนั้น ย่อมไม่มีใครอธิบายให้เซียวชินฟังว่า คนของเป่ยเฉินอี้ไปรายงานให้เยี่ยเม่ยมาต้อนรับ แต่นางไม่ใส่ใจ ซ้ำยังปฏิเสธกลับมาด้วย


 


 


นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่เป่ยเฉินอี้ไม่พอใจ


 


 


ยามนี้ต่างไร้คำพูด รถม้ามุ่งหน้าเข้าเมือง


 


 


   ……


 


 


ภายในเมือง


 


 


เยี่ยเม่ยกลับถึงห้องตัวเอง จิ่วหุนกำลังยืนรอนางอยู่หน้าประตู ใบหน้างดงามของเขายังฉายความแปลกใจอย่างหาได้ยากออกมา อยากรู้ถึงผลลัพธ์ที่เยี่ยเม่ยไปคิดบัญชีเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


ทว่าสุดท้ายด้วยเป็นคนพูดน้อย เขาไม่ได้รุกถาม


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามองจิ่วหุนคำรบหนึ่ง รู้ว่าเขาค่อนข้างใส่ใจผลลัพธ์ของเรื่องที่ตัวนางไปคิดบัญชีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ดังนั้นไม่รอให้จิ่วหุนถาม นางก็ชิงเปิดปากก่อน “ข้าฟาดเขาอย่างหนักหน่วงไปยกหนึ่ง ใช้แส้ฟาดทั่วร่าง หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนร่างกายอ่อนแอสักหน่อย ยามนี้คงเจียนตายไปแล้ว”


 


 


ดังนั้น ต่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้อ่อนแอ สภาพร่างกายในเวลานี้ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก


 


 


หลังจากเอ่ยจบ


 


 


จิ่วหุนพยักหน้า หัวใจเกิดความยินดี นับว่านางช่วยเขาแก้แค้นที่ถูกให้ร้าย


 


 


จากนั้น เยี่ยเม่ยก็อธิบายอย่างใจเย็นว่า “แต่ว่าเรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ สำหรับเรื่องนี้ข้าตีเขาไปแล้ว หลังจากแก้แค้น ข้ารับปากจะแต่งงานกับเขา”


 


 


จิ่วหุน “…?”


 


 


เขาจ้องมองเยี่ยเม่ย นัยน์ตาสงบราวน้ำนิ่งแสดงความไม่อยากเชื่อออกมา ถึงกระทั่งแฝงด้วยโทสะอย่างเห็นได้ชัด


 


 


น้อยครั้งที่เยี่ยเม่ยจะเห็นเจ้าเด็กนี่โมโห


 


 


เรื่องนี้ทำให้นางแปลกใจอยู่บ้าง “เจ้าเป็นอะไรไป”


 


 


มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ


 


 


อ้อ จริงสิ


 


 


เยี่ยเม่ยก้มหน้าลงใช้ความคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจ้องจิ่วหุนอย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “ข้าคิดออกแล้ว พวกเจ้ามีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดี ดังนั้นเจ้าจึงไม่อยากให้เขาเป็นพี่เขยเจ้า แต่ว่าช่วยเห็นแก่หน้าข้า ให้อภัยเขาเถอะ ภายหน้าเขาก็ไม่กล้ารังแกเจ้าอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะจัดการเขาอีก ให้เขารู้ว่าอะไรคือความร้ายกาจ”


 


 


  เยี่ยเม่ยเข้าใจว่าจิ่วหุนไม่พอใจ มาจากไม่ชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ดังนั้นเขาจึงไม่ยินดีที่นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะแต่งงาน


 


 


จากนั้น จิ่วหุนฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย กลับเอ่ยกลับมาประโยคหนึ่งด้วยเสียงกลัดกลุ้ม “เจ้าไม่ใช่พี่สาวข้ามาแต่แรกแล้ว”


 


 


เมื่อเอ่ยประโยคนี้ โทสะยิ่งชัดเจน


 


 


หลังจากกล่าวจบเขาก็หมุนกายจากไป ทิ้งเพียงแผ่นหลังเดือดดาลไว้ให้เยี่ยเม่ยชม


 


 


เยี่ยเม่ยอึ้งไปแล้ว


 


 


อ้อ เพราะว่านางจะอยู่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าเด็กนี่ไม่พอใจถึงขั้นไม่ยอมรับพี่สาวแล้วหรือไง


 


 


แต่เมื่อเยี่ยเม่ยหวนคิดแล้ว เหมือนกับว่าครั้งแรกที่ตนเสนอให้เจ้าเด็กนี่เรียกว่าพี่สาว เขาก็ไม่รับปาก คิดว่าคนผู้นี้คงเย่อหยิ่งมากเกินเหตุ


 


 


ในขณะคิดว่าสมควรไปปลอบหรือไม่ พลันมีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา


 


 


เมื่อผ่านการฝึกจากเมื่อคืน กำลังภายในสายเดิมของเยี่ยเม่ยค่อยๆ ฟื้นฟู ดังนั้นนางสามารถรับรู้ถึงผู้อื่นได้จากลมหายใจ


 


 


นี่เป็นลมหายใจของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่


 


 


แล้วก็เป็นจริงดังคาด เมื่อเยี่ยเม่ยหันกลับไป ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็อยู่ด้านหลังนาง ลูบเครามองท้องฟ้า พยายามวางท่าอยู่


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่ง ถามเสียงเย็นชา “ข้อมูลของจิวมั่วเหอสืบได้แล้วหรือ”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เป่าลมใส่เครา ถลึงตาในทันที เขามองเยี่ยเม่ยด้วยความไม่พอใจ “เจ้าพบข้าผู้เป็นอาจารย์ สมควรกล่าวทักทายก่อนมิใช่หรือไง เปิดปากทีก็จิวมั่วเหอ เจ้าช่างทำให้หัวใจอาจารย์อย่างข้าเจ็บปวดเหลือเกิน”


 


 


เมื่อเขาเอ่ย เยี่ยเม่ยก็คร้านจะถกเถียง รีบคล้อยตามว่า “สวัสดี ท่านอาจารย์”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้าด้วยความพอใจ “อืม ไม่เลว”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ถามขึ้นใหม่ “ข้อมูลของจิวมั่วเหอตรวจสอบได้แล้วหรือ”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระตุกมุมปาก นางช่างคล้อยตามแล้วตรงไปตรงมาเหลือเกิน ไม่รู้จักทักทายอีกสักสองประโยคหรือไงกัน


 


 


เยี่ยเม่ยกล่าวเสียงเย็นชาหมดความอดทน “ท่านพบไหมว่า การทักทายท่านสำหรับพวกเราไม่มีประโยชน์ใดๆ ไม่ช่วยอะไรในการต่อบทสนทนาของพวกเราเลยสักนิด คำทักทายไร้สาระพวกนี้ ความจริงก็เพียงการเสียเวลาเท่านั้น”


 


 


ดังนั้นเยี่ยเม่ยไม่ชินกับการกล่าววาจาเหลวไหล ปกติมักเอ่ยประโยคเดียวเข้าประเด็นเลย


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “ได้ได้ได้ ถือว่าเจ้ามีเหตุผล อาจารย์พูดสู้เจ้าไม่ได้ สืบได้แล้ว เจ้าอยากรู้อะไรก็ถามมา”


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเขา “ข้าหวังว่าท่านจะเริ่มเล่ามาตามตรง”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็ไม่เอ่ยคำพูดเหลวไหลอีก รีบเล่าว่า “จิวมั่วเหอเกิดในตระกูลจิวมั่วที่โด่งดังของต้ามั่ว บรรพบุรุษของเขามีคุณงามความชอบในการสร้างชาติ ดังนั้นจึงสืบยศฐานะบรรดาศักดิ์ต่อกันมา ส่วนเจ้าเด็กนี่อายุเจ็ดขวบก็แสดงพละกำลังมหาศาล มือข้างเดียวยกติ่ง[1]ขึ้นได้”


 


 


เขาเล่าไปก็ปรายตามองสีหน้าของเยี่ยเม่ย


 


 


หญิงสาวมุ่นคิ้ว เอ่ยว่า “เล่าต่อไป”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่แค่นเสียงคำหนึ่งอย่างหมดอารมณ์สนุก หลงคิดว่าเยี่ยเม่ยจะแสดงความแปลกใจบ้าง คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีเลย


 


 


เขาจึงเล่าต่ออย่างรวดเร็ว “ตอนอายุสิบสี่ปี เขาก็ฝึกวรยุทธ์จนเป็นยอดฝีมือ เคยประมือกับเทพกระบี่โอวหยางเทา ซ้ำยังชนะครึ่งกระบวนท่า ชาวต้ามั่วต่างชื่นชม ยามอายุสิบเจ็ดปี เขาก็มีคุณความชอบด้านการทหาร ไม่เคยรบแพ้เลยสักครั้งตลอดหลายปี”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังถึงตรงนี้ ก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ “อายุสิบสี่ก็โดดเด่นเช่นนี้ อายุสิบเจ็ดยังประสบความสำเร็จ ดูท่าคุณงามความชอบจะสะเทือนไปถึงเจ้านาย”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองเยี่ยเม่ยด้วยความชื่นชม “ไม่ผิด ยามนั้นเขาปลุกความระแวงของราชา ถึงจิวมั่วเหอจะมีความชอบด้านการศึก แต่ว่ากำลังของครอบครัวมีจำกัด ไม่อาจต่อกรกับราชวงศ์ได้ ยามนั้นพลันมีจั่วอี้อ๋องผู้ลึกลับปรากฏตัวขึ้น ช่วยปูทางให้ราชาต้ามั่ว จิวมั่วเหอตระหนักได้ว่า หากตนเองยังไม่รีบถอนตัว ก็จะมีแต่ทางตายเท่านั้น”


 


 


เท่านี้เยี่ยเม่ยก็พลันเข้าใจ “ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นไม่สนเรื่องทางโลก ออกบวชหรือ”


 


 


 “ฉลาดมาก” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยชม


 


 


เยี่ยเม่ยกล่าวต่อ “ดูท่าทางของเขามีความทะเยอทะยานกับบัลลังก์ราชามาก ดูแล้วระหว่างที่ออกบวช เขาหาได้สงบเสงี่ยม แอบสะสมขุมกำลังอยู่ตลอด ฝ่ายราชาต้ามั่วเห็นว่าเขาออกบวชแล้ว ก็ไม่สนเรื่องทางโลกอีก ชั่วเวลาเดียวกันทำให้เขาสูญเสียความระวัง หลงคิดว่าหากจิวมั่วเหอออกโรง ต้องเป็นผู้ช่วยชั้นเยี่ยมให้ตัวเอง” 


 


 


อย่างไรเสียการที่ยอดขุนศึกไม่ใส่ใจทางโลก ยิ่งไม่ใส่ใจในบัลลังก์ อย่างนั้นก็ได้รับความเชื่อใจจากผู้เป็นนายได้ง่าย


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้า “ก็เป็นเช่นนี้ แต่ว่า…”


 


 


 


 


[1] ภาชนะใส่ของ มีน้ำหนักมาก 

 

 


ตอนที่ 165 เพราะข้า นางถึงไปหาเจ้า

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยังไม่เอ่ยออกมาตรงๆ 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แต่ว่าอะไร” 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่อธิบาย “แต่ว่าเขาคิดชิงอำนาจ ก็ไม่ง่ายปานนั้น จั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วพ่ายศึกให้กับเจ้า อำนาจทางทหารในมือเขาถูกตระกูลจิวมั่วแย่งชิงไป ถึงแม้หลายปีที่ผ่านมาจิวมั่วเหอจะแอบซ่องสุมกำลังไว้ไม่น้อย แต่ว่ายังมีทหารส่วนมากที่ภักดีต่อราชาต้ามั่วเท่านั้น อีกอย่างถึงเป็นต้ามั่วสืบเชื้อสายราชวงศ์ หากเขาคิดแย่งชิงบัลลังก์ ก็ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม”  


 


 


 “ดังนั้นเขาจึงต้องลงมือ ไม่จำเป็นต้องชนะ ต่อให้ชนะแล้วก็ต้องจ่ายผลตอบแทนอย่างร้ายแรง” เยี่ยเม่ยวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว 


 


 


อย่างไรก็ตามทหารในมือจิวมั่วเหอครึ่งหนึ่งอาจอยู่ฝั่งราชาต้ามั่ว อีกอย่างคนทั้งหมดก็ไม่สนับสนุนจิวมั่วเหอ  


 


 


เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ เยี่ยเม่ยกลับคลายใจแล้ว จ้องมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ “ด้วยเหตุนี้ จิวมั่วเหอต้องการคนร่วมมือด้วย หากสามารถร่วมมือกับราชสำนักเป่ยเฉิน ช่วยเขากำจัดคนที่สนับสนุนราชาต้ามั่วกลุ่มนั้น ก็เท่ากับช่วยเขาชิงอำนาจ” 


 


 


 “ฉลาดมาก” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยชมขึ้นอีก 


 


 


คราวนี้ เยี่ยเม่ยก็นับว่าเข้าใจแล้ว นางพยักหน้า กล่าวต่อว่า “ดังนั้นก่อนหน้าที่เขาพูดกับข้าล้วนเป็นเรื่องจริง เขาต้องการคนร่วมมือด้วย ช่วยเขากำจัดคนของราชาต้ามั่ว เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายการครองบัลลังก์ราชาต้ามั่ว หลังจากสำเร็จแล้ว ทหารของต้ามั่วก็สูญเสียไพร่พลไปมากกว่าครึ่ง ถึงเขาจะเป็นราชาก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยเฉินได้ทันที ดังนั้นจึงต้องส่งหนังสือสงบศึก ถึงเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด” 


 


 


สาเหตุนี้ คำพูดที่จิวมั่วเหอบอกนางล้วนเป็นความจริง 


 


 


คนผู้นี้ หากว่าร่วมมือกับนางแล้ว จะต้องทำอย่างที่เขาสัญญาส่งหนังสือสงบศึกมาแน่  


 


 


 


 


 


คำพูดมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยก็อดชื่นชมไม่ได้ “แผนล้ำเลิศ ใช้มือของศัตรูกำจัดราชาต้ามั่วศัตรูตัวฉกาจตรงหน้า อีกทั้งยังคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าหลังจากเขาทำสำเร็จ กองทัพที่เหลือของต้ามั่วย่อมมิใช่คู่มือของเป่ยเฉิน ดังนั้นจึงสัญญายอมสงบศึก อีกทั้งเพราะข้าร่วมมือกับเขา เมื่อถึงเวลานั้นข้ายังไม่อาจไม่ยอมรับการสงบศึกของเขาได้ เช่นนั้นเมื่อคิดไปคิดมาแล้ว ไม่ว่าผลของการร่วมมือเป็นเช่นไร เขาก็เป็นผู้ชนะที่แท้จริง” 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เป็นคนฟังอยู่ด้านข้าง คราวนี้กลับช่วยศิษย์คนรองของตนเอ่ยประโยคหนึ่ง แต่ค่อนข้างเป็นกลาง “ถึงแผนการของเขาเรียกได้ว่าล้ำลึกถึงยอดเยี่ยม แต่ว่าทางเป่ยเฉินก็ไม่เสียเปรียบ” 


 


 


คำพูดนี้ เยี่ยเม่ยเห็นด้วย 


 


 


นางเอ่ยปากเสียงเย็นชาว่า “หากการร่วมมือนี้สำเร็จ ก็คือชัยชนะของสองฝ่าย เขาได้เป็นราชาต้ามั่ว อีกทั้งระหว่างการร่วมมือยังอาศัยความน่าเชื่อถือของข้า ทำให้ทางเป่ยเฉินต้องยอมรับการสงบศึก มอบโอกาสให้ต้ามั่วหายใจ ภายหน้าค่อยวางแผนใหม่” 


 


 


อีกอย่างทางเป่ยเฉินก็ไม่ได้สูญเสียกำลังมากมาย ก็สามารถกำจัดทหารต้ามั่วไปกว่าครึ่ง ซ้ำยังชิงเอาชัยชนะในศึกนี้มาได้ คนเดียวที่เป็นผู้เสียหายก็แค่ราชาต้ามั่วเท่านั้น” 


 


 


ไม่ว่านางก็ดี จิวมั่วเหอก็ดีไม่มีใครใส่ใจความเป็นตายของราชาต้ามั่ว ทั้งไม่มีใครใส่ใจผลประโยชน์หรือความสูญเสียของราชาต้ามั่ว  


 


 


 “ก็เป็นเช่นนี้แหละ” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้า  


 


 


นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจบอกข้อมูลทั้งหมดของจิวมั่วเหอกับนาง เยี่ยเม่ยวิเคราะห์เป้าหมายของจิวมั่วเหอ คนทั้งสองยิ่งเป็นไปได้ว่าจะร่วมมือกัน สร้างสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายได้รับชัย ในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ เห็นลูกศิษย์ทั้งสองร่วมมือกันทำร้ายคนอื่น ย่อมดีใจ 


 


 


เยี่ยเม่ยในยามนี้ก็เข้าใจแล้ว 


 


 


สุดท้ายนางตัดสินใจ “ดังนั้นที่จิวมั่วเหอนัดแนะกับข้า ภายในสามวันจะเปิดศึก ก็เพื่อทดสอบความสามารถของข้าว่ามีคุณสมบัติพอที่จะร่วมมือกับเขาจริงๆ ” 


 


 


อย่างไรเสียการร่วมมือกับจิวมั่วเหอก็เสี่ยงมาก หากความสามารถของตนไม่เพียงพอ จะทำให้ละครฉากนี้ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น สุดท้ายกลับทำร้ายคนทั้งสองฝ่ายจนถึงตาย นางกลับเข้าใจการกระทำจิวมั่วเหอที่ต้องทดสอบความสามารถของนางเสียก่อน  


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้า “ถูกแล้ว ก็เป็นเช่นนี้” 


 


 


พูดไป ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็กะพริบตาปริบให้เยี่ยเม่ย “ดังนั้นเจ้าจะทำให้เขาผิดหวังหรือไม่” 


 


 


 “ข้าไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ข้ายังจะทำให้เขาที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ได้ลิ้มรสชาติของความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกอีกด้วย” เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชาเอ่ยประโยคนี้ออกมา 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ในยามนี้มีความคิดว่าจะได้ชมละครสนุกๆ แล้ว เอ่ยสนับสนุน “ก็ดี อย่างนั้นข้าจะรอชมการแสดงอันน่าตื่นตาของพวกเจ้า” 


 


 


คำพูดนี้ก็คือ ผลไม้จัดเตรียมเอาไว้ เก้าอี้ยาวก็เตรียมเรียบร้อย รอก็แต่ละครฉากสนุกเริ่มแสดง 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา 


 


 


ใบหน้ายิ้มแฉ่งของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันแข็งทื่อไป หัวเราะแห้งๆ ออกมาสองคำ “อย่างนั้นอาจารย์ขอตัวก่อน จะไปช่วยเจ้าตามหาเจ้าเด็กจิ่วหุน” 


 


 


 “ไม่ต้องหา เขากลับมาแล้ว” 


 


 


เมื่อคิดถึงจิ่วหุนที่โมโหเมื่อครู่ เยี่ยเม่ยก็ปวดหัวอยู่บ้าง 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบหัวเราะ “อย่างนั้นก็ดี เท่ากับลดเรื่องไปเรื่องหนึ่ง อย่างนั้นข้าขอตัวก่อน เจ้ามีเรื่องใดให้ช่วย ก็…ก็จัดการเองแล้วกัน อาจารย์อย่างข้านอกจากชี้แนะการฝึกวิชาให้เจ้าแล้ว ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…คำพูดแบบนี้ไม่จำเป็นต้องตั้งใจเอ่ยก็ได้” 


 


 


มีเรื่องอะไรเจ้าก็จัดการเอง จำเป็นต้องให้เขาบอกหรือไงกัน 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระแอมไอแก้เก้อ เดิมเขาอยากบอกว่า มีเรื่องอะไรก็มาให้ตัวเขาช่วย เพียงแต่เอ่ยมาได้ครึ่งทางก็พบว่าไม่ได้การ ดังนั้นถึงได้เปลี่ยนคำพูดกลางคัน  


 


 


เยี่ยเม่ยโพล่งขึ้นมา “จริงสิ ข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหมั้นกันแล้ว” 


 


 


ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็เป็นอาจารย์ของนาง ซ้ำเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นสมควรบอกเขาเสียหน่อย 


 


 


 “หา” เขาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ มองเยี่ยเม่ย “เจ้าเจ้าเจ้า เจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหมั้นแล้ว ว่องไวถึงเพียงนี้เชียว อย่างนั้นเป่ยเฉินอี้…”  


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยสายตาแปลกใจ “เป่ยเฉินอี้ทำไมกัน” 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันตระหนักได้ “ไม่ ไม่มีอะไร เรื่องของหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า พวกเจ้าพอใจก็ดี คนแก่อย่างข้าขอตัวก่อนแล้ว” 


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ผู้เฒ่าก็จากไป 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องแผ่นหลังของเขาด้วยความประหลาดใจ หมุนกายกลับไปห้องจิ่วหุน 


 


 


นางเพิ่งมาถึงหน้าห้องจิ่วหุน ก็พบเงาร่างคุ้นเคย นั้นก็คือหลินซูเหย่า ในยามนี้นางกำลังยืนอยู่หน้าจิ่วหุน 


 


 


ประตูห้องจิ่วหุนกำลังเปิดออก 


 


 


ไม่รู้บุตรสาวเจ้าเมืองกำลังพูดอะไร 


 


 


เยี่ยเม่ยหาใช่คนชอบแอบฟังคนอื่น เห็นภาพนี้จึงหมุนตัวจากไป เตรียมกลับมาอีกในภายหลัง นางเพิ่งก้าวเท้าออกไปได้ก้าวเดียว จู่ๆ ด้านหลังพลันมีเสียงสูงของหลินซูเหย่าดังขึ้น “เยี่ยเม่ยผู้นั้น มีอะไรดีกัน นางมีค่าให้ท่านทำเพื่อนางอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เมื่อฟังว่าหัวข้อสนทนาของพวกเขาเอ่ยถึงตน ฝีเท้าของเยี่ยเม่ยพลันชะงัก 


 


 


หันกลับไปมอง 


 


 


ส่วนในเสี้ยวนาทีถัดมา หลินซูเหย่าก็เอ่ยต่อไปว่า “ข้าเอาใจใส่ท่านขนาดนี้ ท่านกลับมองไม่เห็น ข้าไปบอกให้นางตามหาท่าน ท่านหลงคิดว่าหากข้าไม่ไปบอกนาง นางจะส่งคนไปตามหาท่านเหรอไง นางไม่มีทางทำแน่ ทั้งหมดก็เพราะข้า นางถึงส่งคนไปตามหาท่าน” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังประโยคนี้ ก็ทั้งฉิวทั้งขำ  

 

 


ตอนที่ 166 ข้าจะเข้มแข็งขึ้น เพื่อปกป้องเจ้า

 

 “อย่างนั้นหรือ”


 


 


ไม่รอให้จิ่วหุนเอ่ยปาก เยี่ยเม่ยก็ชิงเอ่ยก่อนแล้ว


 


 


หลินซูเหย่าฟัง ใจเต้นตึกตักในบัดดล หันกลับไปมองเยี่ยเม่ย เสี้ยวนาทีนั้นนางตกใจจนหน้าซีดขาว นางย่อมรู้ว่าอารมณ์ของเยี่ยเม่ยไม่ดีเป็นอย่างมาก เรื่องที่ตนถูกตบหน้ายังอยู่ในสมอง ความรู้สึกเจ็บยังไม่เลือนหาย


 


 


สายตาหวาดกลัวของหลินซูเหย่ามองไปที่เยี่ยเม่ย เสียงสั่นเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้า…ข้า…”


 


 


 “เจ้าทำไม” เยี่ยเม่ยถามด้วยความอดทน


 


 


จิ่วหุนได้ยินเสียงเยี่ยเม่ย ก็เดินออกมาจากห้อง


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องหน้าหลินซูเหย่า เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “แต่งเรื่องต่อไปสิ พูดสิ่งที่เจ้าอยากเล่าออกมาซะ อย่างไรก็ตามตอนที่ข้าสั่งให้คนออกไปตามหาจิ่วหุน พวกแม่ทัพทั้งหลายก็อยู่ด้วย ตอนที่เจ้ามาหาข้า บ่าวเฝ้าประตูเห็นอย่างชัดเจน เรื่องนี้ไม่มีทางไม่ชัดเจนแน่ เจ้าว่าอย่างนั้นไหม”


 


 


 “ข้า…” หลินซูเหย่าก็คิดไม่ถึงว่า คำพูดของตนเมื่อครู่กลับถูกเยี่ยเม่ยได้ยิน


 


 


สถานการณ์ในเวลานี้กระอักกระอ่วนมากจริงๆ


 


 


หลินซูเหย่าพลันยอบกายลง “ข้ายังมีเรื่องอื่นอีก ข้าขอตัวก่อน พวกท่านคุยกันไปเถอะ”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ นางรีบวิ่งออกไป


 


 


เยี่ยเม่ยไม่รั้งนางไว้ เส้นเสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ยพลันดังขึ้น ยามที่หลินซูเหย่าวิ่งออกไปถึงประตูพอดี “แม่นางท่านนี้”


 


 


หลินซูเหย่าชะงักฝีเท้า


 


 


เยี่ยเม่ยเสียงเย็นชา “ภายหน้ายามคิดยุแยงปลุกปั่น ก่อนจะเอ่ยวาจาไร้สาระ จำไว้ว่าควรดูให้ดีว่ารอบๆ มีคนอยู่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนเย่อหยิ่งเช่นข้า คร้านจะคิดเล็กคิดร้อยกับพวกไร้ประโยชน์”


 


 


สีหน้าของหลินซูเหย่าประเดี๋ยวซีดขาว ประเดี๋ยวเขียวคล้ำ ไม่พูดอะไรออกมา นางเผ่นไปอย่างสงบเสงี่ยม


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน ถามว่า “ยังโกรธอยู่อีกหรือ”


 


 


จิ่วหุนเงียบสักพัก ค่อยส่ายหน้า “ไม่โกรธแล้ว ข้าปลอบตัวเองเรียบร้อย”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


ก็ดี ดูท่าเจ้าเด็กนี่ช่วยเหลือตัวเองได้ไม่เลวเลย ไม่ต้องการให้ตัวนางเดือดเนื้อร้อนใจแทนสักนิด นางก็ไม่ใช่คนชอบยุ่มย่าม ในเมื่อเขาบอกว่าเขาจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ นางก็จากไปได้แล้ว 


 


 


ดังนั้นเยี่ยเม่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าไม่โกรธ อย่างนั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”


 


 


จิ่วหุนพยักหน้า


 


 


เยี่ยเม่ยเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงเล็กๆ ราวกับลูกสัตว์ตัวน้อยของจิ่วหุนพลันดังขึ้น “เจ้าชอบเขาไหม”


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า


 


 


นางรู้ว่าเขาที่จิ่วหุนหมายถึงคือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


หากพูดกับคนอื่น ไม่แน่ว่าเยี่ยเม่ยจะเอ่ยออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่สำหรับจิ่วหุนที่นางเห็นเป็นน้องชาย เยี่ยเม่ยตอบได้โดยไร้ความกดดัน “อืม ใช่ ชอบ”


 


 


จิ่วหุนพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก เพียงตอบกลับไปสี่พยางค์ “ข้าเข้าใจแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยหันขวับกลับมองเขาด้วยความแปลกใจ


 


 


เห็นจิ่วหุนมีสีหน้าปกติ ไม่มีแววยินดีเลยสักนิด ราวกับเรื่องที่เขาถามนางเป็นเรื่องปกติ เยี่ยเม่ยในยามนี้คลายใจลง สุดท้ายนางก็กำชับว่า “เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”


 


 


 “ได้” จิ่วหุนพยักหน้า


 


 


เยี่ยเม่ยเดินออกไป


 


 


หลังจากหญิงสาวจากไป จิ่วหุนยืนอาบแสงจันทร์ มองท้องฟ้าไร้ขอบเขต ดวงตาสงบราวน้ำนิ่ง ชั่วนาทีนั้นยิ่งสงบนิ่งคล้ายกับน้ำในบึงใหญ่ไร้คลื่นลม


 


 


แสงจันทร์ส่องลงมา เงาร่างเขาสูงใหญ่


 


 


จิ่วหุนก้มหน้า มองมือตัวเอง บนมือเต็มไปด้วยหนังด้านๆจากการฝึกกระบี่ ในที่สุดเขาก็เปล่งเสียงเบาๆ พูดกับตัวเอง “ชอบเขาก็ถูกแล้ว อย่างไรเสียนอกจากฆ่าคน ข้าก็ทำอะไรไม่เป็นทั้งนั้น”


 


 


สุดท้ายเขายื่นมือออกมาจับด้ามกระบี่ที่เอว


 


 


ใช้เสียงต่ำสัญญาว่า “ข้าจะยิ่งแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องเจ้า”


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยเดินออกจากเรือนของจิ่วหุน ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมักรู้สึกว่าจิ่วหุนแปลกๆ แต่นางเป็นสาวแกร่ง ในเมื่อจิ่วหุนกล่าวแล้วว่าไม่เป็นอะไร ทั้งยังปลอบใจตัวเองไปแล้ว เยี่ยเม่ยก็ไม่มีเหตุผลให้ลังเลอีก


 


 


นางกลับห้อง นั่งหลับตาปรับลมหายใจบนเตียง


 


 


นางเริ่มเคลื่อนกำลังภายในของตน เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าไม่เกินสามวันกำลังภายในสายเดิมในร่างจะถูกสยบ เชื่อฟังคำสั่งของนางได้


 


 


……


 


 


รถม้าเคลื่อนมาถึงจวนเจ้าเมือง


 


 


เป่ยเฉินอี้นั่งในรถม้า เซียวชินมองเป่ยเฉินอี้คำรบหนึ่ง เอ่ยปากว่า “ฐานะของข้าค่อนข้างพิเศษ หลบไปจะดีกว่า”


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า “แล้วแต่ท่านหมอปีศาจเถิด”


 


 


สิ้นเสียง เซียวชินสวมหน้ากากกระโดดลงจากรถม้า เร้นกายหายไปในความมืดมิด


 


 


หน้าประตูจวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองหลินสั่งการเหล่าขุนนาง นายทัพทั้งหลายในมาต้อนรับเป่ยเฉินอี้ไว้อยู่นานแล้ว


 


 


ยามที่รถม้าของเป่ยเฉินอี้ถึงประตูจวน


 


 


ที่ชวนให้คนแปลกประหลาดใจอยู่บ้างคือ ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินออกมาจากจวนเจ้าเมืองด้วย ทุกคนหันไปมองด้วยไม่อยากเชื่อ องค์ชายสี่ก็มาด้วยหรือนี่


 


 


ในห้วงความแปลกใจของทุกคน เป่ยเฉินอี้ลงจากรถม้าแล้ว


 


 


คนทั้งหมดค้อมกายคารวะ “น้อมรับอี้อ๋อง”


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า ดวงตาเรียวยาวนิ่งสงบคู่นั้นปราดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่หน้าประตู


 


 


ส่วนในยามนี้ริมฝีปากของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มน่าชม มองเป่ยเฉินอี้ ค่อยๆ เปิดปากว่า “เสด็จอาที่รัก ดูท่าขาของท่านจะหายดีแล้ว อยากคุยกับเยี่ยนสักหน่อยหรือไม่”


 


 


ตอนนี้คนทั้งหมดค่อยสังเกตว่า ขาของเป่ยเฉินอี้หายเป็นปกติแล้วจริงๆ


 


 


เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังเอ่ยว่า “ย่อมได้”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองพวกเจ้าเมืองหลิน เป่ยเฉินอี้ก็กวาดสายตามองคนที่ติดตามอยู่เบื้องหลังตน


 


 


คนทั้งหลายรีบร่นถอยไป


 


 


อืม ไฉนพวกเขาถึงรู้สึกว่า ระหว่างองค์ชายสี่กับอี้อ๋อง มีบรรยากาศแปลกๆ นะ ก่อนหน้าก็ไม่เคยได้ยินว่าทั้งสองมีความแค้นต่อกัน หลังจากคนทั้งหมดถอยไป เป่ยเฉินอี้เปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “กลัวข้าสร้างความลำบากให้เยี่ยเม่ยหรือ”


 


 


 “เสด็จอาช่างตรงไปตรงมานัก” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่บ่ายเบี่ยง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าว “มีเยี่ยนอยู่ เยี่ยนไม่คิดว่าเสด็จอาจะมีความสามารถสร้างความลำบากให้นางได้ เยี่ยนแค่มาเกลี้ยกล่อมเสด็จอา อย่าหาเรื่องใส่ตัว ถึงเยี่ยนจะมีเมตตา แต่ความเมตตาก็มีขีดจำกัด”


 


 


เป่ยเฉินอี้แค่นหัวเราะ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยว่า “เจ้ามีเมตตาจริงไหม เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี เชื่อว่าเจ้าก็รู้ ในเมื่อข้ากล้ามา ก็วางแผนเอาไว้แล้ว ข่มขู่ข้า หาใช่ความคิดที่ดี”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ค่อยๆ หัวเราะ สายตาอ่อนโยนมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า “แต่เสด็จอาก็สมควรทราบ ยั่วให้เยี่ยนโมโห ช่างโง่เขลานัก”


 


 


คำพูดไม่กี่ประโยคตอบโต้กันไปมา ในบรรยากาศคล้ายมีดินระเบิดพร้อมปะทุ


 


 


หลังจากนั้นสักพัก


 


 


เป่ยเฉินอี้ยิ้มเอ่ย “ดังนั้น นี่คือการประกาศศึกหรือ”


 


 


 “หากเสด็จอาคิดว่าใช่ เยี่ยนก็ไม่ปฏิเสธ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบออกไปอย่างสบายๆ จากนั้นค่อยเอ่ยว่า “ขอเพียงเสด็จอาไม่กลัวเสียใจ อย่างไรความใจกว้างของเยี่ยนก็มีขีดจำกัด”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินอี้โพล่งออกไปอีกประโยค “ความจริงข้าก็แปลกใจนัก ตามนิสัยใจคอของเจ้า วันนี้ไม่สมควรมาเตือนข้าเรื่องพวกนี้ หากเจ้าไม่พอใจในตัวข้า สมควรลงมือสังหารข้ามากกว่า”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนหายใจยาว เอ่ยเป็นจริงเป็นเท็จว่า “เพราะว่าเยี่ยนไม่อยากเป็นศัตรูกับเสด็จอา อย่างไรซะเสด็จอาก็เป็นคนวางแผนสังหารราชครู” 

 

 


ตอนที่ 167 ทหารแสนนายไล่ฆ่านาง ดังนั้นพวกมันจะต้องตาย

 

เมื่อเขาเอ่ยออกมา เป่ยเฉินอี้สายตาวาวโรจน์ 


 


 


เขาจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากเสียงเย็นเยียบ “เจ้ารู้ว่าราชครูตายด้วยน้ำมือข้าหรือ” 


 


 


 “ไม่ผิด” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ค่อยๆ ตอบ “เยี่ยนคิดจะลงมือกับเขา กลับถูกเสด็จอาชิงตัดหน้าไปก่อน แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยนก็ยังคงชื่นชมการจัดการของเสด็จอาเหมือนเดิม วางหมากล่วงหน้าสามตา ทำให้เสด็จพ่อเชื่อว่าราชครูคิดไม่ซื่อ” 


 


 


ปากเขาบอกว่าชื่นชม แต่สีหน้าไม่มีอารมณ์ชื่นชมเลยสักกระผีกริ้น 


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้ กลับเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่คลี่ยิ้มออก “ดังนั้นเสด็จอาน่าจะเข้าใจความจริงใจที่เยี่ยนมาเตือนเสด็จอาในวันนี้” 


 


 


คำพูดก็เปิดเผยมากพอแล้ว เขามาเตือน แสดงออกว่าไม่อยากเป็นศัตรู หากว่าเป่ยเฉินอี้จะไว้หน้า อย่าได้ลงมือยั่วยุ ส่วนสาเหตุที่ไม่อยากเป็นศัตรูก็เพราะเป่ยเฉินอี้สังหารราชครู 


 


 


เป่ยเฉินอี้หัวเราะเสียงขรึม “ข้าลืมไปแล้ว หากมิใช่เพราะราชครู ชะตาชีวิตของเจ้าก็ไม่เป็นเช่นนี้” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มากความ กลับตอบว่า “หลายปีที่ผ่านมา น้อยครั้งที่จะแปลกใจกับเรื่องใด แต่ว่าเรื่องของราชครู เยี่ยนไม่เข้าใจจริงๆ ไฉนเสด็จอาต้องลงมือกับเขาด้วย” 


 


 


อย่างไรก็ตามศัตรูของตนเองถูกคนอื่นฆ่าตาย  


 


 


ความรู้สึกนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คนตายก็ตายไปแล้ว กลับกันเขาก็หาใช่คนให้ความสำคัญกับความแค้นนัก เพียงแต่แปลกใจว่า เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเป่ยเฉินอี้ 


 


 


คนทั้งสองเอ่ยมาถึงบัดนี้ เป่ยเฉินอี้ก็ไม่ลีลายืดยาว จ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงเข้มเอ่ยว่า “เพราะว่าปีนั้นอาซีหาได้ฆ่าตัวตาย ส่วนข่าวลือที่นางฆ่าตัวตายนั้นเป็นความเท็จ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจในทันที 


 


 


พลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง ถามอย่างมีเหตุผลว่า “อย่างนั้น หลังจากราชวงศ์จงเจิ้งล่มสลาย ทหารแสนนายของเป่ยเฉินไล่สังหารทหารแตกทัพ เรื่องนี้เสด็จอาไม่ได้เข้าร่วมวางแผน ส่วนทหารของเป่ยเฉินแสนนายตกตายทั้งหมด ผลลัพธ์นี้เสด็จอาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วหรือ” 


 


 


นัยน์ตาเป่ยเฉินอี้กวาดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าการไล่สังหารนั้นข้าไม่ได้เข้าร่วมด้วย หากไม่มีข้าวางแผน ทหารแสนนายนั้นเกรงว่าจะตายอย่างหมดจดเช่นนี้”  


 


 


เป่ยเฉินอี้ยอมรับแล้ว ทัพแสนนายของเป่ยเฉิน ถูกท่านอ๋องแห่งเป่ยเฉินสังหารจนตาย 


 


 


ส่วนที่เขากล้าสารภาพกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เหตุผลก็ง่ายมาก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทางใส่ใจชีวิตของทหารที่ตายไป อีกอย่างนี่ก็แค่คำพูดเท่านั้นไม่มีหลักฐาน  


 


 


 “ในทหารแสนนายนี้มีคนไล่ฆ่าจงเจิ้งซีหรือ” ถึงจะถามออกมา แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามเพื่อเป็นการยืนยันเท่านั้น 


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า สารภาพออกไปตามตรงกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ไม่ผิด อาซีไม่ใช่คนจะฆ่าตัวตายได้ นางถูกธนูยิงตกน้ำตาย ทหารแสนนายไล่สังหารนาง ธนูดอกนั้นอาจเป็นใครสักคนยิง แต่ราชครูเป็นคนสั่งการ ดังนั้นพวกเขาต้องตาย ข้าพูดชัดเจนหรือไม่” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยิ้มออก เอ่ยต่อว่า “อย่างนั้น ข่าวลือที่จงเจิ้งซีฆ่าตัวตาย ก็เป็นเสด็จอาที่ปล่อยออกมา เพื่อปกป้องแรงจูงใจในการสังหารราชครูและทหารแสนนายของเสด็จอา คนตายมากขนาดนั้น ไม่มีใครสงสัยไปถึงเสด็จอาสักคน อย่างไรจงเจิ้งซีก็ฆ่าตัวตาย เสด็จอาไม่อาจโทษใคร ย่อมไม่ฆ่าใคร เยี่ยนเอ่ยถูกหรือไม่” 


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วหัวเราะ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่ตอบคำถาม กลับเอ่ยว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากเจ้าสนใจการเมือง อย่างนั้นข้าล่ะสงสัยจริงๆว่า ฉายาปราชญ์อันดับหนึ่งจะเป็นของข้าหรือเจ้ากันแน่” 


 


 


คำพูดนี้เท่ากับยอมรับการคาดเดาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทั้งยอมรับสติปัญญาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกด้วย  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “การเมืองไม่เกี่ยวพันกับเยี่ยน ส่วนปราชญ์อันดับหนึ่งจะเป็นใคร เยี่ยนหาได้ใส่ใจ ขอเพียงเสด็จอาเข้าใจว่า เยี่ยเม่ยในใจของเยี่ยน สำคัญกว่าจงเจิ้งซีในใจของเสด็จอาเป็นหมื่นเท่า ดังนั้นการทำให้นางไม่มีความสุข เป็นการยั่วยุเยี่ยนที่แท้จริง หากแต่เสด็จอาระวังไว้ให้ดี อย่างไรเสียเยี่ยนก็ไม่อยากให้เกิดการฆ่าฟันระหว่างญาติมิตร” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยจบ ก็ไม่รอให้เป่ยเฉินอี้ตอบ ทั้งไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเชื่อเขาที่เพิ่งทำร้ายเป่ยเฉินเสียงเจียนตายไป ว่าไม่อยากให้เกิดการฆ่าฟันระหว่างญาติมิตรหรือไม่ ก็หมุนกายเดินจากไป  


 


 


เป่ยเฉินอี้แววตาลุ่มลึก มองแผ่นหลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงต่ำเอ่ยว่า “หมื่นเท่าเชียวหรือ” 


 


 


เสียงนี้เบามาก มีเขาได้ยินแต่เพียงผู้เดียว 


 


 


จนกระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจากไปแล้ว ชิงเกอเดินมาถึงข้างกายเป่ยเฉินอี้ เอ่ยปากว่า “อี้อ๋อง ดูท่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะสำคัญกับองค์ชายสี่มาก” 


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกับแค่นเสียงออกมา “เผยจุดอ่อนออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้ามั่นใจเกินไปแล้ว หรือคิดว่าข้าอ่อนแอกัน” 


 


 


นับว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงออกไปอย่างชัดเจนว่า เยี่ยเม่ยก็คือจุดอ่อนของเขา 


 


 


 “ท่านอ๋อง…อย่างนั้นต่อไปพวกเรา…” ชิงเกอรีบถามขึ้น จนถึงยามนี้แล้ว เรื่องความสงสัยที่มีต่อเยี่ยเม่ย ไว้คุยกันพรุ่งนี้ 


 


 


 “พักผ่อน” 


 


 


 “ขอรับ” 


 


 


…… 


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา 


 


 


เยี่ยเม่ยเพิ่งลืมตาขึ้น หลูเซียงฮั่วก็วิ่งมาเคาะประตูห้องเยี่ยเม่ยอย่างลนลาน  


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามอง “เข้ามา” 


 


 


ทันทีที่หลูเซียงฮั่วผลักประตูเข้ามา ก็เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ดีแล้ว หน่วยสอดแนมรายงานว่า จิวมั่วเหอนำทัพบุกโจมตีเมือง” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาทีหนึ่ง “ทุกอย่างเตรียมการไว้พร้อมแล้วใช่ไหม” 


 


 


 “พร้อมแล้ว” หลูเซียงฮั่วพยักหน้ารัว เอ่ยว่า “ของที่ท่านสั่งการไว้ ส่งมอบให้เหล่าทหารแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ดีมาก” 


 


 


เยี่ยเม่ยลงจากเตียง เดินไปถึงหน้าประตู มองจิ่วหุนยืนกอดกระบี่อยู่ด้านนอก 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักงันเล็กน้อย จิ่วหุนไม่พูดจา ทว่าท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจนว่าจะช่วยเหลือนาง 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่พูดมาก เดินออกไปด้านนอกทันที 


 


 


จิ่วหุนรีบติดตามไป 


 


 


…… 


 


 


นอกกำแพงเมือง สองทัพประจันบาน 


 


 


ระยะห่างตรงกลางยี่สิบกว่าเมตร เยี่ยเม่ยอยู่แนวหน้าสบตากับจิวมั่วเหอ  


 


 


วันนี้จิวมั่วเหอสวมชุดนักบวช แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นการหลอกลวงคน เยี่ยเม่ยเสนอว่า “ใต้เท้าจิวมั่ว ข้าขอเสนอให้ท่านถอดชุดนักบวชออกก่อนจะเปิดศึกเถอะ อย่างไรเสียคนที่นับถือพระไม่อาจฆ่าคน” 


 


 


เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ คนของเป่ยเฉินพลันหัวเราะออกมา แต่ละคนหัวเราะเยาะจิวมั่วเหอ  


 


 


จิวมั่วเหอในเวลานี้กลับยิ้มออก ดวงตาสีฟ้ามองเยี่ยเม่ย “ใครบอกว่าแม่ทัพอย่างข้าจะสังหารคนแล้ว แม่ทัพอย่างข้ามาโปรดสัตว์อย่างพวกเจ้าต่างหาก” 


 


 


เยี่ยเม่ยล้วงพัดที่ข้างเอวออกมา “อย่างนั้นก็ดี ดูสิว่าพวกเราใครจะโปรดสัตว์ใครกันแน่” 


 


 


แววตาจิวมั่วเหอเผยแววสนุกสนาน คล้ายกับมองเยี่ยเม่ยอย่างชื่นชม “วันนี้เจ้าออกมารับศึกตรงๆ ข้าก็นับถือเจ้าสามส่วนแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เปิดศึกเถอะ” 


 


 


ในยามที่เอ่ยนั้น เบื้องลึกในตาของจิวมั่วเหอเผยจิตสังหารอำมหิต  


 


 


เวลานี้เอง  


 


 


บนกำแพงเมือง บุรุษสวมผ้าต่วนสีทึบ บนศีรษะมัดรัดเกล้าทองค่อยๆ เดินขึ้นกำแพงเมือง ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลง มองสถานการณ์ศึกด้านล่างกำแพง 

 

 

 


ตอนที่ 168 เป่ยเฉินอี้บอกถึง ความผิดพลาดสามประการในการใช้ทหารของเยี่ยเม่ย

 

เป่ยเฉินอี้เพิ่งจะมาถึง 


 


 


บุรุษสวมอาภรณ์สีแดงก็ก้าวมายืนด้านข้างเขาอย่างรวดเร็ว 


 


 


เป่ยเฉินอี้มองคนที่เดินเข้ามา นั่นคือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงด้วยความสนใจดังขึ้น “ทำไมกัน จะคอยเฝ้าข้าตลอดเวลา กลัวว่าข้าจะแตะต้องคนในดวงใจเจ้าหรือไง” 


 


 


คำพูดเขาเจือความหยอกล้อ 


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็เพียงปรายตามองผู้เป็นอาทีหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มสง่างาม กล่าวว่า “แน่นอน เสด็จอาชมชอบเป็นไม้กวนอาจม[1] เยี่ยนต้องระวังเอาไว้ ไม่ว่านางมีส่วนบุบสลายตรงไหน หัวใจอันอ่อนแอของเยี่ยน ไม่อาจรับได้” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา คนที่ฟังอยู่ด้านข้าง มุมปากกระตุกเล็กน้อย 


 


 


องค์ชายสี่ถึงกับใช้คำว่าไม้กวนอาจมกับอี้อ๋อง นี่…นี่ จะดีจริงๆ หรือ 


 


 


ทุกคนต่างมองแผ่นหลังของเป่ยเฉินอี้ด้วยความระวัง รู้สึกว่าอี้อ๋องจะบันดาลโทสะในที่นี้แล้ว 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเมื่อเป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว กลับไม่เดือดดาลทว่ายิ้มออก ใช้น้ำเสียงนิ่งขรึมลงถามว่า “ดังนั้นความหมายขององค์ชายสี่คือ พวกเจ้าล้วนเป็นอาจมอย่างนั้นหรือ” 


 


 


คนทั้งหมด “…” 


 


 


ไม้กวนอาจม  


 


 


ย่อมใช้กวนอาจม…อี้อ๋องถามเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง 


 


 


คนทั้งหลายคล้ายเห็นภาพเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดือดดาลถึงขีดสุด ทว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับไม่บันดาลโทสะ มองเป่ยเฉินอี้ น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “กลัวก็แต่ว่าเสด็จอาหลงคิดว่าเยี่ยนกับแม่นางเยี่ยเม่ยอยู่ในบ่ออาจม กวนจนเกินเหตุ สุดท้ายเผลอทำตัวเองตกลงไปด้วย”  


 


 


คนทั้งหมดจนคำพูด 


 


 


เตี้ยนเซี่ยทั้งสอง พวกท่านเป็นบุรุษรูปงามแห่งยุคทั้งคู่ เช้าตรู่เช่นนี้อย่าได้ถกหัวข้อที่มีกลิ่นเหม็นเน่านักเลย 


 


 


พวกเขาเพิ่งจะกินข้าวเช้าไปได้ไม่นานเองนะ 


 


 


เป่ยเฉินอี้แค่นเสียงคำรบหนึ่ง เสียงทุ้มต่ำน่าฟังก็ดังขึ้นว่า “มักมีคนหลงคิดว่าตนเองฉลาดล้ำเกินคน กลับไม่รู้ตัวว่าโง่เขลาเกินคนทั่วไปเท่านั้น ส่วนองค์ชายสี่กับแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนฉลาดหรือคนโง่เขลา ก็ให้ความจริงอธิบายแล้วกัน” 


 


 


คำพูดนี้ประชดประชันว่าองค์ชายสี่หลงคิดว่าตนฉลาด อยู่นอกบ่ออาจมกับเยี่ยเม่ย แต่ในความเป็นจริงแล้วยังยังถลำลึกลงไปมากกว่า ทว่าเป่ยเฉินอี้ก็ยอมรับว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้ความจริงเข้าพิสูจน์ 


 


 


อี๋…คนทั้งหลายพากันคิดว่า ภายหน้าอย่าได้กินมื้อเช้าแต่เช้านักเลย  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็กวาดตามองเยี่ยเม่ยด้านล่างกำแพง ในยามนี้นางหันหลังให้พวกเขา ภายใต้คำสั่งของนางและจิวมั่วเหอ ทหารทั้งสองฝ่ายตั้งกระบวนทัพ 


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเผยแววขบขัน ปรายตามองเป่ยเฉินอี้คราหนึ่ง ถามเสียงนุ่มว่า “เชื่อว่าไม่ช้าแม่นางเยี่ยเม่ยจะทำให้เสด็จอาได้รับรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเราล้วนโง่เขลา อีกทั้งเสด็จอาที่ไม่ได้ออกจากจวนหลายปี สายตาที่มองคนจึงตกต่ำลงไปแล้ว” 


 


 


คำพูดนี้กำลังด่าว่าเป่ยเฉินอี้ใช้ตาสุนัขดูแคลนคน 


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร สายตาลุ่มลึกมองเยี่ยเม่ยด้านล่าง น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นว่า “ข้าอยากรู้นักเชียวว่านางมีความสามารถมากเพียงใด อย่างไรซะในยามนี้ออกไปรับศึกโดยพลการก็เป็นการกระทำที่โง่เขลาถึงที่สุด” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา น้ำเสียงน่าฟังมีอารมณ์เหมือนกำลังชมเรื่องสนุกอยู่ “อ้อ ไม่รู้ว่าเสด็จอาจะอธิบายอย่างไร” 


 


 


เป่ยเฉินอี้มองสถานการณ์ศึกด้วยสายตาเย็นเยียบ เห็นทั้งสองฝ่ายกำลังจัดกระบวนทัพ 


 


 


ดวงตาเรียวยาวและเย็นชาของเขาหรี่ลง พิจารณาสถานการณ์ด้านล่าง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ข้าเห็นความผิดพลาดสามประการ ประการแรก ต้ามั่วบุกโจมตี ไม่ออกไปรับศึก ปล่อยให้พวกมันฝืนบุกต่อไป ถึงจะทำให้ต้ามั่วสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทำให้ฝ่ายเราได้เปรียบ แต่เยี่ยเม่ยกลับนำทหารออกรบ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ไม่ออกความเห็น ถามต่อว่า “ประการที่สองเล่า” 


 


 


 


 


 


แววตาเป่ยเฉินอี้ยิ่งเย็นเยียบ เอ่ยปากว่า “ความผิดประการที่สอง สองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่หลายวันแล้ว นางหาได้กุมอำนาจทางทหารเพียงวันสองวัน กลับปล่อยให้ต้ามั่วควบคุมอำนาจในการบุกไว้ได้ รอให้ศัตรูเข้าบุก ไม่เพียงไม่เป็นฝ่ายบุก ทั้งยังเสียโอกาสใช้รุกเป็นรับ เป็นกลยุทธ์การศึกที่ผิดพลาดอย่างมหันต์” 


 


 


ความผิดพลาดทั้งสองข้อเอ่ยออกมา ทหารทั้งหมดบนกำแพงก็สงบนิ่งลง ในใจต่างก็รู้สึกว่าอี้อ๋องเอ่ยได้มีเหตุผลนัก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังคงไม่วิจารณ์อะไรดังเดิม คลี่ยิ้มน่ามอง ค่อยๆ ถามต่อไปว่า “อย่างนั้นประการที่สามคือ” 


 


 


เป่ยเฉินอี้ปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงขรึมเอ่ยว่า “ความผิดประการที่สาม เชื่อว่าเจ้าก็น่าจะมองออก ทหารของต้ามั่วเข้มแข็งกว่าพวกเรามาก หากต้องเปิดศึกสมควรใช้กำลังทหารเข้ากดดัน ใช้คนจำนวนมากเพื่อจบศึกอย่างรวดเร็ว ถึงเป็นแผนที่ดี ทว่าแม่นางเยี่ยเม่ยของเจ้ากลับนำจำนวนคนออกจากเมืองไปเท่ากับฝ่ายต้ามั่ว หากใช้กระบวนทัพไม่ถูกต้อง จะพ่ายแพ้อย่างอนาถกลับมา” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วก็พยักหน้าติดต่อกัน ใบหน้ากลับไม่แสดงความกังวลเลยสักเล็กน้อย เขามองเป่ยเฉินอี้ ถามเสียงเบาสบายว่า “ดูจากกลยุทธ์การใช้ทหาร คำพูดของเสด็จอาทุกคำล้วนมีเหตุผล ดังนั้นเสด็จอาคิดว่าเยี่ยเม่ยจะแพ้แล้วหรือ” 


 


 


 “ย่อมไม่มีทาง” เป่ยเฉินอี้หันกลับมามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำค่อยๆ อธิบาย “หากดูจากกลยุทธ์การศึก นางต้องแพ้แน่ แต่นางมักมีความเปลี่ยนแปลง ครั้งก่อนสามารถใช้วิธีพิสดารเอาชนะจั่วอี้อ๋องมาได้ ตัวข้าก็แปลกใจว่าครั้งนี้นางจะใช้วิธีใดอีก”  


 


 


ใบไม้หนึ่งล่วงรู้สารท 


 


 


ดูจากศึกหนึ่งของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้ย่อมวิเคราะห์ได้ว่า เยี่ยเม่ยเจ้าแผนการ ใช้วิธีการที่คนปกติคิดไม่ถึง ดังนั้นย่อมไม่อาจใช้วิธีการนำทัพแบบธรรมดาตัดสินแพ้ชนะของนางได้ 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินอี้มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยว่า “เพียงแต่หากนางไม่ทำผิดสามข้อที่ข้ากล่าวมา อย่างน้อยนางก็ไม่มีทางแพ้เด็ดขาด ” 


 


 


 “ดังนั้น เสด็จอามั่นใจว่านางทำผิดทั้งสามข้อแล้วหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลอกตามองอีกฝ่าย 


 


 


เป่ยเฉินอี้หัวเราะ โบกมือแสดงออกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจผิดแล้ว อธิบายเสียงขรึมว่า “ในเมื่อเป็นกลยุทธ์ ก็ไม่อาจบอกได้อย่างแน่นอน เป่ยเฉินอี้สามารถคาดเดาสถานการณ์รวมออกมาได้ กลับไม่อาจปฏิเสธว่าคนเรามีความเปลี่ยนแปลง ใครจะรู้ว่าก่อนหน้า เยี่ยเม่ยมีข้อตกลงอะไรกับจิวมั่วเหอหรือเปล่า” 


 


 


หากพวกเขาทั้งสองมีข้อตกลงกัน อย่างนั้นนางทำผิดประการแรกออกจากเมืองไปรับศึกก็เข้าใจได้ หากนางอาศัยฉากที่วางเอาไว้ก่อนแล้ว ย้อนโจมตีจิวมั่วเหอ อย่างนั้นความผิดแรกก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาดอีก ทั้งยังเป็นการกระทำที่ฉลาดมากด้วย 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา ทหารทั้งหมดบนกำแพงก็สงบเงียบลง เกิดความแตกตื่นไม่สงบใจ อี้อ๋องพูดว่าอะไรกัน แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นผู้นำทัพของพวกเขา จะไปทำสัญญาอะไรกับจิวมั่วเหอได้อย่างไร 


 


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่เท่ากับว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูหรือไง 


 


 


เมื่อเอ่ยเช่นนี้ ถึงแม้เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ศึก แต่เอ่ยถึงเรื่องสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูย่อมไม่เป็นผลดีกับเยี่ยเม่ย 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยว่า “อย่างนั้นเสด็จอาคิดว่า ความผิดแรกของเยี่ยเม่ย สรุปแล้วกระทำผิดแล้วหรือยังไม่ได้กระทำกัน” 


 


 


นี่เท่ากับว่าถามเป่ยเฉินอี้ว่า เขามั่นใจว่าเยี่ยเม่ยกับจิวมั่วเหอมีข้อตกลงกันก่อนแล้วหรือไม่  


 


 


 “ข้าไม่คิดเช่นนั้น” เป่ยเฉินอี้กลับยิ้มอย่างผ่อนคลาย นัยน์ตาลุ่มลึกนั้นมองแผ่นหลังเยี่ยเม่ย “เพราะข้าไม่มั่นใจ ถึงได้รอดูผลลัพธ์” 


 


 


 


 


 


[1] ยุแยงก่อเรื่องให้วุ่นวาย  

 

 


ตอนที่ 169 นาง? นางก็คือเยี่ยเม่ย?

 

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้


 


 


ทั้งสองก็ไม่เอ่ยปากอีก


 


 


ความจริง เป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยการคาดเดาในใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกมาแล้ว เพียงเขาเชื่อมั่นในความสามารถของเยี่ยเม่ย ดังนั้นไม่ถามอีก


 


 


บทสนทนาก็จบลงเช่นนี้


 


 


ด้านล่างทหารทั้งสองฝ่ายเปิดศึกแล้ว


 


 


หลูเซียงฮั่วตวาดก้อง “บุก”


 


 


จิวมั่วเหอก็ตะเบ็งเสียงดัง “บุก”


 


 


สิ้นเสียงแม่ทัพทั้งสองฝ่าย กองทัพเบื้องหลังเยี่ยเม่ยไม่ขยับเขยื้อนเลยสักก้าว แต่ทหารต้ามั่วกลับพุ่งใส่พวกเยี่ยเม่ยด้วยความดุดัน


 


 


สถานการณ์แปลกประหลาดเบื้องหน้า ทำให้เป่ยเฉินอี้ที่ชมศึกอยู่บนกำแพงหรี่ตาลง ในไม่ช้าจากการบุกประชิดเข้ามาของทหารต้ามั่ว ผืนแผ่นดินเกิดหลุมเล็กจำนวนมาก


 


 


หลุมเหล่านี้เล็กมาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางแค่สิบเซนติเมตรเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้ไม่อาจพบได้ง่าย แต่เมื่อเท้าม้าเหยียบลงไป ก็ตกลงในความว่างเปล่าทันที


 


 


ม้าจำนวนไม่น้อยตกหลุม ล้มลงในทันที ทั้งคนและม้ากลิ้งเกลือกระเนระนาด


 


 


ทหารม้าด้านหลังก็พุ่งตามขึ้นมาอีก เหล่าทหารม้าจำนวนไม่น้อยยังไม่ทันตะกายลุกขึ้นมาก็ถูกม้าของเพื่อนทหารเหยียบตาย


 


 


ภาพนี้ ทำให้เหล่าทหารบนกำแพงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ


 


 


มิน่าเมื่อคืน แม่ทัพเซียวนำคนออกไปขุดหลุม พวกเขายังแปลกใจว่า แม่ทัพเซียวทำอะไรกันแน่ คิดไม่ถึงเลยว่าเตรียมไว้เพื่อการณ์นี้


 


 


ด้วยเหตุนี้คนบนกำแพง ตื่นเต้นเกินจะเปรียบ


 


 


คลับคล้ายคลับคลาว่าชัยชนะอยู่เบื้องหน้าแล้ว


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับมองนิ่งๆ จ้องมองสถานการณ์ด้านนอกกำแพงตลอด ไม่ถอนสายตากลับมา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเหตุการณ์ด้านล่างถามเป่ยเฉินอี้หนึ่งประโยคว่า “ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านล่างยามนี้ เสด็จอามีความเห็นว่าอย่างไร”


 


 


ดวงตาของเป่ยเฉินอี้ยังไม่ถอนกลับจากการศึก ทว่าเขาตอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “จิวมั่วเหอหาใช้คนที่ต่อกรได้โดยง่าย สิ่งที่เขามีชื่อเสียงที่สุด ไม่ใช่การใช้กลยุทธ์ศึก แต่กลับเป็นไหวพริบ ในยามวิกฤตเขามักทำลายแผนการของฝ่ายตรงข้ามได้เสมอ”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับหัวเราะออกมา “ดูท่าเสด็จอาจะเข้าใจจิวมั่วเหอดีเหลือเกิน”


 


 


 “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” เป่ยเฉินอี้ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง ตวัดสายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างรวดเร็ว “คิดกอบกุมโอกาสที่จะชนะมากกว่าผู้อื่น ก็ต้องมีข้อมูลให้มากพอไม่ใช่หรือไง”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เรียวนิ้วยาวจับปลายคาง ออกความเห็น “แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยก็หาใช่คนที่ไม่เตรียมตัว”


 


 


เป็นจริงดังว่า ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ จิวมั่วเหอรีบแผดเสียงดัง “ใช้โล่วางเป็นทางเดิน”


 


 


สิ้นเสียงเขา


 


 


เหล่าทหารหยิบโล่ด้านหลังตน โยนลงไปที่พื้นแน่นขนัด หลุมของเซียวเยว่ชิงไม่ใหญ่มาก เมื่อโยนโล่ลงไปก็ปิดได้หมด เท้าม้าเหยียบลงบนโล่ ก็ไม่ตกหลุมอีก


 


 


นี่ก็สอดรับกับคำพูดของเป่ยเฉินอี้ที่ว่าจิวมั่วเหอมีไหวพริบรับสถานการณ์ได้ไว ยากจะพ่ายแพ้ได้


 


 


เยี่ยเม่ยมองภาพนี้ สายตาที่มองจิวมั่วเหอก็เพิ่มความชื่นชมไม่น้อย “ไม่เลวเลย เจ้าหนู”


 


 


ดวงตาสีฟ้าของจิวมั่วเหอหรี่ลง จ้องเยี่ยเม่ย ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคู่มือกับเจ้าได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา”


 


 


เยี่ยเม่ยมองโล่บนพื้น


 


 


ใบหน้านิ่งสงบพลันเกิดรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก “อย่างนั้นก็ต้องขอบคุณโล่ของพวกเจ้าแล้ว ที่ปูทางให้พวกเราเช่นกัน”


 


 


เมื่อหญิงสาวเอ่ยเช่นนี้ จิวมั่วเหอขมวดคิ้วแน่น


 


 


ในขณะที่ใคร่ครวญถึงความหมาย


 


 


เยี่ยเม่ยโบกมือ ทหารของเป่ยเฉินก็กระจายไปด้านข้างทหารต้ามั่วทั้งสองฝั่ง จากนั้นค่อยโอบล้อมขนาบเข้ามา ม้าของทหารเป่ยเฉินเหยียบย่ำลงบนโล่ ก็ไม่ได้รับผลกระทบจากหลุมด้านล่าง เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ


 


 


สอดรับกำลังคำพูดของเยี่ยเม่ย ที่ว่าปูทางให้นาง


 


 


ยามที่จิวมั่วเหอเข้าใจว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร เยี่ยเม่ยโบกมือ เอ่ยเสียงดังว่า “ปล่อย”


 


 


สิ้นเสียงนาง


 


 


ทหารที่วิ่งไปด้านซ้ายของต้ามั่ว โยนเชือกสะท้อนแสงแดดจำนวนมากไปให้กับทหารฝั่งขวา


 


 


การลงมือเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง


 


 


เหล่าทหารต้ามั่วยังไม่ทันมองว่าเป็นอะไรกันแน่


 


 


หลังจากการเคลื่อนไหวของทหารเป่ยเฉินฝั่งขวาที่รับเชือกไป กีบเท้าม้าของต้ามั่วจำนวนไม่น้อยก็สูญเสียการควบคุม


 


 


ม้าทยอยล้มลงทีละตัวๆ


 


 


คนก็ร่วงล้มลงทีละคนๆ


 


 


ในเวลานี้เองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้ต่างหรี่ตามองไปที่เชือก


 


 


เชือกพวกนั้น ติดอาวุธ


 


 


สิ่งของสะท้อนแสงความจริงคืออาวุธแหลมคมติดไว้บนเชือก ทหารเป่ยเฉินทั้งสองฝั่งในยามนี้พากันก้มตัวลง ดึงเส้นเชือกจำนวนมากเหล่านี้ เหล่าทหารต้ามั่วขี่ม้าวิ่งเข้ามา ทะลุผ่านอาวุธแหลมคนนี้ ขาม้าจำนวนมากล้วนถูกทิ่มแทงบาดเจ็บ จนถึงขั้นขาดออกอย่างง่ายดาย


 


 


ด้วยเหตุนี้จึงเกิดภาพคนและม้าล้มระเนระนาดเป็นการใหญ่


 


 


 “อ๊าก”


 


 


 “โอ๊ย”


 


 


 “นี่มันผีสางอันใดกัน”


 


 


 “อ๊าก…”


 


 


เสียงร้องอนาถดังขึ้น


 


 


ทหารต้ามั่วทั้งหมดเข้าสู่ความอลหม่าน สายตาคนทั้งหมดเห็นเส้นเชือกทีละเส้นๆ พุ่งเข้ามาจู่โจมขาม้าตัวเอง ทำให้ขาดออก ส่งผลให้แนวทัพแตกกระเจิง เหยียบเหล่าทหารบนพื้นจนสาหัส บ้างก็ตาย


 


 


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก คล้ายยังไม่ทันรู้สึกตัวก็มีทหารนับพัน ทั้งคนและม้าถูกเหยียบจมธรณี


 


 


คราวนี้ ต่อให้จิวมั่วเหอก็หน้าเขียวคล้ำ


 


 


เขาตระหนักได้ทันที ตวาดร้องเสียงดัง “ใช้มีด ตัดเชือกซะ ทุกคนถอยไปทางซ้ายและขวา”


 


 


ทหารต้ามั่วตัดเชือกทันที ทว่าในยามที่พวกเขาพุ่งเข้ามาตัดเชือก เยี่ยเม่ยก็ตวาดก้อง “ยิงธนู”


 


 


ทหารเป่ยเฉินที่มิได้ดึงเชือก ก็รีบหยิบธนู ยิงเข่นฆ่าไปที่ทหารต้ามั่วที่มุ่งเข้ามาตัดเชือก


 


 


เสียงโหยหวนน่าอนาถดังขึ้นเป็นระลอกๆ


 


 


ทหารต้ามั่วตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบย่อยยับ


 


 


ทหารจำนวนไม่น้อยล่าถอยจากฝั่งซ้ายและขวา กลับถูกพลธนูทั้งสองฝั่ง ยิงธนูใส่พวกเขาอย่างแม่นยำ อย่าว่าแตกฝ่าวงล้อมเลย แค่ก้าวออกไปสักครึ่งก้าวยังลำบาก ถูกล้อมเอาไว้จนหมดสิ้น


 


 


จิวมั่วเหอเห็นสถานการณ์ ตัดสินใจทันที


 


 


เขาหยิบคันธนูยาวออกมา ใช้กำลังภายในยิงลูกธนูยาวสีฟ้าพุ่งขึ้นกลางอากาศ เสียงดังก้องตวาดว่า “หมื่นพันอสนีบาต”


 


 


เมื่อลูกธนูพุ่งสู่ฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นมีดแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วน คล้ายกับสายฟ้าฟาดใส่เหล่าพลธนูของเป่ยเฉิน


 


 


พลธนูจำนวนไม่น้อยล้มลง ภาพนี้มากพอทำให้เห็นว่ายอดฝีมือที่มีกำลังภายในล้ำเลิศสามารถทำอะไรบนสนามรบได้บ้าง


 


 


จิวมั่วเหอส่งเสียงดัง “ฝ่าวงล้อม ถอยทัพ”


 


 


เหล่าทหารต้ามั่วฉวยโอกาสยามที่พลธนูล้มลง รีบฝ่าวงล้อมออกมา


 


 


ส่วนบนพื้นในยามนี้ ทหารต้ามั่วตายจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งส่วนใหญ่เกิดจากความชุลมุน ถูกฝ่ายต้ามั่วเหยียบตาย


 


 


จิวมั่วเหอยังคิดลงมือ เยี่ยเม่ยก็สะบัดพัดออกมามองจิวมั่วเหอ เอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “คิดจะลงมือ ก็ต้องถามข้าก่อน”


 


 


เป็นเพราะนางละเลยผลกระทบที่เกิดจากกำลังภายในล้ำเลิศแล้ว


 


 


แต่ว่าภาพรวมนางยังได้เปรียบอยู่


 


 


จิวมั่วเหอมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง จากนั้นมองไปรอบๆ ถึงเหล่าทหารจะฝ่าออกไปได้ แต่ว่าทหารต้ามั่วหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ กำลังขวัญคนทั้งหมดแตกกระเจิงแล้ว


 


 


จิวมั่วเหอเห็นสถานการณ์ไม่ดี อีกอย่าง ฝ่ายตรงข้ามยังมีเชือกแหลมคมในมือจำนวนมากที่ยังไม่ขาด ความสามารถของเยี่ยเม่ยไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ ด้านหลังของนางยังมีบุรุษหนุ่มที่ยังมิได้ลงมือ บนกำแพงเมืองมีเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้


 


 


จิวมั่วเหอหน้าเขียวคล้ำ เข้าใจว่าหากยังโจมตีต่อไป ต้ามั่วยิ่งจะเสียเปรียบหนักไปอีก


 


 


เขาตัดสินใจเฉียบขาด ส่งเสียงดัง “ถอยทัพ”


 


 


สิ้นเสียง ทหารต้ามั่วรีบไสม้าไปตามเสียง


 


 


ในขณะเดียวกันจิวมั่วเหอมองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “ศึกในวันนี้ จิวมั่วเหอจะจำไว้”


 


 


 “จำไว้ได้ก็ดี” เยี่ยเม่ยตอบกลับเสียงเย็น


 


 


จิวมั่วเหอเอ่ยจบ ก็ไสม้า นำพาคนทั้งหมดจากไป


 


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ถึงสุดท้ายทหารของต้ามั่วจะหนีไปได้ เป่ยเฉินอี้บนกำแพงมองอย่างชื่นชม แววตาที่มองแผ่นหลังเยี่ยเม่ยเต็มไปด้วยความชื่นชม


 


 


เมื่อเห็นคนของต้ามั่วหนีไป ทหารเป่ยเฉินเตรียมไล่ตาม เยี่ยเม่ยรีบเอ่ยว่า “ปล่อยไป ….”


 


 


 “ขอรับ” คนที่เตรียมไล่ตามหยุดลงทันที


 


 


ทว่าเซียวเยว่ชิงยังไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง มองเยี่ยเม่ยแล้วไสม้าไปข้างกายนาง “แม่นางเยี่ยเม่ย ยามนี้หากไม่ไล่ตามไป ไม่เท่ากับว่าปล่อยเสือกลับภูเขาหรือ”


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา มองทหารที่ตายเกลื่อนบนพื้น ก็เอ่ยปากว่า “พวกเราเอาชนะได้ง่ายดายเช่นนี้ ก็เพราะจิวมั่วเหอไม่รู้ว่าข้าเตรียมเชือกแบบนี้ไว้ จึงไม่ป้องกัน พวกเราถึงได้จู่โจมจากสองฝั่งได้สำเร็จ ยามนี้เจ้ามีความมั่นใจอะไรว่า จะล้อมพวกเขาได้อีกครั้ง ใช้เชือกอีกอย่างนั้นหรือ”


 


 


เซียวเยว่ชิงชะงักไป “นี่…”


 


 


เยี่ยเม่ยรุกต่อว่า “จิวมั่วเหอถอยทัพ เพราะเข้าใจว่า ในเมืองพวกเรายังมีทัพเสริมอีก ส่วนคนของต้ามั่วกล้ามา เพราะมีความกล้าที่จะใช้คนหนึ่งคนต่อกรกับศัตรูหลายคน ยามนี้ขวัญทหารแตกกระเจิง ไร้ซึ่งความกล้าหาญอีก การถอยทัพเป็นตัวเลือกที่จำเป็นต้องกระทำ หากพวกเราไล่ตามต่อไป เจ้าก็เห็นแล้ว ทหารของพวกเขาตายแค่สองพันกว่าคน กำลังหลักยังไม่เสียหาย เห็นพวกเราไล่ตามไป เกิดแรงฮึดต่อสู้ขึ้นมา  เจ้ากล้ารับรองได้หรือไม่ว่าการไล่สังหารต่อจะได้รับชัยชนะกลับมา อีกอย่างข้าคิดว่า ถึงจิวมั่วเหอจะถอยทัพจริงๆ แต่พวกเขาถอยไปไม่เกินสิบลี้ก็หยุดเพื่อเตรียมจัดการกับพวกเราแล้ว”


 


 


เซียวเยว่ชิงรีบประสานมือ “ข้าเข้าใจแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยยอดเยี่ยมนัก”


 


 


ก็ถูกที่ยามนี้ขวัญทหารต้ามั่วแตกซ่าน จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่อาจไม่ถอยทัพ หากว่ายังฝืนไล่ตามไป บางทีอาจเสียชัยชนะในตอนนี้ไปได้ ทั้งยังเสียเปรียบอักโข หากตกหลุมพรางจิวมั่วเหอแล้ว ก็ได้ไม่คุ้มเสียเลย


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นสถานการณ์ศึก เอ่ยปากว่า “จัดการเก็บกวาด แล้วกลับไปพักเถอะ”


 


 


 “ขอรับ” คนทั้งหมดรับคำ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเป่ยเฉินอี้ แววตาทอรอยยิ้ม ถามช้าๆ ว่า “ไม่ทราบว่าความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ย มีมากพอให้เสด็จอาชื่นชมหรือไม่”


 


 


ขณะที่เป่ยเฉินอี้กำลังจะเอ่ยวาจา


 


 


เยี่ยเม่ยที่อยู่ด้านล่างไสม้ากลับเตรียมกลับเข้าเมือง


 


 


เสี้ยวเวลาที่ไสม้าหันกลับมา ก็มองเห็นใบหน้าเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้ตะลึงตะลาน ถอนสายตากลับ


 


 


ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ น้ำเสียงทุ้มต่ำในยามนี้สั่นอยู่บ้าง “นาง…นางคือเยี่ยเม่ยหรือ” 

 

 


ตอนที่ 170 นางคือคนของข้า

 

ได้ฟังเสียงสั่นของเป่ยเฉินอี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมุ่นคิ้วเล็กน้อย สายตากวาดมองพิจารณาเป่ยเฉินอี้ จากนั้นก็มองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ ถามว่า “ทำไมกัน เสด็จอามีอะไรสงสัยอย่างนั้นหรือ”


 


 


นิสัยของเป่ยเฉินอี้เป็นอย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจดียิ่ง


 


 


ยามมองเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้แสดงออกเช่นนี้ ก็พูดได้คำเดียวว่า ความตกตะลึงของเสด็จอาถึงขีดสุด 


 


 


แต่…


 


 


ในห้วงความสงสัย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ถามขึ้นอีกประโยคว่า “หรือเสด็จอาเคยพบแม่นางเยี่ยเม่ยมาก่อน”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้พลันได้สติ


 


 


สีหน้ากลับเป็นปกติ สายตายังมองไปที่เยี่ยเม่ยดังเดิม ทว่ามือภายใต้ชายเสื้อกว้างกำแน่น ทำให้ยากจับสังเกตได้


 


 


ดวงตาเรียวสงบนิ่งลง ทว่าลูกนัยน์ตาน่ามองจับจ้องเยี่ยเม่ย สักพักหนึ่งก็กวาดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พลันถามขึ้นด้วยเสียงขรึมว่า “หากข้าบอกว่า นางเป็นคนของข้า ส่งมาเพื่อล่อลวงเจ้าเล่า”


 


 


ทันทีที่เขาเอ่ยเช่นนี้ บรรยากาศบนกำแพงพลันเย็นเยียบลง


 


 


อวี้เหว่ยเป็นคนแรกที่เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ ครุ่นคิดอยู่ในใจทันที ที่มาของแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นปริศนามาตลอด ครั้งแรกที่เตี้ยนเซี่ยพบนาง เขาก็ไปตรวจสอบแล้ว แต่คล้ายกับคนที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา


 


 


หากบอกว่าเป็นคนของเป่ยเฉินอี้จริง ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็หลุดหัวเราะ เพียงแต่ดวงตาคู่ร้ายกาจไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด เขาจ้องเป่ยเฉินอี้เปรยว่า “หากเป็นความจริงจริง อย่างนั้นเสด็จอาจะกล้าเอ่ยออกมาตามตรงอย่างนั้นหรือ”


 


 


เป่ยเฉินอี้เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าจะรู้อันใด ข้าไม่ได้จงใจเอ่ยเช่นนี้ เพื่อทำลายความระแวงสงสัยที่เจ้ามีต่อนาง”


 


 


ในขณะที่พวกเขาสนทนากัน


 


 


เยี่ยเม่ยที่อยู่ด้านล่างเงยหน้ามองขึ้นมาบนกำแพง


 


 


การมองเห็นของนางดีมาก มองเห็นใบหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้อย่างชัดเจน ครั้นเห็นใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางก็ไม่แปลกใจ


 


 


แต่ยามที่สายตานางมองเป่ยเฉินอี้…


 


 


คนผู้นั้น


 


 


ในสมองของนางพลันมีภาพจำนวนมากนั้นปรากฏขึ้นมา รวดเร็วเสียจนทำให้นางจับไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกเวียนหัวอย่างฉับพลัน


 


 


เซียวเยว่ชิงเห็นเยี่ยเม่ยด้านข้างแปลกไป ก็ถามว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านเป็นอะไรไป”


 


 


คำถามนี้ ทำให้เยี่ยเม่ยได้สติ


 


 


ส่วนภาพที่เมื่อครู่ฉายไปมาในสมองอย่างสะเปะสะปะก็หายไป คล้ายกับไม่เคยมีมาก่อน


 


 


สายตาของเยี่ยเม่ยพลันนิ่งลง หันมองเซียวเยว่ชิง เอ่ยปากว่า “ไม่เป็นอะไร เพียงแค่คนบนกำแพงผู้นั้น คืออี้อ๋องอย่างนั้นเหรอ” 


 


 


กลิ่นอายราชันย์แผ่พุ่งออกมาจากร่าง ครั้งแรกที่เห็นบุรุษลุ่มลึกผู้นี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจว่าเขาเป็นคนเช่นไร สมควรเป็นราชามาแต่กำเนิด


 


 


องคาพยพบนใบหน้านั้นหมดจด จนไม่อาจตำหนิได้อีก สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกอันตรายมากที่สุดก็คือ กลิ่นอายลุ่มลึกที่แผ่ออกมาจากตัวเขา


 


 


เซียวเยว่ชิงก็มองตาม รีบพยักหน้า “ถูกแล้ว นั่นคืออี้อ๋อง ปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า”


 


 


สายตาของเยี่ยเม่ยจับจ้องอยู่บนร่างเป่ยเฉินอี้ นางเหยียดมุมปากอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “น่าแปลกนัก เดิมข้าคิดว่าคนเจ้าเล่ห์เพทุบายล้วนหน้าเนื้อใจเสือ ใบหน้ายิ้มแย้มเพื่อปกปิดจิตใจชั่วร้ายของตน ทว่าคิดไม่ถึงเลย อี้อ๋องของพวกเจ้าคนนี้ กลับแสดงออกถึงความลุ่มลึก”


 


 


ปราชญ์ทั่วไปยามคิดวางแผนเล่นงานผู้อื่น มักไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัว ทว่าเป่ยเฉินอี้ไม่เหมือนกัน ตัวเขาเองก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงอันตราย ยามผู้อื่นมองเขา รู้สึกคล้ายตนกำลังตกอยู่ในกระดานหมากของเป่ยเฉินอี้ รู้สึกราวกับถูกเขาเล่นงาน


 


 


เซียวเยว่ชิงฟังแล้วกลับหัวเราะออกมา มองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “นี่ก็คือจุดที่อี้อ๋องต่างจากปราชญ์คนอื่น อี้อ๋องเคยบอกเองว่า คนที่ต้องใช้รอยยิ้มหรือสีหน้าไร้อารมณ์เพื่อปกปิดความคิดของตน นั่นคือคนที่ไม่มั่นใจในแผนการของตนเอง ส่วนเขาเป่ยเฉินอี้ ไม่ต้องปกปิด ต่อให้คนทั่วหล้าต่างป้องกันเขาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ยังไม่อาจหนีแผนการของเขาได้เหมือนเดิม”


 


 


 “คำพูดโอ้อวดนัก เป็นคนที่โอหังจริงๆ” สายตาเยี่ยเม่ยยังมองอยู่ที่เป่ยเฉินอี้ สายตานางปรากฏแววชื่นชม


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยที่สติหลุดลอยยามเห็นเป่ยเฉินอี้ รวมถึงแววตาต่างๆ ของหญิงสาวที่มองไปบนร่างเป่ยเฉินอี้ ก็หนีไม่พ้นสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาไม่ยินดี มุมปากปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนแสนอันตราย


 


 


อารมณ์ของเป่ยเฉินอี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่าไหร่นัก


 


 


เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าเยี่ยเม่ยกำลังจ้องเขาอยู่ ใบหน้าที่ชวนให้เขาฝันถึง กลับทำให้เขาเย็นเยียบและไม่คุ้นเคย ทั้งยังมีดวงตาคู่นั้นของนาง


 


 


สายตาที่ทอประกายทว่าแหลมคม แววตาชื่นชมมองเขา แต่นั่นคือแววตาของคนไม่รู้จัก


 


 


เขาได้ยินเสียงหัวใจตนเต้นดังราวกับกลอง คิดจะพุ่งออกไปพิสูจน์ ทว่าไม่รู้ว่าตนอยากได้รับคำตอบแบบไหน หรือกลัวจะได้ยินคำตอบแบบไหน


 


 


เยี่ยเม่ยถอยสายตากลับมา ไม่มองพวกเขาอีก ไสม้ากลับเข้าเมือง


 


 


เป่ยเฉินอี้ผู้นั้น…


 


 


พูดตามตรง เยี่ยเม่ยรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะอะไรยามที่ตัวนางเห็นเป่ยเฉินอี้ ร่างกายกลับมีปฏิกิริยาเช่นนั้น คล้ายเคยพบเขาเมื่อนานแสนนานมาแล้วก็ไม่ปาน


 


 


ในสมองพลันฉุกคิดถึงคำพูดก่อนหน้าของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ เดิมทีนางเป็นคนในยุคสมัยนี้ เพียงเพราะข้ามกาลเวลาไปในยุคปัจจุบัน เพราะถูกแรงกดดันจากห้วงเวลาถึงได้เสียความทรงจำ…


 


 


อย่างนั้น…


 


 


หรือว่านางเคยพบเป่ยเฉินอี้จริงๆ


 


 


ก่อนที่สมองจะครุ่นคิดตลบไปมา เยี่ยเม่ยก็เข้ามาในเมืองแล้ว


 


 


มือในชายเสื้อของเป่ยเฉินอี้กำแน่นสั่นเทิ้มอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ปิดตาลง ปกปิดความรู้สึกทั้งหลาย


 


 


เมื่อมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำเผยแววขบขัน “เจ้าก็เห็นแล้ว เมื่อครู่พบกันครั้งแรก สายตานางมองมาที่ข้า”


 


 


คำพูดเขายั่วโทสะเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


ถือเป็นครั้งแรกที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกเดือดดาลเมื่อได้สนทนากับเป่ยเฉินอี้


 


 


เขาหันขวับมองเป่ยเฉินอี้ แววตาทอลำแสงมารคลุ้มคลั่ง เริ่มมีจิตสังหารแล้ว


 


 


พลังปราณคมกริบสีแดงของเขากำลังปะทุ น้ำเสียงชวนฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “อย่างนั้นเยี่ยนก็ไม่เสียดายที่จะฆ่าเสด็จอา ทำให้สายตาของนางไม่มีทางมองเสด็จอาได้อีกตลอดไป กันไม่ให้ครอบงำเสด็จอา”


 


 


เป่ยเฉินอี้ย่อมดูออกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดจิตสังหาร


 


 


แววตาเขาไร้ความกลัว มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงหนักแน่นเอ่ยว่า “ไฉนต้องเดือดดาลด้วย เชื่อว่าเจ้าคงรู้ความสามารถในการวางแผนของข้า หากเจ้าสังหารข้า ภายหน้าสถานการณ์จะยิ่งยากจัดการได้”


 


 


คำพูดนี้ก็หมายความว่าเป่ยเฉินอี้วางแผนไว้จำนวนมากแล้ว หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฆ่าเขาจริง ราชสำนักเป่ยเฉินต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ต้องเกิดปัญหาด้วยแน่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเป่ยเฉินอี้ด้วยความสงสัย ไอสังหารจากร่างกายยังไม่หยุด ค่อยๆ เอ่ยว่า “สถานการณ์ยากจัดการได้ ก็ดีกว่าแม่นางเยี่ยเม่ยสนใจท่าน ความหนักเบาระหว่างเรื่องนี้ เยี่ยนเข้าใจได้ดี”


 


 


สิ้นเสียง มือของเขาแหวกอากาศพุ่งไปยังเป่ยเฉินอี้…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม