เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 157-163

ตอนที่ 157 เรื่องน่าอาย

 

หลินเช่อครวญคราง เธอรู้สึกได้ถึงคลื่นความยวนเย้าอันผ่าวร้อนที่ทำให้ร่างทั้งร่างของเธอสั่นระริก ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าสู่ศีรษะและซัดสาดผ่านลงไปตลอดทั่วร่าง ทั้งหัวใจและร่างกายไหวโยน เนื้อตัวเกร็งเขม็ง


 


 


ขณะที่กู้จิ้งเจ๋อสวมกอดเธอ หลินเช่อสัมผัสได้ถึงความระอุที่ผุดอยู่ทั่วร่างใหญ่ มือเธอยกทาบกับแผงอกกว้างที่ร้อนผ่าวไม่แพ้ร่างกายส่วนอื่น และมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเธอคือตุ๊กตาตัวน้อยที่แสนจะเปราะบาง เธอไม่กล้าแตะต้องส่วนอื่นของเขา และไม่กล้าที่จะใช้กำลังผลักไสเขาออกไปด้วย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกดจูบหนักหน่วงขึ้นทุกที ราวกับว่าเขาอยากจะดูดกลืนจิตวิญญาณและทุกอย่างของเธอออกไปจากเนื้อตัวเธอกระนั้น


 


 


แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอ เขายังต้องการอีก เหมือนเสือดาวกระหายเลือด เขาขบกัดริมฝีปากเธอโดยแรง


 


 


หลินเช่อครางแผ่วเบาด้วยความเจ็บ


 


 


เลือดสดๆ ไหลปรี่ออกมา รสขมปร่านั้นดูจะยิ่งทำให้เขาคลั่งหนักขึ้นไปอีก


 


 


เขาพลิกตัว และกดร่างเธอลงกับผ้าห่ม


 


 


เขาคว้ามือเธอไว้และกดตรึงลงที่สองฝั่งข้างลำตัว


 


 


นิ้วเรียวยาวของเขาประสานกระชับแน่นเข้ากับนิ้วเธอ ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจัดนั้นจะละจากปากเธอและขยับต่ำลง


 


 


หลินเช่อรู้สึกถึงเนื้อตัวที่เกร็งเขม็งขึ้นทันควัน เธอบีบมือเขาแน่นเข้าอีก ทั้งตื่นตระหนกและหวาดหวั่น แต่ทุกครั้งที่เขาประทับจุมพิตลงมา เธอก็หลุดลอยไปไกลครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ แต่มันก็ยังคงเจ็บไม่น้อย


 


 


ในครั้งแรกนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เมื่อเธอมานึกย้อนดูในตอนนี้ หลินเช่อก็ยังรู้สึกได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดูเหมือนฝัน


 


 


แต่ครั้งนี้ การเคลื่อนไหวทุกอย่างดูจะชัดเจนอย่างน่าประหลาด


 


 


ผ่านมานานมากแล้ว นับจากครั้งแรกของเขาและเธอ ทำให้ครั้งนี้หลินเช่อรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังได้สัมผัสประสบการณ์นี้อีกครั้ง ร่างกายของหญิงสาวจึงเจ็บร้าวไปด้วยความเร่าร้อนที่เขามอบให้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปล่อยมือจากหลินเช่อและนอนลง หอบหายใจแรงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหันศีรษะไปมองดูร่องรอยรักที่เขาได้ฝากเอาไว้ทั่วตัวเธอ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือเพราะใบหน้าของเขาแดงก่ำเช่นนี้เอง แต่ตอนนี้เขารู้สึกราวกับตัวเองคือท่อนเหล็กที่ถูกเผาไฟจนร้อนจัด


 


 


เขาหันไปบอกเธอว่า “อืม…ไปอาบน้ำกันเถอะ”


 


 


หลิอเช่อที่นอนนิ่งไม่ไหวติง พลิกตัวหันหนีไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างขัดเขิน “ฉันไม่อยากนี่คะ…”


 


 


เมื่อไม่มีทางอื่น กู้จิ้งเจ๋อจึงยันตัวลุกขึ้นและลูบเธออย่างเบามือ แต่หลินเช่อก็ยังคงไม่ยอมขยับตัวอยู่นั่นเอง เขาจึงบอกว่า “ฉันจะช่วยเอง” แล้วก็รวบร่างของเธอไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงอย่างรวดเร็ว


 


 


หลินเช่อร้อง หญิงสาวยังคงรู้สึกได้ถึงความผ่าวร้อนจากร่างกายของเขา แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะเริ่มทุเลาลงบ้างแล้ว


 


 


เหลือแต่เพียงคราบเหงื่อเหนียวเหนอะบนผิวที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงพูดว่า “ถ้าไม่อาบน้ำก็ต้องนอนเหนียวตัวอยู่อย่างนี้แหละ มาเถอะ”


 


 


หลินเช่อยังคงไม่ขยับ แต่ก็รู้สึกได้ว่าร่างของตัวเองถูกหย่อนลงในอ่างอาบน้ำ อุณหภูมิของน้ำที่ชะพรมลงบนร่างให้ความรู้สึกแสนสบาย และก็ทำให้สติของเธอกลับคืนมาจนผวาลืมตาตื่นขึ้น หน้าของเธอแดงก่ำเมื่อมองเห็นกู้จิ้งเจ๋อ


 


 


“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวฉันอาบเอง”


 


 


แต่ชายหนุ่มขมวดคิ้วและบอกว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันทำเอง อย่าขยับสิ”


 


 


เขาพูดพลางประคองเธอให้หย่อนตัวลงในน้ำ และเริ่มขัดถูเนื้อตัวเธออย่างเบามือและพิถีพิถัน


 


 


หลินเช่อไม่กล้ามองหน้าคนช่วยอาบน้ำแม้แต่น้อย เธอหันหนีและยกมือขึ้นปิดหน้า หลังจากความทุลักทุเลพอสมควร เขาก็อาบน้ำเธอจนเสร็จเรียบร้อย กู้จิ้งเจ๋อหันไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำทางด้านหลังมาคลี่ห่มร่างให้ ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นและพากลับไปยังเตียงนอน


 


 


หลินเช่อรู้สึกได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อเดินกลับเข้าไปที่ห้องน้ำ เขาคงจะกลับไปอาบน้ำบ้างละมัง เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็ดึงเสื้อคลุมอาบน้ำให้กระชับตัวมากขึ้น ใบหน้าของเธอตอนนี้ร้อนผ่าวมากเสียจนเธอคิดว่าจะตายเสียให้ได้


 


 


เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ แต่กู้จิ้งเจ๋อก็ยังคงไม่กลับออกมา หลินเช่อนอนคุดคู้อยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำ หญิงสาวรู้สึกว่าเธอไม่ยักได้ยินเสียงใดๆ ดังออกมาจากห้องน้ำเลยนอกจากเสียงน้ำที่ไหลอยู่ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่า มีบางอย่างไม่ปกติเสียแล้ว เธอรีบพลิกตัวลุกขึ้นทันที เมื่อจัดแจงเสื้อคลุมจนแน่นหนาดีแล้ว หญิงสาวก็รีบตรงไปยังห้องน้ำ


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ ยังอาบน้ำไม่เสร็จอีกเหรอคะ” เธอเคาะประตูห้องน้ำ แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบ อารามตกใจ หญิงสาวรีบดึงประตูเปิดทันที


 


 


แล้วเธอก็ได้เห็นร่างใหญ่ล้มฟุบอยู่กับพื้นห้องน้ำ


 


 


หลินเช่อตกใจสุดขีด เธอรีบวิ่งเข้าไปดึงร่างนั้นขึ้นมา


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ กู้จิ้งเจ๋อ ตื่นเถอะค่ะ…”


 


 


นี่เขาอาการหนักขนาดนี้ แล้วเมื่อกี้ยังจะมีแรงอุ้มเธอเข้าไปอาบน้ำได้ยังไงกันนะ


 


 


เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาทำให้เมื่อครู่ก่อน หลินเช่อก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ หญิงสาวสลัดความคิดถึงเหตุการณ์น่าอายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทิ้งไป ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ คงไม่สะดวกนักที่เธอจะร้องขอความช่วยเหลือจากใคร สิ่งที่เธอทำได้ก็คือพยายามพยุงร่างเขากลับไปที่เตียงนอน หลังจากพยายามอย่างหนักหน่วง ในที่สุดหลินเช่อก็ย้ายร่างสูงใหญ่นั้นกลับมาไว้บนเตียงได้สำเร็จ เธอจัดแจงสวมชุดนอนให้เขาเป็นที่เรียบร้อย ห่มผ้าให้ กว่าทุกอย่างจะเสร็จ หลินเช่อก็เหงื่อท่วมร่าง เมื่อยกมือขึ้นแตะหน้าผาก เธอก็ต้องตกใจที่อาการไข้ของชายหนุ่มเริ่มกลับมาสูงอีกครั้ง นั่นทำให้หลินเช่อเริ่มทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว


 


 


หลินเช่อนำห่อน้ำแข็งมาวางประคบหน้าผากให้เขา ก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามแขน รักแร้และหน้าอกเพื่อลดไข้ หญิงสาวมุ่งมั่นเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กู้จิ้งเจ๋อโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งเฉินอวี่เฉิงมาถึง


 


 


เมื่อนายแพทย์เคาะประตูห้องและเปิดเข้ามา หลินเช่อก็รีบวิ่งไปหา “คุณหมอเฉิน มาเร็วเถอะค่ะ มาช่วยดูหน่อยแล้วบอกฉันทีว่าจะต้องทำยังไง”


 


 


เฉินอวี่เฉิงเดินมาที่เตียงและสำรวจดูสภาพของคนป่วย เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่ากู้จิ้งเจ๋อจะไข้ขึ้นสูงถึงขนาดนี้


 


 


“ไม่มีทาง ทำไมอยู่ๆ ไข้เขาถึงขึ้นสูงขึ้นมาได้ล่ะ เขาไม่ได้กินยาเหรอ”


 


 


“กินค่ะ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร”


 


 


เฉินอวี่เฉิงเก็บตัวอย่างเลือดจากคนป่วย ก่อนจะแทงเข็มเพื่อให้น้ำเกลือ


 


 


เมื่อเขามองเห็นห่อน้ำแข็งและผ้าเช็ดตัวที่หลินเช่อวางทิ้งไว้ข้างเตียง นายแพทย์ก็ยิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณนายกู้จะดูแลเขาเป็นอย่างดีทีเดียวนะครับ”


 


 


หลินเช่อชะงักก่อนจะแหวใส่ว่า “ดูแลดีอะไรกันละคะ ถ้าคุณยังไม่มาอีก ฉันคงจะต้องช็อกตายแน่ๆ เลย”


 


 


“ผมก็แค่อยากเปิดโอกาสให้คุณผู้หญิงได้แสดงฝีมือบ้างเท่านั้น”


 


 


“ถ้ายังปล่อยให้ฉันดูแลเขาต่ออีกนิดเดียว กู้จิ้งเจ๋อคงต้องตายแน่ค่ะ”


 


 


เฉินอวี่เฉิงจัดแจงเก็บอุปกรณ์ข้าวของและเดินออกจากห้อง “ผมจะรออยู่ข้างนอกนี่นะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรก็เรียกได้ตลอดเวลา”


 


 


หลินเช่อพยักหน้าและหันกลับมาที่คนบนเตียงนอน ยังไม่ค่อยรู้สึกคลายความเป็นห่วงลงเท่าใดนัก


 


 


เมื่อผู้เป็นหมอออกจากห้องไป หลินเช่อก็นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงเพื่อคอยดูแลเขาอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา


 


 


นานๆ ทีก็จะเข้าไปตรวจดูอาการไข้บ้างว่าดีขึ้นหรือไม่


 


 


ท้องฟ้าภายนอกค่อยๆ ส่องแสงสว่างรำไร


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อตื่นขึ้น ก็ได้พบหลินเช่อที่นั่งซบหน้าอยู่ข้างเตียง อันดูเป็นท่านอนที่ไม่น่าจะสบายเอาเลย


 


 


เมื่อชายหนุ่มขยับตัว คนเฝ้าไข้ก็สะดุ้งตื่นทันควัน


 


 


“เป็นยังไงบ้างคะ คุณเป็นยังไงบ้าง” เมื่อเห็นเขาฟื้นขึ้นมา หลินเช่อก็รีบโผเข้าหาด้วยความห่วงใย “กู้จิ้งเจ๋อ คุณเป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”


 


 


ชายหนุ่มนิ่วหน้าและหันมองเธอ “นี่เธอนอนก้มอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเลยเหรอ”


 


 


“ใช่ค่ะ…” หลินเช่อยกมือขึ้นเช็ดปากเพราะนึกว่าตัวเองมีคราบน้ำลายไหลย้อยจากการนอนคว่ำหน้ามาตลอดคืน แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรเลอะเทอะอย่างที่คิด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วหนักขึ้นอีกเมื่อเห็นกิริยาดังกล่าวของหลินเช่อ ก่อนจะส่ายหน้าและไม่พูดอะไร


 


 


หลังจากที่กู้จิ้งเจ๋อตื่นขึ้น เฉินอวี่เฉิงก็รีบเข้ามาตรวจร่างกาย 

 

 


ตอนที่ 158 อย่าออกแรงมากไปสิ

 

“อาการไข้ของคุณถูกกระตุ้นจากอาการปอดบวม เมื่อวานคุณแค่มีไข้นิดหน่อยเท่านั้น แล้วทำไมพอตกกลางคืนถึงได้ไข้ขึ้นสูงแบบนั้นได้ล่ะ ผมมั่นใจว่าจ่ายยาให้ในจำนวนที่พอเหมาะแน่ๆ เพราะฉะนั้นมันไม่น่าจะมีปฏิกิริยาข้างเคียงมากขนาดนี้ได้” 


 


 


หลินเช่อพลันนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนขึ้นมาทันที หญิงสาวเงยหน้า เหลือบมองไปทางกู้จิ้งเจ๋อ แล้วใบหน้าเธอก็เริ่มแดงเรื่อ 


 


 


ทางด้านกู้จิ้งเจ๋อเองก็มีอาการเดียวกัน เขาเหลียวมองหลินเช่อที่นั่งอยู่ข้างตัว 


 


 


อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเฉินอวี่เฉิงไปได้ 


 


 


นายแพทย์มองดูคนทั้งคู่สลับกันไปมาและฉีกยิ้มกว้าง “ผมก็ไม่ได้อยากจะตำหนิหรอกนะครับ ท่านประธานกู้ แต่ตอนนี้ร่างกายของคุณไม่สู้แข็งแรงเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นผมขอว่าอย่าออกแรงมากเกินไป เรื่องบางอย่างก็เอาไว้ทำตอนอื่นก็ได้” 


 


 


“…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถามเสียงเขียวว่า “นายพูดว่าไงนะ” 


 


 


ทว่าเมื่อใบหน้าที่มักจะเย็นชาและปราศจากอารมณ์อยู่เป็นนิจของกู้จิ้งเจ๋อหันไปมองใบหน้าแดงก่ำของหลินเช่อที่อยู่ข้างๆ ที่แดงลงไปยันต้นคอ ความดุดันทั้งปวงที่เคยมีก็พลันมลายหายไปจนหมด 


 


 


เฉินอวี่เฉิงหันไปมองหลินเช่อก่อนกระแอมออกมาเบาๆ “เอาละ งั้นผมจะให้น้ำเกลือเอาไว้ก็แล้วกัน อาการคงไม่หนักหนาไปกว่านี้แล้วละ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมก็อยู่ที่นี่ตลอดเวลานั่นแหละ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงจัดแจงเก็บเครื่องมือลงกล่อง ขณะที่กำลังจะเดินออกไป นายแพทย์ก็หันกลับมาพูดว่า 


 


 


“อ้อ จริงสิ ผมยังไม่แนะนำให้มีกิจกรรมทางร่างกายช่วงนี้นะ โดยเฉพาะไอ้ประเภทที่ต้องออกแรงหนักๆ จนทำให้ต้องเสียทั้งเวลาแล้วก็พลังงานน่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคว้าหนังสือแล้วขว้างผลุงเข้าใส่คนพูด 


 


 


แต่ก่อนที่หนังสือจะไปถึงตัว คนเป็นหมอก็รีบเหวี่ยงประตูเปิดแล้วเผ่นลิ่วไปก่อนเสียแล้ว 


 


 


ใบหน้าของหลินเช่อยังคงแดงจัด เธอยืนดึงทึ้งเสื้อผ้าที่สวมอยู่จนตะเข็บผ้าเริ่มลุ่ยออกมา แต่เจ้าตัวก็ยังไม่สังเกตเห็น 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนิ่งเงียบขณะที่หันไปมองเธอ 


 


 


หน้าของหลินเช่อแดงจัดและดวงตาก็เหลียวมองว่อกแว่กไปทั่วทุกทิศเพื่อหลบสายตาเขา 


 


 


ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ไปนอนเสียก่อนสิ” 


 


 


หลินเช่อเงยหน้า “ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่เป็นไร ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย” 


 


 


“ฉันบอกให้ไปนอนก็ไปสิ” เขาสั่ง 


 


 


แต่อีกฝ่ายยังเถียง “ก็บอกว่าไม่จำเป็นไงละคะ ฉันควรจะอยู่ดูแลคุณที่นี่มากกว่า เพราะถึงยังไงคุณก็ยังเป็นคนป่วยอยู่นะคะ” 


 


 


“ฉันไม่ได้ป่วยถึงขนาดขยับตัวทำอะไรไม่ได้สักหน่อย” 


 


 


“แต่…” 


 


 


“หลินเช่อ!” 


 


 


“เมื่อคืนคุณถึงขั้นเป็นลมหมดสติด้วยซ้ำ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นนั่นแหละค่ะ” หากเธอยืนกรานจะเล่นบทคนหัวรั้นขึ้นมาละก็ หลินเช่อก็รั้นได้แบบสุดๆ 


 


 


เธอไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น 


 


 


“นี่เธอ…” กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองร่องรอยบนเนื้อตัวอีกฝ่ายแล้วก็ก้มหน้าลง เขารู้สึกว่า บางอย่างไม่ควรจะหลีกเลี่ยง และก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ 


 


 


ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ 


 


 


“เอ่อ เมื่อคืนนี้…” ชายหนุ่มไม่เคยต้องรับมือกับเรื่องแบบนี้มาก่อน 


 


 


สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อาจเป็นเพราะเขากำลังป่วยจนจิตใจไม่เข้มแข็ง และสุดท้ายก็ไม่สามารถหักห้ามตัวเองเหมือนปกติ ด้วยสาเหตุดังกล่าวเรื่องราวจึงออกมาเป็นเช่นนี้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตั้งใจจะบอกว่า เขาไม่อาจทำเหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้ 


 


 


แต่แล้วเขากลับได้ยินหลินเช่อพูดขึ้นด้วยความร้อนรนเสียก่อนว่า “อ๊ะ ฉันเข้าใจค่ะ คุณไม่ได้ตั้งใจ ฉันรู้ คุณคงจะไข้สูงมากจนไม่รู้สึกตัว คุณก็เลยไม่รู้ว่าทำอะไรลงไปจนเลยเถิดกลายเป็นแบบนั้น ฉันไม่ใส่ใจหรอกค่ะ” 


 


 


“…” สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อเปลี่ยนไปทันที สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเธอ 


 


 


หลินเช่อพูดต่อไปว่า “ยังไงเราก็โตๆ กันแล้วนี่คะ เวลามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันก็แค่เกิดขึ้น เราต้องคิดอย่างเหตุเป็นผล เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลใจไปหรอกค่ะ ฉันไม่ถือ ตอนนี้อาการป่วยของคุณสำคัญที่สุด เอาไว้รอให้คุณหายดีก่อนเราค่อยมีพูดถึงเรื่องนี้กันอีกทีดีกว่านะคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าอีกฝ่ายเขม็งจนทำให้หลินเช่อเริ่มรู้สึกสับสน 


 


 


“ทำไมคะ มีอะไรอยู่บนหน้าฉันหรือคะ” 


 


 


“เปล่าหรอก ฉันแค่พยายามจะคิดให้ออกว่าในสมองเธอนี่มันเป็นยังไงกันแน่น่ะ” 


 


 


ทำไมหลินเช่อถึงได้มีความคิดอะไรประหลาดอย่างนี้ ทั้งที่ภายนอกเธอก็ดูเหมือนมนุษย์ปกติทั่วไปนี่เอง 


 


 


หญิงสาวยกมือขึ้นแตะศีรษะ “อะไรนะคะ นี่ฉันยังแสดงความเห็นใจคุณไม่พออีกเหรอ ดูสิว่าฉันอุตส่าห์คิดถึงคุณขนาดไหน คุณไม่โดนว่าอะไรสักคำ หนำซ้ำยังกล้ามาตำหนิฉันอีกเหรอคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงมองหน้าหญิงสาว นี่มันอะไรกันแน่เนี่ย นี่เป็นเพราะว่าหล่อนเข้าใจจริงๆ หรือเพียงแค่เพราะว่าหล่อนไม่แคร์ 


 


 


หรือเป็นเพราะว่าเธอไม่อยากจะเข้ามาเกี่ยวพันในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับเขา 


 


 


“พอเถอะ เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้วละ ฉันเข้าใจ หลินเช่อ” 


 


 


สำหรับตอนนี้ หลินเช่อแค่อยากจะหนีไปจากตรงนี้ เธอไม่กล้าที่จะมองตาเขา ไม่รู้ด้วยว่าจะรับมือกับเขาอย่างไร 


 


 


“อ้อ ฉันจะไปเอาน้ำให้คุณดื่มนะคะ” เธอรีบเดินออกไปโดยเร็ว กู้จิ้งเจ๋อนั่งอยู่บนเตียง มองดูประตูที่ปิดตามหลังอีกฝ่าย สีหน้าของชายหนุ่มดูเคร่งขรึมกว่าทุกที 


 


 


ไม่ช้าหลินเช่อก็กลับเข้ามา 


 


 


เธอส่งแก้วน้ำให้เขาและพูดว่า “นี่ค่ะ ดื่มน้ำมากๆ นะคะ คุณเสียเหงื่อเยอะเลยเพราะพิษไข้น่ะ” 


 


 


เขาเหลือบมองเธอ “ฉันไม่ได้เหงื่อออกเพราะเป็นไข้ ฉันเหงื่อออกเพราะทำอย่างอื่นต่างหากล่ะ” 


 


 


“…” หลินเช่อเข้าใจได้ในทันทีว่าเขากำลังพูดถึงอะไร 


 


 


แต่พูดตามตรงแล้ว เมื่อคืนนี้…ก็ทำเขาเหงื่อออกเยอะจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณพูดเหลวไหลอะไรน่ะ!” หลินเช่อเอ็ด 


 


 


เขามองหน้าอีกฝ่าย และยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เขาดื่มน้ำอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ก็เธอพูดเองนี่ เราโตๆ กันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมล่ะ คนโตๆ กันแล้วเขายังจะพูดจาอ้อมค้อมเรื่องพรรค์นี้กันอยู่อีกหรือไง” 


 


 


“ฉัน…” หลินเช่อไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร เธอจึงหันไปแหวใส่เขาว่า “ฉันแค่กลัวว่าเรื่องนี้มันจะไปทำลายความภาคภูมิใจของคุณเข้าต่างหากล่ะ! ก็ใครกันที่เป็นลมล้มพับไปหลังจากนั้นน่ะ! คราวหน้า ถ้าไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอึดพอ ก็ทำแค่เท่าที่มีแรงทำไหวสิ!” 


 


 


ยัยนี่กล้าดียังไงมาหาว่าเขาอึดไม่พองั้นเหรอ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหรี่ตา “เอาละๆ ฉันจะไม่ใส่ใจก็แล้วกันเพราะว่าตอนนี้ฉันยังรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เธอควรจะจำสิ่งที่ตัวเองพูดเอาไว้วันนี้ให้ดีก็แล้วกัน เพราะหากถึงเวลาฉันเอาจริงขึ้นมา เดี๋ยวจะทำให้เธอรู้ว่าตกลงแล้วความอึดของฉันมันมากหรือน้อยแค่ไหนกันแน่” 


 


 


หน้าของหลินเช่อแดงก่ำขึ้นมาทันควัน “ใครขอให้คุณเอาจริงไม่ทราบ ฮึ” 


 


 


ขณะมองดูหลินเช่อที่หมุนตัวหนีไปทั้งที่ใบหน้ายังแดงเรื่อ กู้จิ้งเจ๋อก็ก้มลงสำรวจร่างกายตัวเอง 


 


 


ใครกันนะที่บอกว่าเขาต้องการเธอเพียงเพราะว่าเขายังไม่ได้ครอบครองเธอ 


 


 


จนถึงตอนนี้ที่เขาได้ลิ้มรสเธอแล้ว แล้วทำไมร่างกายเขาถึงยังถูกปลุกเร้าเพราะเธอได้อีกล่ะ 


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น เฉินอวี่เฉิงก็เข้ามาเปลี่ยนถุงน้ำเกลือให้ชายหนุ่ม 


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อมองตามหลินเช่อที่เดินออกจากห้องไปแล้ว เขาก็หันมาถามนายแพทย์ประจำตัวว่า “เมื่อไหร่ฉันถึงจะหายสนิท” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงยิ้มและเลิกคิ้วมองคนป่วย “คุณจะอยากหายดีไปทำไมกัน ผมว่าท่านประธานกู้ป่วยอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ คุณจะได้มีโอกาสเพลิดเพลินกับการดูแล ‘เป็นพิเศษ’ ของคุณผู้หญิงให้นานกว่านี้หน่อยไงล่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันควัน “เฉินอวี่เฉิง ถ้าอย่างนั้นเมื่อวานนี้นายก็ตั้งใจที่จะไม่ยอมมาที่นี่สินะ” 


 


 


นายแพทย์หนุ่มหัวเราะคิก “ผมก็แค่อยากจะหาโอกาสให้พวกคุณสองคนเท่านั้นเอง อาการไข้ของคุณน่ะไม่ได้หนักหนาอะไรหรอก แล้วคุณผู้หญิงก็ดูแลคุณได้อย่างถูกต้องเสียด้วย เธอช่วยเช็ดตัวคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วมันก็คงบังเอิญพลาดไปโดนเข้าตอนที่เช็ดเอา ‘ลำกล้อง’ ของคุณเข้านั่นแหละ” 


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อพูด “เฉินอวี่เฉิง ฉันคิดว่านายน่าจะทำงานนี้มามากพอแล้วนะ” 


 


 


“นี่ๆ ท่านประธานกู้ คุณจะปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าผมเองก็มีส่วนช่วยให้เหตุการณ์เมื่อวานเกิดขึ้นน่ะ จะมาหลอกใช้กันแล้วเขี่ยทิ้งหลังจากที่ได้สมใจแล้วแบบนี้ไม่ได้นะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “บอกหน่อยสิ เมื่อวานนี้หลินเช่อช่วยเช็ดตัวให้ฉันงั้นหรือ” 


 


 


ชายหนุ่มพอจะจำเหตุการณ์ในตอนต้นได้ แต่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น… 


 


 


เขาหมดสติไปเสียก่อน 


 


 


เฉินอวี่เฉิง “ใช่ครับ คุณนายกู้น่ะดีกับคุณมากทีเดียว ผมบอกให้เธอคอยดูแลคุณตลอดทั้งคืน และเมื่อผมมาถึง ก็ได้เห็นห่อน้ำแข็งกับน้ำที่วางอยู่ข้างเตียง แล้วก็มีผ้าเช็ดตัวอยู่ในมือคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คุณอยู่ไม่ขาด นั่นน่ะช่วยให้อาการไข้ของคุณทุเลาลงได้มากเลยทีเดียวนะครับ มันอาจจะไม่ได้ช่วยมากเท่ายา แต่มันก็ทำให้คุณรู้สึกสบายตัวขึ้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ไม่หาย” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองออกไปนอกห้อง ในชั่วขณะนั้น สายตาของชายหนุ่มก็ฉายแววล้ำลึกบางอย่างและเป็นประกายวาบขึ้นในทันที  

 

 


ตอนที่ 159 เร็วเข้า ไป แล้วก็นอนพักซะ

 

ไม่ช้าหลินเช่อก็เดินกลับเข้ามา 


 


 


เมื่อเห็นว่าเฉินอวี่เฉิงหายตัวไปแล้ว เธอจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “นี่หมอเฉินกลับไปแล้วเหรอคะ” 


 


 


แต่แล้วเธอก็มองเห็นกู้จิ้งเจ๋อกำลังพินิจดูเธออยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ สายตาของเขาลึกล้ำและดื่มด่ำราวกับว่ามีบางอย่างอยู่บนตัวเธอ เป็นสายตาที่ทำให้หลินเช่อเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“ทำไมคะ มีอะไรอีกเหรอ” 


 


 


เขามองดูสิ่งที่หญิงสาวกำลังถือไว้ในมือ “พอที ที่บ้านเรามีสาวใช้ตั้งเยอะแยะ ทำไมเธอถึงเอาแต่ทำเรื่องแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลอยู่เรื่อย” 


 


 


หลินเช่อยกมือขึ้นลูบหัว “ก็ฉันไม่ค่อยมีอะไรทำนี่คะ พอเห็นคุณหมอเฉินวุ่นวายดูแลคุณ แต่ฉันกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้ ก็มีแต่เรื่องช่วยหยิบจับพวกนี้เท่านั้นเองที่พอจะทำได้” 


 


 


ชายหนุ่มนิ่วหน้า “พอได้แล้ว วางลงเถอะ เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ” 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันอยากทำ” เธอว่า 


 


 


“ก็ฉันบอกให้วางลงไงล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อแย่งถาดจากมือที่ถือเอาไว้ แล้วมองดูเธอด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ยิ่ง 


 


 


หลินเช่อชะงักเมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาคว้าถาดไปจากมือเธอและวางลงข้างเตียง หลังจากดึงแขนเธอ “มาที่เตียงนี่เถอะ” 


 


 


หลินเช่อนั่งลงบนเตียง แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็ดึงร่างเธอให้นอนลง 


 


 


“คุณจะทำอะไรน่ะ นี่มันกลางวันแสกๆ นะคะ…” 


 


 


“มานอนเถอะ” 


 


 


“แต่…” 


 


 


“นอนกับฉัน” 


 


 


“ไม่มีทางค่ะ…ฉัน…” 


 


 


โดยไม่ฟังเสียงทักท้วง กู้จิ้งเจ๋อยกแขนขึ้นโอบร่างหลินเช่อและรั้งเธอเอาไว้กับเตียง ยังไม่พอ เขายังกดแขนเธอเอาไว้ด้วย เมื่อหลินเช่อยังพยายามจะขยับหนี คนตัวโตกว่าก็ชักสีหน้าเป็นเชิงเตือนและสั่งให้หยุดดิ้นรน 


 


 


หญิงสาวจึงทำได้แต่เพียงนอนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น “ฉันไม่อยากนอนนี่คะ อาการของคุณ…” 


 


 


“ฉันสั่งให้นอนก็นอนสิ” เขากดเธอแน่นไว้กับเตียง เมื่อเห็นสีหน้าหลินเช่อที่ยังพยายามจะขัดขืน เขาก็ก้มลงไปถามเธอว่า “ทำไมรึ” 


 


 


“ก็ฉันไม่ได้เหนื่อยอะไรสักหน่อยนี่คะ แล้วทำไมฉันถึงต้องนอนด้วย” 


 


 


“ถ้าเป็นแบบนั้น จะให้ฉันช่วยหาวิธีทำให้เธอเหนื่อยเอามั้ยล่ะ” ขณะพูด กู้จิ้งเจ๋อก็ทำท่าจะพลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างเธอ 


 


 


หลินเช่อรีบร้องห้าม “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง ฉันจะนอน แค่นอนก็โอเคแล้วใช่มั้ยคะ” 


 


 


หลินเช่อรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างจนมิดชิด ชายหนุ่มมองดูอยู่เงียบๆ ก่อนจะเอนหลังลงนอนบ้าง 


 


 


อันที่จริงแล้ว หลินเช่อรู้สึกเพลียมากทีเดียว แต่เธอกลัวว่าจะไม่มีใครมาคอยอยู่ดูแลอาการป่วยของกู้จิ้งเจ๋อ ความพะว้าพะวนทำให้อะดรีนาลินในร่างของเธอหลั่งเสียจนไม่รู้สึกง่วงนอนแต่อย่างใด 


 


 


แต่ตอนนี้เมื่อหัวถึงหมอน ความเหนื่อยล้าสะสมจากคืนที่ผ่านมาก็แล่นปราดเข้ามายังสมอง และในไม่ช้าหญิงสาวก็ผล็อยหลับไป 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูคนที่ชิงหลับไปก่อนพลางส่ายหน้า หลินเช่อบอกว่าไม่เหนื่อยแต่กลับหลับลึกอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อหลินเช่อตื่นขึ้นมา กู้จิ้งเจ๋อก็ไม่อยู่แล้ว 


 


 


เธอรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นและวิ่งออกไปนอกห้อง หลังจากพยายามมองหาทั่วทุกแห่งแล้ว แต่เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่ม 


 


 


แต่แล้วเธอก็บังเอิญพบกับเฉินอวี่เฉิงที่ประตูทางเข้า เมื่อเห็นว่านายแพทย์หนุ่มยังอยู่ที่นี่ หญิงสาวก็โล่งใจ เธอรีบดึงตัวเขาเข้ามาถามว่า “กู้จิ้งเจ๋อไปไหนละคะ แล้วอาการป่วยของเขาดีขึ้นหรือยัง” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงตอบ “เขาดีขึ้นมาแล้ว ไม่มีไข้สูงแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนเพลียอยู่” 


 


 


“แล้วนี่เขาหายไปไหนเสียล่ะ” 


 


 


“เขาเป็นคนเข้มงวดกับตัวเองน่ะ พออาการดีขึ้นหน่อย ก็เริ่มทำงานทันทีเลย” 


 


 


“โอ๊ย ให้ทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ” 


 


 


หลินเช่อรีบเข้าไปที่ห้องทำงานเพื่อตามหากู้จิ้งเจ๋อ เพียงมองปราดเดียวก็ได้เห็นชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารและทำงานบางอย่างอยู่ในห้องนั้น 


 


 


หลินเช่อรีบพูดขึ้นทันที “นี่ คุณยังไม่หายดีเลยแต่กลับมาทำงานแบบนี้ ถ้าเกิดเป็นลมล้มพับไปอีกจะว่ายังไงละคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้า “ฉันสบายดีแล้ว ฉันยังมีงานสำคัญที่ต้องสะสาง ไปนั่งรอฉันตรงโน้นก่อนไป เดี๋ยวอีกสักพักค่อยออกไปกินข้าวกัน” 


 


 


“ไม่มีทาง คุณจะมาทำงานตอนนี้ได้ยังไงกันคะ” 


 


 


หลินเช่อเดินพรวดพราดเข้ามา “คุณยังต้องนอนพักอีกสองสามวันเพื่อให้ฟื้นจากอาการปอดบวม ถ้าขืนหักโหมทำงานแบบนี้ เดี๋ยวไข้ก็กำเริบอีกหรอกค่ะ” 


 


 


“ฉันรู้จักร่างกายตัวเองดีน่า ถ้าฉันอดทนได้ มันก็จะไม่เป็นไร” กู้จิ้งเจ๋อบอก “ว่าง่ายๆ ไปนั่งรอตรงโน้น หาอะไรอ่านไปก่อนตกลงมั้ย” เขายื่นแขนออกมาแล้วใช้นิ้วเคาะหน้าผากเธอ 


 


 


แม้ว่าเสียงเขาจะแหบพร่าเพราะอาการไข้ แต่มันกลับทำให้รู้สึกเย้ายวนอย่างน่าประหลาด 


 


 


ผู้ชายคนนี้เซ็กซี่กระทั่งในยามที่เขาพยายามจะไล่ใครสักคน 


 


 


แต่ถึงกระนั้น หลินเช่อก็ยังยืนกรานในหลักการ “ไม่ได้ค่ะ คุณไม่ได้เห็นนี่ว่าก่อนหน้านี้อาการคุณแย่แค่ไหน แต่ฉันน่ะเห็นคนเห็นนะคะ คุณจะมาทำงานแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้ามองหลินเช่อ เธอกำลังยกมือเท้าเอว จ้องหน้าเขาอย่างไม่พรั่นพรึง มุมปากของกู้จิ้งเจ๋อกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ “ทำไม นี่เธอเป็นห่วงฉันงั้นเหรอ” 


 


 


“…” หลินเช่อพูดอะไรไม่ออก “ฉัน…ฉันก็ต้องห่วงคุณสิคะ อย่างน้อยคุณก็เป็นสามีของฉันนี่นา ฉันยังไม่อยากเป็นม่ายตอนนี้ซะหน่อย” 


 


 


ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายระยับเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก่อนเหตุการณ์เมื่อคืนจะเกิดขึ้น การพูดถึงการเป็นหม้ายดูจะเป็นเพียงเรื่องตลก แต่เมื่อหลินเช่อพูดมันออกมาในเวลานี้ มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อลุกขึ้นยืนทันทีและโน้มตัวเข้ามาใกล้ 


 


 


หญิงสาวตกใจเมื่อร่างใหญ่โน้มเข้ามาหา สายตาของเขาดูคลุมเครือบอกไม่ถูก ชายหนุ่มยกมือเสยผมและพูดเบาๆ ว่า “อย่ากังวลไปเลยน่า ฉันไม่ยอมให้เธอเป็นม่ายหรอก” 


 


 


แม้จะเป็นคำพูดธรรมดา แต่หลินเช่อก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของเธอแดงร้อน หัวใจเองก็เต้นผิดจังหวะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงียบและพูดต่อไปว่า “เอาละ ฉันจะหยุดทำงานแล้วก็พาเธอไปกินอาหารเช้าก่อนก็แล้วกัน” 


 


 


หลินเช่อชะงักและมองดูเขา 


 


 


เขาเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว 


 


 


ดูท่าทางกู้จิ้งเจ๋อจะอารมณ์ดีทีเดียว และในไม่ช้าเขาก็เดินอออกจากห้องทำงาน 


 


 


เฉินอวี่เฉิงเห็นคนทั้งคู่เดินออกมาจากห้องพร้อมกันจึงเอ่ยถามว่า “ท่านประธานกู้ จะทำอะไรเหรอครับ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการใช้ยา หมอเฉินก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถาม” 


 


 


พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง 


 


 


หลินเช่อจึงช่วยตอบแทนให้ว่า “เราจะออกไปกินอาหารข้างนอกกันน่ะค่ะ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงมองหน้าหลินเช่อ “คุณเป็นคนแรกเลยนะครับที่ลากเขาออกมาจากโต๊ะทำงานได้น่ะ” 


 


 


หลินเช่อมองหน้านายแพทย์ “จริงเหรอคะ ไม่มีทางหรอก ฉันไม่คิดว่าเขาจะบ้างานอะไรขนาดนั้น” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงส่ายหน้า “เฮ้อ คุณไม่เข้าใจหรอกว่าคนอื่นเขามองกู้จิ้งเจ๋อว่าเป็นยังไง เชื่อผมเถอะครับ ผมรู้จักเขามาสิบกว่าปีแล้ว” 


 


 


“…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกลับออกมาจากห้อง เมื่อได้เห็นหญิงสาวและนายแพทย์หนุ่มกำลังสนทนากัน เขาก็ตรงเข้ามาลากตัวเธอออกไปทันที “ไปกันเถอะ” 


 


 


“โอ๊ย ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนะคะ” 


 


 


“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ยังไงก็มีฉันเห็นอยู่คนเดียว แล้วฉันก็ไม่เห็นว่าไอ้ที่ใส่อยู่มันจะแย่ตรงไหน” 


 


 


“…” 


 


 


แล้วเขาก็ลากเธอหลุนๆ ออกไปทั้งอย่างนั้น 


 


 


เฉินอวี่เฉิงที่มองตามหลังส่ายหน้าและพูดว่า “ให้ตายเถอะ ผ่อนคลายหน่อยเถอะ ยังจะกลัวอะไรอีก ผมยังไม่อยากเปิดเผยความลับของคุณตอนนี้หรอกนะครับ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจูงหลินเช่อออกมาและนั่งรถออกจากคฤหาสน์ตระกูลกู้ 


 


 


ส่วนเฉินอวี่เฉิงนั้นยังจะต้องอยู่ที่นั่นไปอีกสองสามวันเพื่อเฝ้าดูอาการป่วยของกู้จิ้งเจ๋อ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายจ้างดูจะเฉยเมยใส่และไม่ต้องการเขาอีกต่อไป นายแพทย์หนุ่มก็จัดการเก็บข้าวของ เตรียมตัวกลับบ้าน 


 


 


แต่ในขณะที่เขากำลังเก็บข้าวของเตรียมจะออกจากบ้านนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในห้อง 


 


 


เมื่อเขาตรวจดูโทรศัพท์ของตัวเองดู ก็ไม่พบว่ามีสายโทรเข้ามา เขาจึงหันมองไปรอบๆ และในที่สุดก็เห็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งกำลังสั่นอยู่บนโซฟา ดูเหมือนว่าจะเป็นโทรศัพท์ของหลินเช่อนั่นเอง ในตอนแรกเขาไม่ได้ใส่ใจ แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นชื่อบนหน้าจอที่เขียนว่า เฉินโยวหราน  

 

 


ตอนที่ 160 นี่ฉันโทรมาหาหลินเช่อนะ

 

เฉินอวี่เฉิงเลิกคิ้วทันควัน เขารีบเดินไปหยิบโทรศัพท์และกดรับสาย 


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เขาก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังขึ้นเสียก่อน 


 


 


[หลินเช่อ นี่ฉันจะทำยังไงดี ฉันโทรไปหาอีตาโจวหมินฮั่นเวรนั่น พอมาตอนนี้ครอบครัวของหมอนั่นเลยลากฉันมาสถานีตำรวจ ถ้าฉันโทรบอกพ่อละก็ฉันต้องตายแน่ ฉันจะทำยังไงดี…] 


 


 


“…” ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้มีแต่จะสร้างปัญหาได้ไม่เว้นแต่ละวันจริงๆ 


 


 


“ขอประทานโทษด้วย แต่ดูเหมือนเพื่อนรักของคุณจะไปออกเดตอยู่นะ ผมเกรงว่าเธอคงจะไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยคุณได้” เฉินอวี่เฉิงกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ 


 


 


เสียงที่ปลายสายเงียบไป 


 


 


ก่อนที่เฉินโยวหรานจะเปลี่ยนน้ำเสียงจากวิตกกังวลและหวาดกลัวมาเป็นเสียงขู่แฟ่ดๆ แทน 


 


 


[เฉินอวี่เฉิง ทำไมคุณถึงมารับโทรศัพท์ของหลินเช่อได้!] 


 


 


“ทำไมน่ะเหรอ นี่ผิดหวังมากใช่มั้ยล่ะที่เป็นผม การทำร้ายร่างกายคนอื่นน่ะเป็นเรื่องผิดกฎหมายนะ คุณก็สมควรจะอยู่ที่สถานีตำรวจนั่นแหละ จะได้รับบทเรียนซะที” 


 


 


[คุณนี่…เหอะ ฉันไม่ได้ขอความช่วยเหลือคุณสักหน่อย จะมายุ่งด้วยทำไม ที่จริงฉันก็โทรมาเล่าให้ฟังไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย] 


 


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงดื้อดึงยืนกรานเช่นนั้น เฉินอวี่เฉิงก็ถามด้วยน้ำเสียงเยาะหยันว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณโทรมาทำไมล่ะ” 


 


 


[บอกหลินเช่อด้วยก็แล้วกันว่าฉันโทรมา อีกสองสามวันหลังจากนี้ ฉันคงต้องนอนอยู่ที่สถานีตำรวจนี่แหละ แล้วก็คงจะรับสายเขาไม่ได้ ฝากหลินเช่อช่วยโกหกพ่อฉันหน่อยว่าฉันพักอยู่กับเขาก็แล้วกัน! แค่นั้นแหละ] 


 


 


เมื่อพูดจบ เฉินโยวหรานก็ตัดสายไปทันที 


 


 


นายแพทย์หนุ่มส่ายหน้าพลางมองดูโทรศัพท์แล้วโยนมันลงบนโซฟาตามเดิม 


 


 


 


 


 


ที่สถานีตำรวจ 


 


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังออกคำสั่งให้เฉินโยวหรานกลับเข้าห้องขัง 


 


 


หญิงสาวกำโทรศัพท์อย่างหม่นหมองพลางก่นด่าว่า “อีตาเฉินอวี่เฉิงเฮงซวย อีตาบ้าของแท้เลย เรื่องอะไรมารับโทรศัพท์คนอื่นแบบนี้ หน้าไม่อายที่สุด” 


 


 


“พอได้แล้ว เราอนุญาตให้คุณติดต่อญาติแล้ว แต่ในเมื่อติดต่อไม่ได้ก็กลับเข้าห้องขังซะ ไปๆ” เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่ง 


 


 


เฉินโยวหรานอยากร้องไห้เป็นกำลัง เธอเงยหน้าขึ้นอธิบาย “คุณตำรวจคะ ฉันทำไปเพื่อป้องกันตัวเองเท่านั้นจริงๆ นะคะ” 


 


 


“ต่อให้เป็นแบบนั้นมันก็เป็นการป้องกันตัวเองที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี เอาไว้คุณค่อยมาแก้ตัวอีกทีตอนที่ผลการตรวจร่างกายออกมาก็แล้วกันนะ” แม้จะอ้อนวอนแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ยังไม่ใจอ่อนกับหญิงสาวอยู่ดี เขาผลักเธอกลับเข้าไปในห้องขังและพูดว่า “คุณควรจะคิดถึงใครที่พอจะช่วยหาทนายให้คุณได้มากกว่านะ” 


 


 


หญิงสาวคิดอย่างโกรธแค้น คนอย่างเธอจะไปรู้จักทนายที่ไหนได้ยังไงกันเล่า 


 


 


ยิ่งตอนนี้ ความหวังเดียวของเธอก็ยังถูกทำลายลงไปแล้วเพราะอีตาบ้าเฉินอวี่เฉิงนั่นอีก… 


 


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ประตูห้องขังก็เปิดออก 


 


 


ทนายเดินเข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เดินตามหลังเข้ามา เขาเอ่ยขึ้นว่า “เฉินโยวหราน ทนายมาประกันตัวคุณแล้ว” 


 


 


หญิงสาวรีบเงยหน้า “หา จริงเหรอคะ” ทนายคนนั้นหันมองหน้าเธอและพูดว่า “ตามผมมาเถอะครับ” 


 


 


เฉินโยวหรานประหลาดใจปนยินดีอย่างที่สุด เธอรีบถามทนายผู้นั้นว่า “นี่หลินเช่อขอให้คุณมาเหรอคะ ใช่มั้ย” 


 


 


แต่ทนายกลับให้คำตอบที่สร้างความงุนงงให้เธอเป็นที่ยิ่ง “เปล่าครับ เขาเป็นผู้ชาย” 


 


 


เธอเดินตามเขาออกนอกประตูมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใครบางคนที่เดินเข้ามา 


 


 


จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ นอกจากเฉินอวี่เฉิง… 


 


 


รอยยิ้มบนหน้าของเฉินโยวหรานหุบฉับลงทันที 


 


 


เธอถลึงตาใส่เขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” 


 


 


“ทำไมล่ะ ไม่อยากเจอหน้าผมที่นี่เหรอ” แล้วหันไปพูดกับทนายความว่า “งั้นก็ช่างมันเถอะ ฉันคงจำผิดไปน่ะ ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ เราคงไม่ต้องประกันเธอออกมาแล้วละ” 


 


 


“เฮ้ๆๆ นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ” เธอรีบรั้งตัวทนายความเอาไว้ ก่อนจะหันไปทำตาเขียวปั้ดใส่นายแพทย์หนุ่ม 


 


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจอธิบายว่า ฝ่ายผู้เสียหายมีข้อเรียกร้องสองอย่างจากเฉินโยวหราน หนึ่งคือค่าทำขวัญ และสองคือคำขอโทษ 


 


 


แม้ว่าเฉินโยวหรานจะไม่สู้เต็มใจ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมขอโทษคนรักเก่า 


 


 


ด้วยเหตุนี้เฉินอวี่เฉิงจึงเป็นคนขับรถพาเธอยังโรงพยาบาล 


 


 


โจวหมินฮั่นยังคงนอนร้องครวญครางไม่หยุด เมื่อเห็นเฉินโยวหรานเดินเข้ามา เขาก็รีบผุดลุกขึ้นนั่ง “โยวหราน ฟังฉันก่อนนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะ…” 


 


 


ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างโจวหมินฮั่นคือมารดาของเขา เมื่อหล่อนเห็นเฉินโยวหรานเดินเข้ามา หล่อนก็รีบสั่งห้ามลูกชายที่กำลังร้อนรนด้วยความรู้สึกผิดของตัวเองทันที 


 


 


“นี่แก นังตัวดี ยังจะกล้าเสนอหน้ามาที่นี่อีกเหรอ ไม่เห็นหรือไงว่าแกทำหมินฮั่นของเราเจ็บหนักขนาดไหนน่ะ” 


 


 


โจวหมินฮั่นรีบห้ามมารดา “แม่ครับ โยวหรานกับผมแค่มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง” 


 


 


“เข้าใจผิดเหรอ นังนี่เกือบจะทำแกตาย แล้วก็เกือบทำให้เราไม่มีผู้สืบทอดสกุลเลยนะยะ แกเป็นทายาทรุ่นที่สามของเรา ถ้าแกไม่มีลูกละก็…” เมื่อเอ็ดตะโรลูกชายเสร็จ หล่อนก็หันมาจ้องหน้าเฉินโยวหรานอย่างแค้นเคือง “ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ จ่ายค่าทำขวัญมา!” 


 


 


ไม่มีผู้สืบทอดสกุลงั้นเรอะ… 


 


 


เฉินอวี่เฉิงชะเง้อมองอยู่ทางด้านหลัง ชายที่นอนอยู่บนเตียงนั่นมีปากแดงบวมเจ่อ และฟันที่ดูเหมือนจะถูกฟาดเข้าอย่างแรง เมื่อไล่สายตาไปตามสารรูปของโจวหมินฮั่นแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็กระแอมออกมาเบาๆ 


 


 


เฉินโยวหรานย้อนกลับให้ว่า “ทำไมคุณไม่ถามลูกชายตัวเองล่ะ ว่าเขาพยายามจะทำอะไร ที่ฉันทำมันก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง” 


 


 


“ป้องกันตัวบ้าบออะไรกันล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงอย่างแกชอบใส่กระโปรงสั้นจุ๊ดจู๋แล้วก็เดินยั่วผู้ชายไปทั่ว หมินฮั่นของเราจะไปลงไม้ลงมืออะไรกับแก ฉันว่านะ ท่าทางตัวแกเองก็ดูจะต้องการแบบนั้นด้วยเหมือนกันนี่ ไม่อย่างนั้นจะแต่งตัวอย่างกับผู้หญิงบริการแบบนี้ทำไม หมินฮั่นของเราน่ะเป็นเด็กซื่อ พอเห็นผู้หญิงดูง่ายอย่างแกก็เลยพลอยหลงลมไป เพราะอย่างนี้เขาถึงได้อยากจะมีอะไรกับแกไงล่ะ” 


 


 


“ฉัน…” เฉินโยวหรานโกรธจนสุดจะทน ขณะที่มองดูมารดาของคู่กรณีที่เธอไม่อยากจะเอ่ยปากขอโทษเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เฉินโยวหรานทำได้เพียงแค่พยายามนึกถึงเหตุผลที่เธอไม่สามารถกระหน่ำเตะเขาจนไม่สามารถมีลูกชายสืบสกุลได้ ในขณะที่แม่ของเขาเอาแต่พูดจายโสโอหังใส่เธออยู่แบบนี้ 


 


 


แต่แล้วกลับเป็นเฉินอวี่เฉิงที่เดินเข้ามาและยกมือขึ้นแตะหลังของเฉินโยวหรานเอาไว้ “คุณผู้หญิงครับ กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้นะครับว่าคุณสามารถไปล่วงเกินผู้หญิงเพราะเสื้อผ้าที่พวกเธอสวมใส่ได้น่ะ ต่อให้เฉินโยวหรานแก้ผ้าไม่ได้สวมอะไรเลยเดินอยู่บนถนน ถ้ามีใครเข้าไปกระทำอนาจารกับเธอโดยที่เธอไม่ยินยอมละก็ นั่นก็เป็นเรื่องผิดกฎหมายอยู่ดี อืม เฉินโยวหราน คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าเขาทำมิดีมิร้ายกับคุณน่ะ” 


 


 


เฉินโยวหรานรีบพยักหน้าทันที “แน่นอนค่ะ เขากระโจนเข้าใส่แล้วก็จูบฉัน!” 


 


 


จากทางด้านหลัง โจวหมินฮั่นเพิ่งสังเกตเห็นเฉินอวี่เฉิง ยิ่งเห็นว่าชายหนุ่มที่มาด้วยแตะเนื้อต้องตัวเฉินโยวหราน โจวหมินฮั่นก็โพล่งถามออกไปทันที “แกเป็นใคร แล้วเป็นอะไรกับโยวหราน” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงกำลังจะตอบ “ฉัน…” 


 


 


“เขาเป็นแฟนฉันเองน่ะ ทำไม แฟนฉันจะมาด้วยไม่ได้หรือไง” เฉินโยวหรานขัดจังหวะเขาด้วยการตอบเสียเอง 


 


 


“…” นายแพทย์หนุ่มถึงกับหน้าเปลี่ยนสี 


 


 


โจวหมินฮั่นร้องลั่นอย่างไม่เชื่อ “ไม่มีทาง ฉันไม่เชื่อหรอก!” 


 


 


โจวหมินฮั่นหันไปมองเฉินอวี่เฉิงที่ทั้งสูงและหล่อเหลา เสื้อผ้าที่ใส่ นาฬิกาที่ข้อมือ รองเท้าหนังที่สวม… ทุกอย่างล้วนเป็นของชั้นดีราคาแพง 


 


 


ผู้ชายแบบนี้น่ะรึ จะลดตัวลงมายุ่งอะไรกับผู้หญิงอย่างเฉินโยวหราน 


 


 


“อย่ามาโกหกหน่อยเลย!” 


 


 


เฉินโยวหรานโต้ตอบอย่างไม่ลดละ “ฉันไปโกหกเธอเมื่อไหร่กัน นี่แฟนฉันจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าฉันจะแต่งตัวแบบไหน ฉันก็แต่งให้เขาดูไม่ใช่ให้นายดูสักหน่อย เลิกหลงตัวเองซะทีเถอะ นี่ยังคิดว่าฉันพยายามจะยั่วนายอยู่อีกเหรอ จะต้องยั่วไปทำไมในเมื่อนายก็ทำตัวหื่นกามแบบนี้อยู่แล้วน่ะ” 


 


 


“…” เฉินอวี่เฉิงก้มลงมองผู้หญิงที่อยู่ข้างตัว เฉินโยวหรานขยับเข้ามาคล้องแขนเขาอย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติ 


 


 


ยัยผู้หญิงคนนี้นี่นะ… 


 


 


นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ก็ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เรายังจะต้องขอโทษอยู่อีกหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะถ้าคุณทำมิดีมิร้ายกับเฉินโยวหรานจริงละก็ เราคงจะต้องไปเจอกันในศาล เราจะฟ้องคุณโทษฐานทำเรื่องลามกอนาจาร” 


 


 


“อะไรนะ” 


 


 


“นี่มันยังจะมีความยุติธรรมอะไรหลงเหลืออยู่อีกล่ะเนี่ย เธอเป็นคนทำร้ายเรา แล้วนี่เธอยังจะมาฟ้องร้องเราอีก…” 


 


 


เมื่อเฉินอวี่เฉิงพูดจบ เขาก็ลากเฉินโยวหรานให้เดินตามเขาออกจากห้องมาด้วย 


 


 


เฉินโยวหรานแอบเหลียวกลับไปดูสองแม่ลูกก็พบว่าทั้งคู่กำลังมีสีหน้าบอกบุญไม่รับทีเดียว ยังทำสะใจให้กับหญิงสาวไม่น้อย 


 


 


ขณะเดินออกจากโรงพยาบาล หญิงสาวก็พูดซ้ำไปซ้ำมาไม่ขาดปากว่า “เยี่ยม รู้สึกยอดเยี่ยมสุดๆ ไปเลย นี่แหละ พวกนั้นสมควรโดนแล้ว หน็อยแน่ ยังจะกล้าฟ้องฉันที่ไปทำร้ายอีตานั่นอีก…” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงก้มลงดูมือของอีกฝ่ายที่ยังเกาะแขนเขาแน่นไม่ยอมปล่อย “นี่เธอควรจะปล่อยฉันได้แล้วมั้ย” 


 


 


“…”  

 

 


ตอนที่ 161 หลินเช่อ นี่เธอหาสามีดีๆ ไ...

 

เฉินโยวหรานรีบปล่อยมือทันที หญิงสาวทำปากยื่นพลางมองเฉินอวี่เฉิงที่กำลังทำหน้าเหมือนจะตำหนิเธอ 


 


 


เฉินอวี่เฉิงสั่งให้เธอขึ้นรถเพื่อที่เขาจะได้ไปส่งเธอที่บ้าน 


 


 


“คราวหน้าก็อย่าโง่ให้ใครเขาหลอกเอาได้อีกล่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอต้องหาทางเป็นคนควบคุมสถานการณ์ให้ได้สิ เห็นๆ อยู่ว่าครั้งนี้หมอนั่นเป็นฝ่ายผิด เธอมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะฟ้องร้องเขาตั้งแต่แรก แล้วทำไมถึงยังยอมปล่อยให้เขาเอาตำรวจมาจับเข้าคุกได้อีกล่ะเนี่ย” เฉินอวี่เฉิงบ่นยาวเหยียด 


 


 


เฉินโยวหรานตอบอย่างหมดแรงว่า “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนนั้นเขาพยายามข่มขู่ฉันหนักมาก แล้วก็ทำท่าเหมือนว่าเจ็บจนใกล้จะตาย ฉันตกใจน่ะ ก็เลยไม่ทันได้คิดถึงอย่างอื่นเลย” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงตวัดสายตามอง “คราวหน้าถ้าจะอัดใคร ก็อย่าทำสะเปะสะปะแบบนี้ล่ะ นี่เธอเล่นงานเอาจุดอ่อนไหวหมอนั่นเข้าเต็มๆ เลย” 


 


 


“…” 


 


 


 


 


 


เมื่อหลินเช่อมาถึงภัตตาคารแล้วนั่นแหละ เธอถึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้นำโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย 


 


 


แต่ไหนๆ ก็มาจนถึงร้านแล้ว หญิงสาวเลยสลัดความคิดเรื่องโทรศัพท์ทิ้งไป จนเมื่อรับประทานอาหารเสร็จ เธอและกู้จิ้งเจ๋อก็กลับบ้านพร้อมกัน 


 


 


ทันทีที่กลับถึงบ้าน สาวใช้ก็แล่นเข้ามารายงานทันทีว่า “คุณผู้หญิงคะ คุณหมอเฉินฝากให้ดิฉันช่วยบอกคุณด้วยว่าคุณเฉินโทรมาหาคุณค่ะ เธอมีเรื่องด่วนให้ช่วย คุณหมอเฉินก็เลยออกไปจัดการให้แล้ว” 


 


 


“อะไรนะจ๊ะ” 


 


 


โดยไม่รอฟังซ้ำ หลินเช่อรีบพุ่งเข้าไปหาโทรศัพท์ของตัวเองทันทีและรีบโทรกลับไปตามหมายเลขของเฉินโยวหราน 


 


 


เมื่อต่อสายติด เฉินโยวหรานก็รับสายและพูดสวนมาทันทีว่า [เจ๊คะ ถ้าขืนฉันรอเจ๊กลับมาละก็ ฉันคงได้แห้งตายอยู่ที่สถานีตำรวจไปแล้วละจ้า] 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกับเธอน่ะ แล้วเธอไปอยู่ที่สถานีตำรวจได้ยังไง” หลินเช่อถาม 


 


 


“ [อย่าให้พูดเล้ย ก็เพราะอีตาโจวหมินฮั่นเฮงซวยน่ะสิ เขาคอยตามสะกดรอยฉันระหว่างกลับบ้าน แล้วก็เอาแต่พูดอะไรแปลกๆ กับฉันไม่เลิก ฉันเลยไล่เขาให้ไปไกลๆ แต่อีตานั่นดันเข้ามาปล้ำฉันเฉยเลย ฉันโกรธจัดก็เลยเตะผ่าหมากเข้าไปเต็มรัก ฉันก็ไม่คิดว่าหมอนั่นจะอ่อนขนาดนั้น แต่เขาล้มฟุบลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว ฉันตกใจมากก็เลยโทรเรียกรถพยาบาล แล้วแม่เขาก็เรียกตำรวจมาจับฉันไปส่งที่สถานี] 


 


 


“…” หลินเช่อนิ่งอึ้ง ก่อนจะบอกเพื่อนรักว่า “นั่นไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อยนะ เพราะอีตานั่นมันนิสัยทรามต่างหากล่ะ แล้วนี่เธอเป็นยังไงบ้าง” 


 


 


[เฉินอวี่เฉิงกำลังพาฉันกลับบ้านน่ะ] 


 


 


“งั้นก็แปลว่าบ้านนั้นเขาก็จะไม่ฟ้องร้องเธอแล้วสิ ใช่ไหม โจวหมินฮั่นน่ะ…หมอนั่นเป็นบ้าอะไรกันนะ” 


 


 


[ถ้าเฉพาะหมอนั่นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก แต่แม่เขานี่สิ ทั้งหยาบคายแล้วก็ไร้เหตุผลสิ้นดี ฉันเดาว่ายังไงแม่เขาก็ยังจะต้องฟ้องฉันแน่ๆ] 


 


 


“ถ้างั้นเราควรจะนัดเจอกันแล้วก็ปรึกษาเรื่องนี้กันซะหน่อยนะ ว่าจะเอายังไงกันดี” 


 


 


[ได้…] 


 


 


เมื่อเฉินอวี่เฉิงได้ยินคำพูดของเฉินโยวหราน เขาก็ขมวดคิ้ว “นี่เธอจะไม่กลับบ้านเหรอ” 


 


 


“ยังไม่กลับค่ะ พาฉันไปส่งที่คาเฟ่คาเดน่าหน่อยสิ” 


 


 


คาเฟ่คาเดน่าเป็นคาเฟ่ที่อยู่ในโรงแรมระดับเจ็ดดาว 


 


 


โรงแรมแห่งนี้เป็นกิจการของตระกูลกู้ ด้วยเหตุนี้ในตอนที่หลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อเดินทางมาถึงพร้อมกัน บรรดาพนักงานจึงมีท่าทีนอบน้อมมากกว่าปกติอย่างมาก 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยืนกรานว่าจะมาส่งหลินเช่อ ไม่ยอมให้เธอมาเองตามลำพัง 


 


 


เมื่อพาหลินเช่อมาถึง บรรดาผู้คนที่ต่างก็พากันประหลาดใจอย่างที่สุด แต่ด้วยความเป็นพนักงานของบริษัทกู้แล้ว ทุกคนจึงต่างก็เข้าใจดีว่าผู้เป็นนายใหญ่ของพวกเขานั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตลึกลับและเก็บตัวจากสังคมมากแค่ไหน และพนักงานของที่นี่ก็ไม่ได้อนุญาตให้พูดถึงกู้จิ้งเจ๋อไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม พวกเขาจึงทำได้แต่เพียงจ้องมองหลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อ และคาดเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่กันเอาเอง รวมถึงนึกอิจฉาหญิงสาวที่ได้เป็นผู้อยู่เคียงข้างผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมาพูดกับเธอว่า “เพื่อนเธอนี่ก็เป็นเหมือนเธอเปี๊ยบเลยนะ” 


 


 


“ทำไมเหรอคะ” หลินเช่อสงสัย 


 


 


“ก็เก่งเรื่องสร้างปัญหาน่ะสิ สารพัดปัญหาสารพัดเรื่องทีเดียวละ” 


 


 


หลินเช่อว่า “เห็นชัดๆ ค่ะว่าคนอื่นต่างหากที่เป็นคนก่อเรื่อง พวกเราน่ะแค่ซื่อไปหน่อยเท่านั้น เพราะอย่างนี้ถึงได้มีเรื่องปะฉะดะกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ ไงละคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้ว “อะไรนะ” 


 


 


“…” หญิงสาวลืมไปสนิทใจเลยว่าคนระดับกู้จิ้งเจ๋อย่อมไม่เข้าใจคำศัพท์ประเภทนี้ เธอจึงอธิบายว่า “หมายถึงทะเลาะกันน่ะค่ะ” 


 


 


“มันเป็นภาษาต่างถิ่นเหรอ” ชายหนุ่มไม่แน่ใจ 


 


 


หลินเช่อว่า “เอ่อ…ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ” 


 


 


“ภาษาจากถิ่นไหนกันล่ะ” 


 


 


“จากอินเทอร์เน็ตน่ะค่ะ…” 


 


 


ชายหนุ่มมองหน้าคนตอบอย่างไม่เข้าใจชัดเจนนักว่ามันหมายถึงอะไร แต่หลินเช่อเลิกสนใจแล้ว เธอลากแขนเขาเพื่อที่จะรีบเดินเข้าไปในโรงแรม 


 


 


“อีกอย่างนะคะ เฉินโยวหรานน่ะซื่อบื้อกว่าฉันอีก ตอนที่เรายังเด็กๆ เราไปโรงเรียนด้วยกัน เราไม่ต้องให้ใครพาไปส่งโรงเรียนตั้งแต่ยังอยู่ชั้นอนุบาลด้วยซ้ำ ต้องแบกกระเป๋ากันเอง แถมยังต้องเดินไกลตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง พอเลิกเรียนเราก็กลับบ้านด้วยกันอีก มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอเคยหล่นลงไปในท่อระบายน้ำเหม็นๆ ข้างทางจนเหม็นหึ่งไปทั้งตัว พอเราไปถึงโรงเรียน คุณครูก็ไม่ยอมให้เธอเข้าเรียน จนโยวหรานต้องเดินร้องไห้กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกครั้งหนึ่งตอนที่ครูมาเห็นฉันทะเลาะกับเพื่อนที่นั่งเรียนโต๊ะเดียวกัน ครูไม่ยอมเชื่อสิ่งที่ฉันบอก เพราะเพื่อนที่นั่งกับฉันบอกครูว่าฉันตีเขาก่อน แล้วครูก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเพราะว่าเขาเรียนเก่งกว่าฉัน เรียกว่าเป็นหัวกะทิของห้องเลยเชียวละ ครูก็เลยทำโทษด้วยการให้ฉันไปยืนอยู่ที่จุดทิ้งขยะของโรงเรียนตอนบ่ายเพื่อเป็นการลงโทษ เฉินโยวหรานน่ะซื่อบื้อมาก เธอลงไปยืนเป็นเพื่อนฉันตลอดบ่ายวันนั้น จนกระทั่งพอถึงตอนกลับบ้าน กลิ่นตัวเราสองคนก็เหม็นหึ่งแบบสุดๆ ไปเลยละค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ่งนิ่วหน้าหนักขึ้นไปอีก 


 


 


ยิ่งเขาได้ยินหลินเช่อเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เธอโดนคนอื่นรังแกอย่างสบายใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น 


 


 


นี่หลินเช่อต้องพบเจอกับความโหดร้ายแบบนี้มามากมายแค่ไหนกันนะ ถึงทำให้เธอไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันอีกแล้ว 


 


 


ชายหนุ่มมองหน้าเธอ “การลงโทษด้วยการให้ไปยืนที่กองขยะนั่นเป็นวิธีการที่เลวร้ายมาก ถือเป็นการกระทำทางร่างกายเชียวนะ ครูของเธอไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย นี่เธอเข้าเรียนโรงเรียนอะไรเนี่ย” 


 


 


“สำหรับโรงเรียนประถมนี่น่ะถือว่าเป็นการลงโทษขนานเบาแล้วนะคะ เมื่อก่อนครูคนเก่าของเราเคยตีเพื่อนนักเรียนของเราแรงขนาดที่ว่าไหล่หลุดเลยทีเดียวละค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนั่นแหละ คุณคิดว่าโรงเรียนฉันจะเป็นเหมือนกับโรงเรียนไฮโซของคุณที่มีแต่ครูต่างชาติมาสอน แล้วก็คอยดูแลเอาอกเอาใจให้เรียนหนังสือเหรอคะ ครูพวกนั้นไม่มีทางกล้าขู่หรือตีพวกคุณแน่ สำหรับคนอย่างพวกคุณ ลองพวกครูพูดอะไรไม่ดีเข้าสักประโยคเดียว ทางตระกูลกู้คงเล่นงานโรงเรียนจนย่อยยับแน่ๆ แต่สำหรับพวกฉันแล้ว เราก็อยู่กันอย่างนี้นี่แหละค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าหญิงสาวนิ่งนาน ต่อไปในอนาคต เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธออีกเป็นอันขาด 


 


 


เมื่อเข้าไปด้านใน พวกเขาก็ได้เห็นเฉินโยวหรานกำลังนั่งรออยู่กับเฉินอวี่เฉิงแล้ว 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อได้ฟังเรื่องของเฉินโยวหรานจากหลินเช่อแล้วก่อนที่จะมาถึง เขามองดูเพื่อนรักของหลินเช่อก่อนที่จะเดินเข้าไปหา 


 


 


“หลินเช่อ มาแล้วเหรอ” 


 


 


หลินเช่อว่า “ให้ตายสิ นี่เขาทำเกินไปนะ ตัวเองทำเรื่องหน้าไม่อายแท้ๆ แต่กลับจะเป็นฝ่ายฟ้องเธอซะนี่” 


 


 


“ช่างเถอะ แค่คิดก็โมโหแล้วละ แต่ตอนนี้น่ะสิ ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง “คุณเฉิน ปล่อยเรื่องนี้ให้ทีมทนายของครอบครัวผมจัดการแทนก็ได้ พวกเขาจะสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ เลย” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงเงยหน้าขึ้นทันควัน เขาหันไปมองเฉินโยวหรานและบอกว่า “คราวนี้เธอโชคดีจริงๆ นะ ทีมทนายตระกูลกู้นี่จัดว่าเป็นมือหนึ่งทางด้านนี้เลย ต่อให้มีเงินก็จ้างไม่ได้ สำหรับคดีเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ พวกเขาใช้เวลาจัดการแค่ไม่กี่นาทีก็เรียบร้อยแล้ว” 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินโยวหรานก็รีบร้องขึ้นด้วยความดีใจ “จริงเหรอคะ ขอบคุณ ขอบคุณนะคะประธานกู้ คุณนี่เยี่ยมที่สุดเลย หลินเช่อ พอกลับถึงบ้านแล้วช่วยขอบคุณสามีของเธอแทนฉันให้เต็มที่ด้วยล่ะ” 


 


 


เวลาตื่นเต้นเฉินโยวหรานจะพูดจาไม่ระวังอะไรทั้งสิ้น “นี่ยิ่งมอง พวกคุณสองคนก็ยิ่งเหมาะสมกันนะ ท่านประธานกู้คะ ตั้งแต่หลินเช่ออยู่กับคุณเนี่ย เธอมีเนื้อมีหนังขึ้นเยอะ แล้วก็สวยขึ้นมากด้วย ดูท่าทางเธอจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นๆ ทุกทีเลยนะคะ” 


 


 


แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเอาใจ แต่กู้จิ้งเจ๋อก็กลับรู้สึกดีที่ได้ยิน เขาหันหน้าไปหาหลินเช่อแล้วก็ได้เห็นผิวพรรณที่ดูดีมีสุขภาพกว่าแต่ก่อนมากของหญิงสาว เมื่อได้คิดว่าตัวเขาเองก็มีส่วนทำให้เธอดูดีขึ้นแบบนี้ ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่า การที่หลินเช่อต้องมาอยู่กับเขาก็คงไม่ใช่เรื่องทรมานใจอะไรนัก ความคิดนี้ทำให้กู้จิ้งเจ๋อปลาบปลื้มยินดีอย่างที่สุด  

 

 


ตอนที่ 162 นี่เป็นฉากที่คุ้นตาที่สุด

 

หลินเช่อหันไปมองเพื่อนผู้ไร้กาลเทศะของตัวเอง นี่หล่อนไม่อายบ้างหรือไงถึงได้อวยเขาเสียมากมายขนาดนั้นเพียงเพราะเรื่องแค่นี้น่ะ


 


 


แต่ถึงกระนั้นหลินเช่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้กู้จิ้งเจ๋อเกิดใจดีอะไรขึ้นมา หรือว่าเกิดจะถูกอกถูกใจเฉินโยวหรานเข้าแล้ว เขาถามขึ้นว่า “ว่าแต่หลังจากกลับมานี่ คุณเฉินกำลังมองหางานทำอยู่หรือเปล่า”


 


 


“เอ่อ ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ ฉันก็พยายามหาๆ อยู่แต่ก็เจอแต่งานที่ไม่ค่อยเหมาะกับตัวเองทั้งนั้นเลย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อไป “ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เอาประวัติการทำงานของคุณฝากหลินเช่อมาล่ะ ผมจะให้คนช่วยดูให้เองว่ามีตำแหน่งงานที่เหมาะๆ กับคุณบ้างหรือเปล่า”


 


 


“ที่กู้อินดัสทรีน่ะเหรอคะ” ดวงตาของเฉินโยวหรานเป็นประกาย


 


 


กู้อินดัสทรีนับเป็นบริษัทนานาชาติระดับท็อปของประเทศ คนธรรมดาไม่มีทางได้เข้าทำงานที่นั่นแน่


 


 


หญิงสาวจึงรีบตอบโดยเร็วว่า “ประธานกู้คะ คุณเป็นคนดีจริงๆ นี่หลินเช่อไปช่วยชีวิตใครไว้เมื่อชาติก่อนนะ ถึงทำให้โชคดีได้มาเจอกับคุณในชาตินี้น่ะ”


 


 


“…” หลินเช่ออดรนทนต่อไปไม่ไหว เธอหันไปมองหน้าเพื่อนรักและพูดว่า “นี่เธอจะยอมสละความเป็นเพื่อนของเราเพื่องานงั้นเหรอ”


 


 


เฉินโยวหรานหรี่ตา “ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าฉันรู้จักเธอนะ ฉันถึงได้รู้ว่ายังมีสามีดีๆ แบบนี้อยู่บนโลกน่ะ หลินเช่อ ฉันว่าฉันคงไม่มีทางได้เจอผู้ชายที่ปฏิบัติต่อภรรยาเหมือนอย่างที่สามีเธอทำในชาตินี้แน่ๆ ไม่มีสามีที่ไหนจะน่ารักเท่าสามีเธออีกแล้วละ นี่พูดจริงๆ นะ!”


 


 


“…”


 


 


เฉินอวี่เฉิงที่นั่งอยู่ไม่ห่างก็ไม่อยากจะเชื่อด้วยเหมือนกัน เขาไม่เคยพบเจอผู้หญิงที่ไหนที่สามารถเอ่ยปากชมใครด้วยกิริยาท่าทางแบบนี้มาก่อนเลย


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่า เมื่อกู้จิ้งเจ๋อรับปากว่าจะช่วยแล้ว ทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นอย่างแน่นอน


 


 


เมื่อกลับออกจากโรงแรม หลินเช่อจึงพูดกับชายหนุ่มว่า “ขอบคุณที่ช่วยเฉินโยวหรานนะคะ”


 


 


“ถ้าเธอรู้สึกขอบใจจริงๆ ละก็ งั้นช่วยนวดขาฉันหน่อยตอนที่เรากลับถึงบ้านกันก็แล้วกัน”


 


 


“ทำไมคะ…”


 


 


“ถ้าไม่อย่างนั้น คำว่า ‘ขอบคุณ’ จะมีความหมายอะไรล่ะ”


 


 


หลินเช่อมองอีกฝ่ายอย่างจนใจ กู้จิ้งเจ๋อคือนักธุรกิจของแท้จริงๆ เขาต้องการผลกำไรจากทุกอย่างที่ตัวเองทำ!


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน กู้จิ้งเจ๋อจึงจัดแจงสั่งฉินเฮ่าที่เดินทางกลับมาจากกัมพูชาแล้วให้ไปสืบดูโรงเรียนที่หลินเช่อเคยเข้าเรียนเมื่อสมัยเป็นเด็ก


 


 


เมื่อได้กลับมา ฉินเฮ่าก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว รวมถึงยังสงบเสงี่ยมอย่างมาก เพราะกลัวว่าจะถูกขับไล่ไสส่งไปกัมพูชาอีก


 


 


เมื่อฉินเฮ่าเดินออกจากบ้าน ขณะที่หลินเช่อเดินสวนเข้าไป คนสนิทของกู้จิ้งเจ๋อก็รีบก้มศีรษะให้และเผ่นผลุงไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หลินเช่องุนงง เมื่อเดินเข้ามาในบ้านเธอจึงหันไปถามว่า “ทำไมผู้ช่วยฉินถึงได้ดูรีบร้อนนักล่ะคะ”


 


 


“อืม ฉันบอกให้เขาไปช่วยจัดการเรื่องบางอย่างน่ะ” เมื่อเห็นหลินเช่อเดินมา ชายหนุ่มก็ยิ้มย่องก่อนจะยกขายื่นให้ “เอ้า มานวดขาให้ฉันหน่อยซิ”


 


 


หลินเช่อมีสีหน้าไม่เต็มใจ หญิงสาวบุ้ยปากแต่ก็ยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี เธอย่อตัวลงนั่งข้างๆ เขา เอามือวางบนขา และเริ่มนวดเฟ้นให้


 


 


ชายหนุ่มหันไปเห็นบทโทรทัศน์วางอยู่ด้านข้าง เขาคิดว่าคงจะเป็นบทของหลินเช่อ จึงหยิบขึ้นมาและเริ่มอ่าน


 


 


“ออกแรงอีกหน่อย ออกแรงอีกสิ”


 


 


“นี่เธอไม่ได้กินข้าวมาหรือไงนะ”


 


 


“เอาละ แรงประมาณนี้กำลังดีแล้ว ไม่เลวๆ หลินเช่อ ดูเหมือนว่าฝีมือนวดเธอจะเริ่มใช้การได้แล้วนะ”


 


 


แต่เมื่อหญิงสาวเหลือบมาเห็นว่ากู้จิ้งเจ๋อกำลังถือบทของเธอและอ่านมันอยู่ หลินเช่อก็ตกใจจนตัวแข็งก่อนจะรีบลนลานแย่งคืน “กู้จิ้งเจ๋อ เรื่องอะไรถึงมาดูของคนอื่นแบบนี้นะ”


 


 


คนตัวใหญ่กว่าหลบได้ทัน เขามองหน้าเธอแล้วถามว่า “นี่มันบทซีรีส์โทรทัศน์ที่เธอกำลังถ่ายทำอยู่ตอนนี้เหรอ”


 


 


“ใช่ค่ะ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อลองอ่านประโยคหนึ่งออกมาดังๆ “ขอโทษด้วยนะ ฉันเลิกรักคุณมานานแล้วละค่ะ ทุกอย่างที่ฉันทำก็เป็นแค่การหลอกใช้คุณเท่านั้น ฉันหลอกใช้คุณเพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่ฉันจะเขี่ยคุณทิ้ง ถ้าจะโทษใครก็คงจะต้องโทษตัวคุณเองนั่นแหละที่โง่เอง…”


 


 


ทำไมบทพูดธรรมดาแบบนี้ถึงให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนักเมื่อกู้จิ้งเจ๋อตั้งใจอ่านมันออกมา


 


 


“คนเขียนบทนี่เรียนจบจากที่ไหนกันน่ะ ทำไมถึงได้เขียนออกมาได้ห่วยขนาดนี้”


 


 


“เงียบไปเลยนะ คนเขียนบทของเรามีชื่อเสียงมากแล้วก็เป็นคนสำคัญมากด้วย อย่างคุณจะไปรู้อะไร” หลินเช่อรีบโน้มตัวไปคว้าแย่งบทมาจากชายหนุ่ม


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออ่านไล่ลงมาจนกระทั่งถึงส่วนท้ายของบท ซึ่งคือฉากจูบ


 


 


คราวนี้สีหน้าคนอ่านเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงในทันควันและตวัดสายตาไปหาหลินเช่อ


 


 


หญิงไม่รู้ว่าเขาอ่านเจออะไร จึงได้แต่ถามด้วยความงุนงง “คุณทำอะไรน่ะ จ้องหน้าฉันทำไมคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกระแอมเบาๆ และบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก เธอต้องซ้อมบทนี่ที่บ้านก่อนจะไปถ่ายทำจริงหรือเปล่า”


 


 


หลินเช่อตอบ “ใช่ค่ะ ฉันเอาบทกลับมาบ้านก่อนก็เพื่อที่จะได้ซ้อมอ่านเวลาว่างๆ น่ะค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “งั้นเดี๋ยวฉันช่วยซ้อมให้เอง”


 


 


หลินเช่อมองเขาด้วยความอึ้งสนิท “ไม่มีทาง คุณจะไปรู้อะไรคะ ดูจากฝีมือการอ่านบทของคุณเมื่อกี้ บอกได้เลยว่าฉันไม่มีทางเล่นได้แน่ อย่าว่าแต่ช่วยซ้อมเลยค่ะ ฉันกลัวว่าพรุ่งนี้ฉันจะทนไม่ไหวแล้วก็เผลอหัวเราะออกมาระหว่างที่กำลังถ่ายทำน่ะสิคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยืนกราน “ถ้าไม่ลอง เธอจะรู้ได้ยังไงว่าฉันทำได้หรือเปล่าน่ะ”


 


 


“ต่อให้เป็นการอ่านจากบทเฉยๆ ก็ยังต้องมีทักษะพื้นฐานนะคะ เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงนานทีเดียว ซึ่งเห็นๆ กันอยู่ว่าคุณไม่มีทักษะในการซ้อมบทน่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มขณะถือบทไว้ในมือและโน้มตัวเข้าไปจนใกล้เธอ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องซ้อมบทพูด มาซ้อมบทอย่างอื่นกันก่อนดีกว่า”


 


 


“ช่วงไหนหรือคะ”


 


 


หลินเช่องงหนัก นอกจากบทสนทนาแล้ว ในบทยังมีอย่างอื่นอีกหรือ


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋ออาศัยจังหวะนั้นผลักเธอให้นั่งลง โอบด้านหลังต้นคอด้วยแขนข้างหนึ่งและรั้งศีรษะเธอเข้ามาหา นิ้วยาวสอดเข้าไปในเรือนผม ก่อนจะกดจูบลงมาอย่างลึกล้ำดื่มด่ำ


 


 


หลินเช่อหายใจไม่ออกไปครู่ใหญ่ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ได้ หลินเช่อผลักอีกฝ่ายออกไปได้สำเร็จพลางหอบหายใจ เธอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่แดงและชุ่มชื้นของตัวเอง “กู้จิ้งเจ๋อ!”


 


 


“ฉันคิดว่าถึงฉันจะไม่มีทักษะในการอ่านบทเท่าไหร่ แต่สำหรับฉากนี้แล้วฝีมือฉันก็ไม่เลวอยู่เหมือนกันนะ”


 


 


ตอนนี้เองที่หลินเช่อนึกขึ้นได้ว่า บทช่วงนี้อยู่ในฉากที่พระเอกของเรื่องจงใจที่จะบังคับจูบนางเอกนั่นเอง


 


 


หน้าหลินเช่อแดงก่ำ เพิ่งรู้ตัวว่าโดนเขาแกล้งเข้าอีกแล้ว


 


 


“ไม่มีทางหรอกที่พวกเขาจะใช้ลิ้นเวลาถ่ายฉากจูบในโทรทัศน์น่ะ อีกอย่าง ฉากแบบนี้ส่วนมากจะใช้มุมกล้องเอาทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครเขาทำแบบคุณกันหรอก” หลินเช่อพ่นลมพรืดอย่างมีน้ำโห หน้าแดง และตวาดใส่ด้วยเสียงอันดัง “อันธพาล!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อระเบิดหัวเราะเสียงดังสนั่น


 


 


เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวายกับฉากจูบในการทำงานของหลินเช่อนักหรอก


 


 


แล้วตัวเขาเองก็คงไม่อยากที่จะตามไปดูการถ่ายทำด้วย


 


 


เขาให้เกียรติอาชีพของเธอ และไม่อยากจะไปทำอะไรที่เป็นการทำลายความเป็นมืออาชีพของหลินเช่อ แต่เขาก็คงทนเห็นเธอแสดงอะไรแบบนี้กับตาตัวเองไม่ได้ เพราะเขาคงทนรับไม่ไหว


 


 


หลินเช่อพ่นลมพรืดและมองหน้าชายหนุ่ม แต่ในใจนั้นเธอรู้ดีว่าเขาพูดถูก และฝีมือการจูบของเขา ถ้าจะว่าตามตรงก็ไม่เลวเลยทีเดียวละ


 


 


เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน


 


 


เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่น่าจะเคยจูบใครมาก่อนเพราะอาการป่วยของเขา


 


 


หรือว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดนะ ว่าของแบบนี้มันเป็นสัญชาตญาณมนุษย์


 


 


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงละก็ สัญชาตญาณมนุษย์ของกู้จิ้งเจ๋อก็คงแรงมากจริงๆ


 


 


จนถึงตอนนี้เธอยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกมึนชาหลังจากถูกเขาดูดกลืนลมหายใจของเธอไปจนหมดเมื่อก่อนหน้านี้


 


 


หลินเช่อก้มเก็บบทขึ้นจากพื้น แล้ววิ่งหนีเข้าห้องไปทันที


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเอง


 


 


ความปรารถนาในตัวหลินเช่อของเขายังไม่ลดน้อยลงเลยสักนิด หนำซ้ำยังดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นอีกต่างหาก


 


 


ชายหนุ่มต้องสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความคิดที่จะผลักเธอลงบนเตียงอีกครั้งให้ได้เอาไว้


 


 


อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เขาแค่อยากจะทดสอบดูว่าความรู้สึกปรารถนาของตัวเองยังรุนแรงอยู่มากแค่ไหน แต่เมื่อกลายเป็นเช่นนี้ กู้จิ้งเจ๋อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้กันแน่


 


 


ถ้าหากว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเพราะความผิดพลาดได้ในวันที่เขาล้มป่วย งั้นหากเกิดความผิดพลาดแบบเดียวกันเป็นครั้งที่สอง มันก็เป็นเรื่องที่น่าจะยอมรับได้ แต่ถ้าเขาทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สามล่ะ 

 

 


ตอนที่ 163 ของฟรีไม่มีในโลก

 

วันต่อมาเมื่อหลินเช่อมาถึงบริษัท ทางบริษัทก็ได้แจ้งให้เธอทราบว่าพวกเขาตอบรับข้อตกลงการผู้สนับสนุนสินค้าในนามของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบอกให้เธอไปจัดการเซ็นสัญญาให้เรียบร้อย 


 


 


หลินเช่อเป็นนักแสดงที่ไม่เรื่องมากในการทำงานมาโดยตลอด ทำให้บริษัทชื่นชอบเธอในข้อนี้อย่างมาก เธอไม่ช่างจับผิดโดยไม่มีเหตุผล ไม่ทำตัวเรื่องมากเพียงเพราะว่ามีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว 


 


 


และเป็นเพราะหลินเช่อเชื่อใจในตัวอวี๋หมินหมิ่น และเชื่อว่าผู้จัดการคนนี้ได้ตัดสินใจทุกอย่างโดยเห็นแก่ประโยชน์ของเธอเป็นสำคัญอยู่เสมอ 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอกว่า “ตอนนี้หน้าที่ผู้สนับสนุนสินค้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับภาพลักษณ์ของเธอนะ ในบรรดาข้อเสนอที่ฉันเลือกมาจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของเธอให้ดูดีขึ้น โทรศัพท์มือถือยี่ห้อนี้ผลิตขึ้นภายในประเทศ และเป็นที่นิยมใช้ของคนหนุ่มสาว โฆษณาของพวกเขาจะได้ออกอากาศถี่ยิบเลยล่ะ” 


 


 


“สัญญาที่ฉันเซ็นมีอายุสามเดือนใช่มั้ยคะ” หลินเช่อถาม 


 


 


“สัญญาณที่เธอเซ็นนั่นสำหรับหนึ่งปี ทางบริษัทไม่นิยมเซ็นสัญญาระยะยาว แค่ดีลสั้นๆ เท่านั้น แต่ฉันคิดว่าตัวโฆษณาคงจะออกอากาศอยู่แค่สามเดือนเท่านั้น แต่ยิงถี่ๆ ช่วงสามเดือนนี้ก็เพียงพอแล้วละ ขืนออกอากาศนานกว่านั้นคนดูจะเบื่อเสียก่อน” 


 


 


“จริงด้วยค่ะ” หลินเช่อรู้จักโทรศัพท์ยี่ห้อนี้ดี เธอเองก็เคยใช้ยี่ห้อนี้มาก่อนเหมือนกัน 


 


 


ปกติแล้วเวลาที่เธอเปลี่ยนโทรศัพท์ มันมักจะเป็นของขวัญจากกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


เพียงไม่นาน หลินเช่อก็ลงชื่อเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยโดยมีอวี๋หมินหมิ่นตามไปประกบด้วย ขณะที่กำลังเดินไปด้วยกันนั้น อวี๋หมินหมิ่นก็พูดขึ้นว่า “ตอนแรกมู่เฝ่ยหรานถูกวางตัวเอาไว้สำหรับโฆษณาชิ้นนี้ แต่โชคดีมากเลยนะที่ได้มาน่ะ ผู้กำกับงานโฆษณานี้ล้วนแต่เป็นคนฝีมือเยี่ยมกันทั้งนั้น ตัวผลิตภัณฑ์ก็คลาสสิก มันต้องออกมาดีแน่ๆ” 


 


 


หลินเช่อถาม “จริงเหรอคะ ถ้างั้นเราไปกินข้าวฉลองกันหน่อยมั้ยคะคืนนี้” 


 


 


“เยี่ยมเลยสิ เธอเลี้ยงนะ เพราะเงินค่าตัวงานนี้ก้อนโตเลยนี่นา” 


 


 


“ได้เลยค่ะ ได้เลย ฉันเลี้ยงเอง” ทว่า ในขณะที่กำลังพูดคุยอยู่นั้นเอง หลินเช่อก็ได้เผชิญหน้ากับคนคนหนึ่ง เธอผู้นั้นยืนตัวตรงสูงเด่นเป็นสง่า มีรอยยิ้มบางเบา และกำลังมองตรงมา 


 


 


ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นโม่ฮุ่ยหลิง 


 


 


เธอไม่คิดเลยว่าโม่ฮุ่ยหลิงจะมาที่นี่ หลินเช่อหยุดเดิน อวี๋หมินหมิ่นจึงหยุดตาม พลางมองดูผู้หญิงซึ่งแวะเข้ามาที่บริษัทผู้นี้ด้วยท่าทีงุนงงสับสน 


 


 


“หลินเช่อ” โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มให้เมื่อเดินเข้ามาหา หล่อนมองดูหลินเช่อและพูดว่า “มาเซ็นสัญญาสินะ” 


 


 


สีหน้าของหลินเช่อผิดปกติไปเล็กน้อยเมื่อมองดูโม่ฮุ่ยหลิง และตอบว่า “ใช่ค่ะ คุณโม่ บังเอิญจังเลยนะคะ คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ” 


 


 


ทุกครั้งที่โม่ฮุ่ยหลิงโผล่มา เธอจะต้องหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ทุกครั้ง หลินเช่อจึงไม่อยากจะข้องแวะใดๆ ด้วยทั้งสิ้น 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมักสวมรองเท้าส้นสูงทุกครั้ง และด้วยความสูงของเธอ ก็ยิ่งทำให้เธอยิ่งดูสูงส่งยากจะเอื้อมถึงมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ในความเป็นจริง เธอก็เป็นคนที่ยากจะเข้าถึงอยู่แล้วในฐานะหญิงสาวผู้ร่ำรวย 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มให้พลางกวาดตาขึ้นๆ ลงๆ มองหลินเช่อ “โทรศัพท์ที่เธอเซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนน่ะ ผลิตโดยโรงงานของครอบครัวฉันเองนั่นแหละจ้ะ” 


 


 


หลินเช่อตัวแข็งทื่อ 


 


 


เมื่อหายช็อก หลินเช่อก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มและแกล้งจับมือหลินเช่ออย่างสนิทสนมเมื่อพูดว่า “หลินเช่อจ๊ะ ฉันคิดมาตั้งนานแล้วนะว่าเธอน่ะเหมาะจะโฆษณาให้สินค้าของเรามากที่สุด โฆษณาชิ้นนี้จะต้องออกมาวิเศษแน่ถ้าได้เธอมาแสดงให้” 


 


 


หลินเช่อชะงักและหันมองโม่ฮุ่ยหลิง “คุณโม่เป็นคนแนะนำฉันให้กับโฆษณานี้เหรอคะ” 


 


 


“ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ” โม่ฮุ่ยหลิงพูดด้วยตาเป็นประกาย 


 


 


หลินเช่อมองหน้าเธอ “นั่นคงไม่ดีหรอกมั้งคะ บอกตามตรงว่าฉันไม่เหมาะเอาเลย ฉันได้ยินมาว่าตอนแรกคุณเลือกมู่เฝ่ยหรานนี่คะ ฉันว่าเธอเหมาะว่าฉันมากเลยนะคะ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงรีบหันมาหาหลินเช่อและถามว่า “ทำไมเหรอจ๊ะ นี่เธอยังโกรธเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้านี้อยู่อีกเหรอ ฉันยอมรับผิดกับจิ้งเจ๋อไปแล้วนะ แล้วฉันก็ปรับปรุงตัวใหม่แล้วด้วย ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจกับเธออยู่นะจ๊ะ ฉันหวังว่าเธอจะหายโกรธฉันสักที” 


 


 


หลินเช่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทำอะไรกันแน่ เธอรู้แต่เพียงว่า อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับโม่ฮุ่ยหลิงไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องดีไปได้แน่ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มและตอบว่า “ฉันตั้งตารอที่จะได้เห็นเธอในโฆษณานะจ๊ะ โชคดีละ หลินเช่อ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยังพูดจาอ่อนหวานยกยอปอปั้นหลินอยู่อีกครู่นึงได้ พร่ำบอกว่าเธอรู้แล้วว่าตัวเองทำอะไรไม่ดีลงไป และยอมรับในข้อผิดพลาดของตัวเอง 


 


 


จนเมื่อโม่ฮุ่ยหลิงปลีกตัวไปแล้วนั่นแหละ อวี๋หมินหมิ่นถึงได้หันมาพูดว่า “นี่เธอสนิทกับเขาเหรอ” 


 


 


หลินเช่อส่ายหน้า “ฉันรู้จักเขาค่ะ แต่ไม่มีทางที่เราจะเป็นเพื่อนกันได้แน่” 


 


 


ด้วยความหัวไว อวี๋หมินหมิ่นจึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและถามว่า “แล้วเธอจะเอายังไงกับงานโฆษณาล่ะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแม่นั่นไม่ได้รีบตัดสินใจเลือกเธอเพราะว่าอยากจะช่วยเธอแน่ ฉันก็ว่าอยู่ว่ามีคนมาทดสอบหน้ากล้องถึงสี่คนแต่กลับเป็นเธอที่ถูกเลือก ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นเพราะมู่เฝ่ยหรานไม่ว่างเพราะติดคิวไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่นเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพราะ…” อวี๋หมินหมิ่นหันมองหลินเช่อ “ถ้าเธอทำไม่ได้ งั้นเราก็ควรจะไปถอนชื่อออกจากสัญญากันจะดีกว่านะ” 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อก็รีบบอกว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ฉันก็แค่ต้องไปถ่ายโฆษณาเท่านั้นเอง อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรสักหน่อยนี่คะ เขาก็คิดแค้นฉันอยู่ ซึ่งฉันก็บอกเขาไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าฉันไม่ได้ไปทำอะไรให้เลย แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง อย่าว่าแต่ฟังเลย ดูที่เขาทำตอนนี้เข้าสิ ตอนนี้เราทำได้แค่พยายามรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเองค่ะ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองหลินเช่อแล้วก็ถอนหายใจ พลางส่ายหน้า 


 


 


หลินเช่อรีบกลับบ้าน แล้วก็ได้เจอกับกู้จิ้งเจ๋อที่บังเอิญอยู่บ้านพอดี เมื่อเขาเห็นหลินเช่อกลับมา ชายหนุ่มก็ทักว่า “ทำไมถึงมองหน้าฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ แบบนั้นล่ะ” 


 


 


หลินเช่อตอบ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…คือกลายเป็นว่าโทรศัพท์ยี่ห้อพีไอพีทีนั่นเป็นสินค้าของทางครอบครัวคุณโม่น่ะค่ะ” 


 


 


เมื่อได้ยินคำว่า ‘คุณโม่’ กู้จิ้งเจ๋อก็เงยหน้าขึ้นทันที และมองหน้าหลินเช่ออย่างพยายามจะหาคำตอบ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” 


 


 


หลินเช่อว่า “ไม่มีอะไรค่ะ คือฉันก็แค่เพิ่งรู้เท่านั้นเอง” 


 


 


“ครอบครัวเขาสร้างแบรนด์นี้มาหลายปีแล้ว ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พวกเขาก็ทุ่มเงินทุนมากมายไปกับการโฆษณาแบรนด์และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีทีเดียว แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินเช่อ เล่าฉันให้ฉันฟังหน่อยซิ” กู้จิ้งเจ๋อไม่เชื่อว่าหลินเช่อเพียงแต่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างนั้นเอง 


 


 


หญิงสาวตอบ “ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ เพียงแต่ฉันเพิ่งมารู้ว่ามันเป็นสินค้าของครอบครัวเขาตอนที่ฉันจะต้องมาถ่ายโฆษณากับกับบริษัทนี้น่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจ้องมองเธอด้วยสายตาพินิจพิจารณา ขมวดคิ้วเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะบอกกับเธอว่า “ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนซะผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์หน่อย” 


 


 


แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็รีบเข้าไปในห้องทำงาน ปิดประตู สีหน้าบ่งบอกว่าอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นและต่อสายหาโม่ฮุ่ยหลิงทันที 


 


 


“ฮุ่ยหลิง” เขาเอ่ยขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงร้องตอบมา [จิ้งเจ๋อ มีอะไรรึเปล่าคะ] 


 


 


“นี่เธอเลือกหลินเช่อให้ไปถ่ายโฆษณาให้บริษัทของครอบครัวเธองั้นเหรอ” กู้จิ้งเจ๋อถามโดยไม่อ้อมค้อม 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตอบ [ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ พอดีเรากำลังหาคนที่จะเป็นตัวแทนของสินค้าเราในช่วงไตรมาสนี้อยู่น่ะค่ะ แล้วฉันก็คิดว่าอิมเมจของหลินเช่อก็เหมาะสมดี แถมฉันยังรู้จักเธอเป็นการส่วนตัวด้วย ก็เลยแนะนำคุณพ่อไป] 


 


 


“ฮุ่ยหลิง ถ้ามีปัญหาอะไร เธอพูดกับฉันได้นะ” กู้จิ้งเจ๋อว่า 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า [ทำไมคะ จิ้งเจ๋อ คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง] น้ำเสียงของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา [ทำไมคะ นี่คุณคิดว่าที่ฉันแนะนำหลินเช่อไปเพราะว่าฉันอยากหาเรื่องเขางั้นเหรอ] 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนิ่งไปสองสามวินาที “ก็ใช่น่ะสิ ฉันหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นนะ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังอย่างยิ่ง [จิ้งเจ๋อ นี่คุณคิดกับฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันค่ะ ฉันก็แค่อยากจะขอโทษคุณฉันถึงได้คิดจะช่วยหลินเช่อ แค่เพราะว่าฉันอยากจะพิสูจน์ให้คุณเห็น ว่าฉันรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองแล้ว และฉันก็อยากที่จะช่วยให้หลินเช่อได้งานโฆษณา คุณคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอได้คะ นี่มันแค่สัญญาถ่ายโฆษณาเท่านั้นนะ…] 


 


 


ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งฟังโม่ฮุ่ยหลิง คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น “พอเถอะ ฮุ่ยหลิง” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดว่า “เอาละ ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ งั้นฉันก็จะเชื่อเธอ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยังคงตัดพ้อ [ฉันไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้เลย แต่ตอนนี้ฉันชักจะโกรธขึ้นมาหน่อยๆ แล้วนะคะ นานๆ คุณถึงจะโทรหาฉันสักที แต่กลับโทรมาเพื่อที่จะพูดกับฉันเรื่องนี้น่ะเหรอคะ] 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม