พันธกานต์ปราณอัคคี 156-176

ตอนที่ 156 การเชื้อเชิญจากคุณชายหก

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดสิ่งใด ตาสดใสคู่หนึ่งจ้องคุณชายหกไม่กะพริบ จนคุณชายหกเองก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ถึงได้ยิ้มละไม ยื่นมือออกข้างหนึ่งว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอน้อมรับแล้ว”


 


 


คุณชายหกชะงักอยู่ตรงนั้นทันที พูดไม่ออกบอกไม่ถูก


 


 


หญิงสาวปกติ มิใช่ควรเหนียมอายสักหน่อยหรอกหรือ? เขาแอบคิดเงียบๆ


 


 


“ในเมื่อคุณชายให้เปล่ามิได้ เอาเช่นนี้ลองบอกเงื่อนไขมาเถอะ” มั่วชิงเฉินล้อเล่นว่า กลับเพราะเสียงที่อ่อนโยนจึงไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดใจเกินไป


 


 


คุณชายหกกระแอมอย่างกระอักกระอ่วนเสียงหนึ่ง ในที่สุดก็ทำสีหน้าจริงจังว่า “แม่นางช่างเป็นคนตรงไปตรงมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็หน้าหนาขอพูดถึงเสียหน่อยแล้ว”


 


 


ที่แท้ถุงหอมที่ผลิตเป็นพิเศษชนิดนั้น ตระกูลหวังมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานขึ้นไปถึงได้รับแจกปีละหนึ่งใบ ปล่อยให้พวกเขาจัดสรรเองตามสบาย


 


 


เพราะว่าถุงหอมนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการข้ามน่านน้ำแห่งนั้น ย่อมเป็นของมีค่าหายากควรแก่การเก็บไว้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตระกูลหวังจึงใช้สิ่งนี้แลกประโยชน์มามากมาย


 


 


ฟังคุณชายหกพูดจบ มั่วชิงเฉินหลุบตาคิดๆ ดู จากนั้นถามว่า “เช่นนั้นไม่ทราบคุณชายหกคิดจะแลกสิ่งใดจากข้าล่ะ หากของที่อยากได้ล้ำค่าเกินไป เกรงว่าข้าคงได้แต่หาผู้อื่นช่วยเหลือแล้ว”


 


 


มองท่าทางระแวงของมั่วชิงเฉิน คุณชายหกยิ้มว่า “ไม่ปิดบังแม่นาง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตระกูลหวังทั้งหมดหลายสิบคน เท่าที่ข้ารู้ถุงหอมของคนส่วนใหญ่ได้มอบออกไปแล้ว กลับเป็นข้าน้อยเพราะหาบุคคลที่เหมาะสมไม่ได้เสียที จึงยังอยู่ในมือตลอดมา”


 


 


“บังเอิญเพียงนี้เชียว?” มั่วชิงเฉินถามว่า ในใจกลับครุ่นคิดอยู่ ตระกูลหวังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหลายสิบคน หากอนุมานจากเหตุการณ์ปกติ อย่างมากก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหนึ่งถึงสองท่านเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นี่จึงนับเป็นตระกูลบำเพ็ญเพียรระดับกลางตระกูลหนึ่ง


 


 


คุณชายหกยิ้มว่า “ไม่ใช่บังเอิญแต่อย่างใด เพียงแต่เพราะในตระกูลอีกไม่กี่วันจะมีเหตุการณ์สำคัญ ดังนั้นถุงหอมในมือเก็บไว้ไม่อยู่แล้ว เรื่องที่ข้าน้อยคิดจะบอกแม่นาง ก็มีความเกี่ยวข้องบ้างกับเหตุการณ์นั้นในตระกูล”


 


 


เสียงมั่วชิงเฉินเรียบลงมา “ข้าคนนอกคนหนึ่ง เกรงว่าไม่มีคุณสมบัติมีส่วนร่วมในเรื่องของตระกูลท่าน”


 


 


นางออกจากสำนักฝึกตนครั้งนี้แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะสานสัมพันธ์กับบุคคลร่วมทางบ้าง เพื่อสะดวกในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เคล็ดลับเพิ่มพูนความรู้ แต่กลับไม่อยากเข้ามาพัวพันในเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้


 


 


“แม่นางอย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ ฟังข้าพูดให้จบก่อนก็ไม่สาย” คุณชายหกเห็นมั่วชิงเฉินท่าทีแน่วแน่ รีบอธิบายว่า “ในตระกูลเรามีโอสถลับสืบทอดกันมาชนิดหนึ่ง สามารถเพิ่มเป็นไปได้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในการทะลวงเขตแดนเล็ก


 


 


คุณชายหกพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง มองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วตกใจตามคาดจริงๆ “ไม่นึกว่าจะมีโอสถวิเศษเช่นนี้?” ในใจกลับคิดว่า คุณชายหกผู้นี้เหตุใดจึงบอกข่าวลับเช่นนี้กับตนโดยไม่หลบเลี่ยง?


 


 


คุณชายหกดูเหมือนไม่แปลกใจปฏิกิริยาของมั่วชิงเฉิน เอ่ยต่อว่า “แม่นางอาจแปลกใจว่าเหตุใดข้าจึงบอกเรื่องเช่นนี้ต่อผู้อื่นตามอำเภอใจ ที่จริงพูดออกมาก็ไม่แปลก วัตถุดิบหลักและกระสายยาที่ใช้ในการหลอมโอสถชนิดนี้ ล้วนเป็นของที่มีเฉพาะในทะเลขนาบใจของเรา”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า พูดเช่นนี้กลับฟังขึ้นแล้ว นี่เป็นเพียงโอสถที่มีฤทธิ์ต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเท่านั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงพวกนั้นอยากให้รุ่นหลังกินโอสถชนิดนี้ละก็ ยังไม่สู้ใช้ของสิ่งอื่นแลกเปลี่ยนโดยตรง เพราะอย่างไรเสียตระกูลหวังก็ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยเป็นพันปี ขัดแย้งกับพวกเขาเพื่อโอสถนั่น รังแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินไม่สงสัยแล้ว คุณชายหกเอ่ยต่อว่า “แม้จะพูดว่าโอสถนี้เป็นโอสถลับเฉพาะของตระกูลหวังข้า ทว่าอย่างไรเสียวัตถุดิบก็หายาก การหลอมไม่ง่าย ใช้เวลาประมาณสิบปีจึงสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ครบเปิดเตาหลอมโอสถ ยามที่ดีที่สุดก็เพียงได้โอสถมาสิบกว่าเม็ดเมื่อเปิดเตาเท่านั้น ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังต้องเอาออกมาครึ่งหนึ่งแลกเปลี่ยนวัตถุในการบำเพ็ญเพียรที่ไม่มีที่นี่กับขุมอำนาจอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เห็นชัดว่าไม่พอให้พวกเราแบ่งกัน ดังนั้นในตระกูลจึงตั้งกฎระเบียบไว้ข้อหนึ่ง ทุกครั้งที่รวบรวมวัตถุดิบได้ครบ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็จะต้องไปค้นหากระสายยา จากนั้นค่อยดูจากปริมาณกระสายยามาตัดสินที่ไปของโอสถ”


 


 


“กระสายยา?” มั่วชิงเฉินแม้ถูกจำกัดด้วยตบะทำให้หลอมโอสถชั้นสูงได้ค่อนข้างยาก ทว่าโอสถธรรมดาพวกนั้น เหล่านักหลอมโอสถชื่อดังเกรงว่ายังหลอมสู้นางไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียชื่อเสียงอันเลื่องลือของเพลิงแก้วใจกระจ่างนั้นไม่ใช่การคุยโวส่งเดช นางรู้ว่าโอสถที่ต้องการกระสายยาปกติล้วนมีฤทธิ์อัศจรรย์บางอย่าง จึงยิ่งเกิดสนใจในโอสถที่คุณชายหกกล่าวมาทันที


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินแววตาเป็นประกาย คุณชายหกหัวเราะคิกคักว่า “อืม โอสถนั้นหากขาดกระสายยาไป ไม่ว่าเช่นไรก็หลอมไม่สำเร็จ ดังนั้นที่พูดว่าตามหากระสายยาไม่เพียงแต่เพื่อตัดสินที่ไปของโอสถ ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ทำไม่ได้ เพียงแต่คิดจะได้กระสายยานี้ กลับยากเย็นแสนเข็ญนัก ดังนั้นข้าน้อยอยากหาแม่นางช่วยเหลือ”


 


 


“คุณชายหก เจ้าลองพูดให้ชัดเจนอีกสักหน่อย” มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า


 


 


“ลึกลงไปในน่านน้ำทางเหนือของทะเลขนาบใจ มีอสูรปีศาจอยู่ชนิดหนึ่ง ครึ่งตัวบนเป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่ง ครึ่งตัวล่างกลับเป็นหางปลา น้ำตาที่ไหลออกจากอสูรปีศาจนี้เมื่อต้องลมจะตกผลึกเป็นมุกใส มุกชนิดนี้ ก็คือกระสายยาที่โอสถนั้นต้องการแล้ว” คุณชายหกกล่าวเนิบนาบ


 


 


มั่วชิงเฉินตะลึง หลุดปากออกมาว่า “นางเงือกหรือ?”


 


 


คุณชายหกชะงักงัน จากนั้นหัวเราะหึๆ ขึ้นมาว่า “แม่นางช่างบรรยายได้ดีจริงๆ คนที่นี่เราต่างเรียกอสูรปีศาจนั่นว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ กลับไม่ได้นึกถึงชื่อที่สุนทรีย์เช่นนี้”


 


 


มั่วชิงเฉินเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย มนุษย์มัจฉาที่งดงามไม่มีสิ่งใดเทียบได้ น้ำตาที่ไหลออกมากลายเป็นมุกเมื่อต้องลม หากสามารถเปิดหูเปิดตาสักครา ก็คุ้มค่ากับการเดินทางครั้งนี้แล้ว


 


 


ทว่าเมื่อนึกถึงน้ำตาของมนุษย์มัจฉาเกรงว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน จึงถามทันทีว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายหก เหตุใดจึงเลือกข้าล่ะ?”


 


 


คุณชายหกนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงเงยหน้าเอ่ยว่า “เสียงเพลงของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั่นเพราะดั่งเสียงสวรรค์ กลับสามารถทำให้คนที่ได้ยินเคลิบเคลิ้มหลงใหล เดินเข้าสู่หลุมพรางแห่งความตายอย่างไม่รู้ตัว ตระกูลหวังเราหรือกระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรทั่วทะเลขนาบใจ ต้องทิ้งชีวิตเพื่อการนี้ไม่รู้ตั้งเท่าไร เราสังเกตสืบข่าวมาหลายปี พบว่าหากเป็นหญิงสาวละก็ แรงต้านทานต่อเสียงเพลงเกี่ยววิญญาณนั่นต้องแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรชายมาก”


 


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นคุณชายหกเหตุใดไม่เชื้อเชิญพี่สาวน้องสาวในตระกูลเดียวกันล่ะ?” มั่วชิงเฉินถามต่อ


 


 


เห็นถึงความรอบคอบของมั่วชิงเฉิน คุณชายหกไม่โมโหกลับดีใจ มองดูนางแล้วเอ่ยอย่างจำใจว่า “หรือว่าแม่นางไม่เคยได้ยิน ว่าทั้งตระกูลหวังเราไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานหรือ?”


 


 


“อ้อ ในหลายสิบคนไม่นึกเลยว่าจะไม่มีสักคนเลยหรือ?” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างประหลาดใจ


 


 


คุณชายหกถอนใจว่า “เห็นท่าแม่นางเพิ่งมาทะเลขนาบใจได้ไม่นาน หากเจ้าอยู่ที่นี่นานแล้วก็จะรู้เอง ทางเรานี่หญิงสาวที่มีรากวิญญาณมีน้อยนัก สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมลมปราณระยะปลายก็แทบนับได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับสร้างรากฐานแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา


 


 


“แม่นางหัวเราะอันใด?” คุณชายหกเลิกคิ้วถาม


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “ได้ยินคำพูดของคุณชายหกแล้ว จู่ๆ ในใจข้าก็ได้รับการปลอบประโลมขึ้นมากมาย เดิมทีข้านึกว่านิสัยและโชคของตนแย่เกินไป นี่ถึงเพิ่งมาถึงก็ดึงความยุ่งยากมาใส่ตัว ที่แท้กลับเพราะสาเหตุนี้นี่เอง”


 


 


นางคิดเองเออเองว่าปลอมให้อยู่ระดับหลอมลมปราณระยะปลายก็เจียมเนื้อเจียมตัวพอแล้ว ใครจะรู้ว่าคนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต สถานที่แห่งนี้ไม่คิดว่าแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับหลอมลมปราณระยะปลายก็ยังแทบนับได้หมด


 


 


เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มละไม คุณชายหกถามว่า “เป็นเช่นไรบ้าง แม่นางจะยอมลองพิจารณาดูหรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากว่า “ข้าจะรู้ว่าได้เช่นไรว่าที่เจ้าพูดจริงหรือเท็จล่ะ?”


 


 


หากว่าเขาเพียงแต่หลอกนางเพื่อไปหากระสายยาด้วยกันถึงได้พูดเช่นนี้ล่ะ ไม่แน่ว่านางหาคนอื่น เพียงแค่เสียหินวิญญาณก็สามารถซื้อถุงหอมได้แล้ว ไปหากระสายยา กลับต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต


 


 


คุณชายหกชะงักทีหนึ่ง แล้วยิ้มระทมว่า “แม่นางช่างรอบคอบจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางไม่ลองไปถามดูสักหน่อย รอคิดดีแล้วค่อยตอบข้า เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร?”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว ทว่าสองคนนี้…” มั่วชิงเฉินพูดพลางกวาดสายตามองหวังเสี่ยวลิ่วและหนวดเฟิ้มปราดหนึ่ง


 


 


คุณชายหกแม้มองก็ไม่มองทั้งสองคนสักปราดว่า “แม่นางวางใจได้ ข้าน้อยย่อมไม่ปล่อยให้พวกเขาไปสร้างปัญหาให้แม่นางอีก”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า คำนับด้วยมารยาทของรุ่นเดียวกันแล้วหันหลังจากไป


 


 


มองดูทิศทางที่มั่วชิงเฉินจากไป คุณชายหกนิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นหยิบขวดหยกใบเล็กใบหนึ่งโยนไปหน้าหวังเสี่ยวลิ่วว่า “กินมันซะ!”


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วตกใจจนหน้าถอดสีทันที ร่างกายสั่นเป็นเจ้าเข้าว่า “คุณ…คุณชายหกไว้…ไว้ชีวิตต่ำต้อยของข้าน้อยได้เถอะ…”


 


 


จู่ๆ ก็ได้กลิ่นเหม็นสาบสายหนึ่ง ที่ที่หวังเสี่ยวลิ่วนั่งอยู่เปียกเป็นปื้น


 


 


คุณชายหกมองอย่างรังเกียจปราดหนึ่งว่า “ข้าไม่ใช่คนชอบการเข่นฆ่า โอสถที่อยู่ในนี้สามารถทำให้เจ้าลืมเรื่องที่เกิดขึ้นภายในสิบวันได้ แน่นอนหากเจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่บังคับ”


 


 


“ข้ากิน ข้ากิน!” หวังเสี่ยวลิ่วโขกศีรษะเหมือนได้รับการปลดแอก เทโอสถออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนลงไป กินเสร็จก็นอนล้ม ‘ตึง’ ลงไปกับพื้น


 


 


คุณชายหกเห็นดังนั้นจึงตบมือ พูดกับบ่าวรับใช้สองคนที่ออกมาว่า “เอาเขาไปทิ้งที่ท่าเรือ”


 


 


จากนั้นก็ป้อนโอสถเม็ดหนึ่งให้หวังเฉาที่หมดสติอยู่อีก ครึ่งชั่วยามให้หลังหวังเฉาค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เห็นคุณชายหกที่ยืนมือไพล่หลังแล้วชะงักงัน คำนับว่า “คุณชายหก ข้า เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”


 


 


คุณชายหกที่ยืนตัวตรงสง่าดุจต้นสนหันหน้ามา เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เจ้าไม่ต้องคิดมากปานนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด มีเรื่องบางอย่างต้องการให้เจ้าช่วยสักหน่อย หากทำได้ดี รอข้าได้โอสถวิญญาณแล้ว ย่อมไม่ทำให้เจ้าต้องน้อยหน้า ส่วนเรื่องนอกลู่นอกทางพวกนั้น จงเลิกทำเสียจะดีกว่า”


 


 


หวังเฉาชะงักอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคุณชายหกเดินออกไปหน้าประตูถึงคารวะขอบคุณว่า “ขอบคุณคุณชายหก ขอบคุณคุณชายหก”


 


 


มั่วชิงเฉินมีเรื่องให้คิดในใจ จึงไม่มีกะจิตกะใจเดินเล่นอีก รีบกลับไปบ้านสองสามีภรรยาแซ่หยางโดยไว


 


 


“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านน้ากลับมาแล้ว” เสี่ยวไห่ที่อยู่ในลานบ้านเห็นมั่วชิงเฉิน หันหน้าตะโกนบอกเสียงใส


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้มลูบศีรษะของเสี่ยวไห่ แล้วหยิบของเล่นที่ซื้อที่ถนนออกมาอันหนึ่งว่า “เสี่ยวไห่เก่ง เอาไปเล่นเถอะ”


 


 


“น้องมั่ว เหตุใดจึงให้เจ้าสิ้นเปลืองอีกแล้ว” นางหยางตู้ที่เดินออกมาเห็นดังนั้นก็ต่อว่าว่า


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “พี่สาวเกรงใจไปแล้ว ใช่แล้ว พี่หยางอยู่บ้านหรือไม่?”


 


 


นางหยางตู้พยักหน้าว่า “เขาบาดเจ็บที่ขา บัดนี้ก็อากาศหนาวเย็นอีก ข้าจึงกักเขาไว้ไม่ให้ออกไป มีอันใดหรือ น้องสาวหาเขามีธุระหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วว่า “ข้ามีอยู่ธุระอยู่สองสามเรื่อง อยากรบกวนพี่หยางไปถามดูสักหน่อย ทว่าเกรงว่าเป็นเรื่องค่อนข้างลำบากใจ หากไม่มีหนทาง ก็อย่าฝืนเด็ดขาด”


 


 


นางหยางตู้รีบว่า “น้องสาวพูดอะไรกัน ชีวิตของสามีเจ้าเป็นคนช่วยไว้ ต่อให้ขึ้นเขาลงห้วย เขาก็ไม่ขมวดคิ้วสักที เจ้าตามข้ามา มีเรื่องอันใดลองพูดกับเขาดูก่อน”


 


 


นางหนางตู้พามั่วชิงเฉินไปห้องของหยางปี้อู่ ส่วนตนเองถอยออกไป


 


 


มั่วชิงเฉินจึงเล่าเรื่องที่ต้องการถามให้ฟังรอบหนึ่ง ว่า “เรื่องนี้เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปจะไม่รู้ หากพี่หยางรู้จักคนที่รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็ช่วยถามดู หากไม่รู้จัก ก็ช่างเถอะ”


 


 


หยางปี้อู่ฟังแล้วหัวเราะว่า “แม่นางมั่ววางใจได้ พอดีข้ามีเพื่อนเป็นบ่าวรับใช้อยู่ตระกูลหวัง เรื่องนี้ก็ไม่นับเป็นความลับ ข้าไปหาเขาลองถามดูทีหนึ่ง” 

 

 


ตอนที่ 157 อีกาที่สร่างเมา

 

มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว เอ่ยว่า “พี่หยาง หากข้าดูไม่ผิด เจ้าหยุดอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสี่หลายปีแล้วกระมัง?”


 


 


หยางปี้อู่ถอนหายใจว่า “ถูกต้อง การบำเพ็ญเพียรไม่ง่ายเลย”


 


 


นึกถึงเขาทุ่มเทด้วยชีวิตทุกครั้ง ความมุ่งมั่น ร่างกายไม่มีสักอย่างที่ไม่ขัดเกลาจนแข็งดังเหล็กกล้า เฉพาะเจาะจงขาดการหนุนจากโอสถ จึงไม่อาจทะลวงด่านนี้ได้เสียที


 


 


มั่วชิงเฉินย่อมดูออกว่าหยางปี้อู่รากฐานมั่งคง สิ่งที่ขาดก็คือแรงผลักดันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงยื่นขวดหยกให้ใบหนึ่งทันที “ในนี้มีโอสถอยู่เม็ดหนึ่ง พี่หยางลองดู จะได้อาศัยเวลากักตนรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาพอดี รอร่างกายฟื้นฟูแล้วค่อยไปเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สาย”


 


 


“นี่จะได้อย่างไร เดิมทีข้าก็ได้รับบุญคุณใหญ่หลวงจากแม่นางไม่อาจตอบแทนได้แล้ว ยังยื่นมือรับของของแม่นางอีก เช่นนั้นต้องกลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว…” หยางปี้อู่รีบร้อนปฏิเสธว่า


 


 


มั่วชิงเฉินยัดขวดหยกเข้าในมือเขาว่า “พี่หยางพูดเช่นนี้ผิดแล้ว เจ้าสภาพร่างกายดีแล้ว จึงจะช่วยข้าทำงานได้ดียิ่งขึ้นมิใช่หรือ”


 


 


พูดจบก็ไม่รอเขาตอบกลับ หันหลังออกไปแล้ว


 


 


หยางปี้อู่ในมือกำขวดหยกวิจิตรประณีตเหมือนหยกหยางจื่อ นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดยังคงทนแรงดึงดูดของการทะลวงตบะไม่ได้ เทโอสถลงบนมืออย่างระมัดระวัง


 


 


โอสถสีมรกตขนาดเท่าลำไย โปร่งแสงกระจ่างใส โชยกลิ่นหอมเย็นออกมาเป็นระลอกๆ


 


 


นี่…นี่ไม่ใช่ยาลูกกลอนรวมวิญญาณ?


 


 


หยางปี้อู่เพ่งพิจารณาอย่างละเอียด กลับดูไม่ออกว่าเป็นโอสถอันใด เพียงแต่กลิ่นหอมเย็นที่ซึมเข้าไปในหัวใจทำให้เขาไม่สงสัยแม้แต่น้อย นี่ต้องเป็นโอสถที่ดีกว่ายาลูกกลอนรวมวิญญาณอย่างมากมายแน่นอน


 


 


โอสถที่มั่วชิงเฉินมอบให้ ก็คือโอสถหน่อหยก เพียงแต่โอสถหน่อยกนี้แม้เป็นโอสถวิญญาณที่ระดับหลอมลมปราณสามารถกินได้ กลับเพราะหายากจึงไม่เป็นที่รู้จักของผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรในทะเลขนาบใจที่เดิมทีก็ขาดแคลนโอสถเป็นทุนอยู่แล้ว


 


 


สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่แทบจะไม่มีโอกาสได้กินโอสถ แรงดึงดูดของโอสถไม่ต้องสงสัยว่าต้องมากมายมหาศาล หยางปี้อู่ทนแล้วทนอีก สุดท้ายตัดสินใจ กลืนโอสถหน่อหยกลงไป


 


 


ปราณวิญญาณมหาศาลระเบิดออกจากตันเถียนทันที หยางปี้อู่สีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน แย่แล้ว ปราณวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ชีพจรของเขาในตอนนี้จะรับไหวเลย!


 


 


ทว่าจากนั้นเขากลับพบอย่างประหลาดใจว่า ปราณวิญญาณมหาศาลสายนั้นยามที่พุ่งสู่ชีพจรพิเศษทั้งแปด ทันใดนั้นเกิดความเย็นเป็นสาย ความเย็นเหล่านี้เองที่ทำให้ปราณวิญญาณอ่อนโยนลงมาทันที ชีพจรที่บอบบางประหนึ่งมีเกราะกำบังเพิ่มขึ้นมาชั้นหนึ่ง รองรับการทะลวงของปราณวิญญาณได้อย่างตามใจนึก


 


 


ได้ยินเพียงเสียงเปรี๊ยะเสียงหนึ่ง ในร่างกายราวกับมีสิ่งใดถูกชนแตก เขาเข้าสู่ระดับหลอมลมปราณขั้นห้าในครั้งเดียวแล้ว


 


 


ยังไม่รอความปีติยินดีบนใบหน้าเขาหายไป ก็รู้สึกว่าปราณวิญญาณสายนั้นไม่คิดเลยว่าจะไม่อ่อนแรงลง ยังคงทะลวงอยู่ในร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


ระดับหลอมลมปราณขั้นห้าระยะต้น ระยะกลาง ระยะปลาย ขั้นสมบูรณ์ ไม่นึกเลยว่าไปจนถึงระดับหลอมลมปราณขั้นหกระยะกลาง ปราณวิญญาณที่กระจายออกจากโอสถในที่สุดถึงสลายไปท่ามกลางชีพจรอย่างช้าๆ


 


 


หยางปี้อู่รู้สึกว่าตนเองเหมือนฝันอยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น เขาหยิกตนเองอย่างแรงทีหนึ่ง ความเจ็บปวดที่ส่งมากลับทำให้เขายิ้มออก เดินไปหน้าประตูผลักประตูใหญ่ออกอย่างตื่นเต้น


 


 


“พี่อู่ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ท่านอยู่ในห้องตั้งสามวันแล้ว ว้าย ท่าน…ตบะของท่าน!” นางหยางตู้ปิดปากอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ ยิ้มกริ่มมองดูสองสามีภรรยาแซ่หยาง นางคาดไว้แล้วว่าโอสถหน่อหยกเม็ดนั้นต้องช่วยหยางปี้อู่ทะลวงระดับหลอมลมปราณขั้นห้าได้แน่ กลับไม่คิดว่าเขาจะเข้าสู่ระดับหลอมลมปราณขั้นหกในครั้งเดียว ดูท่าเพราะตีรากฐานไว้ได้อย่างมั่นคงมาก ถึงได้เป็นเช่นนี้ได้ ไม่เหมือนตนที่ใช้โอสถเลี้ยงจนได้มา


 


 


หยางปี้อู่ไม่ได้ตอบนางหยางตู้ หากแต่เดินไปถึงหน้ามั่วชิงเฉินโดยตรง คุกเข่า ‘ตึ้ง’ ลงมาว่า “ขอบคุณบุญคุณใหญ่หลวงของแม่นางมั่ว!”


 


 


เพียงประโยคเดียว กลับพูดอย่างอื่นไม่ออกอีก ได้เพียงโขกศีรษะดังปึงๆ


 


 


มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งพยุงหยางปี้อู่ให้ยืนขึ้นมา ยิ้มว่า “พี่หยางกล่าวหนักไปแล้ว ระหว่างเราผู้บำเพ็ญเพียร ไม่จำเป็นต้องคารวะใหญ่โตเพียงนี้ อีกอย่างข้ายังมีเรื่องต้องไหว้วานเจ้านะ”


 


 


ในใจกลับแอบคิดว่า คนที่ทะเลขนาบใจนี่ดูเหมือนจะต่างจากที่ดินแดนเทียนหยวนเล็กน้อย ดูเหมือนกลิ่นอายของโลกฆราวาสจะมากกว่าสักหน่อย ก็เหมือน…ก็เหมือนตระกูลมั่วที่นางอยู่เมื่อเยาว์วัย หรือว่าอาจมีสาเหตุจากการที่มีตระกูลบำเพ็ญเพียรคอยกุมอำนาจกระมัง


 


 


หยางปี้อู่ได้รับบุญคุณจากมั่วชิงเฉิน เวลาแม้ชั่วครู่ก็ไม่ล่าช้า เก็บสัมภาระครู่หนึ่งคำนับแล้วก็ไปท่าเรือเกาะสดับมุกนั่งเรือ มุ่งหน้าสู่เกาะใจศักดิ์สิทธิ์


 


 


ตั้งแต่มั่วชิงเฉินรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสูงในทะเลขนาบใจเป็นที่สะดุดตา ก็ไม่ออกข้างนอกอีก จะได้ไม่ต้องก่อให้เกิดความยุ่งยากทั้งที่อยู่เฉยๆ จึงบำเพ็ญเพียรอย่างสบายใจในบ้านของสองสามีภรรยาแซ่หยาง รอเพียงหยางปี้อู่กลับมาค่อยตัดสินใจ


 


 


ทว่าเมื่อถึงวันที่สาม ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู มีเสียงดังมาว่า “ไม่ทราบที่นี่คือบ้านหยางปี้อู่ใช่หรือไม่?”


 


 


นางหยางตู้ชะงักงัน แล้วสั่งให้เสี่ยวไห่ไปเล่นห้องข้างๆ ส่วนตนเดินเข้าไปว่า “ใครน่ะ ผู้ปกครองบ้านนี้ออกไปข้างนอกแล้ว” แต่ไม่ได้เปิดประตู


 


 


แล้วก็ได้ยินเสียงนั้นเอ่ยอีกว่า “คงจะเป็นซ้อหยางสินะ ขอบังอาจถามว่าที่เจ้านี่มีแม่นางคนหนึ่งอาศัยอยู่นี่ใช่หรือไม่?”


 


 


นางตู้หยางระแวงขึ้นมา “ไม่มี ไม่มี พวกเจ้าหาผิดคนแล้ว!”


 


 


“ซ้อหยาง รบกวนเจ้าเปิดประตูหน่อย คุณชายพวกเรารู้จักกับแม่นางคนนั้น”


 


 


“ที่ข้านี่ไม่มีคนที่พวกเจ้าจะหาจริงๆ พวกเจ้ากลับไปเถอะ” นางหยางตู้พูดพลางหันหลังเดินกลับ


 


 


กลับได้ยินเสียงของมั่วชิงเฉินลอยมาว่า “พี่สาว ท่านให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”


 


 


นางหยางตู้ถึงเปิดประตูลานบ้านออก เห็นคนสองคนยืนอยู่ข้างนอก คนหนึ่งในนั้นใส่ชุดสีเขียวอ่อน ขับจนบุคลิกโดดเด่น สง่าไม่ธรรมดา อีกคนหนึ่งกลับแต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้


 


 


คนที่แต่งตัวเป็นบ่าวเห็นดังนั้นจึงยิ้ม ทำท่าเชิญคุณชายชุดเขียว


 


 


คุณชายชุดเขียวเอ่ยเสียงกังวานว่า “เจ้ารออยู่ในลานบ้านเถอะ” พูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้นางหยางตู้ แล้วยกเท้าเดินเข้าไป


 


 


“คุณชายหก บัดนี้เพิ่งผ่านไปสามวันเองกระมัง?” มั่วชิงเฉินถามนิ่งเรียบ คนคนนี้จะใจร้อนเกินไปสักหน่อยแล้ว


 


 


คุณชายหกเห็นสีหน้าเย็นชาของมั่วชิงเฉิน ยิ้มระทมทีหนึ่งว่า “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องพิจารณาให้รอบคอบ ที่ข้าน้อยมาวันนี้ไม่ได้มาหาแม่นางเอาคำตอบหรอก”


 


 


“เช่นนั้นเจ้า…” มั่วชิงเฉินเอียงหน้ามองเขา


 


 


ก็เห็นคุณชายหกล้วงของสิ่งหนึ่งออกมา ใช้พลังวิญญาณพยุงไว้บินไปที่มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือรับไว้ ไม่นึกเลยว่าเป็นเตาหลอมโอสถสีเขียวไข่เป็ดเล็กกะทัดรัด ดูลักษณะ ต้องดีกว่าเตาที่หาได้ทั่วไปของนางเมื่อก่อนไม่น้อย


 


 


คุณชายหกเห็นมั่วชิงเฉินชะงักงั้น จึงยิ้มเบาๆ ว่า “วันนั้นข้าน้อยบอกพร่องแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะลืมไปว่าเดิมทีแม่นางมาเพื่อหาสิ่งนี้ วันนี้จึงส่งมา ขอให้แม่นางให้อภัยด้วย”


 


 


มั่วชิงเฉินหวาดตาใส่รอยยิ้มที่อบอุ่นของคุณชายหกปราดหนึ่ง รู้ว่าเขาต้องเดาออกอยู่แล้วว่าตนหลอมโอสถเป็น ทว่าตนไม่กลัวสิ่งนี้ เทียบกันแล้ว การมีโอสถที่พรั่งพร้อมสำคัญกว่า โดยเฉพาะโอสถเติมวิญญาณโอสถย้อนอายุพวกนั้น ล้วนเป็นของจำเป็นในการไปผจญภัย


 


 


“เช่นนี้ ก็ขอขอบคุณคุณชายหกที่ให้ของล้ำค่า รอข้าคิดดีแล้ว จะไปหาคุณชายหกเอง” มั่วชิงเฉินทำท่าส่งแขก แล้วหันหลังจะเดินเข้าห้อง


 


 


“ช้าก่อน” คุณชายหกเรียก แอบคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงในทะเลขนาบใจแม้ล้ำค่า ทว่าด้วยตบะและฐานะของตนก็มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนับไม่ถ้วนอยากเข้าใกล้ เหตุใดมาถึงนางนี่แล้ว กลับหงุดหงิดราวกับไล่แมลงวันก็ไม่ปาน?


 


 


“คุณชายหกยังมีธุระ?” มั่วชิงเฉินถามว่า


 


 


คุณชายหกเอ่ยอย่างจำใจว่า “อย่างไรเสียข้าน้อยก็ต้องรู้ว่าควรเรียกแม่นางว่าเช่นไรกระมัง”


 


 


“ข้าแซ่มั่ว มั่วชิวเฉินพูดจบคำนับทีหนึ่งแล้วบอกลาจากไป กลับไม่ได้เห็นถึงยามที่คุณชายหกได้ยิน ‘แซ่มั่ว’ สองคำนี้สายตาเป็นประกายเล็กน้อย


 


 


วันเวลาต่อมา มั่วชิงเฉินกักตนไม่ออกมา เริ่มหลอมโอสถ เพียงแต่กังวลว่าเวลามีจำกัด จึงเลือกหลอมโอสถที่สำคัญที่สุดอย่างโอสถเติมวิญญาณโอสถย้อนอายุอย่างละไม่กี่เตา เห็นหยางปี้อู่ยังไม่กลับมา นี่ถึงหลอมโอสถพิเศษไม่กี่ชนิดอีกเตรียมไว้สำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิด


 


 


ยามที่มั่วชิงเฉินเก็บโอสถเกิดผลได้สำเร็จเตาหนึ่ง กำลังเตรียมตัวหลอมโอสถน้ำค้างอีกเตาหนึ่งนั้น ในที่สุดก็ได้ยินนางหยางตู้บอกว่าหยางปี้อู่กลับมาแล้ว


 


 


“พี่หยาง เป็นเช่นไรบ้าง?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


หยางปี้อู่สีหน้าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง กลับกระปรี้กระเปร่าดี จึงกอบหมัดต่อมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว ครั้งนี้ข้าไปเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ได้นัดสหายผู้นั้นออกมาดื่มสุราโดยอ้างว่าให้แนะนำงานให้ สหายผู้นั้นเมื่อได้แตะสุราก็พูดมากขึ้นมา ข้าจึงฉวยโอกาสถามเรื่องพวกนั้น”


 


 


ฟังหยางปี้อู่พูดจบ มั่วชิงเฉินพยักหน้า ข่าวคราวที่หยางปี้อู่ถามมาและสิ่งที่คุณชายหกพูดส่วนใหญ่ตรงกัน เช่นนี้ดูแล้วเขาก็ไม่ได้หลอกตน


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ตกลงตนจะไปหรือไม่ไปนะ?


 


 


มั่วชิงเฉินเดินออกจากประตูห้องแล้วเดินไปเดินมา กะจะคิดดูดีๆ สักหน่อย ทันใดนั้นสัมผัสความเคลื่อนไหวที่มาจากถุงอสูรวิญญาณที่สงบเงียบมาตลอดได้ นางเพ่งจิต เจ้าตัวดำปิ๊ดปี๋ตัวหนึ่งก็บินออกมาก


 


 


ที่บินออกมาก็คืออสูรวิญญาณของนางอีกาไฟ เพียงแต่ยามนี้มันดูแล้วตัวใหญ่กว่าแต่ก่อนรอบหนึ่ง หางยาวขึ้นหน่อย ทั้งตัวดำจนเงา เมื่อแสงอาทิตย์สาดอยู่บนตัวไม่คิดเลยว่าจะให้ความรู้สึกของแสงสีเรืองรอง


 


 


มั่วชิงเฉินอึ้งซะแล้ว ตั้งแต่มีอยู่วันหนึ่งก่อนลงเขาอีกาไฟนี่ดื่มจนเมาเคลิ้ม แล้วคาบยาลูกกลอนไขกระดูกเขียวที่นางหลอมออกมาใหม่กินเข้าไปอีก จากนั้นเจ้านี่ก็หลับไม่ตื่นแล้ว


 


 


นางนึกว่ามันดื่มจนเมาแล้ว ยังอุตส่าห์ทำน้ำแกงสร่างเมากรอกลงไป ถูกกู้หลีพบเข้า เขาที่ปกติสงบเป็นนิจกลับเผยให้เห็นสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ฝืนกลั้นหัวเราะไว้แล้วบอกนางว่า อีกาไฟจะเลื่อนชั้นแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินจับอีกาไฟยัดเข้าถุงอสูรวิญญาณทันทีโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ผ่านไปไม่นานก็ถูกอาจารย์ไล่ลงเขาไปฝึกตนแล้ว เริ่มแรกนานๆ ครั้งยังคิดว่าเจ้าตะกละนั่นจะตื่นมาเมื่อใดกันแน่ ทว่าถุงอสูรวิญญาณไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่ปีกว่า จนลืมเรื่องนี้อย่างช้าๆ แล้ว


 


 


“แว้ดๆ เห็นแม่นางข้าเปลี่ยนขนอันงดงามแล้ว เจ้าดูจนตะลึงเลยใช่หรือไม่?” อีกาไฟร้องแว้ดๆ ว่า


 


 


มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุกทีหนึ่ง “ไม่พบกันหลายปี เจ้ายังคงพูดจาน่ารังเกียจเช่นนี้… เอ๊ะ เจ้า เจ้าพูดได้แล้วหรือนี่!”


 


 


อีกาไฟรีบยกหางขึ้นแล้วเดินสองก้าวว่า “พูดได้มันเรื่องเล็กมิใช่หรือ!” พูดจบก็หมุนหัวนกมองดูรอบๆ ทีหนึ่ง แล้วจื้ดๆ สองทีว่า “ไม่ใช่ข้าว่าเจ้านะ เหตุใดทุกครั้งที่เข้าตื่นมา สถานที่ที่เจ้าอยู่ถึงแย่ลงๆทุกครั้งนะ?”


 


 


พูดจบก็กวาดสายตาใส่สองสามีภรรยาแซ่หยางที่ชะงักงันปราดหนึ่ง หัวเราะฟู่ว่า “คนก็ใช่ อัปลักษณ์ขึ้นทุกครั้ง!”


 


 


มั่วชิงเฉินกระอักกระอ่วนอย่างมากทันที ยิ้มให้สองสามีภรรยาแซ่หยางอย่างรู้สึกผิด จากนั้นเบิ่งตาใส่อีกาไฟปราดหนึ่งว่า “หุบปาก เจ้าตามข้ามา!”


 


 


หนึ่งคนหนึ่งนกเข้าไปในห้อง มั่วชิงเฉินนี่ถึงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “นี่เจ้าถึงชั้นสองแล้ว?”


 


 


“ไร้สาระ เจ้าดูไม่ออกหรือ?” อีกาไฟทำตาเหลือกตาขาวโผล่มาครึ่งหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินพบว่าตาขาวของมันดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว ดูแล้วทั้งต่ำทรามทั้งน่าโมโห กดความบุ่มบ่ามที่จะหวดมันให้กระเด็นไปว่า “เช่นนั้นเจ้าเพิ่มพลังอันใดมาใหม่?”


 


 


อีกาไฟสีหน้าไม่อยากเชื่อว่า “ไม่เจอกันไม่กี่ปี เหตุใดเจ้ายิ่งโง่ขึ้นแล้ว พูดภาษาคนได้ก็คือพลังใหม่ของข้ามิใช่หรือ?”


 


 


เห็นสายตาของมันเหมือนมองคนโง่อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเวทนาสายหนึ่ง มั่วชิงเฉินกัดฟัน หน้าบึ้งตึงว่า “นอกจากพูด!”


 


 


ในใจแอบพูดว่า หากเพียงแค่พูดได้ ข้าขอให้เจ้ากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้หรือไม่?


 


 


กลับได้ยินอีกาไฟพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “นอกจากพูดเจ้ายังอยากได้อะไรอีก เจ้าจะละโมบเกินไปหน่อยหรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉิน… 

 

 


ตอนที่ 158 บ้านหยางอันครึกครื้น

 

ตั้งแต่อีกาไฟที่ตื่นจากการหลับใหลมาสี่ปี่กว่า ราวกับจะชดเชยช่วงระยะเวลาที่ไม่ได้พูด ทั้งวันเอาแต่จ้อกแจ้กจอแจหนวกหูจนมั่วชิงเฉินไม่ได้สงบสุข ย่อมไม่อาจสงบใจลงมาบำเพ็ญเพียรได้


 


 


อีกอย่างเนื่องจากนางกินมุกปีศาจของอสูรปีศาจชั้นห้า ตบะเพิ่มพูนเร็วเกินไป จึงไม่เหมาะจะบำเพ็ญเพียรต่อ จึงได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ในเกาะสดับมุกทั้งวัน


 


 


เพียงแต่นางพบว่า แม้เกาะสดับมุกค่อนข้างใหญ่ ผู้บำเพ็ญเพียรก็มีจำนวนมาก ทว่าร้านรวงที่เป็นเรื่องเป็นราวล้วนถูกกุมโดยตระกูลหวังแห่งเกาะใจศักดิ์สิทธิ์หมด ส่วนในตลาดแม้มีแผงลอยมากมายขายของลักษณะจำเพาะของท้องที่บ้าง กลับไม่มีอะไรที่นางใช้ได้จริงๆ สักเท่าไร คิดแล้วก็ไม่แปลก ผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่ส่วนใหญ่อยู่ระดับหลอมลมปราณ ของที่พวกเขาใช้ได้ย่อมไม่ใช่ของชั้นสูงเกินไป


 


 


คุณชายหกวันนั้นมอบเตาหลอมโอสถแล้ว นอกจากเว้นสักไม่กี่วันก็ส่งยันต์ส่งสารไต่ถามทุกข์สุขทีหนึ่ง ก็ไม่ได้คาดค้านนางว่าครุ่นคิดเป็นเช่นไรบ้างแล้ว กลับรู้จักวางตัวอยู่บ้าง


 


 


มั่วชิงเฉินแม้ไม่ได้ตอบอย่างแน่ชัดเสียที ในใจกลับเกิดสนใจขึ้นมาบ้าง สาเหตุไม่ใช่อื่นใด ในเมื่อนางมาถึงที่นี่แล้ว จะให้เดินเตร็ดเตร่ไร้จุดหมายทุกวันจริงๆ คงไม่ได้


 


 


ล่าฆ่าอสูรปีศาจในทะเลหรือเด็ดรวบรวมดอกหญ้าประหลาดในทะเล วิถีทำมาหากินของผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่เหล่านี้ ลองด้วยตนเองสักครา ก็เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มพลังความสามารถในการสู้ศึกจริงและการบำเพ็ญเพียรของสภาพจิตใจ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแยกจากหินวิญญาณและโอสถไม่ได้ ทว่ากลับกัน ต่อให้เจ้ามีหินวิญญาณและโอสถนับไม่ถ้วน แต่ขาดการสู้ศึกจริงและการเปิดหูเปิดตาละก็ยังคงไปไหนมาไหนลำบาก


 


 


เพียงแต่ เรื่องที่คุณชายหกเสนอจนแล้วจนรอดก็อันตรายไปสักหน่อย หากรับปากจริงละก็ ยังต้องไต่ถามอย่างละเอียดอีก


 


 


มั่วชิงเฉินมีความคิดในใจแล้ว จึงมุ่งไปบ้านหยาง เตรียมตัววันถัดจะไปพบหน้าปรึกษากับคุณชายหกสักครา


 


 


ยามที่เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่บ้านหยาง นางกวาดจิตตระหนักด้วยความเคยชิน แล้วฝีเท้าก็หยุดอยู่ตรงนั้นแล้ว


 


 


หยางปี้อู่เพราะว่าถึงระดับหลอมลมปราณขั้นหกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้นางหยางตู้ลงทะเลไปด้วยกัน วันก่อนออกทะเลไปเองแล้ว กะจะเก็บมุกจื่อหวาสงบจิตสักหน่อย แล้วก็พาภรรยาบุตรชายย้ายไปเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นบ่าวรับใช้ให้ตระกูลหวัง


 


 


เสี่ยวไห่ก็ไม่อยู่ในบ้าน เจ้าเด็กอายุน้อยคนนี้กำลังเป็นวัยที่รักการเล่นสนุก ไม่ถึงเวลาอาหารจะไม่ได้เห็นเขาหรอก


 


 


ในห้องนางหยางตู้นั่งอยู่บนเตียง อีกฝั่งหนึ่งที่กั้นด้วยโต๊ะน้ำชาทำด้วยไม้ตัวเล็กมีผู้หญิงนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง


 


 


ผู้หญิงคนนั้นดูแล้วอายุสามสิบกว่า ผมหวีจนเรียบแปล้ ผมด้านข้างขมับเสียบดอกไม้ผ้าไหมสีเหลืองอ่อนพวงหนึ่ง เพียงแต่ผิวพรรณที่หยาบกร้านทำให้ความงามเจ็ดส่วนเหลือเพียงสามส่วน


 


 


“น้องรั่วหลาน หลายวันมานี้เหตุใดข้ามักเห็นมีแม่นางอายุน้อยคนหนึ่งเข้าๆ ออกๆ บ้านเจ้าล่ะ?” ในตาผู้หญิงคนนั้นฉายแววการซุบซิบนินทา


 


 


มั่วชิงเฉินนี่ถึงรู้ว่านางหยางตู้ชื่อรั่วหลาน ช่างสมชื่อจริงๆ


 


 


เห็นนางหยางตู้ได้แต่ยิ้มๆ ผู้หญิงยื่นตัวไปข้างหน้า “แม่นางนั่นตกลงเป็นใครกันแน่น่ะ?”


 


 


นางหยางตู้ยิ้มจางๆ ว่า “ลำบากให้อาซ้อเป็นห่วงแล้ว นั่นคือญาติผู้น้องข้า”


 


 


ผู้หญิงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ “อ้าว ที่แท้คือญาติผู้น้องเจ้า น้องรั่วหลาน เหตุใดข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีญาติผู้น้องที่มีน้ำมีนวลเช่นนี้ล่ะ?”


 


 


ฟังน้ำเสียงผู้หญิงผิดปกติ เสียงของนางหยางตู้ยิ่งนิ่งเรียบขึ้นอีก “ญาติผู้น้องห่างๆ คนหนึ่ง อยากออกมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย จึงมาที่ข้านี่”


 


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้หรือนี่…” ผู้หญิงลากเสียงยาว จากนั้นหัวเราะคิกคักสองทีว่า “น้องรั่วหลาน อาซ้ออย่างไรเสียก็อายุมากกว่าเจ้าหลายปี อย่าโทษว่าอาซ้อปากมาก บ้านเจ้าคนนั้นเป็นคนมีฝีมือ บัดนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณระยะกลางไปเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลหวังได้แล้ว อนาคตสดใส เพียงแต่เจ้าก็ต้องระวัง อย่าให้ชีวิตดีๆ ที่รอคอยมาอย่างตาปริบๆ ต้องบินไปทั้งเช่นนี้แล้ว”


 


 


นางหยางตู้หน้าเย็นชาลงมา “ที่อาซ้อพูดนี่ ข้าฟังไม่เข้าใจหรอกนะ”


 


 


ผู้หญิงเหล่นางปราดหนึ่งอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “ญาติผู้น้องคนนั้นเจ้าก็อยู่ระดับหลอมลมปราณระยะกลางสินะ อย่าโทษว่าซ้อไม่เตือนเจ้า แม่นางนั่นตบะสูง อายุก็น้อยหน้าตาสะสวย คนที่โดดเด่นทุกด้านเช่นนี้คนหนึ่งอยู่หน้าคนของเจ้าทุกวัน ต่อให้หัวใจเขาทำจากเหล็ก จะไม่ใจหวั่นไหวได้หรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่นอกประตูอดกระตุกมุมปากไม่ได้ ผู้หญิงนี่ก็มีตบะของระดับหลอมลมปราณขั้นสอง อย่างไรเสียก็นับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว เหตุใดจึงเหมือนกับพวกผู้หญิงที่ไม่ทำการทำงานในโลกฆราวาสอย่างไรอย่างนั้น


 


 


นางหยางตู้สีหน้าเปลี่ยนแล้ว เอ่ยอย่างเย็นเยียบว่า “อาซ้อ เจ้ากลับไปดีกว่า เรื่องของบ้านข้าไม่รบกวนให้เจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว”


 


 


เห็นนางหยางตู้โกรธ ผู้หญิงก็อารมณ์เสียแล้ว กระโดดลงพื้นในทีเดียว หัวเราะฟู่เสียงหนึ่งว่า “ใครๆ ก็บอกว่าชักศึกเข้าบ้าน ตู้รั่วหลาน วันหลังต้องมีเวลาให้เจ้าเสียใจ ถึงเวลาเจ้าอยากร้องไห้ก็ไม่มีที่ให้เจ้าร้อง”


 


 


“อาซ้อวางใจได้ หากมีวันนั้นจริงๆ ข้าก็ไม่ไปร้องไห้ที่เจ้านั่นแน่นอน” นางหยางตู้ทำมือท่าส่งแขก


 


 


ผู้หญิงสะบัดผ้าเช็ดหน้าทีหนึ่ง เหวี่ยงประตูอย่างโมโหออกไปแล้ว ไปถึงหน้าประตูใหญ่ มั่วชิงเฉินเก็บงำกลิ่นอายแอบอยู่ข้างๆ ก็เห็นนางถ่มน้ำลายทีหนึ่งว่า “ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ น้องสาวสุดที่รักของเจ้าคนนั้นวันหลังหากไม่ทำให้ผู้ชายเจ้าหลงหัวปักหัวปำ คำว่า ‘หวัง’ ของข้าจะขอเขียนกลับหัว!”


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นผู้หญิงเดินไปไกลแล้ว กำลังจะปรากฏตัวออกมาเดินเข้าไป จิตตระหนักกลับพบมีคนมาอีกแล้ว


 


 


คนที่มาครั้งนี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเช่นกัน ดูท่าทางอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว กลับแต่งตัวสีสันจัดจ้าน เดินบิดไปบิดมา


 


 


เดินผ่านข้างตัวมั่วชิงเฉินไป ทำให้เกิดลมหอมสายหนึ่ง ฉุนจนมั่วชิงเฉินเกือบจาม แอบคิดว่าที่แท้นางหยางตู้คบสหายกว้างขวางเช่นนี้เชียว


 


 


เพราะว่าผู้หญิงก่อนหน้าไปอย่างรีบร้อน ประตูใหญ่ยังไม่ได้ปิด นางหยางตู้กำลังตามออกไปปิดประตู เห็นคนที่มาแล้วชะงักงัน


 


 


“อ้าว ใช่น้องสาวบ้านหยางสินะ ข้าได้ยินว่าบ้านเจ้าคนนั้นเข้าสู่ระดับหลอมลมปราณระยะกลางแล้ว ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้า!” ผู้หญิงที่มาใหม่เอ่ออย่างมีไมตรีจิต


 


 


นางหยางตู้สีหน้ายังแย่อยู่ กวาดสายตาใส่คนที่มาปราดหนึ่งว่า “เจ้าคือ…”


 


 


ผู้หญิงไอยาเสียงหนึ่งว่า “ข้าก็คืออาซ้อทางบ้านมารดาของสะใภ้บ้านจางข้างบ้านเจ้าอย่างไรล่ะ”


 


 


นางหยางตู้นี่ถึงนึกขึ้นได้ อาซ้อทางบ้านมารดาของสะใภ้บ้านจางเป็นคนมีชื่อเสียงของแถบนี้ ได้ยินว่านางเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อย กลับดันชอบเป็นแม่สื่อ เพียงแต่เมื่อก่อนนางมักออกทะเลพร้อมสามี จึงไม่เคยเห็นคนคนนี้ จึงถามทันทีว่า “ไม่ทราบอาซ้อมีเรื่องอันใด?”


 


 


ผู้หญิงหัวเราะอย่างลึกลับว่า “ข้าได้ยินมาว่า เจ้ามีญาติผู้น้องคนหนึ่งมาพึ่งพาญาติ?”


 


 


นางหยางตู้ตอบว่าใช่ทีหนึ่ง สีหน้ากลับดูไม่ดี หรือว่าคนคนนี้ก็มาเพื่อพูดอะไรเหลวไหลโดยเฉพาะอีก?


 


 


“น้องสาว เหตุใดญาติผู้น้องเจ้าคนนี้จู่ๆ ถึงมาที่เจ้านี่ล่ะ?” ผู้หญิงถาม


 


 


นางหยางตู้เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เพียงแค่ออกมาฝึกตนจนมาถึงที่นี่”


 


 


“ฝึกตน? อายุยังน้อยก็ออกมาฝึกตน คนในครอบครัวนางก็วางใจหรือ?” ผู้หญิงเลิกคิ้ว


 


 


“น้องสาวข้าชีวิตอนาถ ที่บ้านไม่มีคนแล้ว” นางหยางตู้รับมือว่า


 


 


กลับเห็นผู้หญิงตาเป็นประการ กดเสียงต่ำลงว่า “น้องสาว เช่นนั้นข้าก็พูดตรงๆ เลยนะ มีคนถูกตาต้องใจน้องสาวของเจ้า ไหว้วานข้ามาเป็นสื่อ เจ้าว่า บวกกับเรื่องที่คนบ้านเจ้าเลื่อนชั้น นี่ไม่ใช่เรื่องมงคลคู่หรอกหรือ?”


 


 


นางหยางตู้ทนแล้วทนอีก ยังคงว่า “น้องสาวข้าอายุยังน้อย ความคิดอยู่ที่การบำเพ็ญเพียรหมดน่ะ อาซ้อต้องขอโทษด้วยนะ ข้ายังมีธุระบางอย่างต้องไปทำ เจ้าว่า…”


 


 


ผู้หญิงทำเหมือนไม่ได้ยินว่า “เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธสิ คนคนนั้นคือพี่รองของจ้าวซานเหยียน เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณระยะปลายเชียวนะ วันนั้นเขาปราดเดียวก็ถูกใจน้องสาวเจ้าแล้ว นี่ถึงวานข้ามาเป็นสื่อให้อย่างไรล่ะ เขาจะแต่งอย่างถูกต้องนะ…”


 


 


ยังพูดไม่จบ ก็ถูกนางหยางตู้หยิบไม้กวาดไล่ออกไปแล้ว พลางไล่พลางด่าว่า “เจ้าไสหัวออกไป!”


 


 


“ไอยา เหตุใดถึงตีคนล่ะ!” ผู้หญิงพลางกระโดดพลางหลบ


 


 


นางหยางตู้กวาดอีกทีหนึ่ง กวาดอยู่บนขาซ้ายนางพอดี แล้วด่าอย่างคับแค้นใจว่า “ก็ตีเจ้านั่นแหละ เจ้ามันคนไร้มโนธรรม ในรัศมีร้อยลี้มีใครไม่รู้มั่ง จ้าวเอ้อร์หมาจื่ออาศัยที่ตบะสูง ใช้กำลังแย่งบุตรสาวของคนอื่นมาเป็นอนุของเขาตั้งเท่าไร ภรรยาหลวงของเขาก็ถูกเขาทำให้โมโหจนตายทั้งเป็นนั่นแหละ บัดนี้สิ้นใจยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลย!”


 


 


นางหยางตู้ใช้ไม้กวาดตีอย่างไม่ไว้หน้า ผู้หญิงพลางกอดศีรษะวิ่งออกข้างนอกพลางตะโกนอย่างดุร้ายว่า “ถุย บอกเจ้าตามตรงก็ได้ วันนี้ข้ามาหาถึงบ้าน นั่นเพราะนายท่านรองจ้าวให้เกียรติบ้านเจ้า น้องสาวเจ้านั่นแต่งก็ต้องแต่ง ไม่แต่งก็ต้องแต่ง ก็รอเกี้ยวดอกไม้ข้ามมายกคนเถอะ!”


 


 


ผู้หญิงพลางพูดพลางกะโผลกกะเผลกวิ่งออกข้างนอกไป นางหยางตู้ใช้ไม้กวาดกวาดพื้นข้างนอกแรงๆ ทีหนึ่ง ถึงปิดประตูใหญ่ดัง ‘ปัง’ เมื่อหันกลับไป กลับเห็นมั่วชิงเฉินยืนอยู่ในลานบ้าน จึงอดเรียกน้องสาวเสียงหนึ่งอย่างกระอักกระอ่วนไม่ได้


 


 


เรื่องตลกร้ายเกิดติดกันสองเรื่อง ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ในบ้านผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาได้อีกต่อไปแล้ว ต่อให้ด้วยตบะของตนไม่กลัวเรื่องพวกนี้ ทว่าห้ามความรำคาญใจไม่อยู่นะ


 


 


ด้วยเหตุนี้มั่วชิงเฉินจึงเสนอว่าจะจากไป นางหยางตู้พยายามรั้งไว้ จนกระทั่งนางพูดขึ้นมาว่าต้องออกทะเลกับคุณชายหกเรื่องนี้ถึงได้แล้วกันไป


 


 


มั่วชิงเฉินกังวลว่าตนจะนำความยุ่งยากมาให้คนอื่น นางหยางตู้กลับบอกว่าหนึ่งในสองคนนั้นแต่เดิมก็ไม่ได้ไปมาหาสู่อยู่แล้ว คนก่อนหน้านั้นเพราะเป็นเพื่อนบ้านใกล้กันถึงอดทนเสวนาด้วย รอหยางปี้อู่กลับมาก็ย้ายไปอยู่เกาะใจศักดิ์สิทธิ์ทั้งบ้านแล้ว ดังนั้นก็ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินใคร


 


 


มั่วชิงเฉินจึงออกจากบ้านหยาง เพียงแต่ทิ้งหินวิญญาณไม่กี่ก้อนไว้บนโต๊ะในห้องที่ตนพักอยู่ถือเป็นค่าพักแรม


 


 


เพิ่งย่างเข้าร้านขายของสารพัด ลูกจ้างในร้านก็รีบต้อนรับขึ้นมาโดยตรง “แม่นางมั่ว เชิญด้านใน คุณชายของเรากำลังรอท่านอยู่เลย”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าเดินตามเข้าไป คุณชายหกที่ใส่ชุดยาวสีเขียวอ่อนอมยิ้มออกมาต้อนรับ “แม่นางมั่ว ข้าน้อยนับว่าไม่ได้รอเปล่าแล้ว”


 


 


ในเมื่อตัดสินใจแล้ว มั่วชิงเฉินก็ไม่เยิ่นเย้อ ทันใดนั้นจึงศึกษาพิจารณากับเขาถึงของที่จำเป็นต้องเตรียมในการผจญภัยออกทะเล เรื่องที่ต้องระวังต่างๆ รอปรึกษาจนพอประมาณแล้วจึงถามว่า “ออกเดินทางเมื่อไร?”


 


 


“พรุ่งนี้” คุณชายหกเอ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วว่า “พรุ่งนี้? เช่นนั้นหากวันนี้ข้าไม่มา เจ้าจะทำเช่นไร?”


 


 


คุณชายหกแบบมือว่า “หากแม่นางไม่มา ข้าน้อยก็ได้แต่ไปโดยลำพังแล้ว ดูแล้วช่างเป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ พรุ่งนี้คือกำหนดเวลาที่ไม่อาจเลื่อนได้อีกแล้ว บังเอิญวันนี้แม่นางมั่วก็ให้คำตอบแล้ว”


 


 


ไม่รู้สิ่งที่เขาพูดเป็นจริงหรือเท็จ มั่วชิงเฉินได้แต่ยิ้มๆ


 


 


“แม่นางมั่ว วันนี้ดึกแล้ว เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ยามโฉ่วเค่อแรกเราก็จะออกเดินทางกันแล้ว” คุณชายหกเอ่ย


 


 


คุณชายหกพูดจบจึงนำมั่วชิงเฉินไปห้องรับรองแขกด้วยตนเอง หลังจากบอกลาอย่างมีมารยาทแล้ว มั่วชิงเฉินตรวจนับของบนตัวที่ต้องใช้รอบหนึ่ง หลับตาเข้าฌานขึ้นมา


 


 


เมื่อถึงเวลา มั่วชิงเฉินได้รับยันต์ส่งสารจึงเดินออกจากประตู คุณชายหกกำลังรออยู่นอกประตูลานบ้าน เสื้อสีเขียวอ่อนและคืนมืดกลืนเข้าด้วยกัน มีเพียงป้ายรวมวิญญาณที่เอวส่องแสงระยิบระยับ


 


 


“แม่นางมั่ว ไปเถอะ” คุณชายหกยกมือโยนเรือเล็กขนาดเท่าฝ่ามือออกมาลำหนึ่ง


 


 


เรือเล็กขยายขึ้นเมื่อต้องลม จนถึงขนาดสองจั้งกว่าถึงหยุดลง


 


 


คุณชายหกก้าวนำขึ้นไปก่อน แล้วยื่นมือให้มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มๆ กระโดดขึ้นไปอย่างอ่อนช้อย


 


 


เรือเล็กนำสองคนแปลงเป็นลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งในทันใด หายไปที่ขอบฟ้าทิศเหนือ

 

 

 


ตอนที่ 159 เรือบางเบาแล่นไปในทะเล

 

 


 


“ท่านแม่ ท่านแม่ นั่นคือดาวตกหรือเจ้าคะ?” เด็กผู้หญิงอายุเจ็ดแปดปีแหงนหน้าพลาง มองท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างเคลิบเคลิ้ม ชี้ลำแสงสีฟ้าแสนสวยที่แวบผ่านว่า


 


 


ผู้หญิงดูแล้วอายุยี่สิบนิดหน่อย คลุมเสื้อนอกสีชมพูฝีมือตัดเย็บประณีตตัวหนึ่งอย่างตามสบาย คอเสื้อแขนเสื้อตัดแต่งด้วยขนสีขาวดุจหิมะของกระต่ายหยก เพียงแต่สีหน้ากลับซีดเซียวนัก ราวกับร่างกายไม่สมบูรณ์


 


 


นางเดินไปถึงข้างกายเด็กผู้หญิง อุ้มเด็กผู้หญิงกลับขึ้นเตียง แล้วห่มผ้าห่มไหมให้นางอีกว่า “เยี่ยนเยี่ยน ดึกเช่นนี้แล้วเหตุใดเจ้ายังตื่นอีก ระวังเป็นหวัดนะ”


 


 


เด็กผู้หญิงยื่นแขนที่เหมือนท่อนรากบัว กระตุกผู้หญิงว่า “ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ เหตุใดบนฟ้าดวงดาวน้อยนัก กลับมีดาวตกที่งดงามเพียงนั้นวาดผ่านล่ะเจ้าคะ?”


 


 


ผู้หญิงมองดูปลายจมูกของเด็กผู้หญิงที่หนาวจนเป็นสีแดง บีบอย่างเอ็นดูว่า “นั่นมิใช่ดาวตกหรอกนะ หากแต่เป็นแสงที่เกิดจากผู้บำเพ็ญเพียรตั้งแต่ระดับสร้างรากฐานเหินเวหา”


 


 


เด็กผู้หญิงลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นเต้น เอ่ยเสียงชะอ้อนว่า “ท่านแม่ เหมือนท่านลุงใหญ่ ท่านลุงรองแล้วก็ท่านอาห้า ท่านอาหกพวกเขาใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


“อืม” ผู้หญิงรีบดึงผ้าห่มขึ้นให้เด็กผู้หญิง “เยี่ยนเยี่ยน เจ้ารีบนอนลง ยามนี้เป็นยามน้ำค้างลงหนักกลางดึกพอดี หากเป็นหวัดขึ้นมา เช่นนั้นแม่ก็ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”


 


 


เด็กผู้หญิงนอนลงอย่างว่าง่าย ตาทรงผลซิ่งคู่หนึ่งกลับยังคงเบิกกว้าง “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”


 


 


พูดจบเด็กผู้หญิงสีหน้าลังเลทีหนึ่ง ยังคงทนไม่ไหวถามว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อก็บินได้เช่นนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


ผู้หญิงสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นค่อยๆ คลายออก เอ่ยเสียงเบาว่า “ใช่ ท่านพ่อเจ้าเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ย่อมทำได้เหมือนกัน”


 


 


เด็กผู้หญิงฟังแล้วก้มหน้าลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ทว่าท่านพ่อไม่เคยพาเยี่ยนเยี่ยนบินบนฟ้ามาก่อนเลย เพราะ เพราะเยี่ยนเยี่ยนรากวิญญาณไม่ดีใช่หรือไม่?”


 


 


ผู้หญิงฟังแล้วก็รู้สึกเสียใจ บุตรสาวของนางเพียงแค่เจ็ดขวบ กลับก็เริ่มกลุ้มใจเพราะรากวิญญาณไม่ดีเสียแล้ว หากเป็นบ้านคนธรรมดา สี่รากวิญญาณแม้จะเป็นรากวิญญาณเทียม ทว่าบ้านหนึ่งมีเด็กที่มีรากวิญญาณก็นับว่าโชคดีมากแล้ว คนบ้านนี้ก็จะมีหน้ามีตาขึ้นมาในทั้งตระกูล ทว่าที่นี่ แม้ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม สี่รากวิญญาณกลับถูกกำหนดไว้ว่าต้องถูกคนดูแคลน


 


 


ผู้หญิงลูบศีรษะของเด็กผู้หญิงเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เยี่ยนเยี่ยน เจ้าลืมนิทานที่แม่เล่าให้เจ้าฟังแล้วหรือ?”


 


 


เด็กผู้หญิงคิดๆ แล้ว นึกขึ้นได้ว่า “ท่านแม่ ใช่เรื่องของท่านน้าสิบหกหรือไม่?”


 


 


ผู้หญิงยิ้มๆ “ใช่ น้าสิบหกของเจ้าและเยี่ยนเยี่ยนเหมือนกัน ก็มีสี่รากวิญญาณ นางอายุหกขวบเริ่มบำเพ็ญเพียร ถึงอายุแปดขวบก็อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสามแล้ว หากว่า…หากว่า…บัดนี้นางต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้วเป็นแน่”


 


 


หากว่าอะไร สุดท้ายผู้หญิงก็ไม่ได้พูดออกมา


 


 


“ท่านแม่ ท่านน้าสิบหกร้ายกาจจังเลย” ดวงตาทรงผลซิ่งของเด็กผู้หญิงกลายเป็นดวงดาวทันที เอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความนับถือ


 


 


ผู้หญิงแววตามืดมนลง กลับเอ่ยอย่างอดทนว่า “ใช่ ยังมีท่านน้าเจ็ดของเจ้า เขาก็มีห้ารากวิญญาณ ยามอายุสิบกว่าปีก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณระยะกลางแล้ว ดังนั้นเยี่ยนเยี่ยนไม่ต้องท้อใจ รากวิญญาณดีหรือร้ายสวรรค์เป็นผู้กำหนด พวกเราคนธรรมดาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรสี่รากวิญญาณ ห้ารากวิญญาณ อาศัยความพยายามของตนกลายเป็นคนที่ร้ายกาจมากก็มีมากมายเช่นกัน


 


 


เด็กผู้หญิงดีใจขึ้นมา กระตุกแขนเสื้อของผู้หญิงว่า “ท่านแม่ ท่านน้าสิบหก ยังมีท่านน้าเจ็ด พวกเขาบัดนี้อยู่ที่ไหนกันหมดเจ้าคะ? เหตุใดเยี่ยนเยี่ยนไม่เคยพบพวกเขามาก่อนเลย?”


 


 


ผู้หญิงชะงักงัน จากนั้นว่า “พวกเขาน่ะ หลังจากค่อยๆ เติบใหญ่ก็ไปที่อื่นแล้ว เพื่อจะได้เปิดหูเปิดตาเห็นสิ่งวิเศษมากยิ่งขึ้น”


 


 


“ก็เหมือนกับท่านแม่หรือเจ้าคะ?” เด็กผู้หญิงถามเสียงหวาน


 


 


ผู้หญิงเม้มมุมปาก ขับจนสีริมฝีปากยิ่งซีด แล้วเอ่ยต่ำๆ ว่า “ใช่ ก็เหมือนกับแม่…”


 


 


“ท่านแม่ เยี่ยนเยี่ยนนอนไม่หลับ ท่านเล่าเรื่องของท่านน้าสิบหกให้ข้าฟังอีกได้หรือไม่ ต่อไปเยี่ยนเยี่ยนก็จะร้ายกาจเหมือนท่านน้าสิบหก เช่นนั้นท่านพ่อก็จะพาเยี่ยนเยี่ยนยังมีท่านแม่ขึ้นไปดูดาวบนฟ้าด้วยกันแล้ว” เสียงเด็กของเด็กผู้หญิงขอร้องอย่างอ่อนนุ่ม


 


 


สายตาของผู้หญิงมองผ่านนอกหน้าต่างไม่รู้มองไปทางไหน เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “แต่ก่อนนะ มีเด็กๆ มากมายอายุเท่าๆ กับเยี่ยนเยี่ยนต่างรวมตัวกันบำเพ็ญเพียรในสถานที่ที่เรียกว่าโถงเฉาหยาง ในวันนั้น…”


 


 


“แม่นางมั่ว เจ้าดู สถานที่ข้างล่างที่บินผ่านมาก็คือเกาะใจศักดิ์สิทธิ์แล้ว” คุณชายหกที่อยู่ที่หัวเรือชี้ข้างล่างว่า


 


 


มั่วชิงเฉินมองลงข้างล่าง ยิ้มว่า “เกาะใจศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทีเดียวจริงๆ อย่างน้อยก็เกินสามเท่าของเกาะสดับมุกกระมัง?”


 


 


คุณชายหกพยักหน้าว่า “ใช่ เกาะใจศักดิ์สิทธิ์เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลขนาบใจแล้ว มีเพียงเกาะนี้ที่มีปราณวิญญาณไม่เลวสายหนึ่ง เช่นเกาะสดับมุกนั้น นับว่าเป็นหนึ่งในหลายเกาะใหญ่ในทะเลขนาบใจ เพียงแต่มีปราณวิญญาณขนาดเล็ก ส่วนพวกเกาะเล็กๆ เหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นปราณวิญญาณยิบย่อยที่กระจายออกไป คนที่อยู่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักและคนธรรมดา”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่แปลกใจในคำพูดของคุณชายหกเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อตระกูลหวังเป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอำนาจมากที่สุดในทะเลขนาบใจ ย่อมยึดครองปราณวิญญาณที่ดีที่สุดของที่นี่ นี่เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงกฎเกณฑ์ปลาใหญ่กินปลาน้อยของทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร


 


 


“คุณชายหก เหตุใดพวกเราต้องออกเดินทางในยามนี้ล่ะ?” มั่วชิงเฉินไม่สะดวกถามเรื่องของตระกูลหวัง จึงถามสิ่งที่สงสัยในใจของนางขึ้นมา


 


 


คุณชายหกชี้ไปทางเหนือว่า “น่านน้ำนั้นอยู่ทางเหนือของทะเลขนาบใจ มีที่แห่งหนึ่งหินโสโครกมากมาย มีอสูรปีศาจพิเศษชนิดหนึ่งพำนักอยู่ พวกมันจำศีลในเวลากลางคืน รอตะวันขึ้นขอบฟ้าก็จะตื่นมา หากเราไม่ข้ามตรงนั้นไปก่อนตะวันจะขึ้น ก็จะยุ่งยากแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินเข้าใจทันที “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าใครๆ ก็บอกว่าการข้ามทะเลเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากข้าน้อยออกทะเลโดยลำพัง เกรงว่าคงต้องพบภยันตรายนับไม่ถ้วนนะ”


 


 


คุณชายหกฟังแล้วก็ยิ้ม เขาเติบโตที่นี่ตั้งแต่เด็ก สัมผัสภยันตรายในทะเลได้ลึกซึ้งกว่ามั่วชิงเฉิน อย่าว่าแต่คนที่เพิ่งมาครั้งแรกเช่นนางเลย แม้แต่เขา ก็ไม่กล้าพูดเด็ดขาดว่าเข้าใจน่านน้ำผืนใดได้อย่างถ่องแท้


 


 


ทั้งสองคนต่างเป็นคนมีเหตุผล อีกทั้งก่อนหน้านี้ได้ทำการศึกษาการเดินทางครั้งนี้แล้ว ยามนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องถกกันถึงภยันตรายในทะเลอย่างไม่หยุดหย่อนจะทำให้เสียกำลังใจ คุณชายหกจึงหันเหหัวข้อว่า “สถานที่ที่แม่นางมั่วมา ต่างกับที่พวกเรานี่อย่างมากใช่หรือไม่?”


 


 


“หืม?” ไม่รู้ว่าใช่เพราะทั้งสองคนนั่งเรือลำเดียวกันเหินหาวอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงัดหรือไม่ มั่วชิงเฉินได้วางจิตใจที่ระแวดระวังลงบ้างต่อหน้าชายหนุ่มตรงหน้า น้ำเสียงก็ผ่านคลายขึ้น


 


 


คุณชายหกดูเหมือนรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมั่วชิงเฉิน น้ำเสียงก็ลดความเป็นทางการลงกว่าก่อนนี้เช่นกัน “หญิงสาวทางนี้ของเรายามที่พูดถึงตนเอง ต่างพูดว่าบ่าว ทว่าแม่นางกลับเรียกว่าข้าน้อยเหมือนผู้ชาย คิดว่าสถานที่ที่แม่นางอยู่ สถานะของหญิงสาวคงไม่ด้อยกว่าผู้ชายกระมัง?”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าแผ่วเบาว่า “หากพูดว่าสถานะเทียบเท่าผู้ชาย เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรทางนั้นของเรา โดยเฉพาะหลังจากระดับสร้างรากฐานแล้ว แนวคิดเรื่องชายหญิงเทียบกับทางนี้แล้วต้องจางลงกว่ามาก หากไม่มีความสัมพันธ์ในสำนักเดียวกันหรือความรู้สึกระหว่างชายหญิง ล้วนเรียกกันว่าสหายเต๋า”


 


 


คุณชายหกเหงื่อตกว่า “โชคดีที่แม่นางมั่วใจกว้าง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่แน่ก็อาจเห็นข้าน้อยเป็นคนหยิบหย่งอวดดีแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะ “คุณชายหกกล่าวหนักไปแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามก็เป็นเหตุผลที่ผู้บำเพ็ญเพียรควรเข้าใจ”


 


 


สองคนนั่งอยู่บนเรือบินสนทนากันตามอำเภอใจ ได้มาถึงบนทะเลแล้ว


 


 


ถึงบนทะเล มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอบอุ่นขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เพียงแต่มองไป ทะเลสุดลูกหูลูกตาดูมืดและลึกในยามกลางคืน แผ่นน้ำแข็งเป็นแผ่นๆ ลอยอยู่ข้างบนอย่างตามอำเภอใจ ดูแล้วยิ่งเงียบเหงาเย็นชา


 


 


แสงดาวที่บางเบาสะท้อนอยู่ในนั้น สาดแสงตัดกันกับแสงสีขาวที่สะท้อนจากก้อนน้ำแข็ง ทำให้ผิวน้ำดูแล้วเหมือนทางช้างเผือกที่แห้งแล้งมานับหมื่นปี แม้เงียบสงบไร้คลื่นกลับทำให้คนมองแล้วเกิดความกลัว ราวกับภายใต้ความสงบนั้นแฝงไว้ด้วยคลื่นยักษ์ถาโถม บอกไม่ถูกว่ายามใดก็จะอ้าปากกว้างกลืนกินคนที่หมายตาไว้ลงไปในทะเล ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนกับความเงียบสงบนี้


 


 


มั่วชิงเฉินนั่งตัวตรง แอบระแวดระวังขึ้นมา


 


 


คุณชายหกที่มองอยู่แอบพยักหน้า กำชับว่า “แม่นางมั่ว เริ่มจากบัดนี้ข้าก็จะลดเรือบินให้ต่ำลงแล้ว ผิวทะเลนี้ดูเงียบสงบ กลับแอบซ่อนความกระหายสังหาร เจ้าต้องระวังตัว”


 


 


สถานที่ที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณอยู่ซับซ้อนหายากยิ่งนัก บินอยู่กลางอากาศนั้นไม่อาจหาเจอได้ ดังนั้นเมื่อถึงบนทะเลแล้วจึงจำต้องลดความสูงของอาวุธเวทเหินหาวให้ต่ำลง แนบไปกับผิวทะเลค้นหาพิกัด จะได้ไม่บินผิดทาง


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแต่ตั้งสมาธิจ้องผิวทะเลไว้


 


 


ต่อหน้าอันตรายที่มิอาจรู้ ต่อให้เตรียมใจไว้แล้วแท้ๆ ทว่ายามที่สนทนากันยังคงมีสิทธิ์จะเสียสมาธิเพราะรายละเอียดที่คุยกัน และบางที การเสียสมาธิเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะเอาชีวิตแล้ว ความผิดพลาดเช่นนี้ย่อมไม่เกิดกับนาง


 


 


คุณชายหกลืมตาโตเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขานึกมาตลอด หญิงสาวต่อให้บำเพ็ญเพียรแล้ว มีพลังที่คนธรรมดาไม่มีแล้ว ทว่ายังคงมีข้อบกพร่องนับไม่ถ้วน ทำให้พวกนางตกเป็นเบี้ยล่างเมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันหรือสูงกว่า


 


 


แน่นอน ข้อบกพร่องพวกนั้นหากมองในฐานะหญิงสาวธรรมดา ก็ไม่นับว่าอะไร เขานึกมาตลอดว่าการที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเป็นเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็กลับสามารถสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้บำเพ็ญเพียรชายได้หรือนี่


 


 


ในทันใดนั้น จึงเกิดใฝ่ฝันถึงสถานที่ที่มั่วชิงเฉินมา ไม่แน่ที่นั่น ถึงจะเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งบริสุทธิ์กระมัง? หากมีโอกาส ต้องไปดูสักครั้งให้ได้


 


 


เรือบินค่อยๆ ร่อนลง จนกระทั่งยามที่ห่างจากผิวทะเลไม่เกินสามจั้งถึงหยุดลดระดับ แล้วบินต่อไปข้างหน้า


 


 


มั่วชิงเฉินสามารถได้กลิ่นอายเค็มคาวของน้ำทะเลแล้ว มองดูในระยะใกล้ ทะเลสีเขียวคล้ำทั้งผืน ก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่เปรียบดั่งบัวหิมะกระจ่างใส การตัดกันระหว่างดำและขาว ก่อให้เกิดความงามที่ประหลาด


 


 


บินแนบผิวน้ำได้ระยะหนึ่ง ทันใดนั้นคุณชายหกยื่นมือชี้ไป “แม่นางมั่วเจ้าดู ที่นั่นก็คือแหล่งหินโสโครกที่ข้ากล่าวไว้ ในนั้นมีอสูรทะเลชนิดหนึ่งอยู่รวมกันเป็นฝูง แม้ระดับไม่สูง แต่กลับรับมือได้ยากนักเพราะมีจำนวนมาก ทว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น พวกมันก็จะไม่ตื่นมา”


 


 


มั่วชิงเฉินมองออกไปไกลพลางพยักหน้า ยามนี้ห่างจากพระอาทิตย์ขึ้นยังมีอีกหนึ่งชั่วยาม ด้วยความเร็วของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็บินผ่านไปได้


 


 


เพียงแต่ต่อให้นางสายตาดีเยี่ยม กลับมองไม่เห็นเงาของหินโสโครก คิดว่าคงเพราะถูกน้ำทะเลท่วมหายไปแล้ว หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่คุ้นเคย ต้องไม่รู้แน่นอนว่าตรงนั้นมีแหล่งหินโสโครกแหล่งใหญ่อยู่


 


 


กลับในยามนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินคุณชายหกตะโกนว่า “แย่แล้ว เจออสูรแปดขาซะแล้ว แม่นางมั่วระวัง อสูรแปดขาเป็นอสูรปีศาจชั้นสาม!”


 


 


มั่วชิงเฉินได้กลิ่นประหลาดระลอกหนึ่งแล้ว เพิ่งสิ้นเสียงคุณชายหก ก็เห็นผิวทะเลที่สงบระเบิดขึ้นในบัดดล น้ำและลิ่มน้ำแข็งพุ่งขึ้นมานับไม่ถ้วน ในนั้นมีเงาดำมหึมาเงาหนึ่งปรากฏขึ้น แยกเขี้ยวยิงฟันสะบัดขายักษ์ทั้งแปด 

 

 


ตอนที่ 160 แสงอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า

 

 


 


อสูรปีศาจชั้นสามเทียบได้กับตบะของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางในมนุษย์ เพียงแต่อย่างไรเสียอสูรปีศาจก็ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ที่รู้จักใช้อาวุธเวท รู้จักกินโอสถ การสู้รบของอสูรปีศาจในขั้นนี้ยังคงอาศัยสัญชาตญาณ พลังเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์แล้วยังคงด้อยกว่าสักหน่อย


 


 


มั่วชิงเฉินมีตบะของระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ต่อหน้าอสูรแปดขาจึงไม่ตื่นเต้นเท่าคุณชายหก เพียงแต่อย่างไรเสียนางก็ไม่เคยสู้กับอสูรปีศาจในทะเลมาก่อน ด้านหนึ่งจึงรับมือไปพลาง อีกด้านหนึ่งแอบสังเกตเงียบๆ


 


 


ในมือคุณชายหกถืออาวุธเวทเหมือนง่ามปลาเล่มหนึ่ง ตามหลักแล้วต้องเป็นอาวุธเวทที่ข่มอสูรปีศาจจำพวกปลาพอดี เพียงแต่ปลาแปดขานี้เป็นเงาลื่นเหมือนผ้าต่วนทั้งตัว ขาเขื่องทั้งแปดยิ่งทั้งลื่นทั้งนิ่ม หนึ่งคนหนึ่งอสูรโรมรันพันตูต่อให้ง่ามปลาแตะถูกตัวมันก็ต้องลื่นออก แม้แต่รอยตื้นๆ ก็ไม่อาจทิ้งไว้ได้


 


 


คุณชายหกขยับตัวไม่หยุดต้านอสูรแปดขาอย่างสุดกำลัง กลับเหมือนเกาไม่ถูกที่คันไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆ ให้มันได้


 


 


สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณในร่างสูญเสียอย่างรวดเร็ว สีหน้าคุณชายหกค่อยๆ ซีดเซียวลง เขาไม่พูดสักคำแล้วกลืนโอสถเติมวิญญาณเข้าไปสองสามเม็ด ปากตะโกนเบาๆ เสียงหนึ่ง ปลายนิ้วพลิกผันตีคาถาออกไปสายหนึ่งเข้าที่ง่ามปลา แล้วก็เห็นง่ามปลาสีดำมืดสั่นในบัดดล เงารูปง่ามมหึมาอันหนึ่งบินออกจากยอดง่าม ตอกเข้าบนขาเส้นหนึ่งของอสูรแปดขา


 


 


ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้ยินอสูรแปดขาแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธ ขาสี่เส้นที่รับมือมั่วชิงเฉินในตอนแรกไม่คิดเลยว่าจะแบ่งออกมาสองเส้นฟาดไปพร้อมกันที่คุณชายหก


 


 


คุณชายหกตกใจจนหน้าถอดสี ยกมืออัญเชิญอาวุธเวทที่เหมือนกระดองเต่าอันหนึ่งออกมา


 


 


ได้ยินเพียง ‘ผัวะ’ เสียงหนึ่งขาของอสูรแปดขาฟาดไปบนกระดองเต่า กระดองเต่าส่ายไปมาแม้ไม่แตกร้าว ทว่าคุณชายหกกลับ ‘อั่ก’ เสียงหนึ่งกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่ง อสูรปีศาจชั้นสามยังไม่ใช่สิ่งที่ตนสามารถต่อกรได้ในยามนี้จริงๆ


 


 


ยามนี้ได้ยินเสียงหวีดแหวกผ่านอากาศ เขาอดมองไปที่มั่วชิงเฉินไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินแม้พันตูกับขาทั้งสี่ของอสูรแปดขามาตลอด แต่กลับใช้พลังกายใจที่มากกว่าในการสังเกตจุดเด่นของอสูรแปดขาและพลังของคุณชายหก ยามนี้เห็นคุณชายหกยากจะประคองไว้ได้แล้ว อีกทั้งในใจตนก็ประมาณการไว้แล้ว จึงทิ้งก้อนอิฐออกไป พร้อมด้วยพลังมหาศาลบินไปที่ปลาแปดขา


 


 


ในเมื่ออสูรแปดขานี้ลื่นจนจับไม่ติด อาวุธเวทที่บางและคมยากจะทำร้ายมันได้ เช่นนั้นก็ไม่สู้ใช้พละกำลังที่เหนือกว่ามาพิชิตเถอะ


 


 


เพราะการปิดบังซ่อนเร้นของมั่วชิงเฉิน อสูรแปดขาจึงใช้พลังกายใจส่วนใหญ่ไปทางคุณชายหกนั่นตลอด ยามนี้ได้ยินเสียงหวีดร้องจึงหันหน้าไป เห็นของมหึมาสิ่งหนึ่งเปล่งแสงทองแสบตาบินมาทางมัน โดยสัญชาตญาณรู้สึกว่าไม่ดี จึงเคลื่อนขาเจ็ดขาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บพันไปที่ของที่บินมาทันที


 


 


มั่วชิงเฉินฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ปลายนิ้วปล่อยแสงวิญญาณอีกสายหนึ่งตีเข้าในอาวุธเวท แล้วก็เห็นก้อนอิฐกลางอากาศใหญ่ขึ้น ในชั่วเวลาหนึ่งแสงทองอะร้าอร่าม


 


 


อสูรแปดขาใช้ขาจับก้อนอิฐได้สมใจ กลับค้นพบอย่างน่าตระหนกว่าก้อนอิฐไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ดิ้นหลุดจากขาของมันด้วยพละกำลังที่มันไม่อาจควบคุมได้แล้วบินต่อไปข้างหน้า


 


 


แล้วก็ได้ยินเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่ง ร่างกายมหึมาของอสูรแปดขาร่วงลงในทะเล คลื่นยักษ์กระเพื่อมขึ้นสูงเสียดฟ้า


 


 


มั่วชิงเฉินขยับมือ ก้อนอิฐหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าฝ่ามือ ‘สวบ’ เสียงหนึ่งบินกลับเข้ามือนาง


 


 


อสูรแปดขาลอยขึ้นมาอีก มั่วชิงเฉินเบิกตาแผ่วเบา แอบระแวงพลางอยากดูให้รู้เรื่อง แล้วก็เห็นปลาแปดขาที่ดูแล้วอ่อนยวบไม่มีแรงกระโดดขึ้นมาในทันใด


 


 


“แม่นางมั่วรีบหลบเร็ว มีพิษ!” คุณชายหกตะโกนเสียงหลง


 


 


ในขณะที่มั่วชิงเฉินบินโฉบไปข้างหลัง ก็เห็นอสูรแปดขาอ้าปากกว้าง พ่นน้ำที่ดำเหมือนหมึกออกมากองหนึ่ง


 


 


เมื่อน้ำหมึกกองนี้โผล่ออกมากลางอากาศไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นเมฆหมึกก้อนหนึ่ง ลอยมาหาพวกมั่วชิงเฉินสองคนด้วยความเร็วยิ่ง มาถึงหน้าพวกเขา ตกลงมาเป็นหยดหมึกนับไม่ถ้วนเหมือนพายุฝน อีกทั้งยังมาพร้อมกลิ่นเหม็นที่ทำให้คนอยากอาเจียน


 


 


ยามนี้อาวุธเวทรูปกระดองเต่าของคุณชายหกได้มาขวางอยู่หน้าสองคนแล้ว เปล่งเสียงดัง ‘ฟู่ๆ’


 


 


“แม่นางมั่ว ไม่นึกเลยว่าปลาแปดขานี้จะกลายพันธุ์ เจ้าอย่าให้หยดหมึกพวกนั้นกระเด็นถูกเด็ดขาด” คุณชายหกเตือนเสียงหลง แล้วหายใจหอบ เห็นชัดว่าสูญเสียพลังวิญญาณเกินขีดจำกัด อยากจะช่วยแต่ก็เหลือบ่ากว่าแรง


 


 


เป็นตามที่มั่วชิงเฉินคาดไว้จริงๆ เมื่อยามที่เม็ดฝนยิ่งตกยิ่งเร็ว กระดองเต่าใบนั้นสั่นทีหนึ่ง เท่าที่ดูจะยันไม่อยู่แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินตะเบ็งเสียงเบาๆ เสียงหนึ่ง กระบี่ไม้ในมือขวาวาดแสงวิญญาณสีเขียวออกกลางอากาศสายหนึ่ง จากนั้นก็เห็นดอกไม้สดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในอากาศ


 


 


ดอกไม้สดดอกใหญ่มากมายหมุนอยู่กลางอากาศ ในชั่วอึดใจกลีบดอกไม้กระจายออกเป็นใบๆ ตกลงมาเหมือนฝน


 


 


ฝนดอกไม้ตกลง ดูดเอาฝนหมึกเข้าไปจนหมดทันที กลิ่นเหม็นคาวกระจายหายไปสิ้นในพริบตา ถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมของบุปผา


 


 


อสูรแปดขาดูเหมือนเกรงกลัวฝนดอกไม้ยิ่งนัก รวมทั้งขาที่ได้รับบาดเจ็บ ขาใหญ่ทั้งแปดโบกไปโบกมาอย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก ขัดขวางไม่ให้กลีบดอกไม้ตกลงบนตัว


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่ง เถาวัลย์สีเขียวเข้มในมือซ้ายเปรียบดั่งงูหลามยักษ์อันน่ากลัว แนบไปบนน้ำทะเลว่ายไปยังอสูรแปดขาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงแต่กลับเร็วปานดาวตก


 


 


ในยามที่อสูรแปดขากำลังสะบัดขาต้านฝนดอกไม้นั้น เถาวัลย์สีเขียวเข้มได้มาถึงข้างหน้าแล้ว กระโดดขึ้นในบัดดลผูกขาของอสูรแปดขาให้เป็นช่อ


 


 


มั่วชิงเฉินมือซ้ายออกแรง ลากอสูรแปดขาตกลงมาบนเรือเล็ก แล้วก็ได้ยินเสียงปึงดังขึ้น อสูรแปดขาที่น่ายำเกรงถูกโยนลงบนเรือเหมือนบ๊ะจ่างลูกใหญ่ ร่างกายมหึมาเบียดอยู่บนเรือเล็กจนไม่มีที่ให้สองคนยืนทันที เรือเล็กส่ายไปมาอย่างรุนแรงอยู่ครึ่งค่อนวันถึงค่อยๆ สงบลงมา


 


 


“คุณชายหก เจ้านี่จะจัดการเช่นไร?” มั่วชิงเฉินมองไปที่คุณชายหกที่เหม่อลอยเล็กน้อย


 


 


คุณชายหกนี่ถึงได้สติคืนมา มองมั่วชิงเฉินอย่างลึกล้ำปราดหนึ่งว่า “น้ำหมึกที่อสูรแปดขานี้พ่นออกมาสามารถแปลงเป็นเมฆได้ เป็นอสูรแปดขากลายพันธุ์ที่ในร้อยตัวก็หาไม่ได้สักตัว เดิมทีเจออสูรแปดขาชนิดนี้เป็นเรื่องที่โชคร้าย ทว่ามาเจอแม่นางมั่วกลับกลายเป็นเรื่องโชคดี”


 


 


“เอ่อ?” มั่วชิงเฉินกลืนโอสถเติมวิญญาณลงไป กำลังฟื้นฟูพลังวิญญาณ


 


 


คุณชายหกว่า “น้ำหมึกของอสูรแปดขาชนิดนี้ล้ำค่ายิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นจำเป็นต้องเก็บตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ถึงจะได้ผล แม่นางมั่ว หากเจ้าเชื่อใจข้า ข้าน้อยเก็บน้ำหมึกของมันเอาไว้ก่อน ทุกอย่างรอพวกเรากลับไปแล้วค่อยว่ากัน เจ้าดูเป็นเช่นไรบ้าง?”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ย่อมได้”


 


 


คุณชายหกนี่ถึงเดินไปข้างอสูรแปดขา เพิกเฉยต่อการดิ้นรนด้วยความโกรธาสิ้นหวังของอสูรแปดขา แล้วหยิบถุงมือสีขาวข้างหนึ่งใส่ไว้ ยื่นมือเข้าไปในปากอสูรแปดขา


 


 


อสูรแปดขาไม่มีฟัน มันที่ถูกมัดขาและร่างกายไว้สูญเสียพลังโจมตี ดูคุณชายหกยื่นมือเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ตาปริบๆ ถึงท้ายสุดก็ยื่นเข้าไปทั้งแขนแล้ว


 


 


ได้ยินเพียงเสียงคำรามอย่างอนาถ มั่วชิงเฉินเห็นอย่างชัดเจนถึงสายตาของอสูรแปดขาที่มองนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่ยอมและโกรธแค้น สุดท้ายไม่ขยับเขยื้อนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก อารมณ์พูดไม่ได้ว่ารื่นรมย์ แต่ก็ไม่มีความเวทนาที่มากเกินความจำเป็น


 


 


คนและอสูรปีศาจ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นความสัมพันธ์แบบห้ำหั่นกันอยู่แล้ว ก็เป็นเพียงปลาใหญ่กินปลาเล็กที่เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง


 


 


ในยามนี้คุณชายหกยืนขึ้นมา พูดกับมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว เนื้อของอสูรแปดขานี้เหม็นจนทนดมไม่ไหว นอกจากน้ำหมึกนี้แล้วก็ไม่มีอะไรดีแล้วล่ะ เจ้าแก้เถาวัลย์ออก ทิ้งมันลงทะเลเถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูของในมือคุณชายหกปราดหนึ่ง มันคือของสีดำลักษณะเหมือนถุงขนาดเท่ากะละมังใบหนึ่ง คิดว่าน้ำหมึกก็เกิดมาจากข้างในนี้


 


 


นางเก็บเถาวัลย์ขึ้น ก็เห็นคุณชายหกยกเท้าเตะไปที่ศพของอสูรแปดขา กลับได้ยินเสียงอันร้อนรนเสียงหนึ่งดังขึ้นในสมอง “อย่าทิ้ง ข้าจะกิน!”


 


 


ไม่คิดว่าจะเป็นเสียงของอีกาไฟ


 


 


มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยว่า “คุณชายหกช้าก่อน”


 


 


เห็นคุณชายหกมองมาอย่างประหลาดใจ มั่วชิงเฉินยิ้มๆ “อสูรแปดขานี้คนทางเรานั้นยังไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าอยากนำศพมันกลับไป ให้อาจารย์และศิษย์พี่น้องสำนักเดียวกันดู ต่อให้ไร้ซึ่งประโยชน์ เพียงแค่เปิดหูเปิดตาก็เป็นเรื่องดี”


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด ฟังมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้แล้ว คุณชายหกในใจสะดุดทีหนึ่ง หดเท้ากลับมาว่า “นึกไม่ออกจริงๆ คนที่สามารถเป็นอาจารย์ของแม่นางมั่ว ควรจะเป็นบุคคลลักษณะเช่นไร”


 


 


ในสมองมั่วชิงเฉินจึงมีเงาของคนผู้นั้นแวบผ่าน ตนจากมาครั้งนี้ ไม่คิดเลยว่าจะผ่านไปสี่ปีกว่าแล้ว


 


 


“แม่นางมั่ว?” เห็นมั่วชิงเฉินเหมือนใช้ความคิด คุณชายหกเรียกเสียงหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินดึงความคิดกลับมา ยิ้มนิ่งเรียบว่า “คุณชายหกชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถเดินถึงระดับก่อแก่นปราณ มีใครบ้างไม่ใช่บุคคลที่มีฝีมือสูงล้ำ ข้าน้อยสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ได้ ก็เป็นโชคอย่างเหลือล้นแล้ว”


 


 


คุณชายหกยิ้ม ในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแม้ไม่นับว่าเท่าไร ทว่าระหว่างคนกับคนสุดท้ายก็ไม่เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนคนเข้าใจดูก็รู้ว่าถึงขีดสุดแล้ว ไม่อาจก้าวหน้าแล้ว ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรบางคนดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่วไป อนาคตต้องไปถึงความสูงที่ไม่อาจคาดเดาได้


 


 


แม้เขาตบะไม่สูง พลังสายตากลับยังมีอยู่ ดูออกว่าแม่นางมั่วผู้นี้ต่อให้อยู่ในสำนัก ก็ต้องเป็นบุคคลลักษณะเป็นที่โปรดปรานจากฟ้า เกรงว่ายอดฝีมือระดับก่อแก่นปราณที่อยู่สูงเกินเอื้อมในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาเหล่านั้นก็ต้องแย่งกันรับเป็นศิษย์


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บศพของอสูรแปดขา ทั้งสองคนกินโอสถเติมวิญญาณอีกแล้วนั่งปรับลมหายใจคราหนึ่ง นี่ถึงเคลื่อนเรือบินขึ้นมาใหม่


 


 


“แม่นางมั่ว เกรงว่าฟ้าจะสว่างในทันทีแล้ว เจ้านั่งให้ดี ข้าจะเพิ่มความเร็วแล้ว!” คุณชายหกตะโกนเสียงหนึ่ง ถ่ายพลังวิญญาณใส่เรือบินมากขึ้น ความเร็วของเรือบินก็เร็วขึ้นในทันที


 


 


เรือบินยิ่งบินยิ่งเร็ว มองด้วยตาก็จะถึงแหล่งหินโสโครกนั้นแล้ว ทว่าก็ในยามนี้เอง ทางด้านตะวันออกที่ฟ้าและน้ำเชื่อมติดกัน ตะวันสีแดงดวงหนึ่งค่อยๆ โผล่ออกมา


 


 


ในยามที่ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ทันใดนั้นแหล่งหินโสโครกผืนนั้นส่องแสงสว่างไสว จากนั้นผิวทะเลที่เงียบสงบก็กระจายออกรอบๆ เหมือนม่าน เผยให้เห็นกลุ่มหินโสโครกรูปร่างประหลาดทั้งแถบ ตามติดมาด้วยเสียงร้องประหลาดเหมือนบรรเลงดนตรี เสียงร้องดำเนินอยู่ชั่วครู่ ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบ


 


 


คุณชายหกยิ้มระทมเสียงหนึ่ง บังคับเรือบินร่อนลงบนผิวทะเล หยุดอยู่ที่เดิมว่า “แม่นางมั่ว ทีนี้แย่แล้ว เดิมทีข้านึกว่าต้องผ่านตรงนี้ไปได้ก่อนฟ้าสางแน่นอน ใครจะรู้ว่าโรมรันพันตูกับอสูรแปดขากลายพันธุ์ใช้เวลามากเกินไป คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิตจริงๆ”


 


 


มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้วว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรารอพระอาทิตย์ตกค่อยผ่านไปเป็นเช่นไร?”


 


 


เมื่อครู่โรมรันกับอสูรแปดขาใช้เวลาไปไม่น้อยจริงๆ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรหลังจากสู้รบการปรับลมหายใจพักเอาแรงยิ่งเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


 


คุณชายหกยิ้มระทมอีกครั้งว่า “แม่นางมั่ว ยังจำที่ข้าพูดว่าวันนี้เป็นกำหนดการสุดท้ายที่จะไปทะเลใต้ได้หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า


 


 


คุณชายหกพูดต่อว่า “ก็คือเพราะว่าพวกเราจำเป็นต้องเร่งเดินทางให้ถึงเกาะที่ชี้เฉพาะแห่งหนึ่งก่อนพรุ่งนี้ เกาะเกาะนั้นเมื่อถึงพรุ่งนี้ก็จะจมหายลงในทะเล จนกระทั่งเดือนสามปีหน้าถึงโผล่พ้นขึ้นมาได้อีกครั้ง”


 


 


ที่แท้คุณชายหกคนนี้รอตนอยู่ตลอดจริงๆ หากสุดท้ายตนไม่ไป เขาจะทำเช่นไรนะ?


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ มั่วชิงเฉินอดนับถือความห้าวหาญในการทุบหม้อจมเรือส่วนนี้ของคุณชายหกไม่ได้ จึงแย้มหนึ่งยิ้มทันที “คุณชายหก ในเมื่อหลบไม่พ้น เช่นนั้นพวกเราก็สู้เถอะ!”

 

 

 


ตอนที่ 161 ทันใดนั้นได้ยินว่ามีคนมาเยือน

 

คุณชายหกมองใบหน้าที่แน่วแน่ของมั่วชิงเฉิน ในใจรู้สึกกล้าหาญขึ้นมาทันที ในเมื่อหญิงสาวคนหนึ่งยังองอาจสง่างามได้ถึงเพียงนี้ ตนยังมีอะไรต้องยำเกรงอีกเล่า จึงพยักหน้าทันทีว่า “ดี เราก็ลองสู้กับอสูรปีศาจพวกนั้นสักตั้ง”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็ชี้ที่หมู่หินโสโครกอีกว่า “แม่นางมั่วเจ้าดู อสูรทะเลพวกนั้นก็พำนักอยู่ที่นั่น พวกมันเป็นอสูรปีศาจชั้นหนึ่ง ตัวเดียวพลังไม่แข็งแกร่ง ทว่ามีจำนวนมากนัก ยามที่เราผ่านตรงนั้นจะมีอุปสรรคไม่น้อย สีบนตัวพวกมันไม่ต่างกับหินโสโครกสักเท่าไร มีเพียงเวลาจู่โจมถึงจะแลบลิ้นสีแดงออกมา แม่นางมั่วเจ้าต้องจำไว้ให้มั่น ลิ้นของพวกมันมีพลังดึงดูดพิเศษชนิดหนึ่ง อาวุธเวทเหินหาวของเราไม่อาจใช้ได้ตรงนั้น ยิ่งกว่านั้นหากถูกลิ้นแตะถูกตัวจะสลัดให้หลุดได้ยากนัก กลิ่นที่เหลือทิ้งไว้ยิ่งจะดึงให้อสูรทะเลนับไม่ถ้วนเข้ามาล้อมโจมตี


 


 


“อสูรทะเลชนิดนั้นเรียกว่าอันใด?” มั่วชิงเฉินฟังอย่างตั้งใจจนจบแล้วถามว่า


 


 


คุณชายหกเอ่ยว่า “เพราะว่ารูปร่างคล้ายจำพวกกบอยู่บ้าง คนของเราที่นี่จึงเรียกพวกมันว่าอสูรกบกินตะวัน เป็นอสูรปีศาจธาตุไฟที่พบได้ไม่บ่อยทางเรานี่”


 


 


“จุดอ่อนล่ะ?” มั่วชิงเฉินถามอีกว่า


 


 


คุณชายหกครุ่นคิดทีหนึ่งว่า “คือจมูก ทว่าจมูกของพวกมันเล็กมาก อีกทั้งการเคลื่อนไหวก็คล่องแคล่ว จู่โจมให้ถูกได้ยากนัก ปกติล้วนใช้แข็งปะทะแข็งฆ่าให้ตายหมดเรื่อง อย่างไรเสียระดับชั้นก็ไม่สูง”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าเข้าใจ ไม่ส่งเสียงอีก


 


 


สองคนจัดเตรียมอยู่พักหนึ่ง จึงมุ่งหน้าบินไปที่หมู่หินโสโครก รอถึงยามที่ไปถึง มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ว่าเรือบินใต้เท้าจมลงจริงๆ ร่วงลงสู่ข้างล่าง


 


 


ไม่รอให้เรือบินร่วงลงไป คุณชายหกก็โบกมือเก็บมันกลับ ทั้งสองคนร่อนลงบนก้อนหินพร้อมกัน


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงสัมผัสนิ่มๆ ส่งมาจากใต้เท้า รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันที กระโดดขึ้นอย่างว่องไว สุดท้ายพบอสูรกบขนาดเท่าที่โกยผงตัวหนึ่งแฝงกายเป็นหนึ่งเดียวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว หากไม่ใช่เพราะหลังจากถูกนางเหยียบแล้วโมโหจนท้องพองขึ้นพองลง นางก็มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง


 


 


อสูรกบกินตะวันนั่นเดิมทีกำลังหงายท้องตากแดดอย่างสบายอารมณ์ ไม่คิดว่าจะมีภัยตกจากฟ้า ถูกผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเหยียบจนเกือบขาดใจ จึงยื่นลิ้นสีแดงสด ตวัดไปทางคนคนนั้นทันที


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นอย่างชัดเจนบนลิ้นยาวๆ ของอสูรกบกินตะวันเต็มไปด้วยหนามกลับ ยามเดียวกับที่ตวัดมาทางนางยังพ่นไฟออกมากองหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินถอยหลังอย่างปราดเปรียว ดึงก้อนอิฐออกมาตบไปที่มันอย่างดุดัน


 


 


มั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางอย่างแท้จริง ความแรงและพลังวิญญาณที่เกิดจากก้อนอิฐมิใช่สิ่งที่อสูรปีศาจชั้นหนึ่งที่เทียบเท่ากับระดับหลอมลมปราณในมนุษย์พึงจะรับไหว จึงได้ยินเพียงเสียงน้ำดัง ‘พรึบ’ อสูรกบกินตะวันถูกตบกลายเป็นโคลนตมกองหนึ่ง ในเวลาเดียวกันนี้เองลูกไฟในร่างมันระเบิดออกมา กลายเป็นสะเก็ดไฟนับไม่ถ้วนบินไปทุกทิศทุกทาง


 


 


เมื่อสะเก็ดไฟกระเด็นไปรอบทิศ จึงสะกิดถูกอสูรกบกินตะวันที่อยู่รอบๆ นับไม่ถ้วน พวกมันต่างพองหนังท้องส่งเสียง ‘อ๊อบๆ’ แลบลิ้นจู่โจมไปที่มั่วชิงเฉิน


 


 


น่าสงสารมั่วชิงเฉินแม้แต่ก้อนอิฐก็ไม่ทันได้เก็บกลับมา ก็ต้องตบลงไปอีก ถึงตอนหลังนางไม่ต้องดูอย่างละเอียดแล้ว แต่ละทีที่ก้อนอิฐตบลงไปก็ต้องมีอสูรกบกินตะวันตัวสองตัวกลายเป็นโคลนตมที่มีน้ำสีเหลืองเขียวไหลออกมากองหนึ่ง นางยังต้องหลบลูกไฟที่พวกมันระเบิดออก อีกทั้งต้องระวังอย่าเหยียบถูกอสูรกบกินตะวัน ในชั่วเวลาหนึ่งมือไม้พัลวันพัลเกไปหมด


 


 


“แม่นางมั่ว อย่าฝักใฝ่การสู้ เดินหน้าไป!” คุณชายหกตะโกนบอกเสียงดัง


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปทางเขา พบว่าเขาก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน กำลังโบกง่ามปลาใหญ่อันนั้นเสียบไปที่อสูรกบกินตะวัน บนขายังถูกลิ้นของอสูรกบกินตะวันตัวหนึ่งพันไว้ไม่ปล่อย สะบัดไปสะบัดมาตามการขยับของเขา ดูแล้วทั้งน่าขยะแขยงทั้งตลก


 


 


มองดูบนพื้นที่ไม่มีที่ให้ยืน มั่วชิงเฉินเม้มปาก เคลื่อนพลังวิญญาณเสกคาถาเคลื่อนเงาเลือนราง ร่างกายเบาโหวงกระโดดออกไปไกลสี่ห้าจั้ง


 


 


เป็นเช่นนี้ด้านหนึ่งใช้ก้อนอิฐตบอสูรกบกินตะวันที่ดาหน้าเข้ามาตาย อีกด้านหนึ่งเสกคาถาเคลื่อนเงาเลือนรางบินทะยานไปข้างหน้า ไม่นานนักก็ทิ้งคุณชายหกออกไปไกล


 


 


ด้านนี้มั่วชิงเฉินวิ่งอย่างรวดเร็ว อสูรกบกินตะวันที่ถูกนางกระตุ้นจึงต่างวิ่งไปหาคุณชายหก คุณชายหกที่บนแขนบนขามีกบตัวใหญ่เกาะอยู่หลายตัวยิ้มระทมเสียงหนึ่ง ล้วงยันต์ระเบิดไฟใบหนึ่งโยนออกไป


 


 


มั่วชิงเฉินได้ยินเพียงเสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น หันหน้าไปดู ข้างหน้าคุณชายหกเก็บกวาดออกมาได้เป็นบริเวณกว้าง อีกทั้งยังมีกลิ่นกบย่างลอยมา


 


 


คุณชายหกหน้าบึ้ง เสกคาถาเหยียบลมทะยานไปข้างหน้า เมื่อสลัดไม่หลุดจริงๆ จึงทิ้งยันต์ระเบิดไฟออกมาอีกใบเพื่อเปิดทาง


 


 


หนึ่งชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดทั้งสองคนก็หลุดออกจากหมู่หินโสโครกจนได้


 


 


“สะ…สะใจจริงๆ!” คุณชายหกแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะขับเคลื่อนเรือบินก็ไม่มีแล้ว จึงปล่อยให้เรือเล็กลอยอยู่บนผิวทะเล ตนนอนหงายอ้าซ่าอยู่บนเรือ ไม่มีมาดสง่าอ่อนโยนของคุณชายผู้สูงศักดิ์เหลืออยู่อีก


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางเขาเช่นนี้ กลับเจริญหูเจริญตาขึ้นมาหน่อย ถอนใจเช่นกันว่า “น่า…น่าขยะแขยงจริงๆ!”


 


 


พูดจบสองคนประสานตากันปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน


 


 


สองคนที่หมดเรี่ยวแรงพักได้ชั่วครู่ นี่ถึงลุกขึ้นมานั่งสมาธิปรับลมหายใจ รอฟื้นฟูพลังวิญญาณในกายแล้ว ถึงขับเคลื่อนเรือเล็กบินขึ้นเหนือผิวน้ำ บินไปข้างหน้าใหม่


 


 


คุณชายหกก้มหน้ามองความทุลักทุเลเต็มตัวของตน แล้วกวาดสายตามองเสื้อผ้ามั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอีก เอ่ยว่า “แม่นางมั่ว เจ้าอดทนสักหน่อย รอเราบินผ่านเกาะชี้นำเกาะนั้น ค่อยหาสถานที่ชำระล้างเปลี่ยนเสื้อสักหน่อย”


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดใส่ตาดูตนเองปราดหนึ่งตามเรื่องว่า “ไม่เป็นไร เรื่องเป็นการเป็นงานสำคัญกว่า”


 


 


คุณชายหกผ่อนคลายลงสักหน่อย ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในเรือบินมากขึ้น เร่งให้แล่นไปข้างหน้า


 


 


เป็นเช่นนี้บินอยู่เหนือผิวน้ำมาสามชั่วยามกว่า ในยามที่ทั้งสองคนเบิกตากว้างค้นหาเกาะชี้นำจนต่างรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยนั้น ในที่สุดก็ค้นพบหมู่เกาะที่ยกตัวสูงขึ้นมาลอยอยู่บนผิวทะเล


 


 


“แม่นางมั่ว ถึงแล้ว!” คุณชายหกสีหน้าดีใจ เร่งเรือบินให้เร็วขึ้นอีกทันที


 


 


ไม่นานนักทั้งสองคนก็เร่งมาถึง มั่วชิงเฉินพบว่าพื้นที่เกาะชี้นำนี้เล็กมาก กลับเหมือนประภาคารที่สูงและเล็กมากกว่า บนยอดแหลมมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง บนต้นไม้ออกผลเพียงผลเดียว


 


 


คุณชายหกกระโดดลงจากเรือบินลงบนเกาะ สองสามก้าวก็ปีนไปถึงจุดสูงสุด ยืนมองอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ แล้วถึงวกกลับไป ยิ้มบอกมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว ไปเถอะ”


 


 


พูดพลางปรับเปลี่ยนทิศทางเรือบิน แล้วขับเคลื่อนบินไป


 


 


มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างอย่างฉงน “คุณชายหก เกาะชี้นำนี้ชี้นำทิศทางเช่นไร?”


 


 


คุณชายหกยื่นมือชี้ว่า “เจ้าเห็นต้นไม้ต้นนั้นหรือไม่? ก็คือผลไม้บนต้นไม้นั้น อาศัยการเปลี่ยนแปลงของสีของมันมาแยกแยะทิศทาง”


 


 


 “หรือว่าจะเป็นเมื่อก่อนมีคนเคยมา แล้วจดทิศทางไว้เช่นนั้นหรือ?” มั่วชิงเฉินอดถามไม่ได้ แม้นางเข้าใจว่าการที่คุณชายหกทำเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ทำเรื่องเกินจำเป็น ทว่ายังคงอยากถามให้รู้เรื่องอยู่ดี


 


 


คุณชายหกส่ายศีรษะหัวเราะว่า “น่านน้ำผืนนั้นของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่มีหลักแหล่งแน่นอน แต่จะเปลี่ยนแปลงปีละครั้ง อยากหาทิศทางที่ถูกต้อง ก็จะไม่มีเกาะชี้นำนี้ไม่ได้ นี่ยังเป็นเรื่องที่ท่านบรรพบุรุษระดับก่อกำเนิดของตระกูลหวังเราเมื่อพันปีก่อนเป็นผู้ค้นพบ เล่าลือกันว่าเกาะชี้นำนี้มีค่ายกลที่เขาตั้งเองกับมือถึงมีผลอัศจรรย์เช่นนี้ สามารถชี้แนะรุ่นหลังระดับสร้างรากฐานเช่นพวกเราไปตามหาโอกาสวาสนา”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าธรรมชาติช่างอัศจรรย์ ไม่คิดว่าน่านน้ำก็สามารถย้ายที่ได้อย่างไม่มีใครรู้ ส่วนวิธีการต่างๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เก่งกาจเหล่านั้น ยิ่งทำให้คนหลงใหล จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ว่า “เล่าลือกันว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมีความสามารถในการพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร[1] หากมีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาสักครา ต้องได้รับประโยชน์เป็นแน่”


 


 


“แม่นางมั่วไม่เคยพบเช่นนั้นหรือ?” คุณชายหกถาม


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก “เป็นอันใดหรือ หรือว่าข้าควรได้พบหรือ?”


 


 


คุณชายหกหัวเราะคิกคักว่า “ตระกูลหวังเราไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมานานแล้ว บัดนี้ที่สูงที่สุดก็คือระดับก่อแก่นปราณระยะปลายเท่านั้น พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่รุ่นต่อรุ่น ย่อมไม่มีวาสนาได้พบ ทว่าแม่นางมั่วเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่ สิ่งที่รู้ที่เห็นต้องมากกว่าพวกเราเป็นแน่”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “คุณชายหกตัดสินจากอันใดว่าข้าเป็นศิษย์สำนักใหญ่?”


 


 


คุณชายหกยิ้มแต่ไม่พูด


 


 


สองคนสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาถึงบัดนี้ ความสัมพันธ์สนิทสนมขึ้นมาก มั่วชิงเฉินจึงว่า “ทางพวกเรานั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ไม่ใช่พบได้ทั่วไปเหมือนผักกาดดังที่คุณชายหกคิดหรอกนะ”


 


 


คุณชายหกอักอ่วนว่า “แม่นางมั่ว ข้าน้อยไม่เคย…ไม่เคยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเป็นผักกาดมาก่อน…”


 


 


“หึๆ เอาเป็นว่าต่อให้เป็นสำนักใหญ่บางสำนัก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็น้อยนักที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน นอกเสียจากจะมีเรื่องสำคัญอันใด มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเช่นพวกเราหากอยากพบผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิด ก็ได้แต่อาศัยโอกาสวาสนาแล้ว” มั่วชิงเฉินอธิบายว่า


 


 


จากคำพูดของมั่วชิงเฉิน คุณชายหกฟังออกว่าสำนักที่นางสังกัดมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจริงๆ จึงอดสนใจขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ทราบว่าทางพวกเจ้านั่นเรื่องเช่นไรถึงนับว่าเป็นเรื่องสำคัญล่ะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วว่า “ที่เห็นบ่อยที่สุด น่าจะเป็นศิษย์ในสำนักสำเร็จได้แก่นทอง จัดพิธีก่อแก่นปราณ ผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิดในสำนักหากไม่ใช่กักตนอยู่หรือว่าออกมาฝึกตนล่ะก็ ก็จะเข้าร่วมพิธี”


 


 


คุณชายหกเอ่ยอย่างหลงใหลว่า “พิธีก่อแก่นปราณของพวกเจ้าทางนั้น คงต้องครึกครื้นมากเป็นแน่สินะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “ที่จริงตั้งแต่ข้าเข้าสำนัก ยังไม่เคยเห็นพิธีก่อแก่นปราณมาก่อน ทว่าได้ยินว่าเวลามีพิธีก่อแก่นปราณ ในสำนักสูงจนถึงผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิด ต่ำจนกระทั่งถึงศิษย์ระดับหลอมลมปราณต่างไปอวยพร ครึกครื้นนั้นต้องแน่นอนอยู่แล้ว”


 


 


ในใจแอบคิดว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนล่าสุดในพรรคเหยากวงก็คืออาจารย์ของตนแล้ว พริบตาเดียวหลายสิบปีผ่านไป เล่าลือกันว่าศิษย์พี่ทั้งชายหญิงระดับสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์หลายคนต่างทะลวงแก่นปราณล้มเหลว บัดนี้คนที่เป็นตัวเลือกในการก่อแก่นปราณ ก็คือศิษย์พี่เยี่ยผู้ได้รับความเมตตาจากฟ้าผู้นั้นแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินนึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้วทอดถอนใจอยู่บ้าง ส่วนคุณชายหกได้ฟังแล้วก็ยิ่งสะกิดความรู้สึกยิ่งนัก ในชั่วเวลาหนึ่งทั้งสองคนจนด้วยคำพูด ได้แต่นั่งนิ่งเงียบอยู่ในเรือปล่อยให้บินไป ข้างหูล้วนเป็นเสียงหวีดร้องของลมทะเลและเสียงคลื่น


 


 


“แม่นางมั่ว เราก็พักผ่อนที่นี่สักหน่อยเถอะ” เดินทางอีกระยะหนึ่ง ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว คุณชายหกจึงค่อยๆ ร่อนเรือบินลงบนเกาะเกาะหนึ่ง


 


 


จากบนฟ้าสามารถดูออกว่าพื้นที่ของเกาะนี้เล็กนัก ไม่มีปราณวิญญาณสักสาย ต้นไม้ก็กะหร็อมกะแหร็ม ดูท่าทางไม่น่ามีอสูรปีศาจชั้นสูงอยู่ เป็นสถานที่เหมาะกับการพักผ่อนจริงๆ


 


 


ทั้งสองคนขึ้นเกาะ ใช้จิตตระหนักกวาดหมู่เกาะรอบหนึ่ง ไม่พบสิ่งผิดปกติ คุณชายหกจึงอาศัยต้นไม้ผูกเปลไว้สองหลัง


 


 


เขาบอกกล่าวทีหนึ่ง หาสถานที่เปลี่ยวชำระล้างสิ่งสกปรกบนตัว ถึงหันมาหามั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว เจ้าก็ไปชำระล้างเถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า หาสถานที่เสกคาถาธาตุน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด แล้วใช้คาถาอบเสื้อผ้าให้แห้ง ยามที่กำลังจะย้อนกลับไปนั่นเอง ทันใดนั้นจิตตระหนักก็สัมผัสความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณระลอกหนึ่งได้ มีผู้บำเพ็ญเพียรกำลังมุ่งหน้ามาทางที่พวกเขาอยู่!


 


 


 


 


——


 


 


[1] พลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร หมายถึง มีพลังมหาศาล

 

 

 


ตอนที่ 162 ต่างคนต่างมีความคิด

 

มั่วชิงเฉินรีบเร่งกลับไป ส่งเสียงทางจิตให้คุณชายหกว่า “มีคนมาแล้ว” พูดจบรีบเก็บงำกลิ่นอายของตน


 


 


คุณชายหกชะงัก จิตตระหนักของเขาสัมผัสไม่ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เพียงแต่การแสดงออกของมั่วชิงเฉินเสมอมาทำให้เขาเลือกที่จะเชื่อ จึงรีบเก็บงำกลิ่นอายขึ้นมา


 


 


เป็นจริงดังคาด ผ่านไปอีกชั่วครู่ คุณชายหกก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จึงอดมองมั่วชิงเฉินอย่างล้ำลึกปราดหนึ่งไม่ได้


 


 


แม้การแสดงออกของนางจะทำให้เขาตะลึงเสมอมา ทว่าเขาคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรจากที่ต่างกันลักษณะการสู้กันด้วยคาถาต่างกัน พลังที่นางแสดงออกมามีส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้วิชายุทธ์และอาวุธเวทของนางที่มีประสิทธิภาพในการพิชิตอสูรปีศาจในทะเลขนาบใจ


 


 


ทว่าบัดนี้ถึงตกตะลึงว่า ต่างอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นเช่นกัน จิตตระหนักของแม่นางมั่วผู้นี้เหนือกว่าตนเองมากอย่างเห็นได้ชัด และจิตตระหนัก กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดปลอมปน จึงอดมองมั่วชิงเฉินสูงขึ้นขั้นหนึ่งไม่ได้


 


 


ที่จริงจิตตระหนักของมั่วชิงเฉินในยามนี้ก็ไม่ถือว่าโดดเด่นกว่าผู้อื่นเป็นพิเศษ สมัยที่อยู่ระดับหลอมลมปราณนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตตระหนักของตนเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่านางสองสามระดับชั้นจิตตระหนักยังแข็งแกร่งสู้นางไม่ได้


 


 


ทว่าหลังจากถึงระดับสร้างรากฐานแล้ว นางพบว่าความได้เปรียบในด้านจิตตระหนักค่อยๆ น้อยลงแล้ว ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางของนาง จิตตระหนักสูสีกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายธรรมดาส่วนใหญ่ หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันที่บำเพ็ญคาถาลับเพิ่มจิตตระหนักโดยเฉพาะมาก่อนหรือผู้บำเพ็ญเพียรระยะปลายที่พลังแข็งแกร่ง นางก็เทียบไม่ติดแล้ว


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่ค่อนข้างทุลักทุเลร่อนลงบนเกาะ


 


 


คนหนึ่งในนั้นใส่เสื้อยาวสีเหลืองสว่าง สีสันสดใสเห่อเหิมเช่นนี้ใส่อยู่บนตัวผู้ชายกลับดันไม่ให้คนรู้สึกว่าขัดหูขัดตา กลับขับให้ใบหน้าเขาเป็นดังหยก มีราศีหล่อเหลา


 


 


ชายอีกคนหนึ่งใส่เสื้อยาวสีฟ้า รูปลักษณ์อยู่ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรถึงว่าธรรมดามาก ยืนอยู่ข้างชายเสื้อยาวสีเหลืองสว่างยิ่งทำให้ดูด้อยลงมากมาย มีเพียงดวงตาที่ดูแล้วคล่องแคล่วยิ่งนัก คล่องแคล่วจนเกินพอดี


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคุณชายหกข้างๆ ร่างกายแข็งทื่อ จึงอดเหลือบมองเขาปราดหนึ่งไม่ได้ แล้วก็เห็นสีหน้าเขาผิดปกติจริงๆ


 


 


หรือว่า พวกเขารู้จักกัน? มั่วชิงเฉินแอบคิดในใจ


 


 


“เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวก็จะแย่แล้ว!” ชายเสื้อฟ้าเมื่อร่อนลงบนเกาะก็สำรวจรอบๆ ไปพลาง เอ่ยอย่างยังไม่หายกลัวไปพลาง


 


 


ชายเสื้อสีเหลืองสว่างพูดอย่างหมดความอดทนว่า “อย่าพูดมาก รีบสำรวจสถานการณ์ที่นี่เร็ว”


 


 


“รู้แล้วน่ะ พี่สี่” ชายเสื้อฟ้าโอนอ่อนผ่อนตามว่า


 


 


ต่อจากนั้นมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าทั้งสองคนกวาดจิตตระหนักมาทางนี้


 


 


จิตตระหนักสายหนึ่งในนั้นกวาดผ่านที่ทั้งสองคนอยู่อย่างรีบร้อน แล้วกวาดไปยังที่อื่นอีก


 


 


จิตตระหนักอีกสายหนึ่งกวาดผ่านที่มั่วชิงเฉินนี่ ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงกวาดไปทางคุณชายหกนั่น


 


 


มั่วชิงเฉินอดลุ้นจนเหงื่อตกไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเพียรเสื้อเหลืองนั่นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานระยะต้นของคุณชายหกคิดจะหลบการสืบค้นของจิตตระหนักจากคนผู้นั้นเกรงว่าจะไม่ง่าย


 


 


เป็นไปตามคาด มั่วชิงเฉินพบว่ายามที่จิตตระหนักกวาดผ่านที่คุณชายหกนั้นแล้วชะงักทีหนึ่ง แอบร้องว่าแย่แล้ว


 


 


คุณชายหกก็หน้าถอดสีเช่นกัน แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนเพราะยังคงหวังว่าอาจจะโชคดี


 


 


สีหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรเสื้อเหลืองชะงักอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าการที่เขาร่อนลงบนเกาะแล้วใช้จิตตระหนักสืบค้นเป็นการกระทำด้วยความเคยชิน กลับไม่คิดว่าเกาะเล็กๆ รกร้างเช่นนี้ จะมีคนอยู่จริงๆ


 


 


จิตตระหนักสายนั้นจับจ้องอยู่ที่ที่คุณชายหกอยู่ไม่ยอมเคลื่อนไหว ลองแล้วลองอีก ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองออกเสียงว่า “ออกมาเถอะ!”


 


 


“พี่สี่ หรือว่ามีคนอยู่จริงๆ?” ผู้บำเพ็ญเพียรเสื้อฟ้าเอ่ยอย่างตกใจ จากนั้นกวาดจิตตระหนักไปมา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ


 


 


คุณชายหกหน้าซีดเล็กน้อย แล้วมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง


 


 


“ไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องคนไหนอยู่นี่ ในเมื่อมีวาสนาได้พบกันที่นี่ เหตุใดยังหลบๆ ซ่อนๆ หรือว่าจะให้พี่เชิญเจ้าออกมา?” ชายชุดเหลือพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ


 


 


เขาไม่ใช่คนโง่ คนที่สามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ในยามนี้ นอกจากลูกหลานของตระกูลหวังแล้วจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้


 


 


ตระกูลหวังเหมือนกับตระกูลบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ ลูกหลานที่มีรากวิญญาณถึงจะได้รับการจัดอันดับ และเมื่อเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานแล้วก็จะมีการจัดเรียงอันดับใหม่ จากนั้นถึงอนุญาตให้ใช้คำเรียกให้เกียรติเช่นคุณชาย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรเสื้อเหลืองผู้นี้ก็คือคุณชายสี่แห่งตระกูลหวัง ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าร่วมการชิงโอสถครั้งนี้มีสิบคน ส่วนคุณชายสามคนก่อนหน้าเนื่องด้วยสาเหตุต่างๆ กันไม่ได้เข้าร่วม เขาจึงเป็นคนที่อายุมากที่สุดในสิบคนนี้


 


 


คุณชายหกรู้ว่าหลบไม่พ้น จึงบอกเป็นนัยให้มั่วชิงเฉินซ่อนตัวให้ดี ส่วนตนเดินออกมา กอบหมัดว่า “พี่สี่ น้องสิบเจ็ด”


 


 


คุณชายสี่ชะงัก จากนั้นเอ่ยอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มว่า “น้องหก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดหันสายตามา ยิ้มว่า “พี่หก พวกเขาต่างบอกว่าครั้งนี้เจ้าสละสิทธิ์แล้ว วุ่นวายตั้งครึ่งค่อนวันที่แท้เป็นการตบตาคนอื่นหรือนี่ เอ๊ะ ด้วยตบะของท่านไม่คิดว่าจะมาถึงที่นี่โดยลำพังได้ หรือว่าจะได้สมบัติวิเศษอะไรมาน่ะ?”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดพูดออกมาปุ๊บ แววตาของคุณชายสี่ก็เป็นประกายเล็กน้อย


 


 


คำพูดนี่ช่างบาดใจจริงๆ! คุณชายหกเส้นเอ็นสีเขียวบนมือปูดขึ้น ถลึงตาใส่คุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง


 


 


ในตระกูลเขาและคุณชายสี่ไม่ถูกกันเสมอมา คุณชายสิบเจ็ดในฐานะผู้ติดตามคุณชายสี่ ย่อมแทบอยากจะเหยียบตนสักทีตลอดเวลา เพียงแต่ยามนี้การที่เขาพูดเช่นนี้ คือคิดจะฆ่าคนแย่งสมบัติหรืออย่างไร?


 


 


ในยามนี้เองกลับได้ยินเสียงใสไพเราะเสียงหนึ่งว่า “ใครว่าคุณชายหกตัวลำพังคนเดียว?” นึกไม่ถึงว่ามั่วชิงเฉินจะปรากฏตัวเดินออกมา


 


 


“แม่นางมั่ว…” คุณชายหกรีบเอ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มให้เขาทีหนึ่ง ส่งเสียงทางจิตว่า “หากพวกเจ้าตีกันขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไม่ดูดำดูดีก็ไม่ได้อีก เช่นนั้นยังไม่สู้ออกมาดีกว่า เมื่อพวกเขาเกิดความยำเกรงขึ้นมาไม่แน่ก็ไม่ได้ออกแรงแล้ว”


 


 


การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมั่วชิงเฉินทำให้สองคนตกใจยกใหญ่ สายตาคุณชายสิบเจ็ดกวาดไปกวาดมาบนตัวมั่วชิงเฉิน ปากก็ว่า “จิ๊ๆ พี่หก ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้ายังมีฝีมือในด้านนี้หรือนี่ มุ่งหน้าไปทะเลเลื่อนไหลยังมีคนงามคอยเคียงข้างอีก”


 


 


สถานที่ที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณอยู่ถูกตระกูลหวังเรียกเป็นการภายในว่าทะเลเลื่อนไหล


 


 


“น้องสิบเจ็ด เจ้าพูดน้อยหน่อย” คุณชายสี่พูดจบสายตาก็ตกไปอยู่บนหน้ามั่วชิงเฉิน สายตาดูเหมือนมีพลังทะลุทะลวงก็ไม่ปานสามารถมองไปถึงในใจคนได้


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่กระบิดกระบวน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็นเป็นปกติปล่อยให้เขาพิจารณา ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับสร้างรากฐาน จะมีสักกี่คนกันที่เป็นคนบุ่มบ่ามจริงๆ


 


 


แล้วก็เห็นสีหน้าคุณชายสี่ยิ่งมองยิ่งเคร่งขรึม ถึงสุดท้ายเก็บสายตากลับไปแล้วคารวะมั่วชิงเฉินด้วยมารยาทของรุ่นเดียวกัน “ขอบังอาจถามนามแม่นาง?”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะ นางรู้อยู่แล้วว่าคนที่นี่มองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่ง ฐานะต้องเป็นผู้หญิงก่อน แล้วค่อยเป็นผู้บำเพ็ญเพียร จึงตอบทันทีว่า “พวกเจ้าผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่ ชอบถามชื่อผู้อื่นตั้งแต่ในการพบหน้ากันครั้งแรกเช่นนั้นหรือ?”


 


 


โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรน้ำใจบางเบา ปกติต้องคบหากันอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงบอกชื่อเต็มกัน หากเป็นการคบกันธรรมดา ก็จะบอกกันแค่สมญานาม ส่วนเช่นการพบกันโดยบังเอิญเช่นนี้ การถามชื่อเป็นเรื่องที่บุ่มบ่ามมาก


 


 


คุณชายสี่ชะงัก แต่สีหน้ากลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็วแล้วหัวเราะว่า “ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ข้าคือหวังสี่ ไม่ทราบแม่นางให้ขนานนามว่าเช่นไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก แล้วส่งเสียงทางจิตให้คุณชายหกว่า “พวกเจ้าคนตระกูลหวังล้วนเรียกตนเองเช่นนี้หรือ?”


 


 


คุณชายหกส่งเสียงทางจิตอย่างไม่เข้าใจว่า “ใช่น่ะสิ มันเป็นเช่นไรหรือ?”


 


 


“เช่นนั้นคุณชายแปด[1]ล่ะ?” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตต่อ


 


 


คุณชายหกชะงักงัน ทนไม่ไหวต้องหัวเราะขึ้นมา


 


 


คุณชายสี่มองมั่วชิงเฉินและคุณชายหกไม่รู้ส่งเสียงทางจิตอะไรกันอยู่อย่างเย็นชา โตขนาดนี้ยังเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าถูกเมินเฉย กลับฝืนทนความไม่พอใจในใจไว้ เพราะอย่างไรเสียฝีมือของน้องหกเขายังคงรู้ดี สามารถเดินมาถึงก้าวนี้ได้ หญิงสาวตรงหน้าดูถูกไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น…นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานเชียวนะ!


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐาน…นึกถึงตรงนี้ คุณชายสี่เริ่มมีความคิดอะไรขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นปล่อยเขาไว้พอประมาณแล้ว นี่ถึงคารวะกลับว่า “คุณชายสี่ ข้าแซ่มั่ว”


 


 


หน้าตาที่หล่อเหล่าของคุณชายสี่ยิ้มว่า “แม่นางแซ่มั่ว? หึๆ ‘มั่ว’ แซ่นี้นับว่ามีไม่มากนะ”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่แน่ใจว่าคำพูดนี้ของเขาหมายความว่าเช่นไร ก็ได้ยินคุณชายสิบเจ็ดที่อยู่ข้างๆ หัวเราะว่า “นั่นน่ะสิ พี่สี่ ท่านก็มีอนุคนหนึ่งแซ่มั่วมิใช่หรือ กับแม่นางมั่วผู้นี้ช่างมีวาสนากันจริงๆ เลยนะ”


 


 


“น้องสิบเจ็ด ห้ามพูดเหลวไหล แม่นางมั่วสูงส่งเพียงใด อนุเล็กๆ ของข้าคนหนึ่งจะเทียบได้เช่นไรกัน” คุณชายสี่เอ็ด น้ำเสียงกลับไม่หนักแน่นเลยสักนิด


 


 


มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลง “ ‘มั่ว’ แม้ไม่เหมือนแซ่อื่นที่มีเกลื่อนถนนไปหมด ทว่าก็ไม่นับว่าหายาก หากเช่นนี้ก็เอาไปโยงว่ามีวาสนา เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเราก็ยิ่งไม่อาจโดดออกจากผลกรรมทางโลกแล้ว”


 


 


คุณชายหกก็โกรธว่า “น้องสิบเจ็ด อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน พูดจาไม่รู้อะไรควรมิควรเช่นนี้ ทำขายหน้าตระกูลหวังต่อหน้าคนอื่นเปล่าๆ พี่สี่ เจ้าว่าใช่หรือไม่?”


 


 


“เจ้า!” คุณชายสิบเจ็ดยื่นนิ้วออกชี้คุณชายหกว่า


 


 


คุณชายสี่ตบๆ แขนเขา เมื่อพูดกับคุณชายหกก็นิ่งเรียบลงมากแล้ว “น้องหก น้องสิบเจ็ดเป็นคนตรงเสมอมา เหตุใดต้องถือสากับเขาด้วย?”


 


 


คุณชายหกยำเกรงตบะของเขา ไม่ได้พูดต่ออีก


 


 


ฟ้ามืดแล้ว มีคนเพิ่มมาสองคน พวกมั่วชิงเฉินสองคนย่อมไม่อาจนอนอย่างสบายใจได้ จึงต่างนั่งขัดสมาธิเข้าฌานขึ้นมา


 


 


ไม่ไกลออกไป คุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดใช้จิตตระหนักคุยกันอยู่


 


 


“พี่สี่ ท่านว่าหวังหกรู้จักแม่นางมั่วผู้นั้นได้อย่างไร?”


 


 


คุณชายสี่หลับตาอยู่พลางว่า “ยามนี้กังวลเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ รอกลับไปสืบดูก็รู้แล้ว น้องสิบเจ็ด ต่อจากนี้เจ้าต้องสำรวมหน่อย อย่าล่วงเกินแม่นางผู้นั้นเข้าล่ะ”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดชะงัก “เพราะเหตุใด พี่สี่ หรือว่าเราจะไปพร้อมพวกเขา?”


 


 


คุณชายสี่ตอบว่า “เหตุใดจะไม่ได้ เจ้าไม่สังเกตหรือว่าพวกเรามาถึงที่นี่อย่างง่ายดายขึ้นไม่น้อย ต้องเพราะพวกเขาฆ่าอสูรปีศาจไปไม่น้อยก่อนหน้าแล้วเป็นแน่”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดชมว่า “พี่สี่คิดได้รอบคอบ ท่านอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง หวังหกต้องไม่กล้าปฏิเสธเป็นแน่ พวกเราก็ตามพวกเขาไปด้วยกัน รอได้น้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแล้ว ก็…”


 


 


คุณชายสี่น้ำเสียงเคร่งครัดว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะจัดการกับหวังหกเช่นไร แม่นางมั่วผู้นั้น เจ้าห้ามทำร้ายนางแม้ขนสักเส้นเดียว!”


 


 


“พี่สี่?”


 


 


คุณชายสี่กลับไม่ได้อธิบาย แต่เอ่ยอย่างแข็งกร้าวว่า “เจ้าจำข้อนี้ไว้ก็พอแล้ว รอกลับไป พี่สี่ย่อมไม่ให้เจ้าต้องน้อยหน้าแน่นอน!”


 


 


ในใจแอบคิดว่า แม่นางมั่วผู้นั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเชียวนะ ทั่วทั้งทะเลขนาบใจ เขายังไม่เคยพบผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนที่สองมาก่อน


 


 


ยิ่งกว่านั้น พวกเขาสองคนเด็กหนุ่มไม่ประสีประสาดูไม่ออก เขาที่ผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วนมองปราดเดียวก็ดูออก แม่นางมั่วผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นสาวพรหมจรรย์ ยิ่งกว่านั้นอายุต้องไม่เกินสี่สิบปีเด็ดขาด!


 


 


อายุสามสิบกว่าก็สร้างรากฐานแล้ว เทียบกับตนแล้วก็ไม่ห่างกันเท่าไร หากบำเพ็ญเพียรคู่กับนาง บำเพ็ญเคล็ดวิชาลับบำเพ็ญเพียรคู่ชุดนั้นด้วยกัน อย่าว่าแต่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายเลย ต่อให้เป็นระดับก่อแก่นปราณไม่แน่ก็อาจมีความหวัง!


 


 


คุณชายสี่คิดพลางกวาดสายตาที่เร่าร้อนมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง เห็นนางหลับตานั่งเงียบๆ หน้าตาแม้ถูกผมข้างหน้าบังไว้ ท่วงท่าที่อรชรสง่างามกลับปิดไม่มิด ในใจจึงยิ่งร้อนรุ่มขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินดูเหมือนสัมผัสอะไรได้ลืมตาขึ้นกวาดสายตาไปที่คุณชายสี่ปราดหนึ่ง เกิดความคิดขึ้นมา


 


 


คุณชายสิบเจ็ดผู้นั้นดูเหลาะแหละกลับไม่กลัวสิ่งใดเลย ส่วนคุณชายสี่ผู้นี้ภายนอกท่วงท่าสง่างาม ทว่าแววตาที่แสดงออกมาเป็นครั้งคราวกลับทำให้คนกลัว ดูท่าระหว่างทางนี้ตนต้องระวังตัวให้มากแล้ว


 


 


ส่วนอีกด้านหนึ่ง คุณชายหกที่หลับตาปรับลมหายใจถอนหายใจอย่างเบาจนแทบไม่ได้ยินอึดหนึ่ง


 


 


ทั้งสี่คนต่างมีความคิดของตนนั่งอยู่เงียบๆ ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว


 


 


 


 


——


 


 


[1] คุณชายแปด ลูกหลานในตระกูลหวังเรียกตนเองด้วยแซ่ ตามด้วยลำดับ คุณชายแปดก็คือ หวังแปด ในภาษาจีน คือ ‘หวังปา’ ซึ่งเป็นคำด่าหมายถึงไอ้ลูกเต่า


ตอนที่ 163 คำสาปของอีกา

 

“พี่สี่ นี่เจ้าหมายความว่าเช่นไร?” บินอยู่บนทะเลติดต่อกันสามสี่ชั่วยามแล้ว คุณชายสี่สองคนตามติดอยู่ข้างหลังอย่างไม่รีบร้อน ในที่สุดคุณชายหกก็ทนไม่ไหวถามว่า


 


 


คุณชายสี่หน้าตาใจกว้าง “น้องหก จุดหมายปลายทางของเราล้วนเป็นสถานที่เดียวกัน เดินเส้นทางเดียวกันมีปัญหาอะไรเช่นนั้นหรือ? หรือว่าทะเลนี่เป็นของเจ้าผู้เดียวเช่นนั้นหรือ?”


 


 


คุณชายหกชะงัก ในใจแอบโมโหคนเดียว


 


 


“ข้าว่าพี่หก หรือว่าเจ้ารังเกียจที่เราสองคนรบกวนโลกส่วนตัวสองคนของพวกเจ้า?” คุณชายสิบเจ็ดสายตาล่อกแล่ก พิจารณาพวกมั่วชิงเฉินสองคนไปมา


 


 


คุณชายหกหน้าบึ้งว่า “น้องสิบเจ็ด เจ้าอย่าพูดจาสกปรก มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”


 


 


“ฟู่” คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง ไม่ต่อปากต่อคำอีก


 


 


“คุณชายหก เจ้าคิดจะสลัดสองคนนี้ออกจริงหรือ?” มั่วชิงเฉินนั่งว่างอยู่บนเรือบิน แอบส่งเสียงทางจิตว่า


 


 


คุณชายหกตอบว่า “แน่นอน หวังสี่อาศัยที่ตบะสูงกว่าเราสองคน เห็นชัดว่าคิดจะเอาเปรียบเมื่อถึงเวลา”


 


 


“ทว่าระหว่างทางมีพวกเขาอยู่ พบเจออันตรายก็จะสบายขึ้นไม่น้อยมิใช่หรือ?” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตอีก


 


 


คุณชายหกชะงักทีหนึ่งถึงตอบว่า “นี่ก็ใช่ อย่างไรเสียเราต่างมาเพื่อน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ ก่อนจะถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะจริงใจหรือไม่ต่างก็ต้องร่วมมือกันเต็มที่”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้พวกเขาตามก็แล้วกัน ถึงสุดท้ายใครได้เปรียบยังไม่แน่เลย”


 


 


คุณชายหกร้อนรนว่า “แม่นางมั่ว หวังสี่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง หวังสิบเจ็ดแม้จะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น ทว่าฝีมืออยู่ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหลายสิบคนในตระกูลหวังก็นับว่ากลางค่อนไปทางสูงนะ”


 


 


“คุณชายหก หรือว่าเจ้าสู้หวังสิบเจ็ดไม่ได้?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


คุณชายหกสีหน้าเย็นชาลง “ข้าน้อยแม้ด้อยฝีมือ จัดการหวังสิบเจ็ดยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะ นางรู้อยู่แล้วว่า คุณชายหกที่เตรียมตัวไปทะเลเลื่อนไหลโดยลำพังต้องไม่ใช่กระจอกอย่างแน่นอน จึงตอบว่า “เช่นนั้นก็ดี หากพวกเขาคิดไม่ซื่อ พี่สี่ของเจ้าผู้นั้นมอบให้ข้าก็แล้วกัน”


 


 


คำพูดของมั่วชิงเฉินเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทำให้คุณชายหกอึ้งไปทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงทางจิตอย่างลังเลว่า “แม่นางมั่วเอ่ยเช่นนี้ หรือว่ามีอะไร…”


 


 


มั่วชิงเฉินเอ่ยตรงๆ ว่า “อสูรวิญญาณของข้าประท้วงว่าอยู่ในถุงอสูรวิญญาณนานแล้ว อยากออกมารับลมสักหน่อย”


 


 


ในความเป็นจริงคืออีกาไฟขลุกอยู่ในถุงอสูรวิญญาณเฝ้าศพของอสูรแปดขากินอย่างบ้าคลั่ง ไม่เกินหนึ่งวันก็กินจนหมดเกลี้ยง ทำให้มั่วชิงเฉินที่นานๆ ทีก็ใช้จิตตระหนักสนใจสักทีตกใจแทบกระโดด อีกานั่นกินเสร็จก็นอนหลับขึ้นมา จนกระทั่งเมื่อครู่ถึงตื่นมา ไม่รู้เพราะเหตุใดโวยวายจะเป็นจะตายจะออกมาให้ได้


 


 


อย่างไรเสียบัดนี้อีกาไฟก็เป็นอสูรปีศาจชั้นสอง พลังเทียบได้กับคนระดับสร้างรากฐานระยะต้น เดิมทีนางคิดจะใช้มันเป็นแผนสำรอง หากมีสิ่งใดไม่คาดคิดยังสามารถมีประโยชน์ในการใช้เป็นไพ่ตายเอาชนะได้ ทว่าบัดนี้ดูแล้ว ขืนนางไม่รับปากอีก อีกาไฟจะต้องใช้แผนร้องไห้โวยวายฆ่าตัวตายแล้ว


 


 


“ไม่นึกเลยว่าแม่นางมั่วยังเลี้ยงอสูรวิญญาณไว้ด้วย?” คุณชายหกเอ่ยอย่างตกตะลึง


 


 


ในตระกูลหวังของพวกเขาคนที่เลี้ยงอสูรวิญญาณที่พอจะออกหน้าออกตาได้ก็มีเพียงท่านปรมาจารย์ระดับก่อแก่นปราณสองท่านเท่านั้น ต่อให้พี่สี่ที่มีหน้ามีตาคนนี้ก็ไม่มีพลังกายใจและกำลังทรัพย์ที่จะเลี้ยงอสูรวิญญาณได้


 


 


สาเหตุไม่ใช่อื่นใด อายุขัยของอสูรวิญญาณยาวกว่ามนุษย์มากนัก การเลื่อนชั้นก็ช้ามากเช่นกัน หากคิดจะใช้ประโยชน์จากอสูรวิญญาณ เช่นนั้นระดับชั้นของอสูรวิญญาณอย่างน้อยที่สุดก็ไม่อาจต่ำกว่าเจ้านายมากเกินไป มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่แรงสนับสนุนแล้วหากแต่จะเป็นภาระ ทว่าอสูรวิญญาณเลื่อนชั้นกลับต้องการกินโอสถจำนวนมาก ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่หินวิญญาณยังไม่พอให้ตัวเองจับจ่ายใช้สอยเลย จะยอมเอาไปซื้อโอสถให้อสูรวิญญาณกินได้อย่างไร


 


 


และถ้าไม่ให้อสูรวิญญาณกินโอสถ เพียงปล่อยให้มันเติบโตเองตามธรรมชาติล่ะก็ เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ถึงตายก็ไม่ได้เห็นอสูรวิญญาณเลื่อนชั้น การเลี้ยงอสูรวิญญาณจึงไร้ความหมาย


 


 


ยกเว้นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงบางคนจะเลี้ยงอสูรวิญญาณที่รูปลักษณ์ภายนอกน่ารัก นั่นจึงไม่ได้เลี้ยงเพื่อเป็นสหายในการรบ หากแต่เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความสนุกเท่านั้น


 


 


ดังนั้น เมื่อคุณชายหกได้ยินว่ามั่วชิงเฉินมีอสูรวิญญาณถึงได้ตกใจเช่นนี้ ต่อให้รู้สึกว่ามั่วชิงเฉินไม่ใช่คนประเภทนี้ กลับยังอดเดาไม่ได้ว่าที่นางเลี้ยงคงไม่ใช่กระต่ายน้อยสีขาวหรอกนะ


 


 


มีหมู่เกาะหนึ่งในทะเลขนาบใจมีหญ้าเขียวชอุ่มตลอดปี นิยมเพาะกระต่ายหิมะชนิดหนึ่ง กระต่ายหิมะชนิดนี้อ่อนโยนน่ารัก ตาเหมือนแก้วสีแดง ทั่วร่างสะอาดดุจหิมะ เป็นที่ชื่นชอบของเด็กเล็กและหญิงสาวบางคนนัก โดยเฉพาะขนของมันอบอุ่นสบายตัว อุ้มไว้ในมือก็เหมือนกอดเตาอุ่นมือไว้ หากเย็บขนกระต่ายไว้บนเสื้อผ้า ยิ่งกันความหนาวได้ผลดีนัก เป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวฐานะร่ำรวยยิ่งนัก


 


 


ต่อให้ที่ทวีปเทียนหยวน ว่ากันโดยปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่ค่อยจะเลี้ยงอสูรวิญญาณประเภทใช้สู้รบกัน ทว่ามั่วชิงเฉินไม่เพียงแต่จับพลัดจับผลูได้อีกาไฟมา ยังได้ของดีตกจากฟ้าได้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตอีก แม้จะบอกว่าตัวข้างหน้าเป็นพวกเอะอะมะเทิ่ง ตัวข้างหลังเป็นพวกทำไร่ทำสวนไม่สู้กับใคร ก็ยังนับว่าหายากในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว


 


 


นี่ก็เป็นสาเหตุที่อีกาไฟแม้ปากชอบเอาเปรียบในใจกลับยอมรับมั่วชิงเฉิน มันที่เปิดปัญญาวิญญาณนานแล้วไม่โง่หรอกนะ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่เห็นอีกาไฟที่พรสวรรค์ไม่สูงในสายตา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็เลี้ยงไม่ไหว ให้เปล่าๆ ก็ไม่เอา มันไม่เกาะมั่วชิงเฉินไว้จะไปเกาะใคร แน่นอนคำพูดพวกนี้มันไม่เคยพูดออกจากปากอยู่แล้ว มีเพียงยามที่มั่วชิงเฉินเถียงกับมันเท่านั้น มันถึงจะบ่นอยู่ในใจว่า ‘หลอกกินเจ้าเปล่าๆ ให้ล่มจมไปเลย!’


 


 


ส่วนผึ้งวิญญาณเลือดมรกต มันที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวก็รู้สึกได้ว่าตั้งแต่ตามมั่วชิงเฉินแล้วได้กินของดีบ่อยๆ ร่างกายนับวันยิ่งสบายขึ้นมา ย่อมสนิทสนมกับเจ้านายใหม่ผู้นี้ขึ้นทุกวันเป็นธรรมดา


 


 


เห็นคุณชายหกตกตะลึง มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “ด้วยโอกาสวาสนานำพาเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง ทว่าเพิ่งเลื่อนชั้นถึงชั้นสอง”


 


 


คุณชายหกได้ยินแล้วตกใจใหญ่ อสูรวิญญาณชั้นสอง นั่นเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นแล้ว มิน่าแม่นางมั่วผู้นี้ถึงมั่นใจเช่นนี้ ด้วยฝีมือนางบวกกับอสูรวิญญาณชั้นสอง ไม่แน่อาจมีความสามารถสู้หวังสี่ได้จริงๆ ก็ได้


 


 


คิดถึงตรงนี้ก็แอบคิดว่าตนโชคดีอีก โชคดีที่ตนไม่มีความคิดไม่ถูกไม่ควรแต่อย่างใด มิเช่นนั้นจุดจบไม่ต้องถามก็รู้แล้ว


 


 


อีกาไฟโวยวายอยู่ในถุงอสูรวิญญาณอย่างรุนแรง เหมือนกินยากระตุ้นประสาทก็ไม่ปาน มั่วชิงเฉินสื่อสารกับมันอยู่ในสมองไม่ได้ผล จึงปล่อยมันออกมาโดยตรง คิดอีกทีเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ให้สองคนนั้นมีความยำเกรงบ้าง จะได้คิดมิดีมิร้ายให้น้อยลง


 


 


เมื่ออีกาไฟถูกปล่อยออกมา ก็บินไปบนฟ้าทันที พ่นไฟออกมากลุ่มหนึ่ง ห่อหุ้มร่างกายมันไว้ภายใน


 


 


ที่เหลืออีกสามคนตกใจแทบกระโดด ระหว่างที่ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่างนั้นเห็นเพียงเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่กลางอากาศเหมือนก้อนเมฆสีแดงก้อนหนึ่ง ข้างในมีเงาของนกปีกยาวหางยาวกำลังทำท่ากางปีกหวังจะบิน กระทั่งสามารถได้ยินเสียงนกร้องไพเราะดังก้องมา


 


 


แม้คุณชายหกจะตกใจ กลับเพราะเตรียมใจว่าแล้วจึงใจเย็นลงมา พวกคุณชายสี่สองคนที่นั่งอยู่บนเรือใบอีกลำหนึ่งกลับหน้าถอดสี รีบล้วงอาวุธเวทโจมตีออกมาทันที


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่คิดว่าวันนี้อีกาไฟจะออกมาอย่างสง่าเช่นนี้ กลับหน้าไม่เปลี่ยนสีว่า “ทั้งสองท่านอย่าลงมือ นี่เป็นอสูรวิญญาณของข้า”


 


 


“อะไรนะ?” พวกคุณชายสี่สองคนตกใจร้องพร้อมกัน ในสายตาที่ประสานกันเผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อและความหวาดกลัว


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดเมฆไฟก้อนนั้นก็ดับไป อีกาไฟในนั้นปรากฏตัวออกมา ร้องแว้ดๆ สองเสียงอย่างพอใจ แล้วบินไปเกาะบนไหล่มั่วชิงเฉิน


 


 


นี่…


 


 


ต่อให้ในยามปกติผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมีอสูรวิญญาณชั้นสองตัวหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ทว่าตอนที่อสูรวิญญาณเพิ่งออกมานั้นอานุภาพเกรียงไกรถึงเพียงนั้น สภาพเช่นนั้นกระทั่งทำให้คนอดนึกไปถึงวิหคอาบเพลิงอย่างไม่รู้ตัว ทว่าใครจะรู้ว่าสุดท้ายปรากฏร่างออกมา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นอีกาดำปี๋ตัวหนึ่ง ในสายตาคุณชายตระกูลหวังทั้งสามคน ต่างเกิดความรู้สึกเหมือนกันอย่างหาได้ยากว่าไร้สาระ


 


 


“แม่นางมั่ว อสูรวิญญาณของเจ้า เป็น…เป็นอีกาตัวหนึ่ง?” คุณชายสี่ที่แสดงออกอย่างสง่างามไม่ธรรมดาเสมอมาเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาด


 


 


คุณชายสิบเจ็ดยิ่งเบิกตากว้าง อดขำไม่ได้ว่า “อีกา นี่ก็ช่าง…”


 


 


พูดได้ครึ่งเดียวกลับต้องหยุดลงทั้งอย่างนั้น


 


 


เพียงเพราะพวกเขาเห็นกับตาว่าอีกาไฟที่ร่อนลงบนไหล่มั่วชิงเฉินเต้นแร้งเต้นกาด่าว่า “อีกาแล้วเป็นเช่นไร ฮึ พวกเจ้าไม่เห็นข้าในสายตา ข้าต่างหากที่ไม่เห็นพวกเจ้าในสายตาน่ะ!”


 


 


ทั้งสามคนกลายเป็นหินทันที


 


 


อีกาไฟกลับยังร้องด่าไม่หยุด คำพูดยาวเป็นพรวนฟังจนมั่วชิงเฉินก็รู้สึกอักอ่วนขึ้นมา คิดอย่างละอายใจว่าคนอื่นคงไม่คิดว่านางเป็นคนสอนหรอกนะ? จึงรีบส่งเสียงทางจิตว่า “เจ้าจะรักษาภาพพจน์กุลสตรีสักหน่อยไม่ได้หรือ?”


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใดคำพูดนี้อีกาไฟฟังเข้าไปแล้ว จึงหยุดด่าทันที เก็บปีกขึ้นก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง ทำท่าเหมือนสะใภ้ตัวน้อย


 


 


ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ทั้งสามคนถึงมีสติขึ้นมาจากสภาพแข็งเป็นหิน


 


 


คุณชายสิบเจ็ดยังคงไม่เชื่อว่า “อีกาไม่คิดว่า ไม่คิดว่าจะพูดได้?”


 


 


คุณชายสี่ที่อยู่ข้างๆครั้งนี้ไม่ได้เปิดปาก สิ่งที่เขาคิดกลับคือไม่นึกเลยว่าจะเป็นอสูรวิญญาณชั้นสองที่พูดได้? หรือว่ามันไม่ใช่อสูรวิญญาณชั้นสองธรรมดา? เช่นนี้แล้ว เกรงว่าแผนที่ตนวางไว้แต่แรกต้องเปลี่ยนแผนสักหน่อยแล้ว


 


 


ก่อนหน้านี้เคยพูดแล้วว่าอสูรปีศาจต้องถึงชั้นห้าถึงเปิดปัญญาวิญญาณได้ ส่วนอีกาไฟเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาชนิดหนึ่ง ถึงชั้นสองก็สามารถพูดภาษาคนได้แล้ว เพียงแต่ทะเลขนาบใจอยู่ในที่ห่างไกลผู้คน ไม่ค่อยได้สื่อสารกับโลกภายนอก ดังนั้นจึงไม่รู้จักชนิดของอีกานี้ ได้ยินว่ามันพูดได้ ทั้งสามคนล้วนตั้งตัวไม่ค่อยติดอยู่บ้าง


 


 


อีกาไฟตั้งแต่หลังจากเลื่อนชั้นก็กินศพของอสูรแปดขาอสูรปีศาจชั้นสามเข้าไปอีก ไม่รู้เพราะเหตุใดนับวันอารมณ์ยิ่งขี้หงุดหงิดขึ้น ได้ยินคำพูดของพวกเขาแล้วขยับจะงอยปากทีหนึ่งก็จะโต้กลับ


 


 


“ภาพพจน์กุลสตรี ภาพพจน์!” มั่วชิงเฉินรีบส่งเสียงทางจิตบอก


 


 


อีกาไฟทนแล้วทนอีก นี่ถึงได้หลุบตาลงครึ่งหนึ่ง พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “อีกาก็พูดได้เช่นกัน ก็เหมือนพวกเจ้าที่บินได้เช่นกัน”


 


 


คำพูดนี้แม้พูดอย่างสงบ ผสมกับเสียงของมันแบบนั้น บวกท่าทางทำตาเหลือกครึ่งหนึ่ง จึงทำให้คนรู้สึกว่าอีกาตัวนี้ปฏิบัติกับทุกคนเหมือนเป็นคนปัญญาอ่อนทันที นี่ถึงได้อธิบายอย่างเสียงอ่อนเสียงหวานเช่นนี้


 


 


“พี่สี่…” คุณชายสิบเจ็ดส่งเสียงทางจิต


 


 


“เป็นอันใดหรือ น้องสิบเจ็ด?” คุณชายสี่ขมวดคิ้วว่า เขายังรู้สึกกลัดกลุ้มเพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดนี้อยู่


 


 


คุณชายสิบเจ็ดโมโหว่า “ไม่รู้เพราะเหตุใด อีกาตัวนี้เทียบกับยามที่มันเพิ่งด่าคนเมื่อครู่แล้วยังน่ากระทืบกว่าอีก!”


 


 


คุณชายสี่เหลือบมองอีกาไฟปราดหนึ่ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น”


 


 


การปรากฏตัวของอีกาไฟสร้างความสมดุลภายนอกให้ทั้งสองฝ่าย ท่าทีที่คุณชายสี่มีต่อพวกมั่วชิงเฉินสองคนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างเฉียบแหลมวา ท่าทีที่เขามีต่อคุณชายหกดีขึ้นมาแล้ว การพูดการจาแฝงไว้ด้วยความสนิทสนมจะดึงเข้าเป็นพวก


 


 


ทุกคนบินอีกหลายชั่วยาม ก็พบตรงกลางผิวน้ำปรากฏน้ำวนขึ้นอันหนึ่ง จึงรีบบินเรือบินให้สูงขึ้นสักหน่อย แล้วก้มมองน้ำวนที่ปรากฏออกมานี้จากด้านบน


 


 


น้ำวนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ราวกับเป็นถ้ำที่ทะลุสู่โลกที่ไม่รู้จักก็ไม่ปาน แต่กลับมีแสงวิญญาณเป็นสายๆ แผ่ออกด้านนอก


 


 


“ถึงแล้ว!” คุณชายหกสีหน้าปีติ


 


 


คุณชายสิบเจ็ดมองดูน้ำวนอย่างระแวงว่า “นี่จะเข้าไปได้อย่างไร?”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมการทดสอบค้นหากระสายยา ไม่เหมือนคุณชายสี่เมื่อยามอยู่สุดยอดระดับสร้างรากฐานระยะต้นเคยมาครั้งนี้ ก็เพราะครั้งนั้นเขาได้น้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแลกเป็นโอสถลับในตระกูล ถึงได้ทีเดียวทะลวงถึงระยะกลาง และก็ไม่เหมือนดังคุณชายหกที่แม้เมื่อสิบปีก่อนจะล้มเหลวมาก่อน ทว่าอย่างไรเสียก็มีประสบการณ์ในการรับมือบ้างแล้ว


 


 


ทันใดนั้นอีกาไฟกลับอ้าปากว่า “แว้ดๆ เข้าไปอย่างไร? เจ้าหล่นเข้าไปน่ะสิ”


 


 


เดิมทีทุกคนไม่ถือสาอสูรวิญญาณตัวหนึ่ง ทว่าใครจะรู้ว่าเพิ่งสิ้นเสียงอีกาไฟ ไม่นึกเลยว่าคุณชายสิบเจ็ดจะตกลงไปตรงๆ จริงๆ  

 

 


ตอนที่ 164 ม่านในวังบาดาล

 

คุณชายสี่และคุณชายหกจ้องอีกาไฟเขม็งเหมือนเห็นผี อีกาไฟกลับลืมตาแค่ครึ่งเดียว เผยให้เห็นตาขาวครึ่งหนึ่ง ก้มหน้าก้มตาทำท่าเหมือนไม่สะทกสะท้าน


 


 


ทั้งสองคนแทบจะกวาดสายตาไปที่มั่วชิงเฉินพร้อมกัน ท่าทีใจตรงกันหากคนไม่รู้ยังนึกว่าพวกเขาเป็นพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานปี


 


 


มั่วชิงเฉินอ้าปาก ฝืนยิ้มว่า “นี่…นี่เป็นความบังเอิญล้วนๆ…”


 


 


คำพูดที่ไม่มีพลังเห็นชัดว่าไม่สามารถทำให้ทั้งสองคนเชื่อได้ ทว่าหากจะบอกว่าพวกเขาเชื่อว่าที่คุณชายสิบเจ็ดตกลงไปเพราะคำพูดของอีกาไฟนั้น พวกเขาเชื่อยากยิ่งกว่า


 


 


“พี่สี่ ข้าว่าพวกเรารีบลงไปดีกว่า แม้ว่าเดิมทีก็ต้องกระโดดลงไปในน้ำวนนี้อยู่แล้ว ทว่าตกลงข้างในมีอันตรายอันใดก็ไม่อาจรู้ได้” คุณชายหกเอ่ย ไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงความเป็นความตายของคุณชายสิบเจ็ดหรอกนะ หากแต่เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินลำบากใจจึงเบนหัวข้อออกไป


 


 


คุณชายสี่มองมั่วชิงเฉินอย่างล้ำลึกอีกปราดหนึ่ง นี่ถึงพยักหน้าว่า “ก็ได้” พูดจบก็กระโดดนำหน้าลงไป


 


 


คุณชายหกยิ้มให้มั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว เจ้าเพียงแต่กลั้นหายใจไว้แล้วกระโดดลงไปก็ได้แล้ว วางใจได้ ไม่มีอันตรายหรอก” พูดจบตวัดชายเสื้อแล้วกระโดดลงไปเช่นกัน


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูน้ำวนที่ลึกไม่เห็นก้นแล้วเม้มปาก กำลังกระดกตัวขึ้นจะโดดลงข้างล่าง ทันใดนั้นได้ยินอีกาไฟร้องเสียงแหลมว่า “ช้าก่อน!”


 


 


มั่วชิงเฉินค้างอยู่ตรงนั้นทั้งเช่นนั้น ถามว่า “มีอันใดหรือ?”


 


 


“เก็บข้ากลับถุงอสูรวิญญาณ” อีกาไฟเอ่ย


 


 


“เอ่อ?” มั่วชิงเฉินไม่รู้มันจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่


 


 


อีกาไฟทำตาเหลือก พูดเหมือนตนมีเหตุผลเต็มประดาว่า “เจ้ากระโดดคนเดียวไม่ได้เช่นนั้นหรือ ถูกแล้ว หลังจากกระโดดลงไปแล้วอย่าลืมรีบปล่อยข้าออกมา”


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก ไม่มีเวลาว่าเถียงกับอีกาตัวหนึ่ง จึงเก็บมันกลับเข้าถุงอสูรวิญญาณอย่างเฉียบขาด แล้วกระดกตัวกระโดดลงไป


 


 


เสียงฟู่ๆ ดังขึ้นข้างหู พลังมหาศาลสายหนึ่งลากมั่วชิงเฉินตกลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว


 


 


ตาของมั่วชิงเฉินลืมไม่ขึ้นแล้ว ความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งทำให้นางรู้สึกกังวล ตกลงไปด้วยความเร็วเช่นนี้ จะไม่เป็นไรจริงหรือ?


 


 


ในนาทีนี้ เวลาดูเหมือนถูกยืดออกอย่างไร้ขีดจำกัด มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าใจยิ่งเต้นยิ่งแรง ต่อให้พวกคุณชายหกก็กระโดดเข้ามาเช่นนี้เช่นกัน ทว่าสำหรับเรื่องที่ตนไม่อาจควบคุมได้ สุดท้ายก็ไม่อาจเชื่อใจคนอื่นได้อย่างหมดใจ


 


 


ในที่สุด มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าขาสองข้างงอลง เท้าแตะถึงพื้นแล้ว ที่แปลกคือไม่คิดว่าจะมีพลังลึกลับชนิดหนึ่งสลายแรงอัดที่ตกลงมาให้หายไป ร่างกายส่ายเพียงแค่ทีเดียวเท่านั้น


 


 


เสียงเข่นฆ่ากันดังเข้ามาในหู มั่วชิงเฉินรีบลืมตาขึ้น เห็นเพียงพวกคุณชายหกสามตนกำลังโรมรันพันตูอยู่กับปลาประหลาดที่รูปร่างเหมือนเม่นมากมาย


 


 


“แม่นางมั่ว รีบมาช่วยเร็ว!” คุณชายหกตะโกน


 


 


มั่วชิงเฉินมือถือกระบี่เข้าร่วมการต่อสู้


 


 


ปลาประหลาดชนิดนี้มีหนามแข็งแหลมคมขึ้นเต็มตัวไปหมด ต่อให้กระบี่ในมือนางเป็นอาวุธเวทระดับกลาง อัดพลังวิญญาณเข้าไปแล้วใช้เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ ก็ไม่อาจทำร้ายมันได้แม้แต่น้อย


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองอีกสามคนที่เหลือหลายปราด


 


 


เห็นเพียงคุณชายหกมือถือง่ามปลาด้ามนั้นแทงไปที่หางของปลาประหลาดโดยเฉพาะ หลังจากแทงถูกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแปลกประหลาดเสียงหนึ่ง จากนั้นเหวี่ยงขึ้นข้างบน ปลาประหลาดก็บินออกไปทั้งตัว


 


 


ที่คุณชายสิบเจ็ดใช้คือกรรไกรยาวๆ ด้ามหนึ่ง ที่ที่ลงมือคือส่วนหางของปลาประหลาดเช่นกัน


 


 


ส่วนอาวุธเวทที่คุณชายสี่ใช้กลับเป็นดาบวงพระจันทร์เล่มหนึ่ง ดาบวงพระจันทร์บินออกไปพร้อมแสงวิญญาณหมุนอยู่กลางอากาศกลายเป็นพระจันทร์ดวงหนึ่ง ที่ที่บินผ่านหางของปลาประหลาดถูกตัดออกมาทั้งหาง


 


 


มั่วชิงเฉินลงมือที่ส่วนหางปลาโดยเฉพาะตามอย่าง พบว่าง่ายขึ้นมากตามความคาดหมาย


 


 


จำนวนของปลาประหลาดแม้ไม่น้อย ทว่าพลังจู่โจมกลับธรรมดา ได้มั่วชิงเฉินร่วมด้วย ทั้งสี่คนใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็กำจัดพวกมันได้อย่างสิ้นซาก


 


 


มั่วชิงเฉินหอบหายใจแผ่วเบา นี่ถึงมีเวลาว่างพิจารณาสภาพแวดล้อมที่อยู่


 


 


รอบๆ ตัวมีสิ่งมีชีวิตนานาชนิดว่ายไปมา มีปลาประหลาดปากแหลมหางยาว ประเภทหอยตัวเล็กกระจิริด ปลาดาวที่ทึ่มๆ ไร้เดียงสา…


 


 


สีสันสดใสราวกับดอกไม้ที่ว่ายน้ำได้เป็นดอกๆ ส่วนพวกสาหร่ายที่โอ้อวดอยู่ใต้ทะเลยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้ภาพฉากที่สวยงามเช่นนี้อย่างประหลาด


 


 


มั่วชิงเฉินกำลังพิจารณาอย่างละโมบ กลับได้ยินคุณชายสิบเจ็ดโวยวายว่า “อีกาตัวนั้นล่ะ อีกาตัวนั้นล่ะ?” พูดพลางเดินมาหามั่วชิงเฉินด้วยลักษณะท่าทางดุดัน


 


 


มั่วชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม มองคุณชายสิบเจ็ดอย่างเย็นชาว่า “เป็นอันใด คุณชายสิบเจ็ดคิดถึงมันหรือ?” พูดกลางเพ่งจิตปล่อยอีกาไฟออกมา


 


 


อีกาไฟกระพือปีกกระโดดขึ้นไปบนไหล่มั่วชิงเฉิน ร้องใส่คุณชายสิบเจ็ดว่า “แว้ดๆ ได้ยินว่าเจ้าคิดถึงข้า? ข้าขอเตือนให้เลิกความคิดนี้ซะ ระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้หรอก!”


 


 


“ฟู่” มั่วชิงเฉินที่สุขุมเสมอมาทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมา นางไม่ยอมรับไม่ได้ว่า อีกาไฟนี่บางทีก็เก่งกาจเสียจริง เมื่อก่อนนางรังเกียจที่มันพลังโจมตีไม่ไหวมาตลอด วุ่นมาครึ่งค่อนวันพลังโจมตีมันอยู่นี่นี่เอง!


 


 


คุณชายสิบเจ็ดโกรธจนเกือบหงายหลัง มือที่ชี้อีกาไฟสั่นไม่หยุดว่า “เจ้าเดรัจฉานขนแบน ตกลงใช้วิชาปีศาจอันใดกันแน่ ถึงทำให้ข้าตกลงไป?”


 


 


อีกาไฟพยายามยกม่านตาขึ้นครึ่งหนึ่ง กวาดสายตามองเขาปราดหนึ่งอย่างไม่แยแสว่า “ช่างผมยาวความรู้สั้น[1]เสียจริง เจ้าไม่เคยได้ยินว่าอะไรเรียกว่าปากอีกา[2]หรือไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินฝืนกลั้นหัวเราะไว้ อยากบอกอีกาไฟจริงๆ ว่าผมยาวความรู้สั้นไม่ได้ใช้กันเช่นนี้ แต่กลับเห็นคุณชายสิบเจ็ดยกกรรไกรจู่โจมมาที่อีกาไฟ


 


 


กระบี่บินในมือมั่วชิงเฉินบินออกไป เคร้งเสียงหนึ่งชนเข้ากับกรรไกรของคุณชายสิบเจ็ด หยุดการโจมตีของเขาลง จากนั้นถามเสียงเย็นชาว่า “คุณชายสิบเจ็ด เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”


 


 


ในยามนี้เสียงของคุณชายสี่ดังมา “น้องสิบเจ็ด อย่าทำเหลวไหล!”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดกระทืบเท้าอย่างแรงทีหนึ่ง “พี่สี่ เจ้าเดรัจฉานมีขนนั่นรังแกกันเกินไป!”


 


 


คุณชายสี่เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เหตุใดเจ้าต้องถือสาอสูรวิญญาณตัวหนึ่งด้วย”


 


 


“ทว่า…ทว่ามันทำให้ข้าตกลงไป” คุณชายสิบเจ็ดตะโกนอย่างไม่ยอม


 


 


คุณชายสี่ถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่ง “นั่นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น เจ้ายังนึกว่าอีกาตัวหนึ่งบอกว่าเจ้าตกลงไป เจ้าก็จะตกลงไปจริงหรือ?”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดเห็นคุณชายสี่โกรธแล้ว มั่วชิงเฉินและคุณชายหกก็มองมาสายตาเป็นประกาย จึงหุบปากอย่างขุ่นเคือง กลับแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สี่ ข้าเชื่อว่านั่นไม่ใช่ความบังเอิญ”


 


 


“เอ่อ มันเป็นเช่นไร?” คุณชายสี่ถามว่า


 


 


คุณชายสิบเจ็ดว่า “ท่านไม่รู้หรอก ตอนที่เจ้าเดรัจฉานขนแบนพูดประโยคนั้นจบ ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่ง ลากข้าลงไปทั้งอย่างั้น ข้าฝืนอย่างไรก็ต้านไว้ไม่อยู่” พูดถึงนี่ จู่ๆ คุณชายสิบเจ็ดก็ขนลุกซู่


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ เสียงของคุณชายสี่ถึงดังมาว่า “หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นเจ้ายิ่งวู่วามไม่ได้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานที่ไม่รู้ความเป็นมาคนหนึ่ง บวกอสูรวิญญาณชั้นสองที่พลังไม่อาจคาดเดาได้ ยังมีหวังหกที่ไม่ถูกกับเรามาตลอด หากเจ้าทำเหลวไหลไม่ยั้งคิด ไม่แน่เราก็เรือร่มในทางระบายน้ำ[3]นี้แล้ว”


 


 


“ได้ พี่สี่ ข้าฟังท่าน ต่อไปจะรอบคอบให้มาก” คุณชายสิบเจ็ดฟังแล้วก็รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมา


 


 


คุณชายสี่ว่า “อืม หากอีกานั่นท้าทายอีก เจ้าก็คิดว่านั่นเป็นเพียงแค่เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น”


 


 


ส่งเสียงทางจิตเสร็จคุณชายสี่อดกวาดสายตามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งไม่ได้ สายตาหยุดอยู่ที่เอวนาง เห็นเพียงที่นั่นห้อยเชือกสีฟ้าอ่อนเส้นหนึ่ง ด้านล่างผูกมุกสีฟ้าอ่อนเม็ดหนึ่งขนาดเท่าผลซิ่งไว้


 


 


ดูจากความวิจิตรแล้วมุกกันน้ำนี้อย่างน้อยต้องเกิดจากอสูรทะเลชั้นสี่ แม่นางมั่วผู้นี้ตกลงเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงมีมุกกันน้ำดีเพียงนี้ได้?


 


 


ด้านนี้คุณชายสี่แอบสันนิษฐานคนเดียว อีกด้านหนึ่งมั่วชิงเฉินก็ถามอีกาไฟผ่านจิตขึ้นมา


 


 


“ลองว่ามาสิ เมื่อครู่มันเรื่องอันใดกันแน่?”


 


 


“หา?” อีกาไฟชะงักว่า


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “อย่าแกล้งโง่ เมื่อครู่เหตุใดเจ้าบอกให้เขาตกลงไป เขาก็ตกลงไปเลย?”


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน อีกาไฟถึงส่งเสียงทางจิตอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ที่แท้ถามเรื่องนี้หรือนี่ ข้าบอกเจ้าตั้งนานแล้วมิใช่หรือ ว่าข้ามีพลังใหม่ขึ้นมาอย่างหนึ่ง?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก “เจ้าบอกตั้งแต่เมื่อไร?”


 


 


อีกาไฟร้องว่า “ก็วันนั้นที่ข้าเพิ่งตื่นมาเจ้าถามข้าว่ามีพลังอะไรใหม่ไม่ใช่หรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินระลึกความหลังทีหนึ่ง แล้วหน้าบึ้งว่า “เจ้าบอกเพียงว่าเจ้าพูดได้!”


 


 


อีกาไฟหน้าบึ้งเช่นกัน “ข้าให้เขาตกลงไป หรือว่ามิได้ใช้ปากพูดหรือไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินกลั้นความอยากกระทืบมันไว้ ประหลาดใจว่า “เจ้าหมายถึง พลังใหม่ของเจ้าคือสามารถทำสิ่งที่พูดให้เป็นความจริง?”


 


 


อีกาไฟลังเลทีหนึ่ง เสียงที่ส่งไปถึงสมองมั่วชิงเฉินเบาลงมาก “มีเพียงเวลาพูดเรื่องไม่ดีเท่านั้น…”


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วอดมุมปากกระตุกทีหนึ่งไม่ได้ นี่ช่างเป็นปากอีกาสมชื่อจริงๆเลยนะ!


 


 


จากนั้นกลับคิดขึ้นได้ นางจำได้ว่าม้วนคัมภีร์หยกที่บันทึกเกี่ยวกับอีกาไฟบอกไว้ว่า น้อยมากที่อีกาไฟสามารถเลื่อนชั้นถึงชั้นสองได้ เมื่อถึงชั้นสองแล้วก็จะพูดภาษาคนได้ ส่วนในยามที่เลื่อนชั้นแล้วเกิดการแปรผันเนื่องด้วยสาเหตุที่ไม่อาจรู้ได้บางอย่าง จะก่อให้เกิดพลังอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการสาปแช่ง!


 


 


แน่นอน อีกาไฟที่เกิดการแปรผันนั้นในหมื่นตัวยังหาไม่ได้สักตัว ยิ่งกว่านั้นการสาปแช่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผืนลิขิตแต่อย่างใด คำสาปที่ออกจากปากอีกาเฮี้ยนหรือไม่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้โดยสิ้นเชิง


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าตนกำไรแล้ว อสูรวิญญาณแปรผันตัวหนึ่ง พลังที่แอบแฝงไม่อาจคาดเดาได้


 


 


สี่คนหนึ่งอีกาเดินๆ หยุดๆ ในโลกใต้ทะเลที่เป็นดั่งเทพนิยาย ระหว่างทางพบเจออสูรปีศาจไม่น้อย ก็มียามที่อันตรายมากเช่นกัน ดีที่ล้วนถูกทุกคนร่วมมือกันกำจัดแล้ว แม้แต่อีกาไฟก็พ่นลูกไฟย่างปลาตัวอ้วนๆ ที่เห็นแล้วถูกตาต้องใจจนสุก กินอย่างเอร็ดอร่อยได้


 


 


หนึ่งวันให้หลัง ข้างหน้าคนทั้งขบวนปรากฏตำหนักขึ้นหลังหนึ่ง ตำหนักสร้างจากผลึกแก้วชิ้นใหญ่ๆ ประตูตำหนักเปิดกว้าง แขวนม่านมุกที่ร้อยขึ้นจากไข่มุกและเปลือกหอยสีต่างๆ บังด้านในไว้มิด ใต้ทะเลไม่รู้มีแสงมาจากไหน ส่องจนตำหนักทั้งหลังแสงสีเรืองรอง สวยงามอร่ามตา


 


 


วังบาดาล นางเงือก น้ำตาไข่มุก มั่วชิงเฉินมักรู้สึกว่าตนกำลังเดินเข้าสู่ความฝัน เป็นดินแดนแห่งความฝันที่เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในความเป็นจริง


 


 


แล้วก็ได้ยินคุณชายหกเอ่ยตามที่คาดไว้ว่า “แม่นางมั่ว ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณก็อยู่ในนี้แหละ เพียงแต่หลังจากก้าวเข้าทางเข้า พวกเรากลับต้องตกสู่แดนมายา ครั้งที่แล้วข้าก็พ่ายแพ้ในด่านนี้แหละ หากไม่ใช่เตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ เกรงว่าต้องดับสูญอยู่นี่ตั้งนานแล้ว”


 


 


คุณชายสี่ก็ว่า “ถูกต้อง สิ่งที่แดนมายานี้ทดสอบก็คือใจแห่งเต๋า ขอเพียงใจแห่งเต๋ามั่นคง ก็สามารถแตกพ่ายโดยไม่ต้องบุกโจมตี ทว่าหลักแห่งเต๋าเราต่างเข้าใจ จะทำให้ได้กลับไม่ง่าย”


 


 


ในใจแอบคิดว่าครั้งที่แล้วหากไม่เพราะปรมาจารย์เข้าข้าง มอบมุกจื่อหวาสงบจิตชั้นเลิศให้ตนเม็ดหนึ่ง ตนต้องผ่านด่านนี้ไปไม่ได้แน่ ส่วนมุกจื่อหวาสงบจิตเม็ดนั้นเนื่องจากต้านการรุกล้ำก่อกวนของแดนมายาจึงระเบิดไปแล้ว


 


 


“ทุกคนเตรียมตัวให้ดี!” พูดจบแสงวิญญาณในมือคุณชายสี่สว่างขึ้น จากนั้นซัดไปที่ม่านไข่มุก


 


 


แล้วก็ได้ยินม่านไข่มุกกระทบกันเกิดเสียงกังวานไพเราะเหมือนดนตรี จากนั้นค่อยๆ ม้วนขึ้น ข้างในแสงสีขาวแสบตา ส่วนมั่วชิงถูกแสงสีขาวดูดเข้าไปอย่างไม่อาจต้านได้


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผมยาวความรู้สั้น เป็นคำพูดดูถูกผู้หญิงว่าไม่มีความรู้ในสมัยก่อน เนื่องจากสมัยโบราณผู้หญิงจะไว้ผมยาว และไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกจากบ้านไปเปิดหูเปิดตาหาความรู้


 


 


[2] ปากอีกา หมายถึง ปากเสีย ปากอัปมงคล


 


 


[3] เรือล่มในทางระบายน้ำ เปรียบเทียบว่า เรื่องที่อยู่ในความควบคุมแล้วแท้ๆ กลับเกิดปัญหาได้

 

 

 


ตอนที่ 165 ท่องไปในฝันที่ไม่อาจเป็นจริง

 

“น้องสิบหก เจ้ารีบมาเร็วๆ” แม่นางน้อยในชุดสีชมพู หวีผมทรงดอกตูมกวักมือเรียกมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินโบกมือว่า “พี่สิบสี่ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปไกวชิงช้าอีก? นั่นไม่ได้หรอกนะ คราวที่แล้วเจ้าโดนเหวี่ยงออกไป ถูกท่านปู่รู้เข้า ตำหนิข้าซะยกใหญ่ อีกอย่าง ข้ายังอยากบำเพ็ญเพียรอีกสักครู่”


 


 


ปากนางพูดเช่นนี้ ในใจกลับรู้สึกแปลก เหตุใดพบเจอพี่สิบสี่เช้าเย็นแท้ๆ กลับราวกับไม่ได้พบกันมาห่างกันเป็นชาติก็ไม่ปาน


 


 


มั่วหนิงโหรวย่นปาก ยื่นมือเล็กๆ ขาวอมชมพูเขย่ามั่วชิงเฉินอย่างออกแรงว่า “น้องสิบหก น้องสิบหก ไปน่ะ ไปน่ะ…”


 


 


มั่วชิงเฉินถูกเขย่าจนไม่มีทางเลือก โยนความรู้สึกไร้สาระนั้นทิ้งไป โอดครวญว่า “ก็ได้ เพียงแต่ครั้งนี้เจ้าต้องระวังหน่อย ข้าจะได้ไม่ต้องโดนด่าไปด้วย”


 


 


“รู้แล้วล่ะ น้องสิบหก เจ้าอายุน้อยกว่าข้าแท้ๆ เหตุใดถึงเหมือนยายแก่เลย ท่านแม่บอกว่า เด็กผู้หญิง ก็ควรมีลักษณะของเด็กผู้หญิง” มั่วหนิงโหรวพูดพลางดึงมั่วชิงเฉินเดินไปข้างนอก


 


 


ยามนี้เองคนคนหนึ่งบุกเข้ามาอย่างรีบร้อน ตะโกนว่า “พี่สิบสี่ ชิงเฉิน เหตุใดพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก ลืมแล้วหรือว่าวันนี้เป็นวันอะไร?”


 


 


ความรู้สึกแปลกเช่นนั้นมาอีกแล้ว มั่วชิงเฉินรู้สึกแสบเบ้าตา จ้องหู่โถวเขม็ง


 


 


หู่โถวยื่นมือเขกมะเหงกมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง “เจ้าโง่ไปแล้วเหรอ วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่านอาสิบสามและท่านพี่เชียนซู่ไงล่ะ รีบไปเร็วเข้า อีกสักครู่ก็ไม่ได้เห็นความครึกครื้นแล้ว พวกเจ้าเด็กผู้หญิงช่างอืดอาดยืดยาด”


 


 


มั่วหนิงโหรวนี่ถึงมองดูเสื้อผ้าของตนอย่างลนลาน แล้วล้วงกระจกบานเล็กออกมาส่องอีก พบว่าทุกอย่างเหมาะสมถึงได้โล่งอก แล้วลากมั่วชิงเฉินพูดกับหู่โถวว่า “ไปเดี๋ยวนี้แหละ”


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือบมองเสื้อผ้าของตนปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เหตุใดที่ตนใส่ไม่ใช่เสื้อสีแดงล่ะ?


 


 


ยังไม่ทันได้คิดมาก ทั้งสองคนก็ถูกหู่โถวลากวิ่งออกไปแล้ว


 


 


ทั้งสามคนวิ่งทะยานไปถึงโถงใหญ่ เห็นคู่บ่าวสาวในชุดสีแดงเข้มกำลังไหว้ฟ้าดินแล้ว


 


 


“หนึ่งไหว้ฟ้าดิน…”


 


 


“สองไหว้บุพการี…”


 


 


“สามีภรรยาคำนับกัน…”


 


 


ท่ามกลางการขานที่ลากเสียงยาว ฮวาเชียนซู่ที่โดดเด่นดุจเซียนถูกชุดแดงที่ใส่ขับจนมีกลิ่นอายของทางโลกขึ้นมา คำนับกันกับมั่วโยวที่คลุมผ้าคลุมศีรษะสีแดงเข้มลายเป็ดยวนยางเล่นน้ำ ระหว่างที่ผ้าคลุมศีรษะพลิ้วไหว มั่วชิงเฉินที่ตัวเตี้ยได้เห็นรอยยิ้มเป็นประกายสดใสของท่านอาสิบสามใต้ผ้าคลุมศีรษะ


 


 


นี่คือไหว้ฟ้าดินกันแล้วหรือ? ดูแล้วช่างดีงามจริงๆ เลย มั่วชิงเฉินทอดถอนใจว่า กลับรู้สึกแปลกอีกแล้ว เหตุใดท่านอาสิบสามและฮวาเชียนซู่ไหว้ฟ้าดินกันที่ตระกูลมั่วล่ะ ควรไหว้ที่ตระกูลฮวามิใช่หรือ?


 


 


นางแอบถามหู่โถว หู่โถวค้อนนางควักหนึ่งว่า “พี่เชียนซู่แต่งเข้าบ้านเราไงล่ะ แน่นอนต้องไหว้ฟ้าดินที่บ้านพวกเราสิ โง่”


 


 


มั่วหนิงโหรวก็พูดแทรกว่า “ใช่น่ะสิ น้องสิบหกเหตุใดเรื่องนี้เจ้าก็ลืมได้ หึๆ เช่นนี้ถึงดีไงล่ะ ต่อไปท่านอาสิบสามก็ไม่ต้องไปจากบ้านพวกเราแล้ว”


 


 


ดื่มสุรามงคลเสร็จ พริบตาเดียวก็ถึงกลางคืน มั่วต้าเหนียนที่ใบหน้าอิ่มเอิบลากมั่วชิงเฉินไปข้างๆ พูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “นางหนู กลางคืนอย่าลืมป่วนห้องหอล่ะ”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า “พวกหู่โถวถึงเวลาจะเรียกข้าเองเจ้าค่ะ”


 


 


มั่วต้าเหนียนพยักหน้าอย่างพอใจ “เช่นนั้นได้ เจ้าหนุ่มฮวาเชียนซู่นั่นมีของดีไม่น้อย อย่างน้อยเจ้าต้องขอได้ชิ้นหนึ่งถึงจากไป มิเช่นนั้นก็ตื๊ออยู่ตรงนั้น ดูพวกเขาจะห้องหอกันอย่างไร”


 


 


“ท่านปู่…” มั่วชิงเฉินต่อว่าอย่างจำใจคำหนึ่ง นี่เหมือนเป็นคำพูดที่ผู้อาวุโสพูดกันเช่นนั้นหรือ โชคดีที่ตนทะลุมิติมา ถึงไม่ได้โตมาอย่างนอกลู่นอกทาง


 


 


ทะลุมิติมา? อะไรเรียกว่าทะลุมิติมา? จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ไม่เข้าใจความหมายของคำคำนี้


 


 


มั่วต้าเหนียนลูบศีรษะมั่วชิงเฉินว่า “เด็กโง่ ตระกูลมั่วเราไม่ได้มั่งมีหรอกนะ เนื่องจากกฎระเบียบปู่ก็ช่วยเหลือสงเคราะห์เจ้าอย่างชัดแจ้งไม่ได้ เจ้าไม่ฉวยโอกาสนี้เค้นไอ้หนุ่มนั้นให้ได้ประโยชน์อะไรออกมาบ้าง จะผิดต่อตนเองนะ!”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ทีหนึ่ง “รู้แล้วเจ้าค่ะ ท่านปู่”


 


 


ชีวิตต่อจากนั้นสงบและอบอุ่น มั่วชิงเฉินขยันหมั่นเพียรบำเพ็ญเพียรในโถงเฉาหยางทั้งวัน อีกทั้งยังได้รับการชี้แนะอย่างเต็มที่จากมั่วต้าเหนียนเป็นระยะ ยามว่างมีพี่น้องชายหญิงเล่นสนุกด้วยกันอีก พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว


 


 


ในปีนี้ ตระกูลมั่วได้ต้อนรับเรื่องมงคลเรื่องหนึ่ง มั่วโยวให้กำเนิดเด็กรากวิญญาณฟ้าคนหนึ่ง


 


 


ข่าวมงคลนี้ทำให้ตระกูลมั่วที่กำลังรุ่งเรืองในหลายปีนี้ยิ่งเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[1]เหล่าผู้อาวุโสยิ้มแก้มปริทั้งวัน มั่วต้าเหนียนที่ชื่นชอบสุรายิ่งดื่มจนเมากรึ่มบ่อยๆ


 


 


ส่วนมั่วชิงเฉินในที่สุดก็เข้าสู่ระดับหลอมลมปราณขั้นห้าในปีนี้


 


 


ภายใต้การชี้แนะของมั่วต้าเหนียน นางลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ทำไฟจริงปลดปล่อยได้สำเร็จ


 


 


“นางหนู เจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ ไม่เสียทีที่เป็นหลานสาวของข้ามั่วต้าเหนียน เร็วเพียงนี้ก็ชำนาญคาถาไฟจริงปลดปล่อย ไฟจริงของเจ้าสีเหลืองหนาแน่น พอให้เห็นถึงพื้นฐานที่มั่นคง” มั่วต้าเหนียนดีใจจนออกนอกหน้า


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูไฟจริงสีเหลืองที่เต้นระริกอยู่ที่ปลายนิ้วอย่างงงงัน พึมพำว่า “ไม่ถูก นี่ไม่ถูกต้อง”


 


 


“เป็นอันใดหรือ นางหนู?” มั่วต้าเหนียนถามอย่างสงสัย


 


 


มั่วชิงเฉินที่เติบใหญ่เป็นสาวน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น ถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านปู่ เหตุใดไฟจริงของข้าเป็นสีนี้เจ้าคะ?”


 


 


มั่วต้าเหนียนหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “เจ้าเด็กโง่นี่ ไฟจริงของผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนเป็นสีนี้ไงล่ะ”


 


 


“เป็นเช่นนั้นหรือ?” ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินถามอย่างสงบ


 


 


มั่วต้าเหนียนชะงัก “นางหนูนี่หรือว่าเจ้าดีใจที่เข้าสู่ระดับหลอมลมปราณขั้นห้าดีใจจนโง่แล้ว?”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่พูดอะไร เพียงแต่มองมั่วต้าเหนียนอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง แล้วดูอีกปราดหนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงถอนใจว่า “หากสามารถเป็นคนโง่ที่ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่สังเกตเห็นได้ เป็นเช่นนี้ตลอดไปจะดีเพียงใด”


 


 


“นางหนู เจ้าเป็นอันใดหรือ มีคนรังแกเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าสิบหรือว่าเจ้าสิบเอ็ด? ปู่ไปหาพวกเขาคิดบัญชี” มั่วต้าเหนียนลูบศีรษะมั่วชิงเฉินอย่างเอ็นดู


 


 


มั่วชิงเฉินกอดแขนของมั่วต้าเหนียนไว้อย่างจนด้วยคำพูด พิงศีรษะไว้บนแขนของเขาถูไปถูมา


 


 


ทันใดนั้นมั่วต้าเหนียนกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง ก้มหน้าลงดูกริชที่หน้าอก แล้วมองมั่วชิงเฉินว่า “นางหนู นี่…นี่เพราะเหตุใด…”


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ความเจ็บปวดเอ่อขึ้นในใจ กลับไม่ใช่เพราะเรื่องที่ตนทำ หากแต่เพราะอีกไม่นาน นางก็ไม่ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยและแก่ชราในความทรงจำนั้นอีกแล้ว ต่อให้เป็นเรื่องไม่จริงก็เถอะ


 


 


มั่วต้าเหนียนปิดบาดแผลไว้แล้วค่อยๆ ก้มเอวลงไป มองมั่วชิงเฉินอย่างโศกเศร้าตลอดเวลา พึมพำว่า “นางหนู เพราะเหตุใดเจ้า…ถึงลงมือกับปู่?”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะนิ่งเรียบว่า “ข้าไม่มีทางลงมือกับท่านปู่หรอก อย่าว่าแต่เจ้าเป็นของปลอม ต่อให้เป็นคนจริงๆ ที่หน้าตาเหมือนท่านปู่อย่างกับแกะ หากคิดร้ายต่อข้าล่ะก็ ข้าก็ไม่ปรานีเด็ดขาด”


 


 


พูดถึงตรงนี้เสียงมั่วชิงเฉินค่อยๆ ต่ำลงมา “เพราะว่าหากข้าเป็นอะไรไป วิญญาณท่านปู่ที่อยู่บนสวรรค์ต้องเสียใจแน่ๆ”


 


 


สิ้นเสียงคำพูดสุดท้าย ก็เห็นมั่วต้าเหนียนตรงหน้ากลายเป็นแสงดาวระยิบระยับสลายไปในอากาศทันที จากนั้นภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวสั่นไหว สุดท้ายดังโครมเสียงหนึ่งแล้วดับสูญไป


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ ไม่นึกเลยว่าจะยืนอยู่เพียงนอกทางเข้าตำหนักเท่านั้น


 


 


กำแพงในตำหนักยังคงสร้างจากผลึกแก้วชิ้นใหญ่ ไม่แตกต่างกับความแวววาวด้านนอก บนกำแพงผลึกแก้วแกะสลักอสูรปีศาจในทะเลไว้นับไม่ถ้วน ที่ที่ตามองไปถึงคือฉากกั้นกระดองเต่าหลังหนึ่ง มองไปด้านข้างอีก จะเห็นมุมสี่ด้านวางต้นไม้หยกปะการังไว้อย่างตามอำเภอใจ ตรงกลางตำหนักเป็นแท่นหยกขาวยาวๆ สองข้างของแท่นหยกขาววางเก้าอี้หยกแสนประณีตไว้ และโคมผลึกแก้วมังกรคู่คาบแก้วที่ห้อยลงมาเสกสรรเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามเหมือนเกิดโดยธรรมชาติ


 


 


มั่วชิงเฉินสงบจิตใจ นี่ถึงพบว่าพวกคุณชายหกทั้งสามคนก็อยู่ข้างๆ ตนอย่างไม่คาดคิด เพียงแต่พวกเขายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน บนใบหน้าบ้างกลัวบ้างเคลิบเคลิ้ม บ้างเศร้าโศกบ้างยินดี มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือสีหน้าที่ซีดเซียวลงเรื่อยๆ มีหยดน้ำใสเอ่อออกจากหว่างคิ้วไม่ขาดสาย


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าถอดสีทันที แย่แล้ว สิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปเหมือนสายน้ำคือปราณแห่งแก่นแท้!


 


 


เช่นนี้แล้ว หากพวกเขาไม่ฟื้นขึ้นมาก่อนปราณแห่งแก่นแท้จะสูญไปหมด เช่นนั้นก็ต้องดับสูญที่นี่แล้ว?


 


 


ปราณแห่งแก่นแท้อยู่ใน ไปตามทางปราณ ความชั่วร้ายไม่อาจกล้ำกราย


 


 


มั่วชิงเฉินนึกถึงที่ตนสามารถฟื้นจากแดนมายาได้ เพราะต่อให้แดนมายาจะสมจริงเพียงใด อย่างไรเสียก็มีเรื่องที่มันลอกเลียนไม่ได้


 


 


เพียงแต่แดนมายานี้น่าจะทำให้เรื่องที่คนโหยหาที่สุดเป็นจริง ใช้ชีวิตในอุดมคติ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งหากจิตใจความเป็นเต๋าไม่มั่นคง ต่อให้แดนมายานั้นปรากฏช่องโหว่เขาก็ไม่อาจหรือไม่ยอมเห็น


 


 


ดูท่าทาง ก็ได้แต่พึ่งตัวพวกเขาเองแล้ว มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง นั่งขัดสมาธิกับพื้นรอคอยผลลัพธ์


 


 


คุณชายสี่ฟื้นมา มองไปปราดแรกก็เห็นมั่วชิงเฉินนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ


 


 


มั่วชิงเฉินแม้จะกลับมากระปรี้กระเปร่าดังเดิม จิตตระหนักกลับคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของทั้งสามคน เมื่อคุณชายสี่ตื่นมานางก็รู้แล้ว จึงลืมตาขึ้นพยักหน้าให้เขา


 


 


คุณชายสี่อึ้งเล็กน้อย จากนั้นเดินมาถึงข้างกายมั่วชิงเฉินในไม่กี่ก้าว นั่งขัดสมาธิเช่นกันว่า “แม่นางมั่ว ไม่คิดว่าเจ้าจะฟื้นมาเป็นคนแรก”


 


 


มั่วชิงเฉินชี้อีกสองคนว่า “พวกเขายังไม่ฟื้น เป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าชีวิตจะน่าเป็นห่วงกระมัง ข้าเป็นคนวงนอก ไม่รู้ว่าคุณชายสี่มีวิธีอะไรหรือไม่? แดนมายานี้ร้ายกาจมากใช่หรือไม่?”


 


 


คุณชายสี่พยักหน้าว่า “ถูกต้อง หากไม่เพราะยี่สิบปีก่อนข้าผ่านมาครั้งหนึ่งแล้ว คิดจะหลุดพ้นจากแดนมายาไม่ง่ายเพียงนี้หรอก สำหรับพวกเขา ก็ได้แต่อาศัยตัวพวกเขาเองแล้ว”


 


 


ในใจแอบว่ามุกจื่อหวาสงบจิตที่ให้สิบเจ็ดเม็ดนั้นน่าจะสามารถช่วยเขาได้ ส่วนหวังหก หึๆ ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ


 


 


ผ่านไปอีกชั่วครู่ ก็ได้ยินเสียงระเบิดแผ่วเบาดังมา จากนั้นคุณชายสิบเจ็ดลืมตาขึ้น หันศีรษะไปมาอย่างงงงวย จากนั้นพูดด้วยความดีใจว่า “พี่สี่!”


 


 


คุณชายสี่พยักหน้าให้เขา


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง สีหน้าคุณชายหกซีดเซียวเหมือนกระดาษแล้ว หยดน้ำใสกลางหว่างคิ้วเอ่อออกมาน้อยลงเรื่อยๆ


 


 


มั่วชิงเฉินแอบร้อนรนในใจ หรือว่าคุณชายหกจะผ่านด่านนี้ไปไม่ได้?


 


 


ในยามนี้เองได้ยินคุณชายหกตะโกนเสียงดังเสียงหนึ่งว่า ‘โหรวเอ๋อร์’ แล้วฟื้นจากแดนมายาพร้อมสีหน้าทุกข์ทรมาน


 


 


มั่วชิงเฉินสังเกตได้อย่างเฉียบไว เมื่อคุณชายหกร้อง ‘โหรวเอ๋อร์’ คำนั้นออกมา คุณชายสี่สีหน้าเย็นเยียบลง คุณชายสิบเจ็ดยิ่งยิ้มอย่างประหลาด


 


 


คุณชายลืมตาขึ้น เห็นพวกมั่วชิงเฉินสามคนต่างมองตนอยู่ จึงกลับมาใจเย็นดังเดิมยิ้มนิ่งเรียบทีหนึ่ง เพียงแต่ชื่อของคนคนนั้นแวบผ่านในใจ กลับยังเจ็บแปล๊บ แผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น


 


 


“เอาล่ะ น้องหก เจ้าสูญเสียปราณแห่งแก่นแท้มากเกินไป รีบปรับลมหายใจสักครู่เถอะ” คุณชายสี่เอ่ยอย่างสงบ


 


 


คุณชายหกก็ไม่พูดมาก ล้วงโอสถออกมาเม็ดหนึ่งกลืนลงไป แล้วหลับตาปรับลมหายใจขึ้นมา


 


 


ครึ่งชั่วยามให้หลัง ทั้งสี่คนต่างยืนขึ้น เป็นคุณชายสี่ที่เปิดปากเช่นเดิมว่า “เข้าไปเถอะ ด่านข้างล่างนี้พวกเจ้าสามคนล้วนไม่เคยผ่านมาก่อน ต่างกับแดนมายาที่แท้จริงก่อนหน้านี้ หากแต่เป็นแดนครึ่งจริงครึ่งมายา!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย เป็นสำนวน หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้เรื่องที่ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้น 

 

 


ตอนที่ 166 ใจดุจกระจกใส

 

“ครึ่งจริงครึ่งมายา?” คุณชายหกบ่นพึมพำว่า สิบปีก่อนเขาก็หยุดอยู่ที่ด่านที่หนึ่งแดนมายา ต่อจากนี้ไปเขาก็ไม่มีประสบการณ์ใดๆ แล้ว


 


 


คุณชายสี่จะยิ้มก็ไม่ยิ้มกวาดสายตาดูคุณชายหกปราดหนึ่งว่า ถูกต้อง ครึ่งจริงครึ่งมายานั่นแหละ เพราะว่าอีกสักครู่หลังจากพวกเราแตะถูกของต้องห้าม สิ่งที่เจ้าได้เห็นได้ฟังมีส่วนหนึ่งเป็นจริงจริงๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นเท็จ จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ คิดจะหลุดพ้นจากแดนนี้ต้องยากลำบากกว่าก่อนหน้านี้สักหน่อย


 


 


เห็นทั้งสามคนฟังอย่างตั้งใจ คุณชายสี่เดินนำไปก่อนก้าวหนึ่งว่า “เข้าไปเถอะ”


 


 


คุณชายสี่เพิ่งเดินผ่านฉากกั้นกระดองเต่าหลังนั้น มั่วชิงเฉินก้รู้สึกทันทีว่ากลางตำหนักสว่างขึ้น


 


 


ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนฉาก หากแต่พบว่าโถงใหญ่ที่เงียบสงัดไร้เสียงแต่แรกครึกครื้นขึ้นมาทันที


 


 


เห็นเพียงในตำหนักปลาวาฬขับขาน ปูยักษ์ร่ายรำ ตะพาบเป่าเซิง[1]เต่าตีกลอง ไข่มุกล้ำค่าส่องงานเลี้ยง อักษรปักษาประดับฉาก ผ้าม่านหนวดกุ้งแขวนระเบียง แปดสังคีตขับขานลำนำสวรรค์ เสียงดนตรีดังทะลุชั้นฟ้า คณิกามัจฉาดีดพิณเส้อ[2] มัจฉาตาแดงเป่าขลุ่ยหยก


 


 


ไม่คิดเลยว่าจะเป็นงานเลี้ยงยิ่งใหญ่มโหฬารที่จัดขึ้นที่วังบาดาลงานหนึ่ง!


 


 


วิญญาณหยั่งรู้ของทั้งสี่คนเลือนรางในชั่วพริบตา พวกเขาลืมแดนมายาที่ประสบมาก่อนหน้าทันที หากแต่นึกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นหลังจากตั้งแต่เข้าสู่ม่านผลึกแก้วมา


 


 


มีสาวมังกรสามนางใส่เสื้อบางเบา ประดับประดาเต็มไปด้วยไข่มุกเดินนวยนาดมา ต่างคนต่างลากไปคนหนึ่งเดินไปที่ตรงกลางโถงใหญ่


 


 


โคมผลึกแก้วทอประกายอ่อนโยน สาวมังกรสามนางลากคุณชายตระกูลหวังทั้งสามคนร่ายรำอย่างสง่าตามจังหวะขับขานลำนำสวรรค์


 


 


ในขณะที่มั่วชิงเฉินกำลังตะลึงงัน ก็ได้ยินคุณชายสิบเจ็ดหัวเราะว่า “พี่สี่ วังบาดาลนี่ที่แท้เป็นที่อยู่ของเจ้ามังกรจริงๆ ด้วย!”


 


 


มองดูคุณชายสิบเจ็ดที่พยุงเอวของสาวมังกรไว้แน่นพลางร่ายรำไปพร้อมกัน มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก นี่ผิดปกติ มีอย่างที่ไหนคนนอกบุกรุกเข้ามา เจ้าของวังบาดาลไม่เพียงไม่โกรธ ยังจัดงานเลี้ยงรับรองอีก?


 


 


นางครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ ก็มีหญิงสาวงามดุจบุปผาคนหนึ่งเดินเข้ามาว่า “แม่นางไม่สู้รับสุราอาหารตามสะดวกก่อน เจ้ามังกรบ้านข้าบัดนี้ติดธุระ ไม่อาจมารับรองแขกผู้มีเกียรติได้ จึงสั่งให้พวกเราต้อนรับให้ดี รอท่านจัดการธุระเสร็จก็จะออกมาพบทุกท่านด้วยตนเอง”


 


 


ข้างหลังหญิงคนนี้แบกเปลือกหอยอ้าออกคู่หนึ่งอยู่ ดูท่าทางน่าจะเป็นนางหอย


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง นางหอยนั่นกลับยื่นมือดึงมั่วชิงเฉินไว้ว่า “แม่นางเชิญตามข้ามา”


 


 


มั่วชิงเฉินอยากดิ้นให้หลุดโดยไม่รู้ตัว กลับพบว่าตนใช้แรงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในใจอดตกใจเป็นการใหญ่ไม่ได้ จึงรีบขับเคลื่อนพลังวิญญาณในกาย กลับพบว่าใช้คาถาใดๆ ไม่ได้เลย


 


 


นางหอยยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางลากมั่วชิงเฉินมาถึงหน้าโต๊ะยาวหยกขาว ชี้อาหารอันโอชะเต็มโต๊ะว่า “แม่นาง นี่คืออาหารเลิศรสพิเศษของวังมังกรเรา อยู่ข้างนอกหารับประทานไม่ได้หรอกนะ ในเมื่อแม่นางมาแล้ว ก็ลิ้มลองเสียหน่อยเป็นไร”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน นางหอยเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “หากแม่นางรังเกียจการมัดมือมัดเท้า ข้าน้อยขอตัวก่อน แม่นางตามสบาย หากมีอันใดค่อยเรียกข้าน้อยก็พอ ข้าน้อยชื่อว่าเสวี่ยเหนียง”


 


 


นางหอยหลังจากคำนับแล้วก็ถอยออกไป มั่วชิงเฉินโล่งใจ นางกวาดสายตามองโต๊ะยาวหยกขาวปราดหนึ่งอย่างตามสบาย อาหารเลิศรสบนโต๊ะครบทั้งรูปรสกลิ่น ดูเหมือนมีมนตร์ขลังดึงให้นางไปลิ้มลอง


 


 


มือของมั่วชิงเฉินยื่นออกไปอย่างบังคับตนเองไม่ได้ หยิบตะเกียบคีบลูกชิ้นกระจ่างใสขนาดเท่าลำไยเม็ดหนึ่ง


 


 


ลูกชิ้นส่งกลิ่นหอมประหลาดระลอกหนึ่ง ยวนให้คนน้ำลายไหล มั่วชิงเฉินกัดปลายลิ้นอย่างแรงทีหนึ่ง ลิ้มลองถึงกลิ่นคาวเลือดลูกชิ้นในมือถึงตกกลับลงไปในจานหยก


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี แม้ตนไม่ยอมกินโอสถเลี่ยงธัญพืชหากแต่กินข้าวตามปกติ ความอยากอาหารกลับไม่มีทางรุนแรงเช่นนี้ รุนแรงขึ้นขั้นที่ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ ดูท่าทางอาหารเลิศรสตรงหน้าต้องผิดปกติเป็นแน่


 


 


ตระหนักถึงจุดนี้ มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าสมองที่หนักอึ้งมึนงงปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย จึงรีบไปตามหาพวกคุณชายหกสามคน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรไม่อาจขับเคลื่อนพลังวิญญาณ เช่นนั้นก็เหมือนคนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธในมือก็ไม่ปาน พบเจออันตรายได้เพียงปล่อยให้คนฆ่าแกง นางจำเป็นต้องรีบสมทบกับสามคนนั้นโดยเร็ว ถามสถานการณ์ของพวกเขาแล้วค่อยวางแผน


 


 


ทว่ามั่วชิงเฉินกลับพบด้วยความตะลึงว่า ในโถงหญิงสาวอาภรณ์งดงาม แสงสีเรืองรอง มีเงาของสามคนนั้นที่ไหนกัน!


 


 


“ชิงเฉิน เจ้าดูอันใดอยู่ ยังไม่เข้ามาดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอก?” เสียงทุ้มต่ำกลับไม่ขาดความกังวานเสียงหนึ่งลอยมา


 


 


มั่วชิงเฉินสะดุ้ง มองไปตามเสียง แล้วก็เห็นชายชุดเทาคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างต้นไม้ปะการังที่อยู่ที่หัวมุม ข้างหน้าวางโต๊ะน้ำชาไผ่เขียวไว้ตัวหนึ่ง วางผลไม้ทิพย์สองสามจาน นอกจากนั้นมีขวดหยกสูงสิบกว่านิ้วใบหนึ่งถูกมืออันเรียวยาวของเขาจับไว้ กำลังรินเองดื่มเองอย่างสบายอารมณ์


 


 


ชายเช่นนี้ มองปราดหนึ่งก็ทำให้นึกถึงประโยคที่ว่าผู้สง่างามที่แท้จริงความสง่าย่อมพรั่งพรูออกมาเองโดยธรรมชาติ


 


 


มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปเบาๆ นั่งตรงกับเขาโดยมีโต๊ะน้ำชากั้น แล้วถามเสียงอ่อนโยนว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงมาได้ล่ะ?”


 


 


สายตาสดใสคู่นั้นของกู้หลีหยุดอยู่บนหน้ามั่วชิงเฉิน เอ่ยเสียงเบาว่า “นางหนูเจ้าไม่กลับมาตั้งหลายปี ข้าคิดถึงยิ่งนัก จึงมานี่แล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าหน้าร้อนผ่าว ก้มหน้าลงแผ่วเบาว่า “ทำให้อาจารย์ต้องเป็นห่วงแล้ว” ในใจกลับรู้สึกถึงความหวานสายเล็กๆ มีความปีติที่บอกไม่ถูก เขา เขาก็คิดถึงตนเช่นกันจริงหรือนี่?


 


 


กู้หลีดันจอกแก้วที่รินสุราทิพย์จนเต็มใบหนึ่งข้ามไป “ชิงเฉิน ดื่มเป็นเพื่อนอาจารย์จอกหนึ่ง หลายปีมานี้ไม่ได้ดื่มสุราที่เจ้าหมัก อีกทั้งยังขาดสหายสุราไป ช่างน่าเบื่อนัก”


 


 


มั่วชิงเฉินรับจอกแก้วที่ยังมีอุณหภูมิของกู้หลีหลงเหลืออยู่ ยิ้มให้กู้หลีอย่างซุกซนว่า “ใครให้อาจารย์อยู่ดีๆ ไล่ข้าลงเขาล่ะ ฮึ กรรมตามสนอง” ท่าทางน่ารักไร้เดียงสาไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยธรรมดาคนหนึ่ง


 


 


ท่ามกลางสายตาที่อ่อนโยนของกู้หลี มั่วชิงเฉินส่งจอกสุราไปที่ข้างริมฝีปาก กลับต้องขมวดคิ้วแผ่วเบา


 


 


“เป็นอันใดหรือ ชิงเฉิน?” กู้หลีถาม


 


 


มั่วชิงเฉินอารมณ์ไม่ดีว่า “อาจารย์ สุรานี่รสชาติแย่มาก ลำบากให้ท่านต้องดื่มมันลงไปได้อย่างไร ที่ชิงเฉินนี่ยังมีสุราชั้นดีหลายขวด อาจารย์ดื่มอันนี้ดีกว่า”


 


 


มั่วชิงเฉินพูดพลางคิดจะหยิบสุราไหหนึ่งจากถุงเก็บวัตถุออกมา กลับพบว่าถุงเก็บวัตถุก็ใช้ไม่ได้แล้ว จึงอดชะงักอยู่ตรงนั้นไม่ได้ แล้วพูดกับกู้หลีว่า “อาจารย์ ที่นี่แปลกจัง ไม่นึกเลยว่าที่นี่ไม่อาจขับเคลื่อนพลังวิญญาณได้ ท่านดูสิ แม้แต่ถุงเก็บวัตถุก็ใช้ไม่ได้แล้ว ดูท่าวันนี้ท่านจะไม่มีลาภปากแล้ว”


 


 


กู้หลียืนขึ้นมา ยื่นมือออกว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็รีบออกไปเถอะ จะได้ไม่ต้องสายแล้วจะเกิดเหตุผิดปกติอันใดอีก”


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลชั่วครู่ ยังคงทนไม่ได้ยื่นมือข้ามไป ทันใดนั้นรู้สึกว่าเข้าไปในมือที่อบอุ่นแห่งกร้านข้างหนึ่ง ฝ่ามือด้านระหว่างกึ่งกลางนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ถูบนผิวพรรณที่เนียนนุ่มของนาง ทำให้นางหน้าแดงใจเต้น


 


 


“อาจารย์ ข้ายังมีสหายสามคนอยู่ที่นี่ “มั่วชิงเฉินหันหลังมองทีหนึ่งหาพวกคุณชายหกสามคนไม่จอ จึงพูดกับกู้หลีว่า


 


 


กู้หลียกมือลูบไล้ผมของมั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน เจ้าไม่อยากอยู่ตามลำพังกับอาจารย์หรือ สนใจคนอื่นทำอะไร?”


 


 


“ทว่า…” มั่วชิงเฉินกำลังลังเล ทันใดนั้นรู้สึกมือกู้หลีออกแรง ลากนางเข้าไปในอ้อมกอดทันที


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกใจเต้นเหมือนตีกลองทันที เอ่ยอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “อาจารย์?”


 


 


สายตากระจ่างใสของกู้หลีอ่อนโยนดั่งน้ำ ค่อยๆ ปัดผ่านใบหน้านาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเฉิน ทว่าอันใดหรือ?”


 


 


พูดพลางขยับริมฝีปากที่แฝงด้วยกลิ่นอายสุราอ่อนใสเข้ามา ประทับลงไปข้างริมฝีปากของมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินหลับตาลง ขนตาสั่นไหว รับรู้ถึงลมหายใจที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ กำลังใกล้เข้ามา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราทิพย์ ยิ่งเพิ่มความเย้ายวนให้มัวเมาขึ้นอีกส่วนหนึ่ง


 


 


มือใหญ่คู่นั้นเริ่มเลื่อนไหลอยู่บริเวณเอวนาง ในชั่วพริบตาที่ริมฝีปากกำลังจะแตะกันนั้น มั่วชิงเฉินผลักกู้หลีออกโดยพลัน มองดูท่าทางตกใจของเขา หัวเราะเย้ยว่า “ทว่า อาจารย์ของข้าไม่ทำเช่นนี้กับข้าเด็ดขาด!”


 


 


อาจารย์ของนาง ท่านพี่กู้ของนาง ไม่เคยสอนให้นางเมื่อพบอุปสรรคอันตรายให้ทิ้งสหายไว้ไม่เหลียวแล ยิ่งไม่ทำจาบจ้วงกับนางเช่นนี้


 


 


“ชิงเฉิน เจ้าพูดอะไรอยู่น่ะ?” คนที่แปลงเป็นกู้หลีเอ่ยอย่างไม่ตายใจ


 


 


มั่วชิงเฉินเบือนหน้าไป เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เจ้าไปเถอะ หายไปทั้งแบบนี้เถอะ ข้ารู้ว่าลำนำสวรรค์นี่ อาหารอันโอชะนี่ ทหารกุ้งจอมพลปูสาวมังกรนางหอย เป็นไปได้ว่าเป็นของจริง และเป็นไปได้ว่าเป็นเท็จ ทว่าที่สามารถแน่ใจได้คือ เจ้าต้องเป็นของปลอมแน่นอน!”


 


 


มั่วชิงเฉินที่ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณได้ ได้เพียงเปิดโปงสิ่งเหล่านี้ด้วยคำพูดที่แน่วแน่ ชี้ให้เห็นถึงใจที่ไม่ถูกครอบงำของนาง


 


 


เป็นไปตามคาดยามที่มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง กู้หลีได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ลำนำสวรรค์ดังเดิม เสียงหยอกล้อของหญิงสาวดังเดิม เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจรบกวนนางได้อีก นางประหนึ่งกลายเป็นผู้ชมคนหนึ่ง มองดูภาพยนตร์ที่สมจริงอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ทว่ากลับจับต้องไม่ได้


 


 


สัมผัสถึงพลังในกายที่สามารถควบคุมได้อีกครั้ง มั่วชิงเฉินเริ่มตามหาพวกคุณชายหกสามคน


 


 


ยามที่สายตานางมองไปที่มุมหนึ่งนั้น นางเบิกตาโตขึ้นทันที สีหน้าตกตะลึงกว่ายามที่เห็นอาจารย์กู้หลีเสียอีก


 


 


ที่นี่ คุณชายหกกำลังโอบหญิงสาวชุดชมพูนางหนึ่ง เอ่ยอย่างยินดีว่า “โหรวเอ๋อร์ ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน ในที่สุดเจ้าก็รับปากจะไปจากที่นี่พร้อมข้าแล้ว”


 


 


หญิงสาวรูปร่างผอมเพรียว อ้อนแอ้นเสียจนราวกับกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวตามลม เสียงยิ่งอ่อนโยนน่าฟัง “อืม ในใจข้ามีท่านเสมอมา จะมีเหตุผลที่ไม่รับปากได้อย่างไร เราไปกันตอนนี้เถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงอึดหนึ่ง หากไม่ใช่บัดนี้นางทำได้เพียงมองดู นางแทบจะพุ่งเข้าไปทันที


 


 


หญิงสาวคนนั้น หญิงสาวคนนั้น คือมั่วหนิงโหรวพี่สิบสี่ของนางนี่นะ!


 


 


มั่วชิงเฉินเช็ดน้ำตาที่ไหลเต็มหน้าอย่างส่งเดช ยิ้มขึ้นมาอย่างเซ่อๆ ไม่ว่าอย่างไร พี่สิบสี่ของนางยังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ?


 


 


แล้วก็ได้ยินคุณชายหกพูดอีกว่า “เช่นนั้นเยี่ยนเยี่ยนล่ะ นางจะทำเช่นไร?”


 


 


หญิงสาวชุดชมพูเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “เยี่ยนเยี่ยนย่อมต้องอยู่ที่ตระกูลหวัง บิดานางจะดีต่อนาง…”


 


 


ยังพูดไม่จบมั่วชิงเฉินก็เห็นคุณชายหกผลักหญิงสาวชุดชมพูล้มลงกับพื้น พูดอย่างเย็นชาว่า “แปลงเป็นนาง เจ้ายังไม่คู่ควร!” พูดพลางล้วงกระบี่บินเล่มหนึ่งแทงไปอย่างไม่ปรานี


 


 


แม้เพราะไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณกระบี่มีเพียงพลังโจมตีจากตัวมัน หญิงสาวชุดชมพูคนนั้นกลับหายไปทันทีหลังจากถูกแทง


 


 


คุณชายหกดิ้นหลุดออกจากแดนครึ่งจริงครึ่งมายา เห็นมั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ น้ำตานองหน้ามองเขาอย่างเหม่อลอย


 


 


คุณชายหกนึกว่ามั่วชิงเฉินพบเจอเรื่องอะไรในแดนครึ่งจริงครึ่งมายาถึงได้เป็นเช่นนี้ จึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “แม่นางมั่ว เจ้าไม่เป็นไรนะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากไว้ มองคุณชายหกไม่พูดอะไรสักคำ ในใจนางมีหมื่นพันคำพูดจะถาม ทว่า ทว่าคุณชายหกผู้นี้ตกลงมีความสัมพันธ์อันใดกับพี่สิบสี่กันแน่ หากนางอ้าปากถามขึ้น ตกลงจะเหมาะสมหรือไม่?


 


 


ลังเลชั่วครู่ มั่วชิงเฉินยังคงทนไม่ไหวถามว่า “คุณชายหก เมื่อครู่ ข้าเห็นเจ้ากับหญิงสาวนางหนึ่ง…”


 


 


ทันใดนั้นคุณชายหกที่กิริยาสง่าเป็นสุภาพบุรุษเสมอมาสีหน้าบึ้งตึงขึ้น เอ่ยนิ่งเรียบว่า “แม่นางมั่ว เราแต่ละคนต่างมีความลับของตน ไม่ใช่อะไรก็สามารถถามได้กระมัง?”


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าร้อนผ่าว ตกใจว่านี่ถึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของคุณชายหก ปกติภายใต้กิริยาท่าทางสง่างามนั้น กลับมีเกล็ดย้อนที่ไม่อาจแตะต้องได้ ตนถามเช่นนี้ละลาบละล้วงไปแล้วจริงๆ


 


 


 


 


——


 


 


[1] เซิง เครื่องดนตรีประเภทเป่ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ รูปร่างคล้ายแคนของไทย มี36ปล้องสั้นยาวไม่เท่ากัน


 


 


[2] พิณเส้อ เป็นเครื่องดนตรีจีนโบราณ มีอายุกว่า 4,000ปี มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดเครื่องไม่แน่นอน มี25สาย มีหลักมัดสายที่ท้ายเครื่อง4หลัก แบ่งหย่อง2ชุด ชุดใน16สาย สเกล F Major Pentatonic ชุดนอก9สาย สเกล E Major Pentatonic รวม10ครึ่งเสียง (อ้างอิงจากเอกสารวิจัยของ ศ. ติงเฉิงอวิ้น)

 

 

 


ตอนที่ 167 เสียงเพลงเกี่ยววิญญาณ

 

เห็นมั่วชิงเฉินมองเขาอย่างงงงัน คุณชายหกที่รู้ตัวว่าทำเกินไปเสียงอ่อนโยนขึ้นมาว่า “แม่นางมั่ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งออกจากแดนมายา ไม่ได้ควบคุมอารมณ์ให้ดี หากพูดหนักไปเจ้าจงอย่าใส่ใจ”


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะว่า “ไม่หรอก เป็นข้าที่ละลาบละล้วง คุณชายหกอย่าถือสาถึงจะถูก”


 


 


ในชั่วเวลาหนึ่งทั้งสองคนต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ดีที่ในยามนี้คุณชายสี่ได้สติขึ้นมา ผ่านไปอีกไม่นานเท่าไร คุณชายสิบเจ็ดก็ดิ้นหลุดจากแดนครึ่งจริงครึ่งมายาแล้วเช่นกัน


 


 


มั่วชิงเฉินแอบว่าดูท่าแล้วแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา จะดูเพียงนิสัยที่แสดงออกภายนอกของคนคนหนึ่งแล้วดูถูกเขาไม่ได้เด็ดขาด


 


 


ในพริบตาที่คุณชายสิบเจ็ดฟื้นมา ความครึกครื้นทั้งหมดในตำหนักก็หยุดลงแต่เท่านั้น ทหารปูกุ้งพวกนั้น สาวมังกรนางหอยหายไปจนหมดสิ้น โถงใหญ่กลับคืนสู่สภาพยามที่ทุกคนเข้ามาอีกครั้ง


 


 


“พี่สี่ พวกท่านดู!” คุณชายสิบเจ็ดชี้ที่กำแพงว่า


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปที่กำแพง พอดีเห็นนางหอยที่โฉมงามดุจบุปผาคนหนึ่งยิ้มละไม ในมือยกจานเงินยาวใบหนึ่ง ข้างๆ ใช้ตัวอักษรเล็กๆ เขียนอักษรไว้สองตัว ‘เสวี่ยเหนียง’


 


 


นี่นางถึงตกใจว่ายามที่เพิ่งก้าวเข้าโถงใหญ่สิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตชีวาบนกำแพงนั่นนึกไม่ถึงเลยว่าก็คือเหล่าวิญญาณในงานเลี้ยง


 


 


ในใจมั่วชิงเฉินชั่วเวลาหนึ่งบอกไม่ถูกว่าเป็นเช่นไร ไม่นานก่อนหน้าหญิวสาวโฉมงามที่ให้การต้อนรับตนอย่างเต็มที่ ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่คนในภาพ


 


 


เช่นนั้น เมื่อครู่คือคนในภาพมีชีวิตขึ้นมาแล้ว หรือว่าพวกเขาเดินเข้าจิตรกรรมฝาผนังกลายเป็นสมาชิกหนึ่งในภาพกันแน่?


 


 


เสวี่ยเหนียงที่รอยยิ้มดุจบุปผาในจิตรกรรมฝาผนังนี้ หากวันหลังตนมาอีกครั้ง กระตุ้นสิ่งต้องห้ามใหม่อีกครั้ง นางจะรู้จักหรือไม่รู้จักตนนะ?


 


 


อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ยามที่จริงเป็นเท็จ เท็จก็เป็นจริง ยามที่เท็จเป็นจริงจริงก็เป็นเท็จ


 


 


จำได้ว่ายามที่ตนเพิ่งเข้าตระกูลมั่ว ท่านอาสิบสี่ก็เคยพูดกับตนว่า ทางแห่งการบำเพ็ญเพียรคือการให้ได้ซึ่งตัวข้าที่แท้จริง เป็นขั้นตอนการขจัดเท็จให้เหลือจริง


 


 


ใจกระจ่างเห็นนิสัย ตามหาใจเต๋าของตน ก็เพื่อมองต้นตอแหล่งฟ้าดินให้ชัดเจน ไม่สับสนเพราะไม่อาจแยกจริงเท็จได้อีกใช่หรือไม่นะ?


 


 


สีหน้าของมั่วชิงเฉินมืดมน ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน รอบกายกลับมีแสงวิญญาณไหลเวียนรางๆ


 


 


“แม่นางมั่วนาง…” คุณชายสิบเจ็ดเห็นแล้วตะลึง


 


 


คุณชายหกรีบใช้สายตาห้ามไว้ แม้เขาไม่เคยประสบมาก่อนกลับรู้ว่ายามนี้มั่วชิงเฉินต้องไม่อาจถูกรบกวนเป็นแน่


 


 


“รู้แจ้ง ไม่นึกเลยว่านางจะรู้แจ้งแล้ว” คุณชายสี่รำพึงรำพันเสียงหลง สายตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินยิ่งร้อนแรงมากขึ้นอีก


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ได้สติจากสภาพน่าพิศวงเช่นนั้น เห็นทั้งสามคนจ้องตนเขม็ง นี่ถึงนึกถึงที่ที่ตนอยู่ จึงอดเอ่ยเชิงขอโทษไม่ได้ว่า “ให้ทั้งสามท่านรอนานแล้ว”


 


 


“แม่นางเกรงใจไปแล้ว ข้าน้อยต่างหากควรขอบคุณแม่นางมั่ว ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาสักครา ที่แท้นี่ก็คือการรู้แจ้งที่เล่าลือกันหรือนี่” คุณชายหกรำพึงรำพันด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความชื่นชมและเคารพ


 


 


คุณชายสี่เอ่ยว่า “แม่นางมั่ว เจ้าช่างทำให้คนประหลาดใจจริงๆ…” คำพูดข้างหลังไม่ได้พูดต่อ ระดับความร้อนแรงในตากลับทำให้มั่วชิงเฉินแอบกลัวในใจ


 


 


“ทั้งสองท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ารู้แจ้งอะไรที่ไหนกัน เพียงแต่โอกาสวาสนานำพาเข้าสู่สภาพน่าพิศวงแบบหนึ่ง สภาพจิตเกิดสูงขึ้นเท่านั้น ส่วนหลักการเต๋าอะไร นั่นไม่ได้ตระหนักเลยแม้แต่น้อย” มั่วชิงเฉินเอ่ย ส่วนจะเชื่อหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะควบคุมได้แล้ว


 


 


เอาล่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เดินหน้าต่อเถอะ” คุณชายสี่เห็นมั่วชิงเฉินไม่อยากพูดมาก จึงเอ่ยว่า


 


 


ผ่านแดนมายาสองด่าน อีกาไฟที่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณก็กระโดดออกมาอีก ตามทั้งสี่คนเดินสู่ส่วนลึกของตำหนักใหญ่ไปพลาง ฆ่าอสูรปีศาจในทะเลที่โผล่ออกมาเป็นระยะไปพลาง


 


 


การสู้กันอย่างจริงๆ จังๆ เช่นนี้ ก็รู้สึกอารมณ์ผ่อนคลายกว่าก่อนหน้ามาก


 


 


คุณชายสิบเจ็ดแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สี่ ท่านว่าแม่นางมั่วคนนั้น ตกลงรู้แจ้งสิ่งใดกันแน่?”


 


 


คุณชายสี่ตอบว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะแหะๆ ว่า “รอต่อไปกลายเป็นพี่สะใภ้สี่แล้ว พี่สี่ท่านก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ เสียงของคุณชายสี่ถึงส่งมาว่า “ครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น ความเป็นมาของแม่นางมั่วคนนี้เกรงว่าจะไม่ธรรมดา ทว่าในเมื่อนางมาถึงทะเลขนาบใจของเราแล้ว ต่อให้นางมีคนหนุนหลังใหญ่โตแค่ไหนก็แส้ไกลเกินเอื้อม[1] นาง ข้าเอาแน่แล้ว!”


 


 


“พี่สี่ มีที่ที่ใช้น้องได้เชิญว่ามาเต็มที่ แหะๆ ขอเพียงวันหลังพวกท่านสามีภรรยาบำเพ็ญเพียรคู่ เสียงพิณสอดประสาน อย่าลืมน้องก็พอ” คุณชายสิบเจ็ดส่งเสียงทางจิตว่า


 


 


คุณชายสี่ส่งตอบว่า “นั่นแน่นอน ทว่าครั้งนี้ที่สำคัญคือเจ้าหวังหกนั่น”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดชะงัก “หวังหก?”


 


 


“ถูกต้อง เห็นได้ชัดว่าหวังหกยืนอยู่ข้างแม่นางมั่วนั่น หากไม่ลากเขามาเป็นพวก คิดจะได้แม่นางมั่วก็ยากแล้ว แม่นางมั่วคนนั้นอยู่ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ความสามารถต้องเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอันดับสองแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางยังมีอสูรวิญญาณที่พลังไม่อาจคาดเดาได้” คุณชายสี่วิเคราะห์ว่า


 


 


คุณชายสิบเจ็ดเสียงแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์สายหนึ่ง “พี่สี่ หรือว่าหวังหกจะมีใจให้แม่นางมั่วคนนี้เป็นพิเศษหรืออย่างไร?”


 


 


คุณชายสี่ฮึเสียงเย็นทีหนึ่ง “เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ใจตลอดมาของหวังหกเสียหน่อย!”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดเอ่ยอย่างมีนัยลึกซึ้งว่า “ก็นั่นน่ะสิ หากสามารถทำให้เขาสมใจปรารถนา เขายังสามารถปฏิเสธข้อเสนอของพี่สี่ได้หรืออย่างไร?”


 


 


คุณชายสี่ชะงัก “เจ้าหมายถึง…” จากนั้นเสียงยิ่งเย็นเยียบลงแล้ว “ไม่ได้ นั่นมิเหลวไหลหรอกหรือ ถึงเวลาข้าหวังสี่มิต้องเมฆเขียวครอบหัวหรอกหรือ?”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะว่า “พี่สี่ คนนั้นเป็นเพียงแค่อนุเท่านั้น จะนับว่าเมฆเขียวครอบหัวได้อย่างไร มอบอนุเป็นของขวัญต่อให้อยู่ในทางโลกฆราวาสก็ถูกเรียกว่าเป็นเรื่องดีงาม ในโลกบำเพ็ญเพียรของพวกเรายิ่งไม่คุ้มค่าแก่การพูดถึง รอท่านและพี่สะใภ้สี่น้อยบำเพ็ญเพียรสำเร็จทางแห่งอายุยืนยาว จะมีใครกล้านินทาอีก หึๆ ต่อให้เป็นคนที่นินทาในเวลานั้นก็กลายเป็นธุลีดินกอบหนึ่งตั้งนานแล้ว”


 


 


คำพูดนี้ของคุณชายสิบเจ็ดพูดถึงสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในใจของคุณชายสี่พอดี โดยเฉพาะ ‘ทางแห่งอายุยืนยาว’ ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น


 


 


หญิงสาวนางนี้ อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่สวรรค์ส่งมาให้เพื่อให้เขาสำเร็จก่อแก่นปราณทองคำก็เป็นได้ เขาไม่เสียดายที่ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ต้องได้นางมาให้ได้!


 


 


มั่วชิงเฉินไม่รู้ถึงเจตนาร้ายที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของคุณชายสี่ ยิ่งคิดไม่ถึงข้อเสนอบ้าบอคอแตกของคุณชายสิบเจ็ด ความคิดของนางยังอยู่ที่มั่วหนิงโหรวนั่น


 


 


เดินทางร่วมกับคุณชายสามคนจากตระกูลหวัง จากคำพูดไม่กี่คำที่พวกเขาพูดมาอย่างไรก็สามารถสรุปความจริงอะไรได้บ้าง


 


 


ยามนั้นคุณชายหกตกเข้าไปในแดนมายา ปากร้องเรียก ‘โหรวเอ๋อร์’ เสียงดังพลางฟื้นมา นางจำได้ว่าคุณชายสี่สีหน้าอึมครึม คุณชายสิบเจ็ดสีหน้าประหลาด นี่แสดงว่า พี่สิบสี่กับพวกเขา โดยเฉพาะกับคุณชายสี่ คุณชายหกสองคนล้วนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากใช่หรือไม่?


 


 


คำพูดที่คุณชายสิบเจ็ดเคยพูดไว้เปรียบดังฟ้าร้องดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน “พี่สี่ ท่านมีอนุคนหนึ่งก็แซ่มั่วมิใช่หรือ กับแม่นางคนนี้ช่างมีวาสนาจริงๆ เลย”


 


 


อนุแซ่มั่ว ‘โหรวเอ๋อร์’ ในปากคุณชายหก สีหน้าอึมครึมของคุณชายสี่ เรื่องเหล่านี้ในที่สุดก็ต่อเข้าด้วยกัน ทว่าความจริงที่ต่อติดขึ้นมากลับทำให้มั่วชิงเฉินเกือบกดริมฝีปากแดงสดแตก


 


 


พี่สิบสี่ นางนิสัยอ่อนแอขี้กลัว จิตใจกลับดีและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าวังบาดาลนี้อีก พี่สิบสี่ที่คาดหวังตั้งแต่เล็กว่าจะได้พบคนรักเหมือนสาวน้อยธรรมดาในโลกฆราวาส พี่สิบสี่ที่เจอเคราะห์กรรมอนาถฆ่าล้างตระกูลบิดามารดาเสียชีวิตทั้งคู่ ซัดเซพเนจรมายี่สิบกว่าปี ไม่นึกว่าจะกลายเป็นอนุของชายคนหนึ่งเช่นนั้นหรือ?


 


 


ยิ่งกว่านั้นชายคนนั้น ดูไม่เหมือนคนให้ความสำคัญกับความรักชายหญิงสักเท่าใด ในใจของเขา เกรงจะมีแต่หนทางแห่งอายุยืนยาวสายนั้นเท่านั้นกระมัง


 


 


ส่วนชายอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนไม่เลว กลับมีฐานะที่กระอักกระอ่วนเช่นนั้น เช่นนั้นชีวิตพี่สิบสี่ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ต้องผ่านมาอย่างทุกข์ทรมานเช่นไร?


 


 


มั่วชิงเฉินแอบตัดสินใจ ตระกูลหวัง ไม่ไปสักคราไม่ได้เสียแล้ว


 


 


ในที่สุดคนทั้งขบวนก็เดินถึงสุดทางตำหนักแล้ว หลังจากร่วมมือกันจัดการอสูรปีศาจชั้นสี่ตัวหนึ่งแล้ว ประตูใหญ่ที่ปิดผนึกไว้ก็ค่อยๆ เปิดออก


 


 


มั่วชิงเฉินกลั้นหายใจ กลับต้องตกตะลึงกับทัศนียภาพข้างหน้า


 


 


ด้านหลังประตูหลังตำหนัก ไม่นึกว่าจะเป็นทะเลสาบเล็กๆ ที่สงบสวยงาม ตรงกลางทะเลสาบมีเกาะเล็กเกาะหนึ่ง สามารถเห็นเงาที่สวยงามเงาหนึ่งรางๆ นั่งอยู่บนโขดหินแหงนหน้ามองฟ้า เสียงเพลงดุจเสียงสวรรค์ลอยมาตามลม


 


 


มีชั่วพริบตาหนึ่งที่มั่วชิงเฉินรู้สึกเลือนราง จากนั้นเพลิงแก้วใจกระจ่างที่ตันเถียนแผ่ซ่านออกมาเหมือนน้ำค้างใสเย็น ทำให้นางได้สติกลับมาทันที


 


 


ทว่าสิ่งที่เห็นต่อจากนั้นกลับทำให้นางตกใจ พวกคุณชายหกสามคนไม่นึกเลยว่าจะเหมือนถูกมนตร์สะกดก็ไม่ปานเดินสู่กลางทะเลสาบไปทีละก้าวๆ คุณชายสิบเจ็ดที่รูปร่างเตี้ยหน่อยยามนี้ได้ถูกน้ำในทะเลสาบท่วมถึงเอวแล้ว


 


 


“คุณชายหก!” มั่วชิงเฉินตะโกนเสียงร้อนรน


 


 


คุณชายหกเหมือนไม่ได้ยิน เดินหน้าต่อไปทีละก้าวๆ


 


 


“คุณชายสี่!” มั่วชิงเฉินลองตะโกนเรียกเสียงหนึ่ง


 


 


คุณชายสี่ร่างกายหยุดชะงัก จากนั้นเสียงเพลงที่ยิ่งไพเราะเสนาะหูลอยมาอีก เขาจึงเดินสู่กลางทะเลสาบต่อ


 


 


มั่วชิงเฉินรีบอัญเชิญอาวุธเวทรูปชามออกมา ใครจะรู้ว่าอาวุธเวทรูปชามไปถึงบนฟ้าเหนือทะเลสาบแล้วก็หดลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือร่วงกลับเข้ามือมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว


 


 


แย่แล้ว ไม่สามารถใช้อาวุธเวทเหินหาวได้!


 


 


ไม่ทันได้คิดมาก มั่วชิงเฉินยกตัวกระโดดลงในทะเลสาบ


 


 


น้ำในทะเลสาบหนาวเสียดกระดูก ด้วยร่างกายผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานของนางยังรู้สึกว่าทนไม่ไหว มั่วชิงเฉินกัดฟันพยายามว่ายไปทางคุณชายหกอย่างเต็มที่ ในใจแอบคิดว่าดีที่ตนไม่ใช่เป็ดแห้งแล้ง[2]


 


 


ยามที่น้ำในทะเลสาบท่วมถึงหน้าอกคุณชายหกนั้น ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ว่ายมาถึงข้างกายเขา จับแขนของเขาไว้ทันทีว่า “คุณชายหก เจ้าตื่นหน่อย!”


 


 


คุณชายหกแววตาเลื่อนลอย ไม่มองมั่วชิงเฉินสักปราด เดินไปข้างหน้าต่อ


 


 


มั่วชิงเฉินร้อนรนเป็นการใหญ่ มือหนึ่งดึงแขนของเขาไว้แน่น ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมาโบกไปที่หน้าเขาเต็มแรง


 


 


ได้ยินเพียงเสียงผลัวะดังขึ้นเสียงหนึ่ง ร่างกายคุณชายหกส่ายไปมา ลืมตาขึ้นแล้ว


 


 


หลังจากงุนงงชั่วสั้นๆ คุณชายหกเข้าใจสภาพของตนที่ตกอยู่ในอันตราย จึงเอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “แม่นางมั่ว ขอบคุณ” พูดพลางกวาดสายตามองริมฝีปากที่หนาวจนเป็นสีม่วงของมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างห้ามตัวเองไม่ได้


 


 


อย่างไรเสียมั่วชิงเฉินก็เป็นหญิงสาว ยามนี้อยู่ในทะเลสาบหนาวจนตัวสั่นแล้ว ชี้ทางด้านคุณชายสี่นั่นว่า “พวกเขาทำเช่นไร?”


 


 


พูดตามใจจริงนางแล้ว นางขี้เกียจจะช่วยพวกเขา ใครจะรู้ว่าวันหลังจะถูกแว้งกัดหรือไม่ล่ะ


 


 


แม้จะบอกว่านางมีหลักการข้อหนึ่งคือไม่ละทิ้งสหายของตน ทว่าสองคนนี้นับไม่ได้ว่าเป็นสหายโดยสิ้นเชิง


 


 


บนใบหน้าคุณชายหกเผยให้เห็นถึงการดิ้นรนเช่นกัน


 


 


ในยามนี้นี่เอง ไม่รู้ว่าเพราะความเคลื่อนไหวของทางมั่วชิงเฉินนี่หรือว่าคุณชายสี่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน ไม่คิดว่าเขาจะได้สติขึ้นมา กวาดมองทางนี้ปราดหนึ่ง แล้วก็ลากคุณชายสิบเจ็ดที่เกือบถูกน้ำในทะเลสาบท่วมจะมิดศีรษะแล้วไว้ พูดกับพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “อยู่ในน้ำทะเลสาบนี่นานไปเราจะทนไม่ไหว รีบขึ้นไปบนเกาะ” พูดพลางอัญเชิญเรือบินออกมา แล้วกระโดดขึ้นไป


 


 


อาวุธเวทเรือเล็กของคุณชายหกก็เช่นกันทั้งสามารถเหินหาวทั้งแล่นอยู่บนผิวน้ำได้เหมือนเรือเล็กจริงๆ ขึ้นเรือเล็กของเขาแล้ว มั่วชิงเฉินอดตัวสั่นเทาไม่ได้ รีบเสกคาถาอบเสื้อผ้าบนตัวให้แห้ง กลับยังคงรู้สึกหนาวถึงกระดูก


 


 


คุณชายหกหยิบเสื้อขนกระต่ายหิมะตัวหนึ่งคลุมให้นาง แล้วก็ได้ยินคุณชายสี่ว่า “น้องหก เจ้ายังช่างทะนุถนอมอิสตรีเสียจริงนะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] แส้ไกลเกินเอื้อม เป็นการเปรียบเทียบว่า เหนือบ่ากว่าแรง หรือ เกินอำนาจของตนเอง เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้


 


 


[2] เป็ดแห้งแล้ง ใช้เรียกเยาะเย้ยคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น 

 

 


ตอนที่ 168 มีเพียงบนสวรรค์ที่คู่ควร

 

“แว้ดๆ อะไรเรียกว่าทะนุถนอมอิสตรี?” อีกาไฟสะบัดขนบนตัว ทำหยดน้ำกระเซ็นไปทั่ว


 


 


คุณชายหกมือชะงักทันที มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย


 


 


มั่วชิงเฉินกลับผูกเชือกเสื้อคลุมให้ดีอย่างสงบมาก แล้วยิ้มให้คุณชายหกว่า “ขอบคุณ”


 


 


จากนั้นยกคางแผ่วเบาอธิบายอย่างอดทนต่ออีกาไฟที่หยุดอยู่กลางอากาศว่า “ทะนุถนอมอิสตรี หมายถึงผู้ชายดูแลเอาใจใส่ต่อหญิงสาวที่รัก ดังนั้นคุณชายสี่พูดเช่นนี้ไม่ถูก” ท่าทางเป็นการเป็นงานก็เหมือนอาจารย์ที่สอนสั่งเด็กน้อยที่ไม่เดียงสา


 


 


อีกาไฟสางขนอย่างเอื่อยเฉื่อยทีหนึ่ง เหลือกตาขาวครึ่งหนึ่งเหลือบมองคุณชายสี่ปราดหนึ่งว่า “ที่แท้ความหมายเช่นนี้เองหรือนี่…”


 


 


อีกาลากเสียงยาวแล้วพูดเช่นนี้ ก็เหมือนกำลังเยาะเย้ยคุณชายสี่ที่โง่เขลาขนาดไหนอย่างไรอย่างนั้นแหละ


 


 


มั่วชิงเฉินกลับเหมือนไม่เห็นพยักหน้าว่า “เจ้าต้องจำไว้นะ ต่อไปอย่าใช้ส่งเดช คนอื่นจะได้ไม่หัวเราะเยาะข้าที่สอนเจ้าไม่ดี”


 


 


“แว้ดๆ รู้แล้วน่ะ ข้าโง่ปานนั้นเลยหรือ?” อีกาไฟพูดพลางยังบุ้ยปากไปทางคุณชายสี่ด้วยสีหน้าน่าอัด


 


 


“แค่กๆ” คุณชายหกรีบเอามือปิดปากไอเสียงต่ำ ปิดบังเสียงหัวเราะที่เกือบกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว ความอักอ่วนเล็กน้อยเมื่อสักครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งทันที


 


 


เอ็นสีเขียวบนมือคุณชายสี่เต้นระริก อดกลั้นความหุนหันพลันแล่นที่จะเข้าไปถอนขนอีกาไฟไว้แล้วมองดูหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สมของมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ทันใดนั้นรู้สึกว่าแม่นางมั่วที่ประวัติความเป็นมาลึกลับคนนี้ช่างทำให้คนคาดเดาไม่ถูก จะให้นางเชื่อฟังเขาอย่างหมดจิตหมดใจเหมือนหญิงสาวที่ผ่านมาพวกนั้นเกรงว่าจะไม่ง่ายปานนั้น


 


 


เมื่อคิดดูอีกที ขอเพียงได้ตัวของนางแล้ว นางยังบินขึ้นฟ้าไปได้หรืออย่างไร ต่อให้จิตใจนางไม่อยู่ที่ตนแล้วเป็นเช่นไร สิ่งที่เขาต้องการก็เป็นเพียงนางที่สามารถนำผลประโยชน์มาให้การบำเพ็ญเพียรของตนเท่านั้น เขาไม่เหมือนสุภาพบุรุษจอมปลอมบางคนหรอกนะ ที่พูดอยู่ตลอดเวลาว่าต้องได้ใจของหญิงสาวอย่างโน้นอย่างนี้


 


 


คิดมาถึงตรงนี้ แสงเย็นเยียบในตาแวบขึ้น จึงหันสายตาไปทางอื่น


 


 


“พี่สี่ พวกเราจะสำเร็จแล้วใช่หรือไม่?” คุณชายสิบเจ็ดที่สำลักน้ำเข้าไปเต็มท้องรู้สึกเพียงว่าอวัยวะภายในเหมือนแข็งเป็นน้ำแข็ง หนาวเข้ากระดูก


 


 


มองดูสีหน้าที่ซีดเซียวจนน่าตกใจของคุณชายสิบเจ็ด คุณชายสี่แอบพูดในใจว่าครั้งนี้เกรงว่าน้องสิบเจ็ดต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะฟื้นคืนสภาพเดิมได้ ใบหน้ากลับไม่กระโตกกระตากว่า “ยี่สิบปีก่อนข้าเหยียบขึ้นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั่นจึงเสนอเงื่อนไขต่อข้าข้อหนึ่ง ว่าไปก็โชคดี สิ่งของที่ข้าพอดีพกติดตัวมาสามารถทำให้มันพอใจได้ จึงได้น้ำตาหยดหนึ่งอย่างราบรื่น”


 


 


“เช่นนี้แล้ว รออีกสักครู่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณก็จะเสนอเงื่อนไขให้พวกเราเช่นนั้นหรือ?” คุณชายสิบเจ็ดถามอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาเพิ่งรอดพ้นมาจากความตาย ไม่กล้าประมาทอีกแล้ว


 


 


คุณชายสี่กวาดสายตามองพวกคุณชายหกสองคนปราดหนึ่ง ส่ายศีรษะว่า “ข้าก็ไม่รู้ ข้าได้ยินท่านปรมาจารย์เคยพูดไว้ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณที่คนที่มาตามหาน้ำตาพบไม่แน่ว่าจะเป็นตัวเดียวกันทุกครั้ง ดังนั้นตกลงต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้ มีที่เสนอเงื่อนไข มีที่จะสู้กับคนที่มาตั้งหนึ่ง ยังมีที่เพียงแค่หยอกล้อคนที่มาเท่านั้น ทำให้เขาต้องกลับมือเปล่า…”


 


 


คุณชายหกฟังแล้วรู้สึกเศร้าใจ การตามหาน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่ใช่เป็นเพียงการตัดสินการจัดสรรของโอสถทิพย์เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นการทดสอบที่มีต่อผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหวัง


 


 


ตระกูลหวังแผ่อำนาจในทะเลขนาบใจมามากกว่าพันปี ใหญ่อยู่ตระกูลเดียว หากในตระกูลขาดการแข่งขันขัดเกลา เช่นนั้นก็จะหยุดอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้า กระทั่งถึงสุดท้ายจะมีความเสี่ยงในการแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ


 


 


ดังนั้นการทดสอบตามหาน้ำตาปลาปีศาจเกี่ยววิญญาณผู้อาวุโสระดับสูงในตระกูลหวังให้ความสำคัญอย่างมากมาตลอด ในเวลาเดียวกันผู้บำเพ็ญเพียรที่ผ่านการทดสอบได้สำเร็จกลับถึงในตระกูลจะปิดปากเงียบไม่พูดถึงการทดสอบครั้งนั้นๆ สำหรับคนรุ่นต่อไปแล้ว การเดินทางสู่การทดสอบยังคงเต็มเปี่ยมด้วยความไม่รู้และลึกลับ ตนเคยเข้าร่วมการทดสอบมาครั้งหนึ่ง อีกทั้งเตรียมการสำหรับการนี้มาสิบปี นี่ถึงรู้สถานการณ์บางอย่าง ไม่คิดว่าปรมาจารย์ในตระกูลผู้นั้นกลับบอกข้อมูลที่ล้ำค่ามากมายแกหวังสี่ตั้งนานแล้ว


 


 


นึกถึงสิ่งที่ปรมาจารย์ผู้นั้นทำแล้ว คุณชายหกแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาที่มองไปที่คุณชายสี่แฝงด้วยความหมายบอกไม่ถูกขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินมาจากตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน คำพูดคุณชายสี่สั้นๆ ไม่กี่ประโยคนี้ นางฟังออกทันทีถึงฐานะของเขาในตระกูลหวังที่ไม่เหมือนลูกหลานทั่วไป แอบคิดเองว่า ฐานะของเขาในตระกูลหวังอาจจะเหมือนพี่เก้ามั่วเฟยเยียนในตระกูลมั่วในปีนั้นกระมัง


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากพี่สิบสี่อยู่อย่างไม่มีความสุข ตนคิดจะวางแผนเพื่อช่วยพี่สิบสี่ ก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว?


 


 


มั่วชิงเฉินที่ตากลมที่พัดมาจากทะเลสาบเย็นไปทั้งตัว นางเก็บความคิดขึ้นแล้วมองไปที่เกาะเล็กที่เข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


 


เงาอันงดงามบนโขดหินที่หันหลังให้ทุกคนแหงนมองท้องฟ้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วสามารถเห็น ผมดุจแพรไหมของนางตกลงมาถึงเอวได้รางๆ บดบังแผ่นหลังที่สะอาดหมดจดไว้ มองต่ำลงไปอีก กลับเป็นหางปลาที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียวเส้นหนึ่ง กำลังตีคลื่นอย่างเอ้อระเหย


 


 


เสียงเพลงของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่เคยหยุดมาก่อน เพียงแต่กลับไม่มีพลังล่อลวงใจคนเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่นำมาให้ทุกคนคืองานเลี้ยงทางโสตประสาทที่ไพเราะดั่งเสียงสวรรค์แต่กลับเศร้าระทม


 


 


ใช่แล้ว ยิ่งมีสติ ยิ่งสามารถสัมผัสถึงความทุกข์ระทมที่ปิดบังไม่มิดในเสียงเพลงของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ ความเศร้าโศกตรงเข้าไปถึงส่วนลึกของวิญญาณ กลับทำให้คนหลงใหลตราตรึงใจ


 


 


มั่วชิงเฉินตกใจโดยพลัน เห็นคุณชายสี่บังคับเรือเล็กเอียงออกจากทิศทางของเกาะเล็ก ทิศทางที่ไปเป็นที่ที่ห่างจากทุกคนไม่ถึงสิบจั้งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรปรากฏหน้าผาขึ้นแห่งหนึ่ง!


 


 


มั่วชิงเฉินเหงื่อเย็นไหลโทรมกายทันที ถึงได้รู้ถึงความน่ากลัวของเสียงเพลงนี้


 


 


สิ่งนี้เปรียบเหมือนแผนในแผน ใช้เสียงเพลงสะกดจิตคนอยู่ก่อน หากผู้ที่มาได้สติขึ้นมาเดินทางมุ่งไปเกาะเล็ก หลงคิดว่าผ่านด่านนี้แล้วจึงผ่อนคลายจิตใจ ก็จะถูกเสียงเพลงสะกดจิตเป็นครั้งที่สองโดยไม่รู้ตัว และการสะกดจิตครั้งนี้ต่างจากความไม่มีสติสัมปชัญญะในครั้งที่หนึ่งโดยสิ้นเชิง แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าตนมีสติดีอยู่


 


 


ความน่ากลัวก็อยู่ที่ตรงนี้ หากผู้ที่มามีมากกว่าหนึ่งคน การสูญเสียสติสัมปชัญญะภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนต่างหลงคิดว่ามีสติอยู่ เช่นนั้นก็จะไม่มีใครสามารถเตือนสติกันได้แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินปล่อยเถาวัลย์ออกพันแขนของคุณชายสี่ไว้ มือออกแรงลากเขาออกห่าง แม้เรือเล็กนี้ตนไม่ได้เป็นคนหลอม บังคับขึ้นมาก็เปลืองแรงอยู่บ้าง ทว่าบังคับไม่ให้เดินหน้าต่อกลับเพียงพอแล้ว


 


 


ดีที่การกระทำที่ขัดขวางคุณชายสี่บังคับเรือในเวลาเดียวกันได้ตัดความลุ่มหลงที่เขามีต่อเสียงเพลง หลังจากนั้นคุณชายหกและคุณชายสิบเจ็ดก็ฟื้นขึ้นมาตามกัน


 


 


“เกือบไปแล้ว ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณร้ายกาจเสียจริง!” คุณชายสิบเจ็ดยังกลัวไม่หาย มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ จากนั้นแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สี่ แม่นางมั่วคนนี้มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ แหะๆ มิน่าครั้งนี้พี่สี่ถึงคิดจะแต่งงานตามประเพณีแล้ว”


 


 


คุณชายสี่ตอบว่า “ยามนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนี้ น้องสิบเจ็ด ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณในครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ธรรมดา ครั้งที่แล้วข้าจำได้ว่าครั้งแรกที่ฟื้นคืนสติจากเสียงเพลง ก็ถึงบนเกาะโดยตรงเลย”


 


 


“ความหมายของท่านคือ…” คุณชายสิบเจ็ดหนักใจทันที


 


 


คุณชายสี่ถอนใจว่า “เอาเป็นว่าเจ้าเองก็ระวังหน่อย ตกลงเป็นเช่นไรกันแน่ข้าก็ยากจะคาดเดา เพียงแต่คาดว่าระดับชั้นของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณในครั้งนี้ต้องสูงกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน!”


 


 


อีกทางหนึ่ง คุณชายหกส่งเสียงทางจิตให้มั่วชิงเฉินเช่นกัน “แม่นางมั่ว เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้อีกแล้ว ขอบคุณ”


 


 


มั่วชิงเฉินตอบว่า “คุณชายหกเกรงใจไปแล้ว พวกเราเพียงแต่ต่างคนต่างใช้ประโยชน์จากกันและกันเท่านั้น”


 


 


ในใจแอบคิดว่ามาเป็นเพื่อนเขาเที่ยวนี้แม้อันตรายค่อนข้างมาก ทว่าหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร เดิมทีก็ยิ่งอันตรายโอกาสวาสนาก็ยิ่งมาก ยิ่งกว่านี้คุณชายหกผู้นี้ใจกว้างมาก ไม่เพียงรับปากว่าหลังจากทดสอบจบลงไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ก็จะมอบถุงหอมให้ตนใบหนึ่ง หากกระสายยาที่ได้มีมาก สามารถได้โอสถทิพย์ของตระกูลหวังสองเม็ดขึ้นไปละก็ เขาก็จะมอบให้ตนเม็ดหนึ่ง


 


 


แล้วก็ได้ยินคุณชายหกส่งเสียงทางจิตอีกว่า “แม่นางมั่ว แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าข้าน้อยยังคงซาบซึ้งยิ่งนัก”


 


 


เสียงมั่วชิงเฉินแฝงไว้ด้วยการยิ้ม “หากคุณชายหกเกรงใจจริงๆ ละก็ รอหลังจากกลับไปให้ข้าไปอาศัยบ้านท่านสักสองสามวัน ประหยัดค่าที่พักสักหน่อยก็แล้วกัน”


 


 


คุณชายหกชะงัก คิดอะไรได้ ความรู้สึกที่แม่นางมั่วผู้นี้ให้คนอื่นคือใจเย็นมีสติสัมปชัญญะ รักษาระยะห่างกับคนอื่น เหตุใดยามนี้กลับยื่นข้อเรียกร้องเช่นนี้?


 


 


หรือว่า…นางรู้สึกพิเศษกับตนอยู่บ้างจริงๆ?


 


 


ต่อให้คุณชายหกใจมีเจ้าของ เมื่อนึกถึงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เก่งกาจเช่นนี้คนหนึ่งรู้สึกกับตนต่างจากคนอื่นก็อย่างไรก็ดีใจตนพูดไม่ออกอยู่บ้าง


 


 


ที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องปกติ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งแม้บอกว่าอย่างน้อยก็ต้องมีอายุหลายสิบปีแล้ว อยู่ในโลกฆราวาสก็มีครอบครัวหน้าที่การงานมั่นคงไปนานแล้ว ทว่าในโลกบำเพ็ญเพียร ในเรื่องความรักพวกเขาก็เหมือนชายหญิงวัยรุ่นในโลกฆราวาสที่เพิ่งจะรู้จักความรักเท่านั้น


 


 


และดูเด็กหนุ่มธรรมดาก็รู้ คนส่วนใหญ่ต่อให้มีคนที่รัก หากรู้ว่ามีหญิงสาวที่เก่งกาจมากมีใจให้เขา อย่างไรก็อดตัวลอยไม่ได้ นี่เป็นเพียงเรื่องความหลงตัวเองแผลงฤทธิ์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความรัก


 


 


ทว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้หรอกนะว่าการที่ตนหาข้ออ้างส่งเดชเพื่อเข้าตระกูลหวังจะทำให้คุณชายหกคิดมาก รอยามที่เรือเล็กกำลังจะเข้าฝั่ง นางกำก้อนอิฐในมือไว้แน่ จ้องเงาที่งดงามนั้นไม่กะพริบตา


 


 


ทว่าท่ามกลางสายตาทุกคนนั่นเอง เงาที่งดงามนั้นไม่คิดเลยว่าจะหายไปกลางอากาศแล้ว


 


 


“พี่สี่?” คุณชายหกตกใจกลัว


 


 


คุณชายหกโบกมือว่า “อย่าเพิ่งรน ขึ้นเกาะก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


คุณชายสี่พูดจบเก็บเรือเล็กขึ้นแล้วก้าวขึ้นเกาะ ในยามที่คนสุดท้ายก้าวขึ้นเกาะนั่นเอง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าตรงหน้าแสงสีขาวเรืองรอง ในสมองโล่งไปหมด ทำได้เพียงทันเก็บอีกาไฟกลับเข้าถุงอสูรวิญญาณเท่านั้น


 


 


เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง มั่วชิงเฉินมองอย่างงงงัน ยังคงเป็นเกาะเล็กแห่งนั้น ทว่าข้างกายกลับไม่มีเงาของคนอื่น


 


 


“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” เสียงที่อ่อนโยนเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านอีกทั้งแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้ารางๆ ลอยมา


 


 


โตจนขนาดนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉินได้ยินเสียงที่ไพเราะเช่นนี้


 


 


“เสียงนี้มีได้เพียงบนฟ้าเท่านั้น ในโลกมนุษย์จะได้ฟังสักกี่ครากัน มิน่าคนธรรมดาอย่างพวกเราฟังแล้วถึงอายุสั้น” มั่วชิงเฉินสงบสติอารมณ์ รำพึงรำพันว่า


 


 


“หึๆๆ หลายปีขนาดนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ได้เจอนางหนูน้อยที่มีจิตวิญญาณถึงเพียงนี้” เสียงที่ไพเราะดังเสียงสวรรค์นั้นลอยมา มีชีวิตชีวากว่าก่อนหน้านี้ จากนั้นเงาร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้นต่อหน้ามั่วชิงเฉิน


 


 


ใบหน้าที่หมดจด ผิวพรรณดังหยก คอยาวระหงแขวนสร้อยมุกกระจ่างใสพวงหนึ่งไว้ หน้าอกใช้เพียงเปลือกหอยสีขาวบริสุทธิ์สองอันบดบังไว้ ผมยาวหนาสยายออกอย่างตามสบาย บดบังความงดงามไปครึ่งใหญ่ เพียงแต่การตัดและขับกันของดำและขาว กลับทำให้เห็นถึงความงดงามที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกมนุษย์


 


 


หางปลาสีทองและร่างคนต่อกันตามธรรมดา ยิ่งเติมความงามเย้ายวนที่น่าตระหนกตกใจ


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณที่งดงามพิจารณามั่วชิงเฉินอย่างสงบ พลานุภาพที่แผ่ซ่านออกอย่างไม่ได้ตั้งใจกลับทำให้มั่วชิงเฉินพรั่นพรึง พลังอำนาจเช่นนี้ ต่อให้เป็นอาจารย์ก็ไม่เคยมี หรือว่ามันเป็นอสูรปีศาจชั้นแปดที่เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ระดับก่อกำเนิดระยะต้น? หรืออาจจะ ยิ่งสูงกว่านั้น? 

 

 


ตอนที่ 169 มีความรักสวรรค์ก็ชรา

 

“นางหนูน้อย เจ้าคิดอะไรอยู่?” ดวงตาสีฟ้าของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณผู้งามหยาดฟ้ามาดินเหมือนไพลินส่องประกายแวววับ พิจารณามั่วชิงเฉินอยู่


 


 


“ข้ากำลังคิด ว่าท่านต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจที่สุดที่ข้าเคยพบมาแน่นอน” มั่วชิงเฉินตอบด้วยความสัตย์จริง


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เหมือนเสียงกระดิ่งที่ทำจากวัสดุชั้นเลิศดังกุ๊งกิ๊ง “สิ่งมีชีวิต? หึๆ เจ้าพูดเก่งมาก เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นอสูรปีศาจชั้นใดที่พวกเจ้ามนุษย์เรียกกันล่ะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินลองเชิงว่า “อย่างน้อยชั้นเก้ากระมัง?”


 


 


“ชั้นเก้า?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณหัวเราะนิ่งเรียบ


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ถึงความอ้างว้างและโศกเศร้า ในรอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมายนี้


 


 


“เจ้าเป็นคนของตระกูลหวังหรือ?” ทันใดนั้นปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถามขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากที่อื่น มาถึงที่นี่โดยบังเอิญ”


 


 


“มิน่าล่ะ” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพึมพำว่า


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนี้เวลาพูดจาดูเหมือนมักแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งว่า “ไม่ว่าเช่นไร เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อเอาน้ำตาของเผ่าพันธุ์ข้าสินะ?”


 


 


แม้จะบอกว่ามั่วชิงเฉินได้น้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไปก็ไม่มีวัตถุดิบและเทียบโอสถที่จะหลอมโอสถทิพย์ชนิดนั้นของตระกูลหวังได้ ทว่าหากนางมอบน้ำตาให้คุณชายหกละก็ยังเป็นไปได้ว่าจะได้โอสถทิพย์เม็ดหนึ่ง จึงไม่ได้ปฏิเสธว่า “ใช่เจ้าค่ะ”


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกระดกมุมปากยิ้มขึ้นว่า “นางหนูน้อย เจ้าก็ซื่อสัตย์มากทีเดียว”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร ต่อหน้าความสามารถเบ็ดเสร็จ การที่ซื่อสัตย์สักหน่อยจึงจะเป็นวิธีรับมือที่ดีที่สุดกระมัง


 


 


“อยากได้น้ำตาของข้าไม่ยาก เพียงใช้ของสิ่งหนึ่งของเจ้ามาแลกเปลี่ยน” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเปิดปากว่า ดวงตางดงามที่เกี่ยววิญญาณได้คู่นั้นมองมั่วชิงเฉินอย่างไม่กะพริบ ทันใดนั้นเอ่ยอีกว่า “ที่แท้นางหนูน้อยเจ้าไม่เพียงแต่ฉลาด ยังมีรูปโฉมงดงามด้วย”


 


 


คำพูดนี้ก็เดาไม่ถูกว่าดีหรือร้ายแล้ว มั่วชิงเฉินหนักใจทันที หรือว่ามันอยากได้หนังของตน?


 


 


นึกถึงตรงนี้รู้สึกขนลุกชูชันทันที นางเคยเห็นในบันทึกปกิณกะบางอย่าง มีผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงที่ร่างเนื้อได้รับความเสียหายจึงทำการแย่งชิงเปลือกจากผู้บำเพ็ญเพียรชั้นต่ำ กระทั่งอสูรปีศาจบางอย่างก็ทำเช่นนี้


 


 


แม้จะบอกว่ารูปโฉมภายนอกของนางนี้หากเปิดเผยออกมาจะนำความยุ่งยากมาให้บ้าง แต่กลับไม่เคยเกิดคลื่นลมขึ้นเพราะการอำพรางและทำตัวค้อมต่ำมาหลายปีของนาง ยิ่งกว่านั้นจะมีหญิงสาวที่ไหนไม่อยากมีหน้าตาดีจริงๆ ล่ะ


 


 


โยนเรื่องพวกนี้ออกไปไม่พูดถึง ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกแย่งเปลือกจุดจบมีเพียงอย่างเดียวคือวิญญาณแตกสลาย นั่นเป็นเรื่องที่น่าอนาถยิ่งนัก ดังนั้นการกระทำแย่งเปลือกเช่นนี้ถูกเห็นเป็นเรื่องต้องห้ามในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมาตลอด หากรู้ว่ามีคนแย่งเปลือก ผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านบางคนก็จะทำการไล่ฆ่าคนคนนั้น


 


 


ต่อให้ในกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ก็มีข้อจำกัดมากมายเกี่ยวกับการแย่งเปลือก ก่อนอื่นผู้บำเพ็ญเพียรไม่สามารถแย่งเปลือกจากคนธรรมดา หากใช้คาถานี้กับคนธรรมดาเมื่อใด เขาจะถูกคาถาสะท้อนกลับ ต่อมามีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรตบะสูงสามารถทำการแย่งเปลือกผู้บำเพ็ญเพียรตบะต่ำได้ ตบะของทั้งสองคนยิ่งใกล้กันยิ่งล้มเหลวได้ง่าย ในทางกลับกันอัตราความสำเร็จก็จะสูงตามไปด้วย ที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งคือ ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งในช่วงชีวิตหนึ่งทำการแย่งเปลือกได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรคิดจะแย่งเปลือกก็ต้องรอบคอบให้มาก


 


 


ราวกับเดาความคิดของมั่วชิงเฉินได้ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง “นางหนูน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเหลวไหล ของที่ข้าอยากได้จากเจ้าย่อมเป็นของที่เจ้าให้ได้”


 


 


เสียงฮึเย็นชานี้ราวกับฟ้าร้องก็ไม่ปาน ทำให้ร่างกายมั่วชิงเฉินไกวไปมาทีหนึ่ง เหงื่อเย็นไหลออกมาทันที จึงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ไม่ทราบท่านผู้อาวุโสอยากให้ข้าน้อยใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยนเจ้าคะ?”


 


 


“ของที่ข้าต้องการสำหรับเจ้าแล้วง่ายมาก ก็คือไฟจริงกองหนึ่งในร่างเจ้า” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน


 


 


คำพูดประโยคนี้กลับทำให้มั่วชิงเฉินตกตะลึงมากกว่าเสียงฮึเย็นชาเมื่อครู่อีก นางเบิกตากว้างจ้องใบหน้าที่ไม่มีคลื่นลมของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณด้วยความตื่นเต้น


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมองดูท่าทางตกใจของมั่วชิงเฉินแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “หากข้าเดาไม่ผิด ไฟจริงของเจ้าคือหนึ่งในสามไฟมหัศจรรย์เพลิงแก้วใจกระจ่างสินะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินฝืนกดคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่งในใจลงไป ก้มหน้าลงครึ่งหนึ่งว่า “ท่านผู้อาวุโสคาดการดั่งเทพจริงๆ” ในใจกลับกำลังคิดว่าตกลงตรงไหนเกิดผิดพลาดกันแน่ ตนไม่เคยกล้าใช้คาถาธาตุไฟมาก่อน ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเหตุใดจึงรู้ว่าตนมีเพลิงแก้วใจกระจ่างติดตัวนะ?


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพิจารณาสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของมั่วชิงเฉิน เปิดปากว่า “นางหนูน้องที่ฉลาดก็เจ้าแผนการด้วยจริงๆ บอกเจ้าก็ไม่เป็นไร แม้จะบอกว่าแรงดึงดูดของเสียงเพลงเผ่าพันธุ์เราที่มีต่อหญิงสาวเทียบกับที่มีต่อผู้ชายแล้วอ่อนกว่าเล็กน้อย ทว่าก็ไม่เหมือนเจ้าที่ได้สติกลับมาได้ในพริบตา หลายปีมานี้ เจ้าเป็นคนที่สองที่ได้สติในเวลาอันสั้นเช่นนี้”


 


 


“คนที่สอง?” มั่วชิงเฉินฟังความนัยออกมาได้เล็กน้อย ในใจเกิดความคิดอะไรขึ้นมาเล้ว


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณย้อนรำลึกว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อนานมากแล้วมีนางหนูคนหนึ่งเคยมาที่นี่ นางก็ได้สติในเวลาแสนสั้น ใช่แล้ว นางแซ่มั่ว…”


 


 


มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที เสียงหลงว่า “แซ่มั่ว?” ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนี้ถึงเดาได้ว่านางมีเพลิงแก้วใจกระจ่างแล้ว ที่แท้พันปีก่อนมันเคยพบบรรพบุรุษท่านนั้นของตนมาก่อน!


 


 


“ข้า…บรรพบุรุษของข้าเป็นคนเช่นไร?” มั่วชิงเฉินอ้าปาก ทนไม่ไหวต้องถามขึ้น


 


 


“ในเวลานั้นตบะของนางสูงกว่าเจ้าสักหน่อย อืม น่าจะเป็นระดับก่อกำเนิดที่ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์อย่างพวกเจ้าเรียกกันกระมัง นิสัยกลับร่าเริงไม่เท่าเจ้า ทว่า นางสวยมาก” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพูดพลางกวาดสายตามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินอยากหัวเราะเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรปีศาจ ขอเพียงเป็นเพศเมีย ก็ต้องสนใจข้อนี้ใช่หรือไม่?


 


 


ทว่าต่อจากนั้นรอยยิ้มข้างปากกลับค้างอยู่ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตนนี้ใช้น้ำเสียงสบายๆ เช่นนี้บอกว่าตบะของบรรพบุรุษตนสูงกว่าตนสักหน่อย คือระดับก่อกำเนิด เช่นนี้แล้ว เช่นนั้นมันมิใช่…มิใช่ว่าอย่างน้อยมันต้องมีตบะเทียบเท่าระดับถอดดวงจิตในผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์หรอกหรือ?


 


 


เมื่อเดาได้เช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก จึงพิจารณาปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตรงหน้ามากขึ้นหลายปราดอย่างไม่รู้ตัว


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกลับดูเหมือนไม่สังเกตเอ่ยต่อว่า “ใช่แล้ว ที่มาพร้อมนางยังมีผู้ชายคนหนึ่ง”


 


 


จำได้ว่าท่านปู่เคยพูดว่า หลังจากบรรพบุรุษหญิงท่านนั้นหายสาบสูญไปพอกลับมาก็มีตบะระดับก่อกำเนิด อยู่ในตระกูลร้อยกว่าปีแล้วจากไปอีกหลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย น่าจะเป็นเวลานั้นที่นางมาถึงทะเลขนาบใจนี่กระมัง เช่นนั้นคิดเช่นนี้ได้หรือไม่ว่า สุดท้ายนางก็หาคนรักที่จะจูงมือไปด้วยกันตลอดชีวิตเจอ แล้วไล่ตามหนทางแห่งอายุยืนยาวไปด้วยกันแล้วนะ?


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินยินยอมคิดเช่นนี้ ในใจหวังอย่างจริงใจให้บรรพบุรุษหญิงที่เก่งกาจงดงามท่านนั้นมีที่พึ่งพิงอย่างมีความสุข


 


 


“เจ้าอิจฉามากใช่หรือไม่?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมองดูสีหน้าของมั่วชิงเฉินแล้วถามว่า


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นยิ้มว่า “ไม่ใช่อิจฉาเจ้าค่ะ เพียงแต่ได้ยินท่านผู้อาวุโสบอกว่าบรรพบุรุษหญิงท่านนั้นของข้ามีคนเคียงข้าง จึงยินดีกับนางจากใจจริง”


 


 


สีหน้าของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณอ้างว้างขึ้นมาทันที นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จนกระทั่งยามที่มั่วชิงเฉินก็ต้านพลานุภาพที่แผ่ซ่านออกมาอย่างไม่รู้ตัวในยามที่มันนิ่งเงียบ ถึงค่อยๆ เปิดปากว่า “เจ้าเชื่อในความรักชายหญิงหรือไม่?”


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถามคำพูดนี้ออกมา ทันใดนั้นก็ไม่เหมือนอสูรปีศาจที่พลังสูงส่งผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่กลับเหมือนหญิงสาวในโลกฆราวาสผู้คับแค้นใจ


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก เงยหน้าขึ้นแผ่วเบาว่า “ข้าเชื่อเจ้าค่ะ”


 


 


ข้าเชื่อว่ามีรักแท้อยู่ เพียงแต่จะได้พบคนคนนี้หรือไม่ เช่นนั้นก็ได้แต่ดูลิขิตสวรรค์แล้วล่ะ


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณได้ยินคำตอบที่แน่วแน่ของมั่วชิงเฉินแล้วดูเหมือนกระทบจิตใจมาก นางเหม่อมองนางแล้วถามอีกว่า “เช่นนั้นระหว่างคนและอสูรปีศาจล่ะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินพินิจชั่วครู่ว่า “ด้วยความเข้าใจของข้าน้อย ความรักหากเกิดจากใจจริง เช่นนั้นย่อมมีอยู่จริง ไม่เกี่ยวกับของภายนอกบางอย่างเช่นเผ่าพันธุ์ อายุ ฐานะทางสังคมทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”


 


 


“เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ?” ดวงตาที่เหมือนไพลินของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเป็นประกาย ประหนึ่งแสงดาวที่สุกสกาวที่สุด


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ใช่ ทว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ต่างอาศัยอยู่ในสังคม การกระทำมากมายย่อมหนีไม่พ้นถูกผูกมัด ดังนั้นหากระหว่างคนและอสูรปีศาจเกิดความรักกัน คิดจะสำเร็จมรรคผลย่อมต้องยากกว่าในเผ่าพันธุ์เดียวกันแน่นอน”


 


 


“เช่นนั้น หากพวกเขาอยู่ด้วยกันโดยไม่คำนึงถึงทุกสิ่งล่ะ มันถูกต้องหรือไม่?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไล่ถามเหมือนสาวน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วถึงว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่า หากการที่พวกเขาอยู่ด้วยกันไม่ได้ทำร้ายถึงผู้บริสุทธิ์ละก็ เช่นนั้นย่อมไม่ควรได้รับการตำหนิ”


 


 


หลักการของนางเสมอมาก็คือ คนคนนหนึ่งสามารถไล่ตามความสุขของตนได้ ทว่าต้องไม่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น


 


 


ก็เหมือนกับสังคมในชาติที่แล้ว มีมือที่สามบางคนยกธงของความรักไปหาเรื่องภรรยาหลวงโดยที่คิดว่าตนมีเหตุผล ราวกับคิดว่ามีสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นความรักแล้วเช่นนั้นจริยธรรมทั้งหมด ความสัมพันธ์ทางสายเลือด มิตรภาพต่างๆ ล้วนสามารถหลีกทางให้ได้ ไม่ว่าทำผิดอะไรล้วนสามารถได้รับการยกโทษ นี่มิใช่เรื่องตลกหรอกหรือ ยิ่งกว่านั้นเมื่อโยนความรับผิดชอบทั้งมวลทิ้งไปแล้วความรักยังยิ่งใหญ่เพียงนั้นอยู่อีกจริงหรือ? อีกทั้งยังคู่ควรให้เรียกว่าความรักจริงหรือ?


 


 


เพิ่งสิ้นเสียงพูด ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกะพริบตาเบาๆ น้ำตากลิ้งตกลงมาสองหยด และตกผลึกกลายเป็นไข่มุกแวววับสองเม็ดในพริบตา


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณยื่นมือส่งไข่มุกมา เสียงทุ้มต่ำเล็กน้อยว่า “นางหนูน้อย เจ้าก็มองได้ทะลุปรุโปร่งดีนี่ สบายเจ้าแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินรับไข่มุกน้ำตาไป ในใจเข้าใจว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตนนี้ต้องเป็นบุคคลที่สูงส่งที่สุดในเผ่าพันธุ์ของมันแน่นอน น้ำตาของมันต้องได้ผลดีกว่าน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณธรรมดามากแน่นอน เมื่อคิดเช่นนี้ ก็อดปวดใจที่ตนไม่รู้เทียบโอสถ ได้แต่ส่งให้คนอื่นแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินขยับนิ้วกลาง เปลวไฟสีฟ้าอ่อนกองหนึ่งปรากฏขึ้น ที่ออกจากตรงนี้ไม่ใช่ไฟจริงธรรมดา หากแต่เป็นไฟในใจนาง


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณรับไปอย่างเต็มใจ


 


 


มั่วชิงเฉินย่อเข่าคำนับ จะอำลาไปแล้ว


 


 


ทันใดนั้นปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณว่า “นางหนูน้อย กลับไปบอกพวกเด็กบ้านั่น คนเผ่าพันธุ์เราเกลียดที่พวกเขาเรียกเราว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมาก!”


 


 


มั่วชิงเฉินกะพริบตา ยิ้มแล้ว “ข้าน้อยก็รู้สึกว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณไม่น่าฟังมากเจ้าค่ะ”


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณสนใจขึ้นมา “เอ่อ เช่นนั้นในที่ที่เจ้าอยู่ เรียกขานพวกเราว่าเช่นไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก ผู้บำเพ็ญเพียรในดินแดนเทียนหยวนไม่เคยได้ยินว่ามีปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมาก่อน จะมีชื่อเรียกอะไรได้?


 


 


ทว่านางกลับยิ้มว่า “คนที่นั่นเรา เรียกเผ่าพันธุ์ของท่านผู้อาวุโสว่านางเงือกเจ้าค่ะ”


 


 


“นางเงือก?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณบ่นพึมพำ เกิดสนใจขึ้นมา “เหตุใดจึงเรียกเช่นนี้ล่ะ?”


 


 


“น่าจะเพราะนิทานเรื่องหนึ่งกระมัง” มั่วชิงเฉินเห็นปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณสนใจมาก จึงเอ่ยต่อว่า “บ้านเกิดของข้าน้อยเล่าลือกันว่า ใต้ทะเลที่ลึกมาก มีปราสาทที่องอาจแห่งหนึ่ง ข้างในมีนางเงือกที่งดงามหกตนอาศัยอยู่…”


 


 


มั่วชิงเฉินเล่านิทานจบ คารวะปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณทีหนึ่งแล้วหันหลังจากไป ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงถอนใจเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง “นางหนูน้อย เจ้าอยากฟังเรื่องราวของข้าหรือไม่?”


ตอนที่ 170 ไม่แค้นเดือนเต็มดวง

 

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคนคนหนึ่ง…อืม ก็คือนางเงือกน้อยที่พวกเจ้าเรียกกันกระมัง นางเป็นองค์หญิงเล็กที่แท้จริงในเผ่า และก็เป็นคนที่พรสวรรค์โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเผ่า นางมีนิสัยมองโลกในแง่ดีตามแต่กำเนิด ทุกวันล้วนประดับรอยยิ้มไว้บนหน้า บำเพ็ญเพียรอย่างมีความสุข ยามว่างจึงชอบโผล่พ้นผิวทะเลพิจารณาโลกที่แตกต่างกับสถานที่ที่นางใช้ชีวิตอยู่อย่างสิ้นเชิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น เป็นเช่นนี้ นางที่จิตใจบริสุทธิ์บำเพ็ญเพียรด้วยความเร็วที่ทำให้คนตกใจถึงชั้นเจ็ดที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าเรียกกัน เทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลายของพวกเจ้า และในวันหนึ่งในปีนั้น ยามที่นางลอยขึ้นเหนือผิวน้ำชมวิวทิวทัศน์เหมือนปกตินั้น มีผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์คนหนึ่งไม่รู้เพราะเหตุใดได้ตกลงมา จมลงไปในทะเล เพราะว่านางเงือกน้อยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ไปๆ มาๆ บ่อยๆ จึงค่อยๆ เกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับพวกเขา เห็นท่าจึงรีบช่วยคนที่ตกน้ำนั้นขึ้นมา เพียงแต่ไม่คิดว่าคนคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส นางเงือกน้อยจำใจ จึงได้แต่แอบจัดให้เขาพักอยู่บนเกาะเล็กที่ห่างไกลผู้คนเกาะหนึ่ง ตั้งแต่นั้นนางเงือกน้อยจึงไปดูแลเขาบ่อยๆ จนกระทั่งหลังจากเขาหายดีนางเงือกน้อยใช้ไข่มุกที่มาจากน้ำตาของนางร้อยสร้อยข้อมือขึ้นมาเส้นหนึ่ง มอบให้คนคนนั้นเป็นของขวัญจากลา ทว่าคิดไม่ถึงว่าคนคนนั้นกลับบอกว่าเพราะว่ามีศัตรูไล่ฆ่า เขาตัดสินใจไม่ไปแล้ว รอให้ตบะสูงขึ้นก่อนค่อยไป ก็เป็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนี้ก็อาศัยอยู่ที่เกาะเล็กที่ห่างไกลผู้คนขึ้นมา” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเล่าอย่างช้าๆ สีหน้าจะแฝงไว้ด้วยความหวานชื่นสายหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง


 


 


มั่วชิงเฉินรู้ นางเงือกน้อยในนิทานท่าทางก็คือมันแล้ว


 


 


สายตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณทอดไปที่ผิวน้ำที่อยู่ไกลออกไป เสียงยิ่งอ่อนหวานขึ้น “ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นร้ายกาจมาก สามารถหลอมหญ้าทิพย์สมุนไพรทิพย์ต่างๆ เป็นโอสถมหัศจรรย์ นี่เป็นสิ่งที่ปีศาจทั้งหลายเรียนรู้ไม่ได้ แม้นางเงือกน้อยตบะสูงกว่าเขา กลับนับถือเขามาก ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรเนื่องจากนางเงือกน้อยมีบุญคุณในการช่วยชีวิต จึงห่วงใยเอาใจใส่นางเงือกน้อยยิ่งนัก นางเงือกน้อยเอาหญ้าทิพย์สมุนไพรทิพย์ผลไม้ทิพย์ที่เด็ดได้ใต้ทะเลให้ผู้บำเพ็ญเพียรบ่อยๆ ผู้บำเพ็ญเพียรก็จะนำสิ่งเหล่านี้หลอมเป็นโอสถหลากหลายชนิด แบ่งส่วนหนึ่งให้นางเงือกน้อย เป็นเช่นนี้ ตบะทั้งของผู้บำเพ็ญเพียรและนางเงือกน้อยต่างรุดหน้าอย่างรวดเร็ว อย่างค่อยๆ นางเงือกน้อยพบว่าทุกวันเวลาลืมตาตื่นมาเรื่องที่นึกถึงเป็นเรื่องแรกก็คือไปพบเขา นางเงือกน้อยที่ไร้เดียงสาไม่รู้ว่าตนมีใจให้ชายชาวมนุษย์แล้ว นางเพียงแต่กระทำการตามใจ จึงย้ายที่อยู่ไปอยู่ข้างเกาะเล็กให้รู้แล้วรู้รอดไป อยู่กับผู้บำเพ็ญเพียรเช้าเย็น ผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่ใช่หุ่นไม้ นานวันเข้า ในที่สุดก็เป็นฝ่ายเปิดเผยความในใจของตนต่อนางเงือกน้อย ยิ่งกว่านั้นบอกนางเงือกน้อยว่า ปีศาจเช่นพวกนางหลังจากชั้นแปดแล้วก็จะแปลงกายได้ รูปลักษณ์ภายนอกก็จะไม่ต่างกับหญิงชาวมนุษย์แล้ว ที่จริงนางเงือกน้อยผู้ไร้เดียงสาในยามนั้นไม่ได้ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้ตกลงหมายถึงอะไรกันแน่ นางรู้เพียงว่าตนมีความสุขมากขึ้น เวลาบำเพ็ญเพียรก็ยิ่งพยายาม


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพูดถึงตรงนี้แล้วยิ้มระทมทีหนึ่ง ดูเหมือนกำลังหัวเราะเด็กโง่ที่ไม่รู้เรื่องคนหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดมองหางปลาสีทองของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณปราดหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย เห็นเช่นนี้แล้ว นางไม่ได้ถอดหางปลาทิ้งไป แปลงกายเป็นหญิงสาวชาวมนุษย์ที่แท้จริงดั่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นพูดเสียแล้ว


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเอ่ยต่อว่า “ในที่สุดวันหนึ่ง นางเงือกน้อยรอถึงเคราะห์อัสนีแปลงกายมาถึง ทว่าหลังจากเคราะห์อัสนีผ่านไปนางก็ไม่ได้ถอดหางปลาไป กลายเป็นขาคู่หนึ่งเฉกเช่นที่ผู้บำเพ็ญเพียรว่าไว้ หากแต่นอกจากสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นภายในกายแล้วไม่มีสิ่งใดแตกต่างเลย สำหรับการนี้ผู้บำเพ็ญเพียรก็คิดไม่ตก สังเกตถึงความผิดหวังที่แฝงอยู่ในตาของผู้บำเพ็ญเพียรได้อย่างเฉียบไว นางเงือกน้อยตัดสินใจกลับไปขอคำชี้แนะจากปราชญ์ผู้ได้รับการถ่ายทอดปรีชาญาณในเผ่า ปราชญ์ชนิดนี้มีเพียงผู้เดียวเสมอมา เมื่อปราชญ์รุ่นก่อนสิ้นไป ปราชญ์คนใหม่จึงจะถือกำเนิด พวกเขาถือกำเนิดมาพร้อมความรู้มากมายตั้งแต่โบราณกาลของเผ่าพันธุ์นี้ หลังจากนางเงือกน้อยหาปราชญ์พบจึงถามความสงสัยในใจออกมา จนกระทั่งหลังจากนั้นนานมากแล้ว นางเงือกน้อยยังจำได้ถึงความเข้าใจและเวทนาในตาของปราชญ์ในยามนั้น ปราชญ์บอกนางว่า เผ่าพันธุ์ของพวกเขาได้รับความเมตตาจากฟ้าแต่เพียงเผ่าเดียว เมื่อถือกำเนิดมาก็มีปัญญาวิญญาณ สามารถพูดภาษาคนได้ ในขณะเดียวกันนอกจากหางปลาที่อยู่ภายนอกแล้วไม่มีอะไรแตกต่างจากมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นพวกเขามีอายุขัยที่ยืนยาว ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจธรรมดามากนัก ก็คงไม่สามารถได้ประโยชน์ไปเสียทุกด้านกระมัง เผ่าพันธุ์ของพวกเขานี้ต่อให้ผ่านเคราะห์อัสนีแปลงกาย ยังคงไม่อาจแปลงเป็นมนุษย์ได้ ยิ่งกว่านั้นหลังจากบำเพ็ญเพียรถึงจุดสุดยอดก็ไม่อาจเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าสู้โลกวิญญาณได้ ทำได้เพียงเป็นความมีตัวตนที่สูงส่งที่สุดอยู่ในโลกมนุษย์…”


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตกเข้าไปในการรำลึกความหลัง อารมณ์ความรู้สึกขึ้นลงตามเรื่องที่ตนสาธยาย มั่วชิงเฉินที่ฟังอยู่ข้างๆ กลับต้องตกตะลึงเพราะถูกข้อมูลที่เปิดเผยออกมาในระหว่างที่มันพูด


 


 


นางได้ยินอะไรเข้าแล้ว ไม่คิดว่ามันจะพูดว่าสิ่งมีชีวิตเมื่อบำเพ็ญเพียรถึงจุดสุดยอดจะได้เข้าสู่โลกวิญญาณ ทว่า ทว่าการศึกษาที่นางได้รับเสมอมาคือผู้บำเพ็ญเพียรเริ่มตั้งแต่ระดับหลอมลมปราณต้องผ่านเขตแดนเก้าชั้น หลังจากถึงระดับมหายานแล้วก็จะได้บินขึ้นโลกเซียนมีอายุขัยคู่ฟ้าดินนี่นา


 


 


แม้บัดนี้คนในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรรู้ว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งคือระดับถอดดวงจิต เขตแดนต่อจากนั้นเป็นเช่นไร อายุขัยเท่าไรล้วนไม่อาจรู้ได้ ทว่าไม่เคยได้ยินว่ามีโลกวิญญาณอะไรนี่นา รู้เพียงว่าเกือบแสนปีมานี้ ไม่มีเรื่องเล่าใดๆ เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเพียรบินขึ้นสวรรค์อีก


 


 


นึกถึงตรงนี้ก็ตกใจในทันใด หรือว่าสิ่งที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพูดเป็นเรื่องจริง เมื่อหลังจากสิ่งมีชีวิตบำเพ็ญเพียรถึงเขตแดนระดับหนึ่งจะเข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง ดังนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรหลายปีมานี้จึงไม่มีข่าวการบินขึ้นสวรรค์เป็นเซียนของผู้บำเพ็ญเพียรใดๆ


 


 


มั่วชิงเฉินกดหน้าอกไว้อย่างไม่รู้ตัว นางล่วงรู้ความลับสะเทือนฟ้าเรื่องหนึ่งเข้าแล้วใช่หรือไม่ ความลับที่ว่าเหตุใดในโลกบำเพ็ญเพียรในแสนปีมานี้จึงไม่มีคนบินขึ้นสวรรค์เป็นเซียนอีก?


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกลับไม่ใส่ใจความตื่นเต้นของมั่วชิงเฉิน คำพูดที่ปิดผนึกมานานอัดอั้นอยู่ในใจของมันมานานเกินไปแล้ว นานจนขอเพียงหาคนที่เหมาะสมมารับฟังได้ คำพูดพวกนั้นก็จะพรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “นางเงือกน้อยฟังที่ปราชญ์พูดแล้วก็ร้องไห้อย่างรุนแรง ปราชญ์ชอบองค์หญิงน้อยคนนี้มากมาตลอด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวบอกนางว่าในโลกมนุษย์มีผลไม้ทิพย์ชนิดหนึ่งเรียกว่าผลแย่งลิขิต หากกินเข้าไปแล้วก็จะหลุดจากการกำหนดของฟ้า ถอดหางปลาออกได้ และสามารถเข้าสู่โลกวิญญาณเหมือนสิ่งมีชีวิตอื่น เพียงแต่ผลแย่งลิขิตนี้ถือกำเนิดอยู่ที่ใดกันแน่ กลับไม่อาจรู้ได้แล้ว นางเงือกน้อยที่มองโลกในแง่ดีมาแต่กำเนิดมีความหวังแล้วจึงไปบอกผู้บำเพ็ญเพียรอย่างดีใจ กลับละเลยเสียงถอนใจเสียงนั้นของปราชญ์ที่อยู่ด้านหลัง ดีที่ผู้บำเพ็ญเพียรชอบนางเงือกน้อยมากเช่นกัน ต่อให้ไม่สามารถเป็นสามีภรรยากันได้ทันที ใจของพวกเขากลับอยู่ใกล้กันจนไม่มีอะไรเทียบได้ ทั้งสองคนไม่รู้ผ่านวันเวลาที่อบอุ่นบนเกาะเล็กไปนานเท่าใด ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรก็บำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิด เขาตัดสินใจจากไปเพื่อแก้แค้น และตามหาผลแย่งลิขิตเพื่อนางเงือกน้อย นางเงือกน้อยอยากไปพร้อมผู้บำเพ็ญเพียร ทว่าที่นางมีคือหางปลาอันหนึ่ง ไม่อาจเดินเคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้ ด้วยความจำใจ นางจึงได้แต่เซ็นพันธสัญญากับเขา กลายเป็นอสูรวิญญาณของเขา มีเพียงเช่นนี้นางถึงสามารถเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณคอยอยู่เคียงข้างเขาได้”


 


 


มั่วชิงเฉินฟังมาถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ทำใจฟังต่อไปไม่ค่อยได้แล้ว คนและปีศาจรักกันแต่เดิมก็ถูกกำหนดให้ยากเข็ญอยู่แล้ว เมื่ออสูรปีศาจกลายเป็นอสูรวิญญาณของคนนั้น ผลลัพธ์แทบจะถูกกำหนดไว้แล้ว


 


 


“หลังจากผู้บำเพ็ญเพียรกลับถึงโลกที่มนุษย์อยู่ได้พยายามนับร้อยปี ในที่สุดก็แก้แค้นสำเร็จ ชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะยามที่เขาเริ่มตามหาผลแย่งลิขิตไปตามสถานที่ต่างๆ นับไม่ถ้วน เขาค่อยๆ กลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงที่ไม่มีคนไม่รู้จัก ต่อมา เริ่มมีหญิงสาวนับไม่ถ้วนแอบหลงรักเขา แย่งกันเข้าใกล้เขา ยิ่งสำนักใหญ่หรือยอดฝีมือคิดจะยกบุตรสาวหรือศิษย์ให้เขา ในช่วงนั้น นางเงือกน้อยทั้งหวานชื่นและทุกข์ทน ที่นางหวานชื่นคือผู้บำเพ็ญเพียรปฏิเสธคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ไว้หน้า สายตาที่อ่อนโยนปราดนั้นมองมาที่นางเท่านั้น ที่ทุกข์ทนคือผู้บำเพ็ญเพียรไม่เคยบอกคนอื่นมาก่อน ว่านางไม่ใช่อสูรวิญญาณของเขา หากแต่เป็นคนรักของเขา เจ้าทายสิ ต่อมาพวกเขาเป็นเช่นไร?” จู่ๆ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณก็หันสายตา มาทางมั่วชิงเฉินแล้วถามว่า


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก จะเป็นเช่นไรได้ล่ะ หากพวกเขาอยู่ด้วยกันมาตลอด มันจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณหัวเราะอย่างอ้างว้าง “ต่อมา หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งโลกบำเพ็ญเพียรแสดงความพึงใจที่มีต่อเขา หลังจากที่เขาปฏิเสธอีกครั้ง บิดาของหญิงคนนั้นที่อยู่ระดับถอดดวงจิตขั้นสมบูรณ์ใช้พลังอำนาจข่มเขา บังคับให้เขาอธิบายให้ได้ ในที่สุดเขาก็ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางเงือกน้อย ไม่คิดว่ากลับทำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล พวกเขายอมรับความรักระหว่างคนและปีศาจได้ กลับไม่อาจยอมรับผู้บำเพ็ญเพียรรักกับอสูรวิญญาณของตน ผู้บำเพ็ญเพียรจากบุคคลในตำนานที่คนนับหมื่นนับถือกลายเป็นตัวตลกในสายตาคน จากนั้นผู้บำเพ็ญเพียรพานางเงือกน้อยตามหาผลแย่งลิขิตไปทั่ว ไม่ค่อยเสวนากับมนุษย์อีก ทว่านางเงือกน้อยสัมผัสได้ว่าเขายิ่งนานยิ่งไม่มีความสุขแล้ว ผ่านไปอีกหลายปี พวกเขายังคงหาผลแย่งลิขิตไม่พบ ผู้บำเพ็ญเพียรเริ่มกักตนทะลวงชั้นแยกดวงจิต นางเงือกน้อยที่ใจลุ่มหลงเฝ้าอยู่นอกแห่งพำนักตลอดเวลา ทว่าเมื่อสิบปีให้หลังในชั่วพริบตาที่ผู้บำเพ็ญเพียรผลักประตูออก นางเงือกน้อยพบว่าพันธสัญญาอสูรวิญญาณระหว่างตนและผู้บำเพ็ญเพียรได้ยกเลิกไปแล้ว ตรงหน้าพวกเขาปรากฏประตูบานหนึ่งขึ้นกลางอากาศ ผู้บำเพ็ญเพียรเพียงพูดกับนางว่า ‘ขอโทษ’ สองคำแล้วก็เดินเข้าประตูไป และหายไปตลอดกาล นางเงือกน้อยรู้ว่าเขาไปโลกวิญญาณแล้ว นางยังรู้ว่าที่จริงในฐานะอสูรวิญญาณของเขา เขาสามารถพานางไปด้วยกันได้ ทว่าสุดท้ายเขาก็ทิ้งนางไว้แล้วไปคนเดียว เรื่องราวของพวกเขาจึงสิ้นสุดลง”


 


 


มั่วชิงเฉินเผยอปากแล้วเผยอปากอีกไม่รู้จะพูดอะไรดี อัดอั้นตันใจพูดไม่ออก นางกระทั่งไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรควรถูกตำหนิจริงหรือไม่


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณดูเหมือนก็ไม่ใส่ใจว่ามั่วชิงเฉินจะว่าเช่นไร มันเล่านิทานจบแล้วรู้สึกในใจโล่งขึ้นมากมาย เห็นหน้ามั่วชิงเฉินย่นเป็นซาลาเปาท่าทางครุ่นคิดกลับหัวเราะขึ้นมาว่า “นางหนูน้อย เจ้าไม่ต้องคิดอีกแล้ว ข้าเล่านิทานเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง ก็เพราะหวังว่าเจ้าจะช่วยทำความหวังของข้าให้เป็นจริงได้”


 


 


“หา?” มั่วชิงเฉินชะงัก แอบว่าสวรรค์ ท่านผู้อาวุโสคงไม่ให้ข้าไปหาผลแย่งลิขิตหรอกกระมัง ไม่แน่ยังอาจกำหนดเวลาให้ข้าอีก กี่ปีให้หลังหากไม่สำเร็จผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรอะไรประเภทนั้น


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณหัวเราะว่า “เจ้าคิดได้ไม่ผิด ความปรารถนาของข้าก็คือได้ผลแย่งลิขิตมา ทว่าข้าไม่จำกัดเวลาเจ้าหรอก และก็ไม่ทำอะไรเจ้าเช่นกัน เพียงแต่หวังว่าหากเจ้ามีโอกาสวาสนาได้มาแล้วจะสามารถมอบมันให้ข้า ถึงเวลาเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะบอกความลับเจ้าเรื่องหนึ่ง”


 


 


“ความลับ?” มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าความลับที่ได้ฟังวันนี้มากพอแล้ว กลัวจริงๆ ว่ารู้มากกว่านี้จะโดนฟ้าผ่าเอา


 


 


“ความลับที่จะเลื่อนขั้นแยกดวงจิตได้อย่างไร” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ มันไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถปฏิเสธความเย้ายวนนี้ได้


 


 


มั่วชิงเฉินตกใจร้องเสียงหลง “อะไรนะ?” รู้สึกเพียงหัวใจเต้นปึงๆ จนแทบจะหายใจไม่ทัน 

 

 


ตอนที่ 171 ของวิเศษแบบเติบโต

 

“เจ้าชื่ออะไร?” เสียงปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม


 


 


“มั่วชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่มีพลังต่อต้านแม้แต่น้อย


 


 


ทันใดนั้นปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณทำท่าประหลาดท่าหนึ่ง ปากสวดอย่างชัดเจนว่า “ข้าตวนมู่จิ้งขอสาบานด้วยวาจาศักดิ์สิทธิ์ หากมีวันหนึ่งมั่วชิงเฉินมอบผลแย่งลิขิตให้ฆ่า ข้าจักบอกความลับการเลื่อนขั้นชั้นแยกดวงจิตแก่นาง ไม่ผิดคำพูดเด็ดขาด”


 


 


เพิ่งสิ้นเสียงมั่วชิงเฉินก็เห็นยันต์อักษรแสงวิญญาณสายหนึ่งหายเข้าไปบริเวณหน้าอกของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ


 


 


“เป็นเช่นไร ทีนี้เจ้าวางใจได้หรือยัง เต็มใจทำการแลกเปลี่ยนนี้หรือไม่?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถาม


 


 


มั่วชิงเฉินคารวะอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยว่า “ท่านผู้อาวุโสใจกว้างเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมเต็มใจอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”


 


 


ใช่น่ะสิ นี่เป็นเรื่องโชคดีที่หล่นจากฟ้าชัดๆ หาผลแย่งลิขิตไม่ได้นางไม่เสียหายใดๆ ทว่าหากเกิดโชคดีหาเจอแล้ว นางก็สามารถล่วงรู้ความลับที่ล้ำค่าถึงเพียงนั้นได้ คนที่ไม่รับปากพูดได้เพียงว่าสมองถูกเผาจนเสียหายแล้วเท่านั้น


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเผยรอยยิ้มไม่ผิดดั่งที่คาดไว้ออกมา โบกมือโยนของสิ่งหนึ่งเข้าไปในมือมั่วชิงเฉิน


 


 


เมื่อมั่วชิงเฉินเพ่งมอง ในมือคือของที่เหมือนผ้าไหม เบาเหมือนไร้น้ำหนัก สัมผัสเย็นดุจน้ำแข็ง


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณชี้ของในมือนางว่า “นี่คือไหมเกล็ดน้ำแข็งที่ทอขึ้นจากเกล็ดหางปลาของข้าที่ลอกคราบออกมาเมื่อนานมาแล้ว ได้ยินมาว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์เช่นพวกเจ้าแล้วเป็นของวิเศษตามธรรมชาติ ทิ้งไว้ที่ข้านี่จนจะขึ้นราอยู่แล้ว ก็มอบให้เจ้าแล้วกัน หวังว่าจะเป็นกำลังให้เจ้าได้ ทำให้ข้าได้สมปรารถนาในเร็ววัน”


 


 


“ของวิเศษธรรมชาติ?” มั่วชิงเฉินมองไหมเกล็ดน้ำแข็งในมือ รู้สึกเพียงว่าจำนวนครั้งที่ตนตกตะลึงในวันนี้มากเหลือเกิน จนรู้สึกชินชาเสียแล้ว


 


 


เป็นที่รู้กัน มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปถึงสามารถใช้ของวิเศษได้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเช่นนางใช้ได้เพียงอาวุธเวทเท่านั้น


 


 


ทว่าของวิเศษธรรมชาติกลับไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่ถูกจำกัดด้วยตบะ ฤทธิ์เดชของของวิเศษที่สำแดงออกมามีเพียงหนึ่งในสิบหรือกระทั่งหนึ่งในร้อยเท่านั้น ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังมีพลานุภาพมากกว่าอาวุธเวทชั้นสุดยอดมาก


 


 


ที่สำคัญที่สุดคือ ของวิเศษธรรมชาติสามารถเก็บเข้าตันเถียนเหมือนของวิเศษประจำกายที่หลอมขึ้นหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรก่อแก่นปราณ ของวิเศษธรรมชาติเลี้ยงไว้ที่ตันเถียนของผู้บำเพ็ญเพียรทุกวัน พลานุภาพจะเพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นตามตบะของผู้บำเพ็ญเพียร เป็นของวิเศษแบบเติบโตที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรละเมอเพ้อหา


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณมองท่าทางเหลอหลาของมั่วชิงเฉินแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นวาดนิ้วหนึ่งที แสงวิญญาณสายหนึ่งก็หายเข้าไปในสมองของมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือก แล้วก็ได้ยินปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณว่า “เมื่อครู่ข้าซัดแสงวิญญาณที่ผนึกข่าวคราวเกี่ยวกับผลแย่งลิขิตไว้ หากมีวันหนึ่งเจ้าสามารถพบผลแย่งลิขิต ข่าวคราวนี้ก็จะถูกปลดปล่อยออกมา เจ้าก็จะรู้ทันทีว่าผลไม้ทิพย์ตรงหน้านั้นใช่แล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าฝีมือมหัศจรรย์ของยอดฝีมือช่างอัศจรรย์เหลือเกิน ในใจก็รู้สึกกลัวไม่หายอีก ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนี้นับว่าใจกว้างแล้วล่ะ มิเช่นนั้นหากคิดจะฆ่าตนนั้นง่ายกว่าบี้มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเสียอีก


 


 


นึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกถึงความสำคัญของพลังอย่างลึกซึ้ง แอบเตือนตนเองว่าหากคิดจะหลุดพ้นจากการเป็นลูกไก่ในกำมือใครก็ตาม ก็มีเพียงพยายามแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น


 


 


“ใช่แล้ว น้ำตาที่ข้ามอบให้เจ้าก่อนหน้านี้เจ้าคิดจะจัดการเช่นไร?” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณถามอีก


 


 


มั่วชิงเฉินตอบตามตรงว่า “ข้าน้อยคิดจะมอบให้ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหวังที่มาพร้อมกัน หวังว่าด้วยสิ่งนี้จะแลกโอสถวิเศษของตระกูลหวังได้เม็ดหนึ่ง”


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณกระดกมุมปากขึ้นแล้วส่ายศีรษะ “เจ้ารู้หรือไม่ น้ำตานี้ข้าไหลออกมาด้วยตนเอง หากใช้เป็นกระสายยา ฤทธิ์โอสถทิพย์ที่หลอมได้ไม่เพียงแต่สามารถทะลวงคอขวดของเขตแดนเล็กของระดับสร้างรากฐาน ยังสามารถเพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณได้ด้วย?”


 


 


“เพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณ?” มั่วชิงเฉินพูดอย่างเหม่อลอย เมื่อนึกถึงว่าทำได้เพียงมอบน้ำตานี้ให้คนอื่น ก็ปวดใจจนแทบกระอักเลือด


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณสาดเกลือใส่บาดแผลของมั่วชิงเฉินต่อว่า “ถูกต้อง สามารถเพิ่มประมาณสามส่วน”


 


 


“สามส่วน!” มั่วชิงเฉินกระอักเลือดแล้ว


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณหัวเราะคิกคักขึ้นมา ไม่หยอกนางอีก “เจ้ามีเพลิงแก้วใจกระจ่างอยู่กับตัว หากข้าคาดไม่ผิด เจ้าน่าจะเชี่ยวชาญการหลอมโอสถกระมัง?”


 


 


พูดถึงที่สุด การที่มันรู้สึกดีต่อผู้บำเพ็ญเพียรที่หลอมโอสถได้จากจิตใต้สำนึก เพราะบุพเพของมันกับคนผู้นั้นถูกผูกไว้ด้วยกันเพราะสิ่งนี้เช่นนั้นหรือ?


 


 


มั่วชิงเฉินใจเย็นลง “ข้าน้อยรู้ทางแห่งการหลอมโอสถเพียงผิวเผินจริงๆ ทว่าโอสถทิพย์เฉพาะของตระกูลหวัง ข้าน้อยไม่มีวัตถุดิบ ยิ่งไม่มีเทียบโอสถ จึงเป็นได้เพียงสะใภ้ที่ต่อให้มีความสามารถก็หุงข้าวไม่ได้ถ้าไม่มีข้าวสาร[1]”


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณยกมือขึ้น ฝาหอยขนาดเท่าจานหยกอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ต่อจากนั้นก็โยนม้วนคัมภีร์หยกมาม้วนหนึ่งอีก


 


 


“ท่านผู้อาวุโส หรือว่านี่ก็คือเทียบโอสถนั่น?” มั่วชิงเฉินร้องอย่างตกใจ นางไม่โง่ เพียงใช้จิตตระหนักกวาดม้วนคัมภีร์หยกปราดหนึ่งก็ดูออกว่าเป็นเทียบโอสถใบหนึ่ง และยามนี้ที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณให้ตนได้ ก็ควรจะเป็นเทียบโอสถของโอสถทิพย์ตระกูลหวังอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพยักหน้าว่า “ถูกต้อง เทียบโอสถนี้และเมล็ดหญ้าทิพย์ที่สำคัญในการหลอมโอสถทิพย์นี้ เดิมทีก็คือยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรน้อยคนหนึ่งมาที่ข้านี่เมื่อพันปีก่อน ข้าเห็นเขาเจริญตาจึงมอบให้เขาตามสบาย ใครจะคิดว่าเขาจะตั้งรกรากอยู่ที่ทะเลขนาบใจนี่ อีกทั้งยังสร้างชนรุ่นหลังกลุ่มหนึ่งมาแก้เบื่อให้ข้าและคนในเผ่าเป็นระยะระยะ”


 


 


มั่วชิงเฉินพูดอะไรไม่ออก ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนี่ตกลงมีของดีเท่าไรกันแน่ เทียบโอสถที่มอบให้คนอื่นตามสบาย ก็เป็นโอสถทิพย์ที่สามารถทะลวงเขตแดนเล็กได้ โอสถทิพย์เช่นนี้หากปรากฏในโลกบำเพ็ญเพียรเมื่อใดต้องแย่งกันหัวร้างข้างแตกเลยนะ


 


 


เมื่อคิดว่าไม่แน่ตนอาจหลอมโอสถทิพย์ที่เพิ่มโอกาสก่อแก่นปราณได้สามส่วนด้วยตนเองได้ มั่วชิงเฉินก็ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก


 


 


สามส่วนหรือนี่ ฟังแล้วไม่มาก ทว่าวางไว้ในเรื่องก่อแก่นปราณแล้วต้องเป็นข่าวที่น่าตกใจแน่ๆ ต้องรู้ว่าโอสถชำระโลกีย์ที่ผู้บำเพ็ญเพียรใช้ยามทะลวงระดับก่อแก่นปราณ ก็เหมือนกับโอสถสร้างรากฐานที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณใช้สร้างรากฐาน นับว่าเป็นโอสถที่จำเป็นต้องเตรียมไว้ และก็เพิ่มโอกาสความสำเร็จได้เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น


 


 


ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความสามารถหรือฐานะมั่งคั่งบางคนเตรียมตัวก่อแก่นปราณ นอกจากโอสถชำระโลกีย์แล้วยังค้นหาโอสถอื่นที่ช่วยในการก่อแก่นปราณหรือของวิเศษในฟ้าดิน ทว่าเท่าที่นางรู้ ของล้ำค่าที่พบได้ตามบุญวาสนาพวกนั้นสามารถเพิ่มโอกาสการก่อแก่นปราณได้ครึ่งส่วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว


 


 


มีโอสถทิพย์ที่สามารถเพิ่มโอกาสการก่อแก่นปราณสามส่วนแล้ว มั่วชิงเฉินเชื่อว่าต่อให้ด้วยพรสวรรค์สี่รากวิญญาณของตน การก่อแก่นปราณก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป


 


 


“เอาล่ะ เจ้าเสียเวลาอยู่ที่ข้านี่ไม่น้อยแล้ว ควรกลับไปแล้ว หวังว่าจะมีวันที่ได้พบกันอีก” ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณพูดพลางสะบัดข้อมือทีหนึ่ง


 


 


ตรงหน้ามั่วชิงเฉินปรากฏแสงสีขาวเรืองรองทันที ในยามที่สติสัมปชัญญะกำลังจะเลอะเลือน เสียงไพเราะของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณลอยมา “ใช่แล้ว ลืมบอกเรื่องหนึ่ง น้ำตาสองหยดนั้นหากเจ้าวางไว้ในตาตนเอง จากนี้ไปก็จะสามารถมองทะลุภาพมายาทุกอย่าง ตกลงจะเลือกทางไหน เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”


 


 


ด้านหนึ่งคือมองทะลุภาพมายาทั้งปวง ด้านหนึ่งคือโอสถที่เพิ่มโอกาสความสำเร็จในการก่อแก่นปราณสามส่วน มั่วชิงเฉินพร้อมด้วยความรู้สึกคิดไม่ตกหล่นลงในความมืดมิดทันที


 


 


บนเกาะเล็กกลางทะเลสาบ ผู้ชายสามคนยืนอยู่


 


 


คุณชายหกในชุดเขียวมองไปรอบๆ ปากพึมพำว่า “เหตุใดแม่นางมั่วยังไม่ออกมาอีก?”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะว่า “นางอาจออกมาไม่ได้แล้วก็ได้นะ”


 


 


คุณชายหกแสดงสีหน้าโกรธทันที “เจ้ายังออกมาได้ เหตุใดแม่นางมั่วจะออกมาไม่ได้?” ในที่สุดก็ไม่ปิดบังความดูแคลนในน้ำเสียงอีกต่อไป


 


 


“เจ้า!” ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย คุณชายสิบเจ็ดก็ขี้เกียจรักษากิริยาเช่นกัน กรรไกรใหญ่ในมือสำแดงออกมา


 


 


คุณชายสี่ตะโกนห้ามว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเถียงกันแล้ว พวกเรารอแม่นางมั่วอีกครึ่งชั่วยาม”


 


 


ทั้งสามคนนิ่งเงียบชั่วครู่ จู่ๆ คุณชายสี่ก็ว่า “น้องหก มีเรื่องหนึ่งข้าอยากปรึกษาเจ้าสักหน่อย”


 


 


คุณชายหกชะงักเล็กน้อย จากนั้นว่า “พี่สี่เชิญพูด”


 


 


คำพูดที่กำลังจะหลุดปากหมุนอยู่ที่ปลายลิ้นคุณชายสี่รอบหนึ่ง เขายังคงทนไม่ไหวพูดออกมาว่า “แม่นางมั่วคนนั้น…เจ้าชอบหรือไม่?”


 


 


คุณชายหกโคนหูแดงก่ำ โกรธเล็กน้อยว่า “พี่สี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร หวังหกแม้ไม่เอาไหน กลับไม่ใช่คนจาบจ้วงเสเพลเช่นนั้น”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดพูดแทรกว่า “คนหนุ่มคนไหนไม่มากรักบ้าง เกิดความรู้สึกรักชอบต่อหญิงสาวนางหนึ่ง จะนับว่าจาบจ้วงได้เช่นไร?”


 


 


คุณชายหกพูดสู้สองคนไม่ได้ โมโหว่า “เอาเป็นว่าข้าไม่มีความรู้สึกอื่นกับแม่นางมั่วก็แล้วกัน!”


 


 


คุณชายหกตบมือว่า “เช่นนั้นก็ดี!”


 


 


คุณชายหกชะงัก “พี่สี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”


 


 


คุณชายสี่เหลือบมองคุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง คุณชายสิบเจ็ดรับว่า “พี่หก พี่สี่ถูกใจแม่นางมั่วเข้าแล้ว”


 


 


คุณชายหกตกใจหน้าถอดสีทันที “พี่สี่ เจ้า เจ้าคิดมิดีมิร้ายกับแม่นางมั่วได้เช่นไร!”


 


 


คุณชายสี่หน้าบึ้งลง “น้องหกพูดเกินไปแล้ว ข้ารักชอบแม่นางมั่วจากใจจริง อยากเป็นสามีภรรยาร่วมบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยกัน จะบอกว่าคิดมิดีมิร้ายได้เช่นไร?”


 


 


“เป็นสามีภรรยา? อนุเจ้าก็มีตั้งเจ็ดแปดคน ยังไม่นับประเภทต้นห้องกับหรูติ่งอีก” คุณชายหกทนไม่ไหวว่า ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าหวังสี่จะจริงใจต่อแม่นางมั่ว


 


 


คุณชายสี่หัวเราะฟู่ว่า “น้องหกเจ้ายังเด็กจริงๆ อนุพวกนั้นไม่ได้แต่งงานถูกต้องตามประเพณีเสียหน่อย คิดมากไปไย ถึงเวลาไล่ไปก็สิ้นเรื่อง ในเมื่อเจ้าไม่ได้คิดอะไรกับแม่นางมั่ว เหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ กับเรื่องที่ข้าคิดจะขอนางแต่งงาน?”


 


 


หากไม่เพราะกำลังสู้ไม่ได้ คุณชายหกแทบอยากจะตัดลิ้นคุณชายสี่ออกมา โกรธว่า “ไล่ไป? เช่นนั้น เช่นนั้นนางจะทำเช่นไร? ยิ่งกว่านั้นเจ้าคิดจะขอแต่งงาน ก็ต้องดูว่าแม่นางมั่วเต็มใจหรือไม่!”


 


 


“น้องหก เจ้าและแม่นางมั่วมีสัมพันธ์กันอยู่บ้าง ขอเพียงเจ้าเชิญแม่นางมั่วไปเป็นแขกที่ตระกูลหวังของเรา ข้าย่อมมีวิธีขอให้นางเห็นด้วย” ในที่สุดคุณชายสี่ก็พูดแผนการออกมา


 


 


“เป็นไปไม่ได้!” คุณชายหกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด


 


 


คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะแหะๆ ว่า “พี่หก เจ้านี่ช่างสมองทึ่มทื่อจริงๆ พี่สี่แต่งงานกับแม่นางมั่วแล้ว ก็จะไล่สาวๆ พวกนั้นไป ถึงเวลาเจ้าก็ได้สมดังใจแล้วมิใช่หรือ?”


 


 


คุณชายสี่พยักหน้าว่า “ถูกต้อง น้องหก ขอเพียงเจ้าช่วยครั้งนี้ ข้าก็จะมอบหนิงโหรวให้เจ้า”


 


 


คุณชายหกหน้าบึ้งจนน่าตกใจ ตะคอกว่า “ไร้ยางอายสิ้นดี!” พูดพลางอัญเชิญง่ามปลาออกมา แทงไปที่คุณชายสี่


 


 


พระจันทร์เสี้ยววงหนึ่งบินออกทันที ชนเข้ากับง่ามปลา แสงวิญญาณกระเด็นไปทั่วคุณชายหกถอยหลังไปหลายก้าวอย่างทุลักทุเล สีหน้าซีดเซียว


 


 


ในยามนี้เองมั่วชิงเฉินปรากฏขึ้นกลางอากาศ เห็นสถานการณ์นี้แล้วถามอย่างสงสัยว่า “สามท่านนี่เป็นอะไรไป?”


 


 


“ไม่มีอะไร แม่นางมั่วไม่ปรากฏตัวเสียที พวกเราฆ่าเวลาเท่านั้น” คุณชายสี่เอ่ยอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสี แล้วมองคุณชายหกปราดหนึ่งเป็นการเตือน


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูสีหน้าซีดเซียวของคุณชายหก เป็นห่วงว่า “คุณชายหก เจ้าไม่เป็นไรนะ?”


 


 


คุณชายหกมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วส่ายศีรษะ


 


 


ทั้งสี่คนออกจากเกาะเล็กกลางทะเลสาบ มั่วชิงเฉินพบว่าข้อจำกัดต่างๆ ยามมาบัดนี้ล้วนหายไปสิ้น พวกเขากลับมาถึงผิวทะเลอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งเรือบินจากไป


 


 


ไม่นานนัก คนทั้งหมดก็ร่อนลงที่เกาะเล็กที่ทั้งสองฝ่ายพบเจอกันตอนนั้น มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองคุณชายหกปราดหนึ่งอย่างแปลกใจ


 


 


คุณชายหกว่า “แม่นางมั่ว ยังจำเกาะชี้นำที่ข้าพูดกับเจ้าได้หรือไม่ มันต้องถึงเดือนสามปีหน้าถึงจะลอยขึ้นผิวทะเล”


 


 


มั่วชิงเฉินเข้าใจแล้ว ก็หมายความว่า นางจะต้องอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ไก่ไม่ถ่ายนกไม่ออกไข่[2]ไปหลายเดือนกับสามคนนี้


 


 


 


 


——


 


 


[1] สะใภ้ที่มีความสามารถก็หุงข้าวไม่ได้ถ้าไม่มีข้าวสาร เป็นการเปรียบเทียบว่า ต่อให้คนที่เก่งกาจแค่ไหน หากขาดเงื่อนไขที่จำเป็น ก็ยากจะทำงานให้ดีได้


 


 


[2] ไก่ไม่ถ่ายนกไม่ออกไข่ หมายถึง สถานที่ที่ห่างไกลผู้คน กันดาร จนไม่มีใครไปอยู่ 

 

 


ตอนที่ 172 มีเสียถึงมีได้

 

ต้องอยู่บนเกาะเล็กหลายเดือน เช่นนั้นก็ไม่สามารถนอนกลางดินกินกลางทรายทุกวันได้แล้ว ทั้งสี่คนต่างหาสถานที่สร้างกระต๊อบอย่างง่ายๆ คนละหลัง


 


 


เพราะมั่วชิงเฉินเป็นหญิงสาว จึงพยายามห่างจากทั้งสามคนเสียหน่อย ทว่าเกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่ใหญ่เพียงเท่าฝ่ามือ ต่อให้ไกลเพียงใดขอเพียงใช้จิตตระหนักกวาดทีหนึ่งก็สามารถเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


 


 


ทว่าทางด้านนี้ทุกคนยังนับว่ารักษามารยาท ที่พำนักของผู้บำเพ็ญเพียรหากไม่มีเหตุอันใดจะไม่ใช้จิตตระหนักไปสอดส่อง


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้มั่วชิงเฉินยังคงไม่วางใจ เอาค่ายกลซ่อนวิญญาณ ค่ายกลป้องกันต่างๆ ค่ายกลที่เอาออกมาได้เอาออกมาตั้งจนหมด ถึงได้หยิบไหมเกล็ดน้ำแข็งชิ้นนั้นจากกำไลมือเก็บวัตถุออกมาอย่างระมัดระวัง


 


 


สัมผัสความรู้สึกเย็นดั่งน้ำเมื่ออยู่ในมือ มั่วชิงเฉินทอดถอนใจถึงความอัศจรรย์ของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกอีกครั้ง นางใช้นิ้วมือสองนิ้วหนีบมุมหนึ่งของไหมเกล็ดน้ำแข็งเบาๆ ไหมเกล็ดน้ำแข็งทั้งผืนก็เทลงมาดุจแสงจันทร์ ส่องประกายขาวดุจหิมะ


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือซ้ายออก บีบเลือดออกจากปลายนิ้วกลางหยดหนึ่ง หยดลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็ง


 


 


เลือดเมื่อหยดลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งก็กระจายออกทันที ไหมเกล็ดน้ำแข็งทั้งผืนกลายเป็นสีแดงประหลาด และกลับคืนสู่สภาพขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะดังเดิมอีกอย่างรวดเร็ว


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ทันทีว่าไหมเกล็ดน้ำแข็งและจิตของตนผูกพันกันอย่างลี้ลับ นางนั่งขัดสมาธิ สัมผัสความพิเศษของของวิเศษตามธรรมชาติเงียบๆ


 


 


สามวันให้หลัง มั่วชิงเฉินถึงลืมตาขึ้น มุมปากประดับยิ้ม


 


 


ไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้ไม่ต่างกับที่นางคาดไว้เท่าไร เป็นของวิเศษที่ใช้ในการเหินหาวเป็นหลัก แม้ไม่มีโอกาสลอง นางกลับแน่ใจได้ว่าชามใหญ่เหินหาวของตนใบนั้นเทียบความเร็วในการบินกับไหมเกล็ดน้ำแข็งแล้ว ต่างกันราวฟ้าดินชัดๆ ต่อให้เนื่องจากตบะของตนจึงสามารถทำให้ไหมเกล็ดน้ำแข็งสำแดงฤทธิ์ได้เพียงมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นก็ตาม ต่อไปหากต้องหนีเอาชีวิตละก็คงไม่เป็นปัญหาแล้ว


 


 


นอกจากขึ้นฟ้า ลงทะเลยิ่งเป็นสิ่งที่ไหมเกล็ดน้ำแข็งถนัด ที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือมันยังมาพร้อมพลังในการป้องกัน เกล็ดละเอียดยิบที่ยากจะจำแนกได้ด้วยตาเปล่าบนไหมเกล็ดน้ำแข็งหลังจากได้รับการขับเคลื่อนพลังวิญญาณ จะสำแดงฤทธิ์ในการป้องกันได้อย่างยอดเยี่ยม


 


 


ไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้ไม่เสียทีที่เป็นของวิเศษตามธรรมชาติ มั่วชิงเฉินทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดในการรับรู้ถึงสามวันเต็มๆ แต่ก็คลำได้เพียงพลังพวกนี้ ยิ่งกว่านั้นผลเป็นเช่นไรยากจะคาดเดา คิดจะเชี่ยวชาญการใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เช่นนั้นก็จำเป็นต้องใช้เวลาอันยาวนานในการหลอม และหากคิดจะใช้ให้ได้ดังใจปรารถนา ยิ่งจำเป็นต้องเก็บไว้ในตันเถียนเลี้ยงตราบเท่าดินฟ้าแล้ว


 


 


“สามเดือน แม้ไม่อาจชำนาญการใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งทั้งหมด อย่างน้อยก็พอกล้อมแกล้มแล้ว” สายตามั่วชิงเฉินมองออกไปไกล บ่นพึมพำว่า


 


 


นางไม่ใช่คนที่ฝากความหวังไว้กับโชค นึกว่าคนที่พบเจอล้วนเป็นคนดี กระทั่งยามที่เตรียมทำเรื่องเรื่องหนึ่ง มักคิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ


 


 


สิ้นสุดการเดินทางผจญภัยตามหาน้ำตาปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ นางมีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนแล้ว นั่นก็คือตระกูลหวัง


 


 


พี่สิบสี่มีชีวิตอยู่อย่างไรกันแน่ ต้องการให้ตนช่วยหรือไม่ อย่างไรนางก็ต้องไปลองเห็นกับตา


 


 


นางผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอายุน้อยและโสดคนหนึ่ง ทะเลขนาบใจก็สถานการณ์พิเศษเช่นนี้อีก การมุ่งหน้าโดยลำพังไปตระกูลหวังที่เป็นใหญ่เพียงตระกูลเดียวอันตรายที่คาดเดาไม่ได้ที่ต้องเจอช่างมากมายเหลือเกินจริงๆ


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจเล็กน้อย นี่ก็คือความน่าเวทนาของผู้บำเพ็ญเพียรหญิง เขตแดนตบะที่เหมือนกัน ยามออกไปท่องเที่ยวฝึกตนอุปสรรคอันตรายที่พบเจอต้องมากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรชายมาก


 


 


เพียงแต่ในเมื่อนางไม่มีกำลังเปลี่ยนสภาพปัจจุบันของโลกการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ เช่นนั้นเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือทำให้พลังความสามารถในการปกป้องชีวิตสูงขึ้นเท่าที่เป็นไปได้


 


 


ดังนั้นในสามเดือนนี้เรื่องอื่นล้วนสามารถวางไว้ข้างๆ ได้ มีเพียงไหมเกล็ดน้ำแข็งนี้เท่านั้นที่นางจำเป็นต้องหลอมขั้นต้น ต้องรู้ว่าตระกูลหวังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่านเลยนะ ได้ยินว่าหนึ่งในนั้นยังอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายด้วย


 


 


หากตนไม่มีฝีมือสักหน่อย ต่อให้เบื้องหลังมีพรรคเหยากวางคอยหนุนอยู่ เกิดเรื่องขึ้นแล้วเกรงว่าทางสำนักก็ยื่นมือมาไม่ถึงอยู่ดี


 


 


มั่วชิงเฉินพลิกมือทีหนึ่ง ไหมเกล็ดน้ำแข็งก็หายเข้ากลางฝ่ามือนางไป ลอยอยู่เหนือตันเถียนนางเหมือนเมฆที่นุ่มนิ่มบางเบาก้อนหนึ่ง


 


 


เพลิงแก้วใจกระจ่างในตันเถียนไม่รู้ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งใด เต้นระริกขึ้นมาห่อหุ้มไหมเกล็ดน้ำแข็งไว้ภายใน ไหลเกล็ดน้ำแข็งที่สะอาดหมดจดกลายเป็นเมฆที่ทอประกายสีฟ้ามรกตก้อนหนึ่งทันที งดงามยิ่งนัก


 


 


มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าภายในตันเถียนของตนจะปรากฏภาพที่งดงามเช่นนี้ อีกทั้งเป็นห่วงเพลิงแก้วใจกระจ่างจะสร้างความเสียหายอะไรให้ไหมเกล็ดน้ำแข็งอีก จึงรีบใช้จิตตระหนักสัมผัสทีหนึ่ง กลับพบว่าไหมเกล็ดน้ำแข็งไม่เพียงไม่เสียหายแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์กับนางกลับยิ่งสนิทชิดเชื้อขึ้นมาก


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ เช่นนี้แล้วก็ประหยัดเวลาได้ไม่น้อยทีเดียว เวลาสามเดือนตนต้องใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งได้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น


 


 


ทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ มั่วชิงเฉินถึงมีเวลาดูเทียบโอสถของโอสถทิพย์ตระกูลหวังอีกรอบ ใช้เวลาชั่วครู่อ่านเทียบโอสถจนจบ แล้วถอนใจด้วยความโล่งอก


 


 


โอสถทิพย์อัศจรรย์เช่นนี้ เดิมทีนางคิดว่าการหลอมคงต้องยากลำบากยิ่งนัก ทว่าหลังจากดูแล้วถึงพบว่ามือประทับการหลอมที่บันทึกอยู่ในเทียบโอสถสำหรับตนแล้วไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย คิดว่าฤทธิ์ของโอสถนี้ต้องมาจากวัตถุดิบและกระสายยาทั้งหมด


 


 


พูดถึงวัตถุดิบ วัตถุดิบหลักในการหลอมที่พูดถึงในเทียบโอสถคือหญ้าทิพย์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าสาหร่ายใจน้ำแข็ง นอกจากสิ่งนี้ที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน ส่วนประกอบอย่างอื่นบางอย่างมีอยู่ในสวนสมุนไพรพกพาของนาง ยังมีอีกที่แม้จะไม่มี กลับสามารถใช้หินวิญญาณซื้อได้


 


 


มั่วชิงเฉินรื้อเปลือกหอยที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณให้ออกมา ใช้จิตตระหนักกวาดทีหนึ่ง ข้างในเก็บหญ้าทิพย์ที่ลักษณะเหมือนสาหร่ายสองสามต้นตามคาด สีกระจ่างเหมือนน้ำแข็ง เป็นสาหร่ายใจน้ำแข็งที่พูดถึงในเทียบโอสถอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


นายหยิบสาหร่ายออกมาต้นหนึ่งคิดจะปลูกในสวนสมุนไพรพกพาของตน กลับพบว่าสาหร่ายใจน้ำแข็งเมื่อออกห่างจากเปลือกหอย ปราณวิญญาณที่ผสานอยู่ในนั้นก็กระจายหายไปไม่น้อยทันที นางตกใจจนรีบเก็บกลับไป


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม ไม่อาจปลูกได้ก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตนมีแค่สองหยด ต่อให้ปลูกสาหร่ายใจน้ำแข็งให้เต็มสวนก็ไร้ประโยชน์


 


 


นึกถึงตรงนี้นางก็นึกถึงคำพูดสุดท้ายของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณขึ้นอีก น้ำตาสองหยดนั้นหากใส่ไว้ในตาตนเอง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตนก็สามารถมองแดนมายาทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


 


 


บอกตรงๆ แรงดึงดูดนี้จะว่าไม่ใหญ่ก็ไม่ได้ หากมั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหรือระดับก่อกำเนิด เกรงว่าต้องเลือกข้อนี้อย่างไม่ลังเลไม่แต่น้อย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหลังจากถึงระดับก่อแก่นปราณแล้ว โดยเฉพาะระดับก่อกำเนิด โอสถที่สามารถเพิ่มตบะได้แทบจะไม่มี พวกเขานอกจากกักตนเวลาส่วนใหญ่ล้วนใช้ไปกับการผจญภัยไปทั่ว เพื่อค้นหาของวิเศษแห่งฟ้าดินที่สามารถช่วยในการเพิ่มตบะได้ และการมีตาที่มองแดนมายาใดๆ อย่างทะลุปรุโปร่งคู่หนึ่ง นั่นช่างมีประโยชน์เหลือเกิน ต้องรู้ว่าการที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงค้นหาของวิเศษแห่งฟ้าดิน ไม่มีสักที่ที่ไม่อันตรายถึงที่สุด


 


 


ทว่าสำหรับมั่วชิงเฉินในยามนี้แล้ว นี่ก็เลือกยากแล้ว


 


 


ลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ตัดสินใจ ใช้น้ำตาเป็นกระสายยาหลอมโอสถดีกว่า


 


 


ตาที่สามารถมองแดนมายาใดๆ อย่างทะลุปรุโปร่งแม้ดี ทว่าด้วยตบะของนางในยามนี้ มีสถานที่มากมายไม่ใช่ที่ที่นางสามารถย่างกรายเข้าไปได้ ยิ่งกว่านั้นตนไม่ขาดแคลนโอสถระดับสร้างรากฐาน เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องไปสถานที่เสี่ยงตายเช่นนั้นอยู่แล้ว


 


 


ส่วนเมื่อยามที่นางจำเป็นต้องย่างกรายเข้าไปในสถานที่เหล่านั้น อย่างน้อยต้องมีตบะของระดับก่อแก่นปราณ ทว่าด้วยพรสวรรค์สี่รากวิญญาณไม่เอาไหนของตน หากไม่มีโอสถตระกูลหวังคอยช่วยเหลือ ต่อให้ตนกินโอสถชำระโลกีย์ที่จำเป็นในการก่อแก่นปราณให้เต็มที่ เกรงว่าความหวังก็ยังริบหรี่อยู่ดี


 


 


นางไม่ลืมหรอกนะว่าตนเพียงแค่สร้างรากฐาน ก็ใช้โอสถสร้างรากฐานไปตั้งเจ็ดเม็ดน่ะ


 


 


ที่จริงนี่ก็คือปมที่แก้ไม่ออก เมื่อยามมั่วชิงเฉินต้องการตาที่มองแดนมายาใดๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง อย่างน้อยนางต้องมีตบะระดับก่อแก่นปราณ ทว่าไม่มีน้ำตาเป็นกระสายหลอมโอสถ นางก็ยากจะเลื่อนขั้นสู่ระดับก่อแก่นปราณอีก


 


 


บางเวลา ชีวิตก็คิดไม่ตกจำใจเช่นนี้แหละ จำเป็นต้องให้เจ้าทำการเลือกแล้วเลือกอีก


 


 


ได้เสียได้เสีย มีเสียถึงมีได้ อยากได้ทั้งปลาและอุ้งตีนหมีพร้อมกัน เรื่องสมบูรณ์แบบเช่นนี้ยากที่จะมีได้ ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าเลือกทางไหน ไม่ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนก็เป็นประโยชน์อย่างล้นหลามแล้ว ตนยังมีสิ่งใดให้กลุ้มใจอีกล่ะ


 


 


คนคนหนึ่งสามารถทำทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มตบะ ทว่าหากละโมบเกินไป เช่นนั้นก็จะสูญเสียความหมายที่แท้จริงแห่งเต๋าไปแล้ว


 


 


เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ ใจเต๋าของมั่วชิงเฉินจึงยิ่งหนักแน่นขึ้นอีกนิดอย่างไม่รู้ตัว


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บม้วนคัมภีร์หยกและเปลือกหอยเข้ากำไลเก็บวัตถุทั้งหมด ลุกขึ้นสะบัดชายกระโปรงทีหนึ่งแล้วเดินออกจากกระต๊อบ อากาศที่หนาวเย็นทำให้สมองของนางปลอดโปร่งยิ่งขึ้น


 


 


“แม่นางมั่ว เจ้าออกมาแล้ว?” คุณชายสี่กำลังรำดาบอยู่หน้ากระต๊อบ ออกเสียงทักทาย


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้าแผ่วเบา “พักผ่อนไปสามวัน ในที่สุดก็ฟื้นฟูกำลังแล้ว คุณชายสี่กลับพลังกายใจดียิ่งนัก”


 


 


คุณชายสี่ยิ้มละมุน “ข้าเป็นผู้ชาย ย่อมไม่บอบบางเหมือนเช่นแม่นาง ทว่าน้องหกและน้องสิบเจ็ดเกรงว่ายังต้องพักผ่อนอีกวันสองวัน ครั้งนี้พวกเขาสูญเสียกำลังไปไม่น้อย”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก เหตุใดยามที่คุณชายสี่คนนี้พูดอะไร ต้องแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างชายหญิงตลอดเวลา จะได้แสดงถึงการวางตัวในการทะนุถนอมอิสตรีอย่างนั้นแหละ


 


 


เขากลับไม่รู้ ขอเพียงนึกถึงว่ามั่วหนิงโหรวเป็นอนุของเขา มั่วชิงเฉินก็แทบจะอยากบุกขึ้นไปตบหน้าเขาสักสองฉาดแรงๆ


 


 


“แม่นางมั่ว พวกเราต่างไม่ได้แตะอาหารในโลกฆราวาสมาหลายวัน ไม่สู้วันนี้ให้ข้าเข้าครัว เจ้าลองชิมรสชาติพิเศษของทางทะเลขนาบใจเราเป็นเช่นไร?” คุณชายสี่พูดจาอ่อนโยนนิ่มนวล


 


 


มั่วชิงเฉินเกือบสะดุดล้ม คุณชายสี่นี่เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ต่อให้ตนกินโอสถเลี่ยงธัญพืชจนจะอาเจียนแล้ว ก็ไม่อยากนั่งกินข้าวพร้อมคนคนนี้ รีบว่า “ไม่ลำบากคุณชายสี่แล้ว ข้าแค่ออกมาทักทาย การผจญภัยครั้งนี้ใจเกิดตระหนัก ช่วงนี้เกรงว่าจะต้องกักตนบำเพ็ญเพียรให้มาก”


 


 


พูดพลางเพิกเฉยต่อสีหน้าผิดหวังของคุณชายสี่ รีบกลับเข้ากระต๊อบไปแล้ว


 


 


กลับถึงข้างในมั่วชิงเฉินค่อยโล่งอก เริ่มบำเพ็ญเพียรด้วยใจสงบ บำเพ็ญเพียรเสร็จจึงหยิบไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาหลอมและศึกษา อยู่ในกระต๊อบติดต่อกันสิบกว่าวันถึงออกมาสูดอากาศอีก


 


 


ครั้งนี้คุณชายทั้งสามคนตระกูลหวังอยู่กันหมด ทำให้มั่วชิงเฉินตั้งตัวไม่ทันคือ ท่าทีที่คุณชายสี่มีต่อนางยิ่งเอาอกเอาใจยิ่งขึ้น คุณชายสิบเจ็ดยิ่งส่งเสริมทั้งสองคนอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย กลับเป็นคุณชายหกที่เดิมทีความสัมพันธ์ไม่เลวกับนางหลังจากมอบถุงหอมให้นางเป็นการส่วนตัวแล้วมีท่าทีที่มีต่อนางก็เย็นชาขึ้นมา ลักษณะเหมือนแลกเปลี่ยนกันเสร็จแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก


 


 


ที่จริงสำหรับมั่วชิงเฉินแล้ว ต่อให้คุณชายหกที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวแสดงออกเช่นนี้ นางก็ไม่แยแส เพราะอย่างไรเสียระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรคิดจะสร้างมิตรภาพที่แท้จริงเป็นเรื่องยากยิ่ง การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมไม่เยิ่นเย้อกลับสบายใจดี


 


 


กลับเป็นท่าทางเช่นคุณชายสี่ที่ทำให้นางอึดอัดใจ นึกถึงคนคนนี้ยึดร่างกายของพี่สิบสี่แล้วแท้ๆ ยังตั้งใจทำเป็นเจ้าชู้เอาอกเอาใจนาง นางก็เหมือนกินแมลงวันเข้าไป


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินจึงหลบอยู่ในกระต๊อบปิดประตูไม่ออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไป เวลาทั้งหมดที่มีล้วนนำมาใช้ในการบำเพ็ญเพียรและหลอมไหมเกล็ดน้ำแข็ง ทำให้นางควบคุมไหมเกล็ดน้ำแข็งได้ยิ่งช่ำชองแล้ว


 


 


ที่มั่วชิงเฉินไม่รู้ก็คือ คุณชายหกที่จู่ๆ ท่าทีก็เย็นชาต่อนางสายตากลับกวาดผ่านประตูกระต๊อบที่ปิดสนิทของนางอย่างไม่ตั้งใจ ในตาฉายแววกังวลสายหนึ่ง


 


 


แล้วก็ถึงเดือนสามฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่นดอกไม้ผลิบานอย่างรวดเร็ว ในที่สุดพวกมั่วชิงเฉินสี่คนก็จากไปได้แล้ว

 

 

 


ตอนที่ 173 สิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ

 

 


 


ผ่านเกาะชี้นำที่โผล่พ้นผิวทะเล การเดินทางกลับก็ง่ายขึ้นมากแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน เกาะใจศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน


 


 


เห็นเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าทุกคนปรากฏความปีติ คุณชายสี่หันหน้าบอกมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว นี่ก็คือเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ที่ตระกูลหวังเราตั้งอยู่ ไม่ทราบแม่นางมั่วจะให้เกียรติไปพักที่ตระกูลหวังเราช่วงสั้นๆ ได้หรือไม่?”


 


 


เสวนากับคนคนนี้มานานถึงเพียงนี้ มีเพียงประโยคนี้ที่ถูกใจมั่วชิงเฉินนัก ถึงแม้ใช้นิ้วเท้าก็คิดได้ว่าคุณชายสี่ผู้นี้ต้องคิดมิดีมิร้ายต่อตนเป็นแน่ก็ตาม


 


 


ที่จริงเขาคาดหวังสิ่งใดมั่วชิงเฉินก็คิดออก จะมีอะไรนอกจากอยากบำเพ็ญเพียรคู่กับตนเท่านั้นแล


 


 


แน่นอนนางย่อมไม่หลงตัวเองถึงขั้นคิดว่าตนเป็นคนที่ใครเห็นใครรักดอกไม้เห็นยังผลิบานอยู่แล้ว สาเหตุที่คุณชายสี่อยากบำเพ็ญเพียรคู่กับตนมองปราดเดียวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง มันคือการถูกตาต้องใจฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานของตนอยู่แล้ว


 


 


จากคำพูดไม่กี่คำของทุกคนก็สามารถรู้ได้ว่า ในเรือนคุณชายสี่ผู้นี้มีหญิงสาวอยู่ไม่น้อย ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนหลงใหลอิสตรีมักมากในกาม กลับกันกลับเป็นคนประเภทเพื่อหนทางแห่งอายุยืนยาวแล้วไม่เลือกวิธีการต่างหาก


 


 


เช่นนี้ก็สรุปได้แล้วว่า คุณชายสี่ต้องเคยฝึกเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรคู่บางสิ่งมาก่อน ถึงต้องการหญิงสาวมากเพียงนี้มาให้เขาใช้ในการบำเพ็ญเพียร


 


 


ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรคู่ปกติเร็วกว่าการบำเพ็ญเพียรโดยลำพังไม่น้อย และหากอยากได้ประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น เช่นนั้นตบะของคู่ในการบำเพ็ญเพียรคู่ย่อมยิ่งสูงยิ่งดี


 


 


ในเมื่อมั่วชิงเฉินคิดจะไปตระกูลหวังสักครั้ง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เตรียมตัวเลย นางกำลังจะพยักหน้าตอบรับ คุณชายหกกลับแย่งพูดก่อนว่า “พี่สี่ ข้าและแม่นางมั่วยังมีธุระต้องไปเกาะสดับมุกสักครั้ง ขอตัวก่อนแล้ว” พูดจบก็ไม่รอให้คุณชายสี่ตอบ บังคับเรือบินเหินหาวไปแล้ว


 


 


“พี่สี่ จะทำเช่นไรดี?” คุณชายสิบเจ็ดถาม


 


 


คุณชายสี่สีหน้าบึ้งตึงจ้องทิศทางที่คุณชายหกจากไป ฮึเสียงเย็นว่า “ในเมื่อแม่นางมั่วยังมีธุระ พวกเราย่อมต้องรอให้นางทำธุระให้เสร็จก่อนค่อยเชื้อเชิญแม่นางมั่วมาเป็นแขกแล้ว”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดร้อนใจว่า “พี่สี่ ท่านเชื่อคำพูดของหวังหกจริงหรือนี่ หากเขาบอกความจริงแก่แม่นางมั่วจะทำเช่นไรดี?”


 


 


คุณชายสี่หัวเราะฟู่ว่า “นั่นจะเป็นไรไป ในเมื่อแม่นางมั่วอยู่ทะเลขนาบใจ ยังสามารถบินออกจากฝ่ามือข้าได้เช่นนั้นหรือ?”


 


 


อีกด้านหนึ่ง มั่วชิงเฉินมองคุณชายหกใช้กำลังทั้งหมดที่มีเร่งเรือบินให้บินจากไปเร็วเหมือนดาวตกอย่างเหลอหลา ไม่รู้ตกลงเขาเป็นอะไรกันแน่ ไม่พูดถึงที่ปฏิบัติกับตนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นชา ยังทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้อีก


 


 


“คุณชายหก?” เหล่สีหน้าเย็นชาของคุณชายหกไปพลาง มั่วชิงเฉินเรียกอย่างหยั่งเชิงคำหนึ่ง


 


 


เรือบินหยุดลงโดยพลัน ลอยอยู่กลางอากาศ คุณชายหกมองมั่วชิงเฉินโดยไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


มั่วชิงเฉินประสานสายตากับเขาอย่างสงบ รอเขาอธิบาย


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดคุณชายหกก็เปิดปาก เอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “แม่นางมั่ว ในเมื่อเจ้าได้ถุงหอมแล้ว ก็รีบจากไปเถอะ”


 


 


“จากไป?” มั่วชิงเฉินถามกลับ ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคุณชายหก


 


 


คุณชายหกมองดูหญิงสาวตรงหน้า แม้ผมด้านหน้าบังใบหน้าไปครึ่งใหญ่ กลับปิดความเฉลียวฉลาดมีชีวิตชีวาที่มีตามธรรมชาติไม่ได้ ลักษณะเลอะเลือนเล็กน้อยยิ่งทำให้นางดูเหมือนแม่นางน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาเรื่องทางโลก


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด คุณชายหกรู้สึกหงุดหงิด ตะโกนอย่างไม่อาจบังคับตนเองได้ว่า “ใช่น่ะสิ จากไป จากทะเลขนาบใจของเราไป เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างขึ้นแผ่วเบา เขา…เขาเป็นอะไรกันแน่?


 


 


แม้จะบอกว่าท่าทางเช่นนี้ของเขากลับดูจริงใจกว่าเมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่มีมารยาทและเกรงใจก่อนหน้า ทว่าเห็นชัดว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้สึกว่าทั้งสองคนสนิทกันถึงขั้นนี้แล้ว


 


 


คงเพราะได้ระบายอารมณ์ออกมา เห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไม่พูด คุณชายหกค่อยๆ สงบลง เสียงแหบเล็กน้อยว่า “แม่นางมั่ว ขอโทษด้วย ข้าไม่ควรพูดกับเจ้าเช่นนี้”


 


 


“คุณชายหก เจ้ามีความในใจ?” มั่วชิงเฉินถามเสียงเบาว่า ไม่ใช่นางสอดรู้สอดเห็น หากแต่ท่าทางเขาเช่นนี้มันผิดปกติจริงๆ


 


 


คุณชายหกขมวดคิ้วแน่น ในที่สุดก็พูดออกมา “แม่นางมั่ว เจ้าฟังที่ข้าเกลี้ยกล่อมสักคำ รีบไปเถอะ ยิ่งเร็วยิ่งดี มิเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก “คุณชายหก เจ้าพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร?”


 


 


คุณชายหกกัดฟันว่า “หวังสี่เขาคิดแผนร้ายกับเจ้า ดังนั้นตระกูลหวังไม่เพียงแต่เจ้าไปไม่ได้ ต่อให้เป็นทะเลขนาบใจก็อยู่ต่อไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นด้วยอิทธิพลของเขา ต่อให้เจ้าไม่ยินยอมเขาก็จะ…”


 


 


พูดถึงตรงนี้สุดท้ายก็ยากจะเอ่ยปากต่อได้ มองมั่วชิงเฉินอย่างลำบากใจปราดหนึ่ง กลับพบว่านางหน้าไม่เปลี่ยนสีอย่างคาดไม่ถึง จึงอดตกใจไม่ได้ว่า “แม่นางมั่ว?”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจริงใจออกมาว่า “คุณชายหก ชิงเฉินขอขอบคุณที่เจ้าเตือน ณ ที่นี้แล้ว ทว่าแผนการของคุณชายสี่ ข้าก็พอเดาได้บ้าง”


 


 


ชิงเฉิน ที่แท้ชื่อของนางคือมั่วชิงเฉิน ช่างสมชื่อจริงๆ ความคิดนี้แวบผ่านในใจคุณชายหกไป แล้วเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “แม่นางมั่ว หวังสี่เขาไม่ได้ชอบเจ้าจากใจจริง เขา…”


 


 


“เขาหมายตาตบะของข้าไว้สินะ?” มั่วชิงเฉินรับคำนิ่งเรียบ นี่ไม่ใช่หัวข้ออะไรที่จะทำให้คนดีใจได้จริงๆ


 


 


“เจ้า เจ้ารู้?” คุณชายหกเอ่ยอย่างเหลอหลา


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ออกมา นางแน่ใจได้เลยว่าในด้านนี้คุณชายหกทึ่มทื่อเป็นอย่างมาก จึงหัวเราะว่า “พี่สี่เจ้าคนนั้นในใจวางแผนอะไรไว้ แทบจะเขียนอยู่บนหน้าแล้ว ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย”


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่รีบจากไป?” พูดถึงตรงนี้คุณชายหกมองมั่วชิงเฉินอย่างประหลาดปราดหนึ่งว่า “เจ้าคงไม่ คงไม่ถูกใจ…”


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก รีบเอ่ยว่า “คุณชายหกเจ้าอย่าคิดมาก ที่ข้าไม่รีบจากไป ความจริงคือ…มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องไปตระกูลหวังของพวกเจ้าสักครั้ง”


 


 


ทีนี้คุณชายหกไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงแล้ว “แม่นางมั่ว ถุงหอมเจ้าก็ได้ไปแล้ว…”


 


 


มั่วชิงเฉินมองคุณชายหก ในใจคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าตกลงควรพูดออกมาหรือไม่


 


 


“แม่นางมั่ว เจ้ามีเหตุผลอะไรกันแน่ถึงต้องไปตระกูลหวังเราให้ได้?” คุณชายหกเอ่ยอย่างร้อนใจเล็กน้อย


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูความร้อนใจที่เผยออกมาบนใบหน้าคุณชายหก ในใจแอบคิดว่า เขาน่าจะเชื่อใจได้กระมัง ไม่แน่อาจจะกลายเป็นกำลังสนับสนุนเพียงหนึ่งเดียวของตนตอนที่อยู่ตระกูลมั่วก็ได้นะ?


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง เอ่ยเบาๆ ว่า “หญิงสาวคนนั้น…ชื่อมั่วหนิงโหรวสินะ?”


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ?” คุณชายหกตกใจหน้าถอดสี อดจับแขนมั่วชิงเฉินไว้ไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินดึงแขนออกมาอย่างไม่กระโตกกระตาก มองออกไปไกล “ข้าบอกว่า วันนั้นหญิงสาวที่ปรากฏในแดนครึ่งจริงครึ่งมายา ชื่อมั่วหนิงโหรวใช่หรือไม่?”


 


 


“เหตุใจเจ้า รู้ได้เช่นไร?” น้ำเสียงของคุณชายหกตื่นเต้นอยู่บ้าง อ้อมไปที่ทิศทางที่มั่วชิงเฉินมองไปแล้วจ้องหน้านางตรงๆ


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่นทีหนึ่ง “เพราะว่า นางคือพี่สาวที่พลัดพรากจากกันนานหลายปีของเข้า หน้าตาของนางเหมือนมารดาของนางเหมือนโขกกันออกมา”


 


 


นี่ก็คือสาเหตุที่นางและมั่วหนิงโหรวไม่ได้พบกันยี่สิบกว่าปี วันนั้นกลับจำได้ในปราดเดียว


 


 


มั่วหนิงโหรวและมั่วหร่านอีแม้เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน หน้าตากลับต่างกันอย่างมาก


 


 


มั่วหร่านอีหยาดฟ้ามาดิน พี่แปดเคยบอกว่าแม้นางอายุยังน้อยรูปโฉมกลับมีชื่อเสียงในสี่ตระกูลใหญ่ ส่วนพี่สิบสี่มั่วหนิงโหรวแม้ก็เป็นคนงามแต่กำเนิด กลับไม่ใช่งามแบบตกตะลึงเช่นนั้น หากแต่เป็นความงามเหมือนสายฝนที่ทำให้สรรพสิ่งชุ่มชื้นอย่างเงียบๆ ก็เหมือนสาวงามในที่เล็กๆ ประเภทนั้น น่ารักน่าเข้าหา


 


 


ท่านป้าสามของมั่วชิงเฉิน หรือก็คือมารดาของมั่วหนิงโหรว ก็มีลักษณะเช่นนั้นแล


 


 


“นี่ นี่จะเป็นไปได้เช่นไร?” คุณชายหกเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


 


มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าระหว่างคุณชายหกและพี่สิบสี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่ ทว่าในเมื่อเปิดอกพูดออกมาแล้ว เรื่องบางเรื่องจะไม่ถามก็ไม่ได้แล้ว “คุณชายหก เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ พี่สิบสี่ข้ามาถึงตระกูลหวังของพวกเจ้าได้เช่นไร?”


 


 


คุณชายหกนิ่งเงียบชั่วครู่ แล้วนั่งลงมา “แม่นางมั่ว เรานั่งลงพูดเถอะ”


 


 


ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเรือบินที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยกัน ลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสามยังคงแฝงไว้ด้วยความหนาวเย็น มั่วชิงเฉินดึงแขนเสื้อให้มิด


 


 


“หญิงสาวที่มีรากวิญญาณในทะเลขนาบใจมีน้อยมาก ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรก็น้อยนักที่จะยอมผูกสัมพันธ์กับหญิงสาวธรรมดา ข้อนี้แม่นางมั่วคงเข้าใจกระมัง?” คุณชายหกเปิดปากอย่างเนิบๆ


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า เป็นเพียงที่ทะเลขนาบใจที่เดียวซะที่ไหน ต่อให้เป็นดินแดนเทียนหยวน ผู้บำเพ็ญเพียรก็ผูกสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเพียรด้วยกันเองเช่นกัน แน่นอนเป็นการคิดเพื่อชนรุ่นหลัง


 


 


คุณชายหกยิ้มระทมทีหนึ่ง “ตระกูลหวังเราอยู่ที่ทะเลขนาบใจมานับพันปี ที่นี่แม้ขาดแคลนทรัพยากร กลับเพียงพอให้ตระกูลหนึ่งสืบลูกสืบหลานที่นี่ได้ ในตระกูลมีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อย ทว่าหากพวกเขาคิดจะหาคู่ที่เหมาะสมกลับยากลำบากมาก ผู้อาวุโสในตระกูลใช้วิธีอะไรข้าไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงว่าผ่านไปทุกยี่สิบปี ก็จะมีคนพาเด็กผู้หญิงที่พรสวรรค์ไม่เลวกลุ่มหนึ่งส่งมาถึงตระกูลหวัง โหรวเอ๋อร์ก็มาตระกูลหวังด้วยวิธีนี้”


 


 


มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง หรือว่าในปีนั้นพี่สิบสี่ถูกลักมาที่นี่?


 


 


จึงหยั่งเชิงทันทีว่า “คุณชายหก ดูท่าทางเจ้าและพี่สิบสี่ข้าความสัมพันธ์ไม่เลว?”


 


 


คุณชายหกชะงักทีหนึ่ง รู้ว่ามั่วชิงเฉินเป็นหญิงสาวที่คิดอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง จึงพูดตรงๆ ว่า “ข้าจำได้ว่ายามที่พบโหรวเอ๋อร์ครั้งแรก นางยังเป็นแม่นางน้อยอายุแปดเก้าขวบ ยามนั้นข้าเพิ่งสร้างรากฐานได้ไม่นาน นางถูกแบ่งมาดูแลความเป็นอยู่ของข้า…”


 


 


ในใจถอนใจว่า ยามนั้นตนเองช่างโง่จริงๆ ก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญเพียรตลอด กระทั่งไม่รู้ว่านางเป็นเด็กหญิงที่ในตระกูลซื้อมาเลี้ยงต้อย ส่วนหลังจากนั้นกลับอะไรๆ ล้วนสายไปหมดแล้ว…


 


 


รู้ถึงสาเหตุที่มั่วหนิงโหรวมาทะเลขนาบใจ มั่วชิงเฉินไม่อยากซักไซ้ไล่เลียงต่อไป เรื่องบางเรื่อง ปล่อยให้พี่สิบสี่บอกนางด้วยตนเองดีกว่า จึงเอ่ยว่า “คุณชายหก รบกวนเจ้าพาข้าไปตระกูลหวังด้วยเถอะ”


 


 


“แม่นางมั่ว ในเมื่อเจ้ารู้แผนการของหวังสี่แล้ว หากยังไปตระกูลหวังละก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อเข้าปากเสือ ส่วนโหรวเอ๋อร์เกรงว่านางก็คงไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายเพราะนาง ยิ่งกว่านั้นเจ้าลำพังตัวคนเดียว ต่อให้มีความคิดอะไรก็ยากจะทำให้เป็นจริงได้” คุณชายหกเกลี้ยกล่อมว่า


 


 


ฟังออกถึงความหมายในคำพูดของคุณชายหก มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “คุณชายหก ที่เจ้าพูดข้าเข้าใจ ทว่ามีคำพูดประโยคหนึ่งคิดว่าเจ้าก็เคยได้ยิน สุภาพบุรุษมีสิ่งที่พึงกระทำ มีสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ชิงเฉินแม้เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง รับหน้าที่สำคัญจากสวรรค์ไม่ไหว ทว่ารู้ว่าญาติมิตรอยู่ในความลำบาก กลับไม่อาจทำเป็นไม่รู้เรื่องได้”


 


 


หลังจากนั้นครึ่งวัน หน้าประตูใหญ่ของตระกูลหวังเกาะใจศักดิ์สิทธิ์คนสองคนค่อยๆ ร่อนลง ชายหนุ่มชุดเขียว สง่าผ่าเผย หญิงสาวชุดกระโปรงสีเขียวมรกต งามหมดจดไม่ธรรมดา สองคนยืนเคียงไหล่กัน เหมาะสมดังกิ่งทองใบหยก


 


 


เด็กรับใช้สองคนหน้าประตูเข้าไปคารวะว่า “คุณชายหก” พูดพลางแอบเหล่หญิงสาวข้างๆ ปราดหนึ่ง


 


 


คุณชายหกพยักหน้าแผ่วเบา ยื่นมือว่า “แม่นางมั่วเชิญ”


 


 


สองคนก้าวเท้าเข้าไป เด็กรับใช้คนหนึ่งบอกอีกคนหนึ่งว่า”เจ้าเฝ้าอยู่นี่ ข้าไปรายงานคุณชายสี่”


 


 


เด็กรับใช้อีกคนหนึ่งมองเด็กรับใช้ที่ทะยานเข้าไปในลานบ้านอย่างคึกคัก แล้วแบะปาก ฮึเสียงเย็นว่า “เจอเรื่องดีๆ ที่จะได้รางวัล วิ่งเร็วกว่าใครเพื่อนเลย”


 


 


ยามนี้ผู้ชายแต่งตัวเหมือนเด็กรับใช้คนหนึ่งเดินออกมา หากมั่วชิงเฉินอยู่ต้องจำได้แน่นอน คนคนนี้ไม่คิดเลยว่าจะเป็นหยางปี้อู่ที่เก็บมุก


 


 


หยางปี้อู่ถามเด็กรับใช้ที่เฝ้าอยู่ว่า “พี่จาง เป็นอันใดหรือ?”


 


 


เด็กรับใช้คนนั้นบุ้ยปากว่า “ก็คุณชายสี่กำชับไว้น่ะสิ เห็นคุณชายหกกลับมาแล้วให้รีบไปส่งข่าว แหะๆ คุณชายสองท่านแย่งหญิงสาวคนเดียวกัน ที่นี่มีหนังสนุกให้ดูแล้ว”


 


 


หยางปี้อู่เออออห่อหมกตามไม่กี่คำ แล้วเดินกลับไปอย่างไม่กระโตกกระตาก


 


 


ด้านนั้นคุณชายสี่ได้ข่าว รู้สึกค่อนข้างเหนือความคาดหมาย เดิมทีเขาจัดเตรียมคนเฝ้าไว้ที่เกาะสดับมุก คอยรายงานความเคลื่อนไหวของมั่วชิงเฉินตลอดเวลา กลับไม่เห็นมีคนมาเสียที ใครจะคิดว่าหวังหกกลับกลับมาพร้อมแม่นางมั่วแล้ว หรือว่าในนี้มีเรื่องผิดปกติอะไร?


 


 


“พี่สี่ เป็นอันใดหรือ?” คุณชายสิบเจ็ดถามว่า


 


 


คุณชายสี่หัวเราะว่า “มีแขกสำคัญมาเยือน ย่อมต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านให้เต็มที่น่ะสิ ไป” 

 

 


ตอนที่ 174 เข้าพักหอว่างไห่

 

เบาะรองนั่ง ตั่ง ตู้เล็ก กำแพงขาวดุจหิมะแขวนภาพทิวทัศน์ที่แฝงความหมายลึกซึ้ง ซ้ายขวาต่างมีกลอนหนึ่งวรรค วรรคบนคือ ‘ลมพัดไม่ทั้งวัน’ วรรคล่างคือ ‘ฝนย่อมมียามหยุด’


 


 


นอกเหนือจากนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก ดูก็รู้ว่าเป็นที่พำนักของผู้บำเพ็ญเพียรผู้บากบั่น


 


 


“ท่านหัวหน้าตระกูลขอรับ” หน้าประตูเสียงอันพินอบพิเทาลอยมา


 


 


ในห้องผู้เฒ่าคนหนึ่งหนวดเคราผมเผ้าขาวโพลนถามนิ่งเรียบว่า “อันใด?”


 


 


เสียงนั้นลอยมาอีกครั้ง “เรียนท่านหัวหน้าตระกูล คุณชายหกพาหญิงสาวนางหนึ่งขอเข้าพบขอรับ”


 


 


ผู้เฒ่าที่หนวดเคราผมเผ้าขาวโพลนสีหน้าเคร่งขรึม ได้ยินดังนั้นแล้วขนคิ้วสั่นแล้วสั่นอีก


 


 


แม้เขาเป็นหัวหน้าตระกูล ทว่าปกติไม่ค่อยจะถามไถ่เรื่องในตระกูลสักเท่าไร เรื่องธรรมดาทั่วไปลูกหลานในตระกูลก็จะไม่มารบกวน


 


 


หวังหกเป็นชนรุ่นหลังที่รู้กาลเทศะ ตามหลักแล้วไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้ เขาพาหญิงสาวนางหนึ่งขอเข้าพบตน หรือว่า…คิดจะบำเพ็ญเพียรคู่กับหญิงสาวคนนั้น?


 


 


ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องสืบสกุลยิ่งนัก ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหากคิดจะแต่งงานกับผู้อื่นเป็นสามีภรรยา จึงเป็นเรื่องใหญ่ในตระกูล ต้องได้รับความเห็นชอบของหัวหน้าตระกูล นี่ย่อมไม่ใช่ประเภทการรับอนุหรูติ่งอะไรจะเทียบได้


 


 


นึกถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”


 


 


หน้าประตู ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่งคำนับคุณชายหกว่า “คุณชายหก ท่านหัวหน้าตระกูลเชิญท่านทั้งสองเข้าไปขอรับ”


 


 


“ขอบใจที่นำแจ้ง” คุณชายหกพยักหน้าแผ่วเบา พามั่วชิงเฉินเดินเข้าไป


 


 


“หวังหกขอคารวะท่านหัวหน้าตระกูลขอรับ” เมื่อคุณชายหกเข้าห้อง ก็คารวะด้วยมารยาทสูงสุด


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง กลับคารวะด้วยมารยาทของผู้น้อยธรรมดาเท่านั้น ปากเอ่ยว่า “ข้าน้อยมั่วชิงเฉินขอคารวะท่านหัวหน้าตระกูลหวังเจ้าค่ะ”


 


 


มารยาทสูงสุดเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรจะใช้คำนับผู้อาวุโสทางสายเลือดหรือครูบาอาจารย์ของตนเท่านั้น นั่นยังเป็นในยามที่พบเจอเรื่องสำคัญบางเรื่องหรือกลับจากการเดินทางไกลกลับมาเท่านั้น


 


 


ผู้เฒ่าไม่ได้ออกเสียง หากแต่สายตาจับจ้องอยู่บนตัวหญิงสาวข้างกายคุณชายหก ชั่วครู่ถึงว่า “สหายน้อยอายุยังน้อยกลับพลังความสามารถไม่ธรรมดา ใช่ท่องมาจากแดนไกลเพื่อฝึกตนที่ทะเลขนาบใจของเข้าหรือไม่?”


 


 


คุณชายหกตะลึงในใจ เดิมทีเขานึกว่าหัวหน้าตระกูลต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขาและแม่นางมั่วผิดเป็นแน่ ถึงตอบรับให้เข้าพบง่ายดายเช่นนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าท่านหัวหน้าตระกูลเปิดปากก็คาดได้อย่างแม่นยำว่าแม่นางมั่วเดินทางฝึกตนมาถึงที่นี่ ในคำพูดไม่เพียงแต่ไม่มีความเข้าใจผิดต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแม้แต่น้อย กระทั่งให้ความสำคัญกับแม่นางมั่วผู้นี้ค่อนข้างมากทีเดียว


 


 


แม้ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าแม่นางมั่วเป็นน้องสาวของโหรวเอ๋อร์ สามารถล่วงรู้ว่าแม่นางมั่วผู้นี้กำลังอยู่ในช่วงวัยสาวโดยผ่านอายุของโหรวเอ๋อร์ อายุเพียงเท่านี้ก็มีตบะระดับสร้างรากฐานพรสวรรค์ต้องไม่ธรรมดาจริงๆ ทว่าในฐานะหัวหน้าตระกูลที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลายในคำพูดกลับแฝงความชื่นชมเช่นนี้ อย่างไรก็เกินไปบ้างแล้ว ต้องรู้ว่าในตระกูลมิใช่ไม่มีคนอายุสามสิบกว่าก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน ที่ไกลออกไปไม่พูดถึง หวังสี่ปีนั้นก็สร้างรากฐานตั้งแต่อายุยี่สิบเก้าเชียวนะ ก็ไม่เห็นท่านหัวหน้าตระกูลจะชื่นชมเขาเป็นพิเศษ


 


 


มั่วชิงเฉินก้มหน้าครึ่งหนึ่งอย่างนบนอบตอบว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวังพูดได้ไม่ผิด ข้าน้อยเป็นผู้บำเพ็ญเพียรดินแดนเทียนหยวน ยามที่ออกเดินทางฝึกตนมาถึงที่ทางของท่านโดยไม่ได้ตั้งใจ ได้รู้ว่าตระกูลของท่านเป็นผู้ปกครองที่แห่งนี้ จึงมาเพื่อคารวะเจ้าค่ะ”


 


 


หัวหน้าตระกูลหวังพอใจท่าทีนอบน้อมของมั่วชิงเฉินมาก ยิ้มว่า “สหายน้อยช่างถ่อมตน ไม่ทราบสหายน้อยเป็นศิษย์ที่ใด?”


 


 


นี่ก็คือถามที่มาของสำนักนางแล้ว


 


 


ดีที่มั่วชิงเฉินคิดไว้นานแล้ว ได้ยินดังนั้นจึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าน้อยเป็นศิษย์พรรคเหยากวงเจ้าค่ะ”


 


 


คุณชายหกแอบเดาะลิ้น รู้แต่แรกแล้วว่าที่มาของแม่นางมั่วผู้นี้ต้องไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพรรคเหยากวงที่อยู่อันดับสามในสี่สำนักแปดนิกายแห่งดินแดนเทียนหยวน


 


 


แม้พวกเขาจะอยู่ห่างไกล ทว่าไม่ใช่ไม่ติดต่อกับดินแดนเทียนหยวนและแม้กระทั่งสิบทวีปแห่งทะเลตะวันออกเอาเสียเลย สำนักเล็กๆ บางสำนักแม้ไม่รู้จัก ทว่าสำหรับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ไม่กี่กลุ่มของทั้งสองที่ยังเคยได้ยินมาบ้าง


 


 


มิน่าแม่นางมั่วกล้ามาตระกูลหวัง เข้ากราบคารวะท่านหัวหน้าตระกูลหวังด้วยฐานะศิษย์พรรคเหยากวงอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้ ต่อให้หวังสี่อยากทำเหลวไหล ท่านหัวหน้าตระกูลก็ไม่อนุญาต ต้องรู้ว่าท่านหัวหน้าตระกูลไม่ใช่ปรมาจารย์ที่ลำเอียงรักใคร่เขาเป็นพิเศษท่านนั้นหรอกนะ ไม่มีทางล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลใหญ่เช่นนั้นเพื่อคนคนเดียวเด็ดขาด


 


 


หัวหน้าตระกูลหวังตาเป็นประกาย น้ำเสียงยิ่งอบอุ่นขึ้น “เป็นศิษย์สำนักชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ ไม่ทราบสหายน้อยสะดวกบอกชื่ออาจารย์หรือไม่ หึๆ ข้าเคยไปดินแดนเทียนหยวนหลายครั้ง ไม่แน่อาจเคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง”


 


 


คุณชายหกได้ยินคำพูดนี้แล้วยิ่งทอดถอนใจที่ท่านหัวหน้าตระกูลสายตาเฉียบขาด แม้เขาไม่เคยไปดินแดนเทียนหยวนกลับไม่ใช่ไม่เคยคบค้าสมาคมกับผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากที่อื่น รู้ว่าในสำนักเช่นพรรคเหยากวงนั้น ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทุกคนจะสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้ นอกเสียจากจะเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครจนได้รับความชื่นชมจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ


 


 


หากไม่เพราะได้ไปผจญภัยพร้อมแม่นางมั่วนานถึงเพียงนี้ แม่นางมั่วแสดงออกถึงความสามารถและความรู้ที่ไม่ธรรมดาตลอดเวลา ยามคุยเรื่องสัพเพเหระก็ได้ฟังนางพูดถึงอาจารย์ตนโดยไม่ตั้งใจอีก เขาคงไม่กล้าแน่ใจเหมือนดังที่ท่านหัวหน้าตระกูลแน่ใจเช่นนี้


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลชั่วครู่ ยังคงตอบว่า “ข้าน้อยโชคดี ถูกนักพรตเหอกวงรับเข้าเป็นศิษย์เจ้าค่ะ”


 


 


ในเมื่อตัดสินใจเข้าเยี่ยมคารวะอย่างสง่าผ่าเผย เช่นนั้นผู้หนุนหลังตนเองยิ่งแข็งแกร่ง พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม ตนจึงจะทำอะไรได้ยิ่งสะดวกขึ้น


 


 


“นักพรตเหอกวง?” หัวหน้าตระกูลหวังบ่นพึมพำว่า จากนั้นเกิดหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาทันที ลุกขึ้นถามว่า “คือท่านผู้ที่อายุสิบแปดสร้างรากฐาน อายุหกสิบแปดก่อแก่นปราณ นักพรตเหอกวงที่เป็นศิษย์หลิวซางเจินจวินผู้นั้นใช่หรือไม่?”


 


 


คุณชายหกที่อยู่ข้างๆ แม้ไม่เคยได้ยินสมญานามนักพรตเหอกวงมาก่อน กลับต้องตกใจเพราะตัวเลขเป็นพวงนี้จนวิงเวียนศีรษะ


 


 


อายุสิบแปดสร้างรากฐาน? อายุหกสิบแปดก่อแก่นปราณ? นี่…นี่ยังใช่คนอยู่หรือไม่?


 


 


สายตาที่คุณชายหกมองไปที่มั่วชิงเฉินอดประหลาดขึ้นมาไม่ได้ มิน่าวันนั้นยามที่คุยสัพเพเหระกันตนเองทอดถอนใจว่าคนที่สามารถเป็นอาจารย์ของนางได้ ไม่รู้ต้องเป็นบุคคลระดับใด แม่นางมั่วกลับพูดว่าสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างล้นพ้น


 


 


วันนั้นตนถือเพียงว่านางถ่อมตน ทว่าวันนี้ถึงพบว่า ต่อให้ใครก็ตามสามารถมีอาจารย์เช่นนี้ได้ ก็ต้องเป็นความโชคดีอย่างล้นพ้นแล้วล่ะ


 


 


เห็นหัวหน้าตระกูลหวังอารมณ์ตื้นตัน มั่วชิงเฉินตอบว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวังพูดได้ไม่ผิด ไม่คิดว่าท่านหัวหน้าตระกูลหวังจะรู้จักอาจารย์ข้าจริงๆ”


 


 


หัวหน้าตระกูลหวังไม่พูด กลับทอดถอนใจแล้วส่ายศีรษะ ตนและนักพรตเหอกวงผู้นั้นพูดไม่ได้ว่ารู้จักกัน แต่กลับเคยพบหน้ากัน


 


 


นึกถึงครั้งล่าสุดที่ไปดินแดนเทียนหยวนยังเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นช่วงที่ถูกดึงเข้าสงครามวิกฤตอสูรที่เกิดจากผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจหมานฮวง จากครั้งนั้นได้รู้จักบุคคลที่โดดเด่นในดินแดนเทียนหยวนไม่น้อย ก็เพราะอาศัยโอกาสวาสนาในครั้งนั้น ตนถึงได้เกิดรู้แจ้ง และกลับมากักตนสิบกว่าปีที่ทะเลขนาบใจ


 


 


บัดนี้ตนอายุขัยเหลือไม่มาก กลับมีความรู้แจ้งอย่างเลือนรางต่อการก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาไม่ค่อยสอดมือยุ่งเรื่องในตระกูล เขาจะเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การบำเพ็ญเพียร พยายามเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนที่สามของตระกูลหวังในหลายปีนี้ให้ได้


 


 


มองดูลักษณะการวางตัวความเหมาะสมสุขุมไม่ลนลานของมั่วชิงเฉินเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ หัวหน้าตระกูลหวังเกิดทอดถอนใจ หรือว่านี่ก็คือความแตกต่างระหว่างศิษย์สำนักใหญ่และผู้บำเพ็ญเพียรตามตระกูลหรือผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักกระมัง จึงอดถอนใจไม่ได้ว่า “สหายน้อยอายุน้อยเพียงนี้ ก็มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว ไม่แปลกที่บุคคลเช่นนักพรตเหอกวงจะรับเจ้าเป็นศิษย์ อาจารย์เลื่องชื่อศิษย์เก่งกาจ เป็นการช่วยส่งเสริมกันและกันนั่นเอง”


 


 


“อะไรนะ?” คุณชายหกตกใจร้องออกเสียง ดวงตาเป็นประกายคู่หนึ่งจ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่นเสียงหนึ่ง คาถาเก็บงำกลิ่นอายครึ่งๆ กลางๆ ของตนนั่นหลอกหัวหน้าตระกูลหวังระดับก่อแก่นปราณระยะปลายผู้นี้ไม่ได้จริงๆ ดูท่าต่อไปหากมีโอกาสต้องหาวิชายุทธ์เก็บงำกลิ่นอายดีๆ สักชุดหนึ่งถึงจะได้


 


 


ทันใดนั้นก็ไม่ปิดบังอีกแล้ว ปลดปล่อยพลานุภาพระดับสร้างรากฐานระยะกลางออกมา


 


 


คุณชายหกอ้าปากกว้าง ความรู้สึกไม่ใช่คำว่าตกใจจะสาธยายได้แล้ว


 


 


เขาจำได้ว่ายี่สิบหกปีก่อนยามที่พบโหรวเอ๋อร์ โหรวเอ๋อร์ท่าทางเพิ่งจะแปดเก้าขวบ ส่วนแม่นางมั่วคนนี้เป็นน้องสาวของนาง เช่นนั้นบัดนี้อายุต้องไม่เกินสามสิบสี่ปีแน่นอน ทะ…ทว่านางกลับอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว!


 


 


อาจารย์ที่ก่อแก่นปราณเมื่ออายุหกสิบแปดปี แม่นางมั่วที่สามสิบนิดหน่อยก็อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง นี่ นี่ช่างเป็นศิษย์อาจารย์ที่ผิดปกติเหนือมนุษย์อะไรเช่นนี้!


 


 


คิดถึงตรงนี้คุณชายหกกวาดมองหัวหน้าตระกูลปราดหนึ่ง แอบคิดว่ามิน่าหัวหน้าตระกูลเมื่อเจอแม่นางมั่วคนนี้มองปราดเดียวก็ดูออกว่านางต้องไม่ใช่คู่ที่ตนหามาบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยแน่นอน หญิงสาวเช่นนี้ จะเป็น จะเป็นคนที่ตนคู่ควรได้เช่นไร…ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกสลดใจอย่างบอกไม่ถูกอีก


 


 


ที่คุณชายหกคำนวณไว้ไม่ผิดสักนิด ออกจากสำนักห้าปี หนาวไปผลิมา มั่วชิงเฉินในบัดนี้อายุสามสิบสี่ปีพอดี


 


 


“ท่านหัวหน้าตระกูลหวังชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกระจ้อยร่อย เพิ่งก้าวเข้าประตูเซียนเท่านั้น หนทางที่ต้องเดินยังอีกยาวไกลเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน


 


 


ได้รู้ถึงความเป็นมาของมั่วชิงเฉินแล้ว ท่าทีหัวหน้าตระกูลหวังยิ่งสนิทชิดเชื้อขึ้น “ในเมื่อสหายน้อยมาถึงทะเลขนาบใจแล้ว ก็แสดงว่ามีวาสนากับตระกูลหวังเรา ไม่สู้อยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง ศึกษาแลกเปลี่ยนกับลูกหลานตระกูลหวังรุ่นเดียวกันของเรา หากสามารถทำให้พวกเด็กไม่เอาไหนพวกนั้นก้าวหน้าขึ้นได้ ก็ถือเป็นผลงานของสหายน้อยแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินรีบว่า “หัวหน้าตระกูลหวังกล่าวเกินไปแล้ว ที่ข้าน้อยมาคารวะก็มีเจตนาเช่นนี้พอดี สามารถเรียนรู้ประสบการณ์ในที่ของท่านได้บ้าง เพิ่มพูนความรู้ ก็ไม่ต้องถูกอาจารย์ไล่ลงเขาไปฝึกตนเพราะไม่เอาไหนแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


คำพูดซุกซนทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงทันที หัวหน้าตระกูลหวังหัวเราะร่าว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังหกเจ้าต้องรับรองแม่นางมั่วให้ดี ทิงเฉา…”


 


 


ชายหนุ่มข้างนอกผลักประตูเข้ามา เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลมีสิ่งใดจะสั่งขอรับ?”


 


 


หัวหน้าตระกูลหวังกลับมาสีหน้าเคร่งขรึม “จัดที่พักให้แม่นางมั่วที่หอว่างไห่ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง”


 


 


“ขอรับ” ทิงเฉาตอบอย่างนอบน้อม แล้วพาพวกมั่วชิงเฉินสองคนออกไป


 


 


อีกด้านหนึ่ง คุณชายสี่รีบเร่งมากลับรับรู้ว่าคุณชายหกพามั่วชิงเฉินไปกราบคารวะท่านหัวหน้าตระกูลแล้ว ความคิดแรกที่แวบขึ้นมาคือแย่แล้ว หรือว่าเขาจะเรียนหัวหน้าตระกูลว่าจะขอแม่นางมั่วแต่งงาน?


 


 


ทีนี้แย่แล้ว เจ้าหวังหกตัวดี ปากก็พูดว่าลืมหนิงโหรวไม่ได้ หันหลังก็ทำลายเรื่องดีของข้า ฮึ เจ้าคิดจะสมหวังอย่าฝันไปเลย!


 


 


คุณชายสี่โมโหแล้ว กลับไม่กล้าบุกที่อยู่ของหัวหน้าตระกูล แม้ปกติหัวหน้าตระกูลคนนี้ไม่ค่อยยุ่งเรื่องในตระกูล กลับเป็นคนที่เด็ดขาด เขายิ่งไม่เหมือนปรมาจารย์อีกคนหนึ่งที่รักใคร่ตนเอง กระทั่งแอบรู้สึกรางๆ ว่าท่าทีของหัวหน้าตระกูลคนนี้เย็นชาต่อตนเอง แม้ไม่เคยแสดงอะไรออกมาอย่างชัดแจ้งมาก่อน กลับทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย


 


 


“พี่สี่ พวกเขาออกมาแล้ว” คุณชายสิบเจ็ดชี้ข้างหน้า


 


 


ทั้งสองคนรีบเดินไปขวางทางไปของพวกคุณชายหกสามคนไว้


 


 


“พี่สี่ น้องสิบเจ็ด พวกเจ้าหมายความว่าเช่นไร?” คุณชายหกถามนิ่งเรียบ มีคำสั่งของหัวหน้าตระกูล เขาก็เชิดหน้าได้มากขึ้นมาก


 


 


คุณชายสี่กวาดสายตามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง กลับเบิกตาโพลงในบัดดล พูดเสียงหลงว่า “มะ…แม่นางมั่ว เจ้า ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง?”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม “ก่อนหน้านี้เพื่อสะดวกในการทำงานจึงต้องปิดบัง ขอให้ทั้งสองท่านอย่าถือสา”


 


 


“ไม่ ไม่หรอก แม่นางมั่ว สวนปี้ซิ่วที่ข้าน้อยพำนักอยู่ปราณวิญญาณเข้มข้น เป็นห้องรับรองชั้นดีพอดี ไม่ทราบแม่นางมั่วจะให้เกียรติได้หรือไม่?” คุณชายสี่ฝืนกดความตะลึงในใจลงแล้วเปิดปากถาม


 


 


มั่วชิงเฉินอยากรับปากจริงๆ พี่สิบสี่ต้องพำนักอยู่ที่สวนปี้ซิ่วเป็นแน่ ทว่ากลับรู้ว่าเรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ มิเช่นนั้นไม่เพียงช่วยพี่สิบสี่ไม่ได้ ยังเป็นไปได้มากว่าตนต้องตกอยู่ในอันตรายด้วย


 


 


ไม่รอมั่วชิงเฉินเอ่ยปาก คุณชายหกก็ว่า “ไม่ลำบากให้พี่สี่ต้องหนักใจแล้ว ท่านหัวหน้าตระกูลได้จัดการให้แม่นางมั่วเข้าพักในหอว่างไห่แล้ว”


 


 


“อะไรนะ?” ครั้งนี้คุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดตกใจร้องออกมาพร้อมกัน สายตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินอีกครั้งเกิดตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาทันที


 


 


หอว่างไห่เป็นสถานที่ที่ตระกูลหวังใช้รับรองแขกคนสำคัญโดยเฉพาะ แต่อดีตมาเพียงจัดให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเข้าพักเท่านั้น เหตุใดหัวหน้าตระกูลถึงจัดให้แม่นางมั่วพักที่นั่น? 

 

 


ตอนที่ 175 พี่น้องสองสาวฝาแฝด

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้ประโยชน์ใช้สอยของหอว่างไห่ กลับสามารถดูออกจากสีหน้าตกตะลึงของพวกคุณชายสี่สองคนว่าการที่นางถูกจัดให้พักที่หอว่างไห่ มีความผิดปกติอยู่บ้าง


 


 


แม้นางสงสัยในใจ สีหน้ากลับไม่แสดงอาการ ปล่อยให้ทั้งสองคนพิจารณาไป


 


 


แล้วก็ได้ยินคุณชายหกว่า “แม่นางมั่วมาจากสำนักอันเลื่องชื่อ อีกทั้งอาจารย์ก็เป็นคนรู้จักของท่านหัวหน้าตระกูล เข้าพักที่หอว่างไห่ก็ไม่แปลก”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบหัวเราะในใจ คุณชายหกก็มีเวลาที่เจ้าเล่ห์เหมือนกัน เมื่อพูดเช่นนี้แล้วพวกเขาย่อมนึกว่าหัวหน้าตระกูลและอาจารย์เป็นสหายกัน ยิ่งกว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปหาหัวหน้าตระกูลเพื่อยืนยัน วันหลังตนทำอะไรขึ้นมาก็สะดวกขึ้นมากแล้ว


 


 


เป็นไปตามคาดคุณชายสี่ฟังที่คุณชายหกพูดแล้ว สีหน้าตระการตามาก สายตาที่มองมาที่มั่วชิงเฉินยิ่งคาดเดาไม่ถูกแล้ว


 


 


คุณชายหกจึงให้สัญญาณให้ทิงเฉานำทาง ฉวยโอกาสสลัดหลุดจากสองคนมุ่งหน้าไปที่หอว่างไห่


 


 


พื้นที่ของตระกูลหวังกว้างขวางนัก มียอดเขาทั้งแถบถูกล้อมอยู่ในจวน หอว่างไห่ก็สร้างอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดลูกหนึ่ง


 


 


เดิมทีมั่วชิงเฉินนึกว่าที่ว่าหอว่างไห่ก็คือลานบ้านแห่งหนึ่ง กลับนึกไม่ถึงว่าหอว่างไห่ยึดพื้นที่ยอดเขาทั้งลูก ศาลาหอสูงๆ ต่ำๆ น่าสนใจยิ่งนัก ห้องหับสวนหย่อม เป็นคฤหาสน์ที่สง่าตามธรรมชาติหลังหนึ่งดีๆ นี่เอง


 


 


ที่ยิ่งวิเศษคือ ไม่ว่ายืนอยู่ที่มุมไหน ล้วนสามารถเห็นทะเลกว้างใหญ่องอาจ ช่างสมกับชื่อหอว่างไห่[1]


 


 


มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง “คุณชายหก ท่านหัวหน้าตระกูลหวังเกรงใจเกินไปแล้วจริงๆ หึๆ หากเช่าอยู่ที่ที่พำนักเช่นนี้ ไม่เกินสองสามเดือน ชิงเฉินต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแน่”


 


 


ที่นางพูดเช่นนี้ย่อมเป็นการถ่อมตน ทว่าจากการนี้กลับดูออกว่าหัวหน้าตระกูลหวังผู้นั้นปฏิบัติต่อนางด้วยมารยาททั่วถึง ดูท่าแล้วตนพนันถูกแล้ว


 


 


ตระกูลที่สืบทอดกันมาหลายพันปีเช่นนี้ ปักหลักอยู่ที่ทะเลขนาบใจมาตลอด ย่อมชินกับอากาศภูมิประเทศของทะเลขนาบใจ


 


 


ชนิดของทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรในทะเลขนาบใจมีน้อย ทว่าน่าจะมีของพื้นเมืองที่พอออกหน้าออกตาได้ เช่นมุกจื่อหวาสงบจิต หรืออาจจะยังมีอย่างอื่นก็ไม่อาจรู้ได้ คิดจะใช้ผลผลิตพื้นเมืองพวกนี้แลกทรัพยากรที่ขาดไป เช่นนั้นก็ขาดการติดต่อกับที่อื่นไม่ได้


 


 


หัวหน้าตระกูลที่มองการณ์ไกลสักหน่อย เพื่อสืบต่อความรุ่งเรืองของตระกูล ก็จะไม่ล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรที่มีคนหนุนหลังส่งเดช โดยเฉพาะศิษย์หัวกะทิที่มาจากสี่สำนักแปดนิกายเช่นนาง


 


 


คำพูดหวานหูใครๆ ก็ชอบฟัง มั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ปุ๊บ ทิงเฉาที่นำทางให้ทั้งสองคนทนไม่ไหวพูดขึ้นมา ทิวทัศน์ที่ไหนสวย ทางเล็กเส้นไหนทะลุไปที่ใด ค่อยๆ ชี้แนะไป


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้มฟังอย่างตั้งใจ แล้วพยักหน้าแผ่วเบาให้คุณชายหก


 


 


ทิงเฉาพูดได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นมือออก ชี้อีกด้านหนึ่งว่า “แม่นางมั่ว หอว่างไห่เป็นสถานที่รับรองแขกสำคัญของตระกูลหวังเราโดยเฉพาะ ก่อนท่านจะมา ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรสองท่านพักอยู่ที่นั่น ข้าน้อยบอกไว้ก่อน ถึงเวลาจะได้ไม่เข้าใจผิดกันขอรับ”


 


 


“เอ่อ ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองท่าน? ไม่ทราบว่าสองคนนั้นก็มาจากดินแดนเทียนหยวนเหมือนดั่งชิงเฉินหรือไม่?” มั่วชิงเฉินเห็นเด็กรับใช้ทิงเฉาพูดจาฉะฉาน จึงฉวยโอกาสถาม


 


 


ทิงเฉายิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบแล้วขอรับ ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรสองท่านนั้นหนึ่งในนั้นเป็นยอดฝีมือระดับก่อแก่นปราณ อีกคนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ทั้งสองคนเป็นศิษย์อาจารย์กันขอรับ”


 


 


ฟังถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินไม่ถามมากอีก ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางอยู่ข้างนอกให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวเสมอมา อีกทั้งตนก็ไม่กล้าล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณนั่น แม้พักอยู่หอว่างไห่เหมือนกัน ที่นี่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ขอเพียงตนรักษาระเบียบ น่าจะไม่มีโอกาสเห็นหน้ากัน


 


 


คาดไม่ถึงคำพูดประโยคหนึ่งของทิงเฉากลับเกี่ยวความสนใจของนางขึ้นมา “พูดไปแล้วแขกสองท่านนี้กลับมีสิ่งที่พิเศษอยู่ ไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ ข้าน้อยยังเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”


 


 


“ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์?” มั่วชิงเฉินและคุณชายหกประสานสายตากันปราดหนึ่ง ล้วนรู้สึกอัศจรรย์ใจเล็กน้อย


 


 


คุณชายหกถามขึ้นก่อนว่า “เป็นผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์จริงหรือ? แม่นางมั่ว เจ้าเคยเจอผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์มาก่อนหรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “ว่าไปแล้วละอายใจ เต๋า มาร ปีศาจ พระ ปราชญ์ ห้าแขนงใหญ่แห่งการบำเพ็ญเพียร ข้าเคยเจอแค่สามแขนงแรกเท่านั้น ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรพระและผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ เพียงแค่เคยอ่านการบรรยายเล็กน้อยตามคัมภีร์บ้าง”


 


 


พูดถึงตรงนี้ในใจรู้สึกปวดร้าว ปีนั้นเคราะห์กรรมของตระกูลมั่ว คนเสื้อแดงที่เปิดฉากฆ่าอย่างโหดเ**้ยมยามที่เสกคาถามีปราณสีดำรางๆ จนกระทั่งนางเข้าพรรคเหยากวง ได้อ่านม้วนคัมภีร์หยกมากแล้ว ถึงค่อยๆ เข้าใจว่าคนคนนั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่ง


 


 


คุณชายหกถอนใจว่า “เช่นนั้นข้ายังสู้แม่นางมั่วไม่ได้ จนถึงบัดนี้เคยพบเพียงผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าและผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจเท่านั้น ดูท่าต่อไปต้องเดินทางไปหลายๆ ที่แล้ว เช่นนั้นแม่นางมั่วรู้หรือไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์มีลักษณะพิเศษอะไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินครุ่นคิดว่า “ข้าเคยอ่านเจอในม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งโดยบังเอิญ บอกว่าคนที่บำเพ็ญเพียรปราชญ์ไม่จำเป็นต้องมีรากวิญญาณ หากแต่ต้องการปราณคัมภีร์อะไรสักอย่าง เอาเป็นว่าพูดได้ลี้ลับมาก พวกเราคนวงนอกรู้เพียงแค่แง่มุมเล็กๆ เท่านั้น”


 


 


“ไม่ต้องมีรากวิญญาณ เช่นนั้น เช่นนั้นเงื่อนไขมิต่ำมากหรอกหรือ?” คุณชายหกประหลาดใจ


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “ตรงข้ามกันต่างหาก ได้ยินมาว่าคนที่มีปราณคัมภีร์น้อยกว่าคนที่มีรากวิญญาณมาก ดังนั้นจำนวนผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์จึงน้อยมาก ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายทั้งชีวิตก็ไม่เห็นจะได้พบเจอ”


 


 


คุณชายหกถอนใจว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์สองท่านนั้นมาถึงทะเลขนาบใจ หากไม่หาโอกาสพบสักครั้ง ก็น่าเสียดายแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินอยู่ข้างนอกมาหลายปี อีกทั้งผ่านความยากแค้นมามากตั้งแต่เด็ก รู้สึกว่าการรู้จักคนและสิ่งของมากหน่อย มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรด้านจิตใจมากกว่าการได้สมบัติล้ำค่าในฟ้าดินบางอย่างเสียอีก สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ในตำนานย่อมอยากพบสักครั้งเป็นธรรมดา เพียงแต่โอกาสเช่นนี้กลับไม่ค่อยเหมาะสม เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือได้พบมั่วหนิงโหรว


 


 


ทิงเฉานำมั่วชิงเฉินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง มีสาวใช้สองคนรออยู่ตรงนั้น เห็นทุกคนเข้ามา จึงคารวะอย่างอ่อนช้อย


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไป รู้สึกอัศจรรย์ใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าสาวใช้สองคนนี้จะเป็นพี่น้องฝาแฝดระดับหลอมลมปราณขั้นสี่คู่หนึ่ง หน้าตาหมดจด ท่าทางอายุสิบห้าสิบหกปี กำลังเป็นวัยดอกไม้แรกแย้ม


 


 


ทิงเฉากวักมือเรียกสองคนเข้ามา บอกมั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว สาวใช้สองคนนี้รับผิดชอบปรนนิบัติอาหารการกินความเป็นอยู่ของท่านโดยเฉพาะ ท่านต้องการสิ่งใดก็สั่งพวกนางได้ ไห่อิง ไห่เอี้ยน พวกเจ้ายังไม่รีบมาคารวะแม่นางมั่วอีก”


 


 


สาวใช้สองคนคำนับใหม่อีกครั้ง “ไห่อิง (ไห่เอี้ยน) ขอคารวะแม่นางมั่วเจ้าค่ะ”


 


 


ท่าทางแบบเดียวกัน เสียงเหมือนกัน หน้าตาเหมือนกัน มั่วชิงเฉินดูจนงงแล้ว


 


 


“รีบลุกขึ้นเถอะ” มั่วชิงเฉินไม่ใช่เจ้านายจริงๆ ของพวกเขาเสียหน่อย ย่อมรีบยกมือขึ้น พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งพยุงสองคนขึ้นมา


 


 


“แม่นางมั่ว เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอตัวแล้วขอรับ ท่านพักผ่อนให้สบายก่อน” ทิงเฉาพูดธุระเสร็จ จึงกล่าวอำลา


 


 


มั่วชิงเฉินเอ่ยขอบคุณ ทิงเฉามองคุณชายหก กลับเห็นคุณชายหกไม่ขยับเขยื้อน จึงมองอีกปราดหนึ่ง คุณชายหกยังคงไม่ขยับเขยื้อน ด้วยความจำใจจึงไปเองคนเดียวแล้ว


 


 


หลังจากทิงเฉาไปแล้ว มั่วชิงเฉินจึงพูดกับสาวใช้ฝาแฝดว่า “พวกเจ้าถอยไปก่อนเถอะ ปกติไม่ต้องปรนนิบัติข้าหรอก หากมีเรื่องอะไรข้าจะหาน้องสาวสองคนเอง” พูดได้เกรงใจ น้ำเสียงกลับไม่ยอมให้สงสัย


 


 


พี่น้องสองคนประสานสายตากัน คำนับเอ่ยพร้อมกันว่า “เจ้าค่ะ”


 


 


รอพี่น้องสองคนถอยลงไป คุณชายหกถึงนั่งลงเต็มก้น ยกน้ำชาจอกหนึ่งดื่มจนเกลี้ยง แล้วหัวเราะหึๆ ว่า “เจ้าเด็กทิงเฉานั่นต้องรู้สึกว่าหนังหน้าแก่ๆ ของข้านี่นับวันยิ่งหนาขึ้นแล้วแน่ๆ”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ทีหนึ่ง “คุณชายหก เจ้าไยต้องหัวเราะเยาะตนเองด้วย บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าจะพบพี่สิบสี่ของข้าได้อย่างไร?”


 


 


คุณชายหกเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ถึงว่า “โหรวเอ๋อร์นาง…นางเป็นอนุของหวังสี่ โอกาสเช่นนี้ ไม่เหมาะจะออกมา”


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนหน้านี้ตนคาดเดาเองคือเรื่องหนึ่ง ได้ฟังคุณชายหกพูดความจริงออกมาตรงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว


 


 


พี่สิบสี่ อย่างไรเสียก็เป็นคุณหนูสายเลือดโดยตรงอย่างเป็นทางการที่ได้รับการจัดอันดับของตระกูลมั่ว มาถึงตระกูลหวังของพวกเขา ก็ตกต่ำกลายเป็นอนุที่ออกหน้าออกตาไม่ได้เสียแล้ว ความโกรธนี้ยากที่จะกลืนลงไปได้จริงๆ!


 


 


“คุณชายหก เจ้าก็บอกเข้ามาเลยว่าต้องทำเช่นไรถึงพบพี่สิบสี่ของข้าได้!” มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งว่า


 


 


คุณชายหกชะงัก ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินที่ใจเย็นอ่อนโยนเสมอมาได้ยินเรื่องนี้แล้วจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้ คิดอีกทีนึกถึงว่าฐานะนางก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันก็เกิดเข้าใจขึ้นมา ถอนใจว่า “ที่จริงถ้าอยากพบก็ง่ายดายยิ่งนัก หากหวังสี่เชิญแม่นางมั่วไปเป็นแขก เจ้ารับปากก็แล้วกัน”


 


 


มั่วชิงเฉินหลุดหัวเราะออกมา ตนใจร้อนเกินไปแล้วจริงๆ กลับลืมวิธีที่ง่ายที่สุด ใช่น่ะสิ หวังสี่นั่นวางแผนมากมายก่ายกองคิดจะตีสนิทกับตน วันหลังต้องเชิญตนไปเป็นแขกที่สวนปี้ซิ่วแน่


 


 


“แม่นางมั่ว เจ้ารอนแรมเป็นเพื่อนข้ามาหลายเดือน ผ่านเป็นตายมา บัดนี้พักผ่อนให้ดีก่อนเถอะ ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงมีข้าอยู่ จะไม่ให้หวังสี่ได้สมหวังแน่” คุณชายหกพูดพลางลุกขึ้นอำลา


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วความซาบซึ้งเอ่อขึ้นจางๆ ในใจ ความใกล้ไกลสนิทห่างเหินระหว่างคนด้วยกันแม้จะเปลี่ยนแปลงไปตามสาเหตุต่างๆ ได้ตลอดเวลา ทว่าคำพูดของคุณชายหกในยามนี้ นางฟังออกว่าเป็นคำพูดจากใจจริง


 


 


ผู้ชายคนนี้ ยามนี้กำลังบอกนางว่า เขายินยอมใช้ชีวิตปกป้องสวัสดิภาพของนาง นี่ไม่เกี่ยวกับความรัก หากแต่เป็นความรู้คุณและคุณธรรมระหว่างมนุษย์ ต่อให้โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรจะโหดร้ายแล้งน้ำใจเช่นไร ก็ยังคงมีอยู่


 


 


หลังจากคุณชายหกจากไป มั่วชิงเฉินใช้จิตตระหนักวาดบริเวณที่ตนพำนักอยู่รอบหนึ่งก่อน จากนั้นตั้งค่ายกลป้องกันขึ้น ถึงทำความสะอาดรอบหนึ่งแล้วหลับสนิทไป


 


 


วันที่สอง มั่วชิงเฉินที่กระปรี้กระเปร่าตื่นมาแต่เช้า เดินออกจากห้องก็เห็นสาวใช้ฝาแฝดคู่นั้นกำลังปัดกวาดทำความสะอาดอยู่ คนหนึ่งในนั้นได้ยินความเคลื่อนไหวเงยหน้าขึ้น แล้วรีบคำนับทีหนึ่ง จากนั้นว่า “แม่นางมั่ว บ่าวเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ท่านแล้วเจ้าค่ะ จะไปยกมาเดี๋ยวนี้”


 


 


สาวใช้อีกคนหนึ่งคำนับทีหนึ่งเช่นกัน เอ่ยเสียงใสว่า “แม่นางมั่ว บ่าวไปยกน้ำชาให้ท่านเจ้าค่ะ” เสียงกระฉับกระเฉง ดั่งนกขมิ้นบินออกจากหุบเขา


 


 


มั่วชิงเฉินแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ดูท่าทางยุ่งอยู่ของพวกนางแล้วนึกถึงสาวใช้เพียงคนเดียวของตนอวิ๋นจือ ชั่วเวลาหนึ่งช่างสะเทือนอารมณ์


 


 


อาหารน้ำชาที่หอว่างไห่ใช้รับรองแขกล้วนเป็นของชั้นดี ต่อให้เป็นมั่วชิงเฉินที่เลี่ยงธัญพืชมานานแล้วก็ทนไม่ไหวกินไปไม่น้อย เมื่อคิดดูอีกทีนี่เป็นระเบียบในการต้อนรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็เกิดเข้าใจขึ้นมา


 


 


สาวใช้สองคนรักษากฎเกณฑ์มาก ปรนนิบัติมั่วชิงเฉินแล้วก็ไปปัดกวาดอีก เห็นชัดว่าจำที่มั่วชิงเฉินสั่งไว้ได้ว่าไม่มีธุระอันใดไม่ต้องเข้ามา


 


 


จู่ๆ มั่วชิงเฉินกลับกวักมือว่า “พวกเจ้าสองคนมานั่งนี่”


 


 


พี่น้องสองคนเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย เพียงแต่นั่งแตะอยู่ขอบเก้าอี้หิน ท่าทางพินอบพิเทา


 


 


มั่วชิงเฉินกะพริบตา “พวกเจ้าไม่ต้องเกร็งเช่นนี้ วางใจได้ ข้าไม่กินคน”


 


 


ท่าทางเป็นกันเองของมั่วชิงเฉินทำให้ทั้งสองคนค่อยๆ ผ่อนคลายลง หลังจากคุยสัพเพเหระอีกครู่หนึ่งแล้ว ทั้งสองคนก็เกร็งน้อยลงมาก


 


 


สาวใช้คนหนึ่งในนั้นถามอย่างระมัดระวังว่า “แม่นางมั่ว ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหรือเจ้าคะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้ว่าในฐานะที่พวกนางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ พอกล้อมแกล้มดูเขตแดนของตนออกได้ จึงพยักหน้าว่า “ถูกต้อง ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ที่พวกเจ้ารับใช้เมื่อก่อนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ดังนั้นจึงแปลกใจอยู่บ้างใช่หรือไม่?”


 


 


ได้ยินดังนั้น สาวใช้ที่ถามรีบส่ายศีรษะว่า “ไม่ใช่ไม่ใช่เจ้าค่ะ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่พวกเรามีคุณสมบัติมาเป็นสาวใช้ที่หอว่างไห่ โชคดีได้พบแม่นางท่าน…”


 


 


ยังพูดไม่จบ ก็ถูกสาวใช้อีกคนหนึ่งตะคอกให้หยุดอย่างรีบร้อน “ไห่อิง!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] หอว่างไห่ แปลว่า หอมองทะเล 

 

 


ตอนที่ 176 ชื่ออารมณ์กวี

 

สายตานิ่งเรียบของมั่วชิงเฉินกวาดมา สาวใช้คนนั้นรีบคุกเข่าลงว่า “แม่นางมั่วท่านอย่าถือสา ไห่อิงพูดจาไม่ยั้งคิด ไม่รู้ประสีประสาเจ้าค่ะ”


 


 


ในใจกลับแอบกลัวลนลาน ไห่อิงบอกว่าพวกนางปรนนิบัติแขกคนสำคัญเป็นครั้งแรก เช่นนั้นแม่นางมั่วท่านนี้จะเข้าใจผิดคิดว่าในตระกูลขาดตกบกพร่องหรือไม่ หากไปบอกคนอื่นสักสองสามคำ เช่นนั้นพวกนางพี่น้องสองคน…


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็อดสีหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นไหลโทรมลงมาไม่ได้


 


 


สาวใช้ที่ชื่อไห่อิงคนนั้นดูเหมือนก็รู้แล้วว่าตนเองก่อเรื่อง คุกเข่าลงเช่นกันว่า “แม่นางมั่ว พวกเราพี่น้องแม้มาปรนนิบัติที่หอว่างไห่เป็นครั้งแรก ทว่าน้องสาวนางกระทำการสุขุม ใครก็บอกว่าดี ไม่เหมือนบ่าวที่มักก่อเรื่อง ขอให้แม่นางอย่างรังเกียจน้องสาว หากว่า หากว่าไม่พอใจ ก็คืนบ่าวกลับไปได้หรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


ดวงตากลมโตที่จะร้องไห้คู่นั้นมองมั่วชิงเฉินเปี่ยมด้วยความวิงวอน ทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนตนกำลังรังแกคนอื่น ต่อให้ยามนี้นางยังงงงวยไม่เข้าใจสถานการณ์


 


 


“ท่านพี่ไม่ต้องพูดแล้ว” สาวใช้อีกคนหนึ่งกระตุกไห่อิงทีหนึ่ง พูดกับมั่วชิงเฉินอีกว่า “แม่นางมั่ว ข้าและพี่สาวแม้ปรนนิบัติแขกคนสำคัญเป็นครั้งแรก ประสบการณ์ไม่พอ ทว่าจะปรนนิบัติท่านด้วยใจแน่นอนเจ้าค่ะ ขอท่านอย่าได้รังเกียจ หากท่านไม่พอใจ ก็คืนพวกเราพี่น้องกลับไปพร้อมกันเถอะเจ้าค่ะ”


 


 


จนถึงยามนี้มั่วชิงเฉินถึงนับว่าฟังรู้เรื่อง สาวใช้สองคนนี้ตกใจจนทั้งโขกศีรษะทั้งวิงวอนเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าเพียงเพราะไม่ระวังหลุดปากว่าพวกนางรับหน้าที่เป็นสาวใช้ที่นี่เป็นครั้งแรก กลัวตนรังเกียจแล้วคืนพวกนางกลับไป


 


 


หลังจากมั่วชิงเฉินฟังเข้าใจแล้วจะหัวเราะก็ใช่ที่จะร้องไห้ก็ไม่ได้ กลับรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้ช่างคุ้นเคยอะไรเช่นนี้ ทันใดนั้นนึกถึงสมัยเยาว์วัย คนรับใช้ของตระกูลมั่วอยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียร ก็ตัวสั่นงันงกเช่นกันมิใช่หรือ ไม่กล้าเดินผิดสักก้าวเดียว


 


 


นี่คงจะเป็นส่วนที่ต่างกันของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรและสำผู้บำเพ็ญเพียรแล้วล่ะกระมัง ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรอาศัยสายเลือดสืบทอดต่อไป ทว่าคนในตระกูลที่มีรากวิญญาณอย่างไรเสียก็มีจำนวนน้อยนัก เช่นนั้นการใช้ชีวิตของพวกเขายิ่งคล้ายตระกูลขุนนางในคนธรรมดา


 


 


ส่วนสำผู้บำเพ็ญเพียรรับศิษย์ล้วนรับศิษย์ที่มีรากวิญญาณ แม้ฐานะมีความแตกต่างกันเช่นกัน ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือพลังความสามารถ ต่อให้ยามที่นางเป็นศิษย์จิปาถะ ก็ไม่อ่อนข้อต่อศิษย์อย่างเป็นทางการ ยิ่งกว่านั้นศิษย์จิปาถะส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เพราะอย่างไรเสียการที่เข้าสำนัก ต่างเพื่อคิดไล่ตามหนทางแห่งอายุยืนยาว ไม่ใช่มาเป็นบ่าวรับใช้


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็กลับเกิดสงสารพี่น้องสองสาวคู่นี้ขึ้นมา อย่างไรเสียพวกนางก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณขั้นสี่ หากอยู่ในสำนัก ต่อให้เป็นศิษย์จิปาถะ ก็ไม่ถึงกับต้องเป็นเช่นนี้


 


 


“พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ ข้าปรนนิบัติยากเช่นนั้นเลยหรือ?” มั่วชิงเฉินอมยิ้มถามว่า


 


 


พี่น้องสองคนมองมั่วชิงเฉินด้วยใจตุ้มๆ ต่อบๆ ปราดหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินทำหน้าบึ้งว่า “รีบขึ้นมา ข้าไม่ชอบผู้อื่นคุกเข่าไปคุกเข่ามาให้ข้า ยิ่งกว่านั้นหากพวกเจ้าเอะอะก็ตกใจจนโขกศีรษะ ข้าถึงจะพิจารณาว่าควรเปลี่ยนคนหรือไม่”


 


 


พี่น้องสองคนสีหน้าซีดเซียว รีบลุกขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม “เช่นนี้สิถูกแล้ว หากพวกเจ้ามีใจ ก็เล่าเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของที่นี่ให้ข้าฟังมากๆ เถอะ จะได้ไม่ทำอะไรให้เป็นที่หัวเราะเยาะได้”


 


 


พี่น้องสองคนนั่งลงใหม่ภายใต้การใบ้ของมั่วชิงเฉิน พูดทางนี้ทีทางนั้นทีตามหัวข้อของมั่วชิงเฉินขึ้นมา


 


 


อย่างไรเสียก็เป็นหญิงสาวกันหมด ต่อให้ฐานะต่างกันราวฟ้าดิน ลักษณะภายนอกของมั่วชิงเฉินก็เพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี อีกทั้งมักยิ้มหวานละมุนตลอดเวลา พูดไปพูดไปสาวใช้สองคนก็ผ่อนคลายแล้ว มั่วชิงเฉินก็รู้ข้อมูลไม่น้อยจากคำพูดของทั้งสองคนเช่นกัน


 


 


ยกตัวอย่างเช่นหอว่างไห่นี้ เป็นห้องรับรองที่ดีที่สุดของตระกูลหวัง มีไว้รับรองผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปโดยเฉพาะ ส่วนสาวใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้ที่หอว่างไห่ ล้วนต้องผ่านการฝึกอย่างเข้มงวด อีกทั้งจำเป็นต้องเป็นคนที่มีรากวิญญาณ


 


 


ฟังถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างแล้ว ไห่เอี้ยนในพี่น้องคู่นี้ก็ช่างเถอะ สาวใช้คนที่ชื่อไห่อิงดูแล้วไม่เหมือนผ่านการฝึกที่เข้มงวดมาก่อนจริงๆ


 


 


ทว่านี่สำหรับนางแล้วไม่สำคัญ นางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ในโลกฆราวาสที่จำเป็นต้องได้รับการปรนนิบัติอย่างตั้งใจเสียหน่อย


 


 


มั่วชิงเฉินคุยกับสาวใช้สองคนนี้ตามอารมณ์ อีกาไฟที่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณก็โวยวายขึ้นมา


 


 


นางยิ้มอย่างจำใจ เจ้านี่เมื่อใดที่มีแหล่งพำนักที่มั่นคงแล้วก็รังเกียจที่ต้องอยู่ในถุงอสูรวิญญาณ เรื่องมากยิ่งนัก จึงได้แต่เพ่งจิตปล่อยอีกาไฟออกมา ทำให้สาวใช้สองคนตกใจร้องอยู่พักหนึ่ง


 


 


สามวันให้หลัง


 


 


“อันนั้น อันนั้น ข้าจะดื่มอันนั้น”


 


 


“เอ๊ะๆ เจ้านั่นแหละ เหตุใดไม่รู้จักปอกเปลือกผลไม้แล้วค่อยยกขึ้นมา?”


 


 


อีกาที่ลอยอยู่กลางอากาศตัวหนึ่ง หางหันเข้าข้างในทำท่านั่ง ปีกสองข้างประเดี๋ยวชี้ทางนี้ประเดี๋ยวชี้ทางนั้น ใช้สาวใช้น้อยสองคนจนวิ่งวุ่นไปมา


 


 


ยามที่มั่วชิงเฉินเข้ามา สิ่งที่เห็นก็คือสภาพการณ์เช่นนี้ จึงหน้าบึ้งทันทีว่า “นี่เจ้าทำอะไรอยู่?”


 


 


อีกาไฟปีกสั่นทีหนึ่ง เห็นเป็นมั่วชิงเฉิน เปล่งเสียงแว้ดๆ ที่คุ้นเคยและไม่น่าฟัง “อ้าว วันนี้เจ้ากลับมาเร็วเช่นนี้เชียว?”


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟัน ชี้สองสาวพี่น้องนั่นว่า “เจ้ายังไม่ได้ตอบ นี่เจ้าทำอะไรอยู่?”


 


 


อีกาไฟใช้ปีกข้างหนึ่งพัดลมอย่างตามใจ พูดอย่างไม่แยแสว่า “ไม่ได้ทำอะไรนี่ ข้าก็เพียงแค่ขอของกินเล็กหน่อย”


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าบึ้ง “ขอของกินมีใครใช้คนเช่นนี้กันไหม?”


 


 


อีกาไฟทำหน้าน้อยใจทันทีว่า “พวกนางเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติเจ้าโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ต้องให้คนปรนนิบัติ ก็ปรนนิบัติข้าฆ่าเวลาสักหน่อยสิ อีกอย่าง ข้าเป็นอสูรวิญญาณของเจ้านะ ของของเจ้าก็เป็นของของข้ามิใช่หรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก มีใครเขาฆ่าเวลากันเช่นนี้ไหม อย่าบอกนะว่ามันหมายความว่าการให้คนอื่นปรนนิบัติมัน คนอื่นยังต้องรู้สึกซาบซึ้งต่อมันน่ะ จึงมองพี่น้องฝาแฝดปราดหนึ่งทันที


 


 


ใครจะรู้ว่าบนใบหน้าพี่น้องสองสาวคู่นั้นไม่มีความไม่พอใจใดๆ กลับมีความปีติที่เกิดจากใจจริง เห็นมั่วชิงเฉินมองมา รีบว่า “แม่นางมั่ว ท่าน…ท่านอีกาท่านนี้พูดถูกต้องเจ้าค่ะ พวกเราเต็มใจมากที่จะทำเรื่องพวกนี้”


 


 


มั่วชิงเฉินงงงัน สีหน้าสาวใช้ฝาแฝดคู่นี้ไม่เหมือนเสแสร้ง ดูท่าทางยังเต็มใจจริงๆ ด้วย กระทั่งยังมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อสองวันก่อนอีก


 


 


ลองคิดดู ในใจก็กระจ่างขึ้นมา ตนไม่ต้องการให้พวกนางปรนนิบัติแม้เป็นเพราะความเคยชินในการใช้ชีวิต ทว่าในใจพวกนางเกรงว่าคงตุ้มๆ ต่อมๆ กังวลเสมอมา จนกระทั่งอีกาไฟใช้พวกนางอย่างไม่เกรงใจ ถึงสบายใจขึ้นมาจริงๆ


 


 


ในเมื่อยินยอมทั้งคู่ มั่วชิงเฉินก็ขี้เกียจยุ่งแล้ว ทว่าหางตาเหลือบไปเห็นท่าทางเหมือนคนถ่อยได้ใจของอีกาไฟเช่นนั้น แล้วอดโมโหไม่ได้ จึงกวักมือเรียกอีกาไฟ


 


 


อีกาไฟบินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ เรียกว่า “มีอันใด?” ท่าทางเหมือนบอกว่ามีอะไรรีบพูดมีลมรีบผาย


 


 


“ข้าคิดว่า ควรตั้งชื่อให้เจ้าได้แล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มละไมว่า


 


 


อีกาไฟเสียวสันหลังวาบ แอบเหล่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง มักรู้สึกว่านางยิ้มไม่ประสงค์ดี จึงแย่งพูดขึ้นก่อนว่า “ข้า ข้ามีชื่อตั้งนานแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินเบ้ปาก ปากมากอย่างมันนี่นะ หากมีชื่อก็เทกระจาดออกมาตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันแล้ว ยังต้องรอให้ถึงยามนี้


 


 


“ข้า ข้าชื่อ…” อีกาไฟตาขาวคู่หนึ่งกวาดไปมา พอดีเห็นพี่น้องสองสาวนั่นมองมาทางนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น จึงคิดขึ้นได้ในยามคับขันว่า “ข้าชื่อเสี่ยวเอี้ยนจื่อ!”


 


 


มั่วชิงเกือบสะดุดหน้าทิ่ม


 


 


อีกาไฟเห็นดังนั้นจึงเอ่ยอย่างได้ใจว่า “ถูกต้อง ข้าก็ชื่อเสี่ยวเอี้ยนจื่อแหละ”


 


 


ยามเดียวกับที่แอบชมว่าตนเองฉลาด เมื่อมองไห่อิงไห่เอี้ยนสองพี่น้องก็ยิ่งเจริญหูเจริญตาขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างหมดแรงว่า “ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย”


 


 


“เพราะเหตุใด?” อีกาไฟกรีดร้องว่า


 


 


มั่วชิงเฉินนวดขมับ เอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิดว่า “เพราะว่าข้าจะหัวเราะ ทุกครั้งที่เรียกเจ้าข้าคงไม่อาจ หัวเราะก่อนสักครึ่งค่อนวันใช่หรือไม่ล่ะ อีกอย่าง เมื่อครู่เจ้าก็บอกแล้วว่าเป็นอสูรวิญญาณของข้า เช่นนั้นชื่ออะไรย่อมต้องให้ข้าตัดสิน”


 


 


“ไม่ยุติธรรม คัดค้าน คัดค้าน” อีกาไฟอาละวาดตีลังกาอย่างไม่สนใจภาพพจน์


 


 


มั่วชิงเฉินแม้แต่มองก็ไม่มองสักปราด เอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “ไม่ยินยอมก็ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นอสูรวิญญาณของข้าก็แล้วกัน”


 


 


อีกาไฟคอตกลงมา เอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “ขอให้เจ้านายประทานชื่อ”


 


 


พูดตามตรง เพราะโอกาสวาสนานำพาในครั้งนั้น มั่วชิงเฉินไม่ได้เห็นอีกาไฟเป็นอสูรวิญญาณที่แท้จริงมาตลอด มักรู้สึกว่าช้าเร็วมันก็ต้องไป ดังนั้นจึงไม่เคยคิดถึงปัญหาเรื่องตั้งชื่อให้มันมาก่อน บัดนี้เลยตามเลยพูดมาถึงตรงนี้ ปุบปับนางก็คิดชื่ออะไรไม่ออก


 


 


ถูกแล้ว อสูรเสือพายุทะลุฟ้าของอาจารย์ชื่อต้าฮวา อินทรีวิญญาณหยกหิมะชื่อเสี่ยวอวี้…


 


 


เอาเถอะ ไม่ยอมรับไม่ได้ว่าความสามารถในการตั้งชื่อของอาจารย์ยังสู้ตนไม่ได้เลย


 


 


มั่วชิงเฉินพิจารณาอีกาไฟ เห็นอีกาไฟจะร้องไห้แล้ว ถึงว่า “ได้แล้ว ไม่สู้เจ้าก็ชื่ออู๋เย่ว์เถอะ”


 


 


“อู๋เย่ว์?” อีกาไฟชะงัก ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะต้องชื่อปกติเช่นนี้ให้มันอีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยอารมณ์กวีเล็กน้อย


 


 


ทว่าคำพูดต่อจากนั้นของมั่วชิงเฉินกลับทำลายความซาบซึ้งแทบน้ำตาไหลที่เพิ่งเอ่อขึ้นในใจของมันจนสิ้น “ใช่น่ะสิ กลางคืนเมื่อไม่มีพระจันทร์แล้ว ก็มืดสนิทมิใช่หรือ”


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูสีหน้าของอีกาไฟแล้วแอบหัวเราะอยู่ในใจ ด้านหนึ่งเดินเข้าเรือนไปด้านหนึ่งว่า “ถูกแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าอย่าจำกลับกันล่ะ เจ้าเป็นอสูรวิญญาณของข้า ดังนั้นของของเจ้าก็คือของของข้า ของของข้ายังเป็นของของข้า”


 


 


อีกาไฟ…


 


 


“ไห่อิง ไห่เอี้ยน ขอสุราสองขวดให้ข้า!” อีกาไฟเตรียมไปยืมสุราดับทุกข์แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินยังไม่ได้เดินเข้าห้อง จึงหยุดลงมา เอ่ยกับสาวใช้ฝาแฝดว่า “ไปเปิดประตูเถอะ”


 


 


หลายวันมานี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในตระกูลหวังไม่น้อยเข้ามาคารวะไม่ขาดสาย หรือไม่ก็ใช้เด็กรับใช้ส่วนตัวเชิญมั่วชิงเฉินไปแลกเปลี่ยนความรู้ในการบำเพ็ญเพียร สำหรับการนี้ไห่อิงไห่เอี้ยนไม่แปลกใจแล้ว ได้รับคำสั่งจึงรีบเดินไปเปิดประตูลานบ้าน


 


 


ผู้ที่มาใส่ชุดสีน้ำเงิน ดวงตาล่อกแล่กคู่หนึ่งกวาดไปมาบนตัวสาวใช้ฝาแฝด แล้วถึงยืนยิ้มอยู่หน้าประตูว่า “แม่นางมั่ว”


 


 


“คุณชายสิบเจ็ด เชิญเข้ามาเถอะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้าเป็นการคำนับกลับ ใจคิดว่าในที่สุดก็มาจนได้


 


 


คุณชายสิบเจ็ดส่ายหน้าหัวเราะว่า “ข้าน้อยก็ไม่เข้าไปแล้ว แม่นางมั่ว ข้าน้อยได้รับการไหว้วานให้มาน่ะ พี่สี่เตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ ที่สวนปี้ซิ่วไว้นานแล้ว ขอให้แม่นางมั่วให้เกียรติด้วย”


 


 


“ไม่ทราบกำหนดไว้เวลาใด?” มั่วชิงเฉินถามด้วยสีหน้าสงบ


 


 


ฟังมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ คุณชายสิบเจ็ดก็โล่งอก รีบเอ่ยว่า “กำหนดไว้ยามบ่าย แม่นางแม่หากไม่มีธุระอะไร ไม่สู้เราก็ไปพร้อมกัน?”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม “ข้าเพิ่งกลับมา ยังไม่ได้พักสักอึดใจ เอาอย่างนี้คุณชายสิบเจ็ดไปก่อนก้าวหนึ่ง อีกครู่ข้าก็ไปแล้ว”


 


 


“เช่นนั้นได้ เช่นนั้นได้ ขอเพียงแม่นางมั่วไปก็พอ หึๆ ถึงเวลาให้สาวใช้สองคนนี้นำทางให้เจ้าก็ได้” คุณชายสิบเจ็ดพูดพลางเหล่สาวใช้สองคนอีกปราดหนึ่ง นี่ถึงลาจากไป


 


 


มั่วชิงเฉินดูออกอย่างชัดเจนว่าพี่น้องสองสาวหน้าถอดสี ในใจถอนใจเสียงหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไรก็เข้าห้องไปแล้ว


 


 


ศาลาที่หนึ่งในสวนปี้ซิ่ว คุณชายสี่กำลังพูดกับเด็กรับใช้ที่ใบหน้าธรรมดาไม่มีอะไรเด่นคนหนึ่งว่า “จัดการเสร็จหมดหรือยัง?”


 


 


“คุณชายวางใจ ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้วขอรับ” เด็กรับใช้ตอบ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม