ลำนำสตรียอดเซียน 155.1-158.2

ตอนที่ 155-1 การผันผวนของพลังทางจิตวิ...

 

ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวลอยขึ้น เปลี่ยนเป็นลำแสงสว่างกระจ่างข้ามท้องฟ้า วิชาการเหาะเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับต่ำในตระกูลเยี่ยรู้สึกหลงใหลอย่างไร้ที่สิ้นสุด ผู้ฝึกตนคนอื่นในเขตถงอันก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณที่เป็นของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ภายหลังที่แรงกดดันจากพลังทางจิตวิญญาณได้ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พวกเขาจึงกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูรอบตัว


 


 


เมื่อนางได้ห่างจากเขตถงอันระยะหนึ่ง โม่เทียนเกอผู้ซึ่งกำลังขี่ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวก็หยุดปล่อยแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณจากร่างของนาง สาเหตุที่นางจงใจเผยให้เห็นถึงแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณของนางในเขตถงอันเพราะนางต้องการที่จะขู่คนอื่นให้กลัว นางต้องการให้พวกเขารู้ว่าตระกูลเยี่ยนั้นเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังดังนั้นพวกเขาจะได้ไม่กล้าที่จะรังแกตระกูลเยี่ย


 


 


นี่เป็นโลกมนุษย์ ผู้ฝึกตนเดี่ยวส่วนมากในโลกมนุษย์ไม่มีโอกาสที่จะสำเร็จในลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ ดินแดนการฝึกตนของพวกเขานั้นเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่สุดคืออยู่ระหว่างชั้นแรกถึงชั้นสามของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะขู่พวกเขา


 


 


ความเร็วในการเหาะของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นไม่ได้ช้าแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นผ้าเช็ดหน้าไหมขาวนั้นก็เป็นอาวุธเวทบินได้ที่พิเศษ เพียงแค่ครึ่งวันโม่เทียนเกอก็ได้ออกจากเขตของแคว้นเว่ยแล้ว


 


 


ในขณะที่นางอยู่ที่ตระกูลเยี่ย เยี่ยเฉิงบอกเล่าข้อมูลที่ตระกูลเยี่ยเก็บรวบรวมมาได้ตั้งแต่หลายสิบปีที่ผ่านมาให้กับโม่เทียนเกอฟัง ความจริงแล้ว เส้นเลือดวิญญาณส่วนมากที่ปรากฏในขั้วแห่งท้องฟ้านั้นตั้งอยู่ที่คุนอู๋ ถึงแม้ว่าจะมีเส้นเลือดวิญญาณบ้างในโลกแห่งมนุษย์ แต่ทั้งหมดล้วนแต่เปราะบางจนแม้กระทั่งกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ ยังไม่สนใจมัน ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่จะมีชะตาลิขิตสำหรับนาง และเพราะเหตุนั้น โม่เทียนเกอจึงไม่มีความประสงค์ที่จะค้นหาถึงจุดซ่อนลับที่ตระกูลเยี่ยบอกนาง นางเพียงแค่วางแผนจะไปยังที่ที่ไม่คุ้นเคยเพื่อเก็บพืชวิญญาณหรือไม่ก็ตามหาวัตถุวิญญาณบางอย่าง


 


 


ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นเว่ยคือแคว้นจิ้น ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงตั้งใจที่จะเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลโม่ในเมืองเหลียนเฉิงด้วยเสียเลย นางต้องการที่จะเข้าไปทำความเคารพต่อแม่ของนางและนำสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของแม่กลับไปกับนาง หากในอนาคตยังมีโอกาส นางก็ต้องการที่จะฝังแม่และพ่อของนางไว้ด้วยกัน


 


 


ในตอนที่พ่อของนางตายบนภูเขามารปีนั้น ฉินโส่วจิ้งนำข่าวกลับมาบอกเพียงแค่ว่าเขาฝังกระดูกพ่อของนางไว้ ณ จุดที่เขาตายบนภูเขามาร โม่เทียนเกอตัดสินใจมาเป็นเวลานานมากแล้วว่าถ้าในอนาคตหากนางสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ นางจะเดินทางไปยังภูเขามารเพื่อหากระดูกพ่อของนางขณะที่กำแพงอาคมรอบภูเขามารอ่อนกำลังลง และฝังเขาไว้ร่วมกันกับแม่ของนาง เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่แม่ของนางปรารถนามาตลอดชีวิตคือได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง


 


 


ในขณะที่นางอยู่ที่นั่น นางก็ต้องการที่จะแจ้งครอบครัวโม่เกี่ยวกับการตายของเทียนเฉี่ยวด้วยเช่นกัน


 


 


ในตอนที่นางเป็นเด็ก นางเห็นครอบครัวโม่เป็นครอบครัวที่เย็นชาและไร้ความรู้สึก ถ้าเทียนเฉี่ยวไม่ได้อยู่ที่นั่น นางก็คงจะไม่ต้องการอยู่ที่นั่นแม้เพียงวันเดียว ตอนนี้นางไม่ใช่เด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่คนนั้นอีกแล้ว ตอนนี้นางคือผู้ฝึกตนที่มีพละกำลังมากไปด้วยพลังเวท


 


 


เมื่อนางนึกถึงอดีต นางก็อยากจะถอนใจ ความจริงแล้ว อากง อาม่า และคนอื่นๆ นั้นไม่ใช่คนไม่ดี มันเป็นเพียงแค่มุมมองของเด็ก พวกเขาไม่ได้มอบความรักให้กับนางมากพอ นางเข้าใจพวกเขาแต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะรู้สึกสนิทใจกับพวกเขา


 


 


หลังจากที่นางเข้าสู่เขตแดนของแคว้นจิ้น โม่เทียนเกอก็ต้องขมวดคิ้ว เปลี่ยนทิศทางและเหาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ


 


 


นางสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาด มันไม่ใช่การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณที่เกิดจากการต่อสู้ด้วยพลังเวท และมันก็ไม่คล้ายแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับสูง


 


 


นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะตัดสินใจเดินทางไปดู การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่แรงมากแต่มันค่อนข้างแปลก นี่เป็นโลกมนุษย์ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีผู้ฝึกตนระดับสูงที่นี่ ระดับการฝึกตนของนางในทุกวันนี้ค่อนข้างสูง และนางก็มีอาวุธเวทมากมาย นางไม่น่าจะตกอยู่ในอันตรายมากนัก


 


 


อย่างไรก็ตาม ยิ่งนางเข้าใกล้แหล่งที่พลังทางจิตวิญญาณผันผวนมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักมากขึ้นเท่านั้น การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นบริสุทธิ์มาก และนางก็ยังได้ยินเสียงกระหึ่มของลมและสายฟ้า หรือนี่จะเป็นการกำเนิดของสมบัติที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นงั้นหรือ


 


 


เมื่อมีความคิดเช่นนั้น โม่เทียนเกอจึงใช้ศาสตร์ในการควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวให้เหาะไปด้านหน้าให้เร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น นางยังคงแผ่จิตสัมผัสของนางออกไป เป็นไปอย่างที่นางคาดเดา มีผู้ฝึกตนคนอื่นกำลังมุ่งหน้าไปเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณก็ตาม ชั่วขณะที่พวกเขาเข้ามาสัมผัสกับจิตสัมผัสของนาง พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ที่นี่ และลดความเร็วของตัวเองลงในทันที


 


 


ยิ่งโม่เทียนเกอเหาะไปนานเท่าไหร่ นางก็ยิ่งงุนงงอย่างที่สุด แหล่งกำเนิดของพลังทางจิตวิญญาณไม่ได้อยู่ใกล้อย่างที่นางคิด นางเหาะมาเป็นเวลานานแต่นางก็สัมผัสได้ว่าระยะห่างของนางกับพลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย


 


 


การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนี้ค่อยๆ ดึงความสนใจจากผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์มากยิ่งขึ้น หลังจากที่เหาะอยู่หลายชั่วโมง โม่เทียนเกอเริ่มที่จะสัมผัสได้ถึงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นที่ร่วมเสาะแสวงหาด้วยเช่นกัน


 


 


ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนส่วนมากในโลกมนุษย์นั้นจะเป็นผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับต่ำ แต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและดินแดนสูงกว่าผู้ซึ่งผ่านมาพอดี บางทีพวกเขาก็คงเหมือนกันกับนางที่บังเอิญสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนี้และออกตามหาแหล่งที่มา


 


 


ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังรักษาระยะห่างระหว่างกันอย่างเข้าใจกันแบบมีนัยยะ แต่ทุกคนล้วนพยายามถึงขีดสุดที่จะหาแหล่งที่มานั้น


 


 


อีกหลายชั่วโมงต่อมา การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังต่างยินดี ทุกคนล้วนเร่งความเร็วยิ่งขึ้นไปอีก


 


 


ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของโม่เทียนเกอนั้นดีกว่าเครื่องมือเวทบินได้ของเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ช่วงขณะที่นางพบว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่น นางก็ไม่ได้ใช้พลังของมันอย่างเต็มกำลังและคงความเร็วในการเหาะให้เทียบเท่ากับคนอื่นๆ สาเหตุที่นางทำเช่นนี้เพราะนางคุ้นเคยกับการที่ต้องระมัดระวังตัว การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนี้ไม่ธรรมดา ดังนั้นแทนที่จะเร่งความเร็วให้ไปถึงก่อนคนอื่นๆ นางคิดว่านางควรที่จะไปถึงพร้อมกับคนอื่นๆ คงจะดีกว่า มันจะปลอดภัยกับนางมากกว่าด้วยวิธีนั้น อีกอย่างนางได้ลองตรวจสอบผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดนั้นและพบว่าล้วนอยู่เพียงแค่ระดับต้นเท่านั้น ถ้ามันเป็นสมบัติที่มีเอกลักษณ์จริงๆ ขึ้นมา นางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวพวกเขา


 


 


ขณะที่พวกเขายังคงเหาะต่อไป การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งนั้น โม่เทียนเกอรู้ได้ทันทีว่าแหล่งต้นกำเนิดของการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นจะต้องอยู่ใกล้มากขึ้นแล้ว


 


 


แสงเหินของผู้ฝึกตนคนอื่นสามารถมองเห็นได้แล้วด้วยตาเปล่า มีคนจำนวนหนึ่งที่คิดเช่นเดียวกันกับนาง แต่พวกเขาล้วนหลีกเลี่ยงนาง สุดท้ายแล้วด้วยระดับการฝึกตนในจุดสูงสุดของขั้นกลางเช่นนาง นางเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขาทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่านางเป็นสหายหรือศัตรู มันจะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขาที่เว้นระยะห่างออกจากนาง


 


 


ในขณะนี้ ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้เข้าร่วมการไล่ตามนี้อีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ระหว่างทางจะมีผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณและเหาะเข้าหา แต่พวกเขาก็ต้องถูกแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณจากผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังและตัดสินใจที่จะยอมแพ้ล่าถอยไป


 


 


แรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอสามารถจับแหล่งที่มาของพลังทางจิตวิญญาณนั้นได้แล้ว ในขณะเดียวกัน นางก็สัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนคนอื่นที่วิ่งเข้ามาหานาง


 


 


หลังจากนั้นนางก็เห็นผู้ฝึกตนพุ่งมาจากทิศทางอื่นๆ


 


 


นางคิดเพียงครู่เดียวก่อนที่จะกระทืบเท้าลงบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ทันใดนั้น ความเร็วของนางก็เพิ่มขึ้น และนางรีบเหาะตรงไปยังแหล่งต้นกำเนิดแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณ ทิ้งให้ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง


 


 


เมื่อเห็นแสงเหินสีขาวของนางหายไปจากเส้นขอบฟ้า เหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้ซึ่งเหาะมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงหน้าซีดด้วยความกลัว ความเร็วเช่นนี้… คนผู้นั้นสามารถทิ้งพวกเราไว้เบื้องหลังได้ตั้งนานแล้ว! คาดว่าท่านพี่แห่งเต๋านั้นอ่อนข้อให้พวกเราก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาเร่งความเร็ว… หรือบางทีเขาอาจจะค้นพบอะไรบางอย่าง?


 


 


ด้วยความคิดเช่นนี้ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนจึงเร่งความเร็วทันทีเพื่อไล่ตามนางไป


 


 


อย่างไรก็ตาม คนหนึ่งบ่นพึมพำ “แสงเหินนั้นเป็นสีขาว ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ ข้าช้าลงเสียหน่อยคงจะดีกว่า”


 


 


สีของแสงเหินของคนนั้นจะสอดคล้องกับรากวิญญาณและวิชาในการฝึกตนหลักของพวกเขา ถ้าคนที่มีรากวิญญาณธาตุทองและฝึกวิชาการฝึกตนที่มีองค์ประกอบของธาตุทอง แสงเหินของพวกเขาก็จะเป็นสีทอง ถ้าพวกเขาใช้วิชาของธาตุไม้ แสงก็จะเป็นสีเขียว ธาตุน้ำก็จะเป็นสีฟ้า ธาตุไฟก็จะเป็นสีแดง และธาตุดินก็จะเป็นสีเหลือง คนที่มีรากวิญญาณผสม แสงเหินของพวกเขาก็จะเป็นหลากสีซะส่วนใหญ่และไม่มีทางที่จะเป็นสีขาวได้อย่างแน่นอน


 


 


แสงเหินสีขาวหมายความว่าผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่หาได้ยากยิ่งจากรากวิญญาณทั้งห้าหรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาการฝึกตนที่มีเอกลักษณ์ ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุนั้นมีประสบการณ์และความยากลำบากมามากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนทั่วไป ในขณะที่ผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาที่เป็นเอกลักษณ์นั้นก็จะมีความเชี่ยวชาญพิเศษ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นประเภทไหนก็ตาม พวกเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน


 


 


น่าเสียดายที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นโลภต่อการครอบครองสมบัตินั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้แม้แต่น้อย 

 

 


ตอนที่ 155-2 การผันผวนของพลังทางจิตวิ...

 

​​​​​​​หนึ่งชั่วยามต่อมา โม่เทียนเกอก็ร่อนลงที่หน้าผา


 


 


ในช่วงเวลานั้น เหล่าผู้ฝึกตนมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าผาเรียบร้อยแล้ว ระหว่างพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสามคน และกว่าสิบสองคนเป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ พวกเขาดูแตกต่างกันไปหมด แต่ต่างจ้องมองลงไปยังหุบเขาเบื้องล่างใต้หน้าผา


 


 


เมื่อเห็นนางมาถึง ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังบางคนดูชื่นชมแต่บางคนกลับดูกังวล ในทางกลับกัน เหล่าผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณกลับมีสีหน้าเมินเฉยและแข็งกระด้างบนใบหน้าของพวกเขา


 


 


“สหายแห่งเต๋า!” ในขณะที่โม่เทียนเกอกำลังจะตรวจดูหุบเขาที่ปล่อยพลังทางจิตวิญญาณออกมา ชายลัทธิเต๋าผมขาวเครายาวก้าวมาด้านหน้าจากกลุ่มผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังและประกบมือของเขาเพื่อทักทาย


 


 


โม่เทียนเกอจดจำผู้คนบนหน้าผามาเป็นระยะเวลานานแล้ว นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเพราะพวกเขาไม่ได้มีค่าอะไรนอกจากเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวจากโลกมนุษย์ สำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมีทั้งหมดสามคน สองคนเป็นคู่รักกันซึ่งดูเหมือนจะมีอายุประมาณสามสิบปี พวกเขาดูใกล้ชิดสนิทกัน คาดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้ฝึกตนเต๋าร่วมสัมพันธ์กัน ทั้งคู่อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติในลักษณะท่าทางการแต่งกายของพวกเขา คนสุดท้ายคือชาวเต๋าคนที่ก้าวมาด้านหน้า ก่อนหน้านี้เขายืนอยู่กับสองคนนั้น ดังนั้นเขาน่าจะเป็นสหายของคู่นั้นหรืออาจจะตกลงที่จะร่วมมือด้วยกัน เขาอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าเขาจะมีผมที่ขาว แต่เขาก็ดูอ่อนเยาว์และนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีระดับสูง


 


 


ในเมื่อชาวเต๋าคนนี้มีท่าทางที่สุภาพ โม่เทียนเกอจึงทักทายกลับ


 


 


ชาวเต๋าผู้นี้ได้พิจารณาระดับการฝึกตนของนางอย่างลับๆ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่านางยังดูอ่อนเยาว์แต่มีระดับการฝึกตนที่สูง เขาก็รู้สึกเกรงกลัว ในโลกแห่งการฝึกตน ถึงแม้ว่าวิชาคงรูปนั้นจะหาพบได้ง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาทั่วไป ผู้ฝึกตนเดี่ยวส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงวิชาการฝึกตนประเภทนี้ได้ ชาวเต๋าสันนิษฐานว่าโม่เทียนเกอดูอ่อนเยาว์เพราะเป็นผลจาการคงรูปหรือจากวิชาการฝึกตนของนาง นางดูเหมือนเป็นผู้ที่มาจากกลุ่มการฝึกตน อย่างไรก็ตามถ้าการดูอ่อนเยาว์ของนางไม่ได้เกิดจากวิชาการฝึกตน การประสบความสำเร็จระดับสูงในช่วงอายุเช่นนี้… นั้นน่ากลัวยิ่งกว่า!


 


 


เพราะความคิดเช่นนี้ พฤติกรรมที่สุภาพของเขาแสดงให้เห็นถึงความเคารพบางอย่าง “ชื่อแห่งเต๋าของข้าคือฟางเจิ้ง ข้าขอทราบว่าข้าควรเรียกท่านว่าเช่นไรดีท่านสหายแห่งเต๋า”


 


 


โม่เทียนเกอมองที่ชาวเต๋าผู้นี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้บอกชื่อจริงของนางไป ข้าชื่อเยี่ยเสี่ยวเทียน ยินดีที่ได้รู้จักท่าน” หลังจากที่นางออกจากภูเขาไท่คัง นางก็เลิกใส่เครื่องแบบของโรงเรียนและใช้ชื่อฉายาแทน นางแทบจะไม่ได้ท่องเที่ยวออกข้างนอก ดังนั้นคงไม่มีใครจะรู้จักนางเป็นแน่


 


 


“หากเป็นเช่นนั้น สหายเยี่ยแห่งเต๋า” ชาวเต๋าฟางเจิ้งประกบมือรูปถ้วยให้นางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาพูดเข้าประเด็นในทันที “สหายเยี่ยแห่งเต๋าคงจะรับรู้ได้ถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณที่นี่และรีบเดินทางมาดูเป็นแน่แท้”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว” นางชำเลืองมองลงไปที่หุบเขาใต้หน้าผาอีกครั้ง หน้าผานี้ไม่ใช่เส้นเลือดวิญญาณอย่างแน่นอน และดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรที่พิเศษในหุบเขานี้ ดังนั้นทำไมสถานที่นี้จึงมีพลังทางจิตวิญญาณแผ่ออกมา


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งยิ้มและพูด “ช่างบังเอิญยิ่งนัก! สหายแห่งเต๋าสองท่านนี้และข้าก็มาดูเพราะพลังทางจิตวิญญาณนี้เช่นกัน”


 


 


“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอตอบกลับอย่างเฉยเมย นางเดาถึงเจตนาของชาวเต๋าคนนี้ได้ เขาอาจจะต้องการลงไปที่หุบเขาพร้อมกันกับนาง อย่างไรก็ตาม มันก็ดูเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก ทำไมผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสามคนนี้ถึงไม่ลงไปกันเอง


 


 


เมื่อเห็นถึงท่าทางเฉยเมยของนาง สีหน้าของชาวเต๋าฟางเจิ้งดูอึดอัดขึ้น อย่างไรก็ตามระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอนั้นสูงกว่าเขาเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงบังคับตัวเองให้อดทน “สหายเยี่ยแห่งเต๋า น้องเหยา ภรรยาของเขาและข้าได้สำรวจหุบเขานี้กันแล้ว”


 


 


“โอ้?” ครั้งนี้ โม่เทียนเกอย้ายการมองที่หุบเขามายังเขาแทน


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งยิ้มพร้อมพูดว่า “สหายเยี่ยแห่งเต๋าสงสัยว่าทำไมพวกข้าถึงอยู่ตรงนี้และไม่ลงไปที่หุบเขาใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า แท้จริงแล้วแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณจากหุบเขาไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสามคนกลับยังไม่ทำอะไรกันแม้แต่น้อย เหล่าผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณกว่าสิบคนก็ยังคงไม่ทำอะไรนอกเหนือไปจากยืนอยู่ที่บนหน้าผานั่น กระซิบกันไปมา นี่ทำให้โม่เทียนเกองุนงงอย่างมาก


 


 


“ข้าจะขอพูดด้วยความสัตย์จริงต่อสหายเยี่ยแห่งเต๋า หลังจากที่น้องเหยา ภรรยาของเขาและข้ารีบมาที่นี่ พวกเราได้ลงไปที่หุบเขาแล้ว พวกเราไม่ได้คาดคิดว่าอากาศที่เป็นพิษและลมพายุในหุบเขานั้นจะยากที่จะต่อกรด้วย พวกเราสามารถป้องกันมันในครั้งแรกได้ แต่ครั้งที่สองพวกเราไม่สามารถทำได้ สุดท้ายแล้วพวกเราก็ต้องกลับขึ้นมาข้างบนนี้อย่างไม่มีทางเลือก


 


 


“อากาศที่เป็นพิษและลมพายุ?” โม่เทียนเกอแปลกใจและตกใจอย่างมาก หากมีอากาศที่เป็นพิษและลมพายุเข้ามาเกี่ยวข้องการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณจะเบาบางเช่นนี้หรือ ถึงแม้ว่าจะมีเสียงพายุที่ไม่ชัดเจน แต่การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นกลับเบาบางตลอดเวลา ตามหลักแล้ว มันไม่ควรที่จะมีอากาศที่เป็นพิษและพายุที่อันตรายได้เลย


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งเห็นท่าทางของนางจากนั้นจึงยิ้มอย่างขมขื่น “หากสหายเยี่ยแห่งเต๋าไม่เชื่อข้า ท่านอาจจะลองลงไปดูก็ย่อมได้”


 


 


ท่าทางประหลาดใจของโม่เทียนเกอหายไปหลังจากที่นางเรียกสติกลับคืน นางพูด “ไม่จำเป็น ข้าเชื่อว่าสหายแห่งเต๋าไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกข้า”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอพูดจบ “น้องเหยาและภรรยาของเขา” ที่ชาวเต๋าฟางเจิ้งพูดถึงเดินมาทางนาง ผู้หญิงยิ้มให้นางและพูด “ถูกต้องแล้ว! น้องเล็ก นั่นคือความจริง”


 


 


หญิงผู้นี้แต่งตัวเหมือนกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและดูเหมือนนางจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปด นางนั้นทั้งดูมีเสน่ห์และนุ่มนวล และใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่น้ำเสียงของนางนั้นอ่อนหวาน ทั้งหมดแล้ว นางทำให้โม่เทียนเกอประทับใจทีเดียว


 


 


หลังจากที่หญิงนางนั้นพูดจบ ชายผู้ฝึกตนข้างนางขมวดคิ้วและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “น้องหว่าน ระดับการฝึกตนของแม่หญิงนางนี้สูงกว่าพวกเรา เจ้าเรียกนางว่า ‘น้องเล็ก’ พล่อยๆ ได้อย่างไร นี่เจ้ากำลังหยาบคายนัก” หลังจากนั้นเขาจึงหันมาทางโม่เทียนเกอและประกบมือเพื่อแสดงความขอโทษ “สหายเยี่ยแห่งเต๋า โปรดอภัยให้พวกข้าด้วย ภรรยาของข้าพูดจาโผงผางและมักจะพูดโดยที่ไม่ทันคิด นางไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ท่านขุ่นเคือง”


 


 


ก่อนที่โม่เทียนเกอจะทันได้พูดตอบ หญิงนางนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยความรำคาญ “พี่ใหญ่ซิว อย่ารีบขอโทษแทนข้าสิ มาพนันกันดีกว่า ข้าพนันว่าน้องเล็กผู้นี้เป็นน้องเล็กจริงๆ!”


 


 


บทสนทนาระหว่างสามีภรรยาคู่นี้มีความหมายอย่างอื่น ชายผู้ฝึกตนเตือนภรรยาของเขาว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอนั้นสูงกว่าพวกเขาและนางน่าจะแก่กว่าทั้งสองคนเล็กน้อย ดังนั้นการเรียกนางว่า ‘น้องเล็ก’ น่าจะทำให้นางขุ่นเคือง อย่างไรก็ตามการพูดถึงอายุของผู้หญิงต่อหน้านางน่าจะไม่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงเตือนนางอ้อมๆ แทนที่จะดุด่านางตรงๆ เพราะนางเข้าใจความหมายของสามีนาง คำตอบของนางจึงมุ่งไปที่ ‘น้องเล็ก’


 


 


เมื่อได้ยินคำตอบของหญิงนางนั้น สามีของนางจึงถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ามั่นใจได้อย่างไร”


 


 


ผู้หญิงเพียงแค่ยิ้ม “สัญชาตญาณของผู้หญิง” หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น หญิงนางนั้นเดินมาดึงมือของโม่เทียนเกอด้วยความรักใคร่และถาม “น้องเล็ก ข้าพูดถูกไหม”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มกลับพร้อมพูดว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านทั้งสองอายุเท่าไหร่ ถ้าท่านไม่บอกข้า ข้าก็คงจะไม่สามารถตอบคำถามของท่านได้”


 


 


ฝ่ายผู้หญิงตะลึง เสี้ยววินาทีต่อมา นางปิดปากตัวเองและหัวเราะ “ดูสมองของข้าสิ! ข้าลืมสิ่งที่สำคัญไปจริงๆ! สามีที่แสนซุ่มซ่ามและข้าอายุร้อยปีในปีนี้แล้ว”


 


 


เมื่อพูดถึงอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง รูปลักษณ์ของพวกเขาในตอนนี้น่าจะเป็นรูปลักษณ์ของพวกเขาจริงๆ อายุร้อยปี… ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง… โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่ภายใน มันดูเหมือนว่าพวกเขานั้นเป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ไม่ก็ผู้ฝึกตนเดี่ยว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนขนาดใหญ่ พวกเขาก็น่าจะเป็นแค่ศิษย์ทั่วไปเท่านั้น


 


 


ศิษย์ระดับหัวกะทิของกลุ่มผู้ฝึกตนขนาดใหญ่สร้างฐานแห่งพลังของพวกเขาค่อนข้างไว ถึงแม้ว่ามีไม่กี่คนที่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ การฝึกตนจนสามารถเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังนั้นก็ค่อนข้างง่าย น้อยคนนักที่จะติดอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังในอายุเช่นนั้น


 


 


“ท่านพี่ใหญ่พูดถูกแล้ว” โม่เทียนเกอยิ้มเล็กน้อย “ข้าอายุน้อยกว่าพวกท่านเล็กน้อย”


 


 


“โอ้?” ไม่เพียงแค่คู่แต่งงานคู่นี้เท่านั้น แต่แม้กระทั่งชาวเต๋าฟางเจิ้งก็เบิกตากว้าง นางอายุยังไม่ถึงหนึ่งร้อยปี แต่ระดับการฝึกตนของนางเข้าสู่จุดสูงสุดของขั้นกลางในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอไม่ต้องการที่จะลงรายละเอียดในเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนเรื่อง “ท่านรู้ถึงสถานการณ์ในหุบเขานี้มากน้อยแค่ไหนหรือ”


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งเรียกคืนสติและรีบตอบ “เมื่อน้องเหยา ภรรยาของเขาและข้าพบว่าพวกเราไม่สามารถข้ามผ่านอากาศพิษและลมพายุด้านล่างได้ พวกเราจึงร่วมมือกัน แต่สุดท้ายแล้วผลที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม… ท่านสหายแห่งเต๋า ท่านลองดู พลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่ได้รุนแรง แต่มันช่างบริสุทธิ์นัก ดังนั้นมันจึงดูเหมือนว่ามีสมบัติที่มีเอกลักษณ์เกิดขึ้นที่นี่ และมันคงน่าเสียดายยิ่งนักถ้าพวกเราพลาดมันไป!”


 


 


“ถูกต้อง! พวกเราคิดเช่นกัน” คนที่แทรกขึ้นมาคือผู้หญิง “น้องเล็ก เจ้ายังเยาว์วัยนักแต่ระดับการฝึกตนของเจ้ากลับอยู่สูง เจ้าน่าจะเป็นศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนใช่หรือไม่ พวกข้าสามคนเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับพวกเราที่จะเผชิญหน้ากับการเกิดของสมบัติที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้ ถ้าเจ้าสนใจในสมบัตินี้เช่นกัน พวกเราสามารถวางกลยุทธ์ร่วมกันได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ได้อยากเสี่ยง พวกข้าก็จะไม่ขวางทางเจ้า และแน่นอนถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาสมบัติไปได้ด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าสามารถแสร้งทำเป็นเหมือนกับว่าไม่ได้ยินที่พวกข้าเสนอไปได้เลย” 

 

 


ตอนที่ 156-1 เข้าสู่หุบเขา

 

หญิงคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่คำพูดของนางนั้นขวานผ่าซาก ทันทีหลังจากที่นางพูดจบ สามีของนางที่ดูค่อนข้างทำตัวไม่ถูกถึงกับต้องกระตุกนางอีกครั้ง


 


 


โม่เทียนเกอพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าผู้ฝึกตนชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ หญิงผู้นี้พูดจาโผงผางเกินไป ถ้าโม่เทียนเกอเป็นคนอารมณ์ร้อน นางคงจะรู้สึกไม่พอใจที่ได้ยินสิ่งที่นางเพิ่งพูดเป็นแน่


 


 


แต่โม่เทียนเกอขี้เกียจเกินกว่าจะมาโมโหกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อีกอย่าง หญิงคนนี้ก็แค่พูดจาขวานผ่าซากเท่านั้นนางไม่ได้ดูถูกหรืออะไรสักหน่อย “สิ่งที่พี่ใหญ่พูดก็ถูก ขอให้ข้าได้คิดไตร่ตรองเสียก่อน”


 


 


รอยยิ้มกว้างเบ่งบานบนใบหน้าของหญิงคนนั้นหลังจากนางได้ยินคำตอบของโม่เทียนเกอ “ได้สิ! น้องสาว ใช้เวลาตามสบาย”


 


 


เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ใช้ระดับการฝึกตนสูงของนางเพื่อระเบิดอารมณ์โกรธใส่พวกเขา ผู้ฝึกตนชายจึงถอนหายใจ พวกเขาสามีภรรยาอาจมีกันสองคน แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่อาจเทียบกับของโม่เทียนเกอได้ ต่อให้ทั้งสองคนร่วมมือกัน โอกาสชนะผู้ฝึกตนที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก็แทบเป็นไปไม่ได้


 


 


ถึงอย่างนั้น ชาวเต๋าฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้น เพ่งมองไปยังเส้นขอบฟ้าและพูดว่า “สหายเยี่ยแห่งเต๋า ท่านควรจะตัดสินใจโดยเร็ว ยิ่งพวกเราชักช้า คนก็จะยิ่งเข้ามามากขึ้น”


 


 


มีร่องรอยแห่งความประหลาดใจในใจของโม่เทียนเกอ จิตสัมผัสของชาวเต๋าฟางเจิ้งคนนี้ทรงพลังมากอย่างไม่น่าเชื่อ! นางเองก็สามารถสัมผัสได้ว่าตอนนี้มีคนกำลังเข้าใกล้บริเวณนี้เช่นกัน


 


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น เราควรจะมุ่งหน้าออกไปได้แล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินที่นางพูด ทั้งสามคนล้วนรู้สึกยินดี


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งมองสภาพรอบๆ แล้วจึงวางเกราะฉนวนกันเสียงด้วยความเร็วแสง “สหายเยี่ยแห่งเต๋า ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านฝึกวิชาการฝึกตนแบบไหน” โม่เทียนเกอดูไม่พอใจกับคำถามของเขา ดังนั้นเขาจึงรีบพูดต่ออีกประโยค “อากาศพิษและลมพายุด้านล่างนั้นรุนแรงมาก เพราะงั้นจะดีที่สุดหากสหายเยี่ยแห่งเต๋ามีวิชาที่มีผลในการยับยั้ง”


 


 


โม่เทียนเกอคิดนิดหน่อยก่อนจะตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่มีวิชาประเภทนั้น แต่ข้าก็มีอาวุธเวทซึ่งอาจจะพอต้านทานลมพายุได้”


 


 


คำตอบของนางทำให้ทั้งสามคนยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ชาวเต๋าฟางเจิ้งปรบมือ “ถ้างั้นก็ดีเลย! สำหรับสารพิษ ข้ามียาถอนพิษที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม หลังจากเรากินเข้าไป เราแค่ต้องปิดผนึกพลังวิญญาณของเราและใช้ทักษะตัวเบา สหายเยี่ยแห่งเต๋า อาวุธเวทของท่านสามารถปกป้องเราทั้งสี่คนจากการถูกลมพายุโจมตีได้หรือไม่?”


 


 


“คือ… เราก็ต้องลองถึงจะรู้น่ะ”


 


 


เมื่อพวกเขาหารือแผนการกันคร่าวๆ เสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนคว้าเครื่องมือเวทบินได้ของพวกเขาออกมาแล้วจึงกระโดดเข้าไปสู่หุบเขา ภายใต้สายตาจ้องมองอย่างอิจฉาของผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณที่อยู่ตรงนั้น


 


 


โม่เทียนเกอเอากระบี่บินได้ธรรมดาออกมา เหตุผลแรกสำหรับเรื่องนี้ก็เพราะผ้าเช็ดหน้าไหมขาวจะต้องใช้ในการเดินทางเพื่อต้านทานลมพายุ เหตุผลที่สองเป็นเพราะนางต้องการจะปิดบังความร่ำรวยของนางไว้ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเป็นอาวุธเวท มันคงจะเตะตามากพอดูเมื่อนางเอาออกมา แต่ถ้าคนอื่นๆ เห็นว่ามันทำได้หลายอย่าง นางอาจจะทำให้คนอื่นโลภและอยากได้ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


 


จากการหารือกันสั้นๆ เมื่อครู่นี้ โม่เทียนเกอได้รู้ว่าชื่อของสามีคือเหยาจื่อซิวและชื่อของผู้หญิงคือซางหรูหว่าน พวกเขาเกิดในตระกูลผู้ฝึกตนและโตมาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่พวกเขายังเด็ก ในภายหลัง ตระกูลของพวกเขาตกต่ำลงและพวกเขาจึงกลายเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว ที่จริงแล้วทั้งสองคนถือว่าโชคดีมาก พวกเขาบังเอิญช่วยชีวิตผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ที่บาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งไว้ได้ ซึ่งเขาก็รู้สึกขอบคุณที่พวกเขามีบุญคุณช่วยชีวิตเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงมอบยาสร้างฐานแห่งพลังมากมายให้เป็นการตอบแทน และด้วยยาสร้างฐานแห่งพลังเหล่านี้ ทั้งสองคนจึงก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังด้วยกันได้สำเร็จอย่างน่าประหลาดใจ


 


 


แต่เดิมด้วยตัวตนในฐานะผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลัง มันคงไม่ยากสำหรับพวกเขาในการหากลุ่มการฝึกตน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเคยชินกับการร่อนเร่อยู่บนโลกจึงไม่ชอบถูกผูกมัด อีกอย่างต้นทุนของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเยี่ยม ต่อให้พวกเขาเข้าร่วมกลุ่มการฝึกตน โอกาสในการเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังน้อยมากอยู่ดี ดังนั้นมันคงจะดีสำหรับพวกเขามากกว่าที่จะเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว แบบนั้นพวกเขาก็จะมีความสุขมากกว่า


 


 


เมื่อเห็นว่าซางหรูหว่านทั้งซื่อสัตย์และตรงไปตรงมากับคำพูดของนาง และจิตใจของนางก็เป็นอิสระมากกว่าพวกศิษย์หัวกะทิจากกลุ่มการฝึกตน การรับรู้ที่โม่เทียนเกอมีต่อนางจึงดีขึ้นเล็กน้อย สามีของนาง เหยาจื่อซิวค่อนข้างจะเงียบกว่า เขายังมีไหวพริบดีมากกว่านางซึ่งทำให้พวกเขาเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งสองคนมีชีวิตแต่งงานที่เข้ากันได้ดีและดูรักกันอย่างสุดซึ้ง


 


 


ส่วนชาวเต๋าฟางเจิ้ง เขาก็เป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวเช่นกัน เขาค่อนข้างแก่และมีประสบการณ์มาก ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็ยังไม่เห็นธาตุแท้ของเขา


 


 


ทั้งสามคนเดาว่าโม่เทียนเกอเป็นศิษย์จากกลุ่มการฝึกตน โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธและแค่เลี่ยงประเด็นนั้น นางแค่บอกว่านางผ่านมาแถวนี้และบังเอิญเจอกับพลังทางจิตวิญญาณผันผวน ดังนั้นนางจึงมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


ขณะที่เหาะลงหุบเขา พวกเขาเห็นว่าหุบเขานั้นปกคลุมไปด้วยหมอกทั้งหมดซึ่งทำให้หุบเขานั้นดูลึกจนไร้ขอบเขต พวกเขายังคงเหาะลงไปเรื่อยๆ สักพักและในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงรอบนอกของบริเวณที่เต็มไปด้วยสารพิษ


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งหยิบยาถอนพิษออกมาและให้ยากับอีกสามคน โม่เทียนเกอรับยามาแต่แทนที่จะกิน นางแอบสลับมันกับยาวิเศษของนางเอง ชาวเต๋าฟางเจิ้งดูไม่น่าสงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนที่นางเพิ่งพบเจอ ดังนั้นนางคิดว่านางควรจะระวังตัวเอาไว้หน่อย


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาพร้อมเสกคาถา ในชั่วพริบตา ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเปลี่ยนเป็นก้อนอิฐซึ่งตกลงรอบตัวและล้อมรอบพวกเขาไว้โดยสิ้นเชิง โอบอุ้มทั้งสี่คนอยู่ภายในราวกับว่ามันคือบ้าน


 


 


นี่คือผลของห้าปีแห่งการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิของนาง ตอนแรกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวนี้สามารถทำได้แค่เปลี่ยนเป็นกำแพงอิฐที่ปกคลุมแค่ด้านเดียว อย่างไรก็ตาม หลังจากนางแกร่งขึ้น จำนวนด้านที่มันสามารถปกคลุมได้ก็เพิ่มขึ้นและพลังป้องกันของมันก็เพิ่มขึ้นด้วย


 


 


ภายใต้การคุ้มครองของผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ทั้งสี่คนเหาะลงอย่างระมัดระวัง


 


 


อากาศพิษไม่ได้หนาแน่นนัก แต่ขณะที่พวกเขายังคงเหาะอยู่ พวกเขาได้ยินเสียงของลมพัดตีอย่างรุนแรงอยู่ภายนอกผ้าเช็ดหน้า เสียงยิ่งเสียดแทงมากขึ้นเรื่อยๆ มากเสียจนมันฟังดูเหมือนอะไรบางอย่างกำลังแยกออกจากกันขณะที่มันกระแทกเข้ากับกำแพงอิฐโดยตรง


 


 


โม่เทียนเกอย่นคิ้วเล็กน้อย เป็นไปตามที่พวกเขาคาด ลมพายุนั้นรุนแรง ถ้าผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไม่ได้ถูกปลุกเสกมาโดยเทพผู้ฝึกตนและเป็นเพียงอาวุธเวทธรรมดา บางทีพวกเขาอาจจะไม่สามารถผ่านลมพายุมาก็เป็นได้


 


 


พอเห็นว่าใบหน้าของโม่เทียนเกอค่อนข้างซีดขึ้น ความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซางหรูหว่าน นางถามอย่างอ่อนโยน “น้องเยี่ย เจ้าไปต่อไหวไหม”


 


 


ด้วยใบหน้าซีดเซียว โม่เทียนเกอตอบ “ข้าไม่มีพลังทางจิตวิญญาณมากพอ เจ้ากับสามีของเจ้าช่วยข้าหน่อยได้ไหม”


 


 


ซางหรูหว่านและเหยาจื่อซิวเหลือบมองหน้ากัน จากนั้นทั้งคู่จึงทำท่ามุทราขึ้นพร้อมกัน เหยาจื่อซิวถ่ายทอดพลังทางจิตวิญญาณให้ซางหรูหว่านและซางหรูหว่านส่งพลังต่อมายังโม่เทียนเกอ


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งกำลังจดจ่ออยู่กับการเฝ้าระวังเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


 


 


ลมพายุยิ่งรุนแรงดุดันมากขึ้น ทั้งสามคนค่อยๆ ใช้พลังทางจิตวิญญาณของตัวเองไปจนหมดและต้องเริ่มทานยาวิเศษกันแล้ว


 


 


ขณะที่ชาวเต๋าฟางเจิ้งให้ยาวิเศษกับพวกเขาเพื่อช่วยพวกเขาจากสารพิษและโม่เทียนเกอใช้อาวุธเวทของนางเพื่อปกป้องพวกเขาจากลมพายุ คู่รักเหยาไม่ได้ให้การช่วยเหลืออะไร เพราะเหตุนั้นทั้งสองคนจึงไม่กล้าบ่น พวกเขาแค่ทานยาบำรุงครอบจักรวาลอยู่เงียบๆ และถ่ายทอดพลังทางจิตวิญญาณทั้งหมดให้โม่เทียนเกอต่อไป


 


 


เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายยาบำรุงครอบจักรวาลของคู่รักเหยาก็หมดสิ้น หลังจากควานหาในกระเป๋าเอกภพของเขาเพื่อหายาเพิ่ม เหยาจื่อซิวกระซิบกับซางหรูหว่าน “น้องหว่าน เจ้ามียาครอบจักรวาลอีกไหม”


 


 


ซางหรูหว่านที่ใบหน้าค่อยๆ ซีดเผือดส่ายหน้า “นี่ขวดสุดท้ายแล้ว” พวกเขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยวธรรมดาจึงไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายอะไร


 


 


โม่เทียนเกอกลืนยาครอบจักรวาลแล้วจึงพูดว่า “ชาวเต๋าฟางเจิ้ง เจ้ามาแทนที่พวกเขาได้ไหม”


 


 


ตอนนี้ทั้งสี่คนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ดังนั้นชาวเต๋าฟางเจิ้งจึงไม่คัดค้านอย่างแน่นอน เขาพยักหน้าและพูดว่า “น้องเหยา เจ้ากับภรรยาเจ้าควรพักก่อนเถิด ข้ายังพอมียาครอบจักรวาลอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นคงไม่เป็นปัญหาที่ข้าจะทำแทนพวกเจ้าสักพัก”


 


 


คู่รักเหยาใช้ยาวิเศษของตัวเองไปจนหมดสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตอบตกลงกับข้อเสนอของเขาเป็นธรรมดา เหยาจื่อซิวพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะไม่เกรงใจล่ะ”


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งประกบมือแล้วจึงเคลื่อนพลังทางจิตวิญญาณของเขาส่งไปให้โม่เทียนเกอผ่านทางหลังของนาง เหยาจื่อซิวและซางหรูหว่านไม่มีอะไรทำในตอนนี้ ทั้งคู่จึงใช้เวลานี้เพื่อหลับตาพักผ่อน


 


 


ขณะนั้นเอง เสียงเหมือนเสียงสะอื้นดังขึ้นด้านนอก ทันใดนั้นลมพายุมากมายโจมตีเข้าหาพวกเขาและฟาดอย่างหนักบนกำแพงอิฐรอบตัวพวกเขาทีละด้าน แค่ในช่วงเวลาสั้นๆ โม่เทียนเกอเสียการควบคุมกำแพงอิฐทำให้ทั้งสี่คนถูกเหวี่ยงไปมา


 


 


ซางหรูหว่านตะโกน “พี่ซิว!”


 


 


เหยาจื่อซิวกระโดดไปหานางทันที พวกเขาจับมือกันแน่นและพยายามจะทรงตัวให้มั่น


 


 


ระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอและของฟางเจิ้งสูงกว่าพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าคู่นั้น ชั่วขณะที่นางรู้ตัวว่าอาวุธเวทของนางสูญเสียการควบคุม โม่เทียนเกอกัดปลายลิ้นของนางทันทีถุยเลือดสดเต็มปากออกมาและพยายามฝืนกลับมาควบคุมอาวุธเวทของนางให้ได้ ชาวเต๋าฟางเจิ้งก็เคลื่อนพลังทางจิตวิญญาณของเขาทันทีและส่งพลังเข้าร่างโม่เทียนเกอ


 


 


หลังจากระแสลมพายุทะลักทลายผ่านไปและทั้งสี่คนกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง โม่เทียนเกอพูดว่า “สถานการณ์ของเราไม่ค่อยดี ถ้าลมพายุแรงกว่านี้อีกหน่อย อาวุธเวทของข้าต้องไม่สามารถทัดทานได้แน่”


 


 


สิ่งที่นางพูดทำให้อีกสามคนขมวดคิ้ว พวกเขาเคยเผชิญกับลมพายุด้วยตัวเองมาก่อนแล้วพวกเขาจึงรู้ว่ามันเลวร้ายแค่ไหน ตอนนี้คู่รักเหยาใช้ยาครอบจักรวาลของพวกเขาไปจนหมดและกำลังขาดแคลนพลังทางจิตวิญญาณ ถ้าพวกเขายังคงไปต่อ แม้แต่การปกป้องตัวพวกเขาเองก็คงจะยากแน่ สำหรับชาวเต๋าฟางเจิ้ง เขาอาจมีแรงเหลืออยู่บ้าง แต่หากโม่เทียนเกอไม่สามารถทนต่อได้และพวกเขาสูญเสียการป้องกันจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาว เขาเองก็คงไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้รอดชีวิตจากลมพายุพวกนั้นได้เช่นกัน


 


 


ขณะที่พวกเขายังลังเล ลมพายุอีกระลอกได้พัดเข้ามาใหม่ ครั้งนี้โม่เทียนเกอเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว นางใช้จิตสัมผัสของนางโดยตรงเพื่อควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวให้มั่นคง ถึงอย่างนั้นลมพายุระลอกนี้ก็ยิ่งรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ไม่ว่าจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอจะทรงพลังแค่ไหน นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงคำว่า “ใจยังสู้แต่ร่างกายทนไม่ไหว” นางรีบตัดสินใจทันทีและตะโกน “ไม่ได้การแล้ว! เราต้องกลับไป!”


 


 


ชาวเต๋าฟางเจิ้งแสดงให้เห็นสีหน้าขัดแย้ง “งั้น… เราก็น่าจะถึงก้นหุบเขาเร็วๆ นี้ใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอขึ้นเสียง “ถ้ามีอีกระลอกเข้ามา ข้ารับไม่ไหวแน่! สหายแห่งเต๋าฟางเจิ้ง เจ้ารับประกันได้หรือว่าเจ้าสามารถไปต่อได้”


 


 


คำพูดของนางทำให้ชาวเต๋าฟางเจิ้งเงียบ ระดับการฝึกตนของเขาต่ำกว่าโม่เทียนเกอเล็กน้อย ถ้าแม้แต่โม่เทียนเกอยังไม่สามารถไปต่อได้ เขาก็ไม่น่าจะทำได้แน่นอน


 


 


การจู่โจมของลมพายุอีกชุดหนึ่งพัดเข้ามา ใบหน้าของซางหรูหว่านซีดเผือดและ “อุก” นางกระอักเลือดออกมา


 


 


เหยาจื่อซิวตกใจกลัว “น้องหว่าน!” 

 

 


ตอนที่ 156-2 เข้าสู่หุบเขา

 

โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรและควบคุมกระบี่บินของนางไปอีกทางทันที ถ้านางยังไปต่อเช่นนี้ ความประมาทแค่นิดเดียวอาจทำให้นางต้องเสียชีวิตที่นั่นก็เป็นได้ นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนเดี่ยว นางเข้าโรงเรียนและมีท่านอาจารย์ ทักษะของนางโดดเด่นและนางก็ไม่ได้ขาดแคลนยาวิเศษ ต่อให้นางไม่ได้ครอบครองสมบัติพิเศษชิ้นนี้ ซึ่งการมีอยู่ของมันยังคงน่าสงสัย นางก็ยังมีโอกาสที่จะบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้อยู่ดี การต้องตายไปกับสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงหมายความว่านางสูญเสียมากกว่าที่นางได้รับ!


 


 


เมื่อเห็นนางเปลี่ยนทิศทาง ฟางเจิ้งร้องเรียก “สหายเยี่ยแห่งเต๋า!” เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ยอมล้มเลิก


 


 


โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชา “เราจะตายอยู่ที่นี่กันหมดถ้าเราไม่กลับไป! ไม่ว่าสมบัติจะดีสักแค่ไหน แต่เราก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อดื่มด่ำกับมันสิ”


 


 


ใบหน้าของชาวเต๋าฟางเจิ้งแดงก่ำ แต่ท้ายที่สุดเขาก็นิ่งเงียบ ไม่เหมือนกับคนพวกนี้ เขาไม่มีเวลาในช่วงอายุขัยเหลืออยู่อีกมากนัก ดังนั้นเขาจึงอยากได้รับโอกาสดีๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาทำให้สาวน้อยคนนี้ขุ่นเคืองใจตอนนี้ เขาจะต้องเสียการคุ้มครองจากอาวุธเวทของนางและจะต้องตายอยู่ที่นี่!


 


 


เขาเพ่งมองที่ก้นหุบเขาซึ่งสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ


 


 


เหยาจื่อซิวก็ไม่เต็มใจพอๆ กับเขา ซางหรูหว่านที่ยืนอยู่ข้างเขาพูดอย่างแผ่วเบา “พี่ซิว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราทั้งสองคนปลอดภัย”


 


 


เหยาจื่อซิวนิ่งเงียบเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะส่งเสียง “อืม” เบาๆ


 


 


พวกเขาเหาะขึ้นด้วยความเงียบสงัด ในที่สุดลมพายุก็อ่อนกำลังลง ทำให้ทั้งสี่คนค่อยคลายความตึงเครียดที่พวกเขารู้สึกเมื่อก่อนหน้านี้


 


 


อย่างไรก็ตาม จู่ๆ ก็มีเสียงดังกระหึ่ม คู่รักเหยาเงยหน้าขึ้นมองแต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ตัวซีดไปด้วยความหวาดกลัว “สหายแห่งเต๋า!”


 


 


โม่เทียนเกอมองขึ้นไปตามสายตาของพวกเขา ดวงตาของนางเบิกโพลงทันที


 


 


ส่วนหนึ่งของภูเขาระเบิดออกเพราะลมพายุและกำลังตกลงมาทางพวกเขา!


 


 


“น้องเหยา! สกัดมันไว้ เร็ว!” ชาวเต๋าฟางเจิ้งตะโกน


 


 


ในที่สุดคู่รักเหยาก็ตอบสนอง พวกเขารีบประกบมือกันและทำท่ามุทรา ในไม่ช้าเกราะป้องกันก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวทุกคน


 


 


กำแพงอิฐของผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเพียงแค่ปกคลุมสี่ด้าน ไม่สามารถบังหินที่ตกมาจากด้านบนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหวังพึ่งเกราะป้องกันอันนี้


 


 


ใจของโม่เทียนเกอหล่นวูบ ไม่มีเวลามาคิดถึงอะไรอื่นอีก นางคลำหายาวิเศษในกระเป๋าเอกภพซึ่งนางเอาเข้าปากทันที ในวินาทีถัดมา นางรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่สะท้านไปทั่วทั้งร่างของนาง หินเหล่านั้นกำลังตกลงมาใส่พวกเขาแล้ว!


 


 


เมื่อระลอกแรกของหินตกลงมา คู่รักเหยาสามารถจะสกัดกั้นพวกมันไว้ได้ด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเผชิญกับระลอกที่สอง เกราะป้องกันสั่นสะท้านและแสงบนพื้นผิวของมันริบหรี่ลง เมื่อระลอกที่สามเข้ามา เกราะป้องกันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในที่สุด


 


 


ทันใดนั้นโม่เทียนเกอเสียการควบคุมกำแพงอิฐอย่างกะทันหัน นางรีบประกบมือทันทีทำให้กำแพงทั้งสี่ด้านเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นผ้าเช็ดหน้าไหมขาว จากนั้นนางทำท่ามุทราด้วยความพยายามจะหนีเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางแต่โชคร้ายที่นางไม่สามารถทนได้ ในชั่วพริบตา นางถูกดูดเข้าไปในลมพายุบ้าระห่ำ…


 


 



 


 


ไม่ชัดเจนนักว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดก่อนที่โม่เทียนเกอจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติอีกครั้ง


 


 


เจ็บ… ทั่วทั้งร่างของนางปวดไปหมด…


 


 


หลังจากที่นางหลับตาและปล่อยให้พลังทางจิตวิญญาณไหลไปตามทุกตารางนิ้วของเส้นลมปราณแล้วเท่านั้นที่ความเจ็บปวดในร่างกายนางค่อยๆ ลดลงเล็กน้อย


 


 


หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายนางก็พอจะมีแรงกลับมาบ้างและค่อยๆ พยุงตัวขึ้นในท่านั่งอย่างช้าๆ


 


 


นางหันไปเพื่อตรวจดูสภาพรอบตัว ภาพที่อยู่ตรงหน้านางทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ


 


 


ภายใต้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างสดใส มีหญ้าเขียวชอุ่มอยู่ทุกที่ สายลมเย็นพัดอย่างอ่อนโยนและกระแสน้ำในลำธารทำให้เกิดเสียงคลื่นกระทบ นี่เป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับแดนสววรค์


 


 


นางเริ่มคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะหมดสติ


 


 


นางพบกับพลังทางจิตวิญญาณผันผวน ตามหาแหล่งที่มาของมัน เข้าไปในหุบเขากับคู่รักเหยาและชาวเต๋าฟางเจิ้ง เผชิญกับกระแสลมพายุโหม… สุดท้ายนางต้องการเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแต่นางไม่สามารถทำได้ทันเวลา นางถูกดูดเข้าไปในพายุและหมดสติไป


 


 


นางสำรวจร่างกายเพื่อตรวจสภาพและพบว่านางไม่มีบาดแผลใดๆ ทั้งตานเถียนและเส้นลมปราณของนางแข็งแกร่งมาก มันจึงไม่ได้รับความเสียหายอะไร สาเหตุที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บภายนอกก็เป็นเพราะนางใส่เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์อยู่ เครื่องมือเวทชิ้นนี้คือสิ่งที่ฉินซีโขมยมาจากโถงกุยหยวนของสำนักอวิ๋นอู้และมอบให้นางพร้อมกับไม้หลบลี้หนีหล้าเมื่อพวกเขาออกจากเขาอวิ๋นอู้ ไม้หลบลี้หนีหน้าเคยช่วยชีวิตนางมาแล้วครั้งหนึ่ง และตอนนี้เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์ตัวนี้ก็ยังช่วยชีวิตนางไว้อีก…


 


 


โม่เทียนเกอสะกดกลั้นความรู้สึกว้าวุ่นเหล่านั้นไว้แล้วจึงยืนขึ้นจากพื้น


 


 


ที่จริงแล้วนี่คือหุบเขา แต่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหุบเขาเดิมที่ปกคลุมไปด้วยหมอกและเต็มไปด้วยอากาศพิษกับลมพายุบ้าคลั่ง นี่มันสถานที่แบบไหนกัน นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร


 


 


หลังจากเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาและขึ้นไปบนผ้า นางบินล่องลอยอยู่กลางอากาศ จากกลางอากาศ นางเห็นได้ว่านี่คือหุบเขารูปตัวที มีกำแพงหินสูงชันอยู่โดยรอบ นอกจากบินขึ้นไปนางก็ไม่เห็นทางออกทางอื่นอีก ฉะนั้นโม่เทียนเกอจึงบินขึ้นไปใกล้กับกำแพงหินอย่างระมัดระวัง


 


 


นางไม่รู้ว่าตอนนี้คู่รักเหยาและชาวเต๋าฟางเจิ้งเป็นอย่างไร คู่รักเหยาอยู่ด้วยกันและชาวเต๋าฟางเจิ้งก็มีประสบการณ์มาก คาดว่าพวกเขาคงมีวิธีการปกป้องตัวเองอยู่บ้างล่ะ ที่นี่สวยจนแทบหยุดหายใจ พืชพันธุ์ต่างๆ เชียวขจีและมีสัตว์ตัวน้อยไร้พิษสงผ่านไปมาเป็นครั้งคราว มันไม่น่าจะมีอะไรอันตรายที่นี่ จริงไหม


 


 


ขณะที่สายตาของโม่เทียนเกอกวาดมองไปรอบบริเวณข้างใต้นาง จู่ๆ นางก็พบเข้ากับของสีดำ นางหน้านิ่วคิ้วขมวดและเหาะลงไปทางนั้น


 


 


สิ่งนั้น… ดูเหมือนกับกองก้อนหิน ขณะที่นางเข้าไปใกล้ขึ้น นางก็เห็นมันได้ชัดเจนขึ้น มันดูเหมือนจะเป็น… รูปปั้นหิน!


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีและเหาะลงไปต่อ การมีอยู่ของรูปปั้นหินบ่งบอกว่าที่นี่มีมนุษย์อยู่ ในเมื่อที่นี่มีมนุษย์อยู่ นางก็จะสามารถถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ได้และถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่


 


 


เมื่อนางร่อนลงที่พื้น นางจ้องมองที่รูปปั้น


 


 


รูปปั้นนั้นสูงหลายร้อยฟุต จากหน้าตาและท่าทาง มันดูเหมือนจะเป็นรูปปั้นผู้หญิง ผมของนางเกล้าขึ้นเป็นมวยสูงและมีปิ่นปักผมนกฟีนิกซ์ปักอยู่ เครื่องแต่งกายของนางค่อนข้างแปลก ส่วนบนของชุดนั้นสั้น มันห่อหุ้มร่างกายท่อนบนอย่างแน่นหนาแต่ปล่อยไหล่เปลือยเปล่า ส่วนล่างของชุดที่จริงเป็นกระโปรงยาว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่รูปปั้น แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่สดชื่นและสง่างาม


 


 


เสื้อผ้าพวกนี้… ดูเหมือนจะเป็นชุดจากหลายพันปีก่อน! ผู้หญิงเมื่อหลายพันปีก่อนไม่เหมือนกับผู้หญิงสมัยปัจจุบันที่ต้องปกปิดตัวเองให้มิดชิด พวกนางเปิดไหล่เพื่อให้ดูสวย พวกนางชอบใส่กระโปรงยาวที่พริ้วไหวและทำให้พวกนางดูเหมือนเทพธิดา เหมือนกับนางอัปสรโบยบินในภาพวาด


 


 


โม่เทียนเกอพินิจดูรูปปั้นหินนี้อย่างตั้งใจ มีตะไคร่ขึ้นทั่วทั้งรูปปั้น ดูเหมือนมันถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานแล้ว นางรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง ดูเหมือนว่าคนจากหุบเขานี้น่าจะย้ายถิ่นฐานไปแล้ว


 


 


ภายใต้รูปปั้นหินมีแท่นยกสูงที่ทำจากหินซึ่งดูเหมือนจะเป็นแท่นบูชา แต่มีวัชพืชกำลังโตอยู่ในกระถางธูป


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วทันทีและวางมือลงบนกระถางธูปที่อยู่บนแท่นบูชาหิน นางผลักมันเบาๆ และทันใดนั้นพลังทางจิตวิญญาณจางๆ ก็แผ่กระจายออกมา 

 

 


ตอนที่ 157 คู่รักเหยา

 

โม่เทียนเกอพบว่ากระถางธูปบนแท่นบูชามีพลังงานทางจิตวิญญาณ ก็รู้สึกดีใจมาก 


 


 


เห็นได้ชัดว่าหุบเขานี้เป็นหุบเขาธรรมดา ดอกไม้ พืชพรรณ ต้นไม้ ทุกอย่างที่นี่ไม่มีพลังงานทางจิตวิญญาณ ในเมื่อกระถางธูปนี้มีพลังงานทางจิตวิญญาณอย่างไม่น่าเชื่อ มันก็ต้องมีอะไรแปลกผิดธรรมดาแน่นอน!  


 


 


หลังจากสำรวจดูอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดโม่เทียนเกอจึงเสกคาถาเพื่อเคลื่อนกระถางธูปออกไป สุดท้ายนางก็พบแหล่งที่มาของการผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณจนได้ 


 


 


โม่เทียนเกอบินสูงขึ้นไปในอากาศแล้วจึงมองลงมาที่ฉากเบื้องล่าง แท่นบูชา รูปปั้นหิน ต้นไม้สูงที่ล้อมรอบ… เห็นได้ชัดว่านี่คือม่านพลัง! ม่านพลังซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณหลังจากพัฒนาแล้ว!  


 


 


รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้านาง ม่านพลังก็มีอยู่ในโลกมนุษย์เช่นกัน ม่านพลังพวกนั้นไม่ต้องการพลังงานทางจิตวิญญาณแต่มันถูกพัฒนาขึ้นจากม่านพลังที่อยู่ในโลกแห่งการฝึกตน หน้าที่ของมันก็แค่เพื่อรบกวนความสามารถในการตัดสินของมนุษย์ หากผู้ฝึกตนใช้จิตสัมผัสและเวทมนตร์ ก็จะสามารถทำลายม่านพลังแบบนั้นได้เป็นธรรมดา 


 


 


นางประกบมือและร่ายมนตร์ ในชั่วพริบตา กระถางธูปบนแท่นบูชาก็ระเบิด เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน จู่ๆ พลังงานทางจิตวิญญาณก็พุ่งขึ้นสูงสู่ฟ้า ทันใดนั้นภาพทิวทัศน์รอบๆ ตัวนางเปลี่ยนไปและท้องฟ้ามืดมิดลง 


 


 


โม่เทียนเกอมองขึ้นไปและมองรอบๆ รอยย่นคิ้วปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง 


 


 


ม่านพลังภายในม่านพลัง!  


 


 


ครั้งนี้ม่านพลังเป็นม่านพลังที่แท้จริงจากโลกแห่งการฝึกตน รูปปั้นหินและแท่นบูชาที่นางเห็นอยู่เมื่อครู่นี้หายวับไป สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่พื้นที่รกร้างว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง 


 


 


ผิดแล้ว นี่คือภาพลวงตา!  


 


 


ขณะที่คว้ากระสวยอัปสราในมือนาง โม่เทียนเกอก็เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาอีกครั้ง ในชั่วอึดใจนางก็บินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมทำมือท่ามุทรา 


 


 


หลังจากทำท่ามุทราที่ซับซ้อนอย่างมากอยู่หลายครั้ง เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณถูกปล่อยออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


ในค่ำคืนอันมืดมิด นางได้ยินเสียงที่ดูเหมือนจะเป็นเสียงโหยหวนครวญร้องของภูตผีที่อาฆาตแค้น ไม่นานหลังจากนั้น เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณหลายเส้นถูกส่งโต้กลับมาที่นาง 


 


 


มือนางสั่นระริก นางเริ่มใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว มันเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นกำแพงอิฐสี่ด้านซึ่งตกลงรอบตัวนาง สกัดกั้นการโจมตีกลับเหล่านี้ได้อย่างหมดจด ในวินาทีถัดมา นางเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลับมาและใช้กระสวยอัปสรา มันกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ของนาง 


 


 


เสียง ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก เบาๆ หลายครั้งตามมา ทั่วบริเวณจมดิ่งลงในความเงียบสงัดและท้องฟ้าสว่างขึ้น 


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอก นางไม่รู้ว่าม่านพลังนี้ตามจริงแล้วอายุเก่าแก่แค่ไหน แต่ดูเหมือนมันจะอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายพันปี พลังงานทางจิตวิญญาณของมันอ่อนอยู่แล้ว และพลังของมันก็ลดลงอย่างมาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมนางถึงทำลายมันได้ง่ายดายนัก อย่างไรก็ตาม ดูจากวิธีการที่ใช้วางม่านพลัง นางประเมินได้ว่าด้วยพลังดั้งเดิมของมัน บางทีแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็อาจถูกกักขังอยู่ข้างในได้นานพอตัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่วางม่านพลังนี้ก็เป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เช่นกัน 


 


 


โม่เทียนเกอสันนิษฐานเช่นนี้ในใจ แล้วสำรวจรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวัง 


 


 


เนื่องจากม่านพลังถูกทำลายลงแล้ว ภาพทิวทัศน์จึงกลับไปเป็นตามแบบเดิม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีทางเข้าถ้ำอยู่ภายใต้กระถางธูป กำลังปล่อยพลังงานทางจิตวิญญาณกระเพื่อมออกมา 


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าในหุบเขานี้ไม่มีเส้นเลือดวิญญาณ แล้วปากถ้ำนี้ปล่อยพลังงานทางจิตวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น การผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณ… ก็เหมือนกับที่นางรู้สึกตอนก่อนหน้านี้!  


 


 


เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอก็ค่อยๆ เดินเข้าไปทางปากถ้ำอย่างระมัดระวัง นางใช้คาถาเพื่อตรวจสอบดูภายในถ้ำก่อนจากนั้นนางจึงจับสัตว์ตัวเป็นๆ และเอามันใส่เข้าไปในถ้ำ เมื่อนางแน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติอะไร สุดท้ายนางจึงเดินเข้าไปในถ้ำช้าๆ  


 


 


ปากถ้ำนี้แคบมาก ดูเหมือนมีขนาดพอให้คนเดินผ่านเข้าไปทีละคนเท่านั้น นางเดินไปตามบันไดหิน ค่อยๆ ลงไปทีละขั้นจนกระทั่งนางมาถึงโถงกว้างในที่สุด ครั้นแล้วโม่เทียนเกอก็ดีดนิ้วก่อให้เกิดเปลวไฟสว่างขึ้นที่ปลายนิ้ว ด้วยสายตาผู้ฝึกตน นางยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในความมืดได้แต่ก็เพียงส่วนน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากมีไฟนางก็จะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น 


 


 


โม่เทียนเกอแหงนมองไปรอบๆ โถงนี้ซุกซ่อนอยู่ในกำแพงหินและดูเหมือนเป็นถ้ำเซียน หรือว่าบางทีนี่อาจจะเป็นถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนสมัยอดีตกาล นางรู้สึกตื่นเต้นชั่วครู่แต่แล้วนางก็คิดว่าผิดแล้ว! รูปปั้นหินตรงนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นรูปของใครบางคนจากเมื่อหลายพันปีก่อน ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนสมัยอดีตกาล 


 


 


นางเดินผ่านโถง ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ตามทางเดินหิน โถงนี้มืดมากแต่พลังงานทางจิตวิญญาณภายในก็หนาแน่นมากเช่นกัน โม่เทียนเกอได้ข้อสรุปแล้ว นี่ต้องเป็นเส้นเลือดวิญญาณเส้นเล็กซึ่งถูกปิดผนึกไว้ด้วยม่านพลังโดยพวกมนุษย์ ดูเหมือน… จะเป็นถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนคนนี้อย่างน้อยๆ ต้องอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่เป็นแน่!  


 


 


เมื่อสรุปได้เช่นนี้ โม่เทียนเกอก็รู้สึกสนใจขึ้นมาในที่สุด ในเมื่อม่านพลังยังคงอยู่ ถ้ำเซียนแห่งนี้ก็ไม่น่าถูกทิ้งไว้ หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปได้มากว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ตายอยู่ในถ้ำเซียนแห่งนี้ แล้วถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ตายแล้วหมายถึงอะไรน่ะหรือ ต้องมีความร่ำรวยที่สั่งสมมาของผู้ฝึกตนคนนั้นอยู่ภายในอย่างแน่นอน!  


 


 


โม่เทียนเกอเอากระสวยอัปสราออกมาหมุนรอบตัวนางเป็นการป้องกัน ตอนนี้นางยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิมเมื่อนางสรุปได้เช่นนั้น 


 


 


ทางเดินหินนี้ทอดยาวและมืดสนิท โม่เทียนเกอยังคงเดินต่อไปสักพัก ทว่าจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าเลือดเย็นเฉียบด้วยความกลัว ถึงแม้ตอนนี้นางจะถูกพวกมนุษย์มองว่าเป็นเซียน แต่ใจนางก็ยังรู้สึกกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ นางนึกถึงการผจญภัยในอดีตของนางที่มีแต่การตายหมู่ นางไม่เคยผ่านสถานการณ์ที่นางต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิดที่ไม่แน่นอนด้วยตัวคนเดียวมาก่อน 


 


 


ภายในความมืด นางได้ยินเพียงเสียงหายใจแผ่วเบา เสียงหายใจของนางซึ่งปกติแล้วไม่สามารถได้ยินได้ กลับเสียงดังผิดปกติในความเงียบงันที่สุดนี้ สิ่งที่นางพอจะมองเห็นได้จำกัดอยู่แค่เปลวไฟเล็กๆ ที่ปลายนิ้วของนางขณะที่ทุกอย่างถูกบดบังไว้ด้วยความมืดมิด นี่ยิ่งทำให้สถานการณ์ทั้งหมดยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นไปอีก 


 


 


เมื่อตระหนักว่าสภาวะจิตของนางกำลังย่ำแย่ลง โม่เทียนเกอหลับตาและทำท่ามุทรา ทันใดนั้นแสงสว่างจ้าระเบิดออกจากพื้นที่ตรงหว่างคิ้วของนาง และในชั่วพริบตา นางก็เข้ามาอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน 


 


 


ชั่วขณะที่นางได้เห็นกระท่อมไม้ไผ่และลำธารที่คุ้นเคย ในที่สุดนางก็พอจะกลับมาสงบจิตใจได้อีกครั้ง 


 


 


ขณะที่นางนั่งอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ โม่เทียนเกอส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าสภาวะจิตของนางยังไม่เข้มแข็งมากพอ หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องเกิดปัญหาเมื่อนางเผชิญกับมารภายในจิตใจในระหว่างการก่อแก่นขุมพลังแน่ โชคดีที่นางออกมาเพื่อหาประสบการณ์ในชีวิตจริง มิเช่นนั้นถ้านางหวังพึ่งแต่คำแนะนำของท่านอาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของนาง นางคงไม่ได้ค้นพบปัญหานี้ด้วยซ้ำไป 


 


 


โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิ เริ่มควบคุมลมปราณจากนั้นเคลื่อนพลังงานทางจิตวิญญาณไปตามวงโคจรจุลจักรวาล เพียงหลังจากที่นางมั่นใจแล้วว่าสภาวะจิตของนางสงบนิ่ง นางจึงเตรียมตัวที่จะออกไปและสำรวจถ้ำต่อ 


 


 


แต่ทว่าก่อนนางจะร่ายคาถา จู่ๆ นางก็หยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน 


 


 


เสียงฟังคลุมเครือส่งผ่านมาจากภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน “พี่ซิว เราพักกันก่อนเถอะ”  


 


 


นี่คือเสียงซางหรูหว่าน โม่เทียนเกอทำมือมุทราแล้วจึงทำท่าชี้ ไม่นานหลังจากนั้น เสียงจึงฟังชัดเจนขึ้นทันที 


 


 


“พี่ซิว!” ซางหรูหว่านหายใจหอบอย่างหนัก ประหนึ่งว่ากำลังเหนื่อยระโหยโรยแรง ด้วยระดับการฝึกตนของนางในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรให้นางต้องรู้สึกเหนื่อย หรือว่าบางทีนางอาจจะบาดเจ็บ 


 


 


เวลาสักพักผ่านไปก่อนที่ในที่สุดนางจะได้ยินเสียงของเหยาจื่อซิว “น้องหว่าน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”  


 


 


ซางหรูหว่านยังคงหายใจอย่างหนักหน่วงสักพักแต่นางก็ค่อยๆ หายใจได้ดีขึ้นทีละน้อย นางพูดว่า “พี่ซิวจะรีบไปทำไม”  


 


 


โม่เทียนเกอได้ยินความไม่พอใจซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนาง 


 


 


เหยาจื่อซิวพูด “เราหนีจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิดและตอนนี้เราก็พบว่ามีถ้ำเซียนที่นี่ซึ่งอาจจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ข้างใน แน่นอนว่าข้าต้องรีบสิ หากเราปล่อยให้นักพรตฟางเจิ้งและผู้ฝึกตนหญิงแซ่เยี่ยคนนั้นเจอสถานที่นี้ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้ส่วนแบ่งทรัพย์สมบัตินี้เช่นนั้นหรือ”  


 


 


“ก็ช่างปะไร!” ซางหรูหว่านฟังดูค่อนข้างรำคาญ “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าแค่อยู่กับข้าก็เพียงพอแล้ว ถ้าเราอยู่ด้วยกันได้ จะเป็นอะไรไปถ้าเราไม่ได้สมบัตินี้”  


 


 


เหยาจื่อซิวใช้เวลาพักหนึ่งก่อนจะตอบได้ “น้องหว่าน! ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน! ในที่สุดเราก็หนีมาได้หลังจากผ่านความยากลำบากมามาก เราจะทำอย่างไรถ้าเราโดนจับได้อีกครั้งเล่า หลังจากหลายปีที่ผ่านมานี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าหากไม่มีระดับการฝึกตนสูงและพละกำลัง เราก็จะไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสิ่งไหนทั้งนั้น! ย้อนไปตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะระดับการฝึกตนของข้าต่ำเกินไป พ่อเจ้าก็คงไม่ต้องไปหมั้นหมายเจ้าให้กับคนอื่น! ถ้าไม่ใช่เพราะเราอ่อนแอเกินไป เราก็คงไม่ต้องหลบซ่อนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งและหนีมายังโลกมนุษย์ตลอดหลายปีมานี้หรอก! น้องหว่าน เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ในโลกแห่งการฝึกตน พละกำลังคือรากฐานของทุกสิ่ง หากไม่มีพละกำลัง ก็จะเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าเราจะต้องการมากแค่ไหนก็ตาม!”  


 


 


“หาได้มีอะไรยากแม้แต่น้อย!” มีความโมโหอยู่ในน้ำเสียงซางหรูหว่าน “หากเรามองหาสถานที่ลับและใช้ชีวิตปลีกวิเวกกันที่นั่น พ่อข้าและคนอื่นๆ อาจตามหาเราจนกระทั่งพวกเขาตายและพวกเขาก็ยังไม่สามารถหาเราเจอได้!” หลังจากนางพูดเช่นนั้น ก็ลดน้ำเสียงให้อ่อนลงอีกครั้ง “พี่ซิว เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้ ทำไม…”  


 


 


“อย่าถามข้าว่าทำไม!” เหยาจื่อซิวตะโกน 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกตกใจ นางใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะหนึ่งและรู้สึกกังวลเล็กน้อย นางชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้ว 


 


 


ไข่มุกปรากฏขึ้นทันใดจากตรงหว่างคิ้วของนาง นางร่ายมนตร์ใส่ ทันทีหลังจากนั้นรอยแยกก็ปรากฏขึ้นในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ตอนนี้ในที่สุดนางก็มองเห็นคู่รักเหยากำลังยืนอยู่บนทางเดินหิน 


 


 


เห็นได้ชัดว่าซางหรูหว่านเองก็ตกใจกับเสียงตะโกนของเหยาจื่อซิวเช่นกัน นางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ ทว่าไม่ช้าเหยาจื่อซิวก็ผ่อนคลายสีหน้าลงและพูดต่ออย่างอ่อนโยน “น้องหว่าน ข้าอยากมอบความสุขให้กับเจ้า ไม่ใช่ต้องซ่อนเจ้าไว้ทุกที่ ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งข้าจะสามารถพาเจ้ากลับบ้านได้แบบเหมาะสมและเปิดเผย และให้พ่อเจ้ากับคนอื่นๆ ได้รู้ว่าเจ้าตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกข้า!”  


 


 


ซางหรูหว่านดูซาบซึ้งใจหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด “พี่ซิวหาได้จำเป็นต้องทำเช่นนั้นไม่ ข้าบอกตั้งนานแล้วว่าข้าไม่สนใจว่าระดับการฝึกตนของพี่จะเป็นอย่างไร สำหรับข้า ตราบใดที่ข้าได้อยู่กับพี่ นั่นก็เพียงพอแล้ว…”  


 


 


“ไม่ได้ น้องหว่าน” เหยาจื่อซิวยังคงดึงดัน “ข.. ข้าไม่อาจเป็นผู้ชายไร้ค่าเช่นนั้นได้ ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่พ่อเจ้าพูดเมื่อปีนั้นก็จะกลายเป็นความจริง ข้ามีเพียงแค่รากวิญญาณสามธาตุ ข้าเกือบจะสร้างฐานแห่งพลังงานไม่สำเร็จด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแอบให้ยาสร้างฐานแห่งพลังของเจ้ากับข้า ข้าก็ไม่แน่ใจว่าข้าจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังงานได้หรือไม่… ข้าอยากจะพิสูจน์ให้พ่อเจ้าเห็นว่าถึงแม้ต้นทุนของข้าจะไม่ดี แต่ข้าก็ยังทำได้…”  


 


 


ถึงตอนนี้โม่เทียนเกอพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับคู่รักเหยาคู่นี้ 


 


 


สองคนนี้ไม่ได้กลายมาเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวเพราะตระกูลของพวกเขาตกต่ำ ในทางตรงข้าม พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่หนีจากตระกูลมาต่างหาก สิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับโตมาเป็นเพื่อนวัยเด็กด้วยกันก็อาจจะจริง พวกเขาโตมาด้วยกันและความรู้สึกก็พัฒนาไปเป็นความรัก อย่างไรก็ตาม เพราะต้นทุนของเหยาจื่อซิวธรรมดา บิดาซางหรูหว่านจึงไม่เห็นว่าเขาคู่ควรและไม่ยอมให้พวกเขาคบกัน ท้ายที่สุดซางหรูหว่านและเหยาจื่อซิวจึงหนีตามกันไป 


 


 


บางทีอาจจะมีผิดไปบ้างในรายละเอียด แต่โดยรวมแล้วนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น 


 


 


อย่างไรก็ตาม การได้ยินความหมายเบื้องหลังคำของเหยาจื่อซิวทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกถึงลางไม่ดี แต่ซางหรูหว่านที่อยู่ตรงนั้นอาจจะไม่ทันสังเกตเจตนาแอบแฝงของเหยาจื่อซิวก็เป็นได้ 


 


 


เขาบอกว่าเขาอยากมอบความสุขให้กับซางหรูหว่าน แต่สายตาของเขาเป็นประกายเมื่อซางหรูหว่านไม่ได้มอง ชายผู้นี้คงไม่สามารถทนวันเวลาที่เขาไม่มีอะไรนอกจากความรักได้อีกแล้ว ใช่หรือไม่ 


 


 


รอยยิ้มเยาะจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอ แต่นางยังคงฟังบทสนทนาของพวกเขาต่อไป 


 


 


ท้ายที่สุดแล้วซางหรูหว่านก็ถูกโน้มน้าวสำเร็จ นางเอนตัวซบลงบนอกเหยาจื่อซิวและพูดอย่างอ่อนโยน “พี่ซิว ไม่ต้องกังวลไป ตอนทางเข้ามาที่นี่เราไม่เห็นร่องรอยของคนอื่น เราน่าจะเป็นพวกเดียวที่เจอถ้ำนี้ เอ… ข้าชอบน้องเยี่ยคนนั้นจริงๆ นะ ข้าสงสัยว่านางรอดชีวิตหรือไม่…”  


 


 


“วางใจเถอะ ระดับการฝึกตนของแม่หญิงผู้นั้นสูงกว่าพวกเรา ข้าเกรงว่าต่อให้เราร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจเอาชนะนางได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีสมบัติทางจิตวิญญาณอีกด้วย นางน่าจะไม่เป็นอะไร”  


 


 


“คือ…”  


 


 


เหยาจื่อซิวพูด “ข้าสงสัยจริงว่าสหายนักพรตเยี่ยตัวจริงคือใคร เจ้าบอกว่า… เจ้าคิดว่านางอายุเท่าไรนะ”  


 


 


ซางหรูหว่านใช้เวลาคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ถึงแม้น้องสาวคนนั้นจะมีท่าทางมั่นคงและมีวิธีที่แน่วแน่ในการรับมือกับสิ่งต่างๆ แต่เราก็ยังบอกได้ว่านางยังคงเป็นสาวน้อยด้วยการมองแค่ปราดเดียว หากเจ้าให้ข้าทายอายุของนางแบบตรงเผง คงทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นางต้องอายุน้อยกว่าแปดสิบปีแน่”  


 


 


“น้อยกว่าแปดสิบปี…” บางสิ่งวูบวาบอยู่ในสายตาของเหยาจื่อซิว เขาพึมพำเบาๆ “นางเด็กขนาดนั้นแต่ก็เข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว… หากโชคดี บางทีนางอาจก่อขุมพลังของนางได้ภายในอีกร้อยปีข้างหน้า จริงหรือไม่ ดูเหมือนว่านางจะเป็นศิษย์หัวกะทิของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ จริงเสียด้วย”  


 


 


“นางน่าจะเป็นเช่นนั้น” ซางหรูหว่านบอก “สมบัติทางจิตวิญญาณที่นางมีนั้นเหนือชั้นเกินกว่าของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานคนอื่นไปมาก ดังนั้นนางย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกตนเดี่ยวแน่ ข้าเกรงว่ากลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ก็ไม่สามารถเลี้ยงดูผู้ฝึกตนเช่นนางได้”  


 


 


เหยาจื่อซิวพยักหน้าอยู่ภายใน สายตาเขาดูเหมือนเขากำลังครุ่นคิดบางอย่าง “ถ้าเช่นนั้นนี่ก็ถือได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์…”  


 


 


“ว่าอย่างไรนะ” ซางหรูหว่านไม่ได้ยินเขาชัดเจนนัก 


 


 


เหยาจื่อซิวรีบยิ้ม “ไม่มีอะไรน้องหว่าน ตอนนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ เราไปต่อกันได้หรือยัง”   

 

 


ตอนที่ 158-1 วันนี้ชีวิตนิรันดร์

 

​​​​​​​เมื่อคู่รักเหยาทั้งสองคนเดินผ่านไปไกลแล้ว โม่เทียนเกอกดที่ช่องว่างระหว่างคิ้วของนางและในวินาทีถัดมานางก็ได้ออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางจ้องมองไปยังเส้นทางที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปและจมอยู่ในห้วงพินิจพิเคราะห์


 


 


ซางหรูหว่านอาจจะมองไม่เห็น แต่โม่เทียนเกอมองเห็นได้อย่างชัดเจน สายตาเหยาจื่อซิวเลิ่กลั่กเวลาพูด สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้ตรงกับความรู้สึกของเขาอย่างแน่นอน ยามเขาพูดเกี่ยวกับโม่เทียนเกอ สายตาเขาหมายความถึงอย่างอื่น ถึงแม้ว่าซางหรูหว่านค่อนข้างละเอียดในการสังเกตผู้อื่น แต่นางเชื่อสามีของนางโดยสนิทใจ ดังนั้นนางก็คงจะไม่ทันได้สังเกตถึงสิ่งนั้น


 


 


อนิจจา จากบทสนทนานั้น พวกเขาจะต้องตกหลุมรักซึ่งกันและกันมาก มากจนกระทั่งพวกเขาต่างไม่สนใจในความคิดเห็นของคนอื่น ด้วยการหนีตามกันออกจากตระกูลมา ใครจะไปคิดว่าหลังจากอยู่ด้วยกันในสถานะคู่รัก การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะเกิดขึ้นในคู่ของพวกเขา เหยาจื่อซิวจะต้องมีความรู้สึกที่ไม่พอใจอยู่ภายในใจเขาอย่างแน่นอน ผู้ฝึกตนจะเลิกฝึกตนได้อย่างไร ตอนที่พวกเขาหนีตามกัน บางทีความรู้สึกของเขานั้นคงเต็มไปด้วยความจริงใจ ทว่าในภายหลัง เขากลายเป็นคนที่ไม่ต้องการจะคงอยู่เช่นนั้นตลอดชีวิตอีกต่อไป เขายังต้องการให้ระดับการฝึกตนของเขาสูงขึ้นไปยังดินแดนถัดไป สิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร ‘ข้าสามารถพาเจ้ากลับไปได้อย่างถูกต้องและเปิดเผย’ ล้านเป็นคำโกหกทั้งสิ้น ความตั้งใจหลักของเขาคือเพิ่มพลังให้กับตัวเอง


 


 


หลังจากที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจึงส่ายหัว นี่เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนาง ทว่าซางหรูหว่านช่างน่าสงสาร ถึงแม้ระดับการฝึกตนของนางนั้นอยู่ในระดับกลางๆ แต่สถานะความคิดของนางนั้นดีกว่าศิษย์หลายคนในกลุ่มการฝึกตนเสียอีก จากบทสนทนาของพวกเขา ต้นทุนของนางก็ไม่ได้แย่เช่นกัน หากนางขยันฝึกตน บางทีนางอาจจะผ่านเข้าสู่ดินแดนใหม่ได้


 


 


ความรัก… ย้อนกลับไปในเวลานั้น เทียนเฉี่ยวก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันมิใช่หรือ ในตอนแรก นางก็มีความสุขกับความรักดี ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เมิ่งซือกุยก็เผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา และเทียนเฉี่ยวคนที่สนุกสนานมีชีวิตชีวาน่าหลงใหลก็กลับกลายเป็นคนนิ่งเงียบ ซางหรูหว่านนั้นกลับดูน่าสงสารยิ่งกว่า นางทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างหนีตามกันมา หากนางเสียความรักนี้ไปในวันหนึ่ง นั่นจะไม่หมายถึงว่านางไม่มีอะไรหลงเหลือแล้วหรือ ไม่มีคนรัก ไม่มีตระกูล ไม่มีแม้แต่อนาคตอันอาจจะดูสวยงามในระดับหนึ่ง…


 


 


ไม่แปลกใจที่ท่านอาเคยพูดเอาไว้ว่าการอ่อนแอและหลงใหลในความรักเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับหญิงผู้ฝึกตน หากซางหรูหว่านไม่ได้ยึดติดกับอารมณ์ขอนาง บางทีระดับการฝึกตนของนางก็น่าจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าระดับการฝึกตนในปัจจุบันโดยมีตระกูลของนางหนุนหลัง เมื่อโม่เทียนเกอนึกถึงเรื่องนี้ นางก็ต้องถอนใจอย่างช่วยไม่ได้


 


 


ถึงแม้ว่าเหยาจื่อซิวจะคิดไม่ดีต่อนาง แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าพวกเขาต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เมื่อสัมผัสได้ว่าทั้งสองคนได้เดินห่างออกไปจากนางพอสมควรแล้ว โม่เทียนเกอจึงปล่อยจิตสัมผัสของนางเพื่อมุ่งไปทางพวกเขา นางซ่อนตัวตนและเข้าไปด้านในตามพวกเขาทั้งสองไป


 


 


ในความมืด นางเดินลงไปตามทางเดินหินจากร่องรอยของพวกเขา แต่นางรู้สึกไม่เป็นไรอย่างน่าประหลาด แต่ทว่าบางอย่างทำให้โม่เทียนเกอเป็นกังวล จิตสัมผัสของนางนั้นมุ่งไปทางคู่รักเหยา แต่หลังจากที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ประตูหิน นางก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกเขาอีกต่อไป


 


 


ในขณะที่โม่เทียนเกอกำลังเถียงอยู่กับตัวเองว่านางควรที่จะก้าวเข้าไปในประตูหินหรือไม่ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน นางก็พบถึงตัวตนของใครบางคน เป็นที่แน่นอนว่าคนผู้นั้นคือนักพรตฟางเจิ้ง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหยาจื่อซิว โม่เทียนเกอจึงคอยระแวดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม ชั่วขณะที่นางสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของนักพรตฟางเจิ้ง นางก็รีบเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนในทันที


 


 


นักพรตฟางเจิ้งบ่นพึมพำ “อา!” หลังจากที่มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังตัว เขาก็รีบเดินตรงไปที่ประตูหินที่คู่รักเหยานั้นก้าวเข้าไปและตามเข้าไปด้านใน เช่นเดียวกันกับคู่รักเหยา ตัวตนของนักพรตฟางเจิ้งหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากที่ก้าวผ่านเข้าประตูหินไป


 


 


ชั่วขณะที่โม่เทียนเกอกำลังจะออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางก็พบว่ามีกลุ่มคนห้าคนเข้ามาในห้องโถง นางตรวจสอบพวกเขาโดยใช้จิตสัมผัส จากห้าคนนั้น สองคนเป็นผู้ฝึกตนชายที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน และอีกสามคนที่เหลือเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นางไม่รู้ว่าชายผู้ฝึกตนเป็นสหายกันหรือไม่ แต่ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสามนั้นเป็นศิษย์จากกลุ่มการฝึกตนเดียวกันอย่างแน่นอน


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะม่านพลังข้างนอกนั้นได้ถูกทำลายไปแล้ว แต่เมื่อทั้งห้าคนนี้เข้ามา พวกเขาจึงไม่ได้ดูยากลำบากเหมือนกับพวกเขาทั้งสี่คนนัก


 


 


ทั้งห้าคนเดินผ่านเข้าไปในประตูหินพร้อมกัน ชายผู้ฝึกตนสองคนเดินอยู่ด้านหน้าในขณะที่หญิงผู้ฝึกตนสามคนเดินตามอยู่ด้านหลัง หลังจากนั้นไม่นาน โม่เทียนเกอจึงตัดสินใจว่านางควรเดินเข้าไปด้านในเพื่อข่มอารมณ์ตนเอง ในเมื่อม่านพลังข้างนอกนั้นง่ายในการทำลาย ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถครอบครองอะไรได้นางก็คงจะไม่เสียชีวิตของนางไม่ว่าอันตรายที่อยู่ด้านในจะเป็นอะไรก็ตามเพราะนางมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน อีกอย่างนางออกมาจากโรงเรียนเพื่อเก็บประสบการณ์ ดังนั้นนางจะต้องไม่ระแวงมากเกินไป ไม่เช่นนั้นการเดินทางนี้ก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์


 


 


โม่เทียนเกอออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลังจากนั้นจึงก้าวเข้าไปที่ประตูหินอย่างไม่ลังเล


 


 


ทันทีที่โม่เทียนเกอก้าวเข้าไปด้านใน นางก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณธาตุไม้ภายใต้เท้าของนาง ยิ่งไปกว่านั้นพื้นหินก็ขยับในเวลาเดียวกัน ครู่หนึ่งภาพเบื้องหน้าของนางก็มืดลงและสว่างขึ้นในอีกเสี้ยววินาที โม่เทียนเกอพบว่าตัวเองอยู่ภายในโถงเพดานโค้งสูงแห่งหนึ่ง ใต้เท้าของนางเป็นแท่นหินกลมที่ลอยอยู่ในอากาศ ไม่ไกลจากนาง มีแท่นหินที่ลอยอยู่อีกสี่อัน คู่รักเหยาอยู่บนแท่นหนึ่ง นักพรตฟางเจิ้งอยู่อีกแท่นหนึ่ง ชายผู้ฝึกตนสองคนอยู่อีกแท่นหนึ่ง และเช่นเดียวกันกับหญิงผู้ฝึกตนสามคน


 


 


แท่นหินทั้งห้านี้เป็นสีทอง เขียว ฟ้า แดง และเหลืองตามลำดับ และพวกมันต่างแผ่พลังงานทางจิตวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งห้าธาตุออกมา แท่นหินที่โม่เทียนเกอยืนอยู่นั้นเป็นสีเขียว แท่นหินของนางเคลื่อนที่ไปยังอีกสี่แท่น ทว่าเมื่อมันเคลื่อนไปจนถึงจุดที่จะรวมกับสี่แท่นที่เหลือให้เป็นทรงห้าเหลี่ยมมันก็หยุดเคลื่อนที่


 


 


ช่วงเวลานั้น ซางหรูหว่านผู้ซึ่งนั่งอยู่บนแท่นหินสีแดงดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไร เมื่อเห็นโม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางตกตะลึง นางก็หัวเราะพร้อมพูดว่า “น้องเล็ก ดีแล้วที่เจ้าเข้ามาที่นี่โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าเหยาจื่อซิวนั้นมีเจตนาไม่ดีต่อนาง แต่ซางหรูหว่านนั้นไม่ได้ตระหนักถึงแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงปฏิบัติต่อโม่เทียนเกออย่างจริงใจเหมือนเดิม โม่เทียนเกอยังรู้สึกอีกว่านางเป็นคนที่ใจดี ดังนั้นนางจึงยิ้มกลับพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณท่านมากที่เป็นห่วงข้า พี่ใหญ่”


 


 


หลังจากที่ซางหรูหว่านและโม่เทียนเกอทักทายกันเสร็จ ซางหรูหว่านก็ถามออกมาอย่างเรื่อยเปื่อย “ข้าสงสัยเสียจริงว่าน้องเล็กคิดอย่างไรกับโถงนี้”


 


 


โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ และตอบ “พี่ใหญ่และสหายนักพรตทั้งหลายเข้ามาก่อนข้า บางทีพวกท่านอาจค้นพบบางอย่างแล้ว”


 


 


ซางหรูหว่านยิ้มและชี้ไปยังชายผู้ฝึกตนสองคนบนแท่นหินสีเหลือง “สหายนักพรตลู่และสหายนักพรตหวังบอกว่านี่เป็นแท่นแห่งธาตุทั้งห้าแต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร”


 


 


ขณะที่ได้ยินสิ่งที่นางพูด โม่เทียนเกอหันไปจ้องมองยังผู้ฝึกตนทั้งสองคน นางถาม “แท่นแห่งธาตุทั้งห้านี้เป็นเครื่องมือเวทหรือ…”


 


 


คนที่สูงกว่าเล็กน้อยระหว่างชายผู้ฝึกตนทั้งสองตอบ “แท่นแห่งธาตุทั้งห้าปรากฏครั้งแรกที่โรงเรียนเทียนเหลียง ซึ่งตั้งอยู่ที่ภูเขาอวี้จู้ของอาณาเขตภูเขาคุนอู๋ ประวัติของมันมีมานานกว่าหลายพันปีก่อน เพราะดินแดนแห่งภูเขาอวี้จู้นั้นปกคลุมไปด้วยป่าหิน ผู้ฝึกตนทุกคนในภูเขาอวี้จู้นั้นพักอาศัยอยู่เหนือเสาหินทั้งนั้น แท่นแห่งธาตุทั้งห้าถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับศิษย์ที่มีระดับการฝึกตนต่ำและไม่สามารถเหาะได้ที่โรงเรียน”


 


 


“อย่างไรก็ตาม มีจารึกไว้ในหนังสือถึงสาเหตุว่าทำไมแท่นแห่งธาตุทั้งห้าถึงถูกเรียกเช่นนี้เพราะแต่ละแท่นหินค่อยๆ พัฒนามาจากม่านพลัง แท่นแห่งธาตุทั้งห้าไม่ได้ถูกควบคุมด้วยมนุษย์ และพวกมันสามารถลอยไปบนภูเขาด้วยรูปแบบที่ถูกจัดวางไว้ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ลักษณะและการทำงานของแท่นหินเหล่านี้นั้นดูคล้ายกับแท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่กล่าวไว้ในหนังสือ แต่ละแท่นหินจะครอบครองหนึ่งในห้าธาตุและมากกว่านั้น มันไม่มีอย่างอื่นอยู่ภายในโถงนี้ นี่มันเหนือกว่าสิ่งที่ข้าเคยเห็นมาก่อน”


 


 


เมื่อเขาพูดจบ ชายผู้ฝึกตนข้างเขาก็พูดเสริม “มีสิ่งที่คนสามารถควบคุมได้อยู่เพียงแค่สามประเภทคือ ความหยั่งรู้ของจิตศักดิ์สิทธิ์ พลังงานทางจิตวิญญาณ และโลหิตต้นกำเนิด อย่างไรก็ตามพวกข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา”


 


 


เมื่อเห็นว่าเหล่าชายผู้ฝึกตนนั้นสามารถบรรยายถึงที่มาของวัตถุนั้นว่าเกี่ยวข้องกับม่านพลัง พวกเขาจะต้องมาจากกลุ่มการฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านม่านพลังเป็นแน่


 


 


หนึ่งในสามผู้ฝึกตนหญิงเป็นผู้ที่แสดงออกถึงความกลัวเป็นคนแรก นางมองไปที่ประตูหินที่ยังไม่ได้ปิดลงหลังจากนั้นจึงพูดด้วยเสียงอันเบาว่า “ศิษย์พี่เหยียน พวกเราไม่มีความเข้าใจในม่านพลังแม้แต่น้อย พวกเราไม่อาจบอกได้เลยว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นจริงหรือไม่ มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเรารีบออกไปจากที่นี่”


 


 


ขณะที่ได้ยินคำพูดนี้ ผู้ฝึกตนหญิงอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วพร้อมพูดอย่างเห็นด้วย “สิ่งที่ศิษย์น้องอวิ๋นพูดนั้นก็มีเหตุผล อีกอย่างพวกเรายังจัดการเรื่องที่ท่านอาจารย์มอบหมายมาให้ไม่เสร็จสิ้นเลย มันคงจะไม่เหมาะสมถ้าพวกเราจะต้องมาเสี่ยงในตอนนี้”


 


 


ในเมื่อทั้งสองคนพูดเช่นนี้ คนที่ถูกเรียกว่า ศิษย์พี่เหยียนจึงพยักหน้าพร้อมพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราควรที่จะทำภารกิจให้เสร็จสิ้นเสียก่อน”


 


 


อย่างไม่คาดคิด หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น แท่นหินข้างใต้พวกนางก็ลอยไปทางประตูหินทำให้ทั้งสามคนต้องอ้าปากค้างไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อแท่นหินไปถึงที่ประตูทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน ศิษย์พี่เหยียนคนนั้นพูดขึ้นมา “ลองนึกว่าหากอยากจะกลับไปตรงนั้นดูสิ”


 


 


ทั้งสามคนตกลงอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นแท่นหินก็ลอยกลับไปยังจุดเดิม


 


 


ทุกคนในห้องโถงนั้นมีสีหน้าดีใจ ทว่าในเสี้ยววินาทีถัดมาใบหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอันแสนขมขื่น ซางหรูหว่านยังคงมีรอยยิ้มเจื่อนอยู่บนใบหน้าและพูดว่า “ถึงแม้พวกเราจะรู้ว่าจะควบคุมมันอย่างไร แต่ก็ไม่รู้ว่าควรไปที่ไหนอยู่ดี”


 


 


บางอย่างทำให้ทุกคนประหลาดใจ หลังจากที่ซางหรูหว่านพูด “พวกเราควรไปที่ไหน” เสียงนั้นก้องกังวานอยู่ในห้องโถง ลำแสงสีขาวส่องอยู่ด้านหน้าทุกคน และพวกเขาต่างมองเห็นตัวอักขระสี่ตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงกลางโถง โม่เทียนเกอบังเอิญอยู่ตรงข้ามกับซางหรูหว่านดังนั้นนางจึงเห็นสี่คำนี้กลับหลัง วันนี้ชีวิตนิรันดร์


 


 


วันนี้ชีวิตนิรันดร์


 


 


โม่เทียนเกอมีเวลาเพียงแค่มองผ่านคำเหล่านี้ด้วยความหยั่งรู้ของจิตศักดิ์สิทธิ์ของนางก่อนนางจะรู้สึกว่าแท่นหินของนางนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แท่นหินอื่นๆ ต่างก็เคลื่อนไหวเหมือนนางเช่นกัน ต่างหมุนรอบด้วยความเร็วสูงโดยมีตรงกลางของห้องโถงเป็นศูนย์กลางของการหมุนวน กระแสลมพายุที่พวกเขาผ่านเข้ามาตอนที่เข้าสู่หุบเขากลับพวยพุ่งขึ้นมาใส่จากเหวลึกใต้แท่นหินอย่างไม่คาดคิด


 


 


โม่เทียนเกอต้องการปล่อยพลังงานป้องกันร่างตัวเอง แต่ทันใดนั้นนางก็เห็นรังสีสีเขียวโผล่ออกมาตรงขอบของแท่นหิน หลังจากนั้นไม่นาน นางก็รู้สึกว่าพื้นที่นางยืนอยู่หายไป ส่งผลให้นางเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาตามสัญชาตญาณ เมื่อนางเรียกคืนสติกลับมาได้แล้ว ก็พบว่าห้องโถงนั้นหายไป แท่นแห่งธาตุทั้งห้าหายไป แม้กระทั่งผู้คนที่ยืนอยู่ข้างนางก่อนหน้านี้ก็หายไปเช่นเดียวกัน 

 

 


ตอนที่ 158-2 วันนี้ชีวิตนิรันดร์

 

นางได้กลับออกมาที่หุบเขาเขียวขจีใต้แสงอาทิตย์อีกครั้ง ใต้เท้านางคือผ้าเช็ดหน้าไหมขาว รูปปั้นหินในหุบเขายังคงเป็นรูปปั้นหินเช่นเดิม ทว่าทางเข้าถ้ำกลับหายไป ในทางกลับกัน ตอนนี้กลับมีแท่นหินมากมายเรียงรายเสมือนเป็นบันไดบนกำแพงซึ่งดูลาดชัน ยิ่งไปกว่านั้น แท่นแห่งธาตุทั้งห้าหลายแท่นต่างลอยอยู่เหนือหุบเขานั้น และแต่ละแท่นแห่งธาตุทั้งห้าก็ประกอบไปด้วยวงแหวนห้าสี ต้นไม้ในหุบเขาก็ไม่ได้ดูเล็กและเตี้ยอย่างที่เคยเป็น ตอนนี้พวกมันทั้งสูงและใหญ่โตมโหฬาร ต้นไม้แต่ละต้นนั้นเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ที่ทำจากการถักทอของเถาวัลย์


 


 


เทียบกับก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่หุบเขาจะมีพลังงานทางจิตวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้น แต่ยังมีพลังงานของมนุษย์มากขึ้นด้วยเช่นกัน นี่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกว่าไม่แน่ในอีกเสี้ยววินาที หญิงที่เกล้าผมสูงปักปิ่นรูปหงส์และสวมเสื้อตัวสั้นเปิดช่วงไหล่ที่สวยงามพร้อมกระโปรงที่พลิ้วไหวน่าจะปรากฏกายขึ้นเหนือแท่นหินใดแท่นหินหนึ่งจากบันไดบนกำแพงที่ดูลาดชันนั่น


 


 


เพียงแค่ความคิดชั่ววูบนี้ผ่านเข้ามา หญิงที่แต่งกายเช่นเดียวกับที่โม่เทียนเกอนึกก็ปรากฏออกมาเหนือแท่นหินตรงกลางบันไดกำแพงภูเขา หญิงผู้นั้นก้าวขึ้นบนแส้หางม้าและลอยมาหานางด้วยความเร็วสูง โม่เทียนเกอรอ เตรียมตัวที่จะต่อสู้ ทว่าหญิงนางนั้นกลับพูดว่า “สหายนักพรต ท่านเห็นศิษย์น้องสองคนที่มากับข้าบ้างหรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอพิจารณาหญิงนางนั้นอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง แต่หญิงผู้นี้คือคนเดียวกันกับหญิงแซ่เหยียนในโถงเมื่อครู่นี้อย่างแน่นอน มันเป็นเพราะเสื้อผ้าเหล่านี้ นางจึงดูสง่างามมีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิมนัก


 


 


โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ “สหายนักพรตเหยียน ทำไมท่านถึงแต่งตัวเช่นนี้เล่า”


 


 


หญิงแซ่เหยียนผู้นั้นดูประหลาดใจเล็กน้อย “ท่าน ท่านก็เหมือนกันกับข้ามิใช่หรือ”


 


 


ทันทีที่โม่เทียนเกอกำลังจะปฏิเสธ นางก็รู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยบนบ่านาง นางก้มลงมองสำรวจว่านางผู้ซึ่งเมื่อครู่นี้ยังคงสวมใส่ชุดคลุมยาวแขนกว้าง ตอนนี้กลับกำลังใส่เสื้อสั้นตัวเล็ก กระโปรงยาวเฉกเช่นหญิงแซ่เหยียน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ชุดของหญิงผู้นั้นเป็นสีทองสุกสกาวเช่นเดียวกับแท่นหินก่อนหน้านี้ ชุดของโม่เทียนเกอนั้นเป็นสีเขียวสดใส


 


 


ในขณะที่นึกย้อนกลับไปว่าชุดของนางนั้นเปลี่ยนไปหลังจากที่หญิงแซ่เหยียนโผล่ออกมา โม่เทียนเกอถาม “สหายนักพรตเหยียน เสื้อผ้าของท่านเปลี่ยนเป็นเช่นนี้หลังจากที่ท่านเข้ามาที่นี่อย่างนั้นหรือ”


 


 


หญิงแซ่เหยียนนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่และพบว่าศิษย์น้องกับข้าแยกกันไปคนละที่ ก็ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าของข้าไม่ได้เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่ามันเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ตอนที่ข้าเดินมาบนแท่นหิน”


 


 


โม่เทียนเกอถามต่อ “หากเป็นเช่นนั้น ตอนที่สหายนักพรตเหยียนเห็นข้า ข้าใส่ชุดนี้อยู่หรือไม่”


 


 


หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว นางตอบ “อืม… ข้าก็ไม่มั่นใจ”


 


 


ท่าทางของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป ความหยั่งรู้ของจิตศักดิ์สิทธิ์สามารถสร้างให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่งที่นี่


 


 


นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแต่นางก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่นางโผล่มาที่นี่และเห็นรูปปั้นหิน ความหยั่งรู้ของจิตศักดิ์สิทธิ์ภายในจิตใจของนางตื่นขึ้นและภาพเบื้องหน้าของนางจึงกลายเป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของนาง


 


 


ม่านพลังมายา นี่เป็นม่านพลังมายา! นางและเว่ยจยาซือเคยมีประสบการณ์กับม่านพลังมายาในช่วงการจลาจลสัตว์ปีศาจ แต่เมื่อเทียบกับม่านพลังนี้ ม่านพลังนั้นดูหยาบไร้ซึ่งความละเอียดโดยสิ้นเชิง โม่เทียนเกอนึกย้อนไปถึงตอนที่นางเจอเข้ากับม่านพลังมายาครั้งนั้นนางสามารถทำลายมันได้ทันทีที่นางติดเข้าไปด้านใน แต่อย่างไรก็ตาม กับม่านพลังที่นางกำลังเผชิญอยู่นี้ นางรู้แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งจอมปลอม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในม่านพลังนี้กลับดูไร้ที่ติทีเดียว


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของโม่เทียนเกอที่เปลี่ยนไป หญิงแซ่เหยียนก็ขมวดคิ้ว “ท่านสหายนักพรต มีสิ่งใดที่ผิดปกติหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอสูดหายใจลึก ในขณะที่นางสำรวจไปรอบๆ นางพูด “สหายนักพรต ท่านไม่รู้หรือว่าสิ่งที่พวกเราคิดนั้นกลายเป็นจริง”


 


 


เมื่อความคิดแวบเข้าไปในจิตใจของนาง จากพื้นหญ้า สัตว์วิเศษที่คล้ายกับเสี่ยวหั่วก็ปรากฏขึ้นและพุ่งตรงเข้ามาหานาง โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปลูบหัวเจ้า “เสี่ยวหั่ว” ตัวนี้ มันให้ความรู้สึกสัมผัสที่นุ่มดั่งเช่นเป็นตัวจริง


 


 


ท่าทางของหญิงแซ่เหยียนนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทันทีที่ได้ยินโม่เทียนเกอพูด นางครุ่นคิดอยู่ระยะหนึ่งหลังจากนั้นจึงประกบมือทำท่ามุทรา คมดาบวายุปรากฏออกมาและพุ่งไปทาง “เสี่ยวหั่ว” อย่างไม่คาดคิด “เสี่ยวหั่ว” ตัวนี้กระโดดหลบพร้อมพ่นไฟหยางแท้อันร้อนแรงออกมา


 


 


“อ้า!” หญิงแซ่เหยียนผู้นั้นกระโดดหลบออกข้างทาง นางตะโกนไปที่โม่เทียนเกอ “สหายนักพรต นี่ไม่จริงอย่างนั้นหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอขยับมือ กระสวยอัปสราก็เปลี่ยนเป็นรังสีสีทองซึ่งจับเจ้า “เสี่ยวหั่ว” เอาไว้ตรงกลาง หลังจากนั้นนางจึงใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อกด “เสี่ยวหั่ว” ลงอย่างไร้ความปรานี เจ้าสัตว์วิเศษระดับสองร้องคร่ำครวญและล้มลงกับพื้น


 


 


ในขณะที่นางจ้องมองซากของเจ้า “เสี่ยวหั่ว” โม่เทียนเกอพูดอย่างช้าๆ “นี่เป็นของปลอม”


 


 


หญิงแซ่เหยียนมองมาทางนางอย่างประหลาดใจ นางทดสอบด้วยตัวเองแล้ว นี่เป็นสัตว์วิเศษระดับสองแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อโม่เทียนเกอขยับ มันก็ถูกฆ่าโดยไม่โต้ตอบแม้แต่น้อย


 


 


“มันจะเป็นของปลอมได้อย่างไร”


 


 


ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เสี่ยวหั่วตัวจริง โม่เทียนเกอก็ยังคงขมวดคิ้วและหันกลับเพื่อเลี่ยงการมองไปที่ซากที่แหลกเหลวของสัตว์วิเศษนั้น หลังจากนั้นนางจึงอธิบายให้กับหญิงนางนั้นฟัง “ข้าไม่ได้นำสัตว์วิเศษมาด้วยในการเดินทางครั้งนี้ ข้าเพียงแค่ลองดู แล้วก็เป็นเช่นนั้น เมื่อข้านึกถึงสัตว์วิเศษ มันก็นำรูปร่างลักษณะสัตว์วิเศษของข้าออกมา ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งระดับการฝึกตนของพวกมันก็เหมือนกันด้วย”


 


 


ข้อบกพร่องของภาพมายานี้คือหลังจากที่เสี่ยวหั่วเข้าสู่ระดับสอง ไฟหยางแท้อันร้อนแรงของมันได้เปลี่ยนเป็นไฟสุริยัน อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหั่วตัวปลอมนี้มีรูปร่างลักษณะของสัตว์วิเศษไฟนรกระดับสองจริง เมื่อรู้ถึงความจริงข้อนี้ รอยย่นก็ปรากฏบนคิ้วของโม่เทียนเกออีกครั้ง นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าของม่านพลังมายานี้สร้างม่านพลังขึ้นมาโดยอิงจากความคิดของพวกเขาเอง แต่นี่ก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า เจ้าของม่านพลังมายานี้มีความรู้ที่เข้าขั้นลึกซึ้ง ไม่ว่าความคิดของคนที่เข้ามาในม่านพลังนี้จะเป็นอะไรก็ตาม เขาก็สามารถสร้างมันออกมาได้ทั้งหมด!


 


 


ข้อเท็จจริงนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าพลังของม่านพลังมายาเองเสียอีก การมีอยู่ของม่านพลังมายานี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าของม่านพลังนั้นมีความเชี่ยวชาญในม่านพลังมาก ทุกม่านพลังสามารถทำลายได้ แต่ด้วยความรู้ของเขา เขาสามารถทำให้ม่านพลังนี้ไร้ที่ติ! อีกอย่าง ในอีกมุมมองหนึ่ง ใครจะสามารถมีความรู้ที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ เขาสามารถสร้างสิ่งเลียนแบบจากความคิดของผู้คนได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงแค่บางอย่างซึ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงที่แปลกๆ และเขาไม่สามารถเลียนแบบได้ นี่มันแย่มากทีเดียว!


 


 


ยิ่งโม่เทียนเกอคิดลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ โม่เทียนเกอก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าของม่านพลังนั้นเกินความคาดหมายของนาง สุดท้ายแล้วหน้าผากของนางนั้นก็ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ


 


 


ส่วนหญิงแซ่เหยียน ถึงแม้ว่านางจะได้ยินคำอธิบายของโม่เทียนเกอ นางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโม่เทียนเกอจึงมีท่าทางเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงเต็มไปด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตามวิธีที่โม่เทียนเกอฆ่าสัตว์วิเศษระดับสองได้อย่างง่ายๆ นั้น ทำให้นางเห็นว่าความแข็งแกร่งของโม่เทียนเกอนั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนขั้นกลางของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทั่วไป ทำให้นางรู้สึกเกรงกลัวต่อโม่เทียนเกออย่างช่วยไม่ได้


 


 


“น้องเล็กคือเหยียนรั่วซูแห่งสภาปี้เซวียน ข้าขอทราบชื่อของพี่ใหญ่ได้หรือไม่ แล้วท่านพี่ใหญ่สังกัดกลุ่มใดหรือ” ก่อนหน้านี้นางเรียกโม่เทียนเกอว่า “ท่าน” หรือ “สหายนักพรต” แต่ตอนนี้นางเรียกตัวเองว่า “น้องเล็ก” และเรียกโม่เทียนเกอว่า “พี่ใหญ่” เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่านางพยายามที่จะวางตัวให้ใกล้ชิดมากขึ้น


 


 


โม่เทียนเกอตอบอย่างเฉยเมย “ข้าเยี่ยเสี่ยวเทียน กลุ่มของข้าไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก คิดว่าท่านสหายนักพรตคงจะไม่รู้จัก”


 


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เฉยเมยและท่าทางที่ไม่ต้องการตอบว่ามาจากกลุ่มไหนของโม่เทียนเกอ เหยียนรั่วซูรู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาว่าโม่เทียนเกอสุขุมเยือกเย็นอย่างไรเมื่อเผชิญกับปัญหาในขณะนี้ นางก็ลดความโกรธลง


 


 


“ท่านพี่ใหญ่เยี่ย เกิดอะไรขึ้นที่นี่”


 


 


“นี่น่าจะเป็นม่านพลังมายา” โม่เทียนเกอก้มลงมองตัวเองหลังจากนั้นจึงหลับตาและนึกถึงบางอย่าง เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง เป็นไปตามที่นางคาด เสื้อผ้าของนางเปลี่ยนกลับเป็นชุดของนางก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว


 


 


“ม่านพลังมายา” เหยียนรั่วซูหันมองไปรอบๆ เมื่อนางคิดว่าพันธุ์พืชและสัตว์ต่างๆ นั้นไม่ใช่ของจริง นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราควรทำอย่างไรดี”


 


 


“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่พวกเราจะทำได้” โม่เทียนเกอหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและกระสวยอัปสราของนางออกมา ตอนนี้นางเตรียมตัวที่จะพบกับศัตรูแล้ว นางหันกลับไปมองที่หญิงคนนั้นและพูด “ไปเถอะ พวกเราควรตามหาคนอื่นก่อน หลังจากที่เจอพวกเขาพวกเราค่อยคิดวว่าควรทำอย่างไต่อไป”


 


 


“ตกลง…” เหยียนรั่วซูก็ไม่สามารถนึกถึงหนทางอื่นได้ ดังนั้นนางจึงพยักหน้าตามอย่างช่วยไม่ได้


 


 


หลังจากที่เดินมาครู่หนึ่ง เหยียนรั่วซูถาม “พี่ใหญ่เยี่ย ท่านเดินทางมาที่โลกมนุษย์เพื่อจัดการธุระบางอย่างเช่นกันอย่างนั้นหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอกำลังเดินและตั้งสมาธิในการสำรวจสถานการณ์ไปด้วย ดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำถามของเหยียนรั่วซู นางจึงทำเพียงแค่เสียงฮึดฮัดแทนการตอบ


 


 


เหยียนรั่วซูพูดต่อ “เช่นนั้นนี่ก็ช่างบังเอิญนัก! พวกข้าสามคนได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาที่โลกมนุษย์เพื่อจัดการเรื่องบางอย่าง พวกเราบังเอิญพบเข้ากับสถานที่แห่งนี้ซึ่งมีการรั่วไหลของพลังงานทางจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเราจึงลองมาดู พี่ใหญ่เยี่ย ท่านมาจัดการธุระประเภทใดหรือ ถ้าเป็นไปได้ ทำไมพวกเราไม่ร่วมเดินทางไปด้วยกันเล่า”


 


 


หญิงผู้นั้นพูดเก่งทีเดียว โม่เทียนเกอขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า “ท่านอาจารย์ของข้าสั่งให้ออกจากภูเขาและท่องเที่ยวไปทั่ว ดังนั้นข้าเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจุดหมายต่อไปของข้าจะเป็นที่ไหนเช่นกัน”


 


 


“อา! ถ้าเช่นนั้นจะไม่ดีกว่าหรือที่พี่ใหญ่เยี่ยจะเดินทางไปกับพวกเรา พวกเราเป็นหญิงทั้งหมด มีหลายเรื่องที่พวกเราสามารถคุยกันได้ พี่ใหญ่เยี่ย…”


 


 


ในขณะที่หญิงนางนั้นพูดพล่ามไปเรื่อย โม่เทียนเกอก็แอบทำหน้าบึ้ง นางรู้ว่าสภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนแบบไหน ตามรายงาน กลุ่มการฝึกตนนั้นรับแต่เพียงผู้หญิง ก่อตั้งขึ้นในสถานที่ลับและไม่ค่อยได้ติดต่อกับโลกภายนอก เป็นกลุ่มการฝึกตนที่ลึกลับพอสมควร พลังของพวกเขานั้นไม่ได้มหาศาลแต่ก็ไม่ได้น้อย พลังของพวกเขานั้นเหมือนกับสำนักอวิ๋นอู้และสำนักจื่อซย่าไม่มากก็น้อย


 


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เหยียนรั่วซูปฏิบัติต่อโม่เทียนเกออย่างนิ่งเฉย แต่ตอนนี้นางกลับวางตัวเป็นกันเองอย่างที่สุด นั่นเป็นเพราะนางอยู่ที่นี่คนเดียวและนางเห็นว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอนั้นสูงกว่านาง นางจึงพยายามทำตัวเข้าใกล้โม่เทียนเกอ


 


 


ความจริงแล้วเหยียนรั่วซูไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้มีนิสัยที่จะละทิ้งสหายร่วมทางของนาง ตอนนี้มีเพียงแค่พวกนางสองคน หากมีอันตรายขึ้นมา นางก็จะช่วยเหลือเหยียนรั่วซูอยู่แล้ว


 


 


“สหายนักพรตเหยียน ท่านกับสหายของท่านมีวิธีที่จะสามารถติดต่อกันได้หรือไม่” โม่เทียนเกอตัดบทเหยียนรั่วซู


 


 


เหยียนรั่วซูหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า “พวกเรามีเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มอยู่”


 


 


ที่เรียกว่าเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มนั้นเป็นวิธีที่ศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนเดียวกันสามารถส่งข้อความหากันเองได้ เครื่องรางเรียกขานนี้ต่างจากเครื่องรางเรียกขานแบบเดี่ยวซึ่งจะต้องใช้วิธีเฉพาะ ในกรณีที่มีการเรียก ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มซึ่งอยู่ในขอบข่ายจะสามารถรับข้อความได้ สำหรับโม่เทียนเกอเองนั้นก็มีเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มที่ครอบครองอยู่หลายอัน ศิษย์ทุกคนที่ออกจากภูเขาได้รับมันบ้าง อย่างไรก็ตาม การสร้างนั้นไม่ง่าย ฉะนั้นหากไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนก็จะดีกว่าที่ไม่ใช้มัน


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินคำตอบของเหยียนรั่วซู นางจึงพูด “ถ้าอย่างนั้น สหายนักพรตเหยียนลองส่งข้อความในเครื่องรางเรียกขานแบบกลุ่มดู การมองหาพวกเขาจะเป็นเรื่องยากถ้าพวกเราตามหาแบบมืดบอดเช่นนี้”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม