ระบบร้านค้าออนไลน์ 154-167
TB:บทที่ 154 ดาวเคราะห์สัตว์อสูร
“เหมาะสม อะไรคือเหมาะสม” ใบหน้าของสิงโตฉายแววงงงวย
ในทันทีที่เขาได้ยินอีกฝ่ายกล่าวว่าเขาไม่รู้ว่าอะไรคือ “ราคาที่เหมาะสม” เฉินหลงรู้ได้ถึงสาเหตุของราคาที่ไม่สมเหตุสมผลของร้านค้านี้ คงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดาหากคนคนนี้ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ความเหมาะสม”
“ความเหมาะสมคือราคาของสินค้าที่คล้ายกับราคาของร้านๆอื่นๆในระบบและมีคุณค่าแลกเปลี่ยนที่สมควรกับแต้มแลกเปลี่ยน หากสินค้าชิ้นใดมีเพียงคุณที่ขายแล้ว คุณสามารถตั้งราคาแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมกับการใช้งานได้” เฉินหลงอธิบาย
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเฉินหลงแล้ว ปลายสายจึงเริ่มบอกกล่าวถึงที่มาของสินค้าต่างๆในร้านให้เฉินหลงฟัง
ชิ้นนี้คืออะไร ของชิ้นนี้คือเขี้ยวที่เขาฆ่ามากับมือ เขี้ยวของเสือที่คมเป็นที่สุด สามารถใช้เป็นอาวุธหรือจะเอาไปใช้ตัดหนังของสิ่งมีชีวิตอะไรก็ได้
ชิ้นนี้คืออะไรงั้นหรือ ชิ้นนี้คือกระดูกจากโครงกระดูกของงูเหลือมห้าแฉกที่ถูกฆ่าในหลุมกับดัก เอามาใช้ทำสร้อยหรือเข็มขัดหรืออะไรก็ได้เลย
กรณีของปลายสายที่คุยอยู่นี้ ดูจากท่าทางแล้วคงไม่ได้คุยกับใครมาหลายปี เมื่อเขาได้เจอกับสิ่งที่พูดได้ก็คล้ายกับกล่องที่เปิดออกไปแล้ว นั่นคือความไม่มีวันจบสิ้น
เมื่อได้ยินอีกฝากแนะนำของต่างๆแล้ว เฉินหลงแยกประเภทของในร้านได้ง่ายๆเป็นสองประเภท อย่างแรกคือของที่ใช้งานได้ กับอีกประเภทคือของไร้ประโยชน์
แต่อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายยังไม่ได้บอกชื่อเสียงเรียงนามเลยนี่
“จะว่าไปแล้ว คุณชื่ออะไรหรือ” เฉินหลงถาม
“สหายที่รัก ชื่อของข้าคือ โอเรีย” เมื่อได้ยินดังที่เขากล่าว เฉินหลงกลายเป็นเพื่อนของเขาไปแล้ว
เฉินหลงยิ้มให้และกล่าวต่อไป “โอเรีย ของหลายชิ้นของคุณมันไม่มีประโยชน์นะ คุณเอาออกจากหน้าร้านหรือเอาไปประดับบ้านคุณก็ได้ ของที่ใช้การได้คือไข่พวกนี้ และ “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”นี่ แล้วก็พวกวัตถุดิบบางชิ้น อีกอย่างนะคุณควรปรับราคาสินค้า เพราะเมื่อคุณขายได้แล้วคุณจะได้แต้มไปแลกของอย่างอื่นในระบบได้”
ในตอนนั้นเองเฉินหลงได้รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเห็นโอเรียเหมือนนกแก่ๆตัวหนึ่ง
“ขอบคุณนะ แต่ข้าไม่รู้ว่าควรปรับราคาเป็นเท่าไรนี่ ว่าแต่ว่าข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย” โอเรียกล่าวอย่างแฝงความอับอาย
เมื่อได้ยินคำของโอเรียแล้ว เฉินหลงรู้สึกทันทีว่าคนที่ดูน่ากลัวเช่นเขาจริงๆแล้วก็เป็นคนธรรมดา นี่ในโลกของเขาไม่มีการโกงกันหรืออย่างไร
ความคิดของเฉินหลงที่ว่าโลก “ดาวเคราะห์สัตว์อสูร” ของโอเรียไม่มีการคดโกงกันนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง กฎของดาวเคราะห์นั้นมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือผู้แข็งแกร่งจะล่าผู้อ่อนแอ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และปลาเล็กกินกุ้งเล็กๆ และเมื่อปลาเล็กเติบโตขึ้นมาเป็นปลาใหญ่แล้ว พวกมันจะกินปลาเล็กต่อไปอีก
และเมื่อปลาใหญ่สองตัวมาเจอกันก็ขึ้นกับปลาตัวไหนที่แข็งแกร่งกว่า
ดังนั้นแล้วแม้โอเรียจะแข็งกล้า แต่โลกของเขาช่างไม่ซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย
“ผมชื่อเฉินหลง” เฉินหลงยิ้มให้
“เฉินหลง เจ้าช่วยข้าคิดราคาสินค้าพวกนี้ได้หรือไม่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ หากเจ้าทำให้ข้าได้แล้ว ข้าจะให้ไข่ของกระดูกที่กลืนกินอสูรกับเจ้า เมื่อมันฟักตัวแล้วมันจะเป็นผู้ช่วยที่ดีให้เจ้าได้” โอเรียว่า
เฉินหลงได้รู้จากโอเรียว่า “กระดูกที่กลืนกินอสูร” นั้น เป็นสายพันธุ์เดรัจฉานระดับสูงบนโลกของเขา
เมื่อมันโตเต็มที่พละกำลังของมันสามารถไปถึงขั้นครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ได้ แม้กระนั้นสัตว์ป่าที่แข็งแกร่งย่อมมีอัตราการสืบพันธุ์ที่ต่ำ อย่าง “กระดูกที่กลืนกินอสูร” ที่วางไข่เพียงสองครั้งในชีวิตมันเท่านั้น
ไข่ในมือของโอเรียเป็นไข่ที่เขาได้มาหลังเขาฆ่ากระดูกที่กลืนกินอสูรที่บาดเจ็บหนักหลังต่อสู้กับเดรัจฉานประเภทเดียวกันมา กล่าวได้ว่าไข่นี้ช่างเป็นของล้ำค่า
แต่แม้เฉินหลงจะหลงใหลได้ปลื้มกับไข่ของ “กระดูกที่กลืนกินอสูร” นี้ แต่เมื่อพวกมันโตเต็มที่แล้วจะมีขนาดถึงสิบเมตรและมีน้ำหนักได้ถึงยี่สิบตันเลยทีเดียว สัตว์ดุร้ายขนากมหึมานี้จะเลี้ยงได้จริงหรือ
“ผมจะช่วยคุณ แต่คุณไม่ต้องให้ “กระดูกที่กลืนกินอสูร” กับผมหรอก เพราะผมใช้งานพวกมันไม่ได้”
เมื่อคิดว่าไม่มีทางที่เขาจะเลี้ยง “กระดูกที่กลืนกินอสูร” ได้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิเสธ
“เยี่ยมมากๆ ขอบคุณเจ้ามาก แต่ข้าร้องขอให้เจ้าช่วยโดยไม่มีของตอบแทนเช่นนี้ไม่ได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน เจ้าสามารถเลือกสินค้าของข้าชิ้นใดไปก็ได้” ด้วยนิสัยของโอเรียที่ตรงๆแล้ว เขาไม่ชอบติดค้างบุญคุณ
“ตกลง ผมจะบอกราคาของสินค้าทั้งหมดก่อน แล้วผมจะเลือกมันทีหลัง” เฉินหลงตอบตกลง
ในจริงๆแล้วตอนโอเรียบอกจะให้สินค้ากับเฉินหลงเขานึกถึง “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”แต่ถึงกระนั้นเขาก็ล้มเลิกความคิดไปทันที เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะคดโกงและเขาไม่ได้ขาดแต้มแลกเปลี่ยนหมื่นแต้มเสียหน่อย เขาไม่เอาเปรียบโอเรียหรอก
จากนั้น เฉินหลงได้ทำงานหนักหลายชั่วโมงก่อนจะปรับราคาที่สมเหตุสมผลให้กับสินค้าทั้งหมดของโอเรีย สิ่งที่มีราคามากที่สุดคือไข่ “กระดูกที่กลืนกินอสูร” โดยราคามากถึงหนึ่งล้านแต้ม
และเพราะโอเรียอยากเก็บไว้เองฟองหนึ่งเขาจึงวางขายเพียงฟองเดียวเท่านั้น
สำหรับหนังสือสูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่นนั้น ก็ยังต้องการห้าหมื่นแต้มแลกเปลี่ยนอยู่
“เอาล่ะ ภารกิจเสร็จสิ้น” ใบหน้าเฉินหลงปรากฏรอยยิ้มโล่งใจ
“ขอบคุณเจ้านะ เฉินหลง” โอเรียมองเฉินหลงอย่างซาบซึ้ง “จะว่าไปแล้ว เจ้าบอกข้ามาได้หรือยังว่าต้องการสิ่งใด”
“เช่นนั้น ผมต้องการไข่จากสัตว์เขี้ยวน่ะ” เฉินหลงครุ่นคิดและกล่าวออกมา
หากมีรูปร่างคล้ายกับสัตว์ที่โลกแล้วการที่เฉินหลงเป็นเจ้านายของสัตว์ที่ทรงพลังคงเหมาะสมที่สุด นั่นคือเขาต้องการสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายสุนัขพันธุ์โดเวอแมนบนโลกนี้แต่มีเขี้ยวที่แหลมคมกว่า อีกอย่างหากเป็นเช่นนั้นคงสะดวกที่จะอยู่กับครอบครัวเขามากกว่า
อีกอย่างคือ เขามี “หินแห่งแสง” ที่หลังจากพัฒนาไปแล้วครั้งหนึ่งพลังของมันจะต้องมากถึงระดับกำเนิดแน่นอน หากเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้กับครอบครัวแล้ว ใครจะใส่ใจว่าเป็น “สุนัข” กันเล่า
เมื่อได้ยินว่าเฉินหลงต้องการเพียงไข่ของ “สัตว์เขี้ยว” เท่านั้น ใบหน้าของโอเรียแสดงความประหลาดใจออกมา “ทำไมจึงต้องการไข่ของ “สุนัขอสูร” กันเล่า”
“สัตว์เขี้ยวรูปร่างคล้ายสัตว์ที่เรามีที่โลกน่ะ พวกเราเลยจะเลี้ยงไว้” เฉินหลงว่าตามจริง
“ก็ได้” เมื่อเขาได้ยินเฉินหลงกล่าวดังนั้นโอเรียก็ให้ไข่ของ “สัตว์เขี้ยว” ไปแทน
“ไข่สัตว์เขี้ยว” เป็นรูปวงรีมีผิวสีดำและลวดลายเป็นเกลียวบนเปลือก
เมื่อโอเรียเอาไข่ให้ดูแล้ว เขาก็สอนวิธีการฟักไข่ “เฉินหลงการทำให้ไข่ฟัก ขั้นแรกเราต้องร่ายบท “คำสวดสัตว์อสูรหมื่นตน”ใส่ไข่ก่อน และการควบคุมตัวอ่อนของสุนัขนี้ต้องใช้พลังจิตเพื่อทำให้เปลือกไข่กระเทาะออกมา”
“สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น” เป็นสกิลสามัญที่คนบน “ดาวเคราะห์สัตว์อสูร” มี สัตว์เดรัจฉานที่อ่อนแอจะใช้สกิลนี้เพื่อควบคุมเดรัจฉานโดยไม่ทำลายเปลือกไข่ แต่พลังของสัตว์จะควบคุมได้ด้วย “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”
จากนั้นเฉินหลงก็ใช้แต้มแลกเปลี่ยนห้าหมื่นแต้มแลก“สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”มาจากร้านของโอเรีย
TB:บทที่ 155 เสี่ยวเฮย
หลังจากเขาแลกเปลี่ยน “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น” แล้วเฉินหลงบอกลาโอเรียและออกจากระบบไป
ตอนที่เขาออกมาจากระบบก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เฉินหลงจึงใส่ไข่ที่ได้มาลงแหวนอวกาศและไปพักผ่อน
วันต่อมาเฉินหลงฝึกการใช้ “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น” ทันที “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”นี้แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนของการหล่อเลี้ยงด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ อีกส่วนคือวิธีการควบคุมอสูร เช่นมนต์ผูกวิญญาณ
อย่างไรเสียด้วยพลังที่เฉินหลงมีเขาผ่านการหล่อเลี้ยงด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณไปได้ทันที
การที่จะสร้างมนต์เพื่อผนึกตัววิญญาณจะมีคาถาสำหรับร่ายเวทมนต์เพื่อสะกดวิญญาณที่จะร่ายลงไปบนวิญญาณของอสูรเพื่ออสูรจะฟังคำสั่งของผู้ใช้ได้
เมื่อเขาเรียนรู้การร่ายคาถาแล้วเฉินหลงจึงเริ่มต้นร่ายมนต์นั้นกับไข่ของสัตว์เขี้ยว
หลังจากที่เขาเริ่มร่ายคาถา เฉินหลงได้รู้ในท้ายที่สุดว่าการร่ายคาถานั้นไม่เพียงแต่ต้องใช้พละกำลังแต่ยังจำต้องใช้ความจำอย่างมากอีกด้วย ด้วยความยาวของคาถาเฉินหลงต้องท่องจำมนต์ยาวเหยียดกว่าสองนาที
แน่นอนว่ายังมีคาถาที่ต้องอาศัยวิญญาณขั้นสูงใน“สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”อยู่ แต่มีเพียงไม่กี่บทเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนพลังจิตของตนเป็นพลังวิญญาณที่จะผูกไว้กับมนต์ อีกทั้งในการรักษาให้คงไว้ยังใช้ได้เพียงพลังจิตวิญญาณเท่านั้น
ตอนที่คาถาที่ร่ายคาถาใส่ไข่ของสัตว์เขี้ยว เฉินหลงรู้ในเวลาต่อมาว่าคาถาที่เขาร่ายไปได้เปลี่ยนพลังจิตของเขาให้ผูกติดอยู่กับร่างของสิ่งมีชีวิตและค่อยๆประสานเข้ากับร่างนั้น
และหลังจากที่คาถาผสานกับร่างสิ่งมีชีวิตนั้นแล้ว เฉินหลงก็รู้ตัวว่าเขาเองได้เชื่อมต่อกับร่างนั้นด้วย เขาควบคุมร่างนั้นได้โดยเป็นความรู้สึกคล้ายกับเป็นมือและเท้าของเขาเอง
เฉินหลงเสียเสี้ยวสุดท้ายของพลังจิตวิญญาณของเขาไป แม้ว่าร่างมีชีวิตจะยังไม่มีความนึกคิดในตอนนั้น แต่เมื่อได้ผสานกับจิตวิญญาณเฉินหลงแล้ว เขาความรู้สึกผูกผันตามสัญชาตญาณที่ส่งออกมาทำให้เขารู้สึกราวกับเป็นความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูก
และเมื่อคาถาประสานเข้ากับร่างมีชีวิตแล้ว ช่วงเวลาการฟักของเดรัจฉานระดับต่ำคือสิบกว่าวัน ระดับกลางคือยี่สิบกว่าวัน และระดับสูงคือสามสิบกว่าวัน
แล้วจากนั้นเฉินหลงมัดไข่ของสัตว์เขี้ยวไว้ด้วยเชือกโยงเส้นเล็กและถือไปกับเขา
เพราะในตอนนี้ที่ไข่ได้เริ่มใช้งานแล้วจะถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถใส่ในแหวนอวกาศได้
เฉินหลงพักอยู่ในเมืองเป็นเวลาหลายสิบวันเพื่อรอให้ไข่ของ “สัตว์เขี้ยว” ฟักออกมา
เขาไม่รู้ว่าสัตว์ที่ฟักออกมาจะเป็นตัวอะไร สิบวันต่อมาสัตว์เขี้ยวกระเทาะเปลือกของไข่ขนาดเท่าลูกบาสเกตบอลออกมา ราวกับเป็นสัตว์เนซ่าในตำนานที่เติบใหญ่แบบทันควัน เพราะเพียงไม่กี่วินาที สัตว์เขี้ยวที่เพิ่งฟักก็มีขนาดเท่ากับสุนัขโดเบอร์แมนที่โตเต็มที่
เฉินหลงรู้ว่าสัตว์เขี้ยวที่โตแล้วจะไม่มีขนาดใหญ่ไปมากกว่านี้แม้จะยังโตเป็นตัวเต็มวัยได้อีก อย่างไรก็ตามพลังของมันจะค่อยๆเพิ่มขึ้นมาตามเวลา
ความคิดเป็นสิ่งเดียวที่เฉินหลงต้องใช้ในการควบคุมมัน
และจากการควบคุมของเฉินหลง สุนัขอสูร ที่มีพลังในระดับที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งนั้นก็เปรียบเสมือนสุนัขดีๆนี่เอง มันกระโดดไปมา กลิ้งไปบนพื้น และยื่นมือให้เฉินหลงอยู่พักใหญ่ และในหลายๆสถานการณ์ก็มีคำสั่งอื่นๆอีกมากมาย
“ถ้าเชื่อฟังขนาดนี้ ฉันจะตั้งชื่อให้แกว่าเสี่ยวเฮย” เฉินหลงว่าและมองสุนัขอสูรที่รูปร่างคล้ายสุนัขตัวหนึ่ง
เมื่อได้ยินว่าเจ้านายได้ตั้งชื่อให้มันแล้วสัตว์เขี้ยวมีความสุขเป็นอย่างมาก มันวิ่งวนรอบเฉินหลงพร้อมกับหางสั้นๆนั้นที่กระดิกไม่หยุดเลย เฉินหลงยังไม่รู้ว่าเสี่ยวเฮยกินอะไร แต่ตราบใดที่เจ้านายตั้งชื่อให้แล้วมันก็มีความสุขดี
“ฉันมีอันนี้นะ กินไหม” เฉินหลงว่า เขาหยิบ “หินแห่งแสง” ออกมา
เมื่อเสี่ยวเฮยเห็นหินแห่งแสง มันรู้ว่าเป็นของดีได้ด้วยสัญชาตญาณ เป็นของดีที่ดีกับตัวมันเสียด้วย แต่ของชิ้นนั้นอยู่ในมือเฉินหลงมันจึงทำได้เพียงมองเฉินหลงอย่างกระตือรือร้น
“ถ้านายอยากได้ละก็ ฉันจะให้นาย” ว่าแล้วเฉินหลงโยนหินแห่งแสงในมือเขาออกไป
เสี่ยวเฮยกระโดดขึ้นทันทีและงับหินแห่งแสงไว้ในปาก
แล้วก็มันกลืนลงไปในทันใด
เมื่อกลืนลงไปแล้ว แสงสีขาวได้เปล่งออกมาและห่อหุ้มร่างของเสี่ยวเฮยไว้
ตอนแรกเฉินหลงคิดว่าการพัฒนาของเสี่ยวเฮยจะกินเวลามากเหมือนตอนกู่เฟ่ย แต่เขาไม่คาดคิดว่าการพัฒนาจะกินเวลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น
สิบนาทีต่อมา เสี่ยวเฮยรับแสงสีขาวเข้าไปทั้งหมด
และแม้จะรับพลังจากหินแห่งแสงไปหมดแล้วนั้น ร่างของเสี่ยวเฮยก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่ถึงกระนั้นเฉินหลงรู้สึกได้ว่ามีพลังงานที่น่าหวาดกลัวอยู่ในร่างกายเขา พลังงานนี้แข็งแกร่งเกินกว่าระดับปรมาจารย์ขั้นสูงและมากถึงระดับของขอบเขตพลังลมปราณที่ยิ่งใหญ่มากๆได้
“เกิดอะไรขึ้นกัน” เฉินหลงสับสนเล็กน้อย
หลังจากเขาครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง เฉินหลงก็ยังคิดถึงสาเหตุไม่ออกอยู่ดี แต่เฉินหลงไม่กังวลแล้ว
อย่างไรเสียหากพลังของเสี่ยวเฮยทรงพลังเพียงไร ความปลอดภัยของครอบครัวเขาก็มากขึ้นเพียงนั้น
และแม้จะเป็นเช่นนั้นอีกครึ่งเดือนต่อมา เฉินหลงได้พัฒนา “สัตว์เขี้ยว” อีกและได้ค้นพบถึงสาเหตุนั้น
จากนั้นเฉินหลงได้กลับไปหาครอบครัวพร้อมด้วยเสี่ยวเฮย
ตอนแรกหากการพัฒนามีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นแม้เล็กน้อย เฉินหลงไม่มีทางเอามันกลับบ้านไปด้วย
“เสี่ยงหลง ทำไมเอาหมากลับมาด้วยละ” เมื่อเห็นเฉินหลงที่กลับมาพร้อมเสี่ยวเฮย สีหน้าของหลิ่วซิงหลานก็แสดงชัดถึงความหวาดกลัว
ความยาวตัวของเสี่ยวเฮยที่มากถึงแปดสิบเซนติเมตรและน้ำหนักถึงห้าสิบกิโลกรัม ทำให้ไม่ว่าใครได้เห็นหมาที่ดูดุร้ายนี้เป็นครั้งแรกจะต้องหวาดกลัวทุกครั้งไป
“แม่ไม่ต้องห่วงไปครับ นี่คือเสี่ยวเฮย มันเชื่อฟังมากๆ” เฉินหลงว่าพร้อมด้วยรอยยิ้ม เขาหันไปยิ้มให้เสี่ยวเฮย “เสี่ยวเฮย ตอนที่ฉันไม่อยู่บ้าน นายต้องเชื่อฟังพ่อแม่และน้องสาวฉันนะ แล้วก็ต้องปกป้องพวกเขาด้วย รู้ใช่ไหม”
หลิ่วซิงหลานเห็นเฉินหลงพูดกับหมาอย่างจริงจังเช่นนี้แล้ว เธอคิดว่าลูกเธอช่างน่ารักเหลือเกิน
แต่ถึงเช่นนั้นเมื่อเธอเห็นว่าเสี่ยวเฮยพยักหน้าอย่างตั้งใจแล้ว เธออึ้งไปพักหนึ่ง
“ไม่ต้องห่วงไปครับเจ้านาย ทุกอย่างที่เจ้านายว่าผมจะทำตามให้สำเร็จ” เสี่ยวเฮยมองเฉินหลงด้วยสายตาแน่วแน่
เฉินหลงเห็นสีหน้าดูตลกของแม่เขาแล้ว เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่ครับ เสี่ยวเฮยนี่มีความเหนือจริงมาก เขาเข้าใจทุกอย่างที่แม่พูดเลยนะ ถ้าไม่เชื่อผม แม่ลองดูได้”
“เข้าใจฉันหรือ” หลิ่วซิงหลานมองสิ่งมีชีวิตจากอีกโลก เหมือนกับว่าความใคร่รู้จะเอาทำให้เธอลืมความหวาดกลัวไป
เฉินหลง พยักหน้า
หลิ่วซิงหลานมองสัตว์ที่น่าหวาดกลัวนั่น “มานี่สิ กลิ้ง”
สิ้นคำพูด หลิ่วซิงหลาน เสี่ยวเฮยก็ทำท่า “กลิ้ง” ให้ดูด้วย
การกลิ้งบนพื้นทันที
“เจ้านายบอกว่า ไม่ว่าพวกเขาจะสั่งอะไรก็ให้ทำตามอย่างเด็ดขาด”
“จริงๆด้วย” หลิ่วซิงหลานว่าอย่างตื่นเต้น “ยืนขึ้น”
เมื่อได้เห็นว่าเสี่ยวเฮยทำตามอย่างที่สั่ง หลิ่วเสี่ยวหลานก็เกิดความเอ็นดูขึ้นทันที
หลังจากเล่นกับเสี่ยวเฮยไปสักครู่หลิ่วซิงหลานก็ตกหลุมรักเสี่ยวเฮยที่ดูดุร้ายแต่กลับเชื่อฟังมากๆในทันที
แต่ถ้าหากหลิ่วซิงหลานรู้ว่าเสี่ยวเฮยกัดหินให้ทลายได้ เธอคงไม่นับว่าเสี่ยวเฮยเป็นสัตว์เลี้ยงที่แสนเชื่อฟัง
“เสี่ยงวหลง แล้วเสี่ยวเฮยกินอะไรน่ะ” หลิ่วซิงหลานจับหัวของเสี่ยวเฮยและหยอกล้อมันไปพร้อมกับถามคำถามนี้กับเฉินหลง
เฉินหลงคิดพักหนึ่งและกล่าว “เนื้อน่ะ”
ตอนนี้พลังของเสี่ยวเฮยไปถึงขั้นของพลังลมปราณแล้ว แม้มันไม่กินอะไรหลายๆวันก็ไม่หิวเลยแม้แต่น้อย แต่หากจะให้แม่เขาไม่สงสัยแล้ว เขาจึงบอกไปว่ากินเนื้อ เพราะอย่างไรเสี่ยวเฮยก็เป็นสัตว์กินเนื้อมาก่อน
TB:บทที่ 156 หลินหยู่
หลังเฉินหลงอยู่บ้านอีกวันหนึ่งแล้วเขาก็กลับไปเมืองหลวง
นั่นเป็นเพราะว่าพวกวิถีมารกำลังเข้ามาหาเรื่องเขา ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ทำให้ครอบครัวและแฟนสาวเขาต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เฉินหลงจึงทำได้เพียงแยกกับพวกเขาชั่วคราวและเปลี่ยนเป้าหมายของพวกนั้นมาทางเขาคนเดียว
อีกอย่างครอบครัวเขามีเสี่ยวเฮย กู่เฟ่ย และ ลั่วเสวี่ย คอยปกป้องอยู่แล้วจึงไม่น่ามีปัญหาใด
ด้วยกำลังของเสี่ยวเฮยตอนนี้ หากมีเสี่ยวเฮยปกป้องแล้วก็มีคนไม่มากหรอกที่จะมาทำร้ายครอบครัวเขาได้
เมื่อกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว เจิ้งอี้บอกเฉินหลงว่าเขามีข่าวดี ระบบฉายภาพเสมือนกำลังจะถึงขั้นตอนสุดท้ายและสร้างได้สำเร็จ โดยจะเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาอย่างมากก็หนึ่งสัปดาห์จากนั้นจะต้องทดสอบอีกหลายครั้งจึงจะออกมาขายได้
เรื่องเช่นนี้เฉินหลงยกให้เจิ้งอี้จัดการแทบทั้งหมด ในตอนนี้เฉินหลงยุ่งอยู่กับการจัดการการท้าทายของพวกปีศาจจนไม่มีเวลามาทำเรื่องเกี่ยวกับบริษัท
เรื่องของบริษัทจึงเป็นเรื่องของเจิ้งอี้ในขณะที่เฉินหลงนั่งสบายๆอยู่วิลล่าและรอให้พวกปิศาจมาหาที่บ้านเอง
แน่นอนว่าเฉินหลงไม่ได้รอให้อะไรๆเกิดขึ้นเองเฉยๆ วันก่อนเขาได้ซื้อ ไข่ของ“สัตว์เขี้ยว”มาอีกสองฟองจากร้านของโอเรีย “สัตว์เขี้ยว”นี้เป็นเดรัจฉานระดับต่ำที่อาศัยบนโลกอันป่าเถื่อน พวกมันมีจำนวนมากเหลือเกิน ดังนั้นไข่ของพวกมันในร้านของโอเรียจึงมีอยู่หลายพันฟอง ไม่รู้ว่าโอเรียมีมากขนาดนั้นไว้เพื่อกินหรือทำไม
ถึงจะมีสูตรกระบวนท่าทั้งหมื่นที่ใช้ควบคุมเหล่าอสูรได้ ทว่าก็มีความจำกัดในเรื่องของจำนวนสัตว์อสูรที่ควบคุมได้ในแต่ละระดับพลัง เพราะในท้ายที่สุดแล้วพลังจิตที่ใช้กับแต่ละระดับนั้นมีจำกัด หากพลังจิตไม่สามารถทานทนได้เมื่อพ้นขีดจำกัดไปแล้วนั้น ผลสุดท้ายคือสมองที่จะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ พลังระดับกำเนิดสามารถควบคุมเดรัจฉานระดับต่ำได้มากที่สุดสิบตัว ระดับกลางสองตัว เหมือนแบบกรณีเสี่ยวเฮยที่เฉินหลงเริ่มกระตุ้นให้ทำงานและใช้พลังจิตเพื่อพัฒนาสู่ระดับเดรัจฉานที่มีพลังค่อนสูง แต่อย่างไรก็คล้ายกับว่าควบคุมเดรัจฉานระดับต่ำหนึ่งตัวอยู่เท่านั้น นั่นเป็นเพราะว่าการเติบโตของเสี่ยวเฮยทั้งหมดนั้นใช้พลังวิญญาณของเฉินหลง ดังนั้นแล้วเมื่อพัฒนาพลังของเสี่ยวเฮยให้แข็งแกร่งขึ้นแล้วจะไม่เพิ่มภาระใดให้กับจิตวิญญาณของเฉินหลง
กรณีนี้คล้ายกับการที่แม้มีสิ่งแวดล้อมระดับกำเนิดจะควบคุมอสูรระดับต่ำที่มีความป่าเถื่อนได้สิบตัวและควบคุมขนาดกลางได้สองตัวนั้น ยิ่งควบคุมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มภาระที่หนักหน่วงให้กับพลังของจิตมากเท่านั้น ขนาดที่เหมาะสมที่สุดคือควบคุมอสูรป่าเถื่อนระดับต่ำห้าตัว
ในตอนนี้เฉินหลงควบคุมอสูรระดับต่ำสามตัวจึงมีที่เหลืออีกสองที่เพื่อตามหาอสูรที่เหมาะสมจะควบคุมต่อไป
สิบวันต่อมาในที่สุดไข่ทั้งสองของ “สัตว์เขี้ยว” ก็ฟักออกมา เฉินหลงได้ใช้ “หินแห่งแสง” ให้พวกมันอีกด้วย ในครั้งแรกการพัฒนาของพวกมันใช้เวลาห้านาที ทว่าพลังของพวกมันก็ไม่ได้มากมายเท่ากับเสี่ยวเฮยและเป็นได้แค่ระดับปรมาจารย์ขั้นสูงเท่านั้น
เฉินหลงคิดถึงเหตุผลว่าทำไมจึงใช้เวลารวดเร็วมากในครั้งนี้ ความจริงแล้วผลของ “หินแห่งแสง” สามารถใช้พัฒนาได้หนึ่งหรือมากกว่าครั้งเดียว เรื่องนี้ดูท่าแล้วคงต้องกระตุ้นเสี่ยวเฮยด้วยวิธีนี้หลายๆครั้งเพื่อให้พลังของเสี่ยวเฮยก้าวไปถึงระดับครึ่งเทพครึ่งมนุษย์
อย่างไรเสียแม้จะเพราะสิ่งแวดล้อมที่ปกติอยู่แต่เพื่อใช้ป้องกันบ้านแล้วก็มากเกินพอ
หลังจากนั้นไข่ของ “สุนัข” อสูรทั้งสองก็มีชื่อว่า เสี่ยวเฮยหมายเลขสองและเสี่ยวเฮยหายเลขสาม ซึ่งน่าจะมาจากสีของขนที่ดำ ใจจริงแล้วเฉินขี้เกียจเกินกว่าจะคิดชื่อใหม่
สิบกว่าวันหลังจากนั้นเฉินหลงกลับไปเมืองหลวง ในที่สุดเส้นทางปิศาจได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง
เซียงเจียง ที่ศูนย์ใหญ่ของร้านเครื่องเพชรโจว
“สมบูรณ์แบบ” เขามองสร้อยและแหวนที่ทำออกมาเรียบร้อย จางกวงหนานกล่าวกับตัวเอง
แม้เขาจะรู้ว่าของทั้งสองสิ่งไม่ใช้ของของเขา แต่จางกวงหนานมีความโลภต่อของพวกนี้อยู่ในใจลึกๆ
แหวนเพชรสีชมพูล้อมรอบด้วยเพชรขนาดเล็ก ผีเสื้อที่ทำจากเพชรเม็ดจิ๋ววางอยู่ที่มุมข้างหนึ่งด้วยท่าทางคล้ายกำลังเก็บเกสรดอกไม้อยู่
จี้เพชรที่ฝังในสร้อยเพชรถูกเจียระไนเป็นรูปหัวใจ ข้างๆของจี้เพชรนี้มีเพชรที่ทำให้เป็นรูปแพร์ที่มีความแวววาวฝังอยู่
เพื่อที่จะรักษาความงามของสร้อยนี้ไว้ เครื่องเพชรของโจวได้ตกลงแลกเปลี่ยนเพชรชิ้นใหญ่สี่ก้อนและเพชรเม็ดเล็กที่มีราคาเท่ากันมาจากเฉินหลง
“สวยงามมากๆ ช่างน่าเสียดายที่เครื่องเพชรสองชิ้นนี้ไม่ได้เป็นของฉัน” ในตอนนั้นเอง เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกิเลสดังขึ้นจากเบื้องหลังจางกวงหนาน
“ครับใช่ เอ่อ นั่นใคร” จางกวงหนานได้ยินเสียงดังจากข้างหลังตอนแรกเขาเห็นด้วยแต่แล้วเขาก็นึกได้ในทันทีได้ว่าเขาอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง ตัวคนเดียว แล้วเสียงจากข้างหลังมาจากไหนกัน
เมื่อเขาหันหน้ากลับมาด้วยความหวาดกลัว เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสีขาว ที่แม้ไม่ได้แต่งตัวมากแต่ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเธอสวยงามเหลือเกิน
หญิงสาวคนนั้นมองจางกวงหนานที่หันมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอช่างมีเสน่ห์ไปทุกจุด ดวงตาเธอเป็นประกาย
เขาเห็นรอยยิ้มของหญิงสาวคนนั้นแล้ว จางกวงหนานนิ่งอึ้งไป เขาไม่เคยเห็นใครที่มียิ้มสวยขนาดนี้มาก่อน แต่หลังจากจางกวงหนานเห็นประกายในตาหญิงสาวเขาก็วูบไป
แล้วหญิงสาวก็หยิบกล่องที่ใส่แหวนและสร้อยคอ ร่างของเธอวาบราวกับเป็นวิญญาณและหายไปจากห้องทำงานของจางกวงหนาน
เมื่อหญิงสาวจากไปแล้ว จางกวงหนานกลับคืนสติมา แล้วเขาโทรหาเฉินหลงและบอกเขาว่าเครื่องเพชรส่งไปให้ และคนที่นำไปส่งชื่อว่า หลินหยู่
หลังจากที่จางกวงหนานโทรไปแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ในใจเขาหลินหยู่เป็นคนที่เขาสนิทที่สุด และการที่เธอทำเช่นนี้ก็เหมาะแล้ว ถึงแม้เขาจะจำหน้าตาเธอไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน แต่อย่างไรก็ตามเขารู้สึกวางใจ
“หลินหยู่ ชื่อช่างดีเสียจริง แต่ฉันไม่รู้ว่าเธอสวยไหมนี่สิ” เมื่อเขาวางสายเฉินหลงรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับการส่งมอบของจากหลินหยู่เป็นอย่างมาก
อย่างไรเสีย หากเขารู้ก่อนว่าจางกวงหนานขอให้เธอส่งของมาอย่างไร เขาคงไม่สนใจแล้วว่าหลินหยู่สวยหรือไม่ แต่จะคิดว่าเธอแข็งแกร่งแค่ไหนมากกว่า
สามชั่วโมงครึ่งต่อมา หลินหยู่ปรากฏตัวมาที่สนามบินปักกิ่ง
ด้วยชุดสีขาวที่เธอใส่ ใบหน้าที่งดงาม เธอกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันที
พวกผู้ชายอวดเบ่งบางคนพร้อมจะปรี่เข้ามาคุยกับเธอแต่เมื่อพวกเขาเข้ามาแล้วก็ต้องถอยกลับไปทีละคน คล้ายกับโดนสั่งด้วยอะไรสักอย่าง
จากนั้นหลินหยู่ก็ออกไปจากสนามบินโดยนั่งรถเบนท์ลีย์คอนติเนนทัลที่จอดรอมาเป็นเวลานาน
หลังจากที่คนหลายคนที่นั่นเห็นว่าหลินหยู่ขึ้นรถเบนท์ลีย์ยุโรปไป พวกเขารู้สึกเสียดายทันทีเพราะคนสวยๆอีกคนไปอยู่กับพวกคนรวยนั่นอีกแล้ว
ตอนที่หลินหยู่ขึ้นรถไปแล้ว รถได้ตรงไปที่วิลล่าของเฉินหลงทันที
ไป๋ชิงเหวินเจอกับเฉินหลงไปแล้ว แต่เฉินหลงยังมีชีวิตอยู่ปกติดี ราวกับว่าเฉินหลงเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ แล้วเฉินหลงยังอยู่ดีได้อย่างไรกันนี่
ยี่สิบนาทีต่อมา รถคันนั้นมาถึง
หลินหยู่ก้าวลงมาจากรถพร้อมกับกล่องเครื่องประดับในมือ เธอเดินไปที่ประตูหน้าและกดกริ่ง
เฉินหลงเดินออกมาจากวิลล่าพร้อมด้วย “สุนัข” สองตัว ที่เมื่อเห็นหลินหยู่ในชุดขาวยืนอยู่นอกประตู
เมื่อสุนัขทั้งคู่เห็นหลินหยู่ พวกมันขู่คำรามในทันที พวกมันรู้สึกว่ามนุษย์ตรงหน้าไม่ปกติ เฉินหลงและพวกมันมีวิญญาณที่ผูกติดกันอยู่ พวกเขาจึงรู้สึกได้ทันทีถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตาของหลินหยู่
“วิถีปีศาจ”
เฉินหลงนึกได้อย่างฉับพลัน
จากนั้นด้วยการใช้เครื่องทดสอบ เขาแน่ใจพอตัวว่าผู้หญิงที่ยืนตรงหน้านี้ต้องไม่มีข้อมูลใดแสดงให้เห็นแน่
TB:บทที่ 157 พวกฟานชิง
“คุณเฉินใช่ไหมคะ ฉันหลินยู่นะคะ คนที่มาส่งมอบเครื่องเพชรให้คุณ คุณผู้จัดการจางน่าจะโทรมาหาคุณแล้ว” หลินหยู่ว่าพร้อมรอยยิ้ม
คงเป็นเรื่องที่ปฎิเสธไม่ได้ที่หากไม่นับกลิ่นอายความเป็นปิศาจแล้ว หลินหยู่ถือว่ามีความงามที่หาใครเทียบเคียงยาก และด้วยสิ่งที่เป็นอยู่นี้หลินหยู่จึงส่งความรู้สึกที่ยากจะจัดการออกมา ทำให้หลายๆคนอดไม่ได้ที่จะเห็นใจเธอ
ด้วยรอยยิ้มที่จู่ๆก็ปรากฏ เฉินหลงเปิดประตูให้หลินหยู่และกล่าวว่า “ทางนี้คือคุณหลินสินะครับ เชิญเข้ามาครับ เชิญเข้ามาเลย แต่ก่อนอื่น ผมคิดไว้นะครับว่าคุณหลินน่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร ผมคาดไม่ถึงเลยว่าคุณหลินจะเป็นคนสวยขนาดนี้”
แม้ว่าพลังของหลินหยู่จะแข็งแกร่งแต่พลังของเธอยังไม่ไปถึงระดับลมปราณและระดับจิตวิญญาณอันทรงพลัง และแม้พลังของเขาจะไม่แข็งกล้าเท่าหลินยู่แต่เขาก็มี “สุนัข” ระดับกำเนิดที่จะช่วยเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวเธอ
“เอาล่ะ คุณเฉิน คุณพูดเก่งนี่” หลินหยู่ยิ้มให้เฉินหลงและเดินเข้าไป “คุณเฉินคะ คุณนี่รวยจริงๆเลยนะคะ วิลล่าแบบนี้น่าจะมีมูลค่าเยอะมากเลยในปักกิ่ง”
“คุณหลินครับ คุณก็รวยนี่ครับ คุณมากับเบนท์ลีย์แบบนั้นที่น่าจะแพงกว่าห้าล้านหยวนอีก แล้วเพื่อจะมาส่งมอบของ” เฉินหลงกล่าว เขาเหลือบมองรถที่จอดอยู่ภายนอก
“รถคันนี้บริษัทจัดมาให้น่ะค่ะ อย่างเพชรที่คุณเฉินสั่งมานี่ก็แพงมากๆ ดังนั้นแล้วจึงต้องการรถแบบนี้เพื่อให้เหมาะสมน่ะค่ะ อ๋อ แล้วก็นะคะ เครื่องเพชรที่บริษัทเราทำ เชิญดูก่อนได้เลยค่ะ”
เมื่อกล่าวจบหลินหยู่ก็ยื่นกล่องเครื่องเพชรให้เฉินหลง
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ ผมจะเข้าไปข้างในแล้วค่อยดูนะครับ คุณหลิน คุณอยากจะเข้ามาแล้วนั่งพักสักครู่ไหมครับ” เมื่อรับกล่องไปแล้วเฉินหลงไม่ได้เปิดดูในทันที เขาหันไปหาหลินหยู่
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน….” หลินหยู่เดินไป
ตอนแรกเธอคิดจะให้เฉินหลงวางใจไม่ระแวงเธอก่อนแล้วจึงจะเริ่มต้น แต่การที่เฉินหลงออกปากเชิญเธอให้เข้าไปนั่งในห้องแบบนี้ เธอไม่ปฏิเสธ
“ไม่รบกวนหรอกครับ ไม่เลยสักนิด เชิญครับ เชิญ” เฉินหลงแกล้งทำเป็นไม่รีรอ
เมื่อเข้าไปในวิลล่าแล้วเฉินหลงเชิญให้หลินหยู่นั่งลง แล้วเขาจึงเปิดกล่องเครื่องเพชรเพื่อดูของข้างใน
“โห ดีนี่ครับ ผมพอใจเลยล่ะ” เฉินหลงมองแหวนและสร้อยคอย่างระมัดระวัง แล้วเขาก็เงยหน้า
“อย่างนั้นหรือคะ” แสงประหลาดในดวงตาของหลินหยู่วาบขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่ดูเครื่องเพชรแล้ว น่าจะเป็นช่วงที่เฉินหลงไม่ระวังตัวที่สุด และนี่คือช่วงเวลาที่หลินหยู่จะเริ่มจัดการ
เมื่อได้เห็นแสงประหลาดในตาของหลินหยู่ เฉินหลงรู้สึกทันทีถึงพลังงานบางอย่างที่เข้าสู่สมองเขา จากนั้นความรู้สึกสับสนก็เข้ามา
ถึงอย่างไรเฉินหลงก็ระวังตัวอยู่เสมอ พลังของเขามีพอที่จะสลายพลังงานนั่นไปในทันที แต่เขายังคงแสดงออกไปว่าเขาสับสนและกำลังจิตใจว้าวุ่น
ในขณะนั้นเอง เฉินหลงได้บอกเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามไม่ให้ทำอะไรหุนหัน
“ฮ่ะฮ่า อี้หยางโดนไอ้โง่แบบนี้ฆ่าหรือ เขาคงตายตาหลับ” เมื่อเธอเห็นเฉินหลงต้อง “มนต์สะกด” ด้วยมนต์ของเธอ หลินหยู่หัวเราะออกมา
“พยายามหน่อยสิ ทำอะไรได้บ้างเนี่ย” เมื่อหัวเราะแล้ว หลินถามถึงความสามารถของเฉินหลง เธออยากรู้เหลือเกินว่าเขามีความสามารถอะไร และหากพลังเฉินหลงแข็งแกร่งมากแล้ว เช่นนั้นเธอจะทำให้เขาเป็นหุ่นรบชักใยด้วยวิชาลับของ “พวกใช้มนต์เสน่ห์”
“ผมก็ ควบคุมไฟได้ สะกดรอย ชี้จุด รู้วิชาการแพทย์ ยิงปืนได้ ควบคุมสิ่งของ สวรรค์ โลกหล้า ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์….”
เฉินหลงพูดความสามารถที่เขารู้จักด้วยเสียงต่ำ
ตอนแรกๆที่เธอฟังหลินรู้สึกว่าเฉินหลงทำได้หลากหลายอย่าง แต่แล้วเมื่อเขาพูดต่อไปเธอรู้สึกว่าเขารู้มากไป ความสามารถบางอย่างเป็นสิ่งที่ยากเกินจะเรียนรู้ เธอจึงรู้ได้ทันที ว่าเขาหลอกเธอเข้าแล้ว รอยยิ้มของเธอเข้าไปใกล้เฉินหลงแล้วเธอก็สับคอเฉินหลงออกด้วยมือข้างเดียว
เมื่อ “มนต์สะกด” ใช้ไม่ได้ผลก็แค่ต้องฆ่าเขาเสีย
แต่ถึงกระนั้นเมื่อหลินโจมตีเฉินหลง เสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสาม แยกเขี้ยวโชว์ฟันขาว พวกมันไม่ได้มองว่าหลินเป็นคนสวย และพวกมันจะไม่มีความเมตตาให้กับคนที่กล้าทำร้ายเจ้านายของพวกมัน คนที่ทำร้ายเขาจะต้องตาย
สัตว์สีดำสองตัวกระโจนเข้าหาหลินหยู่ที่หน้าตาเปลี่ยนไป
ความเร็วของสุนัขทั้งสองตัวนี้รวดเร็วมาก และหากหลินหยุ่ยังกล้าทำร้ายเฉินหลงต่อ เธอคงยากที่จะเลี่ยงไม่ให้พวกมันกัดเธอ เธอมองปากของพวกมัน ไม่ว่าเธอจะโดนกัดตรงไหนก็คงเป็นแผลฉกรรจ์
อย่างไรเสียหลินหยู่ทำได้เพียงหดมือที่จะทำร้ายเฉินหลงกลับมา และวาดวงกลมรอบสิ่งที่เกิดขึ้นและลูบหัวเสี่ยวเฮยที่สองและสามอย่างมีแผนการ
ตอนแรกหลินหยู่คิดว่าฝ่ามือทั้งสองของเธอจะฆ่าสุนัขสองตัวนี้ได้ แต่แล้วมือที่ลูบหัวพวกมันอยู่ก็มีพลังส่งกลับมาจากที่ส่งไปทำร้ายพวกมัน
“พลังของพวกมันเป็นระดับกำเนิดได้อย่างไรกัน”
หลินหยู่รับรู้ได้ถึงพลังที่แท้จริงของสุนัขทั้งสองนี้
พลังของ “สุนัข” ทั้งสองตัวที่ล้อมรอบตัวเฉินหลงจริงๆแล้วเป็นระดับกำเนิด หลินหยู่จะไม่ตกใจได้อย่างไรกัน
หลินหยู่ที่กำลังตกใจถอยห่างออกไป ทำให้มีช่องว่างระหว่างหลินหยู่และเฉินหลง
“คุณหลินครับ ไม่ใช่ว่าอยากรู้พลังของผมหรือ ทำไมจะฆ่าผมแทนที่จะฟังละครับ ผมยังมีความสามารถอีกมากเลยที่ยังไม่ได้บอกไป” เฉินหลงแตะหัวของเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและสาม ที่ในตอนนี้กลับมาอยู่ข้างเขาแล้ว เขามองหลินหยู่พร้อมด้วยรอยยิ้ม ไม่มีสัญญาณของสติที่หลุดลอยในดวงตาเขาแล้ว
“นายรู้ว่าฉันเป็นใครตั้งแต่แรก แต่นายก็ปล่อยและดูว่าฉันทำอะไรต่อ แล้วนายจะฆ่าฉันทิ้งทั้งอย่างนี้เลยใช่ไหม” หลินหยู่จ้องเฉินหลงด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ
แต่แม้สายตาของหลินหยู่จะเต็มไปด้วยความอาฆาต สายตาคู่นั้นยังคงมีอะไรที่พิเศษอยู่
“พอรู้แล้วว่าคุณจะฆ่าผมตรงนี้ ทำไมผมจะทำตัวเหมือนลิงไม่ได้ละครับ” สายตาเฉินหลงนิ่งสงบ
“ฉันอยากช่วยชีวิตนาย แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว” หลินหยู่ว่า มือทั้งสองกลายเป็นมีดสั้นที่ส่องประกายเย็นเยือกในทันใด
เฉินหลงลูบหัวเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและสามและกล่าวว่า “คุณต้องข้ามศพเพื่อนผมสองตัวนี้ให้ได้ก่อน แล้วเราค่อยคุยกันเรื่องอื่นกัน”
หลังจากนั้นเฉินหลงสั่งเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและสาม
“มาดูกันว่าหมาของแกจะอยู่ได้นานแค่ไหน” หลินหยู่เผยยิ้มเยือกเย็น ร่างของเธอเปล่งแสงวาบ เธอก้าวเท้าอย่างแปลกประหลาดและเข้าโจมตีเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและสาม
จากนั้นคนหนึ่งคนและหมาอีกสองตัวก็ต่อสู้กัน
มีดคู่ของหลินหยู่ลอยขึ้นและร่วงลงมา พวกมันป้องกันการโจมตีของเสี่ยวเฮยหายเลขสองและสามด้วยมุมที่ไม่น่าเชื่อได้ทุกครั้ง อีกทั้งยังทิ้งแผลไว้บนตัวเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและสามด้วย
แค่อย่างไรก็ตามแผลนั้นก็ตื้นเกินไปและไม่ทำให้พวกมันบาดเจ็บอะไร
ไม่ว่าเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและสามจะมีแผลบนตัวมากเพียงไรพวกมันก็ยังพุ่งเข้าโจมตีหลินหยู่อย่างกล้าหาญ และพยายามจะฉีกกระชากเธอเป็นชิ้นๆ
เมื่อได้เห็นหมาทั้งคู่ยากที่จะจัดการแล้ว คิ้วหลินหยู่ขมวดแน่น พวกมันเป็นแค่หมาสองตัว หากเฉินหลงเข้ามาร่วมสู้แล้วเธอรับมือได้อีกแค่ไม่นานแน่ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลินหยู่จึงเริ่มจะถอย
TB:บทที่ 158 การแลกเปลี่ยนทักษะศิลปะป้องกันตัวและลัทธิเต๋า
เฉินหลงประหลาดใจในกำลังของหลินหยู่เช่นกัน เขาเห็นตอนที่เธอขวางการโจมตีของเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามแต่เธอยังได้เปรียบพวกมันอยู่
“กำลังของผู้หญิงคนนี้ช่างแข็งแกร่งเกินกว่าจะสู้ตัวต่อตัวได้ ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้เธอจริงๆ”
หลินหยู่โจมตีได้ไม่นาน เธอเป็นคนใจร้อน
“ระบำเวทย์”
ร่างของหลินหยู่หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว มีดในมือทั้งสองของเธอโจมตีเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและสาม
“ควับ ควับ ควับ….”
อากาศจำนวนมากถูกส่งเข้าไปใส่เสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสาม แผลมากมายเพิ่มขึ้นตามตัวพวกมัน แผลพวกนี้ลึกกว่าแผลที่ได้รับตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด
“ระบำเวทย์” ของหลินหยู่ดำเนินไปถึงสามสิบวินาที เมื่อเธอลงมาบนพื้นแล้ว ในหน้าเธอก็ซีดเซียวเนื่องจากท่า “ระบำเวทย์” ที่ใช้ฉีและเลือดของเธอไปเยอะมาก
แต่เสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามอยู่ในสภาพที่แย่กว่าเธอ ตัวของพวกมันเต็มไปด้วยบาดแผล ทว่ายังคงขวางตัวของเฉินหลงไว้ พวกมันแยกเขี้ยวและมองหลินหยู่อย่างดุร้าย
บนดวงเคราะห์แห่งสัตว์อสูรสิ่งมีชีวิตจำนวนมากตายลงไปทุกวัน หากไม่อยากตายก็จะต้องสู้ หากว่าเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็ยังจำต้องสู้จนกว่าจะชีวิตจะหาไม่
แม้ว่าเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามจะไม่ได้อยู่บนโลกที่ป่าเถื่อนนั้นแล้วแต่สัญชาตญาณในตัวพวกมันสั่งให้พวกมันยืนหยัดแม้จะใกล้สิ้นใจ
“เฉินหลงถ้าเรายังสู้กันต่อไป มีแต่เราทั้งคู่จะแพ้ หรือว่าเราควรสู้กันต่ออีกวัน” หลินหยู่เห็นสุนัขทั้งคู่ที่มองเธออย่างดุร้ายแล้วจึงกล่าวออกไปอย่างสั่นกลัว
“แพ้ทั้งสองข้าง ผมไม่คิดว่าแบบนั้นนะ ตอนนี้คุณอ่อนแอมากๆแต่ผมยังไม่ได้ใช้พลังอะไรไปเลย คุณคิดว่าใครกันละที่มีสิทธิ์ชนะมากกว่า” เฉินหลงมองหลินหยู่และกล่าวไป
เฉินหลงกังวลเริ่งความอดทนของหลินหยู่ หากเธอมีชีวิตต่อไปอีกวันเขาคงไม่แสดงความเมตตาอีกแล้ว
“ถึงพลังของฉันจะลดลงมาแล้ว แต่ฉันก็โจมตีข้างหลังนายได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย มีคนหน้าตาดีอย่างนายอยู่เป็นเพื่อน ฉันจะได้ไม่เหงาด้วย” หลินหยู่มองเฉินหลงด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินหลินหยู่ว่าดังนั้น เฉินหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย คราวที่แล้วจู่ๆอี้หยางก็ระเบิดตัวเอง หากเขาไม่มีพวกเครื่องมือคอยช่วยปกป้อง ร่างเขาคงแหลกไปแล้ว “พลังมนต์สะกด”ของหลินหยู่มีกลิ่นอายของปิศาจอยู่ ใครจะรู้ว่าเธอมีกลวิธีอะไรที่ก้นหีบกันที่มีความเฉพาะตัวเพื่อฆ่าตัวตายกันล่ะ ในตอนนี้ที่เส้นทางแห่งปิศาจหมายหัวเขา พวกเครื่องมือจึงใช้งานอยู่ในที่สำคัญๆ ที่ซึ่งเขาคิดว่าเป็นของขวัญให้ใครคนอื่น และเขาทิ้งไว้เพื่อจะช่วยชีวิตตัวเขาเอง
“เธอไปได้” เฉินหลงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกไป แต่อย่างไรเขายังต้องการจะฆ่าศัตรูตัวร้ายนี่อยู่
เมื่อได้ยินคำของเฉินหลง ใบหน้าหลินหยู่แสดงรอยยิ้มเย้ายวนออกมา เธอกล่าวกับเฉินหลง
“นายเป็นคนที่โหดร้ายจริงๆนะเนี่ย แต่ฉันชอบนะ ครั้งหน้าที่เราเจอกัน ฉันจะเอาหัวนายไปและจะดูแลมันอย่างดีเลย แล้วก็อีกอย่างหมาน้อยนายน่ารักดี”
จบคำนั้น หลินหยู่วางมีดสั้นลงและออกจากวิลล่าไป
เมื่อหลินหยู่ออกจากวิลล่า เฉินหลงถอนหายใจอย่างโล่งอก เสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้และคงสู้ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
แต่ถึงกระนั้น การฟื้นฟูของสัตว์อสูรพวกนี้รวดเร็วมาก อาการบาดเจ็บระดับนี้อาจจะฟื้นฟูได้อย่างมากที่สุดสามวัน ในท้ายที่สุดแล้วชีวิตและความตายก็เกิดขึ้นทุกวัน บนโลกแห่งความป่าเถื่อน หากพวกมันฟื้นฟูช้า คงกลายเป็นอาหารให้กับสัตว์อื่นไป
เมื่อเขาเห็นหลินหยู่ขึ้นรถไปแล้ว เฉินหลงถอนสายตาเขากลับมาคิดถึงพวกเส้นทางปิศาจ เขาต้องหาทางเพิ่มพลังตัวเอง
หลังจากหลินหยู่ขึ้นรถไปเขาได้เห็นคนอีกคนบนรถ
“นั่นเธอหรือ”
“ใช่แล้ว ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าคุณหลินหยู่จะแพ้ในการต่อสู้” ชายคนที่นั่งข้างฝั่งคนขับกล่าวอย่างเย็นชา เขาไม่ได้หันหลังกลับมามอง “ฉันเคยบอกไปแล้ว ตราบใดที่เราแปดคนร่วมมือกัน เฉินหลงไม่มีทางเทียบติดหรอก อย่างไรเสียพวกเธอก็ยังยืนยันว่าจะจัดการเขาด้วยตัวเอง เห็นไหมว่าไป๋ชิงเหวินไม่กล้าจะโจมตีเขาด้วยซ้ำ ตอนนี้เธอทรมานมาก แล้วถ้าหากเราไปทีละคนทีละคน อย่างไรพวกเราก็แพ้ ฉันคิดว่าเราควรไปจัดการเขาด้วยกัน”
หลินหยู่ตอบอย่างเยือกเย็น “ไม่ต้องพูด ฉันไม่ร่วมมือกับแกหรอก ฉันรู้จักพลังของตัวเองอยู่แล้ว ครั้งหน้าที่ฉันเจอมัน ตอนนั้นจะเป็นเวลาตายของมันเอง ตอนนี้แกไปได้แล้ว”
“พี่สาว พี่นี่ช่างแล้งน้ำใจเสียจริง น้องของพี่มาหาพี่แท้ๆแต่พี่กลับไล่เขาไปแบบนี้ ไม่เห็นมีเหตุผลเลย” ชายคนดังกล่าวว่า
น่าแปลกใจว่าชายคนที่นั่งเบาะหน้าและไม่หันมาคือน้องชายของหลินหยู่
“น้องชายหรือ ฉันบอกไปแล้วอย่างไรเล่าว่าแกไม่ใช่น้องฉันอีกต่อไปแล้ว ถ้ามีโอกาสฉันจะฆ่าแกด้วยตัวเอง” น้ำเสียงของหลินหยู่ช่างเย็นชาและเลวร้าย สีหน้าของเขามีความเศร้าขึ้นมา
“ก็ได้ ฉันจะฝากชีวิตฉันไว้กับพี่” จบคำชายคนนั้นเปิดประตูและจากไป
ชายคนนั้นแม้จะลงรถไปแล้วแต่เขาก็ไม่หันหน้ามา
“หลินหยู่ชา วันหนึ่ง ฉันจะเอาชีวิตแก”
หลินหยู่มองชายคนนั้นจากไป เครื่องจักรสังหารของเธอหายไปพร้อมกัน
“ขับไป”
เมื่อคนขับริ่มขับไปแล้ว หลินหยู่ได้ปิดตาและหายใจ
การใช้ “ระบำเวทย์” ลดพลังชีวิตของเธอ เธอกลัวว่าอีกสิบกว่าวันหรืออาจจะครึ่งเดือน พลังของเธอจึงจะฟื้นคืนกลับมา
เพราะหลินหยู่ชาและหลินหยู่เป็นพี่น้องกัน พวกเขาจึงมีเรื่องบาดหมางระหว่างกันอยู่
สามวันถัดมาจากวันที่หลินหยู่ไปแล้ว มีแขกที่ไม่คาดคิดหาเฉินหลงที่วิลล่า แขกคนนั้นคือซ่งเจิ้ง คนที่เฉินหลงพบมาแล้วสองครั้ง เฉินหลงกล่าวกับเขา
“อะไรหอบนายเล็กของสกุลซ่งมาที่บ้านเล็กๆของผมกัน” เมื่อเขาเห็นซ่งเจิ้ง เฉินหลงจึงกล่าวทัก
ซ่งเจิ้งยกยิ้มแห้งๆ เมื่อไม่นานมานี้พลังของเฉินหลงเทียบเท่าได้กับเขาแต่ในตอนนี้เขาไปถึงขั้นกำเนิด เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ซ่งเจิ้งอิจฉา ริษยา และเกลียด
“คุณเฉิน อย่ามาพูดเสียดสีเรื่องผมแบบนี้ ถึงผมจะมีสัญญากับสกุลซ่งไว้ แต่ใจจริงแล้วผมเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากในตระกูลนะครับ แต่หากเทียบกับคุณแล้วผมยังห่างชั้นนัก” ซ่งเจิ้งว่าอย่างช่วยไม่ได้
พลังของเขาแน่นอนว่าถือว่าเป็นเลิศที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของสกุลซ่ง เขายังเป็นทายาทที่จะเป็นผู้นำคนต่อไปของสกุล นั่นคือก่อนที่เฉินหลงจะปรากฏตัว ตำแหน่งนั้นเคยเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจเป็นที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม การที่เฉินหลงปรากฏตัวมาพร้อมคุณสมบัติที่เลวร้าย ซ่งเจิ้งจะไม่อวดเบ่งอะไรต่อหน้าเฉินหลง
“นายเล็กสกุลซ่ง คุณคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อบอกว่าคุณอ่อนด้อยกว่าผม” เฉินหลงมองซ่งเจิ้ง
“คุณเฉิน ผมจะมาเชิญคุณไปงานแลกเปลี่ยนศิลปะป้องกันตัวน่ะครับ” ในที่สุดซ่งเจิ้งก็กลับมาสู่ตัวเขาแบบปกติและกล่าวไปพร้อมรอยยิ้ม
“งานแลกเปลี่ยนทักษะศิลปะป้องกันตัวหรือ ไม่ล่ะ ไม่สนใจ” งานนี้ควรจะเป็นงานแลกเปลี่ยนทักษะศิลปะป้องกันตัวแต่เฉินหลงไม่อยากจะดูเหมือนตัวตลก
“คุณเฉิน คุณอย่าทำตัวยุ่งจนปฏิเสธสิครับ หลังฟังผมแล้วคุณจะไม่ปฏิเสธแน่” เมื่อได้ยินคำตอบของเฉินหลง ซ่งเจิ้งกล่าวตอบอย่างใสซื่อ
ก่อนที่เขาจะมา ซ่งเจิ้งเดาไว้แล้วว่าเฉินหลงจะปฏิเสธ แต่เขายังอยากพยายามให้ดีที่สุด
TB:บทที่ 159 หว่านซูจื่อ
เฉินหลงมองซ่งเจิ้งและไม่กล่าวอะไร จากนั้นเขาบอกให้พูดต่อ
“เช่นนั้น แม้งานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะศิลปะการต่อสู้จะฟังแล้วเหมือนงานแลกเปลี่ยนทักษะกัน ทว่าจริงๆแล้วเป็นการท้าทายประเทศจีนจากประเทศอื่นครับ” ซ่งเจิ้งว่าต่อ
“เดี๋ยวก่อนนะ เพราะเป็นการท้าทายประเทศจีนที่ยิ่งใหญ่ของเราจากประเทศอื่น ถึงปกติแล้วจะเป็นเรื่องของทั้งชาติจีนที่เกรียงไกร จีน ที่มีเสือหมอบ มีมังกรที่ซ่อนเร้นไว้ และมีผู้มีความสามารถมากมาย แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ฉันคงช่วยไม่ได้” เฉินหลงขัดซ่งเจิ้ง
เฉินหลงพูดถูกแล้ว ด้วยพลังของไป๋ชิงเหวินและหลินหยู่ที่มีความชั่วร้าย อย่างไรเสียพลังที่มีความชั่วร้ายเช่นนั้นถูกผลักดันให้ออกจากดินแดนแห่งสรวงสรรค์ไป จึงเป็นเรื่องที่นึกออกได้ว่าหวังฮงทำเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ตราบใดที่หนทางถูกต้องแล้วก็ส่งคนบางคนออกไปได้ และพวกนักสู้ต่างชาติพวกนั้นจะกระโดดหลบก็ไม่ได้
“ยังมีกฎแลกเปลี่ยนของการชุมนุมอยู่ว่าต้องเป็นนักสู้รุ่นใหม่ที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีเท่านั้นจึงจะร่วมการชุมนุมนี้ได้ หากปิดบังอายุแล้วจะไม่ผ่านคุณสมบัติ ดังนั้นคุณเฉินเราเลยหวังให้คุณร่วมกับเราด้วย เพื่อให้พวกเรามีโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมที่จะชนะ” ซ่งเจิ้งว่าอย่างจริงจัง
“ผมต้องขอโทษด้วย ผมคงไม่เข้าร่วม ขอโทษทีนะแต่คงช่วยคุณไม่ได้” เฉินหลงยังคงปฏิเสธ
“เช่นนั้น หากคุณเฉินไม่ต้องการจะเข้าร่วม ผมจะไม่บังคับอะไร เพราะสุดท้ายแล้วคุณเฉินก็ไม่ได้มีความรับผิดชอบที่ต้องมาเข้าร่วมงานชุมนุมนี่ แต่ถึงคุณจะปฏิเสธก็ตาม ผมจะให้บัตรเชิญนี่ไว้กับคุณอยู่ดี และถ้าคุณอยากจะมาก็ลองมาได้ พวกเราจะต้อนรับคุณอย่างอบอุ่น” สิ้นคำพูดนั้นซ่งเจิ้งได้มอบบัตรเชิญสีแดงให้เฉินหลง
และหลังจากส่งมอบแล้ว ซ่งเจิ้งก็จากไป
เฉินหลงมองบัตรเชิญในมือของเขา แล้วเขาจึงครุ่นคิดและตัดสินใจว่าเขาจะไปร่วมงาน แต่ไม่ใช่ด้วยใบหน้านี่ เขาจะใช้ “หน้ากากพันหน้า” เพื่อเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้อื่นแล้วจึงเข้าร่วมงาน
เฉินหลงดูเวลาบนบัตรเชิญที่บอกเขาว่างานนี้จะจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นตอนเก้าโมง สถานที่คือโรงยิมของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ยังมีเวลาเหลืออีกวันหนึ่ง เฉินหลงต้องการเตรียมตัวให้ดี เขาจะเข้าร่วมงานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะในวันพรุ่งนี้เพือเปิดหูเปิดตาดูว่าคนต่างชาติจะมีรูปแบบการต่อสู้แบบใด
จากนั้นเฉินหลงคิดเกี่ยวกับตัวตนที่เขาจะใช้เข้าร่วมงานชุมนุมแลกเปลี่ยน
ไม่นานหลังเขาครุ่นคิด เฉินหลงนึกถึงหนังสือการ์ตูนที่เขาเคยเห็นมาก่อน ในหนังสือการ์ตูนดังกล่าวตัวละครจะใช้กระบองคู่และสกิล “ระฆังทอง” ที่ทรงพลังมากเหลือเกิน
เฉินหลงคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเข้าระบบอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เฉินหลงเข้าไปร้านของหว่านซูจื่อ ผู้ขายที่มาจากโลกศิลปะการต่อสู้โบราณ คราวก่อนเฉินหลงเห็นสกิล “ระฆังทอง” ในร้านของหว่านซูจื่อ แต่ตอนนั้นเป็นเพียงช่วงเดียวที่“ระฆังทอง”จะใช้ศึกษาได้ อีกทั้งสกิลยังต้องอาศัยพลังระดับปรมาจารย์ ในตอนนั้นเฉินหลงยังมีพลังไม่ถึง
แต่ครั้งนี้เฉินหลงมีพลังเพียงพอแล้ว โดยธรรมชาติของเขาเฉินหลง เขาไม่พลาดจะแลกเปลี่ยนมา หากได้พึ่งพาสกิลนี้พลังป้องกันของเฉินหลงจะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และเขาจะได้ข้อได้เปรียบบางอย่างเพื่อจัดการกับหนทางปิศาจอีกด้วย
สกิล“ระฆังทอง”นี้ต้องใช้แต้มแลกเปลี่ยนห้าพันแต้ม หลังจากแลกเปลี่ยน“ระฆังทอง”แล้วเฉินหลงยังคงดูของในร้านของหว่านซูจื่อไปเรื่อยๆ เขาพบว่ามีสกิลลับมากมายในร้านนี้ อีกทั้งยังมีสกิลที่ต้องถึงระดับกำเนิดจึงจะศึกษาได้อยู่
เฉินหลงมีความโลภมาก และเขารู้สึกสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับตัวของหว่านซูจื่อ เขาเป็นคนที่เฉินหลงต้องการเห็นหน้าเป็นที่สุด
ด้วยความคิดนั้นเฉินหลงจึงคิดจะลองดู เขาทิ้งข้อความไว้ให้หว่านซูจื่อ ข้อความที่บอกว่าเขามีความลับของศิลปะป้องกันตัวมากมายเหลือเกินในร้านนี้ และเขาต้องการจะพบเจอเพื่อให้รู้ว่าเจ้าของร้านเป็นคนแบบไหน
ตอนแรกเฉินหลงคิดแค่ว่าได้ลอง และหลังจากทิ้งข้อความไว้เฉินหลงจึงพร้อมออกจากระบบเพื่อจะฝึกซ้อม “ระฆังทอง”
แต่แล้วในตอนนั้นเองที่เขากำลังออกจากระบบ การเตือนของระบบได้บอกเขาว่ามีการตอบกลับ เฉินหลงจึงทำได้เพียงกลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง
หลังจากเข้าระบบแล้ว เขาได้รับคำขอติดต่อวิดีโอเสมือนจากหว่านซูจื่อ
เฉินหลงต้องการจะรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่จึงกดตอบรับในทันที
และเมื่อได้เห็นภาพเสมือนของหว่านซูจื่อ เฉินหลงอึ้งไปครู่หนึ่ง
เฉินหลงเห็นผู้ขายในระบบมามากมาย ที่เต็มไปด้วยเครื่องจักร กึ่งเครื่องจักร มีรูปร่างเป็นเปลวเพลิง มีความสวยงามแบบหาใครเทียบเคียงไม่ได้ และมี “กระบองคู่” อยู่คู่หนึ่ง แบบอาจารย์เขา เทียนซิงจื่อ และแม้หากเขามีรูปร่างคล้ายตัวเขาเองก็ตาม แต่เฉินหลงเห็นความต่างระหว่างตัวเขาเองและชนชาติของเขา ที่เฉินหลงนิ่งอึ้งไปเนื่องจากภาพลักษณ์ของหว่านซูจื่อเป็นเหมือนคนจีน เพียงแต่เสื้อผ้าหน้าผมเป็นแบบตัวละครนักรบโบราณ
เช่นเดียวกันนั้นหว่านซูจื่อก็อึ้งไปด้วยตอนที่เขาเห็นรูปลักษณ์เฉินหลง เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นมนุษย์เหมือนกับเขา
หลังนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้ว เฉินหลงเป็นฝ่ายเปิดปากพูด “คุณหว่านซูจื่อ ผมอยากจะถามสักหน่อยครับ ว่านี่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของคุณใช่ไหม”
“นายละ” หว่านซูจื่อไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กลับถามคำถามตอบไป
เมื่อได้ยินคำถามของหว่านซูจื่อ เฉินหลงเริ่มขำออกมาเพราะเขารู้คำตอบ
หว่านซูจื่อหัวเราะออกมาเช่นกัน
จากภาพเสมือนทำให้ระยะห่างของพวกเขาสองคนเกือบกลายเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน แต่ทั้งคู่อยู่บนสองโลกที่ต่างกัน อย่างไรก็แล้วแต่พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นในทันใด
ความรู้สึกนี้คล้ายกับว่าเป็นคนจากประเทศเดียวกัน เป็นความรู้สึกแบบคนจากหมู่บ้านเดียวกันจะมีความลึกซึ้งกันมากกว่าคนอื่นในโลก คนที่มาจากประเทศเดียวกันควรจะรู้สึกใกล้ชิดกันสิ
ระบบเถาเปาอันทรงพลังนี้เป็นเหมือนโลกใบหนึ่ง ที่ยากมากหากคุณอยากจะเจอคนเชื้อชาติเดียวกัน นั่นเป็นเพราะว่ามีเพียงหนึ่งบัญชีผู้ใช้ต่อหนึ่งดาวเคราะห์หรือหนึ่งกาแล็กซี่เท่านั้น
ดังนั้นแล้วเฉินหลงและหว่านซูจื่อที่เป็นคนสองคนที่คล้ายกับเป็นชนชาติเดียวกันจึงรู้สึกถึงความใกล้ชิดเมื่อได้เจอหน้ากันและกัน
หลังจากนั้นพวกเขาเริ่มคุยกัน
จากคำของหว่านซูจื่อเฉินหลงรู้ว่าบัญชีผู้ใช้ของเขามาได้อย่างไร บัญชีนี้ได้มาด้วยสายฟ้า เมื่อตอนที่เขาสู้กับคนอื่นตอนฝนตก และเขาโดนฟ้าผ่า คุณสมบัติของหว่านซูจื่อจึงเปลี่ยนแปลงจากระดับกลางเป็นระดับไม่มีใครเทียมทานได้ และด้วยความช่วยเหลือจากระบบ พลังของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงมีความลับของศิลปะป้องกันตัวมากและมากขึ้น ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของระบบมาได้ร้อยกว่าปีแล้ว และพลังของเขาเป็นระดับ “ปรมาจารย์แห่งดวงดาว”
บางทีการไร้เทียมทานอาจเป็นเรื่องเหงางอย หว่านซูจื่อพูดไม่จบเสียที เฉินหลงอาจเข้าใจสถานการณ์ของโลกเขาแล้ว ดาวเคราะห์ของหว่านซูจื่อใหญ่กว่าโลกเป็นสิบๆเท่า ชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มก็มีความหนากว่าโลกมากมายนัก ดังนั้นแล้วคนธรรมดาบนดาวนั้นสามารถไปถึงขั้น “ชั้นสูง” ได้ตั้งแต่เกิดมา ในตอนที่โตขึ้นมาหากไม่ฝึกฝนอะไรเลยพลังจะค่อยๆพัฒนาไปหลังเป็นผู้ใหญ่แล้วโดยมากพลังจะเป็นขั้นชั้นสูงในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ
และหากฝึกตั้งแต่เด็กแล้ว จะไปได้ถึงระดับกำเนิดตั้งแต่อายุสิบสองปีพร้อมกับสมรรถภาพที่ดี และเมื่อไปถึงขั้นกำเนิดตอนอายุสิบแปดปีแล้วหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทันทีตอนอายุยี่สิบปีก็จะไม่มีการพัฒนาไปอีกขั้นแล้วในชีวิต เว้นเสียแต่ว่าจะมีขุมพลังลับหรือเปลี่ยนแปลงสมรรถภาพไป
ที่โลกของหว่านซูจื่อมีเผ่าพันธุ์อยู่สี่เผ่า นั่นคือ คนจีน คนเถื่อน ออร์ค และมังกร ภายในสี่เผ่านี้คนจีนเป็นพวกที่ทรงพลังที่สุด ตามมาด้วยมังกรสี่ขาและชนเผ่าคนเถื่อนในตะวันตก และพวกออร์คที่อาศัยในทุ่งหญ้า หว่านซูจื่อเป็นคนจีน
TB:บทที่ 160 ระฆังทอง
หลังจากฟังที่หว่านซูจื่อกล่าว เฉินหลงรู้สึกว่าโลกของหว่านซูจื่อช่างดูวิเศษกว่าโลกนี้ของเขา
เช่นเดียวกันหว่านซูจื่อที่ได้ยินเฉินหลงกล่าวถึงทุกๆอย่างบนโลกแล้ว หว่านซูจื่อก็ต้องการโลกแบบนั้นด้วย
ในท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าใครหรืออะไรก็ตามหากพำนักอยู่ที่ใดเป็นเวลานานแล้ว คนคนนั้นย่อมต้องการไปที่อื่นที่มีสิ่งแวดล้อมแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
เฉินหลงและหว่านซูจื่อคุยกันในระบบเป็นเวลาสองสามชั่วโมง ก่อนที่พวกเขาจะออกจากระบบไป
แต่ก่อนที่จะออกจากระบบพวกเขาได้ดูของในร้านพวกตน หว่านซูจื่อยังได้กล่าวอีกว่าจะส่งวิชาลับที่เฉินหลงอยากได้ให้
จะมีสิ่งอื่นที่เฉินหลงจะกล่าวได้กับผู้ยิ่งใหญ่ที่ตรงไปตรงมาอย่าเขาคนนี้หรือ เฉินหลงทำได้เพียงตกลง คนที่อยู่ในระบบมาเป็นร้อยปีจะไปมีแต้มแลกเปลี่ยนน้อยได้อย่างไรกัน เขาคงไม่ใส่ใจอะไรแบบนี้
เมื่อเขาออกจากระบบแล้ว เฉินหลงนำม้วนวิชาของ “ระฆังทอง” ออกมาเพื่อฝึกฝนในทันที
มีคำกล่าวว่า “ระฆังทอง” สร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของธรรมมะ และเป็นสิ่งที่สูญหายไปกว่าร้อยปี สิ่งที่เรียกว่า“ระฆังทอง” คือเสื้อที่ทำด้วยแร่เหล็กเป็นสิ่งที่ใช้ในชี่กงทั่วไป
เมื่อเฉินหลงได้ฝึกการใช้“ระฆังทอง”จากม้วนวิชาในมือเขาแล้ว เฉินหลงจึงรู้หลักของการฝึกฉีด้วย
ตามวิธีการที่เขียนอยู่ในม้วนวิชาลับ ฉีของระฆังทองจะกลั่นอยู่ในร่างกายและเมื่อฉีของระฆังทองเปลี่ยนรูปร่างมาอยู่ข้างนอกแล้ว ก็จะกลายเป็นฉีที่ปกป้องร่างกาย
มีระดับของ“ระฆังทอง”อยู่ด้วยกันสิบสองระดับ พลังของแต่ละดับมีความแตกต่างกัน พลังของระดับแรกจะยังไม่ปรากฏชัดแต่จะมีความมั่นคงที่ต่างจากคนทั่วไป ระดับที่สองและสามจะไม่บาดเจ็บจากการโจมตีของระดับชั้นนำ ระดับสี่และห้าจะไม่บาดเจ็บจากผู้เชี่ยวชาญ ระดับเจ็ดและแปดจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากระดับปรมาจารย์ ระดับเก้าและ ระดับสิบจะไม่บาดเจ็บจากระดับปรมาจารย์ชั้นสูง ระดับสิบเอ็ดจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากระดับกำเนิดและระดับสิบสองจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากระดับลมปราณ
เนื่องจากเฉินหลงมีพลังเป็นระดับกำเนิด เมื่อได้เรียนรู้จากม้วนวิชาลับแล้ว ต่อมาไม่นานร่างของเขาจึงผลิต“ฉีระฆังทอง” ได้และมีการผ่านพ้นของพลังไปเรื่อยๆ
ขั้นที่สอง
ขั้นที่สาม
ขั้นที่สี่
………
สองชั่วโมงต่อมา เฉินหลงฝึกระฆังทองไปได้ถึงขั้นสิบเอ็ด
มี“ฉีระฆังทอง”รูปทรงคล้ายนาฬิกาทองปรากฏรอบตัวเฉินหลง ด้านบนของนาฬิกาทองเรือนใหญ่มีสัญลักษณ์ที่งดงามเคลื่อนที่อยู่รอบๆ
“งดงามมาก” เฉินหลงมองตัวเขาในกระจกและเห็นว่าตัวเขามีนาฬิกาทองที่แวววับอย่างไม่มีอะไรเทียบเคียงได้ล้อมอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นฉีของระฆังทองระดับสิบเอ็ดจะไม่บาดเจ็บหากโดนโจมตีด้วยคนที่มีพลังระดับกำเนิด
ในตอนนี้หากศัตรูของเฉินหลงไม่มีใครที่มีพลังระดับลมปราณแล้วละก็ มีคนแค่ไม่กี่คนที่ทำร้ายเขาได้
เฉินหลงค่อยๆเคาะบน“รัศมีของระฆังทอง”ด้วยมือเปล่า เขาพบว่าการที่เคาะเช่นนี้เหมือนกับการเคาะลงบนเหล็กที่แข็งแรงและมีพลังอ่อนๆส่งกลับมา
“เช่นนี้ แบบนี้น่าจะใช้ได้”
จบคำเฉินหลงหยุดการใช้“ฉีระฆังทอง” แล้วระฆังทองรอบตัวเขาจึงเลือนหายไป
จากนั้นก็มีชั้นไอของระฆังทองบนท้องแขนทั้งสองของเฉินหลง ราวกับว่าเขาสวมถุงมือทองป้องกันแขนไว้
ไอของฉีทองคำยังคงเป็น“ระฆังทอง”อยู่ ทว่าเฉินหลงไม่อยากใช้“ฉีระฆังทอง”ไปทั้งร่าง เขาจึงจำกัดให้“ฉีระฆังทอง”อยู่กับแขนทั้งสองของเขาคล้ายกับเป็นสนับแขน
เมื่อทำเช่นนี้ เมื่อจะใช้“ฉีระฆังทอง”แล้วจะไม่เป็นทองแววาวอย่างก่อนหน้า
เมื่อใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อคุ้นชินแล้ว เฉินหลงเพิ่งรู้สึกว่าเขาลืมที่จะหาอาวุธมาให้ตัวเขาเอง
กระบองคู่เป็นสิ่งสามัญที่หลายร้านจำหน่าย เขาซื้อกระบองคู่แสตนเลสจากร้านขายเครื่องกีฬาแล้วจึงกลับไป
ที่วิลล่าของเขา เฉินหลงเริ่มทำการฝึกใช้กระบองคู่
กระบองคู่เป็นอาวุธที่ใช้ยาก ต้องมีความแม่นยำ ต้องไม่ปราณี แต่ตราบใดที่ฝึกอย่างเหมาะสมแล้วคนธรรมดาๆก็ใช้อย่างทรงพลังได้ อีกทั้งกระบองคู่นี้ยังถือไปไหนมาไหนง่ายอีกด้วย เป็นอาวุธป้องกันตัวที่เด็ดขาด
และด้วยร่างกายของเฉินหลงแล้วการฝึกใช้กระบองคู่จึงเป็นเรื่องไม่ยากเลย เพราะสุดท้ายแล้วหากคนสามัญยังฝึกใช้กระบองคู่ได้ อย่างเฉินหลงคงไม่มีปัญหาใด
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินหลงฝึกใช้กระบองคู่จนเป็นเหมือนแขนและมือของตน
ในที่สุดเฉินหลงก็ใช้ท่าที่เหนือกาลเวลาอย่าง “พี่น้องมังกร” ได้
“สวยงาม” เมื่อได้เห็นที่งดงามนี้ในกระจกแล้ว เฉินหลงอดจะชมตัวเองไม่ได้
เมื่อชมความงามตัวเองแล้ว เฉินหลงก็เข้าห้องเขาไปพักผ่อน
วันต่อมา เฉินหลงใส่ “หน้ากากพันหน้า” เขากลายมาเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีที่มีใบหน้าเด็ดเดี่ยว
จากนั้นเขาก็ออกจากวิลล่าไป
แท็กซี่จอดรับเขาและออกไปยังมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง ที่นั้นมีตำรวจหน่วยพิเศษคอยตรวจตราความสงบอยู่ เพราะเฉินหลงมีบัตรเชิญเขาจึงเข้าไปได้ไม่ยาก
พวกพนังฃกงานที่เห็นเฉินหลงมีบัตรเชิญเข้างานชุมนุมแลกเปลี่ยนนี้รีบพาเขาไปยังโรงยิมทันที
ในตอนนั้นมีคนเพียงไม่มากที่นั่งอยู่ในโรงยิม เฉินหลงเห็นซ่งนั่งอยู่แถวขอบสนาม ใบหน้าเขาฉายแววเศร้านิดหน่อย คล้ายกับว่าผิดหวังที่ไม่เห็นเฉินหลงมา แถวๆเขายังมีคนหนุ่มอีกสองสามคนนั่งอยู่
ในมุมหนึ่งมีนักสู้ต่างชาตินั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา
ด้วยความเป็นคนหนึ่งในชนชาติจีนที่เกรียงไกร เฉินหลงจึงเลือกนั่งฝั่งของซ่งเจิ้งโดยธรรมชาติ
หลังจากนั้นไม่นานชายที่ดูเป็นทางการคนหนึ่งก็กล่าวสุนทรพจน์ เขาประกาศให้งานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะเริ่มต้นขึ้น
ในตอนเริ่มแรก มีเด็กจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ขึ้นมาแสดงการใช้มีด ปืน และกระบอง หลากหลายประเภทบนเวที ตอนที่พวกเขาแสดงถึงช่วงที่เยี่ยมที่สุดก็มีเสียงปรบมือชื่นชมดังขึ้นเป็นพักๆ
แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนของซ่งเจิ้งและนักสู้คนอื่นๆกลับไม่แสดงสีหน้าใด
ในเวลานี้พวกเขาไม่ได้มาการชุมนุมนี้เพื่อดูเด็กจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้แสดง
สองชั่วโมงต่อมาเมื่อการแสดงของเด็กๆจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้จบ ปิศาจตัวน้อยก็ขึ้นเวทีมาพร้อมกับมีดในมือ ในตอนเดียวกันนั้น ผู้ช่วยดูแลได้นำเสาสี่ต้นออกมาและตั้งเสาพวกนั้นไว้ห่างจากเฉินหลงไปสามเมตร
ได้เห็นปิศาจอยู่ในสนามเช่นนี้แล้ว ผู้คนเริ่มโห่ไล่
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เป็นเช่นนั้น เพราะมองจากมุมว่าชาติจีนที่ยิ่งใหญ่นี้กำลังมีเรื่องวิวาทกับประเทศญี่ปุ่น เสียงโห่ไล่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดขึ้น
เมื่อปิศาจน้อยๆพวกนั้นได้ยินเสียงไล่แล้ว ใบหน้าพวกเขาถอดสี
พวกเขาดึงมีดออกมาจากฝัก และโยนฟักลงพื้นอย่างตั้งใจ เขาชูมีดขึ้นที้งสองมือและยื่นไปข้างหน้าอย่างแรง
“ฆ่ามัน”
เสี้ยววินาทีต่อมา เขายืนอยู่และใช้มีดทั้งสี่ตัดเสาพวกนั้นที่วางอยู่รอบตัวอย่างว่องไว
เมื่อตัดเรียบร้อยแล้ว เขาก็ค่อยๆโค้งและหยิบฝักมีดที่โยนลงบนพื้น เขาใส่มีดกลับฝักและเดินออกไปจากสนาม
ได้เห็นพวกเขาใช้มีดแบบนั้นจากขอบสุดของสนาม และมองผู้คนที่ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากโห่ไล่ พวกนี้เรียกง่ายๆว่าทำตัวโง่ๆ
เสาไม้สี่ต้นที่ห่างจากปิศาจจิ๋วไปสามเมตร รวมถึงมีมีดที่ห่างไปอย่างมากที่สุดสองเมตร ในที่แบบนี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องละเอียดอ่อน ไม่ใช่เรื่องโง่ๆ แต่เป็นเรื่องอภัยไม่ได้
ทว่าสีหน้าของซ่งเจิ้งกลับมีความสง่าอยู่ เขามองปลายสุดของสนาม มองใบหน้าของพวกปิศาจน้อย
เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหลัง คนที่ตอนแรกโห่ไล่นั้นกลับเผยความไม่พึงพอใจแล้วพวกเขาก็ปิดปากไป คนที่กล้าจะทำต่อไปตอนนี้ช่างไม่มีความละเอียดอ่อนแต่เป็นคนสามัญเกินกว่าจะเห็น
TB:บทที่ 161 หวัง เจียน
เฉินหลงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีดทั้งสี่ของปิศาจจิ๋ว (ญี่ปุ่น)ไม่ได้ตัดลงเนื้อไม้เลย แต่เป็นคมของฉีต่างหากที่ตัดลงไป สาเหตุเป็นเพราะคมแหลมของฉีนั่นไวเกินไป หลังจากตัดท่อนไม้แล้ว ท่อนไม้จึงยังอยู่ในสภาพเช่นเดิม
หลังจากที่ปิศาจน้อยออกไปจากสนามแล้ว เขาสะบัดไม้ทั้งสี่ด้วยแรงเพียงเล็กน้อย
การทำเช่นนั้นเพิ่งทำให้เกิดภาพที่น่าประหลาดใจ
“พวกปิศาจน้อยนี่ มีพลังที่ไม่เลว แถมยังแสดงออกมาได้ดี” เฉินหลงว่าในใจ
ปิศาจน้อยพวกนี้เป็นเพียงระดับผู้เชี่ยวชาญแนวหน้า กระบวนท่าของพวกเขาหรูหราแต่ก็ไม่ได้น่าเกรงขามสำหรับเขา
จากนั้นพวกต่างชาติอีกหลายคนเข้ามายังสนามเพื่อทำการแสดง ชาวอเมริกันชราคนหนึ่งกระทืบหินบลูสโตนสามก้อนให้พังทลายได้ คนผิวสีคนหนึ่งหักท่อเหล็กกล้าที่หนาเท่ากับเสาได้ด้วยมือเปล่า ชายเตี้ยจากซูลูแสดงกระบวนท่าไม้เท้า เสียงของไม้เท้าในอากาศสามารถบอกได้ถึงพลังของไม้เท้านี้ได้ มีชายคนหนึ่งจากอาณาจักรอีเกิ้ลมาแสดงการต่อสู้แบบอิสระ คนที่ตาดีอยู่จะรู้ได้ว่าหากชายคนโดนจับแล้วจะไม่มีวันรอดไปได้
สิ่งที่เฉินหลงให้ความสนใจคือชายคนหนึ่งที่เป็นชนชาติจีน เขานั่งอยู่ตรงฝั่งของชาวต่างชาติ ดังนั้นเขาน่าจะเป็นตัวแทนของชาติใดสักชาติ
พลังของชาวต่างชาติที่แสดงอยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นระดับชั้นนำของเหล่าปรมาจารย์ แต่เฉินหลงมองพลังของชายจีนคนนี้ไม่ออก เขาคิดว่าพลังของคนคนนั้นน่าจะไปถึงระดับกำเนิด
ชาวต่างชาติทั้งหมดลงมาในสนามเพื่อแสดงแต่ชายจีนคนนี้กลับไม่ไปปรากฏตัว เขาเพียงมองดูราวกับไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขา
หลังจากที่ชาวต่างชาติลงไปในสนามกันหมดแล้ว ซ่งเจิ้งและพวกของเขาหลายคนก็ลงไปในสนาม ทุกคนแสดงท่ามวยซึ่งนั่นเรียกเสียงปรบมือจากทุกคนได้
ก่อนที่ชาวต่างชาติพวกนั้นจะทำให้พวกเขาตกใจ พวกเขาได้ใส่เชื้อให้ไฟไปแล้ว
เมื่อการแสดงของซ่งเจิ้งจบลงไป พิธีกรประกาศให้การชุมนุมแลกเปลี่ยนนี้จบลง แต่เฉินหลงรู้ดีว่าของจริงยังไม่มาถึง
ในตอนที่พิธีกรกล่าวจบนั้น จู่ๆก็มีพนักงานและตำรวจพิเศษเข้ามาเชิญคนที่ไม่มีบัตรเชิญออกไป
ไม่มีทางที่ “การแลกเปลี่ยน” ต่อจากนี้ จะไม่มีการเลือดตกยางออก นี่เป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นในสังคมที่สมัครสมาน
หลังจากจัดการสนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักสู้ในแต่ละข้างเหลืออยู่สิบคนทั้งสองฝั่ง
และโดยไม่ต้องรอให้พิธีกรเปิดปากพูดอะไร ปิศาจน้อยและมีดในมือก็เดินลงสนามไป
ก่อนหน้าเขาโดนพวก “หมูจีหน่า” โห่ไล่ ใจของมิยาโมโตะ อิจิโร่เต็มไปด้วยโทสะ ตอนนี้เขาอยากจะเป็นคนแรกที่จะจัดการไอ้พวกนั้นเพื่อขจัดความโกรธของเขาเสีย
“บัดซบ ถ้ามันใช้มีด ฉันจะใช้มีดด้วย และหากมันใช้ดาบซามูไร ฉันจะใช้ดาบราชาผีสาง” ร่างของซ่งเจิ้งมีชายที่มีคิ้วรูปร่างคล้ายมีดและดวงตาที่สว่างวาบค่อยคุ้มกันเขาอยู่ คนคนนั้นยืนขึ้นมาและไปยังสนามพร้อมกับดาบที่มีด้ามจับแกะสลักเป็นรูปกะโหลก
หวังเจียนมาจากตระกูลเก่าแก่ทั้งสี่ของเมืองหลวง ตั้งแต่อายุสิบห้าปีเขาได้เดินทางไปฝึกปรือฝีมือดาบ ถึงแม้ตระกูลเก่าแก่ทั้งสี่จะไม่เป็นที่รู้จักนักแต่ในความเป็นจริงแล้วพลังของหวังเจียนเป็นที่แน่ชัดว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของตระกูลทั้งสี่ เป็นเวลานานนับศตวรรษมีคนคนหนึ่งในตระกูลหวังเคยเป็นเพชฌฆาต เขารู้วิธีการตัดหัวคนเป็นอย่างดีและได้เขียนหนังสือลับเกี่ยวกับการจะตัดหัวคนอย่างไรให้ไวโดยไม่มีเลือดกระเซ็นใส่ตัวเขา
แม้อาจจะไม่มีเพชฌฆาตอีกแล้วในอนาคต แต่บางทีสกุลหวังก็ไม่ได้ชอบหนังสือลับนี่ และไม่มีใครฝึกวิชาลับในการตัดหัวคนอื่นด้วย จนกระทั่งหวังเจียนปรากฏตัว
ครั้งหนึ่งหวังเจียนได้เห็นหนังสือนั่น แล้วกรรมพันธุ์ในตัวเขาที่สั่งให้โปรดปรานการตัดหัวคน เขาอ่านหนังสือที่ว่าและไม่กลัวเนื้อหาในนั้นเลย หากแต่เขาดูดึงดูดกับศิลปะและวิธีการต่างๆในหนังสือแทน
ตั้งแต่นั้นมาหวังเจียนก็มีมีดที่มีหัวเป็นผีสางพกติดตัวไปไหนมาไหนทุกวัน เขาเริ่มใช้มีดหัวผีสางนี่เพื่อฝึกม้วนวิชาที่ไม่รู้ที่มา ม้วนที่ต่อมาเขาเรียกว่า “เพลงดาบกุดหัว”
เมื่อหวังเจียนฝึกฝน “เพลงดาบกุดหัวแล้ว” จิตวิญญาณแห่งความอาฆาตของเขาแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อพ่อของหวังเจียนเห็น เขาทำได้เพียงส่ายหัวเงียบๆ
ยังโชคดีที่ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งสันติ หากว่าเกิดความวุ่นวายจะต้องมีนักฆ่าเพิ่มมาอีกคนแน่นอน
แต่อย่างไรเสีย หวังเจียนไม่ได้อยากเก็บตัวอยู่กับบ้าน ตอนที่เขาอายุสิบห้าเขาได้ออกไปตัดหัวพวกที่เป็นภัยกับสังคมด้วยตัวคนเดียว
ครั้งนี้คือครั้งแรกที่เขากลับบ้านในรอบสิบปี คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกลับมา เขาพบเจอคนต่างชาติมากมายที่เข้ามาท้าทายชาติจีนที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความเป็นหนึ่งในสมาชิกของจีนที่ยิ่งใหญ่นี้และเป็นลูกหลานของสี่ตระกูลใหญ่ เขาจึงมาเข้าร่วม
“ แกคงอยากตายสิท่า” ตอนที่เขาเห็นหวังเจียนถือมีดที่มีกะโหลกอยู่ กะโหลกนั้นปิดซ่อนจิตวิญญาณที่อาฆาตไว้ไม่ให้แสดงออกมา มิยาโมโตะกล่าวอย่างจริงจังใส่หน้าเขา
ตอนที่กลุ่มคนเหล่านั้นมา พวกเขารับรู้ถึงความสามารถของคนหนุ่มแห่งชาติจีนที่เกรียงไกรอยู่แล้ว หวังเจียนที่ถือหัวผีสางยังไม่รู้ข้อมูลอะไร
“สกุลหวัง พูดจาไร้สาระ เตรียมรับมือซะ” หวังเจียนว่าจบ มีดในมือเขาก็ไปอยู่ที่คอของอิจิโร มิยาโมโตะ
ตอนแรกหัวผีสางขยับตามความหนักและคม ในสมองของหวังเจียน คล้ายกับว่ามีฟ้าผ่าเกิดขึ้น นี่คือการเคลื่อนไหวอันไร้ที่ติ
“ใช้มีดได้ดี การเคลื่อนไหวดี คนนี้ดีนี่” เมื่อได้เห็นการใช้มีดของหวังเจียน เฉินหลงนึกชมขึ้นในใจทันที
และเมื่อได้เห็นมีดของหวังเจียนแล้ว สีหน้าของอิจิโร มิยาโมโตะได้เปลี่ยนไปในทันที มีดที่ว่องไวนี้มีความดุดัน ถึงเขาจะยังไม่ต้องดึงออกมาจากฝัก ดังนั้นแล้วเขาจึงยืดดาบเขาขึ้นมาตรงๆเพื่อขวางดาบหัวผีสางที่กำลังจะฟันโดนเขา
ฝักดาบของอิจิโร มิยาโมโตะโดนดาบนั่นตัดขาดทันที ในขณะนั้นด้วยพลังที่ทรงพลังทำให้อิจิโร มิยาโมโตะต้องคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง
หวังเจียนใช้โอกาสนี้ยกเข่าขวาและโจมตีอิจิโร มิยาโมโตะ
อิจิโร มิยาโมโตะถือมีดด้วยสองมือเขาทำท่าอะไรป้องกันตัวเองจากเข่าของหวังเจียนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถือว่ายังโชคดีที่อิจิโร มิยาโมโตะ มีประสบการณ์โชกโชนในสนามสู้รบ จากพลังการโจมตีของหวังเจียนที่กดลงมา เขาม้วนตัวกลับไปเพื่อหลีกการเข่าของหวังเจียน และในขณะเดียวกันเขาหลบพ้นจากแรงกดดันของพลังหวังเจียนได้
แม้จะไม่ได้ดูดีแต่ปิศาจนี่มีฝีมือที่ไม่ไร้ประโยชน์
“หยิบมีดขึ้นมาอีก แล้วเนื้อกับหนังแกจะหลุดออกจากกัน” หวังเจียนจะตัดหัวของร่างที่กำลังเคลื่อนที่ มีดหัวผีสางขยับอย่างแปลกประหลาด และฟันไปที่อิจิโร มิยาโมโตะอีกครั้ง
คล้ายกับว่ามีดจะฟันโดนคอของอิจิโร มิยาโมโตะแต่จริงๆแล้วมันโจมตีแขนขวาของเขา
แน่นอนว่าอิจิโร มิยาโมโตะมองหวังที่กำลังจะฟันคอเขาอีกรอบ ในทันใดนั้นเขายกดาบซามูไรขึ้นมาขวางดาบราชาผีสาง
“ทำลายมันให้ฉันสิ”
หวังเจียนเพิ่มพลังเป็นสองเท่าเพื่อจะหักดาบของอิจิโร มิยาโมโตะและแขนเขาให้ได้
“กิ๊ง”
ตอนที่มีดผีสางตัดดาบซามูไรลงไปนั้น ดาบซามูไรเกิดรอยแตก รอยแตกนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น และดาบซามูไรก็หักเป็นสองท่อนในทีเดียว มีดผีสางฟันลงแขนของอิจิโร มิยาโมโตะ
อิจิโร มิยาโมโตะมีความว่องไวเช่นกัน ตอนที่เขาเห็นว่าดาบหักไปแล้ว เขาม้วนตัวหลบและกล่าวว่า
“ฉันแพ้แล้ว”
เมื่อเห็นอิจิโร มิยาโมโตะยอมรับความพ่ายแพ้ หวังเจียนก็หยุดการต่อสู้ เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย หากอิจิโร มิยาโมโตะไม่ได้หลบอย่างรวดเร็วแล้ว หรือเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ จะต้องมีแขนคนใดคนหนึ่งหลุดออกมาแน่นอน
“ใครจะเข้ามาอีก”
หวังเจียนยืนหยัดในสนาม เขายังไม่พร้อมจะจบการต่อสู้ เขาชนะง่ายเกินไป และเขาไม่ชอบใจนัก เขาต้องการจะสู้กับคนที่ฝีมือทัดเทียมกัน
TB:บทที่ 162 การปรากฏตัวของเฉินหลง
“แข็งแกร่งเพียงไหน”
ซ่งเจิ้งและเพื่อนของเขาตะลึงงันเมื่อได้เห็นความทรงพลังของหวังเจียน
ก่อนที่หวังเจียนจะแสดงพลังออกมา ซ่งเจิ้งและพวกของเขาเคยโต้เถียงกันอยู่ว่าใครจะเป็นนายใหญ่ของคนรุ่นใหม่แห่งสี่ตระกูลเก่าแก่ได้ ตอนนี้พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
แต่ไม่ว่าจะมองในมุมของพละกำลังหรือความแข็งแกร่งอันไม่อาจปราบได้ในระดับของหวังเจียนที่ทำให้อิจิโร มิยาโมโตะต้องยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ในตอนนี้พวกเขาคงไม่อาจข้ามผ่านจุดนั้นไปได้
เช่นเดียวกับที่เมื่อได้เห็นกำลังของหวังเจียนแล้ว พวกต่างชาติก็ล้วนประหลาดใจกันอย่างมาก
แต่อย่างไรเสีย ชาวจีนกลับมองหวังเจียนด้วยสายตาชื่นชม และถึงแม้พลังของหวังเจียนจะยังไม่ถึงขั้นกำเนิดก็ตามแต่ในระดับเดียวกันนั้นเขาไร้พ่าย และถึงแม้จะเป็นระดับเดียวกันก็คงได้แค่เสมอกันเท่านั้น
ต่อจากนั้นพรรคพวกชาวต่างชาติได้เข้ามาท้าทายหวังเจียน
แต่ด้วยฝีมือเพลงดาบของหวังเจียนที่เกินจะต้านทาน ทำให้แม้จะล้อมกันสู้แต่ก็ไม่มีใครชนะหวังเจียนได้ในห้าเพลงดาบเลย
ชายชราที่ดูงดงามผู้บดขยี้หินด้วยเท้าข้างเดียว โดนหวังเจียนหักขาขวาหลังเขาใช้ดาบไปสามครั้ง ตอนแรกหวังเจียนจะตัดขาขวาเขาทิ้งแต่สุดท้ายแล้ว หวังเจียนใช้ไปเพียงด้านทื่อของมีด
ชายผิวสีที่หักท่อเหล็กกล้า แพ้ไปทันทีหลังดาบที่สอง หวังเจียนใช้เพียงด้านทื่อของมีด
ชาวอีเกิ้ลที่สู้อย่างอิสระโดนเขาทำให้สลบไปโดยใช้ด้านไม่คมของมีดก่อนที่เขาจะได้เข้าใกล้หวังเจียนเสียอีก
และชายที่ใช้ไม้เท้านั้น เขาแพ้ยับเยินทันทีและกลายเป็นตัวตลกที่กระโดดไปมา สุดท้ายแล้วเขาเสียหน้าอย่างมากและยอมรับความพ่ายแพ้ไป
…….
หลังสู้กับชาวต่างชาติเก้าคนแล้ว หวังเจียนยังยืนหยัดอยู่ในสนาม ช่วงอกเข้าขยับขึ้นลงเล็กน้อย คนต่างชาติทั้งเก้าคนที่เข้ามาสู้กับเขาในทีเดียวกินพลังเขาไปมากมายนัก
แต่ในตอนนี้ ศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีนอันยิ่งใหญ่ในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะนี่ ถือได้ว่ามีศักยภาพสูงสุด ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกำราบชายจีนที่เหลืออยู่คนนั้นได้ งานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะจะสรุปได้ว่าประสบความสำเร็จ
จากนั้นไม่นานคนหลายคนต่างมองไปที่ชาวจีนคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ตรงฝั่งพรรคพวกของชาวต่างชาติ
ชายคนนั้นยิ้มและเดินไปที่สนาม เขาชอบการที่ผู้คนจ้องมองเขา
“จาง เฟิงหยาน” ชายคนนั้นชูกำปั้นไปยังหวังเจียน
“จะสู้กับมีดฉันด้วยมือเปล่าหรือ” หวังเจียนมองจางเฟิงหยานและรู้สึกโดยสัญชาตญาณได้ว่าคนตรงหน้าเขาช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
“ถ้าจะใช้ดาบ ฉันขอไม่สู้ดีกว่า” จางเฟิงหยานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“หวังว่านายจะไม่ตายไปซะก่อนนะ เพราะตอนนี้ฉันคุมเพลงดาบตัวเองไม่ได้เสียด้วย ถ้าฉันเผลอตัดหัวนายไปแล้วฉันจะเผาเงินกงเต๊กไปให้ในวันแรกและวันที่สิบห้าของช่วงเทศกาลนะ” หวังเจียนแตะมีดหัวผีสางในมือและกล่าวไป
“ดาบกุดหัว” ต้องใช้การควบคุมขั้นสูง ก่อนที่หวังเจียนจะตัดหัวนั้นเขาต้องใช้พลังอยู่มากตอนนี้เขาควบคุมให้หยุดดาบไม่ได้แล้ว
“ถ้านายตัดหัวฉันได้ละก็นะ ฉันจะยื่นหัวฉันให้แบบถือสองมือเลย” จางเฟิงหยานว่าอย่างมั่นใจ
ระดับของจางเฟิงหยานคือระดับกำเนิด แต่พลังของหวังเจียนยังเป็นแค่ “ผู้เชี่ยวชาญ” เท่านั้น แถมยังใช้พลังไปแล้วด้วย แน่นอนว่าจาง เฟิงหนานมั่นใจเป็นที่สุด และหากเขาบาดเจ็บในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาคงได้ตายจริงๆ
หวังเจียนไม่พูดคุยต่ออีกแล้ว เขาพุ่งมีดไปใส่จางเฟิงหยาน
ด้วยปราศจากการควบคุมของหวังเจียน เพลงดาบของเขาคลุ้มคลั่งกว่าเก่า ทรงพลังกว่า และว่องไวกว่าเดิม
จางเฟิงหยานยังคงประดับยิ้มบนใบหน้า และก้าวออกไปด้วยการวางเท้าที่พิสดารเพื่อหลบมีดของหวังเจียน
เขาหลบการลงมีดครั้งแรกไปได้ แต่หวังเจียนเตรียมตัวแล้วว่าจะเป็นเช่นนั้น ดาบที่สองโจมตีจางเฟิงหยานต่อโดยไม่ลังเล
พลังของหวังเจียนแข็งแกร่งกว่าเมื่อเขาปลดปล่อยมัน เขาใช้เพลงดาบอย่างต่อเนื่องแบบดาบต่อดาบ ซึ่งมีความดุดันอย่างมาก
แต่การตอบโต้ของร่างกายจางเฟิงหยานว่องไวราวกับเขาเป็นกวางที่กระโดดไปมา และไม่มีทางหาร่องรอยเจอได้ มีดของหวังเจียนจึงฟันได้แต่อากาศ
“ช่างเป็นเพลงดาบที่ทรงพลัง และมีวิธีตอบโต้ที่แปลกประหลาด”
เมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของร่างของจางเฟิงหยานและเพลงดาบของหวังเจียนแล้ว ทุกคนในที่นั้นอดไม่ได้ที่จะชมพวกเขาในใจ
หลังจากใช้มีดฟันไปเจ็ดพันเจ็ดร้อยสี่สิบเก้าครั้งในอึดใจเดียวแล้ว หวังเจียนก็หยุดการโจมตี ช่วงอกของเขาขยับขึ้นลงถี่ๆ
“นายเก่งนี่ ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย” หลังยืนนิ่งได้ห้านาที หวังเจียนเปิดปากกว่าก่อน
ในตอนนี้ แม้จางเฟิงหยานทำเพียงหลบไปมาและไม่ได้ทำอะไรอื่น หวังเจียนรู้ตัวว่าเพียงโจมตีห้าครั้งจางเฟิงหยานคงล้มตัวเขาได้ และในขณะเดียวกันเขายังรู้ด้วยว่าระดับของคู่ต่อสู้เขาจะต้องไปถึงระดับกำเนิดแล้ว นี่จึงเป็นการแข่งขันที่ไม่ต้องเปรียบเทียบอะไรเลย
“ไปเถอะ” จางเฟิงหยานยิ้ม
“พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ ไม่มีการยอมรับใด” จบคำหวังเจียนก็ออกจากสนามไป
เมื่อหวังเจียนไปแล้วจางเฟิงหยานก้มหัวคำนับซ่งเจิ้งและกล่าวว่า “โปรดแนะนำฉันด้วย”
“นายไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้เขา พลังของเขาเป็นถึงขั้นกำเนิด” หวังเจียนเตือนซ่งเจิ้งด้วยเสียงต่ำ
ได้ยินคำของหวังเจียนเช่นนั้น ซ่งเจิ้งรู้สึกแปลกใจที่ยังเห็นจางเฟิงหยานยังยืนในสนาม เขายังหนุ่มและดูเป็นธรรมชาติ คนคนนี้เป็นใครกันแน่
เมื่อซ่งเจิ้งได้ยินคำของหวังเจียนแล้ว เขาไม่มีปฎิกิริยาใด จางเฟิงหยานเห็นดังนั้นจึงกล่าวไปว่า “ไม่มีใครเข้ามาเลยหรือ”
ตอนนั้นเองที่จางเฟิงหยานที่ได้รับภารกิจมาช่วยพวกต่างชาตินั้นกำลังจะนำชัยชนะให้พรรคพวกชาวต่างชาติ อย่างไรแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนนี่ แต่ครั้งนี้ไม่น่าเบื่อเท่าไร อย่างน้อยแล้วเขาก็ได้เจอคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจ
“เช่นนั้น ฉันจะลองดู”
ขณะที่ซ่งเตรียมตัวจะออกไป จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ซ่งเจิ้งหันไปมองเฉินหลงที่ใบหน้าไม่เหมือนเดิม
เมื่อเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเฉินหลงแล้ว สีหน้าของซ่งเจิ้งเต็มไปด้วยความสับสน คนคนนี้คือใครกัน ทำไมถึงเชิญเขามาด้วย แล้วเขาพูดถึงอะไรอยู่ เขาจะลงไปสู้หรือ
ซ่งเจิ้งกำลังจะกล่าวอะไรออกไป แต่หวังเจียนขัดขึ้น “ให้เขาลอง”
เฉินหลงทำให้หวังเจียนได้รู้สึกอย่างที่จางเฟิงหยานรู้สึก คือมองตัวเขาไม่ขาด
“รู้จักเขาหรือ” ซ่งเจิ้งถาม
หวังเจียนส่ายหัว
ในตอนนี้ เฉินหลงได้เดินเข้าสนามไป
แม้ใบหน้าเขาจะไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งแบบก่อนหน้า เพราะเขาไม่รู้สึกมั่นใจเมื่อได้อยู่บนเวทีเป็นครั้งแรก
“นายท่านคือใครกันหรือ” จางเฟิงหยานถาม
“ชื่อของฉันคือ ฉือเฮยหู” เฉินหลงกำหมัด
“พี่ชิ เชิญเลย” จางเฟิงหยานว่า
“เช่นนั้น ขอเสียมารยาท รับมือ”
สิ้นคำ เฉินหลงหยิบกระบองคู่ออกมาและร่ายรำท่าดอกไม้ เขาพุ่งเข้าหาจางเฟิงหยาน
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เฉินหลงทำ ซ่งเจิ้งและพวกพ้องต่างไม่เต็มใจที่จะมองต่อไป กระบองคู่นี้ช่างร่ายรำได้งดงาม แต่เบื้องหลังคืออะไรกัน ล้อเล่นกันหรืออย่างไร
ชาวต่างชาติพวกนั้นก็งุนงงในตัวเฉินหลงเช่นกัน เมื่อเฉินหลงพุ่งผ่านไป เขาดูเป็นคนธรรมดาที่มีช่องโหว่เต็มไปหมด แต่เมื่อเขาร่ายรำด้วยกระบองคู่ เขากลับปิดช่องโหว่ทั่วร่างเขาได้ทั้งหมด
เช่นเดียวกับจางเฟิงหยาน เขาเห็นได้เช่นกัน และนี่ทำให้เขาต้องจริงจัง
TB:บทที่ 163 ปราบศัตรูราบคาบด้วยท่าเดียว
เมื่อเฉินหลงพุ่งใส่จางเฟิงหยาน เขาโจมตีด้วยกระบองคู่
จางเฟิงหยานเคลื่อนที่หลบกระบองของเฉินหลง และในตอนเดียวกันนั้นเองจางเฟิงหยานได้เห็นช่องโหว่ที่ช่วงกลางตัวของเฉินหลง ด้วยมือเพียงข้างเดียว เขาทุบไปตรงอกของเฉินหลง
เมื่อได้เห็นว่าเฉินหลงโดนโจมตีได้ง่ายแล้ว ซ่งเจิ้งอยากจะขุดหลุมฝังความอับอายของตัวเอง
แต่ทันใดนั้น เขาคิดผิด
เมื่อจางเฟิงหยานทุบอกของเฉินหลง ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันที เพราะเมื่อฝ่ามือเขาสัมผัสโดนอกของเฉินหลงแล้ว มันคล้ายกับทุบเหล็กกล้าท่อนหนึ่งที่แข็งแรง อีกทั้งยังมีพลังต่อต้านส่งกลับมาอีกด้วย
ความรู้สึกที่โดนพลังต้านกลับทำให้จางเฟิงหยานรีบถอยออกมาและถอนพลังงานออก ขณะที่เฉินหลงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ตาของซ่งเจิ้งมองเห็นจางเฟิงหยานตบเฉินหลงแต่กลับโดนเฉินหลงใช้พลังโต้กลับไป
แต่จู่ๆพวกซ่งเจิ้งก็อ้าปากค้างไปตามๆกัน พร้อมด้วยความสะเทือนขวัญ
“ระฆังทองหรือ”
เมื่อได้เห็นภาพในตอนนี้แล้ว ความคิดนี้ได้ออกมาในใจของหวังเจียน
จางเฟิงหยานมองเฉินหลงและกล่าว “ร่างกายของแกมีระฆังทองคอยปกป้องหรือ”
ความรู้สึกที่ฝ่ามือเขาตอนนี้ทำให้เขาคิดว่า เรื่องนี้เป็นไปได้
“ลองอีกสองสามรอบก็รู้” เฉินหลงยิ้ม เขาไม่ตอบคำถาม
สิ้นคำนั้น เป็นอีกครั้งที่เฉินหลงพุ่งเข้าใส่จางเฟิงหยาน
เมื่อได้เห็นเฉินหลงที่พุ่งเข้ามาอีกรอบ รอยยิ้มบนใบหน้าของจางเฟิงหยานหายไปกลายเป็นคิ้วที่ขมวดยุ่งแทน
แม้ว่าตอนนี้เขาจะใช้พลังไปเพียงแค่สามหรือสี่ส่วนของพลังที่มีอยู่ แต่เฉินหลงเคี้ยวไม่ง่าย พลังที่ปกป้องร่างของเฉินหลงไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย คงไม่ฉลาดหากจะสู้ให้หนัก แต่ถ้าไม่สู้หนักๆเลย ก็โดนไล่เตะเหมือนหมาตัวหนึ่ง
หลังพิจารณาแล้วเฉินหลงพุ่งเข้าหาจางเฟิงหยานอีกรอบ
เมื่อปัดสิ่งรบกวนใจออกไปแล้วจางเฟิงหยานตัดสินใจว่าเขาจะใช้โอกาสสิบเปอร์เซ็นที่มีโจมตีส่วนอกของเฉินหลง
เฉินหลงไม่หลบการโจมตีแต่จับมือของจางเฟิงหยานไว้
ตอนที่จางเฟิงหยานไปที่เวที เฉินหลงตรวจสองข้อมูลของเขาด้วยเครื่องวิเคราะห์ แต่กลับไม่มีข้อมูลใดแสดงขึ้นมา เขาก็เป็นปิศาจ
เพราะพลังของเขาเป็นระดับกำเนิด เฉินหลงจึงอยากรู้ว่าพลังเขาจะผ่านระฆังทองได้หรือไม่ เฉินหลงจึงรับการโจมตีของจางเฟิงหยานไว้
และเมื่อมือของจางเฟิงหยานสัมผัสอกของเฉินหลงแล้วก็เกิดเสียงของทองและเหล็กกระทบกันขึ้น
ครั้งนี้ ส่วนอกของเฉินหลงมี “ไอระฆังทอง” ปรากฏขึ้นมา ราวกับเป็นชุดเกราะตรงเบื้องหน้ามือของจางเฟิงหยาน
พลังสิบเปอร์เซนต์ของจางเฟิงหยานทำลายเกราะคุ้มกันของ “ไอระฆังทอง” ไม่ได้เลย
แทนที่เขาจะปัดเป่า “ไอระฆังทอง” นี่ไปจนหมด กลับกันจางเฟิงหยานทำได้แค่เอาส่วนพลังงานตอบโต้ออกไปได้บางส่วน อย่างไรเสียเขายังคงบาดเจ็บจากพลังงานที่ว่า หยดเลือดไหลออกจากปากเขา
“เดี๋ยวก่อน พลังที่ป้องกันตัวช่างแข็งแกร่ง นี่หรือคือ “ระฆังทอง” ในตำนาน” ซ่งเจิ้งได้เห็นไอสีทองรอบช่วงอกเฉินหลงแล้ว เขานึกถึงระฆังทองเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าจะได้แค่นี้ มิฉะนั้น จะไม่ทรงพลังเช่นนี้ และดูเหมือนว่าคนคนนี้จะได้สนุกกับการเรียนรู้ “ระฆังทอง” ที่สูญหายไปนี่แล้ว” หวังเจียรตบมือและพยักหน้า ในตอนเดียวกันนั้น เขากล่าวว่า
“ฉันไม่รู้นะว่าไอ้พวกลาหัวล้านนี่จะกลับมาหาเขาอีกไหมและจะไล่ให้กลับไปไหม มีคนพวกนั้นตั้งมากมายที่ไร้เหตุผล ฮ่ะฮ่า ฉันไม่คาดหวังให้โลกนี้วิเศษวิโสอย่างเท่าเทียมกันหรอกตอนที่ฉันกลับมา”
ตอนที่หวังเจียนออกท่องโลกอยู่นั้น เขาได้พบพวกพระที่ดุดันและไร้เหตุผลมา ดังนั้นแล้วเขาจึงอยากจะรู้ว่าพวกพระไร้เหตุผลพวกนั้นจะลักขโมยจากเฉินหลงหรือไม่หากรู้ว่าเฉินหลงมีสกิลอย่าง “ระฆังทอง”
“รู้ไหมว่านี่คือสิ่งใดกัน” เฉินหลงค่อยๆตบตรงอกของเขา เหมือนปัดฝุ่น
“รู้สิ “ระฆังทอง” ใช่หรือไม่ แกมีวิชานี้ถึงขั้นไหนกัน” จางเฟิงหยานว่า
เฉินหลงยิ้มให้และตอบ “ถ้าอยากจะรู้ ก็เข้ามาลองเองสิ”
“ได้ ฉันจะลอง” จางเฟิงหยานกล่าว เขายื่นมือไปและปัดข้อมือ ดาบที่ดูเบาบางปรากฏบนมือเขา
หลังจากนั้นจางเฟิงหยานไม่พูดเรื่อยเปื่อยแล้ว เขาร่ายรำเพลงดาบอย่างงดงามและแทงเฉินหลงด้วยดาบนั้น
หากไม่ได้บอกไป จงหาด้วยตัวเอง
เฉินหลงมองดาบบางเบาที่แทงมาที่เขา แล้วจึงใช้กระบองคู่ตีไปที่ดาบ
ข้อมือของจางเฟิงหยานหยุดชะงัก ทันใดนั้นดาบที่บางเบาก็เปลี่ยนแปลงเป็นมีด และคมของมันตัดกระบองนั่น
เฉินหลงรู้สึกถึงมือที่นุ่มนวลทันที กระบองเขาขาดครึ่ง
แต่จางเฟิงหยานยังคงจะแทงคอเฉินหลงต่อไปด้วยท่าทางเช่นเดิม เขาพยายามจะฟันคอเฉินหลงให้ได้
“กิ๊ง”
เฉินหลงใช้นิ้วไปแตะโดนปลายของดาบ เพื่อดันให้ดาบออกไป ดาบก็ลอยขึ้นไปข้างบน เฉินหลงถอยออกมาทันที มีระยะห่างที่กว้างระหว่างพวกเขา เขาโยนกระบองคู่ที่ไร้ประโยชน์ใส่จางเฟิงหยาน
ด้วยเพลงดาบดอกไม้ ดาบของจางเฟิงหยานฟันกระบองคู่ให้กลายเป็นเศษเหล็กได้ในทันที
“ดาบนี่ ไม่เลว” เฉินหลงว่า
“พลังของนายก็เยี่ยมมาก” ดาบของจางเฟิงหยานชี้ไปยังเฉินหลง เขายังไม่วางใจแต่อย่างใด
เฉินหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องที่ดี เช่นนั้นคงต้องแสดงพลังให้ดูเสียหน่อยแล้ว ดูกันว่าอะไรจะแข็งแกร่งกว่าระหว่างดาบนั่นหรือมือฉัน”
จบคำมือเฉินหลงก็ห่อหุ้มด้วยชั้นของ“ไอระฆังทองคำ” ราวกับว่าเขาสวมถุงมือทองคำอยู่
จากนั้นเฉินหลงกระดิกนิ้วท้าท้ายจางเฟิงหยาน
ตอนนั้นเองซ่งเจิ้งและหวังเจียนที่มองการต่อสู้อันดุเดือดนี้มาตลอด ได้เห็นว่าเฉินหลงนั้นเกินต้านทานจริงๆ
“เอาล่ะ ขึ้นอยู่กับฉันแล้วที่จะทำลายระฆังทองของแก”
สิ้นคำร่างของจางเฟิงหยานเคลื่อนไปข้างหน้า ดาบในมือเขาเล็งจะแทงเฉินหลงพร้อมด้วยเงาดาบอันนับไม่ถ้วน
กระบวนท่านี้ทำให้คนที่แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับกำเนิดเตรียมรับมือไม่ได้มาแล้ว เงาอันไม่สิ้นสุดของดาบนี่จะทำให้ตาของศัตรูพร่ามัว จากนั้นดาบจริงก็จะเป็นตัวปิดฉาก ถือเป็นกระบวนท่าที่เป็นเอกลักษณ์
แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนที่นี้ช่างไร้ค่าสำหรับเฉินหลงที่มีดวงตามายา “ที่กั้นระฆังทอง” ของเขาทำให้ไม่เห็นเงาของดาบพวกนั้นได้ ในสายตาเขาเห็นเพียงดาบที่แท้จริงของจางเฟิงหยาน ตอนที่ดาบมาตรงหน้าเขา มือขวาของเฉินหลงคว้าดาบได้และล้มท่าของจางเฟิงหยาน
แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ดาบมังกรของจางเฟิงหยานยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว
ดาบของจางเฟิงหยานฟันลง ห่างจากตาขวาเฉินหลงสองเซนติเมตร มือขวาของเฉินหลงรับดาบนั้นยกขึ้นและจับยึดไว้ ในขณะเดียวกันมือซ้ายของเขาก็กำหมัดและต่อยส่วนท้องของจางเฟิงหยาน
“ตู้ม”
หมัดอันทรงพลังต่อยจางเฟิงหยานตรงๆ เขากระเด็นไป
ปากเขาเต็มไปด้วยเลือด
หลังจากที่จางเฟิงหยานตกลงมาบนพื้นแล้ว เขาเดินโซเซเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีดอย่างชัดเจน เขายิ้มอย่างขมขื่นหลังกล่าวว่า “ฉันแพ้แล้ว”
ในศึกครั้งนี้ เขาโดนทำให้เชื่อว่าเขาแพ้ แม้ไม่ได้ใช้วิชาลับอะไรแต่กลับทำลายเพลงดาบที่แข็งแกร่งที่สุดและใช้อย่างไรที่ติได้ เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้
“พลังของพี่จางช่างแข็งแกร่ง ผมโชคดีที่ชนะท่านั้นได้ คารวะเลย” เฉินหลงว่า เขาเดินมาข้างหน้าและหยิบดาบจากมือจางเฟิงหยานไปถือไว้
ไม่รู้วัสดุของดาบนี่เลยว่าทำมาจากอะไร ดาบนี่เฉินหลงทำลายไม่ได้แถมยังไม่ผิดรูปไปจากเดิม
จางเฟิงหยานเป็นสมาชิกของหนทางปิศาจ แม้เฉินหลงจะอยากฆ่าเขาเพื่อเลี่ยงปัญหาในอนาคต แต่ด้วยตอนนี้เป็นงานชุมนุมแลกเปลี่ยนทำให้โอกาสดีๆต้องหลุดลอยไป
TB:บทที่ 164 สองกรณี
“หากว่าแพ้ ก็คือแพ้ พลังของพี่ฉือช่างห่างชั้นกว่า ผมยอมรับความพ่ายแพ้”
จางเฟิงหยานหยิบดาบเขาและกล่าวออกไป
เฉินหลงยิ้มให้เข้าก่อนจะเดินไป
“พี่ฉือ พี่เก่งมากเลย”
“พี่ฉือ นั่นคือระฆังทองที่หายไปหลายร้อยปีจริงๆหรือ”
“พี่ฉือ พี่อยากมาบ้านพักร้อนของผมไหม”
“พี่ฉือ ถ้าพี่ไม่อยู่ที่นี่วันนี้ พวกเราคงตกอยู่ในอันตราย หากจะเชิญมากินข้าวสักมื้อจะได้ไหมครับ”
……
ในตอนสุดท้าย จู่ๆพวกเขาก็ต้อนรับเฉินหลงราวกับเขาเป็นยอดมนุษย์
“หวังเจียน ฝีมือดาบของนายช่างทรงพลัง หากพลังอยู่ในระดับเดียวกับเขาละก็ เขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้นายเลย” เฉินหลงยิ้มให้กับศิษย์ของครอบครัวคนที่เชิญเขามา เฉินหลงเดินไปหาหวังเจียนและกล่าวไป
คำของเฉินหลงไม่ได้เป็นเชิงชื่นชมทว่าเขารู้สึกจริงๆว่าพลังของหวังเจียนแข็งแกร่งมากเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะระดับพลังที่ไม่สูงแล้ว จางเฟิงหยานคงไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา
“ผมรู้ แต่ผมอยากสู้กับคุณที่สุด ผมอยากรู้ว่ามีดของผมจะตัดผ่านระฆังทองได้ไหม” หวังเจียนว่าอย่างมั่นใจ
เป็นปกติของผู้ใช้ดาบ ที่หากไม่มีความมั่นใจแล้วก็ไม่สามารถใช้ดาบของตัวเองได้เลยไม่ว่าจะว่องไวหรือบ้าคลั่งแค่ไหน ดังนั้นแล้วแม้เขาจะแพ้แต่เขายังคงมีความมั่นใจและเชื่ออยู่ว่าครั้งต่อไปเขาจะชนะ
“ฮ่าฮ่า หากอยากสู้กับฉัน นายต้องพัฒนาพลังตัวเอง หรือไม่เช่นนั้นนายจะยังตัดผมสักเส้นไม่ได้ด้วยพลังที่มีอยู่ตอนนี้” เฉินหลงตบบ่าหวังเจียนและกล่าวอย่างเชื่อมั่น
เฉินหลงในตอนนี้มีพลัง “ระฆังทอง” ระดับสิบเอ็ดแล้ว และแม้จางเฟิงหยานที่ใช้พลังระดับกำเนิดได้ยังทำลายพลังนี้ไม่ได้ พลังของหวังเจียนช่างยอดเยี่ยม หากเป็นตามปกติแล้วผมของเขาคงโดนตัดไปบ่อยๆ
“ต่อสู้หรือ ตอนนี้ผมคงยังสู้คุณไม่ได้ ผมอยากเลี้ยงเครื่องดื่มคุณ ไม่แน่ใจว่าคุณอยากจะไปด้วยหรือไม่”
หวังเจียนคิดว่าเฉินหลงเป็นคนอารมณ์ดี เขาจึงอยากจะเป็นเพื่อนกับเฉินหลง
หวังเจียนทำให้เฉินหลงนึกถึงพวกคนที่กินเนื้อและดื่มในถ้วยใหญ่ๆ และตามธรรมชาติแล้วเฉินหลงไม่ปฏิเสธเขา “แน่นอน ฉันไม่มีปัญหาอะไรที่จะไปดื่ม ฉันกลัวมากกว่าว่านายจะไม่ไปดื่มกับฉัน”
“ไม่ต้องกังวลไป ถึงพลังของผมยังไม่ดีเท่าคุณแต่ถ้าดื่ม ผมไม่แพ้คุณหรอก”
สิ้นคำ หวังเจียนและเฉินหลงก็รีบออกไปโดยไม่รีรอซ่งเจิ้งและจางเฟิงหยาน
ซ่งเจิ้งเห็นหวังเจียนและเฉินหลงออกไปแล้ว เขา พวกสกุลเก่าแก่ และพนักงานจัดงานทุกคนต่างนิ่งอึ้งไป อย่าว่าอย่างไรเลย แต่คนที่เปล่งประกายที่สุดสองคนในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนออกไปดื่มด้วยกันโดยไม่สนใจอะไร ช่างเป็นเรื่องที่พิเศษ
แต่อย่างไรก็ตามแต่เฉินหลงและหวังเจียนไม่ได้ใส่ใจว่าพวกเขาจะว่าอย่างไร ตอนนี้พวกเขาชื่นชมกันและกัน หากพวกเขาอยากดื่ม พวกเขาจะไปดื่ม
แม้เฉินหลงและหวังเจียนออกไปแล้วแต่ยังมีคนอยู่ที่นั้น พนักงานจัดงานจึงเตรียมอาหารให้คนพวกนั้นได้กิน ได้อยู่ต่อ และหาหมอมาให้
และถึงแม้ว่าซ่งเจิ้งต้องการจะดื่มกับเฉินหลงและหวังเจียน ทว่าสุดท้ายแล้วสกุลเก่าแก่ทั้งสี่ก็เป็นกำลังหลักในการจัดงานชุมนุมแลกเปลี่ยนนี้ และพวกเขาควรจะอยู่เพื่อช่วยเหลือสถานการณ์
ในอีกด้านหนึ่ง พรรคพวกกองกำลังชาวต่างชาติ ผู้เป็นนักสู้ทั้งหลายที่โดนมีดและมีบาดแผลจากการโจมตีของหวังเจียน ก็ได้ส่งตัวไปรักษา แต่อย่างไรเสียจางเฟิงหยานปฏิเสธการรักษาและกลับไปคนเดียว
หลังจากจางเฟิงหยานออกจากมหาวิทยาลัย เขาขึ้นรถโรลซ์รอยซ์แฟนท่อมสีดำและขับออกจากมหาวิทยาลัย
ไม่นานรถคันนั้นก็ขับมาถึงโรงแรมชื่อดังห้าดาวในปักกิ่ง
จางเฟิงหยานออกจากรถและเดินเข้าไปในโรงแรม
หลังจากที่เขาเข้ามาแล้ว คล้ายกับว่าเขากำลังมาตรวจสอบโรงแรมชื่อดังนี้ เพราะพนักงานทุกคนที่พบหน้าเขาไม่ว่าจะเป็นพนักงานเสิร์ฟหรือผู้จัดการทุกคนต่างโค้งคำนับอย่างนับถือและทักทายเขาว่า “สวัสดีครับ คุณจาง”
ก่อนหน้าจางเฟิงหยานคงพยักหน้าทักทายกลับด้วยรอยยิ้มแต่ในตอนนี้ที่เขาทรมานอย่างมากจากบาดแผลบาดเจ็บภายใน ทำให้เขามาไม่มีเวลาจะแสร้งตอบกลับไป เขาตรงไปยังลิฟต์พิเศษและขึ้นไปยังชั้นที่มีห้องสวีทพิเศษอยู่
หลังออกมาจากลิฟต์แล้ว จางเฟิงหยานเดินเข้าไปยังห้องสวีทพิเศษ
“อ้าว เจ้าชายของเรา ไปรังแกคนไม่มีทางสู้เป็นอย่างไรบ้าง” จางเฟิงหยานเดินเข้าไปในห้องพิเศษ ชายคนหนึ่งในชุดสีฟ้าและมีรอยสักสามเหลี่ยมสามอันอยู่ตรงมุมหนึ่งของตาหยอกล้อจางเฟิงหยาน
“หมอคนเก่ง อย่ามัวแต่นั่งสิ ฉันบาดเจ็บขนาดนี้ ถ้าไม่ช่วยฉัน นายช่วยมาดูหน่อย” สายตาไร้อารมณ์ของชายคนนั้นมองจางเฟิงหยานอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงไป นายแค่มีอาการช็อกนิดหน่อยจากการบาดเจ็บตรงช่วงท้อง กินยานี่แล้วพักผ่อนสักสองสามวัน ยานี่ไม่ฆ่านายหรอก” ชายคนนั้นว่า
“ตามที่นายว่าเลย”
จางเฟิงหยานเดินไปที่โซฟาและนั่งลง
“บอกมาสิ ใครทำร้ายนาย” ชายคนนั้นรีบนั่งลงในระดับสายตา
จางเฟิงหยานส่ายหน้าและกล่าว “ฉันไม่รู้ตัวตนเขา รู้เพียงแต่ชื่อว่าคือฉือเฮยหู เขาฝึกฝนสกิล “ระฆังทอง” ที่หายไปหลายร้อยปี ฉันว่าเขาคงไปถึงระดับสิบเอ็ดแล้ว”
สำหรับฉือเฮยหูอย่างจางเฟิงหยานแล้ว เขาจำเรื่องนี้ได้ชัดเจน สามารถทำลายฉีที่ป้องกันตัวเขาได้และส่งพลังตอบโต้ใส่ช่องท้องเขา พลังนั้นคงทรงพลังมาก
“ระฆังทองหรือ หาก พวกพระไม่มีเหตุผลที่บ้าคลั่งพวกนั้นรู้เข้าว่า “ระฆังทอง” ปรากฏมา นายคิดว่าพวกนั้นจะมาแย่งมันไปไหม” ชายในชุดสีฟ้าเผยยิ้มร้าย
จางเฟิงหยานมองเพื่อนเขาที่มีความรู้อย่างมากทางการแพทย์และศิลปะการต่อสู้ เขาคือหลานรีเย่ หนึ่งในแปดของพวกหนทางปีศาจ เขาเกรงว่าโลกนี้คงวุ่นวาย
แต่อย่างไรก็ตามจางเฟิงหยานชอบคนแบบเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
พวกเขาเพียงสองคนจากแปดคน ที่กลับมาได้จากแปดกลุ่มแห่งหนทางปิศาจ
“ทำไมนายมองฉันแบบนั้น ทำไมคนอย่างเทียนเจีย จ่งที่หวังว่าโลกนี้จะโกลาหลกว่าที่เป็นอยู่เป็นเรื่องดี ที่พูดแบบนั้นเพราะนายไม่ได้ชอบเงินมากมายแต่จะหาโอกาสทำเงินงั้นหรือ” หลานรีเย่ไม่ชอบใจนักกับสายตาที่จางเฟิงหยานมองเขา
จางเฟิงหยานพยักหน้าและกล่าว “เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นายรู้จักฉันดีเกินไป แต่นายช่วยฉันเรื่องนี้ได้ ฉันรู้สึกเหมือนจะตาย”
จางเฟิงหยานเป็นทายาทของเทียนเจียจ่ง กลุ่มของผู้ใช้เวทย์มนต์ทั้งแปด เมื่อใครได้ยินชื่อเทียนเจียจ่งแล้วเขาคงรู้อยู่ว่ากำลังทำอะไร แต่อย่างไรก็แล้วแต่ พวกเขาทำธุรกิจกัน เนื่องจากทำเป็นกลุ่มๆหากไม่มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจแล้วคงไม่มีการพัฒนาใดๆ หากประเทศใดไม่มีทางทำเงินของตนแล้วคงโดนประเทศอื่นกลืนกินไปไม่ช้า ดังนั้นแล้วหนทางปิศาจจะเกิดขึ้นโดยเทียนเจียจ่ง
หลายปีที่ผ่านมาเทียนเจียนจ่งได้เริ่มทำธุรกิจในต่างประเทศและมีธุรกิจมากมาย อย่างเช่นโรงแรมนี้ ที่เป็นทรัพย์สินของเทียนเจียนจ่ง และเพราะจางเฟิงหยานเป็นทายาทของเทียนเจียนจ่งคงเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นที่นับถือในโรงแรมนี้
หลานรีเย่เป็นทายาทของกลุ่มแม่มดแพทย์ที่ไม่เพียงช่วยเหลือผู้คนแต่ยังฆ่าคนอีกด้วย อีกอย่างหนึ่งคือเขามีฝีมือทางการแพทย์ที่ทรงพลัง หลานรีเย่มีความสามารถยอดเยี่ยมในเรื่องยาพิษ อีกทั้งเขายังมีนิสัยชอบท้าทายและยังเป็นตัวปัญหาและปิศาจตัวน้อยด้วย
TB:บทที่ 165 ชื่อเสียง
“อ้าปาก” หลานรีเย่กล่าวกับจางเฟิงหยาน
จางเฟิงหยานเปิดปากตามอย่างว่าง่าย หลานรีเย่โยนเม็ดยาสีฟ้าเข้าปากเขาแล้วจึงกล่าวว่า
“เฟิงหยาน รวมกับยารักษานี่แล้ว นายติดค้างฉันอยู่ห้าร้อยแปดสิบหกจุดเจ็ดสามสามห้าสองศูนย์หยวน จะจ่ายคืนมาเมื่อไหร่กัน”
“ฉันคิดว่านายจะไม่พูดเรื่องเงินเพราะเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก แต่ฉันไม่คิดนะว่าเรื่องนี้เป็นธุรกิจ นายทำฉันผิดหวังจริงๆ” จางเฟิงหยานส่ายหัวและกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าปนผิดหวัง
เมื่อได้เห็นจางเฟิงหยานคิดว่าเป็นความผิดเขาแล้วและจะไม่ยอมจ่ายเงิน หบานรีเย่รู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีและกล่าวด้วยเสียงดังว่า “ราคาที่ฉันให้นี่เป็นราคาต้นทุนแล้ว ไม่มีภาษีรวมไปด้วยซ้ำ เช่นนั้นนายอยากจะรวมไปในบัญชีนายอีกไช่ไหม งั้นก็ได้พวกเราเป็นพี่น้องกัน หากเราคุยเรื่องเงินแต่เราไม่อยากพูดถึงเรื่องเงินก็มาพูดเรื่องทองกัน นายตั้งใจว่าจะใช้ทองเท่าไหร่จ่ายหนี้ที่ติดไว้กัน”
“ช่วงนี้ฉันค่อนข้างจะขาดเงินน่ะ ค่อยคุยทีหลังจะได้ไหม” หลานรีเย่เปลี่ยนเรื่องเงินเป็นเรื่องทอง แต่จางเฟิงหยานไม่เก่งเรื่องพูดขัดนัก
“นายผลัดไปเรื่อยมาครึ่งปีแล้ว ทำไมนายที่เป็นทายาทแห่งเทียนเจียจ่งจึงขี้งกได้เช่นนี้ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ หากนายไม่จ่ายหนี้คืน ฉันจะวางยานาย” เมื่อเขาได้ยินจางเฟิงหยานพูดผลัดเงินไปอีก หลานรีเย่จึงขู่จางเฟิงหยานในทันที
“ไม่มีเงิน ไม่มีสักแดง หากต้องการจะวางยาฉัน นายก็จะไม่ได้เงิน” เขาเห็นว่าหลานรีเย่คนที่เขาติดเงินอยู่ยังกล้าจะขู่เขาอีก จางเฟิงหยานจึงตัดสินใจพูดให้จบเรื่อง
หน้าตาของจางเฟิงหยานตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเนื้อหมูที่ไม่กลัวน้ำเดือดหลานรีเย่เห็นดังนั้นแล้วจึงพุ่งเข้าไปหาจางเฟิงหยานในทันใด พวกเขานั่งเผชิญหน้ากัน
ภาพที่เฉินหลงเห็นอยู่นี้ช่างงดงามเหลือเกินจนเขาไม่อาจมองต่อไปได้
หลังจากเรื่องทันหมดเฉินหลงพุ่งความสนใจของเขาไปที่โต๊ะไวน์
นิสัยของหวังเจียนเป็นเหมือนฝีมือดาบของเขา นั่นคือตรงๆและง่ายๆ เมื่อเขาอยากดื่ม เขาจะออกไปดื่ม เมื่อเขาอยากฆ่า ดาบของเขาจะไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้เขาเลย และด้วยนิสัยเช่นนี้ทำให้เฉินหลงเป็นเพื่อนกับเขา
“พี่จอมสับ อยากจะรู้ตัวจริงของฉันไหม” หลังจากจิบไวน์ไป เฉินหลงถามหวัง
ปีนี้หวังเจียนอายุยี่สิบห้าปี แก่กว่าเฉินหลงสามปี และด้วยอายุเขา ตามปกติแล้วเฉินหลงจึงเรียกเขาว่าพี่หวังเจียน
“ไม่ล่ะ เพราะน้องฉันคนนี้ขนานนามกันว่าเป็น ฉือเฮยหู” หวังเจียนมองเฉินหลงและกล่าวอย่างไม่ซับซ้อน
สำหรับหวังเจียนแล้ว ไม่ว่าตัวจริงเฉินหลงจะเป็นใคร ในสายตาเขาก็ยังคงเป็นพี่น้องเขาอยู่ดี
เฉินหลงยกแขนขึ้นและกล่าวไปว่า “เช่นนั้นก็ได้ เราจะไม่พูดเรื่องนั้นวันนี้ มาดื่มกัน”
เนื่องจากหวังเจียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องตัวตนจริงของเขา เฉินหลงจึงยังใช้ใบหน้าของชิเฮฮูเพื่อเป็นเพื่อนกับเขาอยู่
ไวน์ที่เฉินหลงดื่มอยู่นี้เขาไม่ได้ใช้พลังของเขาเพื่อเผาผลาญแอลกอฮอล์ การดื่มจึงจะกล่าวได้ว่าสนุกสนาน
สุดท้ายแล้วหวังเจียนเป็นคนแรกที่เมาไปก่อน เพราะในท้ายที่สุดแล้วเฉินหลงที่ไม่ได้ใช้พลังเพื่อให้เมาก็มีพลังในระดับกำเนิดนั้นทำให้เขาเมาได้ยากกว่าหวังเจียนมาก
หลังจากที่หวังเจียนเมามายไปแล้ว เฉินหลงจึงพาหวังเจียนกลับไปยังวิลล่าของเขา และเพราะเฉินหลงพร้อมแล้วที่จะบอกเรื่องตัวจริงของเขา เฉินหลงจึงไม่คิดมากที่จะพาเขากลับไปวิลล่า
เมื่องานชุมนุมแลกเปลี่ยนจบลงไปแล้ว ชื่อของชิเฮฮู ปรมาจารย์แห่ง “ระฆังทอง” ที่เฉินหลงคิดขึ้นจะไปถึงพวกตระกูลเก่าแก่ในเมืองหลวง และแม้เขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับกำเนิดแต่ในตระกูลเก่าแก่ทั้งสี่ยังคงมีผู้ที่ครอบครองพลังระดับกำเนิดอยู่ คนหนุ่มสาวที่มีพลังระดับกำเนิดนั้นมีอยู่น้อยมาก ดังนั้นแล้วสมาชิกในตระกูลเก่าแกจึงเรียกหาฉือเฮยหู แต่ฉือเฮยหูที่ว่านี่ก็คือเฉินหลงในอีกร่าง ตราบใดที่เฉินหลงถอดหน้ากากอยู่จะไม่มีฉือเฮยหูที่ไหนในโลก พวกนั้นจะรู้ได้อย่างไร
และในวิธีเดียวกันนี่ มีคนสองคนในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนที่ประสบความสำเร็จอย่างที่สุด คนหนึ่งคือหวังเจียนที่เอาชนะพวกผู้มีความสามารถต่างชาติทั้งเก้าได้ คนของเขา ดาบของเขา และครอบครัวที่สูงศักดิ์ของเขาจะเป็นที่รู้จักในตอนนั้นเอง อีกคนหนึ่งคือจางเฟิงหยาน คนที่มีพลังถึงระดับกำเนิดด้วยอายุที่ยังไม่มากนัก
และเพราะหวังเจียนเมาแล้วเฉินหลงจึงพาเขากลับไปวิลล่า ต่อมาไม่นานครอบครัวของหวังเจียนมาหาเขา
“คุณเฉินหรือครับ”
หวังเฉียนจินเป็นคนหนุ่มที่อายุราวยี่สิบปี
หวังเฉียนจินเกิดมาพร้อมพลังเวทย์มนต์ และพลัง “เฉียนจิน เฉินฉวน” ก็เป็นที่โด่งดังในหมู่คนรุ่นใหม่
ในตอนนี้ เขากำลังนิ่งอึ้งไปเมื่อได้พบเฉินหลงที่วิลล่าแห่งนี้
จากสิ่งที่เขารู้มาหวังเจียนออกไปกับฉือเฮยหู แล้วในตอนนี้เฉินหลงมาเกี่ยวด้วยได้อย่างไร เฉินหลงเป็นคนแปลกหน้า ก่อนที่ฉือเฮยหูจะเป็นที่รู้จักในปักกิ่ง เฉินหลงเป็นคนดังมาก่อน ดังนั้นหวังเฉียนจินจึงรู้จักเฉินหลง
แล้วคนหนุ่มที่โด่งดังสองคนเกี่ยวข้องกับหวังเจียนจากสกุลหวังเช่นนี้ หวังเฉียนจินพลันรู้สึกว่าครับครัวเขากำลังจะมีโชคที่ดีมากๆ และแม้หวังเฉียนจินจะเกิดมาพร้อมพลังจากสวรรค์แต่เขายังเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวอีกด้วย ไม่เช่นนั้นครอบครัวหวังอาจไม่ปล่อยให้เขามาหาหวังเจียน
“ครับใช่ แล้วคุณคือใครกัน” ได้เห็นหวังเฉียนจินสุภาพมากขนาดนี้ เฉินหลงจึงใจดีด้วย
คำตอบกลับของเฉินหลงที่ถามหวังเฉียนจินแต่ทำให้ท่าทีเขาแสดงความนับถือทันที เขากล่าวว่า “คุณเฉิน ผมชื่อหวังเฉียนจิน ผมเป็นน้องชายของพี่นักกุดหัว เรื่องเป็นแบบนี้ครับ เขาไม่ได้ติดต่อครอบครัวมาพักใหญ่ๆแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่ละเอียดอ่อน พวกเราเกรงว่าเขาจะอยู่ในอันตราย พวกเขาเลยให้ผมมาตามหาเขาน่ะครับ ผมรู้มาว่าพี่ชายผมเมาเลยมาที่นี่กับฉือเฮยหูผมคาดไม่ถึงว่าที่นี่จะเป็นบ้านของคุณเฉิน แต่คงเดาได้ไม่ยากว่าคุณจะซื้อบ้านที่ใหญ่โตแบบนี้ได้”
“ครับ หวังเจียนอยู่ที่นี่กับผม แต่ฉือเฮยหูไปแล้วน่ะครับ ผมเป็นคนให้บัตรเชิญเขาไปเอง ผมคิดว่าเขาจะช่วยพวกคุณได้” เนื่องจากหวังเฉียนจินอยู่ที่นี่ เฉินหลงจึงยืมชื่อสกุลหวังมาให้เหตุผลเรื่องความสัมพันธ์เขากับฉือเฮยหู
แน่นอนว่าเมื่อเขาได้ยินที่เฉินหลงเรียกฉือเฮยหู สายตาของหวังเฉียนจินพลังฉายแววอ่อนโยน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
“เฉินหลง ครั้งนี้พี่ฉือสร้างความประทับใจให้คนมากๆที่งานชุมนุมแลกเปลี่ยน แล้วเขาก็ยังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในวงการศิลปะการต่อสู้ของชาติจีนที่ยิ่งใหญ่ด้วย ดาบและหมัดเขาประเมินค่าไม่ได้ แม้ผมไม่ได้ไปร่วมด้วย ผมยังเลือดพลุ่งพล่านเลยตอนฟังคนอื่นเล่า น่าเศร้าที่พี่ฉือออกไปก่อน ไม่เช่นนั้นผมคงได้เจอเขา”
หวังเฉียนจินพูดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวในเชิงชื่นชมแต่อย่างใดทว่าฟังแล้วสบายใจยิ่งกว่าคำเชยชมเสียอีก
คำของหวังเฉียนจินทำให้ร่างเฉินหลงสงบไปด้วยมื่อได้ฟัง ทันใดที่รู้สึกถึงเห็นสายตาของหวังเฉียนจินที่มีความพึงพอใจอย่างไร้สิ่งใดเทียบเคียงได้ เขากล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉียนจิน พี่ชายนายหลับอยู่ข้างใน อยากจะไปหาเขาหน่อยไหม”
“ไม่ละครับ เพราะคุณเฉินอยู่นี่เลยไม่น่ามีปัญหา ผมจะไม่ไปรบกวนเขา” หวังเฉียนจินกล่าว
“แต่อย่างไรเสีย ที่บ้านผมขอให้ผมพาพี่เขากลับไป หากผมกลับไปคนเดียวคงไม่ดีแน่ พี่เฉินครับถ้าพี่ไม่ว่าอะไรขอผมอยู่ที่นี่จนกว่าพี่จะตื่นได้ไหมครับ” ใบหน้าหวังเฉียนจินแสดงความอับอาย
TB:บทที่ 166 พวกพระที่ไม่สมเหตุสมผล
“ได้เลยสิ ที่นี่มีห้องเยอะมาก นายพักก่อนแล้วรอให้พี่นายตื่น”
เฉินหลงมองหวังเฉียนจินและตอบตกลงอย่างง่ายดายเพราะเขาเป็นน้องของหวังเจียน
ใบหน้าของหวังเฉียนจินฉายความสุขออกมาและกล่าวกับเฉินหลง “คุณเฉิน ผมจะโทรไปบอกที่บ้านก่อนนะครับ”
เฉินหลงพยักหน้า อย่างไม่ได้ใส่ใจหวังเฉียนจินเท่าไร
หวังเฉียนจินบอกสถานการณ์ให้ที่บ้านฟัง และเน้นเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเฉินหลงและฉือเฮยหูว่าไม่ธรรมดา
หวังเฉียนจินยังได้คำสั่งจากตระกูลเขาอีกว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นเพื่อนที่ดีกับเฉินหลงให้ได้ เพราะตราบใดที่พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจะหมายถึงโอกาสที่สกุลหวังจะยิ่งใหญ่ และหวังเฉียนจินจะเป็นคนแรกที่สกุลหวังสรรเสริญเป็นแน่
ก่อนหน้า เฉินหลงมีพลังของเขาเอง มีฝีมือทางการแพทย์ที่วิเศษ และไม่มีทางสังกัดกลุ่มใด แน่นอนว่าสกุลเก่าแก่ทั้งสี่แห่งเมืองหลวงสนใจเขาอย่างมาก แม้จะที่มีเพื่อนอย่างฉือเฮยหูที่แข็งแกร่งอย่างทัดเทียมแต่โดยทั่วไปแล้วเขาดูมีค่ามากกว่า
หลังจากฟังน้องชายเขาเล่าแล้ว หวังเฟ่ยหลง หัวหน้าของสกุลหวัง เป็นคนที่มีประสิทธิภาพที่สุด และหลังจากหวังเฟ่ยหลงได้ฟังคำบอกเล่า ตาของหวังเฟ่ยหลงลอยขึ้นไปฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการที่หวังเจียนเกิดมาหรือจู่ๆเฉินหลงก็มาร่วมมือด้วย นี่เป็นลางบอกเหตุถึงสกุลหวังที่จะเติบใหญ่ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าของสกุลหวัง หวังเฟ่ยหลงจะไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะขยับขยายตระกูลเขาไป
“คุณเฉิน คุณช่างทรงพลัง คุณช่วยแนะนำผมได้หรือไม่ครับ” เมื่อโทรไปแล้วและได้ฟังคำสั่งจากที่บ้าน หวังเฉียนจินเดินไปหาเฉินหลงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสาม
จนถึงตอนนี้ หวังเฉียนจินยังไม่รู้ว่าสุนัขโดเบอร์แมนที่กำลังระแวงเขาอยู่สามารถบดขยี้เขาได้อย่างราบคาบ
“ฉันคงบอกไม่ได้ เราควรเรียนรู้จากกันและกัน” ตอนนี้เฉินหลงกำลังอารมณ์ดี ดังนั้นจึงพร้อมคุย
“คุณเฉิน ผมคิดกระบวนท่า “เฉียนจิน เฉินฉวน” โปรดแนะนำผมด้วยนะครับ”
จากนั้น หวังเฉียนจินร่ายกระบวนท่า“เฉียนจิน เฉินฉวน”
กระบวนท่า“เฉียนจิน เฉินฉวน” สร้างขึ้นมาด้วยพลังที่มีของตัวเขาเอง หมัดต่อหมัดต่อกันไปเรื่อยๆ และแม้หมัดของเขาจะมีข้อผิดพลาดบ้างแต่ก็มีความเร็วและพละกำลังมาทดแทนส่วนของหมัดที่ผิดพลาด และแม้พลังของหวังเฉียนจินจะเป็นแค่ขั้นปรมาจารย์เท่านั้นแต่ด้วยกระบวนท่านี้เขาแทบจะต้องฝึกฝนแค่ฝีมือมวย เขาสู้กับคนระดับพลังอื่นได้แน่นอน
เมื่อหวังเฉียนจินชกหมัดสุดท้ายแล้ว เขามองเฉินหลง และหวังว่าเฉินหลงจะให้คำแนะนำกับเขาได้
“ฝีมือมวยช่างแข็งแกร่ง และด้วยฝีมือมวยที่นายมี คงไม่มีปัญหาอะไรในการในสู้ใหญ่ๆ”
เฉินหลงแสดงความคิดเห็นอย่างตรงจุดกับหวังเฉียนจิน “แต่ยังมีปัญหาอยู่ว่า ท่ามวยของนายแข็งแกร่งเกินไป และจะใช้พลังนายอย่างมาก หากนายเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าในเวลาสั้นๆไม่ได้แล้ว นายจะไม่เหลือพลังพอใช้ท่ามวยนี่ นั่นคือตอนที่นายจะแพ้”
เมื่อได้ยินคำของเฉินหลง หวังเฉียนจินมองเฉินหลงด้วยสายตาชื่นชมและกล่าวต่อไป
“คุณเฉิน ผมไม่รู้ว่าผมจะแก้ไขกระบวนท่ามวยนี่และกำจัดข้อผิดพลาดนี่ได้อย่างไร”
หวังเฉียนจินได้ยินข้อแนะนำนี้มาจากผู้อาวุโสในตระกูลเช่นกัน เขาจึงนับถือเฉินหลงมากไปอีก ชายคนนี้อายุเทียบเท่ากับเขา แต่พลังของเขาช่างมากมาย ทำไมจะนับถือไม่ได้กัน
“ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนท่ามวยหรอก ตราบใดที่นายฝึกฝนฝีมือได้ นายจะทดแทนส่วนของพลังฉีให้ยาวได้ และนายควรต้องชดเชยส่วนที่บกพร่องไป” ความชื่นชมในตัวเฉินหลงของหวังเฉียนจินช่างมีประโยชน์
คำของเฉินหลงทำให้สีหน้าหวังเฉียนจินขมขื่น คำพูดเข้าใจง่าย แต่จะทำได้อย่างไรกัน
“เฉียนจิน นายเคยได้ยินพระสวดมนต์ไหม” ได้เห็นสีหน้าอมทุกข์ของหวังเฉียนจินแล้ว เฉินหลงต้องการจะช่วยเขาให้ได้
หวังเฉียนจินส่ายหัว เขาไม่เคยจำเป็นต้องฟังพวกพระท่องพระสูตร
เฉินหลงว่าต่อด้วยรอยยิ้ม “พระที่ท่องพระสูตรในลมหายใจเดียว และยังอ่านต่อไปได้อีกหลายนาทีโดนไม่มีอะไรมาขัด นายคิดออกไหมว่าพวกพระพวกนี้เป็นอย่างไร หากนายมีฝีมือจากการฝึกฝนโดยพระพวกนั้นแล้ว ข้อบกพร่องพวกนั้นก็จะชดเชยไปได้”
เมื่อได้ฟังคำของเฉินหลงแล้ว ตาของหวังเฉียนจินพลันเป็นประกาย หากที่เฉินหลงว่าถูกต้องแล้ว การไปฝึกฝีมือกับพระเหล่านั้นคงเหมาะกับเขาจริงๆ
แต่อย่างไรเสียเมื่อคิดถึงกลุ่มพระนั้นที่ท่องพระสูตร สีหน้าหวังเฉียนจินก็ฉายความงุนงง
ในอดีต ทุกคนรู้ว่าพระพวกนี้เต็มไปด้วยตรรกะเหตุผลเป็นที่สุด แต่หลังการปรากฏตัวของพวกที่ไร้เหตุผลแล้ว พระพวกนั้นกลายมาเป็นทรงพลังมากขึ้นและมากขึ้น พวกเขาไม่ทำร้ายคนอื่น พวกเขาทำร้ายเพียงพวกเดียวกันเอง
เพราะฉะนั้น หากหวังเฉียนจินจะไปถามวิชาศิลปะการต่อสู้ด้วยตัวเอง คงไม่มีอะไรที่ดีเกิดกับเขาแน่
“อย่างไรก็เถอะ แม้ผมจะรู้ว่าควรทำอย่างไรให้ชดเชยข้อบกพร่องได้จากการฝึกกับพระเหล่านั้นแล้ว แต่ผมคงไม่ได้อะไรจากพระพวกนั้นอยู่ดี” หวังเฉียนจินกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่งั้นหรอ” เฉินหลงกล่าวอย่างประหลาดใจต่อหวังเฉียนจิน
หวังเฉียนจินบอกเฉินหลงว่าพวกนั้นไม่หลับ ไม่กินแต่พระพวกนั้นกลับแข็งแกร่ง
“ไม่หลับ ไม่กินอะไร พวกนั้นอยู่ข้างนอกตลอดเวลา มีคนกล่าวว่าพวกเขาต้องการตามหาความลับที่สูญหายในวิหารหนึ่ง และยังว่ากันอีกว่าสิ่งนั้นคือ “ระฆังทอง” ที่สร้างขึ้นโดยธรรมะ ก่อนหน้านี้พี่ฉือแสดงพลังของ “ระฆังทอง” ผมเชื่อว่าพวกนั้นจะต้องตามหาพี่ฉือ” หวังเฉียนจินว่า
“พวกพระไม่สมเหตุสมผล เรื่องนี้น่าสนใจจริง ตอนนี้ฉือเฮยหูไม่อยู่ พวกเขาคงมาหาฉันแทน ฉันจะรอพวกเขาที่นี่” เฉินหลงได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกว่ามีพระแบบนี้อยู่ด้วย เขารู้สึกสนใจพระพวกนี้ที่ไม่กินไม่นอนนี่ทันที
“คุณเฉิน ช่างทรงพลัง คุณกล้าแกร่งกว่าพวกที่ “ไม่หลับไม่นอน” แต่ควรระวังไว้ดีกว่า” หวังเฉียนจินเตือนเฉินหลง
เฉินหลงพยักหน้าและกล่าว “เฉียนจิน แม้ว่าพระจะแข็งแกร่งขึ้นแต่ตระกูลที่สูงศักดิ์ของนายก็ไม่ใช่คนธรรมดานะ การพัฒนาพลังของนายสำคัญกับตระกูล หากฝีมือนี่ช่วยนายได้แล้ว ฉันเชื่อว่าตระกูลนายจะมาช่วยให้นายทำได้ และแม้ว่าที่คุยกันจะทำไม่ได้ แต่พวกเขาคงไม่ได้จะไม่ช่วยนี่ ขอเพียงรอและคอยดูว่าพวกเขาจะเต็มใจช่วยไหม”
หวังเฉียนจินไม่หวังอื่นใดจากเฉินหลง
“ไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งนั้นตลอดไปบนโลกนี้หรอก ไม่มีใครเกิดมาไร้เหตุผล แม้พวกเขาจะเปลี่ยนใจไปก็เถอะ” เฉินหลงยิ้ม
ในตอนนี้เฉินหลงหวังให้เขา “ยืนหยัด” และหาทางรู้ว่าพระพวกนี้เป็นแบบไหน
เมื่อเห็นเฉินหลงว่าดังนั้นแล้ว หวังเฉียนจินก็กล่าวไปว่าไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องนี้แล้ว เขาเปิดประเด็นสนทนาอื่นและคุยกับเฉินหลงเรื่องฝีมือการแพทย์ของเฉินหลงแทน
“คุณเฉิน มีการพูดกันว่าฝีมือการแพทย์ของคุณสามารถชุบชีวิตคนได้ และหมอจีนก่งๆหลายคนเป็นศิษย์ของคุณนี่จริงไหมครับ”
เฉินหลงประหลาดใจที่หวังเฉียนจินถาม เขามองฮัวหมิงเหรินเป็นเหมือนเด็กฝึกงาน แต่มีคนไม่มากที่รู้เรื่องนี้ พวกตระกูลเก่าแก่นี่ช่างฉลาดนัก “พวกนายทุกคนรู้ว่าฮัวหมิงเหรินเป็นศิษย์ฉันแน่ๆ ฉันรักษาคนเป็นได้ แต่หากตายแล้ว คงไม่มีทางทำได้”
TB:บทที่ 167 ดาบหนึ่งเล่มที่สร้างโลก
ตาของหวังเฉียนจินโตขึ้น เขามองเฉินหลง “หมอฮัวเป็นศิษย์ของคุณจริงๆหรือ ก่อนหน้านี้ที่ผมได้ยินมา ผมแทบไม่เชื่อ คุณนี่ช่างสุดยอดจริงๆ”
“เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เขาอายุขนาดนั้นแล้ว ฉันทำได้แค่รับเขามา” เฉินหลงเปิดเผยอย่างช้าๆ
“คุณรักษาโรคอะไรก็ได้เลยใช่ไหมครับ” หวังเฉียนจินถามด้วยความประหลาดใจ
“บางโรคก็ใช้เวลาหน่อย แต่ฉันพอทำได้” เฉินหลงมั่นใจเต็มปี่ยม
หากมีโรคที่เฉินหลงรักษาไม่ได้ เช่นนั้น “หนังสือสมบัติแพทย์หนึ่งหมื่นอย่าง” คงไร้ประโยชน์จริงๆแล้ว
“แล้วคุณรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยแต่กำเนิดได้ไหมครับ” หวังเฉียนจินมองเฉินหลงอย่างคาดหวัง
“ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ มีอะไรหรือเปล่า นายมีญาติพี่น้องที่เป็นโรคนี้หรือ” เฉินหลงรู้ว่าหวังเฉียนจินคงไม่ถามอย่างไร้เหตุผล
เขาได้ยินเฉินหลงตอบเช่นนี้ ใบหน้าหวังเฉียนจินพลันแสดงความตื่นเต้นอย่างเป็นที่สุดออกมา เขากล่าว “จริงหรือครับ คุณรักษาได้จริงๆหรือ น้องชายของผมเกิดมาพร้อมโรคกล้ามเนื้อเจ็ดสิบเปอร์เซ็นอ่อนเปลี้ย หากว่าอาจารย์เฉินรักษาน้องผมได้ ผมจะยอมทำทุกอย่างที่พี่สั่งเลยครับ”
หวังเฉียนจิน มีน้องชายชื่อว่าหวังซือเหวิน เขาอ่อนกว่าสี่ปี ก่อนที่เขาจะอายุสองขวบ หวังซือเหวินยังเป็นอย่างเด็กทั่วไปที่แข็งแรงอยู่ ชื่อของเขาแต่เดิมไม่ใช่หวังซือเหวิน แต่ชื่อหวังหว่านจิน เขาและพี่เขา หวังเฉียนจิน เกิดมาพร้อมพลังระดับดั้งเดิมจากสวรรค์เหมือนกันแถมยังทรงพลังกว่าหวังเฉียนจินด้วยซ้ำตอนยังเด็ก ทีแรกพ่อแม่ของน้องชายหวังเฉียนจินมองว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นเด็กที่ได้รับพรจากสวรรค์จึงเป็นธรรมดาที่คนจะตื่นเต้น ในตระกูลอย่างสกุลหวัง การมีคุณสมบัติเช่นนี้ย่อมหมายถึงอนาคตที่ดีด้วย เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่ของพวกเขาจะมีความสุขกับพวกเขา
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หวังซือเหวินอายุได้สองปี มีการตรวจพบว่าเขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย พ่อแม่ของเขาไม่ได้เตรียมใจว่าลูกของพวกเขาจะเป็นโรคเช่นนี้
ทว่า ไม่ว่าเรื่องของเด็กคนนี้จะเศร้าโศกหรือไร้หนทางเพียงไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็เป็นลูกของพวกเขาที่ช่างไร้เดียงสา ถึงแม้เขาจะป่วย แต่ตระกูลไม่ยอมแพ้กับเรื่องนี้
และดังที่เป็นเช่นนั้น ชื่อของหวังหว่านจินจึงเปลี่ยนเป็นหวังซือเหวิน และเพราะที่เป็นเช่นนี้จึงไม่มีทางที่เขาจะพัฒนาฝีมือศิลปะการต่อสู้ได้อีก เขาจึงเรียนรู้วรรณกรรมแทน
อีกเรื่องหนึ่งคือหวังเฉียนจินรักน้องของเขามากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นอะไรดีๆทั้งหลายเขายกให้น้องหมดเสมอ
วันคืนผ่านพ้นไป ความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ของหวังเฉียนจินเริ่มเบ่งบานขึ้นทีละน้อย เขาจึงเป็นตัวหลักในการฝึกฝนของตระกูล แต่อย่างไรเสีย อาการของหวังซือเหวินก็แย่ลงแย่ลงตามวันเวลาที่ผ่านไป
แม้สกุลหวังจะเชิญหมอชื่อดังกี่คนมารักษาหวังซือเหวินก็ตาม แต่ด้วยความสัมพันธ์กับหวังเฉียนจินจึงช่วยเขาได้นิดหน่อย อย่างมากที่สุดคือทำให้ความรุนแรงของโรคทุเลาลงไปทีละช้าๆได้
หวังซือเหวินเป็นคนทะเยอทะยานด้วย ถึงเขาจะป่วยจากโรคในภายนอกแต่เขาไม่ละเลยตนเอง เพราะเขาอ่านออกเขียนได้ เขาจึงอ่านทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง เขาพยายามทำให้ตัวเองทรงภูมิ ในขณะเดียวกันเขายังช่วยพี่ของเขาที่เป็นห่วงเขาเสมอมาด้วย
กระบวนท่า “เฉียนจิน เฉินฉวน” ของหวังเฉียนจินเป็นที่กล่าวกันว่าเขาคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง ทว่าในความเป็นจริงแล้วส่วนมากมาจากการช่วยเหลือของหวังซือเหวิน ครั้งหนึ่งหวังซือเหวินไม่ยอมให้หวังเฉียนจินป่าวประกาศว่าหวังซือเหวินเองที่เป็นคนคิดกระบวนท่า “เฉียนจิน เฉินฉวน” เพื่อให้ทุกคนคิดว่าหวังเฉียนจินเป็นคนคิดค้นเอง
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นคือหวังซือเหวินไม่อยากจะอวดปัญญาอะไรและมีชื่อเรียกขานในเมืองหลวงเช่นดียวกับซ่งหยู่
เรื่องฉายาแน่นอนว่าทายาทของตระกูลเก่าแก่กล้าที่จะเรียกฉายาลับหลังกันอยู่ ใครก็ตามที่กล้าเรียกชื่อเขาในที่แจ้งจะต้องได้รับคำท้าทายและโดนกระทืบจนตายจากหวังเฉียนจิน
หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ไม่มีใครกล้ากล่าวชื่อหวังซือเหวินโดยไม่จำเป็นอีก
เนื่องจากความรู้สึกของหวังเฉียนจินต่อน้องชายเขานี้ ทำให้เขาตื่นเต้นเป็นที่สุดเมื่อเฉินหลงบอกเขาว่า เขารักษาอาการป่วยของน้องชายเขาได้
“นี่ ไม่ต้องตื่นเต้นไป ฉันจะช่วยนายเอง อย่างไรก็เถอะตอนนี้เริ่มดึกแล้ว ถึงเวลาไปพักผ่อนได้แล้ว ไปนอนก่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ตอนตื่น” เพื่อจะรักษาน้องชายเขา หวังเฉียนจินกล่าวว่าจะทำทุกอย่างตามที่เฉินหลงสั่ง เฉินหลงลุกขึ้นและตัดสินใจจะไปดูอาการด้วยตัวเองในวันรุ่งขึ้น
ในใจลึกๆเฉินหลงมีอีกความคิดหนึ่ง เขาต้องการจะถามฉางฮัว หมิงเหรินให้ไปดูว่าจะฝังเข็มได้อย่างไรด้วย
“ขอบคุณนะครับ ท่านอาจารย์เฉิน ขอบคุณจริงๆครับ อาจารย์เฉิน” หวังเฉียนจินกล่าวขอบคุณ
“ไปพักเสียเถิด” เฉินหลงยิ้ม
จบคำ เฉินหลงเล่นเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามต่อ
ตอนนี้เสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามเพิ่งฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ
วันต่อมา
หวังเจียนตื่นขึ้น เขามองไปรอบๆและพบว่าเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกไป แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมากแม้แต่น้อย หลังเขาออกท่องโลกไปเรื่อยมาหลายปี เขาตื่นขึ้นมาในที่ไม่คุ้นชินเสมอ เรื่องนี้ปกติสำหรับเขา
เมื่อลุกจากเตียงแล้ว หวังเจี้ยนยืดตัวและไปเปิดประตู
“อ้าว หลับสบายดีไหมเมื่อคืน”
บนโซฟาในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง คนหนุ่มหน้าตาดียิ้มให้หวังเจียน
คนคนนี้คือเฉินหลง
และข้างเฉินหลงมีหวังเฉียนจินอยู่ เขาไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่เมื่อคืน เนื่องจากความตื่นเต้นที่ยังคงไม่ดับหายไป
ตอนที่เขาเห็นเฉินหลง หวังเจียนรู้สึกคุ้นชินแบบแปลกๆทันที คล้ายกับว่ารู้จักเขาแต่บอกไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร
ขณะที่หวังเจียนกำลังสับสนอยู่นั้นเอง หวังเฉียนจินกล่าวขึ้น “พี่นักกุดหัว เมื่อวานพี่เมาแล้วที่บ้านติดต่อพี่ไม่ได้ เลยให้ผมมาหาพี่”
“ขยันนี่” หวังเจียนขัดขึ้น เขาหัวเราะและเดินลงชั้นล่าง
“ไม่เป็นไรครับ พี่นักกุดหัว พี่เป็นหน้าเป็นตาให้สกุลหวังเมื่อวาน ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าในหมู่คนรุ่นใหม่ของตระกูลเก่าแก่แห่งปักกิ่ง พี่เป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์”
หวังเฉียนจินว่าอย่างตื่นเต้น
มักเป็นเช่นนี้สำหรับศิษย์ของตระกูลเก่าแก่ ชื่อเสียงพวกเขาต้องได้รับการให้เกียรติอย่างที่สุด
อย่างไรก็ตาม หวังเจียนก็ไม่ได้ตื่นเต้นเลย คล้ายกับว่า การเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแม้แต่น้อย
“เฉียนจิน นายก็อยู่บนเส้นทางศิลปะการต่อสู้มานาน หากนายพอใจกับแค่การเป็นยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ของคนรุ่นใหม่ในปักกิ่งแล้ว วิสัยทัศน์นายคงไม่กว้างไกลเสียเลย เป้าหมายของฉันคือไปให้ถึงระดับยอดของวูเต๋า และดาบเล่มหนึ่งจะสร้างโลกได้” หวังกล่าว
“เข้าใจแล้วครับ พี่นักกุดหัว” หวังเฉียนจินเลิกทำสีหน้าตื่นเต้น
คำของหวังเจียนคล้ายกับเป็นอ่างน้ำเย็นที่ปลุกความตื่นเต้นของหวังเฉียนจิน ใช่แล้วเขาไม่ใช่ยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ของคนรุ่นใหม่ในตระกูลเก่าแก่แห่งปักกิ่ง แล้วอะไรจะทำให้พวกเขาภูมิใจได้อีกละ ที่งานชุมนุมแลกเปลี่ยนเมื่อวาน ฉือเฮยหูและจางเฟิงหยานเป็นถึงระดับกำเนิดตอนอายุไล่เลี่ยกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี่คือปรมาจารย์ที่แท้จริง ก่อนนี้วิสัยทัศน์เขาคงแคบไปจริงๆ และคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่น้องเขามักพยายามไปให้ไกลกว่าเดิม หากเขาไม่ได้เป็นโรคนี้ ความสำเร็จของเขาคงไปไกลกว่าตัวเขามากแน่ๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น