ลิขิตกลกาล 154-161
ตอนที่ 154 จุมพิต
“อย่าเล่นได้ไหมหลีมู่ ข้าจั๊กกะจี้นะ” ซูเหลียนอวิ้นพลิกตัวแล้วบ่นพึมพำ มือของนางพลางคลำเปะปะไปด้วย
“ฮ่าๆ …” มีเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นมา ในน้ำเสียงนั้นคล้ายกำลังข่มความตื่นเต้นบางอย่างเอาไว้
ผ่านไปพักหนึ่ง ซูเหลียนอวิ้นเริ่มรู้สึกว่าถึงความจั๊กจี้ที่ปลายจมูกของนางมากขึ้น สุดท้ายเมื่อทน ไม่ไหวจึงลุกขึ้นนั่งแล้วตะโกนออกไปว่า “โอ๊ย เลิกเล่นได้แล้วหลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นอย่างขุ่นเคืองแล้วยกหมอนที่อยู่ด้านข้างตัวเองขึ้นมาเตรียมจะขว้างใส่
นับวันหลีมู่ก็ยิ่งเยอะขึ้นทุกวัน! ถึงขั้นกล้าแกล้งนางตอนที่นางกำลังนอนอยู่เลยหรือ! หากมีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับนางก็เรียกนางให้ลุกขึ้นมาคุยกันโดยตรงจะดีกว่า!
“ต้วน ต้วนเฉินเซวียน? “
ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ เอ่อ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นตอนกลางคืนและบรรยากาศรอบๆ ตัว อาจจะมืดสลัวแต่ว่านางกล้ายืนยันได้เลยว่า นางไม่ได้มองผิด!
“ทำไมท่านถึงมาที่นี่อีก” มือของซูเหลียนอวิ้นคว้าผ้าห่มเอาไว้แน่นแล้วหดตัวเข้าไปอยู่ในมุมๆ หนึ่ง ในใจของนางแอบตะโกนร้องว่า ผูหลิวอยู่ไหนหลานเย่ว์ล่ะไม่มีใครอยู่เลยหรือ มีใครอยู่ไหม! ไปไหนกันหมด!
“คนของเจ้า…ออกไปหมดแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนเอามือลูบจมูกพลางเอ่ยขึ้น ครั้งนี้เขาแอบหวังว่าหลิวจือจะฉลาดขึ้นสักหน่อยและพอจะช่วยถ่วงเวลาให้เขาได้บ้าง! เนื่องจากตอนนี้เขามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับซูเหลียนอวิ้น
“ออกไปหมดแล้ว?! “เสียงของซูเหลียนอวิ้นสูงขึ้น “ไปไหนกันหมด” จะเป็นไปได้อย่างไร! พวกเขาจะทิ้งนางไว้แล้วออกไปได้อย่างไร! คนตรงหน้านางผู้นี้คงไม่ได้เล่นพิเรนทร์อะไรอีกกระมัง
“เจ้าอย่ามองข้าเช่นนั้น…” ต้วนเฉินเซวียนทำเสียงห่อเ**่ยวแล้วค่อยๆ ถอยออกไปด้านหลังเล็กน้อย “ข้ามาที่นี่เพราะมีธุระกับเจ้า”
“ธุระอะไร” สายตาของซูเหลียนอวิ้นระแวดระวัง “อีกอย่างหากท่านมีธุระอะไร ท่านจำเป็นต้องมาที่เรือนข้ากลางดึกเช่นนี้หรือ” มาตอนฟ้าสว่างๆ อยู่ไม่ได้หรืออย่างไรทำพฤติกรรมเช่นนี้เหมือนขโมยไม่มีผิด
“หากข้ามาตอนกลางวัน เจ้าจะยอมให้ข้าพบหรือ” ต้วนเฉินเซวียนอ่านแววตาของซูเหลียนอวิ้นแล้วเข้าใจดีจึงย้อนถามกลับไป
ซูเหลียนอวิ้น “…”
เอาล่ะ แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ให้!
อีกอย่าง…หากเป็นตอนกลางวันถ้าต้วนเฉินเซวียนเข้ามาที่จวนซูย่อมเกิดปัญหาได้อยู่ดี! ยังไม่ต้องเอ่ยถึงซูมั่วเยี่ยกับซูปั๋วชวน เนื่องจากอันเพ่ยอิงจะเป็นคนแรกที่จับต้วนเฉินเซวียนโยนออกไป!
เพราะซูเหลียนอวิ้นเชื่อว่าตอนนี้ขนาดตัวนางยังรู้ข่าวลือที่แพร่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ดังนั้นพี่ชาย ของนางกับแม่และคนอื่นๆ จะไม่รู้ได้อย่างไร พวกเขาเพียงแค่หลบเลี่ยง ไม่กล้าบอกความจริงกับนางเท่านั้น
“อย่างนั้นท่านรีบพูดออกมาตอนนี้ได้หรือไม่”
“คือว่า…จดหมายที่ข้าตอบเจ้าวันนี้…เจ้าได้อ่านแล้วหรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก ทว่าพอถามเสร็จแล้วต้วนเฉินเซวียนก็รีบกำมือทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้
อ่านหรือยังหมายความว่าอย่างไร หากนางยังไม่ได้อ่านเล่าการที่เขาถามแบบนี้เพราะต้องการให้นางเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน! อีกอย่างการที่เขาพูดขยักขย่อนเช่นนี้แสดงว่าต้องมีลูกเล่นอะไรอีก! เห็นได้อย่าชัดเจนว่าเขามีเจตนาไม่บริสุทธ์!
เพราะเขาต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอนถึงได้เขียนแบบนั้น! ทั้งหมดจะต้องมีสาเหตุ! ทั้งเขาเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร…ดังนั้นน้ำเสียงในการพูดควรจะสง่าผ่าเผยกว่านี้ถึงจะถูก!
“เฮ้อ ก็วันนี้เจ้าให้คนมาส่งจดหมายให้ข้ามิใช่หรือ วันนี้ข้าจึงตอบจดหมายเจ้า เนื้อหาในจดหมายนั้น เจ้าได้อ่านแล้วหรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนกระแอมสองครั้ง น้ำเสียงของเขากลับไปเย็นชาอย่างปกติแล้ว
“อ่านแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบางๆ “จดหมายของคุณชาย ผู้ใดจะกล้าละเลยเล่าแน่นอนว่าเมื่อหม่อมฉันได้รับก็รีบเปิดอ่านทันที” ต้วนเฉินเซวียนมาหานางเอากลางดึกป่านนี้เพื่อมาถามนางว่านางอ่านจดหมายฉบับนั้นหรือยังน่ะหรือ!
ซูเหลีนอวิ้นรู้สึกว่านางไม่เข้าใจต้วนเฉินเซวียนเอามากๆ เพราะเนื้อหาในจดหมายไม่ใช่เขาหรือที่เป็นคนเขียนเอง โดยบอกว่าให้เขากับตนรักษาระยะห่างเอาไว้? เช่นนั้นตอนนี้… คนที่มาหานางกลางดึกเช่นนี้ที่นี่คือใครกัน!
“แล้วเจ้าคิดอย่างไรบ้าง…กับเรื่องนั้น”
จะยังคิดอะไรได้อีกแน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีมากอยู่แล้ว! เพราะนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนต้องการมิใช่หรือ ต่างฝ่ายต่างพอใจอย่างไรเล่าซูเหลียนอวิ้นนึก
“ไม่มีความคิดอะไร” ซูเหลียนอวิ้นนั่งตัวตรงแล้วตอบออกมาอย่างสัตย์ซื่อ “คุณชายคิดได้เช่นนั้น หม่อมฉันคิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะหม่อมฉันกับคุณชาย…ไม่ได้สนิทกันสักเท่าไหร่…ดังนั้นการรักษาระยะห่างเอาไว้ หม่อมฉันรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง! “
“เจ้า! ” ต้วนเฉินเซวียนยกกำปั้นขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคุกคาม “เจ้ากล้าพูดหรือว่าเราสองคนไม่สนิทกัน”
ซูเหลียนอวิ้นมองไปที่กำปั้นที่ชูขึ้นมา ตอนนั้นเองความทรงของนางตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็เริ่มรื้อฟื้นกลับมาอีก น้ำตาของนางคล้ายจะเอ่อล้นจึงพูดอู้อี้ออกมาว่า “ก็พวกเราสองคนไม่สนิทกันจริงๆ …” เนื่องจากชาติที่แล้วพวกเขาทั้งสองไม่สนิทกันมากเท่าไหร่นัก คนที่จะสนิทก็มีเพียงนางฝ่ายเดียวเท่านั้นที่รู้สึกสนิทกับต้วนเฉินเซวียน…ส่วนความรู้สึกของต้วนเฉินเซวียนที่มีต่อนางน่ะหรือ
เอ่อ…
“ข้า ข้าต่อยตัวเองมิได้หรือไง” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นเป็นเช่นนี้ก็รีบลดมือของตัวเองลง จากนั้นจึงยกมือเล็งไปที่หน้าอกของตัวเองแล้วชกตัวเองทีหนึ่ง จากนั้นจึงพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ข้าเพียง…ข้ามิได้จะทำอะไรเจ้านะ! เจ้าดูสิ ข้าต่อยตัวเอง ไม่เป็นไรนี่? เจ้าอย่าร้องได้หรือไม่” สิ่งที่ต้วนเฉินเซวียนไม่อยากเห็นที่สุดก็คือภาพสตรีร้องไห้! เพราะการร้องไห้ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ อีกอย่างยังเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังอีกด้วยและสิ่งสุดท้ายคือมันจะทำให้เรื่องยุ่งยากมากเกินไป!
หากเป็นสตรีทั่วไปมาร้องไห้อยู่ตรงหน้าเขาล่ะก็ ป่านนี้เขาคงด่าตะเพิดไปตั้งนานแล้ว แต่สำหรับซูเหลียนอวิ้น…ช่างเถิด ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง!
“ข้าผิดเอง…” ต้วนเฉินเซวียนอดไม่ได้ที่จะเขยิบตัวเองเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้มองเห็นมากขึ้นแล้วอธิบายอย่างห่อเ**่ยวว่า “ซูเหลียนอวิ้น เจ้าฟังข้าก่อน…”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นต้วนเฉินเซวียนเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกอยากจะขำออกมา
นี่คือต้วนเฉินเซวียนหรือถึงขนาดต่อยตัวเองเช่นนี้? แถมยังรู้จักขอโทษนางอีกด้วย? สมองเขาคงมีปัญหาจริงๆ เสียแล้ว! แต่ว่า…นางกลับมีความสุขเนื่องจาก…คงเป็นเพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้พิสดารเกินไปแต่จะอย่างไรนางกลับรู้สึกชอบใจมากทีเดียว
“ท่านว่ามาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นซุกหน้าตัวเองที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไว้ในผ้าห่ม ทำให้เห็นเพียงลูกตาสองข้างของนางเท่านั้นแล้วมองตาปริบๆ ไปที่ต้วนเฉินเซวียนเตรียมฟังว่าเขาจะอธิบายว่าอย่างไร
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ก็คือ สายตาของต้วนเฉินเซวียนคิดอย่างไรกับท่าทางของนางตอนนี้ เนื่องจากดวงตาของนางมีความชื้นจากน้ำตาเมื่อครู่ เวลานี้ในดวงตาของนางจึงส่งประกายวิบไหวราวกับอัญมณีล้ำค่า อีกทั้งท่าทางตกใจกลัวของนาง…
ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมีความคิดอยากทำเรื่องอย่างว่ากับนาง!
ทันใดนั้นต้วนเฉินเซวียนเริ่มกลืนน้ำลายแล้วเลียริมฝีปากของตัวเองพลางเอ่ยว่า “จดหมายฉบับนั้น…เจ้าอย่าไปเชื่อมันนะ! ” เหตุใดจู่ๆ เขาจึงรู้สึกกระหายน้ำ? จะทำอย่างไรดีแถมยังอยากจะ…
“ท่านไม่ได้เป็นคนเขียนหรอกหรือ” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้น นี่ต้วนเฉินเซวียนแกล้งโง่กระมังลายมือของเขาจะมีผู้ใดคุ้นเคยไปมากกว่านางอีก? นางดูเพียงคราเดียวก็ดูออกว่านั่นเป็นลายมือของเขาเอง!
“อย่างไรก็ไม่ใช่ข้าแน่…”
“คุณหนูใหญ่ หลับไปหรือยังเจ้าคะ” ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะอธิบายต่อ ทว่ากลับมีเสียงของผูหลิวดังเข้ามาจากด้านนอก
ผูหลิวกลับมาแล้ว! ตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่านางมีที่พึ่งแล้ว นางจึงเลิกผ้าห่มออกแล้ววิ่งพุ่งไปที่ประตูเตรียมจะตะโกนเรียก
“ผู…อุ๊ย! “
คำพูดที่เหลือต่อจากนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ทันได้พูดออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่ว่านางไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะเวลานี้ต้วนเฉินเซวียนพุ่งเข้ามาจูบที่ริมฝีปากของนางนางจึงไร้หนทางที่จะส่งเสียงใดๆ ออกมา
ตอนที่ 155 พ่อลิง
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ? ” ผูหลิวมีหูที่ดีเป็นพิเศษ ดังนั้นนางย่อมได้ยินเสียงนั้น “คุณหนูใหญ่ ยังไม่นอนอีกหรือเจ้าคะ”
ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ ปล่อยริมฝีปากของตัวเองออกจากซูเหลียนอวิ้นจากนั้นจึงกระแอมเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผูหลิว ข้าไม่เป็นไร เจ้าเรียกข้าข้าเลยตื่น ข้ายังง่วงอยู่เลยให้ข้านอนต่อเถอะนะ”
ซูเหลียนอวิ้นฟังเสียงที่นางคุ้นเคยนั่นพลันตกตะลึงไป ใช่แล้ว นางลืมไปได้อย่างไรต้วนเฉินเซวียนเรียนวิชาเลียนเสียงได้ไม่เลวเลย!
“อ้อเป็นบ่าวเองที่ไม่ใส่ใจ คุณหนูใหญ่รีบพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ” เมื่อผูหลิวได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาอย่างสงบนิ่งเช่นนั้น จึงวางใจแล้วจากไป
“ต้วนเฉินเซวียนท่าน! ” ซูเหลียนอวิ้นถูปากตัวเองอย่างแรง นางจ้องเขม็งพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเป็นบ้าไปแล้วใช่หรือไม่! ” ต้วนเฉินเซวียนกล้าจูบนางเลยเชียวหรือ! ถึงขั้นจูบนางเชียวนะ! นาง…
ซูหลียนอวิ้นไม่อาจบรรยายความรู้สึกในตอนนั้นได้นางรู้สึกเพียงว่าในหัวของนางโล่งโจ้งขาวสะอาดทว่าตอนนี้นางคิดว่านางอยากจะฆ่าต้วนเฉินเซวียนทิ้งไปซะ
“ชู่” ต้วนเฉินเซวียนยกนิ้วมือขึ้นมาเตะที่ริมฝีปากเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “สาวใช้คนนั้นของเจ้ายังเดินไปได้ไม่ไกล ดังนั้นอย่าเพิ่งส่งเสียงแน่นอนว่าหากเจ้ายังรั้นจะส่งเสียงอีก ข้าคงทำได้เพียง…จูบเจ้าอีก” ริมฝีปากของต้วนเฉินเซวียนปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับไม่รู้สึกว่าพฤติกรรมคุกคามของเขาไร้ยางอายไปถึงขั้นไหน
นั่นเป็นผลมาจากริมฝีปากสีชมพู่ระเรื่อราวผลท้อของซูเหลียนอวิ้นที่เพียงได้เห็นเลือดลมก็สูบฉีดไปทั่วร่างแล้ว หลังจากที่จูบนางแล้ว ต้วนเฉินเซวียนพลันรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาจินตนาการไว้ไม่มีผิดเพี้ยน! ไม่สิ ต้องบอกว่าดีกว่าที่เขาคิดด้วยซ้ำ!
นุ่มนิ่มและเนียนละเอียดความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกถวิลหาอีก
“ท่าน…”ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าดวงตาของนางตอนนี้ คล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังหมุนวนอยู่ ทว่าคราวนี้กลับมิใช่ความกลัว ตอนนี้นางรู้สึกคล้ายถูกเอาเปรียบและอัดอั้นใจ!
ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้นางล้วนมีความรู้สึกเหมือนโดนคนผู้นี้ปั่นหัวเล่นและอยู่ในกำมือของเขาร่ำไป แถมยังมิอาจดิ้นหลุดออกมาได้อีกต่างหาก…ความรู้สึกนี้ทำให้นางทรมานใจและสะอิดสะเอียนจนนางอยากจะร้องไห้! เอาล่ะ นางร้องไห้แล้ว
“ต้วนเฉินเซวียน คนสารเลว…” สักพักซูเหลียนอวิ้นจึงสูดจมูกฟึดฟัดแล้วเช็ดน้ำตาของตัวเองออกอย่างแรง จากนั้นจึงพูดอย่างไร้แรงต่อต้านว่า “คนที่เขียนจดหมายมาบอกว่าเราอย่าได้มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีกก็คือท่านพอถึงตอนนี้…ก็เป็นท่าน! สรุปแล้วท่านต้องการอะไรกันแน่! ถือว่าข้าขอร้องท่านก็แล้วกัน! ท่านโปรดเมตตาข้าเถอะ! ปล่อยข้าไปได้หรือไม่” นางไม่อยากตาย! ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งไม่อยากถูกบรรดาสตรีในเมืองหลวงทั้งหลายนินทาว่าร้ายนางเสียๆ หายๆ อีก!
นางอยากจะใช้ตลอดชีวิตนี้ของนางอย่างเงียบสงบก็พอแล้ว! เหตุใดถึงยากได้ขนาดนี้
“ข้า ข้าเป็นอย่างไรหรือ! ” ต้วนเฉินเซวียนดึงผมของตัวเองอย่างคับข้องใจ จากนั้นจึงโพล่งออกไปอย่างยุ่งยากใจ”ข้าเคยบอกเจ้าหรือว่าจะไม่รับผิดชอบเจ้าข้าแค่มาขอเจ้าแต่งงานก็จบแล้ว” เอาล่ะ คล้ายว่าเขาจะพูดผิดอีกแล้ว! ขั้นตอนการสู่ขออะไรพวกนี้…เขาไม่เคยคิดว่าจะมาสู่ของ่ายๆ เช่นนี้โดยที่ในมือไม่มีของอะไรเลย!
น้ำตาของซูเหลียนอวิ้นหายไป นางมองไปยังสายตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นของต้วนเฉินเซวียน ทันใดนั้นความโกรธของนางก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง นางหยิบหมอนที่วางไว้เรียบร้อยเมื่อครู่ขึ้นมาแล้วฟาดไปที่เขาพลางเอ่ยว่า “ท่านคิดว่าจะมาสู่ขอข้าแล้วข้าจะยอมแต่งกับท่านรึท่านเป็นผู้ใดกันไอ้ทุเรศ! ต้วนเฉินเซวียน ข้าขอสาบานตรงนี้ได้เลยหรือไม่”
“ข้า ซูเหลียนอวิ้น ชีวิตนี้ของข้าขอแต่งงานกับพ่อลิงดีกว่าแต่จะไม่มีทางแต่งงานกับต้วนเฉิน…อุ๊ย! “
ต้วนเฉินเซวียนมิรอให้ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยครึ่งประโยคหลังจบจึงหยุดความคิดของซูเหลียนอวิ้นอีกครั้งอย่างคุ้นเคยโดยการจูบนางที่ริมฝีปากทว่าการจูบในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการจูบเบาๆ ราวกับแมลงปอที่เอาหางแตะลงเหนือน้ำอย่างเช่นครั้งก่อนอีก การจูบครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งแรกมากนัก
ไม่ต้องพูดแล้วซูเหลียนอวิ้น! ต้วนเฉินเซวียนปิดริมฝีปากของซูเหลียนอวิ้น ในหัวของเขาตะโกนร้องว่า เจ้าอย่าพูดอีกเลย!
คนสารเลวอย่างเขา…พวกเราสองคนลืมกันไปตั้งแต่บัดนี้เลยได้หรือไม่? เรื่องนั้น…อย่าพูดถึงอีกเลย…
ซูเหลียนอวิ้นตกตะลึง ทว่าเพียงครู่เดียวสติของนางก็กลับคืนมานางจึงรีบผลักต้วนเฉินเซวียนออกไปจากเตียงของนาง
ต้วนเฉินเซวียนล้มลงไปกองบนพื้นด้วยความสับสน ทว่าในตอนนั้นไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากซูเหลียนอวิ้นได้อีก นางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านออกไปเดี๋ยวนี้ ออกไป! หากท่านไม่ยังไม่ยอมออกไปอีก ข้าจะร้องเรียกให้คนเข้ามาช่วย! ท่านคอยดูแล้วกันว่าถึงตอนนั้นข้าจะสนใจท่านหรือไม่! ” ถึงอย่างไรคนในเรือนก็เป็นคนของนาง อีกอย่างต่อให้ไม่ใช่คนของนางแล้วจะเป็นอะไรไป?
ตอนนี้ต่อให้นางต้องถูกคนจำนวนมากจับจ้อง นางยังรู้สึกว่าดีกว่ามีลมหายใจอยู่ในที่ที่เดียวกับต้วนเฉินเซวียนเสียอีก!
ต้วนเฉินเซวียนอดกลั้นความเจ็บปวดที่ก้นกบของตัวเองเอาไว้ เขานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นพลางขมวดคิ้ว “ซูเหลียนอวิ้น ข้ามิได้ล้อเล่นนะ ข้าอยากจะแต่งงานกับเจ้าจริงๆ ” ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือว่าชาตินี้ ข้าก็อยากจะแต่งงานกับเจ้าจริงๆ !
“ท่านจะแต่งกับข้าแล้วข้าต้องยอมแต่งกับท่านรึ! ท่านให้ความสำคัญกับตัวเองมากไปหรือไม่! ” น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นค่อนข้างแหลมสูงด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม”ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ใดอีกอย่างนะต้วนเฉินเซวียน ท่านถอดใจเสียเถอะ! ข้าได้สาบานไปแล้ว ต่อให้ต้องแต่งกับ…”
“เช่นนั้นเจ้าก็มองข้าเป็นพ่อลิงก็จบเรื่องแล้ว? ” ต้วนเฉินเซวียนพูดขัดขึ้น “ข้า ต้วนเฉินเซวียนยินดีเป็นพ่อลิงให้เจ้า ตกลงไหม”
ซูเหลียนอวิ้น “….ไม่ได้”
“ทำไมถึงจะไม่ได้เล่า”
“ข้าบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ! ข้าจะแต่งกับใครก็แล้วแต่ แต่จะไม่มีทางแต่งกับท่าน! ถอดใจซะ! “
ต้วนเฉินเซวียนมองสีหน้าหนักแน่นของซูเหลียนอวิ้นตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมา ดูท่าแล้วไม้อ่อนคงไม่ได้ผล เช่นนั้นเขาต้องใช้ไม้แข็งเสียแล้ว
นั่นเป็นเพราะว่า…หากใช้ไม้อ่อนเพียงอย่างเดียว นั่นคือการจูบสองรอบเมื่อครู่นี้ เกรงว่าคงต้องรอถึงชาติหน้า…ซึ่งเขารอไม่ไหว!
ต้วนเฉินเซวียนนั่งตัวตรงแล้วยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ “แต่ว่า เมื่อกี้เจ้าโดนข้าจูบแล้ว หากเจ้าไม่แต่งกับข้า เจ้าจะยังแต่งกับใครได้อีก”
“เรื่องเมื่อครู่นี้มีผู้ใดรู้หรือรู้ก็บ้าแล้ว! ” ซูเหลียนอวิ้นไม่ยอมแพ้ ดวงตาของนางยังคงจ้องอย่างเคียดแค้นไปที่เขา “หากมีคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้าแล้วอย่างไร อีกอย่างนะข้าคือลูกสาวของซูปั๋วชวนแม่ทัพใหญ่ เกรงว่าหากใช้เรื่องนี้โจมตี คนที่อยากแต่งงานกับข้าก็คงจะไม่ถือสาตระกูลของพวกเราแล้วหาวิธีรับมือกับปัญหาได้! “
“หากนั่นไม่ได้ผล เช่นนั้นเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เลยเถิด พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปหาท่านแม่เพื่อให้ท่านหาคนมาหมั้นกับข้า! จากนั้นเดือนหน้าข้าก็จะแต่งงาน! ” ถือว่าเป็นการลงมือครั้งเดียวแต่ยุติได้ทั้งสองอย่าง การได้เจอกับตัวซวยอย่างเขาถือว่าเป็นเคราะห์ร้ายของนางแล้วกัน!
“เจ้ากล้ารึ! ” ต้วนเฉินเซวียนยืนขึ้นแล้วมองซูเหลียนอวิ้นจากมุมที่สูงกว่า จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลองแต่งกับผู้อื่นดูสิอีกอย่างเจ้าจูบกับข้าแล้ว นั่นหมายความว่าเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ในหัวของเจ้ายังคิดจะแต่งงานกับผู้อื่นอีกรึ
“เป็นคนที่แต่งกับเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่หรือว่าเป็นเจ้าเองที่ไม่อยากชีวิตอยู่? “
ถึงตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังคิดจะแต่งงานกับผู้อื่นอยู่อีกหรือเมื่อความคิดนี้ถูกเปิดเผยออกมาก็แทบทำให้ต้วนเฉินเซวียนระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ทันที!
เขาเพิ่งจะรับรู้ตอนนี้เองว่าในขณะที่เขากังวลสิ่งนั้นสิ่งนี้มาตลอดและพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรให้รอยร้าวระหว่างพวกเราทั้งสองคนนั้นหายไปได้นั้น
ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่มีความคิดใดๆ ต่อเขาเลยสักนิด? ถึงแม้ว่าเขาจะลงมือทำอะไรตั้งมากมายแต่ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่ให้ความสำคัญกับมันเลยหรือแถมยังมีความคิดอยากจะแต่งงานกับผู้อื่นอีกด้วย?!
ตอนที่ 156 แต่งงาน
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่า หากข้าออกปากไปแล้ว ในเมืองหลวงแห่งต้าชั่วนี้จะยังมีคนกล้าขอเจ้าแต่งงานอีกหรือซูเหลียนอวิ้น”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนี้ลมหายใจของนางก็เริ่มหยุดชะงัก เนื่องจาก…ต้วนเฉินเซวียนกล่าวมิผิดแน่นอนว่ามีหลายคนที่อยากจะสานสัมพันธ์กับจวนแม่ทัพและอยากแต่งงานกับนาง แต่หากผลของการแต่งงานกับนางทำให้ต้องได้รับโทษจากต้วนเฉินเซวียนเล่า
เกรงว่า…คงไม่มีผู้ใดมีความกล้าหาญขนาดนั้น
นั่นเป็นเพราะว่าชื่อเสียงเงินทองและตำแหน่งหน้าที่นั้นมีไว้สำหรับคนเป็นใช้เท่านั้น หากตายไปแล้วล่ะต่อให้ได้รับมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร
“ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น นางอยากจะตอบโต้ ทว่า…ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้ออ้างต่างๆ ดูเหมือนจะอ่อนและไร้พลังเกินไปหน่อย ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้างใดๆ ก็เป็นได้แค่ข้ออ้างเท่านั้น
“แต่งกับข้าไม่ดีตรงไหน” น้ำเสียงของต้วนเฉินเซวียนอ่อนโยนขึ้นจากนั้นจึงนั่งลงข้างๆ ซูเหลียนอวิ้น “ข้ามีอะไรไม่ดีหรือตอนนี้ข้าเคยด่าเจ้าหรือทำร้ายเจ้าหรือซูเหลียนอวิ้นเหตุใดเจ้าถึงต่อต้านข้าเช่นนี้”คนที่ปฏิบัติกับเจ้าเช่นนั้นเมื่อชาติที่แล้วไม่มีอีกต่อไปแล้ว! ซูเหลียนอวิ้นพอจะเงยหน้าขึ้นมามองตัวเขาในตอนนี้ใหม่ได้หรือไม่!
คำพูดประโยคนี้ดังก้องอยู่ในใจของต้วนเฉินเซวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาถึงขั้นคิดด้วยซ้ำว่าอยากจะจับซูเหลียนอวิ้นแยกร่างออกจากนั้นจะตะโกนประโยคนี้ใส่นาง แต่เขาได้แค่คิดเท่านั้น เพราะเขาไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น
ซูเหลียนอวิ้นเหลือบตาขึ้นมองต้วนเฉินเซวียน แต่เพียงครู่เดียวนางก็ก้มหน้าลงอีกแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเคยว่าข้า…” และเคยทำร้ายข้า แม้ว่าชาตินี้จะยังไม่เคยทำร้ายนางแต่ว่าเมื่อชาติที่แล้วนางเคยโดนเขาทำร้าย! นางไม่มีวันลืมความแค้นนี้!
“ข้าเคยว่าเจ้าเมื่อไหร่กัน”
“ในวันงานพิธีปักปิ่นของข้าอย่างไรเล่า! ตอนที่ท่านอาจารย์กับหนานกงจวิ้นจู่กลับไปแล้ว! ” ซูเหลียนอวิ้นทำเสียงราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม คนผู้นี้เคยต่อว่านางชัดๆ! ตอนนี้ทำเป็นใสซื่อจำอะไรไม่ได้สักอย่าง คิดจะเสแสร้งให้ผู้ใดดูรึ!
“ตอนนั้นข้า…” ต้วนเฉินเซวียนพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นพูดนั้นไม่ผิด ครั้งนั้นดูเหมือนว่าเขาจะเห็นว่าความว่าสัมพันธ์ของนางกับหรงซู่ดีมากเกินไป…จึงพูดแรงเกินไปหน่อย
แต่นั่นเป็นตอนที่เขายังคิดอะไรไม่ได้! แต่หลังจากวันที่เขาเข้าใจทุกอย่างแล้วเขาเคยปฏิบัติกับนางแบบนั้นหรือ
“อีกอย่างครั้งนั้นข้าถูกท่านว่าจนร้องไห้! ” ซูเหลียนอวิ้นไม่สนใจว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนจะคิดอย่างไร
ถึงอย่างไรก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น งั้นจะอย่างไรเล่า ทำให้ตัวเองสบายใจไว้ไม่ดีกว่าหรือ พูดในสิ่งที่อยากพูดทุกอย่างออกมาให้หมดถึงจะถูกต้อง! หากต้องตายอย่างน้อยๆ นางก็ไม่ต้องเก็บความรู้สึกอึดอัดใจไว้ตลอด!
“อีกอย่างเมื่อกี้ ท่านก็ว่าข้า! “
“เมื่อกี้นี้ข้าว่าเจ้าที่ไหน! ” ตอนนี้เป็นคราวที่ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกไม่เป็นธรรมบ้างแล้ว เมื่อครู่นี้เขาว่าซูเหลียนอวิ้นเมื่อไหร่กันเขาความจำเสื่อมหรืออย่างไร
“แต่ข้าร้องไห้…” ซูเหลียนอวิ้นสูดจมูกสองทีแล้วเอ่ยขึ้น “แต่ข้าร้องไห้นะ! “
ต้วนเฉินเซวียน …
ได้! ถึงอย่างไรก็เป็นเขาที่ทำไม่ถูก! เพราะว่าตอนนี้เขามองออกแล้วว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังเล่นตุกติกกับเขาอยู่ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะเล่นขี้โกงก็ยังดีกว่าไม่สนใจเขาและคิดแต่จะหลบเขาไปตลอด
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร” ต้วนเฉินเซวียนค้อมเอวลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณหนูซู เจ้าจะให้ทำอย่างไรเจ้าพูดออกมาก็พอข้าสัญญาว่าจะรับปากเจ้าทุกอย่าง เจ้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่? “
“ต้วนเฉินเซวียน ท่านมิต้องทำแบบนี้” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ รักษาระยะห่างออกมาอย่างเงียบๆ “สิ่งที่ต้วนเฉินเซวียนจะทำต่อไปมีเพียงแค่ไม่ต้องสนใจข้า ไม่ต้องยุ่งกับข้า ต่อจากนี้ก็ช่วยอยู่ให้ไกลๆ จากข้าหน่อย! ทำแค่นี้ก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นเกรงว่าข้าคงทำไม่ได้” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ซูเหลียนอวิ้นมากขึ้น “สิ่งที่เจ้าร้องขอ ข้าทำมิได้อย่างแน่นอน สู้เจ้าเสนอความคิดอื่นจะไม่ดีกว่าหรือเผื่อข้าจะรับพิจารณาบ้าง” ไม่ต้องยุ่ง ไม่สนใจ วันหน้าช่วยอยู่ให้ไกลๆ ? จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?
ต้วนเฉินเซวียนเยาะเย้ยในใจ ซูเหลียนอวิ้นเจ้าช่วยรีบคิดเร็วๆ เข้าเถิด! เพราะต่อจากนี้ไป เฮอะ อย่างไรเจ้าก็ต้องเข้ามาเป็นคนในตระกูลต้วนอยู่ดี!
ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว จะให้คิดอะไรได้อีกหรือไม่มีอย่างอื่นแล้ว! ข้อแรกนางไม่สามารถขอร้องให้ต้วนเฉินเซวียนมาช่วยทำเรื่องใดๆ ให้นางได้ ข้อสองนางไม่มีวันรับทรัพย์สินเงินทองใดๆ ของเขา เพราะเงินของต้วนเฉินเซวียน นางเกรงว่าแม้นางจะแตะโดนมันเพียงครู่เดียวแต่มันจะต้องลวกมือของนางอย่างแน่นอน!
“คิดไม่ออกหรือคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว” เมื่อเห็นสายตาของซูเหลียนอวิ้นที่คล้ายกำลังอับจนหนทาง ต้วนเฉินเซวียนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยตัดตอนขึ้น ในหัวสมองน้อยๆ ของซูเหลียนอวิ้นคิดอะไรอยู่บ้าง ตัวเขาเองก็พอเดาออกอยู่เจ็ดแปดส่วน
หากนางไม่ได้กำลังคิดว่าจะอยู่ให้ห่างจากเขา ก็คงจะกำลังคิดว่าตัวนางจะหลบเขาให้พ้นได้อย่างไรกระมังหากเป็นความคิดเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก! เพราะพูดออกมามีแต่จะทำให้เขาหัวเสียเอาได้ง่ายๆ!
“คิดออกแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเหลือบมองเขาคราหนึ่ง “ท่านรีบบอกมาเถิดว่าวันนี้ท่านมาที่เรือนของข้าด้วยธุระใดจากนั้นท่านก็รีบกลับไปเถิด” หากจะไล่ให้หายไปตลอดกาลคงเป็นไปไมได้ เช่นนั้นวิธีการเดียวที่เหลือมีเพียงรีบหาทางไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุด
“เรื่องที่เจ้าพูดถึง แบ่งเป็นสองเรื่อง” ต้วนเฉินเซวียนเริ่มทำท่าทางเจ้าเล่ห์ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากกลับ
ซูเหลียนอวิ้นจ้องไปที่เขา “แต่ที่ท่านทำให้ข้าร้องไห้มิได้มีเพียงสองครั้ง! “
“อ้อ ตกลงงั้นข้าจะพูดเดี๋ยวนี้” ตอนนั้นต้วนเฉินเซวียนรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาอืม เพราะสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นพูดก็มีเหตุผล เขาไม่ได้ทำให้นางร้องไห้เพียงแค่สองครั้งจริง…
“วันนี้ที่ข้ามาหาเจ้าเพราะต้องการจะบอกกับเจ้าว่า ช่วงระยะนี้เจ้าอย่าออกไปนอกจวนจะดีที่สุด”
“เรื่องแค่นี้เองหรือ” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจแล้วมองไปที่ต้วนเฉินเซวียน
เนื่องจากด้วยเรื่องแค่นี้…ถึงกับต้องมาถึงที่เรือนของนางเพื่อบอกนางเลยหรือเพราะจะอย่างไรแล้วเรื่องราวของหยางเกิ่งรั่งเพิ่งจะเกิดขึ้นไปหมาดๆ ผู้ใดจะรู้ว่าตามถนนหนทางยังมีพวกบ้าคลั่งหลงเหลืออยู่หรือไม่! ตอนนี้คนฉลาดล้วนหลบอยู่แต่ในบ้านและไม่ออกไปที่ใดกันทั้งนั้น!
“ข้าย่อมมีเรื่องอื่นอีกแน่นอน! ” ต้วนเฉินเซวียนยืดตัวขึ้นพลางเอ่ย “งานเลี้ยงในวังหลวงใกล้จะจัดขึ้นแล้ว ดังนั้น…หากมีคนพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าเจ้าต้องบอกว่าเจ้าเกลียดข้ามากห้ามบอกว่าพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่”
“แต่เดิมทีข้าก็…” พอเห็นต้วนเฉินเซวียนเริ่มหรี่ตา ซูเหลียนอวิ้นก็กลืนคำพูดที่เหลือลงไปอย่างเงียบเชียบ
‘ก็ได้ ปากนางไม่พูดแต่ในใจของนางยังบ่นได้! คนอย่างนางเกลียดต้วนเฉินเซวียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว! ทั้งในเรื่องความสัมพันธ์ก็ไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่แล้วถูกหรือไม่แถมยังไม่สนิท…’
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเยียลี่ว์เยี่ยนมาถึงแล้ว” น้ำเสียงของต้วนเฉินเซวียนหนักอึ้ง
“เขามาแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยข้ามิได้จะแต่งงานกับเขาเสียหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีเหตุมีผล เพราะแม้ว่าเยียลี่ว์เยี่ยนจะมีรูปโฉมสง่างาม แต่เขาเป็นคนต่างบ้านต่างเมืองนางไม่อยากแยกจากครอบครัวของนางสักหน่อย!
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินคำตอบของซูเหลียนอวิ้น มุมปากของเขาก็ยกขึ้นอย่างมิอาจควบคุม จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส “นั่นก็ถูกต้องอยู่แล้ว! เจ้าลองไม่คิดเช่นนี้ดูสิ! “
ตอนที่ 157 บ่าวเอง
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินน้ำเสียงมีเหตุมีผลของต้วนเฉินเซวียน ทันใดนั้นเองที่นางรู้สึกว่าตนถูกเขาหลอกเสียแล้ว มิเช่นนั้นทำไมถึงรู้สึกว่าหากนางไม่ระวังก็จะเออออตามบทสนทานี้ไปด้วย
“หากข้ากล้าคิดเช่นนั้น ท่านจะทำอย่างไร” ซูเหลียนอวิ้นชูคอขึ้นพลางกล่าว “เพราะเยียลี่ว์เยี่ยนก็ออกจะหน้าตาหล่อเหลา! อีกอย่าง…หากเขาชอบข้าขึ้นมาเล่า”
ต้วนเฉินเซวียนมองซูเหลียนอวิ้นทำท่าชูคอก็รู้ว่านางพูดเพื่อตั้งใจจะถากถางเขาเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกและไม่ผ่านกระบวนการคิด แต่แม้ว่าในใจของเขาจะรู้ดี แต่พอได้ยิน…ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี!
“เขาชอบเจ้าซะที่ไหนเล่า!” ต้วนเฉินเซวียนออกปากตำหนิ “หากเจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้อีก…ข้าจะไปบอกพี่ซูว่าเจ้าอยากจะแต่งงาน แถมยังเป็นคนต่างเมืองอีกต่างหาก เจ้าลองดูสิว่าต่อไปพี่ชายของเจ้ายังจะให้เจ้าออกจากบ้านอีกหรือไม่
“อ้อ จริงสิ อีกอย่างวันงานเทศกาลโคมไฟวันนั้น เจ้าแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นเองใช่หรือไม่ พี่ชายของเจ้าและคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้หรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
เป็นนางเองที่ยกยอตัวเองมากเกินไป แม้ว่านางจะกลับมาเกิดใหม่แล้ว นางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของต้วนเฉินเซวียนเช่นเดิม!
“เช่นนั้นนอกจากเรื่องที่ให้บอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนไม่ดีแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
“มีแน่นอน” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเอ่ยถึงตรงนี้ก็อดแค่นเสียงออกมาไม่ได้ “ซึ่งเรื่องนั้นก็คืออยู่ให้ห่างจากเยียลี่ว์เยี่ยนเข้าไว้! เขาเป็นคนแบบใด…เจ้าก็ยังรู้ไม่แน่ชัด! จำไว้ว่าอยู่ให้ห่างจากเขาเป็นพอ!”
“เพราะว่าเขาไม่ใช่คนดีน่ะหรือ แล้วทำไมถึงพูดเช่นนี้เล่า” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเบนหน้าหันไปพูด เนื่องจากการเป็นคนดีหรือไม่ดีไม่ได้เขียนบรรยายไว้บนใบหน้า อีกอย่างที่ผ่านมานางไม่เคยระวังตัวคนที่หน้าตาดีมาก่อนเลย
ต้วนเฉินเซวียนตอบกลับว่า “ข้าบอกว่ามิใช่คนดีก็ต้องมิใช่คนดี! อีกอย่างคนบ้านอื่นเมืองอื่น ไม่ใช่เมืองเรา ความคิดอ่านย่อมแตกต่าง! คำพูดนี้เจ้ามิรู้จักหรือ”
“รู้จัก…”
“รู้จักก็ดีแล้ว ในวันงานเลี้ยง เจ้าต้องอยู่ให้ไกลจากเขาเข้าไว้!”
“อืม ได้ยินแล้ว และมีเรื่องอื่นอีกมั้ย”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
“เช่นนั้น…” ซูเหลียนอวิ้นทำท่าบุ้ยใบ้ไปที่ประตู “ท่านก็ควรกลับไปได้แล้วกระมัง”
“ก็ได้ งั้นข้ากลับแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะลุกขึ้นยืน ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาไม่อยากไปจากที่นี่เร็วขนาดนี้ แต่ยังเป็นเพราะว่าโอกาสที่เขาจะได้สัมผัสกายของซูเหลียนอวิ้นนั้นไม่ง่าย ตาคู่นั้นของเขาจึงไม่อาจละออกจากริมฝีปากของซูเหลียนอวิ้นได้เลยแม้ว่าเขาจะลุกขึ้นมาแล้ว
ทว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งในห้องยังไม่ได้จุดเทียนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ต้วนเฉินเซวียนทำเป็นจัดแจงเสื้อผ้าแล้วก็ยืนนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ในใจของเขาแอบบ่นพึมพำ สายตาหิวกระหายราวหมาป่าของเขาเมื่อครู่นี้ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เห็นแต่เขาก็สามารถจินตนาการออก เรื่องนี้หากซูเหลียนอวิ้นเห็นเข้าเกรงว่านางคงจะรีบเตะเขาออกจากห้องของนางทันที
“งั้นข้ากลับแล้ว”
“อืมๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าหงึกหงัก รีบกลับไปเถอะ!
คนไร้หัวใจ! เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นสายตาของซูเหลียนอวิ้นที่ปรารถนาให้เขารีบกลับไปเสียเร็วๆ เขาก็อดไม่ได้ที่รู้สึกปวดใจ
นั่นเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาเริ่มสงสัยเสียแล้ว ที่แท้ซูเหลียนอวิ้นนางโง่จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่ เขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดซูเหลียนอวิ้นจึงไม่เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างเลย
ช่างเถอะ น้ำร้อนต้องค่อยๆ ต้มจนเดือด ตอนนี้ยังคงต้องอดทนต่อไปอีกหน่อย
ทว่า…ระหว่างที่ต้วนเฉินเซวียนใช้วิชาตัวเบากลับไปที่จวนของตัวเอง ในหัวของเขาก็กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาบางอย่างอยู่ เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนว่าเขาลืมบางเรื่องไป อีกอย่างเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย…แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก?
……
“คุณหนูใหญ่ อาบน้ำเสร็จหรือยังเจ้าคะ” หยาเอ่อร์เก็บถ้วยชามพลางถามออกไปอย่างไร้เจตนาใดๆ
“อืม มีอะไรหรือ เกิดเรื่องรึ” ซูเหลียนอวิ้นวางกระจกในมือของตัวเองลงแล้วหันหน้ากลับไปมองหยาเอ่อร์
เนื่องจากหยาเอ่อร์จัดเป็นคนประเภทโกหกไม่เป็นและไม่สามารถแอบซ่อนเรื่องราวใดๆ ได้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรล้วนต้องแสดงออกทุกอย่างมาทางใบหน้าทั้งนั้น! ตอนนี้แม้ว่าจะพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า หยาเอ่อร์ดูไม่เหมือนคนที่ไม่อยากพูดอะไร การทำท่าทางเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการบอกกับทุกคนอยู่แล้วว่าในใจของนางมีเรื่องราวบางอย่าง!
“ไม่มีเรื่องอะไรที่บ่าวจะปิดบังคุณหนูใหญ่ได้เลยจริงๆ …” หยาเอ่อร์หัวเราะแห้งๆ จากนั้นจึงลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ความจริงคือ เมื่อคืนนี้มีคนบุกเข้ามาที่เรือนของพวกเราอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
“อ้อหรอ เป็นผู้ใด” :ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย เนื่องจาก…นางคิดว่าสีหน้าของนางตอนนี้คงไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไหร่!
“เป็นผู้ชายเจ้าค่ะ”
ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยกลับไปว่า “….ยังมีมาอีกหรือ” ต้วนเฉินเซวียนเจ้าไม่ตายดีแน่! ตัวเองอยากจะมาก็อย่าทำให้คนเดือดร้อนได้หรือไม่! แล้วต่อจากนี้จะให้นางอธิบายอย่างไร! กล้ามาก็อย่าให้มีคนจับได้ได้หรือไม่ อ่อนหัดขนาดนี้ยังจะกล้ามาอีกได้อย่างไร
“เมื่อวานเขาถูกพี่ผูหลิวและคนอื่นๆ จับตัวได้ ตอนนี้ถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืนเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ประเมินสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยต่อไปว่า “คุณหนูใหญ่ อยากจะไปดูหรือไม่ เพราะหากไม่ได้รับคำสั่งจากคุณหนู พวกบ่าวคงมิกล้าลงมือโดยพลการ…” แต่อย่างไรก็ต้องจัดการเรื่องนี้อยู่ดีใช่หรือไม่! มิเช่นนั้นหากขังคนไว้ในห้องเก็บฟืนตลอดโดยล่ามเอาไว้…ก็ควรจะให้อาหารเขากินด้วยหรือไม่ แต่ว่าค่าอาหารก็คือเงินเช่นกัน!
“ไป พาข้าไปดูหน่อย!” ซูเหลียนอวิ้นพ่นลมหายใจออกมา ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ก่อนเอ่ยว่า “อย่างนั้นตอนนี้คนผู้นั้นเป็นอย่างไรแล้วบ้าง”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ…รู้เพียงว่าตอนที่เขาโดนจับก็ถูกพี่ผูหลิวกับพี่หลานเย่ว์ต่อยไปยกใหญ่! ตอนนี้…บ่าวก็ยังไม่ทันได้ไปดู คงไม่เป็นไรกระมัง”
ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยว่า “พาข้าไปดูดีกว่า” ต้วนเฉินเซวียนท่านชั่งน่าขายหน้ายิ่ง! โดนจับได้ก็แย่แล้ว นี่ยังโดนรุมไปอีกหนึ่งยก?! ทว่า…ทำไมในใจของนางถึงตื่นเต้นขนาดนี้แถมยังแอบดีใจเล็กๆ ด้วยซ้ำ
“ผูหลิว?” นี่กำลังทำอะไรกันอยู่?
“คุณหนูใหญ่? มาได้อย่างไรเจ้าคะ” ผูหลิวหันตัวมาแล้วมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่มองมาที่ตนด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา ทว่าทนไม่ได้จึงเอ่ยออกไปว่า “คุณหนูใหญ่ คนผู้นี้ปากแข็งยิ่ง ไม่ยอมสารภาพเสียทีว่าตนเป็นคนของใคร! บ่าว…บ่าวเลยลงโทษตามขั้นตอน”
“อ้อ เช่นนี้เอง” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เช่นนั้นขอข้าดูหน่อย” ยังดีๆ …คนผู้นี้ไม่ใช่ต้วนเฉินเซวียน! ซูเหลียนอวิ้นแอบถอนใจ เพราะหากต้วนเฉินเซวียนถูกทำร้ายจนกลายเป็นหมูตัวหนึ่งเช่นนี้? ขออภัยที่นางจินตนาการไม่ออกจริงๆ! แค่คิดก็…ภาพค่อนข้างจะ…เอ่อ!
แต่แม้ว่าคนผู้นี้จะโดนต่อยจนทั้งใบหน้าของเขาบวมฉึ่ง ทว่าซูเหลียนอวิ้นยังแอบคิดวานางเคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน? รู้สึกว่ามีบางจุดที่นางคุ้นตามาก…
“ซู คุณหนูซู!” คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้น เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นอยู่ตรงหน้าเขา ตอนนั้นท่าทางชายชาตรีที่ไม่ยอมเสียน้ำตาของเขาก็ถูกโยนทิ้งเอาไว้ข้างหลัง น้ำเสียงของเขาสะอึกสะอื้น “คุณหนูซู…บ่าวเอง!”
เอ๊ะ? ทำไมเสียงของเขาถึงคุ้นหูนัก ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว…ทว่าตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้แล้วคือ คนผู้นี้รู้จักนาง!
ตอนที่ 158 สำรวจ
“คุณหนูซู…” คนผู้นั้นรีบเช็ดน้ำตาและรอยอื่นๆ บนใบหน้า “บ่าวเอง เป็นบ่าวเอง! บ่าวคือ…!”
“หยุด!” ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นมาห้ามเอาไว้ “ข้าคิดว่าหากเจ้ายังคิดจะพูดต่อ…จะเกิดอันตรายกับเจ้า!” หากต้วนเฉินเซวียนรู้ว่าตอนนี้หลิวจือไม่เพียงถูกจับได้เท่านั้นแต่ยังโดนทำร้ายด้วย…เกรงว่าหากกลับไปคงต้อง…เฮ้อ!
แต่คนผู้นี้เป็นถึงหลิวจือ! ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกหวั่นใจ เนื่องจากหลิวจือมาที่เรือนของนางได้อย่างไรแถมยังโดนจับเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นไม่เพียงคิด แต่หลังจากนั้นยังถอนหายใจออกมาด้วย
หลิวจือน่าสงสารยิ่ง…มิน่าเล่าเมื่อวานต้วนเฉินเซวียนถึงเข้ามาในห้องของนางได้ง่ายๆ ! นางคิดว่าคงมีคนให้เขาเป็นเป้าล่อนั่นเอง!
“ใช่ๆๆ เป็นบ่าวเอง!” ตอนนี้หลิวจือปลื้มใจจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว
‘ฮูหยินไม่เสียแรงที่เป็นฮูหยิน! ตอนนี้เขามีสภาพเช่นนี้ไปเสียแล้ว ฮูหยินยังจำเขาได้! ฮูหยินนั้น…ดีกว่านายท่านเสียด้วยซ้ำ! มิถูก ตอนนี้นายท่านต้องกำลังวุ่นวายอยู่กับการตามหาเขาอย่างแน่นอน! เมื่อครู่นี้เขาคิดถึงนายท่านเช่นนั้นได้อย่างไร! ‘
“ใช่อะไร! ข้ารู้จักเจ้าด้วยหรือ” ซูเหลียนอวิ้นแค่นเสียงถอนใจแล้วมองลงไปที่หลิวจือ เพราะเมื่อวานต้วนเฉินเซวียนจู่ๆ ก็…ทำเรื่องนั้นกับนาง! นางยังมิได้คิดจะอภัยให้ใครทั้งนั้น!
ดังนั้นแม้ในตอนนี้หลิวจือจะเป็นผู้รับเคราะห์และตัวล่อเป้าให้ต้วนเฉินเซวียน แถมยังโดนคนของนางทำร้ายอีกยกใหญ่ แต่ในสายตาของซูเหลียนอวิ้นแล้ว…หลิวจือสมควรโดนแบบนี้แล้ว!
เนื่องจากธุระที่ต้วนเฉินเซวียนมาหานางในวันนี้ หลิวจือกล้าพูดหรือไม่ว่าตนไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย? ซูเหลียนอวิ้นไม่เชื่อเด็ดขาด ดังนั้นถ้าหากรู้แล้วยังกล้าทำแบบนี้อีก? ความผิดของเรื่องนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย!
“คุณ คุณหนูซู?” ตอนนี้หลิวจือแถบจะเป็นใบ้ไปแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ เมื่อครู่นี้มิได้เตือนเขาอยู่หรือว่าให้เขาอย่าพูดมาก! เหตุใดตอนนี้ถึงทำสายตา…
“คุณหนูใหญ่รู้หรือว่าคนผู้นี้คือใคร” ผูหลิวรู้สึกได้ถึงบรรยากาศกระดากกระเดื่องและแปลกประหลาดขณะนี้จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามขึ้น “เช่นนั้นคนผู้นี้…คุณหนูใหญ่คิดว่าจะจัดการกับเขา”
“ใครบอกว่าข้ารู้จักเขา” ซูเหลียนอวิ้นแบมือออกมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “ข้าไม่รู้จักเขาเลยสักนิด! เขาคือใครหรือ” คนผู้นี้คือใคร นางรู้จักหรือ เพราะหากนางกล้าพูดออกไปว่านางรู้จักคนผู้นี้ล่ะก็ หากนางจะลงโทษเขาขึ้นมา…คงมิอาจใช้วิธีการที่รุนแรงจัดการเขาได้!
ข้อหาที่จะใช้ระหว่างโจรกระจอกที่แอบย่องเข้ามากลางดึกกับผู้ชายที่นางรู้จักดีมาหานางกลางดึก? ถ้าให้เลือกได้ก็ต้องเลือกตัวเลือกแรกอยู่แล้วกระมัง!
“เช่นนั้นคุณหนูใหญ่เตรียมจะให้ทำ…?”
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นแสร้งทำท่านิ่งเงียบครุ่นคิดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากมีข่าวลือหลุดออกไปจากเรือนข้าว่ามีบุรุษแอบย่องเข้ามาหาข้ากลางดึกล่ะก็ ชื่อเสียงในเรื่องเช่นนี้…เฮ้อ ผูหลิว เจ้ามียาปิดปากบ้างหรือไม่ ยาประเภทที่ทำให้คนกินเข้าไปแล้วพูดไม่ออก”
“เนื่องจากตัวข้านั้นเป็นคนที่จริงใจและมีเมตตามาก! เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนประเภทนี้ ข้ามิอาจแข็งใจสั่งฆ่าเขาได้! ข้าใจอ่อนเกินไป…”
ผูหลิวพยักหน้า “คุณหนูใหญ่ใจอ่อนยิ่งนัก! โจรกระจอกเช่นนี้ ต้องฆ่าให้ตายสักร้อยรอบถึงจะสาสม! คุณหนูวางใจได้ บ่าวยังพอมียาปิดปากอยู่บ้าง!”
“คุณหนูซู!” หลิวจือตื่นตระหนก “นี่บ่าวเอง! คุณหนูลองดูให้ดีๆ สิขอรับ บ่าวคือ…! เอ่อ!”
“บ่าวอะไรของเจ้า!” ซูเหลียนอวิ้นกอดอก “เหตุใดข้าถึงนึกไม่ออกว่ามีบ่าวอย่างเจ้าด้วย เพราะคนของข้ามีแต่ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงและหน้าตาดีทั้งนั้น! แล้วดูเจ้าตอนนี้สิ…เจ้านับญาติผิดแล้วหรือไม่”
“เอาล่ะ หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะกลายเป็นเป็นคนใบ้ อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ยังพอมีทางออกอื่น!” ซูเหลียนอวิ้นหมุนตัวไปแล้วเอ่ยต่อว่า “ผูหลิว เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่ข้าเข้าเฝ้าฮองเฮา คล้ายว่าฮองเฮาจะบอกว่าที่วังหลวงมีคนเข้ามาใหม่กลุ่มหนึ่ง! ข้าดูคนผู้นี้แล้วไม่เลวทีเดียว ส่งเข้าวังไปไปเป็นขันทีคงจะดีไม่น้อย!”
เมื่อหลิวจือได้ยินซูเหลียนอวิ้นพูดอย่างช้าๆ จนจบเขาก็รีบเอามือกุมร่างกายท่อนล่างของเขาไว้ทันที อีกทั้งยังตกใจจนคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอย่างไรดี
“อื้มๆๆ” ผูหลิวมองไปที่เขาพร้อมพยักหน้าอย่างหนักแน่น “คุณหนูใหญ่พูดมีเหตุผล!” หากตอนนี้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ก็คงเป็นคนโง่เต็มทน! ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคุณหนูใหญ่กำลังปั่นหัวคนผู้นี้เล่น! แต่คนผู้นี้ก็น่าสมน้ำหน้าแล้ว
“คุณหนู! ด้านหน้ามีคนมาเจ้าค่ะ” ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นคิดถ้อยคำเพื่อจะพูดข่มขู่ต่อนั้น หลีมู่กลับรีบวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “คุณหนูเจ้าคะที่เรือนหน้ามีคนมาเจ้าค่ะ ฮูหยินบอกว่าให้ส่งคนไปดูสักหน่อย”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นฟังจบก็ขมวดคิ้ว เรือนหน้ามีคนมาหรือ แถมยังต้องการให้นางไปดูด้วย? นางเริ่มรู้สึกแล้วว่ากำลังจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น!
“ก็ได้ อีกประเดี๋ยวข้าค่อยกลับมาจัดการเรื่องนี้” ซูเหลียนอวิ้นเหลือบมองไปที่หลิวจืออย่างไร้อารมณ์จากนั้นจึงหันไปมองผูหลิวแล้วเอ่ยว่า “ดูคนผู้นี้ไว้ให้ดี เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
“คุณหนูใหญ่วางใจเถิดเจ้าค่ะ”
เรือนหน้า
“ท่านแม่ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือถึงได้รีบร้อนเช่นนี้…?” ซูเหลียนอวิ้นเลิกม่านแล้วเดินเข้าไป ทว่ากลับเห็นหญิงสาวแรกรุ่นผู้หนึ่งที่นางไม่คุ้นหน้านั่งอยู่ข้างๆ อันเพ่ยอิง ตอนนั้นเองคำพูดของนางที่เตรียมจะใช้ออดอ้อนจำต้องกล้ำกลืนลงไป “ท่านแม่เจ้าคะ คนผู้นี้คือ…?”
“รีบเข้ามาเถิดอวิ้นเอ๋อร์ ด้านนอกร้อนเสียขนาดนั้นอย่าให้ไอร้อนเข้ามาด้านในด้วยเลย” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นเพื่อแนะนำ “เห็นว่าคนผู้นี้คือองค์หญิงที่มาจากเมืองเยียลี่ว์ นางมีชื่อว่าเยียลี่ว์เยียน วันนี้ตอนที่แม่ออกไปซื้อของตอนเช้าบังเอิญพบนางเข้า…จากนั้นก็…”
ถ้อยคำของอันเพ่ยอิงเอ่ยออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ ถึงแม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะฟังแล้วเข้าใจได้ แต่ทำไมถึงเป็นเยียลี่ว์เยียนได้เล่า
เยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นแล้วกล่าวแนะนำอย่างมีไมตรี “สวัสดีคุณหนูซู ข้าเป็นองค์หญิงที่มาจากเมืองเยียลี่ว์ นามว่าเยียลี่ว์เยียน วันนี้ตอนเช้า ขณะที่เดินซื้อของอยู่ที่ตลาดบังเอิญเจอกับท่านแม่เข้า ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีพรหมลิขิตต่อกันนัก ดังนั้นจึงมาขอน้ำชาที่นี่ดื่มอย่างหน้าไม่อาย หวังว่าคุณหนูซูคงจะไม่ถือกระมัง”
“ไม่ถือๆ …” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ หันตัวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงกันข้ามกับเยียลี่ว์เยียน พลางสำรวจอีกฝ่ายด้วยสายตาไร้ความรู้สึกใดๆ
โฉมงามที่อายุยังน้อย น้ำเสียงที่นางเอื้อนเอ่ยแม้ว่าจะแหบแห้งไปบ้าง แต่ด้วยความแหบแห้งนี้ยิ่งเป็นการเติมเสน่ห์บางประการให้นาง สีผิวของนางแม้ว่าจะไม่ขาวนุ่มนวลราวกับน้ำนมวัวอย่างสาวชาวต้าชั่วแต่ก็เป็นสีของเปลือกข้าวสาลี ทว่ากลับดูมีสุขภาพดีอย่างมาก! อีกอย่างเมื่ออยู่กับเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์พิเศษเช่นนั้นแล้ว…ยิ่งทำให้ดูเข้ากันดีโดยบังเอิญ! โดยรวมแล้วหากดูจากรูปโฉมภายนอกแล้วถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่าแม้ว่าเยียลี่ว์เยียนผู้นี้จะมีหน้าตางดงาม แต่ตนกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขัดใจในตัวเยียลี่ว์เยียน อาจจะไม่มีอะไรกระมัง คงจะเป็นเพราะว่าตอนที่นางสำรวจเยียลี่ว์เยียนอยู่นั้น เยียลี่ว์เยียนเองก็กำลังสำรวจนางอยู่เหมือนกัน?
แต่หากนำมาเปรียบเทียบการสายตาที่มีบางอย่างปิดบังไว้ของตัวนางเอง สายตาของเยียลี่ว์เยียนถือว่าเปิดเผยและตรงไปตรงมากว่านางมาก! เป็นประเภทที่ทำให้คนที่จ้องนางอยู่ต้องรู้สึกลำบากใจไปเอง!
“คุณหนูซูเป็นอย่างที่เขาว่ากันไว้ไม่ผิด ถือเป็นโฉมสะคราญนางหนึ่ง!”
ตอนที่ 159 ธุระของแม่สื่อ
“ที่ใดกันเล่า…” คิ้วของซูเหลียนอวิ้นขมวดเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่เห็นจึงก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นโฉมสะคราญ…ฮ่าๆ ” เยียลี่ว์เยียนผู้นี้คือผู้ใดกัน ซูเหลียนอวิ้นเริ่มมีความรู้สึกคับข้องและกลัดกลุ้มอยู่ในใจ
เพราะสายตาของเยียลี่ว์เยียนที่มองมาที่นางนั้นราวกับเป็นสายตาที่ใช้ประเมินราคาสินค้าชิ้นหนึ่ง ประกอบกับเมื่อฟังเสียงของท่านแม่ก็พอจะรู้ได้เลยว่าคนผู้นี้ไม่ได้เป็นแขกที่เชิญมา! เป็นถึงองค์หญิงแท้ๆ แต่กลับกล้าออกหน้าขอบุกมาที่เรือนของผู้อื่น นี่ทำไปเพื่อการใดกันแน่
“คุณหนูซูถ่อมตัวแล้ว” เยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นแล้วเดินไปยังด้านหน้าซูเหลียนอวิ้น จากนั้นนางจึงจับมือซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าตัวข้ากับคุณหนูซูมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คงจะมีหัวข้อให้สนทนากันมากทีเดียว! ดังนั้นแล้วคุณหนูซู พวกเราสองคนไปคุยกันตามประสาในห้องสักหน่อยดีหรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้น? เจ้าเป็นใครกัน! นางไม่ได้ยินดีเลย!
เนื่องจากสำหรับนางแล้ว หากกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ห้องของนางถือเป็นเขตส่วนตัวของนาง! เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถให้ใครก็ได้เข้ามา!
ดังนั้นแล้วคนที่นางเพิ่งจะเห็นหน้าเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปแถมยังมีเจตนาแอบแฝงบางอย่างต่อนางอีก คนที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่ชอบ หากยอมให้เข้าไปในห้องของนางล่ะก็…นางรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง!
“มีอะไรก็คุยกันตรงนี้ไม่ได้หรือ” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ คลายมือของตัวเองออกจากมือของเยียลี่ว์เยียนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“แต่…” เยียลี่ว์เยียนใช้สายตากระดากกระเดื่องเหลือบมองไปที่อันเพ่ยอิงที่อยู่ข้างๆ “ช่างเถิด คุณหนูซูไม่ถือสาก็ดี”
ไม่ถือสาก็ดีหมายความว่าอย่างไร ตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อเห็นท่าทางของเยียลี่ว์เยียนแล้ว…ช่างมันเถอะ คงต้องยอมให้คนผู้นี้เข้าไปที่ห้องของนางเสียแล้ว! เพราะหากจู่ๆ นางพูดโพล่งอะไรขึ้นมาในขณะที่อันเพ่ยอิงยังอยู่ด้วย นางคงมิอาจพูดแก้ตัวอะไรได้ทัน!
“อวิ้นเอ๋อร์ แม่เพิ่งนึกออกว่ามีธุระบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ เจ้าอยู่ต้อนรับองค์หญิงเยียลี่ว์ไปก่อนเถิด” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นพลางยิ้ม “แม่ขอไปตัวไปทำธุระก่อน” เนื่องจากอันเพ่ยอิงเองก็รู้จุดด้อยบางอย่างของซูเหลียนอวิ้นดี พี่ชายน้องสาวคู่นี้มีนิสัยเหมือนกัน! คือปฏิบัติกับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างห่างเหิน! ดังนั้นในตอนนี้คงไม่ยินดีที่จะพาคนผู้นี้เข้าไปที่ห้องของตนสักเท่าไหร่!
แต่เมื่อเห็นท่าทางขององค์หญิงเยียลี่ว์ผู้นี้คล้ายว่ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะพูดกับอวิ้นเอ๋อร์จริงๆ อันเพ่ยอิงกำลังคิดว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ ก็คงจะไม่ดิ้นรนมาที่เรือนของพวกตนกระมัง!
ทว่าอยู่ขัดขวางมิสู้เปิดทางให้! หากนางยังนั่งอยู่ตรงนี้จะทำให้เด็กสองคนนี้ไม่กล้าเอ่ยปากพูดคุย ดังนั้นตอนนี้นางกลับไปก่อนจะดีกว่า องค์หญิงเยียลี่ว์จะได้พูดอย่างสบายใจ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของพวกเขา! อีกอย่างแผ่นดินที่อยู่ใต้เท้าของนางก็เป็นดินของต้าชั่ว! ดังนั้นอันเพ่ยอิงจึงไม่กลัวเท่าไหร่นัก
อีกประเดี๋ยวนางค่อยถามอวิ้นเอ๋อร์ก็ได้ว่าองค์หญิงผู้นี้พูดอะไรกับนางบ้าง! แน่นอนว่าหากอวิ้นเอ๋อร์เป็นฝ่ายเล่าเองจะดีที่สุด!
“ท่านแม่…” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืน สายตาจ้องไปที่อันเพ่ยอิงปริบๆ
“ที่นี่คือบ้านของพวกเรา ไม่เป็นไรหรอก! ” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างๆ ซูเหลียนอวิ้น จากนั้นก้มหัวลงไปกระซิบ
“เอ่อ…” แน่นอนว่านางกลัวองค์หญิงผู้นี้ เพราะหากจะกล่าวให้เป็นเรื่องเล็กเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างสตรีเพียงสองคน แต่หากจะกล่าวให้เป็นเรื่องใหญ่นี่ถือเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างสองเมือง! ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็มิอาจทำให้แผ่นดินต้าชั่วขายหน้าได้!
“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูซูกับมารดาดียิ่งนัก” เยียลี่ว์เยียนเอ่ยเรียบๆ จากนั้นจึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วแสร้งทำเป็นคนใบชาที่ลอยอยู่ด้านบน จากนั้นจึงจิบไปอึกหนึ่ง ทว่าหลังจากดื่มไปอึกหนึ่งแล้วกลับขมวดคิ้วขึ้นมา
“องค์หญิงอาจจะยังไม่คุ้นชิน ช่วงนี้ท่านแม่ออกจะชอบดื่มชาที่รสชาติขมไปสักหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะ “ชาประเภทนี้มีคนจำนวนมากที่ไม่คุ้นเคย แต่หลังจากที่ลองดื่มไปแล้วก็จะรู้สึกเองว่าไม่เลวทีเดียว”
“จริงหรือ…” เยียลี่ว์เยียนหัวเราะ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่ว่ารสชาติของชาถ้วยนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักต่อนาง แต่ซูเหลียนอวิ้นต่างหาก…ที่…
“คุณหนูซู”
“เอ๊ะ? ” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล “องค์หญิงมีอะไรหรือ มีปัญหาอะไรหรือไม่” ต้องมีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน! มีเรื่องอะไรก็รีบพูดออกมาดีหรือไม่! ใครอยากจะนั่งกระอึกกระอักอย่างนี้เป็นเพื่อนเจ้ากัน!
“คุณหนูซู ข้าขอเสียมารยาทถามเจ้าสักข้อหนึ่งได้หรือไม่”
ไม่ได้! ถามบ้าอะไร! ในใจของซูเหลียนอวิ้นบ่นพึมพำ ทว่าปากของนางกลับเอ่ยออกไปว่า “ได้สิ องค์หญิงพูดมาเถิด” เฮ้อ บางครั้งคนเราก็ต้องเสแสร้งกันบ้าง!
“คุณหนูซูผ่านพิธีปักปิ่นมาแล้วใช่หรือไม่ คิดไว้หรือยังว่าวันข้างหน้าจะแต่งงานกับผู้ใด” สายตาของเยียลี่ว์เยียนจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างสงบราวกับว่าเป็นการสนทนาธรรมดาๆ ระหว่างสตรีที่เป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้น
“เรื่องนี้…คงต้องยกให้เป็นธุระของแม่สื่อหรือไม่ก็ฟังคำสั่งของบิดามารดากระมัง” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเสียงดัง ในใจของนางแอบครุ่นคิดถึงเจตนาของคำถามนี้ เพราะก่อนหน้านี้เยียลี่ว์เยียนปูพื้นมาตั้งมากมาย ประเด็นสำคัญที่จะถามคือเรื่องนี้เองหรือ นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน! ดังนั้นอีกประเดี๋ยวสิ่งที่เยียลี่ว์เยียนกำลังจะถามต่อต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ!
“อย่างนี้เองหรือ” เยียลี่ว์เยียนหัวเราะ “แต่ข้าอยากรู้ว่าความคิดของคุณหนูซูเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะต่อให้ฟังคำของบิดามารดา อย่างไรก็ต้องเป็นคนที่เข้าตากันบ้างถูกหรือไม่”
สุดท้ายคำถามสำคัญก็ถูกถามออกมาเสียที! ซูเหลียนอวิ้นกัดฟัน เรื่องเช่นนี้เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงต่างเมืองอย่างเจ้าด้วยเล่า ประเพณีของเรามันต่างกันจริงๆ ! เรื่องราวเช่นนี้ที่เมืองเยียลี่ว์สามารถนำมาคุยกันตั้งแต่พบหน้าครั้งแรกเลยหรือ
“เรื่องนี้…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าแล้วจับแขนเสื้ออย่างไม่รู้จะวางตัวอย่างไร “ข้า ข้าได้หมด ชอบก็ชอบกระมัง”
“จริงหรือ” เมื่อเยียลี่ว์เยียนได้ยินคำตอบนี้ของซูเหลียนอวิ้น ใบหน้าของนางก็ปรากฏแววสงสัย เพราะจากข่าวที่นางสืบมาได้ ดูเหมือนว่าคุณหนูจะยังไม่มีคนพิเศษในใจกระมัง
“เช่นนั้นคุณหนูซูคิดว่าคุณชายต้วนเป็นอย่างไรบ้าง หากจะให้เจ้าแต่งกับเขา เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร”
“แต่งงาน แต่งกับคุณชายต้วนรึ” ซูเหลียนอวิ้นเหม่อลอยไปชั่วขณะ ทว่าเพียงชั่วครู่ก็จัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้เรียบร้อยจึงเอ่ยว่า “ข้า ตอนนี้ข้า…คุณชายต้วนไม่ค่อยเหมาะสมกับข้า…”
“เหตุใดคุณหนูซูจึงคิดเช่นนี้ หากคุณหนูซูคู่กับคุณชายต้วนล่ะก็จะต้องเป็นคู่สร้างคู่สมกันอย่างแน่นอนมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ชอบเล่า”
“เป็นเพราะว่าคุณชายต้วนไม่ชอบข้าอย่างไรเล่า…” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอย่างอู้อี้ “อีกอย่าง อีกอย่างคนผู้นั้นยังเกลียดข้ามากอีกด้วย! “
“เกลียดเจ้า? ” เยียลี่ว์เยียนเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกดีใจ “แต่ข่าวลือที่ข้าได้ยินในเมืองหลวงช่วงนี้ไม่ใช่อย่างนี้นี่นา ในเมืองหลวงว่ากันว่าสุดท้ายแล้วคุณชายต้วนก็แพ้ความคลั่งไคล้ของคุณหนูซู?
ซูเหลียนอวิ้นไม่เอ่ยอะไร ตอนนี้ในใจของนางได้ลากต้วนเฉินเซวียนมาต่อยไม่รู้กี่ทีต่อกี่ทีแล้ว! เพราะอย่างที่นางบอกไปแล้ว! ว่าช่วงนี้นางไม่ค่อยได้ออกไปไหน แล้วพระองค์ใหญ่องค์นี้มาถึงที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าต้วนเฉินเซวียนเป็นคนพามาให้นาง!
ต้วนเฉินเซวียนมีความสามารถยิ่งนัก…หาเรื่องให้นางแค่ภายในเมืองไม่พอ นี่ถึงขนาดต้องหาเรื่องจากต่างเมืองมาให้นางอีกเชียวหรือ!
ตอนที่ 160 หมั้น
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นสายตาสุขใจของเยียลี่ว์เยียนที่คาดหวังให้นางรีบเล่าเรื่องราวต่างๆ ออกมาโดยเร็วแล้วตอนนั้นเองที่ในใจของนางพลันมีเสียงเตือนดังขึ้น จู่ๆ เยียลี่ว์เยียนก็สนใจในตัวนางมากขนาดนี้…รวมทั้งคำพูดวันนั้นที่ต้วนเฉินเซวียนพูดไว้กับนาง…
“ข่าวลือพวกนั้นเป็น…ข้าเองที่ส่งคนออกไปปล่อยข่าว…” ซูเหลียนอวิ้นกัดฟันแล้วเค้นเสียงพูดประโยคนี้ออกมาจนจบ แต่เมื่อเอ่ยจบไปแล้วนางก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา! ต้วนเฉินเซวียนนะต้วนเฉินเซวียน…เพราะเรื่องราวไร้สาระไม่กี่คำพวกนั้นของท่านแท้ๆ! นางจึงต้อง…!
“คุณหนูซูเป็นคนปล่อยข่าวเองรึ” เยียลี่ว์เยียนคิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยเช่นนี้ ตอนนั้นเองจึงทำท่าทางราวกับว่าได้ฟังเรื่องราวน่าตกใจบางอย่างจนต้องยกมือยกขึ้นมาปิดริมฝีปากเอาไว้ ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงจะบ่นอุบอิบออกมา “คุณหนูซู…แต่ชาวต้าชั่วอย่างพวกเจ้าให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเรื่องนี้เป็นที่สุดมิใช่หรือเจ้าทำเช่นนี้…ไม่เสียใจทีหลังหรือ”
“ไม่เสียใจ…” ซูเหลียนอวิ้นพยายามก้มหน้าปิดบังสีหน้าของตนให้มากที่สุด “เดิมทีข้าคิดว่าข้าจะใช้โอกาสนี้กดดันต้วนเฉินเซวียนให้เขาต้องยอมรับข้าโดยปริยาย…ไหนเลยจะคิดว่าเรื่องราวจะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่…”
เยียลี่ว์เยียนจ้องซูเหลียนอวิ้นอย่างอาฆาต พยายามที่จะจับให้ได้ว่านางมีพิรุธอะไรหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าต่ำเกินไปจนแทบจะหดเข้าไปทั้งตัว! ดังนั้นแม้ว่านางจะอยากจับผิดมากเท่าไหร่ก็เห็นได้เพียงแค่ไหล่ทั้งสองข้างของนางที่กำลังสั่นไหวเบาๆ
รู้สึกราวกับว่า…นางคงเสียใจและเจ็บปวดจริงๆ
“ข้าไม่ดีเอง!” เยียลี่ว์เยียนถอนใจ “ข้าก็นึกว่า…เฮ้อ! ข้าเอ่ยถึงเรื่องราวน่าเจ็บปวดของคุณหนูซูถือเป็นความผิดของข้าเอง…คุณหนูซูอย่าถือสาได้หรือไม่”
“ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมาทำให้เห็นดวงตาสีแดงก่ำของนางที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา “ข้าคิดว่าองค์หญิงรู้สึกเชื่อใจข้าตั้งแต่แรกเห็นและรู้สึกสนิทสนมกับข้าแม้จะเห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียว ดังนั้นจึงกล้าพูดเรื่องราวที่อยู่ในใจออกมาหมด
“อีกอย่างครั้งนี้ต้องขอบคุณองค์หญิงจึงจะถูก หากไม่มีองค์หญิงรับฟังข้า เรื่องราวนี้ของข้า…ไม่รู้ว่าต้องอัดอั้นไปอีกกี่ปีกี่วันถึงจะได้ระบายออกมา! พอพูดออกมา ข้ารู้สึกโล่งอกไปเยอะเลยทีเดียว…”
“ไม่เป็นไรการที่ข้าได้ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก” เยียลี่ว์เยียนขมวดคิ้วแล้วหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาเพื่อบดบังความดูถูกดูแคลนที่ปรากฎขึ้นในสายตาของตน สตรีนางหนึ่งตามจีบบุรุษจนถึงขั้นนี้ ผลสุดท้ายยังถูกปฏิเสธ นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าและไร้ความสามารถอย่างยิ่ง!
“อันที่จริงที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่ออยากจะพูดคุยกับคุณหนูซูอีกเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น” เยียลวี่เยียนเปิดฝากาน้ำชาออก ทว่าเมื่อได้ยินกลิ่นขมที่อบอวลขึ้นมา ตอนนั้นเองที่ความอยากอาหารของนางจึงหมดไป
และเนื่องจากเยียลี่ว์เยียนรู้สึกว่าตนมองนางจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ซูเหลียนอวิ้นนางนี้ เพียงดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นหญิงสาวที่รู้จักแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นางหนึ่งเท่านั้น หากนางไม่มีความรักก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกกระมังคนประเภทนี้ไม่มีค่าพอให้นางต้องกังวลอะไร
“องค์หญิงว่ามาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเช็ดน้ำตาสองหยดที่บีบให้ไหลออกมาได้อย่างอยากลำบากแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอู้อี้
“คุณหนูซู มันอาจจะไม่ดีต่อเจ้าเท่าไหร่นัก”
“อะไรรึ”
“จุดมุ่งหมายที่ข้ามาในครั้งนี้ เพราะต้องการจะมาหมั้นหมาย และคู่หมั้นที่ข้าเลือกคือ…คุณชายต้วน…” เยียลี่ว์เยียนทำท่าราวกับไม่กล้ามองหน้าซูเหลียนอวิ้นอีกต่อไปจึงเบนหน้าไปทางอื่นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าหางตาของนางกลับแอบคอยจับสังเกตว่าเมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำพูดนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร
“องค์หญิง…” ซูเหลียนอวิ้นนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ขยับเขยื้อน ครั้งนี้ไม่ใช่การแสดงแล้ว แต่นางกำลังตกใจจริงๆ
ต้วนเฉินเซวียนจะหมั้นแล้วหรือแต่งกับองค์หญิง…? ก็ดี อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต่างจากที่นางคาดหวังไว้เท่าไหร่นัก
แต่…ทำไมตอนนี้จึงรู้สึกคล้ายว่าตัวเองกำลังปวดใจอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นยินดีกับพวกท่านด้วย…องค์หญิง พวกท่านเหมาะสมกันนัก” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้วฝืนยิ้มออกมา ทำให้การยินดีครั้งนี้ดูราวกับว่าออกมาจากใจจริงๆ
อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีใครมาตามพัวพันนางอีก อืม ดีมาก!
“คุณหนูซู ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน…หวังว่าคุณหนูซูจะเข้าใจ” เยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นด้วยสีหน้าละอายใจและรู้สึกผิด
“เอ่อ ขอบคุณองค์หญิงมากที่แจ้งให้ทราบไม่ไปส่งนะเพคะ”
ณ สวนสาลี่
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” ผูหลิวยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลิวจือจนขาของนางชาไปหมดดังนั้นเมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นจึงตื่นเต้นจนแทบจะหัวทิ่มเลยทีเดียว
“คุณหนูใหญ่…?” ผูหลิวเอ่ยปากขึ้นและคิดจะถามต่อว่าสุดท้ายแล้วจะให้จัดการกับคนผู้นี้อย่างไร เนื่องจากตนได้คิดวิธีลงโทษเขาไว้หลายร้อยวิธีแล้ว
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าหนักอึ้งของซูเหลียนอวิ้นบวกกับหลีมู่ที่ส่ายหน้าอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เดินตามหลังซูเหลียนอวิ้นนั้น
“ปล่อยคนผู้นี้ไปเสีย” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “แก้เชือกออกเถิด จากนั้นเขาจะไหนก็ปล่อยเขาไป ให้เขารีบหายตัวไปให้พ้นๆ หน้าข้า!” น้ำเสียงตอนท้ายของซูเหลียนอวิ้นคล้ายเป็นการแผดเสียง เนื่องจาก…เมื่อนางเห็นหลิวจือ ภาพที่ต้วนเฉินเซวียน…จูบนางเมื่อคืนนี้ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง
มันไม่มีความหมายอะไรกับนางแล้ว อีกอย่างคนที่กำลังจะหมั้นกลับกล้าทำเช่นนั้นกับนางเมื่อคืน…!
หลิวจือเองก็มิใช่คนโง่ เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทีเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เขาคิดว่าคุณหนูซูตอนนี้คงไม่อยากจะเห็นหน้าตนเอาเสียมากๆ กระมัง…
ดังนั้นเขาขอหายตัวไปก่อนจะดีกว่า! หากนางอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วคิดจะเอาเขาส่งเข้าวังไปเป็นขันทีขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร
“คุณหนูใหญ่ขอรับ…บ่าว ขอตัวก่อน…” หลิวจือขยับแขนของเขาที่แข็งทื่อจากการโดนมัดแล้วเอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ
“ไปซะ หากคนของข้าจับตัวเจ้าได้อีก” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมา คราวนี้ในสายตาของนางเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง “ข้าจะตัดของเจ้าไปให้หมากิน!”
“ขอรับๆๆ บ่าวขอตัวลา!” เมื่อหลิวจือเห็นสีหน้าจริงจังของซูเหลียนอวิ้นตอนนั้นก็รู้ทันทีว่านางไม่ได้ขู่อีกแล้ว คราวนี้นางพูดจริง! ดังนั้นเดิมทีความคิดที่เขาคิดจะหยอกเล่นเพื่อทดสอบว่าจริงๆ แล้วซูเหลียนอวิ้นรู้สึกอย่างไร ตอนนี้เขาพลันเก็บคำพูดทุกอย่างเอาไว้แล้วไม่กล้าพูดอีก จากนั้นจึงรีบพุ่งตัวหายไปอย่างรวดเร็ว
“ผูหลิว”
“เจ้าค่ะ! คุณหนูใหญ่ บ่าวอยู่ตรงนี้!” ผูหลิวยังคงปรับตัวจากท่าทีของซูเหลียนอวิ้นเมื่อครู่นี้ไม่ทัน ดังนั้นเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเรียกชื่อตนขึ้นมากระทันหันก็ตกใจจนตัวสั่นพลางเอ่ยตอบ “คุณหนูใหญ่มีสิ่งใดให้รับใช้!”
“ตั้งแต่คืนวันนี้เป็นต้นไป เจ้าย้ายมานอนกับข้า แล้วให้พวกหยาเอ่อร์กับหลานเย่ว์ผลัดเปลี่ยนเวรกันทุกวันคอยมาเฝ้าห้องข้าก็พอ” ซูเหลียนอวิ้นกอดอกแล้วเอ่ยต่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือเป็นความผิดของพวกเจ้า เพราะว่าพวกเจ้าเป็นคนปล่อยให้เขาเข้ามาเองมิใช่หรือแต่ข้าจะไม่เอาความ ทว่าตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องเฝ้าเรือนของข้าไว้ให้ดี จำไว้ว่าแม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ห้ามบินเข้ามา!”
ตอนที่ 161 ล่อเสือออกจากถ้ำ
“ที่นี่ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว พวกเจ้าอยากจะไปทำอะไรก็ไปเถอะข้าอยากนอนแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้วเนื่องจากตอนนี้นางรู้สึกว่าท้องน้อยของนางเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณหนูวางใจเถิดเจ้าค่ะ พวกบ่าวจะ…ดูแลคุณหนูอย่างดี…” เมื่อผูหลิวเห็นใบหน้าของซูเหลียนอวิ้นซีดเผือด แต่กลับยังฝืนทำท่าราวกับไม่เป็นอะไรนางจึงรู้สึกปวดใจอย่างมากจึงเอ่ยออกไปว่า “คุณหนูใหญ่จะให้บ่าวตรวจดูก่อนดีหรือไม่…?” ท่าทางของคุณหนูตอนนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไร ข้าเป็นระดู ข้าเลยรู้สึกปวดท้องเท่านั้น” ซูเหลียนอวิ้นพยายามแค่นยิ้มที่สมบูรณ์ที่สุดออกมาจากนั้นเอ่ยต่อว่า “ข้ากลับไปพักผ่อนสักประเดี๋ยวคงจะดีขึ้น คอยเรียกข้าเมื่อถึงเวลาอาหารก็พอ”
“เจ้าค่ะ…อย่างนั้นคุณหนูใหญ่รีบพักผ่อนเถิด” ผูหลิวกลืนความคิดที่เตรียมจะพูดออกไปตอนแรกลงไปแล้วทำเพียงมองตามเงาด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นอยู่เงียบๆ
“หลีมู่ สรุปแล้วคุณหนูใหญ่เป็นอะไรกันแน่!” หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นเดินเข้าไปในห้องและปิดประตูจนสนิทแล้ว ทันใดนั้นเองหยาเอ๋อร์และคนอื่นๆ ที่เหลือ รวมทั้งหลานเย่ว์จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหนก็พุ่งมารวมตัวกัน
“พวกเจ้าโผล่มาจากที่ใดกัน” หลีมู่ตกใจจนถอยหลังไปเล็กน้อยพร้อมเอามือกุมหน้าอกแล้วถอนใจ
“โธ่เอ๊ย นี่ใช่เรื่องสำคัญของปัญหานี้รึ” อวี่ซางเอ่ยปากอย่างเหลืออด “คุณหนูใหญ่เป็นอะไรไปก่อนจะไปยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดตอนกลับมาถึง…เป็นเช่นนี้ไป” กล่าวได้ว่าสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นตอนกลับเข้ามาในเรือนทำเอาอวี่ซางตกใจแทบแย่
อวี่ซางคิดว่าตนเข้าใจซูเหลียนอวิ้นมากพอแล้วเพราะเขาติดตามซูเหลียนอวิ้นมานานถึงตอนนี้แล้ว ท่าทางของซูเหลียนอวิ้นตอนดีใจ โกรธ หรือทุกข์ใจ เขาล้วนผ่านตามาแล้วทั้งนั้น ทว่าท่าทางเมื่อครู่นี้นั้น…
อวี่ซางถอนใจ เพราะถึงจะอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็ถือว่าเป็นเจ้านายของตนหากเจ้านายของตนโดนรังแก จะมีบ่าวอย่างพวกเขาไว้ทำไมกัน
“คุณหนูใหญ่ นาง…” หลีมู่ก้มหน้าแล้วสะบัดแขนเสื้อ ตอนนั้นนางไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร
คำพูดขององค์หญิงผู้นั้นใช่ว่านางจะฟังไม่เข้าใจเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้มาเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ! และหวังว่าภายภาคหน้าคุณหนูจะไม่เข้าไปพัวพันกับคุณชายต้วนอีก?
ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณหนูของนางด้วย?! แทนที่จะมาพูดกับคุณหนูของนาง เอาไปพูดกับคุณชายต้วนนั่นต่างหากจึงจะถูก! เพราะคุณชายต้วนต่างหากที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด!
อีกอย่างคุณหนูไปพัวพันกับต้วนเฉินเซวียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! แม้ว่าวันนี้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคุณหนูของนางถึงพูดแบบนั้นแต่ในฐานะที่นางเป็นสาวใช้คนสนิทของซูเหลียนอวิ้น หลีมู่เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน พัวพันกับคุณชายต้วนหรือคุณหนูของนางใช่คนพวกนั้นเสียที่ไหน!
น่าสงสารที่คุณหนูของนางไม่รู้เรื่องอะไรด้วย พอพูดออกไปอย่างใสซื่อเช่นนั้นจึงถูกคนผู้นั้นตบปากกลับมาเอาเสียง่ายๆ โลกใบนี้เหตุใดจึงมีเรื่องราวเช่นนี้?
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่หลีมู่!” หยาเอ่อร์ทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงดึงหลีมู่ให้หันหน้ามาสบตาเพื่อฟังคำพูดของตน “เจ้ารีบพูดออกมาเร็วเข้า จากนั้นพวกเราจะได้รีบช่วยคุณหนูคิดวิธีการรับมืออย่างไรเล่า!” หากพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะมีประโยชน์อะไร
“ถึงอย่างไร ถึงอย่างไรก็” หลีมู่กระทืบเท้าแล้วตัดสินใจพูดออกไปว่า “ถึงอย่างไรผู้ชายก็ไม่ใช่ของที่มีคุณค่าอะไร! โดยเฉพาะคุณชายต้วนนั่น!” เมื่อเอ่ยถึงต้วนเฉินเซวียน ขอบตาของหลีมู่ก็แดงก่ำขึ้นมาทันทีแต่ติดตรงที่นางเห็นแก่ภาพลักษณ์ที่ดีของซูเหลียนอวิ้น หลีมู่จึงกล้ำกลืนคำด่าที่เดิมทีนางเตรียมเอาไว้กลับลงไป
“ต้วนเฉินเซวียน?” หลานเย่ว์เลิกคิ้ว “หลีมู่ เจ้าพูดออกมาซะดีๆ สรุปแล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!” เหตุใดเรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับต้วนเฉินเซวียนได้อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณหนูของพวกเขากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลานเย่ว์เองก็ไม่รู้ว่าความโกรธของเขามาจากที่ใด เนื่องจากเขากับซูมั่วเยี่ยเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกอย่างเขาดูแลซูเหลียนอวิ้นมาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้แล้ว เขาเองจึงมองซูเหลียนอวิ้นเปรียบเสมือนน้องสาวของเขาคนหนึ่งไปเสียแล้ว
ดังนั้นตอนนี้เมื่อรู้ว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นเช่นนี้มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับต้วนเฉินเซวียน เขาจึงอดเสียดายไม่ได้ที่วันนั้นตอนที่ต้วนเฉินเซวียนมาเขาห้ามไม่ให้ผูหลิวลงแซ่เพิ่มอีก! แถมยังลงเบาไปเสียด้วยซ้ำ!
หยาเอ่อร์ไม่รู้เรื่องที่ต้วนเฉินเซวียนมาในวันนั้น ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณชายก็เริ่มเกิดความสนใจขึ้นมาทันทีแล้วซุบซิบกันว่า “คุณชาย? คุณชายที่ไหนกันแต่ว่าต่อให้เป็นคุณชาย การรังแกคุณหนูของพวกเราจนกลายเป็นเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องนะ!”
“อย่างไรก็เป็นคุณหนูของเราที่โดนเอาเปรียบ!” หลีมู่สูดจมูกฟึดฟัดแล้วมองไปยังพวกหยาเอ่อร์ที่กำลังสุมหัวปรึกษากันอยู่ตอนนั้นนางจึงไม่มีความลังเลใจใดๆ อีกต่อไป อีกทั้งนางเองก็พูดออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว การพูดจาครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้…มิสู้พูดออกมาให้จบรวดเดียวเลยจะดีกว่า!
จะได้เป็นการให้คนอื่นๆ ช่วยตัดสินด้วยว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณหนูของนางด้วย?! ถึงขนาดทำให้ผู้หญิงคนนั้นรีบบุกมาแหกหน้าคุณหนูถึงที่นี่ได้!
หลีมู่พยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลงแล้วค่อยๆ ถ่ายทอดบทสนทนาระหว่างเยียลี่ว์เยียนกับซูเหลียนอวิ้นออกมาใหม่อีกครั้งแล้วตบท้ายด้วย “อีกอย่าง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าโจรกระจอกที่พวกเจ้าจับได้เมื่อคืน ความจริงแล้วคือผู้ใด”
ตอนนี้พวกอวี่ซางกำลังกัดฟันและสาบแช่งพฤติกรรมที่อุกอาดอวดดีของเยียลวี่เยียน รวมทั้งดูถูกว่าต้วนเฉินเซวียนทำเช่นนี้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นเมื่อหลีมู่ถามคำถามที่ดูเหมือนว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันขึ้นมาเช่นนี้ต่างพากันขมวดคิ้ว
“ทำไมรึคนผู้นั้นคือใคร” หลานเย่ว์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อข่มอารมณ์ของตนเองให้สงบลงแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขบขัน “หลีมู่ เจ้าคงไม่ได้กำลังจะบอกพวกเราใช่หรือไม่ว่าคนผู้นั้นคือคุณชายต้วน? หากใช่ เช่นนั้นพวกเราคงเสียใจมากที่ลงมือกับเขาเบาไปหน่อย!”
“มิใช่” หลีมู่ส่ายศีรษะ “แต่คนผู้นั้นคือคนรับใช้ของต้วนเฉินเซวียน” วันนั้นที่ต้วนเฉินเซวียนมอบหมายให้หลิวจือนำของมามอบให้ซูเหลียนอวิ้น นางเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ดังนั้นจึงจดจำใบหน้าของหลิวจือผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ตอนที่นางเห็นโจรผู้นั้น ใจของนางพลันเต้นระส่ำ ทว่าเมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป หลีมู่จึงไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ออกมา
“องครักษ์ของคุณชายต้วน…?” ผูหลิวก้มหน้าขมวดคิ้วพลางทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมด
“แย่แล้ว!” ผ่านไปสักพักผูหลิวก็ตบศีรษะตัวเอง “เมื่อคืนวาน…” มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกว่าคนผู้นั้นแปลกประหลาดยิ่ง! เพราะหากเป็นโจรกระจอกทั่วๆ ไป เหตุใดถึงมีวรยุทธ์ดีเช่นนั้นได้อีกอย่างตอนที่บุกเข้ามายังส่งเสียงและตั้งใจปรากฏตัวให้พวกเราเห็นด้วย ถึงค่อยรีบหนีออกไป
ตอนนี้พอมานึกย้อนทบทวนดู พวกเขาทั้งหมดตกหลุมพลางแผนการธรรมดาที่สุดอย่างล่อเสือออกจากถ้ำเสียแล้ว! พวกเขารีบออกไปตามจับคนที่ปลอมเป็นโจรกระจอกผู้นั้นและปล่อยให้คนที่พวกเขาต้องดูแลนั่นก็คือคุณหนูของพวกเขาไว้ตามลำพัง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น