ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 154-160

ตอนที่ 154 คุณแม่ลั่วเป็นลม

 

           ถังโจวโจวคิดเพียงว่าคนพวกนี้ช่างน่าตลกเสียจริง เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเธอเลย แต่พวกเธอกลับกระตือรือร้นมากยิ่งกว่าตัวเธอเองเสียอีก


 


 


           ที่ทำกันเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ก็เพราะตำแหน่งลูกสะใภ้ของตระกูลลั่วเท่านั้นใช่ไหม! เธอแปลกกว่าคนอื่นตรงไหนเหรอ ถังโจวโจวค่อยๆ ย่อยข้อมูลที่เมิ่งชิงซีให้มา ตอนนี้เธอเชื่อแล้วว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อและคุณแม่ถัง เพียงเพราะถังโจวโจวรู้ดีว่าถ้าเมิ่งชิงซีกล้าเอาเรื่องนี้มาเปิดเผย แสดงว่าเธอต้องมีหลักฐานชัดเจนพอ


 


 


           ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกัน คนต้นเรื่องอย่างถังโจวโจวกลับนิ่งและไม่พูดอะไรเลย ลั่วเซ่าเชินกลัวว่าเธอจะถูกโจมตีหนักขึ้น เขาจึงปลอบเธอว่า “โจวโจว ถึงคุณจะไม่ใช่ลูกของตระกูลถังก็ไม่เป็นไร คุณพ่อกับคุณแม่ดีกับคุณขนาดนี้ จะเป็นลูกแท้ๆ หรือไม่ก็ไม่เห็นสำคัญนี่”


 


 


ตอนนี้จิตใจของถังโจวโจวกำลังว้าวุ่น หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ถังโจวโจวก็เงยหน้าขึ้นมองเมิ่งชิงซีและฉีกยิ้มให้เธอ “คุณเมิ่งคะ ขอบคุณที่บอกข่าวนี้กับฉันนะคะ แต่วันหลังฉันคงไม่ต้องรบกวนคุณอีก”


 


 


ถังโจวโจวไม่อยากให้เมิ่งชิงซีดูถูกเธอมากไปกว่านี้ เธอจะเอาเรื่องนี้กลับไปถามคุณพ่อและคุณแม่ถังอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ที่เพียงได้เห็นแววตาอันแสนภาคภูมิใจของเมิ่งชิงซี ถังโจวโจวก็อยากจะตบหน้าอีกฝ่ายเข้าสักฉาด มันมีอะไรให้น่าภูมิใจนักเหรอ ต่อให้ถังโจวโจวถูกพ่อกับแม่รับมาเลี้ยงจริงๆ แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่หันไปเอาเธอหรอก!


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นถังโจวโจวไม่มีท่าทีเสียใจเลยสักนิด เธอก็คิดว่าอีกฝ่ายแค่ทำเป็นสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วกำลังเสียใจมากๆ “โจวโจว ถ้าเธอรู้สึกเสียใจ เธอก็ระบายมันออกมาก็ได้นะ อย่าเก็บมันไว้อย่างนี้เลย”


 


 


เมิ่งชิงซีเหมือนจะพูดปลอบใจ แต่จริงๆ แล้วเธอกลับเยอะเย้ยในทุกๆ คำ ในขณะที่ถังโจวโจวก็ยังคงส่งยิ้มให้เธอ


 


 


“คุณกังวลมากเกินไปแล้วค่ะ คุณเมิ่ง ฉันไม่ได้เสียใจเลยสักนิด แม้ว่าฉันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อกับคุณแม่ แต่พวกท่านก็มองว่าฉันเป็นลูกสาวของพวกท่านมาตลอด ฉันควรจะดีใจที่มีพ่อกับแม่แบบนี้สิถึงจะถูก!”


 


 


เมื่อเห็นถังโจวโจวไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เมิ่งชิงซีที่มองเธออยู่นาน ในที่สุดก็เลิกมองถังโจวโจว นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะไม่สามารถทำอะไรเธอได้ เมิ่งชิงซีคิดว่าตัวเองกำลังต่อยอยู่กับผ้าฝ้าย และในตอนนี้เธอก็รู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้น


 


 


“โจวโจว ถ้าเธอมีความสุขก็โอเคจ้ะ” เมิ่งชิงซีทำตัวติดกับคุณแม่ลั่ว คุณแม่ลั่วเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันถังโจวโจวจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย


 


 


คุณแม่ลั่วมองดูท่าทางที่สงบนิ่งของถังโจวโจวพลางส่งเสียง ‘ฮึ’ ในลำคอ เธอพูดกับลั่วเซ่าเชินว่า “อาเชิน แม่จะขอร้องลูกแค่อย่างเดียว ตอนนี้ถังโจวโจวไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลลั่วแล้ว เพราะฉะนั้นลูกกับเธอรีบไปจัดการเรื่องที่สำนักงานเขตซะ!”


 


 


“จัดการเรื่องอะไรครับแม่ ตอนนี้ชีวิตคู่ของผมกับโจวโจวกำลังไปด้วยกันได้ดี แม่จะให้ผมไปจัดการเรื่องอะไร” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา


 


 


คุณแม่ลั่วไม่ยอมลดราวาศอก “จะจัดการเรื่องอะไรล่ะ ก็เรื่องหย่าน่ะสิ! ชิงซีรักลูกมาโดยตลอด ลูกต้องไม่ทำให้เธอผิดหวังแบบนี้!” คุณแม่ลั่วพูดและยิ้มในขณะที่ลูบแขนของเมิ่งชิงซีไปด้วย


 


 


ส่วนทางด้านของเมิ่งชิงซี เธอก็แสดงท่าทีเขินอายออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ใบหน้าของเธอเป็นสีแดงก่ำ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเมิ่งชิงซีพอใจกับคำพูดของคุณแม่ลั่วทุกคำ


 


 


ถังโจวโจวแค่นหัวเราะออกมา “คุณแม่คะ หนูยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้นะ? คุณแม่จับคู่ให้เซ่าเชินต่อหน้าหนูแบบนี้ มันจะดีหรือคะ”


 


 


คุณแม่ลั่วไม่พอใจเมื่อเห็นว่าถังโจวโจวพูดออกมาได้น่าเกลียดมาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนถังโจวโจว “ถังโจวโจว เธอมันคนหน้าด้าน เมื่อเทียบกับชิงซีแล้ว เธอไม่เคยทำอะไรเพื่ออาเชินได้เลย อีกอย่างนะ ฉันไม่เคยเห็นด้วยเลยสักวันที่เธอเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลลั่ว!”


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าคุณแม่ลั่วช่างเป็นคนที่น่าขำจริงๆ เธอหันไปมองลั่วเซ่าเชิน นี่คือแม่ของเขา เขาควรจะเป็นคนพูดเอง


 


 


ตอนแรกที่ถังโจวโจวแต่งเข้ามา ลั่วเซ่าเชินก็เป็นฝ่ายขอ ในทีแรกเธอไม่ได้เต็มใจมากนัก แต่หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินกึ่งบังคับขู่เข็ญเธอ เธอจึงยอมตกลง และต่อมาเมื่อเธอได้รู้ว่าคุณแม่ลั่วไม่ชอบเธอ แต่เธอก็ยังเชื่อว่าตราบใดที่เธอมีความพยายาม คุณแม่ลั่วก็คงจะยอมรับเธอได้ในสักวัน


 


 


แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ไม่ว่าเธอจะพยายามสักเท่าไร ทุ่มเทพลังงานและเวลาไปมากแค่ไหน คุณแม่ลั่วก็ไม่ยอมใจอ่อนให้เธอเลยอยู่ดี ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ เธอก็เหนื่อยจะพยายามแล้ว นี่เธอแค่ได้ตำแหน่งลูกสะใภ้ของตระกูลลั่วมา จำเป็นต้องต่อว่าเธอถึงขนาดนี้เลยเหรอ


 


 


“แม่ครับ ผมเคยบอกแม่ไปแล้วว่าผมจะไม่เลิกกับโจวโจว ส่วนคุณเมิ่ง วันหลังกรุณาอย่ามาที่บ้านของผมอีก ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ!” ลั่วเซ่าเชินปรายตามองไปที่เมิ่งชิงซี เธอเป็นคนก่อเรื่องทุกครั้ง แล้วคุณแม่ลั่วก็มักจะเชื่อคำพูดของเธอ เป็นเหตุให้คุณแม่รังเกียจถังโจวโจวมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


คุณแม่ลั่วลุกขึ้นตวาดทันที “อาเชิน! ลูกพูดอะไรน่ะ ชิงซีเป็นห่วงลูกนะ นี่ลูกมองไม่เห็นความหวังดีของเธอได้ยังไง” คุณแม่ลั่วผิดหวังในตัวลั่วเซ่าเชินมาก ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำตำหนิของคุณแม่ลั่วเลย


 


 


เขายังคงหันไปพูดกับเมิ่งชิงซีอย่างดุดันว่า “คุณเมิ่ง ผมเชื่อว่าคุณก็น่าจะมีความละอายใจอยู่บ้าง ในเมื่อการหมั้นหมายของเรามันจบไปตั้งนานแล้ว ผมก็หวังว่าคุณจะไม่มารบกวนชีวิตของผมและโจวโจวอีก เพราะว่าพวกเรารู้สึกรำคาญมาก”


 


 


ลั่วเซ่าเชินพูดอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ แต่เมิ่งชิงซีก็ยังไม่ยอม “ฉันทำผิดตรงไหนคะ เซ่าเชิน เราสองคนหมั้นหมายกันมาก่อน แต่เธอกลับมาแย่งคุณไปจากฉัน ฉันไม่เคยลืมคุณได้เลยนะคะ!” เมิ่งชิงซีรีบเดินเข้าไปหาลั่วเซ่าเชินแล้วจับมือของเขาเอาไว้


 


 


ลั่วเซ่าเชินสะบัดมือเธอทิ้งในทันที “เมิ่งชิงซี นี่คุณไร้ยางอายขนาดนี้เลยเหรอ!”


 


 


เมิ่งชิงซีถูกลั่วเซ่าเชินผลักไปอีกด้าน ร่างของเธอล้มลงไปบนพื้น เธอยันมือกับพื้นไว้และยิ้มอย่างเลื่อนลอย ลั่วเซ่าเชินพูดกับเธอแบบนี้ได้อย่างไร แล้วสิ่งที่เธอสู้อุตส่าห์ทำมาทั้งหมด เธอทำเพื่ออะไรกันล่ะ?


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นลั่วเซ่าเชินลงไม้ลงมือกับเมิ่งชิงซี เธอก็รีบเข้าไปพยุงเมิ่งชิงซี ก่อนจะหันมาตะคอกใส่ลั่วเซ่าเชินว่า “เซ่าเชิน! นี่ลูกทำอะไรลงไป ชิงซีไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ลูกผลักเธอทำไม ถังโจวโจวนี่ดีเลิศถึงขนาดให้ลูกกล้าทำอย่างนี้เลยเหรอ!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไป แต่เขาผลักเธอไปแล้ว และเมื่อเห็นว่าเมิ่งชิงซีไม่ได้บาดเจ็บอะไร สายตาของลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้ทอดมองไปที่เธออีก เขาหันหน้ากลับมาหาถังโจวโจว


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่แม้แต่จะถามด้วยความห่วงใย ซ้ำยังเอาแต่มองไปที่ถังโจวโจว ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหว หัวใจของเธอราวกับกำลังถูกเผาไหม้ “ลั่วเซ่าเชิน! นี่ลูกเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม?”


 


 


“แม่อย่าเพิ่งชวนทะเลาะได้ไหมครับ” ลั่วเซ่าเชินรู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ ทำไมคุณแม่ถึงจะต้องมาตามรังควานถังโจวโจวไม่เลิก


 


 


“แม่น่ะเหรอที่ชวนทะเลาะ ลูกต่างหากที่ไม่ฟังแม่ รั้นแต่จะอยู่กับผู้หญิงคนนี้ แล้วตอนนี้ยังมีหน้ามาโทษแม่อีก!” ตอนนี้คุณแม่ลั่วยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นแล้วก็เป็นห่วงสุขภาพของเธอ “แม่ครับ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน แม่จำไม่ได้หรือว่าแม่ห้ามโมโหมากเกินไป”


 


 


ถังโจวโจวยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ ราวกับคนล่องหน ถ้าลั่วเซ่าเชินไม่ได้กุมมือเธออยู่ เธอก็คงจะคิดว่าตัวเองไร้ตัวตนไปแล้ว


 


 


“ถ้าลูกเป็นห่วงสุขภาพแม่ ลูกก็ต้องเชื่อฟังแม่สิ เลิกกับถังโจวโจวซะ!”


 


 


คุณแม่ลั่วกุมหน้าอก พอทะเลาะกันแบบนี้ หน้าอกของเธอก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา คุณแม่ลั่วรู้ดีว่านี่เป็นคำเตือนจากร่างกายของเธอ เพียงแต่ตอนนี้ทุกอย่างมันยังไม่จบ และลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่ยอมรับปากว่าจะทำตามที่เธอสั่ง ดังนั้นคุณแม่ลั่วจึงได้แต่อดทนไว้ก่อน


 


 


“แม่ครับ ทำไมแม่ต้องทำแบบนี้ด้วย ให้ผมเลิกกับโจวโจวแล้วยังไงต่อครับ จะให้ผมแต่งงานกับเมิ่งชิงซีตามที่แม่บอกน่ะเหรอ” ลั่วเซ่าเชินหัวเราะเย้ยหยัน


 


 


“ก็ต้องแต่งกับชิงซีน่ะสิ! แม่คิดแบบนี้ไม่ถูกหรือไง” คุณแม่ลั่วยืนกรานในความคิดของตัวเอง


 


 


ถังโจวโจวไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว เธอพยายามจะดึงมือของตัวเองออกจากมือของลั่วเซ่าเชิน แต่ลั่วเซ่าเชินกลับกระชับมันไว้แน่น “อยู่เฉยๆ” เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ


 


 


หลังจากที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น มือของถังโจวโจวก็ยอมจำนนอยู่ในมือของลั่วเซ่าเชิน และยอมทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนต่อไป ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะพูดเรื่องไร้สาระกับคุณแม่ลั่วอีกแล้ว


 


 


“แม่ครับ ในเมื่อแม่ยืนกรานแบบนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดกับแม่แล้ว ในเมื่อเราคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็เอาเป็นว่าหลังจากนี้ผมกับโจวโจวก็จะกลับมาให้น้อยลงแล้วกัน พวกผมจะได้ไม่ขวางหูขวางตาแม่อีก และสำหรับเมิ่งชิงซี ต่อให้ผู้หญิงตายหมดทั้งโลก ผมก็จะไม่มีวันแต่งงานกับเธอ!”


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินพูดจบ เขาก็ลากถังโจวโจวเดินออกไป ถังโจวโจวที่ถูกกระชากอย่างไม่ทันตั้งตัวก็เกือบจะล้มหน้าคะมำ แต่ในไม่ช้าเธอก็สามารถทรงตัวได้


 


 


เมิ่งชิงซีนึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะทิ้งคำพูดที่แสนโหดร้ายเช่นนี้ไว้ นี่เธอน่าสมเพชขนาดนั้นเลยหรือ ลั่วเซ่าเชินยอมเป็นโสดไปตลอดชีวิต ดีกว่าที่จะมาแต่งงานกับเธอ?


 


 


เมิ่งชิงซีมองดูผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างกายเขา เธอคิดแค่ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะถังโจวโจว ถ้าไม่มีถังโจวโจวอยู่บนโลกใบนี้ ลั่วเซ่าเชินจะต้องหันมาเห็นความดีงามของเธอแน่นอน!


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วได้ฟังคำพูดของลั่วเซ่าเชิน และมองดูภาพแผ่นหลังของลั่วเซ่าเชินเดินจากไป เธอก็ชี้ไปที่เขา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ภาพตรงหน้าของเธอก็ดับมืด แล้วเธอก็ล้มลงไปบนตัวของเมิ่งชิงซี


 


 


เมิ่งชิงซีคิดไม่ถึงว่าคุณแม่ลั่วจะโกรธจนเป็นลมล้มพับไป เธอรีบประคองคุณแม่ลั่วไว้ เมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเพิ่งจะเดินออกไป เธอก็รีบตะโกนเรียกเขา “เซ่าเชินคะ คุณป้าเป็นลม กลับมาก่อนค่ะ!”


 


 


จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงและตบหน้าคุณแม่ลั่วเบาๆ ก่อนจะกระซิบอย่างร้อนรนว่า “คุณป้าคะ คุณป้า คุณป้าตื่นค่ะ คุณป้าอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะคะ!”


 


 


เสียงของเมิ่งชิงซีกระตุ้นเรียกให้แม่นมจ้าวเดินออกมา และเมื่อเธอเห็นว่าคุณแม่ลั่วฟุบอยู่บนพื้น เธอก็รีบวิ่งเข้าไปถามว่า “คุณนายเป็นอะไรไปคะ”


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าแม่นมจ้าวกำลังตรงเข้ามา เธอก็รีบตะโกนบอกไปว่า “แม่นมจ้าว เซ่าเชินยังไปได้ไม่ไกล แม่นมรีบไปเรียกเขากลับมาก่อนนะคะ”


 


 


“ค่ะๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” แม่นมจ้าวรีบวิ่งออกไปด้านนอก เธอเห็นลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวยังอยู่ในเขตคฤหาสน์จริงๆ แต่พวกเขาขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว และลั่วเซ่าเชินก็สตาร์ตรถแล้วด้วย


 


 


แม่นมจ้าวกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะออกรถไปเสียก่อน เธอจึงรีบตรงเข้าไปทุบหน้าต่างฝั่งคนขับและรีบตะโกนอยู่ข้างนอกรถว่า “คุณชายคะ คุณนายเป็นลมค่ะ คุณชายรีบลงมาก่อน ต้องพาคุณนายไปส่งโรงพยาบาลด่วนเลยค่ะ”


 


 


ทันทีที่ลั่วเซ่าเชินได้ยินดังนั้น เขาก็รีบลงจากรถ แต่พอเขาเดินไปได้สองสามก้าว เขาก็หันกลับไปมองถังโจวโจว “โจวโจว ผมขอโทษนะ แม่ผมไม่สบาย ผมต้องพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลก่อน”


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกงงเมื่อเห็นว่าเขายังมีเวลามาอธิบายให้เธอฟังอยู่อีก “มัวแต่มองฉันอยู่ทำไมคะ แม่คุณไม่สบายอยู่นะ เราจะทิ้งท่านได้ยังไง คุณยังไม่รีบไปอีก!”


 


 


ถังโจวโจวตามเขาลงมาในทันที เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งที่คุณแม่ลั่วพูดกับเธอ เขาก็แอบโล่งใจ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน


 


 


แล้วเขาก็เห็นว่าคุณแม่ลั่วนอนอยู่บนพื้น ตาปิดสนิททั้งสองข้าง ส่วนเมิ่งชิงซีก็นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ สีหน้าดูเป็นกังวลมาก เธอเรียกคุณแม่ลั่วไม่หยุด “คุณป้าคะ คุณป้า คุณป้าตื่นสิคะ!”


 


 


เมิ่งชิงซีได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกลับมาแล้ว เธอก็พูดอย่างดีใจว่า “คุณมาแล้วหรือคะ เซ่าเชิน จู่ๆ คุณป้าก็เป็นลมหมดสติไป คุณรีบเข้ามาดูเร็วค่ะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าสีหน้าของคุณแม่ลั่วซีดเผือด เขาก็กลัวว่าคุณแม่ลั่วจะเป็นอะไรสาหัส เขาจึงผลักเมิ่งชิงซีออกและใช้แรงอุ้มคุณแม่ลั่วขึ้นมา ก่อนจะรีบเดินออกไปข้างนอก


 


 


เมิ่งชิงซีไม่ได้ใส่ใจกิริยาหยาบคายของลั่วเซ่าเชินเมื่อครู่นี้ เธอรีบตามลั่วเซ่าเชินออกไป 

 

 


ตอนที่ 155 บอกความจริง...

 

          ลั่วเซ่าเชินขับรถพาคุณแม่ลั่วไปส่งที่โรงพยาบาล ส่วนคุณพ่อลั่วก็รีบตามมาทันทีที่ได้ข่าว และเมื่อเขาเห็นว่าลั่วเซ่าเชินยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นก็เอ่ยถามทันที “เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ แม่แกถึงเป็นลมได้” คุณพ่อลั่วทราบแค่ว่าคุณแม่ลั่วเป็นลมหมดสติ ด้วยเวลาที่เร่งรัด ทำให้เขาไม่ทันไม่ถามถึงสาเหตุ 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินก้มหน้าสำนึกผิด “พ่อครับ ผมขอโทษ เป็นความผิดของผมเองที่ทำให้แม่โกรธจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้” 


 


 


           คุณพ่อลั่วมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน ก่อนจะตบหน้าเขาดัง เพี้ยะ! เสียงนั้นดังก้องกังวานไปทั่วโถงทางเดินของโรงพยาบาลที่เงียบสงบแห่งนี้ ลั่วเซ่าเชินถูกคุณพ่อลั่วตบจนหน้าสะบัดไปอีกทาง 


 


 


           ในความคิดของคุณพ่อลั่ว เขารู้ว่าลั่วเซ่าเชินย่อมรู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ หลังจากที่เซ่าอวี๋จากไป เขาก็ไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเรื่องของลั่วเซ่าเชินมากนัก แต่คราวนี้ลูกชายทำเกินไปจริงๆ 


 


 


           “เซ่าเชิน ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าแกคิดจะทำอะไร แต่แกต้องจำใส่หัวเอาไว้ แม่คลอดแกออกมา เลี้ยงดูแกจนโตขนาดนี้ แกไม่ควรจะทำให้เธอโมโห แกก็รู้อยู่เต็มอกว่าสุขภาพของแม่แกไม่ค่อยดี ทำไมแกถึงไม่ยอมๆ ไปบ้าง” 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าตัวเองทำผิด เพียงแต่ในสถานการณ์แบบนั้น เขากับคุณแม่ลั่วต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน เขาไม่ได้อยากทะเลาะกับคุณแม่ลั่ว แต่คุณแม่ลั่วก็ยังไม่ยอมถอย ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรตอนนี้เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว หากจะให้มาเท้าความกันยืดยาว เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร 


 


 


           เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินถูกตบ เธอก็ลูบสัมผัสที่แก้มของเขา เธอเห็นรอยฝ่ามือสีแดงที่ประทับอยู่บนนั้น เธอรีบบีบมือเขาไว้แน่นเพื่อเป็นการปลอบโยน 


 


 


           เมิ่งชิงซีทนดูต่อไปไม่ไหว เธอเข้าไปขวางอยู่ตรงหน้าลั่วเซ่าเชินและพูดกับคุณพ่อลั่วว่า “คุณลุงคะ เซ่าเชินไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะถังโจวโจวค่ะ คุณลุงอย่าตีเขาอีกเลยนะคะ!” 


 


 


           เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าท่าทีของคุณพ่อลั่วค่อยๆ สงบลงแล้ว เธอก็หันกลับไปหาลั่วเซ่าเชิน หมายใจว่าลั่วเซ่าเชินจะต้องซาบซึ้งใจกับสิ่งที่เธอทำ แต่นี่เธอหันหลังกลับมาเจออะไร? ถังโจวโจวกำลังกุมมือของลั่วเซ่าเชินอยู่ ทั้งสองคนกำลังถ่ายทอดความรู้สึกที่มีให้แก่กัน โดยที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเธอเลย! 


 


 


“ถังโจวโจวเกี่ยวอะไรด้วย” คุณพ่อลั่วยังไม่รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเมื่อเขาเห็นรอยแดงที่อยู่บนใบหน้าของลั่วเซ่าเชิน เขาก็แอบโทษตัวเองในใจว่าเมื่อครู่นี้เขาบุ่มบ่ามมากเกินไป 


 


 


เมิ่งชิงซีรีบเล่าให้คุณพ่อลั่วฟังว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว และเมื่อคุณพ่อลั่วเข้าใจที่มาที่ไปทั้งหมดแล้ว เขาก็นิ่งไปพักใหญ่ ในขณะที่ถังโจวโจวก็กุมมือของลั่วเซ่าเชินไว้แน่น และไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากที่เห็นว่าคุณพ่อลั่วนิ่งเงียบไป 


 


 


คุณพ่อลั่วปรายตามองถังโจวโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกชายของเขา เขารู้สึกว่าเธอช่างเป็นคนที่ดูเรียบง่ายธรรมดา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะดึงดูดลั่วเซ่าเชินได้มากขนาดนี้ “เซ่าเชิน แล้วแกจะทำยังไงต่อไป” คุณพ่อลั่วเห็นด้วยกับคุณแม่ลั่ว เขาไม่เห็นว่าคุณแม่ลั่วจะทำผิดไปตรงไหน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “พ่อครับ ผมว่าผมพูดชัดเจนที่สุดแล้ว ผมไม่สามารถแยกจากโจวโจวได้ครับ ตอนแรกผมคิดว่าพ่อกับแม่อาจจะลองเปิดใจยอมรับเธอดู แต่ในเมื่อมันไม่ไหวจริงๆ ตอนนี้พวกผมก็ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว ก็คงจะไม่ทำให้พ่อกับแม่รู้สึกขวางหูขวางตาอีก” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดอย่างง่ายๆ เขาไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร ทั้งเรื่องชาติกำเนิดของถังโจวโจวและเรื่องที่เธอเป็นภรรยาของเขา ต่อให้หลังจากนี้จะพิสูจน์ได้ว่าถังโจวโจวเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลถังจริงๆ เรื่องราวมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเลย จนถึงตอนนี้เขาจึงยังไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ลั่วถึงต้องโมโหขนาดนั้น 


 


 


“แกตัดสินใจแล้ว?” น้ำเสียงอันหนักแน่นของคุณพ่อลั่วดังขึ้นอีกครั้ง 


 


 


ลั่วเซ่าเชินสัมผัสได้ถึงความจริงจังของคุณพ่อลั่ว เขารู้ว่าคุณพ่อลั่วตั้งใจถามเขาจริงๆ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ครับพ่อ ผมตัดสินใจแล้ว” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินก็อยากให้ภรรยาของเขาเข้ากับคุณพ่อและคุณแม่ได้เป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่มันเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ท้อใจ ขอเพียงแค่ถังโจวโจวตั้งท้อง คุณแม่ลั่วก็จะหันมาหาเธอเอง และปัญหาตึงเครียดที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวก็จะไม่ถูกพูดถึงอีกต่อไป 


 


 


เมิ่งชิงซีกัดฟันแน่นเมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินมั่นคง ไม่หวั่นไหว “เซ่าเชินคะ ถึงพี่จะยอม โจวโจวอาจจะไม่ยอมก็ได้” 


 


 


ถังโจวโจวที่สงบปากสงบคำมาตลอด แต่เมิ่งชิงซีกลับเอ่ยถึงเธอขึ้นมา เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งชิงซีตรงๆ และตอบเธอกลับไปด้วยรอยยิ้ม “คุณเมิ่งคะ ฉันคิดว่าฉันคงไม่ต้องรบกวนคุณในเรื่องนี้ นี่มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเราค่ะ!” 


 


 


เมิ่งชิงซีเพียงแค่ขบฟันกันแน่น เธอแอบด่าถังโจวโจวอยู่ในใจ แต่น่าเสียดายที่เธอยังคงต้องแสร้งทำเป็นว่าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ถังโจวโจวพูด “ทำไมเธอถึงพูดห่างเหินอย่างนั้นล่ะโจวโจว” 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้สนใจเมิ่งชิงซีที่แสร้งทำเป็นใสซื่ออีก เธอหันกลับไปมองคุณพ่อลั่ว “คุณพ่อคะ แม้ว่าหนูจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อกับคุณแม่ แต่ตอนนี้หนูก็ยังคนของตระกูลถัง ซึ่งมันก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับการแต่งงานระหว่างหนูกับเซ่าเชินนี่คะ?” 


 


 


ถังโจวโจวสงสัยมาตลอดว่า ทำไมคุณพ่อและคุณแม่ลั่วถึงมีปัญหากับเธอมากนัก กับคุณแม่ลั่วเธอยังพอสามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ แต่กับคุณพ่อลั่วเธอไม่เข้าใจเลย เพราะปกติแล้วเธอไม่ค่อยได้คุยกับคุณพ่อลั่วสักเท่าไร และความคิดของคุณพ่อลั่วนั้นก็ยากแท้หยั่งถึง 


 


 


คุณพ่อลั่วเอาแต่มองตรงไปที่ถังโจวโจว และในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นคุณหมอก็เดินออกมา คุณพ่อลั่วผละจากพวกเขาทันที และเดินเข้าไปหาคุณหมอ “คุณหมอครับ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้าง” 


 


 


“ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่วันหลังพวกคุณอย่าทำให้เธอเครียดอีกนะครับ ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าพวกคุณอาจจะไม่ได้โชคดีแบบวันนี้” เมื่อคุณหมอพูดจบ เขาก็ขอให้คนอื่นๆ รออยู่หน้าห้องผ่าตัด 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็เข็นเตียงของคุณแม่ลั่วไปไว้ที่ห้องพักผู้ป่วย คุณพ่อลั่วเดินตามไปติดๆ แต่ถังโจวโจวกลับละล้าละลังอยู่ เธอฉุดมือลั่วเซ่าเชินเอาไว้ ลั่วเซ่าเชินที่ก้าวไปข้างหน้าก็หยุดฝีเท้าลง และเมื่อเขาหันหลังกลับไปมอง เขาก็พบว่าถังโจวโจวกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดมองเขาอยู่ 


 


 


“โจวโจว มีอะไรหรือเปล่า แม่อยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยแล้ว เรารีบไปดูท่านกันเถอะ” 


 


 


ถังโจวโจวย่ำเท้าคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า “เซ่าเชิน ฉันคงไม่เข้าไปหรอกค่ะ เดี๋ยวพอคุณแม่เห็นฉัน ท่านก็จะพานเครียดและป่วยขึ้นมาอีก ฉันว่าฉันกลับไปหาพ่อกับแม่ก่อนดีกว่าค่ะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็คิดเหมือนกันว่าคุณแม่ลั่วไม่ชอบถังโจวโจว จะพากันเดินเข้าไปก็เกรงจะทำให้คุณแม่ลั่วไม่พอใจขึ้นมาอีก เมิ่งชิงซียืนเหยียดยิ้มอยู่ข้างๆ ถังโจวโจวหยิ่งยโสไปแล้วจะได้อะไร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงอาการป่วยของคุณแม่ลั่วก่อนอยู่ดี แม้แต่ห้องพักผู้ป่วยก็ยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไป เมิ่งชิงซีรู้สึกมีความสุขมากจริงๆ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปที่บ้านของคุณพ่อกับคุณแม่ก่อน พอผมเสร็จจากทางนี้แล้ว ผมจะรีบไปรับคุณ” ลั่วเซ่าเชินพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก เพราะเขากลัวว่าถังโจวโจวจะคิดมากไปกว่านี้ 


 


 


ถังโจวโจวพยักหน้า “ค่ะ คุณรีบเข้าไปเถอะ ฉันไปเองได้” เมื่อเห็นว่าเขาหันหลังกลับมามองเป็นครั้งเป็นคราว ถังโจวโจวก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอจริงๆ เธอรู้สึกว่าเป็นแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน 


 


 


เมิ่งชิงซีรอจนลั่วเซ่าเชินเดินจากไปแล้ว จากนั้นเธอก็เดินเชิดหน้าเข้าไปหาถังโจวโจว “ถังโจวโจว ถ้าเธอฉลาดพอก็รีบไสหัวไปให้ไกลจากเซ่าเชินซะ อย่าทำให้ตัวเองดูแย่ไปกว่านี้เลย” 


 


 


เป็นเพราะเมื่อครู่นี้คุณพ่อลั่วยังอยู่ ถังโจวโจวจึงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเมิ่งชิงซีมาก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมเลิกรา แถมยังดูมั่นอกมั่นใจมากขึ้นอีกด้วย “คุณเมิ่งคะ นี่วันๆ คุณไม่ทำงานทำการบ้างหรือคะ ถึงได้มัวแต่มายุ่งเรื่องของครอบครัวของเราขนาดนี้ได้?” 


 


 


คราวนี้เมิ่งชิงซีไม่ยอมถังโจวโจว “ถังโจวโจว เร็วๆ นี้เธออาจจะไม่ใช่คนในครอบครัวของเซ่าเชินอีกแล้วก็ได้ ฉันจะรอดูวันที่เธอถูกขับไล่ออกจากตระกูลลั่ว!” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เมิ่งชิงซีก็ไม่อาจควบคุมท่าทีที่สำรวมมาตลอดของเธอได้อีก เธอได้แต่หวังว่าวันนั้นจะมาถึงในไม่ช้า 


 


 


“คุณเมิ่งคะ แม้ว่าฉันจะถูกคุณพ่อคุณแม่ขับไล่ออกจากตระกูล แต่เซ่าเชินก็ยังจะอยู่กับฉัน ฉันอยากจะแนะนำอะไรคุณสักหน่อยนะ คุณควรจะรีบหาผู้ชายดีๆ สักคนให้ได้ในขณะที่คุณยังสาวยังสวยดีกว่า เพราะต่อให้วันหนึ่งเซ่าเชินจะไม่ต้องการฉัน แต่เขาก็จะไม่มีวันต้องการคุณด้วย คุณว่าที่ฉันพูดมานี่ถูกต้องไหมคะ?” 


 


 


ถังโจวโจวเหยียดยิ้มอย่างมีความสุข โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่าเมิ่งชิงซีโมโหจนพูดไม่ออกเธอก็ยิ่งมีความสุข เธอทนมองสีหน้าที่อาฆาตแค้นของเมิ่งชิงซีอยู่นานมาก 


 


 


เมิ่งชิงซีชี้ไปที่ถังโจวโจวแล้วพูดออกมาว่า “ถังโจวโจว เธอคอยดูเถอะ จะต้องมีสักวันที่ฉันหัวเราะดังกว่าเธอมาก!” เมิ่งชิงซีเชิดหน้ายืดอกและเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยของคุณแม่ลั่ว 


 


 


และเมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเมิ่งชิงซีพ้นไปจากสายตาแล้ว มุมปากของถังโจวโจวที่ยกยิ้มอยู่ก็ค่อยๆ ลดระดับลงอย่างช้าๆ ความจริงแล้วเธอไม่มีความสุขเลย เธอไม่อยากเห็นลั่วเซ่าเชินเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยเพียงคนเดียว ขนาดเมิ่งชิงซียังเข้าไปได้ มีแค่เธอคนเดียวที่ไม่ได้เข้าไป 


 


 


มันทำให้ถังโจวโจวรู้สึกว่า เธอถูกกีดกันจากลั่วเซ่าเชินและเมิ่งชิงซี เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก 


 


 


ถังโจวโจวยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนจะเดินออกไปจากโรงพยาบาล เมื่อคุณแม่ถังได้ยินเสียงออด เธอก็สงสัยว่าใครมาหาเธอ และเมื่อเธอเปิดประตูออกไปดู เธอก็พบว่าเป็นถังโจวโจว 


 


 


“โจวโจว ทำไมอยู่ๆ ลูกถึงมากะทันหันแบบนี้ล่ะ” แม้ว่าคุณแม่ถังจะรู้สึกแปลกใจ แต่เธอก็หลีกให้ถังโจวโจวเข้ามาในบ้านก่อน 


 


 


เมื่อเห็นว่าริมฝีปากของถังโจวโจวซีดเผือด คุณแม่ถังก็กลัวว่าเธอจะหนาว เธอจึงรีบไปยกน้ำร้อนออกมาให้ หลังจากเห็นว่าถังโจวโจวดื่มน้ำแล้ว คุณแม่ถังก็เบาใจ ถังโจวโจวถือแก้วเอาไว้ในมือพลางมองนิ่งไปที่คุณแม่ถัง ความกังวลในแววตาของเธอไม่สามารถหลอกลวงผู้คนได้ 


 


 


“แม่คะ หนูมีเรื่องอยากจะถาม” ถังโจวโจวคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะตัดสินใจถามมันออกมา แม้ว่าเธอจะค่อนข้างแน่ใจ แต่เธอก็ยังอยากได้ยินจากปากของคุณแม่ถัง ราวกับว่าการคาดเดาของเธอจะได้รับการสรุปอย่างสมบูรณ์แบบ 


 


 


“โจวโจว ลูกจะถามเรื่องอะไรน่ะ จริงจังซะขนาดนี้ แม่เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วเนี่ย!” คุณแม่ถังลูบศีรษะของถังโจวโจวพลันรู้สึกอยากทอดถอนใจ แค่เพียงพริบตาเดียวลูกก็โตขนาดนี้แล้ว เมื่อหวนนึกถึงตอนที่เพิ่งมีถังโจวโจว… คุณแม่ถังรีบสลัดความคิดนั้นออกไปทันที และหันไปตั้งใจฟังถังโจวโจว 


 


 


“แม่คะ หนูใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อกับแม่หรือเปล่า” ถังโจวโจววางแก้วน้ำลงบนโต๊ะและกุมมือของคุณแม่ถังไว้แน่น คุณแม่ถังเจ็บที่มือ แต่เธอรู้สึกตกใจมากกว่า 


 


 


“โจวโจว นี่ลูกพูดเรื่องอะไร ทำไมจู่ๆ ลูกถึงถามแบบนี้ขึ้นมา! ลูก…ลูกจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของแม่ได้ยังไง ลูกไปได้ยินข่าวนี้มาจากไหน”  คุณแม่ถังเข้าใจว่าถังโจวโจวไปได้ยินเรื่องไร้สาระมาจากคนอื่น ดังนั้น เธอจึงพยายามขจัดความสงสัยของถังโจวโจวออกไป 


 


 


แต่น่าเสียดายที่พอถังโจวโจวได้ยินคุณแม่ถังพูดอย่างลนลานเช่นนั้น ก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่เมิ่งชิงซีพูดมามันคือความจริง เพราะเวลาที่คุณแม่ถังรู้สึกประหม่า เธอจะพูดมากเป็นพิเศษ บางทีคุณแม่ถังก็อาจจะยังไม่รู้ตัวว่าเธอมีข้อผิดสังเกตตรงนี้ แต่ถังโจวโจวกลับค้นพบมันหลังจากเฝ้าสังเกตมานานหลายปี 


 


 


“แม่คะ หนูรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง หนูแค่อยากได้ยินคำตอบจากปากของแม่ หนูไม่อยากให้คนอื่นเป็นคนมาบอกหนู หนูแค่อยากฟังจากแม่คนเดียว” ถังโจวโจวทอดสายตามองตรงไปที่คุณแม่ถัง คุณแม่ถังหลบตาเธอทันที 


 


 


“โจวโจว แม่ คือว่าแม่…” คุณแม่ถังหมายจะเกลี้ยกล่อมถังโจวโจว แต่ด้วยสายตาที่ถังโจวโจวมองมาก็ทำให้เธอพูดไม่ออก 


 


 


ถังโจวโจวยอบตัวลงและวางศีรษะไว้บนหน้าตักของคุณแม่ถัง แววตาของเธอเหม่อลอยไปไกล “แม่คะ แม่บอกหนูมาเถอะ หนูแค่อยากได้คำตอบ หนูไม่ได้จะทำอะไรเลย” 


 


 


คุณแม่ถังจับปอยผมที่หล่นลงบนหน้าของถังโจวโจว เธอเดาว่าถังโจวโจวน่าจะได้ข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้มา เธอถึงมาถามอย่างกะทันหันแบบนี้  

 

 


ตอนที่ 156 คุณแม่ลั่วเข้าโรงพยาบาล

 

 


 


 


           ใจจริงคุณแม่ถังก็ไม่อยากจะปิดบังถังโจวโจวอีกต่อไป พูดกันตามตรง เธอเองก็เหนื่อยใจมากที่ต้องปกปิดเรื่องนี้กับลูกสาวมานานหลายปี และเธอก็กังวลอยู่ตลอดว่าพ่อแม่แท้ๆ ของถังโจวโจวจะมาตามหาถังโจวโจวหรือไม่ 


 


 


           แม้ว่าตอนนั้นเธอกับคุณพ่อถังจะรับถังโจวโจวมาเลี้ยงอย่างถูกต้องตามขั้นตอน แต่ถ้าพ่อแม่แท้ๆ ของถังโจวโจวมาทวงลูกคืน ใครจะรู้ล่ะว่าถังโจวโจวควรจะต้องอยู่กับใคร! 


 


 


           ณ ตอนนั้น คุณพ่อและคุณแม่ถังเป็นกังวลในเรื่องนี้ พวกเขาจึงย้ายจากเมือง Z มาอยู่ที่เมือง S เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วถังโจวโจวเป็นลูกแท้ๆ ของพวกเขาหรือไม่ ตราบใดที่พวกเขาไม่พูด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าถังโจวโจวจะรู้ความจริงเข้าหลังจากที่ปกปิดกันมานานหลายปี 


 


 


“โจวโจว แม่ไม่รู้นะว่าใครเป็นคนบอกเรื่องนี้กับลูก แต่ลูกต้องเชื่อแม่นะว่าพ่อกับแม่รักลูกจริงๆ เราปฏิบัติกับลูกเหมือนลูกเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเราเอง …ลูกเป็นเด็กที่เรารับเลี้ยงมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าจริงๆ” 


 


 


คุณแม่ถังเล่าให้ถังโจวโจวฟังว่าพวกเขารับเลี้ยงเธอมาได้อย่างไร ทำไมถึงย้ายบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงข่าวลือของคนรอบบ้าน และทำไมถึงเลือกตั้งรกรากกันที่เมือง S 


 


 


หลังจากได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว ถังโจวโจวก็เงียบไปนาน คุณแม่ถังนึกว่าเธอไม่สบายใจ จึงไม่ได้พูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ลึกๆ แล้วหลังจากที่คุณแม่ถังเล่ามันออกมา ก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก คุณแม่ถังรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก 


 


 


บางครั้งคุณแม่ถังก็มักจะฝันว่าพ่อแม่แท้ๆ ของถังโจวโจวมาหาเธอ จากนั้นพวกเขาก็พาตัวลูกสาวกลับไป แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เธอก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างในฝันเลย คุณแม่ถังจึงค่อยๆ วางความหนักอึ้งในหัวใจลง แต่เธอนึกไม่ถึงเลยว่าท้ายที่สุดแล้วถังโจวโจวกลับได้รู้ความจริงในเรื่องนี้จนได้ 


 


 


แม้ว่าคุณแม่ถังจะเป็นกังวล เพราะไม่รู้ว่าถังโจวโจวคิดอะไรอยู่ในใจ แต่เธอก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าความรู้สึกที่พวกเขามีต่อโจวโจวในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ มันไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่า โจวโจวจะไม่ทิ้งพวกเขาไปไหน 


 


 


“แม่คะ แม่ยังต้องการหนูอยู่ไหม” ถังโจวโจวเงยหน้ามองคุณแม่ถัง ที่หางตาของเธอมีน้ำตาคลอ 


 


 


เดิมทีเธอคิดว่าเธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อคุณแม่ถังอุปการะเธอมา ตอนนี้เธอก็อาจจะเติบโตอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า จากนั้นเธอก็ต้องหางานทำตามที่ได้ร่ำเรียนมาเพื่อเลี้ยงดูตัวเอง แต่มันก็คงไม่สบายเหมือนกับตอนนี้ 


 


 


คุณแม่ถังตีที่หน้าผากของถังโจวโจวเพื่อเตือนสติ “เด็กคนนี้นี่ พูดอะไรโง่ๆ พ่อกับแม่จะไม่ต้องการลูกได้ยังไง เราสิที่ต้องเป็นฝ่ายถามลูกว่าลูกยังต้องการพวกเราอยู่ไหม” คุณแม่ถังรู้สึกว่าในเมื่อถังโจวโจวถามคำถามแบบนี้ออกมาได้ เธอก็ไม่ต้องกังวลใจแล้วว่าถังโจวโจวจะจากเธอไปไหน 


 


 


ถังโจวโจวโดนคุณแม่ถังตีเบาๆ เธอลูบหน้าผากตรงที่คุณแม่ถังตีด้วยความสงสัย “แม่คะ แม่ทำอะไรเนี่ย” 


 


 


ถังโจวโจวคิดว่าเธอไม่ผิดที่ถามคำถามนี้ ถ้าอยู่ๆ คุณพ่อและคุณแม่ถังไม่ต้องการเธอแล้ว เธอก็จะกลายเป็นเด็กที่ไร้บ้านอีกครั้ง เรื่องนี้มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเธอ! 


 


 


คุณแม่ถังอยากจะเข้าไปดูในสมองของถังโจวโจวเหลือเกินว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อถังโจวโจวถามคำถามนี้ออกมา มันก็ช่วยทำให้บรรยากาศที่หนักหน่วงเมื่อครู่นี้ผ่อนคลายมากขึ้น 


 


 


คุณแม่ถังดึงถังโจวโจวขึ้นมานั่งข้างๆ ก่อนจะกอดเธอเอาไว้แล้วพูดยืนยันว่า “โจวโจว ตราบใดที่ลูกต้องการ ลูกก็จะเป็นลูกสาวที่พ่อกับแม่รักมากที่สุดตลอดไป” 


 


 


ถังโจวโจวมุดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคุณแม่ถัง ดวงตาของเธอค่อยๆ เปียกชื้น เธอพูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า “แม่คะ หนูไม่อยากแยกจากพ่อกับแม่นะ หนูอยากอยู่กับพ่อกับแม่ตลอดไป” 


 


 


“ใครจะปล่อยให้ลูกไปไหนได้ล่ะ ลูกอยู่เป็นลูกสาวของพ่อกับแม่แบบนี้แหละดีแล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งพ่อกับแม่แท้ๆ ของลูกมาตามหาลูก ลูกก็ไม่ต้องไปกีดกันพวกเขานะ ในตอนนั้นพวกเขาอาจจะมีปัญหาของตัวเองอยู่ก็เป็นได้” 


 


 


เมื่อพูดไปพูดมา คุณแม่ถังก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ทำให้บรรยากาศที่มันผ่อนคลายลงแล้ว กลับหนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง เธอจึงหยุดพูดในทันที 


 


 


ตอนนี้ถังโจวโจวไม่อยากรู้ว่าใครคือพ่อและแม่แท้ๆ ของเธอ ถังโจวโจวกลัวว่ามันจะไม่ใช่ข่าวดี เพราะคุณพ่อคุณแม่ถังบอกว่าพวกเขารับเธอมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เดาได้ว่าพ่อแม่ของเธออาจจะไม่อยู่แล้ว 


 


 


 


 


 


ลั่วเซ่าเชิน คุณพ่อลั่ว และเมิ่งชิงซีรอให้คุณแม่ลั่วฟื้นอยู่ในห้องพักผู้ป่วย เมิ่งชิงซีเห็นว่าจะรออยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง “คุณลุงลั่ว เซ่าเชิน ฉันจะออกไปซื้ออะไรมาให้ทาน คุณลุงกับเซ่าเชินอยากทานอะไรคะ” 


 


 


คุณพ่อลั่วไม่รู้สึกอยากอาหารในเวลานี้ แต่เมิ่งชิงซีอุตส่าห์ตามมาดูแล คุณพ่อลั่วจึงไม่อยากจะเสียมารยาทกับเธอ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ส่ายหน้า “ชิงซี ตอนนี้ลุงยังไม่หิวเลย ถ้าหนูหิว หนูก็ลงไปหาอะไรทานกับเซ่าเชินก่อนเถอะ” 


 


 


เมิ่งชิงซีมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน แววตาของเธอนั้นมีแต่ความคาดหวัง เธอตั้งตารอลั่วเซ่าเชิน แต่น่าเสียดายที่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ตอบรับตามความต้องการของเธอ “ผมไม่หิวครับคุณเมิ่ง ถ้าคุณหิว คุณก็ไปเถอะครับ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเอนหลังพิงกำแพงพลางคิดว่าถังโจวโจวกำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อมองตรงไปที่คุณแม่ลั่วที่นอนอยู่บนเตียง ลั่วเซ่าเชินก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ใจที่ว่า ถ้าวันหลังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เขาควรจะทำอย่างไร 


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้สนใจเธอ เธอก็เดินออกไปนอกห้องเพียงคนเดียว จิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นพยายามของเธอถูกลั่วเซ่าเชินทำร้ายจนเกือบจะไม่เหลือชิ้นดี 


 


 


คุณพ่อลั่วนั่งอยู่ที่หน้าเตียงของคุณแม่ลั่ว สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของคุณแม่ลั่ว หากว่าคุณแม่ลั่วมีอาการอะไร เขาก็จะได้สังเกตเห็นในทันที และเมื่อเขาได้สัมผัสมือที่เย็นชืดของคุณแม่ลั่ว เขาก็ยิ่งโมโหกับสิ่งที่ลั่วเซ่าเชินทำ แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากพูดอะไร ค่อยคุยกันทีเดียวหลังจากที่คุณแม่ลั่วฟื้นขึ้นมาแล้ว 


 


 


เปลือกตาของคุณแม่ลั่วขยับเล็กน้อย และเมื่อคุณพ่อลั่วสังเกตเห็น เขาก็รีบขยับเข้าไปใกล้คุณแม่ลั่ว และเรียกชื่อเธอในทันที “อวี้ฮุ่ย คุณฟื้นแล้วเหรอ อวี้ฮุ่ย…” 


 


 


คุณแม่ลั่วรู้สึกแค่ว่ามีใครบางคนกำลังเรียกเธออยู่ที่ข้างหู เธอพยายามจะลืมตาอันหนักอึ้งของเธอขึ้นมา แต่เธอกลับไม่มีแรง คุณแม่ลั่วรู้สึกร้อนใจ แต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ลั่วก็สามารถหลุดออกมาจากความมืด เธอกะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะพบใบหน้าของคุณพ่อลั่วที่อยู่ตรงหน้าเธอ 


 


 


“คุณ…” เสียงของคุณแม่ลั่วแหบแห้ง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วฟื้นแล้ว เขาก็รีบส่งแก้วน้ำให้คุณพ่อลั่ว คุณพ่อลั่วรับมา ก่อนจะประคองคุณแม่ลั่วลุกขึ้นนั่ง และค่อยๆ ป้อนน้ำให้เธอดื่ม 


 


 


หลังจากดื่มน้ำไปได้หนึ่งแก้ว คุณแม่ลั่วก็รู้สึกว่าลำคอที่แห้งผากของเธอดีขึ้นมาก “เหวินอวี๋ ฉันอยู่ที่ไหนคะ” 


 


 


คุณแม่ลั่วจำได้แค่ว่าเธอทะเลาะกับลั่วเซ่าเชิน จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็พาถังโจวโจวกลับไป ต่อมาเธอก็รู้สึกแน่นที่หน้าอก จากนั้นก็ดูเหมือนว่า…เธอจะหมดสติไป เรื่องราวต่อจากนั้น คุณแม่ลั่วก็จำอะไรไม่ได้แล้ว 


 


 


“คุณเป็นลม อวี้ฮุ่ย สุขภาพคุณยังไม่ค่อยดี อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนั้นเลย” คุณพ่อลั่วรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าคุณแม่ลั่วเอาร่างกายของตัวเองมาล้อเล่น 


 


 


แน่นอนว่าคุณแม่ลั่วก็รู้ว่าต้องรักษาสุขภาพตัวเอง แต่ตอนนั้นเธอโมโหมากเหลือเกิน และเมื่อเธอหันหน้าไปมอง เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินยืนอยู่ตรงหน้าเตียงของเธอ แววตาที่เจือปนไปด้วยความห่วงใยทำให้คุณแม่ลั่วรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


อย่างไรก็ตาม คุณแม่ลั่วก็ยังโกรธเขาอยู่ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ เธอเห็นว่าเขาเอาแต่ช่วยคนนอก โดยที่ไม่นึกถึงความรู้สึกของเธอเลย คุณแม่ลั่วเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากเห็นหน้าลั่วเซ่าเชิน 


 


 


“แม่ครับ เป็นยังไงบ้างครับ” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วมองเห็นเขาแล้ว แต่เธอกลับไม่ยอมพูดกับเขา เขาจึงถามด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น 


 


 


“ยังไม่ตาย!” พูดไปพูดมา คุณแม่ลั่วก็เริ่มมีน้ำโห 


 


 


คุณพ่อลั่วลูบหน้าอกของเธอ เพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์ “เอาละๆ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ดูแลสุขภาพให้ดีก่อน” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยืนอยู่เงียบๆ และเมื่อคุณแม่ลั่วสงบลง จากนั้นเขาจึงเริ่มพูดว่า “แม่ครับ แม่มีอคติกับโจวโจวมากเกินไป ตอนนี้แม่ยังไม่หายดี และผมเองก็ไม่อยากทะเลาะกับแม่ แม่รักษาสุขภาพนะครับ ส่วนเรื่องของอนาคต เราค่อยคุยกันทีหลัง” 


 


 


“แม่มีอคติกับเธอตรงไหน…” 


 


 


“พอๆๆ หยุดพูดได้แล้ว! คุณหยุดเลย ไม่รักตัวเองแล้วหรือไง?!” เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าคุณพ่อลั่วเริ่มโมโหบ้างแล้ว เธอก็เงียบปากลงในที่สุด แต่เธอก็ยังคงไม่พอใจ เธอคิดแค่ว่าวันหน้าเธอจะต้องหาทางสั่งสอนถังโจวโจวให้ได้ ให้ผู้หญิงคนนั้นได้รู้จักความร้ายกาจของเธอเสียบ้าง! 


 


 


“เซ่าเชิน แกไม่ต้องเถียงกับแม่แกแล้ว ตอนนี้เธอยังไม่หายดี แต่ถ้าแกไม่อยากให้เธอหายดี แกก็พูดต่อไปเถอะ!” 


 


 


บรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากที่คุณพ่อลั่วปรับระดับความสูงของเตียงเสร็จแล้ว เขาก็เอาหมอนหนุนไว้ที่หลังของคุณแม่ลั่วสองใบ 


 


 


เมิ่งชิงซีเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามาพร้อมกับโจ๊กอีกสามถุง และเมื่อเธอเห็นว่าคุณแม่ลั่วฟื้นแล้ว เธอก็เดินเข้าไปหาอย่างดีอกดีใจ “คุณป้าฟื้นแล้ว! หนูซื้อโจ๊กมาด้วย คุณป้าคุณลุง เซ่าเชิน ทานกันสักหน่อยนะคะ” 


 


 


เมิ่งชิงซีวางถุงลงบนโต๊ะ ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมิ่งชิงซีอีกต่อไป “แม่ครับ ในเมื่อแม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ผมก็ขอตัวก่อนนะครับ” 


 


 


“เซ่าเชิน คุณจะไปไหนคะ เอ่อ…ฉันหมายถึงว่าคุณทานอะไรสักหน่อยก่อนไปสิคะ” เมิ่งชิงซีตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของเธอไม่ค่อยไพเราะนัก ดังนั้นเธอจึงรีบแก้คำของตัวเองในทันที 


 


 


“โจวโจวกำลังรอให้ผมไปรับ คุณเก็บไว้กินเองเถอะ พ่อครับ แม่ครับ ผมไปก่อนนะครับ” ลั่วเซ่าเชินหมุนตัวเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วยในทันทีที่พูดจบ และเมื่อเห็นว่าเขาไม่หันหลังกลับมามองเลยสักนิด คุณแม่ลั่วก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีก 


 


 


เมิ่งชิงซีรู้สึกหงุดหงิดใจ แต่เธอก็กลัวว่าคุณพ่อคุณแม่ลั่วจะเห็นเข้า เธอจึงทำได้แค่ก้มหน้าต่ำ คุณแม่ลั่วนึกว่าเมิ่งชิงซีเสียใจ เธอจึงรีบเอ่ยปลอบใจว่า “ชิงซี อย่าไปสนใจเขาเลยนะลูก เขาจะไปหาผู้หญิงสารเลวคนนั้นก็ช่าง เรามากินข้าวด้วยกันเถอะ!” 


 


 


มุมปากของเมิ่งชิงซีที่ตกลงรีบยกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินคุณแม่ลั่วพูดเช่นนั้น “ค่ะ คุณป้า เรามาทานข้าวกันเถอะค่ะ เซ่าเชินไม่อยากทาน ก็ถือว่าเขาไม่มีบุญ แต่คุณป้าต้องทานเยอะๆ นะคะ จะได้หายไวๆ” 


 


 


คุณแม่ลั่วกุมมือของเมิ่งชิงซี พลางมองดูท่าทางที่ไร้เดียงสานั้น ตัวเองเสียใจอยู่แท้ๆ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเป็นห่วงเธอ เธอยิ่งรู้สึกพอใจในตัวของเมิ่งชิงซีมากขึ้นไปอีก คุณแม่ลั่วแอบสาบานอยู่ในใจ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เธอจะต้องไล่ถังโจวโจวออกไปให้ได้ แล้วเธอเอาชิงซีเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของเธอ 


 


 


คุณพ่อลั่วหยิบโจ๊กออกมา เขาตักมันขึ้นมาหนึ่งช้อนและยื่นไปที่ปากของคุณแม่ลั่ว คุณแม่ลั่วเปิดปากออกเล็กน้อย และโจ๊กก็ถูกส่งเข้าไปในปาก คุณพ่อลั่วทำแบบนี้ซ้ำๆ 


 


 


เมิ่งชิงซีพูดอย่างชื่นชมว่า “คุณป้าคะ คุณลุงดีกับคุณป้าจังเลยค่ะ ถ้าเซ่าเชินดีกับหนูเหมือนกับที่คุณลุงดีกับคุณป้าได้สักครึ่งหนึ่ง หนูก็พอใจแล้วค่ะ” เมิ่งชิงซีรีบปิดปากในทันทีที่พูดจบ “คุณป้าคะ เมื่อครู่นี้หนูพูดผิดไป คุณป้าอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลยนะคะ คิดซะว่าหนูไม่ได้พูดก็แล้วกัน” 


 


 


คุณแม่ลั่วได้ยินในสิ่งที่เมิ่งชิงซีพูดเต็มสองรูหู มันจะไม่เคยเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อได้ยินเมิ่งชิงซีพูดว่าคุณพ่อลั่วดีกับเธอ ใบหูของเธอก็ค่อยๆ แดงขึ้น เธอรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก แต่คุณแม่ลั่วก็ยังรู้สึกพอใจมากกว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ ก็คือการที่เธอได้พบกับเหวินอวี๋ 


 


 


คุณแม่ลั่วนึกถึงการกระทำของเธอเมื่อสมัยยังสาว พ่อกับแม่ไม่อยากให้เธออยู่ด้วยกันกับเหวินอวี๋ แต่เธอค้านหัวชนฝา แม้ว่าพ่อกับแม่จะไล่เธอออกจากบ้าน เธอก็ไม่เสียใจ และแม้ว่าหลังจากนั้นพ่อกับแม่จะเห็นด้วยอย่างจนใจ แต่คุณแม่ลั่วก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ผิดเลยสักนิดกับพฤติกรรมที่เธอเคยได้ทำลงไปในตอนแรก 


 


 


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คุณแม่ลั่วก็เชื่อแล้วว่า การตัดสินใจของเธอในครั้งนั้นไม่ได้ผิดพลาด คุณพ่อลั่วดีกับเธออย่างที่สุด เธอรู้ดีกว่าใคร คุณแม่ลั่วรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมาก ยกเว้นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของเธอทั้งสองคน 


 


 


หลังจากที่คุณพ่อลั่วป้อนโจ๊กหมดแล้ว เขาก็เช็ดมุมปากให้คุณแม่ลั่ว “อิ่มแล้วใช่ไหม” 


 


 


“อิ่มแล้วค่ะ”  

 

 


ตอนที่ 157 ความสงสัย

 

      เมิ่งชิงซีเห็นว่าคุณแม่ลั่วมีคุณพ่อลั่วคอยดูแลอยู่แล้ว หากเธอยังอยู่ที่นี่ต่อไปก็จะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของคุณแม่ลั่วเสียเปล่าๆ อีกอย่างลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ซึ่งนั่นทำให้เมิ่งชิงซีรู้สึกว่าเธอไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ 


 


 


           เมิ่งชิงซีกลับมาถึงบ้านในตอนบ่าย เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน ฉินอวิ๋นก็มองมาที่เธอก่อนแล้ว เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นฉินอวิ๋น เธอก็ยังรู้สึกโกรธอยู่ ซ้ำร้ายข่าวที่เธอไปเผยแพร่มาในวันนี้ มันกลับทำอะไรถังโจวโจวไม่ได้ เมิ่งชิงซีรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก 


 


 


           ฉินอวิ๋นรู้สึกเสียใจที่ลูกสาวไม่พูดอะไรกับเธอเลยสักคำ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ลูกคนนี้ ผู้ชายแค่คนเดียว จะอะไรกันนักกันหนา? 


 


 


           ฉินอวิ๋นถามตัวเอง เธอมักจะคิดถึงเมิ่งชิงซีก่อนทุกครั้ง ใส่ใจเมิ่งชิงซีในทุกๆ เรื่อง แต่เมิ่งชิงซีล่ะ แค่เธอปิดบังไม่ยอมบอกเรื่องของถังโจวโจวแค่นี้ กลับอาจหาญถึงขั้นมีปากมีเสียงด้วย แล้วตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเป็นฝ่ายทักทายเธอก่อนอีก 


 


 


           ทันใดนั้นฉินอวิ๋นก็รู้สึกว่าเธอจะพยายามทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร เธอจะทำไปเพื่อใครกัน 


 


 


แต่ฉินอวิ๋นก็ยังไม่อยากจะตำหนิเมิ่งชิงซี เมื่อเธอเห็นว่าเมิ่งชิงซีจะเดินขึ้นไปชั้นบน เธอก็รีบเรียกไว้ก่อน “ชิงซี ลูกยังโกรธแม่อยู่หรือเปล่า” 


 


 


เมิ่งชิงซีหยุดเดินแต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา ฉินอวิ๋นลุกขึ้นและเดินเข้าไปประชิดที่ด้านหลังของเมิ่งชิงซี เธอเอ่ยซ้ำอีกครั้งว่า “ชิงซี แม่หวังดีกับลูกนะ แล้ววันหนึ่งลูกจะรู้เอง” 


 


 


“แม่เอาแต่บอกว่าแม่หวังดีกับหนู แต่หนูไม่เคยเห็นมันเลย หนูแค่อยากเห็นผลของมันในตอนนี้ หนูไม่อยากรอแล้ว” เมิ่งชิงซีวิ่งขึ้นบันไดไปเสียงดัง ตึงๆๆ ส่วนฉินอวิ๋นก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของเธอไปพลางถอนหายใจ 


 


 


หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล ลั่วเซ่าเชินก็ตรงไปที่บ้านของตระกูลถังในทันที เมื่อเขามาถึง ถังโจวโจวกับคุณแม่ถังก็กำลังพูดคุยกันอยู่ บรรยากาศการพูดคุยของพวกเธอสองคนไม่มีอะไรผิดปกติ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดว่าแม่ลูกคู่นี้น่าจะคุยกันเรียบร้อยแล้ว แบบนี้เขาก็สบายใจขึ้น หลังจากกินมื้อกลางวันที่บ้านตระกูลถังแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ไปทำงาน ส่วนถังโจวโจวก็ยังอยู่ที่บ้านของตระกูลถังต่อ 


 


 


คุณพ่อถังได้ยินมาว่าถังโจวโจวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว และเมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาพวกเขาจะกังวลมากเกินไป 


 


 


หลังจากที่ถังโจวโจวใช้เวลาตลอดบ่ายที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ถัง ลั่วเซ่าเชินก็พาลั่วอิงมากินมื้อเย็นด้วยกัน ก่อนจะกลับไปที่บ้านหลังเล็กของพวกเขา 


 


 


ปกติเมิ่งชิงซีจะลงมาจากชั้นบนเมื่อถึงเวลาอาหาร ฉินอวิ๋นได้สั่งให้แม่บ้านหวังเตรียมของโปรดของเมิ่งชิงซีไว้แล้ว เมื่อเมิ่งไหวเซินกลับมา พวกเขาก็จะได้กินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพอดี 


 


 


แต่เมื่อเมิ่งไหวเซินกลับมาแล้ว เมิ่งชิงซีก็ยังไม่ลงมาจากชั้นบน เมิ่งไหวเซินมองไปยังตำแหน่งที่ว่างเปล่า “อวิ๋นเอ๋อร์ ชิงซีล่ะ ลูกไม่อยู่บ้านเหรอ” 


 


 


“อ๋อ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปเรียกเธอลงมาทานข้าวเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” ฉินอวิ๋นลุกขึ้นในทันที และเดินขึ้นไปชั้นบน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เดินมาหยุดที่หน้าห้องของเมิ่งชิงซี ก่อนจะเคาะประตูเรียก “ชิงซี ลงไปกินข้าวได้แล้ว คุณพ่อรออยู่ข้างล่างแล้วนะ” 


 


 


ไม่มีเสียงตอบออกมาจากในห้อง แต่ฉินอวิ๋นรู้ว่าเมิ่งชิงซีอยู่ข้างใน แต่เธอแค่ไม่อยากจะตอบก็เท่านั้น ฉินอวิ๋นพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ชิงซี แม่รู้ว่าลูกยังโกรธอยู่ แต่ลูกต้องเชื่อแม่นะว่าสิ่งที่แม่ทำลงไปทั้งหมดนั่นก็เพื่อลูก ลูกออกมากินข้าวก่อนเถอะ” 


 


 


ถึงกระนั้นก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับอยู่ดี ฉินอวิ๋นลองบิดลูกบิดดู แต่มันก็เปิดไม่ออก เธอจึงเคาะประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย “ชิงซี ลูกอยู่หรือเปล่า เปิดประตูให้แม่หน่อย” 


 


 


ท่ามกลางแรงกระหน่ำเคาะประตูของฉินอวิ๋น ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออก เมิ่งชิงซีที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและอยู่ในชุดลำลอง มองดูฉินอวิ๋นด้วยสายตารำคาญใจ “หนูไม่อยากกินข้าว ไม่ต้องมาเรียกหนูได้ไหม” 


 


 


เมิ่งชิงซีหมายจะปิดประตูในทันทีที่พูดจบ แต่ฉินอวิ๋นรีบจับบานประตูเอาไว้ เมิ่งชิงซีมองฉินอวิ๋นอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้ง 


 


 


“แม่มีอะไรอีกหรือคะ” 


 


 


ฉินอวิ๋นเห็นว่าลูกสาวของเธอทำตัวห่างเหินกับเธอมาก ราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า ราวกับว่าเธอไม่ใช่แม่ของเธอ “ชิงซี ลูกจะโกรธแม่ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้คุณพ่อกำลังรอกินข้าวอยู่ข้างล่าง ลูกคงจะไม่อยากทำให้คุณพ่อรอเก้อใช่ไหม” 


 


 


เมิ่งชิงซีฉุกคิด “หนูขอไปเปลี่ยนชุดก่อนค่ะ เดี๋ยวตามลงไป” 


 


 


ฉินอวิ๋นรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเมิ่งชิงซีพูดแบบนั้น “โอเคจ้ะ เดี๋ยวแม่ลงไปก่อน ลูกก็รีบตามลงมานะ พ่อกับแม่รออยู่” 


 


 


ฉินอวิ๋นลงมาชั้นล่าง เมิ่งไหวเซินเห็นเธอลงมาคนเดียว ที่ด้านหลังของเธอไม่มีเมิ่งชิงซี “ชิงซีเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” 


 


 


“เปล่าค่ะ ดูเหมือนลูกจะเพิ่งตื่น เดี๋ยวพอลูกเปลี่ยนชุดเสร็จ ลูกก็ลงมาแล้วค่ะ” ฉินอวิ๋นไม่อยากให้เมิ่งไหวเซินรู้ว่าเมิ่งชิงซีทะเลาะกับเธออยู่ในตอนนี้ และที่สำคัญกว่านั้น เธอไม่อยากให้เมิ่งไหวเซินรู้ภูมิหลังของถังโจวโจว เธอกลัวว่าเขาจะคิดไปถึงเรื่องอื่น 


 


 


หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเมิ่งชิงซีก็ลงมา เมิ่งไหวเซินไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเธอสองคนนั้นแตกต่างไปจากปกติ “มาแล้วเหรอ ชิงซี มาทานข้าวเร็วลูก” 


 


 


เมิ่งชิงซีนั่งลงข้างๆ เมิ่งไหวเซิน “หนูปล่อยให้พ่อรอนานเลย” หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่ได้พูดอะไรกับฉินอวิ๋นต่อ  ฉินอวิ๋นกลัวว่าเมิ่งไหวเซินจะพบความผิดปกติ “ชิงซี ทานข้าวเถอะลูก” 


 


 


เมิ่งไหวเซินมองดูเมิ่งชิงซีด้วยรอยยิ้ม “ชิงซี วันนี้ลูกไปไหนมา ทำไมพ่อถึงรู้สึกว่าลูกอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย” 


 


 


เมิ่งชิงซีมองไปที่ฉินอวิ๋น แล้วเธอก็พบว่าแม่ของเธอกำลังมองมาที่เธออย่างตึงเครียด จู่ๆ เธอก็มีความคิดร้ายกาจผุดขึ้นมาในสมอง ถ้าเธอเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟัง คุณแม่จะเป็นอย่างไรนะ? 


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น เมิ่งชิงซีไม่สามารถยับยั้งความคิดของเธอไว้ได้ เธอพูดออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา “วันนี้หนูไปเยี่ยมคุณป้าลั่วมาค่ะ จากนั้นหนูก็อยู่ที่บ้านตลอดเลย” 


 


 


เมิ่งชิงซีใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวที่อยู่ในชาม พลางสังเกตปฏิกิริยาของเมิ่งไหวเซินอยู่เงียบๆ ขณะที่ฉินอวิ๋นก็เผลอกุมมือแน่นเมื่อได้ยินสิ่งที่เมิ่งชิงซีพูด 


 


 


เมิ่งไหวเซินถามต่อ “แล้วช่วงนี้คุณป้าลั่วเป็นยังไงบ้างล่ะ” เมิ่งไหวเซินแค่อยากหาเรื่องคุยกับเมิ่งชิงซีเท่านั้น เขาไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด ส่วนเมิ่งชิงซีเมื่อเห็นว่าเมิ่งไหวเซินถามต่อ เธอก็ลื่นไหลไปตามน้ำ 


 


 


“พอคุณป้าลั่วทราบข่าวว่าถังโจวโจวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลถัง คุณป้าก็ทะเลาะกับเซ่าเชินใหญ่โตจนล้มป่วยไปเลย ตอนนี้เธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ” เมิ่งชิงซีเพียงแค่อธิบายอย่างง่ายๆ แต่ฉินอวิ๋นกลับโกรธมาก 


 


 


“ชิงซี ลูกกำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่” 


 


 


“หนูพูดเหลวไหลที่ไหนกัน เรื่องจริงทั้งนั้นค่ะ” เมิ่งชิงซีชักสีหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ 


 


 


เมิ่งไหวเซินรีบถามในทันทีที่ได้ยินว่าพานอวี้ฮุ่ยป่วย “คุณป้าลั่วป่วยอีกแล้วเหรอ ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่คงจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมบ้างแล้วล่ะ” 


 


 


เมิ่งไหวเซินขบคิดอยู่เงียบๆ ถังโจวโจวนี่ใช่เด็กผู้หญิงที่เขามักจะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาทุกครั้งที่เจอหรือเปล่า เธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลถัง? แล้วเธอเป็นลูกของใคร จู่ๆ เมิ่งไหวเซินก็เกิดความคิดที่เหลวไหล เขารีบลบความคิดนั้นออกไปจากสมองโดยเร็ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้! 


 


 


“ถังโจวโจวนี่…ใช่ภรรยาของเซ่าเชินหรือเปล่า” 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่อยากได้ยินความจริงที่ว่าลั่วเซ่าเชินมีภรรยาอยู่แล้วจากปากของคนอื่น แต่เธอก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้ “ค่ะ พ่อจำเธอไม่ได้หรือคะ พ่อกับเธอเคยเจอกันในงานเลี้ยงสองสามครั้งแล้ว” 


 


 


ทันทีที่ฉินอวิ๋นได้ยินว่าเมิ่งไหวเซินเคยพบถังโจวโจวแล้ว เธอก็ให้ความสนใจกับท่าทีของเขา เธออยากจะรู้ว่าอากัปกิริยาของเมิ่งไหวเซินจะเป็นอย่างไร 


 


 


แต่เมิ่งไหวเซินก็เพียงแค่พยักหน้า “อืม จำได้สิ ว่าแต่คุณป้าลั่วของลูกรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่ใช่ลูกของตระกูลถัง” 


 


 


เมิ่งไหวเซินสงสัยในจุดนี้มาก แล้วเมิ่งชิงซีจะบังเอิญถึงขนาดได้ไปเจอเรื่องใหญ่ของตระกูลลั่วเข้าอย่างนั้นเลยหรือ 


 


 


“ชิงซี แล้วตอนที่ลูกกลับมา คุณป้าลั่วของลูกเป็นยังไงบ้าง” ฉินอวิ๋นกลัวว่าถ้ายังคุยกันเรื่องนี้ต่อไป เมิ่งชิงซีจะต้องบอกเมิ่งไหวเซินถึงข้อมูลที่ได้ไปจากเธอเป็นแน่ เธอจึงรีบชิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว 


 


 


แต่เมิ่งชิงซีกลับตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเธอ “หนูเป็นคนบอกคุณป้าลั่วเองค่ะ หนูได้ข้อมูลนี้มาจากแม่ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ถึงรู้เรื่องนี้ได้” 


 


 


ทันทีที่ฉินอวิ๋นได้ยินเมิ่งชิงซีเปิดโปงเรื่องทั้งหมดออกมา เธอก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่สีหน้าของเธอก็ยังคงดูสงบนิ่งอยู่ “ชิงซี ลูกพูดอะไรของลูกน่ะ แม่จะไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง นี่ลูกนอนมากไปจนเบลอไปหมดแล้วใช่ไหม” 


 


 


เมิ่งไหวเซินรู้สึกว่าวันนี้ฉินอวิ๋นผิดปกติไป “อวิ๋นเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณตรวจสอบประวัติของถังโจวโจวทำไม” 


 


 


“เปล่านะคะ ไหวเซิน ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย ฉันแค่รู้มาโดยบังเอิญ” ฉินอวิ๋นพยายามคิดหาข้อแก้ตัว แต่น่าเสียดายที่เมิ่งไหวเซินเริ่มสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้ว 


 


 


“รู้มาโดยบังเอิญ? บนโลกใบนี้ไม่น่าจะมีเรื่องบังเอิญถึงขนาดนี้หรอกมั้ง” 


 


 


เมิ่งไหวเซินรู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด ฉินอวิ๋นคิดว่าเขาเป็นคนปัญญาอ่อนหรืออย่างไร เมิ่งไหวเซินจึงต้องหันไปมองเมิ่งชิงซีแทน 


 


 


“ชิงซี บอกพ่อมา ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน” 


 


 


เมิ่งชิงซีรีบเล่าทันทีว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าฉินอวิ๋นกำลังตรวจสอบข้อมูลของถังโจวโจวได้อยู่ แต่เธอก็เลี่ยงที่จะบอกเหตุผลว่าทำไมเธอถึงต้องบอกคุณแม่ลั่วไป ก่อนจะผลักสาเหตุที่ทำให้คุณแม่ลั่วเป็นลมไปที่ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจว 


 


 


หลังจากที่เมิ่งไหวเซินได้ยินดังนั้น เขาก็นิ่งเงียบไปนาน ก่อนที่เขาจะหันไปมองฉินอวิ๋นด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “อวิ๋นเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมจู่ๆ คุณถึงต้องตามสืบประวัติของถังโจวโจวแบบนี้” 


 


 


ในสายตาของเมิ่งไหวเซิน ฉินอวิ๋นนั้นเป็นคนที่ทั้งอ่อนโยนและใจดี แม้ว่าสภาพแวดล้อมภายในครอบครัวของเธอจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ได้มีผลกับอุปนิสัยของฉินอวิ๋นเลย เธอเป็นคนที่เข้มงวดกับตัวเองอย่างมากมาโดยตลอด และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ในความคิดของเมิ่งไหวเซิน ฉินอวิ๋นเป็นคนที่มีเมตตามาก 


 


 


แต่ตอนนี้ภาพลักษณ์ของฉินอวิ๋นในความคิดของเขาได้ถูกทำลายลงไปหมดแล้ว เธอตรวจสอบประวัติของถังโจวโจวเพื่ออะไรกัน จู่ๆ เมิ่งไหวเซินก็รู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจฉินอวิ๋นเลยสักนิด 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นเห็นว่าแววตาของเมิ่งไหวเซินค่อยๆ เปลี่ยนไป เธอก็รู้แล้วว่าเขาสงสัยในตัวเธอ และเมื่อเธอมองเห็นมุมปากของเมิ่งชิงซีที่ยกยิ้มขึ้น ฉินอวิ๋นก็อยากจะตบหน้าลูกสาวของเธอจริงๆ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้ก็คือเธอต้องรีบทำให้เมิ่งไหวเซินเลิกสงสัยในตัวเธอโดยเร็วที่สุด 


 


 


“ไหวเซิน คุณเชื่อฉันนะคะ ฉันไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายอะไร เพียงเพราะชิงซีชอบเซ่าเชินมาก และเธอก็ไม่เคยฟังคำแนะนำของฉันเลย เธอไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ดังนั้น ฉันจึงต้องช่วยลูกหารายละเอียดของถังโจวโจว เพราะกลัวว่าชิงซีจะถูกระรานในภายหลังเอาได้” 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นพูดออกมาแบบนี้ เมิ่งไหวเซินก็พอจะโน้มเอียงไปตามความคิดของเธอได้บ้าง ถ้าเธอบอกว่าทำเพื่อเมิ่งชิงซี เมิ่งไหวเซินก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ ฉินอวิ๋นมีลูกสาวอยู่แค่คนเดียว เธอก็ต้องรักของเธอมากที่สุดอยู่แล้ว 


 


 


แต่เมิ่งไหวเซินก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แม้ว่าเธออยากจะช่วยเมิ่งชิงซี แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบประวัติของถังโจวโจวอย่างละเอียดเลยนี่ แต่เมื่อคิดดูอีกที เมิ่งไหวเซินก็คิดว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีมุมมองที่แตกต่างกัน บางทีพวกเธออาจจะไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ลั่วเซ่าเชิน แต่มุ่งประเด็นไปที่ถังโจวโจวแทน 


 


 


“อวิ๋นเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าคุณจะหวังดีกับชิงซี แต่คุณก็ทำแบบนี้ไม่ได้” จากนั้นเมิ่งไหวเซินก็หันหน้าไปอีกทาง “ชิงซี พ่อเคยบอกลูกแล้วไง แม้ว่าเซ่าเชินจะดีพร้อมกว่าใคร แต่ตอนนี้เขามีครอบครัวแล้ว ลูกจะตามตื๊อเขาอยู่อีกทำไม ในเมื่อสุดท้ายลูกก็ต้องมาเป็นทุกข์อย่างนี้” 


 


 


เมิ่งไหวเซินเองก็รู้สึกไม่ดีที่เห็นว่าลูกสาวของเขาไม่สมหวัง เขามีลูกสาวอยู่แค่คนเดียว แน่นอนว่าเขาก็คิดและทำทุกอย่างเพื่อเธอ แต่เมิ่งชิงซีกลับเอาแต่พูดว่า ‘ต้องการแค่ลั่วเซ่าเชินเท่านั้น’ คนที่เป็นพ่อของเธออย่างเขา เมิ่งไหวเซิน ก็ยังไม่สามารถฉุดรั้งเธอเอาไว้ได้  

 

 


ตอนที่ 158 คุยกันให้รู้เรื่อง

 

     เมิ่งชิงซีแอบเห็นว่าคุณแม่ลอบถอนหายใจออกมาเมื่อเมิ่งไหวเซินข้ามเรื่องของฉินอวิ๋นไป ส่วนคุณพ่อก็หันมาบ่นเธอแทน แม้ว่าตอนนี้เมิ่งชิงซีจะไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่อาจโต้เถียงเมิ่งไหวเซินได้ 


 


 


“พ่อขา ทำไมถึงวนมาพูดเรื่องหนูอีกแล้วล่ะ เรื่องของหนูพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ” เมิ่งชิงซีพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน 


 


 


แต่เมิ่งไหวเซินไม่หลงกลเธอ “ลูกบอกว่าพ่อไม่ต้องเป็นห่วง แต่ดูสิ่งที่ลูกทำสิ ลูกทำแต่ละอย่าง ตามตื๊อเขามาตั้งนาน แล้วเซ่าเชินเคยหันกลับมามองลูกบ้างไหม” 


 


 


“พ่ออย่าซ้ำเติมหนูแบบนี้ได้ไหมคะ” เมิ่งชิงซีไม่สนว่าใครจะพูดว่าเธอกับลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้ลงเอยกัน เธอเชื่อมั่นว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะคว้าลั่วเซ่าเชินมาได้ทั้งตัวและหัวใจ 


 


 


ฉินอวิ๋นตักซุปมาวางไว้ตรงหน้าเมิ่งไหวเซิน “ไหวเซินคะ ชิงซีไม่ยอมก็ปล่อยเธอไปเถอะค่ะ เราเองก็พูดกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ในเมื่อเธอไม่ฟัง ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่าค่ะ เดี๋ยววันข้างหน้าเธอก็คงจะคิดได้เองว่าเราหวังดีกับเธอ” 


 


 


เมิ่งชิงซีวางชามและตะเกียบลง “หนูอิ่มแล้วค่ะ” จากนั้นเธอก็วิ่งขึ้นชั้นบนไปทันที มือของฉินอวิ๋นที่ตักซุปอยู่อีกชามพลันชะงักลง เดิมทีเธอจะตักซุปให้เมิ่งชิงซี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว ฉินอวิ๋นจึงวางมันลงตรงหน้าตัวเอง 


 


 


เมิ่งชิงซีหนีไปก่อนที่เมิ่งไหวเซินจะพูดจบ ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่สบายใจเป็นอย่างมาก “อวิ๋นเอ๋อร์ เรื่องแต่งงานของชิงซี เราควรจะรีบคิดกันได้แล้วนะ ลูกไม่ใช่เด็กๆ แล้ว” 


 


 


ฉินอวิ๋นพยักหน้า “ค่ะ ไหวเซิน ฉันเองก็คอยดูอยู่ ควรให้ชิงซีตัดใจจากเซ่าเชินซะ ก็คงจะดีที่สุดค่ะ” 


 


 


เดิมทีฉินอวิ๋นก็ยังคงยืนอยู่ข้างเดียวกันกับเมิ่งชิงซี สนับสนุนให้เธอได้ครอบครองลั่วเซ่าเชิน แต่วันนี้เมิ่งชิงซีกลับหันหอกมาทำร้ายฉินอวิ๋น นี่ไม่เท่ากับว่าเธอที่เป็นแม่ของเมิ่งชิงซีกลับไม่ได้สำคัญมากไปกว่าลั่วเซ่าเชินเลยอย่างนั้นหรือ? 


 


 


เมิ่งชิงซีล็อกประตูห้อง เธอรู้สึกว่าเธอใกล้จะหมดสิทธิ์พูดเต็มทีแล้ว เธอเคยบอกมาตั้งนานแล้วว่าถ้าไม่ใช่ลั่วเซ่าเชิน เธอก็จะไม่แต่งงานด้วย แล้วทำไมตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ถึงต้องมาบังคับให้เธอเปลี่ยนใจด้วย 


 


 


ทำไมเธอถึงต้องยอมรับผู้ชายคนอื่น พวกเขาดีพอที่จะเทียบกับลั่วเซ่าเชินเหรอ เมิ่งชิงซีนึกถึงพวกผู้ชายที่เธอเคยพบมาก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่พวกผู้ชายเจ้าชู้ ก็เป็นพวกคุณชายที่เลื่อนลอยไปวันๆ ซึ่งผู้ชายพวกนั้นไม่ใช่คนในอุดมคติที่เธอต้องการเลย 


 


 


และเมื่อนึกถึงการกระทำของฉินอวิ๋นเมื่อครู่นี้ เมิ่งชิงซีก็ทึ้งผ้าห่มด้วยความโมโห ตอนนี้เมิ่งชิงซีลืมไปแล้วว่าเธอกับฉินอวิ๋นเป็นแม่ลูกกัน 


 


 


 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเป็นห่วงว่าถังโจวโจวจะควบคุมสติไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าคุณแม่ลั่วฟื้นแล้ว เขาอยู่ไปก็ไม่มีอะไรทำ เขาจึงขับรถไปที่บ้านของตระกูลถัง และในขณะที่เขากำลังจะกดกริ่งอยู่นั้น ใจก็คิดไปว่าถังโจวโจวกำลังทำอะไรอยู่ 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังได้ยินเสียงคนกดกริ่ง เธอก็คิดว่าน่าจะเป็นลั่วเซ่าเชิน และเมื่อเธอเปิดประตูออกไปดู เธอก็พบว่าเป็นลั่วเซ่าเชินจริงๆ เขาสวมเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่ ยืนเด่นตระหง่านราวกับต้นสนอยู่หน้าประตู 


 


 


“มาแล้วเหรอเซ่าเชิน มาหาโจวโจวใช่ไหม เธอนั่งอยู่ข้างในโน่นแน่ะ” คุณแม่ถังหลีกทางให้ลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามา แล้วเขาก็พบว่าถังโจวโจวกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น เธอเหยียดยิ้มออกจนเต็มแก้ม ดูเหมือนว่าเรื่องที่เธอไม่ใช่ลูกของตระกูลถังจะไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของเธอ 


 


 


“แม่ครับ โจวโจวเป็นยังไงบ้าง” ลั่วเซ่าเชินกระซิบถามคุณแม่ถัง เขากลัวว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่นี้มันอาจจะเป็นแค่เพียงภาพลักษณ์ภายนอกของถังโจวโจว แต่ในใจของเธอกลับเจ็บปวดรวดร้าวไปหมดแล้ว 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นรอยย่นเล็กน้อยที่หน้าผากของลั่วเซ่าเชิน เธอก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ เธอตบหลังเขาเบาๆ “วางใจได้จ้ะ โจวโจวไม่เป็นอะไร เมื่อครู่นี้แม่คุยกับเธออยู่นาน คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ” 


 


 


คุณแม่ถังพูดปลอบใจลั่วเซ่าเชินและตัวเธอเอง เธอหวังว่าถังโจวโจวจะไม่ได้รับผลกระทบ หรือเกลียดพ่อแม่แท้ๆ ของเธอเพราะเรื่องนี้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ถังเดินเข้าไปในห้อง หลังจากเอ่ยทักทายเขาเสร็จ เธอทิ้งพื้นที่ไว้ให้พวกเขา เขานั่งลงข้างถังโจวโจว และเห็นว่าเธอกำลังดูสารคดีสัตว์โลกอยู่ “โจวโจว คุณโอเคดีใช่ไหม” 


 


 


ที่จริงแล้ว ถังโจวโจวรู้ตั้งนานแล้วว่าลั่วเซ่าเชินมา เมื่อตอนที่คุณแม่ถังออกไปเปิดประตู ถังโจวโจวก็รู้เลยว่าคนที่มาในเวลานี้คือใคร เพียงแต่เธอไม่อยากขยับตัว และก็ไม่อยากจะคุยอะไรกับลั่วเซ่าเชินในตอนนี้ 


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินโพล่งถามเธอออกมา ถังโจวโจวก็อยากจะเคาะกะโหลกเขาเสียจริง ถ้าตอนนี้เธอเห็นว่าเธอกำลังเสียใจอยู่ เขาจะกล้าถามแบบนี้ออกมาไหม 


 


 


“ถ้าฉันโอเค มันจะเป็นยังไงคะ? แล้วถ้าฉันไม่โอเคล่ะ มันจะเป็นยังไงต่อ” 


 


 


ถังโจวโจวหันหน้าไปมองเขา ลั่วเซ่าเชินนิ่งงันไป เขาไม่คิดว่าถังโจวโจวจะถามเขาออกมาแบบนี้ หลังจากคิดอยู่สักพัก ลั่วเซ่าเชินก็ตอบเธอว่า “ถ้าคุณเสียใจ ผมก็จะปลอบคุณ แต่ถ้าคุณไม่ได้เสียใจ ผมก็จะชดเชยให้คุณ” 


 


 


ถังโจวโจวจ้องเขาอยู่นานก่อนจะพูดสั้นๆ ว่า “ค่ะ ฉันรู้แล้ว” 


 


 


ท่าทางและน้ำเสียงที่เรียบเฉยแบบนี้ ทำให้หัวใจของลั่วเซ่าเชินเต้นถี่ นี่เธอหมายความว่าอย่างไร? 


 


 


บรรยากาศเย็นยะเยือกลงไปครู่หนึ่ง ถังโจวโจวยังคงดูสารคดีสัตว์โลกของเธอต่อไป แต่สิ่งที่ทำให้ต้องอับอายขึ้นมากะทันหันก็คือ ภายในโทรทัศน์กำลังฉายกระบวนการการผสมพันธุ์ของสัตว์อยู่ในขณะนี้ ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ส่วนลั่วเซ่าเชินก็แค่อมยิ้มพลางมองดูใบหูของถังโจวโจวที่แดงก่ำ 


 


 


ถังโจวโจวจำเป็นต้องกดเปลี่ยนช่องไปโดยปริยาย แต่ดูเหมือนว่าวันนี้โทรทัศน์จะไม่เข้าข้างเธอ รายการวาไรตี้ที่กำลังฉายอยู่ก็มีคู่ชายหญิงที่กำลังจีบกัน ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง 


 


 


เมื่อถังโจวโจวกดปุ่มอีกครั้ง หน้าจอโทรทัศน์ก็ดับลง ลั่วเซ่าเชินพูดหยอกล้อเธออยู่ข้างๆ ว่า “โจวโจว ไม่ดูแล้วเหรอ รายการมันเพิ่งจะเริ่มเองนะ” 


 


 


“ฉันไม่อยากดูแล้วค่ะ แล้วคุณมาที่นี่ทำไมคะ” คราวนี้ถังโจวโจวเงยหน้าขึ้นมาสบตาลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้ล้อเธอเล่นอีกต่อไป “ก็ผมบอกว่าผมจะมารับคุณกลับ นี่ผมก็มาทำตามสัญญาไง” 


 


 


“แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากกลับ” ถังโจวโจวไม่อยากกลับไปอยู่กับลั่วเซ่าเชิน เธอยังคงไม่ลืมว่าคุณแม่ลั่วไม่ยอมรับเธออย่างไร ถังโจวโจวคิดว่าที่ตอนนี้เธอไม่ได้โมโหใส่ลั่วเซ่าเชิน ก็นับว่าเป็นบุญของเขาแล้ว 


 


 


“คุณยังไม่อยากกลับ ผมก็จะไม่บังคับคุณ แต่ถ้าคุณอยากไปไหน คุณต้องบอกผมนะ ผมจะพาคุณไปเอง” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้แก่ใจดี เรื่องของถังโจวโจวในวันนี้ เขาเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต้นเหตุก็คือเขา เมิ่งชิงซีถึงได้กล้าเปิดเผยความจริงอันโหดร้ายนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน 


 


 


ถังโจวโจวนึกว่าลั่วเซ่าเชินจะเข้าใจเธอ เธอพูดอย่างไม่ไยดีว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไปเองได้ ฉันไม่รบกวนคุณชายลั่วหรอก” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่รับความหวังดีจากเขา เขาก็นึกว่าเธอยังคงโกรธที่คุณแม่ลั่วพูดอย่างนั้นอยู่ ลั่วเซ่าเชินยอมรับว่าคำพูดเหล่านั้นของคุณแม่ลั่วทำร้ายจิตใจของคนอื่นมากเกินไป 


 


 


แต่เขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ นั่นคือแม่ของเขา เขาจึงได้แต่ถอยออกมา แต่ภายในใจของเขา เขาอยู่ข้างเดียวกันกับถังโจวโจวอยู่แล้ว ถังโจวโจวควรจะเข้าใจเขาสิ ถึงจะถูก 


 


 


“โจวโจว เราเป็นสามีภรรยากัน ทำไมคุณต้องพูดแบบนั้น” 


 


 


อยู่ๆ ลั่วเซ่าเชินก็กุมหน้าท้อง จนถึงตอนนี้ข้าวยังไม่ได้ตกถึงท้องเขาเลยสักเม็ด แล้วถังโจวโจวก็ยังจะพยายามทำลายความสัมพันธ์ของเธอกับเขาอีก ท่าทีเหล่านี้ของเธอทำให้ลั่วเซ่าเชินโกรธจนปวดท้อง 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของลั่วเซ่าเชิน เธอดำดิ่งอยู่ในโลกของตัวเอง “ถ้าคุณอยากทำอย่างนั้นก็โอเค ตอนนี้ฉันอยากออกไปข้างนอก คุณไปส่งฉันหน่อยก็แล้วกันนะคะ” 


 


 


ถังโจวโจวพูดพลางลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของคุณแม่ถัง ไม่รู้ว่าเธอเข้าไปคุยอะไรกับคุณแม่ถัง เพียงครู่เดียวเธอก็เดินออกมา เธอหยิบกระเป๋าของเธอและเดินออกไปด้านนอกทันที ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ได้แต่รีบตามเธอออกไป 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไปส่งถังโจวโจวที่หน้าสำนักพิมพ์ของหลินเหยา และเมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวตั้งท่าจะลงจากรถโดยที่ไม่ยอมคุยกับเขาสักคำ ลั่วเซ่าเชินก็เอี้ยวตัวมาดึงประตูที่ถังโจวโจวกำลังจะเปิดออก 


 


 


ถังโจวโจวชำเลืองมองเขา “ลั่วเซ่าเชิน นี่คุณจะทำอะไร” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดในใจ ดูเหมือนว่าเธอจะโกรธไม่เบา ถึงขึ้นเรียกชื่อเต็มเขาออกมาแล้ว “โจวโจว ถ้าเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง คุณก็ไม่ต้องลงจากรถ” 


 


 


“นี่คุณหมายความว่ายังไง” ถังโจวโจวหรี่ตา เธอไม่เข้าใจความหมายที่ลั่วเซ่าเชินกำลังจะสื่อ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอแกล้งทำเป็นซื่อ เขาก็จับมือของถังโจวโจวไว้อย่างไร้เหตุผล “โจวโจว คุณก็รู้จักนิสัยของผมดี ในเมื่อมันแก้ไขไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป” หากวันนี้ลั่วเซ่าเชินคุยไม่รู้เรื่อง เขาก็จะไม่ปล่อยถังโจวโจวลงจากรถ 


 


 


ถังโจวโจวย่อมต้องรู้นิสัยใจคอของลั่วเซ่าเชินอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงปิดปากเงียบและไม่สนใจเขา เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่แม้แต่จะพูดกับเขา เขาจึงดึงมือของถังโจวโจวมาเล่นอยู่เงียบๆ 


 


 


“โจวโจว คุณไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้บังคับคุณ ถ้าอย่างนั้น…ผมขับรถพาคุณกลับบ้านเลยก็แล้วกันนะ” 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะเห็นว่าเขาพูดจาดีน่าฟัง แต่ความจริงแล้วเขากำลังบังคับเธอกลายๆ นั่นแหละ พวกเขานั่งเผาเวลาอยู่อย่างนั้น และเมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอกับเขาต่างไม่มีใครยอมใคร เขาก็เข้าเกียร์และขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ถังโจวโจวมองเห็นที่ทำงานของหลินเหยาค่อยๆ ห่างออกไป “ลั่วเซ่าเชิน จอดรถเดี๋ยวนี้นะ! คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน คุณก็จะพาฉันไป?” 


 


 


เท้าของลั่วเซ่าเชินแตะอยู่ที่คันเร่ง แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ปากว่าง “โจวโจว ผมเคยพูดแบบนั้นก็จริง แต่คุณไม่รู้หรือไงว่าคนเรามันเปลี่ยนใจกันได้” 


 


 


คำพูดนั้นทำให้ถังโจวโจวกลืนประโยคที่เธอกำลังจะพูดกลับลงไปในคอ ภายในรถเงียบสงบ ถังโจวโจวรู้สึกดีใจที่ไม่ได้บอกหลินเหยาว่าเธอจะมาหา มิฉะนั้นเธอคงโดนหลินเหยาก่นด่าเป็นชุดไปแล้ว 


 


 


เพียงไม่นานลั่วเซ่าเชินก็ขับรถมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเปิดประตูรถ ลั่วเซ่าเชินก็เห็นว่าถังโจวโจวยังไม่ยอมลงจากรถ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินอ้อมไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ ถังโจวโจวนั่งนิ่งไม่ขยับตัว เธออยากจะรู้ว่าวันนี้ลั่วเซ่าเชินจะทำได้ถึงขั้นไหน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินนั่งยองๆ ตรงหน้าถังโจวโจว “โจวโจว คุณคิดอะไรอยู่ ถ้าคุณไม่พอใจผม คุณบอกผมได้นะ เราไม่ควรปิดบังกันแบบนี้ ตกลงไหม” 


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินพูดดีๆ กับเธอ ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเขาแสร้งทำ ลั่วเซ่าเชินเปลี่ยนบุคลิกเหรอ? ทำไมวันนี้เขาถึงยอมเธอจังเลย? 


 


 


ถังโจวโจวไม่รู้ว่าวันนี้ลั่วเซ่าเชินไข้ขึ้นหรืออย่างไร เธอยังคงนั่งชมนกชมไม้อยู่อย่างนั้น ราวกับไม่รับรู้ว่าลั่วเซ่าเชินกำลังพูดอยู่กับเธอ 


 


 


“โจวโจว เราจะคุยกันดีๆ ได้ไหม” ลั่วเซ่าเชินยังคงถามต่อไป วันนี้เขาจะต้องง้างปากของถังโจวโจวให้ได้ เพื่อให้ได้คำตอบที่เขาต้องการ 


 


 


หลังจากที่ถังโจวโจวหนีออกจากบ้านไปเมื่อครั้งก่อน ถึงแม้จะดูเหมือนว่าพวกเขาคืนดีกันแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าถังโจวโจวแค่ไม่อยากจะสนใจเขาก็เท่านั้นเอง เพราะลึกๆ แล้วเธอยังคงไม่ให้อภัยเขา เพียงแต่แสร้งทำเป็นให้อภัยเขาตามสถานการณ์ในวันนี้ก็เท่านั้น 


 


 


และเรื่องที่ว่าถังโจวโจวคิดอย่างไร ลั่วเซ่าเชินก็ไม่แน่ใจนัก  

 

 


ตอนที่ 159 อุปสรรค

 

ถังโจวโจวยอมสบตาเขาในที่สุด แต่เพียงพริบตาเดียวเธอก็หลุบตาลง ลั่วเซ่าเชินไม่ย่อท้อ แค่เธอรับฟังก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว 


 


 


“คุณอยากจะคุยอะไรกับฉันล่ะคะ” ถังโจวโจวมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เขาทั้งรูปหล่อและสง่างาม แต่เพราะเหตุนี้ก็ทำให้เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงผีเสื้อแสนสวย ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวเป็นทุกข์มาก 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอโต้ตอบกับสิ่งที่เขาพยายามพูดอยู่ก่อนหน้านี้ เขาก็พูดอย่างดีอกดีใจว่า “โจวโจว ในที่สุดคุณก็สนใจผมแล้ว” 


 


 


ถังโจวโจวถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขามัวแต่ตื่นเต้นจนลืมใส่ใจคำถามของเธอ “คุณจะคุยอะไรกับฉันคะ” 


 


 


ถังโจวโจวไม่คิดว่าระหว่างเธอกับเขาจะยังมีอะไรให้คุยกันอีก ถ้าให้พูดถึงเรื่องของอนาคต ระหว่างลั่วเซ่าเชินกับเธอก็เป็นเรื่องไม่แน่นอน จนอาจกล่าวได้ว่าอนาคตของพวกเขาทั้งสองคนช่างเลือนรางเหลือเกิน 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวรู้สึกว่าการมีตัวตนในครอบครัวของสามีเป็นอะไรที่หนักหนาเสียเหลือเกิน ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะตัวตนของเธอเองเช่นนั้นหรือ ไม่ว่าเธอจะพยายามมากขนาดไหน แต่ในสายตาของคุณแม่ลั่วก็สนใจแค่เพียงเมิ่งชิงซี และไม่มีเธออยู่ในสายตาเลยสักนิด 


 


 


“โจวโจว คุณลงมาก่อนเถอะ เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันต่อข้างใน” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขายื่นแขนออกไปตรงหน้าถังโจวโจว จากนั้นก็ขอแค่เพียงถังโจวโจววางมือลงบนท่อนแขนของเขา เขาก็จะสามารถพาถังโจวโจวเข้าไปในบ้านได้ 


 


 


แต่น่าเสียดายที่ถังโจวโจวไม่สนใจเลย เธอจัดเสื้อผ้าของตัวเองเล็กน้อย สายตาเมินเฉยต่อมือที่ยื่นออกมาของลั่วเซ่าเชิน เธอหยัดตัวขึ้นแล้วลงจากรถไปเอง 


 


 


มือของลั่วเซ่าเชินลอยค้างอยู่อย่างนั้น สีหน้าของเขาดูเจื่อนลง แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ “โจวโจว ไปกันเถอะ เข้าไปข้างในกัน” 


 


 


           ตอนนี้เลยเวลาอาหารกลางวันมาแล้ว ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ว่ากระเพาะอาหารของเขาเริ่มส่งสัญญาณเตือน ขณะที่เขาเดินตามถังโจวโจวเข้าไปในบ้าน จู่ๆ ตัวเขาก็เซไปชนถังโจวโจว ซึ่งนั่นทำให้เธอสะดุ้งตกใจ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบทรงตัวและกล่าวขอโทษ “โจวโจว ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ลั่วเซ่าเชินพยายามหยัดตัวให้ยืนอยู่ได้ ใบหน้าของเขาดูซีดเผือด แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่ามือของเขากุมหน้าท้องอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าตรงนั้นมันจะเป็นกระเพาะอาหาร 


 


 


“คุณเป็นอะไรคะ ปวดท้องเหรอ” ถังโจวโจวไม่เคยรู้มาก่อนว่าลั่วเซ่าเชินเป็นโรคกระเพาะ แต่ว่าท่าทางของเขาก็ไม่เหมือนว่าแสร้งทำเลย เธอจึงลังเลใจอยู่ชั่วขณะว่าควรจะยื่นมือออกไปช่วยเขาไหม 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวยืนนิ่ง แววตาดูลังเล แทนที่เธอจะรีบเข้ามาถามอาการของเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่พอเห็นเธอนิ่งงันแบบนี้เขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหมาป่าที่แสนน่ากลัวในความคิดของเธอไปแล้ว 


 


 


“โจวโจว ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่ไม่ได้กินข้าวกลางวันน่ะ ตอนนี้ท้องมันก็เลยเริ่มประท้วง พักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย” ลั่วเซ่าเชินพูดในขณะที่มือข้างหนึ่งกุมหน้าท้องอยู่ 


 


 


แม้จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังอยากจะรู้ว่าถังโจวโจวจะทำเพื่อเขาได้ไหม เธอจะไม่สนใจเขาแล้วจริงๆ หรือ 


 


 


เม็ดเหงื่อของลั่วเซ่าเชินค่อยๆ ผุดออกมา และในที่สุดถังโจวโจวก็ยอมเชื่อว่าเขาไม่ได้หลอกเธอ เธอตรงเข้าไปประคองลั่วเซ่าเชิน แล้วพาไปนั่งที่โซฟา 


 


 


“แล้วทำไมคุณถึงไม่กินข้าวคะ นี่คุณล้อเล่นกับร่างกายของคุณได้ยังไง” ถังโจวโจวต่อว่า 


 


 


เมื่อก่อนลั่วเซ่าเชินเคยรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ช่างน่ารำคาญ นอกเสียจากให้อีกฝ่ายได้บ่นเสียหน่อยแล้วมันยังมีประโยชน์อะไรอีก 


 


 


มาวันนี้เขาถึงได้รู้ซึ้งแล้วว่าน้ำเสียงพร่ำบ่นของถังโจวโจวนั้นไพเราะเสนาะหูมากเพียงใด แม้ว่าถังโจวโจวจะเอื้อนเอ่ยคำที่เขาไม่อยากได้ยินก็ตาม แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเสียงที่น่าฟัง 


 


 


หลังจากถังโจวโจวประคองลั่วเซ่าเชินไปนั่งแล้ว บ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ในความเงียบ ป้าหลิวพาลั่วอิงออกไปข้างนอก ถังโจวโจวจึงต้องลงครัวทำอาหารให้ลั่วเซ่าเชินด้วยตัวเอง เพื่อปลอบประโลมกระเพาะอาหารของเขา 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอดทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ถังโจวโจวบอกให้เขานั่ง แต่เขากลับเดินตามเธอเข้าไปในครัว ถังโจวโจวผลักเขาเบาๆ หมายจะไล่เขาออกไป แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่สนใจ “โจวโจว ผมชอบมองเวลาคุณทำอาหารให้ผมกิน” 


 


 


คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของถังโจวโจวเกือบจะเคลือบไปด้วยสีแดง แต่ถังโจวโจวรู้สึกว่าถ้าหากเธอหน้าแดงขึ้นมาในตอนนี้ มันจะแสดงให้เขาเห็นว่าเธอใจอ่อนเกินไป ดังนั้นเธอจึงตีหน้าขรึม แต่น่าเสียดายที่แววตาอ่อนโยนของเธอนั้นไม่ทรงพลังพอ “เงียบเลยค่ะ อีกเดี๋ยวคุณก็ได้กินแล้ว ต่อไปคุณก็ช่วยกินข้าวให้ตรงเวลาด้วยนะคะ” 


 


 


“ครับผม โจวโจวว่ายังไง ผมก็ว่าตามนั้น” ลั่วเซ่าเชินทำตัวว่านอนสอนง่าย ไม่หลงเหลือท่าทางเย่อหยิ่งและแข็งกร้าวอย่างที่เคยเป็นมาก่อน 


 


 


           เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาหยุดกวนเธอแล้ว เธอก็เริ่มลงมือทำอาหารให้ลั่วเซ่าเชินทันที เธอเห็นว่าในตู้เย็นมีเกี๊ยวที่ป้าหลิวห่อไว้ซึ่งมันแช่แข็งอยู่ในช่องแข็ง ถังโจวโจวคิดอย่างรวดเร็วและนำเกี๊ยวออกมาจาก เธอถามลั่วเซ่าเชินว่าเขาอยากกินกี่ชิ้น จากนั้นเธอก็ต้มน้ำ รอให้เดือดแล้วค่อยนำเกี๊ยวลงไปต้ม 


 


 


           เธอเห็นลั่วเซ่าเชินยืนพิงอยู่ที่ขอบประตูห้องครัว ถังโจวโจวบอกให้เขากลับไปนั่งพักที่โซฟา แต่เขาก็ปฏิเสธ เธอไม่รู้ว่าเขาจะฝืนยืนอยู่ทำไม ในเมื่อเธอพูดโน้มน้าวเขาไม่ได้ ถังโจวโจวก็ทำได้แค่เพียงสนใจน้ำในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆ 


 


 


           หลังจากน้ำเดือดได้ที่แล้ว ถังโจวโจวก็เทเกี๊ยวสามสิบชิ้นลงไปในหม้อ เกี๊ยวที่ป้าหลิวห่อไว้คือไส้เห็ดหอมหมู ถังโจวโจวเองก็ชอบกินมาก ไหนๆ เธอก็ต้องต้มให้ลั่วเซ่าเชินแล้ว ก็ขอต้มเผื่อตัวเองไปด้วยเลยแล้วกัน 


 


 


           ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที ในที่สุดเกี๊ยวก็พร้อมเสิร์ฟ ถังโจวโจวแบ่งมันออกเป็นสองชาม ชามของเธอมีอยู่ห้าชิ้น ส่วนชามของลั่วเซ่าเชินนั้นมีอยู่ยี่สิบห้าชิ้น ถังโจวโจวหยิบถ้วยเล็กๆ ออกมาอีกหนึ่งใบเพื่อใส่น้ำมันพริก หากได้กินคู่กับเกี๊ยวแล้วจะอร่อยมาก 


 


 


           เมื่อลั่วเซ่าเชินมานั่งที่โต๊ะอาหาร ถังโจวโจวก็เสิร์ฟชามเกี๊ยวให้ลั่วเซ่าเชิน ส่วนเธอใช้แค่ชามใบเล็กๆ เท่านั้น ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าขนาดของชามแตกต่างกันมาก เขาก็ตั้งท่าจะแบ่งเกี๊ยวที่อยู่ในชามของเขาให้ถังโจวโจว 


 


 


แต่ถังโจวโจวปฏิเสธ “ฉันกินแค่นี้ก็พอค่ะ คุณรีบกินเถอะ แต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ฉันไม่รู้ว่าคุณยังอยากกินอยู่ไหม” 


 


 


ถังโจวโจวเคยเป็นมาก่อนแล้ว เธอกินข้าวช้าไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง ผลปรากฏคือความอยากอาหารของเธอลดลงเป็นอย่างมาก เธอไม่อยากกินอะไรไปพักใหญ่เลย ถังโจวโจวจึงกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะมีอาการเช่นเดียวกันกับเธอ ดังนั้นเกี๊ยวที่เธอตักมาจนพูน ก็ไม่รู้ว่าลั่วเซ่าเชินยังจะกินอยู่ไหม 


 


 


อันที่จริงตอนนี้ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้รู้สึกปวดท้องมากเท่าไรแล้ว เขาอยากเห็นถังโจวโจวให้ความสำคัญกับเขามากกว่า ดังนั้นเขาจึงยังคงทำทีว่าปวดท้องอยู่ 


 


 


หลังจากที่ถังโจวโจวจัดการกับเกี๊ยวที่อยู่ในชามหมดแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรทำ จึงนั่งมองดูลั่วเซ่าเชินกินอย่างเอร็ดอร่อย ถังโจวโจวมองไปมองมาก็เหม่อลอย ในขณะนั้นเองลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกได้ว่าถังโจวโจวกำลังมองมา และเพื่อไม่ให้เธอละสายตาไป เขาจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น 


 


 


แต่ตลอดเวลาที่เขาแสร้งทำ กระทั่งกินเกี๊ยวจนหมดแล้ว เขาก็ยังเห็นว่าสายตาของถังโจวโจวจับจ้องมาที่เขา ลั่วเซ่าเชินจึงตวัดสายตาขึ้นหมายจะแกล้งถังโจวโจว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดนี้คือเขาคิดไปเองคนเดียว ถังโจวโจวไม่ได้มองมาที่เขาเลย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินโบกมือไปมาตรงหน้าของถังโจวโจว “โจวโจว คุณมองอะไรอยู่” 


 


 


“คะ เปล่าค่ะเปล่า ฉันไม่ได้มองอะไร คุณกินเสร็จแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวฉันเอาไปล้างเอง” ถังโจวโจวหยิบชามขึ้นมาและเดินเข้าไปในครัว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบแย่งชามกลับมา “โจวโจว คุณไปพักเถอะ เดี๋ยวผมล้างเอง” 


 


 


แต่ถังโจวโจวไม่ยอมปล่อยมือ “ไม่ต้องค่ะ ฉันล้างเอง” 


 


 


เพล้ง! ถังโจวโจวยืนมองชามที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วก็อยากจะกุมศีรษะ เธอได้แต่ถอนหายใจ แล้วมองลั่วเซ่าเชินที่ยังยืนปักหลักนิ่ง “ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันจะทำเอง คุณดูสิ ชามแตกหมดแล้ว จริงๆ เลย…” 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่ลั่วเซ่าเชินก็รู้ว่าเธอกำลังบ่นเขา เขาจึงทำได้แค่เพียงยืนตัวตรงอยู่กับที่ และเมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวย่อตัวลงไปจะเก็บเศษชาม เขาก็รีบคว้ามือของเธอไว้ “คุณจะทำอะไรน่ะ” 


 


 


“ก็เก็บเศษที่มันแตกไงคะ หรือคุณจะทิ้งมันไว้อย่างนี้” ถังโจวโจวสะบัดมือของลั่วเซ่าเชินออก แต่ก็ถูกเขาคว้าไว้อีกครั้ง 


 


 


“นี่คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า ใช้ไม้กวาดไม่เป็นหรือไง ถ้าคุณใช้มือเปล่าจับแบบนี้แล้วเกิดบาดมือขึ้นมาจะทำยังไง” ลั่วเซ่าเชินพร่ำบ่นไม่หยุด ขณะเดียวกันเขาก็ก้มลงไปเก็บเศษชามเสียเอง 


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินย่อตัวลง เขาเพิ่งพูดไม่ใช่หรือว่าไม่ให้เธอใช้มือเปล่าเก็บ แล้วตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ 


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินเก็บเศษชามชิ้นใหญ่ไปทิ้งลงในถังขยะ และเธอก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้บริเวณที่ชามแตก ถังโจวโจวจึงทำได้แค่ยืนมองดูลั่วเซ่าเชินอยู่ห่างๆ ตรงนั้น 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเก็บกวาดจนเสร็จ ถังโจวโจวก็วางใจได้ในที่สุด ถังโจวโจวเข้าใจดีว่าลั่วเซ่าเชินทำเช่นนั้นเพราะเขาหวังดีต่อเธอ และหัวใจของถังโจวโจวก็เริ่มได้รับผลกระทบ ทำไมทุกครั้งที่เธอผิดใจกับลั่วเซ่าเชิน เขามักจะทำอะไรให้เธอหวั่นไหวได้ตลอด 


 


 


ภายใต้ความเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ เหล่านี้ของลั่วเซ่าเชิน ทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองโกรธแค้นของถังโจวโจวค่อยๆ จางหายไป ถังโจวโจวฉวยมือของลั่วเซ่าเชินขึ้นมาดู แล้วเธอก็พบว่ามีบาดแผลเล็กๆ อยู่บนนิ้วมือของเขา “คุณนั่นแหละเป็นบ้า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เจ็บไหมคะ” 


 


 


ถังโจวโจวช่วยเป่ามือให้ลั่วเซ่าเชิน พลางเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของลั่วเซ่าเชินเป็นพักๆ และเมื่อเธอเห็นว่าเขายิ้มและจ้องมองเธออยู่ ถังโจวโจวก็ค่อยๆ ปล่อยมือเขาลง แต่ลั่วเซ่าเชินไม่อนุญาตให้เธอปลีกตัวออกไปง่ายๆ “โจวโจว เราอย่าสนใจคนอื่นเลยได้ไหม เราใช้ชีวิตกันอย่างสงบๆ ดีหรือเปล่า” 


 


 


“เราจะไม่สนใจใครเลยได้ยังไงล่ะคะ” ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินก็พูดไปอย่างนั้นเอง นั่นคือแม่ของเขานะ เขาจะละเลยท่านไปได้อย่างไร แล้วถังโจวโจวก็ยังไม่ได้คิดบัญชีกับลั่วเซ่าเชิน เธอถูกหลอกให้กลับมาที่บ้านจากคำพูดหว่านล้อมของเขาว่าจะพาเธอไปในที่ที่อยากไป 


 


 


“เราก็ใช้ชีวิตของเราไป ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร คุณก็แค่ทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้นเอง โจวโจว ถ้าคุณอยากออกตามหาพ่อกับแม่แท้ๆ ของคุณ ผมช่วยคุณได้นะ” ลั่วเซ่าเชินลูบเรือนผมของถังโจวโจว ขณะเดียวกันเขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันด้วย 


 


 


“ฉันไม่อยากออกตามหาพวกท่านค่ะ ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการฉัน แล้วฉันจะออกตามหาพวกท่านทำไม” ถังโจวโจวไม่อยากจะพูดถึงพ่อกับแม่แท้ๆ ของเธออีกต่อไปแล้ว แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่ได้พูดอะไรต่อหน้าคุณแม่ถัง แต่เธอก็ยังคงรู้สึกโกรธเคืองพ่อกับแม่แท้ๆ ของเธออยู่ดี 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองเห็นแววตาแข็งกร้าวของถังโจวโจววูบไหวอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ ถังโจวโจวจับมือเขาและพาเขาไปนั่งที่โซฟา จากนั้นเธอก็หยิบคอตตอนบัดและยาขี้ผึ้งออกมาจากกล่องยา แล้วทามันลงบนมือของลั่วเซ่าเชิน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าถังโจวโจวพยายามหลบเลี่ยงเขามาตลอด เขาจึงรวบรวมความกล้าถามเธอออกไป “โจวโจว คุณยังเข้าใจผมผิดอยู่ใช่ไหม” 


 


 


สิ่งที่ลั่วเซ่าเชินนึกขึ้นได้ก็คือเรื่องที่หันฮุ่ยซินก่อไว้เมื่อคราวก่อน ก่อนหน้านั้นถังโจวโจวยังดูมีใจให้เขาอยู่เลย ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้สวย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ถังโจวโจวก็เพิกเฉยต่อเขาไปโดยปริยาย แม้เธอจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเธอต่อต้านเขาอยู่ตลอดเวลา 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าเขาเจออุปสรรคชิ้นใหญ่เข้าแล้ว เมื่อถังโจวโจวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทายาให้เขา พอเขาถามอะไรไป เธอก็ไม่ยอมปริปากตอบเลย  

 

 


ตอนที่ 160 เปิดอกคุยกัน

 

      เมื่อถังโจวโจวทายาให้เขาเสร็จแล้ว เธอก็เก็บของลงไปในกล่องยา ลั่วเซ่าเชินใช้มือทั้งสองข้างยึดไหล่ของถังโจวโจวไว้ เขาต้องการให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขา


 


 


คราวนี้ถังโจวโจวไม่อาจหลบหลีกได้อีกแล้ว เธอสบตามองลั่วเซ่าเชินตรงๆ “ฉันไม่ควรเข้าใจคุณผิดเหรอคะ” ตกลงแล้วความจริงของเรื่องนั้นเป็นอย่างไร ลั่วเซ่าเชินไม่เคยอธิบายให้เธอเข้าใจ และเธอก็ไม่เคยพูดว่าเธอให้อภัยเขา ทำไมเขาถึงได้มั่นใจนักว่าเธอจะต้องยกโทษให้เขาอย่างแน่นอน


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้ยินที่ถังโจวโจวเอ่ยประชดประชันเขาเต็มที่ เขาก็แอบถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าเธอยังคงโกรธเคืองเขาอยู่ แม้ว่าเรื่องราวในครั้งนั้นมันจบลงไปแล้ว แต่มันกลับยังคงทิ้งบาดแผลไว้ในใจของถังโจวโจว


 


 


ลั่วเซ่าเชินให้ถังโจวโจวนั่งลงข้างๆ เขา จากนั้นเขาก็คว้ามือของถังโจวโจวขึ้นมากุมไว้แน่น “โจวโจว ผมกับฮุ่ยซินไม่ได้มีอะไรกัน ถ้าผมอยากสานสัมพันธ์กับเขา ผมจะรอมาจนถึงป่านนี้ทำไม”


 


 


อันที่จริงลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะคุยเรื่องระหว่างเขากับหันฮุ่ยซินอีกแล้ว เพียงแต่สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้คือเขาต้องทำให้ถังโจวโจวไม่เข้าใจเขาผิดอีก และเมื่อเทียบกับถังโจวโจวแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หันฮุ่ยซินมีความสำคัญต่อใจของเขาน้อยกว่าถังโจวโจวมาก


 


 


“ใครจะรู้ล่ะคะว่าคุณคิดยังไง” ถังโจวโจวพึมพำเบาๆ แต่เนื่องจากภายในบ้านมีพวกเขาอยู่กันแค่สองคน ดังนั้นไม่ว่าเสียงของถังโจวโจวจะแผ่วเบาสักแค่ไหน แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน


 


 


“นี่คุณยังไม่รู้อีกหรือว่าผมคิดยังไง” ลั่วเซ่าเชินวางมือของถังโจวโจวลงบนหน้าอกของตัวเอง ถังโจวโจวสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรงของลั่วเซ่าเชิน แล้วเธอก็รู้สึกสับสนไปกับจังหวะการเต้นของหัวใจนั้น


 


 


“…ฉันไม่รู้ค่ะ” ถังโจวโจวอยากจะดึงมือกลับ แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ยอม


 


 


ในขณะที่มือของเธอวางอยู่บนหน้าอกของลั่วเซ่าเชิน ใบหน้าของเธอก็ร้อนวาบ ถังโจวโจวรู้ดีว่าใบหน้าของตัวเองตอนนี้คงจะแดงก่ำมาก แต่สิ่งที่ขัดใจเธอยิ่งกว่าก็คือลั่วเซ่าเชินยังคงจับมือเธอไว้อยู่อย่างนั้น ทำให้เธอไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย


 


 


“ปล่อยฉันนะคะ”


 


 


“ไม่ ผมจะไม่ปล่อยคุณไปเด็ดขาด ถ้าวันนี้เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง” ลั่วเซ่าเชินจับมือเธอไว้แน่น ราวกับว่าจะให้ถังโจวโจวอยู่ติดกับตัวเขาอย่างนี้


 


 


ทันใดนั้น ถังโจวโจวก็รู้สึกได้ว่าตัวของเธอลอยอยู่ในอากาศ เธอคล้องคอของลั่วเซ่าเชินในทันที และเมื่อเธอเห็นว่าเขาอุ้มเธอขึ้นชั้นบน ถังโจวโจวก็รีบถามว่า “คุณจะอุ้มฉันไปไหนคะ”


 


 


ขาของถังโจวโจวอ่อนแรง ร่างของเธอไม่มีที่ยึดเหนี่ยว และที่พึ่งพิงเดียวที่เธอมีตอนนี้ก็คือลั่วเซ่าเชิน ซึ่งนั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเลย


 


 


“เราจะคุยกันไม่ใช่เหรอ ก็ต้องหาที่เงียบๆ ไม่มีคนรบกวนสิ ถ้าเราคุยกันอยู่แล้วลั่วอิงกลับมา คุณก็วิ่งหนีผมไปอีก” แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะพูดติดตลก แต่ถังโจวโจวก็รู้ว่าเขาพูดความจริง


 


 


เมื่อก่อนก็เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินแค่คิดเผื่อล่วงหน้า ถังโจวโจวหลับตาและเอนซบใบหน้าลงบนไหล่ของเขา เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอสงบลงแล้ว มุมปากของเขาก็ค่อยๆ ยกยิ้ม เขากระชับอ้อมแขนที่อุ้มถังโจวโจวไว้และเดินตรงไปยังห้องหนังสือ


 


 


เมื่อเปิดประตูห้องหนังสือเข้าไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็วางถังโจวโจวลงบนโซฟาตัวเล็กๆ ที่อยู่ในห้อง จากนั้นเขาก็เดินไปลงกลอนประตู ก่อนจะกลับมากักตัวของถังโจวโจวไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ถังโจวโจวคิดจะหนี เมื่อรู้สึกตัวว่าลั่วเซ่าเชินกักตัวไว้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่สำเร็จ


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ยอมล้มเลิกความคิดที่จะหนี เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ “โจวโจว คุณนี่ดื้อจริงๆ เลย ผมจะลงโทษคุณ” ลั่วเซ่าเชินจับจ้องไปที่ปากเล็กๆ ของถังโจวโจว เขาแค่อยากจะใช้ริมฝีปากปิดกั้นคำถ้อยที่ทำร้ายเขาเหล่านั้นจากปากของเธอ


 


 


ลั่วเซ่าเชินพูดจริงทำจริง ถังโจวโจวรู้สึกได้ว่ามีเงาดำหนึ่งบดบังอยู่ตรงหน้า และเงาดำนั้นก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาเธอ ถังโจวโจวปิดตาแน่น เธอไม่กล้ามองว่าลั่วเซ่าเชินจะทำอะไร จนกระทั่งริมฝีปากของเธอสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่ม เธอถึงได้รู้ว่าบทลงโทษของลั่วเซ่าเชินคืออะไร


 


 


ที่แท้ก็คือจูบนี่เอง ตอนแรกถังโจวโจวคิดว่าลั่วเซ่าเชินจะมีวิธีอันชาญฉลาดกว่านี้มาจัดการเธอ แต่ที่ไหนได้ก็วิธีเดิมๆ นั่นแหละ และเมื่อรู้สึกว่าลิ้นของลั่วเซ่าเชินกำลังชอนไชเข้ามา ถังโจวโจวก็รีบกัดฟันแน่น จนกระทั่งเธอรู้สึกจักจี้ที่เอว ทำให้เธออดขำไม่ได้ เธอจึงเปิดปากของเธอออก


 


 


ลั่วเซ่าเชินแค่อยากจะลองหยั่งเชิงจูบเธอในตอนแรก แต่เมื่อถังโจวโจวป้องกันตัวเองจากเขาขนาดนี้ เล่ห์กลของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณโดยไม่ได้ตั้งใจ ถังโจวโจวไม่ให้เขาจูบ เขาก็จะจูบ และจะจูบจนกว่าเธอจะหายใจไม่ทัน


 


 


หลังจากเขาจูบจนหนำใจแล้ว ถังโจวโจวก็รู้สึกได้ว่าเธอถูกเขาตักตวงความรักไปจนเต็มอิ่ม ดวงตาของเธอวาววับเป็นประกาย ริมฝีปากของเธอก็เริ่มบวมเจ่อ หากใครมองดูก็รู้แล้วว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลง หายใจไม่เป็นจังหวะ


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเขา เขาก็ไม่อาจปิดบังรอยยิ้มในดวงตาของเขาเอาไว้ได้ ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวมองมาที่เขาด้วยสายตาขุ่นเคือง ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ที่เขาต้องกังวลในตอนนี้มีแค่ว่า เกิดถังโจวโจวเขินจนหนีเขาไปอีก ทีนี้เขาจะตามหาเธอได้ที่ไหน


 


 


“โจวโจว ตอนนี้เราจะคุยกันดีๆ ได้หรือยัง หรือถ้าคุณอยากจะพักผ่อนอีกสักหน่อย ผมก็ไม่ว่าอะไรนะ” ถังโจวโจวไม่เชื่อหรอกว่าลั่วเซ่าเชินจะให้เธอได้พักผ่อนตามที่พูด และเมื่อเห็นว่าเขาจับจ้องมาที่ริมฝีปากของเธออีกครั้ง ถังโจวโจวก็เข้าใจความหมายของเขาในทันที เจ้าหมาป่ามักมาก


 


 


“คุยได้เลยค่ะ ไม่ต้องพักหรอก” น้ำเสียงของถังโจวโจวฟังดูร้อนรน ด้วยกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะปล่อยให้เธอได้ ‘พักผ่อน’ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วปากของเธอจะบวมเจ่อมากแค่ไหน


 


 


“ไม่พักแน่นะ” ลั่วเซ่าเชินอยากจะทำตามความคิดที่เขาเพิ่งคิดได้ แต่น่าเสียดายที่ถังโจวโจวไม่เปิดโอกาสให้กับเขา


 


 


ถังโจวโจวส่ายหน้ารัว “พักพอแล้วค่ะ ไม่ต้องพักแล้ว เรามาคุยธุระกันเถอะค่ะ”


 


 


“โธ่ โจวโจว คุณนี่ทำร้ายผมได้ลงจริงๆ” ลั่วเซ่าเชินบ่นออกมาอย่างอ่อนใจ แต่ถังโจวโจวกลับพึงพอใจที่เธอสามารถหลีกหนีจากกรงเล็บหมาป่าของเขาได้ชั่วคราว


 


 


“แล้วคุณจะคุยอะไรกับฉันคะ” ลั่วเซ่าเชินมัวแต่นอกเรื่องเสียจนถังโจวโจวเกือบจะลืมไปแล้วว่าเขาจะพูดอะไรกับเธอก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็ยังทำให้เธอเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบอันร้อนแรงนั้นอีกด้วย


 


 


“โจวโจว ผมสาบานได้ ผมกับหันฮุ่ยซินไม่เคยมีอะไรกันตั้งแต่ที่เธอกลับมาจากต่างประเทศ” ลั่วเซ่าเชินยกมือสาบานต่อฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งนั่นสามารถทำให้คนมองรู้สึกได้ว่าเขาดูน่าเชื่อถือมาก


 


 


ถังโจวโจวคุ้นเคยกับกิริยาท่าทางของเขามานาน แต่ครั้งนี้เธอกลับรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินดูจริงจังมากกว่าทุกครั้ง “แล้วเรื่องรูปนั้น คุณจะอธิบายว่ายังไงคะ”


 


 


รูปนั้นไม่ใช่รูปปลอมอย่างแน่นอน ถังโจวโจวคิดว่าผู้หญิงอย่างหันฮุ่ยซินไม่น่าใช้รูปตัดต่อมาหลอกลวงเธอ


 


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลั่วเซ่าเชินก็พูดไม่ออก เพราะเขาไม่สามารถอธิบายที่มาของรูปนั้นได้จริงๆ แต่เขาเชื่ออยู่เสมอว่าวันนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรหันฮุ่ยซิน


 


 


แน่นอนว่าที่ลั่วเซ่าเชินเชื่อแบบนั้นย่อมต้องมีเหตุผล ข้อแรก เขาตรวจสอบแล้วว่าหากผู้ชายดื่มเหล้าจนเมาขาดสติ จะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปในทางนั้นได้ แล้วเขาจะไปมีอะไรกับหันฮุ่ยซินได้อย่างไร?


 


 


ข้อสอง ลั่วเซ่าเชินรู้ตัวดีว่า ในตอนนั้นหัวใจของเขาเฝ้าแต่คิดถึงถังโจวโจว แม้ว่าสำหรับหันฮุ่ยซินแล้ว เขาจะสามารถให้อภัยและมองข้ามสิ่งที่เธอเคยทำกับเขาในอดีตได้


 


 


แต่เขาก็จะไม่กลับไปเป็นคนรักของหันฮุ่ยซินอีกแล้ว เขาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย


 


 


น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถพูดแบบนี้กับถังโจวโจวได้ เขาทำได้แค่เพียงพูดย้ำกับถังโจวโจวว่า “โจวโจว คุณเชื่อผมเถอะนะ ผมไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น”


 


 


“ฉันไม่เชื่อค่ะ ทำไมฉันถึงต้องเชื่อคุณด้วย” ถังโจวโจวเบือนหน้าหนีไปเพราะไม่อยากสบตากับลั่วเซ่าเชิน จะให้เธอเอาอะไรมาเชื่อเขาล่ะ ตัวเขาเองยังไม่พูดความจริงกับเธอเลย แล้วจะยังมีเหตุผลข้อไหนที่จะทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากเธอได้


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวปฏิเสธจะเชื่อใจเขา ในใจลั่วเซ่าเชินก็เป็นทุกข์ เขาจึงต้องไปนั่งเผชิญหน้ากับถังโจวโจวที่เบือนหน้าหนีเขาไป “โจวโจว ผมเองก็ยังไม่แน่ใจในบางเรื่อง ดังนั้นผมจึงไม่สามารถอธิบายให้คุณฟังได้ แต่สิ่งที่คุณควรจะรู้ไว้ก็คือผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณเสียใจแน่นอน”


 


 


“แล้วทำไมถึงอธิบายไม่ได้ล่ะคะ” ถังโจวโจวไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วลั่วเซ่าเชินกำลังคิดอะไรอยู่? เขานึกจะไม่ใส่ใจเธอเขาก็ทำ เธอไม่สามารถพูดอะไรได้เลย พอถึงคราวเธออยากจะหนีไปบ้าง ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ยอมอีก นี่มันตรรกะอะไรกัน?


 


 


ลั่วเซ่าเชินเกาหัวอย่างร้อนใจ ก่อนจะจับมือของถังโจวโจวขึ้นมาวางไว้ที่อกข้างซ้ายของเขาอีกครั้ง “โจวโจว นี่คือคำอธิบายของผม ตราบใดที่หัวใจของผมยังเต้นอยู่ ผมจะไม่มีวันทำอะไรให้คุณเสียใจเด็ดขาด!”


 


 


ถังโจวโจวมองดูลั่วเซ่าเชินที่พูดราวกับสาบานตนด้วยความตกตะลึง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ตอบสนอง เขาก็นึกว่าเธอยังคงขุ่นเคืองอยู่ เขาจึงถามเธอซ้ำอีกครั้ง


 


 


“โจวโจว นี่ยังไม่สามารถแสดงถึงความจริงใจของผมที่มีต่อคุณได้อีกหรือ”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินพูดมากที่สุด แต่ก็เป็นครั้งแรกที่การพูดมากของลั่วเซ่าเชินทำให้เธอสบายใจที่สุด


 


 


“คุณจะหลอกฉันอีกไหมคะ ฉันเชื่อคุณได้จริงๆ ใช่ไหม” ถังโจวโจวพูดอย่างไม่แน่ใจนัก ราวกับว่ากำลังคุยกับตัวเอง


 


 


“ได้แน่นอน! ทำไมคุณถึงจะเชื่อผมไม่ได้ล่ะ ผมเป็นสามีคุณนะ ตอนนี้เราเป็นคนคนเดียวกัน” ลั่วเซ่าเชินกุมมือถังโจวโจวไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีก


 


 


ถังโจวโจวมองลึกเข้าไปในดวงตาของลั่วเซ่าเชิน ภายในนั้นมืดสนิทประหนึ่งหมึกสีเข้ม ถังโจวโจวรีบดึงสายตากลับมา และก้มศีรษะลงมองนิ้วมือของตัวเองไปพลาง


 


 


ลั่วเซ่าเชินค่อนข้างเป็นกังวล เมื่อคำที่เขาอยากฟังยังไม่หลุดออกมาจากปากของถังโจวโจว “โจวโจว คุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณบอกผมหน่อยได้ไหม”


 


 


ทุกครั้งที่ถังโจวโจวเจอกับปัญหา เธอมักจะทำตัวเป็นเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ซึ่งนั่นทำให้ลั่วเซ่าเชินจนปัญญา อีกทั้งไม่สามารถนำหัวของเต่าตัวนี้ออกมาด้วยตัวเองได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงมองดูเธอนั่งนิ่งๆ ถามตัวเองไปเรื่อยๆ


 


 


ถังโจวโจวขบคิดอยู่ในใจ ถ้าเธอเชื่อลั่วเซ่าเชิน นั่นก็หมายความว่าในอนาคตเธอจะกลายเป็นคนไม่แยแสกับเรื่องอะไรแบบนี้ แต่ถังโจวโจวก็เฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ หากเป็นเช่นนั้นจริงเธอจะทำใจรับได้จริงๆ หรือ? แต่ดูเหมือนว่าเธอจะทำไม่ได้!


 


 


แล้วอย่างนี้เธอจะเชื่อเขาดีหรือไม่? ถังโจวโจวกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้วเธอไม่อยากเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้เลย แต่โชคไม่ดีที่ลั่วเซ่าเชินกลับหาเรื่องแบบนี้มาให้เธอ จะผลักทิ้งเลยก็ไม่ได้ แต่จะให้ขบคิดจนได้คำตอบก็ไม่ไหวเหมือนกัน


 


 


แต่เพื่อให้ผ่านความน่าอึดอัดนี้ไปได้ก่อน ถังโจวโจวจำเป็นต้องพูดปดเล็กน้อย โดยเธอหวังว่าลั่วเซ่าเชินจะให้อภัยเธอในภายหลัง “ฉันเชื่อคุณค่ะ” เสียงนั้นช่างแผ่วเบาเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชินสนใจถังโจวโจวอยู่ตลอด เขาก็อาจจะไม่ได้ยินประโยคนั้นเลย


 


 


“โจวโจว คุณว่าอะไรนะ พูดอีกครั้งหนึ่งได้ไหม” ลั่วเซ่าเชินกลัวว่าเขาจะได้ยินผิดไป ถังโจวโจวเม้มริมฝีปากแน่น เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากจะพูดมันซ้ำอีกครั้ง ลั่วเซ่าเชินจึงรีบเอ่ยมัดมือชก “โจวโจว เมื่อกี้ผมได้ยินคุณบอกว่าคุณเชื่อผม ถ้าคุณไม่พูดยืนยันออกมาอีกครั้ง ผมจะถือว่าคุณเชื่อผมแล้วนะ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม