ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 153-160

 ตอนที่ 153 อย่างพวกนายเนี่ยนะจะจับฉัน


 


 


ความรุนแรงในโลกไซเบอร์คือมีดที่มองไม่เห็นที่สามารถทิ่มแทงผู้คนจนเกิดเป็นแผลเหวอะหวะเจิ่งนองไปด้วยเลือด อวี๋กานกานยิ่งอ่านก็ยิ่งเป็นทุกข์ ราวกับมีเข็มเงินละเอียดเล็กจำนวนมากกระหน่ำแทงเข้ามาที่หัวใจ


 


 


ฟังจือหันเห็นสีหน้าอวี๋กานกานย่ำแย่ ก้าวเท้าเดินเข้าไปหา ยื่นมือมาฉกโทรศัพท์จากเธอไป กดล็อก ทิ้งไว้อีกฝั่งหนึ่ง


 


 


อวี๋กานกานทั้งตกใจและประหลาดใจ มองฟังจือหัน “เป็นอะไร”


 


 


ฟังจือหันเอ่ยเสียงเย็น “ความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ต มีแต่ความรุนแรงไร้เหตุผล คุณอธิบายความจริงกับพวกเขาด้วยเหตุผลก็เหมือนกับพูดเรื่องกฎหมายให้พวกโจรและอันธพาลฟัง”


 


 


นี่กำลังปลอบเธออยู่งั้นเหรอ อวี๋กานกานกะพริบตาปริบๆ ยิ้มให้ฟังจือหัน “ตัวตรงไม่กลัวเงาเฉียง[1] ตนเองไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจตนเอง ใช่ไหม!”


 


 


อวี๋กานกานส่วนใหญ่มักจะยิ้มไปตามมารยาทเป็นรอยยิ้มบางเบาจืดชืด ไร้อุณหภูมิ เหมือนกับสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการอาหารและการนอนหลับ แต่ตอนนี้เธอยิ้มอย่างสว่างสดใส ดวงตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวงดงาม เหมือนกับว่าท้องฟ้าผืนแผ่นดินและทุกสรรพบนโลกมืดลงในทันตา ปลายนิ้วมือของฟังจือหันเคาะลงบนโต๊ะ สายตาชำเลืองมองอวี๋กานกาน จู่ๆ ก็มีไอร้อนสายหนึ่งพรั่งพรูออกมาจากหัวใจ


 


 


อวี๋กานกานเห็นว่าฟังจือหันค่อนข้างเหม่อลอย เธอจึงโน้มตัวไปด้านหน้าถามย้ำอีกครั้ง “ใช่ไหม”


 


 


นัยน์ตาดำขลับลึกซึ้งของฟังจือหัน มองอวี๋กานกานที่จ้องมาที่ตนเองเหมือนกำลังถามไถ่วิชาความรู้ ริมฝีปากสีสดอวบอิ่ม เนียนนุ่มและเต่งตึง ชวนให้อยากครอบครองเป็นเจ้าของ


 


 


ลูกกระเดือกเซ็กซี่ยั่วยวนขยับขึ้นลง ฟังจือหันเบือนสายตา จู่ๆ ก็หันตัวไปทางอื่น “ผมไม่ได้หูหนวก” น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ในก้นบึ้งหัวใจของอวี๋กานกานมีความรู้สึกหนึ่งพุ่งขึ้นมา เป็นความรู้สึกสนิทชิดเชื้อที่เธอเองก็ไม่สามารถอธิบายออกมาได้


 


 


มือทั้งสองของอวี๋กานกานวางอยู่ใต้คาง ริมฝีปากสีชมพูโค้งหยักขึ้น “ฟังจือหัน นายวันๆ ไม่เห็นต้องทำอะไร มาเป็นผู้ช่วยฉันไม่ดีกว่าเหรอ”


 


 


ฟังจือหันกำลังจะอ้าปากพูดแต่อวี๋กานกานชิงพูดตัดหน้าก่อน “นายคงไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ฉันลำบาก มายื่นข้อเสนออะไรแลกเปลี่ยนใช่ไหม นายดูสิตอนนี้ฉันอนาถขนาดไหน”


 


 


“คนในคลินิกไปไหนหมด” ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ก็มีคนตะแบงเสียงถาม ขัดจังหวะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน


 


 


อวี๋กานกานมองไปตามเสียงเห็นผู้ชายสองคนสวมยูนิฟอร์มตำรวจเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นมองอวี๋กานกานและฟังจือหัน ถาม “ใครเป็นเจ้าของคลินิกนี้”


 


 


อวี๋กานกานกำลังจะเดินไปถามพวกเขาว่ามีเรื่องอะไร แต่ฟังจือหันเดินออกไปรับหน้าให้ “มีเรื่องอะไร”


 


 


เมื่อพวกเขาเห็นว่าฟังจือหันเป็นคนตอบโต้จึงคิดว่าฟังจือหันเป็นเจ้าของคลินิกนี้ พวกเขามองตั้งแต่หัวจรดเท้า พูดทวงความยุติธรรมอย่างโกรธแค้น “แกนี่เองเจ้าของคลินิก แกนี่เองที่ฆ่าคน แกรู้ไหมว่าทำคนตายมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต เอาล่ะจับตัวมันไป”


 


 


อวี๋กานกานคาดไม่ถึงว่าหลังจากที่ตำรวจสองคนนี้เดินเข้ามา พวกเขาไม่ถงไม่ถามเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ไม่แยกแยะถูกผิดจะจับกุมตัวอย่างเดียว ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นคนของเฉียวพั่นเอ๋อร์ ต้องเป็นเพราะเธอปฏิเสธข้อเสนอของผู้ช่วยโหย่ว เฉียวพั่นเอ๋อร์ถึงเลือกใช้วิธีราดน้ำมันลงบนเปลวไฟ


 


 


อวี๋กานกานรีบวิ่งออกมา ตะโกนเสียงดัง “ฉันต่างหากที่เป็นเจ้าของคลินิก ไม่ทราบว่าฉันทำอะไรผิดพวกคุณถึงมาจับฉัน”


 


 


ฟังจือหันคว้าแขนของอวี๋กานกานไว้ ดึงเธอให้มายืนอยู่ด้านหลัง มือทั้งสองสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หัวเราะเยาะเสียงเย็น “อย่างพวกนายเนี่ยนะจะจับฉัน?”


 


 


นัยน์ตาหยิ่งยโสโอหังชายหนุ่ม ออร่าเย็นยะเยือกรอบๆ กาย ทำให้รู้สึกหายใจไม่ค่อยออกขึ้นมาอย่างฉับพลัน ตำรวจคนนั้นก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ ตระหนักได้ถึงความขี้ขลาดตาขาวของตนเอง จึงรีบตะโกนเสียงดังกลบเกลื่อน “พล่ามให้มันน้อยๆ หน่อย จับกุมตัวพวกมันไป!”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตัวตรงไม่กลัวเงาเฉียง หมายถึง หากทำถูกต้องแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะวิจารณ์อย่างไร


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 154 ท่านยมตั้งวงไพ่ยังขาดขาหนึ่ง ขาดเธอไง


 


 


สีหน้าของฟังจือหันไม่มีอารมณ์ใดๆ นอกจากความเย็นชา ยืนอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แต่สีหน้าของอวี๋กานกานนี้สิ กลับลุกลี้ลุกลนอย่างปิดไว้ไม่มิด เดินมายืนข้างๆ ฟังจือหันอย่างไม่สบายใจ ก่อนจะพูดกับตำรวจสองคนนั้น “มากเกินไปแล้วนะพวกคุณ บ้านเมืองยังมีกฎหมายอยู่หรือเปล่า”


 


 


เธอจำได้ว่าฟังจือหันเองก็มีพรรคพวกเป็นตำรวจ ถ้าจะจับฟังจือหันสู้จับเธอไม่ดีกว่าเหรอ อย่างน้อยฟังจือหันอยู่ด้านนอก อาจจะมีวิธีที่สามารถหาคนมาช่วยเธอได้ กลับกันกับเธอที่ไม่ได้มีเส้นสายอะไร


 


 


มีคนมาเยือนคลินิกเพิ่มอีกแล้ว หญิงสาวท่าทางหยิ่งผยอง ถือกระเป๋าแอร์เมสรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น รองเท้าส้นสูงเหยียบลงพื้นส่งเสียงดังต๊อกแต๊ก ต๊อกแต๊ก เธอปรายตามองไปรอบๆ คลินิกด้วยหางตา มุมปากคว่ำลงเล็กน้อย “นี่มันอะไร เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ร่างกายทั้งส่วนบนและส่วนล่างไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่สั่นริกๆ ด้วยความอยากรู้


 


 


ฟังจือหันและอวี๋กานกานมองเฉียวพั่นเอ๋อร์ ไม่ได้ตกใจหรือโกรธอะไร เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือเฉียวพั่นเอ๋อร์ ถ้าเธอไม่ปรากฏตัวออกมาก ละครฉากนี้จะพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดพีคได้อย่างไร


 


 


ฟังจือหันเห็นเฉียวพั่นเอ๋อร์เป็นเพียงอากาศธาตุ อวี๋กานกานหัวเราะเยาะ “ได้กลิ่นเหม็นคาวมาแต่ไกล ฉันก็คิดอยู่ว่าอะไร ที่แท้ก็เธอมานี่เอง”


 


 


สีหน้าของเฉียวพั่นเอ๋อร์บูดบึ้งขึ้นทีละน้อย เธอแสยะยิ้มเย็นชา พูดเสียงเอื่อย “เธอรู้ไหมว่าตอนนี้เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร”


 


 


หางคิ้วของอวี๋กานกานเลิกขึ้นเล็กน้อย ตอบ “ท่ามยมตั้งวงไพ่ขาดอยู่อีกขาหนึ่ง ขาดเธอนั่นแหละ! ส่วนฉันกำลังเผชิญกับปัญหาที่ว่าจะทำยังไงถึงจะส่งเธอลงไปเล่นไพ่กับท่านยมได้”


 


 


เธอไม่ได้อยากจะให้เฉียวพั่นเอ๋อร์ไปตาย ในใจของทุกคนล้วนมีกิเลสส่วนตัว เธอเป็นหมอรักษาชีวิตคน เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง รักษาคนอย่างเท่าเทียมไม่แบ่งแยกคนดีคนเลว ปฏิบัติต่อทุกเรื่องอย่างเท่าเทียมไม่เอนเอียง คุณอยู่ของคุณ ฉันก็อยู่ของฉันไม่ระรานกัน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายจะเอาเธอถึงตาย เธอย่อมต้องภาวนาให้อีกฝ่ายรีบๆ ชิงลงยมโลกไปก่อน


 


 


เมื่อได้ฟังประโยคนี้ของอวี๋กานกาน ใบหน้าของเฉียวพั๋นเอ๋อร์เหมือนถูกย้อมด้วยน้ำหมึกดำ พูดด้วยสีหน้าถมึงทึง “อวี๋กานกาน เธอต้องรู้จักสถานะของตัวเองซะบ้างนะ อย่าทะนงตนว่าตัวเองเก่งกาจ ตอนที่ยังมีโอกาสก็ต้องฉกฉวยเอาไว้ มีคนบางคนที่เธอไม่สามารถหืออือด้วยได้ มิฉะนั้นจะตายโดยไม่รู้สาเหตุ จำเป็นไหม คิดอะไรของเธออยู่”


 


 


“คนที่ไม่สามารถหืออือด้วยได้? เธอน่ะเหรอ เธอคิดว่าตัวเองเป็นองค์หญิงผู้สูงส่งในสมัยก่อนหรือไงอย่างไร สามารถใช้มือเดียวปิดบังท้องฟ้า? ถ้าฉันไม่ยอม พรุ่งนี้ต้องถูกเธอกำจัดทิ้ง?” อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเรียบ วาจาไม่หยาบกร้าน แต่เหน็บแนมเสียดสีทุกคำทุกประโยค ท่าทีแข็งกร้าวไม่หวาดหวั่น


 


 


เปลวเพลิงแห่งความโกรธลุกโชนอยู่ในดวงตาของเฉียวพั่นเอ๋อร์ เธอโยนไม้เด็ดสุดท้าย หยิบเอาสัญญาการซื้อขายออกมาจากกระเป๋า เอ่ยเสียงเย็น “เรื่องคลินิกเธอชาวบ้านชาวช่องเขารู้กันหมดแล้ว ฉะนั้นเธอเซ็นสัญญาฉบับนี้ซะ ปัญหาทั้งหมดก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นเธอก็ต้องไปกับตำรวจสองคนนี้”


 


 


ตำรวจสองคนนี้เป็นพวกที่เฉียวพั่นเอ๋อร์จ้างมาแน่ๆ ใจจริงเธอไม่ได้อยากให้อวี๋กานกานถูกตำรวจจับ เพราะแบบนั้นมันจะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่ เป้าหมายของเธอแค่ต้องการให้อวี๋กานกานยอมถอยแล้วขายคลินิกให้กับเธอ


 


 


ภายในสถานการณ์ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจที่เหนือกว่า อวี๋กานกานกำหมัดแน่น กลั้วหัวเราะ “คลินิกเป็นของฉัน ขอแค่ฉันไม่ยินยอม ต่อให้ฉันต้องเข้าคุกเข้าตาราง คลินิกก็ยังคงเป็นของฉัน!”


 


 


เธอไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจับเข้าคุก ยามาจากคลินิกเธอก็จริงแต่เธอไม่ได้ทำร้ายใคร เธอเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต บนท้องฟ้ามีเมฆ บนพื้นมีหญ้า เธอไม่เชื่อว่าบ้านเมืองจะไม่มีขื่อมีแป! 


ตอนที่ 155 เป็นของคุณ ของคุณตลอดไป


 


 


ท่าทีที่แข็งกร้าวของอวี๋กานกาน ทำให้เฉียวพั่นเอ๋อร์ถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้างตาเบิกโพลง แววตาของอวี๋กานกานคมกริบราวกับใบมีดกินเลือด นัยน์ตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว


 


 


บรรยากาศภายในคลินิกเก่าแก่ที่มีอายุกว่าร้อยปีเงียบสงัดราวกับป่าช้าในทันที จนกระทั่งถูกทำลายด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกประดุจหิมะ เป็นเสียงของฟังจือหันที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด เขากล่าว “ขอแค่คุณไม่ยินยอม อวี้หมิงถางแห่งนี้ย่อมเป็นของคุณตลอดไป!”


 


 


ฟังจือหันกล่าวโดยไร้ซึ่งกิริยามารยาทที่อวดเบ่ง วางอำนาจบาตรใหญ่ แต่กลับเหมือนสายลมที่หอบเกรี้ยวคลื่นนับพันโดยที่อาศัยกำลังเพียงน้อยนิด เมื่อยิ่งเข้าใกล้ฝั่งก็ยิ่งทวีพลานุภาพ ชวนให้รู้สึกเสียววาบไปทั้งสันหลัง


 


 


เฉียวพั๋นเอ๋อร์โมโหจนหัวเราะออกมา เธอโยนสัญญาซื้อขายที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะน้ำชาที่อยู่ข้างๆ “ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง งั้นฉันก็ไม่มีทางเลือก” เธอพูดพร้อมกับหมุนตัว แต่กลับไม่ได้เดินไปไหน ทำเพียงแค่ปรายตามองตำรวจข้างๆ ทั้งสองคน


 


 


เมื่อตำรวจทั้งสองได้รับสัญญาณบอกใบ้จากเฉียวพั่นเอ๋อร์แล้ว พวกเขาก็ก้าวออกมาด้านหน้าตะโกนเสียงดังทันที “ในเมื่อเป็นเจ้าของคลินิกทั้งคู่ งั้นก็จับตัวกลับไปทั้งคู่”


 


 


เมื่อพูดจบปุ๊บพวกเขาก็หยิบกุญแจมือออกมาทันที พร้อมทั้งเดินพุ่งตรงเข้ามาที่อวี๋กานกาน ยังไม่ทันได้สัมผัสโดนตัวอวี๋กานกาน ข้อมือของเขากลับถูกฟังจือหันคว้าเอาไว้ ฟังจือหันนัยน์ตาเย็นชา บิดข้อมือของตำรวจ ได้ยินเพียงเสียง กรอบ ดังสนั่น ฟังจือหันหักแขนของตำรวจคนนั้นไปแล้ว จากนั้นออกแรงผลักเบาๆ ตำรวจคนนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา แดดิ้นอยู่บนพื้น


 


 


ตำรวจอีกคนค่อนข้างมึนงง จู่ๆ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นอย่างปุ๊บปับ เป็นเรื่องที่เขาไม่ได้คำนวณเอาไว้ว่ามันจะเกิดขึ้น เขาชี้ไปที่ฟังจือหัน พูดด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียม “แกกินยากล้าหาญมาเหรอ! กล้าดียังไงมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ ฉันจะบอกอะไรให้…ไอเด็กเวรเอ็งซวยแน่!”


 


 


ตำรวจคนที่แขนหักนอนหมอบอยู่กับพื้น เจ็บปวดจนใบหน้าซีดเซียว มือของเขากุมอยู่ตรงแขนข้างที่เจ็บ ตวาดลั่น “รีบจับตัวมันไป เอามันไปตัดสินโทษ!”


 


 


ด้านนอกมีเสียงไซเรนตำรวจส่งเสียงร้องแหลมยาว ตามมาด้วยตำรวจกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา “ใครหน้าไหนมันกล้ามาก่อเรื่องในเขตของฉัน เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือยังไง!”


 


 


อวี๋กานกานเห็นหมีจั่งอี้วิ่งเข้ามา พวกเขาไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน เป็นตำรวจที่เคยเจอกันสามครั้ง รอบๆ ตัวเขายังคงเต็มไปด้วยออร่าของผู้ผดุงความยุติธรรม


 


 


ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บพูดกับหมีจั่งอี้ “ผมมาจากกองทัพที่สาม คลินิกนี้ฆ่าคนตาย”


 


 


“ฉันไม่สนว่ากองทัพที่เท่าไร ไอ้หนูชุดตำรวจแกยังเป็นชุดชั่วคราวอยู่เลยนี่ ใครให้อำนาจแกมาจับคนสุ่มสี่สุ่มห้า” หมีจั่งอี้พูดพลางฟาดฝ่ามือลงบนศีรษะของตำรวจคนนั้น “ภาพลักษณ์รับใช้ประชาชนชนของพวกเรา ถูกพวกขี้หนู[1]อย่างแกทำลายหมดแล้ว”


 


 


ตำรวจทั้งสองคนที่มาก่อความวุ่นวายถูกจับใส่กุญแจมือ พวกเขาถูกลากออกไปด้านนอกพร้อมทั้งตะโกนเสียงดัง “พวกเราเป็นคนของหัวหน้าหม่า…”


 


 


“ฉันไม่สนว่าแกเป็นคนของใคร เอาตัวไป” หมีจั่งอี้โบกมือออกคำสั่งให้เพื่อนตำรวจลากตัวพวกเขาออกไป หลังจากที่ลากสองคนนั้นออกไปแล้ว เขาก็ตวัดสายตาไปมองเฉียวพั่นเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ “คุณก็มาก่อเรื่องวุ่นวาย?”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์เชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งผยอง ปรายตามาหมีจั่งอี้อย่างเหยียดหยาม “ฉันแซ่เฉียว”


 


 


หมีจั่งอี้กรอกลูกตา “ใครถามแซ่คุณไม่ทราบ ผมถามว่าคุณมาก่อเรื่องหรือเปล่า”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์หน้าเสีย ตำรวจคนนี้มีตาหามีแววไม่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่รู้ฐานะทางสังคมของเธอ “ฉันมาคุยเรื่องธุรกิจ” เธอไม่อยากจะเสวนากับคนดื้อด้านแบบนี้อีก หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป แต่กลับถูกอวี๋กานกานเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน”


 


 


อวี๋กานกานหยิบสัญญาซื้อขายที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาขึ้นมา จากนั้นเหวี่ยงใส่เข้าไปที่ลำตัวของเฉียวพั่นเอ๋อร์ หัวเราะเสียงแหลม “เอาของของเธอกลับไป ของที่เป็นของเธอ ไม่ต้องถึงขั้นสัญญาซื้อขายหนึ่งปึกหรอก แค่กระดาษแผ่นเดียวฉันก็ไม่เอา ส่วนของที่เป็นของฉัน ต่อให้เป็นแค่กระดาษขาดๆ แผ่นเดียวฉันก็ไม่ให้ คลินิกยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึง!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ขี้หนู ประโยคเต็มๆ มาจาก ขี้หนูก้อนเดียวทำโจ๊กเสียทั้งหม้อ หมายถึง ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งเข่ง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 156 กลับตาลปัตร สมบัติล้ำค่าของถนนหนานเจิ้น (1)


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์มองอวี๋กานกานด้วยสายตาจิกกัด ลึกๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เธอโยนสัญญาซื้อขายลงบนพื้นอย่างแรง พูดกับอวี๋กานกานอย่างเจ็บใจ “เยี่ยม หวังว่าหลังจากนี้ เธอจะยังปีกกล้าขาแข็งได้แบบนี้อยู่นะ!”


 


 


เมื่อพูดประโยคนี้จบ เฉียวพั่นเอ๋อร์ก็เดินกระแทกส้นเท้าจากไปทันที เพลิงโทสะในใจเธอที่มีต่ออวี๋กานกานถึงขีดสุดแล้ว ตอนนี้เธอต้องการจะซื้อ อวี๋กานกานไม่ยอมขาย ให้เกียรติไว้หน้าแต่กลับไม่ยอมรับ เธอจะต้องทำให้อวี๋กานกานมาขอร้องเธอให้ซื้อคลินิกให้จงได้ แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยต้องฝืนกล้ำกลืนความโกรธแค้นเท่านี้มาก่อน อีกทั้งยังเป็นเพราะหมอกระจอกๆ ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง เธอจะต้องเอาคืนเป็นสิบเท่า!


 


 


ในระหว่างทางกลับบ้าน เฉียวพั่นเอ๋อร์กำลังครุ่นคิดว่าจะใช้เหตุการณ์ประท้วงครั้งนี้อย่างไรถึงจะทำให้อวี๋กานกานกลายเป็นสัตว์ที่น่าเวทนายิ่งกว่ามดแมลง จะทำอย่างไรให้อวี๋กานกานมาคุกเข่าต่อหน้าเธอ ร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนขอให้ช่วย ไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะทำให้จิตใจสงบลงมาได้ ผลปรากฏว่าเมื่อกลับถึงบ้านทันทีที่เข้าอินเทอร์เน็ต เธอทั้งตกใจและโมโห ถึงขั้นเขวี้ยงแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะลงกับพื้นจนแตกละเอียด เกิดอะไรขึ้นในโลกอินเทอร์เน็ต ต้องเป็นหลินจยาอวี่แน่ๆ ที่ช่วยอวี๋กานกาน นี่หลินจยาอวี่คิดจะเป็นปรปักษ์กับเธอจริงๆ งั้นเหรอ ไม่ว่าอย่างไรก็จะปกป้องคลินิกแห่งนั้นให้ได้?


 


 


แววตาของเฉียวพั่นเอ๋อร์ช่างน่าขนพองสยองเกล้า เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดปุ่มโทรออก ถามด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอพวกขยะไร้ประโยชน์ เกิดอะไรขึ้นกับรายงาน!”


 


 


รายงานที่เธอพูดหมายถึงรายงานผลตรวจของจูซื่อจากโรงพยาบาล ในรายงานยืนยันว่าจูซื่อป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้าย เป็นเหตุให้ล้มป่วยจนถึงแก่ชีวิต ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาของอวี้หมิงถาง เอกสารฉบับนี้ถูกคนโพสต์แฉอยู่บนอินเทอร์เน็ต ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอตกใจมากกว่านี้คือต่อจากนี้ไปต่างหาก มีนักข่าวสัมภาษณ์บรรดาเพื่อนบ้านในละแวกถนนหนานเจิ้น เหล่าบรรดาคุณป้าที่กำลังเต้นแอโรบิกอยู่บริเวณลานกว้างของสวนสาธารณะ เมื่อได้ยินนักข่าวถามถึงอวี้หมิงถางก็ต่างพากันหยุดเต้น ยื้อยุดฉุดกระชากแย่งกันพูด


 


 


“นี่ต้องเป็นการจงใจประท้วงโดยมีเจตนาร้ายแน่ๆ เห็นว่าเสี่ยวเหอไม่อยู่เลยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี๋ที่อยู่คนเดียว เห็นว่าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ข่มเหงได้ง่าย”


 


 


“ทั้งถนนหนานเจิ้นนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่า เมื่อป่วยให้ไปตรวจที่อวี้หมิงถางน่าเชื่อถือที่สุด ตอนที่ผู้เฒ่าเหอยังอยู่ก็ให้ไปหาผู้เฒ่าเหอ หลังจากที่ผู้เฒ่าเหอเสียแล้วก็ให้ไปหาเสี่ยวอวี๋ไม่ก็เสี่ยวเหอ”


 


 


“ปลาน้อยเป็นสมบัติล้ำค่าของถนนหนานเจิ้น มีเขาอยู่พวกเราถึงได้รู้สึกเบาใจได้แบบนี้”


 


 


นักข่าวถามด้วยความประหลาดใจ “สมบัติล้ำค่าของถนนหนานเจิ้นหมายถึงอะไร”


 


 


“ปลาน้อยมีเวลาว่างก็จะมาตรวจชีพจรให้พวกเรา บอกวิธีรักษาและดูแลสุขภาพให้กับพวกเรา มียัยหนูนี่อยู่พวกเรารู้สึกว่าอายุสามารถยืนยาวได้เป็นร้อยปีเลยล่ะ”


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะปลาน้อยช่วยฉันไว้เมื่อปีนั้น มีหรือที่ฉันจะยังมาเต้นแอโรบิกอยู่ที่นี่ได้อีก”


 


 


“หลานของฉันคลอดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอมาตลอด ทุกๆ เดือนปลาน้อยจะมาทำยาน้ำเชื่อมบำรุงให้กับเขา ตอนนี้หลานชายฉันอายุสามขวบแล้ว หวัดไม่เคยเป็น ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีมาก”


 


 


นักข่าวถามต่อ “คลิปวิดีโอสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้มีคุณป้าที่อาศัยอยู่บนถนนหนานเจิ้นคนหนึ่งบอกว่า อวี้หมิงถางเป็นคลินิกที่ทำนาบนหลังคนมาโดยตลอด”


 


 


เหล่าบรรดาคุณป้าตอบกลับด้วยความโมโหเดือดดาล “ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นคนถนนหนานเจิ้นด้วยซ้ำ ฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อน”


 


 


“พวกเราก็ไม่รู้จัก กล้าดียังไงมาทำให้ปลาน้อยของพวกเราเสื่อมเสียชื่อเสียง อย่าให้ฉันเจอนะ ถ้าเจอ ดูสิว่าฉันจะเข้าไปตบสักฉาดไหม”


 


 


ทุกคนต่างช่วยกันพูดเธอประโยคหนึ่งฉันประโยคหนึ่ง ปกป้องอวี้หมิงถางและอวี๋กานกาน ในขณะเดียวกันคลิปวิดีโอที่อวี๋กานกานได้มาจากป้าจาง ทนายได้ทำการเผยแพร่ลงบนอินเทอร์เน็ตและแนบจดหมายแถลงการณ์จากทนายอีกหนึ่งฉบับ พร้อมกับฟ้องร้องบัญชีผู้ใช้อีกหลายบัญชีที่ใช้ถ้อยคำด่าทออย่างหยาบคายเกินกว่าจะรับได้


 


 


เกิดกระแสฮือฮาขึ้นอีกครั้งในโลกอินเทอร์เน็ต ชาวเน็ตมากมายพากันอึ้งกิมกี่ว่าตัวเองกินเผือกผิดชิ้น แถมคนก็ด่าไปแล้วด้วย ครอบครัวของจูซื่อกับคุณหนูแซ่เฉียวอะไรนั้น นึกไม่ถึงว่าพวกนั้นจะใช้ประโยชน์จากกลุ่มคนบริสุทธิ์อย่างพวกเขามาเป็นป้อมปืนโจมตีหมอธรรมดาๆ คนหนึ่ง!


ตอนที่ 157 กลับตาลปัตร สมบัติล้ำค่าของถนนหนานเจิ้น (2)


 


 


โลกอินเทอร์เน็ตเข้าสู่ความโกลาหล บรรดาชาวเน็ตก่อนหน้าที่ด่าทออวี๋กานกาน ครั้งนี้พวกเขาหันกระบอกปืนไปทางครอบครัวจูซื่อและยังมีคุณหนูเฉียวอะไรนั้นด้วย พลานุภาพของระเบิดรุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก มีชาวเน็ตคนหนึ่งเปิดโปง “คุณหนูเฉียว” ว่าที่แท้ก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวแห่งเมืองไป๋หยางเฉียวพั่นเอ๋อร์ ยังมีชาวเน็ตออกมาแฉต่ออีกว่า ‘ตระกูลเฉียวต้องการที่จะซื้ออวี้หมิงถาง เป็นเพราะเจ้าของอวี้หมิงถางไม่ยอมขาย ดังนั้นตระกูลเฉียวจึงวางแผนให้เกิดการประท้วงโดยมีเจตนาร้าย เพื่อทำให้ชื่อเสียงของอวี้หมิงถางเหม็นโฉ่ จากนั้นจะได้รับซื้อในราคาต่ำๆ’


 


 


ส่วนโรงพยาบาลในเครือตระกูลเฉียว เรื่องที่ใส่ร้ายคนไข้ก็ถูกเปิดโปงออกมาอย่างต่อเนื่อง มีคนออกมาแฉข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับกระบวนการการรักษาของโรงพยาบาลในเครือตระกูลเฉียวแทบจะทุกวัน เนื้อข่าวเขียนว่าโรงพยาบาลตระกูลเฉียวหน้าเงิน หลอกขายประกัน การตรวจรักษาเป็นงานรอง อีกทั้งยังมักจะวินิจฉัยโรคผิดพลาด ใช้โรคร้ายแรงขู่ผู้ป่วยให้กลัว ใช้ยาแรงมารักษาโดยปราศจากข้อบ่งชี้ ไม่สนใจว่าจะรักษาให้หายได้หรือไม่ ขอแค่อีกฝ่ายจ่ายเงินก็พอ 


 


 


เพียงพริบตาเดียวเรื่องราวลุกลามไปทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต ปวงชนเดือดพล่านเฮโรกันออกมาตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ ด่าทอ ประณามตระกูลเฉียวและโรงพยาบาลในเครืออย่างบ้าคลั่งจนควบคุมไม่อยู่เป็นไฟลามทุ่งทุกไปทั่วทุกหัวระแหง


 


 


ตระกูลเฉียวได้ออกมาตรการมารับมือวิกฤติการณ์นี้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของโรงพยาบาลในเครือตระกูลเฉียวดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งประเทศ โครงการศูนย์บ้านพักคนชราได้นำชื่อตระกูลเฉียวออกจากใบรายชื่อเป็นที่เรียบร้อย แม้แต่แผนการขยายเครือค่ายไปยังเมืองจิงก็ถูกเหล่าบรรดาผู้ร่วมหุ้นยกเลิก


 


 


ประธานคณะกรรมการบริหารตระกูลเฉียว บิดาของเฉียวพั่นเอ๋อร์เฉียวก่วงเฉิง เขาโมโหโกรธเกรี้ยวดุจอสนีบาต กวาดของทุกสิ่งทุกอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานหล่นระเนระนาดไปบนพื้นในคราเดียว


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์เองก็โกรธแค้นและอัดอั้นไม่แพ้บิดา เธอรอจนก่วงเฉิงอารมณ์เย็นลง จากนั้นพูดในสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์ “เป็นหลินจยาอวี่ค่ะ อวี๋กานกานกำลังรักษาอาการป่วยให้หลินจยาอวี่อยู่ ต้องเป็นจยาอวี่ที่เป็นคนช่วยแน่ๆ ไม่งั้นหมอกระจอกๆ ตัวคนเดียวจะกล้าเป็นปรปักษ์กับพวกเราได้ยังไง”


 


 


สีหน้าของเฉียวก่วงเฉิงเขียวปี๋ เขาจุดบุหรี่หนึ่งมวลสูดเข้าไปเต็มสองปอด กล่าว “เรื่องซื้อคลินิกหยุดไว้ชั่วคราวก่อน”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์หน้าซีดเซียว “พ่อ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สู้พวกเรา…”


 


 


ไม่ต้องรอให้เฉียวพั่นเอ๋อร์พูดจนจบ ผู้เป็นบิดาพูดตัดบทขึ้นมาทันที “ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่เห็น ยัยเด็กหลินจยาอวี่นั้นไม่มีอำนาจที่จะทำแบบนี้ได้ พ่อต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังแผนการนี้!”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์พยักหน้าด้วยสีหน้าอัดอั้นตันใจ เธอเดินออกมาจากห้องทำงานเตะกระถางดอกไม้ที่วางอยู่ข้างทางเดิน ขบฟันดังกรอด “อวี๋กานกาน ระหว่างแกกับฉันมันยังไม่จบเท่านี้แน่!”


 


 


พวกเขาจะจบหรือไม่จบอวี๋กานกานไม่รู้ เธอรับรู้เพียงแค่เรื่องของจูซื่อไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคลินิกของเธอ ที่เหตุการณ์การประท้วงอันสุดแสนวุ่นวายครั้งนี้จบลงไปได้โดยง่าย เธอต้องขอบคุณฟังจือหัน ลู่เสวี่ยเฉินและหลินจยาอวี่


 


 


แม้ว่าหลินจยาอวี่จะไม่ได้โทรหาอวี๋กานกาน แต่เธอคอยช่วยอธิบายและชี้แจงแทนอวี๋กานกานอยู่ในเว่ยปั๋วตลอด เพียงแต่ว่าเธอเองก็ถูกชาวเน็ตรุมประณาม ทั้งยังมีคนจงใจยุยงปลุกปั่น คำอธิบายและคำชี้แจ้งของหลินจยาอวี่ไม่มีใครเชื่อสักคน


 


 


อวี๋กานกานใช้แขนหนึ่งข้างเท้าคาง ยิ้มอย่างสดใสให้ฟังจือหันพร้อมกับกล่าว “ฉันอยากเชิญลู่เสวี่ยเฉินมากินข้าว นายโทรศัพท์หาเขาให้หน่อยสิ”


 


 


ฟังจือหันเอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างสบายอกสบายใจ หลับตาพริ้ม เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋กานกาน เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พูดนิ่งๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ชวน”


 


 


อวี๋กานกานจะร้องไห้ก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก มองฟังจือหันตาค้าง “…แต่ว่า ไม่เชิญลู่เสวี่ยเฉิน ฉันก็จะเชิญหลินจยาอวี่อยู่ดี ขอบคุณที่เธอช่วยเหลือฉัน”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 158 ไม่ได้ ยังโดนตัวผู้หญิงไม่ได้


 


 


ตอนที่ลู่เสวี่ยเฉินได้รับสายของอวี๋กานกานเขาอยู่ในห้องพักห้องหนึ่งในโรงแรม บนเตียงในห้องของเขามีสาวพราวเสน่ห์เผ็ดร้อนนอนแผ่หลาอยู่ เธอสวมชุดนอนสายเดี่ยวที่หลุดจากหัวไหล่ข้างหนึ่งเผยให้เห็นเนินอกขาวเนียน นิ้วมือแตะอยู่ที่ริมฝีปากพร้อมกับขบเม้มเล็กน้อย จ้องมองลู่เสี่ยเฉินด้วยสายตาเย้ายวน


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเหลือบไปมองหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง แต่ความรู้สึกกลับสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง สวยหยาดเยิ้ม เซ็กซี่ยั่วยวน สเปคที่เขาชอบแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่อยากจะเข้าใกล้แม้แต่น้อย เมื่อครู่นี้ตอนที่มืออันแสนนุ่มนิ่มของหญิงสาวลูบไล้ไปมาบนหน้าอกของเขา เขากลับมีความรู้สึกว่าอยากจะแกะมือของเธอออกแล้วผลักออกไปให้ไกลๆ ก่อนหน้านี้ที่เขาเคยสัมผัสโดนตัวหลินจยาอวี่ เขากลับไม่มีความรู้สึกรังเกียจแบบนี้ หรือหลินจยาอวี่จะเป็นผู้ชาย…


 


 


ตอนนี้จะทำอย่างไรดี เขาเป็นถึงหนุ่มเจ้าสำราญลู่เสวี่ยเฉินเชียวนะ ถ้าหากใครมารู้เข้าว่า เขาลู่เสวี่ยเฉินพาสาวขึ้นห้องมาได้แล้ว แต่กลับไร้น้ำยา เขาคงถูกหัวเราะเยาะไปชั่วชีวิต เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ลู่เสวี่ยเฉินที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะจัดการกับหญิงสาวคนนี้อย่างไรดี ประหนึ่งได้รับการปลดแอก เขารีบปลีกตัวออกไปรับโทรศัพท์ เมื่อได้ยินว่าอวี๋กานกานจะเชิญเขาไปรับประทานอาหาร เขาก็รีบไล่หญิงสาวคนนั้นออกไปอย่างแนบเนียน


 


 


หญิงสาวยังคงออดอ้อนใส่ลู่เสวี่ยเฉิน “ไม่เอาน่า คุณชายลู่ขา…”


 


 


สะดีดสะดิ้งราวกับหนอนไชทวาร ลู่เสวี่ยเฉินรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว ที่แท้ผู้หญิงที่ออดอ้อนเกินไปนอกจากไม่ทำให้กระชุ่มกระชวยแล้ว ยังทำให้รู้สึกขยะแขยงด้วย


 


 


……


 


 


อวี๋กานกานเชิญพวกเขามาที่ภัตตาคารซื่อจี้หวงจู๋ เป็นที่นั่งที่เดิมกับครั้งก่อน หลังจากที่เครื่องดื่มและอาหารเสิร์ฟครบแล้ว อวี๋กานกานชูแก้วไวน์ขึ้นพร้อมกล่าว “ขอบคุณทุกคนที่ช่วยให้ฉันและอวี้หมิงถางผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด วันหน้าหากทุกคนมีเรื่องใดให้ฉันช่วย ฉันจะไม่ปฏิเสธ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟฉันก็จะช่วยอย่างเต็มความสามารถไม่หวาดหวั่น”


 


 


เมื่อพูดจบอวี๋กานกานกระดกไวน์ในแก้วดื่มรวดเดียวหมดทันที ถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านี้ เธอหมอธรรมดาๆ ตัวคนเดียวที่ไม่มีพื้นหลังครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีเส้นสาย ต่อให้ได้คลิปวิดีโอมาจากป้าจาง เรื่องก็คงไม่จบอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบเช่นนี้


 


 


เธอไม่รู้ว่าทำไมฟังจือหันจู่ๆ ถึงมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเธอ เคยถามแต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมตอบ เธอจึงไม่อยากเซ้าซี้อีก ฟังจือหันเขาอาจจะเจ้าเล่ห์ แต่ก็เป็นสุภาพบุรุษ คนที่มีสติปัญญาความรู้ล้วนมองออกกันทั้งนั้นว่าตัวเธอไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไร หรืออาจจะเป็นเพียงเพราะว่าเป็นเธอ…เขาจึงคอยหนุนหลัง คอยขจัดขวากหนาม คอยแก้ไขเรื่องวุ่นวายให้ หรืออาจจะมีเป้าหมายอื่น แต่ในใจของเธอกลับมีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง นั้นก็คือเธอเชื่อเหลือเกินว่าฟังจือหันจะไม่ทำร้ายเธอ


 


 


อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเขา ลู่เสวี่ยเฉินและหลินจยาอวี่เป็นอย่างยิ่ง ใช้ใจแลกใจ จากนี้ต่อไปพวกเขาคือเพื่อนของเธอ


 


 


“ตรงไปตรงมาดี” ลู่เสวี่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ กระดกรวดเดียวหมดเช่นกัน ตามมาด้วยหลินจยาอวี่ มีเพียงฟังจือหันที่ยังนิ่งอยู่


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินมองฟังจือหัน “ฟังจือหัน ทำไมไม่ดื่มล่ะ”


 


 


ฟังจือหันลูบไล้แก้วไวน์ ยกยิ้ม “ฉันเป็นคนในครอบครัว”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินแค่นเสียงดังเหอะ เขาหันหน้าไปมองอวี๋กานกาน เธอกำลังพูดคุยกับหลินจยาอวี่ น้ำเสียงนุ่มละมุมและแผ่วเบามาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาฉายประกายลักษณะของผู้ที่มีกิริยามารยาทงดงามสูงส่ง สาวสวยใสซื่อแบบนี้กลับมาโดนคนอย่างฟังจือหันหมายตา เขารู้สึกเสียดายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองหลินจยาอวี่ เจ้าหญิงน้ำแข็งแสนเย็นชาพูดน้อยคนนี้ เมื่อครู่ตอนที่เขาเดินเข้ามา เขาจงใจเดินเฉียดหลินจยาอวี่ เหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรตรงไหน หรือว่าจะเป็นเพราะผู้หญิงคนที่เรียกมาในวันนี้ เขายังไม่สนิทกับเจ้าหล่อนมากพอจึงรู้สึกกระอักกระอ่วน?


ตอนที่ 159 อัดมัน มันวอนโดนอัด


 


 


ตอนนี้ลู่เสวี่ยเฉินและอวี๋กานกานถือว่าสนิทกันแล้ว เขาอยากลองเอาเท้าไปสะกิดขาของอวี๋กานกาน ลองทดสอบดูสักหน่อยก็แล้วกัน ในขณะที่กำลังคิดอยู่ ลู่เสวี่ยเฉินก็คอยๆ เลื่อนเท้าของตัวเอง ทันใดนั้นเกิดเสียงกระทบกันระหว่างตะเกียบและช้อนดังขึ้นจากด้านข้าง เขาหันไปมองตามสัญชาตญาณ พลันสบเข้ากับนัยน์ตาเย็นยะเยือกของฟังจือหัน จากนั้นมีฝ่าเท้าของคนคนหนึ่งเหยียบเข้าที่เท้าของเขาอย่างแรง!


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเจ็บจี๊ดจนตัวหงิกตัวงอ เขาข่มความเจ็บไว้ มองฟังจือหันด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน “นายเหยียบเท้าฉันทำไมเนี่ย”


 


 


ฟังจือหันจ้องมาที่เขา พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ขัดหูขัดตา”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าฟังจือหันมองออกว่าเขาวางแผนจะสะกิดอวี๋กานกาน หมอนั่นจึงจงใจเหยียบเท้าของเขา ก็แค่โดนนิดโดนหน่อย ไม่ได้ลวนลามสักหน่อย เอะอะ หึง เอะอะหึง หวงจนน่ากลัว อยากครอบครองจนน่ากลัว โรคจิตชัดๆ


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินวางตะเกียบลงอย่างแรง ถลึงตาใส่ฟังจือหันด้วยความโกรธ “ขอโทษฉันมาเลย ไม่งั้นไม่จบ”


 


 


ในปากของอวี๋กานกานมีลูกชิ้นปลาคาอยู่ ยังไม่ทันได้กลืน แก้มทั้งสองด้านพองออก มองลู่เสวี่ยเฉินที่จู่ๆ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในตอนที่เธอกำลังจะเอ่ยปากถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามายืนอยู่บริเวณด้านข้างโต๊ะของพวกเขา


 


 


ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาใช้ได้ โครงหน้าคมคายแบบลูกครึ่ง รูปร่างกำยำล่ำสัน มาดแมนดั่งชายชาตรี ในมือของเขาถือดอกกุหลายอยู่หนึ่งดอก


 


 


ในตอนที่อวี๋กานกานเห็นชายหนุ่มคนนี้ เธอคิดว่าเขาน่าจะมาจีบหลินจยาอวี่ เพราะหลินจยาอวี่เป็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ สาวสวยแบบนี้ต่อให้เย็นชาก็ยังสามารถทำให้ชายหนุ่มคลั่งไคล้ได้ กลับกันกับหลินจยาอวี่ ตอนที่เธอเห็นชายหนุ่มคนนี้ เธอคิดว่าเขาต้องเข้ามาจีบอวี๋กานกานแน่ สำหรับเธออวี๋กานกานสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ถ้าเธอเป็นผู้ชาย เธอเองก็ต้องชอบและหมายมั่นว่าจะแต่งอวี๋กานกานเข้าตระกูลอย่างแน่นอน แต่ผลปรากฏว่าเกินความคาดเดาของพวกเธอทั้งสองอย่างสิ้นเชิง


 


 


ดอกกุหลาบของชายหนุ่มไม่ได้ถูกยื่นมาให้พวกเธอคนใดคนหนึ่ง แต่กลับถูกยื่นไปตรงหน้าของลู่เสวี่ยเฉิน สายตาลึกซึ้งของชายหนุ่มจ้องมองไปยังลู่เสวี่ยเฉิน “สวัสดีครับ ผมชื่อหมาเค่อซือ เรามาทำความรู้จักกันสักหน่อยได้ไหมครับ”


 


 


พูดยังไม่ทันจบดีก็เกิดเสียงเพี้ยะ ดังขึ้น จานชามบนโต๊ะอาหารสั่นสะเทือนส่งเสียงดังโพล้งเพล้ง ลู่เสวี่ยเฉินตบโต๊ะ ถลึงตาและพูดใส่ชายหนุ่มคนนั้นอย่างโหดเ**้ยมอำมหิต “เชื่อไม่เชื่อว่าตูจะเอาเอ็งให้ตาย!”


 


 


ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ ถือดอกกุหลาบกุลีกุจอรีบวิ่งหนี ภาพเหตุการณ์นี่มันช่างพิลึกเสียนี่กระไร


 


 


อวี๋กานกานช็อก อ้าปากค้าง “…”


 


 


หลินจยาอวี่ช็อก ตาเบิกโต “…”


 


 


แต่ฟังจือหันกลับสงบนิ่ง สีหน้าไม่มีความประหลาดใจแม้แต่น้อย ทั้งยังมีอารมณ์มาคีบอาหารให้อวี๋กานกานอีก เห็นได้ชัดว่าภาพเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟังจือหันเคยเห็น


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินขมวดคิ้วแน่นเป็นปม สีหน้าดูไม่ได้


 


 


อวี๋กานกานต้องการจะปลอบเขา “แหะๆ นึกไม่ถึง ว่านายจะเสน่ห์แรงขนาดนี้” เสน่ห์ของหญิงสาวสองคนรวมกันยังสู้ลู่เสวี่ยเฉินที่สวยหวานยากที่จะแยกออกว่าเป็นเพศหญิงหรือชายไม่ได้ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงช่างรู้สึกน่าละอายแก่ใจเหลือเกิน…


 


 


คำพูดนี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถปลอบประโลมลู่เสวี่ยเฉิน หนำซ้ำยังทำให้ดวงตาคู่สวยของลู่เสวี่ยเฉินเกิดเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นอย่างฉับพลัน เขาลุกพรวดขึ้น อวี๋กานกานตกใจเผลอลุกขึ้นยืนตาม


 


 


ฟังจือหันยื่นมือออกมาดึงเธอให้นั่งลง “นั่งกินข้าวดีๆ”


 


 


อวี๋กานกานมองลู่เสวี่ยเฉินด้วยความเป็นห่วง “นายจะทำอะไร”


 


 


ความโกรธเกรี้ยวของลู่เสวี่ยเฉินพุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสุด ปลอดปล่อยไอสังหาร มองไปทางที่ชายหนุ่มคนเมื่อครู่เดินออกไป พูดอย่างโหดเ**้ยม “ไปอัดมัน!”


 


 


เขาคือลู่เสวี่ยเฉินเชียวนะ ลู่เสวี่ยเฉินผู้โหดเ**้ยมไร้เหตุผล จะมาโดนคนอื่นหยามเกียรติแบบนี้ได้อย่างไร


 


 


หลินจยาอวี่เหลือบสายขึ้นมองลู่เสวี่ยเฉิน พูดหน้าตาย “เขาวอนโดนนายอัดจะแย่อยู่แล้ว”


 


 


อวี๋กานกานปิดปากตัวเองด้วยความอึ้งทึ่ง “….”  


 


 


พระเจ้าช่วย จยาอวี่ เธอนี่มันช่างกล้าพูดจริงๆ   


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 160 น่ารักจนหัวใจจะวาย


 


 


ใบหน้างดงามอันแสนชั่วร้ายของลู่เสวี่ยเฉินถมึงทึงลงทันที เขาหันไปมองหลินจยาอวี่ด้วยสายตาเย็นยะเยือก


 


 


หลินจยาอวี่เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตนเองเลือกใช้คำผิด รีบกล่าว “ขอโทษ” จะยืดก็ได้จะหดก็ได้[1] ยอมรับผิดและกล่าวขอโทษออกมาทันที ทำให้ลู่เสวี่ยเฉินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินสบเข้ากับดวงตาใสสะอาดของหญิงสาว ราวกับดาวเหนือในค่ำคืนที่มีหิมะโปรยปราย ช่างสวยสดงดงามชวนให้อยากนำเอามาครอบครอง ความคิดเช่นนี้ทำให้ลู่เสวี่ยเฉินถึงกับกระแอมออกมาเบาๆ เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พูดด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “เพื่อดึงความสนใจจากผม ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้วิธีนี้”


 


 


ผู้ชายคนก่อนหน้านี้ก็ใช่ หลินจยาอวี่เองก็ด้วย ต้องการดึงความสนใจจากเขาอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่วิธีเหล่านี้มันตื้นเขินเกินไป โชคดีที่เขาเป็นคนใจกว้างเลยไม่ถือสาเอาความ


 


 


อวี๋กานกานและหลินจยาอวี่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร พวกเธอนึกว่าที่ลู่เสวี่ยเฉินพูดนั้น หมายถึงชายหนุ่มคนก่อนหน้า เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง อวี๋กานกานหลินไวน์อีกขวด ชนแก้วกับลู่เสวี่ยเฉิน เดิมทีเธอก็ไม่ได้เป็นคนคอแข็งอยู่แล้ว แค่ไวน์สองแก้วนี้ลงท้องไปก็เริ่มมีอาการมึนๆ แล้ว หลังจากนั้นยังคุยกับหลินจยาอวี่พลางดื่มไปพลาง ตอนขากลับเธอจึงอยู่ในสภาพเมาแอ๋ อาหารมื้อนี้ตั้งแต่ต้นจนจบฟังจือหันไม่ได้แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้แต่หยดเดียว เขาจึงต้องรับหน้าที่ส่งทุกคนกลับบ้าน


 


 


หลังจากลงจากรถแล้ว อวี๋กานกานต้องเดินผ่านทางซิกแซ็ก เธอเดินเซไปฝั่งนั้นทีฝั่งนี้ที ราวกับกำลังวาดเลขแปด


 


 


“ระวัง” หลินจยาอวี่รีบเดินเข้าไปประคองอวี๋กานกาน


 


 


“ขอบคุณนะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว” อวี๋กานกานยืดตัวตรง ยิ้มหวานให้กับหลินจยาอวี่ ดวงตาที่หวานเยิ้มโค้งเว้าเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ราวกับพระจันทร์เสี้ยวที่โอบล้อมไว้ด้วยดวงดาราในยามราตรี


 


 


อวี๋กานกานสะอึกออกมา มองฟังจือหันที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นโบกไม้โบกมือ “ฟังจือหัน นายอย่าเซไปเซมาสิ ฉันมึนหัวไปหมดแล้ว”


 


 


ฟังจือหันยืนตัวตรงไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะฝนกระหน่ำหรือลมกระโชก ขอเพียงแค่เขาไม่ยอมโอนเอนตาม เปรียบเสมือนกับต้นสน ต่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ลมฝนโหมกระหน่ำก็ยังคงยืนต้นได้อย่างสูงตระหง่าน


 


 


ฟังจือหันยื่นแขนออกไปอุ้มอวี๋กานกานในท่าเจ้าสาว อวี๋กานกานทั้งไม่ส่งเสียงร้องและไม่ตกใจ ใช้ใบหน้าถูไถไปที่แขนของฟังจือหัน ทันใดนั้นคิ้วที่ขมวดอยู่ของเธอก็ค่อยๆ คลายออก จากนั้นชูแขนทั้งสองข้างออกมา พร้อมกับกระพือขึ้นลง


 


 


หลินจยาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ มองอวี๋กานกานด้วยความตกใจ “กานกาน เป็นอะไร”


 


 


มือของอวี๋กานกานยังคงไม่หยุดกระพือ สะบัดศีรษะไปมาครู่หนึ่ง จากนั้นกระพือแขนต่อ พร้อมกับพูดว่า “ฉันเป็นนกน้อยหนึ่งตัว ฉันกำลังโบยบินโบยบิ้น~”


 


 


หลินจยาอวี่ “…”


 


 


ฟังจือหันหลุบตาลงต่ำ มองเธอด้วยสายตาเอือมระอาระคนเอ็นดู “…”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินทนไม่ไหว ขำพรืดออกมา “ปลาน้อย เธอทำให้ฉันขำจนท้องจะแตกตายแล้ว” เขารู้สึกว่าบรรดาคุณป้าเรียกอวี๋กานกานได้อย่างสนิทสนม ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนมาเรียกแบบนี้บ้าง อีกทั้งตอนที่เรียกยังให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้อาวุโสกว่าด้วย


 


 


นัยน์ตาของหลินจยาอวี่ปรากฏรอยยิ้มบางๆ เธอมองอวี๋กานกานที่ถูกฟังจือหันอุ้มไว้ “น่ารักจริงๆ” เธอพูดเสียงเบามาก ฟังจือหันที่ก้าวเดินออกไปแล้วพร้อมกับอวี๋กานกานที่อยู่ในอ้อมอกจึงไม่ได้ยิน แต่ลู่เสวี่ยเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับได้ยิน เขาพูดเสริมตามสัญชาตญาณ “ใช่ น่ารักดี”


 


 


ทั้งสองหันมาสบตากันแวบหนึ่ง ในวินาทีถัดมาหมุนตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน คนหนึ่งเดินไปทางขวา อีกคนเดินไปทางซ้าย


 


 


ฟังจือหันวางอวี๋กานกานไว้บนโซฟา จากนั้นริมนมให้เธอหนึ่งแก้ว “จะได้สร่างเมาแล้วไปอาบน้ำอาบท่า”


 


 


อวี๋กานกานเหยียดกายขึ้นมานั่งบนโซฟา มองฟังจือหันด้วยสายตาสะลึมสะลือ จากนั้นเรียกเบาๆ “อาจารย์คนสวย?”


 


 


น้ำเสียงน่ารักแฝงไว้ด้วยความออดอ้อน ชวนให้รู้สึกน่ารักจนหัวใจจะวาย ทว่าชื่อคนที่เธอเรียกออกมาจากปาก กลับไม่ใช่ชื่อของเขา…


 


 


 


 


——


 


 


[1] จะยืดก็ได้จะหดก็ได้ หมายถึง ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เร็ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม