วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 15.3-15.9

ตอนที่ 15-3

 

“อึก…” 


 


 


ฮอนส่งเสียงครางออกมาเบาๆ รอบด้านมืดสนิทและเสียงก็อยู่ห่างไกลออกไป แม้จะอยากขยับตัว แต่สติอันเลือนรางกลับเย้ยหยันฮอนที่กำลังจะคว้ามันเอาไว้ก่อนจะชิ่งหนีไป หมดสติไปนานเท่าไหร่แล้วนะ ครึ่งชั่วยาม หรือหนึ่งชั่วยาม? หนึ่งปี หรือว่าสองปี? ในขณะที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังลืมตาหรือหลับตาอยู่นั้น มีใครบางคนสอดแทรกลิ้นเข้ามาภายในปาก รยูฮาหรือเปล่านะ น่าจะเป็นรยูฮา ต้องเป็นนางแน่ๆ ริมฝีปากของฮอนที่อ้าออกดื่มอะไรบางอย่าง 


 


 


“รยูฮา…” 


 


 


ริมฝีปากที่ผละออกอย่างยากเย็นเรียกคนรักอย่างหมดแรง แต่แทนที่จะได้คำตอบ บางสิ่งที่อยู่ตรงหว่างขาของเขากลับเริ่มพองโตขึ้น สติที่กลับมาได้อย่างหวุดหวิดเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกนั้น 


 


 


“อ้า รยูฮา…รยูฮา” 


 


 


พอเรียกหารยูฮาด้วยเสียงที่ขาดๆ หายๆ ก็รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าด้านล่างและรู้สึกถึงน้ำหนักซึ่งกดทับอยู่บนหน้าอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจเริ่มหอบถี่ ส่วนร่างกายก็เริ่มร้อนรุ่ม เมื่อเส้นผมที่ยาวลงมาจากด้านบนจั๊กจี้ใบหน้า ฮอนจึงยิ้มเบาๆ และจับมันมาดมตรงจมูก จากนั้น… 


 


 


“เจ้าคือใคร” 


 


 


เขาคว้าข้อมือของหญิงสาวแปลกหน้าอย่างแรง นี่มันกลิ่นหอมของชะมดต้น[1]น่าสะอิดสะเอียนไม่ใช่กลิ่นหญ้าสดชื่นและหอมหวานเสียหน่อย เขาสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทาที่ไม่สามารถควบคุมได้จากข้อมือที่จับไว้อยู่ และในตอนนั้นเองกลิ่นชะมดต้นที่คละคลุ้งไปทั่วภายในห้องก็โถมเข้ามาในจมูกในคราวเดียว ไม่ใช่รยูฮา ความใคร่ที่พลุ่งพล่านจึงแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ  


 


 


“ฝะ ฝ่าบาท…” 


 


 


“มีใครอยู่ข้างนอกไหม! มาจุดไฟเดี๋ยวนี้!” 


 


 


ความเงียบสงบผิดปกติที่ปกคลุมไปทั่ววังจานยองกุงพังทลายลง ใบหน้าของสาวบริสุทธิ์ที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาและความกลัวปรากฏขึ้นมาทันทีที่ซังกุงรีบเข้ามาจุดไฟ ในระหว่างที่เหล่าซังกุงหมอบอยู่ข้างล่างเตียงโดยที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรนั้น ขันทีโจก็เข้ามาสวมเสื้อคลุมทับบนร่างกายอันเปลือยเปล่าของฮอน 


 


 


“ใครให้เจ้าเข้ามาที่นี่” 


 


 


น้ำเสียงอันเยือกเย็นจนคิดว่าเป็นคนละคนกับคนที่เรียกหาพระมเหสีเมื่อสักครู่ ทำให้สาวบริสุทธิ์นางนั้นถึงกับกลัวจนตัวสั่น 


 


 


“นางไม่รู้เรื่องอะไรด้วยพ่ะย่ะค่ะ แค่ทำตามที่พระมเหสี…” 


 


 


“โธ่เว้ย” 


 


 


ฮอนสะบัดข้อมือที่กำไว้ราวกับจะทำให้หักคามือทิ้งไปพร้อมกับสบถออกมา เขาลุกพรวดขึ้นและสวมแขนเข้าไปในเสื้อคลุมที่ขันทีโจส่งให้ 


 


 


“ไปพาพระมเหสีมา ไม่สิ เดี๋ยวข้าไปเอง” 


 


 


“คือว่า เรื่องนั้น…” 


 


 


แม้แต่ท่าทางของซังกุงที่ชักช้าลีลาก็ดูมีพิรุธ หลังจากทำเรื่องแบบนี้ลงไปแล้ว รยูฮากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


“ยังไม่รีบบอกอีกว่าพระมเหสีอยู่ที่ไหน” 


 


 


“ทรงประทับอยู่ที่สวนด้านหลังเพคะ หม่อมฉันทำความผิดที่สมควรแก่ความตายเพคะ!” 


 


 


ฮอนรีบพุ่งตัวออกไปยังสวนด้านหลังโดยไม่อยู่ฟังคำพูดสุดท้ายของซังกุง สวนด้านหลังมืดสนิทไม่มีไฟสักดวง แต่แล้วก็เห็นเงารางๆ บนก้อนหินที่รยูฮาชอบขึ้นไปนั่งตรงข้างๆ สระน้ำขนาดเล็ก ซึ่งนางกำลังทอดสายตามองดูสระน้ำพลางร้องเพลงฮึมฮัมอะไรไม่รู้เพียงลำพัง 


 


 


“ซอรยูฮา!” 


 


 


รยูฮาได้ยินเสียงที่คุกรุ่นไปด้วยความโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่นางใช้เวลานานอย่างมากกว่าจะหันหลังกลับมามอง อย่างน้อยก็มีฮอนที่รู้สึกเช่นนั้น ใบหน้าของนางหันมาแค่ครึ่งเดียวจนกระทั่งเขาคว้าไหล่นั้นให้หันมาหาตนเอง ในตอนนั้นเองเขาจึงเห็นขวดเหล้าเปล่าหลายขวดกลิ้งอยู่ข้างๆ นาง 


 


 


“ฮอนของพวกเรามาแล้วหรือ” 


 


 


ในเวลาอย่างนี้ยังยิ้มอย่างงดงามได้อีก เพราะแบบนั้นหรือเปล่า ฮอนถึงได้เขวี้ยงขวดเหล้าที่น่าสงสารออกไปแทนที่จะตะโกนใส่รยูฮา 


 


 


“ข้าไม่ต้องการ ทั้งรัชทายาท ทั้งนางสนม ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องการ” 


 


 


“รัชทายาท นางสนม” 


 


 


สมองที่หยุดคิดไปเพราะอาการเมาเหล้าเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง รยูฮาหลุดหัวเราะออกมาและสะบัดมือของฮอนที่แตะอยู่บนไหล่ออก แล้วจึงนั่งกอดเข่าบนก้อนหิน 


 


 


“ไม่น่าเป็นองค์รัชทายาทเลย น่าจะเป็นแค่องค์ชาย แล้วลงไปอยู่ด้วยกันที่ชนบทกับข้า” 


 


 


“เข้าไปข้างในกันเถอะ” 


 


 


“ขอดื่มต่ออีกนิดนะ” 


 


 


“ไม่ได้” 


 


 


ฮอนแย่งขวดเหล้าที่รยูฮาถืออยู่แล้วโยนทิ้งไปในสระน้ำ ก่อนจะอุ้มร่างกายที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมา แม้ตั้งใจจะเค้นถามด้วยความโมโหทันทีที่เจอ แต่ถ้าทำเช่นนั้นมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก ช่วงเวลาอันเจ็บปวดต่างถูกสลักลงบนขวดเหล้าทุกขวดที่กลิ้งไปมา 


 


 


“ไปกันเถอะ ยาที่เจ้าให้ข้ากิน มันทำให้ข้าจะบ้าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบ” 


 


 


ร่างกายที่เขาโอบอุ้มอยู่นั้นมีน้ำหนักเบาราวกับขนนก รยูฮาผอมเหมือนกับตอนนั้นที่เขาได้นางคืนมาพร้อมกับราชบัลลังก์ เฮงซวย เขาสบถว่าตัวเองออกมาจากปาก แต่แทนที่จะรู้สึกเบาใจขึ้น กลับรู้สึกอึดอัดเหมือนกับมีก้อนหินทับอยู่เสียอย่างนั้น 


 


 


“ทั้งหมดถอยออกไป ออกไปห่างๆ” 


 


 


เหล่าข้าราชบริพารที่ออกันเต็มข้างหน้าตำหนักบรรทมถอยออกไปด้านนอกโถงทางเดิน ขวดเหล้ากับแก้วเหล้าที่วางเรียงกันบนโต๊ะ รวมถึงเตียงนอนที่ยับยู่ยี่ก็ยังเหมือนเดิม เหมือนเมื่อตอนที่ฮอนออกไปเมื่อสักครู่ เขาให้รยูฮานอนลงบนเตียง ก่อนจะพิจารณาดูแก้วเหล้าที่ตนเองดื่มก่อนหน้านี้ มีผงเล็กน้อยที่ยังไม่ละลายอยู่ตรงก้นแก้ว นั่นน่าจะเป็นยาที่รยูฮาเอาให้ตนเองกินแน่นอน ความเดือดดาลที่อดกลั้นไว้จึงระเบิดออกมา ฮอนรินเหล้าลงในแก้วและใช้นิ้วนางคนจนผงละลาย เขาลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะอมมันไว้ในปาก แต่ก็ลังเลได้ไม่นานนักเพราะรยูฮาคงจะไม่ให้ตนเองกินอาหารที่มีพิษหรอก กลิ่นหอมโชยออกมาจากริมฝีปากที่แตะกัน กลิ่นหอมที่ระคนกับกลิ่นเหล้าและกลิ่นกายของรยูฮาทำให้เขาหวนนึกถึงวันในฤดูใบไม้ร่วงที่รยูฮาเมาเหล้าและจูบเขาขึ้นมา เหล้าและยาที่บรรจุอยู่เต็มปากของฮอนค่อยๆ ไหลผ่านปลายลิ้นที่แทรกเข้าไปในริมฝีปากที่อ้าออกอย่างช้าๆ ลำคอขาวขยับขึ้นลงพร้อมกับกลืนสิ่งนั้นลงไป จากนั้นไม่นานศีรษะของรยูฮาก็ร่วงหล่นลงไป 


 


 


“วันนี้เจ้าแย่มากเลยนะ” 


 


 


ฮอนกระซิบกระซาบราวกับแก้ตัว ก่อนจะเอามือไปวางไว้บนปมผูกเสื้อสีขาว ชุดนอนตัวบางถูกเขาถอดออกอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นเนื้อหนังที่ถูกปกปิดไว้ กลิ่นเหล้าและกลิ่นยา ความเสียใจและความโกรธ ความรักและความปรารถนา ทั้งหมดต่างสูญเสียเส้นแบ่งและรวมกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียวหมุนเวียนอยู่ภายในเลือด 


 


 


“เฮ้อ ให้ตายเถอะ” 


 


 


ร่างเปลือยเปล่าที่นอนบนเตียงไม่ไหวติงทำให้การควบคุมจิตใจตนเองถูกตัดขาดและทำให้สติสัมปชัญญะเริ่มพร่ามัว หัวไหล่ที่กัดด้วยความรวดเร็วอร่อยมากเสียจนอยากจะเคี้ยวหนุบหนับแล้วกลืนลงท้องไป เขาใช้มือข้างหนึ่งขยำหน้าอกจนมันสูญเสียรูปร่าง ความเป็นชายที่พองโตคับแน่นภายในกางเกงที่ยังไม่ได้ถอดก็พยายามจะออกมาข้างนอก ท้องน้อยของเขาหดเกร็ง ส่วนด้านในอกก็กระหายความสุขและกระโดดโลดเต้นไปตามใจชอบ เขาค่อยๆ สร้างรอยฟันไปตามไหล่บาง ลำคอระหงและต้นแขนเต่งตึงทีละจุด 


 


 


“อื้อออ” 


 


 


รยูฮาส่งเสียงครางพลางบิดตัวเล็กน้อย ในตอนที่เขากำลังสร้างรอยฟันบนหน้าอกด้านบนที่นูนออกมาอย่างน่าดึงดูด หากเป็นตอนปกติเขาก็คงจะหยุดเพราะคิดว่านางน่าจะเจ็บ แต่ฮอนในตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนั้น เพราะถ้าตื่นขึ้นมานางจะต้องขยับตัวเพื่อขัดขวางอย่างแน่นอน ฮอนมองไปรอบๆ ด้วยแววตาลุกโชน จากนั้นจู่ๆ ก็จับสายเชือกกางเกงแล้วดึงออก ความเป็นชายที่ถูกเก็บซ่อนไว้จึงเผยออกมาและขยับราวกับหาที่ที่จะเข้าไป จากนั้นเขาจึงจับสองมือของรยูฮาที่ห้อยลงไปขึ้นมาและใช้เชือกที่พันอยู่รอบเอวมามัดติดไว้กับเตียงอย่างแน่นหนา 


 


 


ไม่ว่าเมื่อใดเขาก็ชอบรยูฮาที่มีความสง่างามเสมอ ดังนั้นการที่นางถูกมัดอย่างหมดเรี่ยวแรงแบบนี้จึงเป็นภาพที่แปลกตาพอสมควร ทั้งแปลกตาและเร้าใจ ฮอนพินิจมองรยูฮาราวกับลุ่มหลงพลางจับความเป็นชายที่ใกล้จะระเบิดแล้วขยับขึ้นลงช้าๆ ความเปียกชื้นที่ไหลออกมาจากปลายหัวช่วยให้ขยับได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย เขาอ้าต้นขาของรยูฮาที่นอนอยู่บนเตียงโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวออก ก่อนที่จะแทรกตัวเข้าไประหว่างเนินเนื้ออวบอิ่ม ร่างกายที่ตอบสนองต่อการเร้าโดยไม่บกพร่องแม้เจ้าของร่างกายจะหลับอยู่ก็ตามได้สร้างของเหลวเหนียวเหนอหนะออกมาเพื่อปกป้องเนื้ออันบอบบาง เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนต้นแขนที่ค้ำเตียงเพื่อประคองตัวไว้ การขยับหัวเรือและบดขยี้เข้าไประหว่างหุบเขาค่อยๆ เร็วขึ้นทีละนิด ภายในดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยรยูฮา ความเป็นชายที่คับแน่นเต็มฝ่ามือเริ่มแข็งขึ้นประหนึ่งก้อนหิน หัวเรือแตะตรงปากทางเข้าและถูไปมาทำท่าเหมือนกับจะเข้าไปในประตูที่ชื้นแฉะแต่ก็ไม่เข้า 


 


 


“อึก!” 


 


 


ความปรารถนาที่ขยายใหญ่ขึ้นโดยไม่รู้ขีดจำกัดระเบิดออกมาในคราวเดียวพร้อมกับเสียงครางทุ้มต่ำ ความสุขสมอันเลือนรางทำให้หัวสมองของเขากลายเป็นสีขาวโพลน แต่แทนที่ความปรารถนาจะสงบลง มันกลับพลุ่งพล่านอย่างรุนแรงยิ่งกว่าก่อนไปถึงฝั่งฝันเสียอีก 


 


 


“เจ้า จริงๆ เลย!” 


 


 


ฮอนถูมือที่เปียกกับเตียงแล้วโน้มตัวลง 


 


 


“เอาอะไรให้ข้ากินกันแน่เนี่ย” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ชะมดต้น เป็นพืชในวงศ์ Malvaceae เป็นพืชล้มลุก อายุปีเดียว ใบเดี่ยว ผิวใบมีขนรูปดาวทั้งสองด้าน ก้านใบยาว ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีเหลือง โคนกลีบสีแดง มีกลิ่นฉุน  

 

 


ตอนที่ 15-4

 

หลังจากพึมพำออกมาประหนึ่งถอนหายใจ ประหนึ่งครวญคราง ฮอนก็ขบเม้มหน้าอกและดูดเม้มยอดอกเต็มปากอย่างรีบร้อนราวกับสัตว์ป่าที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวัน จนยอดอกนิ่มแข็งขืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยการปลุกเร้าทางกายภาพ เขาปรารถนาอย่างรุนแรงราวกับว่าถ้าดูดต่อไปเรื่อยๆ อาจจะมีน้ำนมออกมาก็ได้ แต่เหมือนว่าแค่นั้นยังไม่สาแก่ใจจึงย้ายไปขบกัดและดูดอีกข้างที่ยังไม่เปื้อนน้ำลาย ความรู้สึกเจ็บนั้นทำให้รยูฮาลืมตาขึ้นมาพร้อมกับเสียงครางเบาๆ 


 


 


“อื้อ ฮอน?” 


 


 


สิ่งแรกสุดที่ปรากฏสู่สายตาที่เลือนรางคือเพดาน พอก้มศีรษะลงเล็กน้อยก็เห็นเส้นผมสีดำซึ่งดูคุ้นตากำลังซุกอยู่ตรงอก แต่แล้วการหายใจของนางก็เริ่มติดขัดและความรู้สึกทั่วทั้งร่างกายก็เริ่มพลุ่งพล่านโดยไม่มีเวลาให้คิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


“อะไรกัน เจ้า อ๊ะ!” 


 


 


ฮอนใช้มือทั้งสองข้างรวบหน้าอกเข้าหากันและเลียยอดอกอย่างรุนแรงก่อนที่นางจะได้พูดอะไรออกมา เขาใช้ลิ้นดุนดันยอดอกที่อ่อนไหวก่อนจะดูดดึงอย่างแรงราวกับจะดึงออกมา เพียงแค่นั้นท้องน้อยของนางก็หดเกร็งและแผ่นหลังก็โก่งงอทันที นี่มันอะไรกัน ปลายลิ้นที่แลบออกมาเพื่อเลียริมฝีปากที่แห้งผากถูกดูดเข้าไปในโพรงปากของฮอนซึ่งเงยหน้าขึ้นมาในช่วงสั้นๆ แม้แต่เนื้อนุ่มภายในปากก็ไวต่อความรู้สึกเป็นพิเศษ ความรู้สึกดีที่พุ่งออกมาทุกที่ที่ฮอนไล่เลียผ่านไปผสมปนเปกับน้ำลายก่อนจะไหลลงคอ ฮอนเลียน้ำลายที่ไหลตรงมุมปากของรยูฮาซึ่งพ่นลมหายใจออกมาดังเฮือก จากนั้นตั้งหลังตรงพร้อมกับยิ้มแย้ม 


 


 


“แทบบ้าเลยใช่ไหมเล่า” 


 


 


แม้กระทั่งเสียงที่เอ่ยถามนั้นยังแหบพร่าจนรู้สึกหวาน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีบางอย่างเข้ามาตรงหว่างขาของรยูฮาที่พยักหน้าหงึกหงักอย่างไร้สติ 


 


 


“ทำไมทำเช่นนี้!” 


 


 


ฮ้า รยูฮาส่งเสียงเจ็บปวดออกมา ในขณะที่ฮอนใช้มือข้างหนึ่งกดเอวที่ยกขึ้นมาลงไปกับเตียงจนไม่สามารถขยับได้ 


 


 


“ทำไมถึงคิดอะไรไร้สาระแบบนั้น!” 


 


 


นิ้วหนาสองนิ้วสอดเข้ามาในช่องทางคับแคบในคราวเดียว 


 


 


“แล้วให้ข้ากินยาแปลกๆ!” 


 


 


ถึงแค่ก้าวเข้าสู่ธรณีประตูแห่งความสุข ฮอนปลุกเร้ารยูฮาเพียงแค่นั้น จะมองว่าเป็นการทำเพื่อความสนุกหรือจะมองว่าเป็นการทำเพื่อการแก้แค้นก็ได้ทั้งคู่ พอรู้สึกว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาเริ่มค่อยๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ความชุ่มฉ่ำก็แตะลงบนริมฝีปากที่เผยอออกด้วยความร้อนรุ่ม และในตอนที่กำลังจะเข้าไปดูดกลืนหลังจากเปิดปากออกก็ผละออกมาทันทีเหมือนกับหยอกเล่น 


 


 


“เจ้า จริงๆ เลย!” 


 


 


รยูฮาจ้องเขาตาเขม็งด้วยดวงตาปรือ 


 


 


“ตายแน่ ฝากไว้ก่อนเถอะ เจ้า ฮึก!” 


 


 


“ฝากไว้ก่อนเถอะ อะไรกันเล่า” 


 


 


ฮอนหมุนข้อมือแล้วดูดต้นคอของรยูฮาอย่างแรงทั้งที่นิ้วยังกดลึกลงไปที่ผนังด้านใน ในไม่ช้าเส้นเลือดฝอยก็แตกจนเกิดเป็นรอยสีแดงฉานบนผิวขาว 


 


 


“จะทำอีกหรือ” 


 


 


เขาระดมริมฝีปากลงไปอย่างช้าๆ ด้วยสภาพนั้น จากนั้นจึงขบกัดยอดอกที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงอมแดงอ่อนๆ อย่างแผ่วเบา รยูฮาบิดตัว แต่ในคราวนี้เขาขยับมือขึ้นลงเพื่อให้สอดคล้องกับจังหวะการเคลื่อนไหวโดยไม่มีการบีบบังคับ เสียงมือเสียดสีกับรอยย่นประสานรวมกันกับเสียงครางอันน่าหลงใหล มือของรยูฮาที่จับเชือกซึ่งมัดข้อมือไว้แน่นจนเลือดไม่เดิน เอวที่เคยดิ้นเร่าไปมาก็แข็งทื่อและกระตุกรัวๆ กล้ามเนื้อผนังด้านในที่รัดนิ้วเอาไว้แน่นก็ค่อยๆ หดเกร็งอย่างกระหาย 


 


 


“อ้า ฮ้า เจ้านี่ จริงๆ เลย” 


 


 


จู่ๆ ขาทั้งสองข้างของรยูฮาซึ่งกำลังบ่นพึมพำไปเรื่อยด้วยสติที่เลือนรางก็ถูกยกขึ้นด้านบน น้ำรักที่ไหลไปตามบั้นท้ายจึงค่อยๆ ซึมไปบนเตียง จากนั้นฮอนจึงขยับตัวไปตรงหว่างขา แล้วนำความเป็นชายแตะบนบริเวณผนังลื่นและขยับขึ้นลงช้าๆ 


 


 


“อย่าทำ?” 


 


 


อย่าทำอะไรกัน รยูฮาส่ายหน้าอย่างแรง 


 


 


“หรือให้ทำ?” 


 


 


พอถูกบอกให้พยักหน้าแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกทำลายศักดิ์ศรีไม่น้อย ทั้งๆ ที่เขาเคยเป็นแค่เด็กขี้แยตัวเตี้ย แถมยังเด็กกว่าด้วย รยูฮาเงยหน้ามองฮอนแล้วกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น เพราะความเป็นชายที่กดลงมาอย่างแรงตรงทางเข้าเหมือนกับจะเข้ามาเดี๋ยวนั้น 


 


 


“เรียกข้าว่าท่านสามีสิ” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“ไม่เอา ท่านสามี” 


 


 


ฮอนแทรกกายเข้าไปเล็กน้อยเป็นการบีบบังคับ โดยที่กดบริเวณกระดูกเชิงกรานเอาไว้เพื่อไม่ให้รยูฮาขยับเขยื้อนได้ 


 


 


“เจ้า อื้อ จริงๆ เลย!” 


 


 


ความเป็นชายที่เข้าไปได้ครึ่งหนึ่งถอยกลับหลังมาอีกครั้ง นางต้องการความสุขที่เหมือนจะเข้ามาแต่ก็ไม่นั้นจนแทบคลั่ง จากนั้นก็เคลื่อนเข้ามาอีกครั้งประมาณหนึ่งข้อนิ้วแล้วหยุดนิ่ง ฮอนใช้ปลายนิ้วแหวกเส้นไหมและเขี่ยไข่มุกที่ยื่นออกมาด้านนอกเนินนูน 


 


 


“ท่าน…สามี” 


 


 


“ไม่ได้ยินเลย” 


 


 


แม้จะแสร้งทำเป็นผ่อนคลายพร้อมกับยิ้มแย้ม แต่เขาเองก็รู้สึกเหมือนจะบ้าเช่นกัน อยากจะเข้าไปในตัวรยูฮาและโยกเอวอย่างแรงจนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของความหฤหรรษ์เดี๋ยวนั้น แผ่นหลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะต้องอดทนต่อสิ่งนั้นด้วยความอดทนที่เหนือมนุษย์  


 


 


“ท่านสามี! รีบทำเร็วๆ” 


 


 


ผลของความอดทนช่างหอมหวาน ความรู้สึกอยากเอาชนะซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้ชายเข้าปกคลุมฮอนราวกับคลื่น แม้จะอยากให้ทำอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่มีเวลามัวไปทำเช่นนั้นแล้ว เขาแทรกกายเข้าไปอย่างแรงแล้วถอยมาข้างหลังจนเกือบจะถอนออกมา จากนั้นจึงกระแทกเข้าไปอีกครั้งจนสุดอย่างว่องไว เตียงนอนแข็งแรงสั่นสะเทือนดังเอี๊ยดอ๊าดเพราะการร่วมรักที่ร้อนแรง  


 


 


“เฮือก อึก!” 


 


 


ฮอนหลงใหลในเสียงครางที่ลอดผ่านแนวฟันออกมาหลังจากทนไม่ไหวอีกต่อไป ฮอนยังคงไม่พึงพอใจแม้จะกระแทกกระทั้นเข้าไปอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม เขาจึงยกขาเรียวทั้งสองข้างขึ้นมาไว้บนไหล่ของตัวเอง ความใคร่ค่อยๆ ยึดครองดวงตาที่ปรือลงครึ่งหนึ่ง หยดน้ำกระเด็นไปทุกทิศทางทุกครั้งที่เนื้อกับเนื้อกระทบกัน และในขณะที่หัวเรือทิ่มแทงไปทั่วผนังด้านในสะกิดโดนตรงจุดที่เพียงแค่สัมผัสก็ทำให้เบื้องหน้าวูบวาบได้ 


 


 


“อ๊า!” 


 


 


รยูฮาเอนตัวไปด้านหลังพร้อมกับเปล่งเสียงออดอ้อน ซึ่งไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หัวเรือที่ค้นพบจุดอ่อนเพิ่มระดับความแรงขึ้นและถูไถพลางสัมผัสตรงกลางนั้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปได้ไม่นานลมหายใจก็หยุดชะงัก ส่วนโลกก็เริ่มมืดมิด ประสาทสัมผัสทั่วทั้งตัวสั่นสะท้าน กล้ามเนื้อที่อยู่ลึกที่สุดจึงหดเกร็งและคลายออกรวดเดียว ฮอนที่หยุดขยับไปพักหนึ่งขยับเอวอย่างรวดเร็วกว่าเมื่อสักครู่ก่อนที่ความสุขซึ่งลอยอยู่กลางอากาศจะจางหายไป 


 


 


“อ้า ฮอน พอได้แล้ว อ๊า!” 


 


 


“อยู่นิ่งๆ หน่อย” 


 


 


อยากทำอีก แต่ผนังด้านในที่รัดแน่นจนเจ็บพร้อมกับเสียงของรยูฮาที่เรียกตนเองทำให้เขาทนไม่ไหว ฮอนจึงกลืนริมฝีปากที่พึมพำอย่างน่าเห็นใจตั้งแต่เมื่อครู่และเสียงออดอ้อนที่ลอดออกมาจากตรงนั้นเข้าไปพร้อมกันรวดเดียว ลิ้นเริ่มผ่อนคลายและเคลื่อนไหวอย่างอ่อนนุ่มไปตามที่เขาเกี่ยวกระหวัดและดูดดึง การจูบและการสอดใส่เริ่มเป็นไปอย่างช่ำชอง ลึกและรุนแรงขึ้น 


 


 


“ฮ้า อึก” 


 


 


น้ำรักระเบิดในส่วนลึกของร่างกายของรยูฮา การถึงจุดสุดยอดครั้งที่สองน่าหลงใหลกว่าครั้งแรกที่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง จนเริ่มสับสนแล้วว่าสิ่งที่ไหลทะลักออกมาตอนนี้คือน้ำรักหรือจิตวิญญาณของเขากันแน่ รอยย่นที่เปียกชื้นแต่ละรอยต่างขยับอย่างรุนแรงราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตและดูดกลืนความปรารถนาหยดสุดท้ายเข้าไป ฮอนล้มทับลงบนตัวรยูฮาโดยที่ยังไม่ถอนความเป็นชายออกมา 


 


 


“ฮ้า ท่านสามี!” 


 


 


เสียงที่ยังไม่หลุดพ้นออกจากความสุขสมดังขึ้นรอบใบหูของฮอน 


 


 


“ช่วยแก้มัดอันนี้หน่อย” 


 


 


ฮอนปรับลมหายใจสักพักก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น แต่สิ่งที่ลุกขึ้นมาด้วยไม่ได้มีแค่แผ่นหลังของเขาเพียงอย่างเดียว 


 


 


“อีกรอบนะ”  

 

 


ตอนที่ 15-5

 

ฤดูร้อนในปีนั้นไม่เกิดอุทกภัย แม้ฝนจะตกลงมาอย่างหนักก็ตาม เพราะในช่วงคลาดแคลนอาหารเมื่อฤดูใบไม้ผลิ ฮอนได้ว่าจ้างราษฎรด้วยธัญพืชให้พวกเขาไปถมคันตลิ่งให้แข็งแรงที่แม่น้ำ ต้นธัญพืชที่ได้รับน้ำฝนอย่างเต็มที่แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและต้นก็ค่อยๆ โน้มลง ในวันที่อากาศดีที่สุดจากทุกวัน มินอาพับแขนเสื้อขึ้นและกำลังตกแต่งสวนดอกไม้ด้วยกันกับนายหญิงตระกูลจอง แต่แล้วจู่ๆ นางก็ขมวดคิ้วและกุมท้อง 


 


 


“เจ็บท้องอีกแล้วหรือ ไปนั่งตรงนู้นกันเถอะ” 


 


 


ยังเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะถึงกำหนดคลอด ดังนั้นจึงน่าจะเป็นเพราะลูกถีบหรือไม่ก็น่าจะยืนนานเกินไปหน่อยก็เลยเจ็บท้อง นายหญิงตระกูลจองประคองมินอาเดินไปได้ก้าวประมาณห้าหกก้าวเพื่อไปยังเรือนแยก โอ๊ย เสียงโอดครวญเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับเอวของมินอาที่เคล็ดนิดหน่อย ในตอนนั้นทั้งสองคนจึงรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่แปลกๆ นั้นคืออะไร ของเหลวที่ไหลไปตามต้นขาก็หยดลงบนพื้นดินเสียแล้ว 


 


 


“ทะ ท่านแม่” 


 


 


ในตอนที่ดวงตาซึ่งโตขึ้นเป็นสองเท่ากว่าปกติหันมามองนายหญิงตระกูลจอง นายหญิงตระกูลจองเองก็เห็นของเหลวนั่นเช่นกัน บ้านของท่านมหาเสนาบดีที่เคยเงียบสงบกลับกลายเป็นอลหม่านวุ่นวายและให้มินอานอนลงบนเตียงของเรือนที่อยู่ใกล้ที่สุดเพราะไม่มีเวลาไปยังห้องคลอดที่ถูกจัดเตรียมแยกไว้แล้ว จากนั้นสั่งให้ต้มน้ำ เตรียมผ้าสะอาด ไปตามหมอตำแย และเขียนยันต์ป้องกัน อาการเจ็บท้องคลอดมาหาโดยไม่มีเวลาให้นางเตรียมใจเลยสักนิด 


 


 


“หายใจเข้า หายใจออกนะมินอา ตายจริง เราจะทำอย่างไรกันดี” 


 


 


หน้าผากของมินอาผู้ซึ่งไม่ร้องสักแอะแม้จะเจ็บปวดเหมือนกระดูกจะหักเนื้อจะฉีกนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ เรื่องที่ทำให้นายหญิงตระกูลจองเสียความสุขุมไปได้ พอลองนับดูแล้วก็มีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง ซึ่งเรื่องในวันนี้ก็คือหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น 


 


 


ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แทนที่นางจะใจเย็นลงกลับร้อนรนและหน้าเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอาการเจ็บท้องคลอดที่เริ่มตอนบ่ายแก่ๆ ผ่านไปได้หกเจ็ดชั่วโมงแล้ว จนแม้กระทั่งพระอาทิตย์ที่เคยลอยอยู่กลางท้องฟ้าหายไปซ่อนตัวที่หลังเขาแล้ว ทางด้านรยูฮากับฮอนที่ประทับอยู่ที่พระราชวังก็ร้อนใจไม่ต่างกัน 


 


 


“ยังไม่มีข่าวคราวมาอีกหรือ” 


 


 


แม้จะถามกี่ครั้งคำตอบก็เหมือนเดิม แม้จะรู้อยู่แล้วแต่รยูฮาก็ทำได้แค่เพียงเรียกหาซังกุงอีกครั้ง 


 


 


“นอกจากจะเป็นการคลอดครั้งแรกแล้ว น้ำคร่ำยังแตกก่อนกำหนดด้วย…น่าจะคลอดยากเพคะ” 


 


 


“แล้วหมอหลวงมัวแต่ทำอะไรอยู่!” 


 


 


นางยังคงดื้อรั้นแม้ว่าการที่คลอดยากจะไม่ใช่ความผิดของหมอหลวง แต่ยังมีหนทางอื่นอยู่อีกหรือ รยูฮาจับมือฮอนด้วยความกระวนกระวายใจ พอผ่านไปได้สักครึ่งชั่วยามสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นจากที่ 


 


 


“หม่อมฉันต้องไปเพคะ น้ำคร่ำแตกก็น่าจะต้องคลอดได้แล้ว ทำไมถึงได้ช้าแบบนี้เล่าเพคะ” 


 


 


“ขันทีโจอยู่ข้างนอกหรือไม่” 


 


 


หากเป็นตอนปกติฮอนก็คงจะห้ามและรั้งรยูฮาไว้ แต่คราวนี้เขาเองก็เลียริมฝีปากที่แห้งผากและลุกขึ้นตาม ก่อนจะเรียกขันทีโจเช่นกัน 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“เตรียมตัวแอบลอบออกไป” 


 


 


แต่ถึงพระองค์ทั้งสองจะเสด็จไปบ้านท่านมหาเสนาบดีที่กำลังยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก นั่นก็ไม่ได้เป็นการช่วยอะไรเลยอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ ขันทีโจไม่มีทางกล้าพูดแบบนั้นออกจากปากอย่างแน่นอน ขันทีผู้ชำนิชำนาญจึงรีบเตรียมชุดธรรมดาและเปิดประตูวัง หลังจากสั่งให้เตรียมทหารองครักษ์และม้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่ได้เคยแอบออกไปแค่ครั้งสองครั้ง ดังนั้นฮอนกับรยูฮาจึงสามารถเดินทางไปถึงบ้านท่านมหาเสนาบดีภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เปิดประตูใหญ่เข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย เพราะการปีนข้ามกำแพงของเรือนแยกเร็วกว่ามาก 


 


 


“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มีข่าวคราวอะไรเลย!” 


 


 


“พระมเหสี!” 


 


 


“พระมเหสี เบาเสียงหน่อยสิ เดี๋ยวมินอาก็ตกใจหรอก” 


 


 


“พระ พระราชา!” 


 


 


เหล่าคนรับใช้ที่ตื่นตระหนกตกใจเพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของรยูฮารู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อเห็นพระราชาปีนข้ามกำแพงมาก่อนที่จะตั้งสติได้ ในระหว่างที่พวกนางลุกลี้ลุกลนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ท่านมหาเสนาบดีก็เข้ามาพอดีและโค้งคำนับให้ แต่เขาไม่คิดที่จะซ่อนความไม่พอใจที่ปรากฏเต็มใบหน้าไว้เลย 


 


 


“เหตุใดท่านทั้งสองที่ควรจะต้องรักษาเกียรติข้ามกำแพงของบ้านกระหม่อมมากลางดึกกลางดื่นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าทำตามที่พระมเหสีบอกน่ะ” 


 


 


“ฝ่าบาทเป็นคนตรัสว่าข้ามกำแพงมาจะเร็วกว่าก่อนไม่ใช่หรือเพคะ 


 


 


“ข้าบอกว่าจะไวกว่า แต่ไม่ได้บอกให้ข้ามมาเสียหน่อย นอกจากนั้นแล้วคนที่ข้ามมาก่อนก็…” 


 


 


“โอ๊ยยย!” 


 


 


ทั้งสองคนโยนความผิดกันไปมาเพราะการตำหนิของท่านมหาเสนาบดี แต่ก่อนที่จะเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นก็มีเสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นแหวกอากาศยามค่ำคืนจนทำให้คำพูดต่างๆ ไม่มีความหมายอีกต่อไป เนื่องจากเป็นช่วงระหว่างการคลอด เสียงกรีดร้องจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก แต่เสียงที่ดังต่อมาหลังจากนั้นนั่นแหละคือปัญหา 


 


 


“ตายแล้ว มินอา!” 


 


 


“ตั้งสติไว้พ่ะย่ะค่ะ พระชายา! ลืมตาไว้พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ไปตักน้ำเย็นมา! ท่านหมอหลวง ทำอะไรสักอย่างสิเจ้าคะ!” 


 


 


“มินอา ไม่ได้นะ อย่าหมดสติไปก่อนนะ มินอา มินอา!” 


 


 


“ต้องออกแรงกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ พระชายา ได้โปรด ได้โปรด” 


 


 


ถึงจะไม่รู้ขั้นตอนอะไรเลยเกี่ยวกับการคลอดลูก แต่ก็พอรู้ได้ว่าเสียงที่ดังออกมาจากข้างในไม่ใช่สถานการณ์ที่ปกติอย่างแน่นอน รยูฮาหน้าซีดคล้ายจะเป็นลมจึงพิงตัวไปที่ฮอน ท่านมหาเสนาบดีเองก็ลืมเรื่องที่กำลังตำหนิทั้งสองคนอยู่ไปหมดสิ้น และขยี้หนวดพร้อมกับกระแทกปลายเท้าลงบนพื้นดินอย่างไร้เกียรติ 


 


 


“ฝ่าบาท ไม่ได้เพคะ! เข้าไปไม่!” 


 


 


“หลบไป! นี่คือคำสั่ง!” 


 


 


คนกว่าครึ่งที่กำลังช่วยทำคลอดให้มินอาต่างทำท่าจะร้องไห้ แต่กลับมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นจากข้างนอก มินอาที่หายใจรวยรินและเกือบจะหมดสติรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจับมือตัวเองแน่น ก่อนจะเจอคนที่นางคิดถึงที่สุด 


 


 


“ฝ่าบาท…?” 


 


 


“มินอา ลืมตาขึ้นสิ มินอา” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


มินอารู้อยู่แล้วว่าชานไม่มีทางมาหาได้ แต่มุมปากของนางก็เผยรอยยิ้มออกมา 


 


 


“ข้าบอกให้ลืมตาขึ้นไง! ซอมินอา!” 


 


 


มินอาลืมตาขึ้นทันทีเหมือนกับว่าการตะโกนที่เหมือนฟ้าผ่านั้นดึงสติอันเลือนรางของนางกลับมา และในขณะเดียวกันความเจ็บปวดก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาอีกครั้ง จากนั้นจึงจับมือฮอนแน่นและเริ่มเบ่งลูกออกมาจากช่องคลอดแทนที่เสียงกรีดร้องน่าสงสารที่ไม่ยอมออกมาจากปาก 


 


 


“เห็นหัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ! อีกนิดนึง! ออกแรงอีกหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ทำได้ดีแล้ว มินอา ทำได้ดีแล้ว” 


 


 


ดวงตาที่เหมือนกับชาน เสียงที่เหมือนกับชานให้พลังเฮือกสุดท้ายแก่มินอา ในตอนนั้นเองความเจ็บปวดก็จู่โจมไปทั่วร่างโดยไม่ทันได้ตั้งตัว 


 


 


“อุแว้! อุแว้!” 


 


 


ท้ายที่สุดสิ่งชีวิตใหม่ตัวน้อยก็เริ่มดิ้นไปมาพร้อมกับเสียงร้องทรงพลัง 


 


 


“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระชายา! ทรงเป็นพระราชโอรสพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ยินดีด้วยเพคะ พระชายา!” 


 


 


เสียงของทุกคนยกเว้นฮอนที่หมอบลงกับพื้นและตะโกนแสดงความยินดีดังขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่น้ำหนักที่คล้ายกับสำลีซึ่งกระดุกกระดิกอยู่ในอ้อมกอดก็กำลังตะโกนว่าข้าอยู่ตรงนี้เช่นกัน มีเพียงฮอนที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่านั้นที่ได้ยินเสียงกล่อมเบาๆ ของมินอาซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ 


 


 


“อ้า ฝ่าบาท” 


 


 


น้ำตาที่ไม่อาจรู้ได้ว่าดีใจหรือเสียใจไหลออกมาจากดวงตาของมินอาที่ยังไม่สามารถปล่อยมือฮอนได้ ดาบที่ทำมาจากเงินและนำไปลนไฟเก้ารอบเพื่อกำจัดเชื้อโรคออกถูกส่งต่อไปให้ฮอนแทนที่เดิมทีควรจะเป็นพ่อของเด็กที่ต้องทำ เขาตัดสายสะดือด้วยมือที่สั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแล้วลูบหัวมินอา จากนั้นจึงออกมาข้างนอกก่อนที่เด็กจะถูกห่อในผ้าไหมและพิงตัวกับรยูฮาคล้ายจะเป็นลม 


 


 


“มินอาก็คลอดลูกแล้ว แล้วทำไมฝ่าบาทยังทรงสั่นอยู่อีกล่ะเพคะ” 


 


 


รยูฮาว่าเช่นนั้นแต่ก็ตัวสั่นอยู่เหมือนกัน ฮอนรู้สึกตลกมากจนระเบิดหัวเราะออกมาแม้จะไม่มีสติก็ตาม แต่เสียงอันเคร่งขรึมที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ทั้งสองคนที่กำลังจู๋จี๋กันอยู่แยกออกจากกันในทันที 


 


 


“ตอนนี้เสด็จกลับวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ข้าเองก็อยากเห็นหน้าหลานเหมือนกันนะเจ้าคะ ท่านพ่อ!” 


 


 


“รอให้ผ่านยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอดไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ ประตูใหญ่จะไม่ถูกเปิดเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันนับจากนี้ เพราะฉะนั้นหากเสด็จออกไปทางประตูหลังจะเป็นพระคุณอย่างล้นพ้นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ท่านพ่อที่ปกติจะรับฟังรยูฮาเสมอทำไมถึงปฏิเสธอย่างหนักแน่นขนาดนี้ แม้ลองส่งสายตาอ้อนวอนไปก็ไม่ได้ผล ฮอนจึงปลอบใจรยูฮาที่ทำหน้ามุ่ย ส่วนทหารองครักษ์ก็ขอร้องฮอนพลางบอกว่าตอนนี้ควรจะต้องรีบเสด็จกลับวังแล้ว สุดท้ายทั้งสองคนที่มารบกวนผู้อื่นก็กลับไปยังพระราชวังผ่านทางประตูเล็กที่อยู่ตรงด้านหลังของบ้าน หลังจากถูกนายหญิงตระกูลจองที่ออกมาข้างนอกพอดีบังคับให้เสด็จกลับพระราชวังไป และวันต่อมาทันทีที่ไปเข้าเฝ้า ณ วังจางชุนก็คงจะถูกพระพันปีต่อว่าอย่างแน่นอน  

 

 


ตอนที่ 15-6

 

“คิดอะไรอยู่หรือ” 


 


 


แม้จะบอกว่าไม่มีอะไร แต่ฮอนก็พอรู้ว่าหมู่นี้จิตใจของรยูฮาล่องลอยไปที่อื่น หนังสือที่ชอบก็ไม่อ่านและไม่ออกไปข้างนอกเลยนอกจากแวะไปที่วังจางชุนในตอนเช้าครู่หนึ่ง ฮอนตั้งใจว่าจะรอจนกว่านางจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดเอง แต่สุดท้ายเขาก็วางเอกสารที่กำลังจัดการและเดินไปนั่งข้างรยูฮา 


 


 


“กำลังคิดว่าจะอุ้มท้องลูกให้ฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


คำพูดที่พึมพำออกมาเหมือนไม่ใส่ใจทำให้ใจของฮอนเจ็บปวด เขาถอนหายใจอย่างแรงพลางเอามือลูบหน้า ก่อนจะนอนแผ่ลงบนเตียง 


 


 


“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องการ ข้ามีแค่เจ้าก็พอ” 


 


 


“หากไม่มีองค์รัชทายาทให้ฝ่าบาท ในท้ายที่สุดคังก็คงต้องนั่งในตำแหน่งนั้นเพคะ เขาไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้มิใช่หรือเพคะ” 


 


 


อีคัง คือชื่อที่ฮอนตั้งให้ด้วยตนเองพร้อมกับขอให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแทนชานซึ่งหวังเพียงแค่ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ ในฐานะองค์ชาย ตอนนี้ก็ผ่านยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอดไปแล้ว องค์ชายจึงได้เข้าวังเป็นครั้งแรกในอ้อมกอดของมินอา แต่ถ้าหากฮอนยังดื้อแพ่งอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาก็คงจะต้องนั่งในตำแหน่งองค์รัชทายาทโดยไม่คำนึงถึงความตั้งใจของคังกับมินอา และชื่อที่ตั้งให้เองว่าขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข 


 


 


“รยูฮา” 


 


 


“ตรัสมาเพคะ” 


 


 


“หากข้าไม่ใช่องค์รัชทายาท เจ้าจะยังแต่งงานกับข้าไหม” 


 


 


คำพูดที่นางพึมพำเพราะความเมาในวันที่รยูฮาทำให้ฮอนหลับและแอบส่งผู้หญิงเข้าไป นางบอกว่าเขาน่าจะเป็นแค่องค์ชาย แล้วลงไปอยู่ด้วยกันที่ชนบท 


 


 


“แน่นอนสิเพคะ หม่อมฉันสัญญาไว้แล้วไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


“สัญญา?” 


 


 


คิ้วของฮอนขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย สัญญางั้นหรือ สัญญาอะไรกัน ทว่าแววตาของรยูฮาที่มองดูฮอนก็เหมือนกันกับเขา ดังนั้นความสงสัยที่เขากักเก็บไว้จึงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


“ไหนตรัสว่าความทรงจำทั้งหมดกลับมาแล้วไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


“มันก็ใช่แต่สัญญางั้นหรือ ข้า? กับเจ้า รยูฮา? เมื่อไหร่กัน” 


 


 


“ทรงไม่ทราบจริงๆ จึงตรัสถามใช่ไหมเพคะ” 


 


 


ในตอนแรกนางก็มองฮอนด้วยสีหน้างงงวย แต่ผ่านไปสักพักก็เปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งแทน เขาไม่รู้ว่าทำผิดอะไร แต่ทำอะไรผิดสักอย่างแน่นอน มีเพียงสิ่งเดียวที่ชัดเจนคือตัวเองได้ทำอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงไปแล้ว 


 


 


“ดูเหมือนว่าความทรงจำของข้าจะกลับมาไม่สมบูรณ์เต็มร้อยสินะ” 


 


 


“ก่อนหน้านี้ไหนว่ากลับมาหมดแล้วไงเพคะ!” 


 


 


“ก็คิดเช่นนั้นนะ แต่…พอมาถึงตอนนี้…” 


 


 


“ทรงลืมเรื่องนั้นได้อย่างไรเพคะ ทรงทราบไหมเพคะว่าหม่อมฉันลำบากขนาดไหนเพราะสัญญานั่น!” 


 


 


ถ้าอย่างนั้น มันคือสัญญาอะไรกัน เหงื่อเย็นๆ ไหลลงไปตามแผ่นหลังของฮอน แล้วเราจะพูดออกมาให้เกิดปัญหาทำไมนะ แม้จะเสียดายแต่มันก็สายไปแล้ว สุดท้ายรยูฮาก็หันหลังให้อย่างเย็นชา สู้ให้นางด่าว่าหรือทุบตียังดีเสียกว่า 


 


 


“ข้าขอโทษ ไม่ใช่ว่าข้าเห็นสัญญาไม่สำคัญนะ แต่…” 


 


 


“ช่างเถอะเพคะ ฝ่าบาทก็คงแค่ตรัสออกมาเฉยๆ หม่อมฉันว่าฝ่าบาทน่าจะทรงลืมทุกอย่างไปหมดแล้วเพคะ” 


 


 


ความทรงจำนั้นยังคงชัดเจนอยู่ภายในหัวของรยูฮาที่นั่งหันหลังให้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ไม่ใช่สำหรับฮอน แม้จะเชื่อมั่นว่าเขาก็น่าจะยังเก็บความทรงจำนั้นไว้อยู่ลึกๆ ในใจ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลย และจู่ๆ ความรู้สึกถูกทรยศและความสิ้นหวังก็ซัดกระหน่ำเข้ามาพร้อมกันกับความทรงจำในวันนั้นราวกับกระแสน้ำขึ้น 


 


 


 


 


 


“อ๊าก! อะไรกันเนี่ย!” 


 


 


ในราวๆ ช่วงนี้แหละ ช่วงฤดูกาลก่อนที่การเก็บเกี่ยวจะมาถึง หลังจากประลองดาบกันมาสักพักหนึ่ง รยูฮากับฮอนก็หอบแฮ่กๆ แล้วเอนตัวลงนอนบนพื้นหญ้า ส่วนมินอาบอกว่าจะไปตักน้ำเย็นมาและเดินไปทางห้องครัว ฮอนแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าสีครามที่ดูหนาวเย็น ก่อนจะร้องตะโกนออกมาพร้อมกับวิ่งไปทางฝั่งรยูฮาแล้วซ่อนตัว 


 


 


“อะไร มีอะไร” 


 


 


“ตรงนั้น รยูฮา ตรงนั้น!” 


 


 


เขาเห็นอะไรถึงได้ตื่นตระหนกเกิดเหตุขนาดนั้น รยูฮาลุกพรวดขึ้นและพินิจมองไปตรงที่ฮอนชี้ แล้วหลุดหัวเราะออกมา นั่นมันตั๊กแตนตำข้าวที่ตัวใหญ่กว่าฝ่ามือผู้ใหญ่กำลังจ้องพร้อมกับชูขาหน้าขึ้นมาขู่ไม่ใช่หรือ แต่ที่มันดูน่ากลัวก็เพราะนอกจากขนาดจะใหญ่แล้ว ยังเป็นสีน้ำตาลแทนที่จะเป็นสีเขียวอ่อนอีกด้วย แต่องค์ชายที่สุขุมแม้จะถูกดาบไม้ที่หักเสียบกลับเอะอะโวยวายเพราะตั๊กแตนเพียงตัวเดียวเนี่ยนะ 


 


 


“ที่โวยวายก็เพราะกลัวตั๊กแตนตัวนู้นน่ะหรือ” 


 


 


“รีบไล่มันไปเร็วเข้า!” 


 


 


ฮอนปิดตาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังรยูฮาและสั่งให้รีบๆ ไล่ตั๊กแตนไปด้วยความกระวนกระวายใจ ไวค่อยแกล้งวันหลังแล้วกัน รยูฮาตัดสินใจภายในใจก่อนจะถือกิ่งไม้ที่เอามาเล่นแกว่งไปแกว่งมาทางตั๊กแตนแทนดาบไม้ที่ถูกสั่งห้าม และในตอนนั้นเองนางก็ได้รู้เป็นครั้งแรกว่าตั๊กแตนสามารถบินได้ 


 


 


“ฮะ…ฮอน อยู่นิ่งๆ นะ” 


 


 


ถึงไม่บอกให้อยู่นิ่งๆ ก็อยู่นิ่งๆ อยู่แล้ว ตั๊กแตนบินลงมาเกาะศีรษะของฮอนที่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่และไม่กล้าแม้แต่จะเอามือที่ปิดตาไว้อยู่ออก ก่อนที่มันจะยกขาหน้าขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“ทำอะไรกันเพคะ” 


 


 


มินอาปรากฏตัวออกมาพร้อมกับถือโต๊ะสำรับที่มีน้ำเย็นวางไว้อยู่พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ทั้งสองคนที่เคยสงบเสงี่ยมเพียงเพราะได้ออกมาที่สวนด้านหลัง เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ในระหว่างที่นางหายไปแค่ชั่วครู่เดียว องค์ชายที่ตัวสั่นเทาแถมยังปิดตาและเอาตั๊กแตนตัวใหญ่วางไว้บนหัวกับคุณหนูที่ยกกิ่งไม้ขึ้นมาและกำลังกังวลว่าควรทำอย่างไรดี มินอามองทั้งคู่สลับกันสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเดินแกว่งแขนไปจับตั๊กแตนตัวใหญ่นั้นอย่างรวดเร็วและโยนมันไปไกลๆ 


 


 


“เรียบร้อยแล้วเพคะองค์ชาย” 


 


 


“ไปแล้วหรือ” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


ฮอนตัวน้อยทรุดลงไปนั่งกับพื้นหญ้า ในตอนนั้นเองน้ำตาก็เริ่มไหลพรากออกมาจากดวงตากลมโต 


 


 


“ฮอน เจ้าร้องไห้หรือ” 


 


 


“ไม่ได้หรอกเสียหน่อย! ซอรยูฮา ทำไมเจ้าถึงเสียมารยาท ฮึก บังอาจพูดจา ฮึก ห้วนๆ กับ องค์ชายได้อย่างไร!” 


 


 


“เจ้าเป็นคนบอกก่อนเองนะว่าให้พูดจาเป็นกันเองในตอนที่พวกผู้ใหญ่ไม่อยู่ ที่เปลี่ยนคำพูดตอนนี้เพราะเขินที่ร้องไห้ใช่ไหมล่ะ” 


 


 


“ไม่ใช่เสียหน่อย! ฮึก ข้าร้องไห้เมื่อไหร่กัน ฮึก” 


 


 


เขาฟุบหน้าลงไปกับเข่าและทำเป็นวางท่าแม้จะสะอื้นอยู่ก็ตาม รยูฮาลืมเรื่องที่ตัวเองก็ไม่กล้าจับตั๊กแตนไปเสียสนิท แล้วนั่งลงข้างๆ ฮอน ก่อนจะตบแผ่นหลังเล็กๆ นั้นเบาๆ 


 


 


“ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวข้าจะปกป้องเจ้าเอง ข้าต่อสู้เก่งมากเลยนะ” 


 


 


ใบหน้าที่เงยขึ้นมาจากหว่างเขาเล็กน้อยมองรยูฮาที่พูดเช่นนั้น 


 


 


“ตั๊กแตนก็จะเข้ามาหาไม่ได้แล้วใช่ไหม” 


 


 


“ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่ตั๊กแตนหรอกนะ จะอย่างอื่นหรือจะอะไรก็ตามก็เข้ามาหาไม่ได้แล้วเหมือนกัน” 


 


 


“ตลอดไป?” 


 


 


“แน่นอนสิ ตลอดไป” 


 


 


“สัญญานะว่าเจ้าจะปกป้องข้าไปตลอดชีวิต” 


 


 


“บอกแล้วไงว่าสัญญา” 


 


 


ในตอนนั้นเองฮอนจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างเต็มที่ จากนั้นเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อและยิ้มแย้มออกมา แม้จะเป็นผ้าไหมที่ล้ำค่าเกินกว่าจะบรรยาย แต่เพราะว่าเปื้อนโคลนเลอะเทอะไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นใบหน้าที่ถูกเช็ดถูด้วยสิ่งนั้นจึงกลายเป็นว่าดินกับน้ำตาผสมกับไปมั่วจนเละเทะกว่าเดิมแทนที่จะสะอาดขึ้น รยูฮาจึงระเบิดหัวเราะออกมาพลางใช้ส่วนที่สะอาดของกระโปรงตัวเองเช็ดคราบดินออกให้และจุ๊บลงบนแก้มขาว 


 


 


“เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้เลยนะ เดี๋ยวใบหน้าที่หล่อเหลาจะเละหมด” 


 


 


 


 


 


เรื่องราวมันก็เป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่วันนั้นนางจึงฝึกฝนอย่างหนักและตั้งใจว่าจะปกป้องฮอนจนกระทั่งวันที่มีการเลือกคู่อภิเษกสมรส ในตอนที่นางซึ่งปฏิเสธคู่แต่งงานทั้งหมดทุกคนประกาศว่าจะไปเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท พ่อแม่ที่คิดว่าสิ่งที่รยูฮาพูดเป็นเพียงแค่คำพูดเล่นของเด็กๆ จึงตกตะลึงเหมือนกับเพิ่งรู้ถึงความจริงจังของสถานการณ์ 


 


 


แต่มีอีกเรื่องที่รยูฮาซึ่งกำลังนั่งเบือนหน้าหนีฮอนในตอนนี้เพราะรู้สึกเหมือนถูกหักหลังไม่รู้อยูู่ด้วย นั่นคือในตอนนั้นพ่อของนางยอมเสียศักดิ์ศรีไปเข้าเฝ้าพระราชาและขอให้ลูกสาวตนเองไม่ได้รับเลือกจากพิธีเลือกคู่อภิเษกสมรส 


 


 


ซอดู รองเจ้ากรมการคลัง เขาผู้ซึ่งไม่มีความสนใจในเรื่องอำนาจประสบความสำเร็จได้ตำแหน่งเป็นมหาเสนาบดีอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าพระราชารู้สึกประทับใจคำขอของเขาเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่วันนั้นเขาจึงได้รับความลำบากจากการงานที่หนักหนาสาหัสเกินไป และการยื่นจดหมายลาออกก็กลายเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ในชีวิตจวบจนทุกวันนี้  

 

 


ตอนที่ 15-7

 

“ว่าไงนะ มาไม่ได้งั้นหรือ” 


 


 


หน้าผากของฮอนขมวดเข้าหากันอย่างแรงเพราะสิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีกราบทูลให้ทรงทราบทันทีที่เข้าพระราชวังมา อุตส่าห์ตั้งตาตั้งหน้านับวันรอถึงยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอดอย่างร้อนอกร้อนใจ แต่ปรากฏว่าคังไม่สามารถเข้าวังมาได้ 


 


 


“อย่างที่ทรงทราบ เขาคลอดก่อนกำหนดมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ พระวรกายจึงไม่แข็งแรงเท่ากับเด็กในวัยเดียวกัน เพราะฉะนั้นน่าจะต้องรอให้ครบร้อยวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“พระพันปีคงจะทรงผิดหวังน่าดู” 


 


 


นอกจากตัวเองจะผิดหวังแล้ว รยูฮากับพระพันปีน่าจะผิดหวังยิ่งกว่า เขาไม่สามารถซ่อนสีหน้าผิดหวังไว้ได้พร้อมกับพึมพำเบาๆ ว่าก็ช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมีคำพูดที่น่ายินดีโบยบินเข้ามาพร้อมกัน 


 


 


“แล้วก็เรื่องกลุ่มการค้าที่ส่งให้ไปตามหาของอันนั้นเมื่อหลายเดือนก่อนน่ะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อ่อ มีข่าวคราวมาแล้วหรือ” 


 


 


เป็นข่าวคราวเกี่ยวกับกลุ่มการค้าที่มอบทองคำให้และส่งไปที่ฮเยกุกด้วยความดื้อรั้น หลังจากถูกพวกเสนาบดีคัดค้านในการนำเข้าปืนใหญ่ หลังจากเฝ้ารอนับเดือนอยู่ในใจมานานก็เกือบใกล้ถึงเวลากลับมาแล้วสินะ พระพักตร์ที่หม่นหมองจึงกลับมาสดใสขึ้นเล็กน้อย 


 


 


“อีกไม่กี่วันก็จะลงเรือกลับมาแล้ว ซึ่งในตอนนั้นน่าจะต้องการความช่วยเหลือนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ดังที่ทรงทราบ เราจะลอบนำเข้ามาอย่างลับๆ มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ใช่แล้ว นำเข้ามากี่กระบอกรึ” 


 


 


“ฝ่าบาทตรัสให้นำเข้ามายี่สิบกระบอก แต่นำเข้ามาได้เพียงแค่สิบกระบอกพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากเป็นของที่แม้แต่ในประเทศตะวันตกเองก็หาได้ยาก แต่ได้นำผลิตภัณฑ์ หนังสือ ยาและอาหารของประเทศตะวันตกมาด้วย เพราะฉะนั้นอย่าได้ทรงผิดหวังเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ทันทีที่ลงเรือแล้ว ให้แยกชิ้นส่วนของปืนใหญ่ซะ ข้าจะเลือกช่างฝีมือแล้วส่งพวกเขาลงไป” 


 


 


ด้วยทองคำที่ฮอนสามารถรวบรวมมาได้ รวมถึงทรัพย์สมบัติที่ท่านมหาสเนาบดีมอบให้ ปืนใหญ่ที่นำเข้ามาได้จึงมีเพียงแค่สิบกระบอกเท่านั้น หากพวกขุนนางชรารู้เข้าก็คงจะฉุนเฉียวพร้อมกับบอกว่าเป็นการสิ้นเปลืองสำหรับประเทศที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าแทซากุกสามารถประดิษฐ์อาวุธที่คล้ายกับปืนใหญ่ได้ ปากพวกนั้นก็คงจะหดเข้าไปเหมือนคอตะพาบอย่างแน่นอน 


 


 


“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ได้เวลาออกว่าราชการแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย” 


 


 


หลังจากว่าราชการตอนเช้าเสร็จ ต้องรีบไปอวดรยูฮาหน่อยแล้ว ฮอนคิดเช่นนั้นพร้อมกับมุ่งไปยังท้องพระโรงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่นานๆ ทีจะได้เห็น แต่ทันทีที่เริ่ม เขาก็รักษาสีหน้านั้นไว้ไม่อยู่เพราะเสียงประสานที่กล่าวว่าไม่ได้ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง 


 


 


“เรื่องนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! หากทรงแต่งตั้งราษฎรที่ไม่เคยได้ร่ำเรียนหนังสือ ทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการดูถูกความสามารถของพวกขุนนางนะพ่ะย่ะค่ะ!”  


 


 


“อืม ด้วยเหตุนั้นจึงให้บุตรหลานของท่านมหาเสนาบดีมาทำการทดสอบเป็นตัวอย่างอย่างไรเล่า” 


 


 


ใบหน้าของมุนฮาชีจุง[1]ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ท่านมหาเสนาบดีจึงพยักหน้าเบาๆ และขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะสายตาที่จ้องมองมา ฮอนมองดูการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงยิ้มแย้มเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยสำทับขึ้นอีกว่า 


 


 


“บุตรชายคนโต บุตรชายคนรอง รวมถึงบุตรชายคนที่สาม ทั้งหมดเลย” 


 


 


“แต่ว่าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ในความคิดของกระหม่อมนั้น กระหม่อมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้สถานที่สอบแห่งเดียวกันกับราษฎรธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


มันต้องอย่างนี้สิ พอท่านมหาเสนาบดีโค้งตัวลงเล็กน้อยและทูลให้ทราบอย่างเงียบๆ คิ้วของมุนฮาชีจุงที่เคยขมวดเข้าหากันจึงคลายออกเหมือนเดิม 


 


 


“ว่ามาสิ” 


 


 


“ในเมื่อขุนนางกับราษฎรนั้นแตกต่างกัน แล้วจะให้ทำข้อสอบเดียวกันได้อย่างไรขอรับ” 


 


 


“ท่านก็พูดถูก” 


 


 


ลูกเขยกับพ่อตาเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ท่านมหาเสนาบดีแสร้งทำเป็นขัดสิ่งที่ฮอนพูดพร้อมกับเสนอญัตติที่สำคัญกว่าการสอบ หลังจากทำให้เสนาบดีคนอื่นๆ เผลอ จากนั้นฮอนก็สนับสนุนคำพูดของเขาไม่หยุดและไม่เหลือช่องว่างให้พวกขุนนางชราได้แทรกเข้ามาเลย หลังจากที่ทั้งสองใช้เวลาหลายคืนในห้องทำงานไม่ไปไหน นี่คือช่วงเวลาที่จะได้ฉายแสง 


 


 


“เพราะฉะนั้น กระหม่อมจึงเห็นว่าขุนนางควรจะทำแบบทดสอบที่เหมาะสมกับระดับของขุนนาง ส่วนชนชั้นกลางก็ทำแบบทดสอบที่เหมาะกับชนชั้นกลาง แต่สำหรับสามัญชนไม่มีสิทธิ์พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ท่านหมายความว่าอย่างไรรึ! สามัญชนเป็นพสกนิกรของข้าเช่นกัน มันใช้ได้ที่ไหนที่จะไม่ให้แม้แต่โอกาสกับพวกเขาเพียงเพราะฐานะที่ต่ำต้อย!” 


 


 


แม้ว่าทั้งสองจะฝึกฝนมากันมาเป็นอย่างดี แต่ส่วนที่ต้องตะคอกใส่กันก็ยังคงดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี ท่านมหาเสนาบดีเหลือบมองเหล่าเสนาบดีแวบหนึ่ง โชคดีที่พวกเขายังคงโค้งคำนับเพราะการตวาดของฮอน ดูเหมือนว่าจะยังไม่รู้ทัน หลังจากได้รับความมั่นใจแล้ว เขาจึงยืดตัวขึ้นและเกร็งท้องพร้อมกับแสดงการขึ้นเสียงต่อหน้าพระราชา 


 


 


“ฝ่าบาท! แต่พวกเขาคือพวกที่ไม่ได้รับแม้กระทั่งการศึกษานะพ่ะย่ะค่ะ! ทรงจะให้พวกเขาเข้าไปในสนามสอบซึ่งมีชะตาของประเทศแขวนอยู่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“กระหม่อมก็คิดเช่นเดียวกับท่านมหาเสนาบดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“กระหม่อมก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“ได้โปรดทรงพระกรุณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” 


 


 


เสียงของการเห็นพ้องต้องกันดังขึ้นทั่วทุกสารทิศ จะให้สอบกับสามัญชนและจะให้พวกเขาเข้ามาในท้องพระโรงอย่างนั้นหรือ มันคือปัญหาเรื่องศักดิ์ศรีในฐานะขุนนาง โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับธรรมเนียมปฏิบัติหรือกฎระเบียบใดๆ แถมท่านมหาเสนาบดีผู้ซึ่งเพียงลำพังก็มีเสียงที่ดังกว่าเสียงของพวกเขารวมกันทั้งหมดแล้วยังโต้แย้งความประสงค์ของพระราชาอีก ดังนั้นในตอนนี้จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดี บางทีหากรวมพลังกันกดดันก็อาจจะกำจัดความคิดไร้สาระของพระราชาใหม่ผู้ยังทรงเยาว์วัยไปได้อีกด้วย 


 


 


“เจตนารมณ์ของพวกท่านเหมือนกับท่านมหาเสนาบดีจริงหรือ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! ได้โปรดทรงพระกรุณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ได้โปรดทรงพระกรุณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


หลังจากแน่ใจแล้วว่าทุกคนในที่นี้พูดกันเป็นเสียงเดียว พระราชาก็เพิ่มน้ำหนักลงที่พนักวางแขนของราชบัลลังก์ อีกทั้งน้ำเสียงก็อ่อนลงด้วย 


 


 


“ราษฎรที่ไม่ได้เล่าเรียนหนังสือไม่สามารถเข้าสอบได้อย่างนั้นสินะ” 


 


 


จากที่พิจารณาดูจากเสียงพึมพำของเขาซึ่งเหมือนกับกำลังจมอยู่ในความคิดบางอย่าง ดูเหมือนว่าพระราชาผู้ไร้เดียงสาใกล้จะล้มเลิกความประสงค์แล้ว ความพึงพอใจที่แต่เดิมไม่ปรากฏบนใบหน้าของเหล่าเสนาบดีจึงเริ่มเพิ่มมากขึ้น 


 


 


“ข้ามีข้าหลวงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ พวกท่านสามารถชี้ไปยังจุดที่ข้าคาดไม่ถึงเพราะดวงตาที่มืดบอดเนื่องจากอุดมการณ์ การที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยข้าหลวงซึ่งฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้คือความสุขของข้า และยังเป็นความสุขของแทซากุกอีกด้วย” 


 


 


“ทรงชมเกินไปพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“ทรงชมเกินไปพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” 


 


 


หลังจากได้รับการปลุกใจจากคำชมของพระราชาซึ่งหาฟังได้ยาก เหล่าเสนาบดีจึงประสานเสียงตามคำพูดของท่านมหาเสนาบดีราวกับนกแก้ว พวกเขาดูพึงพอใจเป็นอย่างมากสังเกตได้จากหนวดเคราแต่ละเส้นซึ่งตัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้านต่างกระดิกไปมา ฮอนจงใจแสร้งทำเป็นใช้ความคิด จากนั้นจึงออกคำสั่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับญัตติเมื่อสักครู่เลยสักนิด 


 


 


“กรมการคลัง ข้าจะไม่รับนางสนมเข้ามา ส่วนพระมเหสีก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยนัก เพราะฉะนั้นจงตัดงบประมาณที่ใช้กับเหล่านางในเสีย ยกเว้นเสียแต่วังจางชุน ส่วนที่วังกอนจองก็จงทำเช่นเดียวกัน กรมพิธีการ งดเว้นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยไร้ประโยชน์ในทุกฤดูกาล งานเลี้ยงวันพระราชสมภพของข้ากับพระมเหสีก็ให้ลดขนาดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ส่วนงานเลี้ยงอื่นๆ ยกเว้นงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของพระพันปีที่วังจางชุนและงานเลี้ยงต้อนรับคณะผู้แทนพระองค์ให้ยกเลิกให้หมด ผ้าไหมที่วางกองไว้อย่างไร้ประโยชน์ในห้องเก็บของก็เก็บไว้เฉพาะในปริมาณที่จำเป็น นอกนั้นนำไปขายเสีย” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] มุนฮาชีจุง ตำแหน่งขุนนางซึ่งเทียบเท่ามหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน  

 

 


ตอนที่ 15-8

 

เหตุผลที่จู่ๆ เขาก็พูดเรื่องตัดงบประมาณออกทีละส่วนขึ้นมาในขณะที่กำลังปรึกษาหารือกันเรื่องการสอบของสามัญชนคืออะไรกัน คำพูดที่ไม่คาดคิดของฮอนทำให้ความฉงนปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเหล่าเสนาบดี แต่งบประมาณของพระราชวังก็อยู่ในขอบเขตอำนาจของกษัตริย์อยู่แล้ว นอกจากนั้นเขาก็ไม่ได้บอกว่าจะใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่กลับบอกว่าจะประหยัดมัธยัสถ์ให้ดูเป็นตัวอย่างอีกต่างหาก จึงไม่มีอะไรให้ต้องค้านและคิดอะไรไม่ออกด้วย ในระหว่างที่พวกเขากำลังสับสนอยู่นั้น เสียงของพระราชาซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังจึงพูดต่อ ส่วนพู่กันของผู้จดบันทึกที่จดตามก็ขยับพลิ้วไหวไปมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ออซาบู[1]ใช้งบประมาณที่จัดไว้ให้ทั้งหมดและเติมเต็มส่วนที่ขาดด้วยงบสำรองในการก่อตั้งสถานที่สำหรับให้ราษฎรได้เล่าเรียนในทุกหัวเมือง ส่วนอาจารย์ที่จะมาสอนพวกเขาก็ให้คัดเลือกจากขุนนางซึ่งผ่านการสอบและแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ให้เป็นลำดับขั้นที่ห้า ชั้นเอกมียศเป็น กุกซา การอบรมบ่มเพาะบุคคลที่มีความสามารถของประเทศก็สมควรได้รับค่าตอบแทนถูกต้องไหม กุกซาที่ผลิตบุคลากรได้มากที่สุดของทุกปี ข้าจะมอบรางวัลให้เป็นพิเศษ” 


 


 


“เป็นการตัดสินที่เฉลียวฉลาดและถูกต้องตามทำนองคลองธรรมโดยแท้จริงพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


ท่านมหาเสนาบดีรีบสนับสนุนอย่างรวดเร็วก่อนที่พวกเสนาบดีจะอ่านสถานการณ์นี้ออก พลางเอ่ยออกมาว่า “เรื่องทั้งหมดนี้ต้องขอบใจคำตักเตือนของพวกท่าน และความเฉลียวฉลาดยิ่งนักของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ในระหว่างที่ลูกเขยกับพ่อตารับส่งกันอยู่นั้น หัวสมองของเหล่าเสนาบดีก็เริ่มยุ่งอยู่กับการคิดคำนวณกำไรขาดทุน 


 


 


ในเมื่อชนชั้นกลางได้เข้าสอบก็แสดงว่าแม้จะเป็นลูกหลานของขุนนางก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้ตำแหน่ง ปกติตำแหน่งขุนนางลำดับขั้นที่ห้า ชั้นเอกนั้น แม้จะถูกแต่งตั้งด้วยระบบการแนะนำอย่างในตอนนี้ แต่ก็แทบจะไม่มีใครเลยที่ได้เริ่มต้นเข้ารับราชการด้วยตำแหน่งขุนนางลำดับขั้นที่ห้า ชั้นเอก ดังนั้นสุดท้ายแล้วฮอนจึงเล่นกับหัวใจของข้าราชการระดับสูงที่รวมตัวกันในท้องพระโรง ในฐานะคนที่เป็นพ่อก็คงจะต้องอยากให้ลูกได้รับตำแหน่งราชการ ซึ่งทุกคนก็น่าจะเหมือนกันหมด ในท้ายที่สุดคำตอบที่ฮอนต้องการก็ดังออกมาจากปากของพวกเขา 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” 


 


 


การประสานเสียงนั้นช่างน่าฟังราวกับเสียงแตรของแม่ทัพที่ป่าวประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่หลังการต่อสู้ที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แม้จะประสบผลสำเร็จในการนำระบบการศึกษามาใช้ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระราชาองค์ที่สี่สิบสามแห่งแทซากุก แต่ฮอนซึ่งเป็นผู้ริเริ่มวางแผนและบรรลุผลสำเร็จคิดเพียงแค่ว่ามันคือภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งเท่านั้น 


 


 


“เรื่องถัดไป นำหนังสือถวายฎีกามา” 


 


 


ฮอนแอบส่งสายตาให้พ่อตาซึ่งคอยช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดีพลางคลี่ม้วนกระดาษอันต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่ายังไม่มีการคัดค้านเรื่องนางสนมแม้จะทำการตัดสินใจไปแล้ว จึงทำให้รู้เลยว่าอำนาจของท่านมหาเสนาบดีนั้นมหาศาลเพียงใด แต่ก็ได้สัญญาอย่างหนักแน่นไปแล้วว่าจะจัดการเรื่องจดหมายลาออกให้ หลังจากที่ให้เขามาเป็นเกราะป้องกันให้และช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญสำเร็จ น้ำหนักของตราพระมหากษัตริย์ที่ถืออยู่ในมือวันนี้จึงหนักเป็นพิเศษ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จมางั้นหรือ ไม่ได้ส่งคนไปทูลฝ่าบาทหรือว่าช่วงนี้อย่าเข้ามา” 


 


 


“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันบอกเรื่องนี้แก่ขันทีโดยตรงแล้วเพคะ” 


 


 


แม้ว่ารยูฮาจะไม่ได้มีความรู้สึกไวขนาดนั้น แต่ก็พอรู้ได้ว่าข้างนอกนั้นมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น แถมยังเป็นช่วงว่าราชการตอนเย็นจบสิ้นลงแล้วด้วย ทั้งๆ ที่ให้คนไปบอกแล้วว่าอย่ามา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเลย เหล่านางในที่กำลังพูดคุยกันเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ รยูฮาหรือไม่ก็ทำงานของตัวเองจึงรีบจัดของรอบๆ ให้เรียบร้อยและออกไปข้างนอก การที่ทุกคนจะต้องออกไปห่างๆ จากห้องนอนให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ยกเว้นขันทีเพียงหนึ่งคน เมื่อพระราชาเสด็จมากลายเป็นเหมือนกฎระเบียบที่มีเฉพาะแค่วังจานยองเท่านั้นไปเสียแล้ว 


 


 


“พระราชาเส…” 


 


 


“เลิกทำแบบนั้นเสียที” 


 


 


ขันทีที่เผลอเปิดปากพูดทุกรอบแม้จะถูกสั่งให้ไม่ขานบอกทุกรอบถูกต่อว่าอีกครั้ง ฮอนใช้เท้าเตะจูฮวานแล้วดันออกไปข้างๆ ก่อนจะเปิดประตูออกอย่างแรงและพบว่ามีสีหน้าที่ตึงเครียดกว่าปกติต้อนรับเขาอยู่ แต่นี่แหละคือรสชาติของการเป็นพระราชา หลังจากเสร็จงานประจำวันแล้ว เขาก็วิ่งมาที่วังจานยองเพื่อจับมือของรยูฮาแม้เพียงสักครั้งก็ตาม 


 


 


“เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


“ก็ข้าคิดถึงเจ้า อย่าทำหน้าตึงแบบนั้นสิ” 


 


 


ฮอนอมยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะประชิดตัวรยูฮาและกระซิบกระซาบอย่างไร้ยางอาย กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ไปแล้วสินะ รยูฮารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นความน่ารักแบบเมื่อก่อนอีกแล้วและละสายตาออกจากเขา 


 


 


“พวกเราแอบออกไปกันดีหรือไม่” 


 


 


“เดี๋ยวจูฮวานก็ร้องไห้หรอกเพคะ” 


 


 


“ตอนนี้ก็ครบกำหนดยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอดแล้ว แต่เห็นว่าร่างกายของคังยังอ่อนแออยู่จึงไม่สามารถออกไปข้างนอกได้จนกว่าจะครบร้อยวัน” 


 


 


“ฝ่าบาททรงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เหล่าข้าราชบริพารสิเพคะ จะทรงเข้าๆ ออกๆ ข้างนอกแบบนี้ได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


“แค่ครู่เองเดียวไม่ใช่หรือ แถมยังไม่ได้ไกลขนาดนั้นด้วย” 


 


 


“วันนี้งานเยอะมาก หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะ เสด็จกลับไปตำหนักบรรทมเถิดเพคะ” 


 


 


หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะรู้สึกเสียใจที่รยูฮาปฏิเสธข้อเสนอของตนเองทิ้งแบบตรงๆ แต่ฮอนได้ตระหนักแล้วว่าตัวเองโตขึ้นมาก เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ดูมีพิรุธในดวงตาของนางที่ไร้การสั่นไหว 


 


 


“รู้อยู่แล้วสินะ เรื่องยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอด” 


 


 


“เรื่องของหลาน ทำไมหม่อมฉันจะไม่รู้เพคะ” 


 


 


“แต่ทำไมเจ้าถึงดูไม่ผิดหวังเลยที่คังยังออกมาไม่ได้” 


 


 


ดวงตาที่มองเลยผ่านไหล่ของฮอนไปหันมาหยุดมองที่เขาครู่หนึ่ง ก่อนจะมองตรงไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง 


 


 


“จะไปผิดหวังเรื่องนั้นได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อเขาเกิดก่อนกำหนด” 


 


 


“ถ้าไปกันสองคนก็คงจะโดยท่านพ่อตาต่อว่าเป็นสองเท่า แต่ถ้าเจ้าไปคนเดียวก็คงจะไม่โดนสินะ แถมน่าจะไม่ถูกเสด็จย่าจับได้ด้วย” 


 


 


“ทรงพูดเรื่องอะไรเพคะ” 


 


 


รยูฮาทำแค่เพียงลูบเส้นผมที่ปล่อยยาวลงมาอย่างไม่สนใจ หากมองเผินๆ เหมือนนางยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่แล้วมือของนางก็ถูกฮอนจับไว้ก่อนที่จะวางไว้บนตักเหมือนเดิม 


 


 


“ไม่มีแหวนคู่นี่ เจ้าถอดออกเพราะจะแอบออกไปข้างนอกใช่หรือไม่” 


 


 


เครื่องประดับเพียงอันเดียวที่รยูฮาสวมอยู่เสมอเว้นเสียแต่ตอนนอนและตอนอาบน้ำ นั่นก็คือแหวนคู่ฝังอัญมณีสีแดง แต่บัดนี้สิ่งที่มีเพียงสตรีระดับสูงสุดในอาณาจักรเท่านั้นที่จะมีได้กลับถูกถอดออกไป 


 


 


“บอกไปแล้วว่าเหนื่อยไม่ใช่หรือเพคะ หม่อมฉันกำลังคิดว่าจะเข้านอนเร็วเพคะ” 


 


 


“แต่ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ” 


 


 


พลาดแล้ว ตอนนี้เขาคืองูที่มีอายุร้อยปีไม่ใช่เด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูอีกต่อไป เขาที่เคยเชื่อตามที่นางล้อเล่นหรือหลอกกลับกลายเป็นอ่านกลยุทธ์ของรยูฮาออกทั้งหมด นางได้วางแผนแอบหนีออกไปคนเดียวเพื่อที่จะได้ฟังเสียงบ่นของท่านมหาเสนาบดีน้อยลงไว้หมดแล้ว จึงส่งเสียงจิ๊ปากอย่างไม่พอใจพร้อมกับเอามือออก 


 


 


“มันจะสะดุดตาเกินไปหากไปด้วยกันกับฝ่าบาทเพคะ แถมยังไม่สามารถหนีออกจากการคุ้มกันไปได้ด้วย” 


 


 


“ทำไมถึงได้ใจร้ายแบบนี้ สามีภรรยาคือหนึ่งเดียวกันไม่ใช่หรือ” 


 


 


“ทรงไปเรียนคำพูดเหลวไหลแบบนั้นมาจากที่ไหนเพคะ งั้นก็ดีเลยเพคะ วันนี้หม่อมฉันว่าจะออกไปคนเดียว เพราะฉะนั้นโปรดทรงช่วยดูแลห้องไม่ให้พวกคนรับใช้สังเกตเห็นให้หน่อยเพคะ” 


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รยูฮาจึงตัดสินใจที่จะออกไปข้างนอกอย่างหน้าด้านๆ จากนั้นจึงหยิบชุดคลุมออกมาอย่างนิ่งเฉย ฮอนพูดไม่ออกหลังจากได้เห็นความดื้อรั้นนั้น แต่เขาก็ไม่ใช่ง่ายๆ เขาข่มขู่ว่าจะไปฟ้องเสด็จย่าที่วังจางชุนหากนางออกไปคนเดียว ดังนั้นในท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ทิ้งขันทีซึ่งมีสีหน้าบูดเบี้ยวเอาไว้ ก่อนจะแอบออกไปจากพระราชวัง 


 


 


“โอ้ ให้ตายสิ” 


 


 


หลังจากได้ยินเสียงบ่นจากท่านมหาเสนาบดีกับนายหญิงตระกูลจองมาสักระยะหนึ่งว่า ‘ทำไมถึงทรงเสด็จเข้าออกข้างนอกบ่อยขนาดนี้พ่ะย่ะค่ะ ทรงต้องรักษาเกียรติไว้ด้วยสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกราบทูลให้พระพันปีทรงทราบทันทีที่ได้เข้าไปในพระราชวัง’ คำพูดเมื่อกี้คือคำพูดคำแรกของรยูฮาหลังจากที่พบกับคังซึ่งถูกห่ออยู่ในผ้าไหม ตัวเล็กกว่าที่คิด แถมยังน่ารักน่าชังมากอีกด้วย ฮอนมองดูรยูฮาซึ่งไม่สามารถละสายตากลมโตออกจากองค์ชาย แล้วจึงเบือนหน้าไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง 


 


 


“อันนี้คืออันที่ข้าทำใช่ไหม” 


 


 


“ใช่แล้วเพคะ” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ออซาบู ฝ่ายข้าราชการของเกาหลีโบราณ ดูแลเรื่องการศึกษา  

 

 


ตอนที่ 15-9

 

มินอาตอบด้วยเสียงปนหัวเราะพลางยกมือของคังขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้เห็นชัดๆ ถุงมือที่รยูฮาทำด้วยฝีมือที่ไม่ได้เรื่องเลยนั้นใส่ได้พอดีกับมือเล็กๆ ของเขาเป็นอย่างมาก ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเบ่งบานขึ้นข้างในมุมหนึ่งของจิตใจ ปลายนิ้วที่มีความระมัดระวังเป็นอย่างมากถูกดึงกลับมาอย่างน่าเสียดายหลังจากลูบแค่ตรงถุงมือเบาๆ ไม่กล้าสัมผัสโดนผิวหนังโดยตรง 


 


 


“ทำไมผิวถึงได้ขาวขนาดนี้นะ” 


 


 


“ทรงลองอุ้มดูสักครั้งสิเพคะพระมเหสี” 


 


 


“ถ้าเกิดตกขึ้นมาจะว่าอย่างไรล่ะ ข้าขอดูอย่างเดียวก็พอ” 


 


 


มินอาเสนอพลางยื่นห่อผ้าไหมที่ห่อคังไว้ให้ แต่รยูฮาตกใจกลัวจึงส่ายหน้าไปมาพร้อมกับซ่อนแขนไว้ข้างหลัง ฮอนที่อยู่ข้างๆ ก็ทำแบบเดียวกัน อย่าว่าแต่จะลองอุ้มเลย แม้แต่จะสัมผัสยังไม่กล้า ดวงตาของทั้งคู่ที่ยื่นหน้าเข้าไปเพ่งมองคังซึ่งกำลังหลับใหลกลมโตขึ้นพร้อมกันราวกับรู้สึกมหัศจรรย์ กำลังหลับอยู่แน่ๆ แต่ทำไมถึงยิ้มน่ารักแบบนี้ 


 


 


“คังมองหม่อมฉันแล้วยิ้มเพคะฝ่าบาท” 


 


 


“พูดอะไรกัน ข้าเป็นคนตัดสายสะดือให้ไม่ใช่รึ เขามองข้าแล้วยิ้มต่างหาก” 


 


 


“นั่นเป็นแค่หน้าของทารกแรกเกิดขณะหลับน่ะเพคะ เด็กที่นอนหลับอยู่จะมองเห็นอะไรได้เพคะ” 


 


 


มินอาตัดบทการทะเลาะของทั้งคู่อย่างเมินเฉยก่อนจะปรับท่าอุ้มคัง ไม่รู้ว่าตื่นเพราะปรับท่าอุ้มหรือตื่นเพราะเสียงดังโวยวาย คังที่กำลังหลับสนิทอยู่เมื่อครู่ลืมตาขึ้นมาช้าๆ และหันไปมองรอบๆ และในไม่ช้าก็ร้องไห้จ้าออกมา 


 


 


“อุแว้! อุแว้!” 


 


 


“เขาร้องไห้เพราะฝ่าบาทนั่นแหละเพคะ!” 


 


 


“เสียงเจ้าดังกว่าอีก!” 


 


 


“โปรดออกไปทั้งคู่เพคะ ดูเหมือนว่าองค์ชายจะทรงตกใจเพคะ” 


 


 


ทารกแรกเกิดที่อายุได้ไม่ถึงเดือนคงจะตกใจน่าดู มินอารู้ว่าลูกแค่ร้องไห้เพราะหิว แต่ก็เริ่มเบื่อที่สองคนนั้นเถียงกันไม่หยุดหย่อนจึงบังคับให้พวกเขาออกไป 


 


 


ฮอนกับรยูฮาจ้องมองคังอีกครั้งเป็นการส่งท้ายด้วยความเสียดาย ก่อนจะถูกไล่ออกไปจากห้องและไปนั่งยองๆ อยู่ตรงสวนหน้าบ้านอันมืดสนิท หลังจากจมอยู่กับความคิดชั่วครู่ รยูฮาก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน 


 


 


“น่ารักเหลือเกินเพคะ เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ ขนาดนั้นเพคะ” 


 


 


“ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นเด็กเป็นครั้งแรกเหมือนกัน” 


 


 


“ความจริงแล้ว หม่อมฉันก็เพิ่งเคยเห็นเด็กเป็นครั้งแรกเพคะ” 


 


 


“ดวงตาเหมือนกับเสด็จพี่เลย” 


 


 


“หน้าผากก็เหมือนกับมินอาเพคะ” 


 


 


“ปากก็เหมือนข้านิดหน่อยนะว่าไหม” 


 


 


“อืม น่าจะเหมือนตรงมีสีแดงระเรื่อและงดงามเหมือนกัน” 


 


 


ความเศร้าสร้อยปรากฏในดวงตาของรยูฮาซึ่งปิดปากสนิททันทีหลังจากพูดคุยกระหนุงกระหนิงกัน ก่อนจะจ้องมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ข้างในใจของนางจะเจ็บขนาดไหนกันนะ ควรจะรับนางสนมเข้ามาและมีลูกให้รยูฮาได้อุ้มดีไหม หลังจากคิดอะไรไร้สาระไปพักหนึ่ง ฮอนก็ส่ายหัวพลางลุกขึ้นพร้อมกับสะบัดชายเสื้อ 


 


 


“ไปกันเถอะ ถ้าดึกไปกว่านี้เดี๋ยวจะเกิดเรื่องวุ่นวายอีก” 


 


 


ทั้งสองคนซึ่งมีสีหน้าดีขึ้นผิดกับตอนมาเดินผ่านถนนยามราตรีอีกครั้งเพื่อกลับไปยังพระราชวัง หลังจากวันนั้นจิตใจของรยูฮาก็มักจะลอยไปที่อื่นเสมอๆ แต่ก็อย่างว่าโดยธรรมชาติแล้วจิตใจของคนเรามักจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ตนไม่มีและสิ่งที่มีไม่ได้อยู่แล้ว 


 


 


 


 


 


นางซึ่งเป็นคนยิ้มน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้เพียงแค่ฮอนพูดอะไรหรือเอาอะไรมาให้ก็ทำแค่เพียงยิ้มให้เล็กๆ และไม่ได้รู้สึกดีใจใดๆ แม้กระทั่งชาที่ฮอนชงมาให้ด้วยตัวเองก็เช่นกัน 


 


 


“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” 


 


 


รยูฮาขอบคุณด้วยเสียงที่ฟังดูไม่ได้ขอบคุณอย่างที่พูด จากนั้นจึงจรดริมฝีปากที่ถ้วยชาอย่างไม่สนใจ เมื่อสัมผัสได้ว่าทั้งกลิ่นและรสชาติแตกต่างจากปกติพอสมควรจึงหันไปมองฮอนด้วยแววตาปนความสงสัย 


 


 


“กลุ่มการค้ากลับมาจากประเทศฝั่งตะวันตกแล้ว” 


 


 


ฮอนตอบด้วยรอยยิ้มก่อนที่รยูฮาจะได้เอ่ยปากถาม กลุ่มการค้ากลับมาพร้อมกับบรรทุกผลิตภัณฑ์ อาหาร ยาและชาของฝั่งตะวันตกมามากมาย ไม่ใช่เพียงแค่ปืนใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนกลุ่มคนคุ้มกันที่ฮอนส่งไปได้เลือกเอามาเฉพาะสิ่งของที่มีค่าที่สุดจากในบรรดาทั้งหมด หลังจากที่ขึ้นไปซ่อนปืนใหญ่ไว้ในภูเขาลึกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งชาที่เขาเอามาให้รยูฮาด้วยตัวเองก็คือหนึ่งในนั้น 


 


 


“เป็นรสชาติที่แปลกมากเพคะ” 


 


 


“ไม่ชอบอย่างนั้นรึ หลังจากลองชิมเอง ข้าก็เลือกเอาอันที่รสชาติที่ดีที่สุดมาเลยนะ” 


 


 


นางยังจำใบหน้าของฮอนที่ลองชิมทุกอันแล้วครุ่นคิดว่าอันไหนดีที่สุดได้ดี รยูฮาจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากที่ไม่ได้หัวเราะมานานพร้อมกับใช้ปลายนิ้วลูบแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน 


 


 


“รสชาติดีมากเพคะ มีพอจะให้หม่อมฉันดื่มทุกวันหรือไม่เพคะ” 


 


 


“แน่นอน ข้าจะชงมาให้เจ้าทุกวันเลย” 


 


 


ฮอนเริ่มคุยโวอีกครั้งหลังจากอารมณ์ดีขึ้นเพราะรอยยิ้มของรยูฮา ทั้งคำพูดของรยูฮาที่บอกว่าจะดื่มทุกวัน และคำพูดของฮอนที่บอกว่าจะชงมาให้ทุกวันต่างก็ไม่ใช่คำพูดลอยๆ เพราะชาอันนั้นถูกปากของรยูฮาจริงๆ 


 


 


หลังจากเสร็จงานประจำวัน ฮอนก็จะชงชาให้รยูฮาและเฝ้ามองดูท่าทางของนางที่ดื่มชาด้วยสีหน้าพึงพอใจ ส่วนรยูฮาก็เพลิดเพลินไปกับกลิ่นชาที่มีความขมเล็กน้อยพลางขอบคุณฮอนอยู่ในใจ เป็นเช่นนี้สม่ำเสมอทุกวันไม่ขาดแม้แต่วันเดียว จนกระทั่งใบชาที่นำมาเยอะมากหมดเกลี้ยง 


 


 


“อันนี้อันสุดท้ายแล้วหรือเพคะ” 


 


 


“ข้าจะส่งคนไปยังประเทศฝั่งตะวันตกอีก ตอนนั้นคงต้องเอามาเพิ่มอีกเยอะๆ แล้วแหละ” 


 


 


พอรยูฮาถามกลับราวกับเสียดาย ฮอนจึงยิ้มเล็กน้อยพลางตบไหล่นางเบาๆ ถ้าชอบขนาดนี้ก็คงจะต้องหามาเพิ่มให้แล้ว แม้จะต้องทุ่มหมดตัวก็จะต้องเอามาให้ได้ หลังจากค่อยๆ ดื่มอย่างช้าๆ เป็นพิเศษ ในที่สุดถ้วยชาที่ว่างเปล่าก็ส่งเสียงดังกิ๊กในขณะที่ถูกวางลงบนโต๊ะ ซึ่งในตอนนั้นเองก็มีเสียงขานบอกของยางจินจากด้านนอก 


 


 


“ได้เวลาเสวยยาสมุนไพรแล้วเพคะพระมเหสี” 


 


 


“อ้า เข้ามาสิ” 


 


 


มันคือยาสมุนไพรถ้วยสุดท้ายจากในบรรดายาสมุนไพรที่ถูกนำเข้ามาหลายรอบต่อวันโดยไม่หยุดพัก ซึ่งมันมีรสชาติขมมากที่สุดในบรรดายาทั้งหมด รยูฮาทอดสายตามองดูยาสมุนไพรซึ่งต้มจนเหนียวข้น แล้วจึงหลับตาและดื่มมันเข้าไปรวดเดียว ฮอนมองดูพลางทำหน้าเหยเกประหนึ่งว่าเป็นคนดื่มยานั่นเอง จากนั้นจึงหยิบควาพยอน[1]ที่มีรสชาติหวานป้อนใส่ปากให้ทันทีที่รยูฮาวางถ้วยยาลง และจากนั้นไม่นาน 


 


 


“กรี๊ด! พระมเหสี!” 


 


 


ยางจินซึ่งกำลังจะเก็บถ้วยออกไปกรีดร้องออกมาและทำโต๊ะสำรับหล่น เลือดสีแดงเข้มหยดติ๋งๆ ลงตรงระหว่างเศษถ้วยที่แตกและเกิดเสียงดังครึกโครม มันคือเลือดที่ไหลออกมาจากปากจองรยูฮาซึ่งยังคงงุนงงอยู่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น 


 


 


“รยูฮา! หมอหลวง ไปตามหมอหลวงมา!” 


 


 


เสียงตะโกนของฮอนซึ่งกอดรยูฮาเอาไว้โดยไม่สนใจว่าเสื้อคลุมมังกรทองจะเปื้อนเลือดดังสนั่นไปทัวพระราชวัง ก้อนเลือดสีแดงเข้มกระอักออกมาอีกครั้งและเลอะเปรอะเปื้อนไปตามพื้น หลังจากนั้นศีรษะของรยูฮาก็ร่วงลง นางจึงหมดสติอยู่ในอ้อมกอดของฮอน 


 


 


 


 


 


ในห้องบรรทมซึ่งไม่ได้เล็กเลยเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่จากนั้นไม่นานก็กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง ฮอนนั่งเฝ้าตรงหัวนอนของรยูฮา ความไม่สบายใจที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ เหงื่อกาฬที่ไหล่ท่วมออกมาราวกับน้ำในแม่น้ำหลังจากฝนตก หลังจากเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หมอหลวงก็ลืมตาขึ้นแล้วเอามือออก จากนั้นจึงโค้งศีรษะให้ฮอน 


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ในพระวรกายของพระมเหสีเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“นางเพิ่งอ้วกเป็นเลือดแล้วสลบไป! แต่เจ้ากลับบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นรึ!” 


 


 


เขาหวังว่าจะได้ยินคำว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอได้ยินเข้าจริงๆ กลับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ฮอนรู้ว่าตัวเองกำลังดื้อดึงอยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากดื้อดึงแบบนี้ จะให้บอกว่าโชคดีที่อย่างน้อยก็ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของรยูฮาในตอนที่เขาหมดสติหลังจากดื่มยาพิษเข้าไปอย่างนั้นหรือ ฮอนจับหมอหลวงที่ไม่มีความผิดใดๆ และตะคอกให้เขาตรวจชีพจรอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นเองเสียงอันแผ่วเบาก็ได้หยุดเขาไว้ 


 


 


“ฝ่าบาท…หนวกหู…เพคะ” 


 


 


“พระมเหสี!” 


 


 


ท่าทีของเขาที่โวยวายเหมือนกับกำลังจะคว้าคอเสื้อของหมอหลวงมาเขย่าเดี๋ยวนั้นเปลี่ยนไปในพริบตา ตั้งสติไว้ เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เวียนหัวใช่ไหม ข้างในไม่เป็นไรใช่ไหม ในขณะที่คำถามและความเป็นห่วงหลั่งไหลเข้ามารวดเดียว รยูฮายกมืออันซีดเซียวขึ้นมาแล้วขยับขึ้นลงเบาๆ จากนั้นกระซิบอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจนตรงข้างหูของฮอนซึ่งเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าริมฝีปากของนางตามการกวักมือนั้น 


 


 


“หนวกหูเพคะ…ปวดหัว” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ควาพยอน ขนมเกาหลีชนิดหนึ่ง ทำจากน้ำผลไม้ผสมน้ำผึ้ง คล้ายกับเยลลี่ซึ่งเป็นขนมของฝั่งตะวันตก 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม