ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง 152-172

 SB:ตอนที่ 152 ความมั่งคั่งของตระกูลหยวน


 


ในที่สุด ลู่หยางก็ได้กำราบหยวนจิน และตระกูลหยวนของเขา และใช้ศีรษะของหยวนจินเป็นของขวัญให้กับวันเกิดปีที่สิบเจ็ดของเขา


เมื่อไม่มีหยวนจินแล้ว ทางตอนเหนือของเมืองก็ได้กลายเป็นอาณาจักรของสำนักหนึ่งสวรรค์ กลุ่มชนชั้นต่ำต้อยเหล่านั้นที่ได้แสดงความยอมจำนนต่อสำนักหนึ่งสวรรค์แล้วในตอนแรก มาถึงตอนนี้ ผู้คนจำนวนมากขึ้นยิ่งไม่กล้าขัดขืนหรือท้าทายอำนาจของสำนักหนึ่งสวรรค์


ทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงพวกยามผู้พิทักษ์ ที่เป็นของตระกูลหยวนก่อนหน้านี้ได้กลายมาเป็นสาวกของสำนักหนึ่งสวรรค์ทั้งหมด กองกำลังทั้งหมดทั้งมวลของสำนักหนึ่งสวรรค์ได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งตอนเหนือของเมือง


ชนชั้นต่ำต้อยผู้ที่ร่ำรวยและมีอำนาจต่างก็หมอบราบกราบกรานลงแทบเท้าลู่หยาง หลังจากที่ได้ผนึกรวมชนชั้นต่ำต้อย และชนชั้นมั่งคั่งแล้ว สำนักหนึ่งสวรรค์ของเขาก็ไปถึงระดับที่เหนือกว่าตระกูลหยวนตอนนั้นแล้ว


ลู่หยางได้กำจัดตระกูลหยวนลงได้โดยสมบูรณ์แล้ว และเขาจะไม่ปฎิบัติกับมันเฉกเช่นเดียวกับที่เขาได้เคยทำกับสมาคมสายลมและเมฆาเมื่อครั้งก่อนแน่นอน


หลังจากที่ได้ทำการเยียวยาอาการบาดเจ็บของซุนวูจนคงที่แล้ว ลู่หยางนั่งอยู่บนบัลลังก์ของหัวหน้าพันธมิตรสำนักหนึ่งสวรรค์ เขากำลังอยู่ในภวังค์ขณะที่ในมือของเขาถือสิ่งประดิษฐ์วิญญาญสองชิ้นอยู่


เมื่อพลังจากในตัวของเขาไหลส่งผ่านเข้าไปในสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้นนั้น พื้นผิวของดาบสังหารมังกรยังคงส่องประกายเจิดจ้าอยู่ แต่ไม่ว่าลู่หยางจะส่งผ่านพลังเข้าไปในชุดเกราะวิญญาณมากแค่ไหน มันก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้ซักกระเบียดนิ้ว นอกจากนี้ เขายังสังเกตเห็นว่า มีรูใหญ่ๆหนึ่งรูบนชุดเกราะนี้ ชุดเกราะวิญญาณนี้แทบจะขาดออกจากกันแล้ว


ลู่หยางส่ายหัวและถอนหายใจ เขารู้สึกเสียใจเป็นที่สุด “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง เป็นเพราะข้าใช้พละกำลังมากเกินไปในตอนนั้นทำให้ชุดเกราะวิญญาณดีๆกลายเป็นเช่นนี้ไป…นี่มันสามล้านผลึกเชียวนะ หมดกันแล้ว!”


รูโหว่บนชุดเกราะวิญญาณนั้นเกิดจากการโจมตีครั้งสุดท้ายของลู่หยาง และผู้อาวุโสไป๋ที่ลงมือกับหยวนจิน ไม่เพียงแต่มันจะทำให้หยวนจินพิกลพิการไป มันยังทำให้ชุดเกราะวิญญาณเสียหายไปด้วย โครงสร้างภายในถูกทำลายไปหมดกลายเป็นกองเศษโลหะชิ้นเล็กชิ้นน้อย โชคยังดีที่หลังจากหยวนจินตายไป เขาได้ทิ้งดาบสังหารมังกรเอาไว้ และมันยังอยู่ในสภาพที่ดี ลู่หยางเพียงแค่ต้องทำให้ดาบสังหรณ์มังกรนี้บริสุทธิ์ขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะสามารถควบตุมมันได้


ทรัพย์สมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มห้องไปหมด และมันเป็นการยากที่จะวางมันลง ห้องโถงของสมาคมสายลมและเมฆาที่ตอนแรกนั้นเขาคิดว่าใหญ่โตโอฬารเพียงพอแล้วตอนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอแล้วในตอนนี้ และเหนืออื่นใด สำนักหนึ่งสวรรค์ในปัจจุบันไม่เหมือนเดิมดังเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว


ลู่หยางแอบตัดสินใจที่จะสร้างตระกูลหยวนที่ได้กลายเป็นซากปรักหักพังแล้วขึ้นมาใหม่ แล้วใช้ที่แห่งนี้สร้างสำนักหนึ่งสวรรค์ขึ้นใหม่หนึ่งชุด ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องสร้างคลังสมบัติที่มโหฬารขึ้นมาเพิ่อเก็บทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ยึดเอามาได้จากตระกูลหยวน


หลังจากที่ได้ปล้นสะดมทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาแล้ว ลู่หยางรู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะมันเป็นทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่ามากที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็นมา ถ้าหากสิ่งของภายในนั้นทั้งหมดถูกนำออกมาจัดวาง มันสามารถเทียบเท่ากับตำหนักหมื่นสมบัติทั้งชั้นเลยทีเดียว


เป็นที่แน่ชัดว่าลู่หยางได้ประเมินการสั่งสมนับพันปีของตระกูลหยวนต่ำเกินไป ทรัพย์สมบัติกองโตเท่าภูเขาได้ทำให้เขาตกใจเพียงพอแล้ว แต่วินาทีที่เขาเห็นความมั่งคั่งที่แท้จริงของตระกูลหยวน ลู่หยางตกอยู่ในสภาพตกตะลึงตัวแข็งทื่อเป็นหินไปเลยในทันที


“คุณพระช่วย!”


หากปรียบเทียบกับผลึกกองโตตรงหน้าเขาแล้ว ลู่หยางรู้สึกในทันใดนั้นเองว่าทรัพย์สมบัติก่อนหน้านี้ไม่ได้มีค่ามากเท่าใดนัก


“คุณพระช่วย!” นี่มันผลึกจำนวนมากแค่ไหนกันนี่?”


ตอนนี้ ลู่หยางรู้เพียงว่าเขากำลังขาดแคลนผลึกเป็นที่สุด และเมื่อมองเห็นผลึกกองเท่าภูเขาตรงหน้าเขานี่ เขารู้สึกในทันใดนั้นเองว่าโลกใบนี้ช่างสวยงามจริงๆ


ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เฮ้อ นายน้อยผู้นี้ยากจนข้นแค้นมาหลายปีแล้ว และในที่สุดเขาได้กลายเป็นคนร่ำรวยไปแล้ว ถ้าข้ารู้ตั้งแต่แรก ข้าคงจะให้ใครฆ่าหยวนจินไปแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงป่านนี้นะ”


ตอนนี้เป็นเวลาที่กำลังร้อนเงิน  ลู่หยางมองไปที่กองผลึกตรงหน้า แล้วแทบจะน้ำลายไหล


อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงระดับปัจจุบันของสำนักหนึ่งสวรรค์ และความที่ยังจำเป็นต้องใช้ผลึกจำนวนมากในการพัฒนาสำนักอย่างมั่นคง ลู่หยางอดทนต่อแรงกระตุ้นที่จะเอาผลึกเหล่านี้มาเพิ่อตัวของเขาเอง เขาเพียงแค่หยิบเอาศิลาผลึกชั้นกลางออกมาหนึ่งร้อยก้อน แล้วก็หยุดเท่านั้น


ตราบเท่าที่ผลึกในมือของเขาสามารถยกระดับระบบของอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรได้ ความต้องการของลู่หยางไม่ได้สูงเกินไปเลย สำหรับหนี้สินที่เขายังติดค้างตำหนักหมื่นสมบัติอยู่นั้น เขาคงต้องพึ่งพาทักษะจารึกในการทยอยๆใช้คืนให้


ด้วยผลึกในมือ ลู่หยางเรียกระบบออกมา และปรับปรุงสถานะของอาภรณ์เทวะควบคุมอสูร เตรียมที่จะยกระดับมันขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้น เขาจะสามารถหลอมรวมระฆังทองคำอมตะให้เป็นชุดเกราะวิญญาณดั้งเดิมได้


การเก็บเกี่ยวของเขาครั้งนี้ได้ไม่น้อยเลย ถ้าเขาสามารถทำให้การป้องกันของชุดเกราะวิญญาณหยวนกลับแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งได้ แต่ทว่าเขาเพิ่งทำมันเสียหายไป แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เขาเจ็บปวดใจแล้ว


“ติ้ง!” การยกระดับอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรต้องใช้ผลึกชั้นกลางหนึ่งร้อยก้อน ท่านต้องการยกระดับทันทีหรือไม่?”


“ ยกระดับทันทีเลย!” ลู่หยางตอบกลับไป


ภายหลังจากการเกิดแสงสีขาว เสียงแจ้งการยกระดับอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรก็ดังขึ้น


“ติ้ง!” ระบบอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรได้รับการยกระดับขึ้นไปสู่ระดับเจ้าโลกแล้ว ส่งผลให้สามารถผสมผสานความสามารถเฉพาะตัวโดยกำเนิดระดับเจ้าโลกให้เป็นสิ่งประดิษฐ์วิญญาณชิ้นหนึ่งได้ ข้าต้องการอาวุธวิญญาณระดับกลางหนึ่งชิ้น”


ลู่หยางยิ้มขณะที่เขานำชุดเกราะวิญญาณที่เขาได้ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา เป็นที่แน่ชัดว่าความสามารถโดยกำเนิดที่ต้องการจะนำมาหลอมรวมเข้าด้วยกันคือระฆังทองคำอมตะ


“ติ้ง!”ค้นพบอาวุธวิญญาณระดับกลางซึ่งระบบอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรสามารถจัดการได้ โปรดเลือกความสามารถโดยกำเนิดที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน”


“ระฆังทองคำมตะ!”


พื้นผิวของชุดเกราะวิญญาณหยวนซึ่งเดิมทีทำด้วยทองคำถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของทองคำ ทันทีหลังจากนั้น รูประฆังทองคำที่อยู่บนร่างของลู่หยางก็หายไป และบนพื้นผิวของชุดเกราะวิญญาณหยวนกลับปรากฏรูประฆังทองคำขึ้น มันช่างเหมือนกันกับระฆังทองคำอมตะของจริงเลยทีเดียว หรืออีกนัยหนึ่งคือราวกับว่าตราประทับรูประฆังทองคำได้ย้ายจากร่างของลู่หยางไปที่ชุดเกราะวิญญาณหยวน เพียงแค่ว่ามันใหญ่กว่าและพลังอำนาจของมันก็เพิ่มมากขึ้นด้วย


ตอนนี้ ลู่หยางรู้สึกได้ถึงพลังงานธาตุโละหะที่แน่นหนาไหลเวียนอยู่ภายในชุดเกราะวิญญาณ เช่นเดียวกับแก่นแท้โลหิตของลู่หยาง ขณะที่นิ้วมือของเขาสัมผัสลูบไล้ไปบนชุดเกราะวิญญาณหยวนอย่างนุ่มนวล ทันใดนั้นเอง เขารู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อมัน


หลังจากที่ได้สวมใส่ชุดเกราะวิญญาณดั้งเดิมอีกครั้งหนึ่ง ลู่หยางรู้สึกราวกับมีชั้นของเกล็ดอยู่บนร่างกายของเขา ชุดเกราะวิญญาณดั้งเดิมได้หลอมรวมเข้ากับเขาโดยสมบูรณ์ และมันจะไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว


ลู่หยางพูดพร้อมกับถอนหายใจ “ในที่สุด ข้าก็มีอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรของตัวเองแล้ว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้หยวนจินจะมีดาบสังหารมังกร ก็จะไม่สามารถตีฝ่าทะลุผ่านการป้องกันของข้าได้”


เมื่อคิดแล้ว ลู่หยางก็หยิบเอาดาบสังหารมังกรออกมาทันที และความคิดที่จะเปลี่ยนดาบสังหารมังกรไปเป็นอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรชิ้นหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเขา


“การโจมตีหลักของดาบสังหารมังกร…เอ่…แล้วความสามารถโดยกำเนิดอันไหนจะดีกว่านะ?” ลู่หยางคิด แล้วเขาก็พบคำตอบโดยเร็ว


ตอนนี้ เขามีความสามารถโดยกำเนิดหลายอย่างทีเดียว แต่ที่เหมาะสมที่สุดนอกเหนือจากแสงเทวะหกเนตรของราชสีห์ขนทองหกเนตรก็คือ พายุหมุนเฮอริเคนของราชาวิหคขนสีฟ้า เป็นที่แน่ชัดว่า ความสามารถในการโจมตีที่วิเศษที่สุดคือแสงเทวะหกเนตรของราชสีห์ขนทองหกเนตร แต่เพียงแค่ว่า ราชสีห์ขนทองหกเนตรมีธาตุแสง ขณะที่ดาบสังหารมังกรเป็นอาวุธวิญญาณธาตุลม คุณสมบัติทั้งสองนี้เข้ากันไม่ได้ ดังนั้น แม้จะหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว มันจะยังคงส่งผลกระทบต่อพลังอำนาจของอาภรณ์เทวะควบคุมอสูร


“ดูเหมือนว่า ข้าจะทำได้เพียงแค่ถอยหลังก้าวหนึ่ง ว่าแต่การโจมตีของพายุหมุนเฮอริเคนก็กำแหงมากเช่นกัน อีกทั้งมันมีคุณสมบัติเดียวกันกับดาบสังหารมังกร อาภรณ์เทวะควบคุมอสูรที่หลอมรวมขึ้นมานี้จะต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวังแน่นอน!”


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ลู่หยางเรียกระบบขึ้นมาทันทีอีกครั้งหนึ่ง


“ติ้ง!” ค้นพบอาวุธวิญญาณระดับกลาง ซึ่งระบบอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรสามารถปลดปล่อยได้ โปรดเลือกความสามารถโดยกำเนิดและหลอมรวมมันเข้าด้วยกัน!”


“พายุหมุนเฮอริเคน!”


รูปพายุหมุนสีเขียวปรากฏขึ้นที่ดาบสังหารมังกร และเครื่องหมายดังกล่าวบนร่างของลู่หยางก็ได้หายไป แต่ทว่า อาภรณ์เทวะควบคุมอสูรมีส่วนที่พิเศษขึ้น ดังนั้นมันก็คุ้มค่าแล้ว


ด้วยมีอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรอยู่ในมือ อีกทั้งยังมีชุดเกราะวิญญาณอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรด้วยแล้ว ลู่หยางรู้สึกถึงจำนวนของพลังอำนาจที่ไม่คาดคิดมาก่อนอัดแน่นอยู่ในร่างกายของเขา ถ้าตอนนี้เขาต้องแลกหมัดกับหยวนจิน เขาจะเอาชนะหยวนจินได้แน่นอน


เพียงแต่ว่า หยวนจินได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอดีตไปแล้ว หลังจากที่เอาชนะหยวนจินได้แล้ว เป้าหมายของลู่หยางก็ยิ่งทะเยอทะยานมากขึ้น และนั่นก็คือนายน้อยผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลคุน คุนเผิง!


คนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือระดับเหลืองที่แท้จริง และความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าหยวนจินมาก ในทั่วทั้งเมืองตงไหล เขายังคงอยู่ในระดับหัวกะทิ แม้จะมีอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรอยู่ในมือแล้ว ลู่หยางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อส้ของเขา


“หลังจากคำนวณเวลาดูแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสามวันจนกว่าจะถึงเวลานัดหมาย ถึงตอนนั้น เราต้องเผชิญหน้ากับตระกูลคุนแล้ว”


ย้อนกลับไปตอนนั้น มันเป็นความยากลำบากมากที่เขาได้เวลาหนึ่งเดือน ซึ่งทำให้เขาต้องพัฒนาสำนักหนึ่งสวรรค์ขึ้นมา มาถึงตอนนี้ สำนักหนึ่งสวรรค์ได้ปกครองทั่วทั้งตอนเหนือของเมืองแล้ว การพัฒนาของมันดำเนินไปโดยเร็วทีเดียว แต่มันยังไม่เพียงพอที่จะเปรียบเทียบกับสิ่งที่ใหญ่โตมีอำนาจเช่นตระกูลคุน ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล


“ถ้าเพียงแต่ข้าสามารถหลอมรวมแสงเทวะหกเนตรของราชสีห์ขนทองหกเนตร และประตูอเวจีของต้าเฮ่ยให้เป็นอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรได้แล้วละก็ พลังอำนาจของมันจะยิ่งร้ายแรงกว่าอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรในปัจจุบัน บางที แค่อาศัยอาภรณ์เทวะควบคุมอสูร ข้าก็จะสามารถต่อสู้กับยอดฝีมือระดับเหลืองได้แล้ว”


ราชสีห์ขนทองหกเนตรรู้ถึงความคิดของลู่หยาง และในทันใดนั้น เขาได้สาดน้ำเย็นๆถังหนึ่งใส่ลู่หยาง “ความคิดนั้นช่างงดงามนัก แต่ความจริงนี่สิช่างโหดร้ายนัก แม้ว่าเจ้าจะหลอมรวมดวงตาทั้งหกของข้ากับอาภรณ์เทวะควบคุมอสูร เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือระดับเหลืองอยู่ดี”


“แค่เขาเคลื่อนไหวครั้งเดียว เขาก็ทลายภูเขาลงได้แล้ว!”  ราชสีห์ขนทองหกเนตรพูด


ถ้าแม้แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรยังพูดเช่นนั้น ลู่หยางยิ่งรู้สึกว่าหมดหวัง เขาถอนหายใจอย่างหมดหนทาง “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเอาชนะคุนเผิงได้ยังไงล่ะ?” ท่านอยากให้ข้าหาสำเนาวิชาฝึกอสูรระดับเหลืองมาสักเล่มมั้ย แล้วก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพลระดับเหลืองไปเลยมั้ย? ปล่อยให้ข้าตายเสียยังจะดีกว่า!”


เช่นเดียวกับการหาวิชาฝึกอสูรระดับสูงในเมืองเซียงหยาง วิชาฝึกอสูรระดับเหลืองยิ่งมีค่ามากกว่า แม้แต่ในเมืองตงไหล ก็มีปริมาณไม่มากแน่นอน


เมื่อเห็นท่าทีที่ผิดหวังของลู่หยางแล้ว ราชสีห์ขนทองหกเนตรกลอกดวงตาเล็กๆของมันแล้วพูดอย่างสบายๆว่า “อันที่จริง มันก็มีหนทางอยู่นะ แต่ก็แค่ลำบากนิดหน่อย มีเพียงหนทางเดียวที่จะเอาชนะยอดฝีมือระดับเหลืองซึ่งมีระดับการฝึกฝนที่สูงกว่าพวกเราๆในระดับผู้คุมอสูรชั้นสูง”


“วิธีอะไรเหรอ?” ลู่หยางตาเป็นประกายขึ้นมา ท่าทีของเขาออกจะประหม่าขณะที่ถามราชสีห์ขนทองหกเนตร


SB:ตอนที่ 153 การประชุมทักษะจารึก


“ นายน้อยผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลคุนได้จัดพิธีหมั้นขึ้น เชื้อเชิญคนทั้งเมืองเป็นเวลาสามวันสามคืน!” ข่าวของตระกูลคุนเชื้อเชิญคนทั้งเมืองมาร่วมงานเลี้ยงแพร่กระจายไปราวกับไฟป่าทำให้ทุกๆคนต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ทันที


เหนืออื่นใด นายน้อยคนแรกของตระกูลคุนเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในทั่วทั้งเมืองตงไหล ทุกการกระทำของเขาจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้คนมากมาย นับประสาอะไรกับพิธีหมั้นที่ใหญ่โตนี้


ขณะที่ลู่หยางเดินไปตามถนนในเมืองตงไหล เขาก็ได้ยินคนของตระกูลคุนประกาศข่าวนี้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและดุในใจ “หมอนี่ยังทำตัวหยิ่งแล้ว หยิ่งอีกอยู่อย่างนี้!”


ไม่จำเป็นต้องบอก ลู่หยางก็สามารถเดาได้ว่าพิธีหมั้นของคุนเผิงและเวลานั้น ตรงกับวันที่หลออู๋ฮวงเข้าสู่เมืองตงไหล ดังนั้นผู้นำหญิงในพิธีหมั้นจะต้องเป็นหลออู๋ฮวงอย่างแน่นอน


“ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชายผู้นี้จะเอาหลออู๋ฮวงมาเป็นคู่หมั้นของเขา เขาช่างไร้ยางอายนัก ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมตัวมานานแล้ว ” ดวงตาของลู่หยางมองไปรอบ ๆ ขณะที่ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจของเขา


“สั่งการลงไป ให้สาวกทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมและดื่มกันให้ใหญ่โตในสามวัน!” เมื่อลู่หยางออกคำสั่งไปแล้ว สำนักหนึ่งสวรรค์ ทั้งหมดก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา


เรื่องของตระกูลคุนที่จัดงานเลี้ยงหมั้นได้ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น และมันก็ไม่ใช่ความลับในสำนักหนึ่งสวรรค์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะเป็นตัวแทนของพื้นที่ทางตอนเหนือทั้งหมดของเมือง แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถสลัดอัตลักษณ์ของชนชั้นต่ำต้อยออกไปได้ แม้ว่าพวกเขาจะพัฒนาในตอนนี้ แต่ตระกูลคุนก็อาจยังไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลู่หยางได้พูดไปแล้ว พวกเขาเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นแน่นอน


สำหรับตัวลู่หยางเอง เขากลับไปที่ตำหนักหมื่นสมบัติ


ตระกูลคุนกำลังจะดำเนินการครั้งใหญ่ ลู่หยางก็ต้องเตรียมการล่วงหน้าเช่นกัน


การต่อสู้ครั้งใหญ่กับหยวนจินได้กระตุ้นความกระตือรือร้นของลู่หยางขึ้นมามาก แต่ตอนนี้มันค่อยๆจางหายไป อย่างไรก็ตาม ลู่หยางยังคงได้รับประโยชน์มากมายจากการต่อสู้ครั้งใหญ่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมุมมองที่แตกต่างกันที่เขามีต่อตำหนักหมื่นสมบัติ


“ ครั้งนี้ ถ้าข้าต้องการที่จะต่อต้านตระกูลคุน ข้าก็จำเป็นต้องยืมความแข็งแกร่งของตำหนักหมื่นสมบัติเช่นกัน”


ในเมื่อตำหนักหมื่นสมบัติสามารถช่วยลู่หยางจัดการกับหยวนจินได้ ถ้าอย่างนั้น บางทีมันอาจช่วยจัดการกับคุนเผิงได้ด้วย


ลู่หยางรีบตรงไปที่ตำหนักหมื่นสมบัติอย่างกระวนกระวายใจ และรีบไปหาผู้อาวุโสไป๋


ลู่หยางเปิดเผยความตั้งใจของเขาทันที แต่ผู้อาวุโสไป๋ตกใจ


ผู้อาวุโสไป๋ถึงกับอ้าปากค้าง แล้วเขาก็โพล่งออกมา: “ไอ้หนู ความอยากของเจ้ามันเริ่มใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆนะ ครั้งที่แล้ว เจ้าได้รับผลประโยชน์ไปตั้งมากมาย ตอนนี้ชักติดใจใช่มั้ย?”


ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่แสดงความขอโทษ: “นั่นไม่ใช่ เพียงแค่ข้าเผชิญปัญหาบางอย่าง และนั่นคือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน”


“ พิธีหมั้นของตระกูลคุนมันเกี่ยวอะไรกับท่าน? ข้าไม่คิดว่าข้าได้ยินว่าตระกูลคุนจะจัดการกับท่าน? และนั่นคือตระกูลคุน! ท่านคิดว่าเราสองคนจะรับมือกับมันได้หรือ? “


ลู่หยางถูมือของเขาเข้าด้วยกันจากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา: “ไม่สำคัญเลย มันก็แค่คุนเผิงไม่ซื่อสัตย์ และคนที่เขาอยากหมั้นด้วยก็คือคนรักเก่าของข้า … “


ลู่หยาง ได้ขายหลออู๋ฮวงไปแล้วโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่มีอะไรมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขามาที่นี่เพื่อทำตามคำขอของหลอหยุนชาน ในตอนนี้ เพื่อที่จะให้ผู้อาวุโสไป๋ช่วย ลู่หยางก็สามารถหาข้ออ้างแบบนี้ได้เพื่อให้ตัวเองฟังดูน่าสงสารขึ้นเล็กน้อย


เดิมทีเขาเกิดในชนชั้นต่ำต้อย และมาที่เมืองตงไหลเพียงลำพัง ไม่เพียงแต่เขาถูกกดขี่อย่างต่อเนื่อง แม้แต่คนรักของเขาก็กำลังจะกลายเป็นคู่หมั้นของใครบางคนไป ลู่หยางไม่เชื่อว่าผู้เฒ่าไป๋คนนี้จะทนเห็นเขาประสบชะตากรรมที่น่าสังเวชเช่นนี้ได้


“ไอ้หยา ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นคนที่มีชีวิตที่ขมขื่นด้วย!” ใบหน้าของผู้อาวุโสไป๋เผยให้เห็นความเห็นใจขณะที่เขาก็ถอนหายใจไปด้วย


“ แล้วทำไมท่านไม่ช่วยข้าล่ะ แค่บอกมาตรงๆ ไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ ข้าสามารถให้ท่านได้ และข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านช่วยข้าโดยที่ไม่ได้อะไรเลยหรอก “ลู่หยางกล่าว แต่ไม่ว่าเขาจะน่าสงสารแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์


ลู่หยางเข้าใจความแข็งแกร่งและภูมิหลังของผู้อาวุโสไป๋อยู่บ้าง ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองก็แข็งแกร่งเพียงพอแล้ว บวกกับสิ่งประดิษฐ์วิญญาณที่ทรงพลังสองชิ้นนั้น เขาจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นสุดยอดผู้คุมอสูรชั้นสูงคนหนึ่ง


ในบรรดาผู้คุมสัตว์อสูรระดับสูงทั้งหมดที่ลู่หยางเคยพบมา มีเพียงหลอหยุนชาน และ หยวนจินเท่านั้นที่สามารถเปรียบเทียบกับเขาได้


อย่างไรก็ตาม ลู่หยาง เป็นข้อยกเว้นของกฎนี้  ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้ว จึงไม่สามารถนับรวมได้


ลู่หยาง มองไปที่ ผู้อาวุโสไป๋ด้วยความหวัง ทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกอึดอัดไปทั่ว เขารีบหันหน้าไปทางด้านข้างและพูดด้วยเสียงอู้อี้: “สิ่งที่เจ้าร้องขอนี้ และค่าตอบแทนเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ท่านเพิ่งมาถึงและไม่คุ้นเคยกับหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับเมืองตงไหล มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ง่ายอย่างที่ท่านคิด”


เมื่อพูดอย่างนั้นแล้ว ผู้อาวุโสไป๋ก็ถอนหายใจและพูดว่า: “พูดสั้น ๆนะ ข้าจะไม่เคลื่อนไหว และไม่มีใครจากตำหนักหมื่นสมบัติจะช่วยท่านได้”


“ทำไมล่ะ?” ลู่หยางถามเสียงดัง


ในขั้นต้น การเจรจาเป็นไปอย่างสงบราบรื่น และดูเหมือนว่าผู้อาวุโสไป๋จะเคลื่อนไหว แต่ใครจะคิดว่าชายชราคนนี้จะปฏิเสธขึ้นมาอย่างกระทันหัน และถึงกับเด็ดขาด และจะไม่ดำเนินการใด ๆในนามของตำหนักหมื่นสมบัติ


“เป็นไปได้ไหมว่ามีความลับบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้?” ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะถาม


“ท่านยังไม่เข้าใจตำหนักหมื่นสมบัติ ดังนั้น ท่านก็จะไม่เข้าใจ” ผู้อาวุโสไป๋ส่ายหัวและพูด


“ ข้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน แต่ตำหนักหมื่นสมบัติดีกับข้ามาตลอด ทำไมท่านถึงไม่ยินดีช่วยข้าเรื่องนี้ล่ะ? และถึงแม้ว่าท่านจะไม่ช่วยจริงๆ อย่างน้อยก็ช่วยบอกเหตุผลให้ข้ารู้หน่อยว่า ทำไม? “ลู่หยางยังคงไม่ยอมแพ้และถามต่อ


ในท้ายที่สุด ผู้เฒ่าไป๋ก็ยังไม่สามารถบังคับลู่หยางได้ และภายใต้การทำอะไรไม่ได้นั้น เขาทำได้เพียงเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด


ดังที่ทุกๆคนรู้อยู่แล้ว นอกจากสามตระกูลใหญ่ ตำหนักหมื่นสมบัติเป็นกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองตงไหล ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเมืองตงไหลจะมีความขัดแย้งภายในที่รุนแรงมาตลอด แต่ตำหนักหมื่นสมบัติก็สามารถรักษาสถานะที่เหนือกว่าได้อยู่เสมอ


ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตำหนักหมื่นสมบัติ แต่ยังเป็นเพราะเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งด้วย ซึ่งก็คือเพราะมีข้อตกลงระหว่างกองกำลังเหล่านี้มาโดยตลอด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ


ในสายตาของกลุ่มเหล่านี้ ตำหนักหมื่นสมบัติเป็นภูมิหลังที่ทรงพลัง แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงพลังภายนอกเท่านั้น พวกเขาไม่ได้อยู่ข้างเดียวกันกับกลุ่มเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้มากแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นสงครามกลางเมือง


แต่ในเวลาเดียวกัน ตำหนักหมื่นสมบัติก็ไม่สามารถแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างพวกเขาได้ เมื่อข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายถูกทำลาย ไม่ว่าสถานการณ์ของทั้งสามตระกูลจะเลวร้ายแค่ไหน พวกเขาก็จะละวางความขุ่นเคืองแค้นใจลง และร่วมมือกันทันที


ดังนั้น ถ้าตำหนักหมื่นสมบัติกล้าที่จะช่วยลู่หยางจัดการกับตระกูลหยวน สถานการณ์ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


“แม้ว่าท่านจะเป็นผู้จารึกแห่งตำหนักหมื่นสมบัติ แต่ท่านก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของตำหนักหมื่นสมบัติได้ ท่านสามารถเป็นตัวแทนของสำนักหนึ่งสวรรค์เท่านั้น แต่ถ้าเราก้าวต่อไป สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และมันจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทั้งหมดของเมืองตงไหล “


“ มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ…”


ลู่หยางซึ่งรู้ความจริงแล้วรู้สึกหมดหนทางยิ่งนัก ตระกูลคุนนี้สมควรได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของเมืองตงไหลจริงๆ


“ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่สามารถอ้างถึงตำหนักหมื่นสมบัติได้ ท่านผู้อาวุโส ลาก่อน!” ในเมื่อเขาไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากตำหนักหมื่นสมบัติได้ ลู่หยางจึงได้แต่ยอมแพ้ที่จะมองหาวิธีการอื่น


“เดี๋ยวก่อน!” ผู้อาวุโสไป๋โพล่งขึ้นมา


ใบหน้าของลู่หยางเผยให้เห็นด้วยความประหลาดใจ แกมพอใจ เขาหันศีรษะกลับมาและถามว่า: “ผู้อาวุโสไป๋ ท่านมีคำสั่งอื่น ๆ หรือไม่?”


“ ไอ้หนู ท่านไม่ได้อยู่ที่ตำหนักหมื่นสมบัติมากนักเร็ว ๆ นี้ ท่านแทบจะไม่ได้กลับมา ทำไมถึงจะจากไปเร็วนักล่ะ?” ผู้อาวุโสไป๋พูดราวกับว่าเขากำลังบ่งชี้อะไรบางอย่าง


จากนั้น เขาก็อธิบายกับลู่หยางทันที: “แม้ว่าตำหนักหมื่นสมบัติจะไม่สามารถช่วยท่านในเรื่องนี้ได้ แต่ท่านก็ยังสามารถได้รับประโยชน์บางอย่างจากตำหนักหมื่นสมบัติได้ “


“โอ้?” ลู่หยางมองไปที่ผู้อาวุโสไป๋ด้วยความสงสัย เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย“ นี่มันข่าวดีอะไรเหรอ?”


เมื่อลู่หยางจ้องไปตามทิศทางของเสียง เขาก็เห็นว่ามีแผ่นป้ายใหญ่ๆป้ายหนึ่งที่ปลายนิ้วของผู้อาวุโสไป๋


มันเป็นสถานที่ที่กลุ่มคนระดับสูงของตำหนักหมื่นสมบัติใช้ในการออกประกาศและบนป้ายนั้นมีการวางรายการสีแดงขนาดใหญ่ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งที่สำคัญที่จะประกาศ ผู้อาวุโสไป๋กล่าวว่า: “เฮ้อ ปกติท่านไม่ได้พำนักอยู่ในตำหนัก ท่านจึงไม่รู้จริงๆเกี่ยวกับข่าวนี้ รีบไปดูสิ”


ระยะทางนั้นไกลเกินไปเล็กน้อย ดังนั้นแม้ว่าผู้คุมอสูรจะมีสายตาที่ดีกว่าคนอื่น ๆ แต่เขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เขียนไว้ใน รายการสีแดงได้อย่างชัดเจน


อย่างไรก็ตาม ลู่หยางแตกต่างจากผู้คุมอสูรคนอื่น ๆ เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคนที่ได้เบิกเนตรเทวะ ดังนั้นเขาจึงสามารถมองเห็นพลังงานในรายการสีแดงได้อย่างชัดเจน นับประสาอะไรกับถ้อยคำ


“ ตำหนักของข้าจะจัดงานชุมนุมทักษะจารึกครั้งยิ่งใหญ่ในสามวัน ในเวลานั้น ผู้จารึกคนใดก็ตามที่มีตัวตนระดับทองขึ้นไปสามารถเข้าร่วมได้ ผู้ที่ทำผลงานได้โดดเด่นจะได้รับรางวัลมากมาย! “


“แล้วท่านจะมัวมายืนเซ่ออยู่ตรงนั้นเพื่ออะไร! นั่นคือประกาศของผู้จารึก รีบไปดูสิ! “ ผู้อาวุโสไป๋คะยั้นคะยอ


อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าลู่หยางได้อ่านเนื้อหาของรายการสีแดงเสร็จแล้ว และมีรางวัลสำหรับผู้ที่ทำผลงานได้ดีเหรอ? แต่ไม่ได้กล่าวถึงรางวัลนี่นา? “


“ท่านรู้แล้วเหรอ?” ผู้อาวุโสไป๋ถามอย่างไม่เชื่อ เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่รู้อะไรเลย แต่ในพริบตาเดียว เขาก็รู้ทุกอย่างในรายการสีแดง


“ เป็นไปได้ไหมที่สายตาของเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งขนาดนี้แล้วเหรอ? หรือเป็นเพราะดวงตาของข้าพร่ามัวจนข้ามองไม่ชัดเอง? “ผู้อาวุโสไป๋คิดในใจ


“เอ่อ ดูเหมือนว่าข้าจะอายุมากแล้ว เด็กคนนี้ยืนอยู่ตรงนี้จริงๆเหรอ แล้วมองเห็นได้ชัดเจนงั้นหรือ? ” ผู้อาวุโสไป๋ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์สักพัก จากนั้นก็เริ่มตอบคำถามของลู่หยาง


“ การประชุมใหญ่ของผู้จารึกเป็นกฎของตำหนักหมื่นสมบัติ ส่วนรางวัลสุดท้ายคืออะไรข้าไม่สามารถพูดได้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อท่านแข็งแกร่งมาก ท่านต้องไม่พลาดการประชุมใหญ่ในปีนี้นะ “ผู้อาวุโสไป๋เผยรอยยิ้มลึกลับ


จากนั้นเขาก็ขยับเข้าไปใกล้หูของลู่หยาง และกระซิบ: “ทักษะจารึกในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของผู้จารึกทั้งหมดที่นี่ ครั้งสุดท้ายนั่นเมื่อสามปีที่แล้ว สำหรับรายละเอียดอื่นๆ ท่านควรไปหาผู้อาวุโสหวูเฉิน บางที ท่านสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมจากเขาได้ “


“โอ้?” ดวงตาของลู่หยางเป็นประกาย


เกี่ยวกับเรื่องของการจัดอันดับผู้จารึก ลู่หยางรู้เรื่องนี้แล้วตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาในตำหนักหมื่นสมบัติ อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้วในอดีต มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยน


ตอนที่ลู่หยางยังคงเป็นผู้จารึกระดับกลางอยู่นั้น ตราคำสั่งทองคำของเขาอยู่ในอันดับที่ 14 และความแข็งแกร่งของเขาก็เหนือกว่าผู้จารึกระดับกลางทั่วไปแล้ว แม้ว่าเขาจะถูกเรียกว่าตำนาน แต่เขาก็ไม่มีทางที่จะเพิ่มอันดับของตัวเองได้


ตอนนี้ ลู่หยางได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จารึกระดับสูงแล้ว ตราประจำตัวของเขาก็เปลี่ยนเป็นระดับทองคำขาว อย่างไรก็ตาม เขายังคงอยู่ในอันดับสุดท้ายของระดับทองคำขาว นั่นคือลำดับที่เจ็ด


“ ในเมื่อข้าได้พบเขาแล้ว ก็ถึงเวลาที่ข้าจะได้เลื่อนอันดับซะที บางที ถ้าสถานะของข้าสูง ข้าจะได้รับผลประโยชน์มากกว่านี้! ” ลู่หยาง หัวเราะเบา ๆ และรู้สึกสนใจในการชุมนุมทักษะจารึกที่กำลังจะมาถึงนี้


SB:ตอนที่ 154 หัวหน้าผู้จารึก


ตำหนักหมื่นสมบัติดำรงตำแหน่งที่เหนือกว่าไม่เพียงเพราะพวกเขามีความมั่งคั่งและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ที่สำคัญกว่านั้น พวกเขามียอดฝีมืออยู่จำนวนมากรวมถึงผู้จารึกที่มีอำนาจมากที่สุด


อาจกล่าวได้ว่า ผู้จารึกที่โดดเด่นที่สุดทั้งหมดในเมืองตงไหลได้มารวมตัวกันที่ตำหนักหมื่นสมบัติ และอันดับของผู้จารึกของ ตำหนักหมื่นสมบัติก็เป็นตัวแทนแสดงถึงตำแหน่งของผู้จารึกทั่วทั้งเมืองตงไหล


ตัวอย่างเช่น ปัจจุบัน ลู่หยางเป็นอันดับที่เจ็ดในตำหนักหมื่นสมบัติ ไม่เพียงแต่เขาเป็นอันดับที่เจ็ดที่นี่ แต่เขายังเป็นอันดับที่เจ็ดในทั่วทั้งเมืองตงไหล


หลังจากฟังคำอธิบายของผู้อาวุโสเฉินแล้ว ลู่หยางก็มีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการจัดอันดับของตำหนักหมื่นสมบัติ และผู้จารึก


สำหรับการประชุมทักษะจารึกนี้ เป็นการแข่งขันระหว่างผู้จารึกทั้งหมดในเมืองตงไหล ใครก็ตามที่สามารถได้รับผลการแข่งขันที่ดีกว่าจะสามารถได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้น ถ้าเขาพลาดโอกาสนี้ เขาจะต้องรอไปอีกสามปี


“การชุมนุมทักษะจารึกจะไม่เพียงแต่เปรียบเทียบจำนวนดาวในวิชาฝึกอสูรทักษะจารึกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความน่าจะเป็นของความสำเร็จ และความเร็วของความสำเร็จด้วย” ผู้อาวุโสเฉินบอกกับลู่หยาง:“ ในเวลานั้น ผู้มีอำนาจทั้งหมดในเมืองจะส่งคนไปเฝ้าดู อันดับที่ได้รับในระหว่างการประชุมทั่วไปนี้จะได้รับการยอมรับจากคนทั้งเมือง “


“อย่างไรก็ตาม ด้วยพรสวรรค์และผลงานของท่านตั้งแต่เริ่มต้น ข้าเชื่อว่าท่านจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีทีเดียว”


“ จริงๆแล้วสาเหตุที่ข้ามาหาผู้อาวุโสในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะข้าต้องการเข้าใจถึงรางวัลสำหรับการประชุมครั้งนี้ ข้าสงสัยว่ารางวัลสำหรับผู้ชนะในการประชุมครั้งนี้จะเป็นอะไร? ” ลู่หยางถูมือของเขาเข้าด้วยกันและถามคำถามที่สำคัญที่สุด


ผู้อาวุโสเฉินเข้าใจสถานการณ์ของลู่หยาง และรู้ว่าสหายคนนี้จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์เท่านั้น


หลังจากอยู่ในตำหนักหมื่นสมบัติมาหลายสิบปี นอกจากจะเป็นผู้อาวุโสแล้ว ผู้อาวุโสเฉินยังเป็นผู้จารึกอีกด้วย เขายังมีส่วนร่วมมาไม่รู้ว่ากี่ครั้ง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสถานการณ์อย่างเป็นธรรมชาติ


ดังนั้นเขาจึงพูดกับ ลู่หยางว่า: “รางวัลสำหรับการประชุมทักษะจารึกนั้น ตำหนักหมื่นสมบัติเป็นผู้จัดหาให้ทั้งหมด ในอดีต พวกเขาจะให้รางวัลกับผู้จารึกสิบอันดับแรก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักก็คือทุกครั้งที่ผู้จารึกสิบอันดับแรกมีโอกาสเข้าสู่คลังสมบัติตำหนักหมื่นสมบัติ พวกเขาจะได้รับโอกาส “


“คลังสมบัติตำหนักหมื่นสมบัติเหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่หยางได้ยินเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ และเขาก็อดสงสัยไม่ได้


หลังจากได้พบปะพูดคุยกับลู่หยางได้สักพัก ผู้อาวุโสเฉินก็รู้สึกพอใจกับความอยากรู้อยากเห็นของลู่หยาง และแนะนำให้เขารู้จักกับสมบัติที่อยู่ภายในตำหนักหมื่นสมบัติ


ที่เรียกว่าคลังสมบัตินั้นเป็นสถานที่ที่ตำหนักหมื่นสมบัติเก็บพวกสมบัติล้ำค่าเอาไว้ สมบัติมากมายภายในนั้นเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ เป็นสิ่งซึ่งแม้แต่เงินก็ไม่สามารถซื้อได้ แม้แต่คนระดับสูงของตำหนักหมื่นสมบัติก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป มันเป็นของสะสมของตำหนักหมื่นสมบัติเอง


เฉพาะผู้ที่เคยสนับสนุนให้การช่วยเหลือกับตำหนักหมื่นสมบัติเป็นพิเศษเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม ในตำหนักหมื่นสมบัติ แม้ว่าจะมีคุณสมบัติในการเข้าสู่คลังสมบัติ แต่ก็จะไม่ได้รับรางวัลเป็นสมบัติโดยตรง นอกจากนี้ยังมีราคาที่ต้องจ่าย เพราะนี่เป็นกฎที่ยอมรับกันในตำหนักหมื่นสมบัติ


“ เอาล่ะ… “ มีราคาที่ต้องจ่ายจริงๆ…” ลู่หยาง กล่าวอย่างเศร้าโศก ในใจนั้น เขารู้สึกว่ากฎของตำหนักหมื่นสมบัตินั้นคล้ายๆกับระบบควบคุมอสูรเล็กน้อย คือ ทั้งคู่เป็นปีศาจดูดเลือด และไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเขาจะต้องจ่าย


อย่างไรก็ตาม เมื่อลองคิดดูแล้ว จะมีของแบบนี้ที่หามาได้โดยไม่ต้องจ่ายราคาได้อย่างไร?


ผู้อาวุโสเฉินเห็นสีหน้าของลู่หยาง แล้วกล่าวว่า “พ่อหนุ่มน้อย อย่าเพิ่งไม่พอใจอย่างนั้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของท่าน ท่านก็อยู่ในอันดับที่เจ็ดแล้วนี่ หากท่านพึงพอใจกับสมบัติที่หาได้จากสถานที่นั้น ท่านต้องจ่ายด้วยราคาเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสมบัติที่อยู่ภายในนั้น? “


ลู่หยางพูดกับผู้อาวุโสเฉินทันทีด้วยใบหน้าบึ้งตึง: “ราคาไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือข้าเป็นคนยากจน ข้าจะหามาจ่ายได้ยังไง? “


และมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่สามารถหามาจ่ายได้ นั่นคือการขายตัวเขาเองเพื่อใช้หนี้ ลู่หยางยังคงติดหนี้ตำหนักหมื่นสมบัติอยู่ เขาคิดว่าหลังจากเรื่องของตระกูลหยวนจบลง เขาจะมีเวลามากขึ้นในการทยอยชำระหนี้เหล่านั้นอย่างช้าๆ


แต่เขามาถูกสะดุดอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวโดยการเคลื่อนไหวของตระกูลคุน ไม่เพียงแต่หนี้สินไม่ลดลง แต่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย


“ เฮ้อ เมื่อไหร่ข้าจะจบลงที่การขายตัวเพิ่อความมั่งคั่งซะที!”


อาศัยความเร็วในการทำสำเนาของลู่หยางในปัจจุบัน เพื่อที่จะชำระหนี้ของเขาที่มีกับตำหนักหมื่นสมบัติ เขาจะต้องทำงานอย่างไม่หยุดพักเป็นเวลาอย่างน้อยเจ็ดวันก่อนที่จะชำระหนี้เหล่านั้นได้หมด


โชคดีที่ลู่หยางอยู่กับตำหนักหมื่นสมบัติมาเกือบถึงหนึ่งเดือนแล้ว ซึ่งหมายความว่าถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงินให้กับเขาแล้ว และตอนนี้ ลู่หยางได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จารึกระดับสูง เงินเดือนต่อเดือนของเขาก็เปลี่ยนจากศิลาผลึกหนึ่งแสนเป็นห้าแสน บางที เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน กระเป๋าของลู่หยางจะค่อยๆขยายออก


“ เอาล่ะ ท่านควรกลับไปเตรียมตัวได้แล้ว การชุมนุนทักษะจารึกไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ ท่านต้องไม่ปล่อยให้ผู้ที่เฝ้าดูท่านผิดหวังล่ะ” ผู้อาวุโสไป๋กับข้าจับตาดูท่านอยู่ และเราลืมบอกไปว่าถ้าท่านได้รับอันดับที่สูงขึ้นในการชุมนุมนี้ สมบัติที่เรานำไปจากคลังสมบัติก็จะดีขึ้นเช่นกัน! “


เมื่อผู้อาวุโสเฉินพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็เผยรอยยิ้มลึกลับที่มีต่อลู่หยาง ราวกับว่าเขามั่นใจว่าลู่หยางจะได้รับผลการแข่งขันที่ดีและจะสามารถจัดอันดับได้ดีขึ้น


แต่ในประเด็นนี้ ลู่หยางก็มั่นใจเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาอาศัยวิชาจารึก ในขณะที่ลู่หยางอาศัยระบบจารึก!


การประกาศสำหรับการประชุมทักษะจารึกมีขึ้นเมื่อวานซืนนี้ และบอกว่าสามวันจากนี้จะเป็นวันพรุ่งนี้


ลู่หยางยังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง เขาจึงกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อนอย่างเต็มที่ แล้วท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น


ในบรรดาผู้จารึก ผู้คนจำนวนมากขึ้นๆเริ่มเข้ามาและจากไป แม้ว่าการจำแนกเสียงจะไม่เลวร้าย แต่ลู่หยางก็ยังรู้สึกได้ว่ามีคนเดินไปมาอยู่ตลอดเวลา


การชุมนุมทักษะจารึกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และผู้จารึกทุกๆคนต่างก็ตื่นเต้น ในทางกลับกัน ลู่หยางลุกขึ้นจากเตียงอย่างสบาย ๆ และไปหาผู้อาวุโสเฉิน


ตามที่คาดไว้ มีผู้จารึกจำนวนมากที่ลู่หยางไม่เคยเห็นมาก่อนในสถานที่จัดงาน และยังมีผู้จารึกระดับสูงอีกสองคนที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักหมื่นสมบัติที่เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้


ลู่หยาง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นผู้จารึกระดับสูงในทั่วทั้งตงไหลที่สามารถติดอันดับในสิบอันดับแรก มันก็แค่นั้น … ลู่หยางจะพอใจกับการที่ได้อยู่ในสิบอันดับแรกหรือไม่?


ลู่หยาง ได้ยกระดับวิชาจารึกของเขาถึงสิบดาวเมื่อนานมาแล้ว และความเร็วในทักษะจารึกของเขาผิดปกติอย่างมาก ในสิบนาที เขาจะสามารถผลิตสำเนาได้หนึ่งชุดโดยมีอัตราความสำเร็จหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ มีซักกี่คนในปัจจุบันที่สามารถเปรียบเทียบกับลู่หยางในแง่ของความเร็วได้?


“สองคนทางโน้นเป็นผู้จารึกระดับสูงจากกลุ่มอำนาจอื่น แต่พวกเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากการเป็นผู้จารึกระดับสูงแล้ว พวกเขายังเป็นผู้คุมอสูรระดับสูงอีกด้วย และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหยวนจินเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขายังได้พัฒนากองกำลังไม่กี่แห่งภายในเวลาสิบปีนี้ในเมืองตงไหล ดังนั้นยังมีช่องว่างเล็กน้อยระหว่างสำนักหนึ่งสวรรค์ของท่านกับของพวกเขา หากมีโอกาส พวกเราสามารถติดต่อกับพวกเขาได้และมันอาจช่วยท่านได้บ้างในการต่อสู้กับตระกูลคุน “ผู้อาวุโสเฉินกล่าว


ลู่หยางยิ้มเย็นชาที่มุมปาก บางที สำนักหนึ่งสวรรค์ของเขายังไม่เพียงพอที่จะเปรียบเทียบกับของพวกเขา แต่การพัฒนาสำนักหนึ่งสวรรค์ของลู่หยางใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน แต่พวกเขาใช้เวลาสิบปีในการบรรลุถึงระดับปัจจุบัน หากพวกเขาอนุญาตให้ลู่หยางพัฒนาได้อย่างอิสระแล้วละก็ ไม่ต้องพูดถึงสิบปีหรอก เขาจะใช้เวลาอย่างมากที่สุดก็หนึ่งปีเท่านั้น สำนักหนึ่งสวรรค์ของเขาจะเหนือกว่าของพวกเขาอย่างแน่นอน และเขายังสามารถเทียบเท่ากับตระกูลคุนของพวกเขาได้


“ในเมื่อพวกท่านทั้งหมดมาจากชนชั้นต่ำต้อย ดังนั้น มันจะง่ายกว่าที่ท่านจะเข้ามาติดต่อกับข้า ถ้ามีใครมาช่วยท่าน แม้ว่าจะเป็นตระกูลคุน ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะยังคงมีความหวาดหวั่นอยู่บ้าง ” ลู่หยางคิดในใจ


ผู้อาวุโสเฉินชี้ไปอีกทิศทางหนึ่ง เป็นทีมผู้จารึกอีกทีมหนึ่งในตำหนักหมื่นสมบัติ แต่ถูกนำโดยผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง


นอกจากนี้ ลู่หยางตระหนักว่าเมื่อผู้อาวุโสเฉินมองไปที่ผู้จารึกคนอื่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนของเขาเอง แต่การแสดงออกของเขาเข้มขึ้นจริงๆ


ผู้อาวุโสเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา:“ ผู้จารึกที่ตำหนักหมื่นสมบัตินำโดยผู้อาวุโสทั้งหมดสามคน ทีมที่อยู่ตรงนั้นนำโดยผู้เฒ่าเชิ่น


เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสทั้งสามมีกลุ่มที่แตกต่างกัน แต่เพียงแค่มีปฏิสัมพันธ์กับลู่หยาง เขาก็สามารถบอกได้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นมิตรกัน และสาเหตุที่เป็นไปได้มากก็เนื่องจากตัวละครที่ยอดเยี่ยมอย่างผู้จารึกที่ผู้อาวุโสเฉินได้กล่าวถึง


ผู้อาวุโสเฉินถอนหายใจ“ ข้าเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสชั้นนำของตำหนักหมื่นสมบัติ ข้ามีสัมพันธภาพที่ดีกับอีกคนหนึ่ง เพียงแค่ผู้ผู้เฒ่าเชิ่นคนนี้ใช้อำนาจของผู้จารึกภายใต้คำสั่งของเขาเพื่อปราบปรามข้าและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ดังนั้นเราจึงเป็นศัตรูกันมาตลอด “


“โอ้!” จะกำราบผู้อาวุโสเฉินได้ ดูเหมือนว่าผู้จารึกระดับสูงภายใต้ผู้เฒ่าเชิ่นจะมีความสามารถมากทีเดียว! “ลู่หยางพูดเสียงดัง


ผู้อาวุโสเฉินกลอกตาไปที่ลู่หยางและพูดอย่างรวดเร็ว “สามจากเจ็ดผู้จารึกระดับสูงอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา และที่สำคัญที่สุดก็คือคนนั้น”


ในขณะที่เขาพูด เขาชี้ไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆผู้เฒ่าเชิ่น ชายหนุ่มคนนั้นผอมและสูง สูงกว่าลู่หยางครึ่งศีรษะ


“ อย่าประเมินเขาต่ำเกินไป เขาเป็นหัวหน้าผู้จารึกของตำหนักหมื่นสมบัติของเรา เขาเป็นคนที่ชนะในการประชุมทักษะจารึกครั้งที่แล้ว ” “ผู้อาวุโสเฉินกล่าว


“เขาคือผู้นำผู้จารึกจริงๆ!” ลู่หยางตระหนักได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นชายหนุ่มคนนี้ เขาไม่รู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งใด ๆ จากร่างกายของชายหนุ่มคนนี้เลย แต่เขากลับรู้สึกถึงพลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเขา


เมื่อมองดูตอนนี้ พลังลึกลับนั้นน่าจะเป็นพลังทางจิตวิญญาณโดยเฉพาะของผู้จารึก มันเป็นเพียงว่าพลังวิญญาณของผู้จารึกนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้จารึกทั่วไปมาก ไม่น่าแปลกใจที่มันสามารถนั่งอยู่ในที่นั่งอันทรงเกียรติของหัวหน้าผู้จารึกได้


“ เขาชื่อเสี่ยวฟาน แม้ว่าเขาจะอายุไม่มาก แต่พลังทางจิตวิญญาณของเขาก็ทรงพลังเป็นพิเศษ และเขาเป็นผู้จารึกตั้งแต่ยังหนุ่ม ในเวลาไม่ถึงสิบปี เขาได้เป็นผู้จารึกระดับสูงชั้นสุดยอดคนหนึ่งแล้ว ทั่วทั้งตำหนักหมื่นสมบัติ มีเพียงผลงานก่อนหน้าของท่านเท่านั้นที่สามารถแข่งขันกับเขาได้ หากท่านเข้าสู่สำนักช้าเกินไป ขอบเขตของท่านจะต่ำเกินไป “


ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อาวุโสเฉินได้มอบวิชาจารึกระดับสูงให้กับลู่หยางโดยสมัครใจ แม้ว่าจะเป็นราคาที่ต้องจ่าย เมื่อเทียบกับวิชาจารึกระดับสูง แต่ราคาเล็กน้อยนั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย


ดูเหมือนว่านับจากนั้นเป็นต้นมา ผู้อาวุโสเฉินได้วางแผนไว้แล้วว่าจะให้ลู่หยางต่อสู้กับเสี่ยวฟานคนนี้ ดังนั้น วันนี้จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันระหว่างผู้จารึกเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสด้วย


SB:ตอนที่ 155 หนังสือไม้วิญญาณ


“ท่านคือความหวังของข้า!” ผู้อาวุโสเฉินตบไหล่ของลู่หยางและพูดอย่างจริงจัง


ผู้อาวุโสทั้งสามได้รับใช้ตำหนักหมื่นสมบัติมาหลายปี แต่นับตั้งแต่เสี่ยวฟานปรากฏตัวผู้อาวุโสเฉินก็ถูกผู้เฒ่าเชิ่นปราบปราม ไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสเฉินอ่อนแอ แต่เป็นเพราะเขาไม่มีผู้จารึกที่ทรงพลังอยู่ภายใต้เขา


ในทางกลับกัน การปรากฏตัวของลู่หยางได้สร้างปาฏิหาริย์ให้กับผู้จารึกระดับกลางทำให้ผู้อาวุโสเฉินมองเห็นความหวัง ดังนั้น เขาจึงส่งมอบวิชาจารึกระดับสูงให้กับลู่หยางโดยไม่ลังเล ตามที่คาดไว้ ผลงานของลู่หยางไม่ได้ทำให้ผู้อาวุโสเฉินผิดหวัง


“ เป้าหมายของท่านคือเอาชนะเสี่ยวฟานให้ได้! ตราบใดที่ท่านสามารถเอาชนะเขาได้ ตำแหน่งชนะเลิศก็จะเป็นของท่าน! “ผู้อาวุโสเฉินกล่าว


ลู่หยางยักไหล่และพูดอย่างเฉยเมย: “แม้ว่าข้าจะเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ข้าก็ยังเข้าไปในคลังสมบัติได้ เพียงแค่ว่า โอกาสที่ข้าจะสามารถเลือกสมบัตินั้นขาดไปเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนจะแตกต่างกับข้า ใช่ไหม?”


ใบหน้าของผู้อาวุโสเฉินเข้มขึ้น เขารู้ดีว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้มีเจตนาที่ดีใด ๆ หลังจากทราบถึงความขุ่นเคืองใจระหว่างเขากับผู้ผู้เฒ่าเชิ่นแล้ว เขาก็เริ่มวางแผนต่อต้านเขา


คำพูดหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าผากของเขา และผู้อาวุโสเฉินพูดกับลู่หยางช้าๆ: “พ่อหนุ่ม ความทะเยอทะยานของท่านไม่เล็กน้อยเลย การชุมนุนทักษะจารึกนี้มีไว้เพื่อการแสดงของท่านเอง ท่านไม่ต้องการที่จะได้รับเกียรติยศและเป็นหัวหน้าผู้จารึกหรอกหรือ ?”


“ข้าไม่สน” ลู่หยางพูดอย่างไร้ยางอาย


แม้ว่าการปฎิบัติของผู้อาวุโสเฉินหลังจากกลายเป็นหัวหน้าผู้จารึกจะดีกว่าการปฎิบัติในปัจจุบันของเขา แต่มันก็ยังนำผลประโยชน์มาให้กับเขาไม่น้อยทีเดียว ถ้าลู่หยางมีความแข็งแกร่งพอที่จะเป็นผู้ชนะได้ แม้ว่าลู่หยางจะยอมแพ้ แต่ผู้อาวุโสเฉินก็จะไม่เต็มใจอย่างแน่นอน


เมื่อเผชิญกับความเลวร้ายของลู่หยาง และเห็นว่าการแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ผู้อาวุโสเฉินจึงเลือกที่จะประนีประนอม เขาพูดเบา ๆ : “ท่านช่างเป็นน้องชายที่ดีของข้าจริงๆ! ข้าล่ะกลัวท่าน! [ท่านไม่ใช่แค่อยากได้อะไรบางอย่างจากข้าใช่ไหม?] ท่านใช้ประโยชน์จากก่อนหน้านี้ไม่ได้จริงๆใช่ไหม?! “


“ใช่แล้ว!” ลู่หยางตอบอย่างภาคภูมิใจด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ


ในเมื่อผู้อาวุโสเฉินมีความชัดเจนเกี่ยวกับเหตุผลเบื้องหลัง ลู่หยางจะไม่ทำให้เขาผิดหวังแน่นอน อันที่จริง แม้ว่าผู้อาวุโสเฉินจะไม่ได้ให้ประโยชน์ใด ๆ กับเขา ลู่หยางก็จะไม่ยอมแพ้การต่อสู้เพื่อชิงลำดับหนึ่งอยู่แล้ว


ประการแรก นับตั้งแต่ที่ลู่หยางกลายเป็นผู้คุมอสูร เขาไม่เคยมีนิสัยยอมรับความพ่ายแพ้ ประการที่สอง ตอนนี้เป็นเวลาที่ลู่หยางจะพัฒนาพลังอำนาจและเสริมสร้างตำแหน่งของเขาให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น


“ ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสเฉินจะให้ผลประโยชน์อะไรแก่ข้า?” ลู่หยางหัวเราะ เขาเริ่มคิดแล้วว่าจะมีผลประโยชน์อะไรได้บ้าง


“โอ่ยย!” ผู้อาวุโสเฉินเผยสีหน้าเจ็บปวดและถอนหายใจ: “ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะเสี่ยวฟาน  และเป็นผู้ชนะได้ ชายชราคนนี้จะสัญญากับท่าน นอกเหนือจากผลประโยชน์จากตำหนักหมื่นสมบัติแล้ว ชายชราคนนี้จะให้ผลประโยชน์อื่นแก่ท่านเป็นการส่วนตัว”


“ ยิ่งกว่านั้น มีเพียงชายชราคนนี้เท่านั้นที่สามารถให้ผลประโยชน์นี้กับท่านได้ ไม่มีใครทำได้ “


“มีผลประโยชน์อะไรบ้าง?” ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะถาม


ผู้อาวุโสเฉินยิ้มอย่างมีเลศนัยและกล่าวว่า “ตราบใดที่เจ้าคว้าตำแหน่งมาได้ ชายชราผู้นี้จะให้ท่านหนึ่งที่ในการแข่งขันเพื่อเลื่อนตำแหน่ง!”


ลู่หยางตาลุกวาว ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหมายความว่าอย่างไร? แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดถึงการเลื่อนขั้นของผู้คุมอสูร แต่เป็นการเลื่อนขั้นของผู้จารึก!


“นานแค่ไหนแล้วนะตั้งแต่ที่ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จารึกระดับสูง และข้าสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้จารึกได้แล้วเหรอ?” ลู่หยางพึมพำด้วยความไม่เชื่อ


ผู้เฒ่าเฉินส่ายหัวและกล่าวว่า “ตราบใดที่ท่านสามารถคว้าชัยชนะได้ โอกาสในการก้าวหน้าของท่านยังคงสูงมาก เป็นยังไงบ้างล่ะ? ลองคิดดูว่าจะเอาชนะเสี่ยวฟานได้อย่างไร โอกาสไม่ใช่สิ่งที่หามาได้ตลอดเวลานะ ท่านต้องรู้จักคว้ามันเอาไว้ให้ดี “


ระหว่างทาง ลู่หยางรู้ว่าการก้าวไปสู่ผู้จารึกนั้นยากยิ่งกว่าการก้าวไปสู่ขั้นต่อไป แต่ตอนนี้โอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าลู่หยางแล้ว เขาจะยอมแพ้ได้อย่างไร?


ดังนั้น เขาจึงรีบพยักหน้าและกล่าวกับผู้อาวุโสเฉิน ” ข้าจะช่วยท่านเอง! ผู้อาวุโส แค่รอโอกาสของข้าที่จะก้าวหน้า! “


โดยพื้นฐานแล้วระดับและจำนวนของผู้จารึกไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของความมั่งคั่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจำนวนยอดฝีมือชั้นนำในเมืองอีกด้วย


เช่นเดียวกับเมืองเซียงหยาง เนื่องจากความมั่งคั่งของตำหนักเมฆาม่วงมีจำกัด และไม่มีผู้จารึกระดับสูงเลย มีวิชาฝึกอสูรระดับสูงน้อยมากที่นั่น ทำให้จำนวนผู้คุมอสูรระดับสูงมีน้อยมากไปด้วย


ลู่หยางเชื่อว่าเมืองตงไหลอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แม้ว่าตำหนักหมื่นสมบัติจะมีภูมิหลังที่ใหญ่โตและลึกซึ้ง แต่พวกเขาก็จะไม่ลงทุนทรัพยากรและความมั่งคั่งมากขนาดนั้นกับเมืองตงไหล จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีผู้คุมอสูรระดับเหลืองปรากฏตัวในตำหนักหมื่นสมบัติเลย และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังไม่มีวิชาฝึกอสูรระดับเอสและเหลืองปรากฏขึ้นเลย


ดังนั้น ในอีกทางหนึ่ง มันก็จำกัดจำนวนยอดฝีมือระดับเหลืองด้วย


ดังนั้น ภายในเมืองตงไหล หากใครต้องการที่จะก้าวผ่านไปถึงระดับเหลือง พวกเขาจะต้องได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มใหญ่ หรือหาวิธีการอื่นเพื่อให้ได้รับวิชาฝึกอสูรระดับเหลือง


ลู่หยางจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความคิด ถ้าเขาสามารถเป็นผู้จารึกได้ นั่นก็หมายความว่าเขามีความหวังที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้คุมอสูรระดับเหลืองเช่นกันงั้นหรือ?


ความคิดดังกล่าวแล่นผ่านใจของลู่หยางไป แล้วถูกสลัดไว้ด้านข้างทันที ท้ายที่สุด มันเป็นเพียงความคิด เขาจะต้องรอจนกว่าเขาจะเอาชนะสหายคนนั้น-เสี่ยวฟาน-ได้


การแข่งขันทักษะจารึกได้เริ่มขึ้นทันทีที่มีการประกาศ ผู้จารึกเดินไปที่เวทีทีละคนๆ ในขณะที่ลู่หยางมองดูผู้อาวุโสเฉินด้วยความโล่งใจขณะที่เขาเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ


การแข่งขันแบ่งออกเป็นการแข่งขันระดับกลางและระดับสูง แตกต่างจากผู้จารึกระดับสูง มีผู้จารึกระดับกลางมากกว่ามาก และมีอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน ดังนั้นนอกเหนือจากผู้จารึกที่ตำหนักหมื่นสมบัติแล้ว กลุ่มเหล่านั้นยังได้เลี้ยงผู้จารึกไว้จำนวนมากซึ่งใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับอำนาจของพวกเขาเอง สำหรับพื้นที่รอบ ๆ ผู้จารึกระดับสูงนั้น มีเพียงเก้าคนเท่านั้น


ลู่หยางอยู่ใกล้กับผู้จารึกผู้ต่ำต้อยสองคน บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่ากัน แต่ที่นั่งของพวกเขาอยู่ติดกับลู่หยาง


พวกเขาสองคนยืนอยู่บนเวทีแล้ว เมื่อเห็นลู่หยางขึ้นมา พวกเขาทั้งสองก็ยิ้มและพยักหน้าให้เขาเป็นการทักทาย


ลู่หยางคิดว่าเขาอาจจะต้องทำการติดต่อกับสองคนนี้ในภายหน้า จึงพยายามที่จะผูกมิตรพวกเขาไว้ ดังนั้น เขาจึงยกมือขึ้นประสานกัน และพูดว่า: “ข้าผู้นี้คือ ลู่หยาง ข้าเพิ่งมาถึงเมืองตงไหล และข้าเป็นผู้จารึกระดับทองคำขาวของตำหนักหมื่นสมบัติ โปรดชี้แนะข้าด้วย”


“ ข้าคือชิงเฟิง!” “ ท่านชิง”


“ ข้าคือหยวนตงเจี้ยน หัวหน้าตระกูลหยวน”


มันเป็นไปตามที่ผู้อาวุโสเฉินได้กล่าวไว้เป๊ะๆเลย แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นสมาชิกของชนชั้นต่ำต้อย แต่พวกเขาก็อาศัยสถานะของพวกเขาในฐานะผู้จารึกเพื่อสร้างผู้คุมอสูรระดับสูงมากมาย และจากนั้นก็สร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองในเมือง ตงไหล ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่ใช่นิกายเล็ก ๆ แต่เป็นครอบครัวที่แท้จริง


มีไม่กี่คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ในเมืองตงไหล และมีเพียงผู้จารึกเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ ตราบเท่าที่เงื่อนไขอนุญาต พวกเขาสามารถสร้างยอดฝีมือจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย


ลู่หยาง ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า: “ผู้อาวุโสสองคนเป็นแบบอย่างของชนชั้นต่ำต้อยของเราจริงๆ!”


“โอ้?” ท่านเป็นสาวกของชั้นต่ำต้อยด้วยหรือ? “


ลู่หยางยิ้มและพูดว่า: “ข้ามาจากเมืองเซียงหยาง และเพิ่งมาถึงเมืองตงไหล ข้าไม่ต้องการถูกกดขี่จากกลุ่มผู้มั่งคั่ง ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดตั้งสำนักหนึ่งสวรรค์ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ข้ายังคงถูกปราบปรามโดยกลุ่มผู้มั่งคั่งทุกครั้ง ในภายหน้า ข้าหวังว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะดูแลข้าได้ “


หยวนตงหัวเราะออกมาดัง ๆ : “อ๋อ มาจากเมืองเซียงหยาง อันที่จริง ข้าก็มีสหายเก่าคนหนึ่งในเมืองเซียงหยาง พ่อหนุ่มน้อย ท่านดูน่าถูกตาต้องใจทีเดียว หากท่านประสบปัญหาในเมืองตงไหลในภายหน้า ก็แค่มาพบข้าที่ตระกูลหยวนสิ “


ชิงเฟิงดูเหมือนจะพูดน้อย แต่เขาพยักหน้าไปทางลู่หยาง: “เราทุกคนเป็นพี่เป็นน้องจากกลุ่มชนชั้นต่ำต้อย เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน  เมื่อเราอยู่ห่างไกลกัน หากมีปัญหาใด ๆ ข้าจะช่วยแน่นอน”


ในเวลานั้น เพื่อต่อสู้กับกลุ่มผู้มั่งคั่ง พวกเขาได้รับความเดือดร้อนมาก ดังนั้น เมื่อพวกเขาเห็นลู่หยางตอนนี้ พวกเขาก็มีความรู้สึกคุ้นเคย


ลู่หยางไม่ลังเลเช่นกัน ด้วยความคิดหนึ่ง สัมผัสสีเขียวก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขาทันที แล้วแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเขียวสองเส้นแล่นไปหาหยวนทงไป๋ และชิงเฟิง


“ นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเรา ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น นี่เป็นเพียงของขวัญเล็กๆน้อยๆจากผู้น้อย ข้าหวังว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะรับมันไว้ “


จากระยะไกล เมื่อผู้อาวุโสเฉินเห็นว่าลู่หยางได้มอบสิ่งที่เขาชนะมาได้ให้กับลู่หยางอย่างง่ายดายได้อย่างไร เขาโกรธมากจนกระทืบเท้าและบ่นว่า “เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ นี่เรารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว? เขาให้สมบัติแบบนั้นไปจริงๆ! อย่าบอกนะว่าเขาไม่รู้ว่านี่คือกุญแจสำคัญในการคว้าตำแหน่งแชมป์? “


“นี่คือ…” หยวนทงไป๋ และ ชิงเฟิงได้รับลำแสงสีเขียวในมือของพวกเขา ใบหน้าของพวกเขาเผยให้เห็นร่องรอยของความประหลาดใจ แต่พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจจริงๆ


ลู่หยาง กล่าวอย่างภาคภูมิใจ: “ถูกต้องแล้ว นี่คือหนังสือไม้วิญญาณ!”


“มันคือหนังสือไม้วิญญาณจริงๆ!” ทั้งสองคนกรีดร้องออกมาพร้อมกัน


ในฐานะผู้จารึก หยวนทงไป๋ และชิงเฟิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหนังสือไม้วิญญาณคืออะไร? สำหรับผู้จารึกแล้ว หนังสือไม้วิญญาณเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่า ล้ำค่าทีเดียว ” นอกจากนี้ ยังมีราคา แต่ไม่มีตลาด ดังนั้นแม้ว่าใครจะมีเงิน ก็ยังคงยากที่จะหาซื้อมันได้ในเมืองตงไหล อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาคิดว่าลู่หยางเป็นผู้จารึกระดับทองคำขาวของตำหนักหมื่นสมบัติได้อย่างไรแล้ว หยวนตงไป๋และชิงเฟิงก็คิดได้ในที่สุด


หนังสือไม้วิญญาณก็เหมือนกับหนังสือเสื้อม่วง ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งของจำเป็นที่ใช้ในการสร้างวิชาฝึกอสูร หนังสือไม้วิญญาณมีค่ามากกว่าหนังสือเสื้อม่วง มันทำจากไม้วิญญาณหายากชนิดหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ และเป็นภาชนะที่ดีที่สุดสำหรับพลังวิญญาณของผู้จารึก


ด้วยหนังสือไม้วิญญาณในมือ ไม่เพียงแต่ผู้จารึกจะต้องการพลังทางจิตวิญญาณน้อยลงในการใช้วิชาจารึกแล้ว อัตราความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัตถุดิบมีค่ามากเกินไป มันจึงไม่ค่อยมีขายในตลาด โดยทั่วไปแล้ว วิชาฝึกอสูรระดับสูงจะไม่ใช้หนังสือไม้วิญญาณในการทำตราผนึก ดังนั้นแค่มีมันไว้ก็เพียงพอแล้ว


สำหรับหนังสือไม้วิญญาณนั้น มีการกล่าวกันว่ามันจะถูกใช้เมื่อใช้ทักษะจารึกจารึกวิชาฝึกอสูรระดับเหลือง เนื่องจากหนังสือเสื้อสีม่วงไม่สามารถต้านทานตราวิญญาณของวิชาฝึกอสูรระดับเหลืองได้อีกต่อไป .


ผู้อาวุโสเฉินมอบหนังสือไม้วิญญาณให้กับลู่หยางเพียงห้าเล่มเท่านั้นเพื่อให้ลู่หยางแสดงความสามารถของเขาได้ดีขึ้น และทำผิดพลาดให้น้อยที่สุด แต่ทว่า ในพริบตาเดียว ลู่หยางก็ได้มอบหนังสือนั่นให้กับทั้งสองคนนั้นคนละเล่ม


“พ่อมหาจำเริญ นี่เจ้าไม่รู้เหรอว่าข้าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการแลกเปลี่ยน หนังสือไม้วิญญาณทั้งห้าเล่มนี้? “ แล้วนี่เขาเอาไปแจกเป็นของขวัญซะอย่างนั้น…” ในใจของเขานั้น ผู้อาวุโสเฉินได้ตำหนิลู่หยางอย่างเลวร้าย


SB:ตอนที่ 156 การแข่งขันเต็มรูปแบบ


นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเขา แต่ลู่หยางได้มอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้เป็นของขวัญทักทายแล้ว ในช่วงเวลานั้น ความประทับใจที่ดีของทั้งสองคนนั้นที่มีต่อลู่หยางก็เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าโอกาสในปัจจุบันนั้นไม่เหมาะสมและอายุที่แตกต่างกันมาก พวกเขาอาจมีแรงกระตุ้นที่จะกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับลู่หยางได้


“พ่อหนุ่ม เพราะท่านเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ข้าจะให้ท่านเป็นน้องชายของข้า!” ชิงเฟิงทุบหมัดเข้ากับหน้าอกของเขาเอง และหัวเราะขณะที่เขาพูดกับลู่หยาง


ลู่หยางยิ้มและพูดว่า: “เราเป็นพี่เป็นน้องกันแล้วไม่ใช่เหรอ? “ของดีๆควรแบ่งปันให้พี่ๆน้องๆ!”


หนังสือไม้วิญญาณนี้มีค่ามากสำหรับผู้จารึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หนังสือไม้วิญญาณชุดพิเศษหนึ่งชุดไม่เพียงช่วยประหยัดพลังวิญญาณของผู้จารึกได้มากเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดเวลาได้มากอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือถ้าหนังสือไม้วิญญาณอยู่ในมือของพวกเขา มันจะเพิ่มโอกาสในการชนะการแข่งขันขึ้น 10% อย่างไม่ต้องสงสัย


แต่ในความเห็นของลู่หยาง แม้ว่าหยวนทงไป๋ และชิงเฟิงจะลงมือ มันก็แค่นั้น สำหรับเขาแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพลังทางจิตวิญญาณ และไม่มีความเป็นไปได้อื่นใดที่จะประสบความสำเร็จที่ต้องใช้การพิจารณา สิ่งเดียวที่เขาต้องพิจารณาคือเวลา


“ ข้าสงสัยว่าความเร็วของหัวหน้าผู้จารึกจะสามารถไปถึงระดับใดได้? ลู่หยางคิด


การแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้วในเวลานี้ ในส่วนของกติกาการแข่งขันนั้นเรียบง่าย มีการแข่งขันเพียงวันเดียว นับจากตอนนี้ มันจะสิ้นสุดในเวลานี้ในวันถัดไปเท่านั้น


และภายในเวลาที่กำหนด ใครก็ตามที่สามารถจารึกวิชาฝึกอสูรได้มากยิ่งกว่าจะถือเป็นผู้ชนะ สำหรับเครื่องมือทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการจารึกนั้น ตำหนักหมื่นสมบัติที่เป็นเจ้าภาพเป็นผู้จัดหาเตรียมไว้ให้ สำหรับเครื่องมือพิเศษบางอย่าง เช่นวัสดุจารึกคุณภาพสูงเช่นหนังสือไม้วิญญาณก็สามารถนำติดตัวไปได้เช่นกัน


เพียงแค่นั้น ความสามารถในการประหยัดเวลาและพลังทางจิตวิญญาณพร้อมกับการมีวัสดุทักษะจารึกคุณภาพสูงสุดที่สามารถประหยัดเวลาได้เกือบ 100% ไม่ได้มีในเมืองตงไหลมากมาย นับประสาอะไรกับพลังงานที่คุ้มค่าทั้งวัน


แต่… ในเมื่อผู้อาวุโสเฉินสามารถนำมันออกไปได้ ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง พลังอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเสี่ยวฟานดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเขาจะต้องมีหนังสือไม้วิญญาณเช่นกัน หรืออาจจะมากกว่านั้น


“ พรสวรรค์โดยกำเนิดของเขาน่ากลัวมากอยู่แล้ว ถ้าเจ้าหมอนี่มีหนังสือไม้วิญญาณเพียงพอล่ะ ถ้าอย่างนั้นเรื่องต่างๆก็คงจะยากแล้วสิ ” ลู่หยางคิดกับตัวเองอย่างกังวล แม้ว่าเขาจะมีระบบปราบอสูรที่จะช่วยเขาในการจารึก แต่ระบบก็ไม่ได้มีอำนาจทุกอย่าง


เสียงกระดิ่งดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างรวดเร็ว เสียงดังขึ้นเก้าครั้ง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างจดจ่ออย่างเต็มที่


นี่คือจุดเริ่มต้นของการแข่งขัน เมื่อระฆังดังขึ้น นั่นหมายถึงการเริ่มการแข่งขัน ทุกคนเตรียมตัวมานานแล้ว รอคอยวินาทีที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น


ในขณะเดียวกันนี้ ผู้จารึกบนเวทีก็เริ่มยุ่งๆกัน ริ้วแสงสีขาวเริ่มส่องออกมาจากมือของพวกเขา และในที่สุด ก็สาดส่องลงบนหนังสือวิชาฝึกอสูร จากนั้นย้ายไปที่หนังสือเสื้อม่วงที่อยู่ข้างๆ


มีเพียงวิธีจารึกของลู่หยางเท่านั้นที่แตกต่างจากของพวกเขาเล็กน้อย สายตาของเขายังคงกวาดไปทั่ววิชาฝึกอสูร จากนั้นระบบจะช่วยลู่หยางจารึกโดยอัตโนมัติ เขาไม่จำเป็นต้องคิดเลย เพียงแต่ว่าความเร็วของเขายังต้องใช้เวลาสิบนาที


เมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้ว ความเร็วแบบนี้เร็วมาก แต่ทุกครั้งที่ยอดฝีมือต่อสู้กัน มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันทีเดียว นอกเหนือจากการจารึกแล้ว ลู่หยางยังมองไปที่ผู้จารึกระดับสูงที่อยู่รอบๆตัวเขา


แม้ว่าผู้จารึกระดับสูงเพียงไม่กี่คนจะว่องไว แต่ความเร็วในการจารึกของพวกเขาก็เทียบไม่ได้กับของลู่หยาง แม้แต่ผู้จารึกที่มีประสบการณ์ เช่นหยวนทงไป๋ และชิงเฟิง สถานการณ์ก็เหมือนกัน โดยทั่วไปแล้ว เขาสามารถจารึกให้เสร็จสมบูรณ์ได้เพียงหนึ่งครั้งในทุกๆครึ่งชั่วโมง แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วทีเดียว


จนกระทั่งสายตาของลู่หยางจ้องมาถึงอีกมุมหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากลู่หยางเพียงเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอันดับหนึ่งอยู่บนเวที ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นตำแหน่งของหัวหน้าผู้จารึก


ลู่หยางมองไปที่เวทีหมายเลข 1 ทั้งหนึ่งชั่วโมง และพบว่าเสี่ยวฟานมีฝีมือจริงๆ ความเร็วในการจารึกของเขาอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เสี่ยวฟานอยู่บนท้องฟ้า ในขณะที่คนอื่น ๆ อยู่บนพื้นดิน นี่เป็นเพราะความเร็วของเสี่ยวฟานไปถึงสิบนาทีต่อหนึ่งเล่ม


“ ดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะเจอกับคู่ต่อสู้ของข้าจริงๆแล้ว ข้าสงสัยว่าไอ้หมอนี่จะสามารถรักษาสถานะนี้ได้นานแค่ไหน?”


โดยทั่วไปแล้ว พลังทางจิตวิญญาณของบุคคลมีจำกัด เมื่อพวกเขาตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดเป็นเวลานาน จะไม่มีใครสามารถทนอยู่ได้นาน


หลังจากได้ข้อสรุปดังกล่าวแล้ว  ลู่หยางก็กลับไปจดจ่ออยู่ที่การจารึก และมุ่งเน้นไปที่วิชาฝึกอสูรระดับสูงในมือของเขา ภายใต้สภาวะที่มีสมาธิของเขา ความเร็วของลู่หยางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย


ใครจะรู้ว่าเขาเปิดใช้งานวิชาจารึกกี่ครั้ง ความเร็วในการจารึกของเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นด้วย แม้ว่าจะไม่ชัดเจน แต่ในการแข่งขันเช่นนี้ ความเร็วที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ยังถือว่าดี


ในทางกลับกัน ผู้จารึกที่อยู่รอบ ๆ ได้อดทนมาสองถึงสามชั่วโมงแล้ว ในตอนแรก พลังทางจิตวิญญาณยังเต็มเปี่ยมอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ แต่ละคนเริ่มเหนื่อยล้ากันแล้ว


ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเล็กน้อย สถานการณ์ในตอนนี้เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ และตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ ไม่ว่าพลังวิญญาณจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็จะมีขีดจำกัด ซึ่งไม่สามารถเทียบได้กับระบบ


ผู้จารึกปกติจะมาถึงขีดจำกัดแล้วหลังจากผลิตสำเนาไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ผู้ที่สามารถอยู่ได้นานถึงสิบสองชั่วโมงจะถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในผู้จารึก สำหรับผู้ที่สามารถอดทนได้ถึงสิบแปดชั่วโมง พวกเขาต้องได้รับพรจากสวรรค์อย่างแน่นอน


จากการคำนวณของลู่หยาง เสี่ยวฟานมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้จารึกระดับสวรรค์ภูมิใจ  อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้


ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง โคมไฟเริ่มส่องสว่างขึ้นทีละดวงๆ ทั้งหมดเป็นหินเรืองแสงคุณภาพสูง ส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ แทบจะราวกับว่าไม่ต่างจากตอนกลางวันเลย


เพิ่งจะผ่านไปสิบชั่วโมง และเหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังอดทนอยู่ได้ ผู้จารึกระดับสูงทั้งเก้ายังคงยุ่งอยู่ เพียงแต่ว่าความเร็วในการจารึกของพวกเขานั้นไม่เร็วเท่ากับตอนแรก


ณ ตอนนี้ ผู้ที่ยังอยู่ในสภาพดีคือ ลู่หยาง และเสี่ยวฟาน สำหรับผู้จารึกระดับกลาง พวกเขาหลายคนกำลังพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณของพวกเขา


เมื่อผู้อาวุโสเฉินเห็นว่าลู่หยางอยู่ในสภาพที่ดีแ ละมีจิตวิญญาณสูงอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เขาก็มีความสุขมาก ในใจนั้น เขาคิดว่าในที่สุดเขาก็ได้หยิบเอาสมบัติขึ้นมา และในการประชุมทั้งหมดนี้ มีเพียงลู่หยางเท่านั้นที่ยังเทียบได้กับสภาพปัจจุบันของเขา


เมื่อเขามองไปที่เสี่ยวฟานอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าความเร็วของเขายังคงเร็วเหมือนในตอนแรก แต่ทว่า ใบหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อยแล้ว และหน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ


ในเวลาเดียวกันกับที่จารึก เสี่ยวฟานก็สังเกตลู่หยางด้วยเช่นกัน เขาตกใจเล็กน้อย แต่เขายังคงกัดฟันและอดทนต่อไป


ในอดีต เสี่ยวฟานไม่เคยเห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตาของเขาเลย


“ ข้าไม่เคยคิดว่าม้ามืดจะมาปรากฏตัวในงานประชุมนี้!” ความเร็วนี้สามารถเปรียบเทียบกับของข้าได้แน่นอน มาดูกันว่าใครจะอยู่ได้จนจบ “


ทั้งสองต่างนิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ก็เห็นได้ชัดเจน ผู้แข็งแกร่ง และผู้อ่อนแอต่างก็มุ่งมั่น พวกเขาสองคนทำงานอย่างหนัก ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด และผลิตสำเนาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด


และแล้ว กลางคืนก็ค่อยๆจางหายไป และมีผู้จารึกเพียงไม่กี่คนที่ยังคงยืนหยัดอยู่บนเวที และผู้จารึกที่เคยพักผ่อนอย่างเต็มที่ในตอนกลางคืนได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งและดำเนินการจารึกต่อไป


ตราบใดที่เวลายังไม่หมด พวกเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แม้ว่าพวกเขาจะทำสำเนาได้อีกเพียงหนึ่งชุด แต่ก็ยังมีความหวังสำหรับพวกเขา


ผู้จารึกระดับสูงที่ยืนหยัดมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ก็มาถึงขีดจำกัดของพวกเขาแล้วและในที่สุดพวกเขาแต่ละคนก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป


ชิงเฟิง และ หยวนทงไป๋ทรุดตัวลงกับพื้น พวกเขาโบกมือไปทางเวทีและพูดอย่างอ่อนแรงว่า “กรรมการ เราทำไม่ได้อีกแล้ว เราเลือกที่จะจบก่อน! “


ผู้ตัดสินพยักหน้าเล็กน้อย ตอนนี้ เหลือเวลาอีกเพียงสองชั่วโมงจนกว่าจะสิ้นสุด แม้ว่าพวกเขาจะเลือกพักผ่อน แต่เวลาเพียงสองชั่วโมงก็ยังห่างไกลเกินพอ


พวกเขามาถึงขั้นตอนของหยวนตงไป๋ และชิงเฟิง ตามลำดับ และนับจำนวนสำเนาที่ทั้งสองทำขึ้นมาได้ ผู้ตัดสินประกาศเสียงดัง“ ผู้จารึกระดับสูงหยวนทงไป๋ได้ สามสิบห้าเล่ม! ผู้จารึกระดับสูงชิงเฟิงได้สามสิบสามเล่ม! “


ระหว่างพวกเขาทั้งสองต่างกันเพียงสองเล่มเท่านั้น แต่มันกำหนดอันดับระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ไม่จำเป็นต้องพูดว่าผลลัพธ์แบบนี้ถือว่าต่ำที่สุดในบรรดาผู้จารึกระดับสูง


เมื่อผู้จารึกที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินผลของหยวนตงไป๋ และชิงเฟิง พวกเขาต่างก็หายใจโล่งอก พวกเขารู้ว่ามีคนไปอยู่หางแถวแล้ว พวกเขาจึงผ่อนคลายเล็กน้อย


“เอ๊ะ? สองคนที่อยู่ในอันดับที่แปดและเก้าได้จบลงแล้ว แต่ทำไมอันดับเจ็ดยังไม่จบลง “เมื่อเห็นลู่หยางยังคงดำเนินการจารึกต่อ ผู้จารึกอันดับที่หกเริ่มตื่นตระหนก


แม้ว่าหลังของเขาจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ และต้องอาศัยความเพียรพยายามอย่างเต็มที่ แต่ผู้จารึกอันดับที่หกก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาต้องการใช้เวลาเศษเสี้ยวสุดท้ายในการทำสำเนาอีกหนึ่งเล่ม และต่อสู้เพื่ออันดับที่ดีสำหรับตัวเขาเอง


อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าสหายที่อยู่ในอันดับที่ห้าและอันดับที่เจ็ดซึ่งก็คือลู่หยางยังคงยุ่งอยู่นั้น ผู้จารึกอันดับที่หกก็สูญเสียความมั่นใจในทันที


“ เป็นไปได้ไหมที่ข้าจะอยู่ในอันดับที่เจ็ดจริงๆ? ทำไมข้าทำงานหนักมากตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ แต่ก็ยังลงเอยแบบนี้อีก? “หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ ผู้ฝึกฝนอันดับที่หกล้มลงกับพื้นหลังจากที่เขาทำวิชาฝึกอสูรเล่มสุดท้ายเสร็จ แล้วก็หมดสติไป


“ผู้จารึกระดับสูงหวังเล่ย ได้43 เล่ม!” ในแง่ของจำนวน เขาเหนือกว่าชิงเฟิงไปแล้ว แต่ความแตกต่างของจำนวนเมื่อเทียบกับ ลู่หยาง นั้นมากเกินไป


เมื่อได้ยินผลลัพธ์นี้ ผู้ฝึกตนอันดับที่ห้าถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเลือกที่จะยุติการแข่งขันก่อนเวลา


เมื่อเหลือเวลาเพียงสองชั่วโมง ผู้จารึกอีกสองคนไม่สามารถอยู่ต่อได้อีกต่อไปและยุติการแข่งขันก่อนกำหนด และคนที่ธรรมดาที่สุดได้เพียงหกสิบแปดสำเนา ก่อนที่พลังวิญญาณทั้งหมดของเขาจะหมดลง และเช่นเดียวกับอันดับที่หก เขาเป็นลมไปเลย


เหลือเพียงสามคนบนเวทีและเหลือเวลาเพียงสองชั่วโมง


เสี่ยวฟานเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ลู่หยาง จากสายตาของเขา จะเห็นได้ว่าเขาปฏิบัติกับลู่หยางในฐานะคู่ต่อสู้ของเขาอยู่แล้ว และสำหรับคนที่อยู่ในอันดับที่สอง เสี่ยวฟานก็ไม่สนใจทันที


ปากของเสี่ยวฟานโค้งเป็นรอยยิ้มขณะที่เขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก การเพียรพยายามหนึ่งวันหนึ่งคืนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา แต่เขาทำผลลัพธ์ได้หนึ่งร้อยสามสิบหกเล่ม


อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา


เสี่ยวฟานเอื้อมมือไปที่อกของเขาอย่างเงียบ ๆ และพึมพำกับตัวเอง: “ดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะเจอคู่ต่อสู้จริงๆเข้าแล้วสิ เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้รับภัยคุกคามเช่นนี้! อย่างไรก็ตาม ข้า เสี่ยวฟาน จะพ่ายแพ้ง่ายๆได้อย่างไร? “


เมื่อมือของเสี่ยวฟานยื่นออกมาจากเสื้อผ้าของเขา ลู่หยางก็เงยศีรษะขึ้นและมองผ่านสายตาเทวะ แล้วก็เห็นสิ่งที่อยู่ในมือของ เสี่ยวฟาน


สิ่งที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณก็คือหนังสือไม้วิญญาณชัดๆ!


“ในที่สุด ท่านก็ได้เปิดเผยไต๋ของท่านแล้วเหรอ?” ลู่หยาง แอบหัวเราะเยาะ


SB:ตอนที่ 157 บัลลังก์ผู้ชนะเลิศ


“ต่อไป ข้าจะแสดงความเร็วสุดขีดของข้าให้ดู!”


เสี่ยวฟานคำราม พร้อมกับแววตาแปลก ๆ และทันใดนั้นเอง หนังสือไม้วิญญาณในมือของเขาก็อันตรธานหายไป


“ขณะนี้ เหลือผู้จารึกระดับสูงเพียงสามคนเท่านั้นบนเวที พวกเขาคือผู้เข้าร่วมหมายเลขหนึ่ง เสี่ยวฟาน ผู้เข้าร่วมหมายเลขสอง พางเซิ่ง และผู้เข้าร่วมหมายเลขเจ็ด ลู่หยาง ตอนนี้ เห็นได้ว่าหมายเลขสอง พางเซิ่ง ดูเหมือนจะมาถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ในขณะที่หมายเลขหนึ่ง และหมายเลขเจ็ด ลู่หยางยังคงเคลื่อนไหวเร็วมาก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าม้ามืดจะปรากฏตัวในการประชุมครั้งนี้จริงๆ และมันจะเหนือกว่าผู้เข้าร่วมแข่งขันคนอื่น ๆ ทั้งหมดขนาดเทียบกับเสี่ยวฟานได้ “


ในช่วงเวลาสุดท้าย กรรมการตัดสินใจที่จะอยู่ข้างเวทีเพื่อช่วยให้ทุกคนเข้าใจ


และดูจากสถานการณ์แล้ว เสี่ยวฟานและ ลู่หยางนั้นดีที่สุด


ในขณะที่กรรมการกำลังอธิบายอยู่นั้น เสี่ยวฟานก็หยิบหนังสือไม้วิญญาณออกมา เสี่ยวฟานที่กำลังจะถึงขีดจำกัดแล้วนั้น จู่จู่ก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้งเพราะหนังสือไม้วิญญาณ


“ สำหรับผู้เข้าแข่งขันหมายเลขหนึ่ง…” อะไรนะ ความเร็วของผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 1 ยังเพิ่มขึ้นอยู่จริงๆ! “กรรมการก็ยังตกใจกับความเร็วของเสี่ยวฟาน เขาตะโกนออกมาเสียงดัง


เดิมที  เขาทำสำเนาได้หนึ่งร้อยสามสิบหกเล่ม แต่เสี่ยวฟานมีหนังสือไม้วิญญาณสิบเล่ม ด้วยพรสวรรค์โดยกำเนิดของเขา หลังจากใช้หนังสือไม้วิญญาณแล้ว ความเร็วของเขาจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น


ตอนนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเสี่ยวฟานที่ใช้หนังสือไม้วิญญาณ ดังนั้นเวลาที่เขาคำนวณจึงถูกต้อง ในชั่วโมงสุดท้ายนี้ มันเพียงพอสำหรับเขาที่จะใช้หนังสือไม้วิญญาณทั้งสิบเล่มนั้น


ในอัตรานี้ เขาจะสามารถผลิตหนังสือได้หนึ่งเล่มทุก ๆ สิบนาที ในเวลาหนึ่งวันโดยไม่ต้องพักผ่อน เขาจะสามารถผลิตหนังสือได้หนึ่งร้อยสี่สิบสี่เล่ม


อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาสุดท้าย จิตวิญญาณของเสี่ยวฟานขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงยี่สิบสามชั่วโมงแรก เขาทำหนังสือได้เพียงหนึ่งร้อยสามสิบหกเล่ม


“ด้วยหนังสือสิบเล่มนี้ ไม่ว่าสภาพของท่านจะดีแค่ไหน ท่านก็ไม่อาจเทียบกับข้าได้หรอก!” เสี่ยวฟานหัวเราะเยาะในใจ


จริงๆแล้ว ลู่หยาง ได้เห็นสถานะของเสี่ยวฟานมานานแล้ว และเขาต้องยอมรับว่าเสี่ยวฟานเป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริงที่สามารถอดทนได้นานขนาดนี้ นอกจากนี้ แม้ว่าเขาจะถึงขีดจำกัดอย่างชัดเจนแล้ว แต่ความเร็วของเขาก็ยังไม่ลดลง


สำหรับหนังสือไม้วิญญาณนั้น ก็อยู่ในแผนการของลู่หยางเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เสี่ยวฟานจะหยิบหนังสือไม้วิญญาณออกมา ลู่หยางไม่แน่ใจว่าเขามีกี่เล่ม


แต่ตอนนี้ เสี่ยวฟานหยิบหนังสือไม้วิญญาณออกมา ลู่หยางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


“ ข้าคิดว่าผู้อาวุโสเชิ่นจะให้หนังสือไม้วิญญาณจำนวนมากแก่ท่าน แต่ดูเหมือนตอนนี้จะมีแค่นี้ หนังสือไม้วิญญาณเพียงสิบเล่ม แล้วต้องการเอาชนะข้างั้นหรือ?” ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันอยู่ภายใน


จากการคำนวณความเร็วตามปกติ ลู่หยางสามารถรักษาความเร็วสูงสุดของเขาได้จนถึงหนึ่งชั่วโมงหกเล่ม และอย่างมากเขาสามารถทำหนังสือได้เพียงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เล่ม อย่างไรก็ตาม หากเสี่ยวฟานใช้หนังสือไม้วิญญาณทั้งสิบเล่ม เขาสามารถทำหนังสือได้ถึงหนึ่งร้อยสี่สิบหกเล่ม ซึ่งจะเหนือกว่าลู่หยางโดยสมบูรณ์


“แต่…” ท่านไม่ใช่คนเดียวที่มีไม้เด็ด! “


สีหน้าของลู่หยางกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที เบื้องหน้าเขาไม่ใช่หนังสือเสื้อม่วงเล่มเดียว แต่เป็นสองเล่มวางอยู่พร้อมๆกัน


ถ้าเวลาสิบนาทีถูกกล่าวว่าเป็นความเร็วที่เร็วที่สุดของเสี่ยวฟานโดยไม่มีหนังสือไม้วิญญาณแล้วนั้น ความเร็วของทั้งสองคนก็เท่ากัน หลังจากเสี่ยวฟานเรียกหนังสือไม้วิญญาณออกมา ความเร็วของเขาอาจเพิ่มขึ้นเป็นสิบเล่มในหนึ่งชั่วโมง แต่เขาก็ถึงขีดจำกัดแล้ว


แต่หนึ่งชั่วโมงทำได้หกเล่มนั้นไม่ใช่ขีดจำกัดของลู่หยาง


หนังสือเสื้อม่วงสองเล่มเบื้องหน้าลู่หยางหมุนเร็วมาก ระบบกำลังบันทึกข้อมูลที่ดวงตาของลู่หยางสแกนอยู่ตลอดเวลา และมันทำพร้อมกันทีละสองเล่ม


ถึงไม่มีไพ่ตายอย่างหนังสือไม้วิญญาณ ลู่หยางก็ยังคงมีความมั่นใจในตัวเขาเอง มันไม่ได้มาจากวัตถุภายนอก แต่มาจากวิธีการที่ลู่หยางได้คิดขึ้นเอง


ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากไม่มีเงินในกระเป๋า รวมถึงหนี้ที่เขาต้องขอให้ผู้อาวุโสไป๋ช่วย ลู่หยางแทบจะเป็นบ้าที่จะต้องพยายามทำงานจารึกเพื่อชำระหนี้ของเขา หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ลู่หยางก็คิดหาทางลัดได้


แม้ว่าเวลาในการผลิตของระบบจารึกจะถูกกำหนดไว้ แต่การฝึกฝนทำให้เกิดการสมบูรณ์แบบ ลู่หยางได้เริ่มลองพยายามจารึกหนังสือสองชุดในเวลาเดียวกันเช่นเดียวกับที่ลู่หยางกำลังทำอยู่ตอนนี้ เขาก็จะสามารถสแกนหนึ่งครั้งจากนั้นจารึกได้สองสำเนาในเวลาเดียวกัน


หลังจากช่วงเวลาของการฝึกฝน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรักษาสถานะนี้ได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แต่เขาก็ยังสามารถรักษาไว้ได้


“หนังสือไม้วิญญาณเพียงสิบเล่มจะสามารถเปรียบเทียบกับระบบของข้าได้ยังไง?” ลู่หยางเกร็งเส้นประสาททั้งหมดในร่างกายของเขาจนถึงขีดสุด และไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย


“ เขาทำสำเนาสองชุดพร้อมๆกัน…” ม้ามืดปีนี้มาแรงจริงๆ! “


เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีใครที่สามารถผลิตวิชาฝึกอสูรได้สองเล่มในเวลาเดียวกัน แม้ว่าพรสวรรค์ของเสี่ยวฟานจะน่าทึ่ง แต่เมื่อเทียบกับลู่หยางแล้ว เขาก็ยังขาดอย่างมาก


ในตอนแรก ผู้อาวุโสเฉินก็ใจหายใจคว่ำอยู่ แต่หลังจากได้เห็นการแสดงที่น่าอัศจรรย์ของลู่หยางแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ เจ้าหมอนี่รู้วิธีเล่นจริงๆ ทำให้ข้ามัวกังวลเก้อไปซะนาน”


“ฮู้วว!” เมื่อการแข่งขันใกล้จะสิ้นสุดลง ใบหน้าของเสี่ยวฟานได้เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด แม้จะมีพลังทางจิตวิญญาณสุดท้ายของเขา แต่เขาก็ทำได้เพียงสิบเล่มสุดท้ายเท่านั้น


“ว้าว กรรมการ ข้าทำสำเร็จแล้ว ท่านจะนับผลตอนนี้ได้ไหม? “ มาดูกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะ” เสี่ยวฟาน หันมากล่าวกับผู้ตัดสิน


ผู้ตัดสินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจากนั้นก็พูดว่า “ยังไม่ถึงเวลา อดใจรออีกนิดแล้วกัน ข้าคิดว่า… “ดูเหมือนว่าหมายเลขเจ็ดจะยังไม่เสร็จ”


“แข่งกับเวลาอย่างนั้นหรือ? แต่อย่างมากก็แค่หนังสืออีกเล่มหนึ่งเท่านั้น มันจะได้ประโยชน์อะไร? ก็แค่การดิ้นรนที่ไร้ความหมาย “มุมปากของ เสี่ยวฟาน เผยให้เห็นท่าทางดูถูกเหยียดหยามและส่งเสียงกรนเบา ๆ


“ต๊อง ต๊อง ต๊อง!”


ผู้จารึกทั้งหมดถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่ยืนหยัดมาเป็นเวลานาน พวกเขาก็เกือบจะถึงขีดจำกัดกันแล้ว บางคนได้พักสองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป


เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง พวกเขาก็สามารถผ่อนคลายความกังวลใจได้ในที่สุด


“ หมดเวลาแล้ว หมายเลขเจ็ดลู่หยาง  ท่านยังทำไม่เสร็จอีกเหรอ? “ผู้ตัดสินกล่าวกับลู่หยางด้วยรอยยิ้ม


“ ถูกต้องแล้ว แม้ว่าท่านจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่กฎก็คือกฎ รีบวางหนังสือเสื้อม่วงในมือของท่านซะ!” เสี่ยวฟาน ร้องลั่น


ลู่หยางโค้งริมฝีปากของเขาและพูดด้วยความดูหมิ่น: “แล้วยังไงเหรอถ้าข้าวางมันลงไปน่ะ! ใครจะสน! “ อย่าเพิ่งรีบอวดดีไปนักเลย มันยังไม่แน่ว่าใครจะชนะหรือแพ้! “


ลู่หยางค่อยๆวางหนังสือเสื้อม่วงทั้งสองเล่มในมือของเขาลง แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะวางหนังสือเสื้อม่วงในมือลงแล้ว แต่นอกจาก ลู่หยางแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันได้ก่อตัวขึ้น


“ในเมื่อท่านมั่นใจมากขนาดนั้น งั้นก็ให้กรรมการนับเลย แล้วมาดูว่าใครมีมากกว่ากัน”


ในอดีต มักจะเป็นเสี่ยวฟานที่นำกลุ่มมาตลอด เป็นเรื่องยากที่จะเห็นม้ามืดที่สามารถแข่งขันกับเสี่ยวฟานได้ในปีนี้ และเมื่อผู้ตัดสินนึกถึงผลการแข่งขัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย


“หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างสองคู่ต่อสู้ที่ก้ำกึ่งกัน มาดูกันว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร!”


เสียงของผู้ตัดสินดังก้องไปทั่วทั้งเวที ดึงดูดความสนใจของทุกคน ผู้จารึกระดับกลางที่ทำผลงานได้ดีมากถูกพวกผู้ชมเพิกเฉย เมื่อเทียบกับผู้จารึกระดับสูงแล้ว ความเปล่งประกายของพวกมันก็ไม่สำคัญเท่ากับพวกหิ่งห้อย


พางเซิ่งหมายเลขสองต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับลู่หยาง และ เสี่ยวฟาน แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ทำหนังสือได้เพียงเก้าสิบสามเล่ม และจำนวนไม่เกินร้อยเล่ม


ผู้ตัดสินเดินผ่านพางเซิ่งอย่างช้าๆ เขาเดินไปที่ด้านข้างของลู่หยาง และหยิบกองหนังสือวิชาฝึกอสูรบนโต๊ะของลู่หยาง ขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มนับทีละเล่ม


“ หนึ่งร้อย หนึ่งร้อยหนึ่ง…”


“หนึ่งร้อยสิบ หนึ่งร้อยสิบเอ็ด …”


จำนวนได้แซงหน้าพางเซิ่งไปนานแล้ว


มีเพียงเสี่ยวฟานเท่านั้นที่ยังสงวนท่าทีสงบนิ่งและมั่นใจ ในการประชุมที่ผ่านมา  เสี่ยวฟานมักจะกวาดล้างสถานที่นั้นด้วยพละกำลังที่ล้นหลามของเขา และไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะพบกับคู่ต่อสู้ซักคน หากสิ่งนี้ดำเนินไปนานเกินไป ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่งของยอดฝีมือที่โดดเดี่ยว


แต่ตอนนี้ มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับเขาที่จะได้พบกับคู่ต่อสู้ และแม้แต่เอาชนะเขาได้เป็นการส่วนตัว  เสี่ยวฟานจึงรู้สึกถึงความสำเร็จ


“ เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เขายังขาดไพ่อยู่ ถ้าเขาพัฒนาต่อไปอีกสักสองถึงสามวัน บางทีเขาอาจจะต่อกรกับข้าได้ก็ได้ ถึงตอนนั้น ข้าอาจมีโอกาสที่จะก้าวหน้า ในที่สุดแล้ว เมืองตงไหลยังเล็กไปหน่อย ข้าควรเดินทางไปยังโลกที่กว้างกว่านี้เพื่อสำรวจ! “เสี่ยวฟานมองไปที่ลู่หยาง และพูดในใจ


“ หนึ่งร้อยยี่สิบ หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด…”


เสียงนับจำนวนของผู้ตัดสินยังคงดังก้องอยู่ในหูของฝูงชน ทำให้พวกเขาหวาดหวั่น


อย่างไรก็ตาม ครั้งที่แล้ว เสี่ยวฟานไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดและครั้งนี้เขาได้พยายามอย่างสุดกำลัง


“ หนึ่งร้อยสามสิบ หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด…”


จำนวนคะแนนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งหมดนี้อยู่ในความคาดหวังของเสี่ยวฟาน เขาแค่รอคะแนนตอนจบของผู้ตัดสิน เพราะเขาต้องการดูว่าม้ามืดตัวนี้ ลู่หยาง จะไปถึงระดับไหนได้


แต่… แม้ว่า เสี่ยวฟาน จะคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ความเป็นจริงก็น่าแปลกใจเล็กน้อย


“ หนึ่งร้อยสี่สิบ หนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ด…” คะแนนยังไม่หยุด


ในเวลานี้ การแสดงออกของ เสี่ยวฟานก็แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในที่สุด และร่องรอยของความลำบากก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาบนใบหน้าของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นการแสดงออกที่ไม่เกรงกลัวของลู่หยางแล้ว หัวใจของเขาก็เต้นแรงทันที เนื่องจากลางสังหรณ์ที่เป็นลางร้ายห่อได้หุ้มหัวใจดวงน้อยของ เสี่ยวฟานไว้


“ เขาดูมั่นใจมาก เขารู้ดีว่าข้ายังคงไม่สามารถมั่นใจในไพ่ตายของข้าได้ ข้าไม่ได้รีบเลย…” เสี่ยวฟาน เริ่มตื่นตระหนกเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้


ตามที่คาดไว้ หลังจากที่จำนวนคะแนนทะลุ หนึ่งร้อยสี่สิบแล้ว ผู้ตัดสินก็ยังไม่หยุด จนกระทั่งถึงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ซึ่งถึงขีดจำกัดที่เสี่ยวฟานคาดไว้ ปากของผู้ตัดสินยังคงเปิดอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะพูด แต่คำพูดของเขาติดอยู่ในลำคอ


“เด็กคนนี้มาจากไหนกันนี่?” “ เป็นไปได้ยังไงที่ไปถึงจุดสุดยอดที่แท้จริง…”


มีเพียง ลู่หยางเท่านั้นที่รู้ชัดเจนว่าหนังสือแต่ละเล่มใช้ความเร็วสูงสุดสิบนาที ไม่ว่าจะเป็นระบบหรือหินวิญญาณของผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรแน่นอน ลู่หยางเป็นคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อทะลุขีดจำกัด เขาจะถูกจำกัดได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ได้อย่างไร?


“ผู้ตัดสิน ท่านหยุดทำไม” “นับต่อไปสิ” ลู่หยางกล่าวเบา ๆ


เมื่อได้ยินคำพูดของ ลู่หยาง ทุกคนก็รู้สึกหดหู่แม้แต่เสี่ยวฟาน ที่ก่อนหน้านี้สงบและมั่นใจ


SB:ตอนที่ 158 ถอดรหัสม้วนหนังแกะโบราณ


“ผู้ตัดสิน ท่านหยุดทำไม?” “นับต่อไปสิ” แม้ว่าเสียงของเขาจะแผ่วเบา แต่ร่างกายของผู้ตัดสินยังคงสั่นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนซึ่งได้เคยประสบพบเห็นผู้เก่งกล้ามามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว


แล้วเขาก็พูดต่อว่า “หนึ่งร้อยสี่สิบห้า หนึ่งร้อยสี่สิบหก”


ในเวลานี้ จำนวนคะแนนที่ผู้ตัดสินนับได้เท่ากับของเสี่ยวฟานแล้ว ตราบใดที่ผู้ตัดสินพูดอีกคำหนึ่ง ก็เท่ากับเป็นการประกาศว่าใครเป็นผู้ชนะเลิศ


หลังจากยืนอยู่ที่จุดสูงสุดมาหลายปี การสูญเสียตำแหน่งที่หนึ่งอย่างกะทันหันหมายถึงการสูญสิ้นซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยากที่จะยอมรับได้ และเสี่ยวฟานก็ไม่ใช่คนที่ใจเปิดกว้างซะด้วยสิ


เสี่ยวฟานจงใจจ้องมองไปที่ผู้ตัดสิน และลู่หยาง แววตาอาฆาตมาดร้ายเล็ดรอดออกมาจากดวงตาของเขาจริงๆ


“ลู่หยาง!” ถ้าท่านเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามีไป ไม่ว่าท่านจะใช้วิธีไหน ข้าจะทำให้ท่านต้องชดใช้! แม้ว่าจะเป็นความตายก็ตาม! ” หัวใจของเสี่ยวฟานกำลังร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่คนรอบข้างไม่สามารถได้ยินสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่


“หนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ด หนึ่งร้อยสี่สิบแปด!” หนึ่งร้อยสี่สิบเก้า หนึ่งร้อยห้าสิบ! “


เสียงของผู้ตัดสินเหมือนค้อนที่หนักหน่วงทุบหัวใจที่เปราะบางของเสี่ยวฟานให้แตกสลายไปหมด


เมื่อเขานับถึงหนึ่งร้อยห้าสิบ ในที่สุดผู้ตัดสินก็หยุด และกระตุ้นอารมณ์ตื่นเต้นในหมู่ผู้ที่เฝ้าชมที่อยู่ตรงนั้น เขาเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอผลลัพธ์ของเสี่ยวฟานอีกครั้ง


มีเพียงเสี่ยวฟานเท่านั้นที่รู้ว่าครั้งนี้เขาแพ้ แม้ว่าจะใช้ไพ่ตายจนหมดแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้


“ต่อไป เรามาดูผลของหัวหน้าผู้จารึกหมายเลขหนึ่งกัน ท่านเสี่ยวฟาน!” ผู้ตัดสินกล่าวตามปกติ โดยพยายามกระตุ้นความกระตือรือร้นของผู้ชม


แต่ใบหน้าของเสี่ยวฟานนั้นซีดเซียว แล้วเขาก็พูดเบา ๆ : “ไม่จำเป็นต้องนับแล้ว ครั้งนี้ข้าแพ้แล้ว! เขาเป็นผู้ชนะเลิศ! “


พูดเช่นนั้นแล้ว เสี่ยวฟานก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป หลังจากเสียตำแหน่งผู้ชนะเลิศ เขาหมดความสนใจที่จะรับรางวัลที่เขาจะต้องได้ ปล่อยให้ผู้ตัดสินยืนเงอะงะอยู่ตรงนั้น


“เมื่อเป็นอย่างนั้น ผู้เฒ่าเชิ่น ยังไงเราก็ยังต้องให้รางวัลเขา ท่านสามารถช่วยเขารวบรวมไว้ในนามของเขา ” ผู้อาวุโสเฉินกล่าวกับคู่ต่อสู้เก่าของเขาด้วยรอยยิ้มที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เขาดูพึงพอใจกับตัวเองมากทีเดียว


เขาถูกผู้อาวุโสเชิ่นกดขี่ไว้เป็นเวลาหลายปีแล้ว มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะปราบปรามคู่ต่อสู้เก่า


ใบหน้าของผู้อาวุโสเชิ่นเป็นสีดำสนิทขณะที่เขาส่งเสียงฮึ่มอู้อี้: “ตราบใดที่ไม่ใช่ผู้ชนะเลิศ เราจะไม่สนใจรางวัลเล็ก ๆ เช่นนี้หรอก!” ข้าขอตัว อภัยให้ข้าด้วย! “ฮึ!”


“ ดูแลตัวเองด้วย ผู้อาวุโสเชิ่น “ฮ่าๆ!” ผู้อาวุโสเฉินโบกมือ พร้อมกับหัวเราะ


“ มันไม่เสียเปล่าเลยที่ข้าคิดถึงเขามากขนาดนี้ มันก็แค่…” ในเวลาเดียวกับที่ผู้อาวุโสเฉินอารมณ์ดี เขาจำสิ่งที่เขาสัญญาไว้กับลู่หยางได้


นึกขึ้นมาแล้ว เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เหนืออื่นใด โอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้านั้นไม่ใช่ได้มาง่ายๆ มิฉะนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวฟานจะอยู่ในตำหนักหมื่นสมบัติเป็นเวลาสิบปี


“ช่างมันเถอะ ในเมื่อเขาตกลงแล้ว แม้ว่าข้าจะต้องสละชีวิตแก่ๆของข้า ข้าก็ยังจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงให้กับเขา! ” ผู้อาวุโสเฉินกัดฟันตัดสินใจ


และแล้ว เวลามอบรางวัลก็มาถึง บรรดาผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ได้อยู่ในลำดับที่ที่ดีต่างก็หัวตกไปตามๆกัน และบรรดาผู้จารึกที่ได้รับการจัดอันดับที่ดีก็มีความสุขยิ่งกว่าบ่าวสาวเสียอีก ขณะที่พวกเขาเดินสาวเท้าขึ้นไปบนแท่นเพื่อรับรางวัล


คนที่เดินอยู่ข้างหน้าคือลู่หยาง -ม้ามืดที่มาแรงที่สุด เขาเหมือนกับมีดร้อนๆที่ปาดลงบนเเนยแข็ง เอาชนะคู่ต่อสู้มานับไม่ถ้วน และในที่สุดก็ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้ชนะเลิศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ป้ายทองคำขาวของเขาจะไม่ใช่หมายเลขเจ็ดอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นหมายเลขหนึ่ง


ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกคนในเมืองตงไหลจะจดจำชื่อลู่หยาง ได้ไม่ใช่เพราะสำนักหนึ่งสวรรค์ของเขา แต่เป็นเพราะชื่อของเขาในฐานะผู้ชนะเลิศ


มุมปากของลู่หยางยกขึ้นเล็กน้อยและเขาพูดเบา ๆ : “แม้ว่าข้าจะไม่ได้เข้าร่วมในการแข่งขันหลายครั้งนัก แต่ครั้งไหนเหรอที่ข้าไม่ได้เป็นผู้ชนะเลิศ? ข้าไม่เคยเป็นที่สองรองใคร “


เมื่อเทียบกับครั้งนี้ การแข่งขันครั้งที่แล้วในเมืองเซียงหยาง ในแง่ของความอันตรายนั้น อันตรายมากกว่าครั้งนี้หลายพันเท่านัก อีกทั้งยังมีคู่ต่อสู้มากกว่าหนึ่งคน


ทันทีที่เขามีชื่อเสียง ความรุ่งโรจน์ของเขาก็ไร้ขีดจำกัด และชื่อของลู่หยางก็เป็นที่จดจำของทุกคนในเมืองตงไหลทันที และกลายเป็นจุดสนใจของทุกๆคน


สำหรับรางวัลภายในสำหรับตำหนักหมื่นสมบัตินั้นจะจัดขึ้นในวันถัดไป ลู่หยางไม่รีบร้อน


สิ่งเดียวที่ลู่หยางพบว่าน่าเสียดายคือวิชาคุมอสูรทั้งหมดที่สร้างขึ้นในระหว่างการแข่งขันนั้นถูกยึดครองโดยตำหนักหมื่นสมบัติทั้งหมด ต้องรู้ว่าลู่หยางเสี่ยงชีวิตเพื่อสร้างหนังสือเหล่านี้ทั้งหมดขึ้นมา ถ้ามันถูกแทนที่ด้วยผลึก ใครจะรู้ว่าจะมากแค่ไหน เขาสามารถซื้อของดีๆมากมายจาก ตำหนักหมื่นสมบัติได้


แต่เนื่องจากตำหนักหมื่นสมบัติเป็นเจ้าภาพของการประชุมครั้งนี้ พวกเขาจึงได้นำสิ่งดีๆมากมายมาเป็นรางวัล ดังนั้นวิชาคุมอสูรเหล่านี้จึงถือได้ว่าเป็นรางวัลเล็กน้อยของพวกเขา


ลู่หยางไม่มีใจที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป หลังจากทักทายคนรู้จักทีละคนๆแล้ว เขากำลังจะจากไปโดยทิ้งผู้อาวุโสเฉินผู้รับผิดชอบในการให้ความบันเทิงกับผู้ที่มาช่วยกันเขาออกไป


“ผู้อาวุโสเฉิน ข้าจะฝากเรื่องทางนี้ไว้กับท่านนะ ข้าจะกลับแล้วล่ะนะ “


ในมือของเขามีรางวัลของผู้ชนะเลิศที่ได้รับจากงานชุมนุม ว่ากันว่าเป็นวัสดุหายากบางชนิดที่สามารถใช้ในการทำเลียนแบบสิ่งประดิษฐ์วิญญาณได้ อย่างไรก็ตาม ลู่หยางไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ และเขาไม่รู้วิธีปรับแต่งมัน


เขาพึมพำ: “ตำหนักหมื่นสมบัติไม่ตระหนี่เกินไปหรือนี่? ครั้งที่แล้วที่ข้าได้รางวัลผู้ชนะเลิศในเมืองเซียงหยาง พวกเขามอบผลึกให้ข้าสองถึงสามแสนอัน และยังมอบสิ่งประดิษฐ์วิญญาณระดับกลางให้ข้าอีกด้วย” แต่ครั้งนี้ พวกเขาแค่ให้สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์กับเขา “เฮ้อออ…” “ ยิ่งรวยก็ยิ่งตระหนี่เนอะ”


ลู่หยางยังคงบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ใครจะรู้ว่ามีคนจำนวนมากที่อิจฉาวัตถุที่ดูมืดๆซึ่งไม่สามารถสันนิษฐานได้ที่อยู่ในมือของเขา หรือสิ่งของที่ตำหนักหมื่นสมบัติของเขานำออกมาจะเลวร้ายได้อย่างไร?


ทุกๆคนมองไปที่ลู่หยางด้วยความอิจฉา ในเวลาเดียวกัน ที่มุมด้านหน้าสุด ชายหนุ่มแต่งตัวดีคนหนึ่งมองไปที่ลู่หยางด้วยสายตาที่น่ากลัว


เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “ข้าไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคนที่ข้ารู้จักที่นี่ เส้นทางระหว่างศัตรูนั้นช่างแคบจริงๆ!”


แน่นอนว่าลู่หยางไม่รู้ว่ามีใครบางคนแอบให้ความสนใจเขาอยู่ ช่วงนี้ เขากำลังยุ่งๆกับอีกเรื่องหนึ่ง


ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาขอความช่วยเหลือจากราชสีห์ขนทองหกเนตร ราชสีห์ขนทองหกเนตรได้บอกกับลู่หยางว่ามันยากมากที่เขาจะเอาชนะยอดฝีมือระดับเหลืองในขอบเขตของผู้คุมอสูรระดับสูง อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่มีความแน่นอน ยังมีเศษเสี้ยวแห่งความหวังอยู่


แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรได้ให้ความคิดกับลู่หยางจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตระหนักถึง


ลู่หยางไปที่ห้องของเขา แล้วเรียกราชสีห์ขนทองหกเนตรออกมาจากพื้นที่สัตว์เลี้ยงสงคราม จากนั้นก็พูดกับราชสีห์ขนทองหกเนตรว่า: “ทองเฒ่า คำพูดของท่านก่อนหน้านี้คลุมเครือมากจนข้าไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร “ในเมื่อตอนนี้ท่านมีเวลา รีบอธิบายวิธีให้ข้าฟังหน่อยสิ!”


ราชสีห์ขนทองหกเนตรหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากด้านหลังเงียบ ๆ และมันค่อยๆวางลงตรงหน้าลู่หยางและพูดกับลู่หยางอย่างลึกลับ: “ไอ้หนู เจ้ายังจำสิ่งนี้ได้ไหม”


มีหนังสัตว์ดึกดำบรรพ์สีเหลืองหม่นๆชิ้นหนึ่งซึ่งมีอะไรๆหลายอย่างวาดอยู่บนหนังสัตว์นั้นเต็มไปหมด มีทั้งคำพูดและแผนที่ซึ่งให้กลิ่นอายโบราณ


ตราบใดที่ลู่หยางรู้สึกถึงความรู้สึกพิเศษนี้สักครั้งหนึ่ง เขาจะไม่มีวันลืมแน่นอน“ นี่ไม่ใช่ม้วนหนังแกะที่ข้าได้รับครั้งที่แล้วเหรอ?”


ม้วนหนังแกะนี้ได้มาจากผู้พิทักษ์ที่อยู่ข้างกายของหยวนตงห่าว ในเวลานั้น ราชสีห์ขนทองหกเนตรกล่าวว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆ และผู้พิทักษ์คนนั้นก็ถูกคุมขังอยู่ในสำนักหนึ่งสวรรค์


หลังจากที่ตระกูลหยวนถูกลู่หยางทำให้สูญสิ้นไปแล้ว หัวหน้าผู้พิทักษ์คนนั้นก็ไม่มีความคิดที่จะกลับไปอีก เขาตัดสินใจที่จะอยู่ในสำนักหนึ่งสวรรค์เพื่อช่วย ลู่หยาง


สำหรับเรื่องของม้วนหนังแกะ ราชสีห์ขนทองหกเนตรได้คุยกับหัวหน้าผู้พิทักษ์แล้ว ตอนนี้ เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่ามีซากปรักหักพังโบราณซ่อนอยู่ข้างหลังม้วนหนังแกะนี้จริงๆ และมันเข้ากันกับสถานการณ์ที่ราชสีห์ขนทองหกเนตรรู้มา


อย่างไรก็ตาม ข้อบกพร่องเพียงประการเดียวคือราชสีห์ขนทองหกเนตรไม่สามารถระบุได้ว่าม้วนหนังแกะนี้บ่งชี้ไปที่ใด


แม้แต่สัตว์ประหลาดเก่าแก่อย่างราชสีห์ขนทองหกเนตรที่อาศัยอยู่มานานกว่าพันปีก็ยังไม่สามารถเข้าใจตัวอักษรและแผนที่โบราณบนม้วนหนังแกะได้ นับประสาอะไรกับเด็กอย่างลู่หยาง


“ เฮ้อ ข้าได้ยินมานานแล้วเกี่ยวกับตำนานที่อยู่รอบอนุสาวรีย์โบราณแห่งนี้ ตำนานเล่าว่ามันเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสสูงสุดในสมัยโบราณคนหนึ่ง ” ราชสีห์ขนทองหกเนตรกล่าว


“ นั่นเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ท่านรู้เรื่องมากขนาดนี้ได้ยังไง ” ลู่หยางถามอย่างรวดเร็ว


ราชสีห์ขนทองหกเนตรถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า: “แม้ว่ามันจะสืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่รู้เกี่ยวกับซากปรักหักพังโบราณนี้ จริงๆ แล้ว… ซากปรักหักพังโบราณนี้เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษของข้า นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเข้าใจมันเป็นอย่างดี “


“ และข้าก็รู้ด้วยว่ามีบางอย่างในซากปรักหักพังโบราณนี้ที่สามารถช่วยท่านท้าทายคนที่แข็งแกร่งกว่าท่านได้ แต่ทว่า เรายังไม่เข้าใจว่าแผนที่นี้อ้างถึงอะไร “


เมื่อเห็นใบหน้าที่หดหู่ของราชสีห์ขนทองหกเนตร ลู่หยางก็ตาลุกวาวขึ้น จู่จู่ เขาก็นึกถึงความคิดที่ดีมากขึ้นมา: “ถ้าอย่างนั้น ถ้าท่านมอบให้ข้า ข้าอาจมีวิธีก็ได้!”


เมื่อพูดแล้ว เขาก็คว้าม้วนหนังแกะโบราณมาจากมือของราชสีห์ขนทองหกเนตร


ลู่หยางถือม้วนโบราณไว้ในมือ หลังจากนั้นเขาก็หลับตาและทำสมาธิ เขากำลังสื่อสารกับระบบควบคุมอสูร


“ระบบฝึกอสูร ท่านช่วยไขความลับของม้วนหนังแกะนี้ให้ข้าหน่อยได้ไหม” ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะถาม


“ได้สิ!” ระบบตอบกลับมา “อย่างไรก็ตาม หากท่านต้องการไขความลับของม้วนหนังแกะโบราณนี้ โปรดสแกนม้วนหนังแกะโบราณนี้ก่อน!”


ทันใดนั้น ลู่หยางก็ลืมตาขึ้น และอดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นความประหลาดใจที่น่ายินดี


เขาแค่อยากจะลองดู แต่เขาไม่คิดว่าระบบควบคุมอสูรจะสามารถไขความลับของม้วนหนังแกะนี้ได้จริงๆ!


SB:ตอนที่ 159 เมืองร้างแผดเผา


 


ด้วยระบบควบคุมอสูร ลู่หยางสามารถสแกนเส้นทางแผนที่และภาษาโบราณบนม้วนหนังแกะได้สำเร็จ หลังจากระบบวิเคราะห์เสร็จแล้ว มันก็ได้สร้างแผนที่ใหม่ที่เขาสามารถเข้าใจได้ จากนั้นลู่หยางก็จะร่างมันออกมา


ราชสีห์ขนทองหกเนตรมองดูแผนที่ใหม่ที่ลู่หยางวาดออกมา มันไม่คิดเลยว่าลู่หยางจะไขความลับของม้วนหนังแกะโบราณนี้ออกมาได้โดยที่มันเองยังไม่สามารถเข้าใจได้


“ตามคำแนะนำบนแผนที่ จุดหมายปลายทางควรเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ร้อนและรกร้างอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองตงไหล!” อย่างไรก็ตาม ราชสีห์ขนทองหกเนตรไม่ได้ถามอะไรอีก แต่ศึกษาแผนที่อย่างจริงจังแล้วพยักหน้า


ลู่หยางไม่คาดคิดว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรจะรู้จักสถานที่แห่งนี้ เขาพูดทั้งประหลาดใจปนดีใจ: “ในเมื่อท่านรู้จักสถานที่นี้แล้ว ถ้างั้นเราก็รีบออกเดินทางกันทันทีเถอะ”


ราชสีห์ขนทองหกเนตรพยักหน้าเห็นด้วย ทันทีหลังจากนั้น ลู่หยางเก็บข้าวของของเขา และทิ้งจดหมายไว้ให้ผู้อาวุโสเฉิน แล้วเริ่มการเดินทางของเขา


สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองเล็ก ๆจริงๆ และไม่มีแม้แต่โรงเตี๊ยมที่เหมาะสม ลู่หยางไปตามถนน และเดินไปที่นอกเมืองก่อนจะสังเกตเห็นบ้านที่สว่างไสวหลังหนึ่ง


ลู่หยางรู้สึกว่าการค้นหาแบบมืดบอดนี้ไม่ใช่หนทางที่ควรจะดำเนินต่อไป มันเป็นเวลาดึกแล้ว เขาจึงเคาะประตูเพื่อดูว่าเขาจะสามารถขอยืมห้องสำหรับคืนนี้ได้หรือไม่


ประตูเปิดออก เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งมาเปิดประตูให้เขา แม่หนูเรียก “นายท่าน” แต่เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ชายที่ไม่คุ้นเคย เธอจึงรีบกลืนคำว่า “นายท่าน” แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านเป็นใคร? ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่กลางดึกเช่นนี้? “


เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ลู่หยางก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่ใจดีและพูดว่า: “ข้ามาทำงาน แล้วข้าก็ไม่คุ้นเคยกับที่นี่เลย ตอนนี้ดึกเกินไปแล้ว ข้าเลยหาที่พักไม่ได้”


เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มองไปที่ลู่หยางด้วยดวงตาที่สดใส แล้วพูดว่า: “ท่านจะไม่ไปที่สุสานโบราณแผดเผาใช่ไหม?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของลู่หยางก็รู้สึกสั่นสะเทือน เขาถามด้วยความตกใจ: “เจ้ารู้ได้ยังไง?” สถานที่นี้เป็นที่ซึ่งแผนที่ระบุไว้แน่นอน เขาประสบปัญหามากมายในการค้นหาข้อมูลนี้จากม้วนหนังแกะ แต่เขาไม่คาดคิดว่าแม้แต่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จะรู้เรื่องนี้ด้วย สิ่งนี้ทำให้เขาอยากรู้มาก


เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กล่าวว่า“ ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ มีผู้คนมากมายมาหาคำตอบว่าจะไปยังสุสานโบราณแผดเผาได้ยังไง คนชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งรู้ว่าปู่ของข้ารู้ทางไปสุสานโบราณ พวกเขาจึงบังคับให้ปู่ของข้าเป็นผู้นำทาง”


ขณะที่เด็กหญิงพูด น้ำตาของเธอก็เริ่มไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นห่วงปู่ของเธอมาก


ลู่หยางถอนหายใจ เขานั่งยองๆและพูดว่า: “น้องสาว อย่าร้องไห้ไปเลย บอกข้าว่าปู่ของเจ้ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ถ้าข้าพบเขา ข้าจะช่วยเขากลับมา! “


เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มองไปที่ลู่หยางด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น และถามขณะสะอื้นว่า “พี่ชาย ท่านเต็มใจช่วยข้าจริงๆหรือ”


ลู่หยางพยักหน้าอย่างแรงและพูดว่า: “แน่นอนสิ!”


เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เดินถอยหลังไปสองสามก้าวและมองไปที่ลู่หยางอย่างจริงจัง หลังจากดูแล้วว่าลู่หยางดูไม่เหมือนคนเลว เธอก็กล่าวว่า: “ขอบคุณพี่ชาย พี่ชาย ปู่ของข้าผอมมาก ผมของเขาขาวโพลนและเขามีเครายาวๆ


ลู่หยางจำรูปลักษณ์ของปู่ของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ไว้อย่างเงียบ ๆ เขามองไปที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่โดดเดี่ยวและน่าสงสารตรงหน้าแล้วถอนหายใจ หลังจากนั้นเขาก็ลูบไล้ที่แก้มของเด็กหญิงและพูดเบา ๆ ว่า: “ข้าจะจำไว้ไม่ต้องห่วง พี่ชายใหญ่จะทำให้เจ้าและปู่ของเจ้าได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง เชื่อข้า!”


“ อืมมม พี่ชายใหญ่ ข้าเชื่อในตัวท่าน!” แต่ เราควรทำยังไง? ปู่ของข้าถูกคนเลวพวกนั้นพรากไปนานแล้ว “


ลู่หยางกล่าวว่า: “ถ้าพวกเขาต้องการให้ปู่ของเจ้าเป็นผู้นำทาง พวกเขาอาจจะไม่ทำอะไรกับปู่ของเจ้าหรอก หากเจ้าไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของสุสานโบราณแผดเผา ถ้าข้าไปที่นั่นก่อน แล้วทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของสุสานโบราณ บางทีข้าอาจจะรอซุ่มโจมตีอยู่ข้างในนั้นแล้วช่วยปู่ของเจ้า แต่ข้าจะทำอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อเจ้าพาข้าไปที่สุสานโบราณนั่น”


ลู่หยางมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และพูดอย่างเคร่งขรึม


เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ไปสุสานโบราณนั่น เขาไม่รู้ว่าพวกมันแข็งแกร่งแค่ไหน แล้วถ้าเขาไม่รู้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหน การไปที่นั่นจะเป็นอันตรายมาก


เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ได้ยินคำพูดของลู่หยางแล้วจึงพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็พูดว่า: “พี่ชายใหญ่ ข้าสามารถพาท่านไปที่สุสานโบราณได้ ปู่พาข้าไปที่นั่นครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ข้ายังจำได้ว่าจะไปยังไง แต่ท่านต้องสัญญากับเสี่ยวหลิงนี้ว่าท่านต้องไม่บอกที่ตั้งของสุสานโบราณนี้กับใครแน่นอน ไม่เช่นนั้น ท่านปู่จะตำหนิหลิงน้อยคนนี้แน่นอน”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่หยางก็ยิ้มและพยักหน้า เขาแค่ไปที่สุสานโบราณเพื่อค้นหาสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ต้องพูดถึงว่ามันอาจจะเป็นขุมสมบัติ เขาจะประกาศได้ยังไง?


เมื่อเห็นลู่หยางพยักหน้า เสี่ยวหลิงก็สบายใจ จากนั้นเธอก็ดึงมือของลู่หยางไว้ และพูดว่า: “พี่ใหญ่ เราจะไปกันเมื่อไหร่ดีล่ะ?


ลู่หยางส่ายหัวและพูดว่า: “ตอนนี้มืดมากแล้วจึงไม่สะดวกที่จะทำอะไร ข้าเชื่อว่าพวกเขาก็คงไม่ไปที่สุสานโบราณในตอนกลางคืนเช่นกัน


เสี่ยวหลิงพยักหน้าและหาห้องให้ลู่หยางพัก


เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองออกจากบ้าน และภายใต้การนำทางของหลิงตัวน้อย พวกเขาก็ปรี่ไปที่สุสานโบราณกัน


ลู่หยางตามเสี่ยวหลิงไปรอบ ๆที่รกร้างเป็นเวลานาน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงตรอกที่ห่างไกล และแล้วทั้งสองคนก็มาถึงบ้านที่ซอมซ่อหลังหนึ่ง


เมื่อมองไปที่บ้านเก่าๆผุๆพังๆแล้วลู่หยางก็สงสัย เป็นไปได้มั้ยว่าสุสานโบราณจะอยู่ข้างใต้บ้านนี่?


“ พี่ใหญ่ มากับข้า หากท่านต้องการไปที่สุสานโบราณ ท่านต้องมีอะไรบางอย่าง เข้ามาสิ”


เมื่อลู่หยางกำลังสำรวจบ้านที่ทรุดโทรมหลังนี้อย่างระมัดระวัง หลิงน้อยก็ค่อยๆดันประตูไม้ที่ชำรุดทรุดโทรมออกแล้วเดินเข้าไป จากนั้นเธอก็หันกลับมา และตะโกนใส่ลู่หยางด้วยรอยยิ้ม


หลังจากที่ลู่หยางได้ยินเสียงตะโกนของเสี่ยวหลิง เขาก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ที่ประตูและเดินเข้าไปตรงๆ สายตาของเขากวาดไปทั่วบ้านหลังเก่าที่ทรุดโทรมราวกับว่าเขากำลังมองหาอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป


เจ้ามาที่นี่ก่อนที่เจ้าจะไปที่สุสานโบราณเหรอ? เป็นไปได้มั้ยที่มีความลับซ่อนอยู่ที่นี่? ลู่หยาง ครุ่นคิดอย่างสงสัย


ลู่หยางเต็มไปด้วยความสงสัย เขายืนอยู่ในบ้านและเฝ้าดูเสี่ยวหลิงสำรวจบ้านราวกับว่าเธอกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ เขาไม่รู้ว่าเสี่ยวหลิงกำลังมองหาอะไร แต่เขาก็ทำได้แค่รออยู่ข้างๆอย่างเงียบ ๆ


แม้ว่าเขาจะต้องการไปที่สุสานโบราณก่อนพื่อสัมผัสกับพื้นที่โดยรอบและเตรียมตัวสำหรับคืนวันพรุ่งนี้ แต่เขาก็ต้องรอให้เสี่ยวหลิงพาเขาไปที่สุสาน ไม่เช่นนั้นทั้งหมดก็จะไร้ประโยชน์ ตอนนี้เสี่ยวหลิงกำลังยุ่งอยู่กับการเดินสำรวจไปทั่วบ้านราวกับว่าเธอไม่แน่ใจว่าจะหาสิ่งที่ต้องการได้จากที่ไหน มิฉะนั้น เธอก็คงจะไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก


“ เสี่ยวหลิง เจ้ากำลังมองหาอะไร? เจ้าอยากให้ข้าช่วยค้นหาไหม? “


ลู่หยางเห็นว่าเมื่อเสี่ยวหลิงพลิกดูหนังสือ เธอก็ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถาม


ตราบใดที่เสี่ยวหลิงบอกเขาว่าสิ่งที่เธอกำลังมองหานั้นเป็นอย่างไร ลู่หยางก็สามารถสัมผัสทุกอย่างในบ้านได้อย่างง่ายดายเพียงแค่โบกปัดมือของเขา


ด้วยสีหน้าท้อแท้ เธอหันไปมองลู่หยาง เธอหน้ามุ่ยขณะที่บ่นว่า“ แปลกจัง ปู่เอาแผ่นไม้ไปไว้ที่ไหนนะ สิ่งที่พี่ใหญ่ต้องการคือแผ่นไม้ขนาดประมาณฝ่ามือพี่ใหญ่นี่ ช่วยข้าหาหน่อยได้ไหม?”


“ ถ้าเราหาไม่พบแสดงว่าเราอาจตกอยู่ในอันตรายหลังจากเข้าไปในสุสานโบราณ ตามที่ปู่บอก ก่อนที่จะเข้าไปในสุสานโบราณ เราต้องนำแผ่นไม้นั้นติดตัวไปด้วย “


หลิงน้อยนึกย้อนไปถึงสิ่งที่ปู่ของนางบอก และบอกต่อเรื่องนี้กับลู่หยาง


“ มีของอย่างนั้นด้วยเหรอ? ดี ให้ข้าค้นหามันเอง แผ่นไม้ใช่ไหม? น่าจะหาได้ง่ายๆนะ “


ลู่หยางหลับตาลงเล็กน้อยและปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา ปกคลุมทั้งห้องนั้นไว้ด้วยการรับรู้ของพลังวิญญาณของเขา


เมื่อพลังวิญญาณของลู่หยางปกคลุมห้องอยู่ ทุกอย่างภายในบ้านก็จะสะท้อนอยู่ในจิตใจของลู่หยาง ไม่ว่าจะอยู่ซอกมุมไหน ก็ไม่พ้นการรับรู้ของลู่หยางไปได้


ลู่หยางตรวจพบตำแหน่งของแผ่นไม้ใต้กระเบื้องปูพื้นแผ่นหนึ่งที่มุมบ้านอย่างรวดเร็ว


“ใช่แล้ว มันอยู่ตรงนั้น ใต้พื้นตรงหัวมุมตรงนั้น” ลู่หยางลืมตาขึ้นในทันใดพร้อมกับบอก


เสี่ยวหลิงวิ่งไปยังทิศทางที่ลู่หยางชี้ทันที ที่มุมห้อง มีเศษพื้นหลุดออกมาเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ใต้พื้นนั่น


หลิงน้อยยื่นมือเล็ก ๆ ออกอย่างตื่นเต้นเพื่อหยิบกระดานหินที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่มุมกำแพง จากนั้นเธอก็วางมันไว้ แล้วสายตาของเธอก็ถูกดึงดูดด้วยกระดานไม้สีเทาขนาดเล็กที่อยู่ใต้กระดานหิน


“ ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่มีพลังมากจังเลย! มันอยู่ที่นี่จริงๆ! ข้าเจอมันแล้ว เป็นแผ่นไม้อันนี้แหละ! เมื่อเอามันติดตัวไปด้วย เราจะปลอดภัยเมื่อไปถึงสุสานโบราณ! ” หลิงน้อยหยิบแผ่นไม้สีเทาไว้ในมือของเธอ และตะโกนใส่ลู่หยางด้วยใบหน้าที่มีความสุข


ลู่หยางเห็นว่าเสี่ยวหลิงผู้ซึ่งไม่มีความสุขมาตลอดที่ปู่ของเธอถูกพรากไปตอนนี้กำลังยิ้มอย่างมีความสุข เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มและโบกมือให้เธอ“ เอาล่ะ เสี่ยวหลิงเราพบสิ่งนั้นแล้ว รีบออกเดินทางกันเถอะ”


“อื้มมมมมมม พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ” หลิงน้อยถิอแผ่นไม้ไว้อย่างตื่นเต้น และวิ่งไปหาลู่หยาง ภายใต้การนำทางของเธอ ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังสุสานโบราณแผดเผา


สุสานโบราณรกร้างแผดเผาไม่ได้อยู่ในเมืองร้างแผดเผา แต่อยู่ด้านนอกของมันในทะเลทราย ดังนั้น หากสถานที่ตั้งของสุสานไม่ได้รับการบอกกล่าวจากบุคคลที่คุ้นเคย ก็คงยากที่จะหามันเจอในมหาสมุทรสีทองไร้ที่สิ้นสุดนี้


โชคดีที่ด้วยการนำทางของหลิงน้อย ทั้งสองคนออกจากเมืองรกร้างแผดเผาได้อย่างรวดเร็ว หลังจากเดินอยู่ในทะเลทรายไม่กี่ชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่สถานที่ที่มีต้นกระบองเพชรเจ็ดต้น จากรูปลักษณ์ของมัน สุสานน่าจะอยู่แถวๆนี้ และกระบองเพชรใหญ่ทั้งเจ็ดนี้ควรจะเป็นสัญลักษณ์ มิฉะนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะพบสุสานในทะเลทรายสีเหลือง ดินแดนโบราณแบบนี้จะต้องมีอะไรพิเศษอย่างแน่นอน


สถานที่แห่งนี้มีความพิเศษจริง ๆ อย่างน้อยกระบองเพชรทั้งเจ็ดต้นนี้ก็ใช่ว่าจะพบกันได้ทุกที่ บางที ต้นกระบองเพชรทั้งเจ็ดนี้อาจถูกปลูกไว้เพื่อให้จดจำได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักสุสาน คนธรรมดาทั่วไปจะไม่สนใจเลยเมื่อเห็นต้นกระบองเพชรเหล่านี้


SB:ตอนที่ 160 เข้าสู่สุสานโบราณ


 


หลังจากที่เสี่ยวหลิงพาลู่หยางมาที่นี่แล้ว เธอก็เดินไปที่หน้ากระบองเพชรต้นหนึ่ง นั่งยองๆและยื่นมือไปขุดที่ด้านล่างของต้นกระบองเพชรนั้นราวกับว่าเธอกำลังมองหาสลักเพื่อเข้าไปในสุสาน


ลู่หยางไม่เข้าใจเกี่ยวกับสุสานโบราณ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างหลังเสี่ยวหลิงและเฝ้าดู


ด้วยมือเล็กๆของเธอ หลิงน้อยขุดลึกลงไปครึ่งเมตรที่ก้นกระบองเพชรนั้น หลังจากนั้นสลักที่ทำจากหินขี้เถ้าสีขาวก็ปรากฏขึ้น


“หลิงน้อย สวิตซ์นี่เป็นทางไปสู่สุสานโบราณเหรอ?” ลู่หยางก็สังเกตเห็นสลักเหมือนกัน และอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น


“ฮิฮิ เดี๋ยวก็รู้ พี่ใหญ่” เสี่ยวหลิงไม่ได้ตอบลู่หยางโดยตรง แต่ยิ้มร้ายกาจและพูด


รอยยิ้มซุกซนของเสี่ยวหลิงทำให้ลู่หยางพูดไม่ออก เป็นไปได้ไหมที่การเปิดหลุมฝังศพโบราณจะทำให้โลกพลิกคว่ำลง?


โดยไม่ต้องคิดมากเกินไป ลู่หยางเพียงเฝ้าดูขณะที่เสี่ยวหลิงกดลงบนปุ่มหินอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาพที่น่าตกใจขึ้น


“บูม! บูม! “บูม!” ทันทีที่หลิงหลิงกดปุ่มหิน ก็มีเสียงดังมาจากใต้พื้นดิน


“ พัฟพัฟพัฟ…” เดิมทีมีเพียงเสียงดัง แต่ไม่นานหลังจากนั้น สถานที่ที่ลู่หยางยืนอยู่ก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และพื้นดินหรือพื้นทรายก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง


หลังจากนั้น ทรายสีทองก็เริ่มยุบตัวลง ราวกับว่ามีปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้กลืนทรายทั้งหมดลงไป ลู่หยางปกป้องเสี่ยวหลิงไว้ในอ้อมแขนของเขาเพื่อไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บ แล้วเรียกสัตว์เลี้ยงสงครามที่บินได้อย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นขี่ร่างของสัตว์เลี้ยงสงครามแล้ว เขาสั่งให้มันบินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า


เมื่อมองไปที่ทรายที่จมลงอย่างต่อเนื่องลู่หยางรีบถามว่า: “เสี่ยวหลิง อย่าบอกนะว่าเราต้องกระโดดลงไปในสุสานโบราณ ทางเข้าสุสานโบราณอยู่ใต้ดินงั้นหรือ?”


เมื่อเห็นสีหน้าประหม่าของลู่หยาง เสี่ยวหลิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและพูดต่อ: “ใช่แล้ว ตราบใดที่เราติดตามกองทรายนั้นไป เราจะสามารถเข้าไปในสุสานโบราณได้ พี่ใหญ่ ท่านบินขึ้นบนฟ้าได้ยังไง ช่างน่าอายจัง ทีแรก ข้าอยากจะแกล้งให้ท่านกลัว ใครจะไปรู้ว่าท่านสามารถเรียกสัตว์เลี้ยงของท่านให้บินได้”


เดิมที เธอเคยคิดว่าอีกฝ่ายจะตกลงไปในสุสานโบราณพร้อมกับเธอ แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะบินได้จริง


เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หยางไม่รู้ว่าจะหัวเราะดีหรือร้องไห้ดี ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าเสี่ยวหลิงกำลังล้อเล่นกับเขา และไม่มีอะไรผิดปกติกับกองทรายด้านล่าง ลู่หยางจึงเก็บสัตว์เลี้ยงสงครามไว้ และรีบนำเสี่ยวหลิงลง


“ฮ่าฮ่า สนุกจัง!” ไม่เพียงแต่เธอไม่กลัว แต่เธอรู้สึกว่ามันสนุกมาก ดูเหมือนว่าเธอจะเคยสัมผัสมันมาก่อนแล้วสองถึงสามครั้ง มิฉะนั้นเธอจะไม่รู้สึกตื่นเต้น


แต่ลู่หยางแตกต่างออกไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะหลิงน้อยหัวเราะอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของเขา เขาคงกังวลว่าจะมีกับดักรอเขาอยู่ที่ข้างล่างนั่น อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าเสี่ยวหลิงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด เขาจึงสงบลงและมองไปที่เสี่ยวหลิงที่ซุกซนด้วยใบหน้าที่พูดไม่ออก


“วู้วว” พวกเขาทั้งสองตกลงไปในสุสานโบราณอย่างรวดเร็ว เท้าของลู่หยางจมลงไปในทรายก่อนหน้านี้


สิ่งที่ดีคือทรายมีความหนา ดังนั้นแรงผลักดันที่ตกลงมาของทั้งสองจึงช้าลง และพวกเขายังคงจมลงไปในทรายทำให้ร่างกายของลู่หยางสั่นสะท้าน เขาใช้พละกำลังรุนแรงคว้าตัวเสี่ยวหลิง และดิ้นออกมาจากกองทราย


“ฮ่าฮ่า สนุกจัง!” หลิงน้อยชอบที่สุด!”


หลิงน้อยก็เป็นเช่นนี้ ด้วยใบหน้าที่ดูซุกซนเช่นนี้ ลู่หยางถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขากลัวว่าจะต้องเจอกับอันตรายที่นี่ แต่จริงๆแล้วก็สนุกดี


หลังจากมองไปที่เสี่ยวหลิงโดยไม่ได้พูดอะไรสักพัก ลู่หยางก็หันไปมองรอบ ๆ ตัวเขา


ในเวลานี้ สภาพแวดล้อมของลู่หยางเป็นสีดำสนิท นอกเหนือจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากบริเวณที่เขาตกลงมาแล้ว สภาพแวดล้อมที่เหลือของเขาก็ไม่มีแสงแดดเลย


“บูม! บูม! “บูม!” ขณะที่ลู่หยางกำลังมองไปรอบ ๆ สุสานโบราณก็ระเบิดอีกครั้ง จากนั้นประตูของสุสานโบราณซึ่งอยู่เหนือสุสานขึ้นไปไม่กี่สิบเมตรก็ปิดลงพร้อมกับเสียงดังโครมคราม สภาพแวดล้อมโดยรอบพลันมืดสนิท และไม่มีใครเห็นนิ้วมือทั้งห้าของเขา


ลู่หยางทำอะไรไม่ถูก เขาทำได้เพียงแค่หยิบเครื่องมือให้แสงออกมาเพื่อปัดเป่าความมืดมิดที่อยู่รอบตัวเขา เสี่ยวหลิงที่อยู่ด้านข้างเห็นแสงที่เปล่งออกมาจากเครื่องมือในมือของลู่หยางและพูดอย่างตื่นเต้น: “ฮ่าฮ่า ปู่ของข้าก็มีของแบบนี้เช่นกัน เมื่อก่อน ปู่ยังใช้สิ่งนี้เพื่อให้แสงสว่างรอบตัว พี่ใหญ่ก็มีเช่นกัน”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หยางก็ยิ้มและพยักหน้า: “เอาล่ะ เสี่ยวหลิง ข้าจะไปตามทางข้างหน้า นำทางไป ข้าต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในสุสานโบราณโดยเร็วที่สุด”


“อื้มมมมมมมม พี่ใหญ่ ตามข้ามา”


หลิงน้อยเห็นด้วยแล้วเดินนำไปข้างหน้า


เมื่อสภาพแวดล้อมโดยรอบสว่างขึ้น เราสามารถเห็นได้ว่าเบื้องหน้าของลู่หยางและเสี่ยวหลิงมีกำแพงสูงหลายสิบเมตรที่ทำจากหินสีดำเข้ม ด้านล่างมีประตูเจ็ดสีที่แตกต่างกัน จากซ้ายไปขวาของแต่ละบานคือสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีคราม และสีม่วง


มีประตูเจ็ดสีที่แตกต่างกัน และด้านหลังประตูแต่ละบานดูเหมือนจะมีทางเดินที่แตกต่างกัน จุดหมายปลายทางก็แตกต่างกันเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ลู่หยางค้นพบจากหลิงน้อยหลังจากที่เขาเดินตามเธอเข้าไปในประตูสีส้ม


ในบรรดาประตูเจ็ดบานที่แตกต่างกันนี้ มีเพียงประตูเดียวเท่านั้นที่นำไปสู่ห้องโถงหลักของสุสานโบราณ และมีเพียงห้องโถงหลักเท่านั้นที่มีสิ่งที่มีค่าที่สุดจากสุสานโบราณและตามคำพูดที่ส่งผ่านมาภายในเผ่าพันธ์สุสานโบราณนั้น มีพลังวิญญาณสุสานโบราณอยู่ที่นั่น และใครก็ตามที่ได้รับการอนุมัติจากวิญญาณสุสานโบราณก็จะได้รับมรดกของวิญญาณสุสานโบราณ


ผู้ที่อยู่ในเผ่าพันธ์สุสานโบราณที่ได้รับสืบทอดวิญญาณสุสานโบราณจะได้รับพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน


อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ไม่มีใครได้รับมรดกเนื่องจากการอนุมัติของวิญญาณสุสานโบราณ และมาถึงวันนี้ เผ่าพันธ์สุสานโบราณอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เพราะไม่มีใครได้รับมรดก ดังนั้น เผ่าพันธ์สุสานโบราณจึงอ่อนแอลงจนถึงจุดที่มีเพียงหลิงน้อยและปู่ของเธอเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่


จากสิ่งที่เสี่ยวหลิงพูด ปู่ของเธอบอกว่าเธอคือความหวังสุดท้ายของเผ่าพันธ์สุสานโบราณ ถ้าเสี่ยวหลิงไม่สามารถรับมรดกของวิญญาณสุสานโบราณได้เช่นกัน เผ่าพันธ์สุสานโบราณของพวกเขาก็ใกล้จะถูกทำลายลงอย่างแท้จริงแล้ว


เมื่อลู่หยางได้ยินเสี่ยวหลิงพูดเกี่ยวกับเผ่าพันธ์สุสานโบราณ และการลดลงเรื่อย ๆ ของตระกูลสุสานเก่าแก่ ลู่หยางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการพูดของเผ่าพันธ์สุสานโบราณ ซึ่งหมายความว่าสมาชิกของเผ่าจะต้องได้รับสืบทอดมรดกของวิญญาณสุสานโบราณ


เป็นไปได้ไหมว่ายอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนในทวีปนี้อาศัยมรดกในการฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุด? เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นยอดฝีมือโดยไม่สืบทอดความรู้งั้นเหรอ? เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ เพราะเสี่ยวหลิงยังเด็กอยู่ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้


ในตอนนี้ ลู่หยางได้เดาเหตุผลเบื้องหลังการลดลงที่แท้จริงของเผ่าพันธ์สุสานโบราณ เป็นเพราะพวกเขากังวลมากเกินไปเกี่ยวกับการสืบทอดของวิญญาณสุสานโบราณ ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ได้รับมรดกเท่านั้น แต่พวกเขาก็หยุดนิ่งอยู่บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ และคิดว่าการได้รับมรดกคือทุกสิ่ง และไม่มีความหมายในการฝึกฝนตน นี่คือการวิเคราะห์ของลู่หยาง เกี่ยวกับการลดลงที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์สุสานโบราณ ส่วนจะถูก หรือจะผิด ไม่มีใครรู้


หลังจากเดินตามหลังเสี่ยวหลิงแล้ว ลู่หยางก็เข้าประตูสีส้ม และเข้าไปในทางหินแคบๆ เสี่ยวหลิงอยู่ข้างหน้านำทางขณะที่ลู่หยางตามหลัง ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะต้องเจอกับอันตรายบางอย่างซึ่งเขาจะสามารถจัดการได้


กำแพงทั้งสองด้านของทางเดินหินสร้างจากหินสีส้มชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถตั้งชื่อได้ พูดสั้นๆคือ มันสวยงามมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้แสงส่องสว่างของลู่หยาง กำแพงหินทั้งสองด้านของทางเดินหินดูแวววาวเป็นพิเศษ


นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยงามแล้วกำแพงหินยังทำจากหินที่แข็งมาก ลู่หยางถืออุปกรณ์ส่องสว่างไว้ในมือข้างหนึ่ง และวางมืออีกข้างไปบนกำแพงหินด้านข้างเพื่อสัมผัสถึงคุณภาพของกำแพงหินสีส้ม จากนั้นเขาก็ใช้กำลังเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วกำแพงหินไม่สั่นเลย


ลู่หยางกระแทกกำแพงหินที่ด้านข้าง ทำให้พลังทั้งหมดจมลงไปในมหาสมุทรเหมือนกับโยนก้อนหิน สิ่งนี้ทำให้ลู่หยางรู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อย กำแพงนี้แข็งเกินไป ท่านต้องรู้ว่าพลังของเขาในตอนนี้น่ากลัวเพียงใด แต่มันยังยากที่จะขยับเขยื้อนเลยจริงๆ


อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะแปลก แต่ลู่หยางก็ยังคงตามหลังเสี่ยวหลิงเดินหน้าไปตามเส้นทางหินที่มืดและแคบ


แม้จะเดินไปประมาณสิบนาทีแล้วก็ยังไปไม่ถึงปลายทางของทางเดินหิน และต้องเลี้ยวซ้ายและขวาหลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้ ทางเดินหินนี้ไม่ได้ไปตลอดเส้นทาง ในสิบนาทีที่ลู่หยางตามเสี่ยวหลิงมีทางแยกอยู่หลายทางในเส้นทางหินนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวหลิงจำเส้นทางได้และพาลู่หยางไป ลู่หยางคงจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากในการค้นหาเส้นทางที่ถูกต้อง


หลังจากเดินผ่านทางหินที่ซับซ้อนนี้เป็นเวลานาน ในที่สุดลู่หยางและหลิงน้อยก็มาถึงจุดสิ้นสุดของทางเดินหินซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องโถงใหญ่ที่อยู่ตรงกลางของสุสานโบราณ


เมื่อมาถึงห้องโถงหลักของสุสานโบราณ ลู่หยางก็ยกแสงสว่างในมือขึ้นสูง แล้วห้องโถงที่มืดสนิทอยู่ก็สว่างขึ้นมากทันที และภายใต้แสงไฟนั้น ลู่หยางก็พบว่าห้องโถงนี้กว้างและเงียบอย่างผิดปกติจนค่อนข้างน่ากลัว


“ พี่ใหญ่ นี่คือห้องโถงหลักของสุสานโบราณ ข้าได้ยินปู่พูดว่ามรดกของเผ่าพันธ์สุสานโบราณของเราถูกถ่ายทอดกันที่นี่ สำหรับสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงนั้น ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน “


“ เอาล่ะ พี่ใหญ่ เราจะทำอะไรต่อไป?”


เสี่ยวหลิงมองไปที่ลู่หยาง


“ หลิงน้อย เจ้ากลัวความมืดมั้ย?” ลู่หยางถามขณะที่เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเสี่ยวหลิง


“ อืม หลิงกลัวความมืด พี่ใหญ่ อย่าปล่อยให้หลิงอยู่ที่นี่เองนะ หลิงจะกลัว”


เสี่ยวหลิงสูง 1.5 เมตร แต่เธอยังเป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบขวบ ตามธรรมชาติแล้วเธอจะกลัวความมืด นี่เป็นเรื่องปกติ ลู่หยางไม่ได้คิดว่ามันแปลก


“ เอาล่ะหลิงน้อย ข้าจะทำให้ห้องโถงใหญ่นี้สว่างขึ้นเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่รู้สึกกลัวเลย จับตาดูให้ดี” หลังจากพูดจบ ลู่หยางก็หยิบเครื่องมือส่องสว่างออกมาอีกสองสามชิ้นจากแหวนเก็บของของเขา พวกมันดูเหมือนไข่มุกเรืองแสง แต่มีขนาดใหญ่เท่าผลแอปเปิ้ลเท่านั้น


SB:ตอนที่ 161 ทางแยก


หลังจากนั้นภายใต้การแสดงออกที่ตื่นเต้นของเสี่ยวหลิง ลู่หยางได้วางเครื่องมือส่องสว่างไว้ในตำแหน่งต่างๆของห้องโถงใหญ่แล้วห้องโถงใหญ่ที่เคยมืดมิดก็สว่างขึ้นอย่างผิดปกติ


เหนือสิ่งอื่นใด ห้องโถงกว้างเพียงไม่กี่ร้อยเมตร และอุปกรณ์ส่องสว่างชิ้นเดียวสามารถส่องสว่างได้ไกลหลายสิบเมตร ตราบใดที่เธอจับตำแหน่งได้ดี เธอก็สามารถทำให้ทั้งห้องโถงส่องสว่างไปทั่ว และด้วยวิธีนี้เธอจะไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังช่วยให้เธอทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของสุสานได้ด้วย


มีอุโมงค์เจ็ดแห่งในสุสานนี้ และเขาต้องทำความคุ้นเคยกับอุโมงค์เหล่านี้ภายในคืนพรุ่งนี้ ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถซุ่มโจมตีได้ในคืนวันพรุ่งนี้เพื่อลดพละกำลังของศัตรู และจากนั้นเขาจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน


เนื่องจากเขาไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับจำนวนคนและความแข็งแกร่งของพวกเขา ลู่หยางจึงไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่ามไม่รอบคอบได้ เขาต้องสังเกตความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้อย่างลับๆเพื่อที่จะช่วยปู่ของเสี่ยวหลิง มิฉะนั้นเขาอาจเพลี่ยงพล้ำได้


หลังจากจุดไฟในห้องโถงสีดำสนิทแล้ว ลู่หยางก็มาที่ด้านข้างของเสี่ยวหลิง เขานั่งยองๆและตบหัวเธอเบาๆ แล้วพูดว่า “เสี่ยวหลิง รอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเดินไปรอบ ๆ ในอุโมงค์อีกหกแห่งเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมข้างใน “


เมื่อเห็นการแสดงออกที่เด็ดเดี่ยวของลู่หยาง เธอก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเสี่ยวหลิงจะรู้วิธีไปที่ห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เธออยู่นั้นเป็นอย่างไร เพราะปู่ของเธอไม่เคยพาเธอไปที่นั่นและได้เตือนเธอว่าอย่าเข้าไปเพราะมันจะอันตรายมาก ดังนั้น เสี่ยวหลิงจึงไม่เคยเข้าไป


“ พี่ใหญ่ ท่านต้องระวังตัวให้ดี ข้าได้ยินท่านปู่บอกว่าอุโมงค์อีกหกแห่งนั้นซ่อนกลไกอันตรายเอาไว้ ถ้าท่านเผลอไปจับถูกมัน อาจเป็นอันตรายได้! “


หลิงน้อยพูดอย่างเป็นห่วง


เธอไม่ปรารถนาให้เกิดอะไรขึ้นกับลู่หยาง มิฉะนั้นเธอจะไม่มีโอกาสได้พบปู่ของเธออีก  นอกจากนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับลู่หยางมาเป็นเวลานาน แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าพี่ใหญ่ของเธอคนนี้เป็นคนดี และเข้าถึงได้ง่าย ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับเขา


“ เอาล่ะ หลิงหลิง อยู่ที่นี่เองนะ และอย่าวิ่งไปวิ่งมา ข้าจะกลับมาหาเจ้าทันทีที่ข้าคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม เจ้าเข้าใจไหม? “ลู่หยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ อืม ข้าเข้าใจแล้ว พี่ใหญ่ ระวังตัวด้วยนะ” หลิงพยักหน้า และกล่าวอีกครั้ง


ลู่หยางไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงยิ้มเล็กน้อยให้กับหลิงน้อย จากนั้นก็หันกลับไปและเดินกลับไปตามทางที่เขาจากมา


เมื่อลู่หยางย้อนกลับออกไป เขาเร็วมาก และในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เขาก็ทำการเดินทางครบสิบนาทีแรกได้สำเร็จ


ลู่หยางครุ่นคิดสักพัก และในที่สุดก็ตัดสินใจเริ่มจากประตูสีแดงทางซ้ายสุด เขาเดินเข้าไปสำรวจสภาพแวดล้อม จากนั้นเดินต่อไปยังประตูถัดไป ประตูหนึ่งไปอีกประตูหนึ่ง เขาเดินผ่านประตูทั้งหกบานทีละบานก่อนคืนพรุ่งนี้


“…”


หลังจากเข้าไปในประตูหินสีแดง ลู่หยางก็ค่อยๆเดินไปข้างหน้า หยิบอุปกรณ์ส่องสว่างชิ้นสุดท้ายออกมาและส่องแสงไปตามทางหินแคบ ๆ


ผนังภายในประตูหินสีแดงแตกต่างจากผนังสีส้มอันก่อน กำแพงที่นี่เป็นสีแดงเช่นเดียวกับประตูหินสีแดง และเป็นหินชนิดไหนนั้น ลู่หยางรู้สึกสงสัยอย่างมาก


ลู่หยางเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพราะเขาได้ยินจากเสี่ยวหลิงว่ามีกับดักในหกเส้นทาง ถ้าเขาสัมผัสพวกมันโดยบังเอิญ มันจะทำให้เกิดอันตราย ด้วยสุสานที่ยิ่งใหญ่และโอ่อ่าเช่นนี้ หากไม่มีกับดักที่ดีแล้วก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ


ลู่หยางเดาว่าเจ้าของสุสานต้องมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา เหนือสิ่งอื่นใด การสร้างสุสานโบราณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ ค่าใช้จ่ายจะต้องน่ากลัวอย่างมาก


ขณะที่ลู่หยางเดินไปตามทางเดินหินสีแดง พลังวิญญาณของเขาได้ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว พื้นที่ด้านหน้าของทางเดินนั้นอยู่ในช่วงการรับรู้ของลู่หยางอยู่แล้ว หากมีกลไกหรือสิ่งใดอยู่ข้างหน้า ลู่หยางจะสามารถรู้สึกได้ทันทีหากมันถูกปล่อยออกมา


หลังจากเดินผ่านอุโมงค์สีแดงไปไม่กี่สิบเมตร ลู่หยางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


“บูม!” “บูม!” ไม่นานหลังจากที่ลู่หยางเข้าไปในทางเดินหินสีแดง เขาก็ได้ยินเสียงดังโครม พื้นใต้เท้าของเขาสั่นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


อย่างไรก็ตาม ลู่หยางรู้ดีว่าเสียงนี้ไม่ได้ดังออกมาโดยไม่มีเหตุผลแน่นอน มันน่าจะเกิดจากกลไกบางอย่างถูกกระตุ้นและเคลื่อนไหว แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติอย่างชัดเจน เขาจะจัดการกับกลไกได้ยังไง? ดูเหมือนว่าสุสานโบราณแห่งนี้ลึกลับอย่างแท้จริง และหนทางข้างหน้าเขาจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเขาจะเสียชีวิตจริงๆ


ลู่หยางไม่เข้าใจว่าเกิดการระเบิดดังขึ้นได้อย่างไร เขายังคงเดินต่อไปในอุโมงค์สีแดงด้วยความสงสัย ในเวลานี้ ความเร็วในการเดินของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และถ้ามีใครบอกว่าเขากระตุ้นกลไกของสุสานโบราณด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบสาเหตุ การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าของเขาก็ดูเหมือนจะไม่มีความหมาย เมื่อพลังวิญญาณของเขาถูกปลดปล่อยไปยังพื้นที่หลายสิบเมตรรอบ ๆ อุโมงค์ เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงอะไรแปลก ๆ แต่ก็ยังมีเสียงระเบิดดังขึ้น


ดังนั้น ลู่หยางจึงตัดสินใจเร่งความเร็วขึ้น มิฉะนั้นเขาอาจไม่มีเวลาเดินผ่านประตูทั้งหกบานก็เป็นได้


แม้ว่าเขาจะเร่งความเร็วขึ้น แต่ลู่หยางก็ยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น พลังวิญญาณถูกปลดปล่อยออกมาเสมอๆและหากมีอะไรแปลก ๆ อยู่ตรงหน้าเขา ลู่หยางจะรู้สึกได้ทันทีและตอบสนองตามนั้น


ในเวลาเดียวกัน ลู่หยางที่เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในอุโมงค์สีแดงนั้นถือดาบสังหารมังกรอยู่ในมือด้วย หากพบเหตุฉุกเฉินเขาจะสามารถโต้ตอบได้ทันเวลา


ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักเช่นนี้ การระมัดระวังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำ ไม่ว่ายังไงเขาก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลู่หยางจะระมัดระวังอย่างมาก แต่เขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะที่เขาเข้าไปในอุโมงค์สีแดง เขาได้เปิดใช้งานกลไกภายในแล้ว ในไม่ช้า เขาจะตกอยู่ในอันตรายจากกับดัก


“ พัฟพัฟพัฟ…” ลู่หยางที่ยังอยู่ตรงกลางทางเดินก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับกำแพงหินข้างๆเขา หลังจากนั้นกำแพงก็เปิดรูขนาดใหญ่ขนาดเท่าๆกับอ่างล้างหน้า หลังจากนั้นเข็มเงินหลายสิบเล่มก็พุ่งออก ตรงไปที่ลู่หยางที่กำลังตกใจอยู่


โชคดีที่ลู่หยางโต้ตอบได้อย่างรวดเร็ว และตรวจพบได้ในขณะที่กำแพงหินมีการเคลื่อนไหวใด ๆเกิดขึ้น เขารีบหลบทันทีและหลีกเลี่ยงการโจมตีของห่าเข็มเงิน


“ ดิ๊ง ดิ๊ง ดิ๊ง…” เข็มเงินกลุ่มนั้นไม่ได้กระทบกับลู่หยาง แต่พวกมันทั้งหมดพุ่งไปอีกด้านของกำแพงหินแทนทำให้เกิดเสียง “ดิ๊ง ดิ๊ง ดิ๊ง”


สำหรับกำแพงหินสีแดงที่แต่เดิมนั้นเรียบและสะอาด ตอนนี้มีจุดเล็ก ๆ จำนวนมากที่ถูกเจาะด้วยเข็มเงิน สำหรับคนที่กลัวกำแพงหินมาก ภาพเหตุการณ์นี้น่ากลัวเล็กน้อย แต่สำหรับลู่หยางแล้ว ไม่เป็นอะไร เขาไม่กลัว


หลังจากหลบการโจมตีของเข็มเงินแล้ว ลู่หยางเช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากของเขาและรอให้กลไกบนกำแพงหินดับลง จากนั้นเขาก็เดินไปที่กำแพงหินซึ่งค่อนข้างเละเทะแล้วเนื่องจากเข็มเงินเหล่านั้น


เข็มเงินมีพลังมาก มันสามารถทิ้งรอยเล็ก ๆ ไว้บนผนังได้ ดูเหมือนว่าวัสดุก่อสร้างของกำแพงหินจะไม่ใช่แข็งธรรมดาๆเสียแล้ว และมูลค่าของเข็มเหล่านี้ก็ไม่ได้น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ลู่หยางไม่ได้วางแผนที่จะขุดกำแพงหินออกไปขาย


หลังจากสัญญาณเตือนผิดพลาดไปแล้ว ลู่หยางยังคงเดินหน้าต่อไปอีกหลายสิบเมตร ปัญหามาอีกแล้ว


“เรามาถึงทางแยกบนถนนเร็วจัง เราควรจะเดินต่อไปทางไหนดี?” ตอนนี้ มีอีกเจ็ดเส้นทางที่มีสีต่างกันปรากฏขึ้นตรงหน้าลู่หยาง ทำให้เขาพูดไม่ออก


“ ทำไมสถาปนิกของสุสานนี้ถึงมีงานอดิเรกเช่นนี้? เขาชอบสีรุ้งจริงๆหรือนี่่? ทางเดินทั้งหมดเต็มไปด้วยสีทั้งเจ็ดนี้ อึ้งไปเลยจริงๆ”


“ช่างเถอะ เริ่มด้วยสีแดงแล้วกัน”


หลังจากลังเลสักพัก ลู่หยางก็ตัดสินใจเข้าสู่ทางเดินสีแดงทางซ้ายสุด


เมื่อลู่หยางเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ เขาก็พบว่าถนนนั้นกว้างขึ้นและกว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม มีทางแยกน้อยกว่าบนถนน แม้จะเดินไปหลายสิบนาทีแล้ว เขาก็ยังพบเพียงสามทางแยกเท่านั้น


SB:ตอนที่ 162 ซากหุ่นเชิดแห้งๆ


 


ยิ่งเดินไปมากเท่าไหร่ ลู่หยางก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือเขาวงกตโบราณที่มีเส้นทางตัดกันที่ผู้คนไม่สามารถเข้าใจได้ ในขณะที่เขาเดิน แล้วเขาก็กลับมายังตำแหน่งเดิม ราวกับว่าเขาเดินไปมาในสถานที่เดิมตลอดเวลา


“ ให้ตายเถอะ ข้าหลงทางจริงๆเหรอนี่ ช่างน่าเวียนหัวอะไรอย่างนี้” ลู่หยางหยุดเดินยืนอยู่ตรงทางแยก เขาก่นด่าหน้าตาพูดไม่ออก


“ โชคยังดีที่ข้าทิ้งเข็มสีเงินไว้ตรงมุมหนึ่งเมื่อข้ามาที่นี่ ไม่อย่างนั้น ข้าคงไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน “


“ เขาวงกตนี้ก็สวยดี คืนพรุ่งนี้ ถ้าคนพวกนั้นติดอยู่ในนั้น ข้าก็สามารถลอบสังหารอย่างลับๆแบบคาดไม่ถึงได้สิ”


“ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องรีบแล้ว ไม่อย่างนั้น ข้าอาจจะไม่สามารถคุ้นเคยกับสถานที่นี้ได้ทันในคืนวันพรุ่งนี้ ” หลังจากพูดจบ ลู่หยางก็ไม่โอ้เอ้และยังคงเดินต่อไปตามเส้นทางหินสีเหลือง เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และในช่วงเวลาสั้น ๆก็ทำความคุ้นเคยกับสิ่งรอบตัวและจดจำมันไว้ในใจ


ลู่หยางเก็บเข็มเงินมากว่าเจ็ดสิบเข็มที่กับดักก่อนหน้านี้ และจะทิ้งเข็มไว้เป็นเครื่องหมายที่ทางแยกทุกจุดบนถนน ถ้าเขาไม่พบทางแยกใหม่บนถนน นั่นก็หมายความว่านี่คือเส้นทางใหม่


อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของสุสานโบราณแห่งนี้ยังเกินจินตนาการของลู่หยางมาก เขาใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงที่นี่แล้ว แต่เขาก็ยังติดอยู่บนเส้นทางเดิมเหมือนเคย


เมื่อลู่หยางเห็นประตูหินเป็นครั้งแรก เขาค่อนข้างพอใจกับการออกแบบของประตูหินและรู้สึกว่ามันเป็นภาพที่น่าพึงพอใจที่ได้เห็น แต่ในขณะนี้นั้น ลู่หยางกลับพูดไม่ออก และรู้สึกรำคาญเมื่อเห็นประตูหินเจ็ดสี


เพราะประตูหินเจ็ดสีเหล่านี้ทำให้เขาเดินวนไปรอบ ๆ ได้นับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็ยังกลับไปที่จุดเริ่มต้น


“ บ้าจริง ข้าจะต้องถูกขังอยู่ที่นี่เหรอ? หากเพียงแต่พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กน้อย มันก็จะสามารถครอบคลุมเขาวงกตทั้งหมดได้ แล้วข้าก็ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ ข้าจะสามารถสัมผัสได้โดยตรงถึงสภาพแวดล้อมของเขาวงกตนี้ได้ ” ลู่หยางมองไปที่ประตูหินเจ็ดสีตรงหน้าขณะที่เขาเดินผ่านมา


แม้ว่าลู่หยางจะยังคงเดินวนซ้ำเส้นทางเดิมที่เขาใช้มาก่อนหน้านี้ หากเขาต้องการกลับตอนนี้ เขาสามารถกลับไปที่ประตูหินเจ็ดสีบานแรกที่เขาเจอได้เสมอ เพราะทุกครั้งที่เขาเดินผ่านทางแยกในถนนเขาจะไม่เพียงแต่วางเข็มเงินไว้ที่มุม แต่เขายังชี้ปลายเข็มเงินไปในทิศทางที่เขามา ตราบเท่าที่เขาเห็นทิศทางที่เข็มเงินชี้เขาก็สามารถกลับไปในทิศทางนั้นได้


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาไม่ได้หลงทางในเขาวงกตสุสานโบราณนี้โดยสิ้นเชิง เขาแค่ไม่สามารถหาทางไปข้างหน้าต่อได้ ยังคงมีทางหนีและเขาได้เตรียมการมานานแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะหันหลังกลับ


แม้ว่าเขาจะทำอะไรไม่ถูกกับความซับซ้อนของสุสานโบราณ แต่ลู่หยางก็ยังคงฝืนเดินต่อไปแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่เขาจะหลงทางอีกครั้งก็ตาม


“…”


หลายชั่วโมงต่อมา ในที่สุดลู่หยางก็ค้นพบเส้นทางทั้งหมดได้ ระหว่างทางลู่หยางวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก และแน่นอน ในขณะที่วิ่งเขาก็ระมัดระวังสิ่งรอบข้างอย่างมากด้วย


เขาพบกับกับดักเช่นเดียวกับเข็มเงินมาก่อน แต่ลู่หยางยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก เข็มเงินแทงเข้าไปที่ด้านข้างของกำแพงหินและไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับลู่หยาง


ตอนนี้ลู่หยางมีเข็มเงินหลายร้อยเข็มอยู่กับเขาแล้ว ยิ่งมีมากก็ยิ่งสนุก เขาไม่คิดว่าเขาจะมีเข็มเงินมากเกินไป วัสดุของเข็มเหล่านี้แข็งมาก ในอนาคตเมื่อเขาได้พบศัตรูที่ยากลำบาก เข็มเหล่านี้อาจให้ผลที่ไม่อาจจินตนาการได้


หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ลู่หยางก็ผ่านอุโมงค์ส่วนใหญ่ไปแล้ว และเขาก็เข้าใจสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ดังนั้นตอนนี้ก็เป็นวันที่สองแล้วนับตั้งแต่ที่ลู่หยางและเสี่ยวหลิงเข้าสู่สุสานโบราณ ลู่หยางต้องเดินผ่านพื้นที่ที่เหลือที่เขาไม่ได้เดินผ่านในเวลาที่เหลือ จากนั้นเขาต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่ง มิฉะนั้นหากเขาไม่มีความแข็งแกร่งเหลืออยู่ในระหว่างการต่อสู้คืนนี้ เขาจะสามารถช่วยปู่ของเสี่ยวหลิงได้อย่างไร?


ตอนนี้ ลู่หยางที่คุ้นเคยกับทางเดินส่วนใหญ่ได้มาถึงห้องโถงที่คล้ายกับที่เสี่ยวหลิงพาเขามาก่อนหน้านี้โดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ว่าห้องโถงนี้มีขนาดเล็กกว่าห้องที่เสี่ยวหลิงพาเขามาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังใหญ่โตและกว้างขวางมาก


ลู่หยางยกแสงในมือขึ้นสูงและสแกนห้องโถงทั้งหมด ทันใดนั้น วัตถุตรงหน้าเขาก็ทำให้ลู่หยางสะดุ้ง


“ฮู่ว!” แสงจากเครื่องมือส่องสว่างของลู่หยางส่องไปที่มุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ซึ่งมีคนผิวดำสนิทคนหนึ่งยืนอยู่ เหมือนกับคนตาย ไม่ใช่ น่าจะเป็นคนตาย


ไม่มีสัญญาณที่มีชีวิตใดๆบนร่างกายที่เหี่ยวเฉาของเขา ร่างกายผอมแห้งของเขาเน่าเปื่อยไปแล้ว และมีดวงตาที่ดูกลวงโบ๋ เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้ตายไปแล้ว บางทีเรียกว่า หุ่นเชิด เพื่ออธิบายเขาจะเหมาะสมกว่า


“ก็มันเป็นหุ่นเชิดจริงๆนี่! กล่าวกันว่า หุ่นเชิดสามารถขัดเกลาได้โดยศพนั้นเป็นระดับเหลืองเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าของหุ่นเชิดตัวนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับเหลืองตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่!”


เมื่อเห็นศพที่จู่จู่ก็ส่งเสียงคำรามขึ้นมา ใบหน้าของลู่หยางเต็มไปด้วยความตกใจแล้วเขาก็พึมพำกับตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาเคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับหุ่นเชิดมาบ้าง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง


แม้ว่าเขาจะเคยอ่านเกี่ยวกับหุ่นเชิดมาก่อน แต่ในตอนนี้ลู่หยางยังคงตกใจมากที่ได้เห็นด้วยตาของเขาเอง เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับหุ่นเชิดที่นี่ และไม่รู้ว่าเขาควรจะเรียกตัวเองว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่


“โฮว!”


“อะไรนี่ ? มีมากกว่าหนึ่งตัว! “


ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก ซากศพส่งเสียงคำราม และเสียงคำรามที่คล้ายๆกันก็ดังออกมาจากส่วนอื่น ๆ ของห้องโถง ดูเหมือนว่าจะมีหุ่นเชิดมากกว่าหนึ่งตัวในห้องโถงนี้


“มันลำบากยุ่งยากจริงๆ อย่างน้อยก็เป็นหุ่นเชิดที่ขัดเกลามาจากซากศพของระดับเหลือง ข้าไม่รู้ว่าพวกมันมีความแข็งแกร่งตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงจะต้องตายจริงๆ!” เมื่อเห็นหุ่นเชิดมัมมี่กำลังใกล้เข้ามา ลู่หยางก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง


“ ช่างมันเถอะ พวกเรามันล้วนเป็นคนตายแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะสามารถอยู่รอดจริงๆ! ” ลู่หยางวางแผนที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดมัมมี่เหล่านี้


ชูวว์! ชูวว์! ชูวว์!


“โฮว!”


ภายใต้แสงส่องสว่างโดยลู่หยาง เขาสามารถมองเห็นหุ่นเชิดมัมมี่เจ็ดตัวที่ดูน่ากลัวกำลังเข้ามาใกล้เขาได้ชัดเจน


แม้ว่าหุ่นเชิดมัมมี่ทั้งเจ็ดจะตายไปแล้ว แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่ของพวกมันก็ไม่ต่างจากคนที่มีชีวิต เพียงแค่การเคลื่อนไหวของพวกมันดูแข็งกระด้างและน่าเกลียดเล็กน้อย แต่ลู่หยางไม่ได้สนใจเรื่องนั้น


ชูวว์! ชูวว์! ชูวว์! ดาบสังหารมังกรวาดลำแสงสามเส้นออกมา ความเร็วของมันเร็วมากและพุ่งตรงไปที่หัวของหุ่นเชิดมัมมี่ทั้งสาม


แต่ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้ลู่หยางพูดไม่ออก หัวของหุ่นเชิดมัมมี่ทั้งสามแข็งราวกับเหล็ก ราวกับว่าดาบสังหารมังกรได้แทงเข้าไปในผนังทองแดง นอกเหนือจากเสียงของโลหะกระทบกันแล้ว ผิวของพวกมันไม่แตกหักเลย


ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ลู่หยางตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายของคนตายเหล่านี้จะแข็งขนาดนี้หลังจากที่ได้รับการขัดเกลาให้เป็นหุ่นเชิด และแม้แต่รัศมีของดาบที่สร้างขึ้นจากพลังงานวิญญาณก็ไม่สามารถทะลุศีรษะของพวกมันได้


จากสิ่งนี้ทำให้เห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดมัมมี่เหล่านี้ไม่ได้ต่ำ ลู่หยางอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่เสียแล้ว


“มันยากมาก แม้แต่ดาบสังหารมังกรก็ไม่สามารถทำร้ายคนตายเหล่านี้ได้เลย ดูเหมือนว่าข้ายังต้องใช้ยุทธวิธีที่ทรงพลังบางอย่าง ไม่งั้นจะเป็นอันตรายได้”


“พัฟฟ์!” แต่ในเวลานี้ หุ่นเชิดมัมมี่ได้เหวี่ยงหมัดหนักของมันไปที่ลู่หยางซึ่งก็กำลังพุ่งเข้าหามันเช่นกัน ด้วยพลังที่น่าอัศจรรย์ แม้ว่าจะเป็นผู้คุมอสูรระดับสูงที่กำลังจะเผชิญหน้ากับมัน เขาก็จะถูกกระทกและระเบิดด้วยกำปั้นเหล็กที่หนักหน่วงและตายที่ตรงจุดนั้นเอง


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหุ่นเชิดมัมมี่จะมีพลังโจมตีที่น่าอัศจรรย์ แต่ก็เป็นเพียงหุ่นเชิดเชิดที่ไร้ความคิดกับวิธีการโจมตีแบบเดียว เพียงมองแวบเดียว ลู่หยางที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาหลายร้อยครั้งแล้วก็สามารถมองเห็นจุดอ่อนของหุ่นเชิดมัมมี่ได้


ต่อมา เขาหลบหลีกการโจมตีของหุ่นเชิดมัมมี่อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นเรียกระฆังทองคำอมตะออกมาก่อนที่หุ่นเชิดมัมมี่จะทำการเคลื่อนไหวต่อไป


หลังจากปล่อยสัตว์เลี้ยงสงครามออกมาแล้ว ก็มีปัจจัยที่ไม่รู้จักมากเกินไป และเขาจำเป็นต้องรักษาความแข็งแกร่งให้เพียงพอที่จะจัดการกับพวกมัน ลู่หยางมีสัตว์เลี้ยงสงครามทั้งหมดยี่สิบตัว และพวกมันเกือบทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ระดับจักรพรรดิ์ ได้เข้าสู่ปฎิบัติการในครั้งนี้


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหุ่นเชิดมัมมี่เหล่านี้จะไม่ทรงพลังอย่างที่เขาคิด มันถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แต่หุ่นเชิดมัมมี่ไม่ได้มีเลือดออกเหมือนคนทั่วไป


หลังจากจัดการกับหุ่นเชิดมัมมี่แล้ว ลู่หยางก็มีความเข้าใจในความแข็งแกร่งและวิธีการโจมตีที่เฉพาะเจาะจงของพวกมัน เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพึมพำ: “ในเมื่อข้ารู้ถึงความแข็งแกร่งและวิธีการโจมตีของเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางที่จะโจมตีข้าได้อีกต่อไป!”


อย่างไรก็ตาม หุ่นเชิดมัมมี่ที่เหลือไม่ได้หยุดที่จะโจมตี พวกมันยังคงฟาดฟันไปที่ลู่หยางเหมือนคนไร้สมอง


เมื่อเห็นว่าคนตายเหล่านี้เพิกเฉยต่อคำพูดของเขา ลู่หยางก็ส่ายหัว ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยให้สัตว์เลี้ยงสงครามฉีกพวกผีดิบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั้น ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในใจของเขา


“ใช่แล้ว ข้าสามารถยืมความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดมัมมี่เหล่านี้เพื่อขัดขวางคนเหล่านั้น และก่อความวุ่นวาย ในขณะที่ข้าจะใช้โอกาสนี้เพื่อช่วยปู่ของเสี่ยวหลิง”


ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจของลู่หยางในทันใดนั้นเอง จากนั้น เขาก็ยิ้มให้กับหุ่นเชิดมัมมี่ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วกลายร่างเป็นเงาเพื่อหลบหลีกการโจมตีของมัน จากนั้นเขาก็รีบถอยกลับไปที่ทางเดิน


หุ่นเชิดมัมมี่เหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับศัตรูในคืนนี้หากใช้พวกมันได้อย่างเหมาะสม … ลู่หยางนึกคำนวณในใจ


SB:ตอนที่ 163 มาถึงแล้ว


“เอาล่ะ ข้าจะไม่เล่นกับพวกเจ้าอีกแล้ว!” ลู่หยางหัวเราะขณะหลบการโจมตีของหุ่นมัมมี่ จากนั้น เขารีบพุ่งเข้าไปในทางเดินหิน และสะบัดหุ่นมัมมี่ออก


หลังจากสลัดหุ่นมัมมี่ออกไปหมดแล้ว ลู่หยางก็เข้าสู่อีกทางเดินหนึ่งและก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก ขณะเดียวกันเขาก็คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสุสานโบราณ


“ สุสานนี้แปลกจริงๆ แม้ว่าการออกแบบประตูของสุสานโบราณจะยิ่งใหญ่มาก แต่สิ่งต่างๆที่นี่ก็ดูซ้ำซากน่าเบื่อไปหน่อย ทุกเส้นทางหินมีสีเหมือนกัน และกับดักที่นี่ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร “


แม้ว่าเข็มเงินนั้นจะทรงพลังมาก แต่ก็สามารถใช้ได้กับผู้คุมอสูรระดับสูง และผู้คุมอสูรระดับกลางเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับมันนัก “เหมือนเคยเห็นในหนังสือหรือ ว่าสุสานที่น่ากลัวเหล่านั้นได้รับการปกป้องโดยอสูรวิเศษทุกชนิด? เหตุใดจึงมีเพียงกับดักธรรมดา ๆ และกลุ่มของหุ่นมัมมี่ที่โง่เขลาในสุสานอันงดงามเช่นนี้? ถือเป็นเรื่องแปลกอย่างแท้จริง”


“ข้ารู้สึกตลอดว่ามีบางอย่างที่นี่หายไป” ลู่หยางที่ล่วงหน้าไปอย่างรวดเร็วคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในเวลาเดียวกัน


ตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าไปในสุสานโบราณแล้ว ลู่หยางรู้สึกว่ามันแปลก ๆ เล็กน้อย แต่เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกอย่างไรและไม่สนใจสิ่งอื่นใด


ในที่สุดลู่หยางก็เข้าใจสภาพพื้นที่ของสุสานทั้งหมดเหมือนหน้ามือเป็นหลังมือ จากนั้นเขาก็กลับไปที่ห้องโถงที่เสี่ยวหลิงอยู่และนั่งลงเพื่อพักผ่อน หลังจากคุยกับเสี่ยวหลิงได้สักพัก เขาก็เริ่มรอคอยอย่างเงียบๆให้เวลากลางคืนมาถึง


ลู่หยางและเสี่ยวหลิงซ่อนตัวอยู่ในห้องลับในห้องโถงใหญ่ เสี่ยวหลิงเคยบอกกับลู่หยางเกี่ยวกับห้องแห่งความลับ และนั่นคือสิ่งที่ปู่ของเสี่ยวหลิงบอกกับเธอตอนที่เธออยู่กับปู่ของเธอ


หลังจากดูแลเสี่ยวหลิงเรียบร้อยแล้ว ลู่หยางก็ออกจากห้องโถงใหญ่และไปที่ประตูใหญ่ทั้งเจ็ดที่ทางเข้าของสุสานโบราณ แล้วรอให้คนที่ลักพาตัวปู่ของหลิงมาถึง


จากปากของหลิงน้อย เธอรู้ว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าไปในสุสานได้และนั่นคือการกดปุ่มที่ด้านล่างของหนึ่งในเจ็ดต้นไม้อมตะเพื่อเปิดประตู นี่เป็นวิธีเดียวที่จะเข้าไปในสุสานได้


หลังจากนั้น เขาจะเข้าไปในอุโมงค์สีแดงแรก และรอให้ศัตรูมาถึง หลังจากสังเกตสถานการณ์แล้ว เขาสามารถลอบสังหารศัตรูทีละคนๆเพื่อลดความแข็งแกร่งของศัตรู


หากเขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาสามารถใช้กับดักในทางเดินเพื่อหลบหนีและโต้กลับได้ ถ้าไม่เช่นนั้น เขาทำได้เพียงหลอกล่อหุ่นมัมมี่ออกมาเพื่อสร้างความโกลาหล ในขณะที่เขาจะใช้ประโยชน์จากความโกลาหลเพื่อโจมตีและสังหารศัตรูให้ได้มากที่สุดในเวลาที่สั้นที่สุด นี่เป็นแผนของลู่หยางในช่วงสองถึงสามชั่วโมงนี้


“…”


หลังจากผ่านไปอีกสองชั่วโมง ในที่สุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็มาถึง


“บูม! บูม! “บูม!” ลู่หยางปิดไฟส่องสว่างในมือ จากนั้นก็เก็บมันไว้ในกระเป๋าเก็บของ


เขาไม่ต้องการอุปกรณ์ส่องสว่างนี้อีกต่อไปแล้ว ถ้าเขาทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการบอกคนอื่นให้รู้ว่ามีคนอยู่ที่นี่ สิ่งนี้จะแจ้งเตือนศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัยและจะไม่เป็นประโยชน์ต่อแผนของเขาแม้แต่น้อย


หลังจากที่ลู่หยางเก็บเครื่องมือส่องสว่างไป ทั่วทั้งหลุมฝังศพโบราณก็กลับสู่ความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีลำแสงแม้เส้นเดียว ซึ่งมืดสนิท


ในตอนนี้ ลู่หยางหลับตาแน่น พลังวิญญาณถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์และเขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวในพื้นที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร นอกจากนี้ เขายังสัมผัสได้ถึงทรายที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องเหนือทางเข้าของสุสานโบราณ เพียงแค่เสียงมันดังขึ้นเรื่อย ๆ ลู่หยางไม่จำเป็นต้องรับรู้ด้วยซ้ำ เขาสามารถได้ยินด้วยหูของเขาเอง


หลังจากนั้นไม่นาน ประตูสุสานโบราณก็ดังขึ้นและเปิดออก ทรายสีเหลืองลอยมาจากท้องฟ้าและตกลงมา


กองทรายตกลงมาตรงหน้าประตูหลักทั้งเจ็ดของสุสานโบราณ แต่น่าแปลกที่ลู่หยางรู้สึกได้ว่าหลังจากที่ทรายตกลงบนพื้นของสุสานโบราณแล้ว มันก็หายไปอย่างช้าๆ


” เกิดอะไรขึ้นนี่!?” ยิ่งข้ามองไปที่สุสานนี้ ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าที่นี่น่ากลัวมาก “


พลังทางจิตวิญญาณของลู่หยางรู้สึกได้ถึงภาพเหตุการณ์ของทรายที่ตกลงมาจากท้องฟ้าแล้วถูกสุสานโบราณค่อยๆกลืนกินอย่างช้าๆแล้วอดไม่ได้ที่จะตกใจ มันเริ่มน่าสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับสุสานโบราณนี้ และการคาดเดาที่น่ากลัวก็เกิดขึ้นในใจ


“ เป็นไปได้ไหมว่าสาเหตุที่ผู้คนจากเผ่าพันธุ์สุสานโบราณเสื่อมโทรมลงในแต่ละวันที่ผ่านไปนั้นเป็นเพราะ…”


ลู่หยางไม่กล้าเชื่อความคิดของตัวเอง แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถสนใจเรื่องนี้ได้มากนัก การจัดการกับคนเหล่านี้เป็นงานหลักมากกว่า


“บูม! บูม! “บูม!” กองทรายสีเหลืองตั้งอยู่กลางสุสาน ก่อรูปเป็นเนินเขาเล็ก ๆลูกหนึ่ง ลู่หยางซ่อนตัวอยู่ในความมืดของทางเดินสีแดง เขารู้สึกได้ว่ามีคนเกือบยี่สิบคนตกลงมาจากด้านบน และตกลงไปบนกองทราย


ในหมู่พวกเขา มีผู้คุมอสูรระดับสูงอยู่สองถึงสามคน ดูเหมือนว่าการต่อสู้ที่จะถึงนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ลู่หยางคิด


“ พัฟ พัฟ พัฟ…” ผู้คนทั้งหมดที่ตกลงบนผืนทรายต่างกระโดดออกมาจากกองทราย และลู่หยางก็สัมผัสได้ชัดเจนว่ามีชายชราร่างผอมบางอยู่ท่ามกลางพวกเขา


มีผู้คุมอสูรระดับสูงสองถึงสามคนอยู่รอบ ๆ ชายชราคนนั้น ราวกับว่าพวกเขามีหน้าที่คุมตัวปู่ของหลิงไว้ ในกรณีที่เขาคิดหลบหนี ลู่หยางรับรู้อย่างรอบคอบ และเข้าใจความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้อย่างคร่าวๆ


“ผู้คุมอสูรระดับสูงหกคน และผู้คุมอสูรระดับกลางสิบคน ปู่ของเสี่ยวหลิงดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งเพียงแค่ผู้คุมอสูรระดับกลาง ซึ่งหมายความว่าอีกฝ่ายมีทั้งหมดสิบเจ็ดคน และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้คุมอสูรระดับสูงที่สวมชุดสีเหลือง ข้าชักสงสัยว่าพวกเขามาจากสำนักไหนกัน ถึงมีผู้คุมอสูรระดับสูงมากมายนัก “


หลังจากตรวจจับความแข็งแกร่งโดยประมาณของศัตรูแล้ว ลู่หยางก็คิดคำนวณ


“ปู่ของเสี่ยวหลิงไม่ควรพาพวกเขาไปที่ห้องโถงใหญ่โดยตรง ใช่ไหมนะ? เขาควรจงใจนำพวกเขาไปทางอ้อม แล้วดักฆ่าซักสองถึงสามคน ไม่ว่ายังไง เราจะลอบสังหารพวกเขาเมื่อพวกเขาเข้าไปในทางเดิน”


ในตอนนี้ ลู่หยางยังคงสงสัยว่าปู่ของหลิงน้อยจะพาคนเหล่านี้ไปยังทางที่ถูกต้องหรือไม่ แล้วจากนั้นก็รีบตรงไปที่ห้องโถงใหญ่


“ฮ่าฮ่า หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนักในที่สุดข้า เทียนซิงเจี้ยน ก็ได้พบสุสานโบราณนี้แล้ว เมื่อข้าพบทรัพย์สมบัติแล้วเมื่อข้ากลับไป พ่อจะชื่นชมข้าแน่นอน!”


หลังจากที่ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำมาถึงสุสานโบราณ ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาต่างก็เอาเครื่องมือส่องไฟออกมาส่องทางเข้าสุสานโบราณทั้งหมด เมื่อเห็นประตูสุสานโบราณทั้งเจ็ดที่งดงาม ชายหนุ่มคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ


“ นายน้อยคนที่สองพูดถูกแล้ว ถึงตอนนั้น นายผู้เฒ่าจะให้รางวัลนายน้อยคนที่สองอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่นายน้อยที่สองสามารถค้นหาสมบัติลับในสุสานโบราณนี่ได้” ชายสูงวัยถัดจากเด็กหนุ่มที่หัวเราะออกมาเริ่มสอพลอ


“”ดูเหมือนชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นนายน้อยคนที่สอง ด้วยความแข็งแกร่งในระยะเริ่มต้นของผู้คุมอสูรระดับสูง ฮิฮิ มันก็ไม่เลวนะ” พลังทางจิตวิญญาณของลู่หยางสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของชายหนุ่มที่เป็นผู้นำซึ่งกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และหัวเราะอย่างเย็นชาในใจของเขา


“เอาล่ะ ผู้เฒ่า นำทางสิ!” เทียนซิงเจี้ยนตะโกนบอกชายชราที่ยืนงุนงงอยู่


“ ยี่ เดี๋ยวก่อน” ปู่ของหลิงดูเหมือนจะอยู่ในสภาพแปลก ๆ เป็นไปได้ยังไงที่ดูเหมือนคนกำลังดื่มยาหลอนประสาท และสูญเสียเหตุผลทั้งหมดและทำได้เพียงฟังคำสั่งของพวกเขา ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเดรัจฉานกลุ่มนี้จะใช้ยาหลอนประสาทกับปู่ของหลิง ฮึ่ม ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่นอน “


หลังจากที่ลู่หยางรู้สึกว่าปู่ของหลิงอยู่ในสภาพแปลก ๆ เขาก็คาดเดาเช่นนั้น


“ เอาล่ะ ทุกคนระวังตัวด้วย อาจมีกับดักในสุสานโบราณนี้ ถ้าเจ้าตาย เจ้าก็จะไม่มีโอกาสกลับไปรับรางวัลของเจ้า ไปกันเถอะ!”


ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังเทียนซิงเจี้ยนตะโกนบอกคนที่เหลือ จากรูปลักษณ์ของมัน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้นำเหล่านั้นตามหลัง เทียนซิงเจี้ยนและตามหลังปู่ของเสี่ยวหลิง ขณะที่พวกเขาเดินไปที่ประตูใหญ่ทั้งเจ็ดของสุสานโบราณ


“ผู้เฒ่า มีประตูเจ็ดสีเจ็ดบานอยู่ที่นี่ อันไหนคือประตูสู่ขุมทรัพย์ล่ะ? รีบนำทางไป และอย่าพาข้าไปผิดทางล่ะ ไม่งั้น ฮิฮิ…”


ชายวัยกลางคนผลักชายชราออกไปข้างๆ และบอกให้เขานำทางไป เมื่อพวกเขามาถึงประตูใหญ่ทั้งเจ็ด เขาพูดกับชายชราว่า “เห็นได้ชัดว่าตาเฒ่านี้เป็นคนเดียวที่รู้ทาง ถ้าพวกเราจะต้องค้นหาเอง ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน “


กับเมื่อมีใครบางคนนำทาง พวกเขาไม่ต้องการที่จะค่อยๆงมหาทางกันเอง ไม่ว่าในกรณีใด สหายเฒ่าคนนี้ถูกมอมยา จึงเชื่อฟังพวกเขา


แน่นอนว่าปู่ของเสี่ยวหลิงดูเหมือนจะได้รับคำสั่ง เขาทำตามคำสั่งของชายวัยกลางคน และเริ่มเดินไปข้างหน้า และในทิศทางนั้น เป็นทิศทางที่เสี่ยวหลิงพาเขาไปยังห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นทางเดินสีส้ม


“ ให้ตายเถอะ ปู่ของหลิงน้อยอยู่ภายใต้การควบคุมจริงๆแล้ว หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะมุ่งตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณ ” เมื่อเห็นเช่นนั้น ลู่หยางก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ


“เอาล่ะ ทุกคน ตามข้ามา!” ชายวัยกลางคนตะโกนเรียกกลุ่มผู้คุมอสูรระดับกลางที่อยู่ข้างหลังเขา จากนั้นทั้งกลุ่มก็เดินไปที่ประตูสีส้มของสุสานโบราณ


“ เฮ้อ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าปู่ของหลิงจะอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน นี่เป็นเรื่องลำบากมาก ถ้าข้าไม่สามารถฆ่าทุกคนในอีกด้านหนึ่งได้ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเอาปู่ของหลิงน้อยไป “


“ช่างเถอะ จัดการผู้คุมอสูรระดับกลางสิบคนนั้นก่อนดีกว่า” ลู่หยางรู้สึกได้ถึงกลุ่มคนที่กำลังเข้ามาใกล้ที่ประตูสีส้ม และคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป


“ ฮ่า ๆ ข้ารอวันนี้มานานแล้ว หลังจากที่ข้าได้รับสมบัติที่นี่ จะไม่มีใครในตระกูลที่กล้าตั้งคำถามกับตำแหน่งของข้า แม้แต่พี่ใหญ่ก็เถียงข้าไม่ได้หรอก ฮึ่ม” เทียนซิงเจี้ยนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ในขณะที่เขาคิดว่าตำแหน่งของเขาในตระกูลนั้นจะพุ่งสูงขึ้นแค่ไหนหลังจากที่เขากลับไปพร้อมกับทรัพย์สมบัติ


กลุ่มนั้นเข้าสู่ทางสีส้มอย่างรวดเร็ว ขณะที่ลู่หยางแอบออกมาจากทางเดินสีแดงและค่อยๆหาทางดักจับอีกฝ่ายจากด้านหลัง ระยะห่างนี้เป็นขีดจำกัดของการรับรู้ของลู่หยาง และอีกฝ่ายจะไม่สามารถรับรู้ถึงเขาได้เนื่องจากอีกฝ่ายไม่มีพลังทางจิตวิญญาณใด ๆ ที่ทรงพลังเท่าผู้จารึกระดับสูง


SB:ตอนที่ 164 การโจมตี


ลู่หยางตามหลังไปติดๆ เขารู้สึกได้ว่าผู้คุมอสูรระดับกลางสิบคนกำลังเดินอยู่ด้านหลังของกลุ่ม นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาที่จะได้จัดการผู้คุมอสูรระดับกลางสิบคนนี้


โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ลู่หยางก็ปกปิดพลังฉีของตัวเอง แล้วขยับเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้นต่อไป


“ ถนนเส้นนี้แคบจริงๆ คนสามคนเดินเคียงข้างกันก็แน่นแล้ว แล้วถ้าเราเจอกับดักเราจะหลบหลีกได้ยังไง “


ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำนั้นสูงไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบอุโมงค์ที่คับแคบเหล่านี้ เขาไม่ชอบเวลาที่เขายืดแขนออกแล้วรู้สึกเหมือนกำลังจะแตะกำแพง


“ นี่ นี่ อย่าเพิ่งใจร้อน เมื่อท่านพบทรัพย์สมบัติแล้ว ท่านจะไม่สนใจสิ่งเหล่านี้”


ผู้อาวุโสในชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆเทียนซิงเจี้ยนหัวเราะเบา ๆ และกล่าวกับชายวัยกลางคนด้วยเสียงต่ำๆ


ดูเหมือนว่าเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับชายวัยกลางคน และนอกเหนือจากเทียนซิงเจี้ยนแล้ว เขาไม่ได้มองคนอื่น ๆเลย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้จริงจังกับพวกเขานัก


ชายวัยกลางคนรีบปิดปากไม่กล้าพูดอะไรมากอีก เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชราก็ได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก เขายังคงเดินหน้าต่อไปในอุโมงค์


“ ชิ ชิ ชิ ชิ!” เข็มเงินหลายสิบเล่มพุ่งออกมาจากฝ่ามือของลู่หยาง นำพาแสงสีเงินที่ส่องผ่านอุโมงค์มืดๆมัวๆเล็งไปที่หัวของผู้คุมอสูรระดับกลางทั้งสามที่อยู่ด้านหลัง เข็มเงินแทงทะลุหัวของพวกเขาอย่างแมนยำ หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ตัวแข็งทันทีแล้วล้มลงกับพื้น


“พลั่บบ!”


” เกิดอะไรขึ้นนี่!?” นั่นมันเสียงอะไร” ชายวัยกลางคนที่เดินอยู่แถวแรกกับเทียนซิงเจี้ยน และชายชราสังเกตเห็นความผิดปกติที่อยู่ข้างหลังทันที


เมื่ออีกฝ่ายค้นพบสถานการณ์และตอบโต้ ลู่หยางก็โจมตีอีกครั้งโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายในการตอบโต้แม้แต่น้อย และหลังจากปล่อยเข็มเงินอีกสิบเล่มในเวลาเดียวกัน ผู้คุมอสูรระดับกลางสามคนก็ถูกยิงเข้าที่ใบหน้าอย่างจังและเสียชีวิตทันที สภาพการตายของพวกเขาน่าเกลียดมาก แต่ลู่หยางไม่มีเวลาใส่ใจกับรูปลักษณ์ของคนตายเหล่านี้ เขาหันหลังกลับทันทีและออกจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว


ถ้าเขาจะต่อสู้กับคนเหล่านี้ตัวต่อตัว เขาจะไม่รีบร้อนที่จะจากไป อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมีข้อได้เปรียบในด้านจำนวนคน และพวกเขาทั้งหมดแข็งแกร่งกว่าเขา ดังนั้นจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะต่อสู้กับพวกเขา


สิ่งที่ควรทำที่สุดตอนนี้คือถอยก่อน เมื่ออีกฝ่ายส่งคนมาฆ่าเขา เขาก็จะตอบโต้อย่างลับๆ การลดจำนวนและความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามทีละน้อยๆจะเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะ


ดังนั้นลู่หยางจึงไม่รีบร้อนที่จะต่อสู้กับพวกเขา


ก่อนที่อีกฝ่ายจะเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน ลู่หยางได้วิ่งออกไปจากทางเดินแล้วและรีบซ่อนตัวในทางอื่นเพื่อรอให้การลอบสังหารเกิดขึ้น


“ ไอ้บ้าเอ้ย มันเป็นใคร?” เทียนซิงเจี้ยนที่เดินอยู่ข้างหน้ารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบไปตรวจดู พบศพหกศพนอนระเกะระกะอยู่บนพื้น


“เจ้ากล้าดียังไง!” เจ้ากล้าฆ่าคนเรา ไม่ว่าจะเป็นใครข้าจะฉีกเจ้าทิ้ง! “


หลังจากดูศพทั้งหกแล้ว ชายวัยกลางคนก็ตะโกนอย่างโกรธแค้นไปที่อุโมงค์ แม้แต่ลู่หยางที่กำลังวิ่งหนีด้วยเสียงที่ดังที่สุดก็ยังได้ยินเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกกลัวเลยหลังจากที่ได้ยิน ในทางตรงกันข้าม เขามีความสุขเพราะเขาได้รับประโยชน์มากมายจากการลอบสังหาร ในขั้นแรกทำให้มีผู้เสียชีวิตหกในสิบเจ็ดคนเหลือเพียงสิบเอ็ดคน


แต่จากนี้ไปการลอบสังหารของลู่หยางคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอีกฝ่ายรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเขาแล้ว พวกเขาจะต้องคุ้มกันแน่นอน เป็นผลให้ถ้าลู่หยางต้องการลดความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เขาก็คงไม่สามารถลอบโจมตีจากด้านหลังได้อีกแล้ว


นั่นหมายความว่าลู่หยางสามารถไปจากทางแยกถัดไปในทางเดินสีแดงไปยังทางแยกถัดไปในทางเดินสีส้ม และตราบใดที่เขาก้าวไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่านี้ และรออยู่ข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้คนของอีกฝ่ายมาถึง เขาก็จะสามารถทำการลอบโจมตีได้


ฝ่ายนั้นต้องไม่ทันได้คิดเกี่ยวกับประเด็นนี้เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเส้นทางเลย สิ่งที่ทำได้คือเดินตามหลังปู่ของเสี่ยวหลิงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า และเดินไปบนถนนที่นำไปสู่ห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณ ในระหว่างนี้ ลู่หยางสามารถทำการลอบโจมตีได้หลายครั้ง


“นี่ นี่ ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะถูกทำโดยผีตนนั้น” ผู้อาวุโสในชุดดำกล่าวหลังจากมองดูศพทั้งหกแล้ว


“อะไรนะ? เป็นไปได้ยังไง?! ไม่ใช่แค่ผู้คุมอสูรระดับกลางหรือ เขาจะฆ่าคนที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับเขาได้ยังไง? ข้าจะไม่เชื่อ เว้นแต่จะได้เห็นด้วยตาของข้าเอง “


เทียนซิงเจี้ยนกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้คุมอสูรระดับกลางที่ตายทั้งหกนี้จะถูกสังหารโดยผู้คุมอสูรในระดับเดียวกันในระยะเวลาอันสั้น


“ ผู้อาวุโสที่เจ็ด นี่ไม่น่าจะเกิดจากผู้คุมอสูรระดับกลางใช่ไหม? ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คนๆนั้นต้องมีความแข็งแกร่งระดับผู้คุมอสูรระดับสูงในการที่จะทำเช่นนี้โดยง่ายดาย! ” ชายวัยกลางคนอดที่จะพูดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อว่านี่เป็นการกระทำของผู้คุมอสูรระดับกลาง


“ฮ่า ฮ่าเราจะเข้าใจเมื่อได้พบไอ้หมอนั่นอีกครั้ง” ชายชราหัวเราะด้วยเสียงต่ำๆซึ่งทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน


หลังจากนั้น ภายใต้คำสั่งของชายวัยกลางคน พวกเขาเปลี่ยนการกระจายตัวของผู้คนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยวางผู้คุมอสูรระดับสูงสามคนไว้แถวสุดท้าย ปล่อยให้พวกเขาเดินไปด้านหลัง พวกเขาเชื่อว่า ไอ้หมอนั่นจะไม่สามารถฆ่าผู้คุมอสูรระดับสูงทั้งสามได้อย่างง่ายดาย


คนที่เดินอยู่ข้างหน้าเป็นเขา นายน้อยที่สองเทียน และผู้อาวุโสในชุดดำซึ่งก็เป็นผู้อาวุโสที่เจ็ดที่เขาพูดถึง


ผู้คุมอสูรระดับกลางที่เหลืออีกสี่คนเดินตรงกลางพร้อมกับอีกคนหนึ่ง


หลังจากนั้นไม่นาน ตามคำแนะนำของชายวัยกลางคน กลุ่มคนก็เดินไปตามอุโมงค์เป็นเส้นตรง แน่นอน เทียนซิงเจี้ยนอยู่แถวที่สองในขณะที่แถวแรกเป็นของชายวัยกลางคนและผู้อาวุโสในชุดดำ


อาจกล่าวได้ว่ารูปแบบนี้ดีที่สุด และเป็นเรื่องยากมากที่ลู่หยางจะทำการโจมตีในภายหลังเพราะเขาอยู่ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก รอการปรากฏตัวของคนกลุ่มนี้อยู่และทั้งสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาเดินอยู่ข้างหน้าแล้ว นี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับลู่หยางอย่างไม่ต้องสงสัย


ในตอนนี้ ลู่หยางกำลังรอให้อีกฝ่ายมาถึงตรงหน้าเขาไม่กี่ร้อยเมตร เขาได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาแล้ว และในขณะที่อีกฝ่ายปรากฏตัวในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรจากที่ที่ลู่หยางอยู่ เขาก็จะรู้สึกได้ทันทีและตอบสนองได้


“ ฮึ่ม ถ้าข้าได้พบกับเจ้านั่นอีก  เขาจะต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายแน่นอน เขาช่างกล้าเข้ามายุ่งเรื่องของข้าจริงๆ เขาคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว! “


เทียนซิงเจี้ยนเดินไปตามทางเดินของสุสานโบราณในขณะที่พึมพำกับตัวเองเกี่ยวกับลู่หยาง ราวกับว่าเขาเกลียดลู่หยางเต็มทน ในขั้นต้น เพราะเขาไม่ได้จับเสี่ยวหลิงมาก่อน เขาจึงไม่สามารถทำให้ปู่ของหลิงปริปากพูดได้ ดังนั้นเขาจึงต้องจ่ายราคาแพงเพื่อซื้อยาหลอนประสาทเพื่อให้ชายชรายอมพูดได้ อย่างไรก็ตาม ยาหลอนประสาทไม่ใช่ยาราคาถูกและผลของมันมีผลเฉพาะกับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าผู้คุมอสูรระดับสูง ดังนั้นจึงไม่ถูกเช่นกัน


แม้ว่าเขาจะเป็นนายน้อยคนที่สอง แต่ยาเม็ดคุณภาพสูงชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถนำออกมาและกินเป็นยาเม็ดได้โดยไม่ตั้งใจ และเขาได้ใช้เงินเก็บของเขาไปมาก เขาจึงไม่พอใจกับเรื่องนี้


“ เอาล่ะ ปล่อยให้นายน้อยใจเย็น ๆ ในเมื่อไอ้หมอนี่ได้ลงมือแล้ว เขาอาจจะไม่เพียงแค่ลอบโจมตีครั้งแรก จะต้องมีอีกแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง จะไม่มีวันหวนกลับ”


ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างหน้าหันกลับมาแล้วพูดกับนายน้อยที่สองเทียนผู้ซึ่งกำลังอารมณ์เสีย


“ ฮึ่ม อย่าเพิ่งรีบฆ่าไอ้สารเลวคนนั้น ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ ข้าอยากเห็นนักว่าใครกล้าเข้ามายุ่งในเรื่องของเรา ” เทียนซิงเจี้ยนตะคอกอย่างเย็นชาและกล่าว


“ใช่ เราจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่แน่นอน เพื่อให้ท่านจัดการทีหลัง นายน้อยที่สอง” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความเคารพ


“ อืม แต่สุสานโบราณนี้ค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว ข้าคิดว่าในสุสานโบราณแห่งนี้น่าจะมีสมบัติหายากอยู่ไม่น้อย ข้าหวังว่าพวกมันจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ข้าใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ “


เทียนซิงเจี้ยนกล่าวขณะที่เขาเดินไปตามทางเดิน ในขณะเดียวกันเขาก็มองไปรอบ ๆ สุสานโบราณอันยิ่งใหญ่


“ นายน้อยที่สอง ตามการสังเกตของข้า เจ้าของสุสานโบราณนี้อย่างน้อยก็เป็นยอดฝีมือซวนตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ หาไม่แล้ว เขาจะไม่สามารถสร้างสุสานขนาดใหญ่เช่นนี้ได้หรอก ข้าคิดว่าพวกเราจะได้ผลตอบแทนที่ดีจากการเดินทางครั้งนี้ ” ผู้อาวุโสชุดดำหัวเราะ


เมื่อเขาคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะได้รับสมบัติล้ำค่าระหว่างการเดินทางของเขา เทียนซิงเจี้ยนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ด้วยวิธีนี้ เมื่อเขากลับไปที่ตระกูล สถานะของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และพ่อของเขาก็จะมอบตำแหน่งผู้สมัครในการเป็นหัวหน้าตระกูลให้กับเขา


เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของชายชรา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นราวกับว่าเหตุการณ์การลอบโจมตีของลู่หยาง ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาทั้งหมดจมอยู่กับภาพลวงตาของสมบัติที่ซ่อนอยู่ในสุสานโบราณ


พวกเขาแทบไม่รู้เลยว่าอีกไม่ไกลข้างหน้านั้น ลู่หยางอดทนรอให้พวกเขามาถึง


แม้ว่าลู่หยางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้เปลี่ยนรูปแบบของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการของเขามากนักเพราะแผนของเขาคือรอที่ทางแยกถัดไปเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ แล้วก็เปิดการลอบโจมตีทันที อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน เพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งโกรธ แล้วเขาก็ถอยกลับและซ่อนตัวอยู่ในทางเดินอีกครั้ง


จะเป็นการดีที่สุดถ้าอีกฝ่ายส่งคนมาที่นี่ เขาสามารถใช้กลไกในทางเดินเพื่อทำการตอบโต้ และทำให้กำลังของศัตรูอ่อนแอลงอีกครั้ง


ถ้าเขาสามารถระงับอารมณ์ได้และไม่ส่งใครมาฆ่าเขา เขาก็ต้องโจมตีจากด้านหลัง


SB:ตอนที่ 165 ปัญหา


แน่นอนว่าลู่หยางยังคงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งและนั่นก็คือคู่ต่อสู้ของเขากำลังใช้ปู่ของเสี่ยวหลิงเพื่อคุกคามเขา หากเป็นเช่นนั้น เขาไม่รู้จะทำอย่างไร และจะไม่รีบร้อนที่จะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคู่ต่อสู้ของเขา


“พวกเขากำลังมา. เอ๊ะ? คนที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนกำลังเดินอยู่ข้างหน้าจริงๆ นี่มันชักจะลำบากเสียแล้ว”


ทันใดนั้นลู่หยางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้เปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว แต่เขาทำได้เพียงยิ้มตอบ นอกจากนี้ยังมีคนที่มีสมองที่ดีในอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ของเขา


“ ท่านคิดว่าเพียงพอแล้วหรือที่ท่านจะอยู่แนวหน้าตราบเท่าที่ท่านคิดว่าท่านแข็งแกร่งที่สุด? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะโจมตีจากด้านหลัง! “


มุมปากของลู่หยางโค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มจาง ๆ จากนั้นเขาก็หายตัวไปกลายเป็นเงาดำที่ลอยแวบผ่านทางเดินไปอย่างรวดเร็ว


เงาสีดำฉายออกมาจากอุโมงค์แห่งหนึ่ง จากนั้นก็กระพริบราวกับผีเข้าสู่อีกแห่งหนึ่ง ร่างที่แวบผ่านมาคือลู่หยางแน่นอน ในขณะที่เขาอยู่ห่างจากทางเดินเท้าเพียงไม่กี่สิบเมตร แต่อีกฝ่ายก็ระมัดระวังตัวมากเช่นกัน และเมื่อลู่หยางเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็สังเกตเห็นทันทีและเตรียมพร้อมป้องกันทันที


ในวินาทีถัดมา ลู่หยางปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา แต่เขาไม่หยุดเคลื่อนไหว แต่ยังคงก้าวต่อไปในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา


ชูวว์! ชูวว์! ชูวว์! ชูวว์! ชูวว์! หลังจากเรียกระฆังทองคำอมตะออกมาเพื่อปกป้องร่างกายของเขาเอง เขาก็หยิบดาบสังหารมังกรออกมาและถ่ายเทพลังงานวิญญาณของเขาลงบนดาบสังหารมังกร และแล้วดาบพลังฉีก็พุ่งตรงไปยังคู่ต่อสู้ของเขา


ในเวลาเดียวกับที่ดาบพลังฉีพุ่งออกมา แสงเย็นๆก็กระพริบขึ้นในดวงตาของลู่หยาง เข็มเงินร้อยเข็มในมือของเขาก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ในทางแคบๆ การที่จะหลบหลีกการโจมตีเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ ก็ทำได้


“ฮึ่ม ทักษะจิ๊บจ๊อยเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถทำร้ายข้าด้วยสิ่งเหล่านี้เหรอ!?” ชายวัยกลางคนในแถวแรกตะคอกอย่างเย็นชา ทันใดนั้น เขาก็ฟาดฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาเข้าปะทะโดยตรงกับดาบพลังฉีที่เข้ามา


ในทางกลับกัน ผู้อาวุโสในชุดดำหลบเข็มเงินของลู่หยางด้วยความว่องไวแปลก ๆ ลู่หยางตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสในชุดดำเป็นระดับที่น่ากลัวมาก หลายคนโดนเข็มเงินร้อยเข็มของลู่หยางเจาะแก้มบ้าง ทะลุศีรษะบ้าง และเสียชีวิตในจุดนั้น


อย่างไรก็ตาม นายน้อยที่สองเทียนซิงเจี้ยนไม่ได้รับอันตรายมากนัก เขาเป็นผู้คุมอสูรระดับสูง ดังนั้นเขาจึงสามารถหลบการโจมตีดังกล่าวได้ เป็นเพียงว่า ไม่มีผู้คุมอสูรระดับกลางที่อยู่เบื้องหลังเขารอดชีวิต ทั้งหมดเสียชีวิต ราวกับว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ของลู่หยางพุ่งเป้าไปที่ผู้คุมอสูรระดับกลางเพราะพวกเขามองไม่เห็นการโจมตีของลู่หยางจากด้านหน้า


อันที่จริง นั่นเป็นแผนของลู่หยางเอง ก่อนอื่น เขาจะกำจัดผู้คุมอสูรระดับกลางทั้งหมดของศัตรู จากนั้นจะรีบขจัดพวกมันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น เขาจะวางแผนสิ่งต่างๆ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนของลู่หยาง


“ ฮึ่ม เจ้าสารเลว เจ้ายังอยากไปหลังจากฆ่าคนแล้วรึ? เจ้านี่ช่างวางแผนเก่งจริงๆ! ” ทันใดนั้น ผู้อาวุโสในชุดดำก็หัวเราะเยาะด้วยแววตาที่ไร้ความปรานี จากนั้น เขาก็พูดกับชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเขา: “ชิหยู ไปเอาเด็กสารเลวคนนี้มา แล้วอย่าฆ่าเขา ปล่อยให้นายน้อยที่สองจัดการเอง “


“ไม่มีปัญหา ปล่อยเรื่องเด็กคนนี้ไว้กับข้า” ชายวัยกลางคนซึ่งก็เหมือนกับชายชราตอบทันที


หลังจากที่ดาบพลังฉีถูกชายคนนั้นสกัดกั้น ลู่หยางก็วางแผนที่จะล่าถอยชั่วคราว เขาไม่รีบร้อนที่จะต่อสู้กับเขาเนื่องจากชายคนนั้นยังคงเหนือกว่าเขาอยู่

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายไม่ได้ให้โอกาสกับลู่หยาง ชายวัยกลางคนที่เรียกว่า ชิหยู ผู้ซึ่งร่างกายทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณอันทรงพลังของผู้คุมอสูรระดับสูงทันใดนั้นก็พุ่งเข้าหาลู่หยาง


“ ไอ้หนู เจ้ายังอยากวิ่งไล่ฆ่าคนอีกเหรอ? มันไม่ง่ายอย่างนั้น! ” ชายวัยกลางคนรีบวิ่งไปข้างหน้าลู่หยาง แล้วซัดฝ่ามือหนัก ๆ ลงบนหน้าอกของเขา โชคดีที่ลู่หยางโต้ตอบได้เร็ว เขาใช้ความสามารถโดยกำเนิดของเขา พายุหมุนเฮอริเคน เพื่อรับฝ่ามืออันทรงพลังของคู่ต่อสู้ทันที


อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบุคคลผู้นี้ถึงจุดสูงสุดของผู้คุมอสูรระดับสูง พลังวิญญาณที่หนาแน่นทำให้ลู่หยางรู้สึกกดดันอย่างมาก และเขาถูกฝ่ามือนี้บังคับให้ถอยหลังไปสองสามก้าว


ดวงตาของลู่หยางเย็นชายิ่งขึ้นขณะเมื่อเขากระโดดลงมาจากกำแพงหินและร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง เมื่ออีกฝ่ายเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอีกครั้ง ลู่หยางทำหน้าเย้ยหยัน จากนั้นยกมือซ้ายขึ้นแล้วดึงแรง ๆ


“ ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ…”


“อะไรนี่!”


“ชิหยู ระวัง!”


เข็มเงินร้อยเล่มที่แทงทะลุผู้คุมอสูรระดับกลางนั้นลอยออกไปทันทีราวกับว่าพวกมันได้รับคำสั่ง ในวินาทีต่อมา พวกมันยิงเข้าใส่ชายวัยกลางคนอย่างแรง


ผู้อาวุโสในชุดดำสังเกตเห็นเข็มสีเงินเหล่านี้ในทันที และด้วยสายตาที่เฉียบคมของเขา เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าเข็มเหล่านี้อาจทำร้ายชายวัยกลางคนได้ เขารีบตะโกนบอกทันทีเพื่อเตือนเขาถึงอันตราย


“ฮึ่ม ไอ้สารเลว อย่าบอกนะว่ารู้จักแต่วิธีลอบโจมตี!”


เมื่อได้ยินคำเตือนของผู้อาวุโสในชุดดำ ชายวัยกลางคนจึงหันหน้าไปมอง แล้วก็เห็นเข็มเงินร้อยเล่มพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่องรอยของแสงสีเงิน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที


“ฮึ่ม เคล็ดลับนี้ใช้ไม่ได้ในครั้งแรกหรอก ครั้งที่สองก็เปล่าประโยชน์เช่นกัน!”


ชายวัยกลางคนร้องตะโกนแล้วหยิบใบมีดโค้งสีขาวออกมา ขนาดของใบมีดนั้นคล้ายกับร่างกายของชายคนนั้น มันหนักมาก ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนนั้นเป็นประเภทพละกำลังซึ่งหมายความว่าความเร็วของเขาไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แน่นอนว่าเขาจะไม่เร็วไปกว่าลู่หยาง


“ ดิ๊ง ดิ๊ง ดิ๊ง…” ชายวัยกลางคนพยายามอย่างเต็มที่ในขณะที่เขาโบกดาบในมืออย่างต่อเนื่อง เขาหักเหเข็มเงินร้อยเล่มที่ยิงใส่เขา ทุกครั้งที่มันปะทะกันเสียงแหลมจะดังขึ้น


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกล้าที่จะหันหลังให้เขา และมุ่งความสนใจไปที่เข็มสีเงิน ลู่หยางรู้สึกว่ามันตลกสิ้นดี แต่เขายังคงควบคุมดาบสังหารมังกรด้วยความเร็วที่รวดเร็วมากพร้อมกับท่าทางที่โอ่อ่า มันยิงออกมาอย่างดุเดือด คราวนี้ดาบสังหารมังกรดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก


“ชิหยู ระวังตัว ไอ้เด็กนั่นซุ่มอีก!”


เมื่อสัมผัสถึงรัศมีของดาบสังหารมังกร ใบหน้าของผู้อาวุโสในชุดดำก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบตะโกนใส่ชายวัยกลางคนบอกให้ระวังตัว


“ ฮึ่ม ไอ้สารเลวนี้รู้แต่วิธีลอบโจมตีเท่านั้นหรือ? ช่างน่าขันขะนี่!”


“ไปลงนรกซะ!”


ชายวัยกลางคนคำราม จากนั้นเข็มเงินหนึ่งร้อยเข็มก็เด้งกลับมา ในช่วงเวลาต่อมา ชายคนนั้นหันกลับมาและโบกดาบสีขาวไปทางดาบสังหารมังกรอีกครั้งราวกับว่าการลงมือของคู่ต่อสู้ไม่ได้อยู่ในสายตาเขา


“ติ๊ง!” ใบมีดโค้งงอสีขาวขนาดใหญ่และดาบสังหารมังกรของลู่หยางปะทะเข้ากัน ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ทำให้ผนังหินทั้งสองด้านสั่นสะเทือน แต่มันก็เป็นเพียงเสี้ยววินาที จากนั้นมันก็สงบลงอีกครั้ง


สำหรับชายวัยกลางคน เขาเยาะเย้ย และทันใดนั้นก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น ในมือของเขาที่จับใบมีดเหวี่ยงดาบสังหารมังกรออกไปด้านข้าง


และในเวลานี้หมัดของลู่หยางชกไปข้างหน้าอย่างไร้ความปราณีต่อหน้าคู่ต่อสู้ที่หยิ่งผยองและดูถูกเหยียดหยาม


เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าลู่หยางกล้าที่จะต่อสู้กับเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันตลก แต่การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมากและเขาก็โบกดาบสีขาวทันที และฟาดไปที่หมัดของลู่หยางราวกับว่า เขาคิดว่าดาบสองคมของเขาเหนือกว่าและไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาคิดเพียงว่าหมัดของฝ่ายตรงข้ามจะถูกแบ่งออกเป็นสองข้างโดยดาบสองคมของเขาในอีกไม่กี่อึดใจ


อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง


“ติ๊ง!” เสียงโลหะที่แตกละเอียดดังมาจากในอุโมงค์ นอกเหนือจากลู่หยางแล้ว ทุกๆคนต่างก็ตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า


ชายวัยกลางคนที่มีดาบสีขาวระเบิดหัวของเขาเองด้วยหมัดเดียว ทันใดนั้นเลือดจำนวนมากก็ไหลออกมาจากทางเดินและกลิ่นเหม็นของเลือดก็เริ่มคละคลุ้งไปในอากาศ


อีกฝ่ายเสียชีวิตโดยไม่เข้าใจว่าเขาตายด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มนิรนามได้อย่างไร นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นความอัปยศอดสูแบบไหนก็ไม่สำคัญอีกต่อไปเพราะเขาได้ตายไปแล้ว


นี่… “นี่เป็นไปได้ยังไง ?… ” ชิหยู เป็นผู้คุมอสูรระดับสูงเช่นเดียวกับข้า เขาจะระเบิดหัวของเขาด้วยหมัดได้ยังไง? นี่ข้ากำลังฝันไปใช่มั้ย? “เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นไปไม่ได้!”


เทียนซิงเจี้ยนที่เฝ้าดูการต่อสู้จากด้านหลังมีสีหน้าไม่เชื่อในขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินไปและเขาไม่อาจยอมรับได้เลย


ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสชุดดำที่เกี่ยวข้องกับชายวัยกลางคนก็ยังดูไม่เชื่อสายตา ร่องรอยแห่งความเศร้าโศกปรากฏในดวงตาของเขา หลังจากนั้น ความเศร้าโศกบนใบหน้าได้แปรเปลึ่ยนเป็นความโกรธและความเกลียดชังและก่อนที่ลู่หยางจะตัดศีรษะของชายวัยกลางคนนั้น เขาก็รีบวิ่งหนีไปด้วยดาบสังหารมังกรของเขาแล้ว


รูปแบบการต่อสู้แบบนี้อาจจะดูไร้ยางอาย แต่จำนวนคนและความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหนือกว่าเขาทั้งหมด ดังนั้นการเป็นคนโกงก็ดีกว่าต้องตาย ลู่หยางคิดในขณะที่เขาถอยออกไปอย่างรวดเร็ว


“ ไอ้สารเลว ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไป! ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นพันๆชิ้น และฆ่าเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”


เมื่อผู้อาวุโสในชุดดำตอบสนอง ลู่หยางก็หายไปแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เสียงคำรามดังก้องอยู่ในอุโมงค์เป็นเวลานานและเมื่อลู่หยางซึ่งกำลังวิ่งอยู่ห่างออกไปได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของชายชรา เขาเพียงแต่เม้มริมฝีปากโดยไม่ยอมรับ


“ไอ้สารเลว อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีก ไม่งั้นข้าจะหั่นศพเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้น แล้วเจ้าจะตายอย่างสยดสยอง!” เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโสในชุดดำดังก้องในทางเดินของสุสานโบราณอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็สงบลง


ในตอนนี้ ลู่หยางได้อพยพไปยังอุโมงค์อื่นแล้วเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแผนการต่อไปของเขา


“ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของข้าถูกเปิดเผยแล้ว ถ้าข้าจะต่อกรกับชายชราคนนั้น ข้าเกรงว่ามันจะอันตรายมาก ดูเหมือนว่าข้าจะต้องพึ่งศพแห้งๆพวกนั้นแล้ว”


ลู่หยางคิดกับตัวเองในทางเดินที่ไร้แสงมืดสนิท ตอนนี้ถ้าเขาต้องการฆ่าคนที่เหลืออยู่ของฝ่ายตรงข้าม การใช้การลอบโจมตีพวกเขาแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว


คู่ต่อสู้ของเขาคือผู้คุมอสูรระดับสูงซึ่งมีความใกล้เคียงผู้คุมอสูรระดับเหลืองอย่างมาก การดันทุรังต่อสู้ต่อนั้นเท่ากับรนหาที่ตายเท่านั้น นอกเหนือจากการใช้หุ่นมัมมี่เพื่อสร้างความโกลาหลและเปิดการโจมตีแบบลับๆ ลู่หยางไม่สามารถคิดวิธีที่ดีกว่าในการจัดการกับพวกนั้นได้


“ ช่างมัน ปล่อยให้ไอ้สารเลวนั่นภูมิใจกับตัวมันเองไป ถ้ามันยังกล้ามาที่นี่อีก ลองตัดมือมันออกซักช้างสิ ดูซิว่ามันจะมีน้ำหน้ายังไง!”


เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้เป็นเพียงผู้นำทางของพวกเขา ทันทีที่พวกเขาพบสมบัติในสุสานโบราณ พวกเขาจะฆ่าชายชราคนนี้อย่างไร้ความปราณีซึ่งเป็นปู่ของเสี่ยวหลิงด้วย


เพียงแค่ชายชราคนนี้ยังมีประโยชน์ต่อพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ฆ่าเขา อย่างไรก็ตาม การหักแขนของเขาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการนำทางมากนัก ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถหาสมบัติของสุสานโบราณได้ พวกเขาจะไม่สนใจว่าชายชราคนนี้จะเป็นยังไง


SB:ตอนที่ 166 ความสับสน


“ แม้ว่าข้าจะเพิ่งฆ่าผู้คุมอสูรระดับกลางที่เหลือและผู้คุมอสูรระดับสูง แต่ผู้อาวุโสในชุดดำคนนั้นและผู้คุมอสูรระดับสูงคนอื่น ๆ คือหายนะที่แท้จริง คนที่อยู่ตรงหน้าข้าแค่สร้างความเกลียดชังให้ตัวข้าเองเท่านั้น” แม้ว่าการลอบโจมตีของเขาจะประสบความสำเร็จ แต่ลู่หยางก็ยังไม่พอใจ


ในความคิดของเขา ผู้อาวุโสในชุดดำข้างๆเทียนซิงเจี้ยนคือกุญแจสำคัญ ถ้าเขาต้องการช่วยปู่ของเสี่ยวหลิง เขาต้องคิดหาวิธีที่จะทำร้ายหรือฆ่าเขา มิฉะนั้นแม้ว่าเขาจะฆ่าเทียนซิงเจี้ยน แต่ก็อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของเขาที่นั่น


เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ความเร็วของลู่หยางก็เร็วขึ้นและเร็วขึ้น และไม่นานนัก เขาก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงกับหุ่นมัมมี่ ตอนนี้ เขาต้องคิดหาวิธีซ่อนตัวในบริเวณใกล้เคียงโดยที่หุ่นมัมมี่จะไม่พบเขา


 


หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ลู่หยางก็กลั้นหายใจและเดินไปหาหุ่นมัมมี่


ภายใต้สถานการณ์ปกติ หุ่นมัมมี่เหล่านี้จะตื่นตระหนกเมื่อเขามาถึงในระยะทางไม่ถึงสามร้อยเมตรจากพวกมัน หุ่นมัมมี่เหล่านี้จะเริ่มการโจมตีหากอยู่ภายในสองร้อยเมตร


แต่ตอนนี้ หุ่นศพเหล่านี้ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเชื่อฟังด้วยสีหน้าเฉยเมย เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่พบเขา ด้วยวิธีนี้ ลู่หยางมีความคิดคร่าวๆว่าต้องทำอย่างไร


แน่นอน เขาจะสามารถเคลื่อนไหวได้ก็ต่อเมื่อเทียนซิงเจี้ยน และคนอื่น ๆ อยู่ใกล้กับเขา มิฉะนั้น แผนการทั้งหมดของเขาจะไร้ผล


หลังจากเตรียมการทั้งหมดแล้ว ลู่หยางก็ซ่อนตัวอยู่ในทางเดินที่ห่างจากหุ่นมัมมี่ประมาณสามร้อยเมตร


 


เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเขาวงกตของสุสานโบราณ และยังเป็นเส้นทางเดียวที่พวกเขาต้องผ่าน ลู่หยางมุ่งมั่นว่าพวกเขาจะมาที่นี่อย่างรวดเร็ว


แท้จริงแล้ว ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งในสี่ของชั่วโมง ลู่หยางสามารถเห็นแสงบางอย่างค่อยๆปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ในตอนแรก แสงนั้นเป็นเหมือนแสงของหิ่งห้อยที่กระจัดกระจาย แต่เมื่อเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา แสงก็สว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ จากรูปการณ์แล้ว ระยะห่างระหว่างแสงนั้นกับตัวเขาอยู่ที่แปดหรือเก้าร้อยเมตรแล้ว


“ เอาล่ะ พวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าสามารถซ่อนตัวใกล้กับหุ่นมัมมี่ได้! ” ลู่หยางมองไปที่หุ่นมัมมี่ที่อยู่ไม่ไกลและหัวเราะเยาะในใจ จากนั้น เขาก็หันกลับและหายไปในความมืด


ในขณะนี้ เทียนซิงเจี้ยน และกลุ่มของเขามาถึงบริเวณใกล้กับสถานที่ที่ ลู่หยางซ่อนอยู่อย่างช้าๆ


“หืมมม? ผู้อาวุโสที่เจ็ด มีใครบางคนอยู่ข้างหน้า! “ผู้คุมอสูรระดับสูงกำลังถืออุปกรณ์ส่องสว่างอยู่ ให้แสงของเครื่องมือส่องสว่างส่องออกไปให้ไกลที่สุด


ทันใดนั้น ร่างสีดำยืนอยู่ที่นั่น ร่างกายที่เหี่ยวเฉาของเขาไม่แสดงร่องรอยของการมีชีวิตอีกต่อไป ด้วยร่างกายที่ผอมแห้ง และดวงตาที่ว่างเปล่าของเขา เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้ตายไปแล้ว


“ มันคือหุ่นมัมมี่ใช่ไหม?” เมื่อเห็นหุ่นมัมมี่ที่เหมือนคนตายแล้ว ผู้คุมอสูรระดับสูงซึ่งเป็นผู้นำทางก็จำพวกมันได้ทันที


 


แม้ว่าเขาจะจำหุ่นมัมมี่ได้ แต่เขาก็ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความสามารถของมัน ดังนั้นเมื่อเขาเห็นหุ่นมัมมี่เขาก็หยุดโดยสัญชาตญาณ


เป็นที่ทราบกันดีว่าแม้ว่าภายนอกของหุ่นมัมมี่จำนวนมากจะดูเหมือนกัน แต่ก็มีโอกาสสูงที่ความแข็งแกร่งของพวกมันจะแตกต่างกันอย่างมาก หุ่นมัมมี่บางตัวที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้คุมอสูรระดับล้ำลึกสามารถสังหารผู้คุมอสูรระดับสูงได้อย่างง่ายดาย และผู้คุมอสูรระดับเหลืองบางคนก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน


ตามการคาดเดาก่อนหน้านี้ เจ้าของของสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นผู้คุมอสูรระดับล้ำลึก ดังนั้นความแข็งแกร่งของหุ่นมัมมี่เหล่านี้จึงค่อนข้างน่ากลัว


ดังนั้น เมื่อเทียนซิงเจี้ยน และคนอื่น ๆ ไปถึงที่นั่น พวกเขาทั้งหมดมองหน้ากันไม่กล้าขยับ


“ ให้ตายเถอะ ไอ้ขี้ขลาดกลุ่มนี้ พวกเขากลัวหุ่นมัมมี่สวะเช่นนี้จริงๆ คอยดูข้าช่วยพวกมัน!” เมื่อเห็นว่า เทียนซิงเจี้ยน และคนอื่น ๆ ล่าช้า ลู่หยางก็หรี่ตาและมีความคิดที่แย่กว่าเดิมในทันที


“ไปลงนรกซะ!” มือของลู่หยางสั่น แล้วเข็มเงินสิบเล่มก็พุ่งเข้าหาเทียนซิงเจี้ยนและคนอื่น ๆ


อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ ลู่หยางจะไม่ฆ่าหนึ่งในนั้น เป้าหมายของเขาคืออุปกรณ์ส่องสว่างที่อยู่ในมือของผู้คุมอสูรระดับสูง


ในเวลาเดียวกัน เขาก็เดินออกมาจากความมืด เตรียมที่จะสร้างความสับสนอลหม่านกับหุ่นมัมมี่มากขึ้น


“ ไอ้บ้าเอ้ย ไอ้สารเลวนั่นอยู่ใกล้ ๆนี่ พุ่งเข้าไป แล้วฆ่ามัน! ” เมื่อเห็นเข็มเงินที่พุ่งเข้ามา ผู้เฒ่าชุดดำก็ไม่ได้สนใจเลย เขาคำรามด้วยความโกรธทันที และโดยไม่สนใจที่จะสังเกตการณ์หุ่นมัมมี่อีกต่อไป เขานำคนอื่นๆพุ่งไปข้างหน้า


เขารู้ว่ายิ่งหุ่นมัมมี่ระดับสูงขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น ตอนนี้ พวกเขาอยู่ห่างจากหุ่นมัมมี่ไม่ถึงสามร้อยเมตร


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เขาอยู่ที่นี่แล้ว!” เมื่อเห็นผู้อาวุโสในชุดดำวิ่งไปก่อน ลู่หยางก็อดทนมานาน แต่เพื่อที่จะให้ได้ประสิทธิผลของการลอบโจมตีที่ดีที่สุด เขาต้องอดทน


“(โฮก)!” “(โฮก)!” “(โฮก)!” “(โฮก)!”


ความเร็วของผู้อาวุโสในชุดดำนั้นเร็วมาก และในพริบตาเดียว เขาก็พุ่งเข้าสู่ระยะการโจมตีของหุ่นมัมมี่แล้ว


“ แด๊ง แด๊ง แด๊ง…” เมื่อเผชิญกับเข็มสีเงิน ผู้อาวุโสชุดดำแค่ปัดมือของเขาขึ้นไปในอากาศเพื่อสกัดกั้นเข็มมากกว่าครึ่งหนึ่ง


 


แต่ในขณะนี้ หุ่นมัมมี่สามถึงสี่ตัวที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับผู้อาวุโสในชุดดำได้กระโจนเข้าใส่พวกเขาแล้ว


“หืมมม? หุ่นมัมมี่พวกนี้จะเร็วขนาดนี้ได้ยังไง? “ เดิมทีผู้อาวุโสในชุดดำไม่ได้ให้ความสนใจกับหุ่นมัมมี่พวกนี้มากนัก แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้หุ่นมัมมี่เหล่านี้ เขาก็ตระหนักว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด


“ไม่ดีแล้ว เราถูกหลอก!” ตอนนี้ ไม่ใช่แค่หุ่นมัมมี่เท่านั้นที่พุ่งเข้าใส่เขา แต่ยังมีเข็มเงินหลายสิบเล่มที่ยิงออกมาจากมือของลู่หยางด้วย


 


“ ไอ้สารเลว ถ้าข้าจับเจ้าได้ ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายเลย!” หากเป็นแค่เข็มเงิน หรือแม้แต่หุ่นมัมมี่ พวกมันจะไม่สามารถทำให้ผู้อาวุโสในชุดดำตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชได้


แต่สถานการณ์ตอนนี้คือทั้งสองอย่างกำลังทำร้ายผู้อาวุโสในชุดดำด้วยกัน และเพิ่มความจริงที่ว่าลู่หยางมีแนวโน้มที่จะแอบซุ่มอยู่ใกล้ ๆ  มันทำให้เขาเป็นกังวลและส่งผลต่อความสามารถของผู้อาวุโสในชุดดำในการปล่อยพละกำลังของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ โดยไม่คาดคิด เสื้อผ้าของผู้อาวุโสในชุดคลุมสีดำฉีกขาดออกด้วยเล็บอันแหลมคมของหุ่นมัมมี่


ในเวลาเดียวกัน หุ่นมัมมี่ก็ถูกส่งลอยห่างออกไปหลายสิบเมตรโดยการโจมตีที่โกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโสในชุดดำ และจากนั้นก็แตกเป็นชิ้น ๆ


 


“ ไอ้ระยำเอ้ย!” เหนืออื่นใด ผู้อาวุโสในชุดดำไม่ใช่มือใหม่ที่เพิ่งโผล่ออกมาจากกระท่อม เขาเข้าใจเจตนาของลู่หยางทันที เขารู้ว่าลู่หยางต้องการใช้ประโยชน์จากความโกลาหลเพื่อฆ่าพวกเขาทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงรีบนำคนของตัวเองล่าถอย สร้างขบวนเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเองโดยเร็วที่สุด


น่าเสียดาย ลู่หยาง จะให้โอกาสพวกเขาได้อย่างไร?


“ ไอ้แก่เอ้ย ไปลงนรกซะ!” แม้ว่าลู่หยางจะบอกว่าเขาต้องการฆ่าผู้อาวุโสในชุดดำ แต่ในความเป็นจริงเขาได้พุ่งเข้าหาผู้คุมอสูรระดับสูงที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม


“พัฟฟ์!”


หลังจากไม่กี่กระบวนท่า ลู่หยางก็สังหารผู้คุมอสูรระดับสูงคนนั้น จากนั้น เขาก็ใช้ประโยชน์จากความโกลาหลและขยับเข้าไปใกล้ที่ที่ปู่ของเสี่ยวหลิงอยู่


“ ท่านปู่ของหลิง ข้าคือลู่หยางเพื่อนของเสี่ยวหลิง ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่าน มากับข้าสิ! “ จุดประสงค์หลักของการเดินทางของลู่หยางไม่ใช่เพื่อสำรวจสุสานโบราณ แต่เพื่อช่วยท่านปู่ของเสี่ยวหลิง


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะพาปู่ของหลิงไป เขาก็ได้ยินท่านปู่ของหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำอะไรไม่ถูก: “พ่อหนุ่ม ข้ารู้ว่าท่านมีเจตนาดี แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ล้วนมีต้นกำเนิดของตัวเอง และถ้าพวกเขาไม่ตาย และรู้ว่าท่านเป็นคนที่ช่วยข้าไว้ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก


“ เอาล่ะ แต่ไม่ต้องห่วง ผู้เฒ่า ในเมื่อข้าสัญญากับหลิงว่าจะมาช่วยท่านแล้ว ข้าก็จะช่วยจนถึงที่สุด ข้าจะออกไปก่อน! ” แม้ว่าลู่หยางจะมั่นใจในการลอบโจมตีของเขามาก แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นกัน


ตอนนี้ เขาได้สังหารผู้คุมอสูรระดับสูงในความโกลาหล อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากผู้อาวุโสในชุดดำ ควบคู่ไปกับการโจมตีของหุ่นมัมมี่ มันทำให้เทียนซิงเจี้ยนและคนอื่น ๆ รู้สึกเหมือนโจมตีทองคำ อาจกล่าวได้ว่าเขาได้รับผลกำไรมากมาย ถ้าเขาไม่ออกไปตอนนี้ เขาจะต้องรอช่วงเวลานั้นนานแค่ไหน?


SB:ตอนที่ 167 กับดักต่อเนื่อง


 


“ ขอบใจเจ้ามากนะ พ่อหนุ่ม นี่คือแผนที่ที่ข้าวาดด้วยมือของข้าเอง ตำแหน่งของสุสานนี้ถูกระบุไว้บนแผนที่ เราจะรอช่วงเวลาที่เหมาะสม “ แม้ว่าท่านปู่ของหลิงจะไม่ใช่คนที่กระตือรือร้น แต่เขาก็ไม่ใช่คนงี่เง่า แน่นอนว่าเขาสามารถแยกความแตกต่างได้ว่าลู่หยางช่วยเขาจริงหรือไม่ เขาหยิบแผนที่ออกมาทันทีแล้วยัดใส่มือของลู่หยาง


“ท่านปู่ ดูแลตัวเองด้วย!” เมื่อรับรู้ได้ถึงคุณค่าของแผนที่นี้ ลู่หยางรู้สึกถึงความอบอุ่นในนั้น เขาหันหลังกลับและหายไปในความมืด


ทันทีหลังจากนั้นคือการต่อสู้ที่เทียนซิงเจี้ยน และคนอื่น ๆ ฆ่าหุ่นมัมมี่


คนเหล่านี้สมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้คุมอสูรระดับสูงจริงๆ หุ่นมัมมี่หกตัวถูกพวกเขาฆ่าอย่างรวดเร็ว แต่ผู้คุมอสูรระดับสูงเหล่านี้ก็ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน และสองคนถึงกับเนื้อฉีกออก


 


“ ไอ้ระยำ ไอ้พวกเศษสวะ ปกติท่านจะคุยโวว่าท่านน่ะน่าทึ่งแค่ไหน แต่ตอนนี้ถึงกับกลัวขนาดนี้หลังจากพบกับหุ่นมัมมี่สองสามตัว เป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง” ผู้เฒ่าในชุดดำคิดว่าผู้คุมอสูรระดับสูงเหล่านี้ถูกใช้ประโยชน์จากหุ่นมัมมี่เพียงเพราะพวกเขากลัว แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือในช่วงวุ่นวายนั้น ลู่หยางได้ทำสิ่งชั่วร้ายมากมาย


 


แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำร้ายผู้คุมอสูรระดับสูงโดยตรง แต่การเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ผู้คุมอสูรระดับสูงเหล่านี้ได้รับบาดเจ็บแล้ว ซึ่งจะมีประสิทธิผลดีกว่าการให้ลู่หยางดำเนินการเองโดยตรง


“ เอาล่ะ ทั้งหมดเป็นฝีมือของไอ้สารเลวนั่น ไม่เช่นนั้น พวกเราคงไม่ต้องสูญเสียเช่นนี้” แม้ว่าเทียนซิงเจี้ยนจะโกรธมาก แต่เพื่อที่จะเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณโดยเร็วที่สุด เขาก็ระงับความโกรธของเขาไว้


“ ฮึ่ม นับว่าเจ้าโชคดี รีบพักกันเถอะ เราจะเดินทางต่อไปในภายหลัง ” ผู้อาวุโสในชุดดำไม่รู้ได้อย่างไรว่าเทียนซิงเจี้ยนหมายถึงอะไร?


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาประสบความสูญเสียอย่างหนักในครั้งนี้ เขาไม่สามารถโกรธลูกน้องของตัวเองได้ และทำได้เพียงแค่ระบายความโกรธที่มีต่อปู่ของหลิง


“ป๊าบ!” ผู้อาวุโสในชุดดำตบหน้าปู่ของเสี่ยวหลิงโดยไม่สนใจว่าเขาจะพ่นเลือดออกมาเต็มปากและเสียฟันไปสองถึงสามซี่ เขาถามอย่างดุเดือด: “ไอ้แก่ เจ้าพาเราเดินวนไปวนมาแล้วเมื่อไหร่เราจะถึงสามารถเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณได้? ข้าจะบอกให้ฟังนะว่าถ้าเรายังไม่ได้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณก่อนที่ไอ้สารเลวนั่นจะทำเรื่องยุ่งๆขึ้นอีก เจ้ารอที่จะถูกฝังไว้กับลูกน้องของข้าได้เลย “


“ ผู้อาวุโสที่เจ็ด ท่านทำได้ดีมาก” ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไอ้สารเลวนั่นไม่ได้อยู่กับเจ้า ถ้ามันยังกล้าก่อปัญหาขึ้นอีก ข้าจะกินมันทั้งเป็นๆต่อหน้าเขานี่แหละ ถึงตอนนั้น แม้ว่าเจ้าสารเลวนั่นจะไม่อยากออกมา แต่มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว “ในตอนแรก เทียนซิงเจี้ยนยังคงกังวลว่า ลู่หยาง จะยังคงออกมาโจมตีแบบลับๆ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสในชุดดำ เขาก็กลับมามีความมั่นใจทันที


 


“ไปสิ!” หากเจ้ายังหาทางเข้าห้องโถงหลักของสุสานโบราณไม่พบ ไม่ต้องคิดเลยว่าจะหนีรอดไปจากที่นี่ได้ “ผู้อาวุโสในชุดดำเตะปู่ของหลิง และเริ่มนำกลุ่มไปข้างหน้า


ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้การเดินทางล่าช้า ปู่ของหลิงคงถูกพวกนั้นซ้อมจนฟกช้ำดำเขียวไปหมดแล้ว


“ไอ้พวกสัตว์นรก ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมดหากมีโอกาส!” เมื่อเห็นว่าปู่ของเสี่ยวหลิงถูกเทียนซิงเจี้ยนและคนอื่น ๆ ทำร้ายอย่างไร ลู่หยางซินก็รู้สึกโกรธ และรู้สึกผิดอย่างไม่อาจอธิบายได้


เพราะสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณปู่ของหลิงได้รับบาดเจ็บก็เป็นเพราะเขา อย่างไรก็ตาม ลู่หยาง ยังเข้าใจด้วยว่าแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไร แต่อาศัยความชั่วร้ายของคนเหล่านี้ หากเขาอนุญาตให้คนพวกนั้นพบสมบัติ ปู่ของหลิงจะไม่สามารถรอดพ้นจากภัยร้ายครั้งนี้ได้


“ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องร่วมมือกับตำแหน่งที่ปู่ของหลิงทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่และจับพวกมันทั้งหมดได้ในบัดดล” หลังจากที่ลู่หยางออกไปแล้ว เขาก็มองหาสถานที่เพื่อดูแผนที่


อย่างไรก็ตาม สถานที่ที่อันตรายที่สุดยังคงเป็นส่วนที่ลึกที่สุดของสุสานโบราณและสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงส่วนนอกสุดของสุสานซึ่งเจ้าของสุสานใช้เพื่อสร้างความสับสนให้กับบุคคลภายนอก ด้วยเหตุนี้ สุสานโบราณจึงสามารถเก็บรักษาไว้ได้จนถึงปัจจุบันโดยไม่มีใครขโมยไป


แม้ว่าลู่หยางไม่รู้ว่าปู่ของหลิงสามารถผ่านพื้นที่อันตรายเหล่านี้ได้อย่างไรโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาเข้าใจดีว่า ด้วยความแข็งแกร่งของท่านปู่ เขาเพียงแค่สามารถค้นหาเส้นทางเข้าไปในส่วนลึกของสุสานโบราณได้เท่านั้น


“หืมมม? กลไกการหมุน กับดักเกาทันธ์? “บนแผนที่ นอกเหนือจากตำแหน่งอันตรายที่มีสัญลักษณ์หุ่นมัมมี่แล้ว เขาพบว่ามีสถานที่อันตรายสองแห่งที่มีคำเล็ก ๆ เรียงเป็นแถว


 


ไม่เพียงแค่นั้น ปู่ของหลิงยังได้เพิ่มหลักการของกลไกตลอดจนเทคนิคต่างๆเพื่อให้พวกเขาผ่านไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้ว่าคุณปู่ของหลิงจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องกล แต่เขาก็เป็นยอดฝีมือในการวางกับดักแน่นอน


“ แต่คนที่มีอำนาจอย่างเขาจะถูกคนเหล่านี้จับตัวไปได้ยังไง?” ลู่หยางศึกษาอยู่นานก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากไม่ไกลนัก เขารีบซ่อนตัวเข้าไปในเงามืด


มันแตกต่างจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ กลไกทั้งสองในครั้งนี้อยู่เคียงข้างกัน กล่าวคือตราบใดที่กลไกหนึ่งถูกสัมผัส อีกกลไกหนึ่งก็จะถูกสัมผัสด้วยเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ โอกาสในการฆ่าสัตว์นรกกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก


“ไอ้แก่ รีบนำทางไปเร็ว ถ้าเจ้ากล้าเล่นตลก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!” คราวนี้ ผู้อาวุโสชุดดำฉลาดขึ้น เขาเดินไปที่ด้านหลังของกลุ่ม และให้ปู่ของหลิงเป็นผู้นำทาง ในขณะที่ผู้คุมอสูรระดับสูงอีกสองถึงสามคนทำหน้าที่ปกป้องปู่ของหลิงเพื่อป้องกันการเล่นเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ


 


สำหรับเทียนซิงเจี้ยนนั้น เขาเดินตามไปข้างๆผู้อาวุโสในชุดดำเพื่อให้สะดวกสำหรับผู้อาวุโสในชุดดำที่จะปกป้องเขาได้ตลอดเวลา


เพราะพิษซากศพแห้งๆ ใบหน้าของผู้อาวุโสชุดดำจึงซีดเล็กน้อย แม้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขา แต่กลุ่มของพวกมันทั้งหมดก็ดูแปลกมาก หากมีใครมองอย่างรอบคอบ พวกมันจะดูเหมือนซากศพแห้ง ๆ ที่เดินตัวตรงได้


เมื่อเห็นรูปลักษณ์แปลก ๆ ของพวกเขาแล้ว หัวใจของลู่หยางก็เต็มไปด้วยความดีใจ แน่นอนว่า ถ้าเขาจับพวกมันได้ทั้งหมดในภายหลัง บางทีเขาอาจจะมีความสุขมากขึ้น


“มันอยู่ตรงหน้านี่!” หลังจากการลอบโจมตีสองครั้งของลู่หยาง ปู่ของหลิงก็ถูกทุบตีและดุด่าตลอดทาง แม้ว่าเขาจะยังมีแรงเดิน แต่เขาก็เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องการฆ่าสัตว์นรกเหล่านี้ เขาคงจะหมดสติไปแล้ว ในที่สุด เขาก็เห็นกับดักตรงหน้า ชายชราที่ไม่สามารถไปไหนได้ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง


“ ข้างหน้ามีอะไร ไอ้แก่ อย่ามาโกหกข้า มิฉะนั้นข้าจะตัดชิ้นเนื้อของเจ้า และปล่อยให้เจ้ามีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก! “เมื่อได้ยินคำพูดของปู่ของหลิง เทียนซิงเจี้ยนก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา


“นายท่าน ทันทีที่เราผ่านพื้นที่สำคัญของสุสานโบราณนี้แล้ว ชายชราคนนี้จะไม่สามารถนำทางท่านไปข้างหน้าได้อีกต่อไป!” ครั้งนี้ ปู่ของหลิงเหนื่อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฟันของเขาหักไปสองสามซี่ด้วยการตบของผู้อาวุโสในชุดดำ ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาบวมเหมือนขนมปังนึ่งซึ่งทำให้ลู่หยางซินรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาประสานงานกับคุณปู่ของหลิง เขาคงจะรีบออกไปสังหารหมู่ทุกคนแล้ว


“ ฮึ่ม ถือว่าเจ้ายังฉลาด ไปกันเถอะ!” เมื่อได้ยินคำพูดของปู่ของหลิง ผู้อาวุโสในชุดดำก็เริ่มคิดว่าจะทรมานเขาให้ตายได้อย่างไร


“หืมมม? “ไอ้แก่ ดูเจ้ารีบไปทีเดียว!” ในที่สุดก็เข้าสู่กับดักแรก ตำแหน่งของกลไก ปู่ของหลิงก็เร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวทำให้เทียนซิงเจี้ยนที่ติดตามอยู่ข้างหลังรู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อย


สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้พวกเขาตกใจมากยิ่งขึ้น ชายชราฟื้นตัวแล้วจริงๆ แล้วเขาก็เร่งรีบไป


“ไม่ดีแล้ว ต้องมีกับดักอยู่ใกล้ ๆ เราปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้!” ผู้อาวุโสในชุดดำฉลาด เขาสามารถบอกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ


แต่มันสายไปแล้วที่เขาจะจับตัวปู่ของเสี่ยวหลิงได้


“ไอ้พวกสัตว์นรก ลองเข็มเงินในมือของปู่ซะหน่อย!” เมื่อผู้อาวุโสในชุดดำต้องการที่จะเร่งรีบจับตัวปู่ของหลิง ลู่หยางที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดตลอดเวลาก็ปรากฏตัวขึ้น


หลังจากการปรากฏตัวของลู่หยาง เข็มเงินหลายสิบเข็มก็พุ่งออกมาจากมือของเขา


SB:ตอนที่ 168 เข้าสู่กับดัก


 


“ ไอ้ระยำ เป็นเจ้า ไอ้สารเลวอีกแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าต้องไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว! ” ผู้อาวุโสในชุดดำโบกมือทั้งสองข้างของเขา ปล่อยพลังอันแข็งแกร่งที่กวาดเข็มเงินจำนวนมากออกไป แต่ในขณะนั้น ลู่หยางก็มาถึงข้างๆปู่ของเสี่ยวหลิงแล้ว


เขาอุ้มปู่ของหลิงและวิ่งผ่านกลไกทั้งสองอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปยังที่ๆปลอดภัย


อย่างไรก็ตาม ท่านปู่ของหลิงหมดแรงแล้วและใกล้จะล้มทรุดลง


เมื่อเห็นว่าลู่หยางเป็นคนที่ช่วยเขา เขาก็หัวเราะและพูดว่า: “พ่อหนุ่ม ขอบใจที่ช่วยชายชราอย่างข้า ข้าไม่น่าจะตายในเงื้อมมือของสัตว์นรกเหล่านั้นเลย แต่ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ นี่เป็นกุญแจ อาจจะเป็นสมบัติในการเปิดห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณ รับไปสิ ถ้าท่านมีโอกาส ข้าหวังว่าท่านจะดูแลหลานสาวของข้าให้ดี”


หลังจากที่ท่านปู่ของหลิงส่งกุญแจสีดำให้กับลู่หยางแล้ว เขาก็ผลักเขาออกไปราวกับว่าเขาไม่กลัวตาย


ลู่หยางอยากจะพูดมากกว่านี้ แต่เมื่อเขาคิดถึงกลุ่มสัตว์นรกที่รอให้เขาจัดการอยู่ เขาก็หันหลังกลับแล้วเดินกลับไป ในขณะนั้น เทียนซิงเจี้ยนและคนอื่น ๆ ก็มาถึงที่ตั้งของกลไกทั้งสองแล้ว


“ พวกมันสมควรตายจริงๆ!” ลู่หยาง เอื้อมมือไปบิดปุ่ม แล้วกลไกทั้งสองก็เริ่มทำงานพร้อมๆกัน


“ (เสียงดังกึกก้อง)…”


ทันทีที่กลไกอันแรกติด พื้นดินก็เริ่มหมุน ในเวลาเดียวกัน ใบเลื่อยที่แหลมคมในหลุมขนาดใหญ่บนพื้นก็เริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว


“อ้าก ผู้อาวุโสเจ็ด ช่วยข้าด้วย!” ก่อนที่ผู้คุมอสูรระดับสูงคนแรกจะสามารถโต้ตอบได้ทัน เขาก็ได้พลัดติดเข้าไปในกับดักแล้ว ขณะที่ผู้คุมอสูรระดับสูงอีกคนก็คว้าพื้นดินที่พลิกไปมาอย่างเจ็บปวด และกำลังจะตกเข้าไปในกับดักเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือผู้อาวุโสเจ็ดและ เทียนซิงเจี้ยนที่วิ่งอยู่ข้างหน้าได้พบกับกับดักที่อันตรายยิ่งกว่าของพวกเขา


“สวบ สวบ สวบ … *


ในพริบตาเดียว ผู้คุมอสูรระดับสูงสองคนก็เสียชีวิต จำนวนคนของพวกเขาลดลงจากสิบกว่าคนเหลือสี่คน และดูเหมือนว่าผู้คุมอสูรระดับสูงคนที่สี่กำลังจะตายเช่นกัน


และขณะที่ผู้อาวุโสในชุดดำของตระกูลต้องการช่วยเทียนซิงเจี้ยนกลับมา ลูกธนูแหลมคมนับร้อยก็พุ่งออกมาจากทุกทิศทาง ไม่เพียงแค่นั้น ลูกธนูที่แหลมคมเหล่านั้นยังฉายแสงสีเขียวมรกตซึ่งบ่งบอกว่าพวกมันอาบยาพิษ


แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้อาวุโสในชุดดำตกใจ


เขาออกมาครั้งนี้ ประการแรกเพื่อพานายน้อยที่สองไปเรียนรู้ประสบการณ์เพื่อขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของเขา และประการที่สองเพื่อค้นหาสมบัติบางอย่างในสุสานโบราณเพื่อที่เขาจะได้โอ้อวดต่อหน้าเจ้านายและได้รับความชื่นชมจากเจ้านาย


แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่เขาสูญเสียคนส่วนใหญ่ไปแล้ว แต่แม้แต่นายน้อยคนที่สองก็กำลังตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้ผู้อาวุโสในชุดดำรู้สึกกลัวอย่างแท้จริง


“ ปกป้องนายน้อยที่สอง และพาเขาออกไปจากที่นี่!” สถานการณ์เป็นเรื่องเร่งด่วนทำให้ผู้อาวุโสในชุดดำไม่สนใจตัวตนของเขาเองอีกต่อไป เขาหยิบสมบัติชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเก็บของ และปกป้องร่างกายของเทียนซิงเจี้ยนไว้ เขาไม่สนใจชีวิตของคนอื่นๆ


สมบัติชิ้นนั้นมีรูปร่างของกระดองเต่า และในขณะที่ผู้อาวุโสในชุดดำถือมันอยู่ มันก็ปล่อยแสงรัศมีสีเขียวอ่อนออกมา ทันใดนั้น กำแพงที่เหมือนเต่าก็ห่อหุ้มพวกเขาทั้งสองไว้ และไม่ว่าห่าฝนธนูจะโจมตีพวกเขาอย่างไร ก็ไม่สามารถทะลุผ่านมันไปได้


อย่างไรก็ตาม ผู้คุมอสูรระดับสูงอีกสองคนอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชยิ่งนัก เมื่อคนหนึ่งต้องการร้องขอความช่วยเหลือ เขาตกลงไปในกับดัก และถูกหั่นเนื้อเป็นชิ้นๆเหมือนลูกเต๋า ในขณะที่อีกคนถูกลูกศรยิงจนตาย อีกทั้งเขายังถูกพิษลูกศรด้วย หลังจากนั้นร่างของเขาก็ละลายกลายเป็นแอ่งน้ำสีดำเล็กๆไป


“ ดิ๊ง ดิ๊ง ดิ๊ง แด็ง แด็ง!” หลังห่าฝนลูกศรอาบยาพิษ การเคลื่อนไหวของเทียนซิงเจี้ยนก็ช้าลงเรื่อย ๆ และในที่สุดห่าฝนลูกธนูก็หายไป ผู้อาวุโสในชุดดำหมดแรงและล้มลงบนพื้นไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป


“ดี ตอนนี้เป็นเวลาที่ข้าจะลงมือแล้ว มาดูกันว่าข้าจะใช้ประโยชน์จากความเจ็บป่วยของท่าน และเอาชีวิตท่านได้ไหม! ” เมื่อเห็นผู้อาวุโสในชุดดำล้มลงกับพื้นเนื่องจากความเหนื่อยล้า ลู่หยางก็ยิ้มเยาะแล้วก็กระโดดขึ้น


“ ซูว์ ซูว์ ซูว์ ซูว์ ซูว์…”


หลังจากการแกว่งมืออย่างรุนแรงของลู่หยางเข็มเงินอีกยี่สิบเล่มก็พุ่งเข้าหาผู้อาวุโสในชุดดำพร้อมๆกัน


เนื่องจากผู้อาวุโสในชุดดำและเทียนซิงเจี้ยนเพิ่งรอดพ้นจากอันตราย และโดยไม่ทันรู้ตัว เข็มเงินทั้งยี่สิบเล่มจึงแทงเข้าไปในส่วนสำคัญของผู้อาวุโสในชุดดำ


อาจกล่าวได้ว่าด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว มันได้แทงทะลุร่างของผู้อาวุโสในชุดดำทำให้เสื้อคลุมสีดำของเขาชุ่มไปด้วยเลือดทันที


“ ผู้อาวุโสเจ็ด!” เมื่อเทียนซิงเจี้ยนตอบสนอง ผู้อาวุโสในชุดดำก็ตายไปแล้ว และ ลู่หยางได้ฉวยโอกาสนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


“ ไอ้ระยำ ไอ้สารเลว อย่าให้ข้าจับเจ้าได้ ไม่งั้นข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกดีแน่ ๆ ” เมื่อลูกน้องของเขาเสียชีวิตลง ในที่สุด เทียนซิงเจี้ยนก็ทนแรงกดดันไม่ไหวและบ้าคลั่งไป


“ แด๊ง แด๊ง แด๊ง แด๊ง แด๊ง…”


ทันทีที่ผู้อาวุโสชุดดำตาย เขาเหวี่ยงกระบี่ของเขาไปรอบ ๆ ทำให้ประกายไฟปลิวไปทุกทิศทาง ถ้าเทียนซิงเจี้ยนโดนลูกธนูเข้าซักดอก เขาจะต้องตายแน่นอน


“ ฮึ่ม ท่านมันไม่เป็นอะไรเลย นอกจากเศษสวะ มาดูว่า ข้าจะจัดการท่านยังไงในภายหลัง! ” เมื่อเห็นผู้อาวุโสในชุดดำหยิบสมบัติออกมา ลู่หยางรู้ดีว่าเทียนซิงเจี้ยนจะไม่ตายง่ายๆ


แต่เขาไม่สนใจ อย่างไรก็ตาม เขาได้ซ่อนท่านปู่ของหลิงไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว แม้ว่าสภาพของชายชราจะแย่มาก แต่เขาก็จะไม่ตายเร็วขนาดนี้


เขาสามารถใช้โอกาสนี้ในการเข้าไปในส่วนลึกของสุสานโบราณเพื่อค้นหาสมบัติบางอย่าง และจะดีมากถ้าเขาสามารถหายาหรือส่วนผสมที่น่าอัศจรรย์เพื่อชุบชีวิตท่านปู่ของหลิงได้


ด้วยความคิดนั้น ลู่หยางจึงไม่สนใจนายน้อยที่ไร้ประโยชน์คนนี้อีกต่อไป และกลับไปยังสถานที่ที่ปู่ของหลิงซ่อนตัวอยู่


หลังจากพันแผลให้เขา และหลังจากอาการบาดเจ็บของเขาคงที่แล้ว ในที่สุดลู่หยางก็สบายใจและเข้าไปในส่วนลึกของสุสานโบราณ


ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการจัดการกับเทียนซิงเจี้ยน แต่เขากังวลว่า เทียนซิงเจี้ยนจะมีสมบัติอันทรงพลังที่เขายังไม่ได้นำออกมาใช้


“หืมมม? นี่น่าจะเป็นทางเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณ “หลังจากไปถึงปลายอุโมงค์ เขาก็หันไปด้านข้างและกลับไปที่เขาวงกต


แต่ลู่หยางไม่ได้กังวล เขาเดินตามแผนที่ที่ปู่ของหลิงมอบให้เพื่อค้นหาตำแหน่ง และเขาก็พบทางเดินไปยังห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณได้อย่างรวดเร็ว


“แล้วนี่ก็คือกับดัก!” ลู่หยางคลำทางไปสักพักก่อนที่เขาจะพบกับช่องช่องหนึ่งในที่สุด เมื่อเปิดช่องนั้นออกดู เขาก็เห็นรูกุญแจที่ยื่นออกมา แล้วเขาก็สอดกุญแจเข้าไปในนั้นโดยไม่ลังเล


“ เอี๊ยด เอี๊ยด…”


ขณะที่ลู่หยางหมุนกุญแจ เขาก็ได้ยินเสียงรูกุญแจบิดหมุนตาม กลไกขนาดใหญ่ดูเหมือนจะถูกเปิดใช้งาน และหลังจากนั้นกำแพงขนาดใหญ่ก็เคลื่อนออกไป


แม้ว่าทางเดินนี้จะมีความกว้างมากกว่าสองเท่าของทางเดินก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังคงมืดมิดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในเวลาเดียวกัน มีร่องรอยของพลังงานเย็นที่ลอยออกมาจากภายในทางเดินทำให้มันดูน่าขนลุกและน่ากลัวยิ่งขึ้น


แต่นี่ก็หมายความว่านี่คือตำแหน่งหลักของสุสานโบราณ


“ห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณอยู่ตรงหน้าเราแล้ว!” แม้ว่าท่านปู่ของหลิงจะคุ้นเคยกับกลไกเป็นอย่างดี แต่เขาก็อธิบายแค่ที่ตั้งของห้องโถงใหญ่ของสุสานโบราณเท่านั้น ด้านหลังไม่มีเครื่องหมายใด ๆ แต่มีไม้กางเขนขนาดใหญ่แทน


“ ไอ้สารเลว เจ้าอยู่ที่ไหน ออกมาตายซะดีๆ! ไม่งั้น ถ้าข้าจับเจ้าได้ ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็นๆนี่!” ขณะที่ลู่หยางกำลังจะเข้าไปในทางเดิน เขาก็ได้ยินเสียงของเทียนซิงเจี้ยนใกล้เข้ามา


“ฮ่า ๆ ๆ ข้ามาแล้ว ถ้าเจ้าต้องการฆ่าข้า ก็รีบตามข้ามา ไม่อย่างนั้น เมื่อข้าพบสมบัติบางอย่าง เจ้าก็จะได้แต่นั่งรอความตายอยู่เฉยๆ! ” เขารู้ว่า เทียนซิงเจี้ยนเป็นคนใจแคบ ดังนั้นเขาจึงจงใจยั่วยุเขา


“อ๊ ะอ๊ะ! ไอ้สารเลว รอข้าก่อน ข้าจะมาฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้! “ แน่นอนอยู่แล้ว เทียนซิงเจี้ยนเคยถูกใครคุกคามแบบนี้เสียเมื่อไหร่? ด้วยความเกลียดชังที่เขามี เทียนซิงเจี้ยนมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงของลู่หยางทันที ราวกับว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วและไม่ได้สังเกตเห็นที่ซ่อนของปู่ของเสี่ยวหลิง นี่เป็นสิ่งที่ลู่หยางดีใจที่ได้เห็น


“ ฮึ่ม ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเป็นคนของตระกูลใหญ่หรือไม่ ตราบใดที่เจ้าตามข้าเข้ามา เจ้าก็ลืมไปได้เลยว่าเจ้าจะออกไปได้! ” ลู่หยางไม่ใช่คนโง่งี่เง่า เขาสามารถบอกได้ว่ากลุ่มของเทียนซิงเจี้ยนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งทุกประเภท และพวกเขาก็มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาแน่นอน วินาทีที่พวกเขาได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ มันจะเป็นหายนะสำหรับเขาอย่างแน่นอน


โชคดีที่เศษสวะชิ้นนี้อยากจะฆ่าเขาสุดหัวใจ มิฉะนั้น เขาเองอาจจะต้องกลับไปฆ่านายน้อยที่ไร้ประโยชน์คนนี้จริงๆ


“มาสิ มาเลย มาดูกันว่าใครจะหัวเราะทีหลัง!” ลู่หยางซินหัวเราะเยาะ


SB:ตอนที่ 169 ราชาพยัคฆ์ขาว


“ไม่เลวนี่ ไอ้หนู คิดว่าตัวเองวิ่งเร็วนักนะ!” ขณะที่ลู่หยางกำลังคิดที่จะกลับไปหาเทียนซิงเจี้ยน เขาไม่คิดว่ามันจะไล่ตามเขามาจากด้านหลัง


หลังจากรู้ว่าเทียนซิงเจี้ยนไม่ได้หลงทางแล้ว ลู่หยางก็หยุดอยู่ข้างๆ แล้วนำเทียนซิงเจี้ยนไปยังห้องโถงหลักของสุสานโบราณ


แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเทียนซิงเจี้ยนตามหลังเขามาตลอด แต่การแสดงออกของเขาก็ดูเคร่งขรึมมากขึ้นเมื่อลู่หยางเดินต่อไป


เพราะยิ่งเดินไปตามอุโมงค์ เขาก็รู้สึกได้ถึงลมหนาวที่พัดมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขามาถึงปลายอุโมงค์ เขาก็พบว่ามีปราสาทน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ปลายอุโมงค์


หากกล่าวว่าอากาศเย็นจัดทำร้ายผู้คนภายนอกปราสาทน้ำแข็ง ถ้าเช่นนั้น ภายในปราสาทน้ำแข็งนี้ น้ำแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งไป


ไม่เพียงแค่นั้น ปราสาททั้งหลังยังทำจากน้ำแข็ง และรูปปั้นสูงประมาณสิบกว่าเมตรหรือมากกว่านั้นก็มีลักษณะเหมือนจริงราวกับว่าเป็นเทพเจ้าได้เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์


ลู่หยางยืนอยู่ที่ทางเข้าปราสาท และมองออกไป เขามองเห็นรูปปั้นหลายสิบตัวที่ยืนเรียงกัน และหมอกสีขาวที่กว้างใหญ่ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดของปราสาทได้


” เกิดอะไรขึ้นนี่!?” อุณหภูมิที่นี่ต่ำมาก แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่ลู่หยางสามารถทนได้ อย่างไรก็ตาม หมอกสีขาวที่แผ่กว้างออกไปในระยะไกลนั้นแน่ชัดว่ามีโลกอีกใบอยู่ในนั้นซึ่งทำให้เขาไม่แน่ใจ


“ ฮ่า ๆ ๆ ไอ้สารเลว ข้ารู้ เจ้าอยู่ที่นี่ มาดูกันว่าวันนี้ข้าจะหั่นเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้นไหม!” ลู่หยางยังคงลังเล แต่ผู้ไล่ล่าตามเขาทันแล้ว


“ มันไม่ใช่หายนะ มันเป็นเป็นหายนะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้!” ลู่หยางลังเลเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเข้าไปในปราสาทน้ำแข็ง


จากนั้น เทียนซิงเจี้ยนก็ตามเขามาทันจากด้านหลัง


ต้องบอกว่าใบมีดสีม่วงดำในมือของเขาเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง ด้วยใบมีดนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว เขายังสามารถป้องกันความหนาวเย็นได้ในระดับหนึ่ง มิฉะนั้น เขาจะไม่สามารถตามทันลู่หยางได้เร็วขนาดนี้


“ ไอ้สารเลว ทันทีที่ข้าตามเจ้าทัน ข้าจะฆ่าเจ้าแน่!” เทียนซิงเจี้ยนแทบจะไม่ได้ออกมาหาประสบการณ์เลย เขาตกอยู่ในมือของ ลู่หยางในครั้งแรกที่เขาออกมา และยังทำให้ผู้อาวุโสที่เจ็ดที่ติดตามเขามาตั้งแต่ยังเด็กถูกฆ่าตาย


ที่สำคัญ เขาไม่ได้ตระหนักว่ามีดล้ำค่าที่พ่อของเขามอบให้เขานั้นทรงพลังเพียงใด เมื่อเขารู้แล้ว ความมั่นใจในการฆ่าลูหยางก็ระเบิดขึ้น มิฉะนั้นเขาจะไม่มาที่นี่เพื่อแสวงหาความตายอย่างโง่เขลา


“ หึ หึ หึ!”


ตามที่คาดไว้ อุณหภูมิภายในปราสาทน้ำแข็งนั้นต่ำมาก ขณะที่ลู่หยางเข้ามา เขาพบว่าอากาศร้อนที่เขาไม่ได้หายใจออกนั้นดูเหมือนจะเป็นน้ำแข็งไปหมด


น้ำแข็งเริ่มจับตามเส้นผมและคิ้ว ทำให้เขาดูเหมือนปู่เคราขาวคนหนึ่ง


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ ข้อดีคือ หลังจากที่เขาเข้าไปในปราสาทน้ำแข็ง เขารู้สึกหนาวสั่นเข้ากระดูกสันหลังและไม่เพียงแต่ทำให้ความคิดฟุ้งซ่านหายไป แต่ยังทำให้เขามีสมาธิมากกว่าเดิม ด้วยวิธีนี้ ผลข้างเคียงของอากาศเย็นจะลดลงจนมองไม่เห็น


“ ดูเหมือนที่นี่จะเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการฝึกฝนจริงๆ!” ลู่หยางเห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนนั้นเหมือนกับการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านปัจจุบัน คนๆหนึ่งจะถดถอยหากเขาไม่ก้าวหน้า ถ้าเขาฝึกฝนที่นี่ สถานการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น แต่ในทางกลับกัน เขาจะฝึกฝนอย่างเต็มกำลังของเขาเพราะเขาต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา


แน่นอนว่า สิ่งนี้ยังมุ่งตรงไปที่ผู้คุุมอสูรผู้ซึ่งมีความอดทนค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ผู้คุมอสูรที่มีความอดทนค่อนข้างอ่อนแอมีโอกาสมากที่พวกเขาจะกลายเป็นค้างคาวน้ำแข็งในไม่ช้า


“ เอี๊ยด เอี๊ยด…” วินาทีที่ลู่หยางเข้าสู่ปราสาทน้ำแข็งและหิมะ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่เปราะบนหิมะ เขามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่จะคุกคามเขาได้


ทีแรก เขาน่าจะได้สังเกตการณ์นานกว่านี้ แต่เมื่อเขาคิดว่ายังมีหมูโง่ตัวหนึ่งติดตามเขาอยู่ อารมณ์ของลู่หยางก็เริ่มไม่ดี


 


“ ไอ้สารเลว หยุดอยู่ตรงนั้น! ถ้าเจ้าเก่งจริง ก็อย่าวิ่งหนีสิ! ” ไม่นานหลังจากที่ลู่หยางเข้าไปในปราสาทน้ำแข็งและหิมะ เขาก็เห็นเทียนซิงเจี้ยนที่ถือใบมีดโลหิตสีม่วงตามมาจากด้านหลัง


ในขณะที่เขาเข้าไปในปราสาทน้ำแข็ง เขาพบว่าใบมีดโลหิตสีม่วงกำลังปล่อยรังสีแสงสีม่วงดำกลุ่มหนึ่งเพื่อปกป้องเทียนซิงเจี้ยน แม้ว่าชั้นของแสงสีม่วงดำนี้จะไม่สามารถหยุดพลังงานเย็นทั้งหมดได้ แต่ก็ยังสามารถช่วยเทียนซิงเจี้ยนแบ่งเบาความกดอากาศบางส่วนออกไปได้


แต่ถึงอย่างนั้น เทียนซิงเจี้ยนก็ยังรู้สึกหนาวสั่นเข้าสันหลังอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะแรงกระตุ้นที่เขาต้องการฆ่าลู่หยาง ตอนนี้ เขาคงจะหันหลังกลับและวิ่งกลับออกไปแล้ว


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขานึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เขาถูกพี่น้องคนอื่น ๆ ของเขาล้อเลียนหลังจากที่เขากลับมาที่ตระกูลอย่างหดหู่ เขาก็ยิ่งตั้งใจที่จะฆ่าลู่หยางให้ได้ มิฉะนั้น เขาจะไม่สามารถหนีความอัปยศอดสูนี้ได้


“ไม่วิ่งหนีเหรอ?” นึกว่าข้าโง่เหรอ? ไอ้หนู เจ้าไม่ดีเลยใช่ไหม? ” แม้ว่าลู่หยางจะรู้สึกว่าทั้งร่างกายของเขาเย็นเฉียบ แต่เขาก็ไม่ได้มีความกลัวใด ๆ ต่อหน้าเทียนซิงเจี้ยน และยังเดินไปที่ส่วนลึกของปราสาทน้ำแข็งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น


“ ไอ้สารเลว รอเดี๋ยวเถอะ!” ยิ่งเทียนซิงเจี้ยน คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น สำหรับเขา การฆ่าลู่หยางในตอนนี้ไม่เพียงเพื่อการแก้แค้น ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เป็นการฆ่าลู่หยางเพื่อล้างความอัปยศของเขาเอง


“ เอี๊ยด เอี๊ยด…”


อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ปราสาทน้ำแข็งลั่นขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงที่เปราะๆอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับเหยียบบนน้ำแข็งและหิมะ เมื่อฟังจากเสียงแล้วน่าจะเกิดจากการสั่นของน้ำแข็งและหิมะที่เกิดจากวัตถุขนาดมหึมาที่มีน้ำหนักหลายพันจิน


“(โฮก)!”


ขณะที่ลู่หยาง และ เทียนซิงเจี้ยน หยุดและมองไปรอบ ๆนั้น เสือขาวหิมะที่สูงสี่ถึงห้าเมตร และลำตัวยาวเจ็ดถึงแปดเมตรตัวหนึ่งก็เดินออกมาจากช่องว่างระหว่างรูปปั้น


ในขณะที่เสือขาวหิมะปรากฏตัวขึ้นนั้น มันขวางเส้นทางของลู่หยาง และในเวลาเดียวกันเสือขาวหิมะก็จ้องไปที่เทียนซิงเจี้ยนที่อยู่ใกล้ ๆ


“ เจ้านี่มันอะไรกันแน่? มันตัวโตขนาดนี้ได้ยังไง” เมื่อเห็นพยัคฆ์หิมะตัวนี้ ดวงตาของลู่หยางก็เบิกกว้างขึ้น


ถ้าลู่หยางเดาไม่ผิด เสือตัวนี้เป็นอสูรร้ายที่สามารถเทียบเท่ากับราชสีห์ขนทองหกเนตรได้ ภายใต้สถานะเหล่านี้ มันอาจแข็งแกร่งกว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรสองถึงสามเท่า และมีพื้นที่กว้างใหญ่สำหรับการเติบโตแน่ๆ


แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เสือธรรมดาๆ แต่เป็นราชาแห่งภูเขาหิมะ ราชาแห่งภูเขาหิมะหรือที่รู้จักกันในนามราชาพยัคฆ์ขาว ว่ากันว่าบนภูเขาหิมะสูงทุกๆแห่งมีราชาปกครองภูเขาหิมะอยู่


ตอนแรก ลู่หยางไม่เชื่อในตำนานนี้มากนัก แต่เมื่อเขาได้เห็นราชาพยัคฆ์ขาวกับตา เขาก็แล้วรู้ว่าทำไมจึงมีชื่อเป็นราชาแห่งภูเขาหิมะ


เหตุผลก็คือ ไม่เพียงแต่มันจะสามารถทนต่อความหนาวเย็นที่รุนแรงได้ แต่มันยังสามารถทำให้ความเย็นกลายเป็นอาหารของมันได้และให้พลังงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถทำให้มันอยู่ยงคงกระพันบนภูเขาหิมะได้


“(โฮก)!”


การคำรามครั้งแรกของราชาพยัคฆ์ขาวคือการข่มขู่ศัตรู แต่หลังจากคำรามครั้งที่สอง มันเริ่มเพิ่มความเร็วและพุ่งเข้าหาลู่หยางและเทียนซิงเจี้ยน


“ ไอ้โง่ วิ่งสิ!” เมื่อเห็นว่าราชันย์พยัคฆ์ขาวกำลังไล่ตามเขา ลู่หยางก็หันศีรษะกลับและวิ่งไปในทิศทางของเทียนซิงเจี้ยน


“ ไอ้สารเลว เจ้าไม่อยากอยู่แล้วเหรอ? “ เมื่อเห็นลู่หยางวิ่งมาหาเขาด้วยกำลังทั้งหมด แม้แต่คนโง่อย่างเทียนซิงเจี้ยนก็รู้เจตนาของเขา


อย่างไรก็ตาม มันไม่มีประโยชน์เพียงเพราะเขารู้ ปัญหาคือ เขาไม่สามารถต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานี้ได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นลู่หยางวิ่งหนี เขาก็วิ่งตรงไปที่ทางเข้าของปราสาทน้ำแข็งด้วย


“(โฮก)!”


แต่น่าเสียดายที่ก่อนที่เทียนซิงเจี้ยนจะไปถึงทางเข้าปราสาทน้ำแข็ง เขาก็เห็นดาบน้ำแข็งอันแหลมคมลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาแล้วพุ่งตรงไปที่ทางเข้าของปราสาทน้ำแข็ง แผ่นดินสั่นสะเทือนและภูเขาก็สั่นสะเทือน น้ำแข็งและหิมะที่แขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าปราสาทเริ่มตกลงมาจากด้านบนหลังจากได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างมาก


ในเวลาน้อยกว่าสองอึดใจ ทางเข้าของปราสาทน้ำแข็งที่สามารถรองรับคนสองคนที่เดินเคียงข้างกันได้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะมากกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์ทันที ยิ่งไปกว่านั้น ปริมาณหิมะที่ตกลงมาจากท้องฟ้าก็เพิ่มมากขึ้น ถ้าเทียนซิงเจี้ยนไม่ได้มีความเฉลียวฉลาด เขาอาจจะถูกฝังทั้งเป็นด้วยน้ำแข็งและหิมะที่ตกลงมาจากท้องฟ้าก่อนที่เขาจะออกจากปราสาทน้ำแข็งได้


แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อรู้สึกถึงคลื่นของอากาศเย็นที่อยู่ตรงหน้าเขา เทียนซิงเจี้ยนก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาสั่นสะท้าน


“ ข้าว่า ไอ้สารเลว ที่เรากำลังพยายามหนีผ่านทางเข้าของปราสาทน้ำแข็งและหิมะนี่ไม่ได้ผลแน่นอน มาลองภาวนาให้ตัวเองดีที่สุด” ลู่หยางตัดสินใจดึงดูดความสนใจของราชาพยัคฆ์ขาว เขาหันกลับไปและวิ่งไปในทิศทางอื่น


SB:ตอนที่ 170 ข้อเสนอของเทียนซิงเจี้ยน


“ไอ้บ้าเอ๊ย!” เราทำได้แค่สู้จนกว่าจะรู้ผลเท่านั้น! “เทียนซิงเจี้ยน  อดที่จะสบถไม่ได้


“ ห้าอสรพิษบิน!” เทียนซิงเจี้ยนรู้ว่าเป็นสถานการณ์เร่งด่วน เขาเรียกอสรพิษที่มีความยาวอย่างน้อยหกหรือเจ็ดเมตรและลำตัวหนาอย่างน้อยหนึ่งเมตรทันที


“โฮ้วว!”


หลังจากอสรพิษบินห้าหัวตัวนี้บินออกจากร่างของเทียนซิงเจี้ยน มันก็อ้าปากกว้าง และเป่าคลื่นพลังฉีสีดำออกมาเป็นระลอกๆบังคับให้ราชาพยัคฆ์ขาวซึ่งกำลังวิ่งไปหาเทียนซิงเจี้ยนถอยกลับไป


“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอ้หนู ข้าลืมบอกไปว่าอสรพิษห้าหัวของข้าเป็นอสูรร้ายระดับสูงตัวหนึ่งและราชาพยัคฆ์ขาวตัวนี้แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ตราบใดที่ข้าปราบมันได้ เจ้าตายแน่! “ เทียนซิงเจี้ยน ไม่เคยคิดฝันว่าสมบัติที่พ่อของเขามอบให้จะถูกนำมาใช้รวดเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้ในไม่ช้า


 


“โอ้?” นี่เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ฝันไป? “เมื่อลู่หยาง เห็นเทียนซิงเจี้ยนใช้อสรพิษบินห้าหัวเพื่อบังคับให้ราชาพยัคฆ์ขาวถอย การแสดงออกในดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีขณะที่เขาพูดพร้อมกับเยาะเย้ยเล็กน้อย


ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น แสงสีทองได้ส่องลงมาจากท้องฟ้า แล้วราชสีห์ขนทองหกเนตรก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆเขา


“อะไรนะ นี่เจ้ามี สัตว์เลี้ยงสงครามระดับสูงด้วยเหรอ?” เมื่อเห็นเช่นนั้น ใบหน้าของเทียนซิงเจี้ยนก็เปลี่ยนไป


เดิมที เขาเป็นนายน้อยที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในตระกูล ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวที่เขาได้รับในครั้งนี้ เขาคงไม่พาคนของเขาไปจับตัวท่านปู่ของหลิงได้เร็วขนาดนี้


ในตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองมีความสามารถเหนือกว่า แต่ผลงานของลู่หยาง ทำให้เขาประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ รัศมีที่อีกฝ่ายส่งออกมานั้นแข็งแกร่งมากจนแม้แต่อสรพิษบินห้าหัวของเขาก็ยังกลัว


ในพริบตาเดียว เทียนซิงเจี้ยนก็เหมือนลูกบอลที่อ่อนยวบลง


“(โฮก)!”


เขา เทียนซิงเจี้ยน อาจจะกลัว แต่ราชาเสือขาวที่เผชิญหน้ากับอสรพิษห้าหัวก็ไม่ได้ขี้อายเลย


ประการหนึ่ง นี่คืออาณาเขตของมัน และมันมีข้อได้เปรียบที่โดดเด่น ประการที่สอง มันกำลังปกป้องบ้านของมัน และทำสิ่งต่างๆได้อย่างไร้ยางอาย ดังนั้น แม้ว่ามันจะเผชิญหน้ากับอสูรร้ายสองตัวที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับของมัน แต่มันก็ยังมีท่าทีก้าวร้าวไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย


“ แน่นอน แต่เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสนทนา ราชสีห์ขนทองหกเนตร ท่านไปจัดการกับราชาพยัคฆ์ขาว ส่วนอสูรร้ายตัวอื่น ๆ พุ่งเข้าหาเทียนซิงเจี้ยน และฆ่าเขา! ” ขณะที่เทียนซิงเจี้ยนกำลังคิดว่าเขาจะหลบหนีได้อย่างไร อสูรร้ายระดับสูงเจ็ดหรือแปดตัวก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้า และล้อมรอบเทียนซิงเจี้ยนไว้ในพริบตา


“ไอ้เด็กสารเลว เจ้ามีสัตว์เลี้ยงสงครามมากมายจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ปู่มีสมบัติมากมาย ดังนั้น จับพวกมันมารวมกันท่าจะดี! ” เทียนซิงเจี้ยนเห็นว่าเขาไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพวกอสูรร้ายได้ และเริ่มผสานร่างทันที


 


ในพริบตาเดียว ความสูงของเขาก็เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเมตร และทั้งตัวของเขาถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะที่มีลักษณะคล้ายๆเกล็ดงู ขณะเดียวกัน หมวกเหล็ก สิ่งประดิษฐ์วิญญาณชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนหัวของเขา


หมวกเหล็กส่องประกายมันเงาและเป็นสีดำ บนหน้าผากของมันมีดวงตาหนึ่งดวงที่เปล่งประกายแปลก ๆ นอกเหนือจากนี้ เทียนซิงเจี้ยนยังสวมชุดเกราะสีแดงเพลิง ชุดเกราะนี้ทำจากเปลวไฟทั้งหมดจึงดูเหมือนลูกบอลเพลิงลูกหนึ่ง


 


“ให้ตายเถอะ ไอ้หมอนี่มีสมบัติวิญญาณถึงสามชิ้นจริงๆ และพลังวิญญาณทั้งสามนี้ก็ดูเหมือนจะมีอาวุธวิญญาณระดับสูงเช่นกัน” เดิมที ด้วยความแข็งแกร่งของเทียนซิงเจี้ยนนั้น ลู่หยางไม่กลัว แต่อีกฝ่ายมีอาวุธวิญญาณระดับสูงนี่สิ


โดยทั่วไปแล้ว สมบัติวิญญาณจะแบ่งออกเป็น สมบัติวิญญาณระดับต่ำ สมบัติวิญญาณระดับกลาง  สมบัติวิญญาณระดับสูง และสมบัติวิญญาณระดับสูงสุด


 


ก่อนหน้านี้ ดาบสังหารมังกรที่ลู่หยางได้รับนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์วิญญาณระดับกลางเท่านั้น แต่เมื่อสิ่งประดิษฐ์อาวุธวิญญาณขึ้นถึงระดับสูงแล้ว คุณสมบัติพิเศษบางอย่างจะปรากฏขึ้นภายในสิ่งประดิษฐ์วิญญาณนั้นไม่มากก็น้อย และมันไม่ง่ายเหมือนกับการเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์


 


แม้ว่า ลู่หยางจะไม่สามารถยืนยันได้ว่า เทียนซิงเจี้ยนมีอาวุธวิญญาณระดับสูงจำนวนเท่าใด แต่ถ้าอีกฝ่ายมีมากกว่าหนึ่งชิ้นนั้น ก็จะเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา


“เป็นยังไงล่ะ?!” กลัวไหม? ไปตายซะ!” เมื่อเห็นการแสดงออกที่ประหลาดใจบนใบหน้าของลู่หยาง  เทียนซิงเจี้ยนก็รู้ว่ามันเป็นเพราะสิ่งประดิษฐ์วิญญาณสามชิ้นของเขา


 


อย่างไรก็ตาม ในบรรดาสมบัติวิญญาณทั้งสามชิ้นที่เขามีนั้น มีเพียงหมวกเหล็กราชาผีเท่านั้นที่เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง ส่วนอีกสองชิ้นเป็นเพียงสมบัติวิญญาณระดับกลางที่ใกล้เคียงกับอาวุธวิญญาณระดับสูง


ตราบใดที่เขาสามารถทำให้คู่ต่อสู้ของเขากลัวแทบตาย เทียนซิงเจี้ยนก็จะพึงพอใจ


 


“ฆ่าเลย!” เทียนซิงเจี้ยน หยิบสิ่งประดิษฐ์วิญญาณทั้งสามออกมาทันที และความมั่นใจที่เขาสูญเสียไปก็กลับคืนมามากกว่าครึ่งหนึ่ง


“กลัวเหรอ? ลืมไปว่าเจ้าอาจไม่มีอาวุธวิญญาณระดับสูงแม้แต่ชิ้นเดียว แล้วยังไงเหรอถ้าเจ้ามีสามอย่างน่ะ? แค่นายน้อยที่ไร้ค่าเช่นเจ้าคนหนึ่ง เจ้าก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! “เนื่องจากความแข็งแกร่งของเทียนซิงเจี้ยนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ลู่หยางจึงไม่ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงสงครามโจมตีเขาต่อไป เขาเลือกสัตว์ร้ายสามตัวที่แข็งแกร่งกว่าและรวมร่างเข้ากับเขาแทน


“ เอี๊ยด เอี๊ยด…”


ในพริบตาเดียว ลู่หยาง ก็สามารถหลอมรวมร่างได้ ตอนนี้ร่างกายของเขามีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบสองเท่า เขาเทียบเท่ากับเทียนซิงเจี้ยน ที่สูงและเพรียว และมีหัวอสรพิษห้าหัว


อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความอรชรอ้อนแอ้นของเทียนซิงเจี้ยนแล้ว ลู่หยางมีความเป็นผู้ชายมากกว่า ผมสีทองของเขาปรกหน้าลงมาราวกับราชาราชสีห์


“เสียงดังกราว!”


ทั้งคู่เป็นสมบัติวิญญาณระดับปานกลาง แต่ใบมีดโลหิตสีม่วงในมือของเทียนซิงเจี้ยนนั้นแข็งแกร่งกว่าดาบสังหารมังกรในมือของลู่หยางระดับหนึ่ง เมื่อทั้งสองต่อสู้กันอย่างสุดกำลัง ลู่หยางถูกเทียนซิงเจี้ยนส่งลอยไปจริงๆ


 


“อะไรนะ? แม้ว่าไอ้เด็กคนนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่สมบัติวิญญาณทุกชิ้นที่อยู่ในความครอบครองของเขาไม่ธรรมดาเลย ดูเหมือนว่าพลังที่อยู่เบื้องหลังเขาจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว ดังนั้น วันนี้ ข้าจึงไม่อาจปล่อยเขาไปได้” ลู่หยางแลกเปลี่ยนการโจมตีกับเทียนซิงเจี้ยน แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บภายนอก แต่ความตั้งใจที่จะฆ่าเทียนซิงเจี้ยนก็เพิ่มขึ้นสองถึงสามจุด


“ ฮ่า ๆ ๆ ไอ้เด็กสารเลว เจ้ารู้มั้ยว่าปู่มีพลังแค่ไหน? จะบอกให้ฟังนะ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อสมบัติในสุสานโบราณนี้ ถ้าเจ้าฉลาดและช่วยปู่ให้ได้มาซึ่งสมบัติภายในนั้น ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าด้วย “


 


“ และอย่างที่เจ้าเห็น ผู้รับใช้ที่ภักดีของข้าตายไปแล้ว ถ้าเจ้าเข้าร่วมภายใต้คำสั่งของข้า ข้าจะนึกถึงเจ้าแต่ในด้านดีๆ เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่เจ้าจะได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวใหญ่แล้ว เจ้ายังจะมีความมั่งคั่งไม่รู้จบอีกด้วย!” เทียนซิงเจี้ยนคิดว่าลู่หยางจะกลัวและจะสัญญาว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทันที


น่าเสียดายที่เขายังคงประเมินลู่หยางต่ำไป


 


“โอ้?” เจ้าต้องการให้ข้าเข้าร่วมกับเจ้างั้นเหรอ? “ เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าควรแสดงความจริงใจบางอย่าง ไม่อย่างนั้น เราก็แค่ดูว่าใครจะอยู่รอดได้จนถึงที่สุด ” ไม่ใช่ว่าลู่หยางไม่กล้าสู้กับเทียนซิงเจี้ยน แต่ลู่หยางไม่ต้องการต่อสู้กับเขา


ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการรับเขา แล้วทำไมเขาถึงไม่เออออไปล่ะ? บางที เขาอาจจะหาโอกาสที่ดีกว่านี้ในการฆ่านายน้อยที่ไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเองคนนี้!


 


ในเวลานั้นเขาจะสามารถฆ่านายน้อยที่ไร้ประโยชน์คนนี้ได้โดยไม่ต้องใช้ทหารแม้แต่คนเดียว และเขาจะได้รับสมบัติวิญญาณระดับกลางถึงสามชิ้น นั่นจะไม่สวยงามงั้นเหรอ?


แน่นอน ความคิดนี้แวบเข้ามาในใจของลู่หยางเท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเห็นด้วยกับความคิดของ เทียนซิงเจี้ยน และนั่นคือการทำให้เรื่องยากลำบากขึ้นสำหรับเขา


 


“ฮ่า ฮ่ าฮ่า คนฉลาดย่อมยอมตามสถานการณ์! “ บอกข้ามา ตอนนี้เจ้าทำงานภายใต้อำนาจใหญ่ไหน แล้วอำนาจใหญ่นั้นให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้าบ้าง?” เทียนซิงเจี้ยนไม่ได้คาดหวังว่า ลู่หยางจะเชื่อคำพูดของเขา และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นทันที


SB:ตอนที่ 171 เทียนซิงเจี้ยนผู้หยิ่งผยอง


“โอ้?” ข้าทำงานที่ตำหนักหมื่นสมบัติ ข้าเป็นผู้จารึกระดับสูงที่นั่น! “ลู่หยาง เปิดเผยตัวตนอย่างหนึ่งของเขาโดยไม่ได้คิด


“อะไรน่ะ?” เจ้าทำงานในตำหนักหมื่นสมบัติอย่างนั้นรึ? “แม้ว่าเทียนซิงเจี้ยนจะรู้เรื่องตำหนักหมื่นสมบัติ แต่ก็ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขากับตำหนักหมื่นสมบัติมากนัก และความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของพวกเขากับตำหนักหมื่นสมบัติก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกัน ดังนั้น หลังจากได้ยินเกี่ยวกับตำหนักหมื่นสมบัติ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


“มันคืออะไรน่ะเหรอ? เจ้าเคยได้ชื่อยินตำหนักหมื่นสมบัติหรือไม่? “เมื่อเห็นว่าเทียนซิงเจี้ยนไม่แปลกใจเลยและแทนที่จะมีความสงสัยบางอย่าง ลู่หยางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจตำหนักหมื่นสมบัติมากนัก


มีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรกคือ เขาไม่รู้เกี่ยวกับตำหนักหมื่นสมบัติ หรือไม่เข้าใจตำหนักหมื่นสมบัติเลย ความเป็นไปได้ประการที่สองคือ กลุ่มอำนาจ หรือตระกูลที่เขาอยู่นั้นยิ่งใหญ่กว่าตำหนักหมื่นสมบัติ


สรุปคือ ความเป็นไปได้ทั้งสองนี้จะไม่ส่งผลดีต่อลู่หยางแต่อย่างใด


 


แต่ลู่หยางไม่สนใจเพราะวันนี้เขาและนายน้อยที่ไม่มีอะไรดีคนนี้ตกอยู่ในสภาพจนตรอกแล้ว และอีกฝ่ายยังคิดที่จะรับเขาเป็นลูกน้องอีกด้วย นี่เป็นพฤติกรรมที่ปัญญาอ่อนอยู่แล้ว ดังนั้นลู่หยางจะไม่แปลกใจถ้าอีกฝ่ายทำอะไรๆที่โง่เขลา


“ แน่นอน ข้าเคยได้ยิน ตำหนักหมื่นสมบัติถือเป็นขุมพลังที่ค่อนข้างใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับหอการค้าเทียนเฟิงของเรา มันก็แค่เล็กๆ! ” ใบหน้าของเทียนซิงเจี้ยนเผยให้เห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจทันที เห็นได้ว่า หอการค้าเทียนเฟิงมีความสำคัญเพียงใดในใจของเขา


“ หอการค้าเทียนเฟิง ดูเหมือนข้าจะมีความประทับใจอยู่บ้าง” ตอนแรก ลู่หยางต้องการสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของ หอการค้าเทียนเฟิงต่อ แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่าศัตรูของตำหนักหมื่นสมบัติคือ หอการค้าเทียนเฟิง และความแข็งแกร่งของหอการค้าเทียนเฟิงนั้นยิ่งใหญ่กว่าของเขาเองเสียอีก มิฉะนั้น ด้วยเครือข่ายของตำหนักหมื่นสมบัติ มันจะไม่จำกัดอยู่เพียงแค่ไม่กี่เมืองเท่านั้น และสาเหตุที่ตำหนักหมื่นสมบัติไม่เติบโตในระดับที่ใหญ่ขึ้นก็เนื่องจากถูกหอการค้าเทียนเฟิงข่มอยู่เป็นเวลาหลายปี


“ถ้าเทียนซิงเจี้ยนคนนี้เป็นนายน้อยของหอการค้าเทียนเฟิง ข้าจะไม่ได้รับความสนใจอย่างมากจากตำหนักหมื่นสมบัติเหรอถ้าข้านำตัวเขากลับไปทั้งเป็นๆ?” หลังจากรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว ลู่หยางซินก็มีแผนคร่าวๆในใจ


 


“อะไรนะ ? เจ้าเป็นนายน้อยของหอการค้าเทียนเฟิงเหรอ?” “ข้าได้ยินเกี่ยวกับเจ้ามามากจริงๆ” ลู่หยางจะไปรู้จักคนจากหอการค้าเทียนเฟิงได้อย่างไร? เขาแค่ทำเป็นสุภาพเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น เขากำลังพูดในสิ่งที่เขาต้องการจะพูดเพื่อให้อีกฝ่ายระวังตัวน้อยลง


“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า พ่อหนุ่ม เจ้านี่ฉลาดนัก ในเมื่อเจ้ารู้จักชื่อหอการค้าเทียนเฟิงของเรา ข้าเชื่อว่าเจ้าก็รู้เช่นกันว่าเมื่อเทียบกับ ตำหนักหมื่นสมบัติแล้ว หอการค้าเทียนเฟิงของเราเป็นยักษ์ใหญ่ ตอนนี้ ข้าให้โอกาสเจ้าในการฝึกราชาพยัคฆ์ขาว อีกทั้งยกสมบัติทั้งหมดที่เจ้ามีให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” แม้ว่า ลู่หยางจะฉลาด แต่เทียนซิงเจี้ยนก็ไม่ได้โง่ อย่างมากที่สุดคือ เขาคิดว่าตัวเองสูงส่งยิ่งนัก


 


“ เอาล่ะ แต่จะฝึกราชาพยัคฆ์ขาวนี่ยากลำบากมาก เอาอย่างนี้ ข้าจะยกสมบัติของข้าให้กับนายน้อย แล้วท่านก็ไปฝึกราชาพยัคฆ์ขาวเอาเอง เป็นยังไง?” ขณะที่ลู่หยางพูด เขาจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ระหว่างราชสีห์ขนทองหกเนตรกับราชาพยัคฆ์ขาว


แม้ว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของราชาพยัคฆ์ขาวไม่ได้อ่อนแอ แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรก็ยังคงเป็นสัตว์ประหลาดเก่าแก่ที่มีชีวิตมานานกว่าสองถึงสามร้อยปี เมื่อลู่หยาง และเทียนซิงเจี้ยนกำลังเจรจากัน สัตว์อสูรทั้งสองก็กำลังต่อสู้กันจนถึงจุดที่ยากที่จะแยกความแตกต่างได้


เมื่อเห็นเช่นนั้น ลู่หยางซินก็มีแผนร้ายกาจ


 


“ดี ดี เจ้านี่ฉลาดทีเดียว มานี่สิ ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้ามีสมบัติมากมายแค่ไหนกันแน่ “เทียนซิงเจี้ยนได้รับการปรนเปรอภายในตระกูลมาโดยตลอด และได้รับแต่การยกยอปอปั้นจากผู้อื่นเท่านั้น เขาจะมองเห็นท่าทีของผู้อื่นได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้พลังอำนาจของเขา เมื่อไม่มีใครที่ไม่ยอมต่อเขา ในความคิดของเขา การแสดงออกของลู่หยางตอนนี้เป็นปกติโดยธรรมชาติ


 


“แล้วแต่ท่านเลย ข้าจะยกสมบัติให้ท่านทันทีเลย” ขณะที่ลู่หยางส่งสัญญาณไปยังราชสีห์ขนทองหกเนตร เขาแสร้งทำเป็นมอบดาบสังหารมังกรของตัวเอง พร้อมกับถุงเก็บของที่เขาพกติดตัวไปด้วย


ในกระเป๋ามีผลึกจำนวนมากที่ลู่หยาง และคนอื่น ๆ ได้รับเป็นเครื่องบรรณาการ และเขาเตรียมที่จะมอบมันให้กับเทียนซิงเจี้ยน


แต่ก่อนที่ลู่หยางจะมอบของเหล่านั้นให้กับเทียนซิงเจี้ยน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันขึ้น


“โฮก!!” “โฮก!!”


เมื่อรับรู้ได้ว่าลู่หยางสั่งมัน ราชสีห์ขนทองหกเนตรเป็นตัวแรกที่พุ่งเข้าหาเทียนซิงเจี้ยน ในขณะที่ราชาพยัคฆ์ขาวตามมาอย่างกระชั้นชิด


แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชสีห์ขนทองหกเนตรกับราชาพยัคฆ์ขาวจะเป็นศัตรูกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าราชาพยัคฆ์ขาวจะมีความประทับใจที่ดีต่อเทียนซิงเจี้ยน ดังนั้น เมื่อราชสีห์ขนทองหกเนตรล่อมันไปที่เทียนซิงเจี้ยน มันก็เท่ากับดึงดูดศัตรูที่แข็งแกร่งอีกตัวมาที่เทียนซิงเจี้ยน


 


“ไอ้อสูรระยำ มาทำลายความโชคดีของข้าจริงๆ!” เนื่องจากความเร็วของราชสีห์ขนทองหกเนตรนั้นเร็วมาก แม้ว่าเทียนซิงเจี้ยน จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงมันเข้ากับการกระทำของลู่หยางได้


ในขณะนี้ สิ่งสำคัญสำหรับเทียนซิงเจี้ยนคือการหลีกเลี่ยงการโจมตีของอสูรร้ายทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าเขา


“ตายซะ!” เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของราชสีห์ขนทองหกเนตร เทียนซิงเจี้ยนโบกดาบโลหิตสีม่วงอย่างดุร้าย จากนั้นก็ปล่อยแสงรูปจันทร์เสี้ยวสีม่วงออกมา


บูม!


ราชสีห์ขนทองหกเนตรพุ่งเข้าชนลำแสงกระเจิงไป แล้วมันก็พุ่งเข้าหาเทียนซิงเจี้ยนอีกครั้งหนึ่ง


เพียงแค่ว่าในขณะนี้ เทียนซิงเจี้ยนมีพลังรวมกับอสรพิษบินห้าหัว และการสนับสนุนจากสิ่งประดิษฐ์วิญญาณทั้งสาม แม้แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรก็ยังไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเทียนซิงเจี้ยน


ถึงอย่างนั้น กรงเล็บของมันก็ยังคงกระแทกเข้ากับร่างกายของเทียนซิงเจี้ยน และใบมีดโลหิตสีม่วงในมือของเทียนซิงเจี้ยนก็ได้ทิ้งรอยแผลบาดลึกไว้บนร่างกายของราชสีห์ขนทองหกเนตร


 


“ไอ้บ้าเอ๊ย!” ขณะที่ราชสีห์ขนทองหกเนตรได้รับบาดเจ็บ มันก็ไม่ดีสำหรับเทียนซิงเจี้ยนเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อราชาพยัคฆ์ขาวพยายามตะครุบเทียนซิงเจี้ยนอีกครั้ง


“ตู้ม”


เมื่อเทียบกับราชสีห์ขนทองหกเนตรที่ติดอยู่ในความหนาวเย็น ราชาพยัคฆ์ขาวไม่มีความกังวลอื่นใด ในพริบตาเดียว อากาศเย็นระเบิดออกมา แล้วร่างกายของเทียนซิงเจี้ยนก็ถูกแช่แข็งเป็นก้อนน้ำแข็งไป


เมื่อเห็นเช่นนี้ ลู่หยางรีบเดินไปพันแผลให้กับราชสีห์ขนทองหกเนตร เพราะหากราชาพยัคฆ์ขาวลอบโจมตี  เขาและราชสีห์ขนทองหกเนตรจะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง .


แม้ว่าเทียนซิงเจี้ยนจะถูกแช่แข็ง แต่ดวงตาบนหมวกเหล็กของเขาก็ส่งผลทันที ลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากภายในทำให้ก้อนน้ำแข็งละลายทันที


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พิษสีดำถูกปล่อยออกมา หมวกเหล็กสีดำสนิทก็เริ่มหม่นๆไปอย่างไม่คาดคิดจนเทียบไม่ได้แม้กับสมบัติวิญญาณระดับกลางธรรมดาๆชิ้นหนึ่ง


 


“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีอาวุธวิญญาณระดับสูงจริงๆ แต่อาวุธวิญญาณระดับสูงนี้กลายเป็นเพียงสมบัติธรรมดาๆไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจัง!” ลู่หยางถอนหายใจ แล้วลอบโจมตีจากด้านหลัง


“เสียงดังกราว!”


แม้ว่าดาบของลู่หยาง จะไม่สามารถทำร้ายเทียนซิงเจี้ยนได้รุนแรง แต่ก็สามารถส่งเขาลอยไปได้ทันที


“ ไอ้เด็กสารเลว เจ้ากล้าทำร้ายข้าจริงๆ ข้าคิดว่าเจ้าต้องไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว! ” เดิมที เทียนซิงเจี้ยนไม่เชื่อว่าลู่หยาง จะยังกล้าจัดการกับเขาหลังจากการกระทำที่คุกคามและล่อลวงของเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ทำให้เขาต้องยอมรับความจริง


“ ฮ่า ฮ่าไม่เพียงแต่ข้าจะทำร้ายเจ้า ข้ายังอยากจะฆ่าเจ้าด้วย “ตายซะ!” การลอบโจมตีของลู่หยางประสบความสำเร็จ จากนั้นเขาก็พุ่งไปข้างหน้าอีกครั้งด้วยดาบที่สอง ดาบที่สาม โจมตีแขนของเทียนซิงเจี้ยนซึ่งถือดาบโลหิตสีม่วงอยู่


แม้ว่าเทียนซิงเจี้ยนจะมีอาวุธวิญญาณระดับกลางปกป้องเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแขนของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ


“เสียงดังกราว!”


หลังจากการโจมตีสามครั้ง เทียนซิงเจี้ยนก็โยนดาบโลหิตสีม่วงลง ลู่หยางใช้โอกาสนี้รีบพุ่งไปข้างหน้าคว้าดาบโลหิตสีม่วงไว้


ลู่หยางจับใบมีดโลหิตสีม่วงไว้ แล้วใช้ระบบเพื่อยึดครองมันอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน เขาก็หยดเลือดของเขาหนึ่งหยดลงบนใบมีดโลหิตสีม่วงเพื่อทำให้มันจำเขาเป็นเจ้านายของมัน


แน่นอน ใบมีดโลหิตสีม่วงยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์วิญญาณระดับกลางชั้นยอด ถ้าเป็นสถานที่อื่น ๆ มันจะไม่ถูกยึดครองโดยผู้คุมอสูรคนอื่นได้ง่ายๆ แต่นี่เป็นสถานที่ที่หนาวเหน็บมาก และมันง่ายมากที่จะตัดการเชื่อมต่อระหว่างอาวุธวิญญาณกับเจ้าของของมัน นอกเหนือจากความจริงที่ว่า เทียนซิงเจี้ยนถูกทุบตีจนเละเทะ เขาสูญเสียการควบคุมใบมีดโลหิตสีม่วงไปแล้ว


SB:ตอนที่ 172 วิญญาณแห่งสุสานโบราณ


“ประตูอเวจี” ครั้งนี้ ลู่หยางไม่ได้คิดเลย เขาหลอมรวมความสามารถอันศักดิ์สิทธิ์นี้เข้ากับใบมีดโลหิตสีม่วงของเขาทันที


ประการแรก ทั้งคู่มีคุณสมบัติด้านความมืด และประการที่สอง ใบมีดโลหิตสีม่วงแปดเปื้อนไปด้วยความคับแค้นใจจำนวนมากซึ่งเหมาะสำหรับประตูอเวจีในการย่อยสลาย


“ ประตูอเวจี!” หลังจากหลอมรวมประตูอเวจีเข้ากับใบมีดโลหิตสีม่วงแล้ว ลู่หยางก็ปล่อยความสามารถโดยกำเนิดนี้ทันที สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณระดับกลางนี้เข้ากันได้อย่างดียิ่งกับประตูอเวจี


 


หลังจากที่ความสามารถโดยกำเนิดนี้ถูกปลดปล่อยออกมา ประตูอเวจีทั้งสี่บานก็ขังเทียนซิงเจี้ยนไว้ข้างใน แม้ว่าประตูอเวจีจะไม่สามารถทำร้ายเทียนซิงเจี้ยนได้ แต่ก็สามารถส่งผลต่อจิตใจของเขาได้ ครู่หนึ่ง เทียนซิงเจี้ยน รู้สึกถึงอาการวิงเวียน เขาล้มลงบนพื้นและไม่สามารถขยับได้


“โฮก!!”


เมื่อราชาพยัคฆ์ขาวเห็นว่า เทียนซิงเจี้ยนสูญเสียความแข็งแกร่งในการต่อสู้ มันก็หันไปที่ลู่หยางทันที


“ไม่เลวนี่ เจ้าค่อนข้างฉลาดทีเดียว เข้ามาสิ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าแข็งแกร่ง หรือว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรและข้าแข็งแกร่งกว่า ” ลู่หยางเอื้อมมือออกไปและเรียกราชสีห์ขนทองหกเนตรมา


 


“ ลู่หยาง เจ้าตัวนี้ไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายๆนะ ไม่เพียงแต่มันมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่มันยังมีไหวพริบอีกด้วย”ราชสีห์ขนทองหกเนตรมองไปที่เทียนซิงเจี้ยนที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นและพูดด้วยความกลัว


“โอ้?” ดูเหมือนว่าราชันย์พยัคฆ์ขาวนี้จะรับมือยากจริงๆ! “ลู่หยางพยักหน้า บอกใบ้ให้ราชสีห์ขนทองหกเนตรระมัดระวังมากขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าโจมตี มิฉะนั้นหากพวกเขาปล่อยให้ราชาพยัคฆ์ขาวตัวนี้ใช้ประโยชน์จากพวกเขาโดยไม่มีเหตุผล นั่นคงไม่ดีแน่


“ฮู้วว!”


ราชาพยัคฆ์ขาวดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ลู่หยางพูด และโดยไม่พูดอะไรมันก็อ้าปากและพ่นลมปราณเย็นออกมาจำนวนมาก เมื่อ เทียนซิงเจี้ยนถูกแช่แข็งเป็นก้อนน้ำแข็งด้วยพลังเย็นก่อนหน้านี้ ลู่หยางไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อเขาได้สัมผัสมันเป็นการส่วนตัวเขาก็ตระหนักได้ว่านี่คือพลังงานเย็นได้อย่างไร


 


ไม่เพียงแต่พลังงานที่เย็นลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น อุณหภูมิของมันยังต่ำมากอีกด้วย ตราบใดที่ลู่หยางสัมผัสได้ถึงพลังอันเยือกเย็นเหล่านี้ เขาจะถูกแช่แข็งเป็นก้อนน้ำแข็งแน่นอน


“ราชสีห์ขนทองหกเนตร รีบคลุมตัวข้า!” ลู่หยางรู้ดีว่าเขาต้องไม่สัมผัสอากาศเย็นนี้แม้แต่เพียงเล็กน้อย มิฉะนั้นถ้ามันถูกแช่แข็งเป็นก้อนน้ำแข็ง เขาต้องลำบากแน่


“ บรื๋ออ!”


ในขณะที่พลังงานฉีที่เยือกเย็นกำลังจะเข้าสู่ร่างกายของลู่หยาง ทันใดนั้น แสงสีทองก็พุ่งออกมาจากหัวของราชสีห์ขนทองหกเนตร และพุ่งเข้าหาพลังฉีที่เย็นยะเยือก


บูม!


แสงสีทองและพลังงานฉีที่เยือกเย็นปะทะกัน แสงสีทองเหมือนกับมีดร้อนปาดลงบนเนยแข็ง พลังฉีที่เยือกเย็นถอยกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า และราชาพยัคฆ์ขาวก็ถูกส่งลอยออกไปสองถึงสามร้อยเมตรทันที


 


“อะไรนะ แสงสีทองของราชสีห์ขนทองหกเนตรสามารถยับยั้งราชันย์พยัคฆ์ขาวได้ ดูเหมือนว่าสวรรค์กำลังช่วยข้าอยู่!” เมื่อเห็นว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรกำลังปราบปรามราชาพยัคฆ์ขาวอย่างต่อเนื่อง ลู่หยางก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทันที


อย่างไรก็ตาม ราชาพยัคฆ์ขาวไม่ใได้โง่ ในเมื่อมันไม่สามารถเอาชนะราชสีห์ขนทองหกเนตรได้ จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลา ก่อนที่ลู่หยางและราชสีห์ขนทองหกเนตรจะไล่ตามมันทัน เขาก็เห็นว่าราชาพยัคฆ์ขาวพุ่งเข้าไปในหมอกน้ำแข็งสีขาวแล้ว และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


 


“ช่างมันเถอะ แม้ว่าจะจับราชาพยัคฆ์ขาวไม่ได้ แต่ข้าก็จับปลาตัวใหญ่ได้” เมื่อมองไปที่เทียนซิงเจี้ยนที่หมดสติอยู่นั้น ดวงตาของลู่หยางเผยให้เห็นถึงความหมายบางอย่างทันที


หลังจากได้ราชสีห์ขนทองหกเนตรช่วยลากเทียนซิงเจี้ยนออกจากวังน้ำแข็ง พวกเขาก็ถอดชุดเกราะและหมวกเหล็กที่เขาสวมอยู่ออก ลู่หยางพบกระเป๋าเก็บของสีทองอีกใบในร่างกายของเขา


หลังจากเปิดกระเป๋าออกดู ลู่หยางก็ยิ้มตื่นเต้นทันที


 


“ไม่เลวเลย ไม่เลวจริงๆ มีศิลาผลึกชั้นกลางหนึ่งล้านก้อนอยู่ข้างใน และศิลาผลึกชั้นสูงก็มีหลายพันชิ้น คราวนี้ เราร่ำรวยจริงๆแล้ว “ เมื่อได้เห็นทรัพย์สินจำนวนมากเช่นนี้ ลู่หยางจะไม่มีความสุขได้อย่างไร


นอกจากนั้นยังมีตราที่สามารถพิสูจน์ตัวตนของเทียนซิงเจี้ยนอยู่ในกระเป๋านั้นด้วย ด้วยตรานี้เขาสามารถเรียกร้องความน่าเชื่อถือจากตำหนักหมื่นสมบัติได้


 


อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องของอนาคต


นอกเหนือจากตราแล้ว ลู่หยางยังพบยาล้ำค่าอีกสองสามอย่างที่สามารถช่วยให้ท่านปู่ของหลิงหายจากอาการบาดเจ็บได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย เขากระจายยาสมุนไพรเหล่านี้ไปบนร่างกายของท่านปู่ของหลิง จากนั้นก็ส่งท่านปู่ของหลิงไปยังที่ๆเสี่ยวหลิงอยู่เพื่อให้ปู่และหลานสาวรอเขาอยู่ในห้องลับนั่น นอกเหนือจากนั้น ลู่หยางยังได้จัดให้มีสัตว์เลี้ยงสงครามคอยเฝ้าดูเทียนซิงเจี้ยนอยู่ด้วย


แล้วทีนี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นใดอีก เขาสามารถเข้าไปในปราสาทน้ำแข็งได้อีกครั้งเพื่อตรวจสอบ


ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ลู่หยางจึงเข้าไปในปราสาทน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง มันไม่น่าตกใจเหมือนเมื่อครั้งก่อนอีกต่อไป และเขาก็คุ้นเคยกับความหนาวเย็นที่นี่แล้วไม่มากก็น้อย


 


อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเขาในครั้งนี้ไม่ใช่การเข้าไปในปราสาทน้ำแข็งหิมะ แต่เพื่อค้นหาสมบัติที่เจ้าของปราสาทน้ำแข็งหิมะทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งเป็นสมบัติที่กล่าวกันว่าจะทำให้เขาต่อสู้กับผู้ที่อยู่ระดับเหนือกว่าเขาได้


“ ลู่หยาง ข้ารู้สึกว่าที่นี่เต็มไปด้วยอากาศหนาวเย็น แม้ว่าจะมีสมบัติ แต่ก็อาจมียาบางอย่าง ตามที่ข้าเข้าใจ น้ำแข็งและบัวหิมะพันปีสามารถเพิ่มศักยภาพของผู้คุมอสูรได้ มันอาจทำให้พลังการต่อสู้ของท่านใกล้เคียงกับผู้ฝึกฝนระดับเหลืองได้อย่างไร้ขีด จำกัด “แม้ว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรจะไม่แน่ใจ แต่ในความทรงจำของเขาสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย


 


“ข้าก็หวังว่าอย่างนั้น” ลู่หยางส่ายหัว เขารู้ชัดเจนดี บัวหิมะอายุพันปีมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาให้อยู่ในระดับเดียวกับผู้คุมอสูรผู้คุมอสูรระดับเหลือง แต่เพื่อที่จะกลายเป็นผู้คุมอสูรระดับเหลืองที่แท้จริง เขาจำเป็นต้องหาสำเนาของวิชาฝึกอสูรระดับเหลืองให้ได้ด้วย


ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอยากจะลองดู จะเป็นยังไงถ้ามีสมบัติเช่นนี้ในสุสานโบราณแห่งนี้?


“ ฟิ้ว… ฟิ้ว…  ฟิ้ว…”


ในขณะที่ลู่หยางเจาะลึกเข้าไปเรื่อยๆ พลังงานหนาวเย็นที่อยู่ข้างหน้าก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พลังงานหนาวเหน็บแผ่ปกคลุมเส้นทางเบื้องหน้าของเขา กลายเป็นหมอกน้ำแข็งที่ไม่มีที่สิ้นสุด


 


ลู่หยางนั่งบนร่างของราชสีห์ขนทองหกเนตร แล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ ทุกย่างก้าวบนพื้นสร้างเสียงดังเอี๊ยด ทำให้ราชสีห์ขนทองหกเนตรมองไปรอบ ๆ เห็นได้ชัดว่าหลังจากเข้าสู่หมอกน้ำแข็งแล้ว แม้แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรก็ยังมีความรู้สึกระแวดระวังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


“ ลู่หยาง หมอกน้ำแข็งที่นี่ไม่ธรรมดา! ถ้าข้าเดาไม่ผิดอาจจะมีแก่นน้ำแข็งหมื่นปีอยู่ข้างใน “ราชสีห์ขนทองหกเนตรมองไปรอบ ๆ อย่างประหม่า ขณะที่เขาพูดกับลู่หยาง


“ แก่นน้ำแข็งหมื่นปีเหรอ? “ มันคืออะไร?” ลู่หยางขมวดคิ้วและถาม


“ แก่นน้ำแข็งมักเกิดขึ้นในบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง มันถูกสร้างขึ้นโดยพลังงานหนาวเย็นที่บริสุทธิ์ โดยทั่วไปแล้ว แก่นน้ำแข็งร้อยปีที่มีขนาดเท่านิ้วนั้นเกิดขึ้นจากพลังงานเย็นที่มีขนาดเท่ากับน้ำแข็งหนึ่งหมื่นเท่า ในทำนองคล้ายๆกัน แก่นน้ำแข็งอายุพันปีถูกสร้างขึ้นโดยพลังงานเย็นที่มีขนาดเท่ากันถึงล้านเท่า หากเป็นแก่นน้ำแข็งหมื่นปี พลังงานเย็นที่อยู่ภายในจะไม่สามารถคำนวณได้ “


 


“อย่างไรก็ตาม เมื่อแก่นน้ำแข็งหมื่นปีถูกสร้างขึ้น โดยธรรมชาติแล้วรัศมีเย็นเยือกที่เปล่งออกมาจะไม่ธรรมดาเลย รัศมีเย็นที่ก่อตัวจะเย็นยะเยือกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และจะไม่สามารถสลายได้ไปอีกนาน” ราชสีห์ขนทองหกเนตรกล่าวอย่างเคร่งขรึม


 


“ ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก นั่นหมายความว่าจะมีบัวหิมะอายุพันปีอย่างน้อยหนึ่งต้นที่นี่” ลู่หยางครุ่นคิดสักนิดแล้วก็ตระหนักว่าในเมื่อเจ้าของสถานที่แห่งนี้มีสามารถมีแก่นน้ำแข็งหมื่นปี แล้วจะไม่แบ่งบัวหิมะอายุพันปีสักชิ้นหรือไง


“ นั่นอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น อันดับแรก เราจะไม่สามารถระบุอายุของแก่นน้ำแข็งได้เพียงแค่อาศัยหมอกน้ำแข็งนี้ แต่มันจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันเดียว หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าของสุสานโบราณแห่งนี้ต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง “แน่นอนทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดา และทุกอย่างสามารถยืนยันได้ก็ต่อเมื่อมีคนเห็นวิญญาณแห่งสุสานโบราณ


เหนืออื่นใด มันจะดำรงอยู่ในตำนานเช่น วิญญาณแห่งสุสานโบราณในสุสานโบราณแห่งนี้


“โฮก!!” “โฮก!!”


ลู่หยางขี่หลังราชสีห์ขนทองหกเนตร ยิ่งเขาเข้าไปในสุสานโบราณลึกเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงคำรามต่ำๆมากขึ้น


แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถระบุได้ว่านี่คือเสียงคำรามของพยัคฆ์ขาว แต่พวกเขาก็มั่นใจได้ว่าพวกเขามาถึงที่ซ่อนของราชาพยัคฆ์ขาวในขณะที่อากาศหนาวเย็นลงและหนาวเย็นลง


อย่างไรก็ตาม แม้ว่านี่จะเป็นที่ซ่อนของราชาพยัคฆ์ขาว แต่ก็มีอีกระลอกหนึ่งของแรงกดดันที่ทรงพลังยิ่งกว่าที่นี่ และแม้แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรก็ไม่สามารถหายใจได้จากแรงกดดันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังทางจิตวิญญาณของลู่หยางซึ่งพบว่ามันยากที่จะก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนี้


“ คนภายนอก เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมข้าถึงเห็นเงาของเผ่าพันธุ์สุสานโบราณของเราบนตัวเจ้า? ” ในขณะที่ลู่หยางกำลังจะเดินต่อไป เสียงที่เศร้าหมองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็ดังออกมาจากปลายหมอกน้ำแข็ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม