จอมใจจ้าวพิษ 152-159

 ตอนที่ 152 หมู่บ้านน้ำศักดิ์สิทธิ์ 


 


 


 


 


 


เถิงเสวี่ยสั่นศีรษะแล้วพูดว่า  


 


 


“ในเมื่อมันลงไปในน้ำ ย่อมแสดงว่าน้ำที่นี่ไม่ธรรมดา ที่นี่เป็นเขตปกครองของฉู่จิ่งเหยา เราระดมคนมาตักน้ำไว้ก่อน” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์เหลือบมองถังเฉียน รู้สึกไม่พอใจ แล้วถามว่า 


 


 


“อาจารย์ แล้วของพวกนี้เล่า” 


 


 


เถิงเสวี่ยโบกมือ 


 


 


“รอก่อน ถ้าคนป่วยอาการไม่กระเตื้องขึ้น เราค่อยมาดู ทุ่มเทมากมายเช่นนี้ ถ้าได้สมุนไพรแค่ต้นเดียวจะมีความหมายอะไร” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอย่างไร แต่ถังเฉียนกลับเข้าใจดี หากเป็นสระน้ำแห่งนี้ พวกเขาจะกลายเป็นพันธมิตรกัน แล้วแบ่งส่วนหนึ่งให้ฉู่จิ่งเหยา พวกตนยังคงยึดครองแหล่งที่มาไว้ แต่หากเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง นั่นย่อมมีทั่วป่าเขา ที่นี่หูตามากมาย ความลับย่อมถูกเปิดเผย ถึงเวลานั้นก็ไร้ความหมายแล้ว 


 


 


“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ คนป่วยที่ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วล้วนอาการดีขึ้น ดูแล้วน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ผล เราเจอแล้ว” 


 


 


คนเผ่าอินทรีมาแจ้ง สีหน้าปลาบปลื้ม นับว่าสามารถเอาชนะไอพิษร้ายแรงในเผ่าม้งครั้งนี้ได้แล้ว 


 


 


“ดีมาก แต่ข้าเพิ่งมาถึง เหตุใดจึงได้ผลเร็วอย่างนี้” 


 


 


คนเผ่าอินทรีเงินตอบด้วยความดีใจ 


 


 


“ต้องขอบคุณท่านหมออาหรูน่า เมื่อนางมาถึงก็จัดให้ทดลองดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ทันที” 


 


 


เถิงเสวี่ยหันมามองถังเฉียน พยักหน้าพลางยิ้มให้ แล้วพูดว่า 


 


 


“โคน้อยย่อมไม่กลัวพยัคฆ์ กล้าคิดกล้าทำมาก อาจารย์ได้ยินว่าเมื่อครู่เจ้าห้ามไม่ให้ถงถงเอ๋อร์ขัดแย้งกับคนของจวนจินซิวอ๋อง ใช่หรือไม่” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ฟังน้ำเสียงของเถิงเสวี่ย ก็รีบพูดทันที 


 


 


“อาจารย์ จะอย่างไรศิษย์น้องเล็กก็ยังเด็กมาก พูดจาเหลวไหล ไม่อย่างนั้นเวลานี้เราจะเป็นฝ่ายที่ครอบครองเพียงผู้เดียวแล้ว” 


 


 


“อ้อ อย่างนั้นหรือ” 


 


 


ถังเฉียนพยักหน้า แล้วพูดทันที 


 


 


“อาจารย์ อาหรูน่าตัดสินใจไปเอง เพราะคิดว่าเมื่อครู่ไม่เหมาะที่จะเกิดความขัดแย้ง ต่อให้ภายหลังเราจะแตกแยกกัน แต่เวลานี้ไม่เหมาะที่จะเกิดการต่อสู้ จวนจินซิวอ๋องเป็นพันธมิตรกับเราในการต่อต้านเผ่าครึ่งคน ก่อนที่สงครามจะยุติ การมีมิตรมากขึ้นย่อมดีกว่าการมีศัตรูมากขึ้น” 


 


 


เถิงเสวี่ยได้ยินถังเฉียนพูดเช่นนี้ก็ถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนล้า 


 


 


“มิน่า เถิงเฟิงถึงได้ชอบเจ้า รู้จักสถานการณ์ รู้จักรุกรู้จักถอย สมกับที่เป็นหมอผีที่มาจากตระกูลใหญ่” 


 


 


ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะชมตนต่อหน้าถงถงเอ๋อร์ นางชำเลืองเห็นใบหน้าถงถงเอ๋อซีดเผือด เกิดความคิดในใจว่านางคงจะเดือดร้อน 


 


 


ถังเฉียนแม้จะเข้าใจดี แต่ภายนอกต้องแสร้งเป็นไม่เข้าใจ ไม่เช่นนั้นถงถงเอ๋อร์จะยิ่งเคียดแค้น และยิ่งมุ่งร้ายต่อนาง 


 


 


“อาจารย์ ที่จริงอาหรูน่ามีใจลำเอียง ที่ผ่านมาท่านอ๋องดีกับข้ามาก ข้าไม่อาจลืมบุญคุณคนอื่นได้” 


 


 


เถิงเสวี่ยเดินเข้ามาหาถังเฉียน ลูบเส้นผมนางเบาๆ 


 


 


“เด็กดี รู้หรอกว่าเจ้าเป็นคนมีน้ำใจ ในเมื่อเจ้าเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ แล้วต่อจากนี้เจ้าคิดว่าควรจะจัดการอย่างไร” 


 


 


ถังเฉียนหันมาดูสีหน้าถงถงเอ๋อร์ แล้วถามว่า 


 


 


“อาจารย์ก็รู้ว่าอาหรูน่ายังเด็กอยู่ ทำอะไรตามอารมณ์ ยังดีที่ไม่ได้ทำผิดพลาด ถ้าจัดการงานอย่างรอบคอบแล้ว ยังต้องศึกษาจากศิษย์พี่ ศิษย์พี่คิดว่าต่อจากนี้ควรจะทำอย่างไร” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์มองดูอาจารย์ เถิงเสวี่ยพยักหน้า นางจึงพูดว่า  


 


 


“รอเจ็ดวันก่อน หากภายในเจ็ดวันนี้อาการไข้ป่าไม่กำเริบ น้ำที่นี่ก็คือน้ำศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้ให้ตักน้ำเก็บไว้ แล้วล้อมที่นี่ป้องกันแหล่งน้ำไว้” 


 


 


ถังเฉียนพยักหน้าเห็นด้วย เถิงเสวี่ยพูดว่า 


 


 


“อาหรูน่า เจ้าคิดว่าควรจะทำอย่างไร” 


 


 


ถังเฉียนครุ่นคิด แล้วตอบว่า 


 


 


“ฟังที่ศิษย์พี่พูดแล้ว อาหรูน่าเห็นว่าตอนนี้เก็บน้ำไว้สิบถัง จากนี้ไปไม่ใช้อีก แล้วล้อมที่นี่ไว้ สร้างหมู่บ้านน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้น วางกำลังดูแลทั้งภายในภายนอก ทำอย่างนี้แล้วจะประกันได้ว่าหากมีไอพิษระบาดอีกครั้งต่อไป เราจะมีวิธีรับมือ หรืออย่างน้อยก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง” 


 


 


เถิงเสวี่ยพยักหน้า 


 


 


“เช่นนั้นก็ทำตามวิธีของพวกเจ้า หมู่บ้านน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 153 ไม่กลับไปแล้ว 


 


 


 


 


 


หลังเจ็ดวันผ่านไป ปรากฏว่าไข้ป่าสลายหายไปแล้ว ผู้ป่วยไข้ป่าจำนวนมากก็ได้รับการช่วยเหลือ จวนจินซิงอ๋องร่วมกับเผ่าอินทรีเงิน เผ่าเกาลี่และเผ่าอี๋ซานช่วยกันสร้างหมู่บ้านน้ำศักดิ์สิทธิ์จนสำเร็จ 


 


 


น้ำศักดิ์สิทธิ์บรรจุถุงหนังถูกทยอยส่งไปทั่วดินแดนเผ่าม้งอย่างต่อเนื่อง สงครามที่เกิดจากไข้ป่าก็ยุติลงเมื่อไข้ป่าได้รับการรักษาแล้ว 


 


 


เมื่อไม่มีการทารุณกรรมเพราะไข้ป่า ไฟสงครามในชายแดนใต้ก็ค่อยๆ สงบลง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่เกิดความวุ่นวายอีก เผ่าหมอผีกู้ชายแดนภาคใต้อีกครั้ง จึงยังคงดำรงไว้ซึ่งฐานะสูงส่ง จวนจินซิวอ๋องจึงกลับคืนสู่ความสงบเช่นเดิม แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่ยังคาใจถังเฉียนอยู่ 


 


 


หมอผีศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อจีหมิง โชคร้ายเสียชีวิตบนแท่นบวงสรวง เถิงเสวี่ยทำตามข้อตกลงในตอนนั้นส่งศพนางไปฝังในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ถังเฉียนฉุกคิดถึงคำพูดของถงถงเอ๋อร์ เวลานี้แปดเผ่าม้งกับจวนจินซิวอ๋องรักษาความมั่นคงไว้ได้อย่างฝืนๆ เพราะชาวเผ่าม้งหวั่นเกรงสมญานามเทพแห่งสงครามของฉู่จิ่งเหยา ขณะเดียวกันหายนะจากธรรมชาติครั้งนี้ ทำให้จิตใจผู้คนหวาดหวั่น ไม่มีกำลังต่อต้าน แต่คงมีสักวันที่พวกเขาจะสลัดออกจากการเป็นข้าทาส 


 


 


การดูดรับไอทิพย์จากฟ้าดินของถังเฉียนยังคงสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างเช่นเดิม นางเคยถามถงถงเอ๋อร์ บนร่างนางมีมังกรดำตัวเดียว และนางยังเคยถามเถิงเสวี่ยถามฮว่าเหยียน หมอผีศักดิ์สิทธิ์ทุกคนบนร่างล้วนมีมังกรดำตัวเดียวเท่านั้น ไม่เคยมีมังกรแดงอะไรนั่นเลย นางเคยถามว่าเคยมีหมอผีที่มีมังกรสองตัวบนร่างหรือไม่ ฮว่าเหยียนบอกว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด คนคนหนึ่งจะมีมังกรได้เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น 


 


 


เมื่อถังเฉียนได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกหวั่นใจมาก นางไม่กล้าเผยความลับของตนเอง ไม่ใช่เพราะนางไม่ไว้ใจเถิงเสวี่ย แต่นางเชื่อว่าบางเรื่องนั้นถ้าเป็นสิ่งที่ดีอาจถูกคนอื่นอิจฉาและจ้องทำร้าย หากนางเผยออกไปก็คงจะถูกผู้อื่นเพ่งเล็ง เวลานี้ยังนับว่าสามารถรักษาความสงบไว้ได้ รอจนถึงวันหนึ่ง เมื่อนางไร้ประโยชน์แล้ว บางทีอาจตายก่อนคนอื่น 


 


 


เถิงเสวี่ยยังกล้าใช้ประโยชน์จากฉู่จิ่งเหยา และทันที่ที่ฐานะของนางถูกยืนยัน แล้วนางยังจะมีมีไพ่อะไรในมือ 


 


 


เถิงเสวี่ยแปลกใจมาก แต่ในพิธีบวงสรวงครั้งนี้ ถังเฉียนกลับไม่เกิดอาการอ่อนล้าใดๆ ไม่มีความแตกต่างจากหมอผีขั้นสูงคนอื่นๆ จื่อเย่ว์กับพวกเห็นแล้วจึงรู้สึกประหลาดใจ  


 


 


แม้ว่าเถิงเสวี่ยจะแปลกใจกับเรื่องนี้มาก แต่ก็ไม่มีเวลาอยู่ที่นี่ต่อ อินทรีเทพของเผ่าอินทรีเงินมาถึงแล้ว เถิงเสวี่ยมีคำสั่งให้บรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ในถังที่ทำขึ้นพิเศษ ให้อินทรีเทพเอาติดตัวบินไปส่งตามหมู่บ้านต่างๆเพื่อช่วยชีวิตชาวบ้าน ถังเฉียนยังอยู่ที่หล่งชวน กราบลาเถิงเสวี่ยกับพวก อยู่ต่อตามลำพังเพื่อค้นคว้าการโคจรพลังทิพย์ของตน 


 


 


โลกนี้ยังคงเป็นเหมือนเดิม สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือ ผู้คนพากันเคารพยำเกรงถังเฉียนมากขึ้น 


 


 


“ท่านหมออาหรูน่า พระชายารองเชิญท่านไปพบ” 


 


 


เมื่อถังเฉียนได้ยินชื่อนี้ก็แปลกใจ นางยังไม่ได้กลับบ้านหรอกหรือ ก่อนหน้านี้ได้ข่าวแล้วว่าฉู่จิ่งเหยาตกลงให้ส่งนางกลับบ้าน เหตุใดนางยังอยู่ต่อ แต่นางก็ยังไปยังเรือนเซียงหาน 


 


 


เรือนที่ไม่ใหญ่โตนักแห่งนี้ ขณะนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ครั้งนี้ซูซินเหลียนไม่ได้ถูกมัดติดกับเตียง นางนั่งอยู่นิ่งๆ แต่มีโซ่ตรวนที่เท้า ดูราวกับนักโทษ 


 


 


“แม่นางจื่อเย่ว์ ท่านอ๋องสั่งให้ล่ามโซ่เช่นนี้หรือ” 


 


 


จื่อเย่ว์เหลือบมองซูซินเหลียน จากนั้นจึงยิ้มแล้วตอบว่า 


 


 


“ท่านอ๋องเราใจดีอยากส่งนางกลับไปเจาหยางพักฟื้น จะอย่างไรดินแดนเผ่าม้งก็เต็มไปด้วยไอพิษไม่เหมาะกับการรักษาโรค แต่พระชายารองไม่ยอมรับความหวังดี” 


 


 


ถังเฉียนฟังแล้วก็มองดูซูซินเหลียนด้วยความแปลกใจ ก่อนหน้านี้นางอาละวาดอยากกลับบ้าน เหตุใดตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจไม่กลับแล้ว จิตใจผู้หญิงเหมือนเข็มในมหาสมุทรจริงๆ 


ตอนที่ 154 อีกโลกหนึ่ง 


 


 


 


 


 


“ข้าไม่ไป ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” 


 


 


ซูซินเหลียนตะโกนพร้อมกับเกาะมุ้งไว้แน่น นางจะไม่ยอมไปเด็ดขาด ถังเฉียนแปลกใจ ครั้งนั้นคนที่ขอร้องนางว่าอยากไปก็เป็นซูซินเหลียนเอง เวลานี้คนที่ไม่ยอมไปอย่างหัวเด็ดตีนขาดก็เป็นนางอีก ใบหน้าจื่อเย่ว์ฉายแววรำคาญออกมา ร้องหึแล้วพูดว่า 


 


 


“เดิมนางเป็นคนที่ฝ่าพระบาทกับองค์กุ้ยเฟยประทานมาเพื่อให้ช่วยดูแลท่านอ๋อง เวลานี้นางเป็นบ้า ท่านอ๋องบอกว่าควรดูแลนางให้ดีเหมือนเดิม แต่นางกลับไร้วาสนา” 


 


 


ถังเฉียนนั่งลงข้างๆ นาง พูดปลอบว่า 


 


 


“ก็ได้ ก็ได้ ไม่ไปก็ไม่ไป แล้วเจ้าเรียกข้ามา จะให้ข้าช่วยสิ่งใดหรือ” 


 


 


ซูซินหลินเหลือบมองจื่อเย่ว์ด้วยความระแวง ถังเฉียนหันมา ขอให้จื่อเย่ว์ออกไปจากห้อง คราวนี้จื่อเย่วย้ำอีก บอกให้ถังเฉียนอย่าเชื่อที่ซูซินเหลียนพูดเด็ดขาด นางเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ทุกวันพร่ำพูดเหมือนคนเสียสติ 


 


 


ซูซินเหลียนมองดูจื่อเย่ว์เดินออกไป สีหน้าดูลึกลับ แล้วบอกให้ถังเฉียนเขยิบเข้ามาใกล้ๆ จงใจทำท่าทางลับๆ ล่อบอกกับนางว่า 


 


 


“ข้าคิดว่าที่นี่มีเจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าใจข้าได้ ข้าไม่ใช่คนของพวกเจ้าที่นี่ ข้ามาจากอีกโลกหนึ่ง” 


 


 


เมื่อถังเฉียนได้ยินคำพูดเช่นนี้ ความคิดแรกในใจก็คือนี่เป็นคำพูดของคนเสียสติ แต่นางเคยได้ยินฉู่จิ่งเหยาบอกว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาด ในเมื่อนางสามารถเฝ้ามองโลกของดอกไม้เล็กๆ ดอกหนึ่ง แล้วเหตุใดจึงจะมีอีกโลกหนึ่งไม่ได้ 


 


 


เมื่อถังเฉียนคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าควรจะตั้งใจฟังต่อ ดูว่าคำพูดนางมีช่องโหว่หรือไม่ หากไม่มี บางทีนางอาจจะไม่บ้า แต่นางเป็นเพียงคนจากอีกโลกหนึ่งเท่านั้น 


 


 


“เจ้าเล่าให้ละเอียด ข้าจะพยายามเข้าใจที่เจ้าพูด” 


 


 


ซูซินเหลียนได้ยินว่าถังเฉียนไม่พูดทันทีว่านางเป็นบ้า ทำให้ขอบตานางแดงเรื่อทันที ราวกับซาบซึ้งมาก 


 


 


“มีเพียงเจ้าที่เชื่อข้า ข้าไม่ใช่คนบ้า เพียงแต่มาจากโลกของข้า จู่ๆ ก็มาถึงโลกของพวกเจ้า ข้าไม่รู้ว่าซูซินเหลียนเป็นใคร ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ทำอะไรกัน ดูเหมือนข้าจะทะลุมิติมา” 


 


 


“ทะลุมิติ?” 


 


 


คำนี้ฟังดูแปลกใหม่ ถังเฉียนพยายามทำความเข้าใจ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าชื่ออะไร มาจากไหน ที่บ้านยังมีใครอีก เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ามาที่โลกของเราได้อย่างไร” 


 


 


ซูซินเหลียนบอกว่านางมาจากโลก ปี 2018 ชื่อซูซิน เป็นนักเรียนมัธยมปลาย คงเป็นเพราะแรงกดดันจาดการสอบเอนทรานซ์มากเกินไปจึงทะลุมิติมา ถังเฉียนฟังที่นางเล่ารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ความเข้าใจต่อโลกนี้ของนางได้ไปถึงขีดสุด  


 


 


ถังเฉียนถอนหายใจ แล้วหยิบพู่กันขึ้นมา ตั้งใจจดที่ซูซินเหลียนหรืออาจพูดว่าซูซินเล่าไว้ทั้งหมด นางไม่ได้ปฏิเสธทั้งหมด อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าคำพูดซูซินเหลียนมีช่องโหว่ หรืออย่างน้อยนางก็หาไม่เจอ 


 


 


หลังจากพิธีบวงสรวงอัญเชิญเทพแล้ว ไข้ป่าที่ระบาดตามที่ต่างๆ ก็ได้รับการแก้ไข เผ่าหมอผีควบคุมน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้ ทำหน้าที่แบ่งสรรปันส่วน แต่ควบคุมอย่างเข้มงวดต่อเขตที่นิกายเทพมังกรควบคุมอยู่ ไม่ส่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ ถังเฉียนแปลกใจมาก แต่ความมีเมตตาของนางไม่อาจได้รับการสนับสนุนทุกครั้ง ถังเฉียนรู้ว่านี่เป็นวิธีหนึ่งของอาจารย์ 


 


 


เผ่าหมอผีดำรงอยู่ในเผ่าม้งมานับพันปี คนเผ่านี้ร่างกายไม่แข็งแรง จำนวนคนไม่มาก ชอบอาศัยเป็นกลุ่มเล็กๆ อย่างโดดเดี่ยว มีนิสัยโหดร้าย แปลกประหลาด แต่ชนเผ่าเช่นนี้กลับสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ในเผ่าม้งมาอย่างยาวนาน และยังได้รับการเคารพเชิดชู แสดงว่าเผ่าหมอผีมีวิธีดำรงอยู่ในแบบของตนเอง 


 


 


หลังจากถังเฉียนพบซูซินเหลียนแล้ว นางได้เล่าที่ซูซินเหลียนพูดให้จื่อเย่ว์ฟัง อยากให้จื่อเย่ว์ปล่อยนาง แต่จื่อเย่ว์คิดว่านางเป็นบ้า ถังเฉียนมีฐานะเป็นแขก นางไม่สามารถตัดสินแทนเจ้าบ้านได้ นางจึงกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างซูซินเหลียนกับฉู่จิ่งเหยา แม้ว่าจื่อเย่ว์จะไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ถังเฉียนเชื่อว่าฉู่จิ่งเหยาน่าจะเข้าใจ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 155 เข้าใจได้ 


 


 


 


 


 


“เจ้าบอกว่านางมาจากอีกโลกหนึ่งอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าจะยอมรับคำพูดเช่นนี้ได้หรือ” 


 


 


ถังเฉียนฝึกยืนอยู่ในท่าม้าก้าว พร้อมกับเล่าให้ฉู่จิ่งเหยาฟังอย่างละเอียด ฉู่จิ่งเหยาฟังจบก็ถามด้วยความแปลกใจ  


 


 


“แน่นอนว่ายอมรับได้ ตรรกะของนางไม่มีปัญหา แม้จะไม่สามารถเข้าใจที่นางพูดตั้งแต่ต้นจนจบ แต่คำพูดนางไหลลื่น นางพูดได้อย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้บ้า ในเมื่อนางไม่บ้า มีฐานะสูงถึงพระชายารอง เป็นคุณหนูที่เกิดในจวนมหาเสนาบดี จึงไม่มีความจำเป็นที่จะกุเรื่องเหล่านี้มาหลอกเรา ท่านอ๋องมีความเห็นอย่างไร” 


 


 


คำพูดถังเฉียนทำให้ฉู่จิ่งเหยาครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“ถ้าเป็นช่วงก่อนพิธีบวงสรวง ข้าคงไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของนางกับเจ้า แต่เวลานี้ ข้ายอมเชื่อ เพราะข้าสัมผัสกับความอัศจรรย์ของการบวงสรวงด้วยตัวเอง จะไม่เชื่อก็ไม่ได้” 


 


 


ถังเฉียนซักไซ้ต่อ 


 


 


“ท่านอ๋องสัมผัสถึงสิ่งใด” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยายิ้ม เขาตบศีรษะนางเบาๆ แล้วพูดว่า 


 


 


“กลับไปเถอะ วันหลังข้าค่อยบอกเจ้า” 


 


 


ถังเฉียนไม่ได้รับคำตอบ กลับถูกฉู่จิ่งเหยาบอกให้กลับไป นางเพิ่งออกมาจากที่นี่ จื่อเย่ว์ก็พานางไปยังสถานที่เร้นลับแห่งหนึ่ง ฉู่จิ่งเหยารู้ว่าถังเฉียนต้องนั่งสมาธิ จึงสั่งให้คนสร้างหอแห่งหนึ่งในบริเวณตอนในสุดของสวนดอกไม้ ตั้งชื่อว่าหอฟังฝน สำหรับให้นางใช้ดูดรับไอทิพย์ 


 


 


ถังเฉียนเพิ่งผละไป เจิ้งจยาเฉิงก็มาถึง คราวนี้เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการตรวจสอบถังเฉียน แม้ความตายของผู้คุมจะมีข้อน่าสงสัยหลายเรื่อง แต่การทดสอบครั้งสุดท้ายนั้น ฉู่จิ่งเหยาก็ทำด้วยตนเอง 


 


 


ครั้งนั้นถังเฉียนเตรียมใช้มีดสั้นแทงอกตนเอง ทั้งเจิ้งจยาเฉิงและฉู่จิ่งเหยามองเห็นวินาทีนั้น แววตานางช่างบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ดังนั้นเจิงจยาเฉิงจึงไม่คิดเรื่องการจะตรวจสอบถังเฉียนอีก ที่มาวันนี้เขามีเรื่องอื่นที่สำคัญมาก 


 


 


มีข่าวจากเจาหยาง ในวังรู้เรื่องที่ซูซินเหลียนป่วยแล้ว กุ้ยเฟยร้องห่มร้องไห้ทูลกล่าวโทษเบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ทำให้ทรงรำคาญ บังเอิญมีหนังสือแจ้งจากเผ่าม้งว่าจวนจินซิวอ๋องจัดการกับการระบาดของไข้ป่าไม่ได้ผล ทำผิดพลาดโดยการปล่อยให้พวกหมอผีสังหารชาวบ้าน ฮ่องเต้ทรงกริ้ว จึงตำหนิฉู่จิ่งเหยา 


 


 


ราชโองการยังมาไม่ถึง แต่ข่าวแพร่สะพัดออกไปแล้ว 


 


 


“ท่านอ๋อง รากฐานของเราที่เจาหยางถูกถอนออกไปหลายต้นแล้ว กุ้ยเฟยอยากฉกฉวยโอกาสที่ตอนนี้ท่านตกที่นั่งลำบาก ขับท่านออกจากเจาหยางอย่างเด็ดขาด วันหน้าจะได้ไม่ขัดขวางพระนาง หากตอนนี้ท่านอ๋องไม่ตอบโต้ เกรงว่าเราคงจะฟื้นขึ้นใหม่ได้ยากแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาฟังที่เจิ้งจยาเฉิงพูด มือกำกระบี่ทะลุตะวันแน่น เขารู้สึกร้อนใจ แต่ไม่อาจให้คนอื่นล่วงรู้ ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่จิตใจผู้คนกำลังหวั่นไหว เขายิ่งต้องสุขุมยิ่งกว่าใคร 


 


 


“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไร ตอนที่ข้าอยู่ที่เจาหยางยังไม่อาจเลี่ยงเรื่องที่พระนางทำร้ายขุนนางตงฉิน เวลานี้อยู่ไกลสุดขอบฟ้า ก็ยิ่งคิดแต่ก็ทำไม่ได้ ช่างเถอะ” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงฟังแล้วรู้สึกกลัดกลุ้ม เขารู้ดีว่าขณะนี้ฉู่จิ่งเหยาไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เขามีกำลังเพียงน้อยนิดในเผ่าม้ง แค่พอค้ำจุนได้อย่างยากเย็น แปดเผ่าที่นี่ ล้วนรับมือได้ยากทั้งสิ้น โดยเฉพาะเผ่าหมอผี ดูเหมือนมีเมตตา แต่แฝงไว้ด้วยความอำมหิต ป้องกันยากที่สุด 


 


 


“ท่านอ๋อง ที่ท่านให้ผู้น้อยไปสืบเรื่องถังหรงเจิน มีข่าวแล้วขอรับ ใกล้วันพระราชสมภพขององค์ไทเฮาแล้ว ฝ่าพระบาทน่าจะทรงพระราชทานอภัยโทษทั่วแผ่นดิน ถังหรงเจินคนนี้นับว่าดวงดี มีรายชื่ออยู่ในนักโทษที่ได้รับการลดหย่อน ยกเลิกการประหาร เปลี่ยนเป็นเนรเทศแทนขอรับ” 


 


 


พอฉู่จิ่งเหยาได้ยินเช่นนี้ คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออก แล้วพูดว่า 


 


 


“คราวนี้หมอผีน้อยคงจะดีใจแล้ว นางช่วยชีวิตข้า ต้องรีบบอกให้นางรู้ ถือว่าเป็นการที่ข้าตอบแทนนางเถอะ” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงได้ฟังเช่นนี้ก็รับปาก แต่เพราะก่อนหน้านี้เขามีเรื่องบาดหมางกับถงถงเอ๋อร์และพวก ข่าวนี้จึงไปถึงแค่ประตูเรือนหานต้าน แต่กลับไปไม่ถึงหูถังเฉียน 


ตอนที่ 156 ล้มป่วยแล้ว 


 


 


 


 


 


ระยะนี้ถังเฉียนได้รับหอฟังฝนซึ่งอากาศและทำเลที่ตั้งดีมาก นางได้ลองดูหลายวันแล้ว แต่ไอทิพย์ก็ยังไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นแม้แต่น้อย ตั้งแต่หลังพิธีบวงสรวง การดูดรับพลังทิพย์ของนางดูเหมือนจะมาถึงจุดที่ก้าวข้ามได้ยากอีกครั้ง นางรู้สึกผิดหวังในตัวเองมาก โดยเฉพาะหลังจากทุ่มเทตลอดทั้งคิมหันต์ฤดูแล้วไม่สำเร็จ จึงอดที่จะเศร้าใจไม่ได้ 


 


 


นางรู้ว่าในที่สุดคิมหันต์ฤดูนี้ก็ผ่านไป ยิ่งเข้าใกล้สารทฤดูความเศร้าในใจของนางก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ถังเฉียนในขณะนี้ทั้งเป็นห่วงบิดาซึ่งถูกขังอยู่ในคุก ทั้งยังนึกถึงน้องสาวของตน ยิ่งรู้สึกเศร้าเพราะสารทฤดู ในใจก็เศร้าเสียใจหนักขึ้น บวกกับการทุ่มเทในหลายวันมานี้ ร่างกายจึงทรุดโทรมลง ทำให้นางซูบผอม 


 


 


ถังเฉียนนึกไม่ถึงว่าตนเองจะล้มป่วยลงนอนซมบนเตียงติดต่อกันสามวัน ดื่มได้เพียงน้ำเท่านั้น ฮวาหวนเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็เป็นห่วง ร้อนใจจนร้องไห้ ถังเฉียนต้องปลุกใจตัวเองพูดปลอบเด็กหญิง ฮวาหวนคิดว่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปจึงไม่ดีแน่ จึงขอร้องให้อาห่าวคิดหาวิธีไปหาเถิงเฟิง 


 


 


แต่น่าเสียดายที่เถิงเฟิงยังถูกขังไว้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข่าวนี้ถูกปิด ทำให้ตามหาเขาไม่ได้ระยะหนึ่ง ฉู่จิ่งเหยาไม่เห็นถังเฉียนหลายวัน จึงให้จื่อเย่ว์มาดู จึงพบว่านางป่วยหนักมาก 


 


 


จื่อเย่ว์รู้ว่าฉู่จิ่งเหยาห่วงใยถังเฉียนมาก จึงรีบไปตามหมอหลวงจางมาตรวจ หมอจางบอกว่าเป็นเพราะนางวิตกเกินไป ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง จึงจ่ายยาเทียบหนึ่งให้นางลองกิน 


 


 


ถังเฉียนกินยาดังกล่าว ผ่านไปครึ่งเดือนร่างกายจึงเริ่มมีเรี่ยวแรงบ้าง 


 


 


“ไม่รู้ว่าเด็กอายุน้อยอย่างเจ้า วันๆ กลุ้มใจเรื่องอะไร กังวลจนตัวเองล้มป่วย ยังสู้ยายแก่อย่างพวกเราไม่ได้” 


 


 


ฮว่าเหยียนพักที่นี่สองวันเพื่อช่วยดูแลนาง อย่างไรนางก็อายุมากผ่านประสบการณ์มายาวนาน รู้ว่านางเป็นโรคทางใจจึงป่วยหนักเช่นนี้ ฮว่าเหยียนคิดทบทวนดู แล้วเล่าข่าวที่ได้ยินมาในช่วงนี้ให้ถังเฉียนรู้ บอกนางว่าเรื่องชัดเจนแล้วว่าถังหรงเจินไม่เป็นไรแล้ว 


 


 


“เจ้าหมายความว่าถังหรงเจินจะไม่ถูกประหารแล้วหรือ” 


 


 


นี่น่าจะเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับถังเฉียนในระยะนี้ นางฟังแล้วดวงตาดูมีประกายขึ้นมาไม่น้อย ได้ยินว่าฉู่จิ่งเหยาให้คนไปช่วยสืบข่าว แน่นอนว่าต้องขอบใจฮว่าเหยียนซึ่งกุเรื่องขึ้นในคราวนั้น 


 


 


ได้ยินว่ามีหนังสือแจ้งจากเมืองหลวง จากเดิมโทษประหารเปลี่ยนเป็นเนรเทศแทน เขาถูกส่งไปภาคเหนือแล้ว ถึงจะอย่างไรอย่างน้อยก็รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว บางทีครอบครัวอาจจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง 


 


 


“ฮว่าเหยียน ขอบใจนะ” 


 


 


ถังเฉียนอยากขอบใจนางด้วยความจริงใจ ที่ผ่านมานางเข้าใจผิดฮว่าเหยียนหลายเรื่อง แต่เดี๋ยวนี้นางเข้าใจยิ่งขึ้นว่าเป็นตายขึ้นกับโชคชะตา แพ้ชนะขึ้นกับสวรรค์ 


 


 


“ไม่ต้องเกรงใจอย่างนั้นหรอก ข้าเป็นคู่แค้นที่ทำร้ายน้องสาวเจ้าจนตาย ไม่ต้องเกรงใจข้าขนาดนั้น ข้าไม่ได้เกรงใจเจ้าหรอก” 


 


 


พิธีอัญเชิญเทพครั้งนี้ฮว่าเหยียนเสียหายไม่น้อย สูญเสียแมลงพิษและหญ้าพิษไปไม่น้อย ลำบากแทบแย่กว่าจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ได้ยินว่าบุปผาดำห้าดอกของนางยังสามารถสูงขึ้นอีกหนึ่งขั้น แต่ต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่ง 


 


 


หลังจากพิธีบวงสรวงแล้วต้าฝูก็มาอยู่ข้างตัวถังเฉียน กินและนอนด้วย แม้ถังเฉียนจะไม่สบาย มันก็นอนขดอยู่ที่หัวเตียง ทุกเช้ายังมานอนขดบนตัวนางอย่างใกล้ชิด 


 


 


กลับเป็นเสี่ยวจินที่เกียจคร้านยิ่งขึ้น ตั้งแต่มีกิ่งไม้ทองใบไม้หยกแล้ว ทุกวันมันจะนอนพักอยู่ในกล่องหยกเวินเซียงหน่วน 


 


 


“พี่หมอผี รีบลุกขึ้นเถอะ ใกล้สารทฤดูแล้ว เราต้องเก็บเกี่ยวข้าว ปีนี้มีไข้ป่าระบาดหนัก เรายิ่งต้องเกี่ยวข้าวให้ได้มากๆ หลังจากนั้นก็ปลูกกระเจี๊ยบกัน ทำอย่างนี้แล้วเราก็จะไม่อดอยาก แล้วพอถึงสารทฤดู เราก็ยังมีผลไม้มากมายให้กิน ถึงตอนนั้นข้าจะพาพี่กลับไปหมู่บ้านเทียนอี ที่นั่นมีของกินเต็มไปหมด” 


 


 


ฮวาหวนอยู่เป็นเพื่อนถังเฉียน ช่วยปอกส้มให้นาง นี่เป็นส้มชุดแรกของปีนี้ เพราะนางกำลังป่วยจึงได้ชิมของสดๆ พอเห็นดวงตาใสแจ๋วของหนูน้อย เลยรู้สึกเก้อเขินที่จะกิน เหลือทั้งหมดให้ฮวาหวนดีกว่า 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 157 แค่ความฝัน 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนฝัน ฝันว่าเถิงเฟิงกลับมาแล้ว ในฝันดูเหมือนนางจะคิดถึงเขาเหลือเกิน นางฝันว่าตัวเองนั่งอยู่ในหอฟังฝน นั่งสมาธิดูดรับไอทิพย์ เถิงเฟิงลงมาจากฟ้า เหมือนที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก เขาถอดหน้ากากของนางออก มองดูสีหน้าที่ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกของนาง แล้วยื่นนิ้วออกมาเคาะที่หน้าผากนาง 


 


 


“อาหรูน่าของข้าไม่สบายหรือ ไม่รู้หรือว่าข้าเป็นห่วง” 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้สึกเจ็บหน้าผาก รู้สึกเพียงเย็นเฉียบ ดูแตกต่างจากเดิมมาก นางดูท่าทางเถิงเฟิง แล้วรู้สึกว่าน่าหัวเราะขึ้นมา 


 


 


“ข้าคงคิดถึงเจ้ามาก ถึงฝันเห็นเจ้า หรือเพราะข้ากำลังจะตาย ป่วยใกล้ตายถึงได้เห็นเจ้า” 


 


 


เถิงเฟิงยื่นมือออกมา แตะหน้าผากนาง ร่างลอยอยู่ ทำให้ถังเฉียนแปลกใจ 


 


 


“เจ้ากลุ้มใจเรื่องอะไร ถึงได้ล้มป่วย เพราะคิดถึงข้าใช่หรือไม่ อย่างนั้นเจ้าไม่มาหาข้าที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เล่า” 


 


 


“ข้า…ข้าไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ” 


 


 


ทันใดนั้นร่างเถิงเฟิงก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เหมือนอยู่ห่างจากนางมาก ถึงตอนนี้ถังเฉียนอยากจะตามเขาไป แต่ทำอย่างไรก็ตามไม่ทัน ได้แต่ฟังเสียงเขาอยู่ห่างไกล 


 


 


“มาสิ พอถึงสารทฤดูที่นี่สวยมาก เจ้าจะหายป่วย ข้ารอเจ้าอยู่นะ” 


 


 


ถังเฉียนลังเล ก็แค่ภาพในจินตนาการ การผลัดเปลี่ยนฤดูกาล เป็นความฝันที่สวยงาม เถิงเฟิงไม่รู้ว่านางกลุ้มใจเรื่องอะไร ทำได้เพียงพูดหยอกล้อให้นางสบายใจขึ้น แม้ถังเฉียนยังคงหดหู่ แต่พอสารทฤดูในฝันมาถึง ตามพื้นเต็มไปด้วยใบไม้ร่วง เขาเป็นเหมือนนกที่ขยันขันแข็ง บินไปมาทุกวัน บางครั้งกลับมาอย่างอ่อนล้า แต่พอเห็นนางก็จะพูดว่า 


 


 


“รอให้ผ่านสารทฤดู เมื่อถึงเหมันต์ฤดูเจ้าก็จะหายป่วย” 


 


 


ถังเฉียนมองดูรอยยิ้มของเขา ตามเขาผ่านสารทฤดู มาถึงเหมันต์ฤดู ดูเหมือนนางจะหายป่วยแล้ว ร่างกายไม่อ่อนเปลี้ยอีก เพียงแต่รู้สึกตัวเบาหวิว เท้าเหมือนเหยียบบนปุยฝ้าย ลอยละลิ่วตามเขาทันแล้ว 


 


 


“เจ้าหายป่วยแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนยิ้มกับเถิงเฟิงอย่างเบิกบาน นางกระโดดโลดเต้นในฝัน นางไม่ได้เป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว ไล่ตามหิมะลูกกลมไปไกล แต่จู่ๆ ลมก็พัดแรง 


 


 


“หนาวจัง…” 


 


 


ถังเฉียนครางออกมา ฮวาหวนอยู่ข้างๆ ช่วยห่มผ้าห่มให้นาง ถังเฉียนลืมตาขึ้นมองทุกอย่างรอบๆ ที่คุ้นเคย ที่แท้นางยังนอนอยู่บนเตียง เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าตัวหนักอึ้งแล้ว 


 


 


“หรือข้าฝันผ่านไปสามสารทฤดู” 


 


 


ถังเฉียนถอนหายใจ ฮวาหวนร้องไห้พลางโอบคอถังเฉียนไว้ 


 


 


“ท่านหมอ ท่านไม่รู้หรือว่าตัวเองนอนหลับไปสามวันสามคืนแล้ว พวกเขาคิดว่าท่านคงแย่แน่แล้ว” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็ลุกนั่ง แม้ว่าท่าทางนางจะดูแข็งทื่อบ้าง แต่กลับทำได้อย่างไม่ยากเย็น นางเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองก็แปลกใจมาก คิดในใจว่า 


 


 


“เพราะอะไร ข้าป่วยหนักมาก เหตุใดอยู่ดีๆ ก็หายป่วย หรือที่ฝันไปช่วยรักษาโรคได้” 


 


 


ถังเฉียนตบหลังฮวาหวนเบาๆ ให้ฮวาหวนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในนางฟัง ที่แท้ก็ได้รู้ว่านางพูดคุยอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็หมดสติไป ฮว่าเหยียนรวมทั้งหมอหลวงหลายคนวินิจฉัยไม่ออกว่านางเป็นอะไรไป ท่านอ๋องตามหมอที่มีฝีมือมาตรวจ แต่ไม่พบปัญหาอะไร ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงนอนหลับไม่ตื่น 


 


 


นางหลับไปเช่นนี้สามวันสามคืน ช่วงเวลาดังกล่าวจื่อเย่ว์ฮว่าเหยียนและฮวาหวนผลัดกันอยู่ดูแลนาง 


 


 


“อาห่าวล่ะ เขาเจอเถิงเฟิงหรือไม่” 


 


 


ฮวาหวนได้ยินเช่นนี้ก็แปลกใจทันที แล้วรีบบอกว่า 


 


 


“จริงสิ มีเพียงอาห่าวเท่านั้นที่บอกว่าท่านหมอไม่เป็นไร นอนหลับไปพอตื่นก็จะหายป่วย ยังบอกว่าพวกเราวุ่นวายไปเปล่าๆ เดี๋ยวข้าจะไปตามพี่อาห่าวมา” 


ตอนที่ 158 รักษาโรคในความฝัน 


 


 


 


 


 


อาห่าวมาแล้ว ถังเฉียนจึงเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้นี่เป็นการรักษาโรคในความฝัน ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาของเผ่าพีส่า นั่นคือต่อให้อยู่ไกลนับพันลี้ ก็สามารถขจัดปัดเป่าโรคของนางให้หายได้ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ได้จากการได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคนอื่นนั้นไม่ได้รับอภิสิทธิ์ที่พิเศษเช่นนี้ 


 


 


เมื่ออาห่าวพูดเช่นนี้ ถังเฉียนจึงยิ่งอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเผ่าพีส่า รวมทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์และพรศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น 


 


 


“เผ่าพีส่าทำสิ่งใดกันแน่ ไม่ว่าจะผู้บวงสรวง ปราบผี หมอผี หรือเผ่าอินทรีเงิน ก็ดูเหมือนล้วนเกี่ยวพันกับพวกเขาแทบทั้งสิ้น” 


 


 


นางยังจำได้ว่าในความฝันเถิงเฟิงบอกให้นางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นมีทัศนียภาพอย่างไรกันแน่ นางอยากไปดูจริงๆ 


 


 


ถังเฉียนหายป่วยแล้ว แต่โลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ได้มาเปล่าๆ ขณะที่นางฟื้นขึ้น เถิงเฟิงกลับสลบไป เขาได้รับข่าวจากอาห่าว ก็ร้อนใจรีบอยากไปหาถังเฉียน หากแต่บิดากับมารดาไม่อนุญาต พละกำลังของเขานั้นก็ยังไม่ฟื้นตัวดี เมื่อถูกบีบคั้น เขาจึงไปขอกำยานเทพมังกรจากพี่ชาย เพื่อทำพิธีบวงสรวง แล้วทำการรักษาโรคให้นางในความฝัน 


 


 


“เจ้าเด็กคนนี้ต้องบ้าแน่ๆ สภาพร่างกายเขาตอนนี้ จะทำพิธีบวงสรวงได้อย่างไรกัน อาหรูน่าคนนี้วิเศษวิโสมาจากไหนกันเชียว ถึงทำให้หลานข้าหลงใหลจนขาดสติเช่นนี้ ให้คนไปพาตัวนางมา ปล่อยไว้ที่จวนจินซิวอ๋องได้อย่างไรกัน นางได้ถูกประทับรอยแล้ว พานางมาพบข้า” 


 


 


นี่เป็นคำสั่งของท่านผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ ครั้งนี้เถิงเฟิงใช้วิชาลี้ลับจนทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ ทำให้ท่านผู้เฒ่าร้อนใจมาก 


 


 


ถังเฉียนหายป่วยแล้ว นางจึงเริ่มศึกษาค้นคว้าอีกครั้ง การที่อยู่ในจวนอ๋องมีข้อดีอย่างหนึ่ง หากไม่มีงานอะไร นางก็สามารถทุ่มเททำในสิ่งที่ตัวเองชอบได้ ใกล้สารทฤดูแล้ว อากาศเริ่มเย็นลง แต่เผ่าม้งต่างจากภาคเหนือ ที่นี่สารทฤดูอากาศจะหนาวเย็นและชื้น ทำให้อาการป่วยทรุดหนักได้ง่าย 


 


 


โดยเฉพาะบาดแผลของฉู่จิ่งเหยา เป็นไปดังคาด นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรเตือนฉู่จิ่งเหยาให้ระวังสุขภาพ จื่อเย่ว์ก็มาเชิญถังเฉียนบอกว่าฉู่จิ่งเหยาเจ็บหน้าอก ให้นางไปช่วยตรวจดูหน่อย 


 


 


“ท่านอ๋องรู้ว่าระยะนี้ท่านหมอทำงานหนักเกินไป อาการป่วยก็เพิ่งจะทุเลา แต่ท่านอ๋องปวดมาสองวันแล้ว กลางคืนก็นอนไม่หลับ พวกเราห่วงสุขภาพท่านอ๋องมาก จึงมาเชิญท่านหมอให้ไปตรวจดู” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็ร้อนใจมาก จึงรีบไปทันที ทั้งที่ระยะนี้นางเสียเลือดไปมาก แต่กลับแทงปลายนิ้วใช้เลือดรักษาอาการเจ็บปวดให้ฉู่จิ่งเหยา เมื่อมาถึงที่นี่ไม่มีใครกลับออกไปได้อย่างสมบูรณ์ และไม่รู้ว่าทั้งสองเริ่มกลายเป็นทั้งอาจารย์และเพื่อนตั้งแต่เมื่อใด 


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าเกรงขามของเขาแต่ก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นใจ กลับรู้สึกสนิทสนม 


 


 


“ท่านอ๋อง ยังเจ็บหรือไม่” 


 


 


น้ำเสียงนางอ่อนโยนกว่าที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะเมื่อเห็นจินซิวอ๋องหลับตา คิ้วที่ขมวดขึ้น ชวนให้รู้สึกห่วงใย หลังจากฉู่จิ่งเหยากินยาแล้วก็ค่อยรู้สึกสบายตัวขึ้น เขามองดูถังเฉียนแล้วพูดว่า 


 


 


“ข้ารู้ เจ้าต่างหากที่เป็นยาของข้า ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าย่อมสุขสบายดี” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่เขาพูดเหมือนคำพูดเกี้ยว ทำให้นางรู้สึกจิตใจไม่สงบ จึงพูดว่า 


 


 


“ท่านอ๋องอย่าได้คิดฟุ้งซ่าน บาดแผลของท่านจะได้หายเร็ว ไม่เจ็บแผลอีก ขอเพียงผ่านสารทฤดูไป เมื่อถึงเหมันต์ฤดูก็จะหาย” 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ จึงพูดเช่นนี้ แต่นางรู้สึกคุ้นกับคำพูดนี้มาก 


 


 


“จริงหรือ” 


 


 


“จริง จริงแน่นอน อาการป่วยของข้าก็หายแล้วไม่ใช่หรือ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจมาก แต่ต่อให้เขาตื่นเต้นกว่านี้ ใบหน้ากลับไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย เพียงแต่นิ่งเฉย แอบเม้มปากเล็กน้อยเท่านั้น 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 159 ถังเวย 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้ว่าสองวันที่นางสลบไสลไปนั้น มีคนผู้หนึ่งมายังจวนอ๋อง บางทีอาจเป็นเพราะโชคชะตากลั่นแกล้ง ทำให้นางต้องมายังจวนอ๋อง ถังเฉียนเดินเลี้ยวที่โถงทางเดิน มองเห็นแม่นางรูปร่างผอมสูงจากไกลๆ ถือถาดเดินผ่านสนาม ตรงไปยังเรือนเซียงหานของซูซินเหลียน 


 


 


“เวยเอ๋อร์?” 


 


 


ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าในช่วงชีวิตที่เหลือของตนจะได้พบถังเวยน้องสาวของนางอีกครั้ง นางจึงรีบสาวเท้าเดิน หมายจะตามให้ทัน แต่ไปต่อข้างหน้าอีกก็เป็นเรือนเซียงหานแล้ว นางไม่สะดวกที่จะบุกรุกเข้าไป ในใจนึกสงสัย หรือว่าฐานะนางถูกเปิดเผยเสียแล้ว 


 


 


ฉู่จิงเหยาตั้งใจพาถังเวยน้องสาวนางมาที่จวนอ๋อง ดูเหมือนคำพูดไม่กี่ประโยคเมื่อครู่นี้มีความหมายอย่างอื่น 


 


 


“หรือจินซิวอ๋องทำเพื่อให้ข้าอยู่ต่อ จึงจงใจพาเวยเอ๋อร์มา เพื่อ..เพื่อรั้งข้าไว้” 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองจึงคิดเช่นนี้ แต่นางรู้ว่าต่อให้ถังเวยเป็นเด็กฉลาด แต่สำหรับฉู่จิ่งเหยาแล้วเกรงว่าคำพูดแค่เพียงไม่กี่ประโยคก็พอที่จะทำให้เด็กหญิงสารภาพความจริงออกมาได้ 


 


 


จบแล้ว คราวนี้จบสิ้นแน่ๆ พอถังเฉียนคิดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ ถ้านางถูกตรวจพบจริง นางจะทำอย่างไรดี จะพาน้องสาวหนีไปดีหรือไม่ 


 


 


“เหตุใดท่านหมอมายืนอยู่ตรงนี้เล่า” 


 


 


ถังเฉียนยืนอยู่ที่ปากทางนานแล้ว จื่อเย่ว์กังวลว่านางยังไม่หายป่วยดี รู้สึกห่วงใยจึงร้องถาม ถังเฉียนก้มหน้าทันที ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาหลังหน้ากากตน 


 


 


“เมื่อครู่ข้าเห็นแม่นางคนหนึ่งท่าทางคุ้นตามาก เดินเข้าไปในเรือนเซียงหาน ที่นั่นเปลี่ยนเจ้าของหรือ” 


 


 


ถังเฉียนพูดเช่นนี้ จื่อเย่ว์ย่อมรู้ว่าพูดถึงใคร  


 


 


“ระหว่างที่ท่านหมอสลบไป คงไม่ทราบเรื่องราวบางอย่าง เด็กสาวผู้นั้นชื่อฮุ่ยฮุ่ย ได้ยินมาว่าเป็นเด็กที่ฉลาดปราดเปรื่อง แต่น่าสงสารมาก ทั้งครอบครัวล้วนตายด้วยน้ำมือนิกายเทพมังกร นางตกใจจนพูดติดๆ ขัดๆ ใต้เท้าเจิ้งเราออกไปบังเอิญพานางกลับมา ประจวบเหมาะที่ซูซินเหลียนก็ขาดคนดูแลอยู่ไม่ใช่หรือ” 


 


 


พอถังเฉียนได้ยินว่าเจิ้งจยาเฉิงเป็นคนพากลับมา ต่อให้ไม่คิดมากก็กลัวว่าคงจะทำไม่ได้ คนผู้นี้คอยระแวงฐานะของนางไม่หยุด แต่คราวนี้ดูเหมือนนางจะเข้าใจผิดจริงๆ 


 


 


“ที่แท้เป็นคนที่ใต้เท้าเจิ้งพากลับมา” 


 


 


จื่อเย่ว์ฟังความหมายพิเศษในคำพูดนางไม่ออก เพียงแต่พูดว่า 


 


 


“เด็กคนนี้ทำงานคล่องแคล่ว หากท่านหมอชอบ ข้าจะย้ายให้ไปรับใช้ท่านหมอ ดีหรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ ในใจอยากได้ แต่นางมีความคิดแว่บหนึ่งว่า หวังจะไม่ให้มีคนล่วงรู้ฐานะของพวกตน แม้ซูซินเหลียนจะตกอับ แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าอยู่กับนางที่ทุกวันต้องเผชิญกับภัยอันตราย นางเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในวันหน้าจะต้องไปทางไหน 


 


 


“ไม่ต้องหรอก ให้นางอยู่กับพระชายารองก็ดีแล้ว จวนอ๋องย่อมปฏิบัติต่อนางดี” 


 


 


จื่อเย่ว์ไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในคำพูดนี้ จึงเพียงแต่พยักหน้าแล้วพูดว่า 


 


 


“ย่อมเป็นเช่นนั้น” 


 


 


ถังเฉียนไม่หยุดอยู่ที่นี่ แล้วรีบเดินออกไป เมื่อนางกลับมายังเรือนหานต้านของตนก็รู้สึกว้าวุ่นใจ เดินไปมาภายในห้อง มีท่าทางกระสับกระส่าย ฮว่าเหยียนจึงสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


“เจ้าเป็นห่วงถังเวยใช่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนลุกขึ้นยืนทันที พูดอย่างแทบจะไม่ต้องคิด 


 


 


“อย่าทำร้ายน้องสาวข้านะ!” 


 


 


ถังเฉียนนึกถึงครั้งก่อนที่ฮว่าเหยียนจัดการกับผู้คุม หากนางคิดว่าถังเวยเป็นภัย จะทำร้ายถังเวยหรือไม่ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม