ลำนำสตรียอดเซียน 151.1-154.2

ตอนที่ 151-1 โถงฝึกวรยุทธ์

 

“ท่านอา ท่านอา!”  


 


 


เสียงดังมาจากภายนอกห้องฝึกตน โม่เทียนเกอใช้ศาสตร์ในการออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน จากนั้นจึงปลดกำแพงอาคมด้านนอกออก 


 


 


คนที่เดินเข้ามาในห้องฝึกตนคือชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี เขาตัวสูง ตัวยืดตรง และมีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ ใบหน้าของเขายังคงความไร้เดียงสาและความอ่อนโยนในช่วงวัยรุ่นของเขาไว้อยู่ 


 


 


เมื่อเห็นเขา โม่เทียนเกอยิ้มและถามว่า “เจินจี มีปัญหาอะไรรึ”  


 


 


ชายหนุ่มคนนี้คือเยี่ยเจินจี เขาอายุยี่สิบปีแล้วในตอนนี้ ใบหน้าที่เคยน่ารักของเขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแต่ก็ยังคงน่ามองเหมือนเคย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีนิสัยดีและมักจะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างมีเมตตาเสมอ ดังนั้นเขาจึงมีคนรู้จักมากมายในหมู่ศิษย์ระดับต่ำ ในสิบปีที่ผ่านมา โม่เทียนเกอไม่เคยงกกับการจัดหายาวิเศษหรือสมบัติต่างๆ ให้เขา ทุกวันนี้เขาอยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วและแค่ต้องรอการทดสอบของโรงเรียนเพื่อให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง 


 


 


เมื่อเยี่ยเจินจีเห็นนาง เขายิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน “ท่านอา ท่านกำลังฝึกตนอยู่นี่เอง!”  


 


 


“แน่นอนข้ากำลังฝึกตนอยู่ เจ้าไม่ได้ไปที่โถงฝึกวรยุทธ์กับหวาหลิงหรือ เพิ่งจะเที่ยงวันเองแต่เจ้าก็กลับมาแล้ว?”  


 


 


โถงฝึกวรยุทธ์ตั้งอยู่ที่ยอดเขาหลักของโรงเรียนเสวียนชิง มันทำหน้าที่เป็นเหมือนสถานที่สำหรับเหล่าศิษย์ที่ต้องการประลองในด้านศิลปะการต่อสู้กัน ภายใต้สถานการณ์ปกติจะมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหนึ่งคนและผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนคอยรับผิดชอบเฝ้าดูโถงนี้ ศิษย์สามารถฝึกและพัฒนาความสามารถของตัวเองในการต่อสู้ด้วยพลังเวทได้ 


 


 


ศิษย์ผู้ชายมักจะสนใจการต่อสู้ด้วยพลังเวทมากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงไปที่โถงฝึกวรยุทธ์ทุกๆ สองสามวัน เยี่ยเจินจีเองก็ไม่เว้น หลังจากเขาเข้าสู่ระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ เขาไปที่โถงฝึกวรยุทธ์ทุกวันกับหวาหลิงเพื่อนเล่นสมัยเด็กของเขา และป่าวประกาศอย่างเหนือชั้นว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อสั่งสมประสบการณ์ก่อนการทดสอบชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง พอคิดว่ามันดีสำหรับเขา โม่เทียนเกอจึงปล่อยให้เขาทำตามใจ 


 


 


“อย่าพูดถึงมัน!” เยี่ยเจินจีนั่งตรงข้ามนางดูเบื่อหน่ายอย่างที่สุด “ไม่มีใครที่น่าสู้ด้วยที่โถงฝึกวรยุทธ์เลยวันนี้ ข้าหมดความสนใจหลังจากการแข่งขันไปสองรอบ ข้าก็เลยกลับมา”  


 


 


“ครั้งที่แล้วเจ้าบอกว่าหวาหลิงใช้กลที่เจ้าไม่สามารถรับมือได้ไม่ใช่รึ เจ้าคิดหาทางออกแล้วหรือยัง”  


 


 


“แน่นอน ข้าคิดแล้ว!” เยี่ยเจินจีเชิดคาง ดูภูมิใจในตัวเองเป็นที่สุด “กลอุบายแบบไหนที่นายหวาหลิงจะคิดขึ้นมาได้ ข้าแค่คิดอยู่สองวันก็พบคำตอบแล้ว! ดูนี่สิ!”  


 


 


หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขายืนขึ้นอย่างตื่นเต้นและยกมือขึ้น กำแพงคาถาลมและคาถาดินปรากฏขึ้นบนร่างเขาเกือบจะในเวลาเดียวกัน 


 


 


“ท่านอา ดูสิ! ถ้าข้าใช้สองคาถานี้ คาถาเยือกแข็งและศาสตร์เจาะวิญญาณของหวาหลิงก็ไม่สามารถโจมตีข้าได้!”  


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม “นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีทีเดียว คงจะยากสำหรับเจ้าสินะในการคิดวิธีนี้ขึ้นมา”  


 


 


เยี่ยเจินจีรู้สึกอับอายเล็กน้อยกับคำชม เขาเก็บคาถาและกลับไปนั่งในที่นั่ง “ท่านอา มีบางอย่างที่ข้าอยากปรึกษาท่าน”  


 


 


“อะไรรึ เจ้าบอกข้าได้”  


 


 


ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา เขาพึมพำ “ข้า… ข้าอยากเดินทางกลับบ้าน”  


 


 


โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ เยี่ยเจินจีมาถึงที่ภูเขาเมื่อเขาอายุเก้าปี พอเขาอายุสิบปี ทั้งสองก็ได้เจอกัน และตั้งแต่นั้นมาเขามักจะอยู่ข้างกายนางเสมอและไม่เคยไปไหน มันผ่านมาประมาณสิบเอ็ดปีแล้วตั้งแต่ที่เยี่ยเจินจีออกจากตระกูลของเขามา หลังจากเข้ากลุ่มการฝึกตน น้อยมากที่ผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาจะกลับไปยังโลกมนุษย์ เยี่ยเจินจีไม่เคยเอ่ยถึงอะไรที่บอกว่าเขาคิดถึงบ้าน ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก 


 


 


ตอนนี้ความเศร้าสามารถมองเห็นได้จางๆ บนใบหน้าเขา “เมื่อข้าจากบ้านมา แม่ข้าร้องไห้ทั้งคืน… ท่านอา ยังมีเวลาอีกหนึ่งปีก่อนการทดสอบรับยาสร้างฐานแห่งพลังสำหรับศิษย์หัวกะทิ ขะ-ข้าอยากใช้โอกาสในปีนี้เพื่อเดินทางกลับบ้าน ข้าขอทำเช่นนั้นได้ไหม”  


 


 


แม้ว่าจะเห็นความคาดหวังและความหวังบนใบหน้าของเด็กน้อย แต่โม่เทียนเกอก็ยังคงเงียบ นางเข้าใจความรู้สึกของเยี่ยเจินจีได้ดี ย้อนไปตอนนั้นนางก็ผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันมา อย่างไรก็ตาม การคิดถึงญาติสนิทเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี 


 


 


“ท่านอา…” เพราะนางไม่ได้ตอบ เยี่ยเจินจีจึงขอร้องอีกครั้ง “ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แน่นอน ข้าแค่อยากกลับบ้านไปดู…”  


 


 


“… โรงเรียนเสวียนชิงของเราไม่ได้กำหนดว่าศิษย์ต้องตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีกับโลกมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปกติ หลังจากที่พวกเขาสร้างฐานแห่งพลังได้แล้วเท่านั้นพวกเขาถึงจะได้รับอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมครอบครัวได้ เจ้ายังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังและมันก็เป็นเวลาแค่หนึ่งปีก่อนที่การทดสอบของเจ้าจะเริ่มขึ้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะที่เจ้าจะออกไป”  


 


 


เยี่ยเจินจีไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าของเขาดูผิดหวังอย่างที่สุด 


 


 


โม่เทียนเกอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วนางจึงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องผิดหวังหรอก เมื่อห้าปีก่อน ท่านปรมาจารย์ของเจ้าบอกว่าหลังจากข้าปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิห้าปีจนเสร็จสิ้น เขาจะให้ข้าออกจากภูเขาและออกเดินทาง มันบังเอิญว่าห้าปีนั้นเพิ่งจะสิ้นสุดลง รออีกหน่อยนะ เมื่องานต่างๆ ทั้งหมดได้รับการดูแล อาจะพาเจ้ากลับบ้าน เจ้าคิดว่าอย่างไร”  


 


 


เยี่ยเจินจีดีใจเหลือล้น “ท่านอา!”  


 


 


“เจ้าพอใจแล้วใช่ไหม”  


 


 


เขาพยักหน้าซ้ำๆ “ขอบคุณมากท่านอา!” หลังจากขอบคุณนาง เขาก็ดูขัดแย้งขึ้นมาอีกครั้ง “แต่… ไหนท่านบอกว่าท่านไม่อยากให้ตระกูลรู้เกี่ยวกับตัวท่านไม่ใช่รึ”  


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “แซ่ของข้าไม่ใช่เยี่ย ข้าจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับพวกเขา? พวกเขาไม่รู้หรอก เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็แค่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุง” เยี่ยเจินจีเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงในนามของท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง ตามหลักเหตุผลนี้ เขาก็ต้องเรียกนางว่าอาจารย์ลุงจริงๆ  


 


 


หลังจากปลอบใจเยี่ยเจินจีแล้ว โม่เทียนเกอจึงหยุดฝึกตนและออกจากถ้ำเซียนของนาง 


 


 


ห้าปีได้ผ่านไปแล้ว ระดับการฝึกตนของนางเข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว นางแค่ต้องการชะตาลิขิตบางอย่างเพื่อให้ก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ แต่ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็ไม่ได้เร่งรีบ ตอนนี้นางอายุเพียงสามสิบเจ็ดปี ด้วยอายุปัจจุบันของนาง ระดับการฝึกตนของนางก็ถือว่าสูงมากแล้ว ขนาดเมื่อตอนที่ฉินโส่วจิ้งอายุเท่านาง เขาก็ยังอยู่แค่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น 


 


 


พอถึงเวลาที่โม่เทียนเกอเข้าไปในโถงหลัก ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในการเข้าฌาน อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจากการต่อสู้กับอาจารย์สงเฟิงไม่เบาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาช่วงปีที่ผ่านมาเพื่อพักฟื้น โชคดีที่การฝึกตนของเขานั้นหยั่งลึก เส้นลมปราณหรือตานเถียนของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง 


 


 


โม่เทียนเกอหยุดอยู่ไม่ไกลจากเขาและร้องเรียก “ท่านอาจารย์”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอลืมตา “เจ้าออกจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิแล้วรึ”  


 


 


ในเวลาห้าปีที่ผ่านมา นางปิดกั้นตัวเองอยู่ภายในถ้ำน้อยของนางและไม่ได้ออกไปไหน บัดนี้เมื่อนางออกมานั่นก็เป็นเพราะนางออกจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิแล้ว 


 


 


นางสัมผัสได้ถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอที่กำลังสำรวจตัวนางโดยใช้จิตสัมผัสของเขา แต่นางก็ยังคงสงบนิ่งมาก ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางเข้าถึงระดับสองแล้ว นางสามารถครองความสงบอยู่ได้แม้แต่ต่อหน้าผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ นอกเสียจากว่าพวกผู้ฝึกตนจะจงใจใช้แรงกดพลังทางจิตวิญญาณมากดดันนาง 


 


 


เมื่อเขาสำรวจนางเสร็จ ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่เลว เจ้าอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางแล้ว คาดว่าการก้าวหน้าสู่ขั้นสุดท้ายภายในเวลาไม่กี่ปีก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา เจ้าสามารถฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณได้จนถึงระดับสองแล้วรึ ข้าไม่เคยเห็นใครที่สามารถทำสำเร็จได้เช่นนี้ภายในเวลาแค่สิบกว่าปีมาก่อน”  


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มและพูดว่า “เป็นเพราะอาจารย์ลุงเสวียนอินที่คิดอย่างรอบคอบว่าศิษย์ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการเบี่ยงเบนของพลังทางจิตวิญญาณ ท่านอาจารย์เจ้าคะ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นเช่นไรบ้าง”  


 


 


“ข้าสบายดี” ประมุขเต๋าจิ้งเหอโบกมือและพูดอย่างไร้กังวล “ตอนนี้มันดีขึ้นแล้วไม่มากก็น้อย ฮึ่ม! ตาแก่สงเฟิงก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่สบายนักหรอกปีที่ผ่านมานี้ ตอนนั้นหินลบล้างสวรรค์ของตาเฒ่าเต๋าเจิ้นหยางปะทะเข้ากับเขาโดยตรง ตามการคาดคะเนของข้า เขาจะต้องทำการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอย่างน้อยสิบสองถึงยี่สิบปี ฮ่า! ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยังถือว่าเป็นผู้ชนะ!”  


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนางเห็นหน้าตาแห่งชัยชนะของประมุขเต๋าจิ้งเหอ คาดว่าท่านอาจารย์คนนี้คงทำตัวน่านับถือได้แค่นานๆ ครั้ง 


 


 


“จริงสิ! เจ้าออกมาได้ทันเวลาพอดีกับการแข่งขันย่อยภายของในโรงเรียน จะมีการจัดขึ้นหลายวัน เจ้าอยากเข้าร่วมไหมล่ะ”  


 


 


โม่เทียนเกอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “นี่… มันจะไม่เหมาะสมที่ข้าเข้าร่วมหรือเปล่า”  


 


 


ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ในการแข่งขันย่อยภายในของโรงเรียนคือศิษย์ธรรมดาทั่วไป การแข่งขันย่อยภายในสำหรับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณเกี่ยวข้องกับการได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง แต่การแข่งขันย่อยภายในสำหรับศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจะได้รับรางวัลประเภทอื่นๆ โดยทั่วไปศิษย์ระดับหัวกะทิน้อยมากที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันย่อยภายใน อย่างแรกเพราะท่านอาจารย์ของพวกข้าได้มอบรางวัลให้พวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจกับรางวัลเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่สอง หากศิษย์หัวกะทิเข้าร่วมด้วย พวกเขาก็มีแนวโน้มว่าจะเอาชนะศิษย์ธรรมดาได้อยู่แล้ว ในกรณีนั้นศิษย์ธรรมดาก็จะไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย ถึงแม้ว่าโลกแห่งการฝึกตนจะไม่เคยมองการถ่อมตนว่าเป็นคุณงามความดี แต่คนในกลุ่มการฝึกตนก็ยังต้องคิดถึงการถ่อมตนด้วยอยู่ดี 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดโดยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “มีอะไรไม่เหมาะสม? ถ้าพวกเขาแพ้เจ้า นั่นก็หมายความว่าพวกเขาไม่มีทักษะมากพอ”  


 


 


โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องนางเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ได้! งั้นก็ไม่ต้องถ้าเจ้าไม่อยากเข้าร่วม อย่างไรก็ตาม เจ้าควรร่วมทำอะไรสนุกๆ บ้าง หลายๆ ครั้งที่การแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายศิษย์ของเจ้าอาจจะมีประโยชน์”  


 


 


นางถูกใจความคิดนี้ ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”  


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าถึงแม้นางจะผ่านการต่อสู้ขนาดต่างๆ มาหลายครั้ง แต่นางก็ไม่ได้ต่อสู้ด้วยพลังเวทมากนักหลังจากนางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางเข้าร่วมในการปราบจลาจลสัตว์ปีศาจ แต่นางก็ใช้เวลาสองปีที่วุ่นวายที่สุดไปกับการหลบซ่อนตัวอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ด้วยพลังเวทแทบทั้งหมดที่นางผ่านมาเป็นการต่อสู้ที่อันตรายถึงชีวิต สัญชาตญาณของนางที่เกี่ยวกับความอันตรายนั้นเหนือกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไป แต่ทักษะของนางอาจด้อยกว่าผู้ฝึกตนที่ฝึกกับคนอื่นบ่อยๆ นางไม่ได้ต่อสู้มาถึงห้าปีเพราะการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิของนาง เพราะฉะนั้นนางจึงคิดว่านางควรใช้เวลาบางส่วนไปกับการศึกษาการต่อสู้ด้วยพลังเวทบ้าง 


 


 


หลังจากออกจากตำหนักซ่างชิง นางขึ้นผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเหาะไปทางยอดเขาหลัก 


 


 


โถงฝึกวรยุทธ์ตั้งอยู่ข้างโถงแห่งตรีวิสุทธิเทพ ณ ยอดเขาหลัก ขนาดของมันเกือบจะเทียบได้กับโถงแห่งตรีวิสุทธิเทพซึ่งเป็นตึกที่ใหญ่ที่สุดในทั้งโรงเรียน จากเรื่องนี้จึงเห็นได้ชัดเจนถึงความสำคัญของโถงนี้ในโรงเรียน 


 


 


โม่เทียนเกอเดินเข้าไปในโถงอย่างสบายๆ ศิษย์เฝ้าประตูทำความเคารพนางทันที “ท่านปรมาจารย์โม่” ทุกวันนี้นางมีเกียรติอยู่พอประมาณในโรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นศิษย์เหล่านี้ทุกคนจึงจำนางได้ 


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์ผู้ดูแลต้อนรับนางและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านปรมาจารย์โม่ ท่านก็มาเพื่อฝึกฝนหรือ”  


 


 


โม่เทียนเกอตอบกลับการทำความเคารพสั้นๆ ก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่มีอะไรทำวันนี้ ข้าก็เลยแวะมาดูหน่อย”  


 


 


“อ้อ… ท่านปรมาจารย์ เชิญทางนี้ขอรับ การประลองสำหรับศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจัดอยู่ข้างใน”  


 


 


“อือ ขอโทษที่ต้องรบกวนเจ้า” โม่เทียนเกอตามศิษย์ผู้ดูแลไป เดินผ่านฝูงชนและเข้าไปในห้องด้านในผ่านสายตาทุกคนที่จับจ้อง 


 


 


ห้องด้านนอกคือที่ซึ่งศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณมีการประลองกัน ห้องนี้จัดการโดยศิษย์ผู้ดูแลที่อยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณพร้อมกับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังอีกสองคนคอยคุมพวกเขา สำหรับห้องด้านในคือที่ที่การประลองของศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจัดขึ้น ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่ขนขุมพลังจะเป็นคนตรวจตราดูแลทุกอย่าง แต่คนที่มีหน้าที่รับผู้มาเยือนยังคงเป็นคนงานระดับการสร้างฐานแห่งพลัง 


 


 


เมื่อศิษย์ผู้ดูแลนำทางนางไปถึงหนึ่งในคนงาน เขาก็ขอตัวและออกไป 


 


 


คนงานรับแผ่นจารึกประจำตัวของนางและบันทึกไว้ “อาจารย์ลุงโม่ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาที่นี่ใช่หรือไม่ขอรับ”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า เมื่อนางมาถึงโรงเรียนเสวียนชิงนางก็อยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วและสร้างฐานแห่งพลังของนางได้หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากนางสร้างฐานแห่งพลัง นางก็ต้องเผชิญกับการจลาจลของสัตว์ปีศาจทันที และเมื่อถึงเวลาที่นางกลับมา นางก็ได้กลายเป็นศิษย์ทางการของประมุขเต๋าจิ้งเหอเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นนางใช้เวลาห้าปีถูกอาจารย์สั่งให้ทำนั่นทำนี่และอีกห้าปีอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ นางแทบไม่มีเวลามาที่โถงฝึกวรยุทธ์เลย 


 


 


คนงานพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ข้าได้พาอาจารย์ลุงไปดูเถอะขอรับ”  


 


 


“ขอบคุณ”  


 


 


คนงานเดินนำโม่เทียนเกอขณะที่เขาอธิบายไปด้วยพร้อมกัน “กฎที่โถงฝึกวรยุทธ์นั้นก็ง่ายๆ เวทีถูกจัดไว้ที่โถงหลัก ใครๆ ก็สามารถขึ้นไปสู้ได้ ผู้ชนะจะต้องอยู่บนเวทีและรอผู้ท้าทายคนใหม่และจะลงจากเวทีได้หลังจากชนะสามรอบติดต่อกัน ถ้าคนสองคนต้องการมีการต่อสู้ส่วนตัว พวกเขาจะต้องมาหาข้าเพื่อรับป้ายประจำห้องและไปที่ห้องด้านข้างตรงนั้น แน่นอนว่าคนงานก็ต้องอยู่กับพวกเขาเพื่อคอยดูเป็นพยาน นอกจากนี้ ภายในห้องนั้นยังมีอาจารย์ลุงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคอยคุมสถานที่อีกด้วย ถ้ามีสองคนที่ต้องการประลองกันแบบเต็มกำลัง พวกเขาต้องขออนุญาตเสียก่อนและสามารถแข่งต่อได้ภายใต้การเฝ้าระวังของอาจารย์ลุงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเท่านั้น”  


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอฟัง นางก็พยักหน้าตามบางครั้งบางคราว กฎเหล่านี้สมเหตุสมผล พวกคนที่ต้องการจะต่อสู้กันส่วนตัวต้องมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยเพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากข้ออ้างว่าไม่เข้าใจกฎกติกา อีกอย่าง วิธีการบางอย่างที่ใช้เพื่อต้อนคู่ต่อสู้ให้จนมุมก็อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ แต่ในขณะเดียวกันถ้าไม่ใช้อย่างเต็มกำลังก็จะไม่ได้แสดงพลังของพวกเขาออกมา เพราะเหตุนั้นจึงจำเป็นต้องมีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่ด้วยเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทุกคน  

 

 


ตอนที่ 151-2 โถงฝึกวรยุทธ์

 

ขณะที่พวกเขาคุยกันก็ได้เดินมาถึงโถงหลักอย่างไม่ทันรู้ตัว โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าสังเวียนกว้างถูกจัดไว้อยู่ตรงกลางโถง มีผู้ฝึกตนราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบคนที่ยืนและนั่งอยู่โดยรอบ


 


 


คนงานบอกว่า “ในระหว่างจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งก่อน สหายศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังประมาณร้อยคนของเราต้องตายจากไป ทุกวันนี้จำนวนผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังที่โรงเรียนเรายังมีไม่ถึงสองร้อยคนด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นที่นี่คงจะมีคนอย่างน้อยสี่สิบถึงห้าสิบคนได้”


 


 


เมื่อเห็นความเศร้าซ่อนเร้นบนใบหน้าของผู้ฝึกตนคนนี้ โม่เทียนเกอก็เดาว่าญาติหรือสหายของเขาอาจจะตายไปในการจลาจลสัตว์ปีศาจ นางจึงยิ้มและพูดว่า “การแข่งขันย่อยภายในของโรงเรียนกำลังจะเริ่มขึ้น ข้าคิดว่าเราจะต้องมีศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นแน่”


 


 


“ท่านพูดถูก” คนงานยิ้ม “อาจารย์ลุงโม่ ข้าขออนุญาตขอตัวก่อน”


 


 


โม่เทียนเกอตอบกลับการทำความเคารพของเขาและมองคนงานคนนั้นออกไป จากนั้นนางเดินไปทางข้างสังเวียนและเลือกที่ว่างอย่างสบายๆ เพื่อดู


 


 


คนที่กำลังต่อสู้กันบนสังเวียนตอนนี้คือผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นสองคน คนหนึ่งคือชายหนวดเฟิ้มร่างใหญ่ขณะที่อีกคนเป็นชายวัยกลางคนดูผอมแห้งและอ่อนแอ


 


 


ชายร่างใหญ่สูงมากแต่เครื่องมือเวทของเขาคือกระบี่บินที่งดงามและเล็กอย่างไม่น่าเชื่อ ในทางกลับกัน ชายวัยกลางคนกำลังถือพัด ชายร่างใหญ่กำลังเป็นฝ่ายจู่โจมในขณะที่ชายวัยกลางคนเป็นฝ่ายตั้งรับ ทั้งสองคนผลัดกันรุกและการรุกแต่ละครั้งก็รุนแรงอย่างมาก


 


 


โม่เทียนเกอดูพวกเขาแค่ระยะหนึ่งเท่านั้นแต่นางก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการประลองได้ ตัวอย่างเช่น วิธีการใช้กระบี่บินของชายร่างใหญ่คล้ายกับวิธีการใช้อาวุธลับ มันบินอย่างเงียบเชียบและไร้ร่องรอย การจะทำเช่นนี้ให้สำเร็จจำเป็นต้องฝึกมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแน่ ส่วนสำหรับชายวัยกลางคน พัดของเขายังมีความลับบางอย่าง มันสามารถดึงดูดพลังทางจิตวิญญาณของชายร่างใหญ่ได้ ดังนั้นจึงทำให้ชายวัยกลางคนเอาตัวรอดจากสถานการณ์ช่วงคับขันไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


โม่เทียนเกอทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับการดูการประลองอยู่พักหนึ่งก่อนที่ใครบางคนจะสะกิดไหล่นางเข้า


 


 


เมื่อนางหันหน้าไป นางก็ต้องดีใจไปพร้อมกับประหลาดใจ “พี่ใหญ่เยี่ย!”


 


 


คนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างนางคือเยี่ยจิ่งเหวินนั่นเอง


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินอายุเกือบจะหกสิบปีแล้วในตอนนี้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงดูเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย เขาดูกระฉับกระเฉงน้อยลงแต่มั่นคงมากขึ้น


 


 


สิบปีที่แล้ว ทั้งสองคนสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ประสบกับการต่อสู้เฉียดตายกับผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนหลายคน ความรู้สึกระหว่างคนทั้งสองคนจึงไม่ง่ายอย่างที่มันเคยเป็น หลังจากประมุขเต๋าจิ้งเหอทำให้ทั้งสองคนบาดเจ็บอย่างไม่ตั้งใจ โม่เทียนเกอสามารถหายดีได้ภายในเวลาหลายวันก็เพียงเพราะเส้นลมปราณของนางแข็งแกร่งและเพราะประมุขเต๋าจิ้งเหอให้นางอยู่ในบ่อน้ำเวินหย่าง แต่เยี่ยจิ่งเหวิน ในทางกลับกัน ได้รับบาดเจ็บหนักกว่านาง เขาต้องฟื้นตัวอยู่มากกว่าหนึ่งปีก่อนที่จะกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้งอย่างสมบูรณ์ ในระหว่างเวลานั้น โม่เทียนเกอถูกประมุขเต๋าจิ้งเหอสั่งให้ทำนั่นทำนี่ทุกๆ วัน พวกเขาได้เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งและก็มักจะเร่งรีบจนไม่มีแม้แต่เวลาพูดคุยกัน ในภายหลังนางยังเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีก เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เจอกันถึงห้าปี


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินยังคงยิ้มอยู่ขณะที่เขาจ้องมองนางและชี้ไปด้านหลังเขา ทั้งสองคนเคลื่อนตัวออกจากฝูงชนและมองหาเก้าอี้ตรงมุม


 


 


หลังจากพวกเขานั่งลง เยี่ยจิ่งเหวินหัวเราะและพูดว่า “เทียนเกอ ไม่เจอกันนานเลยนะ”


 


 


“ใช่… แค่เมื่อวานนี้เองที่ข้าออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินใช้จิตสัมผัสของเขาเพื่อตรวจดูนางแล้วจึงพูดด้วยความประหลาดใจ “เจ้าอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางแล้วหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าโชคดีนัก ครั้งนี้การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิของข้าเป็นไปอย่างราบรื่นมาก”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินจ้องหน้านางซึ่งไม่มีความอวดดีเลยแม้แต่นิดเดียวและเขาก็ถอนหายใจ “ข้าได้ยินว่าต้นทุนของเจ้ายอดเยี่ยมแต่ข้าก็ไม่เชื่อมากนัก ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อเสียแล้ว เมื่อข้าพบเจ้า เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสองขณะที่ข้าอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แต่ตอนนี้เจ้ากลับนำหน้าข้าไปแล้ว…”


 


 


ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เยี่ยจิ่งเหวินก็ก้าวหน้าในการฝึกตนของเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของเขาไม่เด่นชัดมากมายเหมือนอย่างของโม่เทียนเกอ ในเมื่อเขาต้องใช้เวลาบางช่วงไปกับการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ตอนนี้เขาจึงด้อยกว่านางเล็กน้อย


 


 


นางส่ายหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่เยี่ย อย่าล้อข้าสิ เหตุผลเดียวที่ข้าทำสำเร็จได้ทุกวันนี้ก็เพราะชะตาลิขิต” ถ้านางไม่ได้โชคดีบังเอิญเจอจงมูหลิงเข้า ตอนนี้นางก็คงยังมีรากวิญญาณที่สูญเปล่าอยู่ แม้แต่หลังจากประมาณสิบปีมานี้ นางก็อาจจะยังคงอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังหากไม่ใช่เพราะเขา


 


 


ตอนนั้นเมื่อนางเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังได้ นางไม่มีศาสตร์แห่งต้นกำเนิด และแม้แต่ประสิทธิภาพของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ก็ลดลง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถรักษาพลังทางจิตวิญญาณที่นางซึมซับเข้ามาในร่างกายไว้ได้ ทุกวันนี้เพราะนางได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดมาและฝึกตนภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าช่องว่างระหว่างคนที่มีรากวิญญาณสูญเปล่ากับอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยวหรือรากวิญญาณกลายพันธุ์นั้นห่างชั้นกันมากแค่ไหน ถ้าปริมาณพลังทางจิตวิญญาณที่ก่อนหน้านี้นางสามารถกักเก็บไว้ในร่างกายคือหนึ่งสิบส่วน ถ้างั้นตอนนี้ปริมาณที่นางสามารถเก็บไว้ได้ก็คือเก้าในสิบส่วน! ปริมาณมากขึ้นเก้าเท่าที่น่าตกใจนี้ทำให้นางรู้ว่าหากนางไม่ได้พบกับจงมู่หลิงและได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด นางก็คงไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ตลอดชีวิต


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินไม่รู้เกี่ยวกับความรู้สึกสลดในใจของโม่เทียนเกอ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินนางพูดอย่างถ่อมตัว เขาก็มองค้อนนางด้วยสายตารุนแรง “ข้าบอกเจ้าเช่นนี้ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ชะตาลิขิตก็เป็นส่วนหนึ่งในจุดแข็งของเจ้าเช่นกัน ทำไมเจ้าชอบจะปฏิเสธนัก” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วถามต่อ “เทียนเกอ เจ้ามาที่โถงฝึกวรยุทธ์เพื่อฝึกฝนหรือ”


 


 


“อืม หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลัง ข้ายังไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้มากนัก คาดว่าถ้าข้าแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายศิษย์ด้วยกัน ข้าสามารถเพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทได้”


 


 


“อืม นั่นก็จริง ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ประสบการณ์สำคัญกว่าความสามารถ อัจฉริยะในการฝึกตนอาจจะอ่อนแอในการต่อสู้ด้วยพลังเวทก็ได้ ในขณะเดียวกัน คนที่ทำได้ไม่ดีในการฝึกตนอาจจะทำได้ไม่เลวร้ายนักในการต่อสู้ด้วยพลังเวทถ้าพวกเขามีการฝึกฝนมามาก”


 


 


“งั้นก็หมายความว่า… พี่ใหญ่เยี่ยมาที่โถงฝึกวรยุทธ์บ่อยหรือ” โม่เทียนเกอถามด้วยความสนใจ เมื่อนางเจอเยี่ยจิ่งเหวินตอนแรก นางยังไม่ได้รู้จักเขาดีและไม่เคยเห็นเขาในการต่อสู้ด้วยพลังเวท เมื่อพวกเขามาเจอกันภายหลังที่สันเขาเฉียนเหมินบนภูเขาเทียนหัวและสู้เคียงข้างกัน ในที่สุดนางก็รู้ว่าเขาเป็นคนประเภทที่เด็ดเดี่ยวในการฆ่า ดูเหมือนว่าเขาน่าจะสนใจการต่อสู้ด้วยพลังเวทมากทีเดียว


 


 


แน่นอน เยี่ยจิ่งเหวินพยักหน้า “ถ้าข้ามีเวลาว่าง ข้าก็มักจะมาที่นี่ สำหรับเราพวกผู้ฝึกตนสายกระบี่ ทักษะวิทยายุทธ์สำคัญมากในการต่อสู้ด้วยพลังเวท”


 


 


“ข้าเกรงว่าผู้ฝึกตนสายกระบี่ทุกคนจะชอบต่อสู้ ใช่ไหม”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินอดหัวเราะไม่ได้ “ใช่! ถ้าเราไม่ชอบ เราก็คงไม่เลือกมาเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่”


 


 


ทั้งสองคนยิ้มให้กัน


 


 


หลังจากนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่พักหนึ่ง เยี่ยจิ่งเหวินพูดว่า “จริงสิ! ในเมื่อเจ้ามาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และข้าก็ยังไม่อยากขึ้นไปบนเวที งั้นเรามาแข่งกันแบบส่วนตัวดีไหมล่ะ”


 


 


“เอาสิ!” โม่เทียนเกอเองก็กระตือรือร้นเพราะนั่นเป็นสิ่งที่นางต้องการพอดี พลังการต่อสู้ของเยี่ยจิ่งเหวินเหนือกว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาทั่วไปและเขายังมีประสบการณ์มากมายอีกด้วย เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว


 


 


ทั้งสองคนยืนขึ้นพร้อมกัน ออกไปตามหาคนงานเพื่อรับป้ายเลขห้อง จากนั้นพวกเขาเข้าไปที่ห้องด้านข้างนำโดยคนงานคนหนึ่ง


 


 


ถึงแม้ว่ามันจะเรียกว่าห้องด้านข้างแต่ก็ใช้สำหรับการประลอง ดังนั้นจึงมีพื้นที่กว้างขวางและใหญ่พอๆ กับเวทีขนาดเล็ก ทั้งสองคนขึ้นไปบนเวทีและหลังจากได้รับการยืนยันว่าลุยต่อได้จากคนงาน พวกเขาจึงเริ่มการประลอง


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่และพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การรุก ดังนั้นทันทีหลังจากพวกเขาได้รับสัญญาณจากคนงาน กระบี่บินของเขาถูกส่งออกมาและตรงเข้าหาโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอก้าวขึ้นบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง นางจงใจไม่ตั้งการป้องกันอะไรไว้บนตัวนางและหลบกระบี่บินทันที อย่างไรก็ตาม กระบี่บินของผู้ฝึกตนสายกระบี่มีพลังกระบี่ เมื่อมันวาบผ่านนางไป มันก็บาดหัวไหล่ของนาง ทำให้นางรู้สึกเจ็บจากตรงไหล่


 


 


พอเห็นเช่นนั้น เยี่ยจิ่งเหวินรีบเรียกกระบี่บินของเขากลับคืน เขารวบรวมพลังวิญญาณของเขาบนกระบี่บิน แสงกระบี่สีขาวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากคมมีดของกระบี่และล้อมรอบตัวเขาทันที ทันใดนั้น เขาก็ผลักแสงกระบี่เหล่านั้นมาหาโม่เทียนเกอ


 


 


เมื่อไร้หนทาง โม่เทียนเกอจึงเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลับมาจากข้างใต้เท้าแล้วจากนั้นขว้างมันไปข้างหน้า สร้างกำแพงอิฐซึ่งขัดขวางแสงกระบี่เอาไว้ ในขณะเดียวกันนางยังขว้างกระสวยอัปสราออกไปด้วย มันกลายเป็นลำแสงสีทองซึ่งตรงเข้าหาเยี่ยจิ่งเหวินเพื่อกักขังเขาไว้ข้างใต้


 


 


ทั้งสองคนผลัดกันโจมตีและสู้กันอยู่ระยะหนึ่ง เพียงหลังจากที่พวกเขาเห็นว่าคนงานตบมือและส่งเสียงโห่ร้อง ในที่สุดพวกเขาจึงหยุด


 


 


พวกเขาลงจากเวทีและหยุดพัก


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินเห็นว่าโม่เทียนเกอดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาจึงถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอตอบ “เดิมทีข้าไม่อยากจะใช้อาวุธเวทอันนั้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังกระบี่ของพี่ใหญ่เยี่ย ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหลบมันอย่างไร”


 


 


เมื่อนางพูดเช่นนั้น เยี่ยจิ่งเหวินระเบิดหัวเราะ “เจ้าคิดเรื่องนี้จริงๆ หรือ”


 


 


โม่เทียนเกอถามด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรผิดด้วยหรือ”


 


 


ครั้งนี้คนงานที่ดูแลพูดขัดขึ้น “อาจารย์ลุงโม่ พลังกระบี่ของผู้ฝึกตนสายกระบี่นั้นยากจะหลบได้ เมื่อคิดดูว่าสถานที่นี้คับแคบแค่ไหน ท่านก็ต้องใช้เครื่องมือเวทหรือคาถาเพื่อสกัดกั้นมันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ดีแล้วที่อาจารย์ลุงมีอาวุธเวท ทำไมท่านถึงอยากจะหลบล่ะ”


 


 


โม่เทียนเกออึ้งไปแต่นางก็ดูอับอายหลังจากนั้น “ก็แค่ข้ามักจะอยากปลอดภัยไว้ก่อน”


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินพูด “เทียนเกอ ประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของเจ้านั้นครอบคลุมกว้างขวาง แต่แค่วิธีคิดของเจ้าไม่ได้ถูกต้องเสมอ เจ้าต้องจำไว้ว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ชัยชนะในที่แคบก็ยังเป็นชัยชนะ เจ้าแค่ต้องใช้วิธีการอะไรก็ตามที่เจ้ามี”


 


 


“ใช่ ขอบคุณที่เตือนข้านะพี่ใหญ่เยี่ย” ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของนางจะสูงกว่าของเยี่ยจิ่งเหวินเล็กน้อย แต่โม่เทียนเกอก็รู้ดีว่านางไม่เก่งเท่าเยี่ยจิ่งเหวินในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ดังนั้นนางจึงจริงใจกับการพูดแสดงความขอบคุณ


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินหัวเราะเบาๆ “ถ้าช่วงนี้เจ้าไม่มีอะไรทำ เจ้ามาที่โถงฝึกวรยุทธ์และมาแข่งกับข้าได้เสมอ เราต่างสามารถเรียนรู้ได้จากอีกฝ่ายและก้าวหน้าขึ้นไปด้วยกันได้” 

 

 


ตอนที่ 152 เขตถงอันแห่งแคว้นเว่ย

 

เยี่ยจิ่งเหวินหมายความตามที่เขาพูด จากวันนั้นเป็นต้นมา เขาและโม่เทียนเกอไปที่โถงฝึกวรยุทธ์กันทุกวัน เรียนรู้จากทักษะของอีกฝ่าย ในฐานะผู้ฝึกตนสายกระบี่ เขามุ่งความสนใจอยู่กับการเปรียบเทียบทักษะของเขากับคนอื่นมากกว่า ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจในการต่อสู้ด้วยพลังเวทดีกว่า ตั้งแต่ที่โม่เทียนเกอแลกเปลี่ยนความรู้กับเขา ทักษะในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของนางจึงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก 


 


 


หนึ่งเดือนให้หลัง โม่เทียนเกอก็สามารถชนะการประลองสองในสามครั้งโดยพึ่งพาอาวุธเวทของนาง เยี่ยจิ่งเหวินได้รับแรงกระตุ้นจากเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับไปและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ 


 


 


ในไม่ช้า ระยะเวลาสิบปีของโม่เทียนเกอก็สิ้นสุดลง ประมุขเต๋าจิ้งเหอบอกว่าโม่เทียนเกออยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิมาเป็นเวลานานแล้วและระดับการฝึกตนของนางก็สูงมากพอ ดังนั้นนางจึงสามารถออกจากภูเขาและไปท่องเที่ยวได้ 


 


 


โม่เทียนเกอจัดการกับภาระหน้าที่ของนางให้เสร็จ ปิดผนึกถ้ำเซียนของนาง และในไม่ช้าก็ออกจากเขาไท่คังโดยพาเยี่ยเจินจีไปกับนางด้วย 


 


 


มีมากกว่าสิบสองแคว้นในขั้วท้องฟ้า แคว้นเว่ยตั้งอยู่ใจกลางของทวีป ทางตะวันออกคือแคว้นจิ้นและแคว้นเหยียน ส่วนทางตะวันตกคือแคว้นฉินและแคว้นฉู่ มันถูกรายล้อมไปด้วยศัตรู 


 


 


เพราะเหตุนี้แคว้นเว่ยจึงสนับสนุนอาจารย์เซียนหลายคนและถึงกับลงทุนให้เกียรติชื่อตำแหน่งขุนนางกับผู้ฝึกตนจากตระกูลผู้ฝึกตนที่กำลังตกต่ำเพื่อปกป้องสันติภาพและความปลอดภัยของตัวเอง 


 


 


หลังจากโม่เทียนเกอลงจากแถบตะวันออกของแนวเทือกเขาคุนอู๋ นางใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการพาเยี่ยเจินจีไปถึงเขตถงอันแห่งแคว้นเว่ย 


 


 


เขตถงอันไม่ใช่แค่เมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเว่ย แต่มันยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่เชื่อมต่อกับทั่วทั้งขั้วท้องฟ้า เป็นจุดบรรจบของทิศเหนือและทิศใต้ และยังตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำดังนั้นมันจึงเชื่อมกับทั้งผืนดินและผืนน้ำ ชายแดนฝั่งตะวันตกของมันเชื่อมกับภูเขาของแคว้นฉินและพื้นดินของแคว้นฉู่ ขณะที่ชายแดนฝั่งตะวันออกติดกับที่ราบลุ่มของแคว้นจิ้นและแคว้นเหยียน ตำแหน่งที่ตั้งของมันคือจุดยุทธศาสตร์ ผลก็คือเขตถงอันจึงกลายเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดในทั่วทั้งขั้วท้องฟ้า 


 


 


แต่บางสิ่งทำให้พวกเขารู้สึกอับอายเล็กน้อย เยี่ยเจินจียังเด็กมากเมื่อเขาจากบ้านมา ดังนั้นเขาจึงจำไม่ได้ว่าตระกูลเยี่ยตั้งอยู่ที่ไหน โชคดีที่ตระกูลเยี่ยมีชื่อว่า “ขุนนางแห่งฉางหนิง” ในแคว้นเว่ย เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงสามารถหาตระกูลเยี่ยเจอได้อย่างเร็วหลังจากถามมาตลอดทาง 


 


 


ภายในเขตถงอัน คนรวยอาศัยอยู่ทางแถบตะวันออก คนชั้นสูงอาศัยอยู่ในแถบตะวันตก ส่วนคนจนจะรวมตัวกันอยู่แถบทางใต้ และคนที่มีสถานะต่ำๆ จะอยู่แถบทางเหนือ ตระกูลเยี่ยเป็นพวกผู้ดีชั้นสูง ดังนั้นพวกเขาจึงอาศัยอยู่ในแถบตะวันตกของเขตนี้ 


 


 


เมื่อพวกเขามาถึงที่แถบตะวันตกของเขต ประตูสีแดงสดและรูปปั้นสิงห์ผู้พิทักษ์สามารถเห็นได้ทุกที่ทั่วไป แต่แม้ท่ามกลางบ้านของผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ ที่พักของตระกูลเยี่ยก็ยังโดดเด่นสะดุดตา บนแผ่นป้ายแนวนอนที่อยู่เหนือประตู คำสี่คำถูกสลักเอาไว้ว่า “ที่พักแห่งขุนนางฉางหนิง”  


 


 


เยี่ยเจินจีดีใจมากและต้องการจะเข้าไปทันที แต่โดยไม่คาดคิด หนึ่งในคนรับใช้วัยหนุ่มที่เฝ้าประตูมาขวางทางเขาไว้และพูดอย่างโอหังว่า “ที่นี่คือที่พักของขุนนางแห่งฉางหนิง คนที่ไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้าเด็ดขาด”  


 


 


เยี่ยเจินจีตะลึงงัน โม่เทียนเกอที่เดินอยู่ข้างๆ เขาอยากจะหัวเราะออกมาทันที ในโลกมนุษย์ ทุกคนถูกตัดสินด้วยรูปลักษณ์ภายนอกทั้งนั้น ถึงแม้เยี่ยเจินจีจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและโดดเด่น แต่เสื้อผ้าของเขาเรียบง่ายและไม่มีรูปแบบเหมือนคุณชาย ดังนั้นคนรับใช้เฝ้าประตูพวกนี้จึงคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดา พวกเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าที่จริงแล้วเขาจะเป็นคุณชายของครอบครัวนี้ 


 


 


หลังจากจ้องอย่างเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง เยี่ยเจินจีตะโกนออกมา “เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าเป็นคนไม่ได้รับอนุญาต!? ที่นี่คือบ้านของข้า! ข้ามาจากตระกูลเยี่ย!”  


 


 


หนึ่งในคนรับใช้ชำเลืองมองเขาด้วยหางตาและพูดด้วยน้ำเสียงโอหังเหมือนดังก่อนหน้านี้ “ไปซะ! ถ้าเจ้าไม่มีธุระสำคัญอะไร อย่ามาหาเรื่อง!”  


 


 


เยี่ยเจินจีเริ่มจะร้อนใจ เขาจึงพูดอย่างโกรธๆ “แซ่ของข้าคือเยี่ยและชื่อข้าคือเจินจี พวกเจ้าไปรายงานกับท่านขุนนางได้เลย”  


 


 


พอเขาพูดถึงชื่อขึ้นมา ในที่สุดคนรับใช้พวกนั้นจึงได้มองเขาให้ชัดๆ  


 


 


“แซ่ของเขาคือเยี่ย หรือว่าเขาจะเป็น…”  


 


 


“ไม่ได้มีแค่ครอบครัวเราที่มีแซ่เยี่ยซะหน่อย”  


 


 


“แต่ถ้าเกิดเขาเป็นล่ะ”  


 


 


… 


 


 


คนรับใช้หนุ่มพึมพำกันอยู่สองคนครู่หนึ่ง สุดท้ายคนหนึ่งก็พูดว่า “รอตรงนี้ ข้าจะไปรายงานชื่อเจ้าก่อน”  


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะยอมทำตาม แต่เขาก็ยังไม่มีความเคารพต่อเยี่ยเจินจีเลยสักนิด 


 


 


เยี่ยเจินจีควบคุมอารมณ์โกรธของเขาและแอบมองโม่เทียนเกอ เมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่งของนาง ในที่สุดเขาก็บังคับตัวเองให้พยักหน้า เมื่อคนรับใช้หนุ่มคนนั้นหายไป เขาเดินมาทางด้านข้างโม่เทียนเกอและพูดอย่างขอโทษขอโพย “อาจารย์ลุง ข้าขอโทษ คนรับใช้ในบ้านช่างไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย เพราะงั้นกรุณารอสักครู่นะขอรับ”  


 


 


โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร นางคิดว่านี่ก็ค่อนข้างตลกดี ที่จริงคนจากโลกแห่งการฝึกตนก็เหมือนกัน แต่แทนที่จะตัดสินคนจากเสื้อผ้า พวกเขากลับตัดสินจากระดับการฝึกตนของคนแทน 


 


 


ไม่นานนัก เสียงของฝีเท้ากระตือรือร้นก็ดังให้ได้ยิน ทำให้ทั้งสองคนต้องมองไปที่ประตู ชายชราแต่งตัวในชุดเสนาบดีกำลังเดินนำกลุ่มคนที่รีบเร่งมาทางประตูอย่างร้อนใจ คนรับใช้ที่รายงานให้ทราบอยู่หลังพวกเขา กำลังปาดเหงื่อบนหน้าอย่างประหม่า 


 


 


ทันทีหลังจากที่โม่เทียนเกอเห็นชายชรา นางก็สามารถเดาได้ว่าตัวตนของเขาเป็นใคร แน่นอนว่าเมื่อเยี่ยเจินจีเห็นเขา เขาดูทั้งตื่นเต้นและขัดแย้งในตัวเอง 


 


 


เขาออกจากบ้านไปเมื่อเขาอายุแค่เก้าขวบและตอนนี้ก็ผ่านไปประมาณสิบเอ็ดปีแล้ว เด็กน้อยคนนั้นโตมาเป็นชายหนุ่มคนนี้ในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาเห็นผู้อาวุโส เขาก็รู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหม่าไปด้วย 


 


 


“เจินเอ๋อร์!” จากภายในกลุ่มคน หญิงสูงศักดิ์รีบวิ่งมาพร้อมกับสะดุดเท้าตัวเองโดยไม่สนใจเครื่องเพชรที่ประดับอยู่ทั่วร่างของนาง 


 


 


เยี่ยเจินจีเพียงแค่จ้องนางอย่างเหม่อลอย 


 


 


นายหญิงคนนั้นโผเข้าหาเยี่ยเจินจีและเริ่มร้องไห้โฮใส่ไหล่ของเขา “เจินเอ๋อร์! เจินเอ๋อร์ของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”  


 


 


ริมฝีปากของเยี่ยเจินจีสั่นระริก หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายเขาก็ร้องเรียกออกมา “ท่านแม่!” และร้องไห้เงียบๆ  


 


 


โม่เทียนเกอที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังมองครอบครัวที่ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากแยกจากกันไปนานและทักทายกันด้วยน้ำตา นางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอยู่ภายในใจ 


 


 


นี่ก็เป็นครอบครัวของนางเช่นกัน แต่ในเมื่อไม่มีความรักระหว่างนางกับพวกเขา นางจึงต้องแยกตัวออกมาเช่นนี้ 


 


 


เวลานานหลังจากนั้น เมื่อเยี่ยเจินจีทักทายทุกคนในครอบครัวเขาเสร็จ ในที่สุดเขาก็จำได้ว่านางยังคงยืนอยู่ตรงด้านข้าง เขารีบเช็ดน้ำตาและแนะนำครอบครัวเขาให้กับนาง “อาจารย์ลุง ข้า… นี่คือครอบครัวของข้า”  


 


 


พอได้ยินเขาเรียกนางว่าอาจารย์ลุง ทุกคนในตระกูลเยี่ยรีบจัดท่าทางให้เรียบร้อยทันทีขณะที่จ้องมองนาง 


 


 


โม่เทียนเกอใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อตรวจดูพวกเขาทุกคนนานแล้ว ตระกูลเยี่ยนี้มีผู้ฝึกตนหลายคนแต่รากวิญญาณของพวกเขาล้วนอ่อนแอทั้งหมด ผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนสูงสุดในกลุ่มคือคนที่อยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสาม และเป็นชายชราคนที่เดินนำกลุ่มมา 


 


 


พวกผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงนี้ก็สัมผัสได้ถึงระดับการฝึกตนที่โม่เทียนเกอแอบเผยออกมาอย่างลับๆ ได้เช่นกันและดูนอบน้อมทันที พวกเขาถามเรียบร้อยแล้วและรู้ว่าระดับการฝึกตนของเยี่ยเจินจีตอนนี้อยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ พอได้ยินเขาเรียกนางว่าอาจารย์ลุง พวกเขาก็รู้ว่าโม่เทียนเกออย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังแน่ เพราะฉะนั้นถึงแม้นางจะดูเหมือนอายุสิบแปดถึงสิบเก้าปี แต่พวกเขาก็ไม่กล้าจะดูถูกนางแม้แต่น้อย 


 


 


“อาจารย์ลุง ขอให้ข้าได้แนะนำครอบครัวของข้า นี่คืออากงหัวหน้าตระกูล” เยี่ยเจินจีพูดพร้อมกับดึงโม่เทียนเกอให้ยืนอยู่หน้าผู้นำวัยชรา 


 


 


ชายชราคนนี้ผมหงอกขาวแต่ยังคงกระฉับกระเฉงมาก ในฐานะผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสามที่ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลานาน เขาจึงมีประสบการณ์มากเป็นธรรมดา ดังนั้นเขาจึงรีบประสานมือเป็นการทักทายทันที “ตาแก่เจียมตัวคนนี้ เยี่ยเฉิง หัวหน้าแห่งตระกูลเยี่ยขอคารวะท่านผู้อาวุโส”  


 


 


งั้นนี่ก็คือเยี่ยเฉิงคนที่ท่านอาที่สองพูดถึง ตามการนับลำดับอาวุโส เขาน่าจะเป็นรุ่นต่ำกว่าข้าหลายรุ่น โม่เทียนเกอรับการทำความเคารพของเขาอย่างสงบและพยักหน้าตอบ 


 


 


เยี่ยเจินจียังคงพูดต่อโดยดึงนางไปทางชายวัยกลางคน “นี่คือท่านพ่อของข้า”  


 


 


“ข้าน้อยเยี่ยจุ่นขอคารวะท่านผู้อาวุโส” 


 


 


เขาเองก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน แต่ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในแค่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ 


 


 


จากนั้นเยี่ยเจินจีชี้ไปที่นายหญิงซึ่งกอดเขาน้ำตานองหน้าเมื่อครู่นี้ “นี่คือท่านแม่ของข้า”  


 


 


หญิงสูงศักดิ์โค้งคำนับนางอย่างซาบซึ้ง “ข้าไม่อาจขอบคุณท่านผู้อาวุโสได้มากพอสำหรับการดูแลเอาใจใส่ที่ท่านมอบให้กับเจินเอ๋อร์ของครอบครัวเราตลอดมา”  


 


 


ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ยกมือขึ้น “นายหญิงไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก ในเมื่อข้าเป็นผู้อาวุโสในฝ่ายของเขา ข้าต้องคอยดูแลเขาเป็นธรรมดา”  


 


 


มีคนอื่นอีกหลายคนที่ได้รับการแนะนำต่อจากนายหญิง และพวกเขาทั้งหมดทำความเคารพนางทีละคน 


 


 


ในเวลาต่อมาเมื่อพิธีทักทายกันเสร็จสิ้นลงเสียที เยี่ยเฉิงเชิญนางเข้าไปในโถงนั่งเล่นอย่างเอาอกเอาใจ บอกให้คนส่วนหนึ่งในกลุ่มออกไปและเหลือไว้เพียงแค่คนสำคัญที่จะอยู่และนั่งกับพวกเขา 


 


 


เมื่อทุกคนได้เข้ามาข้างในและนั่งประจำที่ เยี่ยเฉิงพูดกับเยี่ยเจินจี “เจินเอ๋อร์ เจ้าจะไม่แนะนำอาจารย์ลุงของเจ้าให้พวกเรารู้จักรึ”  


 


 


ก่อนหน้านี้เยี่ยเจินจีพูดเพียงว่าโม่เทียนเกอเป็นอาจารย์ลุงของเขาและนางคอยดูแลเขามาตลอดให้กับสมาชิกในครอบครัวของเขาฟัง เขายังพูดอีกว่านางตั้งใจมาเป็นเพื่อนเขาเพราะเขาต้องการเดินทางลงจากภูเขาในครั้งนี้ 


 


 


เยี่ยเจินจีรีบยืนขึ้น “อากงหัวหน้าตระกูล อาจารย์ลุงคนนี้… คือศิษย์คนสุดท้ายของท่านปรมาจารย์ของข้า ปรมาจารย์จิ้งเหอ อาจารย์ของข้าอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่เสมอ ดังนั้นอาจารย์ลุงโม่จึงสอนข้าทุกอย่าง นางเป็นอาจารย์ที่แท้จริงที่คอยสอนข้ามาตลอด”  


 


 


“โอ้?” สิ่งที่เยี่ยเจินจีพูดทำให้สายตาทุกคนที่จ้องโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป ตามที่เขาพูด นางอาจจะถูกเรียกว่าอาจารย์ลุง แต่นางมีศักดิ์เทียบเท่ากับอาจารย์ของเขา ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นศิษย์คนสุดท้ายของผู้มีอำนาจระดับจิตวิญาณใหม่แห่งโรงเรียนเสวียนชิงอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าข่ายความสามารถและความสูงส่งของนางไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนคนไม่สำคัญและอ่อนแอที่ออกจากคุนอู๋ไปอย่างพวกเขาจะสามารถจินตนาการได้ 


 


 


เยี่ยเฉิงยืนขึ้นอีกครั้ง “ท่านผู้อาวุโสมีพระคุณเช่นนั้นต่อเจินเอ๋อร์ของครอบครัวเรา… ตาแก่เจียมตัวคนนี้ต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสอีกครั้งหนึ่ง”  


 


 


“เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก” โม่เทียนเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม “เยี่ยเจินจีเป็นเด็กฉลาดและมารยาทดี ถึงแม้ว่าความสามารถของเขาจะบกพร่องนิดหน่อย แต่เขาก็ขยันในการร่ำเรียนมาก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องประสบความสำเร็จได้แน่นอน”  


 


 


การประเมินเยี่ยเจินจีของโม่เทียนเกอทำให้เยี่ยเฉิงตื่นเต้นมาก เขาพูดว่า “ถ้าเขาสามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ นั่นก็เป็นเพราะดวงของเขา แต่ก็เป็นเพราะพระคุณที่ท่านมอบให้เขาด้วยเช่นกัน”  


 


 


ทั้งสองคนยังคงพูดจาสุภาพอย่างนี้กันไปอีกพักหนึ่งก่อนที่เยี่ยเฉิงจะถามอีกครั้ง “ท่านผู้อาวุโสมาที่โลกมนุษย์เพื่อจัดการธุระอะไรหรือเปล่า ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของข้าจะต่ำ แต่ข้าก็พอจะมีหน้ามีตาในโลกมนุษย์อยู่ บางทีข้าอาจจะช่วยท่านผู้อาวุโสได้ในการสืบหาข่าวบางอย่าง”  


 


 


“คือ… ข้ามาที่โลกมนุษย์ไม่ใช่เพราะข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ข้าแค่มาเพื่อท่องเที่ยวไปเรื่อย”  


 


 


“ข้าเข้าใจ… ท่านผู้อาวุโสแทบไม่ได้มาที่โลกมนุษย์เลยใช่ไหม ตระกูลเยี่ยของเราอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นเราจึงรู้เรื่องพิเศษมากมายเกี่ยวกับโลกมนุษย์ ถ้าท่านผู้อาวุโสไม่ถือ ข้าสามารถอธิบายให้ท่านฟังได้” เยี่ยเฉิงพูดอย่างกระตือรือร้น 


 


 


โม่เทียนเกอไตร่ตรองข้อเสนอของเขาแล้วจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องรบกวนท่านด้วย”  


 


 


“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา” เยี่ยเฉิงพูดซ้ำๆ “ท่านผู้อาวุโสมาตั้งไกลจากคุนอู๋ ท่านน่าจะเหนื่อย ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ท่านอยู่ที่บ้านหลังน้อยของข้าไปก่อนดีไหมล่ะขอรับ เดี๋ยวตอนเย็นตาแก่คนนี้จะส่งข่าวทั้งหมดที่ตระกูลของข้ารวบรวมมาได้ให้ท่าน”  


 


 


โม่เทียนเกอไม่มีความอดทนมากนักกับการพูดคุยเช่นนี้กับคนอื่น ดังนั้นนางจึงรีบตกลงทันทีและออกไปก่อน 


 


 


บัดนี้พอโม่เทียนเกอออกไป เยี่ยเฉิงถามขึ้นมากะทันหัน “เจินเอ๋อร์ ที่จริงอาจารย์ลุงของเจ้าคนนี้เป็นใคร”  


 


 


เยี่ยเจินจีตกใจและค่อนข้างหวาดกลัว “อากงหัวหน้าตระกูล นาง… นางเป็นอาจารย์ลุงของข้า!”  


 


 


“นางเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังหรือ”  


 


 


“ขอรับ อาจารย์ลุงอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่ห้าปี นางเพิ่งเข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางแห่งดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ตอนนี้นางถูกท่านปรมาจารย์สั่งให้ออกจากภูเขาและออกท่องเที่ยว จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้สภาวะจิตของนางเข้มแข็งขึ้นเพื่อนางจะได้บรรลุผ่านไปสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้อย่างง่ายดาย”  


 


 


“เข้าใจล่ะ…” คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย “ผู้อาวุโสคนนี้นางอายุเท่าไหร่ ต้นทุนของนางเป็นอย่างไร ระดับการฝึกตนของนางอยู่แค่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แต่นางก็ถูกรับเข้าไปเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์จิตวิญญาณใหม่ของเจ้างั้นหรือ”  


 


 


พอเห็นว่าเยี่ยเฉิงดูเหมือนเขาจะไม่ได้สงสัยอะไร เยี่ยเจินจีจึงสงบจิตใจและตอบว่า “อาจารย์ลุง… น่าจะอายุสามสิบเจ็ดปี ข้าไม่แน่ใจนักว่ารากวิญญาณของนางเป็นแบบไหน ข้ารู้แค่ว่ามันเป็นรากวิญญาณประเภทพิเศษและไม่ด้อยไปกว่ารากวิญญาณเดี่ยวหรือรากวิญญาณกลายพันธุ์”  


 


 


“สามสิบเจ็ดปี?!” เยี่ยเฉิงดูตกใจ นางอายุแค่สามสิบเจ็ดปีแต่ก็อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว… ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนางถึงถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่รับเข้าเป็นศิษย์ นางต้องมีความสามารถเก่งกาจมากอย่างไม่ต้องสงสัยแน่!  


 


 


“เจินเอ๋อร์ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับอาจารย์ลุงเป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


เยี่ยเจินจีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ตั้งแต่ข้ากลายเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ อาจารย์ลุงก็คอยสอนข้าเป็นการส่วนตัว ไม่ผิดหากจะบอกว่าอาจารย์ลุงคืออาจารย์ที่แท้จริงของข้า”  


 


 


“ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ลุงของเจ้ามีศิษย์คนอื่นอีกไหม”  


 


 


“ไม่ขอรับ อาจารย์ลุงยังอายุน้อย นางแค่สอนข้าแทนท่านอาจารย์ของข้า นางไม่มีศิษย์เป็นของตัวเอง”  


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเฉิงครุ่นคิดอยู่ประมาณหนึ่งก่อนจะลูบเคราของเขา ทันใดนั้นเขาก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “เจินเอ๋อร์ ตั้งแต่นี้ไปเจ้าต้องตีสนิทกับอาจารย์ลุงของเจ้าเอาไว้ ด้วยอายุปัจจุบันและระดับการฝึกตนของอาจารย์ลุงเจ้า รวมถึงสถานะของนางในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่ อนาคตของนางจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่ ถ้าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง เจ้าจะได้ประโยชน์อย่างแน่นอน!”  


 


 


เยี่ยเจินจีรู้ว่าอากงหัวหน้าตระกูลพูดเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของเขาเอง แต่คำพูดของอากงก็ยังทำให้เขาไม่พอใจ เขาสนิทกับท่านอาของเขาอยู่แล้วและมันก็ไม่ใช่เพราะเขากำลังหาประโยชน์จากนาง 


 


 


“อากงหัวหน้าตระกูล อาจารย์ลุงดูแลข้าอย่างดีด้วยความจริงใจและความเคารพที่ข้ามีต่อนางก็มาจากใจจริง จงวางใจเถิดว่าระหว่างเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด”   

 

 


ตอนที่ 153-1 สมาชิกตระกูลเยี่ย

 

“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูเบาๆ สองครั้งดังขึ้น 


 


 


โม่เทียนเกอหยุดฝึกตน นางใช้จิตสัมผัสเพื่อตรวจดูสภาพรอบตัวแล้วจึงคลายกำแพงอาคมที่นางวางไว้ด้านนอกออก “เข้ามา”  


 


 


คนที่ผลักประตูเปิดและเดินเข้ามาคือแม่ของเยี่ยเจินจี นายหญิงเหยียน 


 


 


นายหญิงเหยียนคนนี้พาสาวใช้สี่คนมากับนางด้วยและดูเป็นมิตรอย่างมาก “ท่านผู้อาวุโส ข้ารบกวนท่านหรือเปล่า”  


 


 


โม่เทียนเกอมีความประทับใจค่อนข้างดีกับนายหญิงเหยียน อาจเพราะความรักของแม่ที่นางมีต่อเยี่ยเจินจีทำให้โม่เทียนเกอนึกถึงแม่ของตัวเอง 


 


 


“ไม่เป็นไร มีเรื่องอะไรรึ”  


 


 


“อ้อ คือว่า… ห้องนอนแขกมันออกจะโทรม ข้าจึงเกรงว่าท่านผู้อาวุโสจะไม่ชินน่ะเจ้าค่ะ…” หลังจากนางพูดเช่นนั้น นางก็บอกใบ้ให้สาวใช้วางสิ่งของที่พวกนางถืออยู่ 


 


 


โม่เทียนเกอเพียงมองของพวกนั้นผ่านๆ ทั้งหมดเป็นของฉาบฉวยและหรูหราที่คนรวยและผู้ดีชอบใช้กัน นางส่ายหน้า “นายหญิงไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก คงจะไม่ดีหากผู้ฝึกตนอย่างข้าจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมากเกินไป ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า ดังนั้นนายหญิงไม่จำเป็นต้องลำบากก็ได้”  


 


 


“นี่… ท่านผู้อาวุโสเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลเยี่ยของข้า ข้ากลัวว่าข้าไม่ได้ดูแลท่านอย่างดีพอ”  


 


 


รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นใบหน้าของโม่เทียนเกอ “ข้าเข้าใจเจตนาของนายหญิงดี แต่ของทางโลกพวกนี้ไม่ได้จำเป็นจริงๆ”  


 


 


พอเห็นว่านางแน่วแน่มากแค่ไหน นายหญิงเหยียนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้สาวใช้นำของพวกนั้นกลับไป 


 


 


นายหญิงเหยียนเผยให้เห็นหน้าตาที่กำลังรู้สึกขัดแย้ง แต่หลังจากชั่วครู่ นางก็ยิ้มและพูดว่า “ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดกับท่านผู้อาวุโส ข้าไม่รู้ว่าท่านมีเวลาหรือไม่…”  


 


 


“ถ้านายหญิงมีอะไรจะพูด นายหญิงอย่าได้ลังเล”  


 


 


หลังจากได้รับอนุญาตจากโม่เทียนเกอ นายหญิงเหยียนสั่งให้สาวใช้ออกไปก่อนขณะที่นางยังคงอยู่ข้างหลัง 


 


 


“ท่านผู้อาวุโส ตามหลักแล้วข้าไม่ควรรบกวนตอนท่านกำลังฝึกตนอยู่เพื่อเรื่องแบบนี้ แต่… ข้าเป็นแม่คน… และแม่ก็ต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลูกชายของนางเสมอ” ขณะนั้นนายหญิงเหยียนหยุดพูดอย่างประหม่าและจึงพูดต่อหลังจากนั้นไม่นาน “ท่านเป็นอาจารย์ลุงของเจินเอ๋อร์ ดังนั้นท่านน่าจะได้พูดคุยกับเขาบ่อยๆ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ มันช่างเป็นเวลานานแต่ข้าก็ไม่สามารถพบเจอเขาได้เลยในช่วงเวลานั้น… ท่านผู้อาวุโส ท่านช่วยบอกข้าทุกอย่างเกี่ยวกับเจินเอ๋อร์ได้หรือไม่ เขาเป็นอย่างไรบ้างตลอดหลายปีมานี้? เขาต้องทุกข์ทนกับความเศร้าบ้างไหม แล้วตอนนี้เขาเป็นอย่างไร…”  


 


 


โม่เทียนเกอไม่มีเหตุผลอะไรจะปฏิเสธคำขอเล็กน้อยแค่นี้ แม่คนหนึ่งที่ลูกของนางต้องจากข้างกายนางไปถึงสิบเอ็ดปีก็ต้องอยากรู้เกี่ยวกับลูกของนางให้ได้มากที่สุดเป็นธรรมดา 


 


 


“นายหญิงไม่จำเป็นต้องกังวล เจินจีทำได้ดีมาก เขาเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและเรื่องของเขาก็ได้รับการดูแลโดยพวกเราผู้อาวุโสที่ฝ่ายของเขา เขาจะไม่เป็นอะไรหรอก”  


 


 


“จริงหรือ เขามีสหายที่โรงเรียนบ้างไหม เขาถูกรังแกหรือไม่”  


 


 


การระดมคำถามครั้งนี้ทำให้โม่เทียนเกอหัวเราะ “เขามีประมุขเต๋าจิ้งเหอเป็นปรมาจารย์ของเขา ใครจะกล้ารังแกเขากัน อีกอย่างถ้ามีใครต้องการรังแกเขา ข้าก็จะไม่นั่งเฉยๆ แน่ วางใจเถอะนายหญิง เด็กคนนั้นมีอารมณ์อ่อนโยน เพราะงั้นเขาจึงเข้ากันได้ดีกับคนอื่นๆ”  


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีจริงๆ” นายหญิงเหยียนพูดด้วยความโล่งอก “เจินเอ๋อร์เป็นคนช่างคิดรอบคอบแม้แต่ตอนที่เขายังเด็ก ถ้าเขามีปัญหา เขาจะไม่บอกเราแน่นอน เพราะข้าเกรงว่าเขาจะยังเป็นแบบนี้อยู่ข้าจึงต้องมารบกวนท่านผู้อาวุโส เจินเอ๋อร์อยู่ในระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว ทำไมท่านทั้งสองถึงเลือกจะออกจากโรงเรียนมาตอนนี้ล่ะเจ้าคะ”  


 


 


เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของนายหญิงเหยียน โม่เทียนเกอจึงอธิบาย” เดิมทีข้าก็คิดว่าจะปล่อยให้เจินจีกลับมาหลังจากเขาสร้างฐานแห่งพลังได้ เขาคิดถึงพวกเจ้าทุกคนมากเหลือเกินและขอร้องข้าอยู่เป็นเวลานาน โชคดีที่ข้าบังเอิญถูกท่านอาจารย์สั่งให้ออกจากภูเขาไปท่องเที่ยว ดังนั้นข้าจึงพาเขามาด้วยและเราก็มาที่นี่”  


 


 


“ข้าเข้าใจ…” สายตาจ้องมองของนายหญิงเหยียนยังคงค้างอยู่ที่ร่างของโม่เทียนเกอ แล้วจู่ๆ นางก็ถามว่า “ท่านผู้อาวุโสดูอ่อนวัยมาก ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านอายุเท่าไหร่”  


 


 


คำถามนี้จริงๆ แล้วถือว่าค่อนข้างหยาบคาย โม่เทียนเกอจึงไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ในเมื่ออายุของนางก็ไม่ใช่ความลับอะไร นางจึงตอบว่า “ตอนนี้ข้าอายุสามสิบเจ็ดปี”  


 


 


“โอ้? ท่านผู้อาวุโสอายุใกล้เคียงกับข้า แต่ท่านยังดูเหมือนสาวน้อยวัยสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีอยู่เลย สิ่งนี้ทำให้มนุษย์ธรรมดาอย่างข้าอิจฉาเสียจริง”  


 


 


ที่จริงแล้วนายหญิงเหยียนก็ถือว่าดูยังอ่อนวัย เยี่ยเจินจีอายุยี่สิบปี ในฐานะแม่ของเขา นายหญิงเหยียนน่าจะอายุประมาณสามสิบห้าปีเป็นอย่างน้อย แต่นางก็ดูแลรูปลักษณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี บนใบหน้าของนางไม่มีรอยเ**่ยวย่น ดังนั้นนางจึงดูเหมือนอายุแค่สามสิบปี ซึ่งเป็นอายุที่ผู้หญิงมีเสน่ห์มากที่สุดและเจริญวัยเต็มที่ที่สุด 


 


 


ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็ไม่ได้ชมนางกลับ นางมองนายหญิงเหยียนด้วยสายตาเฉียบขาดและพูดทื่อๆ ว่า “นายหญิงเหยียนหมายความว่าอย่างไร”  


 


 


นางคงจะทึ่มเกินไปหากนางไม่สามารถบอกได้ว่าคำพูดของนายหญิงเหยียนมีความหมายอย่างอื่นอีก แน่นอนว่าเจตนาของนายหญิงเหยียนในการแวะมาหานางไม่ได้ซื่อตรงนัก 


 


 


นายหญิงเหยียนค่อนข้างอายที่ถูกโม่เทียนเกอจ้องเช่นนั้น นางพูดงึมงำ “… ไม่มีอะไรหรอก อายุของท่านผู้อาวุโสใกล้เคียงกับข้าแต่ท่านดูเหมือนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจินเอ๋อร์ มันไม่ค่อยชัดเจนว่า… ท่านเป็นผู้อาวุโสของเขา คาดว่าคนอื่นๆ คงจะเชื่อเราแน่ถ้าเราบอกว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน”  


 


 


จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกสับสนระหว่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เห็นได้ชัดว่านายหญิงเหยียนคนนี้กังวลว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ควรพูดระหว่างนางกับเยี่ยเจินจี!  


 


 


แม้ว่านางจะรู้สึกอย่างไรแต่สีหน้าของโม่เทียนเกอก็ไม่เปลี่ยนแปลง นางแค่จ้องนายหญิงเหยียนโดยไม่กะพริบตา 


 


 


นายหญิงเหยียนเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา นางจึงไม่มีความสามารถอะไรที่จะต่อต้านแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณที่เล็ดลอดออกมาจากโม่เทียนเกอ ตัวนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ นางรีบคว้าผ้าเช็ดหน้า ต้องการจะเช็ดเหงื่อออก แต่โชคร้ายที่นางไม่สามารถแม้แต่จะยกมือขึ้นได้ ด้วยความยากลำบาก นางอ้าปากพูด “ท่านผู้อาวุโส ถะ…ถ้าข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ ได้โปรด…โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”  


 


 


แม้ว่านายหญิงเหยียนจะเป็นแม่ของเยี่ยเจินจี แต่มันก็ยังทำให้โม่เทียนเกอรำคาญที่นางมาคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเยี่ยเจินจีตามอำเภอใจ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงจงใจปล่อยแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณออกมา บัดนี้เมื่อนายหญิงเหยียนยอมถอย โม่เทียนเกอจึงถอนแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณและพูดอย่างเย็นชา “สำหรับผู้ฝึกตนอย่างเรา รูปร่างหน้าตาของคนไม่ใช่อะไรนอกไปจากเรื่องผิวเผินภายนอก ในอนาคตนายหญิงไม่ควรพูดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีก”  


 


 


นายหญิงเหยียนไม่กล้าจะปฏิเสธนาง เมื่อนึกขึ้นได้ถึงคำสั่งของท่านหัวหน้าตระกูลว่านางต้องดูแลผู้อาวุโสคนนี้ให้ดีอย่างไรและคิดว่านางเพิ่งจะทำให้ผู้อาวุโสคนนี้ไม่พอใจเพราะพฤติกรรมของนาง นายหญิงเหยียนขอโทษซ้ำไปซ้ำมา “ท่านผู้อาวุโส ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย ข้าเป็นแม่บ้านโง่เขลาที่ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องต้องห้ามของผู้ฝึกตน ข้าจึงพูดไร้สาระออกมา…”  


 


 


โม่เทียนเกอตัดบทนาง “นายหญิง เจ้าเป็นแม่ของเจินจี บางอย่างเจ้าก็มีสิทธิ์ถามได้ ถ้าเจ้าไม่ถาม ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่สบายใจใช่ไหม เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเจ้ามีอะไรต้องการพูดก็พูดออกมาได้ตามตรง”  


 


 


เมื่อนางสังเกตว่าโม่เทียนเกอไม่ได้ฟังดูโกรธ ในที่สุดนายหญิงเหยียนจึงสงบจิตใจได้บ้าง แต่พอเห็นสีหน้าสงบนิ่งของโม่เทียนเกอ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจและพูดว่า “โปรดอภัยให้ข้าด้วยท่านผู้อาวุโส ข้าเห็นว่าท่านกับเจินจีสนิทกันแค่ไหน ข้าจึงกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าเด็กนั่นจะก้าวเดินไปบนทางที่ผิด ท่านเป็นอาจารย์ลุงของเขา ถ้า… ถ้าเขาทำตัวไม่มีเหตุผล เขาจะไม่ทำลายชื่อเสียงอันไร้มลทินของท่านหรือ”  


 


 


วิธีเรียบเรียงคำพูดอย่างสุภาพแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่านายหญิงเหยียนไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล โม่เทียนเกอผ่อนคลายน้ำเสียงและพูดว่า “นายหญิง มันคงผ่านมามากกว่ายี่สิบปีแล้วตั้งแต่ตระกูลเยี่ยย้ายมาที่โลกมนุษย์ใช่ไหม เจ้าไม่เคยไปที่คุนอู๋มาก่อนเลยใช่หรือไม่”  


 


 


นายหญิงเหยียนเหม่ออยู่ชั่วขณะแต่ไม่นานก็พยักหน้า ตอนที่นางแต่งงานและร่วมวงศ์ตระกูลเยี่ย ตระกูลเยี่ยก็ได้เป็นขุนนางแห่งฉางหนิงของแคว้นเว่ยมาสักพักแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เคยไปที่คุนอู๋ 


 


 


“ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าไม่เข้าใจเรื่องของโลกแห่งการฝึกตน ธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างคนในโลกมนุษย์กับโลกแห่งการฝึกตนไม่เหมือนกัน ทุกอย่างในโลกแห่งการฝึกตนถูกตัดสินตามระดับการฝึกตน เมื่อเป็นเรื่องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ทั้งอายุและลำดับอาวุโสไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ว่าเจินจีจะชอบใคร มันก็จะไม่กระทบกับอนาคตของเขา” หลังจากสังเกตเห็นใบหน้าซีดเซียวขึ้นกะทันหันของนายหญิงเหยียน โม่เทียนเกอจึงพูดต่อพร้อมกับหัวเราะ “อีกอย่าง รูปลักษณ์ภายนอกจะมากำหนดอายุของคนอย่างแม่นยำได้อย่างไรเล่า ท่านอาจารย์ของข้าอายุมากกว่าแปดร้อยปี แต่เขายังดูเหมือนเขาเพิ่งอายุสามสิบปี เนื่องจากรูปลักษณ์ของเขา ท่านอาจารย์ของเจินจีก็ดูเหมือนเขาอายุพอๆ กับเจินจีเช่นกัน นายหญิง เจินจีแสดงความเคารพต่อข้าเหมือนดั่งอาจารย์ของเขา เพราะอย่างนั้นจะมีเรื่องไม่งามเช่นนั้นระหว่างเราได้อย่างไร นายหญิงไม่ควรคิดมากเกินไป มิเช่นนั้นหากเจินจีรู้เข้า เขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดและอับอายแน่”  


 


 


“…” สีผิวของนายหญิงเหยียนกลายเป็นเขียวอยู่แว่บหนึ่งและซีดขาวต่อมา แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย นางเป็นแค่มนุษย์ผู้หญิง นางไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องในโลกแห่งการฝึกตนแม้แต่นิดเดียว ก็แค่ในฐานะแม่ นางถึงกังวลเกี่ยวกับลูกของนาง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่หลังจากนางได้ยินโม่เทียนเกอพูดอย่างเปิดเผย มันก็ทำให้นางรู้สึกอับอายจนนางอยากจะมุดรูหนีและฝังตัวเองอยู่ในนั้น 


 


 


“เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ ข้าต้องการจะฝึกตนต่อไป นายหญิง ไม่บ่อยนักที่เจินจีจะได้กลับมาบ้าน ดังนั้นเจ้าควรจะอยู่เป็นเพื่อนเขาให้มากหน่อย” เมื่อบอกใบ้ผู้มาเยือนให้ออกไปอย่างตรงไปตรงมา โม่เทียนเกอนั่งขัดสมาธิและหลับตาลง ดูเหมือนนางไม่ต้องการพูดอีกต่อไป 


 


 


นายหญิงเหยียนโค้งตัวด้วยความอับอายแล้วจึงถอนตัวออกจากห้อง 


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ นายหญิงเหยียนเป็นมนุษย์ผู้หญิง เป็นธรรมดาที่นางจะไม่เข้าใจ พวกมนุษย์มักจะชอบคาดเดาไปว่าระหว่างชายหญิงที่อายุใกล้เคียงกันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่อย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่เมื่อพวกเขามีลำดับอาวุโสห่างกันก็ตาม อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้ว่าในโลกแห่งการฝึกตน การตัดสินคนจากหน้าตาเป็นสิ่งที่เหลวไหลที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


 


 


นางฝึกตนต่อไปจนกระทั่งถึงเย็นเมื่อหัวหน้าตระกูลเยี่ย เยี่ยเฉิง ส่งใครบางคนมาเชิญนางไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน เขาบอกว่าในเมื่อนางมาจากที่ไกล พวกเขาจึงจัดงานเลี้ยงไว้ขอบคุณนางแทนในนามของเจินจี 


 


 


หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายโม่เทียนเกอก็ตัดสินใจรับคำเชิญนั้น  

 

 


ตอนที่ 153-2 สมาชิกตระกูลเยี่ย

 

ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านอาที่สองบอกนางว่าให้ดูแลตระกูลเยี่ยเมื่อนางมีความสามารถพอที่จะทำได้ ในเมื่อตอนนี้นางก็อยู่ที่ตระกูลเยี่ยแล้ว นางรู้สึกว่านางควรทำสิ่งที่อยู่ในความสามารถของนาง


 


 


“ท่านผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็มา เชิญนั่งขอรับ” เมื่อโม่เทียนเกอมาถึงที่โถงจัดเลี้ยง เยี่ยเฉิงต้อนรับนางอย่างกระตือรือร้น งานเลี้ยงถูกจัดเรียบร้อยแล้วอยู่ในโถง ภาชนะเครื่องครัวสีทองและสีเงินวางอยู่ทุกที่ ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ


 


 


“…อาจารย์ลุง!” เยี่ยเจินจีเข้ามาหานางและนางก็ยิ้มน้อยๆ ให้เขา


 


 


นี่เป็นงานเลี้ยงส่วนตัวดังนั้นจึงไม่ได้มีคนอยู่มากมาย นอกเหนือจากเยี่ยเฉิง เยี่ยเจินจีและเยี่ยจุ่นพ่อของเขา มีอีกสี่คนอยู่ที่นี่ซึ่งล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั้งหมดแม้ระดับการฝึกตนของพวกเขาจะอยู่ในแค่ระดับหนึ่งหรือสอง สองคนเป็นชายวัยกลางคน อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่ม และอีกคนเป็นเด็กวัยรุ่น


 


 


เยี่ยเฉิงแนะนำพวกเขาให้กับนางทีละคน “ท่านผู้อาวุโส พวกนี้เป็นคนรุ่นหลังที่ไม่ได้เรื่องได้ราวของตระกูลข้า เยี่ยโหมว เยี่ยอวี่ เยี่ยปิง และเยี่ยตุน”


 


 


เยี่ยโหมวและเยี่ยอวี่คือชายวัยกลางคนสองคน จากที่นางได้ยินมา พวกเขาน่าจะอยู่ในรุ่นเดียวกับเยี่ยเฉิง เยี่ยปิงคือชายหนุ่ม จากชื่อของเขา เขาและเยี่ยจุ่นควรจะอยู่ในรุ่นเดียวกัน ส่วนเยี่ยตุน นางไม่รู้ว่าตำแหน่งของเขาในลำดับชั้นของตระกูลเยี่ยอยู่ตรงไหน แต่ถึงอย่างนั้น สืบเนื่องจากธรรมเนียมการตั้งชื่อคนของตระกูลเยี่ย ชื่อของเยี่ยเจินจีเป็นชื่อที่แปลกออกไป ทำให้โม่เทียนเกอสงสัยว่าเขาถูกตั้งชื่ออย่างนั้นเพราะทุกคนคาดหวังกับเขาไว้สูงตั้งแต่เกิดหรือเปล่า


 


 


“ข้าน้อยขอคารวะท่านผู้อาวุโส”


 


 


ผู้ฝึกตนตระกูลเยี่ยทั้งหมดแสดงความเคารพอย่างสูงสุดกับนาง


 


 


โม่เทียนเกอไม่มีความอดทนกับพิธีรีตองที่แสนสุภาพจึงพูดว่า “ทุกคนที่นี่เป็นผู้ฝึกตน ไม่จำเป็นต้องทำตามมารยาทของโลกมนุษย์เช่นนี้หรอก”


 


 


เยี่ยเฉิงสังเกตเห็นว่านางดูไม่ชอบใจ ดังนั้นเขาจึงรีบตัดจบทันที เขายิ้มและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นเราจะทำตัวตามที่ท่านผู้อาวุโสบอก พวกเจ้านั่งลงสิ”


 


 


หลังจากคนของตระกูลเยี่ยนั่งลงตามลำดับอาวุโส เยี่ยเฉิงสั่งให้เริ่มงานเลี้ยงได้ สาวใช้เข้ามาเพื่อเปิดฝาครอบชาม เผยให้เห็นอาหารสุดหรูทุกประเภทอยู่ภายใน


 


 


เยี่ยเฉิงพูดอย่างถ่อมตัว “ตาแก่เจียมตัวคนนี้รู้ว่าท่านผู้อาวุโสเลิกทานอาหารของมนุษย์แล้ว แต่เราอยู่ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถคิดหาอะไรดีๆ ได้ ถึงแม้ว่าอาหารนี้จะมาจากโลกมนุษย์แต่มันก็ยังจัดว่าอร่อยนะขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มจางๆ “ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ยไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก”


 


 


“ใช่ อากงหัวหน้าตระกูล” เยี่ยเจินจีเข้าร่วมวงและพูดว่า “อาจารย์ลุงไม่ถือโทษโกรธเคืองกับเรื่องเช่นนี้หรอก”


 


 


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเจินจีทำตัวอย่างไร เยี่ยเฉิงอดไม่ได้ที่ต้องดุเขา “เจ้าเด็กคนนี้! คนเราไม่มีทางสุภาพเกินไปหรอก!”


 


 


เยี่ยเจินจีไม่เห็นด้วย เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่โม่เทียนเกอหยุดเขาไว้ นางยิ้มและพูดว่า “สิ่งที่อากงหัวหน้าตระกูลของเจ้าพูดก็ถูกต้อง เมื่อเจ้าพูดคุยกับคนอื่น มันจะดีที่สุดที่ทำตามที่เขาบอก อย่างไรก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องสุภาพกันในวันนี้ ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ย เจินจีเติบโตภายใต้การดูแลของข้าและข้าก็ไม่ถือว่าพวกท่านคนใดเป็นคนนอก ขอให้เราละทิ้งพิธีรีตองไร้ประโยชน์พวกนี้ไปเสียเถิด”


 


 


เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น เยี่ยเจินจีรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที ด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า เขาพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่ๆ ในเมื่อท่านผู้อาวุโสพูดแล้ว เราก็จะทำตามที่ท่านผู้อาวุโสพูดแน่นอน”


 


 


ทุกคนพูดตามธรรมเนียมกันพอเป็นพิธีแล้วจึงเริ่มพูดคุยกับโม่เทียนเกอ


 


 


เป็นเวลามากกว่าหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ตระกูลเยี่ยออกจากคุนอู๋ ตอนนี้เมื่อจู่ๆ พวกเขาได้พบกับผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลัง พวกเขาจึงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการฝึกตนที่ต้องการถาม โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่ชื่อเยี่ยตุนคนนั้น อารมณ์ของเขายังคงเหมือนเด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงความระมัดระวังเหมือนอย่างพวกผู้ใหญ่ เมื่อไรก็ตามที่เขามีคำถาม เขาจะถามตรงๆ ทันที พวกผู้อาวุโสจึงต่อว่าเขา แต่เมื่อพวกเขาเห็นโม่เทียนเกอตอบคำถามอย่างใจดีคำถามแล้วคำถามเล่า พวกเขาจึงปล่อยเขาไป การมีเยี่ยตุนและเยี่ยเจินจีช่วยทำให้บรรยากาศราบรื่น พวกผู้ใหญ่ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ดังนั้นสุดท้ายพวกเขาก็ดูเหมือนเจ้าบ้านผู้มีความสุขที่กำลังสร้างความเพลิดเพลินให้กับแขก


 


 


“จริงสิ ท่านผู้อาวุโส” หลังจากพูดคุยกันเกือบจะทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการฝึกตน เยี่ยเฉิงก็พูดขึ้นมากะทันหันว่า “มีบางสิ่งที่ข้าน้อยไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นข้าน้อยขออภัยที่ต้องถามอย่างปุบปับ”


 


 


“ข้าขอถามได้ไหมว่า…”


 


 


เยี่ยเฉิงดูขัดแย้งในตัวเองแต่สุดท้ายเขาก็ยังถาม “ข้าเห็นว่าเครื่องมือวิญญาณอันนั้นที่ท่านผู้อาวุโสมอบให้เจินเอ๋อร์ดูไม่เหมือนเป็นของธรรมดา ข้าอยากทราบว่าท่านไปได้มาจากที่ไหนหรือขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอตัวแข็งทื่ออยู่ชั่ววินาที นางรู้ทันทีว่าเขาอยากจะถามอะไร เครื่องมือวิญญาณที่อยู่ในครอบครองของเยี่ยเจินจีคือกระบี่ป่าขจีไม่ใช่หรือ? กระบี่เล่มนี้มาจากตระกูลเยี่ย ดังนั้นหัวหน้าตระกูลเยี่ยจึงอาจจะเคยเห็นมันมาก่อน


 


 


นางมองเยี่ยเจินจีสั้นๆ ผู้ที่ส่ายหน้าเบาๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น จากนั้นโม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “กระบี่นี้มาจากสหายสนิทของข้า มันเป็นมรดกตกทอดจากครอบครัวของนาง”


 


 


“โอ้?” ความประหลาดใจวาบขึ้นบนสีหน้าของเยี่ยเฉิง เขาถามอย่างกระตือรือร้น “ท่านผู้อาวุโส ข้าขอถามชื่อของสหายท่านได้ไหม ตอนนี้นางอยู่ที่ไหนแล้ว”


 


 


โม่เทียนเกอดูประหลาดใจเล็กน้อย “แซ่ของนางคือเยี่ย และชื่อของนางคือเสี่ยวเทียน อะไรนะ? ท่านหัวหน้าตระกูลรู้จักนางหรือ?”


 


 


เยี่ยเฉิงหลงมึนงงอยู่ในความคิดตัวเอง แซ่เยี่ยก็ถูกต้องแล้ว แต่ทำไมถึงชื่อเสี่ยวเทียน ไม่มีใครในตระกูลมีชื่อนี้!


 


 


“ถ้าอย่างนั้นสหายของท่านคนนี้อายุเท่าไหร่รึ ระดับการฝึกตนของนางเป็นอย่างไร”


 


 


“… อายุนางน่าจะเท่ากับข้าและตอนนี้นางก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วเช่นกัน”


 


 


ยิ่งเยี่ยเฉิงถามมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น นี่… มันผิดไปหมด! ถ้าพวกเขากำลังพูดกันว่ากระบี่ป่าขจีถูกซื้อไปจากใครเขาคงไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้โม่เทียนเกอกำลังบอกว่ามันเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวเสี่ยวเทียน! ยิ่งไปกว่านั้น ที่แน่ๆ เยี่ยเสี่ยวเทียนก็เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังที่อายุยังน้อย!


 


 


จู่ๆ โม่เทียนเกอก็ดูเหมือนนางเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออกขึ้นมาทันที “โอ้! แต่เดิมสหายข้ามาจากตระกูลผู้ฝึกตน ตอนหลังตระกูลของนางตกต่ำลงและย้ายไปอยู่ที่โลกมนุษย์ เป็นไปได้ไหมว่า…”


 


 


ดวงตาของเยี่ยเฉิงเป็นประกาย “ฟังดูเหมือนตระกูลของเรา! แต่ข้าไม่คุ้นกับชื่อนี้เลย”


 


 


โม่เทียนเกอดูเหมือนนางกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก “เดิมทีนางมีท่านอาอยู่คนหนึ่ง แซ่ของเขาคือเยี่ยและชื่อของเขาคือเจียง ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ยฟังแล้วคุ้นๆ ไหม”


 


 


พอได้ยินนางเอ่ยถึงชื่อนี้ คนของตระกูลเยี่ยตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกเขามองหน้ากันและเห็นความประหลาดใจ ความตื่นเต้น และความสงสัยในสายตาของอีกฝ่าย ท้ายที่สุดเยี่ยเฉิงถามว่า “ท่านผู้อาวุโส เยี่ยเจียง ท่านแน่ใจรึว่านี่คือชื่อของเขา”


 


 


“แน่ใจสิ” ถึงแม้โม่เทียนเกอจะรู้ทุกอย่าง แต่นางก็แสดงสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง “ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งนางเคยพูดว่าตระกูลเยี่ยเดิมเคยเป็นตระกูลผู้ฝึกตนจากเขาชิงเหมิง พ่อของนางเป็นผู้ฝึกตนที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลเยี่ยและเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งคุนอู๋ตะวันตกในสมัยนั้น เขาประสบความสำเร็จในการก่อขุมพลังในช่วงอายุร้อยปี ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ย นี่ฟังดูคุ้นๆ สำหรับท่านไหม”


 


 


“ผู้ฝึกตนที่เก่งกาจที่สุดของตระกูลเยี่ยผู้ที่ก่อขุมพลังของเขาได้ในช่วงอายุร้อยปี…” เยี่ยเฉิงพึมพำ สายตาของเขาดูเลื่อมใส โดยปกติแล้วเขาจำได้ว่าเขาเกิดมาเมื่อตระกูลเยี่ยกำลังอยู่ในจุดสูงสุด ผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่นำพาตระกูลเยี่ยไปสู่ความรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่หลังจากนั้น…


 


 


เยี่ยจุ่นร่วมวงสนทนาด้วย “ชื่อของผู้ฝึกตนที่โดดเด่นที่สุดแห่งตระกูลเยี่ยมีเพียงคำเดียวคือไห่”


 


 


“ถูกต้อง” โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “งั้นก็เหมายความว่า… ตระกูลที่สหายข้าพูดถึงก็คือตระกูลเยี่ยของท่าน? นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ แต่โชคร้ายที่ข้าไม่ได้เจอสหายของข้ามาเป็นเวลานานแล้ว ข้าจึงไม่รู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหนและข้าก็บอกเรื่องนี้กับนางไม่ได้”


 


 


สุดท้ายแล้วเยี่ยเฉิงก็เป็นหัวหน้าตระกูล หลังจากความตื่นเต้นในตอนแรกของเขา ตอนนี้เขากลับเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ “แต่… พี่ชายอากงคนนั้นของเราไม่ได้ทิ้งลูกไว้เบื้องหลัง…”


 


 


“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องนี้” โม่เทียนเกอแค่บอกปัดเรื่องนั้นไป นางต้องการรับบทเป็นคนนอก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มากเกี่ยวกับเรื่องเฉพาะเจาะจง


 


 


คนของตระกูลเยี่ยค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงทีละน้อยและมองหน้ากันอีกครั้ง จริงสิ! พี่ชายอากงคนนั้นไม่มีลูก แล้วคนผู้นั้นจะเป็นผู้ฝึกตนจากตระกูลเยี่ยได้อย่างไรกัน?


 


 


ท้ายที่สุดเยี่ยเฉิงก็พูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านรู้เกี่ยวกับอาของสหายท่านคนนั้นหรือไม่ว่าเขาเป็นอย่างไรตอนนี้ ท่านติดต่อเขาได้หรือไม่”


 


 


เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ ความเศร้าโศกที่ปกปิดไว้ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง นางพูดแผ่วเบา “ท่านอาของนางเสียแล้ว”


 


 


“อะไรนะ!?” คนในตระกูลเยี่ยตกใจ


 


 


เยี่ยจุ่นร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว “เป็นไปได้อย่างไร? พี่ชายอากงคนนั้นตอนนี้ควรจะอายุแค่ประมาณสามร้อยปีไม่ใช่หรือ? ตามอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เขาควรจะยังมีชีวิตอยู่สิ”


 


 


“เจ้าพูดถูก แทนที่จะพูดว่าเขาเสียแล้ว น่าจะเหมาะกว่าที่จะพูดว่าท่านอาของนางบาดเจ็บจนตาย” สายตาของโม่เทียนเกอมองไกลออกไป สีหน้าของนางไร้ความรู้สึก “ทั้งสองคนถูกตามล่าโดยผู้ฝึกตนคนอื่น ท่านอาของนางบาดเจ็บสาหัสขณะที่ปกป้องนาง อายุขัยของเขาจึงสั้นลงและสุดท้ายเขาก็ตาย”


 


 


พอถึงเวลาที่นางพูดจบ ทั้งห้องโถงเงียบสนิท


 


 


สีหน้าของเยี่ยเฉิงเปลี่ยนไปทุกวินาที ในโลกแห่งการฝึกตน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นไปได้มากที่ผู้ฝึกตนเดี่ยวที่ไม่มีผู้อุปถัมภ์จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะงั้นนี่ก็หมายความว่า… ผู้ฝึกตนที่แท้จริงคนสุดท้ายของตระกูลเยี่ยไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้วในตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นตระกูลเยี่ยก็เป็นแค่ตระกูลในโลกมนุษย์ที่น่าเวทนางั้นรึ


 


 


แม้เมื่อพวกเขาถูกบังคับให้ย้ายออกจากเขาชิงเหมิง เยี่ยเฉิงยังไม่มีความรู้สึกสิ้นหวังเหมือนอย่างที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้ เขามักจะมองตระกูลเยี่ยว่าแตกต่างจากตระกูลผู้ฝึกตนอื่นในโลกมนุษย์เพราะพวกเขายังมีผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่มีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนนั้นตายจากไปนานแล้ว


 


 


หลังจากคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก ในที่สุดเยี่ยเฉิงก็หลับตาและถอนหายใจ เขาอายุอยู่ในช่วงวัยเจ็ดสิบปีแล้ว ถึงแม้มันจะไม่เป็นปัญหาถ้าเขาจะอยู่จนกระทั่งถึงร้อยปีในฐานะผู้ฝึกตน แต่เขาก็ยังแก่ชราอยู่ดี ตอนแรกเขาเคยคิดว่าถ้าอนาคตของเจินเอ๋อร์สดใส พวกเขาสามารถติดต่อพี่ชายอากงคนนั้นได้อีกครั้งและตระกูลเยี่ยจะยังมีโอกาสได้กลับไปที่คุนอู๋ แต่พอตัดสินจากสิ่งต่างๆ ที่เห็นตอนนี้ ต่อให้เจินเอ๋อร์สามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ แล้วตระกูลเยี่ยจะกลับไปที่คุนอู๋โดยไม่มีผู้ฝึกตนอาวุโสคอยควบคุมดูแลได้อย่างไร อีกอย่าง ไม่ว่าเจินเอ๋อร์จะสามารถสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย


 


 


ตระกูลเยี่ยจะต้องตกต่ำลงด้วยน้ำมือของข้าหรือ?


 


 


“ท่านผู้อาวุโส ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงหรือ”


 


 


“แน่นอน” โม่เทียนเกอไม่แสดงสีหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจเห็นได้ว่าแท้จริงแล้วนางรู้สึกอย่างไร เยี่ยเจินจีเป็นคนเดียวที่สังเกตเห็นความเศร้าบนใบหน้าไร้สีหน้าของนาง เขาแตะนางเบาๆ และกระซิบ “อาจารย์ลุง?”


 


 


โม่เทียนเกอหันมามองเขาและยิ้มน้อยๆ ให้ แต่รอยยิ้มนี้ดูเหมือนจะมีความหมายที่เยี่ยเจินจีไม่อาจเข้าใจได้


 


 


เยี่ยเฉิงพูดพึมพำ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ตระกูลเยี่ยของเราคงไม่สามารถกลับไปที่เขาชิงเหมิงได้แล้ว…” ทันใดนั้นเขาก็ตั้งสติอีกครั้งและพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส สหายคนนั้นของท่าน… ตอนนี้นางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจริงๆ หรือ เป็นไปได้ไหมที่ท่านจะติดต่อนาง”


 


 


“ข้าทำไม่ได้หรอก” โม่เทียนเกอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ย สหายของข้าบอกว่านางสัญญากับท่านอาไว้ว่าหลังจากนางก่อขุมพลังได้แล้ว นางจะช่วยเหลือตระกูลเยี่ยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม มันจะดีที่สุดสำหรับตระกูลเยี่ยที่จะไม่กลับไปที่คุนอู๋อีกครั้ง พึงระลึกไว้ว่าการดื่มด่ำกับความรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์ทั้งหลายในโลกมนุษย์นั้นดีกว่าต้องเป็นคนอ่อนแอและมีชีวิตอยู่อย่างไม่ปลอดภัยในคุนอู๋มากนัก” 

 

 


ตอนที่ 154-1 ออกจากตระกูลเยี่ย

 

ขณะที่ลมพัดอย่างอ่อนโยน สัตว์วิเศษตัวน้อยสีน้ำตาลรีบเข้ามาหาและงับแขนเสื้อของโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอลูบหัวมันแผ่วเบา “อย่าซนนะ อยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง”


 


 


สัตว์วิเศษไฟนรกกะพริบตาดำขลับเหมือนลูกประคำของมันแล้วจึงก้มหัวและนั่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ข้างนาง


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกเพลิดเพลินกับหน้าตาไม่พอใจของมัน นางอดไม่ได้ที่ต้องลูบมันอีกครั้ง “อะไรนะ เจ้ารู้สึกว่าเจินจีตามใจเจ้ามากกว่าหรือ”


 


 


เจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกส่งเสียง “อูอู” ไม่แน่ใจว่ามันกำลังเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนางกันแน่


 


 


โม่เทียนเกอลูบหัวมันอีกครั้งขณะที่จ้องไปที่น้ำไหลในลำธาร นางถอนหายใจและพูดว่า “ข้าไม่ใช่เจ้านายที่ดี ข้าแค่ปล่อยให้เจ้าฝึกตนด้วยตัวเองและปล่อยให้เจ้าช่วยข้าปรุงยาวิเศษแต่ข้าไม่เคยเล่นกับเจ้าเลย”


 


 


สัตว์วิเศษไฟนรกส่งเสียงแหลม งับปลายแขนเสื้อนางและส่ายไปมาเหมือนกับเด็กเอาแต่ใจ


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะและถามอย่างอบอุ่น “เสี่ยวหั่ว อยู่ที่นี่และอยู่เป็นเพื่อนเจินจี ตกลงไหม”


 


 


เมื่อนางพูดเช่นนั้น สัตว์วิเศษไฟนรกเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาทั้งสองข้างของมันจับจ้องอยู่ที่หน้านางราวกับมันไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงพูดเช่นนั้น


 


 


“ระหว่างเราไม่มีสัญญาสัตว์วิเศษต่อกัน เหตุผลที่ทำไมเจ้าถึงใกล้ชิดกับข้าก็เป็นเพราะโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเชื่อมโยงกับลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของข้า เจ้าอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเจ้าจึงตอบสนองกับข้าเป็นธรรมดา เจินจีเติบโตภายใต้การดูแลของเจ้าและตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เมื่อเจ้าไม่อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เจ้าก็มักจะอยู่ข้างกายเขาเสมอ คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา เจ้าต้องมีความรู้สึกกับเขาลึกซึ้งมากกว่ากับข้าแน่ ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่จะปล่อยเขาไว้คนเดียวในโลกมนุษย์ ดังนั้น… คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา ตกลงไหม”


 


 


ดวงตาของสัตว์วิเศษไฟนรกเบิกกว้างขึ้นในทันทีแต่มันไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าสัตว์วิเศษไฟนรกของนางกินอะไรเมื่อมันอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่มันมีจิตวิญญาณมากขึ้นและสามารถเข้าใจได้มากกว่าสัตว์วิเศษทั่วไป เพราะความฉลาดของมัน โม่เทียนเกอจึงกำลังปรึกษากับมันแทนที่จะสั่งมัน


 


 


“วางใจเถอะ ข้าปรุงยาสำหรับสัตว์วิเศษระดับสองและสามไว้มากมาย ข้าจะให้ไว้กับเจินจีทีหลัง ดังนั้นเจ้าจะไม่มีปัญหาอะไรกับการฝึกตนแน่นอน ครั้งนี้ข้าจะจากไปถึงสามปีเป็นอย่างต่ำและห้าปีเป็นอย่างมาก คาดว่าข้าจะกลับมาก่อนที่เจ้าจะข้ามผ่านดินแดนได้”


 


 


นี่เป็นสิ่งที่นางตัดสินใจหลังจากคิดมาถี่ถ้วนแล้ว การไม่มีสัตว์วิเศษไฟนรกหมายความได้อย่างเดียวว่าการปรุงยาจะไม่สะดวกสบายสำหรับนาง แต่ในเมื่อเจินจียังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของเขาและในเมื่อนางก็ยังไม่สบายใจที่จะทิ้งเขาไว้ในโลกมนุษย์เพียงลำพัง นางก็น่าจะทิ้งสัตว์วิเศษไฟนรกไว้กับเขาด้วยเสียเลย คาดว่าเมื่อมีสัตว์วิเศษระดับสองอยู่ข้างกายเขา เขาจะไม่เป็นอะไรต่อให้เขาบังเอิญเจอเข้ากับอันตรายก็ตาม


 


 


สัตว์วิเศษไฟนรกคอตกและทำเสียงแหลมดัง “อูอู” ถึงแม้ว่าอารมณ์ของมันจะไม่ดีแต่มันก็ไม่ได้คัดค้าน


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และคลำหายาวิเศษหลายเม็ด หลังจากนางให้ยาวิเศษกับมัน นางก็ถอนหายใจ “ข้าควรจะไปก่อน ตระกูลเยี่ย… ทั้งหมดที่ข้าช่วยพวกเขาได้ก็จำกัดอยู่แค่นี้ นอกเสียจากว่าวันหนึ่งพวกเขามีผู้สืบสกุลที่มีรากวิญญาณอีกหลายคนมากพอที่จะสนับสนุนตระกูล หรือข้าก่อขุมพลังของข้าและสามารถปกป้องพวกเขาได้… ข้ายังไม่มีพลังมากพอ ดังนั้นการบอกพวกเขาถึงตัวตนของข้าก็จะยิ่งเพิ่มปัญหาเข้าไปอีก ข้าหวังว่าเจินจีจะเข้าใจ”


 


 


“ท่านอา!” เสียงของเยี่ยเจินจีดังขึ้นจากด้านนอก โม่เทียนเกอโบกมือ ไข่มุกระหว่างคิ้วของนางส่องแสงสว่างวาบ วินาทีถัดมานางก็กลับเข้ามาอยู่ในโลกที่แท้จริง


 


 


เยี่ยเจินจีเข้ามาทันทีหลังจากกำแพงอาคมถูกเปิดออก เมื่อเขาเห็นนาง เขาก็หัวเราะและพูดว่า “ท่านอา ไม่ง่ายเลยนะที่เราจะออกจากภูเขาได้ แต่ท่านกำลังฝึกตนอีกแล้วเนี่ยนะ!”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “มันติดเป็นนิสัยเสียแล้ว” ต้นทุนของนางเคยย่ำแย่มากมาก่อน ดังนั้นนางสามารถทดแทนได้ด้วยการเป็นคนขยัน ถึงแม้ว่าตอนนี้ต้นทุนของนางจะดีมากแล้ว แต่นางก็ยิ่งกังวลว่าต้นทุนของนางจะเสียเปล่าหากนางขี้เกียจกับการฝึกตน


 


 


เมื่อเยี่ยเจินจีอยู่ข้างในและโม่เทียนเกอวางกำแพงอาคมกลับตามเดิม นางถามว่า “มีอะไรหรือ เจ้าไม่ไปอยู่กับครอบครัวเจ้ารึ ยากนะกว่าจะได้เจอพวกเขาอีกในอนาคต เจ้าก็รู้”


 


 


พอได้ยินคำถามนี้ เยี่ยเจินจีเดินอย่างหม่นหมองไปทางโต๊ะและนั่งลง “อย่าพูดถึงมันเลย ตอนแรกข้ากำลังคุยกับท่านพ่อและคนอื่นๆ แต่ข้าทำตัวให้ชินกับการพูดคุยกันของพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงแค่ขอตัวออกมา”


 


 


“ทำตัวให้ชินกับการพูดคุยกันของพวกเขาไม่ได้?” โม่เทียนเกอถามด้วยความสับสน จากนั้นนางเชิดคางส่งสัญญาณให้เขา “นั่งให้ดีๆ บนเก้าอี้”


 


 


“ขอรับ” เยี่ยเจินจีลงจากโต๊ะอย่างเชื่อฟังและดึงเก้าอี้มานั่งตรงข้ามนาง เขาฟังดูงุนงง “ข้าสับสนมาก ข้าจำได้ว่าตอนข้ายังเป็นเด็ก ท่านพ่อของข้าขยันมากกับการฝึกตน ทำไมตอนนี้เขาเป็นแบบนี้ไปแล้ว”


 


 


“มีอะไรหรือ”


 


 


เยี่ยเจินจีหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงค่อนข้างรำคาญ “ท่านพ่อข้าและพวกลุงๆ เอาแต่พูดเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม งานอดิเรก และการเมือง ข้าไม่อยากฟัง ข้าก็เลยบอกว่าข้าจะมาตามหาท่าน”


 


 


ดูจากสีหน้าไม่มีความสุขของเยี่ยเจินจี เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธพ่อของเขามาก ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็แค่หัวเราะหึๆ และพูดอย่างอ่อนโยน “เจินจี พ่อของเจ้าอายุเท่าไหร่แล้วตอนนี้ ระดับการฝึกตนของเขาเป็นอย่างไร?”


 


 


เยี่ยเจินจีไม่ทันได้ตั้งตัวกับคำถามนี้ “พ่อของข้า… อายุสี่สิบห้าปีแล้ว แต่ตอนนี้เขายังอยู่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ”


 


 


โม่เทียนเกอเห็นจากสีหน้าของเขาดูเหมือนจะเข้าใจ ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดว่า “ในโรงเรียนเสวียนชิง ถึงแม้ว่าต้นทุนของเจ้าจะไม่ดี แต่การฝึกตนของเจ้าก็ยังมีโอกาสพัฒนา แต่สำหรับผู้ฝึกตนเดี่ยวในโลกมนุษย์ที่ไม่มีทั้งรากวิณณาณที่ดีหรือยาวิเศษที่ดี แม้แต่หลังจากพวกเขาฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายสิบปี มันก็ยังยากมากสำหรับพวกเขาที่จะพัฒนาในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงสร้างฐานแห่งพลังเลย ไม่ใช่ว่าพ่อของเจ้าและคนอื่นๆ ไม่อยากจะก้าวหน้าหรอก แต่พวกเขาไม่มีความหวังมากกว่า”


 


 


“แต่…” เยี่ยเจินจีอยากจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายเขาก็รู้ว่ามันยากที่จะค้านนาง


 


 


โม่เทียนเกอกล่าว “เจินจี เจ้ายังมียาวิเศษสำหรับผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณอยู่กับตัวอีกเยอะไหม”


 


 


เยี่ยเจินจีพยักหน้า “ตอนแรกข้าอยากจะให้ยาวิเศษกับพวกเขา แต่หลังจากเห็นพวกเขาทำตัวเช่นนั้น ข้าก็ไม่อยากจะให้พวกเขาอีกแล้ว”


 


 


“เป็นเพราะพวกเขาทำตัวเช่นนั้นล่ะเจ้าถึงควรจะให้ยากับพวกเขา”


 


 


“ทำไม” เยี่ยเจินจีถามด้วยความสับสน


 


 


โม่เทียนเกอพูด “พ่อของเจ้ายังไม่ได้ก้าวหน้าในการฝึกตนของเขามาหลายสิบปี ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะเลิกสนใจในการฝึกตน ถ้าเจ้าให้ยาวิเศษกับพวกเขาและให้ความหวังว่าเขาจะก้าวหน้าในระดับการฝึกตนได้ จิตใจของเขาก็จะกลับมาสนใจการฝึกตนเอง พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา นอกเหนือจากการบรรลุผ่านดินแดน มีอะไรในโลกอีกหรือที่น่าดึงดูดมากกว่านี้สำหรับพวกเขา”


 


 


เยี่ยเจินจีเข้าใจแจ่มแจ้งทันที “จริงด้วย! ทำไมข้าไม่คิดแบบนั้นกันนะ!”


 


 


โม่เทียนเกอครุ่นคิดจากนั้นจึงพูดว่า “แต่เจ้าก็ไม่ควรให้พวกเขามากเกินไป มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าบอกพวกเขาว่าเมื่อพวกเขาส่งคนไปยังเขาไท่คังในอนาคต เจ้าจะส่งยาวิเศษและของอื่นๆ มาให้พวกเขา ด้วยวิธีนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในโลกมนุษย์ แต่พวกเขาก็จะรู้สึกเหมือนกับว่ายังมีหวังอยู่บ้างในการฝึกตน ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะมุ่งความสนใจไปกับการฝึกตนอีกครั้ง”


 


 


“ท่านอา ท่านเป็นคนช่างคิดเสมอเลย!” เยี่ยเจินจีลุกออกจากที่นั่ง “ข้าไปล่ะ…”


 


 


“เดี๋ยวก่อน”


 


 


เยี่ยเจินจีหยุดกลางคัน “มีอะไรหรือท่านอา”


 


 


“เจ้าพูดเรื่องนี้กับพวกเขาทีหลังได้ แต่ตอนนี้ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกเจ้า”


 


 


“หา?”


 


 


โม่เทียนเกอพูดต่ออย่างใจเย็น “ข้ามาที่ตระกูลเยี่ยครั้งนี้เพื่อส่งเจ้าเป็นทางผ่าน ตอนนี้เจ้าก็มาถึงที่นี่โดยสวัสดิภาพแล้ว ข้าอยากจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้”


 


 


“หา!?” เยี่ยเจินจีรู้สึกสับสน “ท่านอา ท่านจะให้ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ทำไม เจ้ากลัวรึ”


 


 


เยี่ยเจินจีพูดไม่ออกและรู้สึกอับอายเล็กน้อย ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยออกห่างจากข้างกายอาของเขาเลย ดังนั้นเขาจึงตื่นตกใจทันที


 


 


เมื่อเขาดึงสติกลับมาได้ เขาพูด “ท่านอา ขะ…ข้ายังไม่ชินกับการอยู่คนเดียว ท่านอยู่นานต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ”


 


 


“ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องไปอยู่ดี” โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปเพื่อลูบผมเขาเหมือนอย่างที่นางเคยทำเมื่อเขายังเด็ก อย่างไรก็ตาม เมื่อนางสังเกตว่าเขาสูงมากแค่ไหน นางก็ดึงมือกลับ “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก ข้าจะทิ้งเสี่ยวหั่วไว้กับเจ้า จะไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”


 


 


“ข้าไม่ได้กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น” เยี่ยเจินจีจ้องนางด้วยสายตาน่าสงสาร “ท่านอา ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านไป”


 


 


โม่เทียนเกออดหัวเราะไม่ได้ เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่เขายังดูน่าสงสารขนาดนี้ “เจ้าโตจนตัวใหญ่แต่เจ้ายังเหมือนเด็กไม่มีผิด!”


 


 


เยี่ยเจินจีลูบจมูกเขาและหัวเราะไปด้วย เขารู้ว่าโม่เทียนเกอตัดสินใจแน่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงลองทางเลือกที่สอง “ท่านอา งั้นข้าไปกับท่านดีไหม”


 


 


“ข้าจะออกเดินทางไปทั่ว ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น” โม่เทียนเกออธิบายด้วยความอดทน “ข้าพาเจ้าไปด้วยไม่ได้หรอก อย่างแรก ข้าไม่รู้ว่าข้าจะกลับมาเมื่อไหร่ มันคงไม่ดีหากกระบวนการสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าต้องชักช้าเพราะอยู่กับข้า อย่างที่สอง ข้าอาจจะไปที่ที่ค่อนข้างอันตรายและข้าก็ยังไม่แกร่งพอจะยืนยันความปลอดภัยของเจ้าได้”


 


 


เยี่ยเจินจีตกอยู่ในความเงียบ เขาไม่ใช่เด็กไร้เหตุผล เขารู้ว่าสิ่งที่โม่เทียนเกอพูดเป็นความจริง เขาแค่ไม่อยากแยกจากกับนาง


 


 


“เท่านี้ล่ะ อารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กรู้จักคิด อย่างไรเสีย มันก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่กลับมาอีก เราผู้ฝึกตนมักจะแยกจากกันไปเป็นปีๆ บางครั้งมากกว่าร้อยปีด้วยซ้ำ ขณะที่ระดับการฝึกตนของเราสูงขึ้น เราก็จะแยกจากกันบ่อยขึ้นและเป็นเวลานานขึ้น เจ้าควรจะทำตัวให้ชินกับสิ่งนี้เข้าไว้”


 


 


“… ข้าเข้าใจ” เยี่ยเจินจีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาจะไม่เข้าใจเหตุผลของนางได้อย่างไร การฝึกตนมีไว้เพื่อบรรลุการมีชีวิตยืนยาว และเมื่อคนคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาว พวกเขาก็จะต้องชินกับการแยกจากกันและการอยู่ตัวคนเดียว มันไม่ได้เลวร้ายนักสำหรับผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขา พวกเขาก็แค่อยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิประมาณหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนเหนือกว่าจะต้องปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเป็นเวลาหลายสิบปีอยู่บ่อยครั้ง และการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเป็นร้อยปีก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน


 


 


ตลอดกระบวนการฝึกตนเพื่อกลายเป็นเซียน ความสามารถในการอยู่ลำพังของคนก็ได้รับการฝึกตนเช่นกัน คนที่ไม่สามารถทนอยู่โดดเดี่ยวจะไม่สามารถฝึกตนเพื่อเข้าถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ 

 

 


ตอนที่ 154-2 ออกจากตระกูลเยี่ย

 

“ท่านอา ท่านต้องเดินทางระวังด้วยนะ ส่งข่าวกลับมาบ่อยๆ มิเช่นนั้นข้าจะเป็นห่วงมาก”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม ถึงแม้การอยู่โดดเดี่ยวจะดีกว่า แต่การมีใครสักคนคอยเป็นห่วงนางก็ยังทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจอยู่ข้างใน


 


 


“อืม เจ้าต้องฝึกตนให้ดีนะ เจ้าห้ามขี้เกียจแต่ก็ต้องไม่ใจร้อนเกินไปเหมือนกัน ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรให้ไปถามท่านปรมาจารย์ของเจ้า นิสัยของท่านปรมาจารย์อาจจะแปลกพิกล แต่เขาจะแนะนำศิษย์ผู้น้อยของเขาอย่างจริงใจ เจ้าต้องฟังไม่ว่าเขาจะพูดอะไร”


 


 


“เข้าใจขอรับ” เยี่ยเจินจีตอบ จากนั้นเขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงถามว่า “อ้อ ท่านอา ข้าควรทำอย่างไรถ้าท่านอาจารย์คนนั้นของข้าออกมาจากการปิดประตูแห่งจิต”


 


 


โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว “อาจารย์ของเจ้าก็คืออาจารย์ของเจ้า เจ้ายังต้องใช้คำว่า ‘คนนี้’ ‘คนนั้น’ อีกหรือ”


 


 


เยี่ยเจินจีเกาหัวและพูดอย่างไร้เดียงสา “เขาเป็นอาจารย์ของข้าในนาม แต่จนถึงบัดนี้ข้ายังไม่เคยเห็นเขาเลยด้วยซ้ำ! ท่านอา ท่านคืออาจารย์ที่แท้จริงของข้า คนนั้นก็แค่อาจารย์ขี้งกที่ถูกยัดเยียดมาให้ข้าเท่านั้นล่ะ!”


 


 


พอได้ยินเช่นนี้ โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา อาจารย์ขี้งก… คนทั้งคู่ อาและหลานเห็นพ้องต้องกันในประเด็นนี้จริงๆ แม้แต่อาจารย์ของพวกเขาก็ถูกเลือกและตัดสินใจโดยคนอื่น


 


 


“อีกอย่างหนึ่ง ท่านอา แล้วอาจารย์คนนั้นของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร หวาหลิงบอกว่าเขาเคยเจอเขาเมื่อตอนเด็กๆ แต่เขาก็จำไม่ค่อยได้ ศิษย์พี่ผู้ชายและผู้หญิงคนอื่นๆ บอกว่าข้าโชคดีเพราะอาจารย์ของข้าเก่งที่สุดในหมู่ผู้ฝึกตนคนรุ่นใหม่แห่งโรงเรียนเสวียนชิง เขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้วตอนนี้ ถ้าเขาสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาสำเร็จในร้อยปี ข้าก็จะกลายเป็นผู้โชคดี อา… อย่างไรก็ตาม พวกเขาบอกว่าข้าโชคดีเกิน…” พอสัมผัสได้ว่าเขาพูดจาสามหาวเกินไป เยี่ยเจินจีจึงหยุดพูดทันที


 


 


โม่เทียนเกออดที่จะยิ้มไม่ได้ นั่นก็เป็นเรื่องจริง การเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่นั้นยังห่างไกลกันหลายโยชน์ ถ้าฉินโส่วจิ้งสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาสำเร็จจริงๆ สถานะของเจินจีก็จะสูงขึ้นไปด้วย ถึงแม้จะเป็นศิษย์ของเขาแค่ในนามก็ตาม เมื่อถึงจุดนั้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนแบ่งของศิษย์ ถ้ำเซียน หรือทรัพยากรต่างๆ ทุกอย่างจะแตกต่างอย่างมากกับที่เขามีอยู่ตอนนี้ ย้อนไปสมัยที่นางได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ลุงเสวียนอิน ผลประโยชน์ที่โม่เทียนเกอได้รับก็แค่มากมายขึ้นนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม หลังจากนางกลายเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหออย่างเป็นทางการ ความมั่งคั่งของนางก็เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากกลุ่มการฝึกตนทั่วไปเลยทีเดียว


 


 


“อืม… ย้อนไปเมื่อตอนที่ท่านปรมาจารย์ให้เจ้าเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านอาจารย์เจ้า เขาก็มีความคิดเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ของเจ้าตอนนี้อยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอย่างเคร่งครัดและเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะออกมาเมื่อใด แต่ต่อให้เขาใช้เวลาหลายร้อยปีเพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขา เจ้าก็ไม่ได้เสียหายอะไร”


 


 


“จริงด้วย…” เยี่ยเจินจีพูดขณะที่เกาหัว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยตั้งความหวังไว้กับอาจารย์คนนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกผิดหวัง คนที่สอนเขาอย่างแท้จริงเกี่ยวกับการฝึกตนก็คืออาของเขา สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าอาจารย์ขี้งกคนนั้นจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย


 


 


“ท่านอา ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าท่านอาจารย์ของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร!”


 


 


รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกออีกครั้ง “ถ้าข้าบอกเจ้าว่าข้าเองก็ไม่เคยเห็นเขาเหมือนกันล่ะ”


 


 


เยี่ยเจินจีเบิกตากว้าง “เป็นไปได้อย่างไร ทุกคนบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับอาจารย์ไม่ธรรมดา…”


 


 


“งั้นรึ” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “มันจะไม่ธรรมดาได้อย่างไร พวกเขาพูดกันว่าอย่างไร”


 


 


“พวกเขาบอกว่า… ตอนแรกท่านถูกรับเข้ามาในโรงเรียนภายใต้การแนะนำของท่านอาจารย์ ท่านปรมาจารย์เพียงแค่รับท่านเป็นศิษย์ของเขาเพราะเขาคำนึงถึงความประสงค์ของท่านอาจารย์ ทั้งหมดก็น่าจะมีเท่านี้…”


 


 


สีหน้าของโม่เทียนเกออ่อนลง “ตอนที่ข้าเข้าโรงเรียนมา ท่านอาจารย์ของเจ้าก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว เขาจะโผล่มาด้วยตัวเองงั้นหรือ”


 


 


หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เยี่ยเจินจีพยักหน้า “นั่นก็จริง”


 


 


“สิ่งที่พวกเขาพูดก็ถูก ในหมู่คนรุ่นใหม่ของผู้ฝึกตนโรงเรียนเสวียนชิง ท่านอาจารย์ของเจ้าคือคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่สูงที่สุด ด้วยความเร็วในการฝึกตนของท่านอาจารย์เจ้า เป็นไปได้ที่เขาจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ภายในเวลาราวๆ ร้อยปี มันไม่สำคัญว่าเขาจะไม่ออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตในช่วงเวลานี้ แต่ถ้าเขาออกมา เจ้าก็ยังต้องเคารพเขา นี่คือสิ่งที่ท่านปรมาจารย์ของเจ้าต้องการ”


 


 


“อืม…” เยี่ยเจินจีหยุดเพียงสั้นๆ แล้วจึงพูดว่า “แต่ข้ามีท่านอยู่แล้ว อาจารย์ก็เป็นแค่อาจารย์ในนามของข้า…”


 


 


พอได้ยินคำพูดของเด็กคนนี้ โม่เทียนเกอยิ้มเยาะตัวเอง “ดูอายุและระดับการฝึกตนของข้าสิ เจ้าน่าจะสร้างฐานแห่งพลังได้ภายในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า และข้าก็คงยังไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในช่วงเวลานั้นได้แน่ ข้าให้ความช่วยเหลือเจ้าได้แบบมีขีดจำกัด…”


 


 


“ข้าไม่ใช่คนโลภ!” เยี่ยเจินจีประกาศ “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอา ข้าคงไม่ได้เป็นคนอย่างที่ข้าเป็นทุกวันนี้ ไม่ว่าอาจารย์ขี้งกคนนั้นจะดีแค่ไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”


 


 


เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น โม่เทียนเกอทั้งมีความสุขและเป็นห่วง นางมีความสุขกับความจริงที่ว่าหลังจากสิบปีของการสั่งสอนเขา นางไม่ได้ปล่อยให้เขาโตมาเป็นคนที่มีนิสัยเห็นแก่ได้ อย่างไรก็ตาม นางเป็นห่วงเพราะความจริงที่ว่าเขาไม่มีประสบการณ์มากพอและไม่รู้จักโต


 


 


ท้ายที่สุดนางก็เตือนเขา “มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตหากเจ้าพูดเช่นนี้แบบส่วนตัว แต่เจ้าต้องห้ามพูดคำพูดคำจาเช่นนั้นกับคนอื่นในอนาคต”


 


 


“ข้ารู้ วางใจเถอะท่านอา”


 


 


“อืม มีอะไรอีกไหมที่เจ้ายังไม่มั่นใจ”


 


 


เมื่อได้ยินคำถามของโม่เทียนเกอ เยี่ยเจินจีเดินเข้ามาหานางอีกครั้ง “ท่านอา ท่านต้องกลับมาเร็วๆ นะ ข้าจะพยายามอย่างหนักเพื่อที่ข้าจะได้สร้างฐานแห่งพลังให้ได้ตอนที่ท่านไม่อยู่”


 


 


สิ่งที่เขาพูดทำให้โม่เทียนเกอหัวเราะ สุดท้ายแล้วนางก็ยังเอื้อมมือไปเพื่อลูบหัวเขาอยู่ดี “ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เจ้าเถอะ เจ้าทั้งสองไม่ได้เจอกันมาหลายปี นางคงคิดถึงเจ้ามากจนนางพูดถึงเจ้าไม่หยุด เล่าให้นางฟังทุกอย่างที่สามารถบอกได้ อย่าทำให้นางต้องเป็นกังวล”


 


 


“ข้ารู้”


 


 


โม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคม จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิและหลับตา


 


 


เยี่ยเจินจีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเขาจะออกไปในที่สุด


 


 


หลังจากที่นางได้ยินเสียงประตูปิดแล้วเท่านั้นโม่เทียนเกอถึงลืมตาอีกครั้ง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล


 


 


เด็กคนนี้… เหมือนกับที่นางเป็นเมื่อหลายปีก่อน บางทีนางอาจจะไม่ได้ระวังมากพอในการเลี้ยงดูเขา นางอาจจะให้ความใส่ใจเขามาก แต่ความใส่ใจของนางก็ทำให้เขามีนิสัยชอบพึ่งพา หลายปีก่อนนางก็ต้องพึ่งท่านอาของนางเช่นกันและเป็นเหตุให้นางโศกเศร้าอย่างมากเมื่อเขาตายจากไป มากจนนางหวังว่านางอยากจะตายไปกับเขาด้วย


 


 


นางไม่ได้คิดว่าความรู้สึกลึกซึ้งพวกนี้เป็นสิ่งไม่ดี แต่เพราะความรู้สึกลึกซึ้งจำเป็นต้องมีหัวใจที่เปิดกว้างเพื่อรองรับความรู้สึกเหล่านั้น เหมือนกับที่คัมภีร์แห่งเต๋ากล่าวไว้ว่า “ชาวลัทธิเต๋าลืมอารมณ์ความรู้สึก การลืมอารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่ไม่รู้สึก การลืมอารมณ์ความรู้สึกคือการแยกตัวออกมาและไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์ราวกับว่าอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นถูกลืม” ผู้ฝึกตนไม่จำเป็นต้องไร้กังวล ผู้ฝึกตนบางคนก็เป็นคนใจกว้าง บางคนมีความรักต่อคู่แต่งงานเช่นเดียวกับความรักใคร่ต่อผู้สืบสกุล แต่นั่นก็ไม่ได้กระทบกับการฝึกตนของพวกเขา ในทางกลับกัน ศิษย์ธรรมดายังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเหตุนั้น กลุ่มการฝึกตนจึงไม่เห็นด้วยกับการที่ศิษย์จะติดต่อกับครอบครัวหรือตระกูลมากเกินไป


 


 


นั่นคือปัญหาที่เยี่ยเจินจีกำลังเผชิญอยู่ พวกเขารู้จักกันมาสิบปีซึ่งระหว่างช่วงเวลานั้นนางรับบทเป็นอาจารย์ พ่อ แม่ และพี่สาวของเขา ความรู้สึกที่เขามีต่อนางก็เหมือนกับความรู้สึกที่นางมีต่อท่านอาที่สองในตอนนั้น


 


 


แต่ตอนนี้เขายังเด็กเกินไป โม่เทียนเกอจำได้ว่าเมื่อก่อนนางเป็นอย่างไร ตอนนางอายุเท่าๆ เขาก็พอดีกับที่นางต้องเสียท่านอาไป ในตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีฉินซีคอยสนับสนุนนาง นางอาจจะไม่ได้กลับมาเป็นปกติได้เร็วนัก…


 


 


ขณะที่นางคิดถึงชื่อนี้ นางก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งราวกับมันถูกเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทง แต่ไม่นานนางก็กลับมาสงบนิ่งได้อีกครั้ง


 


 


นี่คือโชคชะตาของนางเช่นเดียวกับเคราะห์กรรมของนาง ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นเช่นนี้ บางทีนางอาจจะต้องใช้เวลานานมากเพื่อฟื้นฟูสภาวะจิตใจ ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นเช่นนี้… นางก็คงไม่ได้ตกหลุมรักเขาอย่างง่ายดายนัก


 


 


โชคดีที่นางตัดความรู้สึกเหล่านั้นออกได้อย่างมีเหตุผล เมื่อนางรู้บางสิ่งในตอนหลังได้คร่าวๆ นางก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากขึ้นที่นางตัดสินใจเด็ดขาดในตอนนั้น


 


 


เมื่อนางคิดมาถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอนวดหว่างคิ้วและส่ายหัว


 


 


ลืมมันซะ ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากเกินไป ข้าคือตัวข้าและเจินจีคือเจินจี ความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิงก็สะท้อนถึงธรรมชาติของพวกเขาเช่นกัน บางทีในระหว่างที่นางไม่อยู่ เจินจีอาจจะได้คบค้าสมาคมกับคนประเภทอื่นๆ อีกมากมายและการที่เขาต้องพึ่งพานางก็อาจจะลดลงด้วย แต่สำหรับว่าเขาจะเข้าใจเรื่องนี้ได้เต็มที่หรือไม่… นั่นคงจะต้องมีชะตาลิขิต


 


 


ในตอนรุ่งเช้าของวันที่สอง โม่เทียนเกอเก็บข้าวของและออกจากบ้านพักของตระกูลเยี่ย


 


 


สมาชิกทั้งหมดของตระกูลเยี่ยออกมาเพื่อส่งนาง


 


 


เมื่อคืนนางปล่อยให้เยี่ยเจินจีเก็บเอายาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณ และของอื่นๆ ซึ่งไม่มีประโยชน์กับนางแล้วเพื่อเอาไปให้กับหัวหน้าตระกูลเยี่ย สำหรับเรื่องนี้ หัวหน้าตระกูลเยี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก


 


 


ตระกูลเยี่ยอยู่ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ของที่เก็บออมไว้ไปจนหมดตั้งนานแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อพวกเขาส่งเยี่ยเจินจีไปที่โรงเรียน พวกเขาสามารถหามาได้แค่ศิลาวิญญาณสองถึงสามอันและยาวิเศษอีกเล็กน้อย ความแร้นแค้นของพวกเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


การใช้ตัวตนของนางในฐานะอาจารย์ลุงของเยี่ยเจินจีเป็นข้ออ้าง โม่เทียนเกอให้ยาวิเศษพวกเขามากกว่าสิบสองขวดและเครื่องมือวิญญาณประมาณสิบอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของตระกูลเยี่ย


 


 


ที่จริงยาวิเศษเหล่านั้นคือของเหลือจากเมื่อตอนโม่เทียนเกอฝึกปรุงยา เครื่องมือวิญญาณก็เสียหายจากการฆ่าผู้ฝึกตนอื่นๆ เมื่อหลายปีก่อน ไม่มีของชิ้นไหนที่มีประโยชน์เป็นพิเศษ ดังนั้นนางจึงไม่เคยมอบให้เยี่ยเจินจีและแค่โยนมันทิ้งไว้อยู่ในซอกหลืบกระเป๋าเอกภพของนาง บัดนี้เป็นเวลาอันควรที่จะนำมันออกมาใช้ได้แล้ว


 


 


“เจินจี ข้าจะทิ้งเสี่ยวหั่วไว้กับเจ้า ดูแลมันให้ดีล่ะ เมื่อเจ้ากลับไป พามันกลับไปที่โรงเรียนกับเจ้าด้วยนะ เข้าใจไหม”


 


 


“อืม” เยี่ยเจินจีพยักหน้าและรับสัตว์วิเศษไฟนรกไปจากนาง ตลอดสิบปีที่ผ่านมา สามารถกล่าวได้ว่าเขาโตมาด้วยกันกับเสี่ยวหั่ว ความรู้สึกระหว่างเขาและสัตว์ตัวนี้สนิทชิดเชื้อกันมาก เขาจึงอุ้มเสี่ยวหั่วไว้ในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย


 


 


พอเห็นสัตว์วิเศษไฟนรก สมาชิกทุกคนของตระกูลเยี่ยล้วนเบิกตากว้าง


 


 


ผู้ฝึกตนตระกูลเยี่ยสามารถเห็นได้ว่าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวนี้เป็นสัตว์ระดับสอง สัตว์ระดับสองนั้นเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลาง แต่โม่เทียนเกอกลับมอบมันให้เยี่ยเจินจีด้วยความเต็มใจ!


 


 


“ท่านผู้อาวุโส!” เยี่ยเฉิงเข้ามาหาและชี้ไปที่สัตว์วิเศษไฟนรกในอ้อมกอดของเยี่ยเจินจีพร้อมพูดด้วยความกลัว “ให้สัตว์วิเศษตัวนี้ไว้กับเจินเอ๋อร์มันจะไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่าขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอหันไปมองเขา “ท่านหัวหน้าตระกูลเห็นว่ามีปัญหาอะไรรึ”


 


 


เยี่ยเฉิงกล่าว “นี่คือสัตว์วิเศษระดับสอง คาดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับท่าน หากท่านให้มันกับเจินเอ๋อร์ แล้วตัวท่านล่ะขอรับ”


 


 


“ต่อให้สัตว์วิเศษตัวนี้อยู่กับข้า มันก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก ดังนั้นข้าน่าจะทิ้งมันไว้ให้อยู่ในความดูแลของเจินจีดีกว่า วางใจเถิดท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ย เจินจีโตมากับเสี่ยวหั่ว ดังนั้นระหว่างพวกเขาจึงมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน มันจะไม่มีทางทำร้ายเจินจี”


 


 


“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาแค่กังวล ดังนั้นนางจึงโบกมือและตัดบทเขา “ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ยสามารถวางใจได้ เอาล่ะ เจินจี อาจารย์ลุงจะไปแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลาหลายเดือนแต่จำไว้ว่าต้องกลับไปที่โรงเรียนให้ตรงเวลา ถ้าเจ้าพลาดการทดสอบ เจ้าจะต้องรอไปอีกสามปีเพื่อการทดสอบครั้งต่อไป”


 


 


“ข้ารู้ อาจารย์ลุงโปรดจงมั่นใจ ข้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้”


 


 


“อืม ถ้าเช่นนั้นข้าไปล่ะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปส่งข้าหรอก” หลังจากนางพูดเช่นนั้นจบ โม่เทียนเกอไม่พูดเยิ่นเย้ออีกต่อไปและแค่โบกมือเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ขณะที่นางขึ้นเหาะบนนั้น นางเปลี่ยนเป็นแสงเหิน [1] ซึ่งหายไปสู่ขอบฟ้า


 


 


 


 


——


 


 


[1] แสงเหิน (遁光) คือวิธีการบินอย่างหนึ่ง พลังวิญญาณจะถูกรวบรวมเข้าด้วยกันในตอนแรกและจากนั้นจึงปล่อยออกมาเป็นพลังของมัน ทำให้ผู้ใช้เคลื่อนที่ครอบคลุมได้ถึง 500 กม.ต่อวัน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม