วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 15.10-16.2

ตอนที่ 15-10

 

พระราชวังซึ่งเกิดเรื่องโกลาหลขึ้นสักพักหนึ่งกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม หลังจากที่วันต่อมาพระมเหสีสามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ยาสมุนไพร ควาพยอนซึ่งเสวยคู่กัน รวมไปถึงถ้วยที่ใช้ใส่และหมอต้มยาถูกนำไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่ค้นพบร่องรอยของยาพิษใดๆ แม้กระทั่งยาสมุนไพรนั้นก็เป็นยาที่หมอหลวงต้มด้วยตนเองจึงแทบไม่มีโอกาสเลยที่จะใส่สมุนไพรผิด จากนั้นเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปโดยทิ้งไว้เพียงความค้างคาใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ในระหว่างนั้นฮอนได้ส่งกลุ่มการค้าไปเอาชาที่รยูฮาชอบมาอีกครั้ง 


 


 


“โชคดีนะเพคะที่อากาศไม่ได้หนาวมาก” 


 


 


รยูฮาพึมพำในขณะที่เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส แม้ว่าฤดูหนาวจะใกล้เข้ามาแล้ว แต่อากาศก็ยังคงอบอุ่นอยู่อย่างประหลาด แต่เมื่อเห็นไอที่ออกมาจากปากเลือนรางอยู่ตรงหน้า บางทีที่รู้สึกอบอุ่นอาจจะเป็นเพราะสองมือที่จับกันแน่นก็ได้ หลังจากประกาศว่าวันนี้จะไม่มีการออกว่าราชการทั้งช่วงเช้าและเย็น ฮอนจึงสามารถเดินเล่นในพระราชวังกับรยูฮาได้อย่างผ่อนคลาย 


 


 


“ถ้าเป็นแบบวันนี้ทุกวันก็คงจะดี” 


 


 


“อยากเที่ยวเล่นอย่างวันนี้หรือเพคะ” 


 


 


“แค่พวกเราสองคน” 


 


 


ใบหน้าที่อมยิ้มเลื่อนลงมาหยุดอยู่ตรงหน้ารยูฮาอย่างพอดิบพอดี หางตายาววาดเส้นโค้งอันน่าหลงใหลพลางจับจ้องไปที่รยูฮา รยูฮาหลับตาลงสักพักและถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นหันหน้าขวับอย่างเย็นชาแล้วก้าวเดินต่อ เพราะกลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรีหากถูกจับได้ว่าหัวใจเต้นแรงขัดกับความตั้งใจของตนเอง 


 


 


“เมื่อกี้นี้เหมือนเจ้าจะยิ้มด้วยนี่” 


 


 


ฮอนที่ยังคงอมยิ้มกรุ้มกริ่มเดินมาตรงหน้านางและเริ่มพูดหยอกล้อ 


 


 


“ใครยิ้มกันเพคะ” 


 


 


“เจ้าคิดว่าหลอกข้าได้รึ” 


 


 


“อ้า จริงๆ เลย” 


 


 


ปึก หน้าผากของรยูฮาที่เดินไปก้มหน้าไปชนเข้ากับหน้าอกของฮอนซึ่งจู่ๆ ก็หยุดเดินเสียอย่างนั้น น่าจะจงใจหยุดยืนอย่างแน่นอน จากนั้นแขนเสื้อกว้างก็โอบกอดรยูฮาพร้อมกันนั้นนางได้กลิ่นอายของแดดอันอบอุ่นราวกับว่าสิ่งนั้นรอคอยนางอยู่แล้ว 


 


 


“สวรรค์คงอยากให้ข้าทำหน้าที่กษัตริย์ให้มากกว่านี้และคงจะส่งลูกมาให้ช้าหน่อยสินะ เพราะถ้ามีองค์รัชทายาท ข้าจะส่งมอบตราพระมหากษัตริย์ให้เขาทันทีและย้ายไปอยู่ในตำแหน่งอดีตพระราชาเพื่อที่จะได้มองแต่หน้าเจ้าอย่างเดียว” 


 


 


ฮอนไม่เคยพูดเลยว่าเสียใจที่มีลูกไม่ได้หรือไม่มีรัชทายาท รยูฮาจึงรู้สึกขอบคุณเขา ถึงแม้จะปวดใจก็ตาม แม้ว่าฮอนจะเป็นพระราชาที่ยอดเยี่ยมและประชาชนทุกคนต่างก็สรรเสริญเขา แต่ราชบัลลังก์ที่ไร้ซึ่งรัชทายาทก็ไม่ต่างอะไรกับปราสาทที่สร้างขึ้นบนทราย ด้วยเหตุนั้นพระราชาแห่งฮเยกุกจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการตามหาโฮจินและแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาท รยูฮายกมือขึ้นกอดเอวฮอนเบาๆ และซบหน้าลงในอกกว้าง 


 


 


“ฝ่าบาท พระชายาแห่งมูยองวังเสด็จเข้าพระราชวังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


น้ำเสียงเล็กๆ ราวกับผู้หญิงของขันทีดังแทรกขึ้นมาขณะที่ทั้งคู่อิงแอบแนบชิดกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรเพราะความคาดหวังที่ทะลักเข้ามาในตอนนี้มีมากเสียยิ่งกว่า 


 


 


ฝีเท้าที่เร็วขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มุ่งตรงไปยังวังจางชุนโดยไม่รีรอ ซึ่งที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวต่างจากเวลาปกติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะของพระพันปีซึ่งไม่เคยเล็ดลอดผ่านประตูวังออกมา หรือไม่ว่าจะเป็นเสียงของเหล่าซังกุงที่เอ่ยปากอย่างตื่นเต้น 


 


 


“ตายจริง องค์ชายของพวกเราช่างอ่อนโยนเสียจริง องค์ชาย มองย่าหน่อยสิ” 


 


 


“ทรงมีพระพักตร์ที่งามมากจริงๆ เพคะ เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้เห็นทารกแรกเกิดซึ่งมีคิ้วที่เข้มและชัดเช่นนี้เพคะ พระพันปี” 


 


 


หญิงชราอุ้มเหลนซึ่งหน้าตาคล้ายคลึงกับหลานที่จากไปยังที่แสนไกลไม่ปล่อยพร้อมกับร้องไห้แล้วก็หัวเราะขึ้นมาอีก พอฮอนกับรยูฮาเข้ามาด้านในและโค้งคำนับ นางก็พูดเพียงแค่ อืม เข้ามาสิ คำพูดของรยูฮาซึ่งเอ่ยขึ้นราวกับเย้าแหย่จึงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงไปนัก 


 


 


“ดูเหมือนว่าเสด็จย่าจะไม่มองว่าหลานสะใภ้น่ารักแล้วสินะเพคะ” 


 


 


“คงไม่อย่างนั้นหรอก แค่องค์ชายของพวกเราน่ารักกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง” 


 


 


สีหน้าสดใสที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกหลังจากการจากไปของชาน เมื่อพระพันปีหยุดชะงักและจ้องมองคังอยู่อย่างนั้นสักพัก จากนั้นไม่นานมินอา รวมถึงฮอนกับรยูฮาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา กลิ่นหอมรัญจวนแผ่กระจายไปทั่วห้องภายในพริบตา หลังจากอึออกมาอย่างน่าอาย คังก็ยิ้มแย้มด้วยความสงสัยว่าตลกอะไรกันแทนที่จะร้องไห้ ก่อนที่แม่นมจะอุ้มออกไปข้างนอก 


 


 


“พอรู้ว่าคลอดก่อนกำหนด ย่าคนนี้ก็กังวลไม่น้อยเลยทีเดียว เหนื่อยแย่เลยนะพระชายา” 


 


 


“ขอบพระทัยเพคะเสด็จย่า องค์ชายทรงประสูติออกมาตัวเล็กนิดหน่อย แต่อย่างที่ทรงเห็น พระองค์ทรงแข็งแรงมากเพคะ” 


 


 


แม้ว่ามินอาจะเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านมหาเสนาบดีแต่นางก็เป็นชนชั้นกลางโดยกำเนิด นางจึงส่งยิ้มให้อย่างอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเป็นการขอบคุณพระพันปีที่เอ็นดูตนซึ่งเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงในฐานะพระชายาอย่างเปิดใจ ฮอนที่เห็นความพยายามนั้นก็ยิ้มออกมา ในขณะเดียวกันรยูฮาเองก็ยิ้มเช่นกัน หากชานยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจะมีความสุขมากทีเดียว พระพันปีพยายามกลืนความเศร้าที่ติดอยู่ตรงคอลงไป 


 


 


“ได้ยินมาว่าเจ้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากเพราะว่าคลอดยาก” 


 


 


“เพคะเสด็จย่า หากในตอนนี้ฝ่าบาทไม่เสด็จมาล่ะก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเพคะ” 


 


 


“ฝ่าบาทหรือ” 


 


 


พระพันปีมองฮอนด้วยความฉงนเล็กน้อยและหันไปมองรยูฮา จากนั้นจึงหันกลับไปมองมินอาอีกครั้ง ใช่วันที่นางว่ากล่าวตักเตือนทั้งสองคนที่ไม่รู้จักโตอย่างรุนแรงเพราะแอบออกไปสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านท่านมหาเสนาบดีไหมนะ 


 


 


“ทรงไม่ทราบหรือเพคะ หม่อมฉันเกือบจะหมดสติไปแล้ว แต่ฝ่าบาททรงถีบประตูเข้ามาจับมือหม่อมฉันไว้เพคะ เพราะเหตุนั้นสติของหม่อมฉันจึงกลับคืนมาเพคะ” 


 


 


“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยรึ ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสบอก ย่าจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย” 


 


 


“ถึงกระหม่อมจะทำเช่นนั้นจริง อย่างไรเสียก็ต้องฟังคำต่อว่าอยู่ข้างๆ พระมเหสีตลอดทั้งครึ่งชั่วยามอยู่ดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนั้นแล้วหากทูลบอกว่าเข้าไปในห้องคลอดก็คงจะโดนดุเพิ่มอีก” 


 


 


เพราะว่าที่เขาพูดก็ถูกต้อง พระพันปีจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่จะว่าไปมันผ่านไปตั้งร้อยวันแล้วหรือเนี่ย เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเอง 


 


 


“ไม่ว่าจะพยายามตั้งสติแค่ไหน เบื้องหน้าของหม่อมฉันก็มืดมนขึ้นทุกที แต่พอฝ่าบาททรงจับมือหม่อมฉันและตรัสว่า มินอา ลืมตาขึ้นสิ หม่อมฉันจึงลืมตาขึ้นมาได้เพคะ” 


 


 


“โอ้ ตายจริง” 


 


 


พระพันปีถอนหายใจออกมาหลังจากภาพสถานการณ์อันเร่งด่วนนั้นถูกวาดขึ้นตรงหน้า พอได้ฟังก็ได้รู้ว่าเกือบจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ รวมถึงเกือบจะไม่ได้เห็นและสูญเสียเหลนชายสุดที่รักคนนี้ไปเสียแล้ว 


 


 


“รวมถึงในตอนที่หม่อมฉันเกิดอาการเจ็บท้องคลอด ฝ่าบาทก็ทรงให้กำลังใจว่าทำได้ดีแล้วมินอา หม่อมฉันจึงสามารถมีแรงฮึดขึ้นมาเพคะ” 


 


 


“ฝ่าบาททรงทำได้ดีมากทีเดียวนะ” 


 


 


ฮอนซึ่งกำลังฟังทั้งสองคนสนทนากันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยแล้วเอียงคอด้วยความสงสัย 


 


 


“ข้าทำแบบนั้นรึ” 


 


 


“ฝ่าบาททรงจับมือและตรัสว่าทำได้ดีแล้วมินอา ทำได้ดีแล้วไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


“ที่ข้าจับมือก็ใช่แต่…หลังจากที่บอกให้ลืมตา ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยนะ เพราะข้าเองก็กังวลและหายใจลำบากเหมือนกัน” 


 


 


‘ทำได้ดีแล้ว มินอา ทำได้ดีแล้ว’ 


 


 


เสียงที่เหมือนกับชานไม่ผิดเพี้ยนให้กำลังใจอย่างสุขุม ในขณะที่นางอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดราวกับกระดูกทั้งร่างกายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่การคิดไปเองแน่นอน ที่นางมีพลังเฮือกสุดท้ายขึ้นมาได้ก็เพราะเสียงนั้นและเสียงนั้นก็ทำให้นางคลอดคังออกมาได้ราวกับถูกลากออกไปไม่ใช่หรือ ความเงียบปกคลุมภายในห้อง เมื่อมินอาปิดปากเงียบสักพักหนึ่ง 


 


 


“ดูเหมือนว่าชานของพวกเราจะมาหาสินะ เพื่อมาช่วยชีวิตลูกของตัวเอง” 


 


 


น้ำตาหยดหนึ่งคลอบนหางตาที่มีริ้วรอย ก่อนจะซึมเข้าไปในผ้าเช็ดหน้าสีขาว ฮอนควานหามือรยูฮาใต้โต๊ะและจับไว้แน่น ซังกุงพระพี่เลี้ยงซึ่งอุ้มคังเข้ามาถึงกับตกใจกับบรรยากาศที่ต่างกับตอนออกไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะวางห่อผ้าไหมลงในอ้อมอกมินอาอย่างใจเย็น 


 


 


“ทั้งสองพระองค์ทรงลองอุ้มดูสิเพคะ ตาเหมือนกับฝ่าบาทอย่างกับแกะเลยเพคะ คิ้วเข้มๆ นั่นก็ด้วย” 


 


 


มินอาเรียกเขาต่อหน้าผู้อื่นเป็นครั้งแรกหลังจากชานได้จากไป ยังอยู่ข้างๆ สินะ ทุกครั้งที่เรียกหาในตอนที่เผชิญความลำบากเพียงคนเดียว ฝ่าบาทก็ยังคงอยู่เคียงข้างเสมอสินะ แม้จะคิดถึงอย่างสุดหัวใจแต่ตอนนี้นางไม่เหงาอีกแล้ว เพราะทั้งในขณะที่ถึงจุดวิกฤตที่คังเกือบเสียชีวิตในท้อง ทั้งในตอนที่เขาลืมตาดูโลกเร็วเกินไป เขายังคอยเฝ้าดูอยู่เคียงข้างภรรยาและลูกของตัวเองเสมอ และในอนาคตก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป คังซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของรยูฮาดิ้นไปดิ้นมาและหัวเราะอย่างสดใส 


 


 


“ดูสิเพคะฝ่าบาท เขาหัวเราะเพราะเห็นหม่อมฉันเพคะ” 


 


 


“เห็นข้าก็เลยหัวเราะต่างหากเล่า” 


 


 


“เขาก็แค่หัวเราะเพคะฝ่าบาท”  

 

 


ตอนที่ 15-11

 

หลังจากหยอกล้อกับเด็กน้อยอีกทีหนึ่ง รยูฮาก็ส่งคังเข้าไปในอ้อมกอดของฮอน ตอนแรกก็โบกมือปฏิเสธว่าไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็รับความช่วยเหลือจากซังกุงพี่เลี้ยง แล้วลองอุ้มหลานชายดูจนยิ้มปากฉีกถึงหู รยูฮามองดูภาพนั้นอยู่สักพัก จากนั้นจับมือมินอาแล้วออกนอกประตูไปพร้อมกับบอกว่าขอไปเดินเล่นสักครู่เดี๋ยวกลับมา 


 


 


“ทุกคนถอยออกไปยี่สิบก้าว” 


 


 


ดูเหมือนว่านางมีอะไรบางอย่างจะพูด ดูจากการที่ไล่พวกนางในออกไปทั้งหมด มินอาหวังว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ตนเองคิด แล้วรอจนกระทั่งรยูฮาเปิดปากพูดออกมาอย่างยากลำบาก 


 


 


“มินอา ข้าไม่ได้อยากบอกเจ้าแบบนี้นะ แต่ว่า…” 


 


 


แต่พอนางเริ่มพูดขึ้นมาแบบนี้ก็แน่ใจได้เลย สายตาของมินอาที่มองไปยังด้านหน้าสั่นไหวราวกับกิ่งไม้ที่กระทบกับลมในฤดูหนาว 


 


 


“ถ้าหากว่า ข้าไม่สามารถมีทายาทได้ต่อไป…” 


 


 


“ไม่ได้เพคะ องค์ชายไม่ได้เพคะ” 


 


 


“แต่เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวนะ” 


 


 


มินอาหยุดฝีเท้าและเบือนหน้าไปช้าๆ ความขุ่นเคืองที่นางไม่เคยรู้สึกกับรยูฮาเลยแม้แต่ครั้งเดียวถาโถมเข้ามา ในขณะที่จ้องมองรยูฮา 


 


 


“ตำแหน่งนั้นคือตำแหน่งแบบไหนหรือเพคะ ตำแหน่งที่ฝ่าบาททรงนั่งแล้วลุกออกไปสินะเพคะ โปรดให้คังได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขด้วยเถิดเพคะ เขาไม่ใช่เด็กที่อยากเกิดมาเป็นองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันจะถือว่า…ไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนเพคะ” 


 


 


รยูฮาลูบแกมมินอาอย่างละอายใจหนึ่งครั้งแทนคำตอบ จากนั้นจึงชวนให้กลับเข้าไปด้านใน คังซึ่งปรากฏตัวในพระราชวังเป็นครั้งแรกขึ้นรถม้าออกไปด้วยกันกับมินอาก่อนที่พระอาทิตย์จะตก 


 


 


“พักที่วังไม่ได้หรือพระชายา” 


 


 


พระพันปีรั้งตัวมินอาที่กำลังจะขึ้นรถม้าและเอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะเป็นการยากที่ต้องทำเป็นไม่เห็นความเสียดายที่ปรากฏอยู่เต็มใบหน้าของหญิงชรา แต่มินอาก็ทำอะไรไม่ได้ 


 


 


“หม่อมฉันจะแวะมาหาบ่อยๆ นะเพคะเสด็จย่า” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“วันนี้ข้าไม่ต้องออกว่าราชการตอนเย็นนะ” 


 


 


จู่ๆ ฮอนที่นอนคว่ำข้างๆ รยูฮาและกำลังจดจ่ออยู่กับนิยายพื้นบ้านก็พูดขึ้นมาเหมือนกับเพิ่งนึกออก 


 


 


“ก็เลยมาทำแบบนี้อยู่ที่นี่ใช่ไหมเพคะ รีบอ่านเล่มนั้นแล้วเอามาให้ข้าได้แล้วเพคะ” 


 


 


“เราไปดื่มเหล้ากันดีไหม” 


 


 


ไม่ได้ชวนว่าไปดื่มเหล้ากันเถอะ แต่บอกว่าไปดื่มเหล้ากันดีไหมอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เขาพูดออกไปเช่นนั้น แต่ฮอนสังเกตเห็นว่าแววตาของรยูฮาดูมีความลังเลแทนที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จึงกระซิบอีกรอบ 


 


 


“เห็นว่ามีตลาดกลางคืนเปิดด้วยนะ” 


 


 


“ตลาด…กลางคืน?” 


 


 


“ตลาดกลางคืน” 


 


 


“ไม่ได้เพคะ พระราชาและพระราชินีจะปล่อยให้พระราชวังว่างเปล่าเพราะเรื่องส่วนตัวได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


รยูฮาปฏิเสธการหลอกล่อได้อย่างลำบาก ก่อนจะส่ายหน้าอย่างแรงพร้อมกับแย่งหนังสือที่ฮอนถืออยู่มา ถ้าไม่อ่านก็ขอแล้วกัน 


 


 


“เห็นว่าร้านนั้น อาหารอร่อย” 


 


 


“ร้านนั้นหรือเพคะ” 


 


 


“ทำไมรึ ก็ที่เคยไปเมื่อก่อน ที่เคยหั่นหมูให้ เจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่าเป็นร้านที่อร่อยที่สุดในละแวกนี้ ถ้าได้ดื่มเหล้าสักแก้วพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเนื้อขึ้นมากินนะ หืม…” 


 


 


“เฮ้อ ไม่ได้นะ” 


 


 


เพียงแค่คิด น้ำลายก็ไหลออกมาเองแล้ว แม้จะพูดว่าไม่ได้ แต่มุมปากที่เคยอยู่นิ่งก็ค่อยๆ ยกขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าจะสำเร็จในอีกไม่ช้า ฮอนจึงลุกพรวดขึ้นแล้ววางหนังสือกองไว้ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะรั้งเอวรยูฮาเข้ามากอด 


 


 


“ทำไมจะไม่ได้เล่า รีบไปรีบกลับก็ได้นี่ ถ้าจูฮวานยืนอยู่ข้างหน้าก็ไม่มีใครรู้หรอก” 


 


 


“แค่แป๊บเดียวนะเพคะ” 


 


 


“ได้สิ” 


 


 


จูฮวานซึ่งเฝ้าอยู่นอกประตูเพียงลำพังได้ยินบทสนทนาที่ลอดออกมาจากข้างใน แล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้เขาไม่มีความคิดอยากจะห้ามปรามอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่หวังว่าจะไม่ถูกพระพันปีจับได้ แล้วตนเองซึ่งไม่มีความผิดใดๆ จะถูกลงโทษไปด้วย จากนั้นไม่นานหน้าต่างก็ถูกเปิดออก ทั้งสองคนค่อยๆ กระโดดลงมาเบาๆ แล้วขี่ม้าฝ่าอากาศยามค่ำคืนที่สดชื่นไป โดยที่ไม่สนใจเหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังรีบเร่ง พวกเขาสนุกสนานราวกับว่าเหลือเพียงแค่สองคนในโลกใบนี้ 


 


 


 


 


 


“อ้า ดีจัง” 


 


 


รยูฮาพ่นไอออกมาจากปากเบาๆ แล้วหันไปมองฮอนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง อากาศอันหนาวเย็นยามค่ำคืนก็ดี เสียงเกือกม้าที่ดังกุบกับก็ดี การเต้นของหัวใจที่ส่งผ่านมาจากอกแกร่งที่แนบชิดอยู่ก็ดี 


 


 


“พวกเรานอนค้างข้างนอกกันดีไหม” 


 


 


เสียงอันทุ้มต่ำและน่าหลงใหลจั๊กจี้ใบหูของรยูฮาที่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหันหลับไปมองข้างหน้า 


 


 


“นอนค้างข้างนอก?” 


 


 


“ดื่มเหล้าเสร็จก็ไปนอนที่โรงเตี๊ยม แล้วเดี๋ยวค่อยแอบกลับไปตอนเช้ามืดก็ได้” 


 


 


“ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านสามี” 


 


 


“ไม่ได้ทำทุกวันเสียหน่อย แถมพวกทหารองครักษ์ก็ยังตามมาเป็นขบวนด้วย ถ้าถูกเสด็จย่าจับได้ ข้าจะถูกต่อว่าแต่เพียงผู้เดียว” 


 


 


“บอกแล้วไงเจ้าคะว่าไม่ได้” 


 


 


ทันทีที่มาถึงตลาด ทั้งสองก็หาโรงเตี๊ยมและจับจ้องห้องเป็นอย่างแรก รวมถึงห้องของของพวกทหารองครักษ์ทั้งหมดด้วย รยูฮาและฮอนผูกม้าไว้ที่โรงเตี๊ยม จากนั้นจึงไปเดินเล่นใต้โคมไฟอย่างสบายใจเพลิดเพลินไปกับเวลาว่างที่ไม่ได้มีนานแล้ว พร้อมกับกินอาหารเสียบไม้ที่ขายข้างถนนทีละอันเหมือนเมื่อราวๆ หนึ่งปีก่อน 


 


 


“โอ๊ะ ท่านสามี ตรงนั้น” 


 


 


สิ่งที่รยูฮาใช้ปลายนิ้วชี้คือหญิงชราที่สวมเสื้อผ้าหลายชั้นและแผงที่นางจัดวางของ โคมไฟมากมายที่ถูกวางกระจัดกระจายเต็มไปหมดต่างแสดงสีสันของตนเองเพื่อดึงดูดผู้คน 


 


 


“โคมไฟ?” 


 


 


“ปีที่แล้วขอพรกับโคมไฟแล้วสมปรารถนาไม่ใช่หรือเจ้าคะ” 


 


 


“งั้นก็ต้องซื้อแล้ว” 


 


 


ฮอนกระชับมือรยูฮาและออกตัวเดินไปตรงด้านหน้า ดวงตาอันพร่ามัวของหญิงชราจึงค่อยๆ หันไปมองทั้งสอง 


 


 


“มีผู้สูงส่งมาสินะ” 


 


 


“ประโยคนี้ เหมือนกับปีที่แล้วเลยไม่ใช่หรือ” 


 


 


“เพราะว่าสูงส่งมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไรเล่า” 


 


 


ตอนที่ซื้อโคมไฟคราวที่แล้ว หญิงชราคนนี้เป็นคนเลือกโคมไฟที่ดูเหมือนสีทองให้แก่ฮอน และเขาก็ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ แม้ว่าฮอนจะไม่เชื่อเรื่องเทพหรือดวง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


“ข้าจะเลือกโคมไฟให้หนึ่งอัน” 


 


 


หญิงชราหยิบโคมไฟสีน้ำเงินเข้มที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาโดยที่ไม่มีการครุ่นคิดใดๆ จากนั้นก็หยิบโคมไฟขึ้นมาอีกอันหนึ่ง ในขณะที่ฮอนซึ่งรับโคมไฟมาแล้วกำลังจะหยิบถุงเงินออกมาจ่าย ซึ่งในครั้งนี้นางได้ยื่นโคมไฟสีแดงเข้มอันงดงามให้แก่รยูฮา 


 


 


“คุณหนูรับนี่ไปนะ” 


 


 


“ข้าจะเลือกของข้าเอง” 


 


 


“หากท่านเลือกอันนี้ จะเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นเจ้าค่ะ” 


 


 


พอรยูฮาซึ่งกำลังมึนงงหันไปมองฮอน เขาที่ถือโคมไฟสีน้ำเงินอย่างทะนุถนอมก็พยักหน้าให้ แม้จะเป็นสีที่ไม่ค่อยชอบแต่จะลองเชื่อดูแล้วกัน รยูฮาจึงพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะหยิบโคมไฟสีแดงแล้วลุกขึ้นยืน 


 


 


“ข้าจะให้ราคาที่ดีมากๆ แก่พวกท่าน” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยขอรับ” 


 


 


เนื่องจากเป็นโคมไฟที่ทำมาจากกระดาษระบายสีที่เห็นแล้วน่าจะราคาไม่กี่เหรียญ แต่ฮอนก็หยิบเหรียญเงินออกมาสองนยังแล้วยื่นให้หญิงชราอย่างใจดี แน่นอนว่าเขาหวังว่าหญิงชราจะนำเงินนี้ไปหาเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่สักตัวอยู่แล้ว แต่อีกใจก็ยังหวังให้โคมไฟแสดงผลลัพธ์ให้เห็นมากกว่า ดังนั้นมือที่กำลังจุดเทียนเล็กๆ จึงมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ หลังจากแขวนโคมไฟเสร็จก็ถอยหลังออกมาและรวบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เมื่อมองไปด้านข้างก็เห็นแสงจากโคมไฟส่องสว่างอย่างงดงามกระทบกับใบหน้าด้านข้างของรยูฮาซึ่งกำลังยกมือไหว้และหลับตาอยู่เช่นกัน จุ๊บ ริมฝีปากอุ่นประทับบนแก้มเย็นแล้วผละออก 


 


 


“บอกแล้วไงว่าอย่าทำแบบนี้ข้างนอก” 


 


 


รยูฮาตำหนิพลางปรายตามองทั้งที่ยังควงแขนกับฮอน สำหรับเขาเท่านี้ก็คุ้มแล้วที่ได้ออกมาหลังจากเตรียมตัวไว้แล้วว่าจะถูกต่อว่า ทั้งคู่เดินสำรวจไปทั่วตลาด จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังร้านอาหารที่ดูซอมซ่อและแออัดวุ่นวายเหมือนกับนัดกันมา หลังจากนั้นไม่นานฝีเท้าที่หมดความสง่าผิดกับตอนปกติก็ตรงกลับไปยังโรงเตี๊ยมอีกรอบ 


 


 


“นายท่าน ต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“เฮ้ย กล้าดียังไงถึงเรียกพระ…!” 


 


 


“นายท่าน! นายหญิง ช่วยห้ามนายท่านหน่อยเถิดขอรับ นายหญิง นายหญิง…?”  

 

 


ตอนที่ 15-12

 

แม้คิดไว้ว่าจะแบกทั้งสองกลับพระราชวัง หากเมามายจนไม่ได้สติ ทว่าปัญหาก็คือพวกเขาเมาก็จริง แต่ยังคงมีสติหลงเหลืออยู่ ชองโอทำหน้าเบะพร้อมกับพยายามอ้อนวอนขอร้องให้ทั้งสองได้โปรดกลับเสียที แต่นอกจากพระราชาจะไม่ฟังแล้ว พระมเหสีที่ไว้วางใจก็ยังคล้องแขนกับพระราชาแล้วหันขวับไปอย่างเย็นชาอีก 


 


 


โดนพระพันปีฆ่าตายแน่ๆ แต่ดูเหมือนว่าความคิดในหัวของเขาที่เริ่มมืดมนจะไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขา ทั้งฮอนและรยูฮาต่างพาขึ้นไปยังห้องพักที่จับจองเอาไว้และนอนแผ่บนเตียง  


 


 


“ท่านสามี” 


 


 


“ว่าอย่างไร ฮูหยิน” 


 


 


“ขอบคุณที่พาออกมาเจ้าค่ะ” 


 


 


“ข้าต้องขอบคุณมากกว่าสิที่เจ้าออกมาด้วยกัน” 


 


 


“ว้าว ท่านสามี” 


 


 


รยูฮาหมุนตัว ก่อนจะขยับใกล้เข้ามาเอาแขนเรียวคล้องคอฮอนเอาไว้ กลิ่นเหล้าผสมคละคลุ้งในลมหายใจที่ใกล้เข้ามาจนถึงปลายจมูก แต่มันกลับมีกลิ่นหอมหวล ดวงตาสองคู่ที่ดูร้อนรุ่มเล็กน้อยจ้องมองกันและกันโดยไม่กะพริบตา 


 


 


“ทำไมพูดจาน่ารักจัง” 


 


 


ไม่มีคำตอบ ริมฝีปากที่อมยิ้มอย่างงดงามทำแค่เพียงแทรกเข้าไปในลมหายใจของรยูฮา ปลายลิ้นหยุ่นกวาดสำรวจภายในโพรงปากและเกี่ยวกระหวัดอย่างแรงทุกครั้งที่มีโอกาส ชุดผ้าไหมอันงดงามส่งเสียงซวบซาบออกมาก่อนจะหล่นลงไปล่างเตียง 


 


 


“…นึกออกแล้ว” 


 


 


“อะไรหรือ” 


 


 


ในระหว่างที่บรรยากาศกำลังร้อนแรงเต็มที่ ฮอนก็พึมพำอะไรแปลกๆ ออกมาแล้วผละริมฝีปากออก รยูฮาจึงเอ่ยถามปนหงุดหงิดเล็กน้อย ฮอนที่เป็นฝ่ายพูดออกมาก็สะดุ้งเช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าทำไมความกังวลที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดหลายวันถึงได้หลุดออกมาจากปากในเวลานี้ 


 


 


“ตอนนี้ต้องรีบแล้ว ไว้วันหลังนะ” 


 


 


มือของฮอนที่ปิดปากสนิทอีกครั้งกำลังถอดชุดชั้นในตัวบางกลับถูกรั้งเอาไว้  


 


 


“อะไร บอกมาสิเพคะ” 


 


 


“ไว้วันหลัง” 


 


 


เพียงแค่ถอดชิ้นนี้ออกก็เรียบร้อยแล้ว แต่รยูฮากลับเพิ่มแรงที่มือขึ้นอีกด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความซุกซนเหมือนกับไม่คิดจะปล่อยมือ ผิดกับใจของเขาที่กำลังร้อนรุ่ม ในท้ายที่สุดฮอนก็กดจูบลงไปอีกครั้งแล้วพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมา 


 


 


“สัญญา ตั๊กแตน” 


 


 


รยูฮาหลุดหัวเราะออกมาเหมือนกับได้ฟังเรื่องเหลือเชื่อพร้อมกับคลายแรงที่มือซึ่งจับฮอนอยู่ออก ในขณะเดียวกันฮอนก็ถอดชุดชั้นในได้สำเร็จ อุณหภูมิร่างกายร้อนผ่าวขึ้นจนเป็นสีแดงระเรื่อในทุกจุดที่ลมหายใจของเขาสัมผัส ส่วนความรักก็เบ่งบานขึ้นในทุกที่ที่มือของเขาสัมผัสเช่นกัน แสงไฟสลัวในตะเกียงส่องแสงกระทบกับเรือนร่างของชายหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ได้อย่างน่าหลงใหล 


 


 


“ข้าเคยบอกไปแล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้าคือรักแรกของข้า” 


 


 


ฮอนทิ้งร่องรอยไว้บนผิวขาวเป็นจุดๆ และจู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมาเหมือนกับเพิ่งนึกขึ้นได้ 


 


 


“รักแรกไม่ใช่แชยอนหรือเพคะ” 


 


 


“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ ตอนที่เจ้าชวนไปเล่นต่อสู้แล้วใช้ดาบไม้ฟาดหัวข้าอย่างแรง นับตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็รักและคิดถึงเจ้าเป็นอย่างมาก” 


 


 


“แล้วทำไมถึงต้องเป็นตอนนั้นล่ะเพคะ” 


 


 


เอวบางบิดเร่าพร้อมกับลมหายใจหอบ ท่ามกลางสติที่ค่อยๆ เลือนรางมีเพียงเสียงของฮอนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ราวกับอยู่ท่ามกลางความฝัน 


 


 


“ตั้งแต่ตอนนั้นเพียงแค่ได้เห็นเจ้า หัวใจของข้าก็เต้นแรงแล้ว” 


 


 


เหมือนกับในตอนนี้ ฮอนพูดเสริมพลางพ่นลมหายใจร้อนเข้าไปหว่างขา 


 


 


“น่าจะแค่กลัวโดนตีอีกหรือเปล่าเพคะ” 


 


 


“เพราะเป็นรักแรกต่างหาก” 


 


 


ปลายลิ้นของฮอนจดจ่ออยู่แต่ตรงส่วนอ่อนไหวโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้นางได้โต้ตอบ จนรยูฮาเริ่มผ่อนคลาย เสียงครางหวานหูดังขึ้นต่อเนื่องทำให้ตัวตนของเขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่รยูฮาจิกแขนแน่นและงอตัว ฮอนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงรุกล้ำเข้าไปในตัวนางโดยไม่ระมัดระวัง 


 


 


“ข้ารักเจ้า ตั้งแต่ครั้งแรก จนถึงตอนนี้” 


 


 


“ฮ้า…หม่อมฉันก็…รักเช่นกันเพคะ” 


 


 


ฮอนขยับเอวแกร่งราวกับระลอกคลื่น ความรู้สึกที่เล็บรยูฮาจิกลงมาตรงต้นแขนนั้นน่าหลงใหลยิ่งกว่าความเจ็บปวดใดๆ 


 


 


“ทำไมไม่เรียกชื่อข้าเลยล่ะ” 


 


 


“กลัวว่าจะดีมากจนเกินไป” 


 


 


“แต่ข้าอยากดีมากๆ นะ” 


 


 


“ไม่นะ ข้า” 


 


 


“ดูเหมือนว่าตอนนี้คงจะไม่ค่อยดีสินะ” 


 


 


จู่ๆ ฮอนก็กระแทกกายเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงกระซิบหยอกล้อ หยาดเหงื่อที่ผุดตรงหน้าผากเรียบหยดลงบนใบหน้าของรยูฮา ก่อนจะกลิ้งลงไปด้านข้าง ฮ้า เสียงครางดังออกมาจากปากที่เผยอออกผสานกับเสียงอันแผ่วเบาและนำพาเขาไปสู่ความเร้าใจที่แทบคลั่ง 


 


 


“ข้ารัก อ่า ฮอน…” 


 


 


อารมณ์ที่ขยายใหญ่ขึ้นมาจนถึงขีดจำกัดระเบิดออกมารวดเดียวและกระจัดกระจายไปทั่วทุกทาง พวกเขาควานหาและดูดกลืนริมฝีปากของกันและกันโดยไม่ต้องมีใครบอกให้เริ่มก่อนท่ามกลางลมหายใจหอบกระชั้น จากนั้นจึงยิ้มออกมาเบาๆ ฮอนยังคงกอดรยูฮาอยู่ในอ้อมอกอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะความกังวลที่ไม่อาจบรรยายได้ซึ่งกลัวว่าความสุขที่อัดแน่นอยู่เต็มหน้าอกจะลอยหายไปพร้อมกับเสียงพูด 


 


 


คิก เสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมาจากฝีปากที่ประกบกันอยู่ สัญญาไว้ไม่ใช่หรือว่าจะกลับไปทันทีที่ประตูพระราชวังเปิดตอนเช้ามืด ในค่ำคืนนั้น คู่รักที่ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวและแยกออกจากกันหลายต่อหลายรอบได้ผล็อยหลับไปตอนที่ด้านนอกหน้าต่างเริ่มจะเห็นแสงสว่างรำไร 


 


 


 


 


 


“ฝ่าบาท พระมเหสีเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ขันทีเข้ามากระซิบบอกในช่วงเย็น วันนี้เป็นวันที่ฮอนเรียกรวมเหล่าเสนาบดีระดับสูงและปวดหัวกับงานนู้นงานนี้ในห้องทรงงาน จากนั้นจึงพักเสวยของว่างด้วยกันกับพวกเขา และตอนนี้เขากำลังคิดอยู่ว่าค่อยๆ ทำงานให้เสร็จช้าๆ ดีไหม แม้ใจหนึ่งจะดีใจที่รยูฮาซึ่งไม่เคยมาแถวๆ ท้องพระโรงหรือห้องทรงงานเลยมาหา แต่อีกใจก็เกิดกังวลขึ้นมาว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า 


 


 


“บอกให้เข้ามาได้ ส่วนพวกท่านวันนี้พอแค่นี้ก่อน” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


มีทั้งเรื่องการขาดแคลนธัญพืชในพื้นที่บางแห่ง ส่วนบางแห่งก็มีโจรป่าบุกรุกและบางแห่งก็เกิดเหตุหิมะถล่ม เหล่าเสนาบดีจึงไม่มีเวลาว่างเลยเพราะงานที่ต้องจัดการกองกันเป็นภูเขาหลังจากเผชิญกับฤดูหนาว เหล่าเสนาบดีที่ได้พักในรอบหลายชั่วยามต่างพากันจัดเก็บเอกสารด้วยสีหน้าที่ซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่มิด ท่านมหาเสนาบดีก็ด้วยเช่นกัน ริมฝีปากอันเคร่งขรึมของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นหลังจากที่ออกไปจากห้องทรงงานพร้อมกับเสนาบดีคนอื่นๆ แม้ว่าอันดับจะถูกดันออกไปเพราะคัง แต่ผู้หญิงที่ยืนอยู่สุดปลายโถงทางเดินก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่เขารักจนหาที่สุดไม่ได้ 


 


 


“ถวายบังคับพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 


 


 


“เลิกแล้วหรือเจ้าคะ ท่านทำงานหนักมากนะเจ้าคะ” 


 


 


“ทรงตรัสเช่นนั้น หม่อมฉันขอบพระทัยยิ่งกว่าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เนื่องจากมีสายตาของผู้อื่นจับจ้องอยู่จึงไม่สามารถพูดคุยด้วยกันได้มากนัก แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกสาวก็สามารถแสดงความรักความผูกพันออกมาได้ด้วยเพียงแค่คำพูดตามธรรมเนียมไม่กี่คำ รยูฮาย่นจมูกให้พ่อดูอย่างขี้เล่นเป็นการส่งท้าย ก่อนจะเดินผ่านเสนาบดีที่ยืนหลบออกไปด้านข้างเข้าไปในห้องทรงงานที่ฮอนกำลังกางม้วนกระดาษอันสุดท้ายอยู่ 


 


 


“มีเรื่องอะไรหรือพระมเหสี” 


 


 


“หม่อมฉันมาไม่ได้หรือเพคะ” 


 


 


“ไม่ได้ ถ้าหากเสด็จมาหาอย่างกะทันหันแบบนี้” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้น เดี๋ยวหม่อมฉันมาใหม่เพคะ” 


 


 


ไหล่ที่กำลังจะหันขวับกลับไปอย่างไร้เยื่อใยถูกคว้าไว้ได้อย่างรวดเร็วแบบไม่ให้เจ็บ ฮอนสวมกอดนางจากทางด้านหลังและกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี 


 


 


“ถ้ามาหาครั้งเดียว ข้าก็คงจะเฝ้ารอเจ้าทุกวันเป็นแน่ และคงจะเอาแต่คิดว่าวันนี้เจ้าจะมาไหมนะ” 


 


 


ผู้ชายเจ้าเล่ห์คนนี้ไปเรียนการพูดการจาอะไรแบบนี้มาจากที่ไหนกัน รยูฮาพยายามกดมุมปากที่จะยกขึ้นด้านบนไว้ ทั้งยังพยายามรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ด้วย แต่ทั้งหมดนั่นล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะฮอนที่ค่อยๆ รั้งให้นางหมุนตัวมาแล้วทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของนางราวกับกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่ในลำธาร ในท้ายที่สุดนางจึงหลุดหัวเราะออกมาแล้วคล้องแขนกับคอระหง 


 


 


“หิมะตกเพคะฝ่าบาท” 


 


 


หลังจากผ่านไปสักพัก รยูฮาก็ถอนริมฝีปากออกแล้วพูดกระซิบ 


 


 


“หรือว่าที่มาหาถึงที่นี่ก็เพราะจะมาชวนไปดูหิมะ” 


 


 


“ถ้าทรงไม่อยากก็ไม่ต้องก็ได้เพคะ” 


 


 


“ไม่อยากอะไรกัน วันนี้ข้าจะจดลงบันทึกประจำวันไว้เลย ว่าเป็นวันที่พระมเหสีมาหาที่ห้องทรงงานเพื่อชวนไปดูหิมะ” 


 


 


“ไม่เอาเพคะ” 


 


 


“เจ้า จดลงไปเลย” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”  

 

 


ตอนที่ 15-13

 

รยูฮาหลบสายตาของเหล่าข้าราชบริพารและหยิกแขนฮอนอย่างแรง แต่นั่นก็หลังจากที่ผู้จดบันทึกผู้ซื่อสัตย์ได้จดบันทึกทุกอย่างลงไปตามที่ตนได้เห็นและได้ยินเรียบร้อยแล้ว วันนี้ที่รยูฮามาหาก่อนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์สำหรับฮอนถูกบันทึกลงในบันทึกประจำวันตามความประสงค์ของเขา อีกทั้งยังสามารถส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้เป็นพันปี รยูฮายิ้มกว้างและจับมือฮอนออกไปจากห้องทรงงานอันน่าอึดอัด แล้วจึงเดินตรงไปยังศาลาที่เตรียมโต๊ะชงชาไว้ก่อนแล้ว 


 


 


หิมะเกล็ดใหญ่ช่างงดงาม หิมะสีขาวกองทับถมกันทั้งบนสระน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งและบนกิ่งไม้ที่ใบไม้ร่วงโรยไปหมดแล้ว บ้างก็ร่วงหล่นลงพื้นเพราะไม่สามารถแบกรับน้ำหนักไว้ได้ แม้อากาศจะหนาว แต่ฮอนกับรยูฮาซึ่งห่มผ้าขนสัตว์ผืนเดียวกันตรงหน้าเตาไฟที่ร้อนระอุไม่รู้สึกถึงความหนาวใดๆ รยูฮามองดูนิ้วยาวของฮอนที่ขยับเคลื่อนไหวและรินชาได้อย่างคล่องแคล่วไม่น้อย ก่อนจะพึมพำออกมา 


 


 


“…ดูรึบ[1]” 


 


 


“ว่าอย่างไรนะ” 


 


 


“ดูรึบ” 


 


 


“ดูรึบ?” 


 


 


ฮอนถามย้ำอีกหลายรอบเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองได้ยินเมื่อสักครู่ถูกต้อง จู่ๆ ก็พูดถึงดูรึบในขณะที่นั่งผิงไฟชมหิมะในช่วงกลางฤดูหนาวเนี่ยนะ 


 


 


“อยากกินดูรึบเพคะ” 


 


 


เขาไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบกลับไปอย่างไร ฮอนวางถ้วยชาที่มีควันพวยพุ่งตรงหน้ารยูฮา จากนั้นจึงเบนสายตาไปทางอื่นราวกับตั้งใจจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ รยูฮาจึงทำเสียงเข้มกว่าเดิมเล็กน้อย 


 


 


“หม่อมฉันบอกว่าอยากกินดูรึบเพคะฝ่าบาท” 


 


 


ฮอนรู้ว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป รยูฮาไม่เคยขออะไรมากมายจากเขา แต่เมื่อขอแล้ว เขาจะต้องฟังอย่างเดียวเท่านั้น 


 


 


“รออีกสักสองสามเดือนไม่ได้หรือ อย่างที่เจ้าเห็น…ตอนนี้มันฤดูหนาวนะ” 


 


 


รยูฮาก็รู้อยู่แล้วว่าที่ฮอนพูดนั้นถูกต้อง มันจะมีอะไรที่เป็นฤดูหนาวได้มากกว่านี้อีก หิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมาบนสระน้ำที่เป็นน้ำแข็ง ไฟในเตาผิงที่ลุกโชนและไอสีขาวที่ลอยออกมาจากปากทุกครั้งที่หายใจ อย่างไรก็ตามนางก็อยากกินดูรึบ เป็นอารมณ์ที่ถ้าไม่ใช่อันนั้นก็ไม่อยากกิน 


 


 


“หม่อมฉัน…อยากกินดูรึบจริงๆ นะเพคะ” 


 


 


ทั้งที่เป็นช่วงฤดูหนาว ทั้งที่หิมะตก ทำไมถึงอยากกินดูรึบกันนะ มันคือผักที่พบได้เกลื่อนกลาดทั่วไปในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากกินดูรึบในช่วงกลางฤดูหนาวแบบนี้ รยูฮาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็อยากกินอยู่ดี หลังจากนู่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ สุดท้ายนางจึงเริ่มทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ฮอนก็เริ่มทำตัวไม่ถูกพลางดึงไหล่ของนางเข้ามากอดแล้วตบเบาๆ 


 


 


“มีของอย่างอื่นอีกตั้งมากมาย ข้าไปเอาลูกพลับแห้งมาให้ดีหรือไม่ เจ้าชอบมากมิใช่หรือ” 


 


 


“ดูรึบ แต่หม่อมฉันอยากกินดูรึบเพคะ” 


 


 


“แล้วจะไปเอาดูรึบที่หาไม่ได้มาจากไหนกันเล่า หืม?” 


 


 


“ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็อยากกินเพคะ” 


 


 


“อดทนรออีกไม่นานนะ เดี๋ยวข้าจะไปเอาดูรึบที่ขึ้นเป็นอันแรกสุดมาให้เลย” 


 


 


“อยากกินตอนนี้เพคะ หม่อมฉันอยากกินดูรึบตอนนี้เพคะ” 


 


 


แม้ว่านางจะดื้อ แต่ก็ไม่เคยดื้อแบบนี้มาก่อน เขารู้สึกไม่คุ้นชินกับรยูฮาที่พยายามร้องหาดูรึบด้วยความดื้อดึงเหมือนกับเด็กน้อยแต่ก็น่ารักดี ทว่าหลังจากเป็นเช่นนั้นอยู่พักใหญ่โดยไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนลง เนื่องจากว่าฮอนก็เป็นมนุษย์เช่นกันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะเริ่มขมวดคิ้วทีละนิด สุดท้ายเขาก็พูดเสียงดังปนหงุดหงิดเล็กน้อยขึ้นมา 


 


 


“เจ้าต้องขออะไรที่มันเป็นไปได้หน่อยสิ! หิมะตกแบบนี้จะไปหาดูรึบมาจากไหนเล่า!” 


 


 


โอ๊ะ เขารีบปิดปากอย่างรวดเร็วแต่มันก็สายไปแล้ว ดวงตาของรยูฮาที่เบิกโตกว่าปกติจ้องเขาเขม็งประหนึ่งสัตว์ที่มีบาดแผล 


 


 


“ตอนนี้…ทรงขึ้นเสียงใส่หม่อมฉันหรือเพคะ” 


 


 


“ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้ขึ้นเสียงใส่เจ้า” 


 


 


“ทรงขึ้นเสียงเพคะ เมื่อสักครู่นี้เลยเพคะ” 


 


 


“เสียงมันดังขึ้นไปเองโดยที่ข้าก็ไม่รู้ตัวน่ะ เสียงมัน…” 


 


 


“ทรงขึ้นเสียงใส่หม่อมฉันเพียงเพราะหาดูรึบมาให้ไม่ได้หรือเพคะ” 


 


 


รยูฮาจ้องมองฮอนด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า จากนั้นจึงโยนผ้าขนสัตว์ที่ห่มอยู่ออกไปด้านนอกราวกั้นเต็มแรง ผ้าขนสัตว์สีขาวเต้นระบำอยู่ระหว่างหิมะที่กำลังตกแล้วจึงร่วงลงมาพร้อมกัน เหล่าข้าราชบริพารที่ตื่นตระหนกตกใจครึ่งหนึ่งหมอบกราบ ส่วนอีกครึ่งวิ่งไปเก็บผ้าขนสัตว์ 


 


 


“ขอโทษ ขะ ข้าขอโทษนะ พระมเหสี” 


 


 


“หม่อมฉันรู้สึกไม่ดี คงจะต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อนเพคะ และวันนี้ห้ามเสด็จมาที่วังจานยองด้วยเพคะ!” 


 


 


รยูฮาปัดมือของฮอนที่พยายามคว้าตัวนางไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายลับตาไปโดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองข้างหลัง ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่มีเรื่องที่ตัวเองทำผิดสักนิด คนที่ผิดก็คือรยูฮาแต่ไม่รู้ทำไมตัวเองถึงกลายเป็นคนที่โดนต่อว่าเสียอย่างนั้น แต่พอมองไปรอบๆ ก็เห็นสายตาของเหล่าข้าราชบริพารที่มองลงด้านล่างราวกับกำลังตำหนิฮอนอยู่อย่างชัดเจน 


 


 


ให้ตายสิ ขึ้นเสียงใส่พระมเหสีเพียงเพราะบอกว่าอยากกินดูรึบอย่างนั้นหรือ แม้ว่าความจริงจะไม่มีใครพูดอย่างนั้น แต่สำหรับฮอนแล้วเสียงนั้นมันชัดเจนเหมือนกับดังออกมา ฮอนกุมหัวและโขกหน้าผากกับโต๊ะ ในพระราชวังแห่งนี้มีใครที่จะเข้าข้างเขาบ้างสักครั้งไหม 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“พระมเหสี ถึงเวลาเสด็จไปวังจางชุนแล้วเพคะ” 


 


 


“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ส่งข่าวไปยังวังจางชุนด้วย” 


 


 


“แต่ฝ่าบาททรงรออยู่ด้านนอกแล้วเพคะ…” 


 


 


“ข้าบอกแล้วไงว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย” 


 


 


แม้ว่าจะชวนให้มาปรับความเข้าใจกันหลายรอบ แต่รยูฮาก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน แถมยังไม่ให้ฮอนเข้ามาข้างในอีกด้วย หลังจากเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่สวนด้านหน้าวังจานยองด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ในท้ายที่สุดฮอนก็ไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องไปที่วังจางชุน นกกระจอกที่ลืมเรื่องความหนาวตื่นตกใจบินขึ้นไปเกาะบนหลังคาเพราะฝีเท้าของเขา 


 


 


“ทำไมถึงเสด็จมาคนเดียวหรือฝ่าบาท” 


 


 


“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ วันนี้พระมเหสีทรงประชวร กระหม่อมจึงเสด็จมาคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“คงจะเป็นเพราะช่วงนี้อากาศเย็นลงสินะ เห็นทีน่าจะต้องส่งคนไปดูเสียหน่อย” 


 


 


“เรื่องนั้น” 


 


 


คำตอบของเสด็จย่าที่เข้าทางเขาพอดี ทำให้คำพูดที่เขาพูดออกมาอย่างระมัดระวังนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ 


 


 


“กระหม่อมได้ปลอบใจนางอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมบอกไปว่ารออีกแค่สองเดือน แล้วเดี๋ยวไปเอาดูรึบที่ขึ้นเป็นต้นแรกมาให้เลย” 


 


 


“ทรงทำได้ดีแล้วเพคะ” 


 


 


“แต่นางบอกว่าจะต้องกินตอนนี้ให้ได้พ่ะย่ะค่ะ แถมยังน้ำคาคลอแล้วบอกว่าจะกินตอนนี้ ดังนั้นกระหม่อมจึงขึ้นเสียงไปนิดหน่อยว่าขออะไรที่มันเป็นไปได้หน่อยสิพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“พระมเหสีน้ำตาคลออย่างนั้นหรือ” 


 


 


พอได้ฟัง พระพันปีก็เอียงคอด้วยความสงสัย พระมเหสีกับน้ำตา ช่างเป็นการจับคู่ที่ไม่เข้ากันเสียเลย ยิ่งเป็นเพราะไม่ได้กินดูรึบอีกด้วย 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะเสด็จย่า จากนั้นนางก็กลับไปที่วังจานยองทันทีแล้วไม่ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ ตามที่ซังกุงบอกนางไม่เสวยอาหารเช้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ พอจะส่งหมอหลวงเข้าไปดูก็ตอบกลับมาว่าไม่อยากเจอใครพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ดูรึบอย่างนั้นหรือ” 


 


 


มีบางอย่างแปลกๆ อาหารที่พระพันปีชื่นชอบในขณะที่ตั้งท้องอดีตพระราชาผู้ล่วงลับไปแล้วก็คือดูรึบ ดวงตาของพระพันปีที่หยุดความคิดลงตรงนั้นเบิกโตขึ้น อย่าบอกนะว่า ไม่สิ ใช่แล้ว 


 


 


“ฝ่าบาท ไปเรียกหมอหลวงมา แล้วไปที่วังจานยองกันเถอะ” 


 


 


“แต่ว่าพระมเหสี…” 


 


 


“ย่าคนนี้จะเป็นคนเปิดประตูเอง นางคงไม่กล้าไล่ย่าออกไปหรอก” 


 


 


พูดอีกก็ถูกอีก ฮอนที่มีสีหน้าสดใสขึ้นเล็กน้อยลุกพรวดขึ้นและตะโกนสั่งให้นำรถม้ามา จากนั้นไม่นานรยูฮาซึ่งยังคงมีใบหน้าโศกเศร้าก็ต้องลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่ซังกุงบอกว่าพระพันปีเสด็จมา ซึ่งนางได้ตั้งใจไว้แล้วว่าเสร็จจากนี้ไป นางจะฟาดฮอนซึ่งกำลังยิ้มแย้มอยู่ด้านหลังเสด็จย่าทันที 


 


 


“เสด็จย่าเสด็จมาจนถึงที่นี่ได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ดูรึบ ต้นไม้ชนิดหนึ่งในวงศ์เล็บครุฑ  

 

 


ตอนที่ 15-14

 

เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าคนเจ้าเล่ห์นั่นจะต้องขอร้องให้มาแน่นอน รยูฮากลืนความโศกเศร้าลงไปพลางโค้งตัวคำนับอย่างอ่อนน้อม และสิ่งที่นางเห็นในขณะที่เงยหน้าขึ้นนั้นคือหมอหลวงซึ่งตามหลังฮอนเข้ามา ถึงแม้ว่าการเป็นหมันของรยูฮาจะถูกเผยแพร่กันไปปากต่อปาก จนกลายเป็นความลับที่รู้กันโดยทั่วไป แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพาหมอหลวงมาอย่างเปิดเผยแบบนี้ 


 


 


“ได้ยินมาว่าพระมเหสีทรงประชวร แล้วย่าคนนี้จะไม่มาหาได้อย่างไรเล่า นั่งลงเถอะ เพราะเดี๋ยวจะต้องตรวจชีพจรด้วย” 


 


 


“ตอนนี้หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ ไม่จำเป็นต้องตรวจชีพจร…” 


 


 


“พระมเหสี!” 


 


 


พระพันปีมักจะตวาดใส่ทั้งเหล่าเสนาบดีและข้าราชบริพารในท้องพระโรง ไม่เว้นแม้แต่พระราชา แต่กลับส่งความสดใสให้แก่รยูฮาเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อพระพันปีดุให้รีบนั่ง รยูฮาจึงไม่มีทางเลือกอื่น พอนางนั่งลงบนขอบเตียงแต่โดยดี ดังนั้นจึงเกิดรอยยิ้มบางๆ ขึ้นที่ใบหน้าฮอนราวกับสะใจ โดยที่ไม่รู้ว่ารยูฮากำลังลับมีดอยู่ในใจ 


 


 


“ตรวจชีพจรซะ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี กระหม่อมขออนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ถ้าหากหมอหลวงพูดออกมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะ ถ้าเกิดเขาพูดออกมาว่าพระมเหสีทรงเป็นหมันพ่ะย่ะค่ะล่ะ เสด็จย่าน่าจะยังไม่ทราบ ดังนั้นคงจะเจ็บปวดใจน่าดู รยูฮาผู้ซึ่งไม่รู้ว่าฮอนสั่งให้ปิดปากเงียบไว้แล้วก่อนที่จะเข้ามาพยายามทำให้หัวใจที่เต้นแรงสงบลงด้วยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วส่งมือให้หมอหลวง 


 


 


“เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ ขอประทานอภัย แต่กระหม่อมขอพบนางในสักครู่ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จู่ๆ หมอหลวงก็เรียกหานางในหลังจากตรวจชีพจรเสร็จ ยางจินที่เฝ้าดูอย่างระทึกอยู่ข้างๆ จึงก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วออกไปจากห้องกับหมอหลวงพลางกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างด้วยกันข้างนอก เดาจากเงาที่แวบไปแวบมาและเสียงที่ได้ยินรางๆ แล้ว หมอหลวงน่าจะเป็นคนถามเสียส่วนใหญ่ ส่วนยางจินก็เป็นคนตอบ หลังจากนั้นไม่นานหมอหลวงก็พยักหน้าอย่างแรงหนึ่งครั้งก่อนจะกลับเข้ามาข้างใน 


 


 


“กระหม่อมจะขอวัดชีพจรอีกหนึ่งรอบพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 


 


 


“ได้สิ” 


 


 


จำเป็นต้องละเอียดขนาดนี้เลยหรือ รยูฮากัดริมฝีปากเบาๆ พลางยื่นมือให้หมอหลวงอีกครั้ง การตรวจชีพจรในครั้งนี้ไม่นานเท่ารอบแรก หลังจากค่อยๆ วางข้อมือลงอย่างระมัดระวัง หมอหลวงก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับให้ฮอน 


 


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! กระหม่อมจับได้ชีพจรของหญิงตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เชือกแห่งความกังวลที่บีบคั้นทุกคนขาดดังฉึบ บรรยากาศภายในห้องจึงชื่นมื่นไปด้วยความปีติยินดี และคำพูดต่อมาของหมอหลวงก็ทำให้ดอกไม้ไฟระเบิดตูมตามราวกับพลุที่จุดในวันเทศกาล 


 


 


“ชีพจรนั้นมีสองชีพจรพ่ะย่ะค่ะ เห็นทีว่าจะเป็นฝาแฝดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“รยูฮา!” 


 


 


ฮอนลุกพรวดขึ้นไปกอดรยูฮาโดยลืมไปแล้วว่าอยู่ตรงหน้าพระพันปีและข้าราชบริพารจำนวนมาก ทั้งยังเรียกชื่อพระมเหสีตามอำเภอใจอีก หากเป็นปกติก็คงจะโดนเอ็ดแล้ว แต่เพราะว่าพระพันปีกำลังกดเบ้าตาที่รู้สึกปวดตื้อๆ อยู่จึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เหล่าซังกุงที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับรยูฮาตั้งแต่สมัยอยู่ที่วังซึงกอนก็ร้องห่มร้องไห้โดยลืมไปเลยว่ามีพวกนางในเด็กๆ กำลังมองอยู่ หากยอนฮวายังอยู่ละก็ นางคงจะทรุดตัวลงไปร้องห่มร้องไห้อย่างแน่นอน 


 


 


“เรื่องนั้น ข้า…ได้อย่างไรกัน” 


 


 


ทั้งที่หมอหลวงซึ่งยอดเยี่ยมที่สุดในแทซากุกตรวจชีพจรถึงสองครั้งแต่รยูฮาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่แล้วจู่ๆ ภายในหัวของนางซึ่งได้แต่มึนงงและกะพริบตาปริบๆ ก็นึกถึงเรื่องวุ่นวายเมื่อประมาณสองเดือนก่อนขึ้นมา ที่กินยาสมุนไพรแล้วอ้วกก้อนเลือดสีแดงออกมาหลายรอบ หลังจากวันนั้นนางก็หยุดดื่มยาสมุนไพรที่เคยดื่มสามถึงสี่ครั้งต่อวัน 


 


 


“ยอดเยี่ยมเลยพระมเหสี ยอดเยี่ยมมากๆ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่ต้องมาเข้าเฝ้าย่าแล้วนะ หากคิดถึงพระมเหสี เดี๋ยวย่าคนนี้จะมาหาด้วยตัวเองเลย” 


 


 


เมื่อพระพันปีเข้ามาตบหลังเบาๆ อย่างอ่อนโยนและน้ำตาคลอไปด้วย ในที่สุดนางจึงรู้สึกว่าสถานการณ์นี้คือเรื่องจริง กับการที่นางตั้งครรภ์รัชทายาทและไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มีถึงสอง ควรจะต้องดีใจและแสดงความยินดีไปด้วยกัน แต่คำพูดที่ดังออกมาจากปากของรยูฮากลับแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่แม้ว่าเจ้าตัวซึ่งเป็นคนพูดเองยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงพูดออกมาแบบนั้น 


 


 


“หม่อมฉัน อยากกินดูรึบเพคะ” 


 


 


ประโยคนั้นทำให้ทั้งแทซากุกตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินในทันที แม้ว่าทหารจำนวนมากจะฝ่าหิมะที่สูงเท่าเข่าไปค้นหาทั่วทั้งภูเขาและไร่นาแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววของดูรึบเลย ในขณะเดียวกันรยูฮาก็ล้มตัวลงนอนพร้อมกับบอกว่ากินอาหารไม่ลง ส่วนฮอนก็รู้สึกเป็นห่วงรยูฮาจนแทบจะละมือจากกิจการบ้านเมือง กว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงและต้นอ่อนจะขึ้นก็ต้องรอไปอีกสองสามเดือน สถานที่ที่ฮอนรีบตรงไปหลังจากออกว่าราชการเสร็จอย่างไม่ค่อยมีสมาธิคือซออุนกวาน[1]ไม่ใช่วังจานยอง 


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จ!” 


 


 


นอกจากซออุนกวานซึ่งทำหน้าที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์อากาศและดาราศาสตร์จะมีแต่พวกคนบ้าๆ บอๆ แล้ว ยังไม่มีวันที่พระราชาจะเสด็จมาอีกด้วยแม้ว่าจะทำงานไปตลอดชีวิตก็ตาม เหล่าบัณฑิตที่จมอยู่ในกองเอกสารด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงเหมือนปกติไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองพร้อมกับหันไปมองหน้ากันและกัน แต่ในไม่ช้าพระราชาก็เดินดุ่มๆ เข้ามาข้างในและดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจการแต่งกายของพวกเขาหรือบรรยากาศที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยซ้ำ 


 


 


“ปีนี้อากาศจะอุ่นขึ้นเมื่อไหร่” 


 


 


“ทรงหมายถึง…ฤดูใบไม้ผลิใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าจะถามว่าเมื่อไหร่ดูรึบจะขึ้นต่างหาก” 


 


 


“ประมาณปลายเดือนสามถึงต้นเดือนสี่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


เสด็จมาถึงที่นี่เพื่อถามเรื่องที่รู้คำตอบอยู่แล้วน่ะหรือ แม้จะตอบคำถามไปแล้ว แต่เหล่าบัณฑิตก็ยังไม่หยุดสงสัย 


 


 


“ไม่มีโอกาสที่จะขึ้นเร็วกว่านี้เลยใช่หรือไม่” 


 


 


“ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วแค่ไหน สายลมอบอุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิก็ต้องพัดผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งหากอากาศหนาว ต้นอ่อนของดูรึบก็จะขึ้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะฉะนั้น…” 


 


 


ถ้าอากาศหนาว…คำพูดของบัณฑิตทะลุเข้าไปในหัวของฮอนอย่างแรง 


 


 


“แสดงว่าถ้าอบอุ่น ต้นอ่อนก็จะขึ้นมาใช่ไหม ถ้าอากาศอุ่นขึ้นแล้วจะใช้เวลานานขนาดไหน” 


 


 


“หลังจากอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ต้นอ่อนจะขึ้นอย่างน้อยภายในเจ็ดวันพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เข้าใจแล้ว พวกเจ้าทำงานได้ดีมาก” 


 


 


จู่ๆ พระราชาก็เสด็จมาหาและถามคำถามแปลกๆ ก่อนจะหายตัวไป ซออุนกวานจึงตกอยู่ในความเงียบสงบและโล่งใจไปพักหนึ่ง ที่โล่งใจก็เพราะไม่ถูกตำหนิเรื่องหนวดเคราที่รุงรังและชุดขุนนางที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหมึกสีดำ แต่โล่งใจได้ไม่นาน พวกเขาก็ถูกพระราชาเรียกให้ไปเข้าเฝ้าในวันต่อมา พวกเขาจึงต้องมายื่นมือไปที่กระบอกไม้ไผ่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดแบบนี้ 


 


 


“ผู้ใดที่จับได้ป้ายสีดำจะต้องไปนะขอรับ” 


 


 


โดยปกติแล้วการที่ได้ไปเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ถือเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติอย่างสูง แต่มีแค่บัณฑิตเหล่านี้เท่านั้นที่ไม่ค่อยรู้สึกยินดีนัก ด้วยเหตุนั้นแล้วใบหน้าของพวกเขาที่ล้อมรอบกระบอกไม้ไผ่จึงมีเค้าของสงครามอยู่ตลอดเวลา หลังจากจับป้ายสีดำเสร็จ พวกเขาก็ผลัดกันดูพลางพึมพำกับตัวเองราวกับไม่อยากจะเชื่อ แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่ความจริงก็คือความจริง จากนั้นบัณฑิตสองคนจึงไปหามีดโกนหนวดที่ไม่ค่อยคมมาแล้วเล็มหนวดออกพอประมาณ ก่อนจะก้าวเท้าที่ไม่ค่อยสมัครใจนักตรงไปยังวังกอนชองด้วยสภาพที่สุภาพเรียบร้อยมากที่สุด 


 


 


“ฝ่าบาท บัณฑิตแห่งซออุนกวานมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ใบหน้าของจูฮวานที่กำลังรอคอยอย่างร้อนอกร้อนใจจึงสดใสขึ้นและรีบวิ่งไปหาฮอนทันที ถ้าพวกเขามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวมีหวังได้ถูกเตะก้นอย่างแน่นอน สีหน้าอันห่อเ**่ยวของเหล่าบัณฑิตจึงต่างกับสีหน้าดีใจของจูฮวานเป็นอย่างมาก 


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“อ่อ มากันแล้วสินะ ข้าจะเลือกหมายเลขให้และให้พวกเจ้าปลูกสิ่งนี้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งข้าจะให้เวลาสิบวัน จงทำให้มันขึ้นภายในเวลานี้เสีย” 


 


 


สวนที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของเขาทำให้เหล่าบัณฑิตลืมสิ่งที่จะพูดไปในทันที เพราะสวนหลังวังที่ควรจะต้องใหญ่โตและเป็นระเบียบเรียบร้อยถูกขุดตรงนู้นตรงนี้ไปทั่วตลอดทั้งคืนและมีสิ่งที่คล้ายกับกระท่อมซึ่งไม่เหลือเค้าเดิมตั้งอยู่ตรงกลางนั้น 


 


 


โครงทำมาจากไม้ไผ่ ส่วนกำแพงและหลังคาทำมาจากกระดาษชุบน้ำมัน ดังนั้นจะเรียกว่าบ้านก็ไม่น่าใช่ แต่หากจะไม่เรียกว่าบ้านก็ไม่ได้เพราะมีทั้งกำแพงและที่กั้นซึ่งใช้กันหิมะ แต่ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือเจ้าของกระท่อมนั้นก็คือต้นดูรึบสามสี่ต้นนั่นเอง 


 


 


“ฝ่าบาท กลางฤดูหนาวแบบนี้ทำไม…” 


 


 


“ก็เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าถ้าอุ่นขึ้น ต้นอ่อนก็จะงอกขึ้นมา” 


 


 


นี่คือผลงานที่ทหารแห่งพระราชวังทั้งหมดรวมตัวกันทำตลอดทั้งคืน ยกเว้นแต่ทหารรักษาการณ์ที่มีน้อยที่สุด แม้ว่าใต้ตาของฮอนที่ไม่ได้นอนและคอยสั่งการพวกเขาจะกลายเป็นสีดำคล้ำแต่สีหน้าของเขาก็ยังคงสดใสอยู่ มีทั้งเรื่องดูรึบบ้านั่น ไปจนถึงเรื่องที่รยูฮาตั้งท้อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอามาให้ได้ หลังจากผ่านการพัฒนาปรับปรุงหลายต่อหลายครั้ง ในอนาคตอันห่างไกลนั้น การเริ่มต้นของการเพาะปลูกในห้องเพาะชำซึ่งมีบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อการฟื้นฟูแทซากุกนั้นก็เริ่มต้นมาจากดูรึบของพระราชานั่นเอง  


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ซออุนกวาน หน่วยงานราชการของเกาหลีสมัยโบราณที่ดูแลและรับผิดชอบเรื่องสภาพอากาศ  

 

 


ตอนที่ 16-1

 

“วันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” 


 


 


ฮอนรีบวิ่งมาที่วังจานยองทันทีที่ว่าราชการตอนเช้าเสร็จ เขาลูบฝ่ามือของรยูฮาอย่างสงสาร รยูฮาซึ่งเริ่มแพ้ท้องตั้งแต่เมื่อสามสี่วันก่อนกินข้าวต้มไม่ได้สักช้อน แม้กระทั่งน้ำเปล่าก็ยังบอกว่ามีกลิ่นคาวซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอม และลูกในท้องของนางไม่ได้มีเพียงคนเดียวแต่มีถึงสอง เพราะฉะนั้นควรจะทำอย่างไรดีในเมื่อนางกินอาหารไม่ลงแบบนี้ 


 


 


“พออยู่ได้เพคะ ทรงเสร็จงานตอนเช้าไวหรือเพคะ” 


 


 


“ข้าไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานแล้ว แต่ว่าพวกงานด่วนข้าจัดการหมดแล้วเพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


พระพักตร์ที่พูดพร้อมกับยิ้มกว้างช่างหล่อเหลาเหลือเกิน หรือนี่จะคือเหตุผลที่มาเป็นพระมเหสี จะหาผู้ชายหน้าตาดีขนาดนี้ที่ทิ้งเรื่องอื่นไปก่อนและมาหาถึงวังจานยองบ่อยๆ ได้จากที่ไหนอีก รยูฮามองดูใบหน้าของฮอนโดยที่ลืมอาการคลื่นไส้ไปสักพัก จากนั้นจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกออกแล้วหยิกแก้มเขาอย่างแรง 


 


 


“โอ๊ย!” 


 


 


“ขอทำเท่านี้พอแล้วกันเพคะ” 


 


 


เพราะรอยยิ้มของเขาทำให้นึกถึงภาพที่เขายิ้มอย่างน่าเกลียดหลังจากพาเสด็จย่าเข้ามาเมื่อไม่กี่วันก่อน ถึงอย่างไรก็ตามเพราะว่าผลลัพธ์ออกมาดีจึงขอจบด้วยการหยิกแก้มก็พอ หลังจากใช้แรงไปพอประมาณ รยูฮาก็วางมืออันหนักอึ้งไว้บนผ้าห่มอีกรอบ 


 


 


“ซังกุงห้องเครื่องมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้เข้ามาเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสียงยางจินที่ดังขึ้นมาจากข้างนอกทำให้รยูฮาทำหน้าบูดเบี้ยว บอกแล้วอย่างไรว่าไม่อยากได้กลิ่นอาหาร แล้วนี่เอาอะไรมาอีกล่ะ 


 


 


“ไม่ต้องให้เข้ามา” 


 


 


“ไม่ ให้เข้ามาเลย” 


 


 


ฮอนที่ขัดคำพูดของรยูฮาที่บอกว่าไม่ต้องให้เข้ามาเอ่ยด้วยเสียงที่ดังกว่า รยูฮาปิดปากและหันหน้าหนีตั้งแต่ที่เขาลุกขึ้นไปรับจานและตะเกียบจากซังกุงด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าของนางก็คือ 


 


 


“เอ้า นี่ ข้าหามาให้แล้ว ดูรึบ” 


 


 


มันคือดูรึบสีเขียวอ่อนซึ่งมีขนาดแค่ประมาณนิ้วโป้งเหมือนกับเพิ่งขึ้นมาได้ไม่นาน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจมองมันด้วยความมึนงง แล้วจึงหันไปมองฮอนอีกรอบและหันไปมองดูรึบซ้ำไปซ้ำมา อยากกินมากจนเก็บไปฝันหรือเปล่านะ แต่กลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิที่แผ่กระจายอยู่เต็มปากนี้ไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน 


 


 


“ฝ่าบาท…” 


 


 


“มีอีกเยอะเลย เพราะฉะนั้นเสวยให้เต็มที่เลยนะพระมเหสี” 


 


 


หลังจากเอาดูรึบชิ้นที่สองใส่เข้าปาก รยูฮาก็น้ำตาหยดติ๋งๆ อย่างไรก็ตามปากของนางก็ยังคงขยับไม่หยุดหย่อนและเคี้ยวดูรึบที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีสติ ตอนนั้นนางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมินอาถึงต้องร้องไห้หาผลไม้ฤดูร้อนในฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้บานสะพรั่งด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจแล้ว 


 


 


“ฮึก อร่อยเพคะ ฮึก ขอบใจนะ ฮอน ฮึก” 


 


 


“อืมๆ รีบๆ กินเข้า” 


 


 


เขาเข้าๆ ออกๆ สวนด้านหลังคืนละสามสี่รอบด้วยความเป็นกังวลจนกระทั่งมันงอกออกมา พอเห็นว่ารยูฮากินได้อย่างเอร็ดอร่อยแบบนี้ก็นึกว่าความเหนื่อยล้าคงจะหายไปหมดอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อย่างนั้น ฮอนอมยิ้มและผล็อยหลับไปข้างๆ นางจนถึงช่วงเย็น ส่วนรยูฮาก็ประทับจูบลงบนใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาก่อนจะมุดเข้าไปในอกกว้าง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หลังจากฮอนหาดูรึบซึ่งไม่มีในช่วงกลางฤดูหนาวได้สำเร็จ รยูฮาก็เริ่มกินนู่นกินนี่มากขึ้นทีละนิด แม้จะโล่งใจแต่ปัญหาคือสิ่งที่นางอยากกินมักจะเปลี่ยนแปลงเสมอโดยไม่มีความแน่นอน หากเป็นอาหารที่สามารถหาได้ในพระราชวัง ไม่สิ ในเมืองหลวงก็ไม่เป็นไร แต่จะทำอย่างไรหากนางมองหาอาหารที่อยู่เหนือความคาดหมายในช่วงดึกดื่น 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“ตื่นขึ้นมาทำไมหรือพระมเหสี” 


 


 


ฮอนที่ตื่นขึ้นมาเพราะรยูฮาเรียกเบาๆ ส่งยิ้มที่ซ่อนความไม่สบายใจเอาไว้ให้พร้อมกับลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย 


 


 


“เมื่อก่อนตอนที่เดินดูตลาดที่สุดเขตชายแดน เราเคยซื้อเกี๊ยวกินใช่ไหมเพคะ” 


 


 


“อย่าบอกนะว่า” 


 


 


“ไม่ได้หรือเพคะ” 


 


 


รยูฮาทำหน้ามุ่ยและคลุมโปงในผ้าห่มทันที น่ารัก น่ารักจนแทบบ้าแล้ว คนอะไรน่ารักยันตอนตั้งท้อง เกี๊ยวน่ะไม่ใช่ของหายากสักหน่อย 


 


 


“มีใครอยู่ข้างนอกไหม!” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


เสียงที่ดังขึ้นมาไม่ใช่ของขันทีร่างเล็ก แต่เป็นเสียงของชายหนุ่มที่เฝ้าอย่างหนาแน่นทั้งสองฝั่ง ให้ทหารองครักษ์มาเฝ้าข้างนอกอย่างนั้นหรือ ฮอนเรียบเรียงความคิดในหัวที่มึนงงแล้วจึงพูดด้วยเสียงที่ขาดๆ หายๆ 


 


 


“ไปตามชองโอมา” 


 


 


“กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ทำไมเจ้าถึงไปอยู่ตรงนั้นได้” 


 


 


“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้คุ้มกันห้องบรรทมคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อย่างนั้นหรือ พอหลับๆ ตื่นๆ อยู่ข้างๆ รยูฮาซึ่งตื่นขึ้นมาหลายรอบต่อคืนติดต่อกันก็ดูเหมือนว่าสติของเขาก็เดี๋ยวมีเดี๋ยวหายไปด้วย รยูฮาทั้งรู้สึกเห็นใจและขอโทษฮอนจึงเข้าไปกอดแขนของเขาเบาๆ ภายใต้ผ้าห่ม 


 


 


“เจ้า ทำได้ดีมาก ไปซื้อเกี๊ยวมาซะ” 


 


 


“ตอนนี้มัน…ยามโฉ่ว[1]นะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“นั่นแหละๆ ตอนที่เราไปเขตชายแดน มีเกี๊ยวที่พระมเหสีทรงชอบเสวยอยู่ใช่ไหม ที่มีท่านยายทำขายเองคนเดียวอยู่ตรงสุดนู่นน่ะ ไปซื้อมาซะ” 


 


 


ชองโอที่หมดความอดทนไปโดยไม่รู้ตัวกำลังจะตะโกนออกไปว่า ‘ทรงคิดว่ามันใกล้ๆ เหมือนไปบ้านหมาข้างๆ บ้านหรือพ่ะย่ะค่ะ’ แต่เขาก็ตั้งสติได้ในวินาทีสุดท้าย ถึงแม้จะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าทหารองครักษ์ แต่หลังจากพระมเหสีทรงตั้งครรภ์ หน้าที่หลักของเขาก็กลายเป็นการออกไปตามหาอาหารข้างนอกพระราชวังโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่วันนี้มันค่อนข้างต่างออกไป เพราะต้องขี่ม้าออกจากเมืองหลวงไปเป็นระยะเวลาสามวัน 


 


 


“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท แต่มันอาจจะเสียระหว่างทางกลับมาได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อ่อ นั่นสินะ” 


 


 


ในขณะที่พยายามเรียบเรียงความคิดในหัวที่สับสนมึนงงอยู่นั้น ฮอนก็รีบคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาหลากหลายวิธีอย่างรวดเร็ว และพอใจตัวเองหลังจากค้นพบวิธีที่เป็นไปได้มากที่สุดจากในบรรดาวิธีมากมาย 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปพาท่านยายคนนั้นมาซะสิ ให้มาทำที่นี่” 


 


 


“ทรงฉลาดหลักแหลมมากเพคะฝ่าบาท” 


 


 


“จริงหรือพระมเหสี” 


 


 


เสียงของพระองค์ทั้งสองที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยผลักชองโอออกไปยังด้านนอกอันมืดมิด พระราชาทรงเชื่อใจเขาซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันตั้งแต่สมัยยังเป็นองค์รัชทายาทจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างมาก เขาต้องเชื่อเช่นนั้น เพราะไม่อย่างนั้นช่วงเวลาในตอนนี้ที่กำลังไปพาตัวท่านยายคนขายเกี๊ยวมากลางดึกกลางดื่นโดยมีเพียงแสงจันทร์สลัวๆ เขาคงจะรู้สึกละอายเป็นอย่างมาก เสียงเกือกม้าของชองโออันแสนเปล่าเปลี่ยวออกไปจากเมืองหลวงและมุ่งหน้าตรงไปยังร้านขายเกี๊ยวในชนบท 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาวที่หิมะตกเยอะเป็นพิเศษ แต่เหล่าราษฎรของแทซากุกที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีต่างรู้สึกอบอุ่นกันถ้วนหน้า อาการแพ้ท้องของรยูฮาที่มากเป็นพิเศษก็เริ่มทุเลาลงในตอนที่ฤดูหนาวผ่านไปและพืชผักป่าก็เริ่มงอกเงยมากมาย มันช่างเป็นฤดูที่แสนจะงดงาม น้ำจากน้ำแข็งที่ละลายทั่วทุกแห่งไหลรวมกันกลายเป็นน้ำในลำธาร ยอดอ่อนสีเขียวและดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิหลากสีสันก็บานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล 


 


 


แต่ฤดูที่งดงามที่สุดย่อมผ่านไปไวสุดเสมอ แม้กระทั่งฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ก็ไม่ยกเว้น สายลมเย็นสบายที่พัดผ่านระหว่างแสงแดดร้อนระอุเป็นตัวบ่งบอกว่านี่คือจุดสิ้นสุดของฤดูใบไม้ผลิและเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูร้อน 


 


 


“โอ๊ย!” 


 


 


รยูฮาซึ่งกำลังชมการแสดงของนักดนตรีพร้อมกับวางมือไว้บนท้องที่ป่องออกมาอย่างเห็นได้ชัดเริ่มมีสีหน้าบูดเบี้ยว เจ้าตัวแสบนี่คือคนไหนกันแน่จากทั้งสองคน 


 


 


“เจ้าพวกนี้! อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือไง! ทำไมถึงต้องทำให้แม่ของพวกเจ้าลำบากแบบนี้” 


 


 


ฮอนต่อว่าพลางใช้ปลายนิ้วดีดลงบนท้องรยูฮาเบาๆ เสียงหัวเราะของรยูฮาที่ลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้นคละเคล้าไปกับเสียงพิณ ก่อนจะกระจัดกระจายไปทั่วบนท้องฟ้าสีคราม พอมีลูกสองคน อาหารที่กินเข้าไปจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ท้องที่นูนออกมาก็ใหญ่เป็นสองเท่า และความลำบากก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีความยากลำบากที่จะต้องแบกรับหลายๆ อย่างในอ้อมแขนเดียว แต่เพราะมีฮอนคอยดูแลอยู่เคียงข้างเสมอ รยูฮาจึงไม่ได้รู้สึกลำบากถึงขนาดนั้น 


 


 


“ฝ่าบาททรงตีองค์รัชทายาทสุดที่รักของหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


“ก็เจ้าพวกนี้ทำให้พระมเหสีของข้าลำบากนี่” 


 


 


“ฝ่าบาทเองก็ทำให้หม่อมฉันลำบากเหมือนกันเพคะ” 


 


 


“ข้าทำตอนไหน” 


 


 


รยูฮาเหลือบมองดูรอบๆ ก่อนจะกวักมือเบาๆ หูของฮอนจึงค่อยๆ เลื่อนลงไปหาทีละนิด 


 


 


“เมื่อวานฝ่าบาทตรัสว่าอยากเห็นองค์รัชทายาทไม่ใช่หรือเพคะ แถมยังบอกให้หม่อมฉันขึ้นไปอยู่ข้างบนก็ได้ด้วย” 


 


 


 


 


 


[1] ยามโฉ่ว ช่วงเวลา 01.00 น.-02.59 น.  

 

 


ตอนที่ 16-2

 

 


 


 


แล้วมาพูดเรื่องน่าอายอะไรตอนกลางวันแสกๆ เนี่ย พระพักตร์อันหล่อเหลาจึงกลายเป็นสีแดงไปจนถึงกกหู ในระหว่างนั้นบางสิ่งที่ไม่ดูตาม้าตาเรือก็คิดถึงความร้อนแรงของเมื่อคืนและเตรียมตัวจะผงาดขึ้น ดังนั้นมันจึงเป็นสถานการณ์ที่ยากที่จะทนทีเดียว 


 


 


“ถะ ถ้าใครมาได้ยินเข้าจะทำอย่างไรเล่า!” 


 


 


“อาจจะทรงไม่ทราบ แต่นางในของวังจานยองได้ยินหมดแล้วเพคะ” 


 


 


ไม่ว่าจะโมโหและสั่งให้ออกไปอย่างไร บรรดาซังกุงต่างก็หมอบกราบลงที่พื้นและตะโกนว่าไม่ได้เพคะอยู่ดี อย่างไรก็ตามถึงแม้จะบอกว่าสามารถทำกิจกรรมของคู่รักได้หลังจากตั้งครรภ์ได้ประมาณสามสี่เดือน แต่ฮอนที่หน้าไม่อายและรู้แม้กระทั่งกลอุบายนั่นก็ไม่ยอมแพ้ ในท้ายที่สุดเขาก็ไม่สนใจคำบอกกล่าวที่บอกว่าห้ามเพศสัมพันธ์ และโต้แย้งกลับไปเมื่อเห็นว่ารยูฮาดูอารมณ์ดีขึ้น 


 


 


นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงนี้พวกซังกุงถึงได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างแปลกๆ อะแฮ่มๆ ฮอมกระแอมไอและลุกขึ้นจากที่โดยไม่มีสาเหตุ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง 


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!” 


 


 


ทหารนายหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารหลุดลุ่ยวิ่งมายังสวนด้านหลังพร้อมกับร้องตะโกนเหมือนจะเป็นลม ใบหน้าที่ดูไม่ได้ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นกำลังบอกว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น แม้ว่าเขาจะเปิดปากพูดก่อนที่พระราชาจะตรัสถาม แต่ก็ไม่มีใครคิดจะลงโทษเขา 


 


 


“ทหารของฝ่ายศัตรูบุกรุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ! จากทะเลฝั่งตะวันออก!” 


 


 


คำบอกเล่าของทหารทำให้พระราชวังที่เคยเงียบสงบเกิดความโกลาหลขึ้น เหล่าเสนาบดีที่มารวมตัวกันที่พระที่นั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดต่างลนลานและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่ผู้ที่ยังคงรักษาความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ก็มีเพียงแค่ท่านมหาเสนาบดีและพวกเสนาบดีที่มาจากการเป็นทหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ฮอนที่นั่งบนราชบัลลังก์ด้วยความเร่งรีบว่ากล่าวพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล 


 


 


“พวกเจ้าเคยบอกว่าอย่างไรนะ! ถึงแม้ว่าประเทศเล็กๆ จะมีปืนใหญ่ก็ไร้ประโยชน์อย่างนั้นรึ? นี่แหละคือผลลัพธ์!” 


 


 


ทหารสัมพันธมิตรพร้อมปืนใหญ่บุกเข้ามาทางทะเลฝั่งตะวันออกและเริ่มปะทะกันกับทหารที่ประจำการอยู่บริเวณนั้น และคงจะเล็งไว้แล้วว่าฮเยกุกซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรมีดินแดนติดต่อกันที่ฝั่งตรงข้าม ความเดือดดาลของพระราชาทำให้เหล่าเสนาบดีพูดไม่ออกและเอาแต่หัวหดลงไปเหมือนเต่า ท่านมหาเสนาบดีที่ดูไม่ต่างจากปกติจึงก้าวออกมาข้างหน้าแล้วโค้งคำนับ 


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อม มหาเสนาบดีซอดู หากฝ่าบาททรงส่งกระหม่อมออกไปสู้รบ กระหม่อมจะอุทิศตนเพื่อจำกัดเหล่าศัตรูแล้วกลับมาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ดวงตาของนักรบซึ่งเป็นประกายแวววาวอยู่ระหว่างริ้วรอยแสดงตัวขึ้นมา 


 


 


“ไม่ได้ ตอนนี้ท่านก็อายุมากแล้วไม่ใช่หรือ” 


 


 


“นั่นคือเหตุผลที่กระหม่อมต้องไปพ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมสิ้นชีพในสงครามครั้งนี้ มันจะเป็นความจงรักภักดีสุดท้าย รวมถึงความไม่จงรักภักดี แต่หากกระหม่อมรอดชีวิตกลับมาได้ กระหม่อมจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าแทซากุกรักษาความสงบสุขมาได้ช้านาน ดังนั้นแม้ว่าทหารหนุ่มจะมีจิตใจที่หาญกล้า แต่พวกเขาก็ยังขาดประสบการณ์ในการสู้รบจริงพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี!” 


 


 


“โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมออกสู้รบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ การพัฒนาปืนใหญ่ก็ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว ด้วยสิ่งนั้นแล้วกระหม่อมแน่ใจว่าจะต้องส่งข่าวแห่งชัยชนะได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ปืนใหญ่อย่างนั้นหรือ เหล่าเสนาบดีที่เรียงแถวก้มหน้าอยู่จึงเริ่มส่งเสียงโวยวายกันโดยพร้อมเพรียงกัน ฮอนซึ่งกำลังมองเขาอยู่จึงไม่มีทางสบายใจได้แน่ แต่ก็ไม่แปลกใจที่พวกที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังในขณะที่ท่านมหาเสนาบดีซึ่งมีอายุมากแล้วก้าวออกมาข้างหน้าจะเป็นพวกน่ารังเกียจที่เอาแต่พูดจ้อ 


 


 


“เงียบ เงียบซะ!” 


 


 


ฮอนตะโกนเสียงดังขึ้นมาจนทำให้ภายในนั้นเงียบสนิท แต่ท่านมหาเสนาบดีก็ยังคงยืนนิ่งไม่สั่นคลอนประหนึ่งภูเขา เขารู้ดีกว่าใครว่าพ่อตาเป็นคนที่ถึงห้ามปรามอย่างไรก็พาทหารลงไปอยู่ดี ต่อมาฮอนจึงออกคำสั่งด้วยเสียงที่แหบพร่าราวกับกลืนแท่งโลหะลงไป 


 


 


“ข้าขอแต่งตั้งให้ซอดูเป็นแม่ทัพใหญ่และมอบอำนาจในการตัดสินใจสุดท้ายของกองกำลังทหารให้แก่เขา นับตั้งแต่นี้ไปแม่ทัพใหญ่สามารถละเว้นพระราชกฤษฎีกาของข้าและเคลื่อนไหวกำลังพลได้ รวมถึงสามารถสรรหากำลังพลที่ขาดแคลนได้ด้วย แม้กระทั่งตระกูลขุนนางก็ไม่มีการยกเว้นใดๆ ท่านจงไปนำชัยชนะกลับมาให้ได้” 


 


 


สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีทำเป็นอย่างแรกสุดจากอำนาจทางทหารที่ได้รับนั่นคือการเลือกชายหนุ่มที่เชี่ยวชาญเรื่องศิลปะการต่อสู้จากตระกูลสูงศักดิ์ เหตุผลก็คือพวกเขาได้เสวยสุขกับผลประโยชน์ที่มาจากภาษีซึ่งราษฎรเป็นคนจ่ายมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นจึงควรเป็นความรับผิดชอบของชนชั้นปกครองในช่วงเวลาที่มีเหตุอันตรายต่อประเทศชาติ เนื่องจากมีบุตรชายทั้งสามของท่านมหาเสนาบดีเป็นหัวเรือ ดังนั้นไม่ว่าจะสูงส่งสักแค่ไหนก็ไม่มีทางแอบซ่อนลูกชายไว้ได้ 


 


 


 


 


 


“ไปดีมาดีนะเจ้าคะ ใต้เท้า” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองยังคงเด็ดเดี่ยวแม้จะต้องส่งสามีรวมถึงลูกชายทั้งสามไปยังสนามรบ แม้กระทั่งในตอนที่ลงน้ำมันบนเสื้อเกราะและเก็บของกับมินอาทั้งคืนก็เช่นกัน เนื่องจากนางเองก็เป็นนักรบคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นข้าหลวงซึ่งจงรกภักดีของกษัตริย์พระองค์ก่อนอีกด้วย 


 


 


ดังนั้นท่านมหาเสนาบดีจึงทำเป็นไม่เห็นนัยน์ตาอันสั่นเครือของภรรยา ในขณะที่ลูบใบหน้าของนางเป็นการส่งท้ายหลังจากที่นางสวมเสื้อเกราะให้เขาที่กำลังจะออกไปรบในตอนเช้า แต่ต้องขอบคุณเสียงที่เรียกหาท่านมหาเสนาบดีจากข้างนอกซึ่งมาได้พอดิบพอดี เรื่องที่ควรจะยากจึงง่ายขึ้นเล็กน้อย 


 


 


“ท่านพ่อ มินอาเองเจ้าค่ะ” 


 


 


“เข้ามาสิ” 


 


 


หลังจากเข้ามาข้างใน สิ่งที่มินอายื่นให้ด้วยสีหน้าสงบนิ่งคือดาบ ดาบสีนิลซึ่งเคยเป็นของนายหญิงตระกูลจองในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะถูกส่งต่อให้แก่รยูฮา 


 


 


“เป็นดาบที่พระมเหสีทรงมอบให้เจ้าค่ะ และทรงบอกว่าจะไม่มาบอกลาแต่หากท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย ในตอนนั้นจะมาคำนับเจ้าค่ะ ทรงฝากมาบอกท่านพี่ทั้งสามแบบเดียวกันด้วยเจ้าค่ะ 


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ พระชายา” 


 


 


สิ่งที่มินอารักท่านมหาเสนาบดีจากใจจริงไม่ใช่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ที่นอนอันแสนอบอุ่นหรืออาหารดีๆ ที่เขามักจะมอบให้เด็กผู้หญิงซึ่งกำพร้าพ่อแม่คนนี้เสมอ แต่เพราะเขาคือท่านอาจารย์ซึ่งเอาขวานไปผ่าฟืนแทนให้ ในตอนที่นางยิงลูกธนูสามร้อยดอกไม่เข้าเป้าทั้งหมดจึงต้องถือขวานหนักๆ ไปผ่าฟืน และยังส่งหินที่อบกับเตาไฟให้ในยามที่นางฝึกฝนในช่วงกลางฤดูหนาวให้ด้วย เขาผู้ซึ่งมอบความรักราวกับเป็นพ่อบังเกิดเกล้าคือพ่อเพียงคนเดียวของมินอา 


 


 


“ขอให้กลับมาบ้านอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” 


 


 


มินอาเข้าไปกอดพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิตเพราะกลัวว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงพูดกระซิบด้วยความจริงใจ ท่านมหาเสนาบดีตบหลังนางเบาๆ ประมาณสองครั้งแทนคำตอบ ก่อนจะออกเดินทางไปยังสนามรบด้วยกันกับลูกชายซึ่งเปรียบเสมือนลมหายใจของเขา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


มันคือรุ่งอรุณซึ่งมีไฟจุดให้สัญญาณว่าเหล่าทหารเรือที่ไม่มีอาวุธรูปแบบใหม่ได้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการสู้รบครั้งแรกที่เปิดฉากกันกลางทะเล 


 


 


“พวกเจ้าทั้งสามคนจงพาทหารลงไปซะ ข้าจะไปคัดเลือกพลทหารก่อน” 


 


 


“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่!” 


 


 


ทันทีที่ออกจากเมืองหลวง ซอดูก็คัดเลือกพลทหารห้าสิบนายก่อนจะควบม้าไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด ยิ่งเคลื่อนกองกำลังทหารจำนวนมากเท่าไหร่ก็ย่อมต้องใช้เวลานานมากเท่านั้น หลังจากขี่ม้าและพักกินอาหารแบบง่ายๆ อย่างเช่น เนื้อตากแห้งกับข้าวปั้นมาติดต่อกันห้าวัน ในที่สุดแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกก็อยู่ตรงหน้าแล้ว จากตรงนั้นจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันและเข้าไปทางด้านหลังภูเขา เพราะปืนใหญ่ที่ช่างซึ่งมีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดของแทซากุกและเหล่าทหารที่คัดแยกมาช่วยกันขนย้ายและประกอบขึ้นมาอย่างแข็งขันอยู่ที่นั่น 


 


 


“ได้ทั้งหมดกี่กระบอกรึ” 


 


 


“รวมกับอันที่เอามาจากประเทศตะวันตกแล้ว อันที่สามารถเคลื่อนย้ายได้มีทั้งหมดห้าสิบกระบอกขอรับ ท่านแม่ทัพ” 


 


 


ห้าสิบกระบอก จะว่าขาดก็ขาด แต่ถ้าหากใช้ได้เป็นอย่างดีมันจะแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ากำลังพลหนึ่งกองทัพเสียอีก แต่ไม่มีเวลามานั่งกลุ้มใจแล้ว เขาจึงสั่งให้ขนปืนใหญ่กับอาวุธทั้งหมดและไปรวมพลกันที่แนวชายฝั่งทะเล ทหารเรือกำลังถูกต้อนไปเป็นเบี้ยล่างจนน่านับถือว่าสามารถอดทนจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร ส่วนเรือที่มีจำนวนน้อยกว่าที่เขารู้ก็กำลังเสี่ยงชีวิตในการต้านทานทหารสัมพันธมิตรซึ่งหลั่งไหลเข้ามาอย่างนับไม่ถ้วน 


 


 


และสองวันต่อมา ในท้ายที่สุดด่านแรกของแนวป้องกันทางทะเลก็ถูกเจาะทะลวง ทหารฝ่ายศัตรูจึงขึ้นฝั่งมาได้ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม