เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 151-158

 151 คำอธิบายสำหรับเรื่องโง่ๆ ที่ทำลงไป

 


 


 


 


“แค่นี้ไม่พอหรอกนะ” เขายักคิ้วหลิ่วตาให้เป็นนัย 


 


 


ใบหน้าเธอแดงซ่านเพราะเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อเป็นอย่างดี เธอลังเลชั่วครู่แล้วโน้มกายลงประทับรอยจุมพิตลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ ขณะที่เขาตาเป็นประกายและกำลังจะจูบตอบอย่างลึกซึ้งเธอกลับถอนจุมพิตออกเสียก่อน เธอส่ายศีรษะอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ได้นะ เราอยู่ข้างนอกนะคะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ห้องนอนนะ รักษาภาพลักษณ์หน่อย ภาพลักษณ์น่ะ” 


 


 


เขามองเธอด้วยความรู้สึกเสียดายและไม่เต็มใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้ชิมรสชาติเธอ ก่อนหน้านี้เขาและเธอทำสงครามประสาทโดยที่ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร จากนั้นเธอก็ถูกจ้านซีเยวี่ยลักพาตัวไป พอช่วยเธอออกมาได้แล้วก็ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก สรุปแล้วเขาไม่มีโอกาสใกล้ชิดเธอเลย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเขาต้องอดกลั้นมาตลอดจนกระทั่งถึงวันนี้ 


 


 


ตอนนี้พอเขาถูกเธอยั่วยวนนิดเดียวก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่ไหว เขามองเธอแวบหนึ่ง ในใจแอบคิดว่ากลับถึงบ้านแล้วจะต้องจัดการปราบพยศเธอเสียให้หนำใจ 


 


 


สายตาชั่วร้ายของเขาทำให้เธอกระสับกระส่ายพลางขดตัวเล็กน้อย “คุณมองฉันแบบนั้นทำไม คนทะลึ่ง” 


 


 


เธอคุ้นเคยกับสายตาแบบนี้ของเขาเป็นอย่างดี แววตาเป็นประกายวิบวับจนน่าตกใจ เปลวเพลิงเต้นระริกซ่อนอยู่ในนั้น เมื่อราตรีมาเยือน เปลวเพลิงนั้นจะโอบล้อมกายเธอไว้และเผาผลาญเธอจนมอดไหม้ 


 


 


เขามองใบหน้าร้อนผ่าวของเธอแล้วหัวเราะเบาๆ โน้มกายเข้าใกล้พลางเอ่ยเสียงพร่าต่ำข้างหูเธอ “กลับไปแล้วต้องอาบน้ำให้สะอาดแล้วรอผมกลับมานะ เข้าใจไหม” 


 


 


“ทำไม…ทำไมคุณถึงคิดถึงแต่เรื่องนี้นะ” เธอมองเขาตาเขียวปั๊ด แต่น่าเสียดายที่ดวงตาเธอสดใสเป็นประกาย ดูแล้วไม่เหมือนคนกำลังโกรธหากแต่กำลังออดอ้อนเสียมากกว่า 


 


 


เขาหัวเราะเบาๆ “ก็ผมคิดถึงคุณมากนี่นา คุณไม่คิดถึงผมบ้างเหรอไง หือ?” 


 


 


“นี่คุณไม่อายบ้างเหรอคะ ที่นี่มันในรถนะ” 


 


 


จิ้นหยวนกลับตอบตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “คุณจะกลัวอะไร ถ้าพวกเขากล้าเอาไปพูดข้างนอก ผมจะตีให้ขาหักเลยคอยดู” 


 


 


อาฮุยที่กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถอยู่เบาะหน้าและปิดปากเงียบมาตลอดทางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “คุณเฉียวไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ความจริงหูของผมไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ดีบ้างไม่ดีบ้าง คุณไม่ต้องสนใจผมหรอกนะครับ ถือเสียว่าผมเป็นแค่อากาศธาตุก็พอ เพราะถึงยังไงผมก็ไม่ได้ยินอยู่แล้วล่ะครับ” 


 


 


อาฮุยไม่เอ่ยอะไรเลยยังพอทำเนา แต่พอเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้วก็ถึงกับหน้าแดงก่ำจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี เธอเอ่ยกับจิ้นหยวนเสียงเขียว “คุณอยู่ให้ห่างๆ ฉันเลยนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณแล้ว!” 


 


 


จิ้นหยวนถูจมูกไปมาพลางยิ้มขมขื่น เขาอุตส่าห์หลอกล่อเธอตั้งนานกว่าเธอจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม แต่ตอนนี้เธอไม่ยอมให้เขามีโอกาสแทะโลมเธออีกแล้ว เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะ ‘คุณไม่อายแต่ฉันอายนะ!’ น่ะสิ 


 


 


จิ้นหยวนจนปัญญา เขาได้แต่ภาวนาให้กลับถึงบ้านเร็วๆ เขาจะได้รีบๆ  ‘เผด็จศึกและกินให้อิ่มหนำสำราญ’ 


 


 


แต่… เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ 


 


 


ทั้งสองเดินเข้าไปในบ้านก็ชนเข้ากับหญิงสาวอีกคนที่กำลังจะเดินออกจากบ้านพอดี ทั้งสามต่างตกใจเล็กน้อย โดยเฉพาะหญิงสาวคนนั้น ใบหน้างดงามของเธอตกใจลนลานจนก้าวเท้าถอยหนีหลายก้าว 


 


 


เฉียวซือมู่จำเธอได้ทันที เธอมุ่นหัวคิ้วเรียวสวยชนกัน หันไปมองจิ้นหยวนด้วยความผิดหวัง “ที่แท้เธอก็ยังอยู่ที่นี่” 


 


 


จิ้นหยวนกู่ร้องอยู่ในใจว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว เขามองเซียวเข่อเอ๋อร์หน้าเข้ม “ฉันจำได้ว่าให้เธอย้ายออกไปตั้งนานแล้วนี่ ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่อีก” 


 


 


หญิงสาวคนนั้นคือเซียวเข่อเอ๋อร์ เธอสวมชุดสำหรับออกไปข้างนอก ในมือถือกระเป๋าเอาไว้ ท่าทางเหมือนคนกำลังจะกลับบ้านจริงๆ แต่จิ้นหยวนจำได้ว่าเขาบอกให้เธอกลับไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แล้วทำไมจนป่านนี้แล้วเธอยังไม่ไปไหนอีก? 


 


 


เซียวเข่อเอ๋อร์ตกใจจนพูดไม่ออก ยิ่งเห็นสีหน้าของจิ้นหยวนที่เข้มขึ้นตามลำดับก็ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปอีก 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกไม่พอใจ เธอยิ้มเย็นพลางเอ่ย “พวกคุณคุยกันไปเถอะ ฉันขอตัวก่อน” เอ่ยจบแล้วทิ้งจิ้นหยวนเอาไว้คนเดียว ส่วนตัวเองเดินขึ้นบันไดไป 


 


 


จิ้นหยวนคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องคืนดีกับเธอให้ได้ แล้วเขาจะยอมปล่อยให้เธอเดินหนีไปทั้งๆ ที่ยังเข้าใจผิดได้อย่างไร? เขาไม่มีแก่ใจถามอะไรเซียวเข่อเอ๋อร์อีก รีบวิ่งพรวดขึ้นบันไดจนตามเฉียวซือมู่ทัน เขายิ้มเอาอกเอาใจเธอ “คุณอย่าโมโหสิ ผมสั่งให้คนไล่เธอไปตั้งนานแล้ว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…” 


 


 


เซียวเข่อเอ๋อร์เห็นจิ้นหยวนจากไปแล้วค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง เธอหมุนตัวกลับแล้วเจอพ่อบ้านเฉินที่มีสีหน้าเรียบเฉยกำลังยืนจ้องเธออยู่ข้างหลังพอดี เธอยิ้มเก้อๆ อย่างเกรงใจ “พ่อบ้านเฉิน” 


 


 


เขาผงกศีรษะให้เธอเล็กน้อยราวมองไม่เห็นรอยยิ้มประจบของเธอแล้วเอ่ย “ถ้าร่างกายแข็งแรงแล้วก็รีบไปจากที่นี่เถอะครับ” 


 


 


ความจริงเธอต้องย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงชั่วข้ามคืน อยู่ดีๆ เธอก็เป็นไข้ตัวร้อนเสียอย่างนั้น อาการของเธอเพิ่งจะดีขึ้นเมื่อครู่นี้เอง พ่อบ้านเฉินเห็นว่าเธอเดินเหินได้แล้วจึงรีบจัดการให้เธอออกจากไปที่นี่ทันที แต่ก็ยังเจอกับจิ้นหยวนและเฉียวซือมู่เข้าจนได้ 


 


 


พ่อบ้านเฉินถอนหายใจ เขายืนส่งเซียวเข่อเอ๋อร์ที่ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป อีกใจกำลังเฟ้นหาคำอธิบายที่เหมาะสมให้คุณชาย 


 


 


จิ้นหยวนไม่มีเวลาถามไถ่อะไรมากมาย เขาได้แต่เสียใจที่ตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ ลงไป ทำไมเขาถึงใช้วิธีโง่ๆ แบบนี้กันนะ เขานึกว่าทำให้เธอหึงหวงเสียบ้างจะได้บีบให้เธอพูดความในใจออกมา แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาบีบเธอได้จริงๆ แต่บีบจนเธอหนีออกจากบ้านจนเกือบเอาตัวไม่รอดแทน 


 


 


แล้วตอนนี้เขายังไม่รีบแก้ไขสิ่งผิดพลาดอีกหรือ? 


 


 


เขาหน้าขรึมเดินหมุนไปวนมาอยู่ตรงหน้าเธอ พยายามอธิบาย “เมียจ๋า…” 


 


 


เฉียวซือมู่ค้อนควัก “ใครเป็นเมียคุณ!” 


 


 


“ก็คุณไง” เขาพูดหน้าด้านๆ เฉียวซือมู่โมโหจนเดินขึ้นบันไดชั้นสามเพื่อกลับห้องของตัวเอง แต่เมื่อไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูก็พบว่าประตูห้องถูกล็อกเอาไว้ 


 


 


เธอพยายามเปิดอย่างไรก็เปิดไม่ออกเสียที เธอมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือของเขาแน่จึงหมุนตัวกลับไปมองเขาตาเขียวปั๊ด “ฉันจะเข้าห้อง สั่งให้คนมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้!” 


 


 


โอกาสดีขนาดนี้จิ้นหยวนไม่มีทางปล่อยหลุดมือเด็ดขาด เขารีบเข้าไปสวมกอดเธอเอาไว้แน่น “คุณอย่าโกรธเลยนะ กลับห้องกับผมเถอะนะ” 


 


 


“ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นฝีมือคุณ คุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าฉันอยากจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ตามใจฉันน่ะ ทำไม? ตอนนี้กลับคำแล้วเหรอคะ” เฉียวซือมู่เอ่ยถามอย่างประชดประชัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากเธอถูกลักพาตัว อารมณ์ของเธอค่อนข้างแปรปรวนง่าย วินาทีที่เธอเห็นเซียวเข่อเอ๋อร์ มันทำให้เธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้านี้ที่เขาทำสารพัดอย่างเพื่อทำร้ายจิตใจเธอ เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้วเธอก็ทนไม่ได้จนต้องทะเลาะกับเขา 


 


 


 จิ้นหยวนยิ้มขมขื่น สองแขนของเขาโอบกอดเธอเอาไว้แน่นไม่กล้าคลายออก “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ผมแค่อยากจะลองใจคุณ ดูซิว่าคุณแคร์ผมบ้างหรือเปล่า ผมกับเซียวเข่อเอ๋อร์ไม่มีอะไรกันเลย ผมไม่เคยแตะต้องเธอแม้แต่ครั้งเดียว!” 


 


 


เขารีบอธิบายอย่างร้นรน กลัวเหลือเกินว่าเธอจะไม่ยอมเชื่อเขา “ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองไปถามเธอดูก็ได้ ตอนนี้เธอยังไม่ได้ไปไหนนี่” 


 


 


เฉียวซือมู่มองเขา “คุณพูดจริงเหรอคะ” 


 


 


จิ้นหยวนรีบสาบาน “จริงแน่นอน ตอนนั้นผมเป็นบ้าไปแล้ว คิดแต่อยากจะทำให้คุณดีกับผมบ้าง ก็เลยคิดวิธีโง่ๆ แบบนั้นขึ้นมา ผมไม่คิดเลยว่าคุณไม่ยอมทะเลาะกับผมด้วยซ้ำ” 


 


 


“นี่คุณกำลังบอกว่าฉันไม่ดีใช่ไหมคะ” ใบหน้ายิ้มหากแต่ไร้รอยยิ้มของเธอเอ่ยถามขึ้น 


152 นานาอุปสรรค 

 


 


 


จิ้นหยวนรู้ตัวว่าพูดผิดไปจึงรีบส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “เปล่า ไม่ใช่นะ เป็นเพราะผมไม่ดีเอง ผมไม่ควรใช้วิธีโง่ๆ อย่างนั้นลองใจคุณ ผมผิดเอง” 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดจาเสียงอ่อนเช่นนี้เพื่อขอความเมตตาจากเธอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากมีคนบอกกับเขาว่าต่อไปเขาจะต้องทำแบบนี้ เขาคงหักขาคนคนนั้นไปแล้ว เขาเป็นถึงท่านประธานใหญ่แห่งตระกูลจิ้น รอบกายมีแต่สาวๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่ซ้ำหน้า ไม่มีวันที่เขาจะต้องพูดกับสาวๆ เสียงอ่อนเช่นนี้เด็ดขาด 


 


แต่ตอนนี้เขาคงต้องยอมรับความจริงแล้วว่า เขา…จิ้นหยวน ทายาทหนึ่งเดียวแห่งตระกูลจิ้นแพ้ อย่างราบคาบ ยอมศิโรราบอยู่ใต้เท้าของหญิงสาวที่ชื่อเฉียวซือมู่คนนี้ และไม่มีวันแยกจากเธออีก 


 


เฉียวซือมู่มองเขาอยู่นานสองนานกว่าจะเอ่ยปากพูดออกมา “ก็ได้ ฉันเชื่อคุณค่ะ” 


 


“จริงนะ” เขาถามด้วยความตื่นเต้นดีใจ 


 


เธอเบือนหน้าหนี “ถ้าคุณคิดว่าฉันโกหก ถ้าอย่างนั้นฉันอยู่ที่นี่เหมือนเดิมดีกว่า ไม่ไปกับคุณแล้ว” 


 


“ไม่นะ ไม่เอา คุณย้ายกลับเถอะนะ ผมจะอยู่กับคุณ” เขารีบห้ามปราม ไม่กล้าเอ่ยเรื่องของเซียวเข่อเอ๋อร์อีก 


 


ตอนนั้นเขาคงเป็นบ้าไปแล้วถึงได้คิดวิธีโง่ๆ แบบนั้นออกมาได้ เขานี่มัน… 


 


กระนั้น สุดท้ายเฉียวซือมู่ก็ย้ายกลับมายังห้องเดิมที่เคยอยู่… นั่นคือห้องนอนของจิ้นหยวน 


 


เธอนั่งอยู่บนขอบเตียง มองดูข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างครบครัน ในใจทั้งโมโหทั้งขำ ดูท่าทางแล้วเขาคงวางแผนให้เธอย้ายกลับมาตั้งแต่ต้นแล้ว มิเช่นนั้น ข้าวของเครื่องใช้ของเธอที่อยู่ในห้องนอนชั้นสามคงไม่มาปรากฎอยู่ที่ห้องนี้หรอก  


 


ตอนนี้ที่ห้องนอนชั้นสามคงกลายเป็นห้องว่างไปแล้ว ประตูห้องถึงได้ถูกล็อกเอาไว้ 


 


เธอมองแผ่นหลังของจิ้นหยวนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่พลางคลี่ยิ้มบางๆ 


 


ความจริงเธอรู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเซียวเข่อเอ๋อร์นั้นไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากสัญชาตญาณของผู้หญิงเท่านั้น และดูเหมือนว่าสัญชาตญาณของเธอยังคงแม่นเหมือนเดิม 


 


หลังจากผ่านเรื่องที่เธอถูกลักพาตัว ตอนนี้เธอเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองแล้ว แม้ตอนนั้นเธอจะโกรธจิ้นหยวนมาก แต่ส่วนลึกสุดในจิตใจเธอยังคงคิดถึงเขาเป็นคนแรกเสมอ นั่นหมายความว่าความรู้สึกจริงๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกสุดในใจเธอคือเธอตกหลุมรักจิ้นหยวนเข้าแล้วใช่ไหม? 


 


เธอถอนหายใจเบาๆ การตกหลุมรักจิ้นหยวนเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด อย่าเพิ่งพูดถึงฐานะที่แตกต่างราวฟ้ากับดินระหว่างเขาและเธอเลย แม้แต่การผ่านด่านคุณพ่อคุณแม่ของเขาก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกัน ดูท่าทางแล้วหนทางข้างหน้าคงมีแต่นานาอุปสรรคที่ยังรอเธออยู่ 


 


แต่น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด เพราะตอนนี้เธอรับรู้ความจริงใจของจิ้นหยวนแล้ว และเธอเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ฉายเดี่ยวในเกมแห่งรักครั้งนี้ 


 


จิ้นหยวนวางโทรศัพท์มือถือลง เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งลงข้างกายเธอ จากนั้นกอดเธอเอาไว้พลางเอ่ยเสียงหวานอยู่ข้างหูเธอ “คิดอะไรอยู่เหรอ” 


 


เธอหัวเราะเบาๆ เก็บความรู้สึกนึกคิดเมื่อครู่เอาไว้ จากนั้นส่งยิ้มอบอุ่นให้เขา เธอวางมือลงบนหลังมือของเขาพลางเอ่ย “คิดถึงคุณค่ะ” 


 


เอ่ยจบก็ต้องรู้สึกเสียใจทันที เธออยากจะกลืนคำพูดเมื่อกี้กลับคืนเหลือเกิน เพราะเธอสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขาหลังเธอเอ่ยจบทันที แววตาของเขาเป็นประกายวิบวับจนน่าตกใจ เขาใช้แรงโอบกอดเธอแน่นมากยิ่งขึ้นพลางเอ่ย “คุณพูดว่าอะไรนะ พูดอีกครั้งได้ไหม” 


 


“คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันเจ็บ” เธอนิ่วหน้าพลางปฏิเสธ 


 


จิ้นหยวนผ่อนแรงลงเล็กน้อย แต่เขายังคงจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ “คุณพูดว่าอะไร ไหนพูดอีกทีซิ” 


153 ดุจนางฟ้า 

 


 


 


เฉียวซือมู่ไม่ตอบ จิ้นหยวนเองก็ไม่ซักไซ้ถามเธออีก เมื่อกี้เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองหู เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อก็เท่านั้นเอง 


 


ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข และไม่รู้ว่าตกลงสู่ห้วงนิทราตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


เฉียวซือมู่ตื่นขึ้นอีกครั้งในเช้าวันถัดมา เธอลืมตาขึ้นพลางเห็นแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมหวนของอาหารแสนโอชะนานาชนิดลอยเข้าจมูกเธอ เธอหน้าแดงด้วยความอายที่ท้องเธอร้องจ๊อกๆ ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารน่าอร่อยพวกนั้น  


 


“ทำไมหน้าแดงจัง” จู่ๆ เสียงของจิ้นหยวนก็ดังลอยมากระทบหู เธอเงยหน้าขึ้นมองถึงเห็นว่าเขากำลังนั่งมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย เขาเอ่ยถามพลางยื่นหลังมือมาอังที่หน้าผากเธอเบาๆ “ตัวร้อนอีกแล้วเหรอ” 


 


เธอปัดมือเขาออกอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไม่ได้ป่วย แต่ถ้าขืนคุณยังทำแบบนี้อยู่อีกก็ไม่แน่” 


 


จิ้นหยวนชะงักเล็กน้อยด้วยความกระดากใจ 


 


เธอทำเสียงฮึดฮัด เขาจะต้องทำอะไรเธอหลังจากเธอหลับสนิทแล้วเป็นแน่ 


 


ตอนนี้เธอหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งถึงเช้านี้ผ่านเวลาไปตั้งสิบกว่าชั่วโมงแล้ว จะไม่ให้เธอหิวได้อย่างไร 


 


จิ้นหยวนรู้สาเหตุที่ทำให้เธอไม่พอใจ แต่มันก็เป็นความผิดของเขาจริงๆ เขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมของตัวเอง 


 


เฉียวซือมู่อยากจะด่าสั่งสอนเขาเสียให้เข็ด แต่ความหิวทำให้เธอหมดอารมณ์ด่าคนไปโดยปริยาย โดยเฉพาะตอนเธอเห็นอาหารหอมหวนแสนโอชะที่วางอยู่เต็มโต๊ะแล้วแทบจะลุกเดินไม่ไหวเพราะมันยั่วน้ำลายเหลือเกิน เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหักห้ามใจตัวเองแล้วเดินเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำด้วยความเสียดายโดยมีสายตาขำขันของจิ้นหยวนคอยจ้องมองเธออยู่ 


 


เธอใช้เวลาในการจัดการตัวเองด้วยเวลาอันรวดเร็วเป็นเท่าตัวจากปกติ จากนั้นรีบวิ่งไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่องไว แต่เป็นเพราะเธอทำทุกอย่างรวดเร็วเกินไปจึงเป็นเหตุทำให้เธอเจ็บกล้ามเนื้อเป็นพิเศษ เธอจึงตวัดสายตาทั้งแค้นระคนโมโหจ้องตัวต้นเหตุเขม็ง 


 


จิ้นหยวนได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิดโดยไม่ปริปากบ่น ไหนๆ เขาก็ได้กำไรเต็มไม้เต็มมือแล้วก็ปล่อยให้เธอได้ระบายอารมณ์เสียบ้างจะเป็นไรไป อีกอย่างเขาเองก็รู้ตัวดีว่าเมื่อคืนเขาทำเลยเถิดไปหน่อย ทั้งๆ ที่ร่างกายเธอยังไม่หายดีแท้ๆ 


 


เรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายผิดเอง เพราะฉะนั้นเช้านี้เขาจึงยอมให้เธอระบายความไม่พอใจโดยที่เขาไม่ถือสาเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เขายิ้มแต้อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก พลางรินนมสดแก้วใหญ่แล้วยื่นให้เธอ “เอ้า ดื่มนมหน่อยนะ” 


 


นมสดเป็นหนึ่งในอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนที่สุดสำหรับมื้อเช้า และมันเหมาะกับสุขภาพของเธอในตอนนี้ที่สุด 


 


เธอมองเขาพลางเอ่ย “เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าฉันดื่มหมดนี่คงไม่ต้องกินอย่างอื่นแล้วล่ะ” นี่มันนมสดตั้งห้าร้อยซีซีเลยนะ เธอดื่มไม่หมดแน่ 


 


จิ้นหยวนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วยกแก้วนมของเธอขึ้นดื่มอึกใหญ่ เขาดื่มรวดเดียวจนหมดไปเกือบหนึ่งส่วนสาม จากนั้นวางแก้วนมลงตรงหน้าเธอหน้าตาเฉย “เท่านี้คงไหวแล้วนะ?” 


 


เธอมองแก้วนมทีแล้วมองจิ้นหยวนที ในใจแอบแขวะว่าที่บ้านนี้ไม่มีแก้วใบอื่นอีกแล้วหรือถึงต้องทำแบบนี้ 


 


เขาเลิกคิ้วถาม “เรื่องใกล้ชิดสนิทแนบแน่นกว่านี้เราสองคนยังทำกันแล้ว คุณยังจะอายอะไรอีก” เขาเอ่ยกำกวมทีเล่นทีจริงพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้เธอ 


 


เฉียวซือมู่จับแก้วนมเอาไว้แน่นแล้วสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ผู้ชายคนนี้กลายเป็นคนหน้าไม่อายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน โชคดีที่ไม่มีคนอื่นอยู่ตรงนี้ด้วย ถ้าเกิดมีใครมาได้ยินเข้าเธอคงอับอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีเป็นแน่ 


 


เธอตวัดสายตาจ้องเขาตาเขียวด้วยใบหน้าแดงซ่านแล้วยกแก้วนมขึ้นดื่มอึกใหญ่แบบที่เขาทำ จากนั้นหยิบขนมปังขึ้นกัดอีกคำใหญ่ 


 


อาหารเช้ามื้อนี้เป็นอาหารเช้าแบบตะวันตกที่ไม่เหมือนเดิม โชคดีที่เธอเป็นคนไม่เรื่องมากเรื่องอาหารการกิน ขอแค่ไม่ใช่อาหารบางอย่างที่เธอกินไม่ได้ นอกนั้นเธอกินทุกอย่างที่มีคนเอามาเสิร์ฟ 


 


เช้านี้เธอหิวมากเป็นพิเศษเนื่องจากเธอไม่ได้รับประทานอาหารเป็นเวลานาน นอกจากนี้ร่างกายเธอยังสูญเสียพลังงานไปจนหมดสิ้นอีก 


 


ดังนั้น ผ่านเวลาไปเพียงไม่นานอาหารเต็มโต๊ะจึงถูกทั้งสองกินจนเกลี้ยง เธอกินอาหารหมดไปเกือบครึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจนทำให้จิ้นหยวนเป็นกังวลและกลัวว่าเธอกินเยอะเกินไปจนอาจจะจุกได้ เขาสังเกตอาการเธออยู่สักพักจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเธอไม่เป็นอะไรจึงหมดห่วง 


 


สาวใช้เข้ามาเก็บจานชามหลังจากทั้งสองรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉียวซือมู่ดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาเก้านาฬิกาแล้ว เธอดึงผ้าม่านหน้าต่างให้เปิดออก แสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าสาดส่องเข้ามาในห้อง สายลมอบอุ่นพัดผ่านเข้ามากระทบใบหน้าเธอเบาๆ ทำให้รู้สึกเบาสบายและสดชื่นไปทั้งร่างกาย เธอปิดเปลือกตาลงพลางสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ สัมผัสถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นไม้ใบหญ้ายามอรุณแทรกซึมอยู่ในอากาศ เธอหวนนึกถึงช่วงเวลายากเย็นแสนเข็ญที่ถูกจับตัวขังเอาไว้ในห้องขังแคบๆ โดยไร้ที่พึ่งใดๆ แล้วรู้สึกราวอยู่กันคนละโลก 


 


จิ้นหยวนมองเธอด้วยใบหน้าตกตะลึงราวต้องมนตร์ เธอสวมชุดนอนกระโปรงยาวสีขาว สายลมพัดพาชายกระโปรงบางเบาปลิวไสวไปตามแรงลม ท่วงท่างดงาม ใบหน้าที่หลับตาพริ้มบริสุทธิ์ดุจนางฟ้าลงมาสู่แดนดิน ช่างเป็นภาพมายาที่ดูมีชีวิตชีวาเหลือคณานับราวกับเธอกำลังจะล่องลอยไปตามสายลม 


 


หัวใจของจิ้นหยวนสั่นไหว เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็วอย่างลืมตัว จับมือเธอเอาไว้แน่นพลางเอ่ยอย่างลนลาน “มู่มู่” 


 


เธอชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ลืมตาแล้วหันไปเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปคะ” 


 


บรรยากาศในตอนนี้ดีมากและทำให้รู้สึกสบายมาก แล้วทำไมสีหน้าของเขาถึงดูเคร่งเครียดล่ะ 


 


จิ้นหยวนได้สติ รู้สึกว่าความรู้สึกเมื่อกี้ของตัวเองน่าขันยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงคิดอะไรเหลวไหลเช่นนั้นได้ 


154 ลาออก

 


 


 


 


เขาหัวเราะขำความคิดของตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไร แค่อยู่ดีๆ ก็อยากกอดคุณขึ้นมาน่ะ” 


 


 


เธอส่งยิ้มให้เขาโดยไร้ข้อกังขาในคำพูดของเขา “คุณก็กอดสิคะ ตอนนี้ลมพัดกำลังสบายเลย” 


 


 


เขาเดินเข้าไปโอบกอดเธอเอาไว้แน่น ฝังศีรษะลงบนซอกคอของเธอ “ผมรู้สึกว่าแบบนี้ดีกว่า” 


 


 


เธอหัวเราะด้วยความประหลาดใจ สัมผัสถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่เป่ารดลงบนต้นคอของเธอจนทำให้เธอรู้สึกวาบหวามจนต้องหดคอหนีพลางหัวเราะหยอกเย้า “คุณอย่าทำอย่างนี้สิคะ มันจั๊กจี้นะ” 


 


 


จิ้นหยวนทำเป็นหูทวนลม เขาซุกไซ้หาความสุขตามซอกคอเธอจนพอใจแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของเขาชุ่มฉ่ำ ลำคอของเธอเปียกชื้น เธอลูบลำคอตัวเองเบาๆ พลางเอ่ยเสียงดุหากแต่ซุกซน “คุณเป็นหมาเหรอถึงได้เลียคนอื่นแบบนี้” 


 


 


จิ้นหยวนใช้นิ้วไล้ใบหน้าเธอเบาๆ “พักผ่อนอยู่ที่บ้านให้เต็มที่นะ ผมต้องไปแล้ว” 


 


 


“คุณจะไปไหนคะ” เธอได้ยินคำพูดของเขาแล้วรู้สึกจิตใจไม่สงบขึ้นมาในบัดดล พลั้งปากถามออกไปแล้วถึงรู้สึกตัวว่าถามอะไรไม่คิด เขาก็ต้องออกไปทำงานสิ เธอถามแบบนี้มันน่าตลกมากไม่ใช่เหรอ 


 


 


จิ้นหยวนมองสีหน้าอาลัยอาวรณ์ของเธอแล้วรู้สึกหวั่นไหวไม่น้อย ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำตัวติดเขาแจแบบนี้มาก่อนซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดี 


 


 


เสี้ยววินาทีนั้นเขาอยากจะโดดงานแล้วอยู่เป็นเพื่อนเธอจริงๆ แต่ภาระความรับผิดชอบทำให้เขาต้องหักห้ามใจเอาไว้แล้วเอ่ยกับเธอ “เด็กดี วันนี้เลิกงานแล้วผมจะรีบกลับบ้านมาหาคุณทันที คุณรอผมอยู่ที่บ้านนะ หือ?” 


 


 


เธอหน้าแดงซ่านเพราะรู้ว่าเขาอ่านความคิดของเธอออก เธอทำแก้มป่องปากจู๋น่ารัก “ใครคิดถึงคุณกัน คุณรีบไปได้แล้ว” 


 


 


“ผู้หญิงปากแข็ง” เขาแกล้งบีบจมูกเธอจนเธอร้องออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บ จากนั้นฉวยโอกาสที่เธอกำลังเผลอฝากรอยจุมพิตลึกซึ้งลงบนริมฝีปากเธอจนทำให้เธอหน้าแดงก่ำ เขาจูบเธอจนเธอแข้งขาอ่อนปวกเปียกจนแทบจะยืนไม่ไหวเขาจึงถอนจุมพิตออกจากเธออย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นหมุนตัวผละเดินจากไปโดยไม่กล้าหันมองเธออีกเพราะกลัวว่าจะยอมแพ้ให้กับความอ่อนหวานของเธอจนไม่อาจจากเธอไปไหนอีก 


 


 


มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เขาไม่สามารถปฏิบัติตนดั่ง ‘แต่นั้นมาภูวไนยไม่ออกขุนนาง’ ครอบครัวปลูกฝังเขาแต่เล็กว่าเป็นชายต้องถืองานเป็นสำคัญ ห้ามละเลยหน้าที่การงานเพราะเหตุอื่นเป็นอันขาด 


 


 


เขาจำคำสอนนี้ได้ฝังใจไม่เคยลืม 


 


 


เฉียวซือมู่ไล้ริมฝีปากร้อนผ่าวและบวมแดงของตัวเองอย่างเผลอไผล เธอมองแผ่นหลังของเขาที่กำลังก้าวเท้ายาวๆ เดินจากไปอย่างเร่งร้อนพลางคิดในใจว่าทำไมท่าทางของเขาถึงดูยุ่งยากใจขนาดนั้น หรือเขาจะเจอปัญหายุ่งยากเข้าเสียแล้ว? 


 


 


เธอคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จิ้นหยวนถือคติผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง เขาจึงแทบจะไม่เคยเล่าเรื่องงานให้เธอฟัง เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เขากำลังแก้แค้นตระกูลจ้าน ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้เธอแทบจะไม่รู้อะไรเลย 


 


 


เธอถอนหายใจแล้วปล่อยวางไม่คิดเรื่องนี้อีก เธอจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย ร่องรอยที่เขาฝากไว้ตามร่างกายที่สามารถทายาเธอก็ทายา ส่วนตรงไหนที่ทายาไม่ได้ก็อาศัยทารองพื้นปกปิดร่องรอยเอาไว้ จากนั้นเปิดคอมพิวเตอร์แล้วติดต่อกับลูกน้องที่บริษัท เธอเล่าเรื่องเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพียงคร่าวๆ เท่านั้น 


 


 


แม้ลูกน้องของเธอจะได้ยินเรื่องราวของเธอจากทางจิ้นหยวนมาบ้างแล้วและเขายังช่วยลางานให้เธออีกด้วย แต่พวกเฝิงเจ๋อยังคงเป็นห่วงเธอมาก โดยเฉพาะหรงเซียวที่แทบจะกระโดดโลดเต้น “พี่มู่มู่ พี่เป็นยังไงบ้าง ร่างกายดีขึ้นหรือยังคะ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่ครั้งนี้มันแปลกพิกลล่ะคะ” 


 


 


เฉียวซือมู่ยิ้มบางๆ นิ้วเรียวเคาะลงบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วและช่ำชอง “พี่ไม่เป็นไรแล้ว แค่เกิดเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อยจนทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เชื่อพี่สิ เดี๋ยวพี่ก็กลับไปทำงานได้เหมือนเดิมแล้ว” 


 


 


“จริงเหรอครับ” เฝิงเจ๋อพิมพ์ถาม “แต่ผมคงรอพี่กลับมาไม่ไหวแล้วล่ะครับ” 


 


 


“เธอหมายความว่ายังไง” เธอรีบพิมพ์ถามด้วยความตกใจ 


 


 


ผ่านไปสักพักกว่าข้อความของเฝิงเจ๋อจะกระเด้งออกมา “บริษัทฮวาฉีเสนองานให้ผมและผมตอบรับไปแล้ว ผมยื่นใบลาออกให้ บ.ก. ต้วนเรียบร้อยแล้วและอาจจะไปพรุ่งนี้เลย” 


 


 


เฉียวซือมู่อ่านข้อความของเฝิงเจ๋อแล้วขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เรื่องนี้ชักทะแม่งๆ เสียแล้ว ทั้งๆ ที่เฝิงเจ๋อทำงานได้ดีมาก เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงคิดจะไปจากที่นี่เสียล่ะ? ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดเลยสักครั้งว่าจะออกจากที่นี่ เมื่อก่อนเขายังพูดติดตลกอยู่เลยว่าจะยอมพลีกายถวายทั้งชีวิตเพื่อบริษัทนี้ แล้วเหตุใดตอนนี้จึงคิดจะลาออกเสียแล้ว 


 


 


เรื่องของเฝิงเจ๋อเกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนเธอรู้สึกว่ามันผิดปกติ เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามเขา “เธอมีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นพี่ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเธอจะไปจากที่นี่จริงๆ โดยไม่คิดจะรอเจอหน้าพี่ก่อนด้วยซ้ำ” 


 


 


เฝิงเจ๋อนิ่งเงียบไปอีกชั่วครู่แล้วพิมพ์ตอบกลับไป “ผมไม่มีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้ พี่คิดมากเกินไปแล้ว ที่ผมลาออกจากที่นี่ก็เพราะบริษัทฮวาฉีเสนอเงินเดือนสูงกว่า พี่ก็รู้นี่ครับว่าผมทำงานที่นี่ตั้งนานแล้วแต่ไม่เคยได้ขึ้นเงินเดือนเลย ผมเองก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน พอมีโอกาสเข้ามาผมก็เลยรีบคว้าเอาไว้ ผมขอโทษที่ผิดคำพูด” 


 


 


เฉียวซือมู่จ้องข้อความของเฝิงเจ๋อตาเขม็ง ความคลางแคลงในใจยังคงไม่เลือนหาย แม้เขาจะให้เหตุผลที่ฟังดูสมบูรณ์แบบแต่เธอยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีกลิ่นตุๆ อยู่ดี เพียงแต่เขาให้เหตุผลเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเขาตัดสินใจไม่ยอมปริปากบอกอะไรอีกอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นเธอเองก็ไม่มีเหตุผลรั้งเขาเอาไว้ ดังนั้น หลังจากเธอใคร่ครวญชั่วครู่จึงจำใจตอบกลับไป “โอเค ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะไม่รั้งเธออีก ขอให้เธอโชคดีกับงานใหม่นะ” 


 


 


หลังจากพิมพ์ข้อความแล้วเธอรู้สึกแปลกๆ ในอกราวถูกเฉือนเนื้อออกไปจนโหวงว่าง และเวลานี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอยังคงไร้ข้อความใหม่ตอบกลับมา 


 


 


เฝิงเจ๋อมองดูข้อความของเฉียวซือมู่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เขารู้สึกเจ็บปวดใจ แต่เขาพูดมันออกไปแล้วและไม่มีทางเรียกมันคืนกลับมาอีก 


 


 


เขาถอนหายใจพลางเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองดูเพื่อนร่วมงานรอบๆ กายด้วยความรู้สึกซับซ้อน อีกไม่นานเขาก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว ไปจากที่ที่เขาคุ้นเคยที่สุด และไปจากหญิงสาวที่ตนเองแอบหลงรักมานานแสนนาน… 


 


 


เฉียวซือมู่เหม่อลอยอยู่พักใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้แล้วเริ่มลงมือสะสางงาน เธอติดต่อต้วนฉี่รุ่ยและได้รับการยืนยันจากเขาว่าเฝิงเจ๋อยื่นใบลาออกจริงเธอถึงยอมตัดใจเรื่องของเขา 


 


 


เธอนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งเช้า จนกระทั่งใกล้เวลาเที่ยงจึงมีคนมาเคาะประตูห้องด้วยความสุภาพ 


 


 


เธอเดินไปเปิดประตูพลันเห็นสาวใช้กำลังยืนรออยู่หน้าประตูห้องและเอ่ยกับเธออย่างสุภาพ “คุณเฉียวคะ ได้เวลาลงไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ชั้นล่างแล้วค่ะ พ่อบ้านเฉินเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับคุณเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ” 


 


 


เธอหันกลับไปมองดูงานบนโต๊ะพลางครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบ “รอฉันแป๊บนะ เดี๋ยวฉันลงไป” 


 


 


“ได้ค่ะ” สาวใช้หน้ากลมหน้าตาน่าเอ็นดูเอ่ยตอบ 


 


 


เธอส่งยิ้มให้สาวใช้คนนั้นแล้วปิดประตูห้อง ลงมือทำงานที่ยังค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นเริ่มวางแผนว่าช่วงบ่ายจะทำอะไรบ้าง 


155 

เธอครุ่นคิดชั่วครู่พลันรู้สึกตลกตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอไม่ได้จะไปทำเรื่องไม่ดีเสียหน่อย แค่ไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น พวกเขาจะไม่ยอมให้เธอไปเลยหรือ 


 


 


เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงลงไปรับประทานอาหารแสนอร่อยที่พ่อบ้านเฉินเตรียมเอาไว้สำหรับเธอเป็นพิเศษ จากนั้นพ่อบ้านเฉินยังคอยกำกับดูแลให้เธอดื่มน้ำซุปบำรุงร่างกายถ้วยใหญ่จนหมดตามคำสั่งของจิ้นหยวนก่อนที่เขาจะออกไปทำงาน 


 


 


รสชาติน้ำซุปไม่แย่นักแต่ปริมาณค่อนข้างเยอะ เธอดื่มตั้งนานกว่าจะดื่มหมด พ่อบ้านเฉินเห็นว่าเธอดื่มน้ำซุปจนหมดอย่างว่าง่ายจึงเอ่ยยิ้มๆ “ร่างกายของคุณเฉียวค่อนข้างอ่อนแอ จำเป็นต้องบำรุงร่างกายเยอะๆ นะครับ” 


 


 


เธอหน้าแดงซ่าน รู้สึกว่าคำพูดของเขามีความนัยแอบแฝงอยู่กลายๆ 


 


 


เธอใช้เวลาทำใจให้สงบอยู่สักพักจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น “อาเฉินคะ” เธอรู้สึกดีกับชายวัยกลางคนผู้ซื่อสัตย์คนนี้เป็นอย่างมากจึงเรียกเขาด้วยความสุภาพ 


 


 


พ่อบ้านเฉินรีบปฏิเสธ “คุณเฉียวอย่าเรียกผมอย่างนั้นเลยครับ เรียกผมว่าพ่อบ้านเฉินก็พอ” 


 


 


เฉียวซือมู่ไม่ฟัง ยังคงเอ่ยเหมือนเดิม “อาเฉินคะ ฉันมีเรื่องอยากจะรบกวนค่ะ” 


 


 


“เรื่องอะไรครับ” เขายังคงเอ่ยอย่างสุภาพอ่อนน้อม 


 


 


เธอเอ่ย “ฉันอยากจะไปเยี่ยมคุณแม่น่ะค่ะ ให้คนพาฉันไปหน่อยได้ไหม” 


 


 


เธอไม่อยากออกไปข้างนอกโดยพลการแล้วถูกคนอื่นฉวยโอกาสทำร้ายเธออีกแล้ว เพราะฉะนั้นทำตัวดีๆ เป็นดีที่สุด 


 


 


พ่อบ้านเฉินสีหน้าลำบากใจ “แต่คุณชายจิ้นสั่งเอาไว้ว่าไม่อนุญาตให้คุณออกไปเถลไถลข้างนอก…” 


 


 


เธอรีบเอ่ยแทรกขึ้น “ฉันแค่ไปเยี่ยมคุณแม่ ไม่ถือเป็นการออกไปเถลไถลเสียหน่อย จริงไหมคะ?” 


 


 


พ่อบ้านเฉินมองเธออย่างลำบากใจ เขาสบเข้ากับดวงตาเจ้าเล่ห์ของเธอพอดีจนตกใจเล็กน้อย “ได้ครับ เดี๋ยวผมไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยครับ” 


 


 


เฉียวซือมู่ยิ้มดีใจ “ขอบคุณอาเฉินมากเลยนะคะ” 


 


 


พ่อบ้านเฉินโค้งให้เธอ “ไม่ต้องเกรงใจครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” 


 


 


เธอนั่งรออยู่บนโซฟาเงียบๆ ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นตามคาด เธอถอนหายใจแล้วกดรับสาย เสียงของจิ้นหยวนดังลอดมาตามสาย “ที่รัก กินมื้อเที่ยงหรือยัง” 


 


 


“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงโทรศัพท์หาเธอจึงตอบกลับไปอย่างเหนื่อยหน่าย “แถมยังดื่มน้ำซุปหมดไปตั้งถ้วยใหญ่อีกต่างหาก ตอนนี้จุกมาก” 


 


 


“พูดอะไรเหลวไหล นั่นเป็นน้ำซุปที่ผมสั่งให้เขาปรุงขึ้นเป็นพิเศษเพื่อบำรุงร่างกายคุณโดยเฉพาะเลยนะ คุณต้องดื่มให้หมด เข้าใจไหม” 


 


 


“ค่ะ ฉันรู้แล้ว” เธอไม่พูดมากอีกหากแต่เอ่ยถาม “คุณยังมีธุระอื่นอีกไหมคะ ถ้าไม่มีฉันจะวางสายแล้วนะ”  


 


 


เสียงของจิ้นหยวนดังลอดมาตามคาด “ที่รัก เห็นพ่อบ้านเฉินบอกว่าคุณจะออกไปข้างนอกเหรอ” 


 


 


“ค่ะ” หลังจากเธอใช้เวลาศึกษานิสัยใจคอของเขามาพักใหญ่ เธอรู้แล้วว่าเขาเป็นคนชอบคนที่เชื่อฟังเขาและพูดจาเพราะๆ เธอจึงพูดเสียงออดอ้อน “ฉันอยากจะไปเยี่ยมคุณแม่ค่ะ” 


 


 


“แต่คุณหมอสั่งเอาไว้ว่าตอนนี้คุณยังออกไปข้างนอกไม่ได้” เสียงทุ้มต่ำอันไพเราะและจับใจของเขาดังมาจากอีกฟากสาย 


 


 


“แต่ฉันแค่อยากจะไปเยี่ยมคุณแม่เท่านั้นนี่คะ ฉันไม่ได้คุยกับท่านตั้งนานแล้ว” เธอไม่ยอมลดราวาศอก 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นรอผมเลิกงานแล้วเดี๋ยวผมพาคุณไปเองนะ” จิ้นหยวนเอ่ยอย่างตัดสินใจ 


 


 


“ไม่ได้นะ!” เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะคัดค้านความคิดของเขา 


 


 


“ทำไมล่ะ?” จิ้นหยวนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขายอมทิ้งงานของตัวเองเพื่อพาเธอออกไปข้างนอกเธอยังไม่ยอมรับน้ำใจของเขาอีกหรือ 


 


 


น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น “หรือว่าคุณยังไม่อยากบอกสถานะของผมให้คุณแม่คุณรู้?” 


 


 


เธอทำปากจู๋ “เปล่านะ ฉันก็แค่อยากจะคุยเรื่องลับๆ กับคุณแม่ ไม่อยากให้คุณรู้ก็เท่านั้น” 


 


 


เธอพูดความจริง เธอมีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณแม่โดยที่ไม่อยากให้เขารู้ จิ้นหยวนครุ่นคิดเล็กน้อยหากแต่ไม่ได้เอ่ยอันใด เฉียวซือมู่ยังคงพยายามออดอ้อนต่ออย่างไม่ละความพยายาม “นะคะ ถ้าคุณไม่วางใจก็ให้อาฮุยหรืออาอวี่ไปเป็นเพื่อนฉันก็ได้ ฉันรับรองค่ะว่าจะทำตัวดีๆ นะ… นะ…” 


 


 


“ก็ได้ แต่คุณต้องทำตัวดีๆ นะ ผมเลิกงานแล้วจะไปรับคุณเอง” ในที่สุดเขาก็ยอมประนีประนอมจนได้ 


 


 


“ได้… ตกลงค่ะ” แม้เธอจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ยังพอรับได้ 


 


 


เฉียวซือมู่วางโทรศัพท์ลงหลังจากทั้งสองตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย พอเธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นพ่อบ้านเฉินกำลังมองเธอยิ้มๆ ถึงแม้เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดอะไรที่คนอื่นฟังไม่ได้ แต่เธอยังคงรู้สึกไม่ชินอยู่ดีจึงได้แต่นั่งหน้าแดงก่ำ 


 


 


พ่อบ้านเฉินทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่พลางเอ่ยกับเธออย่างอ่อนโยน “คนขับรถรออยู่ข้างนอกแล้วครับ” 


 


 


เฉียวซือมู่ลุกขึ้นยืนเห็นรถเบนท์ลีย์สีดำเป็นมันเงาจอดรออยู่ตรงประตูเรียบร้อยแล้ว เธอกะพริบตาปริบๆ พลางยิ้มเจื่อนในใจ ไม่ใช่มั้ง ให้ขับรถเบนท์ลีย์ไปโรงพยาบาลเนี่ยนะ? นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วมั้ง 


 


 


เธอยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยถาม “เปลี่ยนเป็นรถคันอื่นได้ไหมคะ” 


 


 


พ่อบ้านเฉินไม่เข้าใจจึงถามกลับด้วยความสงสัย “รถคันนี้ไม่ดีตรงไหนหรือครับ” 


 


 


“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น” เธอไม่อยากบอกเหตุผลที่แท้จริงจึงได้แต่ยิ้มบางๆ “ช่วยเปลี่ยนรถอีกคันดีกว่าค่ะ” 


 


 


เธอคิดว่าตัวเองพูดตรงมากและเขาคงจะเข้าใจความหมายของเธอแล้ว ใครจะไปรู้ ผ่านไปชั่วครู่เธอกลับเห็นรถไมบัคสีแดงเพลิงที่สะดุดตามากเป็นพิเศษจอดรออยู่แทน 


 


 


เธออยากจะเป็นลมไปเสียจริงๆ ได้แต่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านเฉินที่กำลังทำหน้าพึงพอใจในผลงานอย่างเต็มที่ “ช่วยเปลี่ยนกลับไปเป็นรถคันเดิมดีกว่าค่ะ” 


 


 


เธอสาบานได้เลยว่าเห็นสีหน้าคลางแคลงและไม่เข้าใจของเขาเต็มสองตา เธอเดาว่าพ่อบ้านเฉินคงกำลังคิดว่าเมื่อกี้เธอคงรู้สึกว่ารถเบนท์ลีย์คงไม่สวยสะดุดตามากพออยู่เป็นแน่ 


 


 


นี่ถือเป็นช่องว่างระหว่างวัยหรือเปล่า? 


 


 


เธอได้แต่หัวเราะในใจอย่างจนคำพูด รถไมบัคสีแดงเพลิงสะดุดตาถูกขับออกไปและถูกแทนที่ด้วยรถเบนท์ลีย์สีดำเงาที่ดูสะดุดตาน้อยกว่าแทน พ่อบ้านเฉินรำพึงรำพัน “คุณชายเพิ่งซื้อรถไมบัคคันนั้นปีนี้เองคุณชายชอบมันมากนี่นา…” 


 


 


ที่พ่อบ้านเฉินรำพึงรำพันเช่นนั้นเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจความคิดของเฉียวซือมู่ เธอเพียงแค่หัวเราะเบาๆ แล้วก้าวขึ้นไปนั่งในรถ และวันนี้อาฮุยที่เธอคุ้นเคยยังคงทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้เธอเหมือนเช่นเคย 


 


 


เธอส่งยิ้มให้เขา อาฮุยรู้สึกหน้าร้อนผ่าว แต่เขาเป็นคนผิวเข้มจึงดูไม่ออกว่าเขากำลังหน้าแดง 


 


 


ตอนที่เธอไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลกำลังเข็นคุณนายเฉียวออกมาจากห้องตรวจพอดี สีหน้าของคุณนายเฉียวดูเหนื่อยอ่อน เฉียวซือมู่เห็นสภาพของคุณแม่แล้วรู้สึกปวดใจมาก เธอรีบเอ่ยถามคุณหมอที่เดินออกมาพร้อมกัน “คุณแม่เป็นอะไรไปคะ” 


 


 


คุณหมอบอกกับเธอว่า “หลังจากตรวจร่างกายของคนไข้แล้วไม่พบปัญหาอะไรน่าหนักใจ เพียงแต่คนไข้นอนหลับไม่ได้สติเป็นเวลานานเกินไปจึงทำให้ค่าต่างๆ ในร่างกายต่ำกว่าปกติ ถ้าคนไข้ตื่นเต้นหรือใช้แรงก็จะทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะฉะนั้น ห้ามทำให้คนไข้เหนื่อยเด็ดขาด ต้องให้คนไข้พักผ่อนให้เต็มที่” 


 


 


เธอฟังคำตอบแล้วมุ่นหัวคิ้วถาม “ถ้าอย่างนั้นคุณหมอมีวิธีอะไรที่จะช่วยให้อาการดีขึ้นบ้างคะ” 


 


 


คุณหมอส่ายศีรษะ “ต้องอาศัยการพักผ่อนเท่านั้น พึ่งยารักษาเพียงอย่างเดียวเห็นผลช้า สิ่งสำคัญคือต้องทำให้เธออารมณ์ดี จิตใจของคนเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์ พวกคุณลองดูก็แล้วกันนะครับ” 


 


 


“คุณหมอหมายความว่า ตอนนี้คุณแม่ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วใช่ไหมคะ” เธอเอ่ยถาม 


 


 


คุณหมอส่ายศีรษะ “ตอนนี้ยังไม่ได้ครับ ค่าต่างๆ ในร่างกายของคนไข้ยังต่ำเกินไป จำเป็นต้องสังเกตอาการที่โรงพยาบาลอีกสักระยะก่อน แล้วเราจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับว่าสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่”


156 

“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณคุณหมออย่างสุภาพ 


 


 


คุณหมอมองเธอด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาผงกศีรษะให้เธอเล็กน้อยพลางเอ่ย “ไม่ต้องเกรงใจครับ เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว” เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที 


 


 


เฉียวซือมู่หน้านิ่วคิ้วขมวดพลางหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องคนไข้ด้วยความกลุ้มใจ ในใจกำลังคิดหาคำพูดว่าควรจะบอกคุณแม่อย่างไรดี เพราะเมื่อวานเธอยังได้ยินคุณแม่บ่นอยู่เลยว่าไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว อยากจะกลับบ้านเต็มทน 


 


 


เธอเดาว่าอีกเดี๋ยวถ้าได้ฟังคำตอบของเธอแล้วคุณแม่ต้องไม่พอใจเป็นแน่ 


 


 


และเป็นอย่างที่เธอคาดเดาไม่มีผิด คุณนายเฉียวที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงคนไข้ได้ยินคำตอบของเธอแล้วถอนหายใจเฮือกจนทำให้เธอรู้สึกแย่มาก ตอนนี้เธอเหลือคุณแม่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ส่วนคุณพ่อที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเธอถือว่าเขาตายจากเธอไปนานแล้ว เพราะฉะนั้น เวลาที่เธอเห็นคุณแม่อารมณ์ไม่ดีแล้วมันทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ตามไปด้วย 


 


 


เธอใช้ความคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยปลอบคุณแม่เสียงเบา “อย่าใจร้อนสิคะ คุณหมอบอกแล้วว่าอาการของคุณแม่กำลังค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ” 


 


 


คุณนายเฉียวไม่ได้ถอนหายใจเพราะเรื่องนี้ เธอฟังคำพูดของเฉียวซือมู่แล้วจับมือลูกสาวเอาไว้แน่น “ไหนเล่าให้แม่ฟังซิว่าหลังจากแม่สลบไปแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง” 


 


 


คุณนายเฉียวพอจะเดาได้บ้างแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เธอจึงรู้สึกสงสารลูกสาวเป็นเท่าทวี เอ่ยจบแล้วลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ เธอถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นใหม่ “เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ได้เรื่องแท้ๆ ถึงทำให้ลูกต้องลำบากแบบนี้” 


 


 


 แม้เธอจะไม่รู้อะไรเลยแต่ก็พอเดาออกว่าลูกสาวของตัวเองต้องตกทุกข์ได้ยากและทนทุกข์ทรมานมากขนาดไหน ทรัพย์สินถูกอายัด บ้านถูกยึด แล้วยังจะค่ารักษาของตัวเองอีก ปัญหาทุกอย่างทับถมอยู่ที่ลูกสาวเพียงคนเดียว แค่คิดเธอก็รู้สึกสงสารลูกสาวจับใจ 


 


 


เฉียวซือมู่ยิ้มให้คุณแม่ “ไม่ลำบากเลยค่ะ ขอแค่คุณแม่หายดี ต่อให้ลำบากแค่ไหนหนูก็ไม่กลัว” 


 


 


คุณนายเฉียวสะเทือนใจจนน้ำตาไหลพราก “เด็กโง่” 


 


 


เฉียวซือมู่ค่อยๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากคุณนายเฉียวนอนสลบไม่ได้สติ คุณนายเฉียวฟังแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง สุดท้ายพอได้รู้ว่าจิ้นหยวนเป็นคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือจึงทำให้เธอรู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก “โชคดีที่ได้เขาช่วยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็…” เธอจิตนาการถึงผลลัพท์แล้วรู้สึกเสียวสันหลังวาบขนลุกขึ้นฉับพลัน นึกๆ แล้วก็รู้สึกโมโหมาก เธอเคยเจอหยางฉี่หลายครั้ง ทั้งๆ ที่เธอรู้สึกดีกับเขามากแท้ๆ แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะเปลี่ยนใจเป็นอื่นรวดเร็วปานนั้น 


 


 


“ช่างเถอะ ไหนๆ เขาก็ได้รับบทเรียนที่สาสมแล้ว พวกเราก็อย่าไปยุ่งกับเขาอีกเลย ต่อไปก็หาที่มันดีกว่านี้” เธอกลัวเหลือเกินว่าลูกสาวจะเสียใจจึงรีบเอ่ยปลอบใจ 


 


 


เฉียวซือมู่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เธอทำตัวเป็นเด็กน้อยว่านอนสอนง่ายต่อหน้าคุณแม่คนเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดจิ้นหยวนมาเห็นเข้าเขาต้องตกใจยกใหญ่เป็นแน่ 


 


 


“จริงสิ ดูเหมือนคนที่ชื่อจิ้นหยวนคนนั้นจะไม่ใช่คนธรรมดา แล้วลูกไปรู้จักเขาได้ยังไง” จู่ๆ คุณนายเฉียวก็เอ่ยถามขึ้น 


 


 


เมื่อก่อนคุณนายเฉียวอยู่แต่ในบ้านและไม่เคยสนใจข่าวเศรษฐกิจเลยจึงทำให้เธอไม่รู้จักแม้กระทั่งจิ้นหยวนผู้มีชื่อเสียงระบือไกล 


 


 


หัวใจเธอกระตุกวูบ เธอเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่ด้วยสีหน้าลังเล สมองประมวลทันทีว่าควรจะอธิบายเรื่องระหว่างเธอและเขากับคุณแม่อย่างไรดี 


 


 


คุณนายเฉียวเห็นสีหน้าของลูกสาวแล้วนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เธอเข้าใจลูกสาวของตัวเองที่สุด ทุกครั้งที่ลูกสาวทำสีหน้าเช่นนี้ นั่นหมายความจะต้องเกิดเรื่องอะไรสักอย่างที่เธอไม่อยากบอกให้เธอรู้ 


 


 


ขณะที่เธอกำลังจะซักไซ้พลันสายตาเหลือบไปเห็นรอยแดงบนต้นคอของเฉียวซือมู่พอดี ในฐานะที่เธออาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ารอยแดงนั่นเป็นรอยอะไร สีหน้าของเธอเข้มขึ้น “มู่มู่ บนคอลูกมันคืออะไร?” 


 


 


“คอ? ไม่มีอะไรนี่คะ” ตอนแรกเธอยังไม่เข้าใจว่าคุณแม่หมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อนึกขึ้นได้เธอถึงกับหน้าซีดเผือดทันที เธออ้ำอึ้งอยู่นานสองนานกว่าจะเอ่ยตอบกลับไป 


 


 


“ลูกกับเขาเป็นแฟนกันเหรอ” เธอครุ่นคิดชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ยอมตอบเสียทีจึงเอ่ยถามอย่างอดรนทนไม่ไหว  


 


 


เฉียวซือมู่กัดฟันพยักหน้ายอมรับแล้วไม่ปริปากเอ่ยอะไรอีก 


 


 


“เด็กโง่ ทำไมถึงไม่กล้าบอกแม่ล่ะ” เธอรู้สึกดีอย่างคาดไม่ถึง ในสายตาเธอ จิ้นหยวนมีครบทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตาและความสามารถ นับว่าเป็นว่าที่ลูกเขยที่เหมาะสมมาก สายตาในการดูคนของเธอแม่นมาก เธอมั่นใจว่าตัวเองดูคนไม่ผิดอย่างแน่นอน 


 


 


แต่พอสังเกตสีหน้าของลูกสาวแล้วกลับรู้สึกผิดปกติราวกับว่าเธอยังมีความลับที่บอกไม่ได้ เธอจึงนึกถึงความเป็นไปได้อีกข้อขึ้นมาในฉับพลัน เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยถามออกไปอย่างยากเย็นแสนเข็ญ “อย่าบอกนะว่าเขาแต่งงานแล้ว? รีบพูดมาเดี๋ยวนี้นะ นี่ลูกอยากให้แม่ตายนักใช่ไหมถึงไปเป็นเมียน้อยเขา นี่ลูก…” 


 


 


เฉียวซือมู่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับจินตนาการอันล้ำเลิศของคุณแม่ เธอรีบเอ่ยขัดก่อนที่จะเลยเถิดไปกว่านี้ “ไม่ใช่นะคะ เขายังไม่ได้แต่งงาน คุณแม่อย่าคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงแบบนั้นได้ไหมคะ” 


 


 


คุณนายเฉียวได้ยินแล้วเงียบทันที แต่เธอยังคงคลางแคลงใจไม่หาย “นี่ลูกพูดจริงใช่ไหม ลูกไม่ได้โกหกแม่ใช่ไหม”  


 


 


เธออธิบายอย่างจนปัญญา “จริงค่ะ หนูไม่ได้โกหกจริงๆ เขายังไม่ได้แต่งงานและเขามีแต่หนูคนเดียวเท่านั้น เราสองคนเข้ากันได้ดีมากเลยนะคะ” 


 


 


คุณนายเฉียวค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง “แล้วเมื่อกี้ทำไมถึงอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมพูดล่ะ แม่ก็นึกว่า…” 


 


 


“ก็เพราะหนูกลัวคุณแม่เป็นห่วงนะสิคะ ตอนนี้เราสองคนยังไม่ได้เปิดเผยว่าคบกัน ถ้าพูดออกไปเดี๋ยวคุณแม่จะเป็นกังวลเสียเปล่าๆ“ เฉียวซือมู่รีบปั้นแต่งเหตุผลที่ฟังดูสมบูรณ์แบบออกมาได้อย่างทันท่วงทีจนสามารถโกหกคุณนายเฉียวได้อย่างแนบเนียน เธอจะให้คุณแม่รู้เรื่องที่เธอทำสัญญากับจิ้นหยวนไม่ได้เด็ดขาด ถ้าท่านรู้เข้าจะต้องโกรธมากแน่ๆ 


 


 


หลังจากคุณนายเฉียวหมดห่วงแล้วก็คอยย้ำกับเธอว่าก่อนจิ้นหยวนจะมาถึงให้เตือนเธอด้วย เธอจะได้จัดการตัวเองให้ดูดีเพื่อต้อนรับว่าที่ลูกเขยในอนาคตด้วยภาพลักษณ์ที่ดูดีที่สุด 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกขำที่เห็นคุณนายเฉียวกระตือรือร้นมากขนาดนี้ คุณหมอพูดมีเหตุผล เธอมองดูสีหน้าแจ่มใสของคุณแม่ในตอนนี้แล้วแทบไม่เหลือเค้าความเหนื่อยอ่อนเหมือนสภาพที่เธอเข้ามาเห็นในตอนแรก ตอนนี้คุณแม่กำลังยิ้มเบิกบานจากใจจริงจนทำให้คนที่มีความกังวลในใจอย่างเธอพลอยยิ้มตามไปด้วย 


 


 


ตอนที่จิ้นหยวนมาถึงเขาจึงได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นและมิตรจากคุณนายเฉียว แต่สายตากระตือรือร้นและเป็นมิตรนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก เพราะมันไม่ได้มีเพียงความดีใจหากแต่ยังแอบซ่อนการจับผิดและแฝงรอยเศร้าอยู่ในนั้นด้วย ความรู้สึกนี้ทำให้จิ้นหยวนจับต้นชนปลายไม่ถูกจนต้องแอบส่งสายตาเป็นเชิงถามให้มู่มู่อันเป็นที่รักของเขาแทน 


 


 


 แต่เธอกลับแกล้งเขาโดยการปิดปากเงียบและยิ้มกรุ้มกริ่มให้เขาแทน เห็นท่าทางทั้งน่ารักทั้งซุกซนของเธอแล้วมันทำให้ใจเขาร้อนเป็นไฟจนอยากจะจับเธอนอนใต้ร่างเขาแล้วปราบพยศเธอเสียให้หนำใจเดี๋ยวนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด 


 


 


สายตาร้อนเป็นไฟของเขาทำให้เฉียวซือมู่รู้สึกกระสับการะส่าย เขาถูกเธอตวัดสายตามองตาเขียวปั๊ดถึงยอมเก็บอาการให้สงบเสงี่ยม 


 


 


ทุกการกระทำของทั้งสองไม่มีทางรอดพ้นสายตาของคุณนายเฉียว เธอรู้สึกพึงพอใจในตัวจิ้นหยวนเป็นอย่างมาก ดูชายหนุ่มคนนี้สิ กิริยามารยาทงดงาม แถมยังดีกับลูกสาวของเธอมากอีกต่างหาก เมื่อก่อนเธอคิดว่าหยางฉี่เป็นคนที่ไม่เลวเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับชายหนุ่มตรงหน้าแล้วกลับเทียบกันไม่ติด 


 


 


แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ รูปลักษณ์ภายนอกอาจจะดูดี แต่ใครจะไปรู้ใจของเขาได้ล่ะ เธอต้องหาโอกาสลองใจเขาเสียหน่อยแล้ว


157

โอกาสมาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากวันนั้นเฉียวซือมู่ก็มาเยี่ยมคุณนายเฉียวที่โรงพยาบาลทุกวัน จิ้นหยวนทำหน้าที่มาส่งเธอทุกครั้ง และบางครั้งเขายังอยู่ดูแลคุณนายเฉียวเป็นเพื่อนเฉียวซือมู่อีกด้วย ทำให้คุณนายเฉียวรู้สึกประทับใจในตัวจิ้นหยวนเพิ่มมากขึ้น 


 


 


เมื่อมีเฉียวซือมู่อยู่ด้วยตลอดเวลาจึงทำให้คุณนายเฉียวไม่มีโอกาสลองใจจิ้นหยวนสักที วันหนึ่งเธอจึงตัดสินใจแน่วแน่ ในขณะที่เฉียวซือมู่กำลังดูแลเธออยู่นั้นจู่ๆ เธอก็เอ่ยกับลูกสาวว่าอยากกินเค้กชิฟฟ่อนร้านดังในย่านเฉิงซีและขอให้เธอออกไปซื้อให้หน่อย เฉียวซือมู่ไม่สงสัยคำร้องขอของคุณนายเฉียวเลยสักนิดเพราะรู้อยู่แล้วว่าท่านชอบกินของหวานพวกนี้เป็นพิเศษ 


 


 


เฉียวซือมู่ออกไปซื้อขนมเค้กทันทีที่ได้รับอนุญาตจากคุณหมอว่าคุณแม่สามารถรับประทานของหวานได้บ้างเล็กน้อย ระหว่างทางที่เดินออกไปเธอกะจะหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรหาจิ้นหยวนแต่กลับหาโทรศัพท์มือถือไม่เจอ เธอถึงนึกขึ้นได้ว่าคุณแม่ขอยืมมันไป 


 


 


ช่างเถอะ กลับมาแล้วค่อยโทรก็ได้ เธอหมุนตัวแล้วเดินไปโบกรถแท็กซี่ ตอนนี้เธอต้องทำตัวเป็นลูกกตัญญูที่ออกไปซื้อเค้กให้คุณแม่ก่อน 


 


 


ในขณะเดียวกัน คุณนายเฉียวคิดวิธีที่ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่เพื่อลองใจจิ้นหยวนว่าเขาจริงใจกับลูกสาวตัวเองจริงหรือไม่ 


 


 


เธอใช้โทรศัพท์มือถือของเฉียวซือมู่ส่งข้อความหาจิ้นหยวน ข้อความที่ถูกส่งไปสั้นมากเพราะมีเพียงแค่สองคำเท่านั้น “รีบมา!” ส่วนเธอคำนวณเวลาเรียบร้อยและหาผู้ร่วมขบวนการเอาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน 


 


 


เธอรักษาตัวที่นี่เป็นเวลานานมากแล้ว อีกทั้งนิสัยใจคอที่ร่าเริงแจ่มใส ทำให้นางพยาบาลทั้งหลายรู้สึกดีกับเธอไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงหาคนที่ยินดีช่วยเหลือเธอได้อย่างง่ายดาย 


 


 


จิ้นหยวนรีบออกไปหาเฉียวซือมู่จริงๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องที่เธอถูกลักพาตัวครั้งก่อน ทำให้เขาระวังความปลอดภัยของเธอมากเป็นพิเศษ ตอนที่เขาเห็นข้อความที่ดูผิดปกติเขาก็รีบโทรศัพท์หาเธอทันทีแต่กลับไม่มีคนรับสาย เขาร้อนใจแทบเป็นบ้า รีบวางงานทุกอย่างในมือลงแล้วออกไปหาเธอทันที 


 


 


จิ้นหยวนมาถึงหน้าห้องคนไข้ของคุณนายเฉียว เขาสังเกตเห็นว่ามันเงียบมากผิดปกติจนเขาเริ่มหวั่นใจ หัวคิ้วของเขาชนกันแน่น อย่าบอกนะว่าคนพวกนั้นใจกล้าถึงขั้นกล้าลักพาตัวคนถึงในโรงพยาบาล? 


 


 


เขารีบก้าวเท้ายาวๆ ไปหยุดอยู่หน้าประตูห้อง ขณะที่เขากำลังยื่นมือออกไปเพื่อจะเปิดประตูนั้น จู่ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งโผล่มาชนเขาเข้าอย่างจัง 


 


 


เขาก้าวถอยหลังไปหลายก้าวแล้วกวาดสายตามองคนที่เดินชนเขา เธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไรเธอก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อนอย่างขวัญหนีดีฝ่อ “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ…” จิ้นหยวนหันกลับไปเตรียมจะเปิดประตูโดยไม่สนใจเธออีก 


 


 


ทันใดนั้น สายตาของหญิงสาวคนนั้นเป็นประกายวาบ เธอมองเขาด้วยแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ “ท่านประธานจิ้น คุณคือจิ้นหยวนแห่งตระกูลจิ้นนั่นเอง ฉันดีใจมากเลยค่ะที่ได้พบคุณ” 


 


 


เธอตั้งใจเดินเข้าไปใกล้เขาเพื่อขวางไม่ให้เขาเปิดประตูได้ “ท่านประธานจิ้นคะ พอดีฉันมีธุระอยากจะคุยกับคุณ ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลาว่าง…” 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยปฏิเสธเธอทั้งๆ ที่เธอยังพูดไม่จบ “ผมไม่ว่าง” เขาเอ่ยจบพลางผลักเธอออกอย่างไม่แยแส สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรำคาญ อย่านึกว่าเขาจะดูเธอไม่ออก ผู้หญิงแบบนี้เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว พอรู้ว่าเขาเป็นใครก็ทำตัวเหมือนแมลงวันที่เห็นเลือดแล้วบินเข้าดูดเลือดพวกนั้นทันที มันทำให้เขารู้สึกขยะแขยงและสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด 


 


 


หญิงสาวคนนั้นถูกผลักออกอย่างไม่ไยดีจึงแสร้งปั้นหน้าน่าสงสาร “ฉันมีธุระจะคุยกับท่านประธานจิ้นจริงๆ นะคะ ฉันขอเวลาคุณแค่แป๊บเดียวเอง” เอ่ยพลางดึงรั้งมือเขาเอาไว้ “จริงๆ นะคะ ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ คุณต้องเชื่อฉันนะคะ” 


 


 


“ที่บ้านฉันเกิดเรื่องขึ้นฉันก็เลยอยากจะขอให้คุณช่วย ถ้าคุณยอมช่วยฉัน ฉันก็จะ…” เธอแสร้งทำเป็นเขินอายเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ 


 


 


เธอเป็นนางพยาบาลที่นี่จริง แต่เธอเป็นคนรักความฟุ้งเฟ้อ ความปรารถนาอันสูงสุดในชีวิตคือการได้แต่งงานกับคนรวย เธอหวั่นไหวมากยามเมื่อได้เห็นว่าจิ้นหยวนรักและเอาใจเฉียวซือมู่มากขนาดไหน เพียงแต่เธอยังไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขา ในที่สุดโอกาสของเธอก็มาถึงเสียที คุณนายเฉียวผู้โง่เขลาดันคิดจะใช้กลหญิงงามมาลองใจลูกเขยของตัวเอง ช่างโง่เง่าเสียจริง 


 


 


กระนั้นมันก็เป็นโอกาสดีสำหรับเธอ เธอไม่เชื่อหรอกว่าชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างเขาจะยอมมีผู้หญิงแค่คนเดียว มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้น ตอนนี้เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากที่จิ้นหยวนกำลังมองเธออยู่ 


 


 


ฟันขาวสวยของเธอกัดลงบนริมฝีปากล่างที่แดงระเรื่ออวบอิ่มของตัวเองเบาๆ พลางชม้อยชายตารอคำตอบรับไมตรีจากเขาอย่างมีความหวัง แต่เธอไม่นึกเลยว่าคำพูดของจิ้นหยวนจะกลายเป็นน้ำเย็นที่ราดลงบนศีรษะเธอแทนจนทำให้เธอหนาวสะท้านไปถึงทรวง “อย่าคิดนะว่าผมจะไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ไปให้พ้น!” 


 


 


ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งตัวพลันรู้สึกถึงแรงผลักมหาศาลที่ถูกส่งมา เธอเซถอยหลังไปหลายก้าวจนล้มลงกับพื้น เธอได้แต่นั่งมองจิ้นหยวนที่ไม่แลเธอแม้แต่หางตาเดินเข้าไปในห้องคนไข้อย่างหมดสภาพ    


 


 


เธอกัดฟันด้วยความโกรธแค้นแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเธอรู้สึกถึงสายตามากมายที่กำลังจ้องมองมาที่เธอ เธออับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี 


 


 


ชั่ววินาทีที่จิ้นหยวนก้าวเท้าเข้าไปในห้องคนไข้เขารีบเก็บสีหน้าเย็นชาทันที เขาทักทายคุณนายเฉียวราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น “สวัสดีครับคุณป้า” 


 


 


คุณนายเฉียวนอนยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดีอยู่บนเตียงคนไข้ เธอไม่เคยคิดเลยว่าลูกสาวจะสามารถหาแฟนได้ดีเลิศประเสริฐศรีขนาดนี้ นอกจากฐานะร่ำรวยมีหน้ามีตาในสังคมแล้ว เขายังไม่ว่อกแว่กอีกต่างหาก เขาไม่ชายตาแลหญิงสาวที่มาเสนอตัวให้ถึงที่ด้วยซ้ำ ลูกเขยดีเลิศขนาดนี้ยังจะไปหาได้จากที่ไหนอีก ดังนั้น สายตาที่เธอมองจิ้นหยวนจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษจนทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ได้รับความเอ็นดูมากมายขนาดนี้จากเธอ 


 


 


หลังจากเรื่องชุลมุนวุ่นวายผ่านไป เขานั่งลงข้างเตียงคนไข้แล้วถามไถ่อาการของเธออย่างใส่ใจ จากนั้นค่อยถามถึงเฉียวซือมู่ “คุณป้า มู่มู่ล่ะครับ?” 


 


 


คุณนายเฉียวยิ้มค้าง “มู่มู่เหรอ ออกไปซื้อเค้กให้ป้าข้างนอกแน่ะ” 


 


 


เขาหน้าถอดสีพลางกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเดินออกไปข้างนอกทันทีจนคุณนายเฉียวร้องถามด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?” 


 


 


จิ้นหยวนหันกลับมาตอบเธอด้วยสีหน้าที่ดูแย่มาก “มู่มู่กำลังตกอยู่ในอันตราย!” 


 


 


เขาเอ่ยจบก็เดินออกจากห้องทันที คุณนายเฉียวตกใจจนตะลึงนิ่งอึ้ง เธอคิดไม่ออกเลยว่าทำไมคำพูดแค่ประโยคเดียวของเธอถึงทำให้เขาคิดว่าลูกสาวของเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย 


 


 


จิ้นหยวนรีบวิ่งลงไปชั้นล่างด้วยความร้อนใจพลางเอ่ยสั่งลูกน้องที่ตามมาด้วย “พวกนายรีบวางงานทั้งหมดในมือลงแล้วออกตามหาตัวเธอเดี๋ยวนี้ เร็ว!”


158

เขากำลังครุ่นคิดว่ามู่มู่อาจจะไปที่ไหนบ้าง และมีความเป็นไปได้สูงมากที่เธอจะถูกลักพาตัวอีก คิดใคร่ครวญแล้วคงมีแต่ฉีหย่วนเหิงที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศคนเดียวเท่านั้นที่น่าสงสัยที่สุด เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วตัดสินใจโทรศัพท์หาฉีหย่วนเหิงทันที 


 


 


ฉีหย่วนเหิงกดรับสายอย่างรวดเร็ว เสียงอบอุ่นอ่อนโยนเฉพาะตัวของเขาเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “โอ้โห เป็นไปได้ยังไง อยู่ดีๆ ท่านประธานจิ้นถึงโทรหาฉันได้ ฉันคงต้องออกไปดูซะหน่อยแล้วว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือเปล่า” 


 


 


“นายไม่ต้องพูดมาก บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามู่มู่อยู่กับนายหรือเปล่า?” จิ้นหยวนร้อนใจดั่งไฟลน น้ำเสียงจึงเกรี้ยวกราดมาก 


 


 


ฉีหย่วนเหิงชะงักอึ้งไปชั่วครู่แล้วรีบเอ่ยถาม “มู่มู่หายตัวไปอย่างนั้นเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่?” น้ำเสียงที่เคยฟังดูเอ้อระเหยลอยชายเปลี่นเป็นแข็งกร้าวทันที “จิ้นหยวน ฉันเคยเตือนนายแล้วใช่ไหม ถ้านายทำไม่ดีกับเธอฉันจะแย่งเธอกลับมา นายบอกให้ฉันไม่ต้องเป็นห่วงฉันก็เชื่อนาย แล้วเป็นไง นายทำเธอหายไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ไหนบอกมาซิว่าฉันยังเชื่อนายได้อยู่อีกหรือเปล่า?” 


 


 


จิ้นหยวนลูบหน้าตัวเองพลางเอ่ยเสียงขรึมลง “เรื่องพวกนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง เธอไม่ได้อยู่กับนายจริงๆ ใช่ไหม?” 


 


 


“ไม่อยู่! ฉันไม่ใช่นายนะที่คอยหาเรื่องเธอหนีหายไป ไหนบอกมาซิว่าเธอหายไปตรงไหน เดี๋ยวฉันไปตามหาเธอเอง!” ฉีหย่วนเหิงเองก็ร้อนใจมากไม่ต่างกัน 


 


 


“ไม่ต้อง!” จิ้นหยวนฟังคำพูดของเขาแล้วปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแล้วตัดสายทิ้งทันที จากนั้นเขาเริ่มจมอยู่ในความคิดของตัวเองอีกครั้ง ดูเหมือนว่าฉีหย่วนเหิงไม่ได้โกหกจริงๆ ถ้าเช่นนั้น แล้วใครเป็นคนจับตัวเธอไปล่ะ? 


 


 


เขาครุ่นคิดพลางเคาะนิ้วลงบนกำแพงตรงหน้าด้วยความร้อนใจดั่งไฟลน ใบหน้าฉายแววเย็นยะเยือก ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าจับตัวผู้หญิงของเขาไป เขาจะต้องทำให้คนคนนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก! 


 


 


แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องค้นหาตามบ้านของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ต่อให้ต้องวุ่นวายมากขนาดไหนเขาก็ไม่สน ตระกูลจิ้นไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว 


 


 


ยังไม่ทันที่เขาจะหมุนตัวไปทำตามใจคิด พลันเสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลนัก “อาหยวน? คุณมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ?” 


 


 


หัวใจของเขากระตุกอย่างแรง เขารีบหมุนตัวกลับไปและพบกับเจ้าของเสียงอ่อนหวานนั้น… เฉียวซือมู่กำลังยืนอยู่ไม่ห่างจากเขาสักเท่าไหร่ ในมือถือกล่องใส่เค้กสวยงาม เธอกำลังจับจ้องเขาด้วยใบหน้าฉงนสงสัย 


 


 


เขาหลับตาลงพลางสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ จากนั้นเดินก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้าแล้วรั้งตัวเฉียวซือมู่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้ามากอดเอาไว้แน่น 


 


 


เฉียวซือมู่ถูกเขากอดเอาไว้แน่นอย่างกะทันหันจนแทบหายใจไม่ออก เธอใช้มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ผลักเขาออกแต่กลับไร้ผล จึงได้แต่เอ่ยเสียงเบา “คุณทำอะไรน่ะ? เป็นบ้าไปแล้วหรือไง? ปล่อยฉันนะ นี่คุณได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า?” 


 


 


เธอใช้แรงทุบแผ่นหลังของเขา เธอรู้สึกว่าตัวเองใช้แรงทั้งหมดที่มีทุบลงบนแผ่นหลังของเขาแล้วแต่เขากลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ เขาเอ่ยถามขึ้นหลังจากสำรวจสีหน้าเธออย่างละเอียดแล้ว “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” 


 


 


เฉียวซือมู่รู้สึกแปลกพิกล นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งๆ ที่เธอแค่ออกไปซื้อขนมเค้กเท่านั้น ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ อย่าบอกนะว่า… 


 


 


เธอคิดถึงตรงนี้แล้วนึกอะไรบางอย่างออกจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “นี่คุณกำลังคิดว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับฉันใช่ไหมคะ?” 


 


 


ไม่ต้องรอคำตอบเธอก็อ่านคำตอบในสายตาของเขาออก เธอรู้สึกปวดใจที่เห็นเขาเป็นแบบนี้ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ออกไปซื้อเค้กให้คุณแม่แค่แป๊บเดียวเอง” 


 


 


“จริงเหรอ?” เขาเอ่ยถามเสียงแผ่ว ต่อให้เขากอดเธอแน่นมากแค่ไหนเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี 


 


 


เธอพยักหน้าหงึกๆ พลางเอ่ย “คุณเห็นฉันเหมือนคนที่เพิ่งเกิดเรื่องไม่ดีอย่างนั้นเหรอคะ?” 


 


 


แววตาจิ้นหยวนอ่อนแสงลง ไร้แววโกรธจนแทบจะฆ่าคนได้อย่างเมื่อกี้อีก เธอรีบฉวยโอกาสทันที “คุณอย่ากอดแน่นมากขนาดนั้นได้ไหมคะ ฉันหายใจไม่ออก” 


 


 


เขาเพิ่งรู้สึกตัวจึงรีบคลายมือออก แต่ปรากฏว่าเฉียวซือมู่ไม่ทันระวังจนเกือบหกล้ม โชคดีที่เขาคว้าเธอเอาไว้ได้ทันเธอจึงยังยืนอยู่ได้ 


 


 


เธอค้อนควักใส่เขา “คุณอย่าทำตัวให้มันบ้ามากเกินไปได้ไหม ทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยโมโหได้ไหม?” 


 


 


ประกายความประหลาดใจฉายขึ้นในดวงตาจิ้นหยวนแวบหนึ่ง เขากำลังจะเอ่ยอะไรสักอย่างแต่ถูกเสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้นเสียก่อน เขากดรับสายก็ได้ยินเสียงร้อนรนดังลอดออกมา “พี่ใหญ่ พวกเราไปตามหาพี่สะใภ้ตามที่ที่คิดว่าเธอน่าจะไปตั้งห้าที่แล้ว แต่ก็ไม่พบตัวเธอเลยครับ พี่ใหญ่จะให้พวกเราทำยังไงต่อ…” 


 


 


เขายกมือที่กำไว้ขึ้นมาบังปากเอาไว้พลางแสร้งไอค่อกแค่ก “ไม่มีอะไรแล้ว พวกนายแยกย้ายได้” 


 


 


เธอไม่ได้ยินคำพูดของเขาหลังจากนั้น เห็นเพียงใบหน้าของเขาแดงซ่านเพราะทำหน้าไม่ถูก เธอแอบหัวเราะอยู่ในใจทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาเข้าใจผิดได้ขนาดนี้ 


 


 


จิ้นหยวนรีบเอ่ยตัดบทกับลูกน้องอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกกระดากใจ การกระทำของเขาทำให้เขาเสียภาพลักษณ์มาก เขาหันไปมองเธอพลันเห็นแววตาแฝงรอยยิ้มขำขันของเธอ เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเอ่ย “อยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะ” 


 


 


เขากำลังรออยู่ว่าเธอจะหัวเราะเยาะเขาเสียงดังขนาดไหน แต่ไม่คิดเลยว่าคำพูดของเขาจะทำให้รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปจากสายตาเธอ 


 


 


เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างด้วยความประหลาดใจ เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนพลางเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณนะคะ” 


 


 


“พูดเหลวไหลอะไรกัน?” เขาเข้าใจความหมายของเธอทันที “คุณเป็นผู้หญิงของผม ผมก็ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณเป็นธรรมดา” 


 


 


เธอยังอยากจะเอ่ยอะไรอีก แต่เขารีบเอ่ยเสียงดังขัดขึ้นเสียก่อน “กลับไปดูคุณแม่ก่อนเถอะ ท่านคงเป็นห่วงคุณมาก” 


 


 


นี่เขาไม่อยากให้เธอพูดคำขอบคุณพวกนั้นใช่ไหม เธอยิ้มบางๆ แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก 


 


 


การทำดีกับใครสักคนต้องทำจากใจหาใช่พูดแต่ปาก ตอนนี้เธอจึงไม่พูดอะไรอีกหากแต่จับมือเขาเอาไว้แน่นโดยไม่คิดจะปล่อยมือเขา 


 


 


เขาและเธออยู่ด้วยกันมานาน แต่พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างเข้าใกล้หัวใจของกันและกันมากเท่าวันนี้มาก่อน 


 


 


เธอจับมือเขาแน่น รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ 


 


 


ทั้งสองเดินไปจนถึงหน้าห้องคนไข้ของคุณนายเฉียว ทันใดนั้นเฉียวซือมู่รู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องเธออยู่จึงหันกลับไปมองแต่กลับไม่เห็นอะไรเลย เธอทำเสียง “เอ๊ะ” เบาๆ จิ้นหยวนหันไปเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป?” 


 


 


เธอมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองฉันอยู่” 


 


 


เขากวาดสายตามองไปทางด้านหลัง ในใจรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขากลับตอบเธอสีหน้าเรียบเฉย “คุณคงรู้สึกไปเอง ตรงนั้นไม่มีคนสักหน่อย” 


 


 


เขาเอ่ยจบแล้วเปิดประตูออก จากนั้นเดินนำเธอเข้าไปในห้องก่อน 


 


 


เธอเดินตามหลังเข้าไปในห้อง ทันใดนั้นเธอสัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องเธออยู่ เธอเงยหน้าขึ้นพลันเห็นคุณนายเฉียวที่น้ำตานองหน้ากำลังมองมาที่เธอ “ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม? โชคดีเหลือเกิน” 


 


 


พอถูกคุณนายเฉียวทักแบบนี้ ความรู้สึกแปลกๆ ก็กลับมาอีกครั้ง เธอมองหน้าคุณแม่ทีแล้วหันไปมองหน้าจิ้นหยวนทีอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ “คุณป้าครับ โทรศัพท์มือถือของมู่มู่อยู่ที่คุณป้าใช่ไหมครับ?” 


 


 


เฉียวซือมู่ได้ยินแล้วพยักหน้ารับหงึกๆ “โทรศัพท์มือถือของฉันอยู่ที่คุณแม่ พอดีฉันลืมเอามันไปด้วย มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม