เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 150-156

ตอนที่ 150 จัดการให้เรียบร้อยด้วย

 

หลินโหย่วไฉหัวเราะหึ “หลินเช่อ ความรู้สึกที่ผู้ชายมีน่ะมันเอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกนะ ยิ่งเป็นความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงด้วยแล้ว บางครั้งพอเวลาผ่านไป เขาก็อาจเบื่อเอาได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อ นี่ไม่ได้พูดถึงแค่พวกแกสองคนหรอกนะ ฉันแค่เป็นห่วงว่าเขาจะเลิกชอบแกขึ้นมาวันไหนสักวัน และเมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจจะทอดทิ้งแกไปไม่ไยดีเลย เพราะฉะนั้นให้พี่สาวแก…ได้ติดต่อเขาเอาไว้ด้วยจะดีกว่า เขาจะได้ช่วยคอยดูแลแทนแก…” 


 


 


หลินโหย่วไฉทิ้งท้ายประโยคไว้อย่างคลุมเครือ กระนั้นเมื่อหลินเช่อได้ยินเขาว่า เธอก็เข้าใจได้ทันที 


 


 


“พ่อคะ พ่อหมายความว่ายังไงน่ะ นี่พ่อยังจะอยากให้หลินอวี่ไป…ไป… นี่พ่อเห็นกู้จิ้งเจ๋อเป็นคนยังไงกันแน่คะ!” 


 


 


หลินโหย่วไฉเองก็นึกอายอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรหลินอวี่ก็เป็นลูกรัก พวกเขาไม่สามารถเชื่อใจหลินเช่อได้มากเท่าหลินอวี่ พวกเขาอยากมั่นใจว่าหลินอวี่จะมีอนาคตที่ดี 


 


 


หลินเช่อหมุนตัว ทำท่าจะเดินหนีไป แต่หลินโหย่วไฉรีบร้องเรียกเอาไว้แล้วบอกว่า “นี่ หลินเช่อ ทำไมแกถึงได้ใจดำอย่างนี้นะ” 


 


 


“หนูเนี่ยนะคะใจดำ” 


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ แกทนเห็นพี่สาวได้ดีไม่ได้หรือยังไง หรือแกอยากสบายคนเดียวจนไม่คิดถึงคนอื่นบ้างเลย” 


 


 


หลินเช่อรู้สึกได้ว่าความเชื่อทั้งหมดที่เธอมีแทบจะถูกทุบทิ้งจนพังทลายไม่เหลือดีจากผู้เป็นพ่อแท้ๆ ของเธอนี่เอง 


 


 


ในขณะเดียวกัน ที่ห้องอาหาร 


 


 


เมื่อหลินอวี่แน่ใจแล้วว่าทั้งบิดาและหลินต่างเช่อเดินพ้นออกไปแล้ว 


 


 


หญิงสาวก็หันไปทางกู้จิ้งเจ๋อด้วยสายตาที่ชัดเจนว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม 


 


 


แม้เธอจะเพียงแค่มองเขาอยู่แบบนี้และไม่เคยที่จะได้รู้จักกับเขามาก่อนเลย แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่ใครจะไม่ตกหลุมรักบุรุษผู้นี้ได้ 


 


 


หลินอวี่พินิจดูเส้นขอบแข็งแรงของร่างกาย ทุกสัดส่วนล้วนบ่งชัดถึงความเป็นบุรุษเพศ ไม่มีความนุ่มนวลใดๆ เจือปนอย่างที่ผู้ชายส่วนใหญ่สมัยนี้มักจะมีกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังดูดีเหลือเกิน มันทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะห้ามใจ 


 


 


ดีเอ็นเอของตระกูลกู้นั้นดีเยี่ยมเสียจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมครอบครัวนี้ถึงได้มีทั้งนักแสดงหนุ่มคนดังอย่างกู้จิ้ิ้งอวี่และประธานาธิบดีที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาเขย่าหัวใจไม่น้อย กระทั่งกู้จิ้งเจ๋อที่พยายามทำตัวโลว์โปรไฟล์มาตลอดเองก็หล่อเหลาไม่แพ้พี่น้องด้วยเช่นกัน 


 


 


หลินอวี่ดึงคอเสื้อเชิ้ตของเธอให้ต่ำลงมาอีกหน่อยโดยเจตนาที่จะได้เผยให้เห็นเนินอกถนัดตามากขึ้น เธอหันไปมองกู้จิ้งเจ๋อแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านประธานกู้คะ บ้านของคุณใหญ่โตมากจริงๆ แล้วก็สวยมากด้วยค่ะ” 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงหวานเชื่อมของสตรีที่ร่วมโต๊ะด้วยกัน กู้จิ้งเจ๋อก็เงยหน้าขึ้นมองเธอโดยไม่กะพริบตา “จริงเหรอ” 


 


 


หลินอวี่รีบบอก “ก็จริงน่ะสิคะ ฉันละอิจฉาหลินเช่อจริงๆ ค่ะที่ได้อยู่ที่นี่” 


 


 


ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองดูหลินอวี่ 


 


 


หลินอวี่ยังพูดต่อไป “การรักษาความปลอดภัยของที่นี่ก็น่าประทับใจด้วยเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ฉันพยายามจะเข้ามาที่นี่ พวกเขาก็ดึงเสื้อผ้าฉันจนขาดเลยละค่ะ” 


 


 


ขณะที่พูด เธอก็ดึงเสื้อผ้าส่วนที่มีร่องรอยเสียหายเล็กน้อยให้ดูและถือโอกาสนี้ขยับคอเสื้อให้ต่ำลงอีกหน่อย 


 


 


ทว่าแม้กู้จิ้งเจ๋อจะมองมาทางเธอ แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มองมาที่เธอแต่อย่างใด 


 


 


หลินอวี่ครุ่นคิดอย่างไม่มั่นใจ ตกลงนี่เขาเห็นหน้าอกเธอมั้ยนะ 


 


 


รูปร่างของเธอนั้นจัดได้ว่าดีเยี่ยม กรรมพันธุ์ของตระกูลหลินเองก็ใช่ว่าจะแย่ เห็นได้ชัดจากหลินเช่อที่โตขึ้นมากลายเป็นสาวสวยได้ขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้หลินอวี่จึงเต็มไปด้วยความมั่นใจในรูปโฉมและเรือนร่างของตัวเอง 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อวางถ้วยในมือลงและมองมาอย่างไม่ใคร่เอาใจใส่นัก 


 


 


เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ถึงกับเย็นชาแต่ก็ไม่ได้อบอุ่นอะไรว่า “มันเป็นหน้าที่ของพวกเขาน่ะ พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่สร้างความพอใจให้ใคร หวังว่าเธอคงจะเข้าใจเรื่องนี้” 


 


 


หลินอวี่หน้าเสีย 


 


 


เธอคิดว่ากู้จิ้งเจ๋อเป็นคนไม่ค่อยโรแมนติกเอาเสียเลย 


 


 


หลินอวี่คิดว่าเธออาจจะรุกไม่มากพอ เวลาที่ผู้หญิงต้องการไล่ตามไขว่คว้าผู้ชายสักคน มันก็มีเพียงม่านบางๆ มาขวางเอาไว้เท่านั้น ไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะสามารถต้านทานความเย้ายวนใจของเรือนร่างผู้หญิงได้หรอก 


 


 


เมื่อหลินอวี่คิดได้ดังนั้น เธอก็ลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาในขณะที่จ้องมองกู้จิ้งเจ๋อไปด้วย “ท่านประธานกู้คะ ฉันไม่เข้าใจค่ะ ท่านประธานควรจะต้องชดใช้เรื่องเสื้อผ้าที่เสียหายให้กับฉันนะคะ…ฉัน…” 


 


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอได้เห็นดวงตาที่หรี่มองมาของเขา ก่อนที่เธอจะทันได้เข้าถึงตัวชายหนุ่ม จู่ๆ ก็มีผู้ชายหลายคนโผล่พรวดเข้ามาล้อมตัวเธอไว้และผลักเธอให้ล้มลงกับพื้น 


 


 


น้ำเสียงอ่อนหวานของหลินอวี่แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง ใบหน้างามของเธอถูกกดแนบพื้น ตัวเธอเองก็ถูกตรึงเอาไว้จนไม่อาจขยับได้ จนเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่นั่นแหละ หญิงสาวจึงได้คิดว่าสภาพเธอในตอนนี้คงจะดูน่าเกลียดน่าชังอย่างที่สุด หลินอวี่อับอายและภาวนาว่าเธอไม่ควรจะมาที่นี่เลย 


 


 


“ปล่อยนะ…พวกแกเป็นใครน่ะ แก…ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้” 


 


 


หญิงสาวดิ้นรนพยายามที่จะลุกขึ้น แต่คนพวกนั้นไม่รู้เลยสักนิดว่าควรจะปฏิบัติกับผู้หญิงด้วยความนุ่มนวลอย่างไร พวกเขากดเธอติดพื้นเอาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยง่ายๆ 


 


 


จังหวะนั้นเองที่หลินเช่อและหลินโหย่วไฉรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอกด้วยความเร่งร้อน 


 


 


หลินโหย่วไฉหน้าถอดสีทันทีที่ได้เห็นลูกสาวในสภาพนั้น 


 


 


ทำไมหลินอวี่ถึงไม่ได้ดังใจเอาเสียเลยนะ ทำไมเธอถึงตกอยู่ในสภาพแบบนี้… 


 


 


เขารีบหันไปถามอย่างร้อนใจ “ท่านประธานกู้ครับ ท่านประธานกู้ ได้โปรดเมตตาด้วย ทำไมหลินอวี่ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะครับ” 


 


 


หลินเช่อปรายตามองเป็นแวบเดียวก็เข้าใจได้ หญิงสาวจึงได้แต่เพียงมองอย่างไม่ใส่ใจและเดินไปยืนเคียงข้างชายหนุ่ม 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูสองพ่อลูกอย่างใจเย็น ก่อนจะยกมือขึ้นและสั่งว่า “นี่พวกแกทำอะไรกันน่ะ ปล่อยสิ เร็วเข้า” 


 


 


เพียงเท่านั้น บรรดาบอดี้การ์ดก็ปล่อยตัวหลินอวี่ที่กำลังหมดสภาพในทันที 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มน้อยๆ แม้ปากจะบอกว่าขอโทษ แต่จากสุ้มเสียงที่ได้ยินกลับไม่ได้มีความรู้สึกนั้นเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย 


 


 


“ต้องขอโทษด้วย บอดี้การ์ดพวกนี้ค่อนข้างจะอ่อนไหวนิดหน่อยน่ะ นอกจากคนที่พวกเขาคุ้นหน้าแล้ว พวกเขามักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่มีคนแปลกหน้าพยายามจะเข้าใกล้ฉัน นี่ก็ตำหนิกันไปหลายครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย” 


 


 


ใบหน้าของหลินโหย่วไฉบ่งบอกถึงความอับอายเมื่อเข้าไปช่วยพยุงหลินอวี่ให้ลุกขึ้น 


 


 


ทางด้านหลินอวี่เองก็ได้แต่คิดว่าเธอไม่ควรมาที่นี่เลย หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองใคร จึงได้แต่ก้มหน้างุดด้วยความเจ็บช้ำอยู่อย่างนั้น 


 


 


หลินโหย่วไฉไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีนอกจาก “ต้องปลอดภัยไว้ก่อนนั่นแหละครับ ปลอดภัยไว้ก่อน เป็นเรื่องที่ดีแล้ว” 


 


 


หลินโหย่วไฉพยุงหลินอวี่ให้ลุกขึ้น พลางมองดูหลินเช่อ ตอนนี้เขาไม่อาจจะพูดอะไรได้ถนัดปากนัก จึงทำได้แต่เพียงแช่งชักบุตรสาวคนเล็กอยู่ในใจ 


 


 


นังแพศยานี่ชักจะจองหองพองขนมากขึ้นทุกวันแล้วนะ 


 


 


หลินเช่อทรยศพวกเขาจริงๆ แล้วหล่อนก็ดูไม่แคร์ด้วยว่าพวกเขาจะเป็นยังไงต่อไป 


 


 


หลินโหย่วไฉได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรที่ต้องคุยกันแล้วล่ะ เราไม่รบกวนท่านประธานกู้ต่อแล้วละครับ ขอตัวกลับก่อนล่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วตอบว่า “ตกลง หลินเช่อกับฉันก็มีเรื่องอื่นต้องทำ เราคงไม่ขอให้คุณอยู่ต่อด้วยเหมือนกันนั่นแหละ” 


 


 


หลินโหย่วไฉตวัดสายตามองหลินเช่ออย่างชิงชังก่อนจะหมุนตัวและกลับออกไป 


 


 


เมื่อออกมาถึงด้านนอกตัวบ้าน หลินอวี่ก็สลัดมือบิดาทิ้ง 


 


 


“ให้ตายสิ นี่มันความผิดพ่อชัดๆ เลยที่ให้หนูถ่อมาถึงที่นี่ แล้วดูสิ ดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” 


 


 


หลินโหย่วไฉเองก็นึกขัดใจที่ลูกสาวไม่ได้ดั่งใจตามที่มาดหมายไว้เสียเลย “พอที เป็นเพราะแกเองนั่นแหละทีไม่รู้จักคว้าโอกาสไว้ให้ดี ว่าแต่แกพอจะมองเห็นแววอะไรบ้างมั้ย ไอ้ผู้ชายนั่นมันสนใจในตัวแกบ้างหรือเปล่า ต่อให้ไม่ได้ใกล้ชิดอะไรกันแต่แกก็น่าจะพอบอกได้นี่” 


 


 


“นี่พ่อยังจะพูดเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ หนูว่าเขาไม่มีปัญญาทำอะไรหรอก เขาไม่แม้แต่จะปรายตามองดูด้วยซ้ำ เฮอะ” 


 


 


“แกก็พูดเป็นเด็กๆ ไปได้ จะเป็นไปได้ยังไงที่ว่าเขาทำไม่ได้น่ะ ก็เขากับหลินเช่อ…” 


 


 


“หลินเช่อ…หลินเช่อ นี่หนูด้อยกว่านังนั่นได้ยังไงกันคะ นายกู้จิ้งเจ๋อนี่จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ไม่อย่างงั้นทำไมเขาถึงอยากได้มันแทนที่จะเป็นหนูล่ะ!” 


 


 


หญิงสาวหันกลับไปดูคฤหาสน์อันโอฬารแห่งนั้น เมื่อนึกถึงหลินเช่อที่ได้อาศัยอยู่ที่นั่น เธอก็ไม่อาจหักห้ามโทสะเอาไว้ได้อีกต่อไป 


 


 


แต่เธอจะทำอะไรได้ล่ะในเมื่อกู้จิ้งเจ๋อไม่แม้แต่จะเหลียวแลเธอเลยสักนิด 


 


 


ในบ้าน 


 


 


เมื่อเห็นว่าผู้เป็นบิดากลับไปแล้ว หลินเช่อก็พูดขึ้นอย่างหัวเสียว่า “สองคนนั่นไร้ยางอายสิ้นดี” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปลอบ “เอาน่า พวกเขากลับไปแล้ว เธอก็ปล่อยเขาไปเถอะ” 


 


 


หลินเช่อนึกอายที่ทำให้เขาต้องมาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ 


 


 


“ฉันขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณต้องมาเจออะไรแบบนี้” 


 


 


“ต่อไปเธอควรจะบอกฉันล่วงหน้านะ” กู้จิ้งเจ๋อแตะปลายจมูกเธอเบาๆ “ดูจากความฉลาดของเธอแล้วไม่มีทางหรอกที่จัดการกับเรื่องแบบนี้ได้น่ะ ให้ฉันเป็นคนรับมือเองจะดีกว่า”  

 

 


ตอนที่ 151 เธอเคยชอบฉันบ้างมั้ย

 

หลินเช่อประท้วงว่า “ฉันก็ไม่ได้จะยุ่งกับพวกเขาซะหน่อยนะคะ ปกติแล้วฉันก็ทำเฉยใส่พวกเขานั่นแหละ มันก็ไม่เคยเกิดปัญหาอะไร ตราบใดที่ฉันไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้วก็อยู่ห่างๆ พวกเขาเอาไว้น่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอ “ในเมื่อเธอซื่อบื้ออย่างนี้ก็ดีแล้วละที่จะเลี่ยงพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”


 


 


หลินเช่อนึกขอบคุณเขาที่ยินดีช่วยเหลือเธอและรู้สึกว่ากู้จิ้งเจ๋อได้ทำให้เธอมากเกินพอแล้ว


 


 


ทันทีหลินอวี่กลับมาถึงบ้าน หล่อนก็จัดแจงนินทาว่าร้ายหลินเช่อให้ทุกคนในครอบครัวฟังชนิดไม่ยั้งมือ บรรดาสมาชิกในบ้านล้วนร่วมรับฟัง รวมถึงฉินชิงเองก็ด้วย หลินอวี่พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “แม่นั่นน่ะกลายเป็นดาราดังไปแล้ว แถมยังได้รู้จักมักจี่กับคนใหญ่คนโต เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่จะไม่ต้อนรับพวกเราในฐานะพ่อหรือพี่สาวเลย นังนั่นน่ะกล้ากระทั่งตั้งใจจะดูถูกเหยียดหยามพวกเราซึ่งๆ หน้าด้วยซ้ำ หนูรู้อยู่แล้วละ เราไม่น่าไปขอความช่วยเหลือจากนังหลินเช่อเลย มันจะอยากช่วยเราไปทำไมล่ะ ในเมื่อความจริงแล้วมันอยากกำจัดหนูออกใจจะขาด หน็อยแน่ ทำเป็นเชิญพวกเราเข้าบ้านทำทีเป็นว่าอยากจะช่วย แต่ความจริงก็คือแค่จะหาโอกาสทำให้พวกเราขายหน้าต่างหาก เฮอะ”


 


 


เมื่อพูดจบ หลินอวี่ก็เดินปึงปังเข้าห้องนอนของตัวเองไป


 


 


วันต่อมา หลินเช่อรีบไปที่กองถ่ายโดยมีอวี๋หมินหมิ่นและผู้ช่วยอีกสองคนตามไปด้วย อันที่จริงหลินเช่อไม่คิดว่าตัวเธอเองจำเป็นจะต้องมีผู้ช่วยอะไรมากมายหลายคนแบบนี้ แต่อวี๋หมินหมิ่นบอกว่า ในเมื่อบริษัทจัดคนเหล่านี้ให้มาคอยช่วยดูแลให้แล้ว หลินเช่อก็ควรจะรับความช่วยเหลือนี้เอาไว้ อีกอย่างเธอจะได้ช่วยทำให้พวกเขาได้ประสบการณ์ในการทำงานในฐานะผู้ช่วยมือใหม่ด้วย


 


 


ผู้ช่วยคนหนึ่งชื่อว่าเสี่ยวเถา ส่วนอีกคนชื่อว่าเสี่ยวเซียว ทั้งคู่จะคอยตามหลินเช่อไปทั่วทุกที่จนหญิงสาวแทบไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไรเองทั้งสิ้น ส่วนที่กองถ่ายนั้น หลินเช่อก็เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี และการถ่ายทำก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นทีเดียว


 


 


ในห้องพักนักแสดง หลินเช่อมีบริเวณที่พักส่วนตัวของเธอเอง แถมผู้ช่วยทั้งสองก็ยังคอยช่วยบริการของว่างและเครื่องดื่มให้ ทั้งสองคนบอกเธอว่าน้ำมะนาวนั้นดีต่อผิว ส่วนผลไม้ก็ดีต่อร่างกาย ในตอนบ่าย ผู้ช่วยสาวก็ยังมาคอยถามหาว่าเธอต้องการจะกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่


 


 


หลินเช่อสั่งอาหารที่ต้องการแล้วเรียกทั้งสองคนให้มากินด้วยกัน


 


 


เสี่ยวเถามองดูบรรดาอาหารแคลอรีสูงที่ถูกสั่งมาแล้วก็ถามหลินเช่อด้วยความประหลาดใจว่า


 


 


“พี่เช่อคะ กินอาหารแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอคะ พี่จะไม่อ้วนแย่เหรอคะแบบนี้”


 


 


หลินเช่อยิ้มแล้วบอกว่า “ร่างกายฉันไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาน่ะ ปกติแล้วฉันกินเท่าไหร่ก็น้ำหนักไม่ขึ้นหรอก หรือถ้าอ้วนขึ้น แค่อดข้าวสักสองวันน้ำหนักก็ลงแล้ว”


 


 


เสี่ยวเถาทำท่าอิจฉา “พี่นี่ทำให้ใครต่อใครต้องอิจฉามากจริงๆ นะคะ”


 


 


ในตอนแรกสองผู้ช่วยล้วนมีความหวั่นเกรงในตัวหลินเช่ออย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นแล้วว่าหญิงสาวเองก็พูดจาเอะอะโวยวายและไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากมายนัก แถมยังไม่ได้มีท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนกับนักแสดงดังๆ ส่วนใหญ่ พวกเธอก็เริ่มที่จะผ่อนคลายและพูดคุยกับหลินเช่อได้อย่างสบายใจ


 


 


เสี่ยวเซียวพูดขึ้นว่า “ฉันเคยคิดว่าบรรยากาศเวลาถ่ายทำจะต้องตึงเครียดมากๆ ซะอีกค่ะ แต่นี่ทุกอย่างดูดีมากเลยทีเดียว”


 


 


หลินเช่อตอบขณะตักอาหารใส่ปากเคี้ยว “ไม่หรอก ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ก็อึดอัดมากทีเดียวล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ทีมงานถ่ายทำปฏิบัติกับฉันดีมากๆ พวกเขามีห้องพักระหว่างรอเข้าฉากให้ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ฉันต้องแกร่วรออยู่ข้างนอก หรือไม่ก็มองหามุมห้อง แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวนั้นเพื่อรอให้ถึงตาตัวเองเข้าฉากน่ะ”


 


 


เสี่ยวเถารีบบอก “ก็แน่นอนสิคะ เดี๋ยวนี้พี่เช่อของเรากลายเป็นดารานำหญิงแล้วนี่นา พี่ก็ต้องมีห้องส่วนตัวแล้วก็ได้รับการดูแลอย่างดีแบบนี้นี่แหละ”


 


 


เสี่ยวเถายังถามต่อไปอีกว่า “พี่เช่อคะ ฉันเคยได้ยินทุกคนพูดกันว่า เวลาเข้ามาอยู่ในวงการนี้ช่วงแรกๆ ทุกคนก็ต้องผ่านงานการเป็นผู้ช่วยมาก่อนกันทั้งนั้น พี่เคยทำงานเป็นผู้ช่วยนักแสดงรึเปล่าคะ”


 


 


“เคยสิ ฉันเป็นผู้ช่วยอยู่สักปีหนึ่งได้น่ะ”


 


 


ขณะที่เล่า หลินเช่อก็ระดมตักอาหารเข้าปากไม่หยุดพลางนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เธอเคยต้องตรากตรำทำงานอย่างหนัก แต่ถึงอย่างไรเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น เธอก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าอย่างมาก


 


 


ปกติแล้วทีมงานในกองถ่ายจะชอบแวะเวียนกันเข้ามาทักทายเธอ หลินเช่อเป็นคนง่ายๆ และมักจะสนิทสนมคุ้นเคยกับทั้งดาราใหญ่น้อยได้อย่างรวดเร็ว ไม่ช้าการถ่ายทำในวันนี้ก็เสร็จสิ้นลง อวี๋หมินหมิ่นรู้ดีว่าหลินเช่อไม่รู้ว่าจะตอบแทนและดูแลทีมงานอย่างไร ด้วยเหตุนี้เธอจึงช่วยสั่งบาร์บีคิวมาเลี้ยงทุกคนในกองถ่ายให้หญิงสาว


 


 


หลังออกจากกองถ่าย หลินเช่อและอวี๋หมินหมิ่นก็แวะไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อร่วมงานอีเวนต์ที่ได้รับจ้างมา เมื่อเสร็จงานทั้งสองก็เตรียมตัวที่จะกลับ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวเท้าออกจากห้าง หลินเช่อก็บังเอิญพบฉินชิงเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว


 


 


หลินเช่อนึกขึ้นได้ว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นกิจการของตระกูลฉินนั่นเอง


 


 


เมื่อฉินชิงที่ยืนอยู่ลึกในพื้นที่ด้านในของห้างมองเห็นหลินเช่อเข้า หญิงสาวก็ส่งยิ้มให้เขาและก้าวออกไปหา


 


 


ท่ามกลางผู้คนมากมาย ร่างสูงเพรียวของหลินเช่อดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก


 


 


ฉินชิงยิ้มและเดินเข้าไปสมทบกับเธอ “มาร่วมงานอีเวนต์เหรอ”


 


 


หลินเช่อตอบ “ใช่จ้ะ ลืมไปเลยว่าห้างนี้เป็นของครอบครัวเธอนี่นา ถ้านึกได้ก่อนหน้านี้ละก็ ฉันคงรีบติดต่อเธอไปแต่เนิ่นๆ เผื่อจะขอค่าตัวเพิ่มได้อีกสักหน่อย!”


 


 


ฉินชิงมองอีกฝ่ายแล้วถามขึ้นว่า “เดี๋ยวนี้เธอยังต้องการเงินอยู่อีกเหรอ”


 


 


“ต้องการสิ!” เธอตอบพลางออกเดินไปด้านนอกตัวห้างพร้อมกับเขา


 


 


ฉินชิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนได้จึงถามว่า “เมื่อสองสามวันก่อน คนที่บ้านเธอแวะไปหาที่คฤหาสน์ตระกูลกู้นี่นา”


 


 


หลินเช่อนึกภาพออกได้อย่างไม่ยากเย็น ว่าทันทีที่บิดาของเธอและหลินอวี่กลับไป ทั้งสองจะต้องแต่งเรื่องเสียๆ หายๆ ที่เธอไม่รู้เรื่องขึ้นเพื่อเล่าให้คนอื่นฟังอย่างแน่นอน


 


 


หลินเช่อจึงถามกลับไปว่า “ใช่แล้วล่ะ แล้วนี่สองคนนั่นกลับไปสร้างปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า”


 


 


ฉินชิงตอบ “จริงรึเปล่าที่ว่าเธอทำตัวแย่ๆ ใส่หลินอวี่น่ะ”


 


 


หลินเช่อว่า “บอกตามตรงนะ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นกับเขาเหมือนกัน แต่หลินอวี่ก็น่าจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้ อีกอย่างฉันเองก็ไม่ได้พูดหรือทำอะไรพวกเขาเลย เพราะฉันเองก็คงห้ามไม่ให้พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพูดถึงฉันว่าอะไร ฉันก็คงได้แค่รับฟังเท่านั้นนั่นแหละ”


 


 


แล้วโทรศัพท์ของเธอก็สั่น


 


 


หญิงสาวก้มลงมองและเห็นหน้าจอปรากฏคำว่า ‘สามีสุดที่รัก’


 


 


คำเรียกที่บ่งบอกถึงความรักใคร่อย่างมากนั้นทำให้ฉินชิงถึงกับนิ่งอึ้งไปทีเดียว


 


 


ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบได้ แต่หัวใจของเขาเริ่มที่จะรู้สึกอึดอัดทุรนทุรายขึ้นมา


 


 


หลินเช่อเองก็อายไม่น้อย ตัวเธอเองค่อนข้างจะคุ้นเคยกับคำเรียกนี้แล้ว แต่การต้องมารับโทรศัพท์จากกู้จิ้งเจ๋อโดยที่มีฉินชิงยืนอยู่ข้างๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เธอนึกเขินอยู่ดี


 


 


หญิงสาวรับสาย “ว่าไงคะ”


 


 


เสียงกู้จิ้งเจ๋อถามมาว่า [เสร็จหรือยังน่ะ เรานัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าวนี่นา]


 


 


“อ้อ เสร็จแล้วละค่ะ กำลังเดินออกจากห้างแล้วล่ะ”


 


 


[ได้ งั้นเดี๋ยวฉันจะส่งคนไปรับเธอที่นั่น]


 


 


“รู้แล้วละน่า ไม่ต้องย้ำบ่อยขนาดนั้นหรอกค่ะ”


 


 


[ก็ถ้าฉันไม่ค่อยพูดซ้ำๆ แบบนี้ ฉันก็กลัวว่ายัยบื้ออย่างเธอจะไปหาร้านเองไม่เจอน่ะสิ]


 


 


“หุบปากไปเลยนะ!”


 


 


หลินเช่อวางสายแล้วเงยหน้าขึ้น เธออดใช้นิ้วเสยผมขึ้นมาทัดหลังใบหูแก้เขินไม่ได้ “เป็นอะไรไป คุยต่อสิ”


 


 


ฉินชิงมองโทรศัพท์ของเธอแล้วครุ่นคิดในใจ นั่นคือกู้จิ้งเจ๋องั้นรึ


 


 


‘สามีสุดที่รัก’ ที่ว่านั่นคือกู้จิ้งเจ๋อหรอกเหรอนี่


 


 


อย่างไรก็ตาม จากสุ้มเสียงที่ได้ยิน ชายหนุ่มก็สามารถบอกได้ว่าบทสนทนาของทั้งคู่เป็นธรรมชาติอย่างมาก ราวกับว่าเป็นสิ่งที่พูดคุยกันอยู่เป็นประจำทุกวัน


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงอดถามออกไปไม่ได้ “นี่เธอกับกู้จิ้งเจ๋อเป็น….”


 


 


“ทำไมเหรอจ๊ะ”


 


 


ฉินชิงรีบพูดต่อ “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่รู้สึกว่ากู้จิ้งเจ๋อไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ อย่างน้อยก็กับผู้หญิงน่ะ เขาอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เธอน่าจะได้เจอคนที่ดีกว่านี้”


 


 


หลินเช่อยิ้มและมองหน้าอีกฝ่าย “ถ้างั้นใครกันล่ะที่เป็นคนที่ดีที่สุด”


 


 


“ก็ใครสักคนที่เหมาะสมกับเธอ” เขาตอบ


 


 


หลินเช่อว่า “แล้วกู้จิ้งเจ๋อกับฉันไม่เหมาะกันตรงไหนเหรอ”


 


 


ฉินชิงตอบ “ผู้ชายอย่างเขามีชีวิตที่ซับซ้อนเกินไป”


 


 


หลินเช่อว่า “ฉันรู้นะว่าเธออยากจะพูดอะไร เพราะว่าสถานะของฉัน พื้นเพครอบครัวแล้วก็วิถีชีวิตของฉันมันต่างจากเขามาก อันที่จริงฉันไม่คู่ควรกับเขาเลยด้วยซ้ำ”


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฉินชิงแค่ไม่อยากเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันต่างหากเล่า แม้ว่านี่จะความคิดที่ออกจะเลวร้าย แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจหักห้ามมันได้ “ฉันขอโทษด้วย ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ ฉันแค่ไม่ชอบที่เห็นเธออยู่กับเขาเท่านั้นเอง”


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ


 


 


สีหน้าของฉินชิงออกจะดูไม่ปกตินักเมื่อเขามองออกไปด้านนอก


 


 


“หลินเช่อ เราก็รู้จักกันมาหลายปีแล้วนะ”


 


 


“ใช่สิจ๊ะ”


 


 


“ตั้งแต่ต้น เราสองคนก็เป็นแค่เพื่อนร่วมห้องกันเท่านั้น”


 


 


“อื้อ”


 


 


ชายหนุ่มหันมาและถามว่า “เธอเคยชอบฉันบ้างมั้ย”


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด 

 

 


ตอนที่ 152 ปกป้องเธอด้วยชีวิต

 

ด้วยความแปลกใจ หลินเช่อนึกในใจ หรือว่าเขาจะรู้แล้วว่าเธอแอบชอบเขามาตลอดนะ


 


 


“ทะ…ทำไมอยู่ๆ ถึงมาถามอะไรแบบนี้ล่ะจ๊ะ”


 


 


ฉินชิงตอบ “ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่คิดว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนในอดีตมันน่าจะสนิทสนมใกล้ชิดกันมากน่ะ เพราะว่าเราเองก็อยู่ด้วยกันทุกวัน แค่ทำไมเธอถึงไม่เคยชอบฉันบ้างเลย”


 


 


หลินเช่อมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่ายและนึกถึงความใกล้ชิดที่เธอและเขามีต่อกันตลอดมา ในฐานะเพื่อน ในฐานะนักเรียนในชั้นเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอและเขาก็ไม่ได้ลงเอยกันอยู่ดีนั่นเอง


 


 


เพราะเขาไปรักกับหลินลี่


 


 


“ถ้าเธอให้โอกาสฉันย้อนเวลากลับไป บางทีฉันอาจจะสารภาพกับเธอก็ได้” หลินเช่อยิ้มให้


 


 


แต่โชคร้ายที่สถานะของเธอในช่วงเวลานั้นทั้งต่ำต้อยและปราศจากความมั่นคงใดๆ ทำให้ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอก็ไม่กล้าพอที่จะเปิดเผยความรู้สึกในใจตัวเองให้ฉินชิงได้รู้อยู่นั่นเอง


 


 


ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสดใสขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น


 


 


หลินเช่ออดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดูสิ ฉันทำเอาเธอกลัวไปเลยใช่มั้ยล่ะ ล้อเล่นนะจ๊ะ ฉันแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนักน่ะ และถึงยังไงซะ ตอนนี้ทุกอย่างระหว่างเราก็เป็นไปด้วยดีไม่ใช่เหรอ เธอเองก็ได้คบกับหลินลี่ และตอนนี้เราก็เปลี่ยนจากเพื่อนร่วมชั้นมาเป็นญาติกันแล้วไงล่ะ”


 


 


ฉินชิงนึกผิดหวังขึ้นมาทันที เขามองดูหลินเช่อ หรือว่าเธอจะไม่เคยนึกชอบเขาเลยจริงๆ


 


 


หลินเช่อกำลังใช้นิ้วเล่นผม ส่งยิ้มให้เขา และหลุบตาลงต่ำ


 


 


ท่าทีนั้นของเธอทำให้หัวใจฉินชิงอดหวั่นไหวไม่ได้


 


 


หญิงสาวโบกมือให้เขา “งั้นฉันไปก่อนนะจ๊ะ มีเรื่องที่ต้องรีบไปทำน่ะ”


 


 


ชายหนุ่มพยักหน้า ขณะมองเธอเดินจากไป ฉินชิงก็นึกภาพเธอขณะอยู่เคียงข้างกู้จิ้งเจ๋อ แล้วหัวใจเขาก็อดขุ่นมัวไม่ได้กับความคิดนั้น


 


 


แต่แล้วความคิดที่เขาไม่คาดฝันมาก่อนก็เริ่มผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง เขาจะขโมยหลินเช่อมาจากกู้จิ้งเจ๋อให้ได้


 


 


แต่เขาจะชิงหลินเช่อมาจากผู้ชายที่ทรงอำนาจขนาดนั้นได้ยังไงกันล่ะ


 


 


ทำไมถึงต้องเป็นกู้จิ้งเจ๋อด้วยนะ เขาคิดในใจ ถ้าเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นใครก็ตามแต่ เขาก็คงทำได้โดยไม่ยากเย็น แต่เมื่อเป็นกู้จิ้งเจ๋อผู้ไม่มีใครเทียบได้ทั้งอำนาจและความมั่งคั่งเช่นนี้แล้ว


 


 


ในจังหวะนั้นเอง ฉินชิงมองเห็นบางอย่างกำลังร่วงหล่นลงมาจากด้านบน เจ้าสิ่งนั้นกำลังตรงดิ่งลงมาด้านล่างด้วยความเร็วสูง และคนที่อยู่ข้างล่างนั้นก็คือหลินเช่อนั่นเอง เธอกำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า และมองออกไปข้างหน้า โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น…


 


 


“หลินเช่อ หลบไป!”


 


 


หญิงสาวยังคงกวาดสายตามองหา แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของกู้จิ้งเจ๋อ แล้วเธอก็ได้ยินฉินชิงตะโกนอย่างสุดเสียงจากทางด้านหลัง ทำให้เธอต้องรีบหันไปมอง แล้วเธอก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาเธออย่างเร่งร้อน ก่อนที่หลินเช่อจะทันได้ขยับตัว ร่างของฉินชิงก็โถมเข้าใส่เธออย่างเต็มรัก ส่งให้ร่างของทั้งสองลงไปกองอยู่กับพื้น


 


 


หลินเช่อตกตะลึง กว่าจะรู้ตัว ร่างของฉินชิงก็หล่นลงมากองทับร่างเธอเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


 


ท่ามกลางความตระหนกนั้นเอง หลินเช่อมองเห็นโคมไฟแก้วขนาดมหึมาหล่นลงมาจากด้านบน กระแทกลงสู่พื้นเบื้องล่างและร่างกายของฉินชิงโดยแรง


 


 


“ช่วยด้วยค่ะ…ช่วยเขาด้วย…”


 


 


หลินเช่อไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เธอรีบประคองร่างฉินชิงที่นอนพังพาบอยู่กับพื้นและร้องตะโกนด้วยเสียงดังลั่น


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อที่ยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าได้พักใหญ่แต่ก็ไม่ยักเห็นหลินเช่อเดินออกมา


 


 


ยัยนั่นหายไปไหนอีกแล้วนะ


 


 


เขายกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาเธอ แต่ก็พบว่าหญิงสาวปิดเครื่องเสียนี่


 


 


ยัยผู้หญิงเจ้าปัญหาคนนี้ คราวนี้ไปก่อเรื่องอะไรเข้าอีกล่ะเนี่ย


 


 


ในขณะเดียวกัน…


 


 


ณ โรงพยาบาล หลินเช่อเต็มไปด้วยความห่วงพะวงเมื่อมองดูร่างของฉินชิงที่ถูกใส่เปลหามเข้ามา


 


 


ขณะที่ร่างของชายหนุ่มนอนคว่ำอยู่นั้น นายแพทย์ก็พยายามที่จะดึงเศษแก้วออกจากร่างของเขาทีละชิ้น ทีละชิ้น


 


 


เลือดสดๆ ไหลเปื้อนไปทั่วแผ่นหลัง เป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งเมื่อหลินเช่อได้เห็น


 


 


เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้รับสาย มือของฉินชิงก็คว้ามือเธอเอาไว้แน่น


 


 


หญิงสาวไม่มีทางเลือก เมื่อเสียงโทรศัพท์ยังดังขึ้นไม่ขาดสาย หลินเช่อจึงจัดการปิดเครื่องซะ


 


 


ภาพของฉินชิงที่ได้เห็นในตอนนี้ทำให้หัวใจเธอยิ่งปั่นป่วนวุ่นวายเสียยิ่งกว่าเรื่องที่พูดคุยกันก่อนหน้า เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะตัดสินใจช่วยเธอไว้จากเหตุการณ์หายนะครั้งนี้ ในใจหลินเช่อทั้งเศร้าและรู้สึกผิดไปพร้อมกัน เขาทำแบบนี้ทำไมนะ ดูเอาเถอะว่ามันเจ็บมากแค่ไหน


 


 


รถของกู้จิ้งเจ๋อจอดอยู่ด้านนอกห้างสรรพสินค้า บอดี้การ์ดของเขาเดินเข้าไปและรายงานว่า “คุณผู้หญิงไม่ได้ออกไปกับใครหลังจากงานเลิกแล้วครับ เธอเดินมาที่ประตูทางเข้าเพื่อจะมารอท่าน จากที่ได้ยิน คุณผู้หญิงเดินมาพร้อมกับคุณชายรองของตระกูลฉินครับ”


 


 


คุณชายรองของตระกูลฉิน…


 


 


ฉินชิงน่ะรึ


 


 


สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึงในทันที บอดี้การ์ดของเขานึกเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนักว่า “ท่านครับ ถ้าเป็นแบบนี้…”


 


 


“เราจะกลับกัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบุ้ยปากและส่งสัญญาณให้หมุนกระจกรถขึ้น


 


 


กระจกหน้าต่างรถค่อยๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ


 


 


พนักงานขับรถพูดขึ้นว่า “ท่านครับ เราต้องใช้ถนนเส้นหลังแทน เพราะถนนด้านหน้าถูกปิดเนื่องจากมีอะไรบางอย่างหล่นลงมาจากด้านบนและโดนคนจนได้รับบาดเจ็บเข้าน่ะครับ”


 


 


“หือ”


 


 


ไม่ว่าจะใช้ถนนเส้นไหน ตอนนี้เขาแค่อยากจะกลับบ้านเท่านั้น


 


 


 


 


ที่โรงพยาบาล


 


 


หลินเช่อยังคงนึกถึงสายเรียกเข้าของกู้จิ้งเจ๋อก่อนหน้านี้ ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความกังวลใจนั้นเอง หญิงสาวไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังว่าอย่างไร ด้วยเหตุนี้เธอจึงเลือกที่จะยังไม่รับสาย จนกระทั่งได้เห็นว่าฉินชิงอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว ตอนนี้เขายังคงนอนคว่ำ แต่ได้รับการเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ได้รับยา และให้น้ำเกลือเป็นที่เรียบร้อยจนกระทั่งอาการทรงตัวดีแล้ว หญิงสาวจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา


 


 


แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ต่อสาย ฉินชิงก็ส่งเสียงร้องเรียกออกมาว่า “หลินเช่อ หลินเช่อล่ะ”


 


 


หญิงสาวรีบวางโทรศัพท์และเดินเข้าไปหาทันที


 


 


“ฉินชิง เกิดอะไรขึ้นน่ะ เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”


 


 


ฉินชิงรีบคว้ามือเธอไว้ หลินเช่อไม่ทันได้คิดอะไร เพราะตอนที่ให้ยาเขาก่อนหน้านี้ ฉินชิงก็ทำแบบนี้เช่นกัน เขาจับมือเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย อาจจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีที่ได้มีคนที่คุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ ก็เป็นได้


 


 


เขามองหน้าเธอ “อย่าไปนะ”


 


 


“ตกลงจ้ะ ตกลง ฉันไม่ไปไหนหรอก ฉินชิง เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านเธอเบอร์อะไรล่ะ ฉันควรจะโทรบอกพวกเขาเสียหน่อย อาการของเธอตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก อาจจะเสี่ยงกับการติดเชื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนนี้เราอยู่ในโรงพยาบาลของเมือง ซึ่งก็ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด เธออยากจะโทรหาที่บ้านเพื่อถามพวกเขาว่าจะให้ทำยังไงกันต่อไปรึเปล่าจ๊ะ”


 


 


“ไม่ ฉันแค่ต้องการอยู่กับเธอ”


 


 


“…” หลินเช่อถามออกไปอย่างพาซื่อ “แต่ฉันก็อยู่ตรงนี้แล้วไงล่ะ”


 


 


“ไม่ใช่ หลินเช่อ…ฉันแค่อยาก ฉันแค่อยากอยู่กับเธอสองคน”


 


 


“…” หัวใจของหลินเช่อชะงักงัน เธอก้มลงมองเขา “ฉินชิง นี่เธอ…”


 


 


ชายหนุ่มกุมมือเธอเอาไว้ในมือเขาแนบแน่น “หลินเช่อ ฉันเพิ่งมีความกล้าขึ้นมาเมื่อครู่เดียวก่อนหน้านี้นี่เอง ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันสามารถทำทุกอย่างเพื่อเธอได้ เธอว่าแบบนี้มันแปลกหรือเปล่า…”


 


 


หลินเช่อนึกตกใจ “นี่เธอกำลังพูดอะไรเนี่ย…”


 


 


ฉินชิงยังคงว่าต่อไป “ฉันรู้ว่ามันคงไม่ดีที่จะมาพูดกันตอนนี้ แต่หลินเช่อ อยู่ๆ ฉันก็นึกเสียใจขึ้นมาน่ะ บางทีที่ผ่านมาฉันน่าจะดีกับเธอให้มากกว่านี้ ไม่อย่างงั้นเธอคงไม่ต้อง…ไม่ต้องไปอยู่กับกู้จิ้งเจ๋อ”


 


 


ในใจหลินเช่อเต็มไปด้วยความสับสนขึ้นมาทันทีและรีบปล่อยมือจากเขา


 


 


ฉินชิงผงะและมองดูหญิงสาวตรงหน้า “เธอ…”


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าเธอแอบรักเขามานาน นานมากเหลือเกิน


 


 


แต่การที่อยู่ๆ เขากลับมาสารภาพรักกับเธอแบบนี้ มันกลับทำให้เธอช็อกสนิท และด้วยความประหลาดใจของเธอ หลินเช่อกลับพบว่ามันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเป็นสุขกับการได้รักเขาอีกแล้ว


 


 


วัยเยาว์ที่ผ่านพ้นมาคือเครื่องแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ผ่านพ้นเลยไป และทำให้เราได้รู้ว่ามันสายเกินไปเสียแล้วที่จะทำอะไรในตอนนี้


 


 


และสิ่งที่หลงเหลือเอาไว้ก็คือความตื่นตระหนก ไม่มีความประหลาดใจอันน่ายินดีใดๆ แม้แต่น้อย “ฉินชิง เธอมีหลินลี่แล้วนะ เธอเป็นคู่หมั้นของพี่สาวฉัน เป็นพี่เขยของฉัน”


 


 


หัวใจของชายหนุ่มเจ็บร้าว ในช่วงเวลาแห่งความรวดร้าวอันเย็นยะเยือกนั้น เขามองหน้าหลินเช่อ “ฉันคิดว่าอย่างน้อยที่ผ่านมาเธอก็เคยชอบฉันบ้าง นี่เธอไม่เคยนึกชอบฉันบ้างเลยสักนิดงั้นเหรอ”


 


 


ในเมื่อเธอได้ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปแล้วเมื่อครู่ ก็น่าจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่หันหลังกลับไปอีกครั้ง


 


 


หลินเช่อจึงส่ายหน้าและตอบว่า “ไม่เลย”


 


 


ฉินชิงหน้าเสีย แต่เมื่อนึกถึงกู้จิ้งเจ๋อแล้ว ในใจของเขาก็พอจะเข้าใจได้ ว่าคงไม่มีทางใดที่เขาจะเทียบชายผู้นั้นได้ติดเลย 

 

 


ตอนที่ 153 เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก

 

“เพราะกู้จิ้งเจ๋อเหรอ” เขาถามพลางยิ้มอย่างหม่นหมอง 


 


 


หลินเช่อส่ายหน้า อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็คือคนที่เธอเคยชอบนักหนามาก่อน “การชอบหรือไม่ชอบใครสักคนน่ะมันไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอกนะ” 


 


 


ถ้าจะชอบ มันก็ชอบ ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาไปเปรียบเทียบกับใครเลย 


 


 


หลินเช่อหมุนตัวและเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร เธอเปิดโทรศัพท์แล้วก็ได้เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับอยู่นับสิบ 


 


 


เมื่อก้าวออกมานอกห้อง เธอก็ได้พบว่าหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลกู้กำลังยืนรอเธออยู่ที่ด้านนอกของห้อง 


 


 


หลินเช่อถามด้วยความตกใจ “พ่อบ้านหู มาที่นี่ได้ยังไงคะ” 


 


 


พ่อบ้านรีบตอบว่า “นายท่านเที่ยวตามหาคุณผู้หญิงอยู่นานทีเดียวครับ ท่านบอกว่าคุณไม่มาพบตามที่นัดเอาไว้ว่าจะกินอาหารค่ำด้วยกัน แล้วท่านก็ไม่รู้ว่าคุณหายตัวไปไหน” 


 


 


หลินเช่อยกมือขึ้นตบหัวตัวเอง “จริงสินะ ฉันลืมเรื่องนัดกินมื้อค่ำไปสนิทเลย พอดีเกิดเหตุขึ้นซะก่อนน่ะ” 


 


 


“เดี๋ยวผมจะให้คนมารับช่วงดูแลเรื่องต่อให้เอง คุณผู้หญิงรีบกลับบ้านไปก่อนเถอะครับ” 


 


 


หลินเช่อรับคำแต่โดยดี “ตกลง แต่ความจริงที่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้วละจ้ะ” 


 


 


ในขณะที่ก้าวขึ้นรถที่มารับกลับบ้าน หลินเช่อก็นึกถึงท่าทางของผู้เป็นพ่อบ้านที่ปกติแล้วจะดูสงบเยือกเย็นอยู่เป็นนิจ ทว่าวันนี้กลับดูไม่เหมือนปกติ เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงรีบคว้าแขนคนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้าไว้แล้วถามว่า “นี่เขาโกรธหรือเปล่าคะ” 


 


 


อีตานั่นน่ะใจน้อยออกจะตาย แปลว่าเขาต้องโกรธแน่ๆ ละ 


 


 


คนขับหันมามองหญิงสาวอย่างกระอักกระอ่วนใจ เขารู้ดีว่าคุณผู้หญิงเป็นคนพูดเสียงดัง ทำอะไรไม่คิดและไม่ถือเนื้อถือตัวแบบนี้นี่แหละ แต่ว่าวันนี้นายใหญ่ของเขานั้น… 


 


 


ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว คนขับรถจึงได้เพียงแต่บอกว่า “เดี๋ยวไปถึงบ้านก็รู้เองนั่นแหละครับ คุณผู้หญิง” 


 


 


เมื่อได้เห็นเช่นนั้น หลินเช่อก็รู้แล้วว่าท่าทางเรื่องคงจะไม่ค่อยสวยนัก หรือว่าเขาโกรธที่ปล่อยให้เขารอเก้อกันนะ หญิงสาวนึกด้วยความกระวนกระวาย 


 


 


ด้วยรู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด หลินเช่อจึงนึกประดิดประดอยถ้อยคำที่จะพูดเตรียมเอาไว้ในใจ และเมื่อเธอก้าวเข้าไปในบ้าน กู้จิ้งเจ๋อก็ดินสวนออกมาพอดิบพอดี 


 


 


ชายหนุ่มเห็นเธอแล้วตั้งแต่ตอนที่หลินเช่อผลักประตูและเดินเข้ามาในบ้าน ดวงตาดำขลับของเขาตวัดมองด้วยความขุ่นมัวและจ้องเขม็งอยู่ที่เธอ ก่อนที่จะมองข้ามศีรษะเธอและเดินต่อไปข้างนอกอย่างไม่แยแส 


 


 


เมื่อหลินเช่อเห็นคนตัวโตกว่ายังก้าวขายาวฉับๆ ต่อไปโดยไม่ยอมหยุด เธอก็รีบพูดขึ้นว่า “ฉันขอโทษค่ะ เป็นความผิดของฉันเองแหละ ฉันไม่ควรปล่อยให้คุณรอเก้อแล้วก็ไม่รับสายตอนที่คุณโทรมาเลย แต่ฉันมีเรื่องสำคัญจริงๆ นะคะ ก็เลยมัวแต่วุ่นวายไปหน่อย จนไม่ทันสังเกตเห็น ฉัน…” 


 


 


สายตาดุดันนั้นตวัดมาหาเธอ ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ดุจหินที่ฝังจมอยู่ในก้อนน้ำแข็ง ความเย็นยะเยือกนั้นแผ่กระจายออกมาและเจาะทะลวงเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเธอ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เขาโกรธเธอนั้นเป็นเพราะว่าหลินเช่อแค่ไม่รับสายเขา หรือเพราะว่าหลินเช่อไม่ยอมรับสายเขาเพราะผู้ชายคนนั้นกันแน่… 


 


 


เขามองดูเธอด้วยสายตาปราศจากความรู้สึก มัวแต่วุ่นวายไปหน่อยงั้นรึ 


 


 


ทำไมไม่ยอมพูดออกมาล่ะว่ามัวแต่ยุ่งอยู่กับใคร 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขยับขายาวๆ ของตัวเองออกเดินต่อไป 


 


 


หลินเช่อลนลานและรีบร้องเรียกเสียงดังว่า “กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณโกรธจริงเหรอเนี่ย” 


 


 


เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ยอมแม้แต่จะเหลียวหลังกลับมา หลินเช่อก็รีบออกวิ่งตามไป “กู้จิ้งเจ๋อ ทำไมถึงทำตัวแบบนี้ล่ะ นี่คุณเอาแต่โกรธฉันโดยไม่ยอมเอ่ยปากถามอะไรให้ฉันอธิบายสักคำด้วยซ้ำ มันเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ นะคะ อีกอย่าง ฉันก็เพิ่งจะเคยปล่อยให้คุณรอเก้อครั้งนี้ครั้งแรกเองนะ จะต้องโกรธกันขนาดนี้เลยเหรอ คุณ…” 


 


 


“อธิบายงั้นเรอะ” ชายหนุ่มหันขวับมา “ฉันยังจะต้องการคำอธิบายอะไรอีกล่ะ” 


 


 


หลินเช่อเกาะประตูรถแน่นไม่ยอมปล่อย 


 


 


สายตาเขาจับจ้องที่มือเธอก่อนจะเอื้อมมาปัดมือเธอออกไป “ฉันต้องรอให้เธออธิบายด้วยเหรอว่าเธอแล่นไปถึงโรงพยาบาลเพื่อผู้ชายที่เธอรักน่ะ รอให้เธอเล่าว่าไม่ยอมรับสายฉันเพราะเธอต้องคอยดูแลผู้ชายคนนั้นที่กำลังป่วยอยู่อย่างงั้นเหรอ” 


 


 


“ฉัน…” หลินเช่อนิ่งไป คิดในใจว่าเขาคงรู้ละสินะ ไม่อย่างงั้นเขาก็คงไม่สั่งให้พ่อบ้านหูไปตามหาเธอที่โรงพยาบาลหรอก 


 


 


คนอย่างกู้จิ้งเจ๋อย่อมต้องรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว 


 


 


“แต่…” 


 


 


“ฉันแค่อยากจะถามเธอสักหน่อยนะ ว่าเธอยังจำได้รึเปล่าว่าเขาเป็นคู่หมั้นพี่สาวเธอ เป็นผู้ชายที่เธอจะต้องเรียกเขาว่าพี่เขยน่ะ” 


 


 


“ฉัน…” 


 


 


หลังจากทิ้งท้ายด้วยประโยคทิ่มแทงราวกับมีดที่กรีดลงกลางใจ ชายหนุ่มก็ส่งสัญญาณบอกให้ออกรถได้ 


 


 


หลินเช่อทำได้พียงยืนมองรถเขาแล่นหายไปจนลับตา 


 


 


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน… 


 


 


เธอไม่ได้ลืมสักหน่อยว่าเขาเป็นพี่เขยน่ะ แล้วก็เพราะเหตุนี้ยังไงล่ะ เธอถึงได้ตัดสินใจเดินออกมาจากโรงพยาบาลแบบนั้น 


 


 


 


 


 


ที่โรงพยาบาล… 


 


 


ฉินชิงยังคงงุนงง แน่นอนว่าเขายังไม่ได้บอกใครเรื่องที่ตัวเองประสบอุบัติเหตุ แต่หมอของโรงพยาบาลกลับส่งตัวเขามายังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาแผลอุบัติเหตุมากกว่า 


 


 


เพียงไม่นาน เขาก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลประจำกองทัพที่ดีที่สุดของประเทศและได้พักในห้องผู้ป่วยระดับวีไอพีของที่นั่น 


 


 


ฉินชิงยังคงต้องนอนคว่ำหน้า แต่เขาเห็นบรรดาพยาบาลพากันเดินขวักไขว่ไปมาไม่หยุด ชายหนุ่มร้องเรียกพยาบาลสาวคนหนึ่งไว้และถามว่า “ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ แล้วครอบครัวผมไปไหนกันหมด มีใครมาเยี่ยมบ้างหรือยัง” 


 


 


หรือว่าหลินเช่อจะเป็นคนแจ้งครอบครัวของเขาให้รู้เรื่องกันแล้วนะ 


 


 


แต่ถ้าครอบครัวของเขารู้ก็น่าจะต้องรีบรุดมาเยี่ยมในทันทีแน่ ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นใครสักคน 


 


 


พยาบาลหญิงมองหน้าเขาด้วยท่าทีอึกอัก เมื่อฉินชิงถามซ้ำอีก เขาก็ได้ยินเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นดังให้ได้ยินมาแต่ไกล 


 


 


ฉินชิงชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ได้เห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินเรียงหน้ากันมาเป็นแถว ตามหลังบุรุษสูงใหญ่ที่เดินอยู่ตรงกลาง ชายผู้นั้นเดินใกล้เข้ามา และใกล้เข้ามา 


 


 


ชายคนนั้นก็คือกู้จิ้งเจ๋อนั่นเอง 


 


 


เขาอยู่ในชุดสีดำ ขับให้ดวงตาดำสนิทของเขายิ่งดูดุดันขึ้นไปอีก แล้วก็ดูเหมือนว่าแววตาที่เย็นชาไร้ความปรานีคู่นั้นจะยิ่งดูเย่อหยิ่งไม่แยแสโลกยิ่งกว่าครั้งไหนๆ จนเมื่อกู้จิ้งเจ๋อมองเห็นเขาแล้ว สีหน้าสงบนิ่งไม่รู้สึกรู้สานั้นก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยน หนำซ้ำยังดูเหมือนจะแฝงด้วยความมืดดำยากจะเข้าถึงบางอย่างเอาไว้ด้วย 


 


 


เขามาที่นี่ทำไมกันนะ… 


 


 


สายตาของกู้จิ้งเจ๋อมองตรงมาที่เขา 


 


 


ฉินชิงรีบผุดลุกขึ้นและเอ่ยเรียก “ท่านประธานกู้” 


 


 


“ไม่ต้องลุกหรอก ฉันได้ยินจากหลินเช่อว่านายช่วยเธอไว้ ต้องขอบคุณการกระทำที่เสียสละของนายในครั้งนี้ด้วย ฉันเลยอยากมาเยี่ยมเพื่อดูว่านายเป็นยังไงบ้าง โรงพยาบาลนี้น่าจะสบายกว่าที่เดิมไม่น้อยเพราะเป็นโรงพยาบาลที่ดีกว่ามาก ฉันจัดการฝากฝังนายกับทีมแพทย์ของที่นี่ไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะช่วยดูแลนายให้หายดีในเร็ววัน เพราะฉะนั้นคุณชายรองโปรดอย่าได้กังวลถึงเรื่องอื่นเลย แค่ใส่ใจดูแลตัวเองให้หายดีเท่านั้นก็พอ ฉันสั่งคนให้ช่วยแจ้งข่าวครอบครัวของนายแล้ว เดี๋ยวพวกเขาก็คงจะรีบมาเยี่ยมกัน” 


 


 


หลินเช่องั้นเหรอ 


 


 


นี่หลินเช่อเล่าให้กู้จิ้งเจ๋อฟังงั้นเหรอ 


 


 


ความผิดหวังฉายวาบขึ้นบนใบหน้าของฉินชิง สายตาทอดมองไปข้างหน้า แม้ว่าในหัวใจเขาจะรู้สึกโศกเศร้ามากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจแสดงมันออกมาให้อีกฝ่ายรู้ได้ 


 


 


ถ้าหลินเช่อเป็นคนเล่าให้กู้จิ้งเจ๋อฟัง แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็ยังอุตส่าห์ตามมาดูเขาถึงที่นี่แบบนี้ละก็… 


 


 


นั่นแปลว่าเธอไม่ต้องการที่จะข้องเกี่ยวอะไรกับเขาอีกต่อไปแล้วจริงๆ 


 


 


ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเธอคงไม่เคยชอบเขาเลยสินะ 


 


 


ฉินชิงยิ้มอย่างแห้งแล้งและตอบว่า “ขอบคุณมาก หลินเช่อเป็นผู้หญิง ถึงยังไงมันก็เป็นสิ่งที่ผมสมควรทำอยู่แล้วละครับ ถ้าจะปล่อยให้ผู้หญิงต้องเจอแผลมากมายขนาดนี้จนกลายเป็นแผลเป็นคงไม่ดีแน่” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณคุณชายรองอยู่ดีนั่นแหละ สิ่งที่คุณชายรองทำเพื่อหลินเช่อ ก็เท่ากับว่าทำเพื่อผมด้วยเหมือนกัน” 


 


 


ฉินชิงเหลียวมองไปรอบๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้ถูกส่งตัวมายังห้องพิเศษของโรงพยาบาลแห่งนี้ 


 


 


ชายหนุ่มมองเลยไปยังบรรดาบอดี้การ์ดที่ยืนแวดล้อมร่างสูงเอาไว้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลินเช่อถึงชอบผู้ชายคนนี้ 


 


 


ก็เขามีอะไรให้ไม่ชอบบ้างล่ะ 


 


 


ต่อให้เธอรู้ว่านี่เป็นความสัมพันธ์ที่อันตราย เธอก็คงไม่ยอมไปจากกู้จิ้งเจ๋อได้ง่ายๆ หรอก 


 


 


เมื่อคิดดังนั้น ฉินชิงจึงรู้สึกว่าคำสารภาพรักของเขาที่มีต่อเธอในวันนี้ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี 


 


 


ต่อให้เอามาเปรียบเทียบกันคร่าวๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ว่าใครก็จะต้องเลือกผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อ แทนที่จะเป็นเขากันทั้งนั้นแหละ… 


 


 


แต่ถึงกระนั้นฉินชิงก็ยังอดเศร้าใจไม่ได้ ถ้าเพียงแต่เขาได้รู้ว่าหลินเช่อดีแค่ไหนให้เร็วกว่านี้สักหน่อยละก็…  

 

 


ตอนที่ 154 นี่แหละที่เขาเรียกว่าหึง

 

หลินเช่อรออยู่ที่บ้านเป็นนานสองนาน แม้เธอจะพยายามโทรหาเท่าไหร่ แต่กู้จิ้งเจ๋อก็ไม่ยอมรับสายอีก หญิงสาวพยายามถามสาวใช้และบรรดาบอดี้การ์ด แต่คำตอบที่ได้รับคือพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าชายหนุ่มหายไปไหน


 


 


หลินเช่อกำโทรศัพท์ด้วยความหัวเสียและพยายามที่จะส่งข้อความหาเขา เธอไม่สนหรอกว่าเขาจะได้อ่านหรือเปล่า


 


 


[กู้จิ้งเจ๋อ ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าทำไมคุณถึงโกรธฉันน่ะ คุณเองก็รู้อยู่แล้วว่าฉันต้องไปโรงพยาบาลเพราะฉินชิงประสบอุบัติเหตุ แต่คุณรู้หรือเปล่าคะว่าที่เขาต้องเป็นแบบนั้นก็เพราะปกป้องฉันจากของที่หล่นลงมาจากเพดานห้าง และเพราะแบบนี้นี่แหละ คนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลตอนนี้ถึงไม่ได้เป็นฉัน เพราะฉะนั้น การที่ฉันจะตามไปดูแลเขานี่มันผิดตรงไหนกันเหรอ ทำไมคุณจะต้องโกรธด้วย ฉันควรจะตอบแทนความมีน้ำใจของเขาด้วยการไม่ใส่ใจแล้วก็ทิ้งเขาไว้อย่างนั้นเหรอ ทำแบบนั้นมันจะถูกเหรอคะ]


 


 


หลังจากส่งข้อความไปแล้ว เธอก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ กลับมาทั้งสิ้น หลินเช่อนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงตามลำพัง เธอรออยู่นานเหลือเกิน นานจนคิดว่ากำลังรอคนที่ไม่มีวันกลับมา ความเศร้าหมองหดหู่เกาะกินหัวใจ


 


 


ช่างเถอะ ถ้าเขาอยากโกรธ งั้นก็ปล่อยให้โกรธไปก็แล้วกัน


 


 


หลินเช่อไม่อยากจะง้องอนอะไรอีกแล้ว หญิงสาวนอนหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่นัก พอวันรุ่งขึ้นก็รีบตื่นและตรงไปยังกองถ่ายทันที จนกระทั่งตกค่ำ หลินเช่อก็ไม่ยอมกลับบ้านแต่ขอค้างคืนอยู่ที่สถานที่ถ่ายทำนั่นเอง


 


 


ขณะที่พักกอง เธอก็อดนึกถึงฉินชิงไม่ได้ การที่เธอจะตามไปคอยดูแลเขาที่โรงพยาบาลคงไม่ใช่เรื่องที่สะดวกนัก แต่ถ้าไม่โผล่ไปเลยเขาก็อาจจะคิดมากอีก เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเช่อจึงคิดว่าเธอควรจะโทรศัพท์ไปถามไถ่อาการของเขาเสียหน่อยจะดีกว่า


 


 


เมื่อต่อสายติด เสียงหม่นหมองของฉินชิงก็ดังขึ้นที่ปลายสาย


 


 


[ฮัลโหล]


 


 


“ฉินชิง ฉันเองจ้ะ ฉันกำลังติดถ่ายละครน่ะ ออกจะยุ่งอยู่สักหน่อย ก็เลยไปเยี่ยมเธอไม่ได้นะจ๊ะ”


 


 


ฉินชิงยิ้มกับโทรศัพท์ [ฉันย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาลใหม่แล้วล่ะ ขอบใจมากเลยนะ]


 


 


“อ๊ะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ แล้วมันดีหรือเปล่า ฉันยังนึกห่วงอยู่เลยว่า อะไรๆ ที่โรงพยาบาลเดิมนั่นดูจะไม่ค่อยสะดวก คงไม่ดีกับอาการบาดเจ็บของเธอเท่าไหร่”


 


 


[ขอบใจที่อุตส่าห์คิดถึงนะ อันที่จริงมันไม่เป็นอะไรมากหรอก อาการบาดเจ็บของฉันก็มีแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้นเอง]


 


 


“ต้องมากสิจ๊ะ ก็เธอต้องบาดเจ็บเพราะฉันนี่นา”


 


 


หลินเช่อไม่รู้เลยสักนิดว่า ฉินชิงนั้นคิดว่าเป็นเพราะเธอนี่แหละที่เป็นฝ่ายขอร้องกู้จิ้งเจ๋อให้ติดต่อขอย้ายโรงพยาบาลให้เขา


 


 


ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ความจริงทุกอย่างยังคงคลุมเครืออยู่เช่นนั้นเอง


 


 


ฉินชิงยิ้มและบอกว่า [อย่าคิดมากน่า ต่อให้เป็นคนแปลกหน้า ฉันก็คงยอมเห็นคนอื่นต้องเจ็บตัวต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก แล้วนี่เราก็รู้จักกันมาตั้งหลายปี ฉันจะไม่ช่วยได้ยังไง จริงไหมล่ะ]


 


 


อันที่จริงฉินชิงก็เป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว


 


 


หลินเช่อกำโทรศัพท์แน่น นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่เป็นครู่ใหญ่ และแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณนะ ฉินชิง”


 


 


[ยัยเด็กโง่] ฉินชิงว่า [ยังไงเธอก็ยังเป็นน้องสาวของฉันต่อไปอยู่ดีนั่นแหละ]


 


 


“อื้อ แล้วเธอก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเหมือนกันจ้ะ”


 


 


หลินเช่อวางสาย แต่กลับรู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม


 


 


เวลาเป็นสิ่งประหลาด มันชะล้างความรู้สึกมากมายให้มลายหายไป พัดพาความเสียใจที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไปจากห้วงคำนึงได้…


 


 


ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ แต่เธอก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆ จากกู้จิ้งเจ๋ออยู่นั่นเอง


 


 


แม้แต่อวี๋หมินหมิ่นก็ยังรู้สึกได้ว่า หลินเช่อกำลังครุ่นคิดกังวลเกี่ยวกับอะไรบางอย่างอยู่


 


 


เธอเห็นหลินเช่อกำลังนั่งงมอยู่กับโทรศัพท์จึงเดินเข้าไปหาแล้วถามว่า “นี่ วันนี้เธอเป็นอะไรไปน่ะ ดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย”


 


 


“ไม่ใช่ซะหน่อย…นี่ฉันถ่ายเทคเดียวผ่านทุกฉากเลยนะคะวันนี้!”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “ฉันไม่ได้หมายถึงการถ่ายทำ ดูตัวเองเข้าสิ พอถ่ายเสร็จเธอก็รีบมานั่งจ่อมอยู่ตรงนี้ทันที แล้วสีหน้าค่าตาก็อย่างกับไปกินรังแตนมาอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ตัวบ้างหรือไงน่ะ วันนี้พวกทีมงานไม่มีใครกล้าเข้ามาชวนเธอคุยเลยนะ”


 


 


หลินเช่อกะพริบตาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง “จริงเหรอคะ นี่หน้าตาฉันไม่รับแขกขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “ก็ใช่น่ะสิ”


 


 


หลินเช่อรีบผุดลุกขึ้นทันทีแล้วมองหน้าอีกฝ่าย “แย่แค่ไหนคะเนี่ย…หน้าบึ้งสนิทเลยอย่างนั้นหรือเปล่าคะ”


 


 


“เธอคิดว่าไงล่ะ!”


 


 


“โอ๊ยตายแล้ว” หลินเช่อร้อง “ทำไมฉันถึงไม่รู้ตัวเลยเนี่ย แล้วทำไมถึงไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยกับฉันละคะ”


 


 


“ก็เพราะกลัวจะโดนเธอเหวี่ยงเข้าให้น่ะสิ”


 


 


“ไม่มีทาง…ฉันออกจะน่ารักนิสัยดีจะตายไปค่ะ”


 


 


“ปกติเธอก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่วันนี้น่ะ หน้าหงิกหน้างอเป็นแม่มดเชียว” อวี๋หมินหมิ่นว่าเข้าให้


 


 


หลินเช่อถอนหายใจ “พี่อวี๋คะ พี่ว่า…ถ้าผู้ชายเขาโกรธเราโดยไม่มีเหตุผลเนี่ย มันหมายความว่ายังไงหรือคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “โธ่เอ๊ย มิน่าวันนี้เธอถึงได้ใจลอยนัก นี่โดนกู้จิ้งเจ๋อโกรธเข้าล่ะสิ เกิดอะไรขึ้นล่ะ แล้วไปทำอะไรเข้าเขาถึงได้โกรธ”


 


 


“…” หลินเช่อก้มหน้า นิ่งงันไปพักใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าว่า “อืม เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ค่ะ…”


 


 


หลินเช่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ โดยเว้นไว้บางช่วงไว้ เธอไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ฉินชิงอยู่ๆ ก็สารภาพรักกับเธอขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่คิดว่านั่นจะนับได้ว่าเป็นการสารภาพรัก มันออกจะเหมือนกับการถามถึงความเป็นไปได้ซะมากกว่า


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองหน้าหลินเช่อด้วยความประหลาดใจ “เธอนี่เยี่ยมไปเลยจริงๆ ขนาดตอนนี้เธออยู่กับกู้จิ้งเจ๋อแล้ว แต่ก็ยังมีเพื่อนชายสมัยเด็กมาคอยปกป้องและยอมเจ็บตัวแทนอีก นี่เธอกำลังพยายามทำให้ผู้หญิงทั้งโลกอิจฉาจนขาดใจตายหรือไงยะ”


 


 


“โธ่ พี่อวี๋คะ ช่วยบอกทีเถอะค่ะว่าฉันควรจะทำยังไงดี ก็ฉินชิงบาดเจ็บออกอย่างนั้น จะให้ฉันทิ้งไปได้ยังไงกันล่ะ แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็ขี้ใจน้อยอะไรขนาดนั้น นี่เขาทำเมินใส่ฉันมาตั้งแต่วันที่ฉันปล่อยเขารอเก้อนั่นแหละ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองห้า “เธอแน่ใจนะว่าเขาไม่ได้หึงน่ะ”


 


 


“อะไรนะคะ” หลินเช่อมองหน้าอวี๋หมินหมิ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างที่สุด


 


 


ผู้จัดการสาวตบโต๊ะปัง “พอเลย นี่เธอดูไม่ออกหรือไงกัน กู้จิ้งเจ๋อไม่ได้โกรธเพราะเธอปล่อยให้เขารอเก้อ แต่เขาโกรธที่เธอปล่อยให้เขารอแล้วกลับไปอยู่กับพ่อหวานใจวัยเด็กนั่นต่างหากล่ะ นี่เธอล้อฉันเล่นหรือเปล่าเนี่ย อาการแบบนี้นี่แหละที่เขาเรียกว่าหึงชัดๆ เลย”


 


 


“…” จริงเหรอเนี่ย


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายและเริ่มมีท่าทีกระสับกระส่าย “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”


 


 


เธอไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง


 


 


“ผู้ชายน่ะต้องการการเอาใจนะ เธอเองก็ลดๆ ความถือดีลงสักหน่อยแล้วก็ไปง้อเขาซะ แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อยเองนั่นแหละ เอ้า รีบๆ กลับบ้านไป อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นี่”


 


 


“…”


 


 


ขณะเดียวกัน ใครบางคนกำลังตามหาหลินเช่ออยู่บริเวณด้านนอก


 


 


“พี่เช่อ มีคนมารอพี่อยู่ข้างนอกแน่ะ” ผู้ช่วยผู้กำกับวิ่งเข้ามาพลางร้องบอกเธอ จากสุ้มเสียงและสายตาของเขา ดูเหมือนว่าคนที่มาหาท่าทางจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน หลินเช่อหันมองผู้จัดการส่วนตัวของเธอ เมื่อเห็นอวี๋หมินหมิ่นพยักหน้าอย่างให้กำลังใจ เธอก็รีบลุกขึ้นและวิ่งออกไปโดยเร็ว


 


 


ทว่าเมื่อออกมาถึงด้านนอกแล้ว เธอก็ได้เห็นว่าบุคคลที่ยืนรออยู่กลับเป็นเฉินอวี่เฉิงนั่นเอง


 


 


“คุณหมอเฉิน มาทำอะไรที่นี่คะ”


 


 


เฉินอวี่เฉิงมองหน้าหลนิเช่อ “นี่คุณไม่ได้กลับบ้านมาเกินหนึ่งวันแล้วงั้นเหรอ”


 


 


หลินเช่อทำปากบุ้ย “ใช่ค่ะ ก็ฉันกลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะทำให้ใครอารมณ์เสียเข้าน่ะสิ”


 


 


เฉินอวี่เฉิงว่า “นี่ ผมไม่รู้หรอกนะว่ากู้จิ้งเจ๋อเขาติดค้างอะไรคุณไว้กันแน่”


 


 


“อะไรกันคะ”


 


 


นายแพทย์ตอบว่า “ชาติที่แล้วเขาคงก่อกรรมกับคุณไว้เยอะละมั้ง พอกลับมาชาติมาเกิดคราวนี้ก็เลยต้องโดนคุณทรมานเป็นการแก้แค้น”


 


 


หลินเช่องงสนิทแล้วถามว่า “ใครทรมานใครกันแน่”


 


 


เฉินอวี่เฉิงพูดต่อ “นี่คุณคิดจะกลับไปเจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า”


 


 


“อะไรนะคะ” หลินเช่อช็อกเมื่อได้ยินคำถามนั้น


 


 


นายแพทย์ตอบ “กู้จิ้งเจ๋อกำลังจะตาย”


 


 


“คุณ…นี่คุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันน่ะ…”


 


 


“เขากำลังโกรธคุณจนจะขาดใจตายอยู่แล้ว”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อทำตาเขียวใส่นายแพทย์ประจำตัวของกู้จิ้งเจ๋อ “ไปให้พ้นเลยนะ!”


 


 


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มไม่สบอารมณ์ เฉินอวี่เฉิงก็รีบพูดต่อไปว่า “เอาล่ะๆ เลิกพูดเล่นกันที แต่กู้จิ้งเจ๋อกำลังป่วยจริงๆ นะครับ”


 


 


สีหน้าของหลินเช่อชะงักไป


 


 


ป่วยเหรอ


 


 


ทำไมล่ะ 

 

 


ตอนที่ 155 ป่วยแบบนี้ก็ต้องกินอะไรหน่...

 

หลินเช่อรีบกลับมาที่บ้านด้วยความเร่งร้อน เธอพบว่าจำนวนบอดี้การ์ดที่คอยดูแลความเรียบร้อยอยู่บริเวณรอบนอกของบ้านมีเยอะกว่าปกติ และการตรวจตราสอดส่องก็ดูจะเข้มงวดกว่าที่เคยหลายเท่า 


 


 


หญิงสาวมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล 


 


 


ขณะที่เฉินอวี่เฉิงขับรถมาส่ง เขาก็อธิบายว่า “เพราะท่านประธานกู้ป่วยหนัก เขาก็เลยกลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาสก่อเรื่อง เพราะอย่างนี้การรักษาความปลอดภัยด้านนอกก็เลยต้องเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ” 


 


 


“อ้อ” หลินเช่อรีบหันขวับมาหานายแพทย์ “นี่กู้จิ้งเจ๋อป่วยหนักเลยเหรอคะ” 


 


 


“ก็ไม่เชิงหรอก” เฉินอวี่เฉิงว่า “สำหรับคนอื่นแล้วนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับกู้จิ้งเจ๋อ เขาอยู่ในตำแหน่งสำคัญแล้วก็มีอำนาจมหาศาล สำหรับคนแบบเขาแล้ว หากเกิดปัญหาหรือว่าเป็นอะไรขึ้นมา มันจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนแค่เพียงคนหรือสองคนเท่านั้น” 


 


 


นั่นสินะ 


 


 


ไม่ช้าหลินเช่อก็มาถึงบ้าน เธอรีบเดินเข้าไปในห้อง เปลี่ยนรองเท้าและวิ่งกลับออกมา 


 


 


“คุณผู้หญิง กลับมาแล้วเหรอคะ” เมื่อได้เห็นหลินเช่อกลับมา สาวใช้ที่เพิ่งถูกไล่ตะเพิดออกมาจากห้องก็ยิ้มกว้างแล้วเดินมาต้อนรับเธอ 


 


 


หลินเช่อมองดูถาดอาหารที่ไม่ได้รับการแตะต้องเลยแม้แต่น้อย เลยถามว่า “เขาไม่ยอมกินเหรอจ๊ะ” 


 


 


“ค่ะ นายท่านไม่ยอมกินอะไรเลย” 


 


 


หลินเช่อรับถาดจากอีกฝ่ายแล้วค่อยๆ ผลักประตูห้องนอนเข้าไปอย่างเบามือ 


 


 


ภายในห้องนั้นเงียบกริบราวกับไม่มีคนอยู่ 


 


 


หญิงสาวเดินเข้าไปแล้วก็ได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ร่างใหญ่นั้นถูกคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนาหนัก ใบหน้าคมเข้มแทบไร้สีเลือด เนื้อตัวดูซีดเซียว ท่าทางน่าจะป่วยหนักไม่น้อย 


 


 


หัวใจหลินเช่อกระตุก เธอรีบเดินเข้าไปหาเขา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อดูเหมือนจะป่วยหนัก 


 


 


เมื่อได้ยินเสียง ชายหนุ่มแม้ไม่ยอมลืมตา แต่ก็ส่งเสียงแหบพร่าร้องออกมาว่า “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ให้ใครเข้ามาน่ะ” 


 


 


แต่แล้วเมื่อเขาผงกศีรษะขึ้น ชายหนุ่มก็ได้เห็นว่าคนที่หาญกล้าเปิดประตูเข้ามาคือหลินเช่อนั่นเอง เธอยืนถือถาดอาหารด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวราวกับสาวใช้อยู่ที่หน้าประตู 


 


 


ดวงตาของกู้จิ้งเจ๋อเป็นประกายวาบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็วก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นเย็นชาไร้ความรู้สึกอีกครั้ง 


 


 


คิ้วของเขาเลิกสูงเมื่อเขาตวัดสายตามองหญิงสาว ชายหนุ่มออกปากไล่เสียงดังว่า 


 


 


“ออกไปซะ!” 


 


 


หลินเช่อหน้าเสีย เธอมองอีกฝ่ายก่อนจะบอกตัวเองว่าอย่าใส่ใจและอย่าได้เสียเวลาโต้เถียงกับคนป่วยอย่างนี้ 


 


 


อีกอย่าง เธอจะปล่อยเขาทิ้งเอาไว้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาป่วยจนมีสภาพย่ำแย่ออกขนาดนี้น่ะ 


 


 


หลินเช่อรีบเดินยกถาดอาหารมาวางลงที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหันไปตำหนิคนตัวใหญ่ว่า “กู้จิ้งเจ๋อ คุณกำลังป่วยอยู่นะคะ อย่าทำตัววุ่นวายไปหน่อยเลย รีบลุกขึ้นมากินอะไรหน่อยเร็วเข้าเถอะ สาวใช้บอกว่าคุณไม่ยอมกินอะไรมาทั้งวันแล้ว ถ้าขืนทำแบบนี้ต่อไปอาการจะยิ่งแย่ลงไปอีกนะ” 


 


 


ว่าแล้วเธอก็พยายามดึงไหล่ของเขาเพื่อให้ลุกขึ้นนั่ง 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อผลักมือเธอทิ้งด้วยสีหน้ารังเกียจ “ฉันบอกให้ออกไปไงล่ะ ไม่ได้ยินหรือไง!” 


 


 


เมื่อถูกผลักจนเซออกมา หญิงสาวก็กัดฟันแน่น แต่ก็ยังคงพูดกับเขาอย่างอดทนว่า “พอทีเถอะค่ะ กู้จิ้งเจ๋อ” 


 


 


เธอขยับเข้าไปยืนข้างตัวเขาอีกครั้งและพูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณกำลังป่วย แล้วก็อาจจะกินอะไรไม่ค่อยลง แต่ถึงยังไงคุณก็ต้องมีอะไรตกถึงท้องบ้าง ฟังนะ ฉันจะป้อนคุณเอง” 


 


 


หลินเช่อพูดพลางคว้าแขนชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อก็ยังคงผลักมือเธอออกอยู่นั่นเอง “ฉันบอกให้เธอออกไป นี่ไม่มียางอายบ้างหรือไง โดนเขาไล่แล้วยังไม่ยอมไปอีก” 


 


 


ยังดีที่อย่างน้อยคราวนี้เขาก็ออกแรงผลักไม่มากนัก หลินเช่อจึงเพียงแค่เซถอยหลังไปเพียงก้าวเดียวและทรงตัวยืนได้อีกครั้ง 


 


 


หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกและมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อ “อะไรกันคะ คนอย่างฉันน่ะไม่มียางอายอยู่แล้วล่ะ ทำไมฉันจะต้องอายด้วย ก็ฉันไม่ใช่สาวน้อยจากตระกูลมั่งคั่งหรือทายาทธุรกิจที่ร่ำรวยอย่างพวกคุณนี่ ที่จะต้องคอยห่วงชื่อเสียงหน้าตาแล้วก็ต้องมาคอยเป็นทุกข์อยู่เรื่อย ฉันมันหน้าด้านแล้วไงล่ะ คุณจะทำอะไรได้” 


 


 


“นี่เธอ…” กู้จิ้งเจ๋อตวัดสายตามองหน้าหลินเช่อ 


 


 


หลินเช่อยืนมาดมั่นมองตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ ฉวยโอกาสจากสภาพย่ำแย่ของชายหนุ่มที่กำลังนอนซมด้วยการทำท่าขึงขังใส่เขา 


 


 


ความหงุดหงิดไม่พอใจผุดวาบขึ้นมาในสายตาของชายหนุ่ม 


 


 


ก็ในเมื่อผู้หญิงคนนี้พูดออกมาเองปาวๆ ว่าไม่มียางอาย แล้วใครจะไปทำอะไรหล่อนได้ล่ะ 


 


 


“เร็วเข้าสิคะ ลุกขึ้นมากินอะไรเสียหน่อย” หลินเช่อยังคงเซ้าซี้ไม่เลิก 


 


 


“ฉันไม่กิน” 


 


 


“ทำไมคุณถึงดื้ออย่างนี้นะ” หลินเช่อแทบหมดปัญญา 


 


 


“ออกไป” 


 


 


“ฉันไม่ไปค่ะ” หลินเช่อขยับเข้ามาใกล้และกดแขนเขาเอาไว้ เธอหันไปหยิบช้อน พ่อครัวของที่บ้านได้จัดเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเอาไว้ให้โดยปรุงให้ไม่เลี่ยนน้ำมันแต่ยังคงมีรสชาติอร่อย ซุปนั้นมีหน้าตาชวนรับประทานยิ่ง แต่กู้จิ้งเจ๋อก็ยังมองไม่เห็นความตั้งใจอันดีของอีกฝ่าย 


 


 


เมื่อเห็นหลินเช่อย่างสามขุมเข้ามาด้วยท่าทางเอาจริง ชายหนุ่มก็นิ่วหน้าและเริ่มส่งเสียงร้อง “ปล่อยฉันนะ!” 


 


 


“ไม่ปล่อย” 


 


 


“หลินเช่อ นี่เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย!” กู้จิ้งเจ๋อทำตาเขียวใส่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งคุกคาม ข่มขู่ ราวกับว่าจะฆ่าเธอทิ้งซะถ้าเธอกล้าแตะต้องเขาแม้ปลายก้อย 


 


 


แต่หลินเช่อก็ยังไม่ขยับหนี และค่อยๆ ยกช้อนที่ตักซุปขึ้นจรดปากเขา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกัดฟันและปัดช้อนในมือเธอโดยแรงจนอาหารตกกระจายลงบนพื้น 


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ!” หลินเช่อโกรธจริงๆ แล้วนะ เธอมองหน้าคนหัวดื้อ ขนาดป่วยออกอย่างนี้ยังดื้อด้านเป็นบ้า คิดว่าตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ หรือไงนะ 


 


 


“ได้ ก็ได้ ไม่กินใช่มั้ย งั้นวันนี้ฉันจะทำให้คุณยอมกินเอง!” 


 


 


ขณะที่พูด เธอก็ก้าวเข้ามาใกล้เตียงมากขึ้นอีก 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองตามเมื่อหญิงสาวก้าวขึ้นมากางขาคร่อมร่างของเขาเอาไว้ 


 


 


ชายหนุ่มเบิกตาโพลง 


 


 


เมื่อเธอนั่งลงบนตัวเขาได้ หญิงสาวก็ก้มลงมองและบอกด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่ว่า “วันนี้ฉันจะต้องทำให้คุณยอมกินให้ได้!” 


 


 


“หลินเช่อ นี่เธอทำบ้าอะไรน่ะ!” 


 


 


“ก็ป้อนซุปคุณน่ะสิ!” 


 


 


“เธอ…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูหลินเช่อคว้าชามซุปแล้วยกขึ้นดื่มดึกใหญ่จนเต็มกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างก่อนจะโถมตัวลงมาหาเขา 


 


 


ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว ริมฝีปากของเธอก็จรดแนบลงมา 


 


 


ทันทีที่ได้สัมผัสกับริมฝีปากนุ่มของหลินเช่อ กู้จิ้งเจ๋อก็เผยอปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว ปลายลิ้นของเธอแทรกดันปากเขาให้เปิดออก แล้วซุปอันโอชะก็ไหลเข้าไปอย่างง่ายดาย 


 


 


ชายหนุ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลยสักนิด นี่เขาถูกหลินเช่อใช้กำลังบังคับขืนใจอย่างงั้นรึ 


 


 


แม้จะอยากขัดขืน แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงลิ้นของหลินเช่อที่ยังคงค้นควานอยู่ในปากของตัวเอง ซึ่งหยุดการเคลื่อนไหวทั้งมวลของชายหนุ่มไปอย่างสนิทใจ ก่อนที่จะค่อยๆ กลืนซุปอุ่นๆ ที่ไหลลงสู่ลำคอแต่โดยดี 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้ว ลำคอของเขาขยับเมื่อกลืนอาการพลางมองดูหลินเช่อ 


 


 


หญิงสาวยืดอกอย่างภาคภูมิ ทั้งที่ยังคงกางขาคร่อมร่างเขาเอาไว้ ทำให้ท่าทางของเธอดูพิลึกพิลั่น 


 


 


หญิงสาวยกมือเช็ดปากและก้มลงมองหน้าอย่างมีชัย 


 


 


ดวงตาของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นสว่างไสวเจือด้วยความแดงระเรื่อ แม้แต่ปลายหูของเขาก็เริ่มร้อนแดงขึ้นตามมาด้วย 


 


 


หลินเช่อพูดเยาะว่า “ไม่ยอมกินใช่มั้ย ฉันจะทำให้คุณกินเอง” 


 


 


เมื่อพูดจบ เจ้าตัวก็ทำท่าจะเริ่มต้นกระบวนการเดิมใหม่อีกครั้ง 


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อรีบห้ามเอาไว้เสียก่อน “พอ พอเลย หยุดเถอะ” 


 


 


หลินเช่อชะงัก มองหน้าเขา 


 


 


ใบหน้าของกู้จิ้งเจ๋อบัดนี้แดงก่ำทีเดียว เขานิ่งงัน พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเคียดแค้นราวกับอยากจะฆ่าหญิงสาวให้ตายคามือ ถ้าหากว่าการฆาตกรรมคนไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายละก็ 


 


 


แต่ในที่สุดเขาก็เบือนสายตาจากหน้าเธอและพูดขึ้นว่า “ฉันกินก็ได้ แต่ถ้าเธอกล้าดีป้อนฉันด้วยวิธีนี้อีกละก็นะ…” 


 


 


ถ้าเป็นเขาป้อนเธอด้วยวิธีนี้มันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เขาจะยอมให้หลินเช่อมาทำแบบนี้กับเขาไม่ได้เป็นอันขาด 


 


 


ชายหนุ่มไม่อาจยอมรับความจริงที่ว่า เขาเป็นฝ่ายถูกผู้หญิงเป็นฝ่ายใช้กำลังบังคับ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงของเขาเองอีกต่างหากด้วยนี่สิ… 


 


 


เมื่อเห็นกู้จิ้งเจ๋อยอมจำนนแต่โดยดี หลินเช่อก็ร้องด้วยความดีใจว่า “เยี่ยมเลย คราวนี้ยอมเชื่อฟังดีๆ แล้วสินะคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองคนที่ยังนั่งกางขาทับอยู่บนตัวเขาหน้าตาเฉย และพูดขึ้นว่า “เธอช่วยลงไปจากตัวฉันก่อนได้มั้ย” 


 


 


“…”  

 

 


ตอนที่ 156 ฉันจะนอนข้างๆ ให้คุณอุ่นขึ...

 

หลินเช่อรีบลนลานลงมาจากร่างใหญ่ทันที เธอประกบมือเข้าหากันแล้วพูดว่า “แหม ลืมตัวไปหน่อยน่ะค่ะ มาเถอะ ฉันจะช่วยป้อนให้”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมอง


 


 


จากหางตาของเขา ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวกำลังประคองช้อนซุปส่งเข้าปากเขาอีกครั้ง และในคราวนี้คนตัวใหญ่ยอมกินแต่โดยดี


 


 


แต่ถึงจะยอมกินก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะยอมอยู่นิ่งๆ กู้จิ้งเจ๋อยังคอยเงยหน้ามองเธอเป็นระยะด้วยสายตาที่ดูจะเต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ


 


 


แต่หลินเช่อบุ้ยปากและแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ตราบใดที่เขายอมกินละก็นะ


 


 


“ว่าแต่คุณเป็นหวัดได้ยังไงคะ” หลินเช่อถาม


 


 


“ใครๆ เขาก็เป็นหวัดกันทั้งนั้น” เขาว่า


 


 


“ก็ใช่ค่ะ ฉันรู้ แต่แล้วทำไมอยู่ๆ คุณถึงเป็นขึ้นมาได้ละคะ”


 


 


“ทำไม แค่ฉันป่วยแล้วต้องให้เธอมาดูแลแค่นี้ก็บ่นแล้วหรือไง ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ จะไปไหนก็ไปเลย” คนป่วยเริ่มตะบึงตะบอน


 


 


“นี่ฉันไปพูดแบบนั้นตอนไหนกันคะ!”


 


 


หลินเช่อตวัดสายตามองอย่างหัวเสีย “ถึงยังไงฉันก็ต้องเป็นเบี้ยล่างให้คุณโขกสับอยู่ดีนั่นแหละ ขนาดคุณตะคอกใส่ฉันขนาดนี้ ฉันยังต้องคอยดูแลคุณเลย น่าสงสารเป็นบ้า”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าเยาะเย้ย “ก็สมควรแล้วนี่”


 


 


หลินเช่อหันไปและอธิบายอย่างไม่สู้พอใจนัก “อีกอย่าง มันไม่มีอะไรระหว่างฉันกับฉินชิงจริงๆ นะคะ” ขณะพูด หญิงสาวก็แอบเหลือบมองสีหน้าของอีกฝ่าย เธอจำที่อวี๋หมินหมิ่นบอกได้ ว่าบางทีแล้วกู้จิ้งเจ๋ออาจจะหึง…


 


 


นี่เขาหึงจริงๆ เหรอเนี่ย


 


 


แต่แล้วแววตาของเขาก็ทอประกายวาบขึ้นมาและหันขวับมามองเธอด้วยสายตาคมปลาบ


 


 


หลินเช่อว่าต่อ “จริงๆ นะคะ ฉันแค่บังเอิญเจอเขาที่ห้างสรรพสินค้า เราก็เลยทักทายกันนิดหน่อย ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีโคมแก้วจะตกลงมาจากข้างบนแบบนั้น ยิ่งคิดว่าตัวเองหวุดหวิดจะเสียโฉม ฉันก็ยิ่งสยองนะคะ แล้วด้วยความที่เรารู้จักกันมานาน ยังไงเขาก็อดช่วยฉันไม่ได้ เพราะแบบนี้เขาถึงต้องเจ็บตัวแทน แล้วจะไม่ให้ฉันอยู่ดูแลเขาฉันก็ทำไม่ลง เพราะอย่างนี้…”


 


 


“พอที” สีหน้าของเขาบึ้งตึงเมื่อขัดจังหวะเธอขึ้น “ฉันไม่อยากจะฟังคำอธิบายบ้องตื้นของเธอ”


 


 


“นี่คุณ…ก็ได้ค่ะ ฉันก็แค่อยากอธิบายให้ฟังเพราะฉันกลัวว่าคุณจะหึงน่ะ”


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะเสียงดังสนั่น “ใครหึงกัน”


 


 


“นี่คุณไม่ได้หึงหรอกเหรอคะ”


 


 


ชายหนุ่มกัดฟันแล้วหันมองหน้า “ฉันแค่เป็นห่วงเรื่องสติปัญญาของเธอต่างหากล่ะ!”


 


 


“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสติปัญญาฉันตรงไหนกันคะ” หลินเช่อถามด้วยความงุนงง


 


 


ชายหนุ่มตวัดสายตามองเธอแล้วตอบว่า “ก็เพราะ…ก็เพราะว่าเวลาเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ เธอก็ควรจะรู้จักสถานะของตัวเองสิ นั่นคือพี่เขยของเธอนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ไม่ควรจะไปอยู่เคียงข้างเขา ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เธอคิดว่าเธอควรจะเป็นคนที่ได้อยู่กับเขาในวาระสุดท้ายงั้นเหรอ เธอคิดว่าเธอจะรับผิดชอบชีวิตเขาไหวเรอะ คนที่ควรทำหน้าที่นี้คือพี่สาวของเธอและครอบครัวของเขาต่างหาก ไม่ใช่เธอที่เป็นแค่น้องเมีย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอควรทำตั้งแต่แรกเลยก็คือปล่อยเขาไว้ที่โรงพยาบาล แล้วก็รีบโทรบอกครอบครัวของเขากับพี่สาวเธอต่างหากล่ะ!”


 


 


“ฉัน…” หน้าของหลินเช่อเริ่มแดงด้วยความรู้สึกผิด “ตอนนั้นฉันไม่ทันได้คิดน่ะค่ะ”


 


 


“งั้นต่อไปก็คิดให้มากกว่านี้ซะ!”


 


 


“ฉัน…”


 


 


“ช่างมันเถอะ อย่าคิดมากไปเลย ต่อไปถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ให้รีบโทรหาฉันก่อนรู้มั้ย ด้วยระดับสติปัญญาอย่างเธอน่ะ ต่อให้คิดมากกว่านี้ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อเหลือบมองเขา “นี่คุณไม่ได้หึงจริงๆ เหรอคะ”


 


 


“หึงกับผีน่ะสิ! เอ้า ป้อนฉันเร็วเข้า!” หน้าของคนออกคำสั่งแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย เขาอดสบถออกมาเบาๆ ไม่ได้ แม้ว่าปกติจะไม่ใช่คนมีนิสัยเช่นนี้เลย


 


 


หลินเช่อรีบก้มหน้าตักอาหารป้อนเขาต่อทันที


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสูดลมหายใจยาว และแววตาของเขาก็เริ่มคลายความขุ่นข้องลงด้วยเช่นกัน


 


 


แม้ว่าจะทุลักทุเลไม่น้อย แต่หลินเช่อก็ป้อนอาหารเขาจนเสร็จ เมื่อเธอลุกนำถาดอาหารออกไปส่งคืน เธอก็ถามสาวใช้ว่า “นี่เขาล้มป่วยได้ยังไงกันน่ะ ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นล่ะ”


 


 


สาวใช้ตอบ “คุณผู้หญิงคะ มีแต่คุณผู้หญิงคนเดียวนี่แหละค่ะที่ทำให้ท่านยอมทานอะไรได้ ท่านไม่ยอมกินอะไรเลยไม่ว่าใครจะเป็นคนยกอาหารเข้าไปให้ก็ตาม”


 


 


“ไม่หรอก…” หลินเช่อว่า “เป็นเพราะพวกเธอไม่มีใครกล้าอาละวาดใส่เขาน่ะสิ”


 


 


สาวใช้พูดต่อไป “เมื่อวานนี้ท่านลงไปว่ายน้ำในสระทั้งวัน พอตกกลางคืนก็เลยจับไข้ จนถึงวันนี้อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเลยนะคะ พวกเรากลุ้มใจกันจะแย่”


 


 


เขาว่ายน้ำทั้งวันงั้นรึ


 


 


จริงเหรอนี่…


 


 


ก็ทำตัวแบบนี้จะไม่ให้ป่วยได้ยังไง


 


 


หลินเช่อส่ายหน้าขณะครุ่นคิด คงจะเป็นการดีกว่าถ้าเธอจะรีบกลับไปดูแลเด็กโข่งหัวดื้อที่กำลังนอนป่วยอยู่โดยเร็ว


 


 


 


 


เมื่อตกกลางคืน กู้จิ้งเจ๋อก็ยังคงมีไข้สูง


 


 


หลินเช่อให้เขากินยา แต่อาการไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น


 


 


เมื่อหญิงสาวเห็นเขาอาการทรุดหนักลงทุกที เธอก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา


 


 


แต่ก็ทำได้เพียงนั่งเฝ้าไข้เขาอยู่ข้างเตียง หลังจากกินยาเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มก็หลับๆ ตื่นๆ ด้วยท่าทีกระสับกระส่าย ทำให้หลินเช่อเองก็ไม่กล้านอนเช่นกัน


 


 


เมื่อได้ยินเสียงร้องครวญครางของเขา เธอก็รีบก้มลงดูและจับมือเขาไว้ “กู้จิ้งเจ๋อ คุณเป็นอะไรคะ”


 


 


เขาพึมพำแผ่วเบา “หลินเช่อ…”


 


 


“คะ ฉันอยู่นี่ค่ะ”


 


 


“หลินเช่อเหรอ”


 


 


“อยู่นี่ค่ะ อยู่นี่ ฉันอยู่นี่” หลินเช่อรีบกุมมือเขาแน่นเข้า เธอรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ชื้นแฉะไปทั่วฝ่ามือใหญ่ ทำให้หญิงสาวรีบคว้าโทรศัพท์ เธออยากจะลุกออกไปโทรศัพท์แต่กู้จิ้งเจ๋อยังคงรั้งมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วของเขาขมวดมุ่น สีหน้าท่าทางดูจะเต็มไปด้วยความทรมานอย่างมาก


 


 


หลินเช่อจึงตัดสินใจโทรหาเฉินอวี่เฉิงจากข้างเตียงนั่นเอง “คุณหมอเฉินคะ ไข้ของกู้จิ้งเจ๋อสูงมาก แล้วก็ไม่ยอมลดเลย คุณอยากจะเข้ามาดูอาการเขาหน่อยไหมคะ”


 


 


[โอ้ สูงแค่ไหนรึ]


 


 


“สามสิบแปดจุดเจ็ดองศาค่ะ”


 


 


[งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้ขึ้นถึงสามสิบเก้าแล้วค่อยโทรหาผมก็แล้วกัน]


 


 


“นี่คุณ…”


 


 


[นี่ผมพูดจริงๆ ยาที่ให้นั่นจะทำให้เขามีไข้สูง ก่อนหน้านี้มันเคยสูงขึ้นไปถึงสี่สิบเอ็ดองศาด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแค่สามสิบแปดนี่ถือว่าธรรมดามากสำหรับเขา]


 


 


“นี่คุณพูดจริงหรือคะ…”


 


 


[หึๆ ถ้าคุณกังวลนัก…ก็ชวนเขาออกกำลังกายสิ บางทีให้ได้เหงื่อออกสักหน่อย ไข้อาจจะลดลงก็ได้นะ]


 


 


“เขาแทบไม่รู้สึกตัวแถมยังวิงเวียนแทบไม่ได้สติแบบนี้ จะออกกำลังอะไรได้”


 


 


[ก็ออกกำลังบนเตียงไงล่ะ]


 


 


“คุณ…”


 


 


แต่นายแพทย์ตัวดีชิงวางสายไปก่อนแล้ว ทิ้งหลินเช่อเอาไว้ท่ามกลางความงุนงงว่าควรจะทำอย่างไรดี เธอหันไปมองเขาพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากชายหนุ่มแผ่วเบา


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ หายเร็วๆ นะคะ”


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ คุณเป็นยังไงบ้าง”


 


 


หญิงสาวรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของเขากำลังขยับ เหมือนจะพูดว่า “หนาว หนาวจัง”


 


 


เมื่อเห็นดังนั้น หลินเช่อก็แทบสติแตก เธอรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเขา แต่ก็ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ช่วยอะไรมากนัก


 


 


หญิงสาวละล้าละลัง ก่อนจะตัดสินใจยกผ้าห่มขึ้นและสอดร่างตัวเองเข้าไปนอนข้างร่างใหญ่โดยไม่ลังเล


 


 


เธอกอดเขาเอาไว้แน่น รู้สึกได้ว่าเขาสัมผัสเธอและขยับตัวเข้ามาใกล้เธอโดยสัญชาตญาณ ความรู้สึกอบอุ่นแล่นเข้าจับหัวใจเธอโดยปราศจากเหตุผล แก้มเธอแนบแก้มเขา และกระซิบแผ่วเบาอ่อนโยนว่า “ให้ตายสิ คุณไปว่ายน้ำนานขนาดนั้นทำไมกันคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อลืมตาขึ้นอย่างไม่สู้ได้สตินัก แล้วเขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ข้างกาย ริมฝีปากของเธอกำลังขยับขึ้นลง เธอกำลังมองมาที่เขา เสียงบ่นเบาๆ และสีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นดูจะชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดที่พรั่งพรูออกมา


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ ดีจังเลย ฉันกลัวแทบแย่แน่ะ” หลินเช่อโอบกอดเขาไว้ ร่างเธอเบียดแนบชิดเข้าไป ความนุ่มนิ่มของเนื้อตัวอีกฝ่ายทำให้หัวใจของชายหนุ่มเริ่มไม่เป็นปกติ


 


 


เขาหรี่ตาก้มลงมองเธอ และจากการพลิกตัวเพียงครั้งเดียว เขาก็เป็นฝ่ายสวมกอดเธอไว้


 


 


“อ๊ะ…นี่คุณ…”


 


 


หลินเช่อร้องอย่างตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงริมฝีปากของชายหนุ่มที่ปัดไล้ไปทั่วพลางพร่ำพูดว่า “อย่าไป อย่าไป…อย่าไปไหนนะ ตกลงมั้ย”


 


 


เสียงนั้นแทบจะทำให้หัวใจหลินเช่อหลอมละลาย


 


 


แบบนี้จะให้เธอใจแข็งทิ้งเขาไว้ได้ยังไงล่ะ


 


 


“ฉันไม่ไปไหนหรอกค่ะ…ไม่ไปหรอก”


 


 


เธอย้ำกับเขาพลางใช้นิ้วเสยไล่ไปตามเส้นผมดกหนาของเขา


 


 


เสียงอ่อนหวานนั้นทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แล้วอยู่ๆ วงแขนแข็งแรงก็โอบรัดร่างเธอแน่นเข้า


 


 


เขาใช้วงแขนสอดประคองศีรษะเธอไว้และฝังจูบลงไป


 


 


ปลายลิ้นร้อนผ่าวรุกล้ำเข้าไปในปากของหลินเช่ออย่างรุนแรงไม่รั้งรอ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม