วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ ตอนพิเศษ 1.5-1.10

ตอนพิเศษ 1-5 ฮาแบค

 

วันนี้ แม้ว่าจะดึกกว่าวันก่อนเล็กน้อย แต่ฮาแบคก็เตรียมตัวเลิกงานเร็วกว่าปกติ คราแรกนึกว่าจะพูดไปอย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่าฮอนจะยอมลดงานลงเกือบครึ่งให้จริงๆ แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกทะแม่งๆ และค้างคาใจอยู่แล้ว และยิ่งรู้สึกมากกว่าเดิมเมื่อเจออีกฝ่ายจับจ้องด้วยสายตากดดัน


 


 


“…หากฝ่าบาทมีสิ่งใดอยากตรัส ก็รีบกล่าวเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


กะว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่สายตาของฮอนก็ตามติดไม่ปล่อยจนทำให้ฮาแบคต้องเงยหน้าขึ้น


 


 


“เมื่อวานรีบกลับจวนไปทำอะไรหรือท่านมหาเสนาบดี”


 


 


“หลังจากอาบน้ำก็เข้านอนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ข้ากำลังถามถึงช่วงเวลาระหว่างหลังอาบน้ำกับก่อนเข้านอน”


 


 


ฮาแบคมองพู่กันในมือตนสลับกับพระพักตร์ยิ้มกริ่มขององค์เหนือหัว ถ้าใช้ไอ้นี่ฟาดพระนลาฏจะถือว่าเป็นกบฏหรือไม่นะ


 


 


“มอบหมายงานให้แขกพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“งานอะไรหรือ”


 


 


“กระหม่อมเองก็เป็นเพียงหนึ่งในราษฎรมากมายของฝ่าบาท หากทรงให้ความสนใจกับคนผู้เดียวมากเกินไป กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะสมในฐานะพระราชานะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


มันเป็นการเปรยกลายๆ ว่าช่วยเลิกสนใจแล้วทำงานของตนซะ และคนกล่าวดันหน้าตาคล้ายคลึงกับรยูฮาอีก ฮอนจึงไม่กล้าขุดคุ้ยต่อ ตั้งใจจะส่งคนติดตามอยู่ แต่หากทำเช่นนั้นจริงก็เกรงว่าทหารไม่รู้อีโหน่อีเหน่ผู้หนึ่งอาจจะถูกเปลี่ยนโชคชะตาด้วยมือของท่านแม่ยายได้ เมื่ออีกฝ่ายยอมปิดปากสนิทแล้ว ฮาแบคจึงสบายใจขึ้นนิดหน่อยและกลับมาจดจ่อกับการจัดการเอกสารตรงหน้าให้เสร็จ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด แต่ขณะฮอนกำลังนวดเอวปวดเมื่อยพลางบิดขี้เกียจ เจ้าของตำแหน่งมหาเสนาบดีก็ลุกพรวดหลังปิดเอกสารม้วนสุดท้าย


 


 


“เสร็จหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


 


 


“เสร็จแล้วหรือ”


 


 


คิ้วฮอนขมวดเข้าหากันและเปี่ยมความสงสัย ฮาแบคทำงานว่องไวมาก แต่เอกสารสองสามอันที่สุ่มดึงมาเปิดตรวจสอบกลับไม่มีจุดบกพร่องใดๆ แม้แต่เส้นหนึ่งเส้นที่ลากทับเรื่องเพิกถอนก็ยังเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับใช้ไม้บรรทัดวัดอีกต่างหาก


 


 


“ทรงตรวจสอบเสร็จแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“แน่นอน เจ้ากลับจวนไปเถอะ”


 


 


ทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยสินะ ระหว่างฮอนภาพวาดขนาดใหญ่และตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ฮาแบคก็รีบตรงกลับจวนทันทีที่ก้าวพ้นรั้วพระราชวัง


 


 


ความจริงแล้ว ชะเอมถือเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้เยอะที่สุด แต่ก็ยังพบได้ง่ายที่สุดด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการสั่งให้นำชะเอมมาตากแห้งจึงเป็นเหมือนการทดสอบไปในตัว จะทำเสร็จแล้วหรือยังนะ เป็นครั้งแรกที่คิดถึงเรื่องอื่นนอกจากอยากพักผ่อนหรืออยากนอนระหว่างทางกลับจวน แต่ร่างสูงกลับไม่รู้ตัว


 


 


“กลับมาแล้วหรือขอรับนายน้อย”


 


 


“แขกเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ทานอาหารเย็นและกลับเข้าห้องยาแล้วขอรับ”


 


 


เมื่อถึงจุดหมาย ฮาแบคก็ตรงไปยังห้องยาก่อนเป็นอันดับแรกแทนการเปลี่ยนเสื้อผ้าเฉกเช่นปกติ มีเสียงกรอบแกรบบางอย่างดังเล็ดลอดผ่านช่องประตูที่แง้มเล็กน้อยพร้อมกับแสงไฟสลัวๆ


 


 


“ข้าเข้าไปได้หรือไม่”


 


 


“เจ้าค่ะ นายท่าน”


 


 


สตรีผู้นั้นนั่งอยู่เพียงลำพังและกำลังลูบชะเอมที่สั่งให้นำไปตากแห้ง เขามั่นใจว่าฝากงานแค่กล่องเดียว แต่พอเห็นว่ามันเพิ่มเป็นสามกล่องจึงเกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อย


 


 


“งานที่ฝากไว้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”


 


 


นางวางชะเอมในมือลงกล่องอย่างเป็นระเบียบก่อนจะลุกยืน เศษผงต่างๆ จึงร่วงหล่นจากเสื้อผ้า ดูเหมือนอีกฝ่ายจะนั่งอยู่เช่นนั้นค่อนข้างนานพอสมควร


 


 


“ข้านำไปตากแดดในช่วงสายและเก็บเข้ามาหลังจากเลยเที่ยงวันไปเล็กน้อยเจ้าค่ะ แต่พอมาดูอย่างละเอียดก็พบว่าบางอันใหญ่ บางอันเล็ก และบางอันมีสีดำกว่าปกติด้วย ข้าจึงแยกอันใหญ่ อันเล็กและอันที่มีสีดำไว้ต่างหากเจ้าค่ะ เพราะว่ามัวแต่ทำเช่นนี้เลยยังไม่เสร็จสักที”


 


 


ฮาแบคยื่นโคมไฟเข้าไปใกล้ๆ และมองในกล่องอย่างละเอียด ระหว่างนั้นนางก็รู้สึกกระวนกระวายใจราวกับเด็กน้อยยืนต่อหน้าอาจารย์พร้อมสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย ใบหน้าสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลาไร้สิ่งที่กังวล ไม่นานเขาก็ใช้มือปัดเพื่อทำที่นั่งแล้วนั่งลง


 


 


“โอ๊ะ ชุดของท่านจะเลอะเอาได้นะเจ้าคะ”


 


 


“ไม่เป็นไรขอรับ ทำสองคนก็น่าจะเสร็จเร็วขึ้น”


 


 


เอ่ยตอบอย่างสุขุมเยือกเย็นและเริ่มแยกชะเอมลงกล่องตามสิ่งนางทำไว้ คำกล่าวนั้นถูกต้อง เพราะเมื่อครั้นทำเพียงลำพังต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่พอช่วยกันทำสองคนแล้ว ระยะเวลาก็ลดลงอย่างรวดเร็วทีเดียว ฮาแบคหยิบชะเอมชิ้นสุดท้ายขึ้นมา ทว่าอีกฝ่ายก็ยื่นมือมาหยิบมันเช่นกัน


 


 


“ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ!”


 


 


ร่างบางสะดุ้งโหยงราวกับถูกไฟลวกพร้อมปล่อยมือใหญ่ที่ตนเผลอจับแทนชะเอม แต่ก็ต้องสูดหายใจดังเฮือกเพราะบุรุษตรงหน้าคว้ามือนางกะหันทัน


 


 


ไม่รู้ว่ารับรู้ความรู้สึกในใจหรือไม่ แต่ฮาแบคก็พินิจพิจารณามือของสตรีตรงหน้าช้าๆ ก่อนจะวางลงบนกระโปรงที่เต็มไปด้วยเศษผงเหมือนเดิม แม้มันจะมืดจนมองไม่ค่อยชัด ก็เห็นว่าเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพียงแวบหนึ่ง


 


 


“ทำได้ดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลยขอรับ เดี๋ยวข้าจัดการเก็บเอง”


 


 


กระทั่งเสียงพูดยังเป็นน้ำเสียงแข็งกระด้างและเยือกเย็น ไม่ใช่เสียงนุ่มนวลคล้ายสายน้ำไหลเช่นปกติ โกรธหรือเปล่านะ นางเหลือบมองสีหน้าอีกฝ่ายขณะจัดของให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่อาจอ่านอารมณ์ใดๆ ออกเลย มันสงบนิ่งเหมือนเคย ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาโกรธแน่ๆ ตอนได้รับการกำชับเบาๆ พร้อมกุญแจหลังจากปิดประตู


 


 


“ไม่ต้องทำงานที่ข้าฝากภายในวันเดียวก็ได้ขอรับ ส่วนวันพรุ่งนี้ไม่ต้องแตะต้องพวกสมุนไพร แต่ช่วยทำความสะอาดพื้นโรงกับบริเวณโดยรอบหน่อยนะขอรับ”


 


 


พูดจบก็โค้งศีรษะให้เล็กน้อยแล้วตรงกลับห้องตนเอง ครุ่นคิดว่าเหตุใดถึงรู้สึกไม่สบอารมณ์เช่นนี้ แต่ขณะถอดชุดขุนนางออกก็มีชะเอมชิ้นเล็กๆ ร่วงลงมา มันอาจจะเข้าไปในแขนเสื้อ ฮาแบคจ้องมองสักพักใหญ่ กระทั่งเสียงสาวใช้จากด้านนอกดังขึ้นเรียกสติ


 


 


“นายน้อย เตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“เข้าใจแล้ว”


 


 


เขาวางเศษชะเอมลงข้างๆ ชุดขุนนางที่พับอย่างเรียบร้อยก่อนจะออกจากห้อง ปล่อยผมและแช่ตัวลงในน้ำอุ่น อาบน้ำด้วยถั่วเขียวบดพร้อมสะสางความรู้สึกติดค้างในใจไปด้วย อะไรกันนะ พยายามนึกย้อนถึงสาเหตุของความค้างคา แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ตอบคำถามของฝ่าบาทเมื่อวานเลย ‘สวยพ่ะย่ะค่ะ’ ตั้งใจจะตอบเช่นนั้นเมื่อเข้าวังแท้ๆ


 


 


“โอ๊ย!”


 


 


สวยพ่ะย่ะค่ะ… แต่แล้วใบหน้าสตรีผู้นั้นก็โผล่ขึ้นมาแวบหนึ่ง หรือจะเป็นเรื่องนั้นนะ สาเหตุของความค้างคาใจ


 


 


“เสร็จแล้วหรือเจ้าคะนายน้อย”


 


 


สาวใช้ที่รอรับใช้อยู่นอกประตูเอ่ยถามด้วยความตกใจ ฮาแบคในชุดนอนตัวบางจึงพยักหน้าตอบและกลับเข้าห้องนอนตน แต่ผ่านไปไม่นานก็เดินออกมาข้างนอกอีกรอบ ในมือถือกล่องเล็กๆ หนึ่งกล่อง


 


 


“แม่นาง นอนหรือยังขอรับ”


 


 


“ยังเจ้าค่ะนายท่าน”


 


 


อีกฝ่ายเปิดประตูพร้อมเส้นผมเปียกชื้นคล้ายเพิ่งอาบน้ำเสร็จเช่นกัน ฮาแบคกำลังจะเดินเข้าไปด้านในแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักแทนการก้าวข้ามธรณีประตู อาจจะเป็นเพราะกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของสตรีส่งกลิ่นอ่อนๆ เป็นความรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ควรเข้าเสียอย่างนั้น


 


 


“ข้างนอกหนาวนะเจ้าคะ เข้ามาก่อนเถิด”


 


 


เมื่อเห็นผู้มีพระคุณลังเลอยู่ตรงประตูอย่างไม่สมกับเป็นเขา นางจึงเอียงคอสงสัยพลางเอ่ยเชื้อเชิญซ้ำ เมื่อเดินเข้ามาแล้ว ก็พบว่าภายในห้องทั้งสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำเอาฮาแบครู้สึกพึงพอใจ


 


 


“ขอดูมือหน่อยขอรับ” 

 

 


ตอนพิเศษ 1-6 ฮาแบค

 

ฮาแบคจับมือเรียวที่ยื่นให้อย่างลังเลแล้วพิจารณาอย่างละเอียด ก่อนจะเดาะลิ้นเบาๆ เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เพราะต้องจับสมุนไพรในที่แห้งและหนาวทั้งวัน ดังนั้นนอกจากมือจะแห้งแล้ว ยังแตกนิดๆ อีกด้วย ขนาดมือของราษฎรใกล้ตัวยังดูแลไม่ได้เลย แล้วจะดูแลราษฎรที่อยู่ห่างไกลได้อย่างไร ฮาแบคตำหนิความไม่ใส่ใจของตนเองพร้อมเปิดกล่องนำขี้ผึ้งมาวางบนส่วนแห้งแตก


 


 


“เดี๋ยวข้าทำเองเจ้าค่ะ”


 


 


สตรีตรงหน้าออกแรงเพื่อชักมือกลับ แต่ฮาแบคไม่มีความคิดจะปล่อยง่ายๆ


 


 


“อยู่นิ่งๆ หน่อยขอรับ ข้ากำลังรักษาแผลอยู่”


 


 


เมื่อเขาพูดเช่นนั้น มือขยับยุกยิกจึงสงบเสงี่ยมขึ้น ขี้ผึ้งแข็งตัวในตอนแรกค่อยๆ ละลายจนอ่อนนุ่ม ฮาแบคถูมันลงบนผิวหนังอย่างเบามือ หลังจากทายาให้ทั้งสองมือและพันด้วยผ้าบ้างๆ ก็ปล่อยมือออก


 


 


“ห้ามนำผ้าออกจนกว่าข้าจะมาดูให้วันพรุ่งนี้ ไหนๆ ก็มาแล้วขอวัดชีพจรหน่อยขอรับ”


 


 


ระหว่างอาศัยอยู่ในจวน สีหน้าของนางดูดีขึ้นนิดหน่อย แต่ข้อมือก็ยังคงผอมแห้งอยู่เช่นเดิม ถึงขั้นเห็นได้เลยว่าชีพจรเต้นอย่างไรทั้งที่ยังไม่ทันเอานิ้วแตะด้วยซ้ำ เมื่อสัมผัสถึงชีพจรเต้นอย่างสม่ำเสมอแม้จะอ่อนแรง ฮาแบคจึงค่อยๆ เปิดปากพูดช้าๆ


 


 


“ดีขึ้นเยอะแล้วขอรับ ตอนนี้ก็ทานยาเฉพาะก่อนนอน… แม่นาง?”


 


 


แต่ก็ต้องหยุดพูดและสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายแทน ดวงตาเสมองทางอื่น ริมฝีปากเม้มสนิทดูแปลกตา


 


 


“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”


 


 


“นายท่าน”


 


 


เสียงของนางค่อนข้างเบา


 


 


“ข้าไม่ได้ฉลาดถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ”


 


 


ฮาแบคไม่รู้เลยว่าสตรีผู้นี้พูดเรื่องอะไร ทว่าสีหน้ายามเหลือบมองคิ้วที่ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยดูตึงเครียดขึ้นกว่าเดิม


 


 


“ดังนั้นหากท่านไม่กล่าวว่าเหตุใดถึงโกรธ ข้าก็ไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ แค่มาอาศัยรบกวนท่านผู้มีพระคุณ ข้าก็รู้สึกละอายแล้ว ยังจะทำให้ท่านวุ่นวายใจอีก ข้าไม่อาจสบายใจได้เช่นกัน”


 


 


หากให้ตีความก็คงหมายถึง เห็นว่าตอนนี้เขาโกรธอยู่จึงขอให้บอกถึงสาเหตุ นางอ้อมค้อมไปไกลมากทีเดียว ฮาแบคคิดเช่นนั้น มันเป็นความแปลกที่ทั้งต่างและเหมือนสุดๆ กับยามฝ่าบาททอดพระเนตรอย่างประหลาดๆ เขาจ้องมองสตรีตรงหน้า ก่อนจะหันมองท้องฟ้าพลางถอนหายใจออกมายาวเพื่อสงบอารมณ์นั้น


 


 


“ข้าไม่เคยโกรธขอรับ ถ้าแม่นางไม่สบายใจ คราวหน้าข้าจะระวัง”


 


 


“แต่ตอนนี้ท่านก็กำลังโมโหอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”


 


 


“หากเห็นเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องขออภัยด้วย”


 


 


“แค่ท่านบอกให้รู้เจ้าค่ะ เพราะหากรู้สาเหตุแล้ว คราวหน้าข้าก็จะได้ระ…”


 


 


“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่เคยโมโห!”


 


 


ฮาแบคขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกได้ก็ต้องอุทานและปิดปากสนิท ทั้งชีวิตคนสุขุมเยือกเย็นตลอดเวลาอย่างเขาเคยขึ้นเสียงใส่คนผู้เดียวเท่านั้น แม้ยามนี้อีกฝ่ายจะกลายเป็นรัชทายาทของฮเยกุกแล้วก็เถอะ ไม่เคยทำกิริยาเช่นนี้กับราษฎรผู้อ่อนแอมาก่อนเลย ทว่าน่าเสียดายที่ราษฎรตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ทราบเจตนาของเขา


 


 


“ข้าต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


ร่างบางถอยหนึ่งก้าวพร้อมโค้งต่ำ บนหน้าผากนางเหมือนเขียนไว้ว่า ‘ข้าจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้เจ้าค่ะ’ มหาเสนาบดีช่างเป็นตำแหน่งยากเย็นเสียจริง ก่อนอื่นเขาควรทำให้สตรีผู้หนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่าหากปล่อยให้ออกไปจากที่นี่ จะต้องแข็งตายอยู่สักที่แทนแน่นอนหายโกรธก่อน หลังปรับลมหายใจได้แล้ว ฮาแบคจึงขยับเข้าใกล้นาง


 


 


“ข้าไม่ได้โกรธจริงๆ แค่เป็นกังวลเมื่อเห็นมือของแม่นางเป็นเช่นนี้เพราะงานที่ตัวข้าฝากไว้ แต่ตอนนี้ก็ยาทาพันผ้าเรียบร้อย ดังนั้นไม่เป็นไรแล้วขอรับ ที่ข้าขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อครู่ก็เป็นเพราะอึดอัดใจ อย่าได้ใส่ใจเลยขอรับ”


 


 


นางก้มหน้ามองมือตนเองด้วยความงุนงง พอลองนึกย้อนดูช้าๆ จึงหน้าแดงระเรื่อพร้อมเม้มริมฝีปาก ลูกองุ่นป่าสีดำสองลูกขยับไปมาใต้แพขนตา พอเห็นนิ้วมือที่โผล่พ้นผ้าพันแผลกระดิกไปมาอย่างกระวนกระวาย เขาจึงคิดว่าเจ้าตัวคงจะสับสนไม่น้อย


 


 


“ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันคิดเช่นนั้นเลย… ขออภัยเจ้าค่ะ”


 


 


“แม่นางกล่าวขอโทษเยอะไปแล้ว พักผ่อนให้สบายเถิดขอรับ”


 


 


ฮาแบคตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ปิดท้ายก่อนจะรีบออกจากห้อง จนถึงตอนนั้นนางก็ยังคงก้มหน้าแดงระเรื่อด้วยความอับอาย


 


 


“ฮึ คิกๆ ”


 


 


ก้าวออกมาได้ไม่กี่ก้าว ร่างสูงก็ต้องปิดหน้าและหลุดหัวเราะออกมา เหล่าสตรีในบ้านตระกูลซอไม่เคยทำสีหน้าเช่นนั้นเลย ใบหน้ากลายเป็นสีแดง ดวงตาล่อกแล่ก รวมถึงนิ้วมือด้วย มันกระดุกกระดิกไม่หยุดจนไม่ว่างงาน ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งระเบิดหัวเราะออกมาจนไม่อาจควบคุมได้


 


 


“นายน้อย?”


 


 


คนใช้ที่เดินผ่านพอดีแทบไม่เชื่อสายตาจนต้องขยับมาดูเขาใกล้ๆ นายน้อยส่งเสียงหัวเราะอย่างนั้นหรือ ต่อให้โลกพลิกกลับหัวกลับหางก็น่าจะต้องพลิกประมาณสิบรอบได้ แต่ตนก็มั่นใจบุรุษที่ยืนหัวเราะคิกคักอยู่ตรงลานบ้านกลางดึกผู้นั้นคือนายน้อยแน่นอน


 


 


“เรียกทำไม”


 


 


“ไม่มีอะไรขอรับ แค่สงสัยว่าใช่นายน้อย…”


 


 


“เจ้ากินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า”


 


 


ฮาแบคกลับมาสุภาพเยือกเย็นเช่นปกติราวกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องนอน ทว่ายังคงมีรอยยิ้มติดอยู่บนริมฝีปากซึ่งคนอื่นไม่ทันสังเกตเห็น


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


ได้รับหน้าที่ดูแลห้องยามาถึงเก้าวันแล้ว วันแรกนางแยกชะเอมได้อย่างไร้ที่ติ วันต่อมาก็เช็ดถูทำความสะอาดด้านในและนอกห้องยากับม้านั่งจนสะอาดเอี่ยมอ่อง แต่ไม่เพียงเท่านั้น นางยังสะบัดเสื่อฟางข้าวกับถาด นำมันไปผึ่งแดดก่อนจะเก็บเข้าที่อย่างเรียบร้อยด้วย เห็นอย่างนั้นฮาแบคจึงยิ้มราวกับอารมณ์ดี ซึ่งนั่นทำให้นางมีความสุขเป็นอย่างมาก และตอนนี้เป็นช่วงเย็นของวันที่สิบ เขากำลังแจงงานของรุ่งขึ้นอยู่ในห้องยา


 


 


“สิ่งนี้คือพิษลักษณ์ขอรับ มันคือพืชที่มีพิษน่ากลัว หากทานเข้าไปร่างกายจะเกิดอาการชา แต่ถ้าทานเกินขนาดก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเป็นอัมพาตและตายในที่สุด ขนาดหมอที่มีฝีมือยอดเยี่ยมยังต้องใช้มันอย่างระมัดระวัง พรุ่งนี้ให้แม่นางหั่นใหญ่ประมาณนี้ จากนั้นแบ่งออกมาทีละนิดและห่อด้วยกระดาษนะขอรับ”


 


 


“พิษลักษณ์ อาการชา ถ้าทานเยอะเกินจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเป็นอัมพาต หั่นห่อใส่กระดาษ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน”


 


 


สตรีตรงหน้าเอ่ยทวนตามคำพูดเขา ซึ่งติดเป็นนิสัยเวลามีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในหัว ดวงตาของเขาจ้องมองนาง ก่อนจะสบตากันเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมากะพริบตาปริบๆ หลังท่องจำข้อมูลเกี่ยวกับพิษลักษณ์เรียบร้อยแล้ว


 


 


มีอะไรติดหน้าข้าหรือเปล่า หรือข้าพูดอะไรแปลกๆ แม้จะลองครุ่นคิดดู แต่ก็ไม่เจออะไรน่าสงสัยเลย ขณะนั้นฮาแบคก็เอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงนุ่มนวลและแผ่วเบาเป็นพิเศษกังวานภายในห้องยาอย่างสงบนิ่ง


 


 


“ลองพูดอีกรอบได้หรือไม่ขอรับ”


 


 


“เจ้าคะ?”


 


 


“ที่ข้ากล่าวเมื่อสักครู่นี้ ลองพูดอีกรอบดูขอรับ”


 


 


จำอะไรผิดงั้นหรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ นางกล่าวซ้ำอีกรอบโดยที่บุรุษตรงหน้าไม่ยอมละสายตา


 


 


“พิษลักษณ์คือพืชที่มีพิษ หากทานเข้าไปร่างกายจะเกิดอาการชา แต่ในกรณีทานเกินขนาดก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเป็นอัมพาตส่งผลให้ตายได้เจ้าค่ะ ดังนั้นหมอที่มีฝีมือจึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง ให้จัดการหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ และห่อใส่กระดาษเอาไว้ ถูกหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


สายตาจับจ้องหายไปเห็นว่านางท่องจำสรรพคุณจนถึงคำแนะนำได้ทั้งหมด พอสายตากดดันถูกเก็บไปแล้ว ร่างบางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่รู้ตัว


 


 


“เก่งมากขอรับ”

 

 

 


ตอนพิเศษ 1-7 ฮาแบค

 

ดูเหมือนจะไม่มีส่วนผิดพลาด ฮาแบคยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยประหนึ่งพึงพอใจ คำชมถือเป็นเรื่องไม่คุ้นชินสำหรับนาง แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ดีใจจนหัวใจเต้นแรงเช่นกัน ก่อนน้ำเสียงนุ่มนวลจะส่งไปถึงสตรีที่กำลังแอบอมยิ้มอยู่ด้านหลังอีกครั้ง


 


 


“ที่แม่นางเคยถามว่าเหตุใดข้าถึงกล้ามอบหมายให้ดูแลสมุนไพรอันล้ำค่าเหล่านี้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวท่านเลยเมื่อคราวก่อน”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


“แล้วแม่นาง รู้อะไรเกี่ยวกับตัวข้าบ้างหรือไม่ขอรับ”


 


 


คำถามกะทันหันทำให้นางเอียงคอด้วยความสงสัย แน่นอนว่าไม่รู้อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นที่นี่คือที่ไหน หรือแม้แต่นามของอีกฝ่าย ไม่สิ นางรู้ข้อหนึ่ง


 


 


“ข้าไม่ทราบอะไรเลยเจ้าค่ะ นอกจากนายท่านเป็นหมอ”


 


 


คิก จู่ๆ บุรุษที่ยืนหันหลังให้ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา


 


 


“หมองั้นหรือ หึๆ”


 


 


หัวเราะอยู่สักพักถึงหันกลับมา ทว่ารอยยิ้มยังไม่ลบออกจากดวงตา มันหลงเหลืออยู่ชัดเจนและสวยงาม แม้นางจะคิดว่าดวงตาของเขาดูเย็นชา แต่พอยิ้มแบบนี้แล้วก็งดงามไม่ใช่น้อย เป็นครั้งแรกที่มองบุรุษแล้วคิดว่าช่างงดงามเสียจริง


 


 


“จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าข้าเป็นหมอหรือขอรับ”


 


 


“ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”


 


 


“อืม ก็ไม่ใช่คำกล่าวที่ผิดนักหรอกขอรับ นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็ไม่รู้อะไรอีกเลยใช่หรือไม่”


 


 


“ตามที่ท่านกล่าวเจ้าค่ะ”


 


 


“ดูเหมือนแม่นางจะไม่สงสัยอันใด เพราะไม่เห็นเคยเอ่ยถาม”


 


 


ไม่ถามงั้นหรือ นางมั่นใจว่าตนเอ่ยถามแล้วแน่นอนยามอีกฝ่ายเข้ามาตรวจชีพจรให้ตั้งแต่วันแรกที่ได้สติขึ้นมา


 


 


‘ที่นี่คือที่ไหน แล้วท่านผู้มีพระคุณมีนามว่ากระไรหรือเจ้าคะ’


 


 


“ข้าถามแล้วเจ้าค่ะ แต่นายท่านตอบว่าตนมิใช่คนน่ารู้จักขนาดนั้น แล้วก็เดินออกจากห้องไปมิใช่หรือ”


 


 


อย่างนั้นหรือ ฮาแบคฟังคำตอบพลางย้อนนึกถึงเรื่องราวไม่กี่วันก่อน ไม่นานนักก็ค้นพบความทรงจำเสี้ยวหนึ่งจริงๆ จึงตำหนิตัวเองและผงกศีรษะ


 


 


“ข้าลืมไปเสียสนิท เช่นนั้นตอนนี้ไม่สงสัยแล้วหรือขอรับ”


 


 


“หากท่านอยากบอกก็คงบอกแล้ว ข้าเลยคิดว่านายท่านคงมีเหตุผลบางอย่างถึงไม่บอก ดังนั้นจึงไม่สงสัยแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


หากตื่นขึ้นมาแล้วมีบุรุษแปลกหน้าบอกว่าตนเป็นมหาเสนาบดี และที่นี่คือจวนตระกูลซอครอบครัวของพระมเหสี ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็คงต้องตกใจ เขาเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้นจึงเลือกจะไม่บอก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดคนละอย่าง ซึ่งก็ดูน่ารักดี


 


 


“แล้วนายท่านไม่สงสัยเกี่ยวกับตัวข้าหรือเจ้าคะ ข้าเองก็ยังไม่เคยบอกชื่อแม้แต่ตัวอักษรเดียวเช่นกัน”


 


 


ความขมขื่นปรากฏบนริมฝีปากยกขึ้นน้อยๆ ของฮาแบคครู่หนึ่ง ช่างเป็นสตรีตัวเล็กเสียจริง ขนาดมวยผมรวบขึ้นสูงอย่างเรียบร้อยก็ยังอยู่ต่ำกว่าไหล่เขาพอสมควร ดังนั้นเมื่อต้องจ้องหน้าตรงๆ นางจึงต้องเชิดคางเล็กๆ ขึ้นเพื่อแหงนหน้ามอง ร่างสูงจึงค่อยๆ ก้มตัวลงเพื่อให้นางมองเขาสะดวกมากขึ้นนิดหน่อย


 


 


“สงสัยสิขอรับ สงสัยว่าแม่นางชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อยากรู้ด้วยว่ามีอาหารที่ชอบกับอาหารที่กินไม่ได้หรือไม่ สิ่งที่อยากทำ สถานที่ที่อยากไปในภายภาคหน้าก็สงสัยเหมือนกัน”


 


 


สิ่งที่อยากทำ สถานที่ที่อยากไป ข้ามีอะไรแบบนั้นหรือไม่ ข้าอยู่ในสถานะที่สามารถเลือกกินอาหารที่ชอบกับไม่ชอบได้แล้วงั้นหรือ ที่ไม่ชอบนั้นมีอย่างแน่นอน แต่ที่ชอบคืออะไรกันนะ


 


 


ความคิดสับสนวุ่นวายรับรู้ได้จากขนตากะพริบไม่หยุดและดวงตากลิ้งกลอกไปมา ทว่าฮาแบคไม่เร่งเอาคำตอบและรออยู่เงียบๆ จนกระทั่งนางอ้าปากตอบเอง


 


 


“อาหารที่ทานไม่ได้ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ตอนยังเป็นเด็ก เพื่อนเคยเอาลูกพลับแห้งมาแบ่งให้บ้างเป็นบางครั้ง จำได้ว่ามันอร่อยมาก ตอนนี้ข้าชอบเวลาท่านกล่าวว่าข้ามีประโยชน์เจ้าค่ะ แต่ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้าจึงขอให้มาช่วยงานเช่นนี้ ส่วนสถานที่ที่อยากไปข้าคิดไว้แล้ว แต่จะบอกท่านและออกจากที่นี่เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนเจ้าค่ะ”


 


 


หลังจากฟังคำตอบจากสตรีผู้นี้จนถึงประโยคสุดท้าย ฮาแบคก็รู้สึกขมขื่นยิ่งกว่าเมื่อสักครู่นี้เสียอีก เหลือเวลาอีกเพียงใดกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิกันนะ ตอนนี้เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว จนกว่าความหนาวเย็นในต้นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน…


 


 


“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยเจ้าค่ะนายท่าน”


 


 


เขาคำนวณฤดูกาลภายในใจ ก่อนจะตั้งสติได้เมื่อได้ยินเสียงทักจึงหันหลังกลับมาอีกครั้ง ตรงหน้าคือพิษลักษณ์ที่ตากแห้งเป็นอย่างดีเต็มถาด


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ กลับไปพักผ่อนกันเถิด”


 


 


ทั้งสองเดินออกมาจากห้องยา ทำการลงกลอนประตู ก่อนจะเดินผ่านลานหน้าบ้านอย่างช้าๆ ทั้งฮาแบคที่เดินนำหนึ่งก้าวและสตรีที่เดินตามหลังเหยียบเงาเขา ต่างก็ไม่พูดอะไรกันสักคำจนกระทั่งเดินมาถึงหน้าห้องของนาง


 


 


“พักผ่อนตามสบายขอรับ เจอกันพรุ่งนี้”


 


 


ฮาแบคเอ่ยลาอย่างสุภาพเฉกเช่นปกติและยืนรอจนกว่าประตูจะปิด แต่ในวันนี้อีกฝ่ายที่มักจะบอกลากลับแล้วเดินเข้าห้องเงียบๆ กลับไม่ทำเช่นเดิม


 


 


“นายท่าน”


 


 


แม้ท่าทางเหมือนมีเรื่องอยากพูดแปะอยู่เต็มหน้า แต่ดูท่าจะพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่สามารถอ่านความคิดในใจของสตรีผู้หนึ่งออกง่ายดายผ่านสีหน้า ถึงความจริงแล้วเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสตรีมาเยอะถึงเพียงนั้นก็ตาม


 


 


“ไม่ต้องรีบบอกก็ได้ขอรับ ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ”


 


 


คำกล่าวนั้นทำให้นางยิ้มเล็กน้อย


 


 


“นอนหลับให้สบาย เจอกันพรุ่งนี้เจ้าค่ะนายท่าน”


 


 


ร่างบางจึงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม ก้าวเข้าห้องและปิดประตู ฮาแบคยืนมองประตูนิ่ง สักพักก็รับรู้ถึงความเหนื่อยล้าถาโถมจนต้องตรงกลับห้องตนเอง เหนื่อยจริงๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ง่ายๆ


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี!”


 


 


ฮาแบคก้าวเข้าพระราชวังเป็นคนแรกสุดและตรงไปยังท้องพระโรงเช่นทุกวัน แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินน้ำเสียงแข็งกร้าว


 


 


“ข้าไม่ได้หูหนวกขอรับ ท่านสมุหกลาโหม”


 


 


แม้จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุดเป็นรองเพียงจักรพรรดิ แต่เจ้าของตำแหน่งมหาเสนาบดีก็ยังรักษาความสุภาพอ่อนน้อมอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อฮาแบคตอบกลับอย่างเย็นชา สมุหกลาโหมที่เดินเข้ามาอย่างฮึกเหิมจึงผงะถอยหลังกลับหนึ่งก้าว


 


 


“นี่มันอะไรกัน ท่านเมินเฉยข้าได้อย่างไร ไม่อยากจะเชื่อ!”


 


 


เนื่องจากร่างกายเหนื่อยล้าสะสมความอึดอัดใจเต็มเปี่ยม ส่งผลให้ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้น ร่างสูงยืนนิ่งรอจนกระทั่งสมุหกลาโหมใกล้เข้ามา ก่อนจะรับม้วนกระดาษม้วนที่อีกฝ่ายส่งให้ราวโยนใส่ พอกางออกดูจึงเห็นว่ามีเส้นตรงเส้นหนึ่งขีดฆ่าตัวอักษร เป็นที่ชัดเจนว่ามันคือหนึ่งในม้วนกระดาษที่เขาขีดทิ้งโดยไม่จำเป็นต้องดูด้วยซ้ำ


 


 


“ท่านยอมเข้าวังแต่เช้าตรู่เพื่อถกเถียงเรื่องนี้หรือขอรับ ปกติวิ่งเห็นเข้ามาอย่างหวุดหวิดก่อนฝ่าบาทจะเสด็จมาถึงแท้ๆ”


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี!”


 


 


สมุหกลาโหมอารมณ์หุนหันพลันแล่น ร้อนรุ่มจนหน้าขึ้นสีแดง ทว่าแค่นั้นไม่ได้ทำให้ฮาแบคผู้ดำรงชีวิตในฐานะบุตรชายคนรองของตระกูลซอกะพริบตาเลยสักนิด


 


 


“ไยถึงเพิกถอนเรื่องนี้โดยไม่ยื่นถวายแก่ฝ่าบาทก่อน ท่านจะถามเช่นนี้ใช่หรือไม่”


 


 


“ท่านก็ทราบดีนี่นา ฎีกาที่ข้าเป็นคนเสนอเองจะถูกยกเลิกเพราะท่านมหาเสนาบดีได้อย่างไรกัน!”


 


 


“เช่นนั้นท่านก็ควรเสนอแก่ฝ่าบาทโดยตรงสิขอรับ”


 


 


“ข้าทำตามขั้นตอน สามขุนนางใหญ่ต้องแสดงให้เป็นแบบอย่าง…”


 


 


“ข้าก็เช่นกัน!”


 


 


ฮาแบคเอ่ยขัดคำพูดของสมุหกลาโหมอย่างเยือกเย็น


 


 


“ข้าเองก็ทำตามขั้นตอนขอรับ ก่อนจะเสนอฎีกาถวายฝ่าบาท การจัดการตัดเรื่องไร้สาระทิ้งก็เป็นงานของข้าไม่ใช่หรือ”


 


 


“จะ จะบอกว่าฎีกาของข้าไร้สาระอย่างนั้นหรือ!”


 


 


“ถูกต้องแล้วขอรับ”


 


 


“ท่านมหา…!”


 


 


“อ้าว ฝ่าบาท เหตุใดถึงเสด็จมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 


ตอนพิเศษ 1-8 ฮาแบค

 

ฮาแบคมองตรงไปด้านหลังสมุหกลาโหมพร้อมโค้งคำนับ เหล่าเสนาบดีทั้งหลายที่ยืนอยู่ตรงนี้ รวมถึงสมุหกลาโหมที่กำลังจะตวาดเสียงดังจึงสะดุ้งตกใจรีบกลับหลังหันและโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียงทันที แต่ไม่นานถึงรู้ตัวว่าเสียงขันทีขานบอกกล่าวการเสด็จของพระราชายังไม่ดังขึ้นเลย


 


 


“ทะ ท่าน!”


 


 


จึงต้องเหลือบสายตามองด้วยความสับสน และเห็นเพียงเหล่านางในหัวเราะคิกคักเดินผ่านเท่านั้น มิใช่ฝ่าบาทแต่อย่างใด ระหว่างนั้นฮาแบคก็ก้าวเข้าไปยืนประจำที่ในท้องพระโรงแล้ว ไม่รอฟังว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยอะไรทั้งนั้น สายตาของสมุหกลาโหมจับจ้องเขาราวกับจะกินจากฝั่งตรงข้าม และถูกโต้กลับด้วยความสงบนิ่ง


 


 


แน่นอนว่าภายในใจฮาแบคกำลังหงุดหงิดเป็นอย่างมาก หงุดหงิดทั้งสมุหกลาโหมที่กล้ามาซักไซ้ต่อว่าอย่างมั่นใจถึงการปัดฎีกาของตนทิ้ง หงุดหงิดที่มีเวลาไม่พอ รวมถึงหงุดหงิดสตรีแปลกหน้าผู้นั้นด้วยเช่นกัน แต่ถึงจะรวมสาเหตุทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็ยังหงุดหงิดไม่เท่ารับรู้ว่าตนสูญเสียความใจเย็น ต้องแก้ไขให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ไปเรื่อยๆ


 


 


เป็นครั้งแรกที่ฮาแบคไม่มีสมาธิทำงานหลังจากขึ้นรับตำแหน่งใหญ่ กระทั่งไม่สนใจว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปเช่นไร แม้จะไม่แสดงออกภายนอก แต่ฮอนก็สังเกตเห็นอยู่ดี เพราะพวกเขาตัวติดกันแทบทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เขารีบทำงานส่วนของตนให้เสร็จด้วยความเป็นกังวลครึ่งและสงสัยใคร่รู้อีกครึ่ง จากนั้นจึงเรียกฮาแบคมาพบที่ห้องทำงานเป็นการส่วนตัว


 


 


“บอกข้ามาสิว่ามีเรื่องอะไร ท่านมหาเสนาบดี”


 


 


ฮาแบคเข้าใจความหมายของคำถามจู่โจมทันทีที่นั่งลงโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่ม ทว่าการระบายความกังวลให้ผู้อื่นฟังไม่ใช่นิสัยเขา แม้ว่าจะเป็นน้องเขยของตนหรือพระเจ้าหนึ่งเดียวในโลกก็ตาม ระหว่างรินน้ำหมึกลงในจานและฝนหมึกช้าๆ ก็ตอบกลับโดยไม่หันมองฮอน


 


 


“กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงหมายถึงอะไรพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี…”


 


 


พูดจบฮอนก็หัวเราะ มีด้านน่าเอ็นดูจนคาดไม่ถึงด้วยหรือนี่


 


 


“เจ้าโกหกไม่เก่งจริงๆ นะ”


 


 


หมึกที่ฝนกระเด็นใส่แขนเสื้อสะอาดสะอ้าน นี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน


 


 


“กระหม่อมจะทูลเท็จแก่ฝ่าบาทได้อย่างไรเล่า”


 


 


“เงยหน้าขึ้นมองข้าท่านมหาเสนาบดี”


 


 


“กระหม่อมแค่รู้สึกไม่สบาย…”


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี!”


 


 


เสียงนั้นดังขึ้นข้างหู เมื่อค่อยๆ หันมองก็เห็นฮอนนั่งเอียงตัวเท้าคางมองจ้องกันอยู่ พร้อมกับรอยยิ้มทางสายตาเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ดั่งเช่นรยูฮาพูดอยู่บ่อยๆ


 


 


“ฝ่าบาท ขอร้องล่ะ!”


 


 


ฮอนขยับเข้าใกล้ให้เท่ากับระยะที่ฮาแบคถอยหลังด้วยสีหน้าบูดบึ้ง จนระยะห่างของทั้งสองแคบลงเหลือเพียงแค่ประมาณสองกำปั้นลอดผ่าน


 


 


“หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถช่วยได้ ข้าก็จะได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ไงเล่า เพราะฉะนั้นเจ้าบอกข้ามาเถอะ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”


 


 


“โปรดทรงถอยออกไปหน่อย แล้วค่อยตรัสถามเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“แต่ข้าไม่อยากนี่นา”


 


 


อย่าว่าแต่ออกห่างเลย ตอนนี้ระยะห่างของพวกเขากลับลดลงเหลือเพียงหนึ่งกำปั้นเท่านั้น แม้จะเอี้ยวตัวหลบไปด้านหลังสุดๆ แล้วก็ยังไม่อาจจะหลีกหนีจากลมหายใจกระทบใบหน้าได้เลย


 


 


“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะบอก แต่โปรดทรงถอยออกไปก่อนเถิด”


 


 


ริมฝีปากของฮอนวาดเส้นโค้งงดงามและค่อยๆ ถอยห่าง ตอนนั้นฮาแบคถึงรู้ตัวว่าตนกำพู่กันแน่นมากจนเหมือนจะหักมันเสียอย่างนั้น หากใช้สิ่งนี้ฟาดลงหน้าผากนั่น คงจะเป็นการกบฏจริงๆ สินะ


 


 


“คราวก่อนกระหม่อมเล่าว่าเก็บ… ไม่สิ พาแขกผู้หนึ่งกลับจวนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ใช่ๆ”


 


 


ฮอนพยักหน้าและตอบรับอย่างกระตือรือร้น


 


 


“แต่ดูเหมือนท่านพ่อท่านแม่ของกระหม่อมจะสืบเรื่องราวเกี่ยวกับแขกผู้นั้นมานิดหน่อย”


 


 


น่าจะเรียกว่าส่งคนไปสืบเบื้องหลังมากกว่า


 


 


“แล้ว?”


 


 


“เฮ้อ”


 


 


ฮาแบคหยุดพูดสักพักแล้วถอนหายใจยาว และการถอนหายใจนั้นก็ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของฮอนพุ่งสูงปรี๊ด แต่ก็ต้องแข็งทื่ออย่างสับสนเมื่อได้ยินคำพูดถัดมา


 


 


“นางเป็นสตรีออกเรือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ออกเรือนแล้ว?”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ คล้ายๆ ถูกขาย นางเป็นบุตรสาวคนโตของครอบครัวยากจน จึงต้องจำยอมเป็นภรรยาของชายชราที่เป็นเศรษฐีพ่ะย่ะค่ะ


 


 


“เช่นนั้น… ทำไม”


 


 


“ในคืนแรกนางตีศีรษะชายชราผู้นั้นจนสลบแล้วหนีออกมา คงคิดว่าหากมาเมืองหลวงน่าจะไม่ถูกจับเพราะคนเยอะและวุ่นวาย แต่ร่างกายเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลทนไม่ไหวจึงตัดสินใจงีบหลับสักที่หนึ่ง จนกระหม่อมมาเจอเข้าพอดีพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ภาพความหวังกับการแต่งงานของอีกฝ่ายหายวับกับตา ถึงจะกำลังผิดหวังอยู่ แต่ฮอนก็สังเกตเห็นความขมขื่นบนริมฝีปากของเจ้าของน้ำเสียงสงบนิ่ง หากเขาแสดงท่าทีเช่นนี้ บางทีความรู้สึกอาจจะลึกล้ำซับซ้อนกว่าที่คิดก็ได้


 


 


“ท่านพี่”


 


 


“เรียกกระหม่อมเช่นนี้ มันผิดกฎระเบียบนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“แต่ตรงนี้ก็มีแค่เราสองคนไม่ใช่หรือ”


 


 


“ได้โปรดอย่าทรงมองกระหม่อมเช่นนั้น…”


 


 


“แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า”


 


 


ฮอนยิ้มพลางวางมือบนต้นขาฮาแบค แม้จะเป็นการกระทำเพื่อแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้น ก็ไม่สนใจอาการขนลุกของอีกฝ่ายเลย


 


 


“ข้าจะช่วยเอง”


 


 


“ว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


นอกจากจะรู้สึกขนลุกกับมือบนต้นขาตนแล้ว ยังต้องงุนงงกับคำพูดที่ได้ยินอีกด้วย การย้อนถามอย่างฉงนของฮาแบคทำให้ฮอนกดเสียงต่ำลงเล็กน้อย


 


 


“ก็ท่านพี่ชอบสตรีนางนั้นไม่ใช่หรือ”


 


 


ห้องทำงานอันกว้างขวางตกอยู่ในความเงียบงันทันที ฮาแบคไม่เข้าใจแม้แต่น้อยจึงปิดปากเงียบ ส่วนฮอนก็เงียบเพราะรอคำตอบ ระหว่างมองหน้ากันไปมาฮาแบคก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน


 


 


“ทรงหยอกเล่นเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย”


 


 


“ไม่เคยสักครั้งเลยหรือ”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ไม่เคยสักครั้ง”


 


 


เน้นคำว่าไม่เคยสักครั้งแล้วหันหน้าหนีเหมือนไม่อยากฟังอะไรต่อแล้ว โดยไม่ลืมแอบปัดมือฮอนออกจากต้นขาตนอย่างแนบเนียน


 


 


“ท่านพี่หลับตาหน่อยได้หรือไม่”


 


 


ทว่ามือ เอ๊ย พระหัตถ์บ้านั่นกลับเกาะแน่นกว่าเดิมแทนที่จะยอมผละออกแต่โดยดี ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงก็เหมือนจะอ่อนโยนขึ้นด้วย ฮาแบคพยายามไม่สนใจขนที่ลุกซู่ทั้งตัวและหลับตาลง เพราะมันคือคำสั่งจากพระราชา


 


 


“ลองนึกถึงสตรีผู้นั้นในหัวดู”


 


 


มีแผนจะทำอะไรอีกล่ะ แต่ใบหน้าของสตรีที่โดนไฟตะเกียงส่องก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนต่างกับความคิด ท่ามกลางความมืดสลัวอีกฝ่ายค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาคล้ายกับลูกองุ่นป่ามองไปทางซ้าย ทางขวาและมองลงด้านล่างเล็กน้อย ก่อนจะวกกลับมาจดจ้องเขา นางค่อยๆ ยื่นมือเข้ามาหา และในจังหวะที่มือข้างนั้นกดลงบนแผ่นอกซ้ายของฮาแบคอย่างแผ่วเบา


 


 


“เฮือก!” 

 

 


ตอนพิเศษ 1-9 ฮาแบค

 

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมเบิกตาโพลง เมื่อครู่มันคืออะไร พอทัศนวิสัยเริ่มสว่างขึ้นปรากฏภาพน้องเขยของตนซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าตีกำลังยิ้มแย้มอยู่แทนสตรีผู้นั้น


 


 


“หัวใจเต้นแรงถึงเพียงนี้ยังจะปฏิเสธว่าไม่ชอบอยู่อีกหรือ”


 


 


“โปรดนำพระหัตถ์ออกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หรือหมายความว่าเอามือออกจากตัวข้าได้แล้ว ฮอนรับฟังและยอมละมือออกจากตัวฮาแบคเล็กน้อย เขาแอบรู้สึกเสียดายแทน อีกฝ่ายเป็นถึงข้าหลวงที่เขาเชื่อใจมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขา รวมถึงพี่ชายอีกด้วย แล้วจะยอมให้คว้าน้ำเหลวได้อย่างไร


 


 


“ข้าจะออกแผ่นป้ายประจำตัวอันใหม่ให้ จากนั้นจัดการออกคำสั่งให้เป็นบุคคลสูญหายก็น่าจะจบ”


 


 


“แต่มันผิดกฎหมายพ่ะย่ะค่ะ ทั้งๆ ที่พบตัวแล้วจะทำให้กลายเป็นบุคคลสูญหายได้อย่างไร เดี๋ยวพอถึงฤดูใบไม้ผลิ นางก็จะกลับไปยังที่ที่เคยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพระองค์อย่าได้ใส่ใจเรื่องนั้นนักเลย”


 


 


“หากเป็นดังที่กล่าวก็ควรส่งกลับตั้งแต่ตอนนี้เลยสิ ไยต้องเลื่อนไปถึงฤดูใบไม้ผลิ?”


 


 


“อากาศมันหนาวพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ท่านเป็นกังวลว่าผู้กระทำผิดจะหนาวหรือจะร้อนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


 


“ฝ่าบาท!”


 


 


“โอ้โห? ขึ้นเสียงต่อหน้าข้าแล้วด้วย”


 


 


เฮ้อ ฮาแบคลูบหน้าพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ หมู่นี้เขาเสียความใจเย็นบ่อยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่สามารถพูดดีๆ กับสมุหกลาโหมก็ได้แต่ก็ยังโต้กลับอย่างรุนแรง ไหนจะขึ้นเสียงต่อหน้าพระราชาอย่างไม่เกรงกลัวอีก เกือบจะทำตามความคิดตีฝ่าบาทเข้าจริงๆ แล้วด้วย ถึงจะคิดอยากตีมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วก็ตาม


 


 


“ทรงพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


 


 


“ทรงพระกรุณา? ตะโกนใส่ข้าแล้วยังมาถามหาความกรุณาอีกอย่างนั้นหรือ!”


 


 


แน่นอนว่าเพียงขึ้นเสียงเล็กน้อย ไม่ได้ตะโกนแต่อย่างใด ทว่าฮาแบคก็ลุกขึ้นและโค้งคำนับแทนการโต้แย้ง


 


 


“ทรงพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท โปรดลงโทษกระหม่อมตามที่เห็นสมควรเถิด”


 


 


“ลงโทษ? เปลี่ยนมาพูดเรื่องลงโทษแล้วงั้นหรือท่านมหาเสนาบดี”


 


 


น้ำเสียงยามกล่าวเช่นนั้นฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ จนอยากติว่าทรงยังขาดความสามารถในการแสดงอีกมาก แต่ฮาแบคก็ยอมปล่อยเพราะสงสัยว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร


 


 


“ข้าต้องลงโทษเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้พักงานเป็นเวลาสิบวัน หักเบี้ยหวัดเดือนนี้ครึ่งหนึ่ง ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้ จำไว้อย่าได้เสนอหน้าเข้าวังเป็นเวลาสิบวัน!”


 


 


พูดจบฮอนก็ใช้เท้าเตะประตูห้องทำงานอย่างแรง มันเปิดออกเสียงดังปังเหมือนจะหลุดออกมา เหล่าข้าราชบริพารที่ยืนเรียงอยู่ด้านนอกต่างสะดุ้งตกใจหมอบกราบลงกับพื้น หลังโค้งถวายการคำนับแก่พระราชาแล้ว ฮาแบคจึงหลบออกมาพร้อมรอยยิ้มระหว่างทุกคนเหล่าก้มหมอบ เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมรยูฮาถึงถามอยู่บ่อยๆ ว่าฮอนไม่น่ารักหรือ


 


 


 


 


“ไยถึงกลับจวนแล้วเล่า”


 


 


เมื่อบุตรชายที่ไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตามาหาตอนกลางวัน นายหญิงตระกูลจองจึงเอียงคอด้วยความสงสัย เนื่องจากรู้เป็นอย่างดีว่าตำแหน่งนั้นยุ่งมากเพียงใดจึงยิ่งคาดเดาสาเหตุยากขึ้นไปอีก


 


 


“ข้าได้รับคำสั่งพักงาน แถมยังถูกหักเบี้ยหวัดครึ่งนึงด้วยขอรับ”


 


 


“พักงาน? เจ้าน่ะหรือ”


 


 


“ขอรับท่านแม่”


 


 


“เหตุผลล่ะ”


 


 


“ความผิดโทษฐานขึ้นเสียงต่อหน้าพระพักตร์ขอรับ”


 


 


“ขึ้นเสียง? เจ้าเนี่ยนะ”


 


 


“ขอรับท่านแม่”


 


 


บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนเขาวงกต นอกจากฮาแบคจะไม่ใช่บุตรชายที่ทำผิดเช่นนั้นแล้ว พระราชาเองก็ไม่ใช่คนสั่งให้ผู้ใดพักงานด้วยเรื่องเพียงแค่นั้นเช่นกัน ถึงแม้จะทำจริงๆ ก็ตาม ทว่าแทนที่จะพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนั้น นายหญิงตระกูลจองกลับไถ่ถามในสิ่งที่ควรให้ความสนใจในฐานะพ่อแม่


 


 


“หากมีความคิดจะส่งกลับ ก็ควรส่งกลับแต่เนิ่นๆ ซะ แต่ถ้าไม่คิดเช่นนี้ ก็จัดการแก้ไขปัญหาให้ดี”


 


 


แม้จะคำพูดจะไม่มีประธานหรือกรรม แต่ก็พอเข้าใจความหมายได้


 


 


“คิดจะส่งกลับขอรับ หลังจากการพักงานของข้าจบลง จะรีบดำเนินการทันที”


 


 


“หากเจ้าตั้งใจจะทำเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด”


 


 


บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างมารดากับบุตรชายจบลงตรงนั้น หลังโค้งลาอย่างนอบน้อมและกลับออกมา ฮาแบคก็คิดจะตรงกลับห้องตนทันที แต่ระหว่างเดินช้าๆ พลางครุ่นคิด ขากลับพามุ่งหน้ามายังห้องยาเสียอย่างนั้น เอี๊ยด เสียงประตูหนักๆ เปิดออกทำให้สตรีด้านในตกใจจนต้องหันกลับมามอง


 


 


“นายท่าน? เหตุใดถึงกลับเร็วหรือเจ้าคะ”


 


 


แสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องประตูสะท้อนกับใบหน้าสงสัยของนาง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้เห็นอีกฝ่ายภายใต้แสงตะวันสุกสว่าง ไม่ใช่แสงจากตะเกียงรำไร


 


 


“นับจากนี้ไปอีกสิบวัน ข้าจะอยู่ในจวน ไม่ออกไปทำงานขอรับ”


 


 


“สิบวันหรือเจ้าคะ”


 


 


“ไม่ชอบหรือ”


 


 


ทว่าฮาแบคกลับตกใจที่ตนย้อนถามนางเช่นนั้นมากกว่า ตัวเขาไม่ได้ไปทำงานแล้วจะถามนางทำไมว่าไม่ชอบหรือ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดเช่นเดียวกัน ดูได้จากการเบิกตาโพลงและจ้องมองเขา


 


 


“ไม่ใช่ คะ คือ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”


 


 


ตอนนี้แม้แต่การพูดก็เริ่มตะกุกตะกัก ช่างเป็นความรู้สึกประหลาดเสียจริง เป็นเพราะเพิ่งเคยรู้สึกสับสนแบบนี้เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะ


 


 


“ข้าไม่ได้ไม่ชอบเจ้าค่ะ”


 


 


ภายในหัวที่กำลังสับสนวุ่นวายหยุดชะงักกึก เสียงตอบรับแผ่วเบาแต่ชัดเจนมัดตัวฮาแบคเอาไว้ราวกับเป็นเชือกฟาง


 


 


“แม่นาง?”


 


 


“ข้าบอกว่าไม่ได้ไม่ชอบเจ้าค่ะ ข้าชอบที่นายท่านมาอยู่ข้างๆ ตั้งสิบวัน”


 


 


ควรตอบว่าอย่างไรดี ‘ขอบคุณ’ ไม่ใช่สิ ‘ข้าเองก็ชอบขอรับ’ ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ นางให้บุรุษที่จ้องมองกันโดยไม่มีคำตอบรับก่อนจะพูดเสริม


 


 


“จนถึงตอนนี้เราเรียนสมุนไพรแค่วันละชนิดไม่ใช่หรือเจ้าคะ ตั้งแต่วันนี้ข้าขอเรียนเยอะขึ้นอีกหน่อยได้หรือไม่ อาจจะสามารถช่วยนายท่านได้เยอะขึ้น”


 


 


หมายถึงอย่างนี้เองสินะ แต่ความผิดหวังไม่รู้สาเหตุก็ไม่ได้ปรากฏบนใบหน้าของฮาแบคแต่อย่างใด


 


 


“ได้สิขอรับ เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้ข้าจะสอนสมุนไพรให้วันละสามชนิดเลย”


 


 


เห็นรอยหมึกชัดเจนบนแขนเสื้อของอีกฝ่ายยามก้าวเดินเข้ามาข้างในพลางกวาดตามองพวกสมุนไพร สายตาของนางหยุดอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนจะหันมองสมุนไพรที่เจ้าตัวนำออกมา


 


 


“สิ่งนี้คือฝิ่น ถ้าจะพูดให้ชัดเจนมันมาจากการรีดของเหลวออกแล้วทำให้แห้ง มีฤทธิ์กล่อมประสาทการรับรู้จนไม่รู้สึกเจ็บปวด และช่วยให้หลับสนิทได้ด้วยขอรับ มันเป็นสมุนไพร แถมยังเป็นพืชมีพิษด้วย ดังนั้นหากใช้เกินขนาดในครั้งเดียวก็อาจทำให้หยุดหายใจจนถึงขั้นสียชีวิต และหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน…”


 


 


ฮาแบคยื่นฝิ่นที่กำอยู่ในมือให้ น้ำเสียงอันนุ่มนวลราวกับท่องบทกลอนแผ่กระจายถึงสตรีที่รับมันมาโดยไม่ทันตั้งตัว


 


 


“จะเกิดอาการอยากต่อเนื่อง เสพติดไม่สิ้นสุด ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตรายแต่ก็โหยหาขอรับ” 

 

 


ตอนพิเศษ 1-10 ฮาแบค

 

ฮาแบคตื่นสายกว่าปกตินิดหน่อย แต่ถึงจะบอกว่าตื่นสาย ดวงอาทิตย์ยามเช้าก็เพิ่งโผล่ขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้นเอง เขาใช้เวลาหนึ่งวันในห้องตนและห้องยาเป็นส่วนใหญ่เหมือนช่วงก่อนเข้ารับราชการ หากจะมีจุดแตกต่างก็น่าจะเป็นสตรีตัวเล็กผู้หนึ่ง เจ้าของดวงตาเป็นประกายและคอยพยักหน้าไปมาอยู่ข้างๆ เขา จากเคยอยู่เพียงลำพังมาตลอด


 


 


“นี่คือหญ้าแส้ม้า ใช้บรรเทาอาการปวดศีรษะ กระตุ้นการขับปัสสาวะเพื่อขับพิษในร่างกาย ทั้งยังสามารถชะล้างเชื้อโรคบนแผล และซ่อมแซมผิวหนังได้ด้วยขอรับ วันนี้หลังจากต้มน้ำเสร็จ ให้ทิ้งไว้จนอุ่นพอจะนำมือจุ่มลงไปได้ จากนั้นให้นำสิ่งนี้ลงแช่ให้ละลายแล้วบรรจุใส่ขวด”


 


 


“บรรเทาอาการปวดศีรษะ ขับปัสสาวะ ขับพิษ ล้างเชื้อโรค ซ่อมแซมผิวหนัง เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน ข้าจะมาหยิบสมุนไพรอีกทีหลังจากต้มน้ำเสร็จแล้ว”


 


 


เงาสองเงายืนเคียงกันภายใต้แสงตะวันลอดผ่านทางช่องว่างของประตู ฮาแบคเบนสายตาออกจากเงาของนางไปยังชายกระโปรงสีม่วงอ่อน เมื่อเจ้าตัวเดินออกไปข้างนอกแล้ว มันคือเสื้อผ้าที่นายหญิงตระกูลจองเคยใส่สมัยยังเป็นสาว แน่นอนว่าถักทอจากผ้าเนื้อดีราคาแพง แต่สำหรับสตรีร่างเล็กแล้วมันก็ค่อนข้างใหญ่ไปสักหน่อย เหลืออีกเพียงแปดวันเท่านั้น เขานับเวลาที่เหลืออยู่จนกว่าการพักงานจะจบลง ก่อนจะนำหญ้าแส้ม้าแห้งออกมาหนึ่งกำมือแล้วเดินออกมาข้างนอก


 


 


“ทำอะไรอยู่หรือขอรับ”


 


 


แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินผ่านอย่างทุลักทุเลโดยมีไหวางเทินศีรษะ จึงต้องเอ่ยถามด้วยความงุนงง


 


 


“โอ่งน้ำในห้องครัวว่างเปล่าเจ้าค่ะ ข้าก็เลยไปตักมา”


 


 


เจ้าพวกขี้เกียจเอ๊ย รู้ว่าโอ่งก็ต้องมีวันน้ำหมดบ้าง แต่ฮาแบคก็ต่อว่าพวกคนใช้ในใจ จากนั้นก็หยิบไหจากนางมาถือเอง


 


 


“ข้าทำได้เจ้าค่ะ!”


 


 


“ชีพจรของแม่นางยังอ่อน เลือดก็เย็นอยู่ แถมกล้ามเนื้อก็ไม่มีเรี่ยวแรงอีก นั่นหมายความว่าอะไรรู้หรือไม่”


 


 


ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกัดริมฝีปาก แม้จะไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบจริงจัง แต่นางก็ตอบกลับหลังจากลังเลสักพัก


 


 


“ต้องกินตังกุยหรือเจ้าคะ”


 


 


ฮึ ฮาแบคหลุดขำออกมาสั้นๆ


 


 


“หมายความว่าแม่นางยังเป็นคนป่วยต่างหาก ยังไม่ถึงเวลาควรทำอะไรหนักๆ เช่นนี้ ต่อจากนี้ไปหากจะทำงานอะไรหนักๆ ให้มาหาข้านะขอรับ”


 


 


“แต่การตักน้ำไม่ได้หนักเลยนะเจ้าคะ”


 


 


จู่ๆ คนเดินนำหน้าอยู่ก็ชะงัก ทำเอาคนเดินตามหลังไม่ทันตั้งตัวจนหน้าผากกระแทกแผ่นหลังกว้างเต็มเปา


 


 


“แม่นางเคยกล่าวว่าข้าเป็นหมอมิใช่หรือ คติของหมอคือการช่วยชีวิตคนและทำให้แข็งแรงขึ้น คติของคนป่วยก็คือต้องดูแลตนเองและปฏิบัติตามใบสั่งยาของหมอ เข้าใจหรือไม่ขอรับ”


 


 


“หมายความว่าให้ข้าเชื่อฟังคำของนายท่านหรือเจ้าคะ”


 


 


“ก็เข้าใจง่ายนี่นา”


 


 


ฮาแบคเดินเนิบนาบเข้าไปในครัวโดยไม่หันหลังมามอง คนครัวนั่งสัปหงกอยู่ตรงมุมสะดุ้งตื่นและหันมามองประตูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า


 


 


“ตายจริง นายน้อย!”


 


 


สมควรแล้วที่ต้องตกใจ แต่นายน้อยยกไหเข้ามางั้นหรือ


 


 


“ตกใจอะไร เปิดฝาหม้อสิ”


 


 


ร่างสูงเทน้ำจากไหลงหม้อ ส่วนที่เหลือก็เทใส่ในโอ่ง พอหันไปมองข้างหลังก็เห็นว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ด้านนอกเหมือนกำลังคิดว่า เข้าไปดีไหม หรือไม่เข้าไปดี เท้าเล็กๆ ทั้งสองข้างหยุกหยิกอยู่ใต้ชายกระโปรงแสดงชัดถึงความลังเล


 


 


“เข้ามาสิขอรับ”


 


 


เท้าทั้งสองข้างจึงเข้ามาด้วยความดีใจ แค่มองเท้าก็สามารถเดาอารมณ์ความรู้สึกได้แล้ว ช่างเป็นสตรีแปลกประหลาดเสียจริง


 


 


“คอยสังเกต เมื่อน้ำเดือดก็ให้ใช้น้ำนั้นล้างกะละมังก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นเติมน้ำใส่กะละมังแล้วรอให้มันเย็นลงจนสมควรขอรับ ค่อยใช้หญ้าแส้ม้าที่แยกออกมาต่างหากจากห้องยา ส่วนขวดวางอยู่ข้างๆ กัน หลังปิดจุกก็ห่อด้วยกระดาษอีกหนึ่งรอบ ต้องปิดให้สนิทนะขอรับ”


 


 


“เจ้าค่ะนายท่าน”


 


 


หลังฮาแบคเดินออกจากห้องครัวก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว คนครัวจึงเริ่มพูดคุยกับสตรีที่นั่งเหม่อมองเปลวไฟลุกโชนอย่างระมัดระวัง


 


 


“คุณหนู ข้ามีเรื่องอยากจะถาม…”


 


 


หัวใจตกพรวดลงตาตุ่ม นางกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตอาการได้จึงตอบกลับโดยไม่หันมอง


 


 


“เจ้าค่ะ พูดมาได้เลย”


 


 


จากที่นั่งไกลจึงเขยิบเข้ามาข้างๆ อย่างรวดเร็ว ทำเหมือนกำลังจะพูดคุยถึงความลับ


 


 


คงจะสงสัยสินะ แต่จะไม่สงสัยได้อย่างไรเล่า ในเมื่อนางเป็นคนต่างถิ่นที่จู่ๆ ก็ได้เข้ามาอยู่ในจวนของผู้สูงศักดิ์ คนครัวลดเสียงเบาหลังตั้งคำถามใส่คนข้างๆ


 


 


“คิดอย่างไรกับนายน้อยของพวกเราหรือเจ้าคะ”


 


 


นึกว่าจะเป็นคำถามจำพวกมาจากที่ใด เป็นชนชั้นอะไรเสียอีก นางจึงไม่เข้าใจคำถามเหนือความคาดหมายนั่นจนได้แต่กะพริบตาปริบๆ


 


 


“เฮ้อ ข้าหมายถึงมองในฐานะบุรุษผู้หนึ่งน่ะเจ้าคะ นายน้อยของพวกเรารูปร่างผอมสูง หน้าตาหล่อเหลา ตำแหน่งสูงส่งเมื่อเทียบกับอายุ แต่ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วมีวิญญาณไม่มีกินยาตามติดหรือไม่ ถึงสนใจแต่การเด็ดใบไม้ใบหญ้ามาตลอด ไม่เคยสนใจสตรีเลย”


 


 


“ยะ อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”


 


 


พอนางย้อนถามอย่างงุนงง อีกฝ่ายที่กำลังพูดจ้อเกี่ยวกับ ‘นายน้อย’ ไม่หยุดจึงทุบหน้าอกดังปักๆ คล้ายรู้สึกอึดอัดใจ


 


 


“คุณหนูไม่มีไหวพริบเอาเสียเลยนะเจ้าคะ เขาสนใจคุณหนูอยู่ไม่ใช่หรือ นายน้อยของพวกเราน่ะ!”


 


 


พูดภาษาของแทซากุกเช่นกัน แต่ไยถึงเข้าใจยากเหลือเกินอย่างชัดเจน นายน้อย คุณหนู สนใจ คำศัพท์มากมายที่ไม่น่ารวมกันได้มาอยู่ในประโยคเดียวกันได้อย่างไร ใบหน้าเจ้าของบทสนทนาทั้งสองตึงเครียดขึ้นมาพร้อมๆ กัน


 


 


“คุณหนูไม่มีความสนใจในตัวนายน้อยของพวกเราหรือเจ้าคะ ลองคิดดูดีๆ นะ ถึงจะพลิกหาทั่วแทซากุกก็ไม่มีผู้ใดเหมือนนายน้อยของพวกเราอีกแล้ว ดังนั้นความคาดหวังในตัวคุณหนูจากคนในจวนเราจึงไม่ใช่น้อยๆ เลยนะเจ้าค่ะ”


 


 


พวกเจ้านายจวนอื่นมักจะเจ้าชู้มัวเมาสตรีไปเรื่อย แต่ไม่รู้เลยว่าผู้คนในจวนนี้มีความคิดแบบไหน คนครัวถอนหายใจไม่หยุดจนเหมือนท่วงทำนองพร้อมใช้ไม้เขี่ยช่องใส่ฟืน สายตาของสตรีนอกตระกูลนี้จึงหยุดอยู่ตรงช่องใส่ฟืนบ้าง ที่แห่งนี้ต้องเป็นจวนของผู้สูงศักดิ์แน่นอน กระทั่งฝืนยังใช้ฝืนที่ดีเยี่ยม จะเขี่ยเท่าไหร่ก็ไม่มีควันดำเลย อาศัยในที่เช่นนี้แล้วเหตุใดถึงต้องมาคาดหวังกับข้าด้วย


 


 


“พวกท่านรู้ว่าข้าเป็นคนแบบไหนหรือเจ้าคะถึงได้คาดหวัง? ครอบครัวสูงส่งถึงเพียงนี้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ทั้งชื่อ ทั้งพื้นเพ…”


 


 


“ทำไมจะไม่รู้เล่าว่าเป็นคนแบบไหน พอพินิจมองคุณหนูช้าๆ ข้าก็เห็นเลยว่าคุณหนูเป็นคนคล่องแคล่ว ขยัน รูปร่างหน้าตางดงาม จิตใจก็เช่นกัน ดวงตาใสสะอาด หากอวบขึ้นอีกหน่อยก็น่าจะพอดีเลย”


 


 


‘คนแบบไหน’ ที่อีกฝ่ายอธิบายดูเหมือนจะไม่ได้หมายถึงพื้นเพ ชนชั้นหรืออดีต ประโยคสุดท้ายยิ่งเพิ่มเสียงเป็นพิเศษให้คนนั่งฟังอย่างเหม่อลอยได้ยินชัดเจนขึ้น


 


 


“แต่ที่สำคัญคือต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถจัดการอารมณ์ฉุนเฉียวของนายน้อยได้หรือเปล่า”


 


 


“อารมณ์ฉุนเฉียว…หรือ”


 


 


“ใช่แล้วเจ้าค่ะ มองภายนอก นายน้อยอาจจะดูสุภาพเรียบร้อยที่สุดในจวน แต่ถ้าระเบิดครั้งนึงแล้วล่ะก็… บรื๋อ อย่าได้พูดถึงเลย”


 


 


คนครัววางไม้เขี่ยฟืนลงพร้อมทำท่าขนลุก เนื่องจากเป็นน้ำที่เพิ่งต้มได้ไม่นานจึงเริ่มมีควันลอยขึ้นจากหม้อช้าๆ เท่านั้น นางจ้องมองควันพลางจมอยู่กับความคิด


 


 


หากได้รับอนุญาต นางเองก็อยากอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง ไม่ใช่เพราะที่นี่ทำให้อบอุ่นและอิ่มท้อง แต่ประทับใจการปฏิบัติของผู้คนที่นี่ ทุกคนปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี กระทั่งนายหญิงที่พบเจอบ้างเป็นครั้งคราวก็เช่นกัน ท่านมักจะส่งยิ้มไม่รู้ความหมายให้เสมอยามเดินผ่าน แม่กุญแจเย็นๆ ของห้องยาและกลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งเมื่อเปิดเข้าไปก็ชอบ น้ำเสียงอันนุ่มนวลเวลาอธิบายเกี่ยวกับสมุนไพรก็ชื่นชอบเช่นกัน จู่ๆ นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงยิ้มบ่อยกว่าตอนพบกันครั้งแรก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม