ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ 1484-1499

 ตอนที่ 1484 เก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่ (9)


 


 


นางไม่คิดว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะสามารถยืนขึ้นได้หลังจากโดนการโจมตีของนาง ดวงตาของนางมีร่องรอยความตะลึง “เจ้าต่างจากมนุษย์ที่ข้าเคยเห็น น่าเสียดายที่มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ”


 


 


มนุษย์โลภ เห็นแก่ตัว เลวทรามและไร้ความปรานีมากเกินไป พวกเขาชั่วร้ายอย่างเทียบไม่ติด!


 


 


“ช่างมันเถอะ”


 


 


เมื่อสบเข้ากับดวงตาร้ายกาจของอวิ๋นลั่วเฟิง นางก็โบกมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนผู้สืบทอดของข้าแล้ว ตอนนี้เจ้าออกไปได้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะเว้นระยะห่างกับนางแล้วไม่ต้องมาเจอนางอีกในอนาคต”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงยืนตัวตรงอยู่หน้าสตรีในอาภรณ์สีเขียว จ้องมองความมุ่งมั่นแน่วแน่บนใบหน้างดงามของนาง


 


 


“ข้าพาเสี่ยวไป๋มาที่นี่ ข้าก็ต้องพานางออกไปด้วย!”


 


 


“ฮึ่ม!” สตรีชุดเขียวส่งเสียงขึ้นจมูก “ข้าให้หนทางรอดกับเจ้าแล้วแต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าควรทำอะไร ตอนนี้ข้าจะทำให้เจ้าริมรสผลที่กล้าต่อต้านข้า!”


 


 


วืด!


 


 


หญิงสาวยกมือขึ้น แล้วกิ่งไม้จำนวนมากก็โผล่ขึ้นมาจากทุกทิศทางก่อนจะโจมตีอวิ๋นลั่วเฟิง กิ่งไม้พวกนี้เคลื่อนไหวเหมือนมังกรยืดหยุ่นราวกับมีชีวิต พวกมันโจมตีอวิ๋นลั่วเฟิงเหมือนมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง


 


 


“นายหญิง ระวัง!” เสี่ยวโม่วางเสี่ยวไป๋ลงที่พื้นแล้วพุ่งเข้ามาหาอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยความเป็นห่วง ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความโกรธ แล้วไฟแห่งความเดือดดาลก็ลุกขึ้นจากร่างเขา


 


 


แต่ว่า…ทันทีที่เขากำลังจะถึงตัวอวิ๋นลั่วเฟิง กิ่งไม้ที่มีชีวิตพวกนี้ก็แห้งเ**่ยวแล้วอ่อนกำลังลงทันที


 


 


สตรีชุดเขียวหน้าซีดเผือดด้วยความกลัวก่อนถอยหลังขณะที่ดวงตาสีเขียวเข้มของนางจ้องไปอวิ๋นลั่วเฟิงโดยไม่ละสายตา


 


 


มีลำแสงสีขาวพุ่งออกมา แล้วทันใดนั้นเด็กชายตัวน้อยในชุดสีขาวก็มายืนอยู่หน้าอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยเหมือนหยกสลัก ดวงตากลมโตของเขาฉายแววคุกคามแตกต่างจากท่าทางที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เข้าดูเหมือนปีศาจตัวน้อยที่ตัวโชกเลือด กลิ่นอายที่เขาปล่อยออกมาทำให้ผู้คนหวาดกลัว


 


 


“ต้นไม้เล็กๆ อย่างเจ้ากล้ารังแกท่านแม่ข้าหรือ” คำพูดฉะฉานของเด็กชายตัวน้อยเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร


 


 


ถึงแม้เวลาที่เด็กน้อยอยู่กับอวิ๋นลั่วเฟิงจะดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแต่อย่าลืมว่าเขาเป็นใคร เขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์อสูรวิญญาณ! เขาเป็นต้นไม้ที่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์แล้วต้นไม้ต้นนี้ก็มีอายุเป็นพันปีแต่ว่าเพราะเขาได้รับบาดเจ็บก็เลยต้องกลับไปเป็นต้นไม้


 


 


ต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นฆ่าฟันต้นนี้จะเป็นมนุษย์ที่ใสซื่อและน่าเอ็นดูได้อย่างไร เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดที่อยู่ข้างอวิ๋นลั่วเฟิง!


 


 


ขณะที่กำลังสับสน สตรีชุดเขียวก็สั่งให้กิ่งไม้โจมตีอวิ๋นลั่วเฟิงและคนอื่นอีกครั้ง วินาทีต่อมานางก็ต้องตะลึงเพราะกิ่งไม้ที่ควรจะโจมตีอวิ๋นลั่วเฟิงกลับหันมาโจมตีนาง


 


 


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนี้ ชุดของหญิงสาวก็ถูกฉีกออกโดยกิ่งไม้แล้วบาดผิวหนังบอบบางของนางไปด้วยจนเลือดสดๆ ไหลออกมา


 


 


โชคดีที่ความสามารถในการฟื้นฟูของต้นไม้แห่งชีวิตแข็งแกร่งมาก ดังนั้นแผลของนางจึงถูกปกคลุมด้วยชั้นแสงสีเขียวบางๆ แล้วก็หายไปทันที แต่ว่าตอนนั้นเองนางก็ไม่สามารถสนใจความเจ็บปวดของตัวเองได้เพราะดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจ นางมองเสี่ยวซู่โดยไม่ละสายตา แล้วก็แสดงท่าทางไม่เชื่อออกมา


 


 


“ได้…ได้อย่างไร พวกเราเป็นต้นไม้คนละชนิด แล้วเจ้าควบคุมกิ่งก้านของข้าได้อย่างไร ถ้าเจ้า ถ้าเจ้าไม่ใช่…”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1485 เก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่ (10)


 


 


สตรีชุดเขียวกัดปากแน่น ไม่สามารถพูดคำสุดท้ายของตัวเองได้


 


 


เป็นไปได้อย่างไร!


 


 


ทำไมสิ่งมีชีวิตแบบเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่และยอมรับมนุษย์เป็นเจ้านาย แต่ว่านอกจากเขาแล้ว ใครจะมีความสามารถแบบนี้อีก


 


 


“คุกเข่า!” เด็กชายตัวน้อยไพล่มือไว้ด้านหลังก่อนตะโกนอย่างเย็นชา


 


 


เขาเหมือนกับจักรพรรดิที่กำลังนั่งอยู่เบื้องบนแล้วมองสตรีชุดเขียวด้วยหางตาอย่างรังเกียจ


 


 


ตุบ!


 


 


นางควบคุมตัวเองไม่ได้ รีบคุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นลั่วเฟิงทันที เหงื่อเย็นๆ ไหลผ่านหน้าผากขณะที่ร่างบอบบางของนางสั่นสะท้านทันที


 


 


“ท่านแม่” หลังจากเสี่ยวซู่เหลือบมองสตรีชุดเขียว เขาก็หันมาหาอวิ๋นลั่วเฟิง ทันใดนั้นกลิ่นอายสูงส่งของเขาก็หายไปทันที กลับมาดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนก่อนหน้านี้


 


 


“สตรีนิสัยไม่ดีผู้นี้กล้ารังแกท่าน ข้าควรตีนางเพื่อระบายความโกรธให้ท่านหรือไม่”


 


 


ตอนแรกเสี่ยวซู่ตั้งใจจะพุ่งเข้าไปสั่งสอนสตรีผู้นี้เมื่อเห็นว่านางรังแกอวิ๋นลั่วเฟิง แต่เพราะอวิ๋นลั่วเฟิงกลัวว่าสัตว์อสูรวิญญาณจะตกอยู่ในอันตรายระหว่างการต่อสู้ นางจึงตัดการเชื่อมต่อกับมิติคัมภีร์เซียนทำให้เขาออกมาไม่ได้


 


 


ถึงแม้ว่าเสี่ยวซู่จะทรงพลัง แต่มิติคัมภีร์เซียนไม่ได้ฟังคำสั่งเขา ถ้าการเชื่อมต่อถูกตัดขาด เขาก็ออกมาไม่ได้ โชคดีที่เสี่ยวโม่พยายามทำทุกอย่างตอนที่อวิ๋นลั่วเฟิงลดการหวาดระแวงลงและแอบใช้พลังตัวเองเชื่อมต่อกับมิติคัมภีร์เซียนอีกครั้ง


 


 


เสี่ยวซู่เลยสามารถออกมาแล้วสั่งสอนสตรีชุดเขียวได้


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวซู่ก็พูดอย่างโมโห “ท่านแม่ พี่หั่วหั่วบอกข้าให้บอกท่านว่า ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าท่านเป็นห่วงพวกนาง แต่การลงมือเองของท่านทำให้พวกนางโกรธมาก! นางบอกอีกว่าทันทีตัดสินใจติดตามท่าน นางก็ตั้งใจจะร่วมเป็นร่วมตายอยู่ข้างท่าน แต่ท่านกลับเอาแต่เผชิญหน้ากับอันตรายคนเดียวแล้วจะมีพวกนางเอาไว้ทำไม ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์อสูรวิญญาณไม่ได้มีไว้ป้องกันอันตรายให้ท่านหรือ”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงหน้ามืดครึ้มแล้วพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “เสี่ยวซู่ ข้ายอมรับว่าข้าเป็นพวกเชื่อมั่นในตัวเองและไม่ได้คิดไตร่ตรองถึงความรู้สึกของพวกเจ้า แต่นั่นก็เป็นเพราะพวกเจ้าสำคัญกับข้ามาก แล้วถ้าพวกเจ้าตายเพื่อช่วยชีวิตข้า ข้าก็ขอตายเองดีกว่า!”


 


 


“เจ้าพูดถูก ข้าเห็นแก่ตัวเพราะข้าไม่อยากให้พวกเจ้าหายไป อีกอย่างสัตว์อสูรวิญญาณไม่ใช่เครื่องมือเพื่อต่อสู้ แต่เป็นครอบครัวที่อยู่กับข้าไปชั่วชีวิต!”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าหดหู่ของเสี่ยวซู่ อวิ๋นลั่วเฟิงก็ลูบหัวเขา “ก่อนหน้านี้ข้าตัดการเชื่อมต่อก็เพราะข้าไม่รู้ความสามารถของเจ้า ดังนั้นข้าสัญญากับพวกเจ้าทุกคนว่าในอนาคตข้าจะไม่ตัดการเชื่อมต่อของพวกเราอีกแต่ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าตายเพื่อข้า”


 


 


ความอบอุ่นจากฝ่ามือนางทำให้เสี่ยวซู่เปลี่ยนอารมณ์แล้วกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของนางด้วยสีหน้าไร้เดียงสาบนใบหน้าเหมือนหยกสลักของเขา


 


 


ถ้าไม่เห็นการกระทำของเขาก่อนหน้านี้ ทุกคนอาจจะดูแลเขาเหมือนเด็กมนุษย์คนหนึ่ง


 


 


“ท่านแม่ เป็นท่านที่ให้ชีวิตข้า ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางทิ้งท่านไปแน่นอน”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม ทันใดนั้นนางก็นึกอะไรบางอย่างออก แล้วสีหน้านางก็ชะงักไป “เสี่ยวซู่ เจ้าติดตามข้ามาเกือบสี่ปีแต่ข้าไม่เคยรู้เรื่องความสามารถของเจ้าเลย เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าตกลงเจ้าเป็นอะไร”


 


 


เสี่ยวซู่ทำสีหน้าแปลกประหลาด “ข้าก็ไม่แน่ใจ ข้ายังเด็กแล้วก็ได้รับแค่ความทรงจำส่วนเล็กๆ มา หลังจากนี้อีกสองสามปีข้าอาจจะจำเรื่องราวในอดีตได้”


ตอนที่ 1486 เก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่ (11)


 


 


การสืบทอดความทรงจำงั้นหรือ


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้ว นางเพิ่งเคยได้ยินว่าสัตว์อสูรวิญญาณมีการสืบทอดความทรงจำ แล้วก็ไม่รู้ว่าวิญญาณต้นไม้นั่นก็มีเหมือนกัน


 


 



 


 


สตรีชุดเขียวก้มหน้าต่ำไม่กล้ามองอวิ๋นลั่วเฟิงและเสี่ยวซู่ แต่ถึงอย่างนั้นความตกใจในดวงตานางก็ปกปิดไม่มิด หลายปีมานี้ความคิดของมนุษย์เปลี่ยนไปหรือ


 


 


ในโลกก่อนไม่ใช่ว่ามนุษย์ชอบจับสัตว์อสูรวิญญาณเป็นทาสแล้วบังคับให้พวกเขาเสียสละเพื่อตัวเองหรอกหรือ แต่ว่าทำไมตอนนี้สัตว์อสูรวิญญาณพวกนี้ถึงกลายเป็นพรรคพวกขอมนุษย์แล้ว


 


 


ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ออกไปโลกภายนอกมานานแล้วจริงๆ …


 


 


เสี่ยวซู่ผละออกมาจากอ้อมกอดของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วชี้หน้าของสตรีชุดเขียวก่อนถามว่า “ท่านแม่ ท่านตั้งใจจะทำอะไรกับวิญญาณต้นไม้นี้”


 


 


เสียงเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยทำให้ร่างของนางสั่นสะท้านแล้วก้มหน้าลงยิ่งกว่าเดิม ถ้านางรู้ว่าท่านผู้นี้อยู่กับอวิ๋นลั่วเฟิง นางก็คงไม่มีทางทำให้เรื่องมันยุ่งยากขนาดนี้


 


 


“ต้นไม้แห่งชีวิตอยู่มานานแล้ว ข้าคิดว่า…นางน่าจะมีผลไม้แห่งชีวิตอยู่พอสมควร”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงลูบคาง หลังจากได้ผลไม้แห่งชีวิต นางก็สามารถทำให้สมาชิกในครอบครัวอยู่ไปได้อีกร้อยปีโดยไม่มีปัญหา


 


 


อ้อ จริงสิ ยังมีเทียนหยาอีก


 


 


ภรรยาของเทียนหยาเป็นสัตว์อสูรวิญญาณที่มีชีวิตยืนยาว แต่เทียนหยาเป็นแค่ผู้ฝึกฌานขั้นปราชญ์ ช่วงชีวิตของเขายาวแค่หนึ่งร้อยยี่สิบปี ถ้าไม่มีผลไม้วิญญาณ พวกเขาอาจจะต้องแยกจากกันในอีกยี่สิบถึงสามสิบปีข้างหน้า


 


 


“ข้า…ข้ามีผลไม้แห่งชีวิตแค่สองผล” สตรีชุดเขียวหยิบผลไม้แห่งชีวิตออกมาอย่างระมัดระวังแล้วยื่นให้อวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


“สองผล?” อวิ๋นลั่วเฟิงขมวดคิ้ว “ถ้าข้าจำไม่ผิด ต้นไม้แห่งชีวิตจะออกผลไม้แห่งชีวิตทุกสิบปี”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สตรีอาภรณ์เขียวก็หัวเราะอย่างขมขื่น “ในอดีตต้นไม้แห่งชีวิตสามารถออกผลไม้แห่งชีวิตได้ทุกสิบปีจริง แต่ช่วงเวลานั้นพลังฌานในแผ่นดินนี้อุดมสมบูรณ์มาก ทำให้ข้าสามารถออกผลไม้แห่งชีวิตได้หลายผล ต่อมาก็กลายเป็นยี่สิบปีถึงจะออกได้ผลหนึ่ง…


 


 


“แต่ว่าทุกครั้งที่ข้าออกผล เผ่าสตรีศักดิ์ก็จะมาเก็บไป นี่เป็นเหตุผลที่ช่วงชีวิตของคนในเผ่าถึงยาวนานกว่าคนอื่นๆ


 


 


“โชคไม่ดีที่มีคนทรยศในเผ่าแล้วขโมยต้นไม้แห่งชีวิตไป แต่ว่านางไม่รู้ว่าข้าต้องอยู่ในเผ่าเพราะพลังฌานที่นั่นหล่อเลี้ยงข้าไว้ หลังจากออกมาข้าก็เริ่มเ**่ยวเฉา”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปสักพักก่อนจะถามต่อ “ในเมื่อเจ้าเฉาไปแล้วทำไมเจ้ายังออกผลไม้แห่งชีวิตได้อีก”


 


 


“กระบวนการเฉาก็ต้องใช้เวลา ข้าไม่ได้เ**่ยวเฉาลงทันที หลังจากสี่สิบปีผ่านไปก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าเพิ่งออกผลไม้แห่งชีวิตไปไม่นาน แต่ตอนนี้ข้าเ**่ยวเฉาโดยสมบูรณ์แล้ว”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจปาฏิหาริย์ของเทพเซียนที่เหยียนเข่อและคนอื่นพูดถึงแล้ว ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เพราะการเกิดผลไม้แห่งชีวิตแล้วทำให้ดึงดูดกลุ่มคนเข้ามาด้วยคิดว่ามีสมบัติที่ยังไม่ค้นพบอยู่


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเดินไปข้างหน้าแล้วหยิบผลไม้แห่งชีวิตเข้าไปในแหวนมิติโดยไม่มีร่องรอยความสุภาพใดๆ นางเลิกคิ้วแล้วถาม “ชื่อของเจ้า?”


 


 


สตรีชุดเขียวก้มหน้าแล้วถาม “ปี้เซียว”


 


 


“ข้าอยากได้ผลไม้แห่งชีวิตจำนวนมาก ตั้งแต่วันนี้เจ้ามาติดตามข้า คิดว่าอย่างไร” เสียงของนางฟังดูหยิ่งยโสและวางอำนาจ ทำให้ปี้เซียวงุนงง


 


 


“ข้าเฉาแล้ว ถ้าเจ้าอยากให้ข้าออกผลไม้แห่งชีวิตก็ต้องใช้พลังฌานจำนวนมาก ไม่อย่างนั้นข้าไม่สามารถผลิตอะไรได้ทั้งนั้น”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1487 เก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่ (12)


 


 


ปี้เซียวยิ้มอย่างบิดเบี้ยว “ที่สำคัญต่อให้เจ้าฟื้นคืนชีพข้าขึ้นมาได้ ข้าก็ต้องใช้เวลายี่สิบปีเพื่อออกผลไม้แห่งชีวิตหนึ่งผล หรือต่อให้เป็นความเร็วสูงสุดก็ยังต้องใช้เวลาสิบปี ถ้าเจ้าอยากได้ผลผลิตจำนวนมาก ข้าขอโทษด้วย แต่ข้าทำให้เจ้าไม่ได้”


 


 


ไม่ใช่ว่าปี้เซียวไม่อยากผลิตผลไม้แห่งชีวิต แต่นางทำไม่ได้!


 


 


“เสี่ยวโม่ เจ้าคิดว่าอย่างไร” อวิ๋นลั่วเฟิงหันไปถามเสี่ยวโม่


 


 


เสี่ยวโม่ตอบหลังจากคิดสักพัก “ทำสัญญากับนาง จะได้ไม่ต้องกลัวว่านางจะทรยศ”


 


 


“ได้”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงกลัวว่าปี้เซียวจะทรยศนางจริง ดังนั้นพวกนางจึงทำสัญญากัน หลังจากทำพันธสัญญาแล้ว ปี้เซียวก็รู้สึกว่าร่างกายของนางกระปรี้กระเปร่าขึ้นเพราะพลังฌานจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้าสู่ร่างของนาง


 


 


“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น” ปี้เซียวหน้าซีดด้วยความกลัวแล้วรีบส่งพลังฌานในร่างออกไปสำรวจโลกภายนอกต้นไม้


 


 


เพราะปี้เซียวไม่สามารถออกจากต้นไม้ได้ นางจึงทำได้แต่ใช้วิธีนี้เพื่อสำรวจสิ่งรอบๆ ตัว


 


 


เมื่อโลกภายนอกเข้าสู่สายตานาง นางก็ชะงักไปทันที…


 


 


ตอนแรกนางอยู่ที่ยอดเขา แต่ตอนนี้นางเห็นทุ่งกว้างใหญ่ไพศาลที่มีสมุนไพรแน่นเต็มไปหมด สมุนไพรถูกปลูกไว้ในแปลงที่ต่างจากที่นางเคยเห็น แล้วสมุนไพรแต่ละต้นก็อุดมไปด้วยพลังฌาน


 


 


สิ่งที่ทำให้นางมีความสุขก็คือพลังฌานที่อัดอยู่ในพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตานี้หนาแน่นมาก นางใช้ชีวิตมานานแต่ก็ยังไม่เคยเห็นทุ่งที่มีพลังฌานมากขนาดนี้


 


 


“ยอดไปเลย ที่นี่เหมือนถูกสร้างมาเพื่อข้า!” ปี้เซียวยืนขึ้นใบหน้างดงามสดใสของนางแสดงความตื่นเต้นออกมา


 


 


“ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่สักสองปี… เดี๋ยวสิ แค่ปีเดียวก็พอ ข้าก็จะสามารถสร้างผลไม้แห่งชีวิตได้อีกผล”


 


 


เสี่ยวโม่เหลือบตามองปี้เซียวแล้วส่งเสียงเหอะ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสร้างผลไม้แห่งชีวิตได้ ข้าก็คงให้เสี่ยวซู่ทำลายเจ้าเพราะการกระทำก่อนหน้านี้ของเจ้ากับนายหญิงข้าไปแล้ว!”


 


 


ปี้เซียวหน้าแดง เมื่อคิดถึงการกระทำก่อนหน้านี้ นางก็รู้สึกผิดและเสียใจ นางมักจะดูถูกมนุษย์เสมอแล้วถ้าไม่ใช่เพราะหลินรั่วไป๋ นางก็คงไม่ยอมให้อวิ๋นลั่วเฟิงเข้ามาในต้นไม้


 


 


แต่ใครจะคิดเล่าว่าสตรีผู้นี้จะได้รับความจงรักภักดีจากท่านผู้นั้น ที่สำคัญนางยังพกมิติทรงพลังนี้ไปกับนางทุกที่


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าอับอายของปี้เซียว ความโกรธในใจของเสี่ยวโม่ก็ค่อยๆ หายไป แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะโอ้อวด “มิตินี้สัมพันธ์กับความแข็งแกร่งนายหญิง ยิ่งนายหญิงแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ พลังฌานในนี้ก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น ในอนาคตการที่เจ้าจะออกผลทุกหนึ่งเดือนก็เป็นเรื่องธรรมดา”


 


 


“จริงหรือ” สตรีชุดเขียวตื่นเต้นมาก นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบของออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือของที่ข้าขโมยมาจากเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เมื่อพันปีที่แล้ว ตอนนั้นเผ่าทรงพลังมากไม่เหมือนตอนนี้ที่แม้แต่ปกป้องข้าก็ทำไม่ได้ ดังนั้นข้าเลยแอบขโมยสิ่งนี้มาจากสมาชิกเผ่าคนหนึ่ง ข้ามอบให้เจ้าได้ถ้าเจ้าต้องการ”


 


 


ในมือนางคือของเหลวสีเขียวที่ส่องประกายจางๆ ดูน่าอัศจรรย์


 


 


“นี่คือ…” อวิ๋นลั่วเฟิงเหม่อมอง อันที่จริงชั่วขณะนั้นนางไม่รู้ปี้เซียวให้อะไรนาง


 


 


หลังจากที่ค้นภายในความคิดของตัวเองเสี่ยวซู่ก็พูดขึ้นด้วยเสียงน่ารัก “มันคือโลหิตมังกร”


ตอนที่ 1488 เก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่ (13)


 


 


“โลหิตมังกรรึ มันเอาไว้ทำอะไร”


 


 


“ปกติแล้วโลหิตมังกรมีผลอย่างเดียวคือเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่ว่านี่ไม่ใช่โลหิตมังกรธรรมดา นี่เป็นโลหิตของมังกรฌานในตำนาน”


 


 


มังกรฌาน?


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของพวกเขา เสี่ยวซู่ก็อธิบายต่อ “มังกรฌานไม่ได้ฟักออกมาจากไข่แต่เกิดจากการรวมตัวกันของพลังฌาน การกินเนื้อของมันทำให้คนธรรมดากลายเป็นผู้ฝึกฌานขั้นนภาทันที ส่วนโลหิตของมันยิ่งล้ำค่ากว่ามาก เพราะสามารถทำให้ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์เลื่อนระดับทันที อีกอย่างมันเองก็มีผลทำให้เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายด้วยเหมือนกัน”


 


 


“เสี่ยวซู่ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” อวิ๋นลั่วเฟิงมองเสี่ยวซู่แล้วถาม


 


 


เสี่ยวซู่เผยรอยยิ้มเจิดจ้า “ความทรงจำที่สืบทอดมาของข้าบอกมา แต่ว่าความหนาแน่นของโลหิตมังกรในขวดนี้หนาแน่นมากเกินไป ถ้าดื่มเข้าไปตรงๆ ท่านจะตัวระเบิดตายทันที ดังนั้นท่านต้องทำให้เจือจางก่อนแล้วค่อยดูดซับมัน”


 


 


ดวงตาของเสี่ยวโม่เป็นประกาย ก่อนหน้านี้เขาแค่แหย่ปี้เซียวนิดหน่อย ผู้หญิงคนนี้ก็เอาสมบัติออกมา นางใช้ชีวิตมาเป็นเวลานานจนนับไม่ได้แล้ว ดังนั้นนางจะไม่มีสมบัติอะไรติดตัวได้อย่างไร ไม่แน่ถ้าเขาแหย่นางอีก นางอาจจะเอาสมบัติออกมาอีกก็เป็นได้


 


 


ถึงแม้ว่าหญ้าอสรพิษหยกจะทำให้ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์เลื่อนระดับเหมือนกัน แต่ก็ต้องรอมันพัฒนาไปเป็นหญ้าอสรพิษวิญญาณก่อน!


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นหญ้าอสรพิษหยกก็ช่วยแค่ให้เลื่อนระดับแต่ไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ซึ่งต่างจากโลหิตของมังกรฌานที่ไม่ใช่แค่ช่วยให้เลื่อนระดับ แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายด้วย โดยค่อยๆ ขัดเกลาจนทนเหมือนเหล็กกล้า


 


 


“ปี้เซียว” เสี่ยวโม่มองปี้เซียวแล้วยิ้มกว้างขณะที่หรี่ดวงตาที่มีประกายชั่วร้าย “ถ้านายหญิงเลื่อนระดับ เจ้าก็จะได้ประโยชน์มากมาย ถ้าเจ้ามีสมบัติอะไรอีกก็เอาออกมาให้นายหญิง”


 


 


ปี้เซียวมองเสี่ยวโม่อย่างระมัดระวัง ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของเด็กหนุ่มดู…เจ้าเล่ห์เหลือเกิน


 


 


“ไม่มีอย่างอื่นแล้ว” ปี้เซียวส่ายหน้า “ข้าขโมยมาแค่อย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นแล้วจริงๆ”


 


 


เสี่ยวโม่รู้สึกผิดหวัง


 


 


ดูเหมือนว่าปี้เซียวจะยากจนจริงๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางขโมยของจากเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ออกมาแค่ชิ้นเดียว น่าเสียดายจริงๆ …


 


 


“ตอนนี้ข้าจะดูดซับโลหิตมังกรฌาน พวกเจ้าทุกคนถอยไป” อวิ๋นลั่วเฟิงพลิกมือแล้วหยิบขวดออกมาก่อนจะเทโลหิตมังกรลงไปแล้วใช้น้ำจากน้ำพุเพื่อเจือจาง


 


 


หลังจากที่ของเหลวทั้งสองผสมกันดีแล้ว โลหิตมังกรฌานสีเขียวก็จางลงแล้วก็ไม่ได้เป็นสีเขียวบริสุทธิ์เปล่งประกายอีก


 


 


หลังจากนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็เทโลหิตเข้าปากแล้วใช้พลังฌานโอบล้อมก่อนจะส่งมันไปที่จุดตันเถียน


 


 


ไม่นานนางก็นั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มดูดซับพลังภายในโลหิตมังกร


 


 


เพราะว่าโลหิตมังกรทรงพลังมากเกินไป นางจึงไม่กล้าดูดซับพลังทันทีที่ดื่มโลหิตเข้าไป ดังนั้นนางจึงต้องค่อยๆ ดูดซับทีละหยดแล้วให้ร่างกายนางมีความทนทานต่อพลังที่เกรี้ยวกราดนี้


 


 


นางนั่งอยู่อย่างนั้นถึงครึ่งเดือน ค่อยๆ ซึมซับพลังช้าๆ จนกระทั่งพายุทรงพลังที่นางสร้างขึ้นเคลื่อนที่ไปทั่วห้อง แล้วจากนั้นก็มีเสียงดังปังนางก็เข้าสู่ขั้นใหม่ แต่ว่ามันยังไม่จบ…


 


 


หลังจากผ่านด่านเลื่อนระดับ อวิ๋นลั่วเฟิงก็รู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งว่ายไปตามเส้นกลางลำตัวทำให้นางกระตุกทั้งตัว


 


 


“ท่านแม่ โลหิตมังกรกำลังช่วยท่านสร้างร่างกายใหม่” เสี่ยวซู่มองอวิ๋นลั่วเฟิง “ดังนั้นท่านต้องอดทนนะ!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1489 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (1)


 


 


“เฮือก!” ถึงแม้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะมีความอดทนสูง แต่ภายใต้ความเจ็บปวดนี้ นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าปอด นางกัดฟันแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่ว่าการจัดกระดูกใหม่จะเจ็บปวดมากแค่ไหน นางก็ต้องอดทน! ตราบใดที่นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ นางไม่มีทางยอมแพ้แม้ว่าขาข้างหนึ่งจะต้องก้าวเข้าไปสู่นรกก็ตามที


 


 


กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ!


 


 


ทุกคนได้ยินเสียงกระดูกที่แตกละเอียดจากร่างของนางชัดเจน แต่ว่านอกจากที่สูดหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าปอดไปตอนแรก นางก็ไม่สามารถส่งเสียงอะไรได้อีก นางทำได้แค่อดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้เท่านั้น


 


 


ดวงตาสีมรกตของปี้เซียวปรากฏความตะลึงเพราะนางไม่เคยคิดว่ามนุษย์ผู้นี้จะสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดมหาศาลนี้ได้จริงๆ แม้แต่ยอดฝีมือของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เทียบกับนางไม่ได้ ตอนนี้เองที่มุมมองของปี้เซียวที่มีต่ออวิ๋นลั่วเฟิงเปลี่ยนไป


 


 


ทุกนาที ทุกวินาทีที่ผ่านไป เสี่ยวโม่คอยมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างกังวล เขาอยากจะช่วยนางแต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขารู้ว่านี้เป็นอุปสรรคที่นายหญิงต้องก้าวข้ามด้วยตัวเอง ถ้าเขาบังคับให้พลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนช่วยเยียวยาความเจ็บปวดของนาง มันจะส่งผลตรงกันข้ามแทน


 


 


ปีนั้นตอนที่อวิ๋นเซียวเอาเลือดออกจากหัวใจ เขามีพลังฌานจากมิติคัมภีร์เซียนช่วยบรรเทาความเจ็บปวด แต่ความเจ็บที่ตอนนี้อวิ๋นลั่วเฟิงได้รับไม่ได้น้อยไปกว่าการดึงเลือดออกจากหัวใจคนเลยแม้แต่น้อย


 


 


การเปลี่ยนกระดูกและผิวหนังต้องทำลายกระดูกของนางทั้งหมดก่อนจะประสานพวกมันใหม่ เช่นนั้นแล้วนึกออกหรือไม่ว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหน อวิ๋นลั่วเฟิงทำได้แค่กัดปากแล้วอดทนเท่านั้น แผ่นหลังของหญิงสาวชุ่มไปด้วยเหงื่อขณะที่ใบหน้างดงามของนางซีดเผือด ร่างกายของนางสั่นน้อยๆ แต่นางก็ยังไม่ส่งเสียงร้องออกมา


 


 


“นายหญิง ถ้าเจ็บปวดมาก ท่านก็ควรร้องออกมาจะดีกว่า” เสี่ยวโม่รู้สึกปวดใจเมื่อเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงบังคับตัวเองให้ทนความเจ็บปวด สตรีผู้นี้เป็นคนที่มีใจเด็ดเดี่ยว ตอนนี้นางก็เหมือนตอนที่อยู่หวาเซี่ย ทั้งเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงก้มหน้า ถ้านางอดทนกับความเจ็บปวดนี้ไม่ได้แล้วนางจะกล้าพูดถึงการขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของแผ่นดินนี้ได้หรือ นางจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอวิ๋นเซียวได้อย่างไร


 


 


ปี้เซียวไม่สามารถทนมองต่อไปได้ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง นางก็พูดขึ้น “เจ้าใช้โลหิตมังกรช่วยจนเลื่อนระดับได้แล้ว ต่อให้เจ้ายอมแพ้ตอนนี้ เจ้าก็ไม่เสียอะไร ข้ามีวิธีช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ทันที ตอนนั้นคนของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เองก็ทนรับความเจ็บปวดไม่ได้แล้วใช้วิธีนี้ทันทีหลังจากเลื่อนระดับแล้ว แต่ว่ากระบวนการเปลี่ยนร่างกายก็จะล้มเหลว”


 


 


“ข้าไม่เป็นไร” นางกัดฟันแล้วรวมพลังทั้งหมดเพื่อพูดคำนี้ หลังจากนั้นนางก็ไม่สามารถเสียพลังงานไปกับการพูดได้อีก


 


 


นางต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น!


 


 


ทางเดียวที่จะแข็งแกร่งขึ้นก็คือการได้รับโชคโดยบังเอิญ!


 


 


ด้วยโอกาสแบบนี้นางไม่มีทางยอมแพ้!


 


 


เมื่อเห็นท่าทางมุ่งมั่นของนาง ปี้เซียวก็สับสน นางไม่เข้าใจว่าทำไมอวิ๋นลั่วเฟิงถึงไม่ยอมแพ้ แค่ใช้โลหิตมังกรฌานเลื่อนระดับก็ยังไม่พอหรือ


 


 


เสี่ยวโม่เห็นสีหน้าสับสนของปี้เซียวก็ส่งสายตาให้นาง “ถ้านายหญิงอยากเลื่อนระดับเฉยๆ นางก็ไม่ต้องใช้โลหิตมังกรฌานหรอก แค่รอให้หญ้าอสรพิษวิญญาณพัฒนาขึ้นมา นางก็สามารถเลื่อนเป็นผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์ได้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้จากโลหิตมังกรฌานคือการปรับแต่งร่างกายนางให้แข็งแกร่งขึ้นต่างหาก”


ตอนที่ 1490 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (2)


 


 


เหตุผลที่เผ่ามังกรมีชื่อเสียงในแผ่นดินนี้ นอกจากเรื่องความกล้าหาญและทรงพลังแล้ว ผิวหนังที่แข็งแกร่งของพวกเขาก็โดดเด่นเหมือนกัน


 


 


ระหว่างการต่อสู้ของผู้ฝึกฌานระดับต่ำ อวิ๋นลั่วเฟิงสามารถสู้ข้ามระดับได้ แต่ว่ายิ่งความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่านาง ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดจะทิ้งโอกาสที่ยื่นมาให้!


 


 


“แต่…” ดวงตาของปี้เซียวฉายแววงุนงง “ยอดฝีมือของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นก็คิดที่จะอดทนกับกระบวนการเปลี่ยนร่างกายเหมือนกัน แต่ไม่มีสักคนที่ทำสำเร็จ พวกเขาอดทนได้แค่ครึ่งทาง แล้วนางจะทำสำเร็จหรือ”


 


 


“ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่นางต้องทำสำเร็จแน่นอน!” เสี่ยวโม่ติดตามอวิ๋นลั่วเฟิงมานานที่สุดแล้วก็เห็นการเติบโตของนางมาตลอด


 


 


ในปีนั้นที่มหาวิทยาลัยหวาเซี่ย อวิ๋นลั่วเฟิงถูกเรียกว่าเป็นผู้หญิงเสียสติ! ไม่มีอะไรที่นางไม่กล้าทำ เมื่อมาถึงแผ่นดินที่แตกต่างอย่างที่นี่ นางก็ยังเป็นเหมือนเดิม การที่นางทำงานหนักไม่ใช่เพราะนางไม่กลัวตาย กลับกันแล้ว เป็นเพราะนางกลัวความตายต่างหาก แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือนางกลัวว่าตัวเองจะปกป้องคนที่ตัวเองรักไม่ได้


 


 


ในโลกที่แล้ว อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นเด็กกำพร้า หลังจากมาที่นี่ นางก็ได้รู้จักความอบอุ่นของครอบครัว ดังนั้นนางจะยอมเสียมันไปได้อย่างไร เพื่อที่จะได้ปกป้องความอบอุ่นนี้ นางยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น!


 


 


ดูเหมือนปี้เซียวจะแปลกใจ นางมองอวิ๋นลั่วเฟิงโดยไม่ละสายตาอย่างสับสนขณะที่พูดพึมพำอย่างลังเล “เทียบกับมนุษย์พวกนั้นที่ข้าเคยเจอ นางแตกต่าง…”


 


 


ตอนแรกปี้เซียวยอมจงรักภักดีต่ออวิ๋นลั่วเฟิงก็เพราะเสี่ยวซู่ ที่สำคัญในฐานะจิตวิญญาณพฤกษาที่เชื่อมั่นในตัวเองและหยิ่งยโสอย่างนางจะยอมมอบความภักดีให้มนุษย์อย่างเต็มใจได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้นางมาเห็นความมุ่งมั่นของอวิ๋นลั่วเฟิง นางก็คงไม่รู้สึกนับถืออวิ๋นลั่วเฟิงมากขึ้น ภายในใจนางค่อยๆ ยอมรับอวิ๋นลั่วเฟิง ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวนางจะยังไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงก็ตาม…


 


 


“ปี้เซียว การปรับเปลี่ยนร่างกายต้องใช้เวลานานแค่ไหน” เสี่ยวโม่เงียบไปสักพักก่อนถาม


 


 


“ข้าก็ไม่แน่ใจ ข้ารู้แค่ว่าผู้อาวุโสของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อดทนอยู่ได้สามถึงห้าวันแล้วก็ทนต่อไปไม่ไหว ข้าไม่เคยเห็นใครทำสำเร็จ ดังนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วัน…”


 


 


ปี้เซียวส่ายหน้าขณะที่ดวงตาสีมรกตของนางจ้องอวิ๋นลั่วเฟิงอยู่ตลอดเวลา หลังจากได้ยินคำพูดนาง เสี่ยวโม่ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาแค่หาที่นั่งแล้วก็รออวิ๋นลั่วเฟิงอยู่เงียบๆ


 


 


เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวัน สิบวันที่ผ่านสีหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ซีดลงเรื่อยๆ รวมถึงลมหายใจของนางก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นนางก็ยังอาศัยลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้วอดทนต่อไป…


 


 


ปี้เซียวกำหมัดแน่นแล้วมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างกังวล นางต้องการรู้ว่าสตรีผู้นี้จะทำเรื่องที่ยอดฝีมือหลายคนในเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ทำไม่ได้ได้สำเร็จหรือไม่


 


 


ปัง!


 


 


ทันใดนั้นร่างของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ร่วงลงมากระแทกกับตอไม้ที่อยู่ข้างๆ นางอย่างแรง


 


 


เสี่ยวโม่หน้าซีดเผือดด้วยความตกใจแล้วรีบลุกขึ้นไปหาอวิ๋นลั่วเฟิง เขาถามอย่างวิตกกังวลว่า “นายหญิง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม ใบหน้าของนางซีดไร้สีเลือดแต่ก็ไม่อาจปิดบังรอยยิ้มงดงามของนางได้


 


 


ปี้เซียวใช้ชีวิตมานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นรอยยิ้มที่ทำให้สิ่งมีชีวิตรอบข้างดูจืดจางลง เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่ามนุษย์จะงดงามได้ขนาดนี้ ถ้านางเป็นปีศาจก็คงสามารถทำลายเมืองมากมายและทำให้ผู้คนทรมานก็คงไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย


 


 


“เสี่ยวโม่ ดูนี่”


 


 


หญิงสาวแบมือออกให้เห็นฝ่ามือที่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดแข็งของมังกร เกล็ดค่อยๆ ลามออกไปจากมือจนกระทั่งทั่วทั้งร่างถูกหุ้มด้วยเกราะที่สร้างจากเกล็ดมังกร


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1491 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (3)


 


 


“ข้าทำสำเร็จแล้ว” ใช่แล้ว นางทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่ร่างกายมีความทนทานมากขึ้นจนถึงจุดสูงสุดเท่านั้น แต่…ยังมีเกราะเกล็ดมังกรด้วย! เกราะนี้ทำให้นางสามารถรับการโจมตีของผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ได้โดยไม่บาดเจ็บเลย


 


 


เสี่ยวโม่เหมือนถูกสายฟ้าฟาดจนพูดไม่ออก เขาไม่เคยคิดเลยว่าโลหิตมังกรฌานจะมีผลแบบนี้ด้วย ดูเหมือนว่าครั้งนี้อวิ๋นลั่วเฟิงจะได้สมบัติล้ำค่ามาแล้ว


 


 


“นายหญิง ยินดีด้วย” สีหน้าของเสี่ยวโม่แสดงความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม “น่าเสียดายที่เกราะเกล็ดมังกรใช้ได้เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยว อย่างมากที่สุดก็แค่สามนาที ทั้งยังใช้พลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนไปจำนวนมากด้วย”


 


 


อย่างที่คิด เมื่อเสี่ยวโม่ได้ยินคำพูดของอวิ๋นลั่วเฟิง เขาสัมผัสได้ว่าพลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนลดลงจนเกือบหมด โชคดีที่ต้นเบญจมาศที่เสี่ยวซู่ปลูกไว้เติมพลังฌานในมิติให้กลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าต่อให้ต้นเบญจมาศของเสี่ยวซู่ทรงพลังแค่ไหนก็ไม่สามารถฟื้นพลังฌานกลับมาได้ทันที


 


 


“เสี่ยวโม่ ข้าอยู่ในนี้มานานแค่ไหนแล้ว” อวิ๋นลั่วเฟิงเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างนาง


 


 


“ท่านใช้เวลาเลื่อนระดับหนึ่งเดือนและใช้เวลาปรับเปลี่ยนร่างกายอีกสิบวัน ดังนั้นตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกับอีกสิบวันแล้ว”


 


 


“หนึ่งเดือนกับอีกสิบวันงั้นหรือ” อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วแล้วยืนขึ้น “พวกเราไปกันเถอะ ถึงเวลาที่พวกเราต้องออกจากที่นี่แล้วตามหาคนมาใช้หนี้พวกเรา”


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะปี้เซียว ซูจวิ้นและคนอื่นอาจจะถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว


 


 


ส่วนอวิ๋นอี้ ถึงแม้ว่าเขาจะทรงพลังแต่เขาก็ไม่มีสติปัญญา ถ้านางไม่อยู่ก็ไม่มีทางที่เขาจะกำจัดศัตรูทุกคนได้


 


 



 


 


บนยอดเขา อวิ๋นอี้ยืนนิ่งๆ อย่างไร้ชีวิตด้วยสายตาว่างเปล่า เขาปล่อยแรงกดดันที่มองไม่เห็นออกมาเขาเหมือนภูเขามหึมาลูกหนึ่ง


 


 


เหยียนเข่อและคนอื่นๆ ไม่ได้จากไปไหนแล้วตั้งค่ายที่พักอยู่บนยอดเขาเพื่อรออวิ๋นลั่วเฟิงกลับมา


 


 


วาบ!


 


 


ทันใดนั้นก็มีแสงเจิดจ้าเกิดขึ้น จากนั้นเหยียนเข่อและคนอื่นก็กลับมามีสติเมื่อเห็นหญิงสาวชุดขาวกำลังจับมือเด็กคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงสะดุ้งแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “ทำไมพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่”


 


 


เหยียนเข่อมีสีหน้าอับอาย “ตอนนั้นพวกเราทำให้เจ้ามีปัญหากับสำนักเสวียนชิง ดังนั้นพวกเราก็เลยรอเจ้าที่นี่”


 


 


“รอข้า?” อวิ๋นลั่วเฟิงคลายคิ้วที่ขมวดออก “ตอนนี้ข้ามีบางอย่างต้องไปทำดังนั้นพวกเจ้าไปได้”


 


 


เหยียนเข่อและฟู่จิ่นกับคนอื่นๆ มองหน้ากัน แล้วเมื่อเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงกำลังออกไปพวกเขาก็รีบตาม


 


 


“ทำไม” อวิ๋นลั่วเฟิงหยุดโดยไม่หันกลับมามอง “เจ้าไม่อยากออกไปหรือ”


 


 


“ข้า…” เหยียนเข่อหน้าแดงด้วยความอายแล้วเอ่ยปากขอ “พวกเราอยากติดตามเจ้า”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปพักหนึ่ง “เจ้าสามารถใช้ทางเชื่อมมิติได้หรือเปล่า”


 


 


ทางเชื่อมมิติเป็นสะพานเชื่อมระหว่างแคว้นเจ็ดเมืองและแดนลับแล มีแค่ทางนี้ทางเดียวที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นทั้งสอง


 


 


“ได้”


 


 


เหยียนเข่อยังไม่เข้าใจความหมายของอวิ๋นลั่วเฟิงแต่ก็รีบพยักหน้า “ข้ารู้ที่ตั้งของทางเชื่อมมิติ แล้วข้าก็มีเส้นสายกับตระกูลที่ปกป้องมัน แม่นางอวิ๋น ท่านถามทำไมหรือ”


 


 


“แดนลับแลมีพรรคที่ชื่อหอแพทย์ที่ข้าเป็นคนก่อตั้งขึ้น ถ้าเจ้าอยากติดตามข้าก็ไปร่วมกับหอแพทย์ซะ”


 


 


พูดจบร่างของอวิ๋นลั่วเฟิงก็หายไปทันที อวิ๋นอี้ก็รีบตามนางไปแล้วหายไปจากยอดเขาอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ 1492 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (4)


 


 


“เหยียนเข่อ เจ้าคิดว่าเราควรเลือกอะไรดี” ฟู่จิ่นลังเล “ทรัพยากรที่แดนลับแลเทียบกับแคว้นเจ็ดเมืองไม่ได้เลย แต่ก็เงียบสงบกว่ามาก”


 


 


เหยียนเข่อถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “หลายปีมานี้ กลุ่มของพวกเราต้องพบความทรมานมามากแค่ไหนแล้ว เพื่อที่จะมีชีวิตรอด พวกเราต้องฝึกพลังฌานให้แข็งแกร่งที่สุดแล้วข้าก็รู้สึกว่าชีวิตนี้ข้าพอแล้ว!”


 


 


“ในเมื่อแม่นางอวิ๋นเสนอทางมา ทำไมพวกเราไม่ไปแดนลับแลกันล่ะ ข้าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเจ็ดเมืองต่อแล้ว ข้าเชื่อว่าข้าจะไม่เสียใจที่เข้าร่วมกับหอแพทย์”


 


 


เหยียนเข่อมั่นใจมาก ถึงแม้ว่าหอแพทย์จะอยู่ที่แดนลับแลแต่ก็เป็นพรรคที่อวิ๋นลั่วเฟิงตั้งขึ้น สักวันหนึ่งจะต้องมีชื่อเสียงมาถึงแคว้นเจ็ดเมืองแน่นอน! แล้วสถานะของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไปด้วย


 


 


“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ออกเดินทางไปแดนลับแลกันเลย!”


 


 



 


 


บนท้องฟ้าไม่ไกล หญิงสาวหยุดเพื่อรอหุ่นเชิดตามมา หลังจากที่หุ่นเชิดตามมาทัน นางก็มุ่งหน้าไปที่สำนักเสวียนชิง


 


 


เสี่ยวซู่กะพริบตาปริบๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงน่ารัก “ท่านแม่ ท่านตั้งใจจะให้เหยียนเข่อและเพื่อนของนางไปปกป้องหอแพทย์แทนท่านหรือ”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงยิ่มบาง “ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่นับว่าแข็งแกร่งถ้าอยู่ที่แคว้นเจ็ดเมือง แต่พวกเขาจะอยู่บนจุดสูงสุดถ้าไปที่แดนลับแล ถ้ามีพวกเขาคอยปกป้องหอแพทย์และตระกูลเยี่ย ข้าก็จะสามารถขยายอิทธิพลมาที่นี่ได้” ดังนั้นนางจึงยอมให้เหยียนเข่อและคนอื่นๆ ติดตาม


 


 


“ท่านแม่ พวกเขาจะไปแดนลับแลหรือ”


 


 


“แน่นอน!” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดคำเดียวแต่ใบหน้านางฉายแววมั่นใจและดวงตาสีดำสนิทของนางก็เป็นประกายเหมือนอัญมณีนิลกาฬ


 


 



 


 


ณ สำนักเสวียนชิง


 


 


ภายในห้องโถง ครอบครัวของชายวัยกลางคนกำลังโศกเศร้าและดูหวาดกลัวมาก เขาฟาดมือลงบนโต๊ะแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าข้าไม่ได้ออกมาจากการปิดด่านฝึกพลังฌาน พวกเจ้าคิดจะปิดข้าไปอีกนานแค่ไหน บุตรชายแท้ๆ ของข้าถูกคนอื่นสังหารแต่ไม่มีใครมารายงานข้างั้นหรือ”


 


 


ทุกคนเงียบไม่มีใครเอ่ยอะไร เมื่อเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนที่กำลังเดือดดาลพวกเขาก็ไม่กล้าพูดสักครึ่งคำ


 


 


“ท่านพ่อ…” หลังจากลังเลอยู่สักพักซูจวิ้นก็เดินออกมาช้าๆ ทันทีที่เขาเอ่ยปากเรียกก็ถูกเสียงของชายวัยกลางคนขัดเสียก่อน


 


 


“ลั่วเฉินเป็นน้องชายเจ้าแล้วเจ้าก็ดูไม่ได้รู้สึกอะไรกับการตายของน้องชายเจ้าเลยแล้วยังกล้าปิดข้าอีก นี่คือสิ่งที่ข้าสอนให้เจ้ารักและใส่ใจความสัมพันธ์พี่น้องหรือ” ชายวัยกลางคนตัวสั่นขณะที่ใบหน้าเขาซีดเผือด


 


 


ซูจวิ้นหรี่ตาแล้วเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเขาแดงก่ำก่อนจะคุกเข่าตรงชายวัยกลางคนเสียงดังตุบ


 


 


“ท่านพ่อขอรับ บุตรชายของท่านผิดเอง น้องชายถูกคนชั่วสังหารก็เพื่อสำนักเสวียนชิงและพี่ชายอย่างข้า”


 


 


ชายวัยกลางคนกดความอึดอัดภายในใจแล้วถามรอดฟัน “บอกข้ามาว่าเมื่อเดือนที่แล้วเกิดอะไรขึ้น ลั่วเฉินไปตายที่ภูเขาอ้ายได้อย่างไร”


 


 


“ท่านพ่อ ข้าและน้องพาเสี่ยวไป๋ไปที่ภูเขาแต่ใครจะคิดว่าพวกเราจะไปเจออาจารย์ของเสี่ยวไป๋ที่นั่น”


 


 


อาจารย์ของเสี่ยวไป๋งั้นหรือ ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “แล้วอาจารย์ของแม่นางหลินเกี่ยวข้องกับการตายของลั่วเฉินอย่างไร”


 


 


“ท่านพ่อ อาจารย์ของเสี่ยวไป๋ไม่ใช่คนจิตใจดี นางรู้ตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวไป๋แล้วยอมรับนางเป็นศิษย์…” ซูจวิ้นหรี่ตาก่อนจะพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะที่เสี่ยวไป๋เป็นศิษย์ของนาง นางยังบังคับให้เสี่ยวไป๋แต่งงานกับคนที่นางเลือก”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1493 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (5)


 


 


หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของซูจวิ้น เขาก็ยิ่งโกรธ ถ้าเป็นซูลั่วเฉินบอกเขา เขาอาจจะสงสัย แต่ซูจวิ้นไม่เคยโกหก สิ่งที่เขาเล่าคือสิ่งที่เกิดในวันนั้นจริงๆ


 


 


เขากัดฟันแล้วเอ่ยถาม “แม่นางหลินอยู่ที่ไหน”


 


 


สีหน้าของซูจวิ้นมืดครึ้ม ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและทรมาน เมื่อเห็นสีหน้าของเขาในใจก็เกิดความไม่สบายใจ


 


 


“ท่านพ่อ เสี่ยวไป๋ถูกสตรีผู้นั้นควบคุมแล้วนางก็ใช้วิธีบางอย่างทำให้เสี่ยวไป๋ไม่ได้สติ น้องชายถูกสตรีผู้นั้นสังหารเพราะตั้งใจจะช่วยเสี่ยวไป๋”


 


 


สีหน้าของซูจวิ้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “นางยังบอกอีกว่าในเมื่อนางเป็นอาจารย์ของเสี่ยวไป๋ การแต่งงานของเสี่ยวไป๋ก็ต้องให้นางเป็นคนตัดสินใจ ถึงแม้ว่าคนที่เสี่ยวไป๋รักคือข้า นางก็ไม่ยอมให้เสี่ยวไป๋ตัดสินใจเอง”


 


 


“อวดดีอะไรเช่นนี้!” หมัดของชายวัยกลางคนทุบลงที่โต๊ะอย่างแรงขณะที่หน้าผากเขาปรากฏเส้นเลือด “ตัวตนของแม่นางหลินสูงส่งมาก แล้วอาจารย์ของนางจะตัดสินใจแทนนางได้อย่างไร นางช่างยึดตัวเองเป็นใหญ่อย่างโง่งม!”


 


 


เทียบกับการตายของบุตรชายเขาแล้ว เขาก็ยิ่งโมโหที่คนอื่นกล้าตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของหลินรั่วไป๋ หลินรั่วไป๋เป็นคนที่ไม่ว่าอย่างไรสำนักพวกเขาก็ต้องเอามาให้ได้!


 


 


“จวิ้นเอ๋อร์ เจ้ารู้เรื่องเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ดีว่าพวกนางจะไม่ยุ่งกับบุรุษข้างนอก แล้วสตรีทุกคนในเผ่าก็ต้องครองตนเป็นโสดไปตลอดชีวิต แต่ว่านางเป็นผู้สืบทอดที่เผ่าตามหามานาน ถ้าเจ้าทำให้นางตกหลุมรักเจ้าได้ เผ่าก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนนางได้…”


 


 


ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าทั้งคู่พัฒนาความสัมพันธ์แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แล้วความสำเร็จก็จะตามมาเอง ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรแจ้งเรื่องนี้กับเผ่า ไม่อย่างนั้นใครจะคิดว่าจะมีไอ้โง่ที่ไหนมาขัดขวางไม่ให้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าพัฒนาอีก! ดังนั้นข้าก็จะแจ้งเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้ทราบเรื่องนี้”


 


 


ในสายตาของเจ้าสำนักเสวียนชิง หลินรั่วไป๋เป็นลูกสะใภ้ของเขา ดังนั้นเขาจะยอมให้คนอื่นขโมยนางไปได้อย่างไร ที่สำคัญนางยังเห็นแก่ตัวขนาดตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของหลินรั่วไป๋แทน ไม่ใช่ว่านางควรจะสำนึกถึงฐานะของตัวเองหรือ นางเป็นใครถึงมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนผู้สืบทอดของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์


 


 


“ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงขอรับ ครึ่งเดือนก่อนข้าได้แจ้งเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เชื่อว่าพวกเขาคงได้รับข่าวแล้วเช่นกัน” ดวงตาของซูจวิ้นมีประกายชั่วร้ายพาดผ่าน “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังแจ้งพวกเขาด้วยว่าเพื่อให้หลินรั่วไป๋แต่งงานกับน้องชายนาง อวิ๋นลั่วเฟิงได้ทำให้เสี่ยวไป๋อยู่ในภาวะไม่ได้สติและตกอยู่ในอันตราย”


 


 


ความจริงแล้วซูจวิ้นก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวโม่และอวิ๋นลั่วเฟิงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ว่าเขาก็ไม่สนที่จะกุเรื่องขึ้นมา ตราบใดเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เชื่อเขาก็พอ


 


 


“ดี!” ชายวัยกลางคนยิ้มเยาะ “พวกเราจะปล่อยให้เผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จัดการเรื่องนี้! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะกล้ามีเรื่องกับเผ่า!”


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็มองซูจวิ้นแล้วถาม “ถ้าเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ช่วยแม่นางหลินออกมาได้สำเร็จ เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะทำให้นางพูดเรื่องแต่งงานขึ้นมา”


 


 


“เรื่องนี้…” ซูจวิ้นลังเล ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็ต้องตอบอย่างมั่นใจแน่นอนเพราะคิดว่าหลินรั่วไป๋ต้องเลือกเขาแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเมื่อนึกถึงท่าทางเย็นชาของหลินรั่วไป๋ที่มีให้เขาตอนอยู่ที่ภูเขาอ้ายก็ทำให้เขาลังเลในใจ


 


 


“ทำไม พวกเจ้าอยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีแล้วเจ้ายังไม่ได้หัวใจของอีกหรือ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าหลินรั่วไป๋ตกหลุมรักเจ้านี่” สีหน้าของชายวัยกลางคนดูมืดครึ้มแล้วถามอย่างเย็นชา


 


 


ซูจวิ้นกัดฟันแล้วเงยหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น “ข้ามั่นใจในตัวเสี่ยวไป๋และนางจะต้องมาเป็นภรรยาข้าแน่นอน!”


ตอนที่ 1494 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (6)


 


 


“ฮ่าๆ!” สีหน้ามืดครึ้มของชายวัยกลางคนหายไปทันทีแล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าสดใสเมื่อได้ยินเสียงมั่นใจของบุตรชาย


 


 


“ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนี้ ข้าก็สบายใจ” ขณะพูด สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอีกครั้ง “ส่วนหนี้ของน้องชายเจ้า…ข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน!” เขาพูดคำสุดท้ายแล้วกัดฟัน ความเกลียดชังในตัวอวิ๋นลั่วเฟิงปรากฏในตาเขาได้ชัดเจน


 


 


“เจ้าสำนักขอรับ มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นขอรับ!”


 


 


จู่ๆ ศิษย์ของสำนักเสวียนชิงก็รีบวิ่งเข้ามาจนสะดุดแล้วล้มลง เขารีบพูดก่อนจะลุกขึ้น “มีใครบางคนกำลังบุกเข้ามาในสำนักแล้วสังหารศิษย์ไปหลายคนแล้วขอรับ!”


 


 


“ว่าอะไรนะ!” ชายวัยกลางคนพูดอย่างโมโห เขาใช้มือทุบกำแพงจนเกิดเป็นรู


 


 


เขาแสดงสีหน้าเกลียดชังแล้วดวงตาก็ลุกเป็นไฟ “ใครมันกล้ามาสร้างปัญหาในสำนักของข้า พวกเจ้าตามข้าไปสังหารผู้บุกรุกนั้นเดี๋ยวนี้!”


 


 


พูดจบร่างของชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนพายุแล้วพุ่งออกประตูไป


 


 


ตอนนั้นแม่น้ำโลหิตจากเลือดของศิษย์จำนวนมากที่ไหลเจิ่งนองไปทั่วถูกสร้างขึ้นในสำนักเสวียนชิง พวกเขาตายโดยที่ดวงตายังเบิกโพลง


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ยังมีศิษย์หลายคนที่พุ่งเข้าไปหวังจะสังหารผู้บุกรุก พวกเขาล้อมชายทรงพลังคนหนึ่งไว้ กล้ามเนื้อของชายคนนี้แข็งแกร่งมากและเขาก็ทำสีหน้าเฉยชาอยู่ตลอดเวลาเหมือนเป็นแค่เครื่องมือสังหารที่รู้จักแค่การฆ่าโดยไม่มีความรู้สึกใดๆ


 


 


แต่เมื่อซูจวิ้นเหลือบไปเห็นสตรีในชุดคลุมสีขาวที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มทรงพลัง ด้วยชุดคลุมที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะและเส้นผมสีดำที่ปลิวไปตามลมทำให้นางโดดเด่นมาก ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าจะมีคนงดงามไปกว่านาง! นางกุมมือเด็กน้อยที่หน้าตาเหมือนหยกนวล ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะยังเด็กมาก แต่ร่องรอยความร้ายกาจยังปรากฏให้เห็นในดวงตาเขา


 


 


“ท่านพ่อ สตรีผู้นี้คือคนที่เอาตัวเสี่ยวไป๋ไปและสังหารลั่วเฉิน” ซูจวิ้นกัดฟันด้วยความโกรธก่อนจะพูด


 


 


หลังจากเขาพูดจบ อวิ๋นลั่วเฟิงที่ดูการต่อสู้อยู่ก็หันมาทางเขา ดวงตาร้ายกาจเต็มไปด้วยอารมณ์หันมามองอย่างเย็นชา


 


 


“อวดดียิ่งนัก!” ชายวัยกลางคนตะโกนอย่างเดือดดาลแล้วเขาก็ปล่อยกลิ่นอายออกมา ทันใดนั้นเขาก็พุ่งเข้ามาโจมตีอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยดวงตาที่เป็นประกายสังหาร “เจ้าสังหารบุตรข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”


 


 


เมื่อเห็นบิดาตัวเองลงมือ ซูจวิ้นก็ลอบยิ้ม


 


 


ไม่ว่าผู้คุ้มกันอวิ๋นลั่วเฟิงจะเก่งแค่ไหน บิดาเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ แต่คนพวกนี้กลับกล้ามาสังหารคนในสำนักเสวียนชิงตามลำพัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาต้องตายแน่


 


 


“อวิ๋นอี้หลบไป!” หญิงสาวออกคำสั่งข้างหูอวิ๋นอี้


 


 


เขาถอยตามคำสั่งของอวิ๋นลั่งเฟิงแล้วเผยให้เห็นร่างกายบอบบางเพื่อรอรับการโจมตีชายวัยกลางคน


 


 


“ตายซะ!” ชายวัยกลางคนตะโกนแล้วหมัดทรงพลังของเขาก็เข้าถึงตัวนางเหมือนกับดาวตกที่เต็มไปพลังมหาศาล


 


 


ในสายตาของทุกคน ร่างบอบบางของหญิงสาวไม่มีทางทนหมัดของเจ้าสำนักได้แน่นอน นางต้องตายภายใต้การโจมตีของเขา!


 


 


ตูม!


 


 


รอบตัวนางเกิดพายุ แล้วแก้มของนางก็ค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานเหมือนเกราะที่สร้างขึ้นมาจากเกล็ดมังกรที่ดูน่าดึงดูดและทรงพลังมาก!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1495 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (7)


 


 


ชายวัยกลางคนตกใจอย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็ไม่สามารถหยุดการโจมตีได้ หมัดที่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังทำลายล้างปะทะเข้ากับอกของอวิ๋นลั่วเฟิงจนเกิดเสียงดัง


 


 


ตูม!


 


 


ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็รู้สึกเหมือนโดยพายุพัดจนกระเด็นออกมา เขากระอักเลือดออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตะลึง


 


 


“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์ เจ้าทนการโจมตีของข้าได้อย่างไร”


 


 


หญิงสาวที่เป็นถึงผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ของแคว้นเจ็ดเมืองแล้วแต่ว่า…ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์จะทนรับการโจมตีจากผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ได้อย่างไร


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะ…ดวงตาของชายวัยกลางคนจ้องไปที่เกราะเกล็ดมังกร ดวงตาถูกปกคลุมด้วยความโลภ


 


 


ใช่แล้ว ต้องเป็นเพราะเกราะนี้แน่! ถ้าข้าได้เกราะนี้มา ความแข็งแกร่งของข้าก็จะขึ้นสู่จุดสูงสุด!


 


 


“ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์มีแค่นี้หรือ” รอยยิ้มของหญิงสาวทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นและเยาะเย้ย


 


 


ดวงตาเขาลุกเป็นไฟ “เจ้าสังหารบุตรชายข้า ข้าจะต้องให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต แน่นอนว่าถ้าเจ้ายกเกราะเกล็ดมังกรเพื่อเป็นคำขอโทษ ไม่แน่ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า!”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงหัวเราะ “ฝันไปเถอะ”


 


 


“ฮ่าๆๆ!”


 


 


ชายวัยกลางคนเงยหน้าแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เด็กชั้นต่ำ เจ้าต้องรู้ด้วยว่าศัตรูที่เจ้ายั่วยุเป็นคนแบบไหนถึงกลับกล้าพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงแบบนี้! ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องตัวตนของแม่นางหลิน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะบอกเจ้าว่าเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางไว้ชีวิตเจ้าที่ทำกับแม่นางหลินแบบนี้!”


 


 


การกระทำที่นางทำกับหลินรั่วไป๋งั้นหรือ


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วแล้วเผลอมองซูจวิ้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่ต้องบอกนางก็รู้ว่าซูจวิ้นโยนความผิดเรื่องเสี่ยวไป๋และการตายของซูลั่วเฉินให้นาง


 


 


ซูจวิ้นเห็นสายตาที่อวิ๋นลั่วเฟิงมองมา แต่เขาก็สบตานางโดยไร้ความกลัว เขาไม่รู้ผิดต่อการกระทำของตัวเองสักนิดเดียว


 


 


“เด็กน้อย เจ้าบังคับให้แม่นางหลินแต่งงานกับคนที่นางไม่ได้รักโดยอาศัยฐานะอาจารย์ของเจ้า เจ้าไม่คิดถึงผลที่ตามมาจากการกระทำของเจ้าหรือ เผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จะยอมให้เจ้าทำแบบนั้นกับนางได้อย่างไร” ชายวัยกลางคนหัวเราะแล้วแสดงสีหน้าเยาะเย้ย “ยิ่งไปกว่านั้นแม่นางหลินกับบุตรชายข้ารักกัน แต่เจ้ากลับแยกพวกเขา เจ้าต้องเจอปัญหาแน่นอน!”


 


 


ถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงไม่สั่ง เสี่ยวโม่ก็ไม่เคยปรากฏตัว แต่ว่าหลังจากได้ยินคำพูดกล่าวหาอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วบอกว่าหลินรั่วไป๋กับซูจวิ้นรักกันเขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ววิ่งออกมาจากมิติคัมภีร์เซียน


 


 


ซูจวิ้นและบิดาตกใจที่จู่ๆ เสี่ยวโม่ก็ปรากฏตัวออกมาจากไหนก็ไม่รู้


 


 


ตอนนั้นเอง เสี่ยวโม่ก็จ้องหน้าซูจวิ้นและบิดาด้วยสายตาดุร้าย


 


 


“เสี่ยวไป๋ยินดีแต่งงานกับข้า นางจะไปรักกับไอ้ชั่วแบบเจ้าตั้งแต่เมื่อไร”


 


 


ซูจวิ้นกลับมามีสติแล้วกระซิบข้างหูชายวัยกลางคน “เขาคือผู้ชายที่พาตัวเสี่ยวไป๋ไปจากข้า อาจารย์ของเสี่ยวไป๋ก็บังคับให้นางแต่งกับเขา”


 


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายวัยกลางคนก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขามองเสี่ยวโม่พร้อมหัวเราะเยาะ “ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าแม่นางหลินเต็มใจก็ให้นางออกมาพูดด้วยเองสิ”


 


 


เสี่ยวโม่ตัวสั่นด้วยความโกรธขณะดวงตาดุร้ายของเขาก็เข้มขึ้น


ตอนที่ 1496 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (8)


 


 


“เสี่ยวโม่” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดเบาๆ “เหลืออีกหนึ่งนาที”


 


 


เขารู้ว่านางหมายถึงอะไร เกราะอยู่ได้แค่สามนาที แล้วนี่ก็ผ่านไปแล้วสองนาที ดังนั้นนางจึงเหลือเวลาอีกเพียงนาทีเดียว ไม่ว่าเขาจะโมโหขนาดไหน เสี่ยวโม่ก็ทำได้แค่ถอยออกมา


 


 


หวืด!


 


 


ตอนที่ซูจวิ้นและบิดากำลังพยายามทำความเข้าใจความหมายของอวิ๋นลั่วเฟิง นางก็พุ่งมาที่ชายวัยกลางคนแล้วใช้หมัดที่ปกคลุมด้วยเกล็ดมังกรโจมตีเข้าไปที่อกเขา


 


 


อั่ก!


 


 


ทันใดนั้นร่างของชายวัยกลางคนก็กระเด็นออกไปแล้วกระอักเลือดอีกครั้ง ศีรษะของเขาบิดงอแล้วเขาก็หยุดหายใจ


 


 


ซูจวิ้นชะงัก ทุกคนในสำนักเสวียนชิงก็ตะลึงจนพูดไม่ออกเหมือนกัน แล้วจากนั้นความกลัวก็พุ่งเข้าสู่จิตใจเมื่อเห็นหลุมที่หน้าอกของชายวัยกลางคนและเลือดที่ไหลออกจากปากเขา สายตาของซูจวิ้นมองไปข้างหน้าเหมือนปลาตาย เขาดูสิ้นหวังมาก


 


 


“ท่านพ่อ!” ซูจวิ้นตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งแล้วรีบวิ่งไปหาชายวัยกลางคน เขาอุ้มร่างนั้นขึ้นมาแล้วคร่ำครวญอย่างเสียใจ “ท่านพ่อ ตื่นขอรับ! สำนักเสวียนชิงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีท่าน อย่าทำให้บุตรท่านกลัวสิขอรับ!”


 


 


โชคร้ายที่ชายวัยกลางคนเสียชวิตไปแล้ว


 


 


อวิ๋นลั่งเฟิงเองก็ตะลึงไปเหมือนกัน นางมองหมัดของตัวเองและร่างของชายวัยกลางคนที่ตายอย่างเจ็บปวด นางไม่คิดว่านางจะสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นจักรพรรดิปราชญ์ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!


 


 


“นายหญิง” อาาจะเป็นเพราะเสี่ยวโม่สัมผัสได้ถึงความสับสนในใจของอวิ๋นลั่วเฟิง เขาจึงอธิบายอย่างใจเย็น “เขาไม่ใช่ผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์จริงๆ”


 


 


“ไม่ใช่ผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราช์งั้นหรือ” อวิ๋นลั่วเฟิงรู้สึกงุนงง


 


 


“ใช่แล้ว” เสี่ยวโม่พยักหน้า “มีสมบัติล้ำค่ามากมายที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของคนได้ อย่างเช่นหญ้าอสรพิษวิญญาณและโลหิตมังกรฌาน แล้วยังมีของอีกมากมายที่สามารถทำให้ผู้ฝึกฌานเลื่อนระดับ แต่ว่าจะเจอของเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อเจอโดยบังเอิญเท่านั้น ไม่สามารถตามหาจนเจอได้…” เสี่ยวโม่หยุดไปพักนึงก่อนจะพูดต่อ “ดังนั้นหลายคนจึงหาอะไรที่ด้อยกว่าแล้วใช้ของมีตำหนิเพื่อเลื่อนระดับ”


 


 


“หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าสำนักเสวียนชิง ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะกินบางอย่างที่เรียกว่าผลสีชาดซึ่งทำให้เขาเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิปราชญ์ ช่วงชีวิตและพลังของเขาจะไม่ต่างจากผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์จริงๆ แต่ความแข็งแกร่งทางกายของเขาก็จะคล้ายกับผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์ระดับสูง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านถึงสังหารเขาได้ด้วยหมัดเดียว ถ้าท่านเจอผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์จริงๆ ก็เป็นเรื่องยากที่จะชนะได้ง่ายๆ ด้วยเกราะเกล็ดมังกร”


 


 


เมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงได้ยินคำอธิบายของเสี่ยวโม่ นางก็เข้าใจในทันที ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์และจักรพรรดิปราชญ์ต่างกันมหาศาล ถึงแม้จะใช้เกราะเกล็ดมังกร นางก็ยังไม่สามารถสังหารศัตรูได้ทันที…


 


 


“เจ้าสังหารน้องชายและบิดาข้า” ซูจวิ้นหันมามองอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยดวงตาโกรธแค้นเกลียดชัง “สักวันหนึ่ง เจ้าต้องตายด้วยน้ำมือข้า!”


 


 


เสี่ยวซู่กะพริบตาขณะหันใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูไปหาอวิ๋นลั่วเฟิง “ข้าสังหารเขาได้ไหม”


 


 


เขาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาไม่ต่างจากทักทายคนในวันปกติ เหมือนกับเขากำลังถามว่า ‘ข้ากินข้าวได้หรือยัง’


 


 


“แค่ให้อวิ๋นอี้จัดการเขาก็พอ” อวิ๋นลั่วเฟิงจับมือเสี่ยวซู่ ตราบใดที่เจ้าสำนักเสวียนชิงไม่อยู่แล้ว คนอื่นก็ไม่ได้มีค่าอะไร


 


 


ทันใดนั้นซูจวิ้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แล้วร่างกายของเขาก็ชะงักก่อนเงยหน้ามองขอบฟ้าที่ว่างเปล่าอย่างตื่นเต้น


 


 


กลีบดอกไม้สีขาวจำนวนมากปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วร่วงลงมาจากฟ้า จากนั้นสาวใช้ในชุดสีขาวก็เดินตามหลังสตรีสวมชุดขาวอีกคนหนึ่งออกมา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1497 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (9)


 


 


นางงดงามสูงส่งต่างจากสาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง นางยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศแล้ววางตัวเองอยู่เหนือกว่าคนธรรมดา


 


 


“ท่านฉินเย่ว์!” ซูจวิ้นตะโกนอย่างตื่นเต้น เขาเกือบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เขาเหลือบมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างชั่วร้ายแล้วยิ้มพึงพอใจ “เผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว ตอนนี้ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะยังทำตัวป่าเถื่อนได้อยู่ไหม!”


 


 


ฉินเย่ว์ร่อนลงมาจากฟ้าด้วยสีหน้าเฉยชา อาภรณ์สีขาวของนางยาวจนถึงพื้น เส้นผมสีดำขลับยาวจนถึงเอวของนางสยายเหมือนน้ำตก


 


 


“ดูเหมือนว่าข้าจะมาผิดเวลา” ภาพศพและเลือดจำนวนมากเข้าสู่สายตา นางเลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสายตาหยิ่งยโสของนางไม่ได้มีความอดทนสูงนัก “ซูจวิ้น ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่าเพื่อฟังคำอธิบายจากเจ้าและตามหาว่าใครเป็นคนลักพาตัวผู้สืบทอดของเผ่าข้าไป”


 


 


สีหน้าของซูจวิ้นเต็มไปด้วยอารมณ์ เขามองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างมาดร้าย “เป็นสตรีผู้นี้ขอรับ นางลักพาตัวเสี่ยวไป๋แล้วใช้ฐานะอาจารย์ของตัวเองบังคับให้เสี่ยวไป๋แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ท่านฉินเย่ว์ ท่านต้องช่วยเสี่ยวไป๋นะขอรับ”


 


 


เมื่อได้ยินว่าซูจวิ้นเรียกหลินรั่วไป๋อย่างสนิทสนม นางก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น สายตาแสดงความเหลืออด “เจ้าบอกว่านางเป็นคนลักพาตัวผู้สืบทอดของเผ่าข้าไปงั้นหรือ” ดวงตางามของนางเหลือบมองอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เกิดเป็นภาพลักษณ์หยิ่งยโสที่คนในเผ่าทุกคนมี


 


 


“ซูจวิ้น เล่ารายละเอียดมาสิ ข้าจะได้ตัดสินใจ”


 


 


“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นขอรับ” ซูจวิ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วอธิบาย “วันนั้นข้าเจอเสี่ยวไป๋กำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วช่วยนางไว้ ตอนนั้นข้าสงสัยว่าทำไมนางถึงมาปรากฏตัวในที่อันตรายแบบนั้น นางอธิบายว่าอาจารย์ของนางทิ้งนางไว้ในป่าเพื่อให้เป็นอาหารของหมาป่าและพยัคฆ์!”


 


 


ซูจวิ้นพูดอย่างชั่วร้าย “ลองคิดดูว่ายังมีอาจารย์ที่ชั่วร้ายขนาดนั้นบนโลกใบนี้! เมื่อเห็นเสี่ยวไป๋ปรับตัวได้ ข้าก็พานางเข้ามาแต่ว่าเรื่องดีๆ ก็ไม่อยู่นานเมื่ออาจารย์คนนี้ก็ออกตามหานาง ข้าไม่รู้ว่านางรู้ความสัมพันธ์ของเสี่ยวไป๋กับเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แต่นนางก็ไม่ลังเลที่จะบังคับให้เสี่ยวไป๋แต่งงานกับคนที่นางไม่รัก!”


 


 


“ท่านฉินเย่ว์ หนึ่งปีมานี้ข้าและเสี่ยวไป๋ตกหลุมรักกัน อีกทั้งนางยังเคยพูดว่านางยอมตายดีกว่าแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่ข้า นอกจากนี้ข้าสงสัยว่าเสี่ยวไป๋อาจจะเจอเหตุการณ์บางอย่าง” ซูจวิ้นปาดน้ำตา “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางจริงๆ ข้าไม่มีทางปล่อยคนที่อะไรนางไปแน่ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม!”


 


 


คำอธิบายของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกจนแม้แต่ตัวซูจวิ้นเองยังหวั่นไหว เขาเชื่อว่าไม่มีเหตุผลที่ฉินเย่ว์จะไม่หวั่นไหว ดังนั้นเขาจึงแอบใช้หางตามองฉินเย่ว์แล้วเขาก็เห็นว่านางยังเย็นชาอยู่เหมือนเดิม


 


 


“ท่านฉินเย่ว์…” เขาเรียกอย่างหวาดหวั่น


 


 


ฉินเย่ว์ไม่ได้พูดอะไรแต่ดวงตางดงามหยิ่งยโสของนางหยุดอยู่ที่หญิงสาวที่กำลังยืนกอดอกอยู่ข้างหน้านาง เสียงของนางเย็นชาไม่มีความอบอุ่นอยู่ในน้ำเสียงแม้แต่น้อย “ผู้สืบทอดของเผ่าข้าอยู่ที่ไหน ที่ซูจวิ้นพูดมาจริงหรือไม่”


 


 


ตั้งแต่เผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ก่อตั้งมาจนถึงวันนี้ พวกเขาไม่เคยฟังความข้างเดียว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาที่อยู่ของหลินรั่วไป๋แล้วฟังความจริงจากปากนาง


 


 


ถ้าซูจวิ้นพูดความจริง สตรีผู้นี้ทำกับผู้สืบทอดของพวกนางอย่างนั้นจริงๆ นางไม่มีทางปล่อยนางไปแน่!


 


 


“นางออกมาไม่ได้” อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดช้าๆ


ตอนที่ 1498 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (10)


 


 


ซูจวิ้นเผยรอยยิ้มดีใจ แต่เพราะกลัวว่าเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จะเห็นความดีใจในตาเขา เขาจึงรีบระงับความตื่นเต้นแล้วพูดอย่างกังวล “เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าออกมาไม่ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกับเสี่ยวไป๋!”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงส่งสายตาเย็นเยียบให้ซูจวิ้นจนทำให้เขาตัวสั่นเพราะรู้สึกความเย็นภายในร่าง


 


 


ฉินเย่ว์ขมวดคิ้วแล้วมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างเย็นชา “ข้าหวังว่าเจ้าจะพาผู้สืบทอดของเผ่าข้าออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะเชื่อคำพูดของซูจวิ้นแล้วคิดว่าเจ้าทำร้ายผู้สืบทอดของเผ่าข้าจริงๆ”


 


 


ที่จริงการพาเสี่ยวไป๋ออกมาก็เป็นเรื่องง่าย แต่ตอนนี้เสี่ยวไป๋ไม่ได้สติอยู่ แล้วการพานางออกมาทั้งแบบนั้นก็สู้ปล่อยให้นางไม่ออกมาจะดีกว่า


 


 


“ข้าบอกว่านางไม่สามารถออกมาได้สักพัก ถ้าเจ้ามีความอดทน เจ้าก็รออีกสักหน่อย ไม่แย่งนั้นแล้วข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้”


 


 


ถึงแม้ว่าจะกำลังเผชิญหน้ากับเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ สายตาของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ยังคงความยโสเอาไว้ ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายมืดครึ้ม


 


 


หลายปีมานี้ฉินเย่ว์ไม่เคยเห็นใครกล้าทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้านางมาก่อน แต่สตรีผู้นี้กลับไม่สนใจเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสายตา


 


 


“ถ้าเจ้าไม่ปล่อยผู้สืบทอดของเผ่าข้าก็อย่าโทษว่าข้าเสียมารยาท!” ดวงตาของหญิงสาวชุดขาวเป็นประกายเย็นเยียบ นางออกคำสั่งอย่างเย็นชา “จับตัวนาง!”


 


 


“ขอรับ!”


 


 


เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง ผู้คุ้มกันชุดขาวทั้งหมดก็เข้ามาล้อมอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงที่อยู่กลางวงล้อมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางจับมือน้อยๆ ของเสี่ยวซู่โดยไม่มีแม้แต่ความกลัว


 


 


“นายหญิง อย่าสู้กับเผ่าสตรีศักดิ์ตรงๆ ท่านจะแพ้นะ!”


 


 


ปี้เซียวส่งเสียงกังวลผ่านจิต “ถึงแม้ว่าเสี่ยวซู่จะแข็งแกร่งแต่พวกเขามีสมบัติที่ยับยั้งพืชอสูรได้ ไม่อย่างนั้นเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์คงไม่มีชื่อเสียงเพราะมีวิธีจัดการกับพืชอสูร!”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงใจเสีย


 


 


“นายหญิง…” เมื่อเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงไม่สนใจคำแนะนำของนาง ปี้เซียวก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ไปจากที่นี่ก่อนแล้วอดทนอีกสักหน่อย หลังจากที่ท่านเสี่ยวไป๋ตื่นขึ้นมาแล้ว พวกเราค่อยมาอธิบายให้เผ่าฟัง”


 


 


ปี้เซียวไม่ได้พูดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเพราะกำลังตกใจคำพูดของซูจวิ้นจนพูดไม่ออก นางไม่เคยเห็นนุษย์คนไหนชั่วร้ายและหลอกลวงขนาดนี้มาก่อน นี่ถึงขนาดบอกว่าพวกเขาตกหลุมรักกันและอาจารย์ของนางตั้งใจจะสังหารเสี่ยวไป๋


 


 


เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลินรั่วไป๋กินผลไม้วิญญาณจนหมดสติไป แต่ถึงแม้เสี่ยวไป๋จะออกมา พวกเขาก็คงไม่เชื่อว่านางหมดสติไปเพราะผลไม้วิญญาณและคงคิดว่าอวิ๋นลั่วเฟิงทำอะไรบางอย่างที่ทำร้ายนาง หลังจากที่กินผลไม้วิญญาณก็ไม่มีอาการปกติอื่นนอกจากนอนหลับลึก แล้วเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีเซียนแพทย์สักคนดังนั้นพวกเขายิ่งบอกไม่ได้ว่าอาการของเสี่ยวไป๋คืออะไร


 


 


หั่วหั่วเองก็กังวลแล้วรีบถาม “ปี้เซียว เจ้าช่วยนายหญิงได้หรือไม่”


 


 


ปี้เซียวส่ายหน้าอย่างขมขื่น “ข้าไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงออกไปอธิบายเรื่องนี้ให้เผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ฟังแล้ว”


 


 


ถ้านางทำได้ นางจะมากังวลอยู่ทำไม


 


 


ได้ยินคำพูดของปี้เซียว อวิ๋นลั่วเฟิงก็หันไปมองเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก เมื่อหมดเวลา เกราะเกล็ดมังกรก็หายไปแล้ว ถ้านางต้องการเรียกเกราะออกมาอีก นางก็ต้องรอจนกว่าพลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนจะฟื้นฟู แต่ว่า..


 


 


เมื่อเห็นผู้คุ้มกันชุดขาวจำนวนมากบนท้องฟ้า อวิ๋นลั่วเฟิงก็เข้าใจว่าแม้แต่ว่าการหนีก็เป็นเรื่องยาก


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1499 วันชี้ชะตาของพรรคเสวียนชิง (11)


 


 


รอยยิ้มสดใสแผ่ไปทั่วใบหน้าน่าเอ็นดูของเสี่ยวซู่ “ท่านแม่ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”


 


 


หวืด!


 


 


ทันใดนั้นเถาวัลย์จำนวนมากก็ออกมาจากร่างกายของเสี่ยวซู่แล้วมัดผู้คุ้มกันชุดขาวพวกนั้นไว้แน่นจนหายใจไม่ออก


 


 


ซูจวิ้นตะลึงเขาไม่เคยคิดว่าเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ข้างอว๋นลั่วเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้…


 


 


“พืชอสูร?” ฉินเย่ว์รู้สึกแปลกใจ “เจ้ามีพืชอสูรด้วยหรือนี่”


 


 


พืชอสูรต่างจากสัตว์อสูรวิญญาณ พืชอสูรต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อสร้างสติปัญญาให้ตัวเอง แล้วพืชอสูรที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ก็มีโอกาสแค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้น


 


 


ต้นไม้แห่งชีวิตของเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังมาก แต่หลังจากนางเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ นางก็ถูกจำกัดให้อยู่แค่ภายในต้นไม้เท่านั้น ไม่เหมือนกับเสี่ยวซู่ที่สามารถเดินในโลกข้างนอกได้อย่างสบายใจดังนั้นทันทีที่นางเห็นเสี่ยวซู่ ดวงตานางก็เต็มไปด้วยความโลภ


 


 


“หยุด!” ฉินเย่ว์โบกมือเพื่อหยุดผู้คุ้มกันที่พุ่งเข้าไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงและพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไม่ใช่มนุษย์และสัตว์อสูร แต่เป็นต้นไม้ที่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ข้าพูดถูกหรือไม่”


 


 


เสี่ยวซู่ส่งเสียงเหอะแล้วแสดงออกชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ในตัวสตรีผู้นี้เลย


 


 


“ทำไมเจ้าไม่มาติดตามข้าล่ะ” ฉินเย่ว์พยายามยิ้มแบบที่นางคิดว่าดูดีที่สุด ทว่าน้ำเสียงของนางกลับแสดงถึงความเจ้าบงการและหัวแข็ง “ความสามารถที่แท้จริงของเจ้าจะแสดงออกมาได้ก็ต่อเมื่อมาติดตามเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น”


 


 


คำพูดของนางสื่อว่าเสี่ยวซู่เป็นแค่สมบัติล้ำค่าที่ถูกอวิ๋นลั่วเฟิงเอามาใช้แบบผิดๆ


 


 


“ท่านป้า ท่านน่าเกลียดมาก ทำไมข้าต้องติดตามท่านด้วย” เสี่ยวซู่เผยรอยยิ้มใสซื่อไร้เดียงสาขณะที่ใช้เสียงเด็กๆ ของเขาพูด


 


 


สีหน้าของฉินเย่ว์เปลี่ยนไปทันที แล้วประกายเย็นเยียบก็พาดผ่านดวงตานาง “ฮึ่ม! แล้วถ้าวันนี้ข้าได้ตัวเจ้าเล่า”


 


 


นางเป็นคนที่งดงามที่สุดในเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่เด็กนี่กลับกล้าบอกว่านางน่าเกลียดงั้นหรือ นางจะกลืนความโกรธนี่กลับไปได้อย่างไร


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่!” รอยยิ้มของเสี่ยวซู่ยังคงสดใสเหมือนเขากำลังพูดเรื่องไม่สลักสำคัญอะไร


 


 


“ถ้าเจ้าเป็นสัตว์อสูรวิญญาณหรือมนุษย์ ข้าก็คงไม่มีเหตุผลที่ต้องปราบเจ้า แต่ว่า…” ฉินเย่ว์ยิ้ม รอยยิ้มของนางไม่ได้หยิ่งยโสเหมือนเมื่อครู่แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะชนะ “เจ้าก็เป็นแค่พืชอสูร”


 


 


นอกจากต้นไม้แห่งชีวิตแล้วก็ยังมีต้นไม้อีกมากมายอยู่ในเผ่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ และพืชอสูรทั้งหมดก็เป็นพวกหยิ่งยโสและหัวสูงจึงไม่ยอมรับใช้พวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นเผ่าก็สามารถปราบพืชอสูรได้ แล้วพวกเขาจะไม่มีไพ่ที่เหนือกว่าในมือได้อย่างไร


 


 


หลังจากพูดจบ ฉินเย่ว์ก็หยิบแส้สีเขียวออกมา แส้ยาวนี้ถูกถักขึ้นมาจากเถาวัลย์ของพืช มันปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมาบางๆ


 


 


สีหน้าไร้เดียงสาของเสี่ยวซู่ซีดเผือดทันทีที่เขาเห็นแส้ยาวของฉินเย่ว์ เสียงเล็กๆ ของเขาก็เต็มไปด้วยความเดือดดาลและเจตนาสังหาร


 


 


“เจ้าได้แส้นั่นมาจากที่ไหน!”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นลั่วเห็นเสี่ยวซู่เป็นแบบนี้ นางรู้สึกตะลึงก่อนหันกลับไปมองใบหน้าโกรธแค้นของเด็กชายน้อย


 


 


เสี่ยวซู่กำหมัดแน่นจนตัวสั่น เมื่อเห็นฉินเย่ว์ไม่ตอบ เขาก็ขึ้นเสียงแล้วถามอย่างเคร่งเครียด “บอกข้ามาว่าเจ้าได้แส้นี้มาจากที่ไหน!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม