ลิขิตกลกาล 147-153
ตอนที่ 147 สังหารหมู่
“หลีมู่ ข้าไปแล้วนะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นเมื่อทำผมของตัวเองในกระจกเสร็จ
“คุณหนูใหญ่ รีบไปรีบกลับและระวังเนื้อระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ!” หลีมู่ที่เอนกายอยู่หลังมุ้งคลุมเตียงเอ่ยขึ้นพลางถอนใจ “ผูหลิว เจ้าต้องคุ้มครองคุณหนูใหญ่ให้ดีนะ!”
“วางใจเถิด…” ผูหลิวกุมขมับถอนใจ นี่มิได้จะไปรบเสียหน่อย เหตุใดต้องพูดซ้ำไปซ้ำมาราวกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีกด้วยเล่า? คิดแล้วก็น่าสงสารคุณหนูที่สิบกว่าปีมานี้ต้องทนกับคำพร่ำสอนของหลีมู่ที่ฟังดูคล้ายแม่เฒ่าเช่นนี้…
“ไปๆๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นเลียนแบบท่าทางของหลินเหวินเสี่ยวที่มอบพัดให้นางในตอนนั้นด้วยการทำท่าพัดให้ตัวเองอย่างสบายอกสบายใจ หากมองไกลๆ ก็ดูคล้ายว่าเป็นท่าทางของคุณชายคนหนึ่งจริงๆ
รอบตัวนางมีหลายคนคอยคุ้มกันอยู่ แต่หากนางไม่มีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่รอบกาย…พูดตามตรงแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็แอบรู้สึกพะวงเช่นกัน
แต่เนื่องจากนางมิอาจใช้กระบี่เล่มนั้นได้ เนื่องด้วยเหตุผลข้อแรกคือ นางยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ และข้อที่สองหากนำกระบี่ติดตัวไปด้วย…มันจะเตะตาผู้อื่นมากเกินไปหน่อย ดังนั้นพัดเล่มนี้ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้
“ถังหูลู่[1]จ้า!”
“มาทายปริศนาโคมไฟ ลุ้นรับโคมไฟจ้า!”
“ผูหลิว ไปกัน เราไปดูปริศนาโคมไฟด้านนั้นกัน” ซูเหลียนอวิ้นกลืนถังหูลู่ที่อยู่ในปากลงไปพร้อมชี้ไปที่ร้านค้าด้านหน้า “แต่ว่าข้าไม่ค่อยเก่งเรื่องการทายปริศนาโคมไฟเท่าไหร่นัก…ผูหลิว พวกเจ้าทายถูกหรือไม่?” หากไม่มีใครทายเป็นสักคน คงจะหน้าอายทีเดียว!
เนื่องจากเทศกาลโคมไฟเช่นนี้…หากสุดท้ายแล้วไม่สามารถทายปริศนาโคมไฟถูกแล้วแลกโคมไฟมาได้สักอันเดียว ผู้คนคงจะสงสัยแน่ว่าคืนนี้นางออกมาที่นี่ทำไมกัน แค่ออกมากินถังหูลู่อย่างเดียวหรือ?
“บ่าว พอเข้าใจอยู่บ้าง…” ผูหลิวกระแอม หน้าของนางกลายเป็นสีแดง
เอาล่ะ อันที่จริงไม่ใช่เข้าใจอยู่บ้าง แต่นางไม่เข้าใจเรื่องนี้เลยต่างหาก แต่เมื่อเห็นสายตามีความหวังของซูเหลียนอวิ้นแล้ว เดิมทีที่นางตั้งใจจะเอ่ยออกไปว่าตนไม่เข้าใจเช่นกัน เวลานี้กลับต้องกล้ำกลืนคำนั้นลงไปแล้วเปลี่ยนเป็นพอเข้าใจอยู่บ้าง
“มิเป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นมองความประหม่าของผูหลิวออกจึงยื่นมือออกไปตบไหล่ของนางเบาๆ “หากพวกเราเดาไม่ได้ก็ไปดูผู้อื่นเดาก็แล้วกัน คืนนี้ได้ออกมาเที่ยวก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อย่ามัวแต่คิดเรื่องราวที่ทำให้เสียอารมณ์จะดีกว่า”
“จริงด้วย” เสียงของหยาเอ่อร์ดังขึ้นจากด้านข้าง “ไม่เป็นไรหรอก แค่ดูเอาสนุกก็พอแล้ว อันที่จริงหากรู้แต่แรก พวกเราควรลากหนานอี้ออกมาด้วย เขาถนัดเรื่องนี้ที่สุด! แต่น่าเสียดายที่เป็นตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมออกมา”
“อืม ก็แค่…” ซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันเอ่ยจบ เสียงฝีเท้าม้าวิ่งก็ดังขึ้น
“มีคนถูกฆ่า!”
“คุณหนูใหญ่ หยาเอ่อร์ หลบ!” ผูหลิวเอามือคว้าเอวของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แล้วใช้วิชาตัวเบายกตัวเองขึ้นจากพื้นกระโดดขึ้นไปบนโรงเตี๊ยม
ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว “ด้านล่างเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“มิทราบเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ส่ายหน้า “ดูคล้ายมีการ…ต่อสู้กัน”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
ซวยจริงๆ ! กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเล่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายกลับต้องมาพบกับเรื่องราวเช่นนี้อีก? คงไม่มีผู้ใดมีโชคชะตาเช่นนี้อีกแล้วกระมัง
ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่ด้านบนหลังคา นางนั่งกอดเข่าแล้วจ้องเขม็งไปยังความโกลาหลและเสียงตะโกนโหวกเหวกของฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง “พวกเจ้าว่าคืนนี้จะมีคนตายกี่คน?”
“มิทราบเจ้าค่ะ” ผูหลิวเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “คงจะอยู่ที่โชคชะตากระมังเจ้าคะ หากยังไม่ถึงคาดจะอย่างไรก็ต้องรอด”
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นแอบถอนใจ
อันที่จริงตอนนี้…นางก็อยากจะทำตัวน่าเกรงขามเหมือนอย่างในนิยายหลายๆ เล่มเขียนเอาไว้ แล้วสั่งการให้ผูหลิวกับหยาเอ่อร์ลงไปช่วยคนอื่นหรืออาจจะเป็นนางเองที่อาศัยสองมือสองเท้าของตนลงไปช่วยชีวิตคนอื่นให้ได้เท่าที่จะมากได้
ทว่า นั่นเป็นเพียงเรื่องในนิยายเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว…
ลมราตรีโชยมา ซูเหลียนอวิ้นอดตัวสั่นไม่ได้ นางไม่ได้เป็นผู้กล้าหาญอะไรเลย นางเองก็กลัวตายเช่นกัน ดังนั้นเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้จึงไม่ใช่เวลาที่จะมาแสดงความกล้าหาญอะไร ในเมื่อนางมีคนคอยคุ้มกันแล้ว นางก็ต้องใช้โอกาสนี้ของตนอย่างคุ้มค่าที่สุด
อีกอย่างรสชาติแห่งความตายนั้น นางได้ลิ้มรสเพียงครั้งเดียวก็คงเพียงพอแล้ว สิ่งที่นางพอจะทำได้ตอนนี้เกรงว่าคงจะเป็นเพียงการสวดภาวนาเท่านั้น
ภาวนาให้จำนวนผู้เสียชีวิต ลดน้อยลงบ้าง
“คิดไม่ถึงเลยว่า ปลาที่หลุดจากแหจะมาอยู่ตรงนี้ แถมยังเป็นปลาตัวใหญ่เสียด้วย! บังเอิญยิ่ง ไม่น่าเชื่อเลย” มีเสียงแห่งความอำมหิตบ้าคลั่งดังขึ้น ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังที่มาของเสียง คนผู้นี้…
“เจ้าคือคนของตระกูลหยาง!” ตาของซูเหลียนอวิ้นเบิกโพลงแล้วชี้ไปที่ชายชุดดำผู้นั้น
นางคิดออกแล้ว! การสังหารหมู่ในครั้งนี้ไม่ใช่ความบังเอิญใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการวางแผนเอาไว้อย่างดีแล้วต่างหาก!
ในเวลานี้เมื่อชาติที่แล้ว หยางเกิ่งรั่งได้วางแผนการชิงบัลลังค์และลอบปลงพระชนม์ลี่หยวนตี้! น่าเสียดายที่ลี่หยวนตี้ได้เตรียมการป้องกันไว้แต่แรกแล้ว คนของหยางเกิ่งรั่งไม่เพียงไม่สามารถซื้อฝ่ายตรงข้ามาเป็นพวกได้ แต่ยังถูกกำจัดจนสิ้นซากในครั้งนี้ด้วย
และภายใต้ความวุ่นวายนี้ คนที่ทุ่มเทแรงกายมากที่สุดก็คือบิดาของนาง ซูปั๋วชวนนั่นเอง
ดังนั้นการสังหารหมู่ครั้งนี้เกรงว่าคงจะเป็นการทำไปเพื่อระบายความแค้นกระมัง เพราะแผนการซื้อฝ่ายตรงข้ามล้มเหลวจึงไม่พอใจลี่หยวนตี้ พวกเขาจึงนำความแค้นทั้งหมดของตนไปลงที่ประชาชนบริสุทธิ์ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราว! เพื่อให้แผ่นดินต้าชั่วเกิดความวุ่นวายขึ้น!
ซูเหลียนอวิ้นกัดฟัน ไม่เสียแรงที่เป็นคนตระกูลหยางผู้บ้าคลั่ง เรื่องราวเช่นนี้มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ทำได้
“คุณหนูซูตาถึงยิ่งนัก น่าเสียดายที่ต่อให้ตาดีแค่ไหน ถ้าสิ้นลมหายใจก็ไร้ประโยชน์” คนผู้นั้นแค่นหัวเราะพลางแกว่งไกวกระบี่ที่เปื้อนเลือด
“เหลวไหล!” น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นสั่นเครือ “คุณหนูซูอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก!” นางยอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด! หากตอนนี้นางยอมรับว่าตนคือซูเหลียนอวิ้น เกรงว่าพวกที่กำลังฆ่าคนอย่างกระหายเลือดอยู่ด้านล่างนั้น เป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขาจะต้องเปลี่ยนเป็นนางอย่างแน่นอน!
ลูกสาวของซูปั๋วชวน ถือเป็นที่ระบายความแค้นได้เป็นอย่างดี!
“คุณหนูซูแสดงเก่งนัก” คนผู้นั้นยังคงแค่นหัวเราะต่อ “แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรคนตายก็มีค่าเท่ากัน”
ตอนนี้ผูหลิวกับหยาเอ่อร์เตรียมตัวพร้อมแล้ว เวลานี้จึงพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันสรแล้วโจมตีอย่างรวดเร็ว โดยพยายามอย่างยิ่งที่จะเด็ดหัวคนพวกนั้นมาให้ได้
ทว่าสองมือยากจะต่อกรสี่มือ ตอนนี้คนชุดดำดูเหมือนจะมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนท่าทางของพวกผูหลิวเองก็คล้ายว่ากำลังจะรับมือไม่ไหวเต็มที
ตอนนี้มือขวาของซูเหลียนอวิ้นกำพัดเอาไว้แน่น ใบมีดถูกดึงออกมาเรียบร้อยแล้ว รอเพียงหากมีผู้ใดกล้าโจมตีนางก็จะตอบโต้กลับทันที
“คุณหนูใหญ่!” ผูหลิวร้องเสียงหลง ในช่วงเวลาที่ไม่ทันได้ระวังนั้นมีคนผู้หนึ่งที่อยู่ตรงหยาเอ่อร์ในตอนแรกบุกเข้าใส่ซูเหลียนอวิ้น
ซูเหลียนอวิ้นยกเท้าขึ้นแล้วถีบคนที่บาดเจ็บหนักผู้นั้นจนกระเด็น จากนั้นนางจึงใช้ใบมีดที่พัดแทงเข้าไปแล้วถอยหลังไปสองสามก้าวจนกระทั่งรู้สึกปลอดภัย
——
[1] ถังหูลู่ หมายถึงขนมชนิดหนึ่งที่นำผลไม้เป็นคำๆ มาเคลือบน้ำตาลแข็งแล้วเสียบไม้
ตอนที่ 148 ไม่ใช่คนดี
ซูเหลียนอวิ้นกุมหน้าอกเอาไว้แล้วหายใจหอบอยู่เป็นนานกว่าจะยับยั้งคลื่นเ**ยนนั้นลงได้
เนื่องจากคนเป็นๆ ได้ตายไปต่อหน้าต่อตาตนเช่นนี้ ไม่ว่าก่อนสิ้นใจเขาจะก่อเรื่องราวอะไรไว้บ้าง แต่ความรู้สึกถึงคลื่นเ**ยนนี้ไม่แบ่งแยกว่า คนๆ นั้นจะเป็นคนดีหรือเลว เพราะหลังจากที่เห็นเพียงคราเดียวก็จะรู้สึกไม่อยากเหลียวมองอีกเป็นครั้งที่สอง
ซูเหลียนอวิ้นกลืนน้ำลายและพยายามออกห่างจากคนผู้นั้นให้ไกลมากยิ่งขึ้น
ทว่านางคงลืมไปแล้วว่าตอนนี้ที่ที่นางยืนอยู่คือด้านบนหลังคา หากถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่งก็จะตกลงสู่ด้านล่างทันที
“อ๊ากกกกก!” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปเพียงครึ่งก้าว ทว่าแผ่นกระเบื้องที่อยู่ตรงขอบไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อซูเหลียนอวิ้นเหยียบลงไปบนนั้น กระเบื้องแผ่นนั้นจึงแตกออก จากนั้นร่างของนางจึงตกลงไปสู่ความว่างเปล่าด้านล่าง
“คุณหนูใหญ่!”
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นผูหลิวกับหยาเอ่อร์ยังกำลังต่อสู้อยู่ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กะทันหันเช่นนี้พวกนางจึงทำได้เพียงเฝ้ามองดูซูเหลียนอวิ้นตกลงไปสู่เบื้องล่างโดยที่ไม่สามารถปลีกตัวออกไปช่วยได้อีกด้วย
“วันอันแสนโกลาหลอย่างนี้ แม่นางตัวเล็กๆ ไม่ควรออกจากเรือนโดยไม่ระวังเนื้อระวังตัวเช่นนี้” ขณะที่ซูเหลียนอวิ้นหลับตาลงและคิดว่าตัวเองจะพิการจากการร่วงลงสู่เบื้องล่างอยู่นั้นกลับมีอ้อมกอดอันอบอุ่นรับนางไว้กลางอากาศ
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกได้ว่าเสียงลมที่ดังอยู่ข้างหูนางค่อยๆ หายไปจึงหรี่ตามองบุรุษที่อุ้มนางเอาไว้ ตอนนั้นนางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เนื่องจาก…คนผู้นี้คือใครกัน? ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้จักคนผู้นี้เลยด้วยซ้ำ?
ชายผู้นั้นวางซูเหลียนอวิ้นลงที่มุมๆ หนึ่งอย่างเบามือ แล้วมองนางด้วยแววตากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
“เอ่อ ขอบพระคุณคุณชายเจ้าค่ะ…ข้าน้อยซาบซึ้งในน้ำใจของท่านยิ่ง…” ซูเหลียนอวิ้นถอนสายบัวให้ แล้วเอ่ยขอบคุณอย่างตะกุกตะกักต่อหน้าชายผู้นั้น เพราะไม่ว่าจะอย่างไรคนผู้นี้ก็ช่วยนางเอาไว้! เมื่อถึงเวลาควรจะขอบคุณก็ควรขอบคุณ
“ฮ่าๆ…” ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “มิต้องขอบคุณข้าหรอก โฉมงามอย่างคุณหนูประสบภัย หากบุรุษเห็นความตายรออยู่ตรงหน้าแต่ไม่ช่วย นั่นคงจะมิใช่อุปนิสัยที่ดีอย่างแน่นอน”
ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นถูกวางลง นางยืนอยู่ภายใต้แสงสลัวๆ ด้วยเหตุนี้จิตใจของซูเหลียนอวิ้นจึงกลับคืนสู่สภาวะปกติ และเมื่อมองหน้าของชายผู้นี้อีกครั้งนางจึงพบว่า บุรุษผู้นี้…คล้ายมิใช่คนต้าชั่วกระมัง
ดวงตาคู่สีฟ้า เครื่องหน้าทั้งหมดเด่นชัดเป็นสง่า แม้ว่าจะดูหล่อเหลาเหนือธรรมดา ทว่าเมื่อดูจากท่าทางก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่นี่
“งั้นหรือ…” มือทั้งสองข้างของซูเหลียนอวิ้นกำเสื้อด้านบนของตัวเองเอาไว้แน่น “แต่อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณคุณชายที่ให้ความช่วยเหลือ…” สุดท้ายนางก็ถูกคนจับได้ว่าเป็นหญิงแต่งชายหรือ! ที่แท้ฝีมือการปลอมตัวเป็นผู้ชายของนางอ่อนหัดขนาดนี้เชียว…นางเข้าใจมาตลอดเลยว่าการปลอมตัวเป็นชายของนางนั้นยอดเยี่ยมหาใดเปรียบ!
เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นมีทีท่าระมัดระวังเช่นนั้น จึงนึกอยากหยอกเล่นจึงเอ่ยออกไปว่า “ขอบคุณหรือ ว่าแต่เจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไรดี”
ซูเหลียนอวิ้นจึงตอบกลับว่า “เรื่องนี้…”
เหตุใดเหตุการณ์นี้จึงแตกต่างจากในนิยายมากนัก ปกติแล้วนักท่องยุทธภพที่ช่วยเหลือคน มักจะเอ่ยว่าไม่ต้องขอบคุณข้าจากนั้นก็จะหันหลังจากไปอย่างสบายอารมณ์แล้วเดินหายไปอย่างไร้ร่องรอยมิใช่หรือ
แต่เนื่องด้วยตอนนี้นางปลอมตัวเป็นชาย ดังนั้นทั้งเนื้อทั้งตัวนางจึงไม่ได้พกเงินมาเลย ทั้งเครื่องประดับต่างๆ ก็ไม่ได้ใส่มาด้วยเช่นกัน!
ชายผู้นี้ไม่ทันได้สังเกตถึงความยากจนของซูเหลียนอวิ้นจึงพูดต่อโดยไม่ได้สนใจนาง “ได้ยินมาว่าคนต้าชั่วอย่างพวกเจ้ามีวิธีการตอบแทนสำหรับยอดบุรุษช่วยโฉมงามโดยการมอบกายตอบแทนมิใช่หรือ”
นัยน์ตาสีฟ้าเข้มของบุรุษผู้นี้มีประกายเคลื่อนผ่านแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้น คุณหนูผู้เลอโฉมอย่างเจ้า หากต้องการจะขอบคุณข้าจริงๆ มิสู้เจ้ามอบกายให้ข้ามิดีกว่าหรือ”
“ดูเหมือนว่าองค์ชายเยียลี่ว์จะได้ยินมาผิดแล้ว”
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นคิดจะตอบโต้การหาเรื่องของชายผู้นี้กลับไปอยู่นั้น เงาของคนผู้หนึ่งก็กระโดดลงมาอย่างทันทีทันใด
“วิธีการตอบแทนของพวกเราชาวต้าชั่วสำหรับเรื่องประเภทนี้ก็คือ ชาตินี้มิอาจตอบแทนได้ก็คงต้องไปชดใช้กันในชาติหน้าเท่านั้น” ต้วนเฉินเซวียนเข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าของซูเหลียนอวิ้นพร้อมเอ่ยอย่างเย็นชา
“คุณชายต้วน? ช่างมีพรหมลิขิตต่อกันยิ่งนัก…” ชายผู้นั้นตกตะลึงกับการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของต้วนเฉินเซวียนไปชั่วขณะ ทว่าเพียงชั่วครู่เดียวรอยยิ้มของเขาก็กลับคืนมาสมบูรณ์แบบดังเดิม “เช่นนี้เองหรือ แต่วิธีการตอบแทนเช่นนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยได้ยิน”
ต้วนเฉินเซวียนแค่นหัวเราะ “เนื่องจากองค์ชายเยียลี่ว์มิใช่คนต้าชั่ว ดังนั้นหากไม่ค่อยเข้าใจถึงกฎระเบียบของชาวต้าชั่วก็เป็นเรื่องที่ข้าพอเข้าใจได้ ทว่าวิธีการมอบกายให้เช่นนี้ สำหรับชาวต้าชั่วแล้ว ถือว่าไม่ค่อยให้เกียรติสตรีเท่าไหร่นัก ดังนั้นต่อไปจึงหวังว่าเวลาที่องค์ชายเยียลี่ว์จะกล่าวอะไรก็ควรจะไตร่ตรองให้มากหน่อย”
เยียลี่ว์เยี่ยนหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าผิดไปแล้ว หวังว่าคุณหนูจะไม่ถือโทษ” เยียลี่ว์เยี่ยนหันตัวไปพูดกับซูเหลียนอวิ้นพร้อมเอ่ยต่อไปว่า “การเดินทางของข้าคืนนี้ถือว่าไม่เสียเที่ยวกระมัง” เมื่อเอ่ยจบก็หันไปเล่นหูเล่นตากับซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงใช้วิชาตัวเบาและหายไปต่อหน้าต่อตาซูเหลียนอวิ้น
ซูเหลียนอวิ้น…” ต้วนเฉินเซวียนหันตัวมาช้าๆ ดวงตาดำสนิทของเขามองไปที่ซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ดูไม่ออกเลยว่า เจ้าจะมีความสามารถในด้านนี้ด้วย ถึงขนาดจะสานสัมพันธ์กับเยียลี่ว์เยี่ยน?
“แต่เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะซูเหลียนอวิ้น! เยียลี่ว์เยี่ยนผู้นั้นมิใช่คนดีอะไร คุณหนูอย่างเจ้ามิค่อยพบเจอผู้คน อย่าได้ถูกเครื่องหน้าอันน่าหลงไหลของเขาทำให้เลอะเลือน ถึงตอนนั้นหากเจ้าโดนเขาหลอกเอาไปขายให้แก่ผู้อื่น เจ้าคงต้องช่วยเขานับเงินเสียด้วยซ้ำไป…”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงแปลกประหลาดของต้วนเฉินเซวียน ทั้งยังเอ่ยคำพูดทิ่มแทงนางรวมทั้งต่อว่าเยียลี่ว์เยี่ยนว่าไม่ใช่คนดีอะไร ทำให้ความคิดต่อต้านของซูเหลียนอวิ้นปะทุขึ้นมาทันที
เนื่องจากท่าทางของนางตอนนี้ รวมทั้งการแต่งตัวของนางที่ค่อนข้างจะน่าอาย อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นจึงไม่ค่อยสู้ดีมาแต่แรกอยู่แล้ว
‘อารมณ์ไม่ดีแล้วจะเกิดอะไรต่อไป?’
นั่นทำให้ความหวาดกลัวต่างๆ ของซูเหลียนอวิ้น รวมทั้งความเกลียดและเข็ดขยาดในตัวต้วนเฉินเซวียนถูกลืมไปจนหมดสิ้น ในหัวของนางตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางเพียงรู้สึกโมโหต้วนเฉินเซวียนเท่านั้น
“มันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย! ท่านมายุ่งอะไรกับข้า!” ซูเหลียนอวิ้นจ้องเขม็งไปยังต้วนเฉินเซวียน “ถูกเอาตัวไปขาย นั่นก็เป็นเรื่องของข้า เกี่ยวอะไรกับท่าน?”
ต้วนเฉินเซวียนได้ยินดังนั้นจึงหยุดพูดไปแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “เกี่ยวอะไรกับข้า เจ้าถามว่าเกี่ยวอะไรกับข้าหรือ?”
เนื่องจากตัวเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ห้อมล้อมไปด้วยคนจอมประจบสอพลอ เขาเคยได้รับการเหยียดหยามเช่นนี้ที่ไหนกัน? แถมนี่ยังเป็นการเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่าจากคนๆ เดียวกัน แม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นจะ…ทว่าต้วนเฉินเซวียนก็รู้สึกว่ายากจะอดทนต่อเรื่องนี้ได้
ขณะที่ต้วนเฉินเซวียนวางแผนว่าจะสั่งสอนซูเหลียนอวิ้นให้หลาบจำอย่างไร รวมถึงตักเตือนนางว่าเยียลี่ว์เยี่ยนไม่ใช่คนดีอะไรอยู่นั้น บนร่างของซูเหลียนอวิ้นกลับปรากฏรอยเลือดสีแดงขึ้น ทำให้เขาจำต้องหยุดคำพูดที่เขาเตรียมจะเอ่ยต่อไป
ตอนที่ 149 ระดู
“เจ้าบาดเจ็บหรือ?” คิ้วของต้วนเฉินเซวียนขมวดเป็นปม “เหตุใดเจ้าไม่บอกข้า”
บาดเจ็บ?
ซูเหลียนอวิ้นชะงักไป ไม่ใช่กระมัง…นางจำได้ว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรนี่
ต้วนเฉินเซวียนมองไปที่เอวของซูเหลียนอวิ้น รอยเปื้อนสีแดงเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ตอนนั้นเขาไม่สนใจอะไรแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามานี่ ข้าจะช่วยพันแผลให้เจ้า เหตุใดเจ้าถึงโง่ขนาดนี้ตัวเองบาดเจ็บแท้ๆ กลับไม่รู้”
“ข้าไม่ต้องการท่าน!” ซูเหลียนอวิ้นปัดมือออก หน้าของนางแดงขึ้นทันใดจากนั้นจึงผลักต้วนเฉินเซวียนที่เข้ามาใกล้ตนไปให้พ้นอีกด้าน บาดเจ็บอะไรกัน! รอยเลือดนั่น! คือ…
ดูเหมือนว่าจะเป็นระดูของนางเอง…มิน่าเล่าตอนนั้นนางถึงรู้สึกปวดท้องน้อยของนาง ตอนแรกนางคิดว่าเพราะความน่าโกลาหลของเหตุการณ์ทำให้นางตกใจจนปวดท้องไม่คิดเลยว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นางปวดท้องจะเป็นเพราะร่างกายของนาง…
“จนถึงตอนนี้เจ้าจะยังเขินอายอะไรข้าอยู่อีก” ต้วนเฉินเซวียนคว้าแขนของซูเหลียนอวิ้นที่กำลังวุ่นอยู่กับการพยายามสะบัดมือออก “เร็วเข้าข้าไม่สนใจเรื่องที่เจ้าส่งคนมาทำร้ายข้าครั้งที่แล้วหรอกเจ้าจะหาเรื่องข้าให้มันได้อะไรกัน”
ผู้ใดหาเรื่อง! ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นอยากจะถีบคนตรงหน้าแรงๆ สักที คนอื่นว่านางยังพอทน แต่นี่เป็นต้วนเฉินเซวียนที่ตำหนินาง ตอนนี้นางจะเขยิบตัวรุนแรงอะไรก็ไม่ได้เสียด้วย
เพราะนางกลัวว่าอีกประเดี๋ยว…เลือดของนางจะไหลทะลัก
“ข้ามิเป็นไรจริงๆ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าพยายามไม่สบตากับต้วนเฉินเซวียน “ร่างกายของข้า ข้ารู้ดีที่สุด! ข้ามิเป็นไรจริงๆ …” เมื่อพูดจบซูเหลียนอวิ้นก็กุมท้องของตัวเองเอาไว้ เสียงที่นางเอ่ยออกไปนั้นหายใจหอบกระชั้น ท่านโปรดปล่อยข้าเร็วเข้าเถิด! วันนี้ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก…เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าเมื่อใดที่นางกำลังเผชิญกับเรื่องโชคร้าย เมื่อนั้นจะเป็นจังหวะที่นางอยู่กับต้วนเฉินเซวียนทุกครั้ง?
พวกเขาทั้งสองคนมีดวงสมพงศ์กันเสียจริง..โธ่ สวรรค์ นางคงต้องรีบกลับบ้านไปดื่มน้ำตาลแดงต้มเสียแล้ว อีกทั้งยังต้องใช้น้ำส้มโอคั้นล้างตัวเพื่อขจัดความซวยเสียหน่อย!
“เหตุใดเจ้าจึงหยาบคายเช่นนี้…” เสียงของต้วนเฉินเซวียนบ่นพึมพำขึ้น “ตอนนี้ข้าคงจะไม่…” ทำร้ายเจ้า เหตุใดไม่ลองเชื่อใจเขาดูอีกสักครั้ง ในเมื่อเขาแสดงออกอย่างชัดเจนเช่นนี้แล้ว?
“ผูหลิว! ทางนี้ ทางนี้!” ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่สนใจว่าต้วนเฉินเซวียนจะคิดอย่างไร นางรู้เพียงว่า นางเจอผู้ช่วยชีวิตนางแล้ว!
“คุณหนูใหญ่ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” ผูหลิวเหลือบมองไปทางต้วนเฉินเซวียนอย่างระมัดระวังแล้วยื่นมือโอบซูเหลียนอวิ้นเข้าสู่อ้อมอกพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง “คุณชายต้วนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“บังเอิญๆ” ซูเหลียนอวิ้นไม่รอให้ต้วนเฉินเซวียนทันเอ่ยปากก็รีบตอบแทนเขา “วันนี้พวกเราสองคนบังเอิญพบกันเท่านั้น ผูหลิว พวกเราอย่าเพิ่งสนใจคนอื่นได้หรือไม่ เจ้าช่วยพาคุณหนูของเจ้ากลับเรือนก่อนเถอะ!”
ความรู้สึกเหนอะน่ะบริเวณด้านหลังของนางช่างกวนใจเสียจริง…และสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ สายตาของต้วนเฉินเซวียนจับจ้องไปที่บริเวณนั้นบนตัวนางตลอด! ปล่อยนางไปเถอะ…
“เจ้าค่ะ” ผูหลิวดูออกว่าซูเหลียนอวิ้นรู้สึกไม่สบายตัวขนาดไหน อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางได้กลิ่นคาวเลือดมาจากซูเหลียนอวิ้นคงจะไม่…หากเป็นเช่นนั้นคงมัวแต่รอช้าไม่ได้แล้ว
“ลาก่อน คุณชาย”
ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงจ้องไปที่เงาด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นสายตาของเขาคล้ายกำลังไตร่ตรองบางสิ่งอยู่
“คุณหนู! กลับมาเสียทีนะเจ้าคะ!” เมื่อได้ยินเสียงประตูดังขึ้น หลีมู่รีบกระโดดลงจากเตียงเพื่อเตรียมจะต้อนรับซูเหลียนอวิ้น
ทว่าเมื่อประตูเปิดออกจนสุด หลีมู่จึงเห็นบุคคลที่ผูหลิวกำลังพยุงเดินเข้ามา ทันใดนั้นริมฝีปากของนางพลันซีดเผือดแล้วเอ่ยว่า “ผูหลิว คุณหนูใหญ่เป็น…คุณหนูเจ้าคะ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่บ่าว บ่าว…บ่าวจะไปตามหมอมานะเจ้าคะ!”
“เดี๋ยวก่อนหลีมู่!” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น แม้ว่าเสียงของนางจะอ่อนแรง ทว่าความเข้มงวดและความเด็ดขาดที่อยู่ในน้ำเสียงนั้นมิได้อ่อนลงตามไปด้วย “เจ้ารีบไปต้มน้ำร้อนเร็วเข้า ตอนนี้ข้า…เป็นระดู”
“อ่อ…” หลีมู่ตอบรับอย่างล่องลอยด้วยท่าทางลังเลแล้วตั้งท่าจะไปต้มน้ำให้ นางเข้าใจว่าหลังจากที่คุณหนูออกไปแล้วคงเจอเข้ากับเหตุการณ์บาง…แต่การเป็นระดูนั้น? เหตุใดคุณหนูถึงได้ดูคุ้นเคยกับมันเช่นนี้
“คุณหนูใหญ่ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะจ้าคะ” เมื่อหลีมู่เดินออกไปแล้วผูหลิวถึงจะกล้าเอ่ยปากถามซูเหลียนอวิ้น เนื่องจากผูหลิวเข้าใจว่าหากหลีมู่ยังอยู่ตรงนี้ ซูเหลียนอวิ้นคงจะไม่กล้าพูดความจริงแม้แต่ประโยคเดียว เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเปิดเผยให้หลีมู่รู้ไม่ได้เด็ดขาด
“ข้าไม่เป็นไร…” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ
แต่เนื่องจากตอนนี้นางกลัวว่าจะทำฟูกเตียงสกปรกจึงไม่ได้นอนลงบนเตียงแต่นั่งลงบนเก้าอี้แทนและเนื่องจากเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วบนเก้าอี้จึงไม่ได้ปูเบาะรองนั่งเอาไว้ ดังนั้นพอนางนั่งลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้จึงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเย็นเฉียบ…
นางรู้สึกว่าท้องของนางปวดมากขึ้นกว่าเดิม!
“ต้มน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” หลีมู่ถืออ่างน้ำแล้วเดินเข้ามาในห้องช้าๆ “เดี๋ยวบ่าวจะช่วยคุณหนูอาบน้ำเจ้าค่ะ”
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นเอามือเท้าโต๊ะข้างๆ เพื่อพยุงตัวเองนางรีบลุกขึ้น “ผูหลิว เจ้าไปบอกให้หยาเอ่อร์ต้มน้ำน้ำตาลแดงให้ข้าเถิดพอข้าอาบน้ำเสร็จข้าจะได้ดื่มแต่ต้องใส่น้ำตาลแดงให้ข้าเยอะๆ หน่อยนะ”
“เจ้าค่ะ” ผูหลิวพยักหน้ารับ เนื่องจากนางได้เช็คชีพจรของซูเหลียนอวิ้นแล้ว ที่ซูเหลียนอวิ้นเลือดออกคงเป็นเพราะระดูมาเพียงอย่างเดียว บนร่างกายของนางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“หลีมู่หลังจากที่ข้าออกไปแล้วไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่หรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นที่กำลังแช่อยู่ในอ่างน้ำเอ่ยปากขึ้นพลางหรี่ตา “ทุกอย่างราบรื่นดีใช่หรือไม่?”
“ก็ดีเจ้าค่ะ…” หลีมู่นวดมือเขียวซีดของซูเหลียนอวิ้น “แต่ได้ยินว่าคืนวันนี้ด้านนอกเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น…มีเสียงร้องเอะอะ…แม้แต่ในห้องของบ่าวยังได้ยิน”
“ตอนที่คุณหนูออกไปด้านนอกคงไม่เจอเรื่องอะไรเข้ากระมัง?” หลีมู่ลองเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง เพราะตอนที่ซูเหลียนอวิ้นกลับเข้ามา มีกลิ่นคาวเลือดจากตัวผูหลิว ไหนจะยังใบหน้าซีดเผือดของซูเหลียนอวิ้น หากกล่าวว่าไม่เจอกับเหตุการณ์ใดเลย? หลีมู่คงจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก
“ก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นพึมพำขึ้นมา “จะอย่างไรผลลัพธ์ตอนนี้ก็ไม่แย่นัก”
“อวิ้นเอ๋อร์ อวิ้นเอ๋อร์! เจ้าอยู่ด้านในหรือไม่!” มีเสียงเคาะประตูดังก้องเข้ามาจากด้านนอก หากฟังเพียงเสียงแต่อย่างเดียวแล้วคล้ายว่าประตูนี้กำลังจะทลายเป็นชิ้นๆ
“ท่านแม่? ท่านแม่มาได้อย่างเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นเช็ดหยดน้ำที่อยู่บนใบหน้าแล้วเอ่ยปากขึ้น “ท่านแม่ ลูกกำลังอาบน้ำอยู่เจ้าค่ะ ตอนนี้คงไม่สะดวกนักที่จะเปิดประตู…ท่านแม่มีเรื่องด่วนอะไรหรือไม่”
ด้านนอกห้อง เมื่ออันเพ่ยอิงได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านในของซูเหลียนอวิ้นค่อนข้างสงบทั้งยังได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อมเป็นคลื่นดังขึ้นเบาๆ จึงค่อยวางใจของตนที่แทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ได้แล้วเอ่ยว่า “มิเป็นไร แม่แค่แวะมาดูเจ้าเท่านั้น อวิ้นเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าอาบน้ำอยู่ งั้นแม่ขอกลับก่อน”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่กลับดีๆ นะเจ้าคะ”
ตอนที่ 150 รักแรกพบ
“ท่านแม่” ซูเหลียนอวิ้นค้อมตัวให้อันเพ่ยอิงเพื่อทำความเคารพ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของอันเพ่ยอิงในตอนนี้แล้ว นางอดไม่ได้ที่จะพูดโพล่งออกไปว่า “ท่านแม่เจ้าคะ เมื่อคืนวานท่านหลับไม่เต็มอิ่มใช่หรือไม่? เหตุใดสีหน้าจึงย่ำแย่เช่นนี้? ใต้ตาของท่านแม่…คล้ำหมดแล้วนะเจ้าคะ”
“มิเป็นไร…” อันเพ่ยอิงนวดที่ขมับของตัวเอง น้ำเสียงของนางห่อเ**่ยว “จนถึงตอนนี้ท่านพ่อของเจ้ายังมิกลับมาเลย…แม่เริ่มรู้สึกว่า สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
“อย่างนี้เอง…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ท่านพ่อจะต้องไม่เป็นอะไร ท่านพ่อมีวรยุทธ์สูงขนาดนั้น จะเกิดเรื่องได้อย่างไรเจ้าคะ? ” อืมนั่นเป็นเพราะจะอย่างไรก็ถือได้ว่านางเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่คนหนึ่ง! ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่านางมีสิทธิ์ที่จะกล่าวเช่นนี้ได้!
ผลของการต่อสู้เมื่อคืนนี้คือ คนตระกูลหยางโดนกำจัดราบคาบ บ้างถูกเนรเทศ บ้างถูกขาย ไม่หลงเหลือร่องรอยใดที่บ่งบอกว่าจะฮึดต่อสู้ขึ้นมาอีกได้ดังคำพูดที่ว่าหญ้าจะถูกไฟเผาจนราบคาบแค่ไหน ทว่าหากมีลมวสันต์พัดมาก็จะกลับมาเขียวขจีดังเดิมได้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอันผิงอ๋องนั้น ลี่หยวนตี้มิเคยลืม ดังนั้นคนตระกูลหยางอย่าได้หวังเลยว่าจะมีประกายความหวังหรือโอกาสความเป็นไปได้ใดๆ ที่จะสามารถจุดติดขึ้นมาใหม่ได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามเนื่องจากบทเรียนในอดีตมิอาจลืมลี่หยวนตี้ต้องกำจัดอย่างถอนรากถอนโคนถึงจะวางใจ!
และด้วยเหตุนี้เอง ซูปั๋วชวนบิดาของนางจึงได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นอีกหนึ่งขั้นและแน่นอนว่าเขาต้องกลับมาโดยสวัสดิภาพ
“มีความหวังเช่นนี้ก็ดี…” ริมฝีปากของอันเพ่ยอิงโค้งเป็นรอยยิ้ม “อ้อจริงสิ อวิ้นเอ๋อร์ช่วงนี้เจ้าได้จองชุดไว้บ้างหรือไม่? “
“เหมือนว่าจะไม่นะเจ้าคะ…” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า เพราะช่วงนี้ไม่มีงานอะไรที่นางต้องออกไปนอกบ้านดังนั้นจึงไม่ต้องตัดชุดอะไรใหม่ อีกอย่างชุดที่นางมีอยู่ โดยมากแล้วก็เคยใส่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นหรือบางชุดก็ไม่เคยใส่เลยและถูกโยนทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้า
เนื่องจากตอนนั้นนางเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมากะทันหันว่าอยากสวมใส่เพียงเสื้อผ้าสีอ่อนเท่านั้น ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเสื้อผ้าของนางที่เป็นสีเข้มฉูดฉาดจึงถูกโยนทิ้งไว้ในซอกลืบหรือไม่ก็ถูกซุกเอาไว้
ดังนั้นเวลานี้….ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่าเสื้อผ้าของนางมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว!
“เดี๋ยววันพรุ่งต้องเรียกร้านตัดชุดมาตัดชุดให้อวิ้นเอ๋อร์สักสองชุดแล้วกระมัง หากมัวช้าอยู่ แม่กลัวว่าร้านตัดชุดจะไม่ยอมรับงาน”
“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“เมื่อสองสามวันก่อนแม่ยังมิได้บอกเจ้าหรือ? ” อันเพ่ยอิงเปลี่ยนท่าทางของตนไป เช่นนั้นคงเป็นเพราะนางอายุมากแล้วจึงลืมเรื่องนี้ไปสนิท “เร็วๆ นี้ ในวังหลวงจะมีงานเลี้ยง”
“กำลังจะมีงานเลี้ยง? ” ซูเหลียนอวิ้นแปลกใจเนื่องจาก…เหตุการณ์ก่อกบฏเพิ่งจะจบลงไปเอง? จะจัดงานเลี้ยงเร็วขนาดนี้เชียวหรือการกระทำเช่นนี้ของลี้หยวนตี้ออกจะ…
“ใช่ เพราะเร็วๆ นี้ต้องต้อนรับแขกที่มาจากเมืองเยียลี่ว์” อันเพ่ยอิงจิบน้ำชาแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “คนจากเมืองเยียลี่ว์คงจะมาถึงประมาณปลายเดือนนี้เป็นอย่างช้า แขกมาถึงที่แล้วดังนั้นไม่ว่าที่เมืองของเราจะเกิดเรื่องอะไรอยู่ มารยาทที่ควรมีก็มิควรบกพร่อง”
“มิเช่นนั้นจะเป็นเหตุให้พวกเขาดูถูกชาวต้าชั่วอย่างพวกเราเอาได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นคงจะไม่ดีแน่อีกอย่างแขกจากเมืองเยียลี่ว์ใช้โอกาสนี้มาโดยบอกว่าจะมาเยี่ยมพวกเรา ไม่แน่เขาอาจจะมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะว่าตัวพวกเขาเองอย่างไร แต่ก็ห้ามมิให้พวกเขามาดูถูกพวกเราก่อนอย่างเด็ดขาด”
“เมืองเยียลี่ว์…” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยคำสามคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา เยียลี่ว์? จากที่ต้วนเฉินเซวียนพูดเมื่อวานแล้ว บุรุษที่ช่วยนางไว้เมื่อคืนวานผู้นั้นก็แซ่เยียลี่ว์เช่นกัน?
คงจะไม่…?
ดูท่าแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญกระมังคนผู้นั้นคงวางแผนไว้ว่าจะนั่งอยู่บนเขาเฝ้าดูเสือกัดกัน[1]ดังนั้นจึงยื่นมือมาช่วยนางโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น?
หรือไม่บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าได้ยินคนตระกูลหยางที่คลุ้มคลั่งกลุ่มนั้นเปิดเผยฐานะของนางก็เลย…?
ซูเหลียนอวิ้นเกาหัวตัวเอง เรื่องราวเช่นนี้…นางมิอาจมัวแต่ครุ่นคิดซ้ำไปมาได้! เพราะหากมัวแต่ครุ่นคิด นางคิดว่าตัวเองจะต้องเวียนหัวตายอย่างแน่นอน
ทหารมาใช้ขุนพลต้าน หากน้ำมาก็ใช้ดินรับ[2]ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ขุนนางใหญ่ของแผ่นดิน ดังนั้น…ก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับนางกระมัง?
……
“ท่านพี่ เมื่อวานไปไหนมาเจ้าคะ? “ดรุณีน้อยร่างอรชรนางหนึ่งยกชายกระโปรงของตัวเองขึ้นพลางก้าวเท้าวิ่ง เพียงครู่เดียวก็โผเข้าสู่อ้อมอกของเยียลี่ว์เยี่ยนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านพี่เจ้าคะ ได้ยินว่าเมื่อคืนที่นี่มีงานเทศกาลโคมไฟหรือเหตุใดท่านไม่พาข้าไปด้วยเล่า”
“เยียนเอ๋อร์” เยียลี่ว์เยี่ยนประคองดรุณีน้อยที่อยู่ในอกของเขาขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนวานที่นี่อันตรายมาก พี่จะพาเจ้าไปสถานที่วุ่นวายขนาดนั้นได้อย่างไรเพราะพี่มิอาจปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา”
เยียลี่ว์เยียนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เช่นนั้นเมื่อไหร่พวกเราจะออกไปเที่ยวเล่นได้อย่างเปิดเผยเสียทีมัวแต่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมเช่นนี้ องค์หญิงอย่างข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว! “
“เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้ามิใช่บอกเองหรือว่าด้านนอกอากาศร้อนเสียจนเจ้าอยากอยู่แต่ในห้องนี้ เหตุใดวันนี้ถึงอยากออกไปข้างนอกอีกอากาศด้านนอกตอนนี้ มิได้เย็นกว่าเมื่อวันก่อนๆ เลย” เยียลี่ว์เยี่ยนพิจารณาน้องสาวของเขาเนื่องจากการเดินทางมาในครั้งนี้ บทบาทของเยียลี่ว์เยียนนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่สนใจว่าระหว่างทางหรือว่าที่เมืองเยียลี่ว์เยียลี่ว์เยียนจะก่อเรื่องยุ่งยากไว้ขนาดไหนแต่เมื่อถึงที่ต้าชั่วแล้วหากเยียลี่ว์เยียนยังก่อเรื่องบ้าบิ่นอย่างเช่นที่เมืองเยียลี่ว์อีกล่ะก็ถ้าเขาจับนางขังไว้ในนี้ก็อย่าหาว่าพี่ชายอย่างเขาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องก็แล้วกัน
เพราะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสำคัญ สิ่งที่ถูกเรียกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคงเป็นได้เพียงตัวช่วยเท่านั้น มิอาจให้ความสำคัญได้มากนัก
“ท่านพี่…” เยียลี่ว์เยียนถอยไปด้านหลังอย่างระมัดระวังสองสามก้าว เพราะความรู้สึกของนางต่อพี่ชายของตัวเอง แม้ว่าทั้งสองจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ทว่าในใจของเยียลี่ว์เยียนกลับรู้สึกหวาดกลัวและเคารพเยียลี่ว์เยี่ยนมากกว่าความรู้สึกอื่นใด
“เป็นอะไรหรือ น้องหญิง” เยียลี่ว์เยี่ยนเดินไปยังเก้าอี้ด้านข้างเพื่อรินชาให้ตัวเองแล้วจิบไปหนึ่งอึก เขาไม่เร่งรัดให้เยียลี่ว์เยียนพูดต่อเขาเพียงพึมพำกับตัวเองว่า “อื้ม นี่คือชาของเมืองต้าชั่วหรือพอชิมแล้วถึงได้รู้ว่าแตกต่างจากเครื่องดื่มที่เมืองของพวกเรา”
“ท่านพี่…” เยียลี่ว์เยียนเอามือทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ นางก้มหน้าแล้วพึมพำว่า “ท่านพี่…น้องรู้สึกว่าน้องชอบคนผู้หนึ่งเข้าให้แล้ว”
“เอ๊ะ ผู้ใดรึ? ” เยียลี่ว์เยี่ยนวางถ้วยชาในมือลงแล้วหันตัวไปทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มให้เยียลี่ว์เยียน “เล่ามาให้พี่ฟังสิว่าผู้ใดกัน ที่เมืองเยียลี่ว์มีผู้ชายดีๆ ตั้งมากมายน้องกลับไม่มอง ตอนนี้…เพิ่งมาถึงต้าชั่วเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองน้องหญิงกลับบอกว่ามีคนที่ตัวเองชอบเสียแล้ว” น้ำเสียงของเยียลี่ว์เยี่ยนอ่อนโยนราวกับว่าเขาเป็นพี่ชายแสนอ่อนโยนที่สนใจใคร่รู้ว่าน้องสาวของตนชอบใครขึ้นมาจริงๆ
ทว่ารอยยิ้มและแววตาที่เล็กหรี่ของเขาในตอนนี้ สะท้อนประกายบางๆ ออกมาโดยบังเอิญ จึงทำให้รู้ถึงอารมณ์ที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ว่าไม่ได้ยินดีเหมือนอย่างที่เขาแสดงออกมาให้เห็นภายนอก
เยียลี่ว์เยียนก้มหน้ามองพื้น ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ “ท่านพี่ อันที่จริงแล้วน้องเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคนผู้นั้นคือใคร…แต่ดูเหมือนว่าคนแถวนี้จะเรียกเขาว่าคุณชายต้วน? “
นางเติบโตมาถึงตอนนี้ แต่กลับเพิ่งจะพบเจอบุรุษที่สง่าผ่าเผยเช่นนี้เป็นครั้งแรก รอยยิ้มของคนผู้นั้นส่องประกายเสียดแทงตาของนางมากกว่าแสงอาทิตย์จากฟากฟ้าเสียด้วยซ้ำ เพียงนางมองแวบเดียวหัวใจของนางก็ถูกยึดครองไปเสียแล้ว
——
[1] นั่งอยู่บนเขาเฝ้าดูเสือกัดกันหมายถึงนั่งมองสองฝ่ายทะเลาะกัน จนกระทั่งมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ก็จะคอยรอตักตวงผลประโยชน์
[2] ทหารมาใช้ขุนพลต้าน หากน้ำมาก็ใช้ดินรับหมายความว่า ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็สามารถรับมือได้
ตอนที่ 151 ตามจีบ
“คุณชายต้วนรึ” เยียลี่ว์เยี่ยนกำลังครุ่นคิดว่าที่แผ่นดินต้าชั่วจะมีใครบ้างที่มีชื่อเรียกเช่นนี้แต่หลังจากคิดอยู่สักพักใหญ่ เขาจึงคิดว่าผู้ที่จะมีนามนี้ได้คงมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือต้วนเฉินเซวียนกระมัง
“น้องหญิงชอบเขาหรือ” เยียลี่ว์เยี่ยนเอ่ยขึ้นอีก น้ำเสียงของเขาไม่บ่งบอกว่าพอใจหรือไม่
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านพี่! “
เยียลวี่เยียนเงยหน้าขึ้นมาอย่างตื่นเต้นเผยให้เห็นโฉมหน้าอันงดงาม “ท่านพี่เยียนเอ๋อร์ชอบคนผู้นั้นเข้าแล้ว ว่าแต่ มิได้หรือเจ้าคะ” เยียลี่ว์เยียนหยั่งเชิงถามอย่างระมัดระวัง นางจ้องไปที่เยียลี่ว์เยี่ยนโดยไม่กระพริบตา
“จะมีอะไรที่ไม่ได้เล่า” เยียลี่ว์เยี่ยนยื่นมือออกไปลูบผมของเยียลี่ว์เยียนอย่างเอ็นดู “กว่าน้องหญิงจะชอบใครสักคนนั้นไม่ง่ายแล้วพี่จะมีเหตุผลอะไรขัดขวางน้องหญิงเล่า
“ในเมื่อน้องหญิงชอบคนผู้นั้น อย่างนั้นก็ถือว่าเป็นโชคดีของคนผู้นั้นแล้วมิใช่หรือถึงตอนนั้นพวกเราแค่เอ่ยเรื่องนี้กับฮ่องเต้ต้าชั่วก็เรียบร้อยแล้ว น้องหญิงวางใจได้เถิด” เยียลี่ว์เยี่ยนมองใบหน้าอันงดงามและรูปร่างที่เติบโตเพียบพร้อมของน้องสาวตนจากนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หากดูจากรูปโฉม เยียลี่ว์เยียนไม่มีทางแพ้ให้ผู้ใดเพราะทั้งแผ่นดินเยียลี่ว์นั้น รูปโฉมของเยียลี่ว์เยียนนับได้ว่าเป็นที่หนึ่งไม่เกินที่สองอีกอย่างตอนนี้นางเป็นฝ่ายชอบคนผู้นั้นก่อน ดังนั้นนางคงให้ใจเขาไปมากแล้วกระมัง
“ดียิ่งเจ้าค่ะ ท่านพี่” เดิมทีเยียลี่ว์เยียนที่ตั้งท่าจะกอดเขาเอ่ยปากขึ้นการเดินทางมาในครั้งนี้ จุดประสงค์ที่เยียลี่ว์เยี่ยนพานางมาด้วยนั้นนางเองก็มิใช่คนโง่ ดังนั้นย่อมเดาถูกอยู่แล้วว่าสาเหตุที่พานางมาด้วยเพราะต้องการให้นางเป็นเครื่องมือเชื่อมสัมพันธไมตรีเท่านั้น
ทว่าก่อนที่จะเดินทางนางได้สืบข่าวมาแล้วว่าในแผ่นดินต้าชั่วนี้ ผู้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางและเหมาะที่จะเป็นคู่สมรสกับนางนั้นมีเพียงองค์ชายสามของต้าชั่วคนเดียวกระมัง
แต่จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ของนางบรรยายว่าคนผู้นั้นรูปร่างหน้าตา…
เมื่อเยียลี่ว์เยียนได้ยินแหล่งข่าวของตนบรรยาย นางแทบจะอาเจียนออกมา! องค์ชายของแผ่นดินไหนเลยถึงอัปลักษณ์ได้ขนาดนี้
เมื่อฟังจากลักษณะของเขาแล้วรูปร่างของเขาใหญ่เป็นสองเท่าของนาง! ดังนั้นถึงคนผู้นี้จะเป็นองค์ชาย แม้ว่านางจะได้ยินมาว่าเขาฉลาดหลักแหลมเหนือคนธรรมดา ในอนาคตถือว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่มิอาจมองข้ามได้ แต่มีดีตรงไหนเล่า?
คนเช่นนี้ต่อให้ตายนางก็จะไม่ยอมแต่งด้วย! แต่หากนางไม่แต่ง…?
ยังดีที่นางมีคนที่นางเลือกเอาไว้แล้ว นั่นก็คือต้วนเฉินเซวียนแม้ว่าบางครั้งนางจะแสดงออกโดยไม่ทัน ระวังตัว ทว่าเยียลี่ว์เยียนก็มองออกว่าพี่ชายของนางคล้ายกำลังพยายามกีดกันคุณชายต้วนผู้นี้ ราวกับว่าเขากำลังเกรงกลัวและกำลังหยั่งเชิงบางอย่าง
อีกอย่างนางเคยได้ยินมาว่า คุณชายต้วนผู้นี้มีลักษณะ…สง่างามยิ่ง และในวันนั้นที่นางได้เห็นเป็นครั้งแรกก็พบว่าไม่ผิดไปจากข่าวลือที่นางได้ยินมาจริงๆ
ดังนั้นนางจึงกล้าที่จะลองทดสอบท่าทีของเยียลี่ว์เยี่ยน หากนางเป็นฝ่ายชนะการพนัน นางก็จะได้แต่งงานกับคุณชายต้วนผู้นั้น แต่หากนางแพ้เล่า? นางคงทำได้เพียง…หาวิธีอื่นก็แล้วกัน! เพราะจะให้นางแต่งงานกับองค์ชายสามรึคนอย่างเยียลี่ว์เยียนไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน!
ยังดี…ที่นางเป็นฝ่ายชนะเยียลี่ว์เยียนโล่งอก เนื่องจากนางเห็นเขาเพียงครั้งเดียว คนผู้นั้นก็ได้ยึดกุมหัวใจของนางไปเสียแล้วโดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้อง
……
“คุณหนูซูรูปร่างดียิ่ง”
ซูเหลียนอวิ้นหันตัวมาอย่างแข็งทื่อพลางฟังช่างตัดเสื้อนางนั้นเอ่ยคำชมไม่ขาดปากตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้อง
“รูปร่างดีก็ว่าดีแล้ว รูปโฉมยังงามยิ่งกว่าอีก” ช่างตัดเสื้อนางนั้นแตะบริเวณเอวของซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้น “เอวเล็กยิ่ง ข้าเห็นแล้วอิจฉานัก! “
“ขอบคุณสำหรับคำชม…” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรตนก็กำลังโดนชมอยู่ จึงต้องไว้หน้านางสักหน่อยใช่หรือไม่ ทว่าพอโดนชมขนาดนี้ นางเริ่มรู้สึกว่าหน้าของตัวเองเริ่มแดงเสียแล้ว!
“มิน่าล่ะบรรดาคุณชายในเมืองหลวงจำนวนมากถึงได้บอกว่าถ้าไม่ใช่คุณหนูซูจะไม่ยอมแต่งงาน” ช่างตัดชุดเก็บสายวัดตัวของตนแล้วหมุนตัวกลับไปพึมพำกับตัวเอง ทว่าในน้ำเสียงของนางแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตื่นเต้นกับข่าวลือเหล่านั้น
ซูเหลียนอวิ้นกำลังงุนงง อะไรคือหากไม่ใช่นางจะไม่ยอมแต่ง?
“ช่างหญิง” ซูเหลียนอวิ้นคว้าแขนเสื้อของช่างตัดเสื้อผู้นี้ที่กำลังจะจากไป”เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะในเมืองหลวงเกิดอะไรขึ้นหรือ”
“คุณหนูซูยังไม่รู้หรือ” ช่างตัดเสื้อยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างไม่เป็นธรรมชาติพลางเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ในเมืองหลวงมิได้ลือกันทั่วแล้วหรือที่บอกว่าคุณหนูซูกับคุณชายต้วน…” ช่างตัดชุดผู้นี้เดิมทีก็เป็นคนปากเปราะยากจะควบคุมอยู่แล้ว พอตอนนี้เห็นว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนจึงตอบอย่างยินดี แต่เมื่อเอ่ยออกไปเพียงครึ่งประโยค นางก็เริ่มคิดได้ว่าเรื่องเรื่องนี้…เอ่ยกับฝั่งผู้หญิงอย่างซูเหลียนอวิ้นออกจะค่อนข้างลำบากไปหน่อยกระมัง
“ต้วน คุณชายต้วนรึ” ซูเหลียนอวิ้นสำลักน้ำลายของตัวเอง หลังจากพยายามสงบลมหายใจของตัวเองแล้วจึงเอ่ยว่า “คุณชายต้วน ต้วนเฉินเซวียน? เขาอะไรหรือเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย! ” ต้วนเฉินเซวียนคงมิได้ทำอะไรแปลกประหลาดอีกกระมัง นี่เขา…อาการหนักขึ้นอีกแล้วหรือ!
นาง ช่วงนี้นางไม่ค่อยได้ออกไปไหนนี่? ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตนต่างไปจากคนในเมืองหลวงนี้นักข่าวลือมั่วๆ พวกนี้มันถูกปล่อยออกมาจากผู้ใดกัน!
“คุณหนูซู…ข้าเพียง…ได้ยินคนอื่นพูดต่อๆ กันมาเท่านั้นเรื่องราวพวกนี้มิใช่เรื่องจริง มิใช่เรื่องจริงนะเจ้าคะ! ” เมื่อช่างตัดชุดเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของซูเหลียนอวิ้นก็อยากจะตบปากของตัวเองใครให้เจ้าปากมาก! เมื่อดูจากท่าทางแล้วเห็นว่าคุณหนูซูคล้ายไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง นางจึงอยากทำให้คุณหนูซูตื่นเต้น! จึงปล่อยให้ตัวเองปากไวจนเกือบจะนำภัยเข้ามาสู่ตัวเองเสียแล้ว?
“ข้ามิได้ตำหนิเจ้า! ” ซูเหลียนอวิ้นรีบเอ่ยปาก “ตอนนี้ในเมืองหลวงเขาว่ากันอย่างไรบ้างหากเจ้าไม่พูด…”
ซูเหลียนอวิ้นเอามือตบโต๊ะ “เจ้าลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน! “
“ข้ายอมพูดแล้วเจ้าค่ะ! ” ช่างตัดชุดผู้นี้ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงรีบเล่าทุกอย่างที่นางรู้ออกมาหมดเปลือกรวดเดียว นางเล่าว่า “คุณหนูซู เรื่องนั้น…ในเมืองหลวงช่วงนี้ลือกันว่า…คุณหนูตามจีบคุณชายต้วนจากนั้น…”
ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขัดขึ้น “เรื่องนี้เองหรือ” นี่มันเรื่องเก่าเมื่อหลายปีก่อนแล้วนี่นา? เหตุใดตอนนี้จึงมีคนขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีกสงสัยเรื่องของนางกับหยางอวี้หลินคงผ่านไปนานเกินไปทุกคนจึงลืมไปแล้วว่าวันนั้นนางจัดการกับคนที่กล้าปากมากอย่างไร!
เมื่อช่างตัดชุดถูกเอ่ยขัดขึ้นมาเช่นนี้ นางจึงร้อนใจแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูซู ไม่ใช่นะเจ้าคะ เรื่องราวต่อจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นจุดสำคัญของข่าวลือในเมืองหลวงช่วงนี้! ” นิสัยของคุณหนูซูก็รีบร้อนเกินไปหน่อย! นางยังไม่ทันเอ่ยจบเลย! จะไม่ให้นางเล่าปูเรื่องก่อนหรือยังไง!
“เช่นนั้นเจ้าก็เล่าต่อสิ” ซูเหลียนอวิ้นทำปากไม่พอใจ พลางคิดในใจว่า แต่จำไว้ว่าช่วยพูดให้ตรงประเด็นหน่อย!
“ช่วงนี้มีข่าวว่า คุณหนูซูเป็นฝ่ายตามจีบก็จริง แต่เป็นเพราะการตามจีบนั้น จึงทำให้เกิดเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นก็คือ คุณชายต้วน…”
“เขาทำอะไร”
“เขาเลยยอมปลงใจกับคุณหนู จากนั้นจึงบอกว่าถ้าไม่ใช่คุณหนูจะไม่ยอมแต่งงาน…”
“อะไรนะ!”
ตอนที่ 152 ข่าวลือ
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองเปลี่ยนแปลงรุนแรง นางคงเป็นลมแดดด้วยกระมัง นาง นางฝันไปใช่หรือไม่!
“คุณหนูซู ข้าวัดตัวของคุณหนูเรียบร้อยแล้ว! ข้าขอตัวกลับแล้วนะเจ้าคะ!” ช่างตัดชุดผู้นั้นไม่กล้าอยู่ที่นี่นานมากนักจึงเตรียมตัวที่จะก้าวเท้าออกไป เพราะนางเห็นอาการของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ที่คล้ายจะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อ! หากจะเป็นลมไปก็คงไม่เป็นไร แต่อย่าได้ทำให้นางต้องเดือดร้อนด้วยเลย!
เฮ้อ เมื่อคิดถึงตรงนี้ ช่างตัดชุดผู้นี้ก็แอบถอนใจ คุณหนูซูคงตื่นเต้นมากกระมังเนื่องจากเรื่องราวเช่นนี้…การตามจีบคนผู้หนึ่งจนติด ซึ่งคนผู้นั้นก็คือคนที่จีบยากเป็นที่สุดอย่างต้วนเฉินเซวียนหากจะตื่นเต้นบ้าง…นางเองก็เคยเป็นสาวมาก่อน นางเข้าใจ และเข้าใจดี!
จึงกล่าวได้ว่า เรื่องราวใดก็ตามหากกล้าลงมือทำก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จ! เมื่อหันมาดูในเมืองหลวงตอนนี้มีสตรีมากมายที่เพิ่งจะรู้สึกตัวและเริ่มวางแผนที่จะสารภาพรักของตัวเองด้วยความเขินอายและหวังว่าคนที่ตนชอบจะเปลี่ยนใจบ้าง?
ทว่าสารภาพตอนนี้แล้วจะได้อะไร สายไปแล้วหรือไม่!
ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงบนเก้าอี้ดัง ‘ตึ้ง’ สายตาของนางจ้องมองไปด้านหน้าด้วยความว่างเปล่า นางเหม่อลอยอยู่เงียบๆ
ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไรกันนะ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตอนนี้นางเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน…เนื่องจากความรู้สึกโกรธ ดีใจ เศร้าใจ เป็นทุกข์คล้ายว่าจะผสมปนเปอยู่ด้วยกันครบรส นางจึงไม่รู้จะแสดงอารมณ์ออกไปอย่างไร
ดีใจหรือแน่นอนว่านางดีใจ เพราะในใจของนางตอนนี้นั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ หลงเหลือต่อต้วนเฉินเซวียนเลย เรื่องนี้ขนาดตัวนางเองยังไม่อยากจะเชื่อเพราะนางได้นำความรู้สึกของนางทั้งหมดฝังลึกไว้ในสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดพบเจอ และอนุญาตเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่จะแอบหยิบมันออกมาแล้วทอดถอนใจยามค่ำคืนเพื่อระลึกความหลังของตัวเองเมื่อชาติที่แล้ว
แต่ความรู้สึกเศร้าใจเล่า
ความเศร้าใจ…นางยังคงแสดงออกว่าตัวเองมีความรู้สึกนี้ แถมยังเป็นความรู้สึกเศร้าใจที่เป็นทุกข์เสียด้วย! เพราะเมื่อชาติที่แล้วนางทุ่มเทตั้งมากมาย ผลสุดท้ายนางได้รับอะไรบ้างสิ่งที่นางได้รับมีเพียงคำต่อว่าต่างๆ นานาของต้วนเฉินเซวียนที่ไม่เคยมีทีท่าว่าชอบขี้หน้านางเลยด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้นางไม่เพียงไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยเท่านั้น แต่ยังคอยหลบหน้าเขาอีก ทั้งยังเคยทำร้ายร่างกายเขาด้วย? ผลสุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้? นี่จะเรียกว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือจะเรียกว่าฟ้าลิขิตมาเช่นนี้ดี เทวดาคงมิได้กำลังปั่นหัวนางเล่นอยู่กระมัง
“คุณหนูใหญ่ ถึงเวลาทานข้าวกลางวันแล้วเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์เปิดประตูแล้วเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังนั่งเหม่อลอยจึงส่งเสียงอย่างระมัดระวัง “คุณหนูใหญ่ บ่าวขอ…วางไว้ให้คุณหนูบนโต๊ะนี้นะเจ้าคะ? ถึงเวลาคุณหนูก็อย่าลืมทานนะเจ้าคะ”
“ห๊ะ? อ้อ” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมา “หลีมู่ล่ะ” ทำไมวันนี้จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เห็นหน้าหลีมู่เลย
“พี่หลีมู่หรือกำลังต้มน้ำซุปให้คุณหนูอยู่เจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวจั๊วะ “พี่หลีมู่บอกว่าช่วงนี้คุณหนูใหญ่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงต้องทานอาหารบำรุงเลือดลมให้มากเพื่อบำรุงร่างกาย”
“อ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน ร่างกายท่อนล่างของนางยังรู้สึกถึงความอุ่นที่กำลังหลั่งไหล “ช่วยไปบอกหลีมู่ให้ข้าหน่อย…ว่าไม่ต้องต้มนานนัก ต้มเพียงรอบเดียวก็พอแล้ว! ” เพราะเมื่อชาติก่อนในช่วงเวลาที่นางเป็นแบบนี้หลีมู่ก็ชอบต้มซุปสารพัดอย่างที่เป็นของบำรุงร่างกายให้นาง
แต่ว่า…ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อน! ธาตุไฟในตัวนางตอนนี้เดิมทีก็ลุกโชนอยู่แล้ว ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าหากนางยังกินของแบบนี้เข้าไปอีก ในวันพรุ่งนี้นางคงต้องนั่งเอามืออุดจมูกตลอดเวลาเพราะเลือดกำเดาพุ่งออกมา
“ได้เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่” หยาเอ่อร์ก้มหน้าเพื่อจัดวางอาหารจากนั้นจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น”เดี๋ยวบ่าวจะไปบอกพี่หลีมู่ให้”
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าพยายามอดกลั้นความรู้สึกปวดท้องของตนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจากอารมณ์ของตนที่พลุ่งพล่านเกินไปเมื่อครู่นี้ “เดี๋ยวก่อน หยาเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งไป! “
ซูเหลียนอวิ้นใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวเองลุกขึ้นมาแล้วเดินไปยังโต๊ะหนังสือ “ข้าขอเขียนจดหมายก่อนแล้วเดี๋ยวเจ้า…ช่วยเอาไปฝากไว้ที่คนเฝ้าประตูให้เอาจดหมายฉบับนี้ เอ่อ ส่งไปที่จวนจิ้งอันโหวนะ แล้วอย่าลืมกำชับคนเฝ้าประตูด้วยล่ะว่าให้รีบส่งจดหมายฉบับนี้ด่วน”
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่านางมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องนัดต้วนเฉินเซวียนออกมาเปิดอกคุยกันให้รู้เรื่อง! เพราะนางต้องถามให้รู้เรื่องว่า เขาต้องการทำอะไรกันแน่ทำไมเขาต้องมาผลุบๆ โผล่ๆ อยู่อย่างนี้ หากเขาต้องการจะปั่นหัวตนเล่นก็ให้เขาไปปั่นหัวคนอื่นเล่นดีกว่า ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์ ขออภัยด้วยที่นางไม่มีอารมณ์เล่นเป็นเพื่อนเขา!
ซูเหลียนอวิ้นยกพู่กันขึ้นมานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลงมือเขียนอย่างไหลลื่นหลายบรรทัดจากนั้นจึงผนึกซองแล้วส่งให้หยาเอ่อร์พร้อมเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว เอามันไปได้ และอย่าลืมว่าให้รีบไปส่ง” มิเช่นนั้นมันจะติดอยู่ในใจของนาง ซึ่งจะทำให้นางเหนื่อยอย่างยิ่ง!
ณ จวนจิ้งอันโหว
“หลิวจือ มีจดหมายมา! ” เมื่อคนที่อยู่ด้านนอกเห็นหลิวจือเดินอยู่ไกลๆ ตอนนั้นเขาจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้วแหกปากตะโกนร้องเรียกออกไป
“มีจดหมายรึ” หลิวจือพุ่งตัวไปถึงด้านหน้าคนผู้นั้นแล้วเอ่ยขึ้น “เขียนถึงผู้ใด ใช่ของข้าหรือไม่” หรือว่าจะมีภารกิจอะไรให้เขาทำเพราะช่วงนี้เขารู้สึกว่างงานจนเบื่อ เบื่อจนถึงขนาดที่เขาต้องออกไปเดินวนไปวนมาอยู่ในจวนแห่งนี้หลังจากนั้นก็คอยสุ่มสะกดรอยตามคนบางคนเพื่อสอดส่องความผิดปกติ
แต่เมื่อว่างงานจนไม่รู้จะทำอะไรเช่นนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่! ตอนนี้บนตัวเขาแทบจะมีดอกเห็ดงอกออกมา! ดังนั้นหลิวจือจึงหวังว่าเขาจะได้รับมอบหมายให้ไปทำงานอะไรบ้างซึ่งนั่นจะเป็นเรื่องที่ดีมาก!
“จะเขียนถึงเจ้าได้อย่างไร! ” เด็กเฝ้าประตูกลอกตาใส่หลิวจือแล้วเอ่ยอย่างไม่แยแส “เขียนให้คุณชายของพวกเราต่างหาก! เขียนถึงเจ้าหรือหลิวจือเจ้าเอาความมั่นใจเช่นนั้นมากจากที่ใด! นี่เป็นจดหมายพิเศษที่ส่งมาจากจวนแม่ทัพซู! แถมคุณหนูซูยังเป็นผู้ลงมือเขียนด้วยตนเองอีก! ย่อมต้องเขียนให้คุณชายของพวกเราสิ! “
คำพูดที่ช่างตัดชุดนางนั้นเอ่ยไว้ก็ไม่ผิดอะไร ตั้งแต่วันที่ต้วนเฉินเซวียนรำลึกความทรงจำกลับมาได้เป็นต้นมา เขาก็จงใจปล่อยข่าวออกไปว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆ กับซูเหลียนอวิ้น!
สาเหตุข้อแรก เขาคิดว่าการทำแบบนี้จะสามารถทดแทนคำนินทาต่างๆ ในเมืองหลวงเกี่ยวกับซูเหลียนอวิ้น เพราะการถูกนินทาว่าตามจีบบุรุษ…แถมยังถูกปฏิเสธนั้น เป็นเรื่องที่พูดออกไปแล้วน่าขายหน้ามาก สาเหตุข้อที่สองการที่เขาปล่อยข่าวออกไปเพราะหวังว่าจะสามารถตักเตือนบุรุษทั้งหลายที่แอบมองซูเหลียนอวิ้นอยู่ให้รู้ว่าคุณชายต้วนชอบนางแล้ว หากมีผู้ใดที่ไม่กลัวตายอยากจะแย่งชิงก็มาดวลกันสัก
ดังนั้นเมื่อเด็กเฝ้าประตูผู้นั้นรู้ว่าได้รับจดหมายจากซูเหลียนอวิ้น ก็รู้สึกราวกับว่าตนได้รับจดหมายตอบรับจากอนาคตฮูหยินของจวนเสียแล้ว! แล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร
“พอแล้วๆ…” หลิวจือรู้สึกเจ็บใจ “ไม่ใช่ของข้า และก็ไม่ใช่ของเจ้า! เจ้าจะสะใจอะไรนักหนา…” เฮ้อ ตอนไปถึงห้องคงจะต้องเห็นสีหน้าผิดปกติของนายท่านอีกแน่! โธ่ นายท่าน ท่านคงต้องคิดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว แต่ช่วยคิดถึงบ่าวในจวนของนายท่านด้วยได้หรือไม่ พวกเขาทุกคนล้วนยังเป็นโสดทั้งสิ้น!
ตอนที่ 153 ทำขนมเข่ง
“นายท่านขอรับ นายท่าน! ” หลิวจือรีบวิ่งกลับไปยังเรือน ระหว่างทางใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกไม้ผลิบาน
“มีเรื่องอะไร” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นหลิวจือยิ้มเช่นนั้น ก็ค่อยๆ รักษาระยะห่างระหว่างตนกับเขาให้มากยิ่งขึ้น “เก็บเงินได้รึ” ดีใจอะไรขนาดนี้ยิ้มจนแทบจะมองไม่เห็นลูกตา
“มิใช่ขอรับ มิใช่! ” หลิวจือส่ายหน้า ต่อให้เก็บเงินได้ก็คงไม่ยิ้มขนาดนี้! “นายท่าน! คุณหนูซูมีจดหมายมาถึงขอรับ! ” หลิวจือสะบัดจดหมายที่อยู่ในมือของตนจากนั้นจึงยื่นจดหมายให้ด้วยท่าทางสอพลอ
“จดหมายของคุณหนูซูหรือเอามาให้ข้าดูหน่อย” ต้วนเฉินเซวียนวางของในมือของตัวเองลง แล้วแย่งจดหมายฉบับนั้นมาแกะออกอย่างลวกๆ จากนั้นจึงเริ่มอ่าน
“นายท่าน จดหมายว่าอย่างไรบ้างขอรับ” หลิวจืออดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม เพราะอาการเช่นนี้ของนายท่านเรียกว่าดีใจหรือว่าไม่ดีใจกันแน่ประเดี๋ยวยิ้มกว้าง ประเดี๋ยวขมวดคิ้ว ดูท่าแล้วเหมือนคนที่กำลังเคียดแค้นขมขื่น
ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ พับจดหมายนั้นเก็บดังเดิมอย่างระมัดระวังแล้วนำจดหมายสอดไว้ในช่องระหว่างเสื้อของตน “ไม่มีอะไร นางแค่บอกว่า…อยากจะเชิญข้าไปพูดคุยกันเสียหน่อย”
คุยกัน? หลิวจือตกตะลึงทว่าเพียงครู่เดียวริมฝีปากของเขาก็ฉีกยิ้มกว้างคุยกันก็ดีน่ะสิ! คุยกันก็ดี คุยกันก็ดี! คุยกัน…คุยไปคุยมาก็คงจะเจรจาเรื่องงานมงคลสมรสกันใช่หรือไม่พร้อมคุยด้วยว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่?
“แล้วนายท่านจะไปเมื่อใดขอรับ” บ่าวจะได้รีบไปเตรียมของที่ควรพกไปด้วยรวมทั้งเสื้อผ้าที่จะต้องใส่ไปเนื่องจากเรื่องราวในครั้งนั้นที่เขาเลือกของขวัญไม่ดีจนโดนคุณหนูซูไล่ตะเพิดกลับมายังคงติดตรึงอยู่ในใจของเขาอย่างมิอาจลืม!
“มิต้องเตรียมอะไร” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยปากเรียบๆ “ข้าจะยังไม่ไป”
?
หลิวจือคิดว่าตัวเองคงฟังผิดไปกระมัง “นายท่านบอกว่าไม่ไปหรือ! ” เขาจะต้องฟังผิดไปอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่
คุณหนูซูอุตส่าห์เป็นฝ่ายเขียนจดหมายมาเชิญก่อนแล้ว นายท่านจะยังลีลาอยู่ทำไมเล่า! หากปล่อยเวลานานไปจนทำให้คุณหนูซูไม่ชอบใจ และโกรธจนไม่สนใจนายท่านเข้าจริงๆ ถึงเวลานั้นนายท่านคงจะร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาให้ร้อง!
“ช่วงเวลานี้ ยังไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ที่ข้ากับนางจะเจอหน้ากัน” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าถอนใจที่ถูกต้องควรจะกล่าวว่า ไม่เพียงความไม่เหมาะสมที่จะเจอกันอย่างเดียวแต่คงต้องกล่าวว่าพวกเขาสองคนยังไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันเลย นั่นต่างหากถึงจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด!
เนื่องจากในช่วงเวลานี้เยียลี่ว์เยี่ยนได้มาถึงต้าชั่วแล้ว ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดนี้เกรงว่าเขาจะต้องพิจารณาใหม่อีกรอบ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์ยอดบุรุษช่วยโฉมงามที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันในคืนนั้นอีก โดยรวมแล้วก็พอจะยืนยันได้ว่าเยียลี่ว์เยี่ยนจับตามองมาที่เขาตลอด! มิเช่นนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเชียว? ต้วนเฉินเซวียนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งหลิวจือ ช่วงนี้เจ้าช่วยไปสยบข่าวลือพวกนั้นในเมืองหลวงให้ด้วยข้าไม่อยากได้ยินเรื่องราวระหว่างข้ากับซูเหลียนอวิ้นในเมืองหลวงอีก เข้าใจหรือไม่ตอนนี้แม้เพียงคำเดียวก็ห้ามเอ่ย” แววตาของต้วนเฉินเซวียนเย็นเฉียบพร้อมเอ่ยกำชับเรียบๆ
“ขอรับ…” หลิวจือโค้งตัวด้วยท่าทีสุขุม”แล้วคุณหนูซูล่ะขอรับ…? ” เรื่องราวทั้งหมดของทั้งหมดที่ท่านทำ สุดท้ายแล้วทำไปเพื่ออะไรกันคนที่ต้องการให้คนทั้งเมืองพูดถึงเรื่องราวนี้ก็คือท่าน พอมาตอนนี้ห้ามมิให้ผู้ใดในเมืองเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกก็คือท่าน
นายท่าน ความคิดอ่านของท่าน…โลเลมากไปหน่อยกระมัง! บ่าวเดาไม่เอา เดาไม่ออกจริงๆ!
“ส่วนทางด้านซูเหลียนอวิ้น…” ต้วนเฉินเซวียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ส่งคนไปแจ้งกับนางว่า ข้าไม่มีเวลา อีกอย่างหากจวนจิ้งอันโหวกับจวนซู…มีธุระและอยากจะนัดพบกันให้เขียนจดหมายมาหาท่านแม่จะดีกว่า ไม่ต้องเขียนถึงข้า”
ตอนนี้ระหว่างพวกเขาทั้งสองจำเป็นต้องอยู่กันห่างกัน ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีที่สุด! เพราะหากเขาตัวคนเดียว เขาจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่า…ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้อะไรสักอย่างอีกทั้งยังไม่ได้เตรียมตัวรับมืออีกด้วยหากนางไปเข้าตาเยียลี่ว์เยี่ยนขึ้นมาเกรงว่าแม่ซื่อบื้อนี่คงถูกขายอย่างแน่นอนแถมจะขายได้ราคาดีเสียด้วย! เพราะคนอย่างเยียลี่ว์เยี่ยน…
“ขอรับ เช่นนั้นบ่าวขอตัวก่อน” หลิวจือพยักหน้าดูท่าแล้วนายท่านคงมีแผนสำรองแล้วกระมังหวังว่านายท่านคงไม่บอกว่ากำลังบีบให้อีกฝ่ายยอมแพ้อยู่…เพราะหากเล่นไม่ระวังจนทำเสียเรื่องไป ในตอนสุดท้ายคงจะยากมากทีเดียว!
ณ สวนดอกสาลี่
“คุณหนูใหญ่มีจดหมายมาถึงเจ้าค่ะ”
“จริงรึเอามาให้ข้าดูหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เคลื่อนไหวร่างกายของตัวเองช้าลงแล้วหมุนคอเล็กน้อยก่อนจะรับจดหมายฉบับนั้นมาจากมือของผูหลิวพลางคิดในใจว่าการออกกำลังกายทำให้นางสบายตัวขึ้นเยอะ ทว่าที่น่าเสียดายก็คือ ในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ ร่างกายท่อนล่างของนางกลับไม่สามารถออกกำลังกายได้…
ตอนนี้นางจึงรู้สึกว่าร่างกายท่อนบนกับท่อนร่างเป็นของคนละคนกันเสียแล้ว!
“เป็นจดหมายที่มาจากจวนจิ้งอันโหวเจ้าค่ะ” ผูหลิวพยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับน้ำเสียงของตัวเองให้เงียบสงบ ไม่ปรากฏอารมณ์ความตื่นเต้น แม้ว่านางจะควบคุมน้ำเสียงของตัวเองได้ทว่าสายตา…ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็มิอาจควบคุมได้! นางจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ละสายตาแล้วจ้องเขม็งเสียเกือบทำให้จดหมายขาดเป็นรู้ได้เลยทีเดียว!
“หึหึ…” เมื่ออ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ซูเหลียนอวิ้นก็ขยำจดหมายฉบับนั้นแล้วฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ดีมาก ต้วนเฉินเซวียน สุดท้ายก็หายป่วยแล้วสิท่า? ซูเหลียนอวิ้นแค่นยิ้มหากย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านี้ ทั้งหมดทั้งมวลคือการปั่นหัวนางเล่นใช่หรือไม่? หรือว่าคนอย่างต้วนเฉินเซวียนน่ารังเกียจมาโดยกำเนิดอยู่แล้ว?
เวลาที่นางไม่สนใจ เขากลับตามติดนางพอนางเขียนจดหมายไปเพราะอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราว เขากลับทำกับนางเช่นนี้อีก?
หวังว่าความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองจะไม่สนิทสนมกันถึงขั้นนั้น เพราะระหว่างหญิงชาย หากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเกินไปจะทำให้ชื่อเสียงของทั้งสองฝ่ายเสื่อมเสีย?
ต้วนเฉินเซวียน ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้ว แล้วทำไมท่านต้องทำให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสียด้วยเล่า?! ประสาทจริงๆ!
“คุณหนูใหญ่? ” ผูหลิวกระพริบตา ทำไมท่าทางของคุณหนูถึงดูผิดปกตินักเพราะโดยทั่วไปแล้ว หลังจากได้อ่านจดหมายประเภทนี้ หากไม่ร้องไห้เสียใจก็จะต้องดีใจจนสติแตก แต่สำหรับคุณหนูใหญ่แล้วเหตุใดถึงมีท่าทางเหมือนอยากจะฆ่าคนเช่นนั้น
ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจลึกพยายามอย่างยิ่งที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองให้สงบลงโดยเร็ว เพราะหากนางโกรธ ก็จะเกิดผลกับร่างกายของนางเอง และหากนางปวดท้องขึ้นมา คนที่ทรมานก็คือตัวนางเองเช่นกัน
“ข้าไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มขึ้น “ข้าเพียงอยากกินขนมเข่งก็เท่านั้น” นางอยากจะทำขนมเข่ง[1]เพื่อระบายความโกรธของตนเอง! เพราะถึงอย่างไรนางคงจะจัดการต้วนเฉินเซวียนตัวเป็นๆ ไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้…นางคงทำได้เพียงใช้ของกินมาเป็นที่ระบายโทสะของตนไปก่อน! มิเช่นนั้นอีกประเดี๋ยวนางจะต้องอึดอัดใจตายอย่างแน่นอน!
“อ้อๆ เจ้าค่ะ” เมื่อผูหลิวเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นของซูเหลียนอวิ้น จึงแอบกลืนน้ำลาย “ในเมื่อคุณหนูใหญ่อยากกินข้าก็จะไปบอกกล่าวแก่หยาเอ่อร์ให้เจ้าค่ะ บ่าวขอตัวก่อน! ” สีหน้าของคุณหนูใหญ่ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง! แม้ว่าจะกำลังยิ้ม! แต่ว่า…! เนื้อหาด้านในจดหมายจะเขียนว่าอย่างไรนั้น ผูหลิวได้แต่แสดงท่าทีราวกับว่านางเป็นแมวที่กำลังเกาหูข่วนแก้ม[2]เท่านั้น!
——
[1] กระบวนทำขนมเข่งในสมัยก่อนจะต้องมีการตีหรือทุบแป้งก่อน
[2] หมายถึง ท่าทีที่แสดงความร้อนใจและเป็นกังวล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น