ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ 1460-1467

 ตอนที่ 1460 การเปลี่ยนแปลงของหวงอิงอิง (7)


 


 


“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าท่านปู่เจ้าอยู่ที่ไหน เมื่อสามปีที่แล้ว จู่ๆ เขาก็มุ่งหน้าไปสังหารคนของหุบเขาพิษแล้วฆาตกรรมหมู่ไปหลายศพ” ประมุขตระกูลจวินยิ้มขมขื่นแล้วส่ายหน้า “จะว่าไปแล้วคนของหุบเขาพิษไปทำอะไรให้ท่านปู่เจ้าโกรธกัน อีกอย่างหุบเขาพิษก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจของเมืองหลวง แล้วเมื่อสองสามปีก่อนเจ้าเมืองก็มาตามหาข้าเพื่อคิดบัญชีกับอดีตประมุขตระกูล”


 


 


หลิงเอ๋อร์กะพริบตา “ปีนั้นท่านปู่ชื่นชอบอัจฉริยะคนหนึ่งแล้วรับนางเป็นหลานสาวของเขา แต่คนจากหุบเขาพิษสังหารนาง ดังนั้นท่านปู่จึงโกรธจัดแล้วไล่ล่าพวกเขา”


 


 


“เขาไปแก้แค้นหุบเขาพิษแต่ทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้ข้าจัดการ! แต่เดิมตระกูลจวินก็มีศัตรูมากอยู่แล้วตอนนี้เขายังไปสร้างเพิ่มอีก” ประมุขตระกูลจวินนวดขมับ “อาจารย์ของข้าคนนี้จะรู้สึกไม่สบายหรือถ้าเขาไม่ได้สร้างปัญหา ตอนนี้ศัตรูล้อมพวกเราแต่เขากลับใช้ชีวิตสุขสำราญอยู่ที่อื่น”


 


 


หากเป็นไปได้ ประมุขตระกูลจวินก็อยากจะทิ้งปัญหาพวกนี้แล้วปล่อยให้พวกที่อยากได้ตำแหน่งนี้จัดการไป โชคไม่ดีที่อาจารย์ของเขามีเขาเป็นศิษย์เพียงคนเดียว ถ้าเขาไม่ดูแลตระกูลจวินก็เหลือทางเดียวคือยกตระกูลให้คนนอก


 


 


ไม่ต้องพูดถึงว่าอดีตประมุขจะไม่พอใจ เขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน


 


 


“หลิงเอ๋อร์ คงจะดีถ้าท่านป้าของเจ้ายังอยู่ นางเป็นบุตรสาวโดยสายเลือดของอาจารย์ ดังนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะมีสิทธิ์ในตระกูลจวิน ตอนนั้นข้าก็คงออกเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ไปกับท่านแม่เจ้าแล้วลืมปัญหาพวกนี้ไปซะ”


 


 


เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ประมุขตระกูลมีเรื่องไม่พอใจอดีตประมุขที่ทิ้งตระกูลจวินไปอยู่เต็มอก แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้


 


 


“ถ้าเจ้าเจอท่านปู่ เจ้าอย่าลืมบอกเขาว่าการที่เขาหายตัวไปหลายปีมานี้ทำให้ศัตรูของตระกูลจวินทั้งหมดกระสับกระส่ายเพราะอยากจะกำจัดตระกูลจวิน ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ บอกตาแก่นั่นด้วยว่าเขาต้องกลับมา”


 


 


“ท่านพ่อสบายใจเถอะ ในใจของท่านปู่ก็รู้เรื่องนี้ดี ถ้าตระกูลจวินเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้าย เขาจะกลับมาแน่นอนเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์พูดพร้อมส่งยิ้มเจิดจ้าให้เขา


 


 


ถึงอย่างไรตระกูลจวินก็เป็นหยดเลือดและหยาดเหงื่อของอดีตประมุข ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะละทิ้งตระกูลไป


 


 


“เจ้าควรออกไปหาเพื่อนเก่าแล้วเล่นสนุกกัน ปล่อยข้าอยู่คนเดียวเถอะ”


 


 


ประมุขตระกูลจวินนวดขมับเมื่อเขานึกถึงข่าวที่สายสืบเก่งกาจของเขาเพิ่งรายงาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


 


อดีตประมุขเดินทางอยู่นอกตระกูลโดยไม่กลับมาหลายปีแล้ว ทำให้ศัตรูของตระกูลจวินเชื่อว่าตาแก่นั่นตายไปแล้ว ถ้าอดีตประมุขไม่ได้เพิ่งสังหารคนหุบเขาพิษ ทุกคนก็คงคิดว่าเขาตายไปแล้ว


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ผ่านมาสามปีแล้ว พรรคเหล่านั้นก็ทนไม่ได้อีกต่อไปจนเริ่มกลับมาลงมืออีกครั้ง


 


 


“ท่านประมุขขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”


 


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงวิตกกังวลก็ดังนั้นจากด้านนอกแล้วไม่นานผู้คุ้มกันก็รีบวิ่งเข้ามา เขากังวลมากจนเกือบจะสะดุดล้ม


 


 


ประมุขตระกูลขมวดคิ้วแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


“ท่านประมุขตระกูลขอรับ มีบางอย่างเกิดขึ้น มีใครบางคนปล่อยข่าวว่าอดีตประมุขมีหลานสาวที่หายตัวไปอยู่ที่แคว้นเจ็ดเมือง…”


 


 


“ว่าอย่างไรนะ” ประมุขตระกูลจวินทุบโต๊ะแล้วยืนขึ้นด้วยสีหน้าสิ้นหวัง “ข่าวลือแพร่มาจากที่ไหน”


 


 


“ตระกูลจวินเป็นคนปล่อยข่าวลือขอรับ”


 


 


ประมุขตระกูลกำหมัดแน่น จากที่เห็น ดูเหมือนว่าจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในตระกูลจวิน แล้วพวกเขาก็ได้ข่าวนี้ไป


 


 


“ไปสืบมา ข้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว!”


 


 


ถ้าเขารู้ว่าใครปล่อยข่าว เขาจะทำให้คนคนนั้นทรมานจนต้องเลือกที่จะตาย!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1461 การเปลี่ยนแปลงของหวงอิงอิง (8)


 


 


“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านประมุข!” ผู้คุ้มกันรับคำสั่งแล้วถอยออกไป หลังจากที่ผู้คุ้มออกไปแล้ว ประมุขตระกูลจวินก็นั่งลงด้วยสีหน้าท้อแท้


 


 


เขาไม่คิดเลยว่าข่าวนี้จะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ถ้าคนพวกนั้นรู้ที่อยู่ของหลานสาวอาจารย์เข้าละก็ พวกเขาต้องไปจับตัวนางเพื่อขู่ตระกูลจวินแน่นอน พอถึงตอนนั้นอาจารย์จะต้องบ้าคลั่งแน่!


 


 


เช่นนั้นแล้วเขาต้องหานางให้เจอก่อนคนพวกนี้! เมื่อคิดได้อย่างนั้น ประมุขตระกูลจวินก็กำหมัดแล้วตัดสินใจหนักแน่น…


 


 



 


 


นครเล็กๆ ไม่ไกลจากชายแดนเมืองวิญญาณมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าปกติ


 


 


สตรีผู้หนึ่งที่กำลังรีบเร่งเดินทางเพิ่งมาถึงจุดหมาย จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากข้างหน้านาง “ท่านน้า ข้าขอถามหน่อย ทำไมในนครร้างเล็กๆ แบบนี้ถึงมีคนเยอะขนาดนี้ขอรับ”


 


 


สตรีผู้นั้นเหม่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงเห็นใบหน้าเล็กๆ เนียนดุจหยก ตอนแรกนางไม่มีความคิดจะตอบคำถามใครทั้งนั้น แต่เมื่อเห็นเด็กผู้ชายตัวน้อยดูบอบบางและน่าทะนุถนอมก็ทำให้นางยากที่จะปฏิเสธ


 


 


“เด็กน้อย ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่คนเดียว บิดามารดาเจ้าไปไหน”


 


 


“ท่านพ่อท่านแม่ของข้าไม่ได้อยู่แถวนี้ ข้าแค่สงสัยว่าทำไมที่นี่ถึงมีคนเยอะ มีอะไรเกิดขึ้นหรือขอรับ” เด็กชายกะพริบตาแล้วถามพร้อมรอยยิ้มสดใส


 


 


พูดได้เลยว่าสถานการณ์ไม่ปกติหมายถึงการมีบางอย่างไม่ถูกต้อง


 


 


เป็นเรื่องธรรมดาที่จะคิดว่านครเล็กๆ ตรงชายแดนจะต้องมีผู้คนบางตาแต่ตอนนี้นครเล็กๆ แห่งนี้กำลังเต็มไปด้วยผู้คนมากมายทำให้ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะหาที่พักได้ ที่สำคัญพรรคที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้ก็เป็นไปได้มากว่าจะมีอิทธิพล พวกเขาต้องมาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่แน่อาจจะมีสมุนไพรล้ำค่าก็ได้…


 


 


เมื่อเขาคิดถึงอาหารเสี่ยวซู่ก็ตัดสินใจจะตามหาว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


“เด็กน้อย พวกเรามาที่นี่เพราะมีร่องรอยเทพเซียนในภูเขาอ้าย [1] ”


 


 


“ภูเขาอ้าย? ร่องรอยเทพเซียน?”


 


 


มีเทพเซียนอยู่ที่แคว้นเจ็ดเมืองด้วยหรือ


 


 


สตรีผู้นั้นยิ้มแล้วบอกเด็กชาย “จะดีกว่าถ้าเจ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ ที่สำคัญภายในภูเขาอ้ายก็อันตรายมาก เจ้าควรกลับไปหาบิดามารดาเจ้าได้แล้ว” พูดจบนางก็จากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เด็กชายตัวน้อยครุ่นคิดอยู่นานขณะมองไปยังทิศทางที่นางเดินไปก่อนจะเดินกลับมาที่โรงเตี๊ยม


 


 


ขณะเดียวกัน ภายในโรงเตี๊ยม อวิ๋นลั่วเฟิงนั่งอยู่ด้านในขณะกำลังจิบชาอย่างเหม่อลอย ฉาฉานั่งอยู่บนตักนางอย่างเชื่อฟังแล้วเงยหน้ามองเป็นครั้งคราวเพื่อเฝ้าระวังเพราะกลัวว่าจะมีศัตรูพุ่งเข้ามาทำร้ายอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


ปัง!


 


 


ประตูถูกมือเล็กๆ ข้างหนึ่งเปิดออก แล้วใบหน้าเนียนดุจหยกของเขาก็ปรากฏสู่สายตาอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วถาม “เจ้าหายไปไหนมา”


 


 


“ท่านแม่” เสี่ยวซู่เดินมายืนข้างๆ อวิ๋นลั่วเฟิง “เมื่อกี้ข้าสงสัยว่าทำไมสถานที่รกร้างแบบนี้ถึงมียอดฝีมือเต็มไปหมด เลยออกไปสืบข่าวมา ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของเทพเซียนปรากฏขึ้นที่ภูเขาที่อยู่แถวนี้”


 


 


“ร่องรอยของเทพเซียนงั้นหรือ” ดวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นประกายบางอย่างที่ยากจะสังเกตเห็น


 


 


เสี่ยวซู่เงยหน้าแล้วเอื้อมมือไปกอดคออวิ๋นลั่วเฟิง “ท่านแม่ ท่านกำลังตามหาท่านพ่อ ท่านน้าหงหลวน เสี่ยวไป๋และคนอื่นๆ อยู่ไม่ใช่หรือ พวกเขาอาจจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วมาที่ภูเขานี้ก็ได้”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบไปพักนึง “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปดูสิ่งที่เขาบอกกันว่าเทพเซียนทิ้งเอาไว้”


 


 


ไม่แน่เสี่ยวซู่อาจจะพูดถูก ถ้าอวิ๋นเซียวและคนอื่นๆ มุ่งหน้ามาที่เดียวกัน นางก็อาจจะหาตัวพวกเขาเจอ


 


 


“เยี่ยมไปเลย!”


 


 


จุ๊บ!


 


 


เสี่ยวซู่หอมแก้มอวิ๋นลั่วเฟิง “ท่านแม่ ถ้าในนั้นมีสมุนไพรพลังฌาน ท่านต้องเก็บทุกอย่างไว้ให้ข้านะไม่อย่างนั้นข้าก็จะผลิตผลเปลี่ยนร่างไม่ได้”


 


 


 


 


——


 


 


[1] 艾 (ài) เป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน มีลักษณะเป็นพุ่มเล็กๆ มีสรรพคุณทางยา คนไทยรู้จักในชื่อโกฐจุฬาลำพา


ตอนที่ 1462 การเปลี่ยนแปลงของหวงอิงอิง (9)


 


 


มุมปากของอวิ๋นลั่วเฟิงกระตุก เหตุผลง่ายๆ ที่เสี่ยวซู่ชวนให้นางไปที่ภูเขาก็คือเขาหิว ทุกวันนี้สมุนไพรวิญญาณที่โตมาจากสมุนไพรธรรมดาไม่ถูกปากเขาอีกต่อไป แล้วสมุนไพรพลังฌานที่เขาต้องการก็ต้องเป็นสมุนไพรอายุพันปีขึ้นไปด้วย!


 


 


ถ้าพวกนางไม่ได้บังเอิญโชคดีเจอก็เป็นเรื่องยาากที่จะหาสมุนไพรแบบนั้นพบ


 


 


วันต่อมา อวิ๋นลั่วเฟิงพาเสี่ยวซู่ไปที่ภูเขาอ้าย โชคดีที่ภูเขาอยู่ใกล้ที่พักนางมากๆ ทำให้ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึง


 


 


ตอนนี้ภูเขาอ้ายเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย นอกจากพรรคที่มาเป็นกลุ่มแล้วก็ยังมียอดฝีมือไร้สังกัดด้วยตัวอย่างเช่นสตรีที่เสี่ยวซู่คุยด้วยเมื่อวาน


 


 


“นั่นเจ้าหรือ” สตรีผู้นั้นหันหลังมาก็เห็นเสี่ยวซู่เดินเข้ามา นางเดินมาหาเขาช้าๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า


 


 


“ท่านน้า เมื่อวานขอบคุณมากขอรับ” เสี่ยวซู่พูดอย่างนอบน้อม


 


 


หญิงสาวผู้นั้นก็ยิ้มแล้วหันมามองอวิ๋นลั่วเฟิง “นี่คือมารดาเจ้าหรือ”


 


 


ตอนแรกฉาฉาจ้องนางโดยไม่ละสายตาอย่างระแวดระวัง แต่เมื่อมันสัมผัสจิตอันตรายจากนางไม่ได้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลง จากนั้นมันก็นอนบนศีรษะของเสี่ยวซู่อย่างผ่อนคลาย


 


 


เมื่อเห็นเสี่ยวซู่พยักหน้า หญิงสาวก็ยื่นมือออกมา “สวัสดี ข้าชื่อเหยียนเข่อ ให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไรดี”


 


 


“อวิ๋นลั่วเฟิง” อวิ๋นลั่วเฟิงบอกชื่อตัวเองช้าๆ


 


 


“แค่กๆ” วัยรุ่นที่ยืนอยู่ข้างเหยียนเข่ออดไม่ได้ที่จะไอออกมาเมื่อได้ยินชื่อของอวิ๋นลั่วเฟิง เขาทำสีหน้าประหลาด


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงประสาทสัมผัสไวจึงรู้สึกได้ถึงสีหน้าประหลาดของพวกเขาและเผลอขมวดคิ้ว


 


 


“ทำไม ชื่อข้ามีปัญหาหรือ”


 


 


หญิงสาวยิ้มอ่อน “แม่นางอวิ๋น นี่อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่เจ้าชื่อนี้ แต่ข้าอยากเตือนอะไรเจ้าสักอย่าง เจ้าห้ามบอกชื่ออวิ๋นลั่วเฟิงกับคนอื่นเด็ดขาดเมื่อเจ้าออกไปข้างนอก”


 


 


“ทำไมล่ะ” อวิ๋นลั่วเฟิงแสดงสีหน้าสงสัย เห็นได้ชัดว่านางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


“เรื่องนี้…” เหยียนเข่อมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครมองอยู่ นางก็พูดต่อ “เพราะว่าชื่ออวิ๋นลั่วเฟิงเป็นชื่อต้องห้ามในแคว้นเจ็ดเมือง มีข่าวลือว่าถ้าเจ้าพูดชื่อนี้แล้วแม่นางหงหลวนจากเมืองบูรพาได้ยิน เจ้าจะถูกนางตีเจียนตาย”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงสับสน หงหลวน? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหงหลวนได้อย่างไร


 


 


“ข้าปิดด่านฝึกพลังฌานอยู่สามปีจึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำไมการพูดชื่อนี้จึงทำให้หงหลวนโกรธล่ะ”


 


 


เหยียนเข่อมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างสงสัย ไม่แปลกใจเลยที่นางไม่รู้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อต้องห้าม เพราะว่านางปิดด่านฝึกพลังฌานนี่เอง


 


 


“เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือ…” เหยียนเข่อตัดสินใจเสี่ยงแล้วเล่าเรื่องราวเบื้องหลังเรื่องชื่อนี้กับอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


“สามปีที่แล้ว คนจากหุบเขาพิษทำให้สตรีผู้หนึ่งที่ชื่ออวิ๋นลั่วเฟิงตาย ใครเล่าจะรู้ว่านางเกี่ยวข้องกับพรรคจำนวนมาก คนแรกคือผู้อาวุโสจวินจากตระกูลจวิน ยังมีจวนเจ้าเมืองบูรพา และสุดท้ายก็สำนักศึกษาเมืองประจิม พวกเขาเดินทางไปสังหารคนของหุบเขาพิษ…


 


 


“ตอนแรกเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับหุบเขาพิษเพียงอย่างเดียว ไม่ได้สร้างปัญหาให้คนอื่น แต่ว่าหงหลวนเป็นคนขี้โมโห มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางเดินผ่านเหลาอาหารแล้วได้ยินใครบางคนพูดถึงอวิ๋นลั่วเฟิง นางจึงเข้าไปตีเขาจนเกือบตายทันที!”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงตัวแข็งค้าง นางถูกคนของหุบเขาพิษสังหารงั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อใดกัน


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่านิสัยของหงหลวนจะชอบวางอำนาจ แต่นางก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล คนพวกนั้นต้องพูดอะไรบางอย่างตอนที่กำลังพูดเรื่องนางแน่นอน หรือไม่ก็มีความสุขที่นางตายจนทำให้หงหลวนเดือดดาล แต่ว่ายิ่งข่าวลือแพร่ไปมากเท่าไหร่ เรื่องก็ยิ่งเพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ …


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1463 เสี่ยวโม่คนขี้หึง (1)


 


 


“แม่นางอวิ๋น ตอนนี้ข้าก็บอกเหตุผลให้เจ้าฟังแล้ว ในอนาคตเจ้าไม่ควรแนะนำตัวด้วยชื่อนั้นอีก ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องไปถึงหูหงหลวน นางต้องตามมาสร้างปัญหาให้ท่านแน่” เหยียนเข่อพูดอย่างระมัดระวังด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยิน


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมสามพรรคใหญ่ถึงโจมตีหุบเขาพิษ สาเหตุก็เพราะตัวนางนี่เอง


 


 


อันที่จริงหุบเขาพิษก็ไม่ได้ถูกเข้าใจผิดแต่อย่างใด หากจีจิ่วเทียนไม่ได้อยู่ข้างนาง นางก็อาจจะตกอยู่ในแผนร้ายของพวกเขาแล้ว ส่วนเหยียนเข่อหลังตจากเห็นท่าทีตอบสนองของอวิ๋นลั่วเฟิงก็เข้าใจไปว่าอวิ๋นลั่วเฟิงรับฟังคำเตือนของนางแล้ว ในที่สุดก็นางก็สบายใจ


 


 


“ท่านน้า” เสี่ยวซู่มองเหยียนเข่อพร้อมรอยยิ้ม “พวกเราจะขึ้นเขาได้เมื่อไหร่”


 


 


คนที่อยู่ข้างเหยียนเข่อชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของเขา เด็กน้อยคนนี้ตั้งใจจะตามพวกเขาไปงั้นหรือ


 


 


ภูเขาอ้ายเต็มไปด้วยอันตราย การพาสตรีและเด็กที่อ่อนแอไปด้วยย่อมกลายเป็นภาระ


 


 


ส่วนหุ่นเชิดแข็งแกร่งที่อยู่ข้างหลังอวิ๋นลั่วเฟิง ถึงแม้ว่าเขาจะดูทรงพลังและเข้มแข็ง แต่พวกเขาก็สัมผัสความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาไม่ได้ ทว่าก่อนที่คนอื่นจะทันได้คัดค้าน เหยียนเข่อที่ตกอยู่ในภวังค์หลังจากได้ยินเสียงของเสี่ยวซู่ก็ปฏิเสธคำขอของเขาไม่ได้


 


 


“พวกเราจะขึ้นไปตอนไหนก็ได้ เด็กน้อย เจ้ากับมารดาอยากตามพวกเราไปด้วยหรือไม่”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวซู่ยิ่งสดใส “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านน้าแล้ว”


 


 


อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาที่นี่ อีกทั้งพวกเขายังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์นี้ ถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงตามพวกเขาไปก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้พวกเขาเดินไปผิดทาง นี่คือความตั้งใจของเสี่ยวซู่


 


 


“ศิษย์น้องหญิง!”


 


 


สีหน้าของชายหนุ่มในชุดผ้าไหมปักดิ้นทองเปลี่ยนไปแล้วขมวดคิ้ว “ถ้าพวกเขาทั้งคู่แข็งแกร่งก็ไม่มีปัญหา แต่พวกเขาเป็นแค่เด็ก! อีกอย่าง ชายอีกคนก็ไม่มีร่องรอยของพลังฌาน ถ้าพวกเราพาพวกเขาไปด้วยจะไม่เป็นการสร้างภาระให้พวกเราหรือ”


 


 


“ศิษย์พี่ วางใจเถอะ ข้ารู้ข้อจำกัดของตัวเองดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” เหยียนเข่อขมวดคิ้ว “ที่สำคัญการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราก็เพื่อเพิ่มความรู้และประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อสมบัติที่อยู่ภายในร่องรอยของเทพเซียน”


 


 


เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเหยียนเข่อ ชายหนุ่มชุดผ้าไหมปักดิ้นทองก็ไม่พูดอะไรอีกนอกจากถอนหายใจเบาๆ แล้วแสดงสีหน้าอับจนหนทาง


 


 


“เด็กน้อย ข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย” เหยียนเข่อเป็นรักเด็กตัวจริง ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่ยินดีพาอวิ๋นลั่วเฟิงและเสี่ยวซู่ไปด้วย


 


 


เสี่ยวซู่กะพริบตาปริบๆ “ข้าชื่ออวิ๋นซู่ [1] !”


 


 


อวิ๋นซู่?


 


 


ดวงตาของเหยียนเข่อว่างเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนคิดชื่อแบบนี้ขึ้นมาได้ ชื่อนี้ไม่เหมาะกับหน้าตาดุจหยกของเขาแม้แต่น้อย


 


 


“พวกเราไปกันเถอะ” เหยียนเข่อไม่ได้คิดมาก นางกลับมามีสติอีกครั้ง “มีคนมากมายมาที่ภูเขา ถ้าพวกเราไม่รีบ สมบัติอาจจะตกอยู่ในมือคนอื่นจนหมด”


 


 



 


 


ถึงแม้ว่าความอันตรายของภูเขาอ้ายจะเทียบกับสถานที่อันตรายอื่นไม่ได้ แต่ที่นี่ก็ยังมีกับดักอยู่นับไม่ถ้วน อีกอย่างยังมีคนอีกมากเดินทางไปที่นั่น ดังนั้นระหว่างพวกนางจึงพบศพของทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรวิญญาณ


 


 


ระหว่างทาง อวิ๋นลั่วเฟิงก็ได้รู้จักสมาชิกที่ไร้ประสบการณ์คนอื่นๆ และชื่อของชายหนุ่มที่ใส่ชุดคลุมผ้าไหมปักดิ้นทองก็คือ ฟู่จิ่น พวกเขาออกจากสำนักมานานแล้วและเดินทางไปทั่วแคว้นขนาดใหญ่นี้เพียงลำพัง


 


 


ในกลุ่มยังมีอีกคนที่เป็นชายมีกล้ามชื่อจ้าวหง นอกเหนือจากนั้นก็มีชายหนุ่มรูปร่างบอบบางและใบหน้าน่ารัก ถึงแม้เขาจะอ่อนแอแต่เขาก็เป็นแพทย์คนเดียวภายในกลุ่ม


 


 


 


 


——


 


 


[1] 云 (yún) อวิ๋นแปลว่า เมฆ จากนามสกุลของอวิ๋นลั่วเฟิง และ 树 (shù) ซู่ที่แปลว่า ต้นไม้ จากเสี่ยวซู่



ตอนที่ 1464 เสี่ยวโม่คนขี้หึง (2)


 


 


เหยียนเข่อและศิษย์พี่เจอพวกเขาระหว่างทางแล้วผูกมิตรกัน หลังจากรู้จักกันมากขึ้นพวกเขาก็ตัดสินจับกลุ่มร่วมเดินทางกันไปยังสถานที่อันตรายต่างๆ ภายในแคว้น…


 


 


ชายหนุ่มหน้าตาน่ารักท่าทางอ้อนแอ้นเงยหน้ามองฟ้าที่มืดครึ้มก่อนจะหันมาหาเหยียนเข่อและคนอื่นๆ แล้วเสนอความคิด “ตอนนี้ดึกแล้ว พวกเราพักกันก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อพรุ่งนี้ดีหรือไม่”


 


 


เหยียนเข่อพยักหน้าเห็นด้วย “ฉีเซ่าพูดถูก ภูเขาอ้ายเวลากลางคืนอันตรายมาก พวกเราหยุดพักกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางใหม่”


 


 


ตอนนั้นพรรคน้อยใหญ่หลายพรรคก็เริ่มตั้งค่ายพักแรมบนภูเขาอ้ายแล้ว หลังจากที่ฉีเซ่าตั้งกระโจมเสร็จ เขาก็เห็นว่าอวิ๋นลั่วเฟิงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้โบราณเพื่อพักผ่อน เขาเหม่อมองนางอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “แม่นางอวิ๋น เจ้าไม่ได้เอากระโจมมาหรือ เหตุใดเจ้าไปไม่ไปพักกับเหยียนเข่อเล่า”


 


 


“ไม่ต้องหรอก” อวิ๋นลั่วเฟิงส่ายหน้าแล้วตอบอย่างเฉยชา “ข้าไม่ต้องการกระโจม”


 


 


เมื่อเห็นว่าฉีเซ่าอยากจะพูดอะไรต่ออีก ฟู่จิ่นก็เดินเข้ามายืนข้างๆ เขา “ในเมื่อพวกนางไม่อยากได้ความช่วยเหลือ เจ้าและเหยียนเข่อก็ไม่ต้องไปสนใจ พวกนางอยากจะทำอะไรก็ทำไม่ใช่เรื่องของพวกเราเสียหน่อย” ฉีเซ่าถอนหายใจแล้วเดินเข้ากระโจม


 


 


ช่วงกลางคืนในภูเขาอ้ายยาวนานมาก สำหรับอวิ๋นลั่วเฟิง ความคิดของนางวนเวียนอยู่กับร่างเย็นชาไร้ความรู้สึกของชายคนนั้น นางไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นางถึงจะได้เจอเขา


 


 


“อวิ๋นเซียว…เจ้าอยู่ที่ไหน ข้าหายไปสามปี เจ้าจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


นางเห็นภาพชายหนุ่มที่กำลังบ้าคลั่งเมื่อได้ยินว่านางถูกฝังอยู่ในเผ่าผู้ใช้เวท ดังนั้นนางจึงนึกไม่ออกเลยว่าตลอดสามปีมานี้อวิ๋นเซียวต้องใช้ความอดทนมากขนาดไหน


 


 


“ท่านแม่” เสี่ยวซู่เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเสียใจของอวิ๋นลั่วเฟิง เขาปีนขึ้นมานั่งตักนางแล้วยิ้มให้เห็นฟันเขี้ยวน่าเอ็นดูขณะใช้มือลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน “ท่านทำใจให้สบายเถอะ ท่านพ่อต้องกลับมาหาท่านแน่”


 


 


หัวใจของอวิ๋นลั่วเฟิงกระตุก


 


 


อันที่จริงการที่นางตามหาอวิ๋นเซียวด้วยตัวเองคนเดียวก็เหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร ถ้านางปล่อยข่าวว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ คนพวกนั้นก็จะมาตามหานางเมื่อรู้ข่าว


 


 


“ขอบคุณมากเสี่ยวซู่” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม


 


 


รอยยิ้มของนางงดงามมากจนดวงจันทร์บนท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เทียบไม่ได้


 


 



 


 


รุ่งเช้า


 


 


ตอนที่อวิ๋นลั่วเฟิงกำลังนั่งสมาธิ นางก็พลันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างหน้า นางจึงค่อยๆ ลืมตา


 


 


“ศิษย์น้องหญิงเหยียนเข่อ ศิษย์พี่ฟูจิ่น ไม่เจอกันนาน ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้เจอพวกเจ้าที่นี่”


 


 


ตอนที่อวิ๋นลั่วเฟิงเงยหน้าขึ้นก็พบบุรุษหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าเหยียนเข่อและคนอื่นๆ เขาพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส สีหน้าของเหยียนเข่อซีดเผือดแล้วกำหมัดแน่น นางจ้องหน้าชายหนุ่มหล่อเหลาที่ยืนอยู่ข้างหน้าอย่างโกรธเคืองโดยไม่ยอมละสายตา


 


 


“ข้ากับฟูจิ่นออกมาจากสำนักแล้ว เจ้าต้องการอะไรจากพวกเราอีก”


 


 


“หึ เจ้าคิดว่าแค่เจ้าออกจากสำนักจะลบล้างความผิดที่เจ้าก่อไว้ได้หรือ” ชายหนุ่มหล่อเหลายกยิ้มขณะที่สายตาเต็มไปด้วยการดูหมิ่น เขามองพวกนางอย่างดูถูกพร้อมปล่อยกลิ่นอายวางอำนาจ “ถ้าอาจารย์พวกเจ้าไม่แก้ต่างให้ ไม่แน่พวกเจ้าอาจจะโดนบิดาข้าลงโทษจนตายไปแล้ว!”


 


 


ปัง!


 


 


สุดท้ายแล้วเหยียนเข่อก็ระงับความโกรธไว้ไม่ได้ ดวงตานางลุกเป็นไฟก่อนจะต่อยใบหน้าหล่อเหลาของเขา


 


 


“เจ้ายังมีหน้ามาพูดเรื่องนี้อีกหรือ ตอนนั้นเป็นเจ้าที่พูดจาหยาบคายกับน้องสาวข้า แล้วข้าก็ทำร้ายเจ้าเพื่อแก้แค้นให้นาง! ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะไร้เหตุผลจนตั้งใจจะสังหารข้า!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1465 เสี่ยวโม่คนขี้หึง (3)


 


 


เมื่อเหยียนเข่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า นางก็ขบฟันแน่นด้วยความเกลียดชังจนอยากจะหั่นชายคนนี้ออกเป็นชิ้นๆ


 


 


“นางสารเลว เจ้ากล้าต่อยข้างั้นเหรอ!” ชายหนุ่มหล่อเหลาตะโกนด้วยความโกรธ “พวกเจ้า จับนางสารเลวนี่ไว้ ข้าจะพานางกลับไปลงโทษ!”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ผู้อาวุโสสองคนที่อยู่ด้านหลังก็เดินหน้าเข้ามาโจมตีเหยียนเข่อ


 


 


สีหน้าของฟู่จิ่นและคนอื่นๆ เปลี่ยนไปแล้วรีบเข้ามาหยุดทั้งคู่ แต่พวกเขาลงมือช้าเกินไป กว่าพวกเขาจะเข้าไปถึงตัวนาง ผู้อาวุโสทั้งสองก็จับตัวเหยียนเข่อไว้แล้ว


 


 


“ซูลั่วเฉิน เจ้ามารชั่ว! ข้ายอมตายดีกว่าตกอยู่ในมือเจ้า!” พูดจบเหยียนเข่อก็ยกมือขึ้นแล้วตั้งใจจะใช้มือทุบศีรษะตัวเอง


 


 


“ศิษย์น้องหญิง อย่านะ!” ฟู่จิ่นเข่าอ่อนด้วยความกลัว เขาตะโกนอย่างตระหนก


 


 


ฝ่ามือของเหยียนเข่อเกือบจะโดนศีรษะนางแล้ว แต่ก็ถูกผู้อาวุโสคนหนึ่งจับไว้แน่นเสียก่อน


 


 


“นายน้อยสั่งให้ลงโทษเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์ฆ่าตัวตาย” ผู้อาวุโสพูดอย่างเฉยชาและมองเหยียนเข่อด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน


 


 


“ฮึ่ม!” ซูลั่วเฉินส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาแล้วมองฟู่จิ่นกับคนอื่นๆ ด้วยความดูถูก “พวกเขาเองก็เกี่ยวข้องกับเหยียนเข่อ จับพวกเขาให้หมดไม่ละเว้น!”


 


 


ฟู่จิ่นกำหมัดแน่น ตอนนี้เองเขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า พวกเขาออกจากสำนักแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าซูลั่วเฉินจะยังไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปอีก…


 


 


ตอนนั้นเองก็มีเสียงเล็กๆ ดังเข้าหูทุกคน “ท่านลุง ท่านไม่ควรหน้าไม่อายขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นท่านจะโดนความเกลียดของทุกคนโจมตีนะ”


 


 


จู่ๆ เด็กชายตัวน้อยที่สวมชุดผ้าไหมก็โผล่มายืนข้างฟู่จิ่นและคนอื่นๆ รอยยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้าทำให้เขาดูงดงามดุจหยก ดวงตาสุกสกาวดั่งแสงดาวยามค่ำคืนของเขาจ้องไปที่ซูลั่วเฉิน


 


 


ซูลั่วเฉินไม่ได้สนใจเสี่ยวซู่แล้วส่งเสียงเหอะก่อนจะถาม “เด็กคนนี้เป็นพวกของเจ้าหรือ”


 


 


“ไม่ใช่!” สีหน้าของฟู่จิ่นยิ่งซีดเผือด เขามองเสี่ยวซู่อย่างโกรธเคือง “ไสหัวกลับไปที่ของเจ้า ไป!” พูดจบเขาก็เงยหน้ามองซูลั่วเฉินแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้จักเขา”


 


 


เขาดูถูกอวิ๋นลั่วเฟิงมาตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่านางจะพาผู้คุ้มกันร่างสูงใหญ่มาด้วยแต่ตัวเขาสัมผัสถึงพลังฌานในร่างผู้คุ้มกันคนนั้นไม่ได้เลย ดังนั้นเขาถจึงไม่พอใจที่ต้องพาอวิ๋นลั่วเฟิงมาด้วย


 


 


แต่…นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนใจดำ! อวิ๋นลั่วเฟิงและเสี่ยวซู่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้และในเมื่อพวกเขากำลังตกที่นั่งลำบาก จะลากนางมาเอี่ยวด้วยทำไม


 


 


“นายน้อย” ผู้ติดตามคนหนึ่งกระซิบซูลั่วเฉิน “ข้าถามคนแถวนี้แล้ว เด็กคนนี้มากับพวกเขา ในเมื่อเหยียนเข่อเป็นสตรีชั่วร้าย พวกเราไม่ควรปล่อยพวกนางสักคนไป”


 


 


เหยียนเข่อชะงักแล้วแสดงสีหน้าเสียใจ ถ้านางรู้ว่านางต้องมาเจอซูลั่วเฉินที่นี่ นางก็คงไม่ยอมพาเสี่ยวซู่มาด้วย!


 


 


“พวกเจ้า จับทุกคนไปให้หมด!” ซูลั่วเฉินโบกมือแล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชา ทันใดนั้นผู้อาวุโสทั้งสองก็ลงมือหวังจะจับเสี่ยวซู่


 


 


แต่ว่า…ก่อนที่มือชรานั่นจะถึงตัวเสี่ยวซู่ก็ถูกมือหยาบทรงพลังจับไว้


 


 


ทุกคนตะลึง ดูเหมือนว่าจะไม่มีเข้าใจว่าใครกันที่กล้าหาญขนาดมีเรื่องกับสำนักเสวียนชิง


ตอนที่ 1466 เสี่ยวโม่คนขี้หึง (4)


 


 


ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าคนคนนี้เป็นใคร เสียงชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารก็ดังขึ้นช้าๆ


 


 


“อวิ๋นอี้ หักมือเขาซะ”


 


 


กร็อบ!


 


 


ทันใดนั้นอวิ๋นอี้ก็ออกแรง แล้วเสียงร้องแหลมก็ดังลั่นจนถึงขอบฟ้า


 


 


ปัง!


 


 


จากนั้นอวิ๋นอี้ก็กระแทกฝ่ามือทำให้ผู้อาวุโสถอยหลังไปหลายก้าว เขาเจ็บจนหน้าซีดขณะที่เหงื่อไหลเต็มหน้าผาก เขาจ้องหน้าอวิ๋นลั่วเฟิงที่เป็นคนออกคำสั่งอย่างมาดร้าย


 


 


ทันใดนั้นทุกคนก็หันไปเห็นอวิ๋นลั่วเฟิง แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบอาภรณ์สีขาวของหญิงสาว นางหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นภาพงดงามเหมือนภาพวาดที่ร่วงลงมาจากทรวงสวรรค์จนดูเกินจริง


 


 


ซูลั่วเฉินมองภาพนี้อย่างโง่งม เขาไม่เคยเจอสตรีคนใดที่งามล่มเมืองขนาดนี้ แม้แต่คนงามทุกคนในสำนักเสวียนชิงก็งามไม่ได้ถึงหนึ่งในสิบของนาง


 


 


“เกิดอะไรขึ้น” จู่ๆ ก็มีเสียงเข้มงวดดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ซูลั่วเฉินได้สติจากความตะลึง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบ เขาก็เห็นร่างสีขาวร่างหนึ่งพุ่งไปหาอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


เมื่อหญิงสาวที่กำลังยิ้มอย่างเฉยชาเห็นร่างสีขาวกระโจนเข้ามา ดวงตาทรงเสน่ห์ของนางก็เต็มไปด้วยความสุข


 


 


ปัง!


 


 


ร่างสีขาวนั่นกระแทกเข้ากับอกของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วใช้แขนกอดอีกฝ่ายไว้แน่นโดยไม่ลังเล นางเงยใบหน้าน่าเอ็นดูขึ้นพร้อมน้ำตา


 


 


“อาจารย์ ในที่สุดข้าก็เจอท่านแล้ว ฮือๆ” เด็กสาวร้องไห้อย่างหนักแล้วใช้ทั้งตัวเกาะอวิ๋นลั่วเฟิงเพราะกลัวว่าถ้านางปล่อยมือหญิงสาวข้างหน้า นางก็จะทิ้งนางแล้วหายไป ครั้งสุดท้ายที่นางหายไป นางหายไปถึงสามปี


 


 


“เสี่ยวไป๋…” เมื่อเห็นสีหน้าน่าสงสารของนาง อวิ๋นลั่วเฟิงก็ยิ้มบาง “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว หูหลีกับอู๋อยู่ที่ไหน”


 


 


แต่เดิมนางทิ้งเสี่ยวไป๋กับคนอื่นไว้ข้างหลังตอนที่นางไปมณฑลคูหลงเพื่อตามหาอวิ๋นเซียว ตอนนี้นางเห็นเสี่ยวไป๋อยู่คนเดียวขณะที่หูหลีและอู๋ไม่ได้อยู่กับนาง


 


 


หลินรั่วไป๋ปาดน้ำตา “หูหลีคิดว่าท่านตายแล้ว เขาเลยส่งข้ากลับบ้านเดิมของเขาแล้วฝากข้าไว้กับบิดาเขา จากนั้นก็บอกว่าถึงท่านจะตายแล้ว เขาก็ต้องได้เห็นศพของท่าน เขาพาอู๋ติดตามไปด้วย ข้าไม่อยากรอท่านอยู่ที่นั่นเลยหนีออกมาตอนที่บิดาของหูหลีไม่ได้สนใจ”


 


 


เมื่อนึกถึงข่าวเมื่อสามปีที่แล้ว หลินรั่วไป๋ก็แสดงสีหน้าโศกเศร้า “อาจารย์ สามปีมานี้ท่านหายไปไหนมา เห็นชัดๆ ว่าท่านมีชีวิตอยู่ ทำไมท่านถึงไม่กลับมาหาพวกเรา”


 


 


สำหรับเสี่ยวไป๋ที่สูญเสียความทรงจำ อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นญาติเพียงคนเดียวของนาง และก็เป็นคนเดียวที่คอยดูแลนางด้วย


 


 


ซูลั่วเฉินชะงัก แม่นางหลินรู้จักคนพวกนี้งั้นหรือ นี่…


 


 


“น้องรอง เกิดอะไรขึ้น” เสียงเข้มเคร่งเครียดที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้ดังขึ้นใหม่อีกครั้ง


 


 


ครั้งนี้อวิ๋นลั่วเฟิงหันไปหาเขา ชายหนุ่มหล่อเหลาที่หน้าตาคล้ายซูลั่วเฉินก็เดินเข้ามา ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเดาความสัมพันธ์ของพวกเขา อวิ๋นลั่วเฟิงแสดงสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่ดวงตาเป็นประกายเย็นชาปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสังหารน่าขนลุก


 


 


“ท่านพี่ ผู้คุ้มกันของสตรีคนนี้ทำร้ายผู้อาวุโสขอรับ!” ซูลั่วเฉินกลับมามีสติ เขาพูดขึ้นขณะกัดฟัน


 


 


ซูจวิ้นขมวดคิ้วแล้วส่งสายตาเคร่งขรึมไปที่อวิ๋นลั่วเฟิง เขาถามอย่างเย็นชาว่า “แม่นาง เจ้าทำร้ายคนของสำนักเสวียนชิง เจ้าไม่คิดจะอธิบายหน่อยหรือ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1467 เสี่ยวโม่คนขี้หึง (5)


 


 


“อธิบายให้เจ้าฟังงั้นหรือ” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้มเยาะ “คนพวกนี้ต้องการจะจับตัวบุตรชายข้า แค่หักมือเขาข้างหนึ่งก็ใจดีมากแล้ว!”


 


 


สีหน้าของซูจวิ้นดูไม่ได้ หลายปีมานี้เขาไม่เคยเจอใครกล้ามีปัญหากับสำนักเสวียนชิง ทั้งเมืองวิญญาณนี้มีแค่ตระกูลจวินเท่านั้นที่สำนักเสวียนชิงกลัว สตรีผู้นี้คิดว่านางเป็นสมาชิกตระกูลจวินหรืออย่างไร น่าขันนัก!


 


 


“แม่นาง ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้าเพราะเห็นแก่แม่นางเสี่ยวไป๋ ข้าหวังว่าเจ้าจะขอโทษผู้ติดตามของข้า!” ซูจวิ้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงหันไปหาเสี่ยวไป๋แล้วส่งสายตาถามว่านางเกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างไร


 


 


“อาจารย์ ปีที่แล้วข้าตกอยู่ในอันตรายแล้วพวกเขาก็ช่วยข้าไว้ ดังนั้น…ข้าก็เลยติดตามเขา” หลินรั่วไป๋กะพริบตาแลัวตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์


 


 


แต่ว่า…การที่ซูจวิ้นสั่งให้อวิ๋นลั่วเฟิงขอโทษทำให้หลินรั่วไป๋ไม่พอใจ ถึงซูจวิ้นจะช่วยเหลือและดูแลนางอย่างดีมาตลอดหนึ่งปี แต่อาจารย์ของนางไม่ผิด ต่อให้นางทำผิดจริงก็ต้องนับว่านางถูก ไม่มีใครมีสิทธิ์รังแกอาจารย์ของนาง!


 


 


เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการ อวิ๋นลั่วเฟิงก็หันไปหาซูจวิ้น “ในฐานะที่เจ้าช่วยเสี่ยวไป๋ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่หากเรื่องนี้เกิดขึ้นอีก สำนักเสวียนชิงของเจ้าจะถูกทำลาย! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”


 


 


หวืด!


 


 


หลังจากอวิ๋นลั่วเฟิงพูดจบ หุ่นเชิดแข็งแกร่งก็ย้ายมายืนตระหง่านขวางหน้านางเหมือนภูเขามหึมาแล้วมองซูจวิ้นและพรรคพวกอย่างเย็นชา


 


 


“ท่านพี่…” ซูลั่วเฉินรู้สึกกังวล “สตรีผู้นี้ก้าวร้าวเกินไป พวกเราควรจับนางมัดแล้วโยนลงไปในสระทมิฬเพื่อเป็นอาหารงู”


 


 


ซูจวิ้นไม่ได้ตอบอะไรขณะมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างเย็นชา “แม่นาง ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำคำพูดของตัวเองวันนี้ไว้ ในอนาคตเจ้าจะเสียใจ! พวกเรา ไป!”


 


 


พูดจบซูจวิ้นก็ส่งสายตาแฝงความนัยให้หลินรั่วไป๋แล้วสะบัดแขนเสื้อก่อนจะหันหลังเดินนำกลุ่มคนจากสำนักเสวียนชิงจากไป พอพวกเขาเดินพ้นสายตาของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้ว ซูลั่วเฉินก็พูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพี่ ทำไมท่านไม่สังหารพวกมัน รวมถึงนางชั่วเหยียนเข่อด้วย! ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่ปล่อยให้นางรอดชีวิต!”


 


 


ซูจวิ้นหยุดเดินแล้วส่งสายตาเย็นเยียบให้ซูลั่วเฉิน


 


 


“ตอนนั้นเป็นเพราะเจ้าทำให้น้องสาวของเหยียนเข่ออับอาย นางก็เลยโจมตีเจ้าด้วยความโมโห แต่พวกเราสำนักเสวียนชิงต้องปกป้องพวกพ้องเลยผลักความผิดไปให้เหยียนเข่อ ถึงอย่างนั้นข้าก็เชื่อว่าเจ้ารู้เรื่องนี้ดีที่สุด”


 


 


ซูลั่วเฉินหยุดพูดแต่ในใจเขาก็ไม่เห็นด้วย ในฐานะที่เขาเป็นนายน้อยของสำนักเสวียนชิง การที่เขาชื่นชอบนางควรเป็นโชคดีของนาง นางมีสิทธิ์อะไรมาปฏิเสธเขา


 


 


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องในวันนี้เป็นเพราะเจ้าไปหาเรื่องพวกเขาก่อน” ซูจวิ้นพูดอย่างเคร่งเครียด


 


 


“ท่านพี่ ข้าไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นอาจารย์ของหลินรั่วไป๋ อ้อ จริงสิ ไม่ใช่ว่าท่านพ่อบอกให้ท่านพี่ทำให้หลินรั่วไป๋ชอบท่านหรอกหรือ การที่ท่านทำแบบนี้จะไม่เป็นไรหรือ”


 


 


ใบหน้าของซูลั่วเฉินมีร่องรอยความวิตกกังวล ถ้าเขาเป็นคนทำให้แผนการของท่านพ่อรวน ท่านต้องลงโทษเขาแน่


 


 


“เสี่ยวไป๋และข้าอยู่ด้วยกันมามากกว่าหนึ่งปีแล้ว ข้าเชื่อว่านางตกหลุมรักข้าแล้วแน่นอน” ดวงตาของซูจวิ้นเป็นประกายแปลกๆ “น้องรอง เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ เมื่อใดก็ตามที่สตรีตกหลุมรักเจ้าแล้ว พวกนางจะเห็น ได้ยินและเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง ระหว่างข้ากับอาจารย์นาง เจ้าคิดว่านางจะเลือกใคร”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม