ลำนำสตรียอดเซียน 146-150

ตอนที่ 146 เรื่องเก่าที่เขาอวิ๋นอู้

 

โม่เทียนเกอทั้งตกใจและสุขใจที่ได้เจอสหายเก่า ถึงแม้ว่านางจะหนีจากเขาอวิ๋นอู้มาในสภาพน่าเวทนาเมื่อตอนนั้น แต่บัดนี้นางเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จากโรงเรียนเสวียนชิง กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วแห่งท้องฟ้า นางไม่มีอะไรจะต้องกลัวต่อให้ตระกูลเจียงแห่งเขาอวิ๋นอู้รู้เกี่ยวกับนาง ดังนั้นนางจึงยอมรับตัวตนของนางด้วยความสงบนิ่ง


 


 


ไม่ช้าก็เร็ว นางก็ต้องจัดการกับตระกูลเจียงด้วยตัวเอง! แต่สำหรับตอนนี้ นางจะปล่อยให้ตระกูลเจียงรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ว่านางมีชีวิตอย่างดีผ่านทางหลิ่วอีเตา ทำให้พวกเขาโกรธก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เหมือนกัน


 


 


ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันมาสิบสองปี หลังจากรำลึกความหลังกันอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอชวนหลิ่วอีเตาให้แวะไปที่บ้านของนาง


 


 


เมื่อเห็นว่านางอาศัยอยู่ภายในถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอแล้วยังได้ยินที่ศิษย์เฝ้าประตูเรียกนางว่าอาจารย์ลุง หลิ่วอีเตาดูประหลาดใจโดยแท้ เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ทำไมพวกเขาถึงเรียกเจ้าว่าอาจารย์ลุงล่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้ตอบ สาวใช้คนหนึ่งจึงถือโอกาสตอบแทนนาง “อาจารย์ลุงโม่เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอเจ้าค่ะ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเรียกว่านางว่าอาจารย์ลุง”


 


 


พร้อมกับสถานะที่สูงขึ้นของโม่เทียนเกอและฐานะมั่นคงที่นางได้รับในโรงเรียนเสวียนชิง พวกสาวใช้ก็ประพฤติตัวดีขึ้นเช่นกัน ไม่เพียงแต่พวกนางจะไม่กล้าทำอะไรให้นางต้องลำบาก แต่พวกนางยังแย่งกันมาประจบสอพลอนางด้วย


 


 


คำตอบของสาวใช้ทำให้หลิ่วอีเตาตกตะลึง เมื่อเขาบังเอิญเจอ ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ ผู้นี้ในโรงเรียนเสวียนชิง แต่เดิมเขาคิดว่านางสามารถเข้าโรงเรียนเสวียนชิงมาได้และถึงขนาดสร้างฐานแห่งพลังได้ก็เพราะโชคดี เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่านางจะมีสถานะเช่นนี้จริงๆ!


 


 


ด้วยการโบกมือหนึ่งที โม่เทียนเกอบอกชิงฉีผู้ที่มาเพื่อส่งชาให้ออกไป จากนั้นนางเชิญหลิ่วอีเตานั่ง “ศิษย์พี่หลิ่ว เชิญนั่งสิ”


 


 


ภายในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ทั้งสองคนนั่งลงด้วยกัน หลิ่วอีเตาใช้เวลาสักพักจดจ่ออยู่กับการดื่มชา แต่สุดท้ายเขาก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะเข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลาง แต่เจ้ายังได้รับเข้ามาเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่อีกด้วย!”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ “ข้าแค่โชคดีน่ะ” นางหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ย้อนไปตอนนั้น ทุกคนคิดว่ารากวิญญาณของข้าเป็นแค่รากวิญญาณห้าธาตุที่มีกำลังเท่าเทียมกัน แต่หลังจากข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิงแล้วนั่นล่ะข้าถึงรู้ว่าที่จริงมันเป็นรากวิญญาณพิเศษประเภทหนึ่ง ภายหลัง ประมุขเต๋าจิ้งเหอรับข้าเข้ามาเป็นศิษย์ลงนามของเขา หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังได้ ในที่สุดข้าก็กลายเป็นศิษย์ทางการของเขา”


 


 


นางบอกเพียงแค่สรุปคร่าวๆ ของสิ่งที่นางพบเจอมา แต่หลิ่วอีเตากลับตอบด้วยการถอนหายใจยาว “ตอนนั้นเมื่อจู่ๆ เจ้าก็หายตัวไปและหัวหน้าสำนักย่อยเจียงบอกว่าเจ้าเป็นคนทรยศที่ฆ่าเจียงเฉิงเสียน ข้ายิ่งกว่าตกใจสุดขีดซะอีก ในตอนหลัง ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเจ้าเลย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเจ้าคง… กลับกลายเป็นว่าที่จริงแล้วเจ้ามาอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขาถาม “เอ้อ ศิษย์น้องฉินและศิษย์น้องเจียงหายไปเวลาเดียวกันกับเจ้า ทางสำนักปิดเหตุการณ์นั้นเป็นความลับ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถหาข่าวคราวอะไรได้เลย ข้ามักจะเดาว่าทั้งสองคนต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นแน่ ข้าพูดถูกหรือไม่?”


 


 


หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอพยักหน้าในที่สุด “ใช่ ตอนนั้นข้าหนีจากเขาอวิ๋นอู้เพราะเจียงเฉิงเสียนข่มขู่และบังคับขืนใจข้า ศิษย์พี่เจียงเป็นคนที่ช่วยข้าไว้ แต่เขาต้องถูกดึงมาพัวพันในเรื่องนี้ก็เพราะข้า”


 


 


“ศิษย์น้องเจียงช่วยเจ้าไว้?” หลิ่วอีเตาพูดด้วยความประหลาดใจ แต่ปฏิกิริยาของเขาก็ไม่น่าแปลกใจนัก ในตอนนั้นเจียงซั่งหังเฉยเมยต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่าเขาจะยอมทำให้ตระกูลของตัวเองไม่พอใจแค่เพื่อช่วยชีวิตนาง นอกจากนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนางออกจากเขาอวิ๋นอู้ก็เป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับเขา


 


 


พอเห็นนางพยักหน้า หลิ่วอีเตาก็ใช้เวลาสักพักเพื่อกลั่นกรองความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นแล้วศิษย์น้องฉินล่ะ”


 


 


ครั้งนี้โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ นานหลังจากนั้น ในที่สุดนางก็พูด “ศิษย์พี่หลิ่วแค่คิดว่าไม่มีคนเช่นนั้นอยู่ในโลกนี้แล้วกัน”


 


 


หลิ่วอีเตาตะลึงงัน “ทำไมล่ะ”


 


 


“คนคนนี้ไม่มีอยู่จริงในโลกตั้งแต่แรก” โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้อธิบายต่อ “จริงสิ ทำไมศิษย์พี่หลิ่วถึงไม่ได้ดูตกใจกับเพศที่แท้จริงของข้าเท่าไหร่เลย”


 


 


ดูจากการที่นางเปลี่ยนเรื่องอย่างเร็ว หลิ่วอีเตาก็เข้าใจได้ว่านางไม่อยากพูดถึงมันอีกต่อไป ในฐานะผู้ฝึกตนที่ท่องไปทั่วโลกมนุษย์ เขาจึงมีความสามารถในการเข้าใจความคิดของคนผ่านทางภาษากายและการแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงหยุดถามเรื่องนั้นต่อทันที เขาแค่ยิ้มและบอกว่า “การปลอมตัวของศิษย์น้องเยี่ยในตอนนั้นสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครเคยสงสัยว่าศิษย์น้องเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย กระนั้นมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนที่ติดต่อพูดคุยกับเจ้าตลอดเวลาอย่างพวกเราที่จะเจอความแปลกประหลาดบางอย่างเกี่ยวกับเจ้า ในตอนนั้นศิษย์น้องสวี…” ขณะที่เขาพูดถึงสวีจิ้งจือ สีหน้าของหลิ่วอีเตาหมองลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มทันทีอีกครั้งและพูดต่อ “ศิษย์น้องสวีครั้งหนึ่งเคยแอบพูดกับข้า เขาสงสัยตลอดว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เกี่ยวกับเจ้า…”


 


 


นางไม่เคยคาดคิดว่าทั้งสองคนจะพูดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้กันลับๆ นี่เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้นางหายรู้สึกสงสัย “อ้อ?”


 


 


หลิ่วอีเตาส่ายหน้าพร้อมหัวเราะ “ที่จริงพวกเราทุกคนรู้สึกเช่นนั้น แต่แค่พวกเราไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันมาก”


 


 


“จริงรึ ส่วนไหนของข้าที่แปลกล่ะ”


 


 


“ตัวอย่างเช่น ศิษย์น้อง เจ้าไม่สูงขึ้นเลย…”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงแต่ก็ระเบิดหัวเราะออกมาไม่นานหลังจากนั้น “นั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้…”


 


 


หลิ่วอีเตาพยักหน้า “ในตอนนั้นศิษย์น้องฉินแค่บอกว่าเจ้าเป็นผู้ชายที่ดูเหมือนผู้หญิงและไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เราคิดว่าเขาพูดถูกเพราะเจ้าก็เหมือนผู้หญิงมาก เพราะเหตุนั้นการได้รู้ว่าที่จริงเจ้าเป็นผู้หญิงเลยไม่น่าแปลกใจมากสำหรับข้า”


 


 


“เขาพูดแบบนั้นจริงๆ สินะ…” โม่เทียนเกอพึมพำกับตัวเอง ไม่แปลกใจเลยทำไมเขาถึงดูไม่ตกใจแม้แต่น้อย ปรากฏว่าที่จริงเขารู้มาสักพักแล้ว… ก็ไม่แปลก มีอะไรที่ข้าสามารถปิดบังเขาได้บ้างล่ะ


 


 


สีหน้าของนางตอนนี้ทำให้หลิ่วอีเตาลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดเขาก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้ถามไม่ได้ “ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์น้องฉินเขา…”


 


 


“เขาสบายดี” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มนั้นค่อนข้างเย็นชา “เขาสบายดีเกินกว่าจะจินตนาการได้เลยล่ะ เขาดีกว่าพวกเราทั้งสองคนมาก”


 


 


คำพูดเหล่านั้นช่างเสียดแทง ความเย็นชาในรอยยิ้มของนางปรากฏขึ้นอย่างเร็วมากเสียจนหลิ่วอีเตาเกือบจะคิดว่าเขาคิดไปเอง ทันทีหลังจากนั้น เขาได้ยินนางพูดว่า “อย่าคุยเรื่องนี้กันเลยศิษย์พี่หลิ่ว เป็นเวลานานมาแล้วตั้งแต่ข้าออกจากเขาอวิ๋นอู้มา เพราะงั้นท่านบอกข้าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากข้าจากมาในปีนั้น”


 


 


หลิ่วอีเตากล้ำกลืนคำถามในใจเขาและพยักหน้า “แน่นอน ได้สิ”


 


 


เขาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเริ่มพูด “ข้าจะเริ่มจากตอนที่เจ้าออกจากเขาอวิ๋นอู้ ในตอนนั้น ข้าได้ความดีความชอบจากท่านอาจารย์คนปัจจุบันของข้าและถูกเขารับเข้าเป็นศิษย์ ข้ายังได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นเมื่อข้าฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ข้าก็เริ่มปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่ครึ่งปี โดยไม่คาดคิด โชคของข้าค่อนข้างดี ข้าประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง เพียงหลังจากที่ข้าสร้างฐานแห่งพลังเสร็จและออกจากการปิดประตูแห่งจิต ข้าถึงได้รู้เรื่องพวกเจ้า ศิษย์น้องสวีตายไปในอุบัติเหตุ และเจ้าทั้งสามคนหายไปในเวลาเดียวกัน เราทั้งห้าเคยอยู่อาศัยด้วยกัน แต่สุดท้ายมีเพียงข้าคนเดียวที่ยังเหลืออยู่…” ความโดดเดี่ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วอีเตา เขาเคยเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว ดังนั้นเขาจึงเห็นคุณค่าของมิตรภาพมากกว่าพวกผู้ฝึกตนจากตระกูล หลังจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้น เขายังรู้สึกเป็นกังวลอยู่นาน เป็นเพราะเหตุนี้เขาถึงตื่นเต้นมากเมื่อเขาได้เจอว่าโม่เทียนเกอยังมีชีวิตอยู่


 


 


“ส่วนการหายตัวไปของศิษย์น้องเจียงและศิษย์น้องฉิน ทางสำนักไม่ได้ให้คำแถลงการณ์ใด แต่เจ้ากลับถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ พวกเขาบอกว่าเจ้าก่ออาชญากรรมเพื่อเห็นแก่การความร่ำรวยและฆ่าศิษย์น้องเจียงเฉิงเสียน ข้าไม่เชื่อแต่ข้าก็ไม่สามารถหาเจ้าพบ ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงเก็บความคิดเอาไว้ ตอนนี้ที่ข้ารู้ความจริง ในที่สุดข้าก็รู้ว่าตระกูลเจียงนั้นหน้าด้านแค่ไหน โชคดีที่พวกเขาได้รับบทเรียนแล้ว!”


 


 


โม่เทียนเกอถามถึงรายละเอียดเพิ่มด้วยความสับสน “พวกเขาได้รับบทเรียนเช่นไร”


 


 


หลิ่วอีเตากล่าว “ข้าไม่รู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์แบบไหนที่อาจารย์ลุงทั้งสองจากตระกูลเจียงไปทำให้ขุ่นเคืองเข้า แต่คืนหนึ่ง หัวหน้าสำนักย่อยเจียงถูกทำร้ายจนเขาบาดเจ็บสาหัส และอาจารย์ลุงเจียงอีกคนก็ไม่ได้รับการยกเว้นและบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ตระกูลเจียงจากนั้นค่อยๆ เริ่มตกต่ำลง ในภายหลังพวกเขาถึงขนาดต้องยอมเสียตำแหน่งหัวหน้าสำนักย่อยไปด้วยซ้ำ”


 


 


โม่เทียนเกอดูประหลาดใจแต่ไม่นานก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง ทำให้หลิ่วอีเตาต้องถาม “ศิษย์น้องเยี่ย หรือเจ้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ”


 


 


“… อาจจะ” โม่เทียนเกอรีบสงบสติอารมณ์อย่างเร็ว “ศิษย์พี่หลิ่ว แล้วท่านเป็นอย่างไรบ้างในเขาอวิ๋นอู้ทุกวันนี้”


 


 


“ก็ไม่เลว” ขณะที่พวกเขาพูดกันเรื่องนี้ หลิ่วอีเตาดูมีความสุข “ท่านอาจารย์ของข้าได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเจียงก็ไม่ได้เป็นพวกที่มีสิทธิ์มีเสียงในเขาอวิ๋นอู้อีกต่อไป ที่จริงข้าทำได้ดีมากเลยล่ะตอนนี้”


 


 


จากหน้าตาท่าทางของเขา เขาก็ดูเหมือนจะทำได้ดีมากจริงๆ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงรู้สึกดีใจกับเขาเช่นกัน


 


 


บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนกลับมาเป็นความสุขที่สหายได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากแยกจากกันไปนาน หลิ่วอีเตาฉวยโอกาสนี้และถามว่า “มีอีกอย่าง ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าต้องรู้สึกดีใจแน่หลังจากเจ้าได้ยิน”


 


 


“โอ้?”


 


 


หลิ่วอีเตาทำหน้าตาลึกลับ แต่ด้วยรูปร่างกำยำของเขา การทำหน้าตาเช่นนั้นก็ยิ่งน่าหัวเราะ เขาอดไม่ไหวและพูดว่า “สำนักจื่อซย่าคิดว่าการควบรวมสำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตาจะทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นและจะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ แต่ท้ายที่สุด ในการแข่งขันเพื่อครอบครองยาสร้างฐานแห่งพลัง ศิษย์จากทั้งสามกลุ่มต้องทนทุกข์กับความเสียหายย่อยยับ ภายหลังจากนั้นสักพัก ปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาก็ประสบอุบัติเหตุขณะกำลังฝึกตนอยู่ ทุกวันนี้ความแข็งแกร่งของทั้งสามกลุ่มลดลงอย่างมาก อย่าว่าแต่จะเป็นหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เลย พวกเขาไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะควบคุมพวกเราและโรงเรียนจินเตา”


 


 


“งั้นก็หมายความว่า… สำนักอวิ๋นอู้และโรงเรียนจินเตาถือว่าได้แยกตัวออกมาจากสำนักจื่อซย่าแล้วหรือ”


 


 


“เป็นเช่นนั้นไม่มากก็น้อย” หลิ่วอีเตาพยักหน้า “สำนักจื่อซย่ากล้าปฏิบัติกับอีกสองกลุ่มการฝึกตนเช่นนั้นก็เพียงเพราะพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เป็นผู้อุปถัมภ์ ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาใกล้ตายและสูญเสียศิษย์ระดับสูงของพวกเขาไปจำนวนมาก สำนักจื่อซย่าจะมีเวลามายุ่งกับพวกเราได้อย่างไร ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่ใช่คนนอก เพราะงั้นจึงไม่สำคัญหากข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า พวกเราร่วมมือกับโรงเรียนจินเตา เมื่อโอกาสมาถึง เราจะจัดการกับสำนักจื่อซย่าด้วยกัน!”


 


 


ความเกลียดชังพลุ่งพล่านปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วอีเตา ย้อนไปตอนนั้น ในหมู่ทั้งห้าคนในบ้าน เขามักจะถือว่าตนเองเป็นศิษย์พี่ผู้อาวุโสที่สุดและมักจะดูแลคนอื่นๆ เสมอ อย่างไรก็ตาม สวีจิ้งจือถูกฆ่าตายในการแข่งขันเพื่อชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง และตั้งแต่นั้นมา ในจิตใจของหลิ่วอีเตาก็มีไฟคุกรุ่นอยู่ตลอด ตอนนี้เมื่อเขามีโอกาสได้แก้แค้น เขาก็ต้องเข้าร่วมเป็นธรรมดา


 


 


“ศิษย์พี่หลิ่ว ในกรณีที่ข้าไม่สามารถกลับไปที่คุนอู๋ตะวันออกได้ ท่านต้องแก้แค้นแทนข้าด้วย” โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชา “ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ได้เพื่อชำระแค้นให้กับศิษย์พี่สวี แต่ไม่ช้าก็เร็ว เราต้องแก้แค้นให้เขา!”


 


 


“ถูกต้อง!” ทั้งสองคนยิ้มให้กัน หลิ่วอีเตาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ตอนนี้เจ้าดูสวยมาก ทำไมเจ้าต้องแสร้งทำเป็นผู้ชายด้วยล่ะตอนนั้น”


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ขี้อายและคนที่ชมนางก็คือหลิ่วอีเตาซึ่งนางนับว่าเป็นพี่ชายคนโตของนางเสมอ ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกเขินแม้แต่นิดเดียว นางเพียงแค่หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ตอนนั้นข้าไม่มีใครคอยหนุนหลังและต้นทุนของข้าก็ด้อย ข้ากลัวว่าข้าจะถูกบังคับให้ทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรือแม้แต่ถูกจับให้เป็นเมียน้อยของใครสักคน ข้าก็เลย…”


 


 


“อ้อ ข้าเข้าใจ…” หลิ่วอีเตาพูดด้วยความเข้าใจ “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ามีความคิดเหล่านั้น ผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่มีผู้อุปถัมภ์หรือต้นทุนที่ดีเพียงพอก็ง่ายต่อการถูกจับคลุมถุงชน แม้แต่ถูกจัดให้เป็นมนุษย์เตาหลอมก็เป็นได้…”


 


 


ขณะนั้น อยู่ๆ โม่เทียนเกอก็จดจำบางสิ่งขึ้นมาได้ “อ้อ! ศิษย์พี่หลิ่ว ศิษย์พี่มู่หรง ศิษย์พี่หวังและคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เมื่อนางพูดถึงพวกนาง ความผิดหวังและความไม่พอใจจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วอีเตา อย่างไรก็ตาม เขาเค้นรอยยิ้มทันทีและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขาหรอก ศิษย์น้องมู่หรงได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากตระกูลของนาง ถึงแม้ว่านางจะล้มเหลวในการพยายามสร้างฐานแห่งพลังครั้งแรก แต่ในที่สุดนางก็ทำสำเร็จไม่นานมานี้ ส่วนศิษย์น้องหวังและศิษย์น้องเฉิน… เมื่ออดีตเจ้าสำนักแห่งสำนักจื่อซย่าตกจากอำนาจ บุตรชายของเขาประสบอุบัติเหตุ ดังนั้นศิษย์น้องเฉินจึงเป็นอิสระแล้วตอนนี้ ศิษย์น้องหวัง…ยังคงเป็นภรรยาของคนผู้นั้นอยู่ แต่เพราะนางเป็นคนมีความสามารถมาโดยตลอด นางจึงปลอดภัยอยู่ในสำนักจื่อซย่า ณ ตอนนี้ ครั้งนี้เราสามารถวางแผนตลบหลังสำนักจื่อซย่าได้จากข้างในและข้างนอกก็เพราะเราร่วมมือกับศิษย์น้องหวังและศิษย์น้องเฉิน อ้อ! พวกนางทั้งสองคนยังสร้างฐานแห่งพลังได้แล้วด้วย”


 


 


“เข้าใจล่ะ…” นี่ดีกว่าที่นางจินตนาการไว้เสียอีก คาดว่าอิสรภาพของหวังเชี่ยนอีจากความทรมานของนางก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว 

 

 


ตอนที่ 147-1 พิธีก่อจิตวิญญาณ

 

การเตรียมพิธีก่อจิตวิญญาณเพื่อเฉลิมฉลองที่ประมุขเต๋าเสวียนอินก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่สำเร็จใช้เวลาอยู่หลายเดือน พอถึงช่วงสุดท้ายของการเตรียมงาน แขกเกือบทั้งหมดก็มาถึงกันแล้ว 


 


 


โม่เทียนเกอยุ่งมากเสียจนเวลาการฝึกตนของนางถูกตัดออกเหลือแค่สามชั่วยามต่อวันและนางก็ไม่ใช่คนเดียวที่เป็นเช่นนี้ ศิษย์หัวกะทิคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนเป็นเหมือนกันไม่มากก็น้อย หนึ่งในสาเหตุของเรื่องนี้ก็เพราะมีแขกมามาก ไม่ใช่แค่กลุ่มการฝึกตนสำคัญๆ ที่ได้รับเชิญ แม้แต่กลุ่มการฝึกตนที่ห่างไกลและไม่เป็นที่รู้จักในแถบคุนอู๋ตะวันออกอย่างสำนักอวิ๋นอู้ก็ยังมาเพื่อแสดงความยินดีด้วย 


 


 


ด้วยการมาถึงของกลุ่มการฝึกตนมากหลาย ความขัดแย้งจึงเพิ่มมากขึ้น เหมือนอย่างสองคนที่โม่เทียนเกอต้อนรับเมื่อก่อนหน้านี้ มีบางกลุ่มหรือผู้ฝึกตนบางคนที่มีความแค้นเคืองกันซึ่งร้อนรุ่มไปด้วยความเกลียดชังทันทีที่ได้เจอหน้ากันที่นั่น มันคงเล็กน้อยมากถ้าพวกเขาเพียงแค่ส่งเสียงกรีดร้องหรือตะโกนใส่กัน แต่พวกเขายังมาเพื่อลงไม้ลงมือกันด้วยในบางครั้ง เรื่องนี้ทำให้ผู้ฝึกตนของโรงเรียนเสวียนชิงต้องยุ่งวุ่นวายมาก โชคดีที่คนเหล่านี้ยังมีความยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง พอรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง พวกเขาจึงไม่เคยสู้กันจนเลยเถิดไป 


 


 


หลังจากเวลาหลายเดือนของความเร่งรีบและวุ่นวาย พิธีก่อจิตวิญญาณจึงได้เริ่มต้นขึ้นในที่สุด 


 


 


ในวันดีที่แสงแดดสว่างสดใส ศิษย์กว่าห้าพันคนที่โรงเรียนเสวียนชิงรวมกับแขกเหรื่อหลายพันคนที่มาเพื่อแสดงความยินดีได้มารวมตัวกันที่ลานจัตุรัสที่ยอดเขาหลักแห่งเขาไท่คัง 


 


 


โม่เทียนเกอยืนอยู่ท่ามกลางแถวของศิษย์หัวกะทิ กำลังมองผู้ฝึกตนจำนวนมากยืนอยู่หน้าโถงหลัก 


 


 


การก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่คือเรื่องที่มีความสำคัญอันยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่านั้น ด้วยแขกที่มาเข้าร่วมงานหลายพันคน ชื่อเสียงของโรงเรียนจึงอยู่ในความเสี่ยง เพราะฉะนั้นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงทั้งหมดจึงมาปรากฏตัวอยู่ด้วย ณ ตอนนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอถึงกับยอมแต่งชุดคลุมแบบชาวลัทธิเต๋าของโรงเรียนอย่างว่าง่าย ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังส่วนใหญ่ของโรงเรียนเสวียนชิงก็เข้าร่วมพิธีเช่นกัน โม่เทียนเกอเห็นเกือบจะทุกคนที่นางสามารถนึกออกนอกเหนือจากแค่คนเดียว ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่และการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่เป็นมิตรกับโรงเรียนเสวียนชิงและมาเพื่อแสดงความยินดียังถูกจัดให้อยู่ด้านหน้า ทำให้ด้านหน้าของโถงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย 


 


 


นี่อาจจะถือได้ว่าเป็นการรวมตัวกันของผู้ฝึกตนระดับสูงที่น่าประทับใจที่สุดที่โม่เทียนเกอเคยเห็นมาตั้งแต่นางเริ่มฝึกตน ตอนนี้เองที่นางเข้าใจอย่างแท้จริงถึงความน่าเกรงขามของโรงเรียนเสวียนชิง 


 


 


ที่นี่ไม่ใช่เขาอวิ๋นอู้ที่ครั้งหนึ่งนางเคยอยู่ ที่นี่คือโรงเรียนเสวียนชิง กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อันดับสองในขั้วท้องฟ้า และในอนาคตอาจกลายเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่และการก่อเกิดแก่นขุมพลังเหล่านี้ยังเป็นผู้ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในขั้วท้องฟ้าอีกด้วย 


 


 


ถึงแม้ว่าลานจตุรัสของโรงเรียนจะเต็มไปด้วยคนหลายพันคน แต่ไม่มีเสียงใดให้ได้ยินเลยแม้แต่เสียงเดียว 


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก้าวขึ้นมาข้างหน้าขณะที่กวาดสายตามองศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ต่อหน้าเขาช้าๆ  


 


 


ศิษย์ทุกคนของโรงเรียนเสวียนชิงและผู้ฝึกตนระดับต่ำจากกลุ่มการฝึกตนอื่นที่มาเพื่อแสดงความยินดีสัมผัสได้ถึงสายตาเขาที่จับจ้องอยู่ที่ตัวพวกเขา 


 


 


“แขกผู้มีเกียรติและศิษย์ที่รัก วันนี้คือพิธีก่อจิตวิญญาณของเราเพื่อเฉลิมฉลองให้กับการก้าวหน้าไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ของประมุขเต๋าเสวียนอินแห่งโรงเรียนเสวียนชิง สำหรับเหตุนี้ เราต้องแสดงความขอบคุณต่อแขกของเราที่อุตส่าห์มากันถึงที่นี่เพื่อเข้าร่วมพิธีนี้ ในหมู่พวกท่าน บางคนเดินทางมามากกว่าพันไมล์เพื่อมาอยู่ที่นี่ ในนามของโรงเรียนเสวียนชิง ข้าอยากจะขอบคุณทุกท่านยิ่งนัก ข้าขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเข้าสู่โรงเรียนเสวียนชิงอีกครั้งหนึ่ง เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านได้มาอยู่ร่วมกับเรา”  


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพยักหน้าพร้อมกับประสานมือไปทางแขกที่ล้อมรอบอยู่เพื่อแสดงออกถึงความขอบคุณและความเคารพ เพราะสถานะของประมุขเต๋าเจิ้นหยางในฐานะผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนจิตวิญญาณใหม่ แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่และการก่อเกิดแก่นขุมพลังธรรมดายังไม่กล้าจะรับท่าทางสุภาพของเขา ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณและการสร้างฐานแห่งพลังเลย พวกเขาโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพกลับทีละคน ทีละคน 


 


 


“ข้าจะไม่พูดพร่ำทำเพลงให้ยืดยาว เราจะเริ่มพิธีก่อจิตวิญญาณกันเลย”  


 


 


ทันทีหลังจากที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูดจบ เสียงดนตรีไพเราะเริ่มเติมเต็มบรรยากาศ ประมุขเต๋าเสวียนอินใส่ชุดชาวลัทธิเต๋าลายหยินหยางและรองเท้าลายตรีลักษณ์ทั้งแปด เดินผ่านฝูงชนค่อยๆ ก้าวมาข้างหน้า 


 


 


ประมุขเต๋าเสวียนอินก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้อย่างราบรื่น ตอนนี้เขาอายุประมาณสี่ร้อยปีแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากดินแดนของเขา เขาก็ยังถือว่าอายุน้อยมาก แถมเขายังดูอ่อนกว่าวัยลงกว่าเดิมมากอีกด้วย ที่จริงตอนนี้เขาดูเหมือนชายในวัยสามสิบ ยิ่งไปกว่านั้น เขาตัดหนวดยาวของเขาให้สั้น เขายังคงดูภูมิฐานแต่ก็ดูเหมือนมีพลังชีวิตที่อ่อนวัยเช่นเดียวกัน 


 


 


ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็ยังค่อนข้างประหลาดใจ นางไม่เคยใส่ใจนักกับหน้าตาของอาจารย์ลุงเสวียนอิน แต่ตอนนี้เมื่อนางได้เห็นเขาชัดๆ นางรู้สึกว่าเขาอาจจัดได้ว่าหล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว เป็นไปตามคาดของคนที่มาจากโลกแห่งการฝึกตน เมื่อพวกเขาฟื้นคืนรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์มาได้ พวกเขาก็มักจะดูสวยงามเป็นธรรมดา 


 


 


เมื่อประมุขเต๋าเสวียนอินไปถึงเวทีด้านหน้า ภายใต้การนำของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง อย่างแรกเขาบูชาตรีวิสุทธิเทพ [1] จากนั้นจึงรายงานต่อประมุขผู้อาวุโสสูงสุด ผู้ที่จะแต่งตั้งตำแหน่งผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดให้กับเขาต่อไป 


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น เขาบูชาท่านอาจารย์ที่สอนเขามาและคุกเข่าเพื่อรับฟังคำของเขา 


 


 


“เสวียนอินศิษย์ข้า เจ้าเป็นคนฉลาดหลักแหลมและมีอารมณ์มั่นคง วันนี้อาจารย์รู้สึกยินดีอย่างที่สุดสำหรับการก้าวไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ของเจ้า จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่หยิ่งผยองทะนงตนหรือใจร้อนและบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ”  


 


 


ขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ตระหนักว่าเขาไม่เคยทำตัวไม่เหมาะสมในระหว่างเรื่องที่มีความสำคัญมาก บัดนี้เมื่อเขายืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมในชุดหยินหยางของชาวลัทธิเต๋าต่อหน้าศิษย์หลายพันคน เขามีรัศมีของท่านอาจารย์ผู้ทรงเกียรติโดยแท้ 


 


 


ประมุขเต๋าเสวียนอินคุกเข่าก้มหัวคำนับ นี่จะเป็นการคุกเข่าก้มหัวคำนับอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายของเขาในฐานะศิษย์ต่อท่านอาจารย์ ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ในอนาคต ด้วยตัวตนของเขาในฐานะผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ เขาจะไม่จำเป็นต้องคุกเข่าก้มหัวคำนับใครอีก 


 


 


“ศิษย์ขอขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับคำสั่งสอน เสวียนอินจะไม่ลืมพระคุณและการสอนที่มีค่านับหลายร้อยปีที่ท่านอาจารย์ได้สอนเสวียนอินมา”  


 


 


สีหน้าปลื้มปีติปรากฏขึ้นบนใบหน้าของประมุขเต๋าจิ้งเหอ “เจ้าได้เข้าสู่เต๋าอันยิ่งใหญ่ จากนี้ต่อไป เจ้าจะยืนอยู่ในฐานะฝ่ายที่แยกออกไป ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อีกต่อไปแล้ว แค่ยึดถือความรู้สึกของความสัมพันธ์แบบอาจารย์-ศิษย์ไว้ในหัวใจก็เพียงพอ”  


 


 


“ขอรับ ศิษย์จะทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน”  


 


 


จากนั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด “พิธีรำลึกบุญคุณอาจารย์เสร็จสิ้นแล้ว เจ้ายืนขึ้นได้”  


 


 


ประมุขเต๋าเสวียนอินยืนขึ้นตามคำบอกของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง เขาไปอยู่ที่ท้ายแถวของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่แห่งโรงเรียนเสวียนชิง เป็นการบ่งบอกว่าพิธีเสร็จสิ้นลงแล้ว 


 


 


กระบวนการทั้งหมดทำเสร็จเร็วกว่าหนึ่งชั่วโมง ขณะนั้นประมุขเต๋าเจิ้นหยางออกคำสั่งให้ศิษย์ทั้งหมดถอยออกไป นำทางแขกไปยังที่นั่งและให้ความบันเทิงกับพวกเขา 


 


 


ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาจะไม่จำเป็นต้องทานอาหารจริงๆ แต่งานเลี้ยงก็ยังเป็นส่วนสำคัญของการให้ความบันเทิงกับแขก ทั้งยอดเขาหลักของโรงเรียนเสวียนชิง โต๊ะหยกหลายพันตัวถูกจัดเรียงจากล่างขึ้นบน แขกถูกเชิญให้นั่งและศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงเองก็จะนั่งเป็นเพื่อนพวกเขาด้วย 


 


 


โม่เทียนเกอก็ได้รับงานนี้เช่นกัน นางรับผิดชอบเรื่องการรับแขกผู้หญิง 


 


 


เทียบกับแขกผู้ชาย แขกผู้หญิงจะต้องได้รับการดูแลที่พิเศษมากกว่าหน่อย ดังนั้นพวกนางทุกคนจึงถูกจัดให้นั่งอยู่ในร่ม นี่เป็นครั้งแรกที่โม่เทียนเกอเคยอยู่ในสถานที่ที่มีผู้ฝึกตนหญิงมากมายขนาดนี้ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวียนหัว!  


 


 


ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากน้ำหอมของพวกนางกลิ่นแรงเกินไป!  


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงที่สามารถมาที่โรงเรียนเสวียนชิงเพื่อแสดงความยินดีได้แน่นอนว่าต้องมีตำแหน่งสูงในกลุ่มการฝึกตนของพวกนาง แต่ละคนเชื่อว่าตัวเองเป็นเทพธิดา ในฐานะเทพธิดา พวกนางจึงใส่น้ำหอมกลิ่นที่มีเอกลักษณ์พิเศษซึ่งส่งกลิ่นไปพร้อมกับทุกการขยับตัว 


 


 


มันคงจะไม่เป็นไรถ้ามีแค่คนเดียว แต่ที่นี่มีผู้หญิงอยู่เป็นกลุ่มๆ กลิ่นน้ำหอมทุกชนิดปะปนกันอบอวล! โม่เทียนเกอรู้สึกมึนหัวมากจนนางเกือบจะเป็นลม! ท้ายที่สุด นางใช้พลังทางจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อปิดกั้นประสาทสัมผัสด้านกลิ่นและแกล้งทำเป็นว่าไม่มีกลิ่นอะไร 


 


 


ถึงอย่างนั้นโอกาสนี้ก็ได้เปิดโลกของนางอย่างแท้จริง กลายเป็นว่าผู้ฝึกตนหญิงของโลกแห่งการฝึกตนควรจะมีหน้าตาและทำท่าทางเช่นนี้! นางเคยปลอมเป็นผู้ชายในสำนักอวิ๋นอู้ และภายหลังเมื่อนางมาที่โรงเรียนเสวียนชิง แม้ว่านางจะใช้เวลากับผู้ฝึกตนหญิงอย่างหลัวเฟิงเสวี่ย แต่โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า ดังนั้นผู้ฝึกตนหญิงส่วนใหญ่จึงแต่งตัวแบบชาวลัทธิเต๋า ในหมู่คนไม่กี่คนที่นางสนิทด้วย ไม่มีใครเลยสักคนที่ไม่ได้มีรูปลักษณ์เรียบง่ายและเรียบร้อย 


 


 


สำหรับโอกาสสำคัญเช่นนี้ อีกหกกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ต้องเข้าร่วมโดยไม่มีข้อยกเว้นอยู่แล้ว ผู้ฝึกตนหญิงสามคนมาจากสำนักเทียนเต้า อย่างไรก็ตามทั้งสามคนล้วนใส่เสื้อผ้าแตกต่างกัน คนหนึ่งแต่งตัวราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ด้วยเสื้อผ้าที่พริ้วไหวไปตามสายลม คนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีดำที่ปกปิดเพียงส่วนสำคัญของร่างกาย เผยผิวขาวเป็นวงกว้างให้เห็นราวกับนางเป็นแม่มด ส่วนอีกคนแต่งตัวในชุดเครื่องแบบของสำนักสีม่วงอ่อนที่มีลายสีขาวธรรมดาและเรียบร้อย ทุกคนกล่าวว่าศิษย์สำนักเทียนเต้าเป็นคนหลากหลายประเภทที่มาจากพื้นเพต่างกัน เมื่อได้เห็นวิธีที่ทั้งสามคนนี้แต่งตัว ข่าวลือก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าน่าจะจริง 


 


 


ถัดไปคือศิษย์ของสำนักกู่เจี้ยน สำนักกู่เจี้ยนเชี่ยวชาญในวิชาการฝึกตนสายกระบี่ ดังนั้นศิษย์ของพวกเขาจึงแต่งตัวในแบบที่ค่อนข้างเรียบง่ายกว่า พวกนางทุกคนใส่เสื้อสีดำและกระโปรงสีขาว และแต่ละคนต่างแบกกระบี่ยาวไว้ที่หลัง เพราะนางเคยมีความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนมาก่อน โม่เทียนเกอจึงไม่มีความประทับใจที่ดีต่อสำนักกู่เจี้ยน ดังนั้นผู้ฝึกตนหญิงจากสำนักกู่เจี้ยนเหล่านี้จึงมีสหายศิษย์คนอื่นมาต้อนรับแทน 


 


 


กลุ่มที่สามคือสำนักเจิ้งฝ่า สาขาใหญ่ของสำนักเจิ้งฝ่าไม่ได้ตั้งอยู่ในคุนอู๋ แต่เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เพียงกลุ่มเดียวในแถบทิศเหนือของขั้วท้องฟ้า พวกเขาจึงยังมีอำนาจที่น่านับถือ เหมือนกับโรงเรียนเสวียนชิง สำนักเจิ้งฝ่าเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า ศิษย์ของพวกเขาใส่ชุดคลุมชาวลัทธิเต๋าสีฟ้าขาวซึ่งดูเรียบง่ายและเรียบร้อย อย่างไรก็ตามสีฟ้าในชุดพวกเขาเป็นสีฟ้าอมเขียว นอกจากนั้นขณะที่สีหลักของชุดชาวลัทธิเต๋าของโรงเรียนเสวียนชิงคือสีขาวที่มีสีน้ำเงินเข้มเป็นเพียงสีที่แซมมา แต่สำนักเจิ้งฝ่ามีชุดยาวสีฟ้าอมเขียวและเสื้อคลุมสีขาว 


 


 


ศิษย์ผู้หญิงของสำนักปี้อวิ๋นมีความสง่างามที่แตกต่างไป สำนักปี้อวิ๋นเป็นกลุ่มการฝึกตนที่มีลักษณะเฉพาะ อย่างแรก พวกเขาจะรับสมัครศิษย์ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อย่างที่สอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ศิษย์ทั้งหมดล้วนหน้าตาดีมาก อย่างสุดท้าย กฎแห่งการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของพวกเขามีชื่อเสียงมาก ชุดเครื่องแบบของสำนักปี้อวิ๋นประกอบไปด้วยชุดสีขาว เมื่อศิษย์ผู้หญิงเหล่านี้ใส่ชุดนั้น พวกนางทุกคนดูเหมือนกับสาวงามที่เยือกเย็นซึ่งงดงามดั่งเซียน 


 


 


นอกจากนี้ยังมีศิษย์ผู้หญิงของสำนักหลิงโซ่ว ชุดเครื่องแบบสำนักของพวกนางประกอบไปด้วยชุดสีเหลือง ถึงแม้ว่าพวกนางจะดูไม่งดงามเท่ากับศิษย์ผู้หญิงของสำนักปี้อวิ๋น แต่พวกนางกลับดูมีเสน่ห์และน่ารักมากกว่า รูปกิเลนปักเป็นลวดลายอยู่ที่ขอบชุด กิเลนเป็นสัญลักษณ์ของผู้ก่อตั้งสำนักหลิงโซ่ว 


 


 


สำหรับโรงเรียนต้านติ่ง เพราะพวกเขาประสบกับความสูญเสียอย่างรุนแรง มีผู้ฝึกตนหญิงเพียงคนเดียวที่มา นางนั่งเงียบอยู่ที่มุมและไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ 


 


 


นอกจากพวกนางยังมีกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ที่ต่ำกว่ามาตรฐานบางกลุ่มด้วย มีหญิงงามทุกประเภทในหมู่ศิษย์ผู้หญิงของพวกเขา ส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบของกลุ่ม และแต่งตัวให้ดูเหมือนสาวงามที่น่าหลงใหลแทน โม่เทียนเกอเดาว่าเหตุผลที่พวกนางอยากจะดูสวยเด่นกว่าคนอื่นๆ เพราะกลุ่มของพวกนางไม่ดีเท่ากับกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด ในทางตรงข้าม ศิษย์ส่วนมากของเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่จะใส่ชุดเครื่องแบบของกลุ่มตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นความสวยหรือการแสดงอารมณ์ พวกนางก็ไม่แพ้เลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


สิ่งที่ทำให้โม่เทียนเกอพอใจก็คือท่ามกลางผู้ฝึกตนหญิงกลุ่มใหญ่ นางไม่อาจจัดได้ว่าโดดเด่นถึงแม้นางจะค่อนข้างสวยน่ารัก ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของนางพอดี 


 


 


มีผู้หญิงแค่ไม่กี่คนหรอกที่ไม่ชอบให้ตัวเองดูสวย อย่างไรก็ตาม นางรู้เสมอว่าในฐานะผู้ฝึกตนหญิง การมีหน้าตาที่ไม่ได้สวยเกินไปแต่ก็ไม่ธรรมดาเกินไปนั้นดีที่สุด การที่ดูค่อนข้างสวย คนก็จะปฏิบัติกับนางอย่างดี แต่ก็จะไม่นำอันตรายมาสู่ตัวนาง ผู้ฝึกตนชายจะไม่รู้สึกอยากยัดเยียดตัวเองให้นาง และผู้ฝึกตนหญิงก็จะไม่อิจฉานาง 


 


 


มีคนหน้าตาดีมากมายในโลกแห่งการฝึกตน ถ้าคนหนึ่งดูธรรมดาเกินไป พวกเขาจะถูกโยนเข้ากลุ่มคนน่าเกลียด ถ้าคนนั้นถือว่าสวยมากในกลุ่มของคนสวย พวกเขาก็จะกลายเป็นเป้าหมายของผู้ฝึกตนระดับสูงหลายคนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น เป็นคนสวยปานกลางนั้นดีที่สุดแล้ว  

 

 


ตอนที่ 147-2 พิธีก่อจิตวิญญาณ

 

พอถึงตอนนี้ ‘เทพธิดา’ เหล่านี้ถูกเชิญให้นั่งประจำที่ พวกเทพธิดาจะไม่คุยกันเสียงดังเหมือนอย่างพวกผู้ฝึกตนชาย ดังนั้นด้านข้างโถงฝั่งนี้ทั้งหมดจึงเต็มไปด้วยเสียงเบาขณะที่พวกนางคุยกัน เสียงนั้นนุ่มนวลและเสนาะหู แต่สิ่งที่พวกนางพูดคุยกันกลับเต็มไปด้วยการเสียดสีกัน


 


 


ที่นั่งอยู่รอบโม่เทียนเกอคือผู้ฝึกตนหญิงจากกลุ่มการฝึกตนขนาดกลางสักกลุ่ม ผู้ฝึกตนหญิงที่ดูหยิ่งยโสเหลือบมองใครคนหนึ่งข้างหน้านาง จากนั้นพูดกับสหายศิษย์ที่นั่งข้างๆ นาง “ศิษย์น้อง คือ… ทำไมนะคนบางคนถึงไม่รู้ตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียวได้ขนาดนี้ มีศิษย์หัวกะทิจากทุกกลุ่มการฝึกตนอยู่ที่นี่ ทำไมคนที่มีต้นทุนธรรมดาที่โชคดีสามารถเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้จากการคุ้มครองและช่วยเหลือของบรรพบุรุษของนางถึงช่างกล้าจะโผล่มาที่นี่นะ คนอาจจะหัวเราะกันจนตายก็ได้ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้”


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงที่นั่งถัดจากนางพยักหน้าตามแต่โดยดี


 


 


ถึงอย่างนั้นผู้หญิงอีกคนที่ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเหลือบมองเพียงแค่เยาะเย้ย “มุมมองของใครบางคนไม่เปลี่ยนไปเลยในแปดร้อยปีที่ผ่านมา นางคิดว่านางมีต้นทุนที่ดีกว่าและเกิดมาสูงศักดิ์ ดังนั้นนางมักจะรู้สึกว่านางอยู่เหนือทุกคน นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคนเขานำหน้านางและทิ้งนางไว้ข้างหลังหมดแล้ว นางยังใช้มุมมองแบบเก่าเพื่อตัดสินคนอื่นอีก!”


 


 


“เจ้า–” ใบหน้าของหญิงที่ดูหยิ่งยโสบูดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่านางเคยถูกคนอื่นๆ ตามใจ นางค่อนข้างเก่งกับการล้อคนอื่น แต่การยั้งตนเองของนางนั้นไม่ดีเอาเสียเลย


 


 


หญิงคนเดียวกันที่ล้อผู้ฝึกตนหญิงหน้าตาหยิ่งยโสยิ้มและถึงกับขยิบตาให้นาง “ศิษย์พี่หยวน ท่านไม่คิดว่าข้าพูดถูกรึ”


 


 


การขยิบตาครั้งนี้ทำให้หญิงที่ดูหยิ่งยโสโมโห นางตบโต๊ะและพูดอย่างโกรธๆ “เหอหรูเซวียน แก นางแพศยาหน้าด้าน!”


 


 


หญิงที่ชื่อเหอหรูเซวียนแท้จริงแล้วค่อนข้างสวย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ… นางมีเสน่ห์และหว่านเสน่ห์มากเกินไป ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าหญิงที่ดูหยิ่งยโสที่ชื่อศิษย์พี่หยวนจะเป็นคนสวยเหมือนกัน แต่ความเข้มงวดของนางทำให้นางขาดเสน่ห์ไป


 


 


ทั้งที่ถูกสบถใส่ แต่เหอหรูเซวียนก็ไม่โกรธ ในทางตรงข้าม นางถึงกับจงใจหัวเราะน้อยๆ ในท่าทางดัดจริตและพูดว่า “ศิษย์พี่หยวน ท่านยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ ข้าต้องบอกท่านเรื่องนี้ เป็นศิษย์พี่เจิ้นเองนะที่ชอบข้า ข้าไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นกับเขาเลย เพราะงั้นทำไมท่านต้องโกรธข้าด้วย”


 


 


เห็นได้ชัดว่านางกำลังอธิบายแต่คำพูดของนางเต็มไปด้วยการกระแนะกระแหน ทำให้ศิษย์พี่หยวนคนนั้นโกรธจัดจนทั้งร่างสั่นสะท้าน “เหอหรูเซวียน! เจ้าคิดว่าตัวเองสูงส่งนัก! เจ้ามันก็แค่ขยะที่ชอบนอนกับคนอื่นไปทั่ว! ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้านอนกับผู้ชายไปกี่คนแล้ว!”


 


 


ครั้งนี้สิ่งที่นางพูดช่างเปิดหูเปิดตาโม่เทียนเกอจริงๆ ปรากฏว่าแม่เทพธิดาสวยๆ พวกนี้ก็พูดคำหยาบคายที่พวกหญิงที่แต่งงานแล้วในโลกมนุษย์มักจะพูดเมื่อพวกนางทะเลาะกันเหมือนกัน พวกนางก็ไม่ได้ต่างจากผู้ฝึกตนชายเท่าไหร่นักหรอก!


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้น ใบหน้าของเหอหรูเซวียนเปลี่ยนไปในที่สุด ความโกรธวาบขึ้นมาบนใบหน้านางทันที แต่นางก็รีบกลบเกลื่อนอย่างเร็วและส่งเสียงหัวเราะน้อยๆ อย่างดัดจริต “ศิษย์พี่หยวนพูดอะไรนะ ต่อให้ข้าหลับนอนไปทั่ว นั่นก็เพราะพวกเขายินดีจะนอนกับข้าต่างหาก ข้าไม่ใช่คนที่นอนเปลือยอยู่บนเตียงคนอื่นแล้วยังถูกไล่ออกมานี่นา ในฐานะผู้หญิง นั่นน่ะช่างน่า-ขาย-หน้า!” ด้วยคิ้วที่เลิกสูงและหัวที่เอียงเล็กน้อยเล็งไปทางศิษย์พี่หยวน มันชัดเจนแล้วว่านางกำลังพูดถึงใคร


 


 


แน่นอนว่าศิษย์พี่หยวนหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความลับ นางไม่เคยคาดคิดว่ามันจะถูกเปิดเผยต่อหน้าคนตั้งมากมาย นางตะโกนทันที “เจ้าพ่นเรื่องไร้สาระอะไรออกมา!”


 


 


“ไม่ว่าข้าจะพูดเรื่องไร้สาระหรือไม่ ท่านก็รู้ดีที่สุด ใช่ไหมล่ะศิษย์พี่หยวน” เหอหรูเซวียนปิดปากหัวเราะก่อนจะก้มลงจิบเหล้าองุ่นอย่างอ่อนช้อย


 


 


“เจ้า–” ศิษย์พี่หยวนดีดตัวออกจากที่นั่งด้วยความโกรธ เตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้ด้วยพลังเวทตลอดเวลา


 


 


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เลวร้ายลง โม่เทียนเกอหยุดดูละครตรงหน้าทันทีและยืนขึ้น “ศิษย์พี่ โปรดอภัยให้เราด้วยหากเราไม่ได้เป็นเจ้าบ้านที่ดี…”


 


 


“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” ก่อนที่โม่เทียนเกอจะพูดจบ ศิษย์พี่หยวนคนนั้นก็ตัดบทนางแล้ว “ข้าอยากจะจัดการเรื่องระหว่างข้าและนางแพศยาหน้าด้านนี่!”


 


 


ก่อนที่โม่เทียนเกอจะทันพูดอะไร เหอหรูเซวียนแทรกเข้ามาและพูดว่า “ศิษย์พี่หยวน ตอนนี้เราอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง! ท่านอาจารย์ของคนที่เพิ่งคุยกับท่านคือประมุขเต๋าจิ้งเหอ ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางผู้สูงศักดิ์ เขาไม่เหมือนกับอาจารย์ลุงหยวนที่เป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นต้นของการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่ไม่สำคัญอะไร!”


 


 


ดูเผินๆ เหมือนนางกำลังพูดถึงโม่เทียนเกอ แต่ความหมายเบื้องลึกในคำพูดของนางยังตอกย้ำถึงสถานะของศิษย์พี่หยวน บีบบังคับให้ศิษย์พี่หยวนต้องรู้สึกเสียหายอีกครั้งอย่างเงียบๆ อย่างไรก็ตาม เหอหรูเซวียนยังบอกให้รู้ว่าสถานะของโม่เทียนเกอไม่ธรรมดา ไม่เหมือนกับศิษย์ตัวจ้อยไม่มีพื้นเพที่นางเคยกลั่นแกล้งตามใจชอบในสำนักของนาง ศิษย์พี่หยวนยังมีสามัญสำนึกอยู่บ้าง ดังนั้นนางจึงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างโมโหและนั่งลงกับที่


 


 


รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหอหรูเซวียน


 


 


โม่เทียนเกแค่มองเฉยๆ ขณะที่การทะเลาะกันนั้นจบลง นางยิ้มให้ศิษย์พี่หยวนและพูดว่า “ดีจริงที่ศิษย์พี่หยวนเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี เราจะต้องชดเชยให้ศิษย์พี่แน่ถ้าเราเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ดี”


 


 


โชคดีที่ศิษย์พี่หยวนไม่ใช่คนโง่ เหอหรูเซวียนจงใจชี้ถึงตัวตนของนาง ดังนั้นถึงแม้ว่านางจะอับอาย แต่นางก็ยังรู้ว่าด้วยตัวตนของโม่เทียนเกอ โม่เทียนเกอไม่ใช่คนที่นางจะสามารถทำให้เคืองใจได้ นางจึงยืนขึ้นและโค้ง “ข้าเองที่บุ่มบ่ามเกินไป ข้าหวังว่าศิษย์พี่จะยินดีอภัยให้ข้าด้วย”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มและจบเรื่อง “แค่เรื่องเล็กน้อย อย่าได้กังวลใจนัก”


 


 


ตอนนี้เมื่อพื้นที่ตรงนั้นกลับสู่ความสงบสุข โม่เทียนเกอแอบเหลือบมองอย่างมีนัยยะไปที่เหอหรูเซวียน นางเห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่หยวนมีนิสัยหยิ่งยโสและมุ่งมั่นแต่ก็เป็นคนเรียบง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะเหอหรูเซวียนไปยั่วโมโหนาง นางก็คงไม่ลืมมารยาทเช่นนี้ โชคดีที่เหอหรูเซวียนเป็นคนฉลาด เมื่อนางเห็นสายตาของโม่เทียนเกอ นางก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทำให้โม่เทียนเกอถอนใจออกมาอย่างโล่งอกได้


 


 


การทะเลาะกันที่โต๊ะนี้จบลง แต่หูของโม่เทียนเกอดันไปได้ยินเรื่องวุ่นวายของโต๊ะถัดไปเข้า


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงสองคนกำลังเปรียบเทียบความสวยของพวกนางอยู่ ต่างล้อเลียนและเยาะเย้ยลักษณะของอีกฝ่าย


 


 


คนหนึ่งพูดว่า “พี่ใหญ่เจิน เสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่วันนี้ใช้ได้เลยนะ แต่โชคร้ายจัง มันขาวเกินไป ขาวมากจนเหมือนกับท่านกำลังร่วมงานศพครอบครัวท่านอยู่”


 


 


อีกคนหนึ่งโต้กลับด้วยการเหน็บแนม “น้องหว่าน เสื้อผ้าของเจ้าก็ดูสวยดีเหมือนกัน แต่มันแดงเกินไป แดงมากจนคนเขาอาจจะคิดว่าเจ้ากำลังจัดพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์เวลาพวกเขาเห็นเจ้าใส่ชุดนี้น่ะ!”


 


 


“ไอ้หยา! พี่ใหญ่เจินสุภาพเกินไปแล้ว ปิ่นปักผมอันนี้ของท่านดีทีเดียว สีเหลือง… ราวกับท่านกำลังติดกล้วยที่ผมก็ไม่ปาน”


 


 


“ก็ยังแย่กว่าปิ่นปักผมหยกวิหคอัคคีที่น้องหว่านมีนั่นล่ะ มองจากไกลๆ เจ้าดูเหมือนมีหัวไชเท้าสีขาวอยู่บนหัวเลย!”


 


 


ทักษะของหนึ่งในคนที่นั่งดูอยู่ไม่สูงพอ เสียงพ่นหัวเราะทางจมูก “หึ” ดังขึ้นให้ได้ยิน หญิงทั้งสองคนหน้าบึ้งอย่างโกรธๆ และจ้องคนคนนั้นพร้อมกัน “เจ้าขำอะไร! ไม่มีมารยาทเอาซะเลย!”


 


 


โชคดีที่คนที่หัวเราะรู้สึกว่าละครเรื่องนี้สนุกดี นางจึงไม่สนใจกับคำพูดของพวกนาง นางเพียงแค่โบกมือ ก้มหัวและกลั้นหัวเราะต่อไป


 


 


หญิงทั้งสองคนยังคง ‘ชม’ อีกฝ่ายต่อไปไม่หยุด


 


 


“พี่ใหญ่เจิน ท่านเปลี่ยนสร้อยข้อมือเมื่อไหร่รึ นี่ข้าคิดว่าท่านจะใส่สร้อยข้อมืออันเดิมอันนั้นจนตายเสียอีก!”


 


 


“นั่นก็เพราะว่าน้องหว่านแทบไม่เคยสนใจเลยน่ะสิ สร้อยข้อมือที่ดีต้องเข้าได้กับเสื้อผ้าหลายชุด ข้าแค่ลองอันใหม่บ้างนานๆ ที ไม่เหมือนกับน้องหว่านหรอกที่เปลี่ยนใหม่ทุกวัน แย่หน่อยนะที่สร้อยข้อมือของน้องหว่านเป็นแค่ของจากโลกมนุษย์ซึ่งไม่อาจถือได้ว่าเป็นเครื่องมือวิญญาณน่ะ”


 


 


“แม้ว่าของจากโลกมนุษย์จะราคาถูก แต่การตามหามันก็ต้องใช้ความพยายามมาก ที่นี่คือโลกแห่งการฝึกตน มีเครื่องมือวิญญาณและของอื่นๆ ตั้งมากมาย สินค้าที่ผลิตจำนวนมากด้วยคุณภาพต่ำก็ไม่ได้ดีไปกว่าของจากโลกมนุษย์สักเท่าไหร่ งานฝีมือหยาบๆ เยี่ยงนั้นไม่สามารถเข้ากับชุดใดได้หรอก! อ๋า! พี่ใหญ่เจิน เสื้อผ้าพวกนี้ของท่านคงจะทำจากผ้าทอเมฆสินะ ใช่ไหม หายากจัง… น่าเสียดาย มันดูไม่เหมือนผ้าทอเมฆที่สามารถทำเป็นเครื่องมือวิญญาณได้เลย คุณภาพของมันต่ำกว่าปกติมาก ถ้าคนเขาไม่ได้ดูให้ดี เขาคงคิดว่าเสื้อผ้าท่านทำจากหนังปลาเป็นแน่!”


 


 


“มันจะแย่ไปกว่าเครื่องประดับมุกที่น้องหว่านมีอยู่ได้อย่างไรกัน ข้าสงสัยจริงว่าไข่มุกเก่าพวกนี้มาจากปีไหนกันนะ มันมัวหมองมากจนไม่มีความเงางามอะไรเลย ดูเหมือนกับเกล็ดปลา! ข้าว่า… น้องสาว ถ้าเจ้าขาดแคลนไข่มุก เจ้าแค่บอกข้าก็ได้นะ เราบังเอิญมีทะเลสาบอยู่รอบบ้านของเราซึ่งเป็นเลิศในการผลิตไข่มุกที่มีพลังทางจิตวิญญาณ ไข่มุกพวกนั้นสามารถทำเป็นเครื่องมือวิญญาณและเครื่องมือเวทได้!”


 


 


โม่เทียนเกอมองน้ำแกงปลานึ่งที่อยู่บนโต๊ะและหายอยากอาหารขึ้นมาทันที


 


 


“ข้าไม่กล้ารบกวนพี่ใหญ่หรอก!” ตระกูลของเราไม่ใหญ่โตเท่าตระกูลพี่ แต่เราก็ตั้งสาขาของร้านค้าอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแปลกพิสดารแบบไหนที่พี่ใหญ่เจินต้องการ ท่านบอกข้าได้ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”


 


 


พอถึงตอนนั้น ทั้งสองคนดูราวกับพวกนางจะพ่นไฟออกจากตาได้เมื่อพวกนางต่างจ้องกันและกัน


 


 


“ตระกูลของเรามีทุกอย่างอยู่แล้วน่ะ น้องหว่านไม่จำเป็นต้องมากังวลเกี่ยวกับเราเช่นนี้หรอก!”


 


 


“พี่ใหญ่เจินมีเสื้อผ้าเปลี่ยนวนอยู่แค่ไม่กี่ชุดในหนึ่งปี และมันก็ดูเป็นแบบที่ล้าสมัยจากเมื่อหลายปีก่อน น้องก็ต้องกังวลอยู่แล้วเป็นธรรมดาหลังจากได้เห็น”


 


 


ใบหน้าของพวกนางขยับเข้าใกล้กันเข้าไปทุกทีขณะที่พูด สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้คือศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นคนที่รับหน้าที่ต้อนรับพวกนางจึงเป็นแค่ศิษย์ผู้หญิงธรรมดา ศิษย์ผู้หญิงคนนั้นยังอายุน้อยมาก เพราะงั้นเมื่อเห็นผู้ฝึกตนหญิงสองคนต่างสนใจอยู่กับอีกฝ่ายจนไม่นึกถึงคนอื่น นางก็ตัวสั่นเทาและไม่กล้าเข้าไปโน้มน้าวให้ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกัน


 


 


โม่เทียนเกอที่เห็นเช่นนั้นจึงยืนขึ้น เดินไปทางเด็กสาวจากโรงเรียนเสวียนชิงและวางแก้วสุราองุ่นของนางลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล


 


 


เมื่อสังเกตเห็นว่านางเข้ามา ผู้ฝึกตนหญิงสองคนจึงหยุดเขม่นกันในที่สุด เมื่อพวกนางรู้ว่านางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งคู่ก็รีบยิ้มทันที “อาจารย์ลุง”


 


 


โม่เทียนเกอยกมือเพื่อบอกให้พวกนางไม่ต้องยืนขึ้นและพูดพร้อมรอยยิ้ม “สุภาพสตรีทั้งหลาย โปรดอภัยให้เราด้วยที่ไม่ได้เป็นเจ้าบ้านที่ดี ขอให้ข้าได้ดื่มอวยพรให้เจ้าทั้งสองด้วยเหล้าองุ่นแก้วนี้ด้วย”


 


 


พวกนางจะกล้าปฏิเสธการดื่มอวยพรที่เสนอโดยผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังได้อย่างไร ทั้งคู่รีบยืนขึ้นทันทีและดื่มสุราองุ่นของตัวเอง


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะและตบบ่าเด็กสาวคนที่ยืนข้างนาง บอกใบ้ให้นางนั่งลงและพูดว่า “ท่านสุภาพสตรี ขอประทานโทษด้วย ศิษย์ของข้าคนนี้พูดไม่ค่อยเก่ง ข้าหวังว่าพวกท่านจะมีเมตตาและคอยดูแลนางด้วย ขอขอบคุณล่วงหน้า”


 


 


นางดื่มเหล้าในแก้วจนหมด พยักหน้าครั้งสุดท้ายให้กับผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองคน และหันกลับเพื่อเดินจากมา เสียงแผ่วเบาของเด็กสาวลอยตามหลังนางมา “ขอบคุณท่านปรมาจารย์มากเจ้าค่ะ”


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงสองคนเผยให้เห็นความสงสัยบนใบหน้าเมื่อได้ยินนางเรียกโม่เทียนเกอว่า “ท่านปรมาจารย์” ท้ายที่สุดพวกนางก็หยุดพูดเยาะเย้ยกันและกระซิบกับเด็กสาวคนนั้นเพื่อถามเกี่ยวกับตัวตนของโม่เทียนเกอ


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอกลับมานั่งที่ของตัวเอง นางนวดหลังคอของนาง เทพธิดาพวกนี้… พวกนางก็ไม่ต่างจากมนุษย์ผู้หญิงเท่าไหร่ การพยายามเป็นมิตรกับพวกนางนี่ช่างน่าเหนื่อยหน่ายเสียจริง!


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตรีวิสุทธิเทพ (三清) ยังแปลได้ว่าตรีวิสุทธิ์คูหาเทวาหรือสามบริสุทธิ์อีกด้วย คือเทพเจ้าสูงสุดทั้งสามองค์ตามความเชื่อของลัทธิเต๋า เป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งจักรวาล เป็นต้นกำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ของลัทธิเต๋า 

 

 


ตอนที่ 148 ทุกรูปแบบของการโอ้อวด

 

ที่โต๊ะของนาง โม่เทียนเกอยังไม่ทันจะนวดคอเสร็จ แต่สาวใช้ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ หมิงเซี่ย เดินเข้ามาหานางเพื่อส่งข้อความจากเขา “อาจารย์ลุงโม่ ท่านปรมาจารย์ขอให้ท่านไปที่โถงหลักเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินเช่นนั้น นางก็มีความรู้สึกไม่ดีทันที ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์ขี้งกของนางจะไม่ก่อปัญหาอะไรที่งานพิธีแน่นอน แต่พิธีจบลงไปแล้ว ดังนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่อาจารย์ของนางจะกลับมาทำนิสัยเกเรและไม่รู้จักโตตามเดิมของเขา


 


 


โดยไม่ต้องคิด โม่เทียนเกอปฏิเสธ “ข้ายังออกไปตอนนี้ไม่ได้ กรุณาบอกท่านอาจารย์ด้วยว่าข้าจะไปเมื่อข้าว่างแล้ว”


 


 


หมิงเซี่ยแสดงสีหน้าที่อ่านได้ว่า “แน่นอน ท่านปรมาจารย์พูดถูก” และบอกว่า “ท่านปรมาจารย์บอกว่าถ้าบริเวณนั้นไม่สามารถปล่อยว่างได้ ให้ข้าเฝ้าดูแลเรื่องต่างๆ แทนจนกว่าท่านจะกลับมาเจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่หมิงเซี่ยพูด เมื่อต้องออกไปโดยไม่มีทางเลือก นางพูด “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”


 


 


หลังจากเดินออกจากโถงด้านข้างที่ผู้ฝึกตนหญิงถูกจัดให้นั่งกันอยู่ โม่เทียนเกอจัดแต่งหน้าตาท่าทางให้เรียบร้อย จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางโถงหลัก


 


 


ก่อนที่นางจะเข้าไปในโถงหลัก นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังสนั่นอย่างกับฟ้าร้องของพวกบรรพบุรุษระดับจิตวิญญาณใหม่ข้างในแล้ว ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะอะไรกัน แต่นางก็ยังคงแยกความรู้สึกเบื้องหลังเสียงหัวเราะนั้นออกได้ บางคนฟังดูพึงพอใจ บางคนฟังดูเหมือนแค่ตามน้ำไป บางคนฟังดูฝืนๆ และอีกมากมาย


 


 


ทันทีที่โม่เทียนเกอไปถึงหน้าประตูของโถงหลัก ก่อนที่นางจะทันเข้าไปเสียอีก บรรพบุรุษระดับจิตวิญญาณใหม่ทุกคน เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่หลายคนจากกลุ่มการฝึกตนอื่น ได้จับจ้องมาที่นาง


 


 


โชคดีสำหรับนาง นางพอจะมีความก้าวหน้าในศาสตร์หลอมจิตวิญญาณอยู่บ้าง ดังนั้นถึงแม้ว่านางจะอยู่ภายใต้แรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หลายคนที่แผ่รัศมีออกมาโดยไม่รู้ตัว นางยังสามารถสงบนิ่งอยู่ได้และเดินอย่างมั่นคงเข้าไปในโถงหลัก “ขอคารวะท่านอาจารย์ ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย”


 


 


เห็นได้ชัดว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอพอใจอย่างมากกับการแสดงออกของนาง เขาส่งสัญญาณให้นางและพูดด้วยเสียงที่ใจดีและรักใคร่อย่างที่เขาไม่เคยใช้มาก่อน “เทียนเกอ มานี่สิ มานี่”


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปหาอย่างเชื่อฟังและยืนข้างประมุขเต๋าจิ้งเหอ ในไม่ช้านางก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของผู้หญิงคนหนึ่งที่ส่งเสียงหัวเราะอ่อนโยนเช่นกัน “พี่จิ้งเหอ ศิษย์คนนี้ของท่านอยู่แค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลาง และทั้งที่อยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อย่างเรา นางกลับประพฤติตัวด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติและสง่าผ่าเผย ถ้าเราอยู่แค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง เราคงไม่สามารถประคองตัวได้อย่างที่นางทำแน่”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินคำชมเหน็บแนมเช่นนี้ นางก็เข้าใจทันทีว่าทำไมอาจารย์ถึงบอกให้นางมาหา


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงในโถงด้านข้างโม้ถึงต้นทุนและโชคของพวกนาง โอ้อวดเสื้อผ้าและเครื่องมือวิญญาณ สำหรับโม่เทียนเกอ พวกนางก็เหมือนกับผู้หญิงจากโลกมนุษย์นั่นล่ะ


 


 


ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในโถงหลักเองก็เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเลิกนิสัยไม่ดีที่ติดมาจากโลกมนุษย์แบบนี้ได้เช่นกัน พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ถ้าพวกเขาอวดต้นทุน โชค เครื่องมือเวท และของอื่นๆ ของตัวเอง ก็คงจะไม่มีที่สิ้นสุดแน่ๆ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่อวดศิษย์ของตัวเอง


 


 


แน่นอน ผู้ฝึกตนชายหัวล้านระดับจิตวิญญาณใหม่หัวเราะและพูดว่า “ด้วยหม่าเสวียนอินและฉินโส่วจิ้ง กิตติศัพท์ของพี่จิ้งเหอก็ได้รับประกันอยู่แล้ว เขามีอิสระในการรับศิษย์มากกว่าพวกเราเป็นธรรมดา”


 


 


โม่เทียนเกอฟังผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ของกลุ่มอื่นพูดลดเกียรติของนาง ผลัดกันแสดงความเห็น แต่นางก็ไม่สามารถพูดด่าอะไรพวกเขาได้ ที่จริงแล้วนางรู้สึกโกรธแต่ไม่มีที่ให้ระบายออก นางส่งสายตามองเหยียดท่านอาจารย์ของนางจากที่ที่แขกคนอื่นมองไม่เห็น


 


 


เมื่อโดนศิษย์ผู้น้อยของเขาจ้องอย่างไม่พอใจ อารมณ์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอสดใสขึ้นในที่สุด เขายิ้มราวกับว่าเขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยและพูดว่า “ข้าสงสัยจริงๆ เลยว่าศิษย์จากครอบครัวใครนะที่กล้าสู้สัตว์ปีศาจระดับห้าทั้งๆ ที่เพิ่งอยู่แค่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง”


 


 


ห้องโถงจมอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ผู้ฝึกตนหญิงจากก่อนหน้านี้พูดว่า “แต่ข้าได้ยินว่าคนที่สังหารสัตว์ปีศาจระดับห้าตัวนั้นคือศิษย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ที่อาวุโสที่สุดของท่าน เสวียนอิน…”


 


 


“แหม ถ้าเช่นนั้น มาพูดกันถึงว่าศิษย์ของใครที่เจ้าคิดว่าจะสามารถหนีจากเงื้อมมือของสัตว์ปีศาจระดับห้าได้อย่างปลอดภัยเมื่อพวกเขาอยู่แค่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังกันดีกว่า” แน่นอนว่าเมื่อเขาพูดเช่นนั้น ทุกคนเงียบสนิท จากนั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหน้าและถอนใจ “ถึงแม้ว่าซีเอ๋อร์จากครอบครัวข้าจะมีความสามารถมากและมีความเข้าใจที่ดีเยี่ยม แต่รากวิญญาณของเขาก็ยังไม่มีอะไรพิเศษ การรับศิษย์ที่มีรากวิญญาณดีนั้นเป็นความปรารถนามาตลอดชีวิตของข้าเลย…”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกถึงจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากมายแผ่ขยายมาทางนางทันทีและตรวจดูรากวิญญาณของนาง นางแอบมองพวกเขาอย่างลับๆ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หลายคนมีความแคลงใจอยู่บนใบหน้า แต่คนอื่นๆ ดูไม่อยากเชื่อ


 


 


เมื่อสีหน้าของทุกคนค่อยๆ เห็นเด่นชัดขึ้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า “ตัวข้าเองมีรากวิญญาณเดี่ยว แต่ถึงแม้ข้าจะอยู่ในขั้นกลางของดินแดนจิตวิญญาณใหม่แล้ว ข้าก็ไม่คิดว่าข้าจะสามารถเข้าถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยรากวิญญาณเดี่ยวที่ข้ามี โดยการรับเทียนเกอมาเป็นศิษย์ของข้า บางทีข้าอาจจะสามารถแก้ความไม่สบายใจของข้าได้ ท้ายที่สุดแล้วในอดีตอันไกลโพ้น ผู้ฝึกตนทุกคนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ก็เคารพนับถือรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดกันอย่างสูงสุดอยู่แล้ว”


 


 


“แต่สิ่งที่น่าปลื้มใจยิ่งกว่าคือไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความเข้าใจ หรือหัวใจแห่งเต๋าของนาง ศิษย์คนนี้ของข้าก็โดดเด่นในทุกแง่มุม ในอนาคตนางจะต้องสามารถเข้าถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ก่อนศิษย์ที่รักของพวกเจ้าก้าวหนึ่งอย่างแน่นอน” พอถึงตอนที่เขาพูดจบ รอยยิ้มของเขาก็กลายเป็นเสียงหัวเราะภูมิใจอย่างดัง


 


 


โม่เทียนเกอที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเหงื่อแตกพลั่กอยู่ภายในขณะที่นางมองความกร่างที่ไม่ปิดบังของท่านอาจารย์นาง ถ้าเขาไม่ได้พูดส่วนหลังของประโยค คนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเขากำลังหาคู่ให้นางก็ได้!


 


 


ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนชายที่แต่งตัวสีดำล้วนและนั่งอยู่ข้างทางเข้าของโถงหลักพูดอย่างเย็นชา “ต่อให้นางครอบครองรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดอันน่าเหลือเชื่อของอดีตอันไกลโพ้น ข้าก็เกรงว่าคงไม่ง่ายสำหรับพี่จิ้งเหอนักที่จะทำตามความปรารถนาสำเร็จได้โดยไม่มีศาสตร์แห่งต้นกำเนิด”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอเหวี่ยงแขนเสื้ออย่างไม่เห็นด้วย “แค่เพราะสำนักเทียนเต้าของเจ้าไม่มี ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนเสวียนชิงของเราจะไม่มีเหมือนกันนี่ ตั้งแต่โรงเรียนเสวียนชิงของเราก่อตั้งมา เรามีผู้ฝึกตนแปลกประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน เรื่องเล็กน้อยอย่างศาสตร์แห่งต้นกำเนิดไม่คู่ควรจะเอามาเป็นปัญหาหรอก รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดที่แทบไม่เคยพบเจอมาหลายพันปีนี่สิ อย่างไรก็ตาม… เป็นสิ่งที่คนคนหนึ่งสามารถพบเจอได้ด้วยโชคชะตาเท่านั้น!”


 


 


พอถึงตอนที่เขาพูดเช่นนั้น สายตาของโม่เทียนเกอมองต่ำ นางแค่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างและแกล้งตาย แม้แต่เมื่อนางได้ยินท่านอาจารย์ของครอบครัวพูดเกี่ยวกับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดว่าเป็น “เรื่องเล็กน้อย” นางก็ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองใจสักนิด ไม่ว่าอย่างไรท่านอาจารย์ผู้นี้ก็เป็นคนไร้ยางอายอยู่แล้ว


 


 


หลังจากประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จากกลุ่มการฝึกตนอื่นก็ไม่สามารถพูดอะไรเพื่อแย้งเขาได้ ในทางกลับกัน ประมุขเต๋าเจิ้นหยางที่เพิ่งทะเลาะกับประมุขเต๋าจิ้งเหอจนพวกเขาทั้งคู่เนื้อตัวสกปรกเมื่อไม่นานมานี้ ส่งเสียง “ฮึ่ม” ออกมาอย่างเดือดดาล


 


 


ถึงอย่างนั้น ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดจากกลุ่มการฝึกตนอื่นมีสีหน้าไม่พอใจอยู่บนใบหน้า เพราะประมุขเต๋าเสวียนอินแห่งโรงเรียนเสวียนชิงก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้แล้ว ทุกกลุ่มการฝึกตนจึงมาเพื่อแสดงความยินดี อย่างแรก พวกเขาต้องการมีความสัมพันธ์อันดีกับโรงเรียนเสวียนชิงในอนาคต อย่างที่สอง พวกเขาไม่มากก็น้อยมีเจตนาที่จะประเมินขอบเขตกำลังของโรงเรียนเสวียนชิง แต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกทำให้พูดไม่ออกเพราะศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลาง! สายตาของทุกคนที่จ้องโม่เทียนเกอยิ่งเย็นชามากขึ้น แต่เนื่องจากนิสัยกระหายเลือดและชอบปกป้องของประมุขเต๋าจิ้งเหอ พวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรนางได้


 


 


โม่เทียนเกอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิภายในห้องโถงลดลง อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้านางได้ยินอาจารย์ลุงเมี่ยวอีหัวเราะแผ่วเบาและพูดด้วยเสียงอ่อนหวานและนิ่มนวล “จากดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางต้องเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ และดินแดนแห่งเทพก่อนที่นางจะถือว่าได้บรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง แม้แต่พวกท่านทุกคนที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ก็อาจยังรู้สึกว่าเต๋าอันยิ่งใหญ่เป็นเรื่องลึกลับ ถนนเบื้องหน้าเทียนเกอยังอีกยาวไกล…”


 


 


เมื่อนางพูดจบ บรรยากาศในโถงหลักก็กลายเป็นผ่อนคลายมากขึ้นทันที


 


 


หลังจากที่เขาพูดจนสาแก่ใจและประมุขเต๋าเมี่ยวอีได้ไกล่เกลี่ยเรื่องต่างๆ ให้แทนเขา ประมุขเต๋าจิ้งเหออารมณ์ดี เขาจึงหลับตาและเพลิดเพลินกับการนวดที่สาวใช้ข้างกายเขานวดให้ เขาดูเหมือนกับว่าเขาไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงเลยสักนิด


 


 


ทันทีหลังจากนั้น หมิงเซี่ยดอดเข้ามาในโถงจากประตูข้าง ด้วยสีหน้าประหม่า นางรายงานอย่างเงียบๆ กับโม่เทียนเกอ “อาจารย์ลุงโม่ ศิษย์พี่ผู้หญิงหลายคนในโถงด้านข้างเริ่มสู้กันแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ความบึ้งตึงปรากฏบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ “ทุกอย่างยังดีอยู่เมื่อตอนที่ข้าออกมา เกิดอะไรขึ้น” จากนั้นนางมองไปที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอ


 


 


เห็นได้ชัดว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอพอใจกับการโอ้อวดของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงแค่ยกมือขึ้นและพูดอย่างไม่สนใจ “เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดทุกงานเลี้ยงนั่นล่ะ เจ้าแค่ต้องจัดการให้เหมาะสม”


 


 


สถานการณ์ที่โถงด้านข้างนั้นยุ่งยาก แต่ก็ยังดีกว่าต้องยืนอยู่ในโถงหลักและตกเป็นเป้าของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทุกคนที่นั่น โม่เทียนเกอขอตัวทันที “ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอตัวก่อน” นางหันกลับและหนีออกจากโถงหลักผ่านทางประตูข้าง


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอที่เพิ่งโม้เสร็จกำลังอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงแค่หัวเราะและหยุดพูดเมื่อต้องเจอกับการหนีของโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอเดินทางจากโถงหลัก รู้สึกกังวลมาตลอดทาง เดิมนางคิดว่านางจะต้องเจอกับความวุ่นวายแน่ แต่พอถึงเวลาที่นางรีบพุ่งเข้าไปในโถงด้านข้าง ผู้ฝึกตนหญิงทั้งหมดด้านในก็สามารถรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ดีกว่านางเสียอีก


 


 


ภายในโถง ผู้ฝึกตนหญิงสองคนจากสำนักเจิ้งฝ่าและผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่นางไม่รู้จักกำลังฟัดกันอย่างดุดัน ทั้งสามคนถูกทุกคนรายล้อม ระยะห่างระหว่างโต๊ะหยกแต่ละตัวนั้นมีแค่เล็กน้อย แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าโต๊ะบางตัวถูกดันออกเพื่อเปิดทาง บนโต๊ะหยกตัวอื่นๆ วิธีป้องกันตัวแทบทุกชนิดถูกเตรียมไว้โดยคนที่นั่งอยู่


 


 


ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณสี่คนจากโรงเรียนเสวียนชิงที่รับผิดชอบดูแลด้านนี้ของโถงด้านข้างยืนรวมตัวกันอยู่อย่างหวาดๆ ตรงมุม เมื่อพวกนางเห็นโม่เทียนเกอมาถึง พวกนางก็รีบเข้ามาหา


 


 


“ท่านปรมาจารย์โม่…”


 


 


“ท่านปรมาจารย์โม่ เราควรทำอย่างไรดี”


 


 


โม่เทียนเกอนวดหว่างคิ้ว “ก่อนอื่นบอกข้ามาก่อนว่าทำไมพวกนางถึงเริ่มสู้กัน”


 


 


ศิษย์ผู้หญิงที่โม่เทียนเกอช่วยไว้ตอนก่อนหน้านี้รีบกระซิบ “ตอนแรก อาจารย์ลุงสองคนจากสำนักเจิ้งฝ่าเพียงแค่โต้เถียงกันเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุด พวกนางคนหนึ่งยื่นจานให้อีกคน บอกว่าจานนี้เป็นอาหารบำรุง อีกคนไม่อยากจะรับ ดังนั้นทั้งสองคนจึงผลักจานไปมา และเพราะชั่วขณะหนึ่งที่ไม่ได้ระวัง จานก็เลยพลิกคว่ำจนไปเลอะชุดของอาจารย์ลุงอีกคน เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ลุงคนนั้นมาจากกลุ่มไหน นางดูบอบบางแต่อารมณ์ของนางนั้นรุนแรงสุดๆ นางไม่ได้พูดอะไรและเริ่มต่อสู้ทันที ผลักอาจารย์ลุงจากสำนักเจิ้งฝ่าให้ถอยไปด้วยการตบแต่ครั้งเดียว พอเห็นว่าพวกนางเริ่มสู้กัน อาจารย์ลุงหมิงเซี่ยบอกว่านางจะไปที่โถงหลักเพื่อขอให้อาจารย์ลุงโม่กลับมาและจัดการเรื่องนี้”


 


 


แขกผู้หญิงภายในโถงด้านข้างเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาทั้งหมด ดังนั้นศิษย์ที่รับผิดชอบการต้อนรับพวกนางจึงเป็นศิษย์ธรรมดาเช่นกัน โม่เทียนเกอมีสถานะสูงที่สุดที่นั่นและไม่จำเป็นต้องกลัวใคร อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีใดหมิงเซี่ยก็เป็นสาวใช้ของบรรพบุรุษระดับจิตวิญญาณใหม่ เป็นไปได้อย่างไรที่นางไม่สามารถรับมือกับเรื่องเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่านางแค่ไม่อยากจะออกหน้ารับแทน อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอขี้เกียจเกินกว่าจะสืบว่าเจตนาของหมิงเซี่ยคืออะไร อย่างไรเสีย แค่สาวใช้เหล่านั้นไม่กล้าไม่เคารพนางนั่นก็เพียงพอแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอหันไปมองทางพื้นที่ต่อสู้ ในผู้ฝึกตนหญิงสองคนจากสำนักเจิ้งฝ่า คนหนึ่งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขณะที่อีกคนอยู่ในขั้นต้น ผู้ฝึกตนหญิงอีกคนที่พื้นเพของนางยังเป็นปริศนา อย่างไรก็ตาม อยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนหญิงจากสำนักเจิ้งฝ่าจะมีข้อได้เปรียบในจำนวนคนที่มากกว่า แต่ทักษะของพวกนางก็ยังชุ่ยเกินไป ในทางตรงกันข้าม การเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนหญิงอีกคนทั้งอันตรายและมีประสิทธิภาพ นางสามารถยั้งผู้ฝึกตนหญิงสองคนจากสำนักเจิ้งฝ่าได้อย่างต่อเนื่องและทำให้พวกนางต้องอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ


 


 


โม่เทียนเกอนิ่วหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก่อนที่นางจะคิดให้ถี่ถ้วนว่านางควรไกล่เกลี่ยความขัดแย้งอย่างไร นางก็ได้ยินเสียงผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นจากสำนักเจิ้งฝ่ากรีดร้องขณะที่นางถูกโจมตีและบาดเจ็บ โม่เทียนเกอรีบเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางมา สกัดกั้นท่าโจมตีไม้ตายท่าถัดไปของผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่รู้จักและบังผู้ฝึกตนหญิงสำนักเจิ้งฝ่าสองคนให้อยู่หลังนาง


 


 


หลังจากอดกลั้นความโกรธของนาง โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ข้าสงสัยจริงว่าศิษย์พี่เป็นศิษย์ของใคร ความยอดเยี่ยมในกฎแห่งเต๋าของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน ศิษย์พี่ ถึงแม้ว่าศิษย์พี่ทั้งสองจากสำนักเจิ้งฝ่าจะทำให้ท่านไม่พอใจ แต่พวกนางก็ได้รับบาดเจ็บเพราะท่านเช่นกัน เพราะงั้นเราจบเรื่องนี้กันตรงนี้เพื่อเห็นแก่ข้าดีไหม?”


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นยิ้มอย่างเยือกเย็น “เจ้าคือใคร”


 


 


โม่เทียนเกอทำตามมารยาท แต่ผู้ฝึกตนอีกคนไม่คำนึงถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นสีหน้าของโม่เทียนเกอจึงจางลงขณะที่นางตอบ “ข้าคือโม่เทียนเกอจากโรงเรียนเสวียนชิง”


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นยังคงยิ้มอยู่ “แล้วท่านอาจารย์ของเจ้าจะเป็นใครไปได้”


 


 


พอถูกถามแบบนั้น โม่เทียนเกอตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “ข้าโชคดีพอที่ได้นับถือประมุขเต๋าจิ้งเหอแห่งโรงเรียนข้าในฐานะท่านอาจารย์ หรือว่าศิษย์พี่อาจจะมีคำแนะนำอะไรให้ข้างั้นหรือ”


 


 


หลังจากนางได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด สีหน้าของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นก็แปลกไปทันที อย่างไรก็ตาม เสียงผิวปากแหลมสูงได้ยินมาจากภายนอกห้องโถง เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเปลี่ยนทิศทางและกระโจนเข้าหาโม่เทียนเกอพร้อมกับหัวเราะอย่างหนัก “ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ข้าน่าจะส่งเจ้ากลับไปทันที เจ้าจะได้ไปตามทางของเจ้า” 

 

 


ตอนที่ 149-1 ศัตรูมาเยือน

 

โม่เทียนเกอตกใจแต่นางไม่มีเวลาให้คิด นางเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลับมาและไม่ช้าก็ส่งมันออกไปอีกทีเพื่อหลบการคว้าอย่างรุนแรงของผู้ฝึกตนหญิง


 


 


วิธีที่ผู้ฝึกตนหญิงใช้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากทุกวิธีที่นางเคยเห็นมาก่อน นางไม่ได้ใช้เพียงแค่เวทมนตร์ แต่นางเหมือนกับนักสู้ศิลปะป้องกันตัวจากโลกมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองมือของนางถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือซึ่งติดกรงเล็บแหลมคม ด้วยการใช้กรงเล็บเหล่านั้น วิธีการโจมตีของนางจึงเหมือนกับวิธีที่พวกสัตว์ปีศาจใช้กัน


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอร่อนเร่ไปรอบคุนอู๋กับท่านอาของนางในอดีต นางก็ได้เห็นผู้ฝึกตนแบบนี้อยู่บ้าง ผู้ฝึกตนประเภทนี้โดยทั่วไปมักจะเรียกว่าผู้ฝึกตนนักสู้ พวกเขาเหมือนกับผู้ฝึกตนสายกระบี่แต่พวกเขาจะอาศัยการใช้ร่างกายและทักษะของตัวเองมากกว่าที่ผู้ฝึกตนสายกระบี่ใช้


 


 


ถึงอย่างนั้น ผู้ฝึกตนนักสู้ก็ไม่ใช่เส้นทางเดินที่เหมาะสมในโลกแห่งการฝึกตน ท่ามกลางคนนับพัน อาจจะไม่มีคนพวกนี้สักคนหรือสองคนด้วยซ้ำ ทั้งอย่างนั้น วิธีการของผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ก็ไม่ได้อ่อนด้อย และจากสิ่งที่นางพูด ดูเหมือนว่านางจะมีอาจารย์ ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะไม่รู้ว่าอาจารย์ของนางคือใครก็ตาม


 


 


นอกจากนี้ พวกเขาอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง ทำไมผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นถึงต้องอยากฆ่านางทันทีหลังจากได้ยินว่านางเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอด้วย ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่นี่เลย แต่แม้แต่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่ผ่านไปมาก็สามารถจะฆ่าผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นได้ง่ายดายราวกับแค่ยกมือแล้ว


 


 


ขณะที่ความคิดเหล่านี้วาบเข้ามาในจิตใจ โม่เทียนเกอเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลับมาที่มืออีกครั้ง จากนั้นนางทำหน้าบึ้งตึงและพูดอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน”


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเผยรอยยิ้มเย็นชาแต่ไม่ได้ตอบ ถึงแม้ว่านางยังดูเหมือนไม่ตั้งใจจะตอบโม่เทียนเกอ แต่ที่จริงนางประหม่ามาก นางใช้พลังเต็มที่ในการโจมตีด้วยกรงเล็บ แต่โม่เทียนเกอที่ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ออกแรงเต็มที่ ใช้แค่เพียงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของนางได้อย่างแทบไม่ต้องเปลืองแรง


 


 


ระดับการฝึกตนของนางอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ดังนั้นนางจึงหยิ่งผยองมาโดยตลอด นางเชื่อว่าต่อให้นางสู้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้นและไม่มีแรงจะสู้กลับ มันก็คงไม่ยากนักสำหรับนางที่จะหนีอย่างไม่เจ็บตัว กระนั้นการโจมตีของนางกลับถูกปัดป้องได้อย่างง่ายดายโดยรุ่นน้องระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางด้วยการเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว! นางรู้สึกเป็นกังวลแต่ในขณะเดียวกันความโกรธก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นในหัวใจ


 


 


นางเล็งไปที่ตัวของโม่เทียนเกอจากนั้นเหวี่ยงกรงเล็บของนางอีกครั้งทันที


 


 


โม่เทียนเกอรีบถอนตัวกลับ นางไม่มีแผนจะสู้กับพลังด้วยพลัง โม่เทียนเกอเป็นผู้ฝึกตนตามแบบแผนที่เชี่ยวชาญในเวทมนตร์ ในการต่อสู้กับผู้ฝึกตนนักสู้ มันจะดีที่สุดในการป้องกันคู่แข่งไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเรา แต่กระนั้นโถงด้านข้างล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ดังนั้นสำหรับตอนนี้มันจึงค่อนข้างยากที่นางจะหลบได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงแค่ขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเผชิญหน้าสู้กับผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นอย่างจัง


 


 


ครั้งหนึ่งโม่เทียนเกอเคยเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะตัวเบาของโลกมนุษย์มาก่อน และมันก็มีประโยชน์มากในช่วงที่นางอยู่ดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นด้วยทักษะตัวเบาและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวที่คล่องแคล่วว่องไวมาก นางยังคงสู้อย่างสบายๆ ถึงแม้ว่านางจะเข้าใกล้ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น โม่เทียนเกอก็ไม่ได้รู้สึกกดดันเพราะนางเลยแม้แต่น้อย


 


 


ในชั่วพริบตา ร่างของพวกนางเปลี่ยนตำแหน่งกันไปหลายต่อหลายหน ผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังส่วนใหญ่ไม่สามารถเห็นร่างของพวกนางได้ชัด ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนหญิงระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณเลย พวกนางตกใจมากกับแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณจากการต่อสู้จนพวกนางตัวซีดเผือดและไม่รู้แล้วว่าต้องทำอะไร


 


 


หลังจากสังเกตเห็นช่องว่างระหว่างการโจมตีด้วยกรงเล็บ โม่เทียนเกอก็เหวี่ยงกระสวยอัปสราทันทีซึ่งพยายามจะพันรอบตัวผู้ฝึกตนหญิงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของนาง โม่เทียนเกอตะโกน “พวกเจ้ามัวมึนงงอะไรอยู่ รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้พวกปรมาจารย์การก่อเกิดแก่นขุมพลังเร็ว!”


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงคนอื่นๆ ที่รับผิดชอบหน้าที่ดูแลแขกได้สติในที่สุดและพยายามจะออกจากห้องโถงอย่างลนลาน


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงที่สู้กับโม่เทียนเกอสามารถสกัดกั้นกระสวยอัปสราไว้ได้ แต่ทันใดนั้นเอง นางก็ถอยกลับและยิ้มอย่างเศร้าหมอง “เจ้าอยากเรียกผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเพื่อมาจัดการกับข้าหรือ ฮึ่ม! ข้าจะไม่สู้กับเจ้าอีกแล้ว คอยดูเถอะ!” ขณะที่นางพูดเช่นนี้ นางก็รีบล่าถอยจนกระทั่งนางหนีออกจากโถงด้านข้างออกไปทางประตูหลัก


 


 


แทนที่จะรีบตามนางไปทันที โม่เทียนเกอหันกลับไปมองเป็นอย่างแรกและสั่งคนอื่นๆ “พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ที่นี่ก่อน อย่าออกไป”


 


 


ศิษย์ผูู้หญิงระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณพยักหน้าซ้ำๆ พวกนางเห็นคนสองคนสู้กันและแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากการต่อสู้นั้นก็น่าเกรงขาม พวกนางจะกล้าออกไปได้อย่างไร พวกนางแค่มองตามขณะที่โม่เทียนเกอออกจากโถงด้านข้างเพื่อไล่ตามผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น


 


 


โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเกิดขึ้นหลังจากนางได้ยินเสียงผิวปาก เสียงนั้นสั้นและแหลมสูงมาก คาดว่าผู้ฝึกตนในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและระดับต่ำกว่าคงไม่สามารถได้ยินเสียงนั้น แต่สำหรับโม่เทียนเกอ ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางทำให้นางรับรู้ได้ดีถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่นางจะได้ยินเสียง แต่นางยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณประหลาดที่เหมือนจะถูกสะกดกลั้นไว้ด้วย


 


 


ขณะที่รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย โม่เทียนเกอตามผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นไป เป็นตามที่นางคาด นางเห็นผู้ฝึกตนหญิงมุ่งหน้าไปทางแหล่งต้นทางของแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณ


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างสงสัย ทิศทางนี้… แน่นอนว่าพวกนางกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่รวมตัวกันอยู่


 


 


“ฉินจิ้งเหอ!” ทันใดนั้นเสียงคำรามกึกก้องก็ดังขึ้น โม่เทียนเกอตกใจ เลือดและพลังวิญญาณในร่างกายนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างพลุ่งพล่าน ทำให้นางตกลงจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาว


 


 


นางเงยหน้ามองและเห็นเมฆดำทะมึนดูแปรปรวนปรากฏขึ้นเหนือโถงหลักที่ซึ่งพวกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อยู่ บนเมฆนั้น ใบหน้ามุ่งร้ายสามารถเห็นได้รางๆ โดยไม่คาดคิด ผู้ฝึกตนหญิงที่โม่เทียนเกอกำลังไล่ตามกลับไม่สะทกสะท้านกับแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นมองกลับมาเพื่อยิ้มน่ารักให้โม่เทียนเกอ และในชั่วพริบตานางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


สีหน้าของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป นางไม่มีเวลามาครุ่นคิดว่าผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นใช้วิชาแบบไหนเพื่อหายตัวเพราะนางสัมผัสได้ว่าแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณนี้… เป็นของผู้ฝึกตนที่อยู่ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่หรือเหนือกว่าอย่างแน่นอน!


 


 


หลังจากเสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นให้ได้ยิน ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหมดภายในโถงหลักล้วนออกมาข้างนอก


 


 


โรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่รวมทั้งหมดหกคนในตอนนี้ พร้อมกับแขกระดับจิตวิญญาณใหม่ราวๆ สิบกว่าคนที่ปรากฏตัวอยู่ ฝั่งของพวกเขามีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากกว่ายี่สิบคน โม่เทียนเกอกวาดสายตามองพวกเขาและในที่สุดก็รู้สึกวางใจ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ตั้งมากมายอยู่ที่นั่น ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาจะน่าเกรงขามแค่ไหน แต่พวกเขาก็คงจะไม่เป็นไร


 


 


ถึงอย่างนั้นนางก็ค่อนข้างสับสน นอกเหนือจากความจริงที่ว่ามีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากมายมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาอยู่บนเขาไท่คัง ม่านพลังปกป้องขุนเขาอันยิ่งใหญ่ที่โรงเรียนเสวียนชิงมีก็ไม่ใช่แค่เพื่อแสดงไว้เฉยๆ แต่คนผู้นี้กลับกล้าที่จะทำลายมัน? ยิ่งไปกว่านั้น จากแรงเคลื่อนไหวของเขา เขาน่าจะเป็นมารผู้ฝึกตน! โม่เทียนเกอสงสัยจริงๆ ว่าอาจารย์ขี้งกของนางไปทำอะไรไว้ให้คนประเภทนี้ขุ่นข้องหมองใจเข้า


 


 


เมื่อผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สิบกว่าคนเห็นเมฆดำทะมึน พวกเขาดูไม่สงบนิ่งไม่ก็ดูงุนงงอย่างที่สุด


 


 


“นี่มัน…”


 


 


“ท่านอาจารย์ซงเฟิง!” ใครบางคนพึมพำ


 


 


ทีละคน ทีละคน ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ดูงุนงงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที


 


 


ผู้ฝึกตนหัวล้านพูดด้วยความประหลาดใจ “ปรากฏว่าเขายังมีชีวิตอยู่!”


 


 


ในหมู่คนกลุ่มนี้ คนเดียวที่ยังดูสงบนิ่งคือประมุขเต๋าเจิ้นหยางและประมุขเต๋าจิ้งเหอ ขณะนั้นเอง ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ที่เหาะขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว พูดอย่างหนักแน่น “ซงเฟิง! วันนี้คือพิธีก่อจิตวิญญาณของศิษย์ข้า ถ้าเจ้ามาเพื่อแก้แค้น ค่อยมาวันอื่น!”


 


 


เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังขึ้นจากภายในเมฆดำทะมึน ใบหน้าชั่วร้ายเหมือนปีศาจบนเมฆบูดเบี้ยวขึ้น “อะไรนะ มีเวลาที่ฉินจิ้งเหอไม่อยากจะสู้กลับด้วยเรอะ วันพิธีก่อจิตวิญญาณของศิษย์เจ้านี่ล่ะเป็นวันดีสำหรับการต่อสู้ ถ้าศิษย์ของข้ายังมีชีวิตอยู่ บางทีเขาจะอาจจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้แล้วตอนนี้!”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอเยาะเย้ย “ตาแก่ซงเฟิง ข้าแค่พยายามแสดงความเคารพต่อเจ้านิดหน่อย! เราอยู่ที่เขาไท่คังของโรงเรียนเสวียนชิงและมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หลายคนที่นี่ ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้าย แต่เจ้าก็ยังไม่มีโอกาสทำสำเร็จอยู่ดีหากเจ้าลงมือที่นี่!”


 


 


เสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังขึ้นจากภายในเมฆดำทะมึน เมื่อเสียงหัวเราะจบลง อย่างไรก็ตาม ใบหน้าบนเมฆนั้นแสดงสีหน้าดุดัน “ฉินจิ้งเหอ เจ้าไม่กลัวสวรรค์หรือโลกมนุษย์ไม่ใช่รึ นี่หรือว่าเจ้ากำลังลากคนตั้งหลายคนเพื่อมาต่อกรกับข้างั้นหรือ”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูสงบนิ่ง เขาไม่โกรธกับคำพูดส่อเสียดพวกนั้น “เจ้าเห็นข้า ฉินจิ้งเหอ เป็นคนที่ทำอะไรโดยไม่ใช้สมองคิดรึ มีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้ เจ้าคิดหรือว่าข้ายังสนใจกับการรักษาชื่อเสียงที่ดีไว้ ข้ายอมรับว่าข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วข้าจะรนหาที่ตายไปเพื่ออะไร”


 


 


“ดี ดี ดี!” เมฆดำทะมึนหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉินจิ้งเหอ ข้าประเมินเจ้าต่ำไป! แต่ต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ที่นี่กันวันนี้ ข้าก็ยังอยากสนุกอยู่ดี!”


 


 


เมื่อเขาพูดจบ แรงเคลื่อนไหวของเมฆดำทะมึนพุ่งสูงขึ้นทันที แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นด้านล่างก็ยังรู้สึกยากจะหายใจได้เพราะแรงนั้น


 


 


ขณะนั้นเอง พลังทางจิตวิญญาณภายในร่างกายของโม่เทียนเกอกระเพื่อมอย่างบ้าคลั่งยิ่งขึ้น นางทนไม่ไหวและ “อุก” นางกระอักเลือดออกมา ดวงตาของนางมองกวาดผ่านสภาพรอบตัว พอเห็นว่าตอนนี้นางอยู่ในมุมและไม่มีใครเห็นนาง นางเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาทันที นางต้องการใช้ความปั่นป่วนของพลังทางจิตวิญญาณที่เกิดจากอาวุธเวทของนางเพื่อปิดบังแสงจากการเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลายวินาทีถัดมา นางก็สามารถหนีเข้ามาในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางได้


 


 


ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน หลังจากกลืนยาโคมเขียวและทำลมปราณให้สงบนิ่ง โม่เทียนเกอชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วซึ่งไข่มุกปรากฏออกมา นางใช้ศาสตร์ลับกับไข่มุกและทันทีหลังจากนั้นท้องฟ้าก็แยกเปิดออก เกิดเป็นช่องว่างซึ่งทำให้นางมองเห็นสถานการณ์ภายนอกได้


 


 


ภายในช่วงเวลาอันสั้นนี้ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก้าวขึ้นมาและเหาะไปอยู่ข้างประมุขเต๋าจิ้งเหอ เขาพูดด้วยเสียงดัง “พี่ซงเฟิง! ถ้าศิษย์น้องคนนี้ของข้าทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองใจ ข้าหวังว่าเจ้าจะนึกถึงข้าและปล่อยวางเรื่องนั้นไปก่อนสำหรับตอนนี้ เราเพิ่งจัดพิธีก่อจิตวิญญาณสำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณคนใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิง ถ้าเจ้ามีปัญหา เราค่อยคุยกันวันอื่นดีไหม”


 


 


ใบหน้าบนเมฆดำทะมึนอ้าปากและหัวเราะ เสียงของมันฟังดูเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย “พี่เจิ้นหยาง เป็นเวลานานทีเดียวตั้งแต่เราเจอกันครั้งสุดท้าย หลังๆ มานี้กฎแห่งเต๋าของเจ้ายิ่งดีกว่าเมื่อก่อนเสียอีก!”


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยิ้มและประสานมือไปทางเมฆดำทะมึน “เจ้าชมข้าเกินไป หลายร้อยปีมาแล้วตั้งแต่พี่ซงเฟิงปรากฏตัวครั้งสุดท้าย เจ้าทำให้ตาแก่อย่างพวกเราคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”


 


 


“อย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องมาเยี่ยมเยียนเจ้าให้เหมาะสมเข้าสักวันหนึ่ง!”


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนั้น ประมุขเต๋าเจิ้นหยางคิดว่าอาจารย์ซงเฟิงยอมรับข้อเสนอของเขา ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นทันที “งั้นข้าก็ต้องขอบคุณพี่ซงเฟิงสำหรับการพิจารณา”


 


 


“ยังเร็วเกินไปที่จะขอบคุณข้า!” อาจารย์ซงเฟิงส่งเสียง “ฮึ่ม” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปทันทีและเขาพูดอย่างเย็นชา “พี่เจิ้นหยาง เรื่องของพรุ่งนี้ก็ควรจัดการพรุ่งนี้ วันนี้ข้ามาเพื่อฉินจิ้งเหอ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามทำดีให้ข้าพอใจ!”


 


 


เขาหยาบคายเป็นอย่างมาก เขาปฏิบัติกับประมุขเต๋าเจิ้นหยางผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายผู้สูงส่งอย่างกับเป็นรุ่นน้องของเขา!


 


 


ใบหน้ายิ้มแย้มของประมุขเต๋าเจิ้นหยางเปลี่ยนเป็นสีม่วงในชั่วพริบตา เขาเป็นทั้งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายและประมุขผู้อาวุโสสูงสุดของกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วท้องฟ้าทั้งหมด เคยมีใครพูดกับเขาเช่นนี้หรือ? ด้วยสีหน้าเยือกเย็นขึ้น เขากล่าว “พี่ซงเฟิง ข้าคงทำอะไรไม่ได้หากเจ้าไม่อยากจะเห็นแก่ข้า อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นวันดีสำหรับโรงเรียนเสวียนชิง ถ้าตัวเจ้าผู้น่านับถือมาเพื่อแค่หาเรื่องกับศิษย์น้องของข้า ตัวข้าในฐานะศิษย์พี่ของเขาก็ไม่สามารถนั่งเฉยๆ และไม่ทำอะไรได้ ถ้าตัวเจ้ามีความไม่สบายใจอันใด เชิญพูดมาได้ตามสบาย!” นี่เป็นคำขู่อย่างเห็นได้ชัด ถ้าอาจารย์ซงเฟิงไม่ยอมถอยกลับไป ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็จะร่วมมือกับประมุขเต๋าจิ้งเหอเพื่อโจมตีเขาจากทุกด้าน 

 

 


ตอนที่ 149-2 ศัตรูมาเยือน

 

“ฮ่าๆๆ …” เมฆดำทะมึนระเบิดหัวเราะ “สูเจิ้นหยาง เราทั้งคู่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้าย แต่พูดกันตามตรงนะ อย่างไรเจ้าก็ต้องแพ้ข้าในการต่อสู้ด้วยพลังเวทแน่นอน ถึงแม้ระดับการฝึกตนของเจ้าจะไม่ด้อยไปกว่าข้าก็เถอะ เจ้าเชื่อไหม”


 


 


สีหน้าของประมุขเต๋าเจิ้นหยางยังคงนิ่ง “คนของโรงเรียนเสวียนชิงไม่เคยกลัวที่จะยอมรับจุดอ่อนของเรา ข้าอาจจะแย่กว่าเจ้าหน่อยในการต่อสู้ด้วยพลังเวท แต่มันก็ยังยากสำหรับเจ้าอยู่ดีในการเอาชนะข้า ถ้าข้าร่วมมือกับศิษย์น้องจิ้งเหอ… หึๆ!” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางแค่หัวเราะเบาๆ อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาเย็นชา


 


 


เมฆดำทะมึนซัดไปข้างหน้าอย่างรุนแรง ใบหน้าบนนั้นแสดงให้เห็นสีหน้าดุดันสุดขีดและจ้องไปที่คนสองคนที่อยู่เบื้องหน้ามัน


 


 


เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร ในขั้วท้องฟ้ามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายรวมทั้งหมดห้าคน สองคนอยู่ในสำนักเทียนเต้า และโรงเรียนเสวียนชิงกับสำนักกู่เจี้ยนมีที่ละคน คนสุดท้ายที่จริงแล้วเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว และนั่นคืออาจารย์ซงเฟิง


 


 


สำหรับพวกผู้ฝึกตน อาจารย์ซงเฟิงถือว่าค่อนข้างพิเศษ ว่ากันว่าเมื่อพันปีก่อน เขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ในภายหลังกลุ่มของเขาถูกล้างบางและเขาหายตัวไป หลายร้อยปีให้หลัง เขากลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในขั้วท้องฟ้า แต่พอถึงตอนนั้นเขาได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่อย่างคาดไม่ถึง ทำให้ทุกคนสงสัยว่าเขาไปเจอชะตาลิขิตแบบไหนมา ที่จริงแล้วต้นทุนของเขาเป็นเพียงรากวิญญาณสามธาตุ มันน่าจะเป็นความสำเร็จสำหรับเขาแล้วที่สามารถก่อขุมพลังได้ แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะถึงกับเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้ด้วย!


 


 


คนผู้นี้เรียนรู้ทุกสิ่งที่พิเศษผิดธรรมดา วิชาการฝึกตนของเขาใกล้เคียงกับศาสตร์มาร และเขายังชำนาญในการต่อสู้ด้วยพลังเวทมาก แม้แต่ผู้ฝึกตนสายกระบี่จากสำนักกู่เจี้ยนที่เก่งในการต่อสู้ด้วยพลังเวทยังต้องสูญเสียไปมากมายจากน้ำมือของเขา ครั้งหนึ่งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายแห่งสำนักกู่เจี้ยน หลวงพ่อนักกระบี่หยวนอิง ออกตามหาเขาเพื่อดวลการต่อสู้กัน แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะอาจารย์ซงเฟิงได้เช่นกัน สรุปได้ว่าในขั้วท้องฟ้าอาจมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายห้าคน แต่คนส่วนมากก็ยังคงจัดว่าอาจารย์ซงเฟิงเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด


 


 


ถึงอย่างนั้น การแสดงออกทางอารมณ์ของเขาก็ค่อนข้างคล้ายกับประมุขเต๋าจิ้งเหอ ทั้งคู่ก้าวร้าวและกระหายเลือดอย่างมาก แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอมาจากโรงเรียนแห่งเต๋า เขาใส่ใจเกี่ยวกับการฝึกจิตใจ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสังหารคนบริสุทธิ์และแทบจะไม่ฆ่าใคร อาจารย์ซงเฟิง ในทางกลับกัน ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนระดับสูงในด้านนี้ เขาไม่คิดอะไรเกี่ยวกับการฝึกจิตใจ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนอารมณ์แปรปรวนง่าย บางครั้งเขาฆ่ามนุษย์ธรรมดาด้วยซ้ำไป เพราะความชั่วร้ายสุดขีดของเขา น้อยคนนักที่จะยอมรับรู้ตัวตนเขาในฐานะผู้ฝึกตนอันดับต้นๆ ของขั้วท้องฟ้า


 


 


อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งโม่เทียนเกอเคยได้ยินว่าอาจารย์ซงเฟิงหายตัวไปกว่าหลายร้อยปี ด้วยเวลาที่ยังเหลืออยู่ในอายุขัยมากกว่าพันปีของเขา หลายคนคิดว่าเขาได้ตายไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้เหลือเพียงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายแค่สี่คนในขั้วท้องฟ้า แต่ ณ วันนี้ เขากลับมาปรากฏตัวที่โรงเรียนเสวียนชิงเข้าจริงๆ! ยิ่งไปกว่านั้น เขามาเพื่อก่อปัญหาให้กับอาจารย์ของนาง!


 


 


นี่อาจารย์ของนางไปทำอะไรเข้าถึงได้ทำให้ดาวร้ายผู้นี้โกรธเคือง? เมื่อครู่นี้พวกเขาพูดถึงศิษย์ของพวกเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจารย์ของนางฆ่าศิษย์ของอาจารย์ซงเฟิง?


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอคิดกับตัวเอง นางได้ยินอาจารย์ซงเฟิงพูดอีกครั้ง “ฉินจิ้งเหอ ฉินโส่วจิ้งศิษย์น้อยของเจ้าอยู่ไหนซะล่ะ ทำไมเขาไม่โผล่หน้ามาในวันสำคัญเยี่ยงนี้”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ศิษย์คนนั้นของข้าอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นสุดท้ายแล้ว เขากำลังปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอย่างเคร่งครัด นอกเสียจากว่าเขาสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้สำเร็จ เขาจะไม่ออกมาเด็ดขาด”


 


 


“สร้างจิตวิญญาณใหม่…” เมฆดำทะมึนหัวเราะอย่างเศร้าหมอง “ไอ้เด็กเหลือขอคนนั้นมันโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ เขาสามารถเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้เร็วนัก อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนของเขา การสร้างจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่น่าจะง่าย จริงไหม”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอตอบพร้อมรอยยิ้ม “ตาแก่ซงเฟิง แม้ด้วยต้นทุนเช่นนั้นของเจ้า เจ้ายังสร้างจิตวิญญาณใหม่และเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้เลย มีเหตุผลอะไรที่ศิษย์ข้าจะทำไม่ได้?”


 


 


“ข้าน่ะรึ” เมฆดำทะมึนนั้นระเบิดหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ! ฉินจิ้งเหอ เจ้ากำลังเปรียบเทียบศิษย์ของเจ้ากับข้างั้นหรือ เจ้าคิดว่าเขาสูงส่งมากเกินไปแล้ว รู้ไหม!”


 


 


ถึงแม้ว่าใบหน้าบนเมฆดำทะมึนจะเห็นไม่ชัดเจน แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงการดูถูกของเขา ในคุนอู๋ฝั่งตะวันออก คนหลายคนที่อยากจะเยาะเย้ยฉินโส่วจิ้งเกี่ยวกับการฝึกตนคงเป็นเพราะอิจฉา ความจริงที่ว่าผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณคู่มีความสามารถมากกว่าผู้ฝีกตนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวหรือรากวิญญาณกลายพันธุ์หลายคนก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายสถานการณ์ แต่กระนั้น คนที่กำลังล้อฉินโส่วจิ้งกลับเป็นอาจารย์ซงเฟิง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้าย และไม่มีใครสามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเขาได้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายก็ต้องมีคุณสมบัติมากพอที่จะดูถูกผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นธรรมดา ถึงแม้จะมีความจริงว่าผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนนั้นเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบสหัสวรรษผู้ที่สามารถก่อขุมพลังของเขาได้ในช่วงอายุร้อยปีก็ตาม


 


 


ปกติประมุขเต๋าจิ้งเหอมีนิสัยเหมือนเด็กขี้หงุดหงิด แต่วันนี้เขาใจเย็นมาก เขาไม่ถูกยั่วยุเลยแม้แต่น้อยและยังยิ้มกว้างอย่างสดใสแทน “ข้าคิดรึ? ถ้างั้น… ตาแก่ซงเฟิง เจ้าก็คิดว่าตัวเองสูงส่งมากเกินไปเช่นกัน ข้าไม่ใช่คนที่พูดนะ แต่เจ้าเองไม่ใช่รึที่เป็นตัวประหลาดผู้ที่ไม่ใช่ทั้งคนหรือมารหรือปีศาจ? มันไม่สำคัญหรอกหากเจ้าจะวางท่ายิ่งใหญ่ต่อหน้าคนอื่น แต่เจ้ายังแสร้งทำต่อหน้าข้าอีก ช่างหน้าไม่อายอะไรเช่นนี้!”


 


 


คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย ทำให้อาจารย์ซงเฟิงเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที “ฉินจิ้งเหอ เจ้า–”


 


 


“อะไรนะ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงยิ้มอยู่ อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอเป็นศิษย์เขามาสักพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นนางจึงสังเกตเห็นเจตนาฆ่าในสายตาของได้อย่างฉับไว ดูเหมือนว่าอาจารย์ของนางพร้อมจะสู้กับเขาแล้ว “เอ้~ เอาว่า… เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้ว่าข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเจ้า ทำไมเจ้ายังรีบเร่งมาที่นี่และปล่อยให้ข้าได้หัวเราะเยาะเจ้าอีก”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างสับสน บางทีซงเฟิงอาจมีความลับบางอย่างที่ถูกค้นพบโดยประมุขเต๋าจิ้งเหอ?


 


 


ทันใดนั้นเอง เมฆดำทะมึนกระเพื่อมขึ้นอย่างเร็วอีกครั้ง แรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณรุนแรงแพร่กระจายออกไปในชั่วพริบตา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางรีบเรียกแผ่นตรีลักษณ์ทั้งแปดมาทันที ไม่แน่ชัดนักว่าแผ่นนั้นทำมาจากอะไร แต่นอกจากด้านข้างของตรีลักษณ์ทั้งแปดมีการแต่งแต้มสี อีกข้างของมันเป็นสีน้ำตาล ทันทีที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเรียกมันมา มันก็ขยายขนาดขึ้นกลางอากาศใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเมฆดำทะมึนนั้น จากศูนย์กลางของตรีลักษณ์ทั้งแปด ลำแสงสีขาวดำถูกฉายส่องออกมา ลำแสงทั้งสองผสมผสานกันและก่อเกิดเป็นตาข่ายซึ่งปกคลุมโถงหลักและบริเวณโดยรอบไว้อย่างแน่นหนา มันกำลังปกป้องพวกผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนต่ำกว่าจากการถูกกดดันจากแรงกดพลังทางจิตวิญญาณ


 


 


“ฮึ่ม! ทักษะกระจอก! ข้าจะสู้กับพวกเจ้าก่อน!” เมฆดำทะมึนก็ขยายใหญ่ขึ้นในทันทีเช่นกัน มันขยายใหญ่มากจนแทบจะปะทะเข้ากับหน้าพวกเขา ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะไม่รู้สึกอะไรเพราะตอนนี้นางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่สาวใช้ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ หมิงเซี่ยและหว่านชิวกระอักเลือดออกมาทันที เพราะอย่างนั้นนางจึงเข้าใจว่าการผันผวนพลังทางจิตวิญญาณด้านนอกจะต้องเกินต้านแน่ โชคดีที่มีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่หลายคนอยู่ที่นั่น ด้วยการโบกมือหนึ่งครั้ง ประมุขเต๋าเสวียนอินสร้างเกราะป้องกันให้กับสาวใช้ทั้งสอง พวกนางจึงหยุดกระอักเลือดได้


 


 


ถ้านางยังอยู่ด้านนอก โม่เทียนเกอคงไม่มีโอกาสได้สังเกตการณ์การต่อสู้ด้วยพลังเวทระหว่างผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เก่งที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ครั้งนี้ได้แน่นอน ขณะนั้น นางไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยของตัวเองหรือของประมุขเต๋าจิ้งเหอและของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ดังนั้นนางจึงทุ่มความสนใจไปกับการสังเกตการณ์การต่อสู้


 


 


เมื่ออาจารย์ซงเฟิงเคลื่อนไหวเช่นนั้น ทั้งประมุขเต๋าจิ้งเหอและประมุขเต๋าเจิ้นหยางรีบประจำตำแหน่งของตัวเองทันที ชายชราสองคนนี้เพิ่งจะสู้กันเองเมื่อไม่นานมานี้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลัง ความเข้าใจตรงกันที่ลึกซึ้งของพวกเขานั้นเห็นได้ชัด ในชั่วพริบตา พวกเขาประจำตำแหน่งที่สามารถดักคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ไม่นานหลังจากนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอเรียกผลน้ำเต้าออกมาและประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็เรียกหินก้อนเล็กออกมา


 


 


ขณะที่เมฆดำทะมึนยังคงขยายใหญ่ขึ้นต่อไป ผลน้ำเต้าของประมุขเต๋าจิ้งเหอพ่นไฟไปทางนั้น ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเองก็ขว้างหินของเขาออกไปเช่นกันซึ่งขยายใหญ่ขึ้นทันที


 


 


โม่เทียนเกอต้องการศึกษาการต่อสู้อย่างรอบคอบ แต่ระดับการฝึกตนของนางนั้นต่ำเกินไป นางจะเห็นการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางและขั้นสุดท้ายอย่างชัดเจนได้อย่างไร นางเห็นเพียงแค่ฝุ่นและหินถูกขว้างไปทุกทิศทางพร้อมกับเปลวไฟระเบิดและท่วงท่าที่ไม่ชัดเจนของเมฆดำทะมึนที่ซัดขึ้นลง นางไม่สามารถเห็นได้เลยว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไร!


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอมีรากวิญญาณธาตุไฟขณะที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางมีรากวิญญาณธาตุดิน เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกันในการต่อสู้ด้วยพลังเวทนี้ ผลลัพธ์จึงเหมือนกับสำนวนที่ว่า “หัวและใบหน้าเต็มไปด้วยสิ่งโสโครก” ไม่เพียงแต่ไฟจะเผาไหม้คู่ต่อสู้ของเขาแต่ดินก็ยังถูกพ่นเลอะเขาด้วย โชคดีที่อาจารย์ซงเฟิงเป็นแค่เมฆดำทะมึนตอนนี้ เขาจึงไม่ต้องกลัวว่าจะสกปรก มิเช่นนั้นเขาคงลงเอยเหมือนอย่างทั้งสองคนนั้นเมื่อพวกเขาสู้กันในตอนนั้นที่เลอะเทอะและดูน่าสมเพชเป็นที่สุด


 


 


ในเวลาต่อมา การต่อสู้ก็ค่อยๆ หยุดลง ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ได้เห็นชัดๆ ว่าถึงแม้ประมุขเต๋าจิ้งเหอและประมุขเต๋าเจิ้นหยางจะร่วมมือกัน แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะอาจารย์ซงเฟิงได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าใบหน้าบนเมฆดำทะมึนหลับตาลง อาจารย์ซงเฟิงก็คงจะไม่ได้ต่อสู้อย่างง่ายดายเช่นกัน


 


 


ทั้งสามคนแยกกันไป ประมุขเต๋าจิ้งเหอและประมุขเต๋าเจิ้นหยางนั่งลงในท่านั่งดอกบัวขณะที่ดวงตาของเมฆดำทะมึนปิดอยู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังพักผ่อน


 


 


เมื่อเห็นว่าอาจารย์ซงเฟิงก็ไม่สามารถทำอะไรต่อประมุขเต๋าจิ้งเหอและประมุขเต๋าเจิ้นหยางได้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เหลือ ณ โรงเรียนเสวียนชิงจึงยังคงอยู่นิ่งๆ


 


 


หลังจากผ่านไปนาน ใบหน้าบนเมฆดำทะมึนในที่สุดก็ลืมตาขึ้น เสียงส่งผ่านมาจากส่วนลึกภายในเมฆ “ฉินจิ้งเหอ บอกกับไอ้เด็กเหลือขอของครอบครัวเจ้าด้วย เขาฆ่าศิษย์ข้า เพราะงั้นไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะต้องแก้แค้นให้ศิษย์ข้าแน่นอน! เขาควรจะหลบอยู่แต่ในโรงเรียนจนกระทั่งข้าตายจากไปเสีย มิเช่นนั้น ข้าจะต้องเอาชีวิตเขาแน่!”


 


 


หลังจากพูดจบ เมฆดำทะมึนก็ทะลุผ่านตาข่ายลำแสงที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางวางไว้ด้วยแผ่นตรีลักษณ์ทั้งแปดไปอย่างง่ายดายและจากไปทันที


 


 


ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ถอนใจอย่างโล่งอก ในเมื่ออาจารย์ซงเฟิงบังอาจมาที่โรงเรียนโดยไม่ได้รับเชิญ เขาคงไม่เคยเจอคนที่สามารถขวางทางของเขาได้ ใช่ไหม? น่าจะเป็นเช่นนั้นล่ะ แค่ฆ่าผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็ยากอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายที่ครอบครองวิชาลับและสมบัติมากมายเลย สืบเนื่องจากปฏิกิริยาเฉยเมยของพวกผู้อาวุโสระดับจิตวิญญาณใหม่พวกนั้น พวกเขาก็คงไม่มีเจตนาจะหยุดเขา จริงไหม


 


 


อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้ว่าที่อาจารย์ซงเฟิงพูดว่า “เขาฆ่าศิษย์ของข้า” หมายความว่าอะไร เป็นไปได้หรือไม่ว่าฉินโส่วจิ้งคนนั้นฆ่าศิษย์ของเขา


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นางก็คิดถึงผู้ฝึกตนหญิงที่โจมตีนางในตอนแรกอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีอาวุธเวทที่จงมูหลิงมอบให้ นางก็คงไม่ได้ต่อสู้กับผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นได้อย่างง่ายดายแบบนี้แน่


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นลอบเข้ามาในโรงเรียนเสวียนชิงและหายตัวไปเมื่ออาจารย์ซงเฟิงปรากฏตัวขึ้น หรือว่านางก็เป็นศิษย์หรือศิษย์หลานของอาจารย์ซงเฟิงเช่นกัน?


 


 


หลังจากคิดอยู่นานโดยไม่มีคำตอบ โม่เทียนเกอส่ายหัวและโยนเรื่องพวกนี้ไว้ในใจลึกๆ พวกมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับนาง บัดนี้นางควรคิดว่าจะออกไปโดยไม่ถูกสังเกตเห็นได้อย่างไรดี 

 

 


ตอนที่ 150 ต้นเหตุของความเป็นศัตรู

 

ใช้โอกาสจากสถานการณ์วุ่นวายหลังจากอาจารย์ซงเฟิงจากไป โม่เทียนเกอแอบออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนลับๆ จากนั้นนางวิ่งไปทางโถงหลัก แกล้งทำเป็นว่าเพิ่งรีบมา 


 


 


ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและการสร้างฐานแห่งพลังผู้ที่ไม่กล้าเข้าใกล้ก่อนหน้านี้เพราะแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาระหว่างการต่อสู้ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ต่างก็รีบมาทีละคน ดังนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นนางปรากฏตัวออกมาจากกลางอากาศ 


 


 


“ท่านอาจารย์!” โม่เทียนเกอรีบเข้าไปหาประมุขเต๋าจิ้งเหอทางด้านข้างและเห็นว่าเขาดูไร้ปัญหาและกำลังคุยอย่างรื่นเริงอยู่กับคนอื่น 


 


 


ในที่สุดนางก็คลายความกังวลที่รู้สึกอยู่ในหัวใจได้ ดูจากหน้าตาท่าทางของเขาตอนนี้ อาการบาดเจ็บของเขาคงไม่หนักเท่าไหร่ 


 


 


พอเห็นนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งสัญญาณให้นางเข้าไปใกล้ขณะที่แอบส่งสายตาอย่างมีนัยยะแบบลับๆ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงเร่งรีบเช่นนี้”  


 


 


โม่เทียนเกอตกใจเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่งที่นางสงสัยว่าสายตาของเขาหมายความว่าอะไร “ท่านอาจารย์ ข้า…”  


 


 


“เจ้าอยากเจอข้าเพราะเรื่องอะไรบางอย่างหรือ”  


 


 


“อืม…”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอประสานมือไปทางผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่อยู่รอบตัวเขาทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายแห่งเต๋า อภัยให้ข้าด้วย ข้ามีบางเรื่องต้องจัดการดังนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”  


 


 


เมื่อเขาพูดจบ เขาเดินนำหมิงเซี่ยและหว่านชิวออกจากโถงหลักไปพร้อมกับโม่เทียนเกอ 


 


 


“ท่านอาจารย์?”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้พูดอะไรและแค่นำทางทั้งสามคนเพื่อบินกลับไปยังยอดเขาวสันต์กระจ่าง เมื่อพวกเขามาถึงที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างและเดินเข้าไปในตำหนักซ่างชิง จู่ๆ ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็หยุดกะทันหัน 


 


 


“ท่านอาจารย์…” โม่เทียนเกออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่นางก็พูดได้แค่คำเดียวก่อนที่นางจะเห็นร่างของเขาโซเซและจากนั้นก็ล้มลงกับพื้นทันที 


 


 


“ท่านอาจารย์!”  


 


 


“ท่านปรมาจารย์!”  


 


 


ทั้งสามคนตัวซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอสามารถจะยืนตรงได้ด้วยความยากลำบาก เขาส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวล ช่วยข้าให้อยู่ในท่านั่งก่อน”  


 


 


หมิงเซี่ยและหว่านชิวพยุงเขาขึ้นไปที่ตั่งมังกร จากนั้นทั้งสามคนรออยู่ด้านข้างเขา คอยมองเขาอย่างเป็นกังวล 


 


 


พวกนางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก่อนที่ใบหน้าซีดขาวของประมุขเต๋าจิ้งเหอจะกลับมามีสีสันอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็ลืมตาขึ้นและหายใจออกช้าๆ “หลังจากไม่เจอกันมาหลายร้อยปี ศาสตร์มารของตาแก่ซงเฟิงกลับยิ่งยากจะต่อกรด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ…”  


 


 


ครั้งนี้ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เข้าใจ อาการบาดเจ็บของประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่เล็กน้อย แต่เพราะเขาต้องการจะรักษาชื่อเสียงของเขาเอาไว้ เขาจึงส่งสายตามีนัยยะให้กับนางเพื่อนางจะได้ช่วยเขา นางรู้สึกขัดแย้งนิดหน่อยว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่านอาจารย์คนนี้… เป็นคนมีคุณธรรมเช่นนี้นี่ล่ะ!  


 


 


“หมิงเซี่ย หว่านชิว เจ้าทั้งสองออกไปก่อน”  


 


 


หมิงเซี่ยและหว่านชิวเหลือบมองกันแล้วจึงตอบว่า “เจ้าค่ะ”  


 


 


“เทียนเกอ มานี่สิ”  


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปหาเขา รู้สึกงุนงง “ท่านอาจารย์?”  


 


 


“นั่งลง” ประมุขเต๋าจิ้งเหอชี้ไปยังที่ว่างข้างเขา 


 


 


“นี่…”  


 


 


“ข้าบอกให้นั่ง เจ้าก็แค่ต้องนั่ง!”  


 


 


“ตกลง…” นางก้าวไปข้างหน้าอย่างระวังตัวและมองเขาอย่างระแวงแล้วจึงนั่งลง จะโทษนางที่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ไม่ได้นี่ สุดท้ายแล้วประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ทำตัวเป็นมิตรเกินไป! เหมือนคนแก่เกินไป!  


 


 


“เทียนเกอ…”  


 


 


“เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอเป็นกังวล นางสงสัยว่าท่านอาจารย์จะเล่นอุบายแบบไหนอีก 


 


 


แต่ครั้งนี้ประมุขเต๋าจิ้งเหอแค่ถอนหายใจและมองนางในแบบปกติธรรมดา “บางทีเจ้าอาจจะรู้สึกว่าอาจารย์ไม่ได้สอนอะไรเจ้าเลยใช่ไหม”  


 


 


“…” หลังจากคิดครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอตอบตามตรง “เกี่ยวกับเรื่องการฝึกตน ท่านอาจารย์ไม่เคยสอนอะไรข้าเลย ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างสับสน อย่างไรก็ตาม ข้าได้พบกับชะตาลิขิตหลายอย่าง ตอนนี้ระดับการฝึกตนของข้าอยู่สูงกว่าที่ข้าควรจะรับมือได้กับอายุปัจจุบันของข้า สิ่งที่ท่านอาจารย์สอนข้าคือสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดในขณะนี้”  


 


 


“ดีที่เจ้าเข้าใจ” เมื่อได้ยินคำตอบและเห็นสีหน้าจริงใจของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกโล่งใจ เขายังคงนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิและหลับตา “เกี่ยวกับเรื่องวันนี้ เจ้าเห็นมากแค่ไหน”  


 


 


“ศิษย์เห็นทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ภายในโถงด้านข้าง ข้ายังได้พบกับผู้ฝึกตนหญิงที่ดูเหมือนจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับอาจารย์ซงเฟิง”  


 


 


“โอ้?”  


 


 


โม่เทียนเกออธิบายเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกตนหญิงติดกรงเล็บคนนั้นอย่างระมัดระวัง 


 


 


เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอได้ฟังทุกอย่าง เขาลืมตาขึ้นและคิดกับตัวเอง “จากเรื่องเล่าของเจ้า วิชาของผู้หญิงคนนี้ก็ฟังดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับตาแก่ซงเฟิง ในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด ข้าน่าจะเข้าใจตาแก่ซงเฟิงได้ดีที่สุด ข้าไม่รู้ว่าสมัยนั้นตาแก่นั่นไปเจอเข้ากับอะไร แต่สภาพร่างกายของเขาไม่ใช่มนุษย์ ปีศาจ หรือมาร มันเหมือนกับเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงร่างประหลาด เขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนแห่งเต๋าตามแบบแผนหรือมารผู้ฝึกตน แต่เขาเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากทั้งสองโลก ดังนั้นเขาจึงรับมือได้ยากยิ่ง ผู้หญิงคนนั้นฟังดูเหมือนผู้ฝึกตนนักสู้และวิชาของนางก็อบอวลไปด้วยพลังของมาร ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่านางน่าจะเป็นศิษย์หรือศิษย์หลานของตาแก่ซงเฟิง เจ้าอาจไม่ได้แพ้นางในวันนี้ แต่ถ้าเจ้าเจอกับผู้หญิงคนนั้นอีกในอนาคต เจ้าต้องระวังตัวไว้ให้มากไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”  


 


 


“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจ”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าแล้วถามว่า “เจ้ารู้บ้างไหมว่าระหว่างข้ากับตาแก่ซงเฟิงมีความแค้นแบบไหนกัน”  


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ตอนนั้นศิษย์เพียงได้ยินบทสนทนาระหว่างท่านทั้งสอง แต่ศิษย์รู้ว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่โส่วจิ้ง”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะเบาๆ ในสีหน้าเขามีทั้งความรู้สึกหมดหนทางและความภูมิใจ “เจ้าพูดถูก นี่เป็นหายนะที่เด็กนั่นมันก่อไว้ ตาแก่ซงเฟิงครั้งหนึ่งเคยมีผู้น้อยที่เก่งกาจมากซึ่งมีความขัดแย้งกับศิษย์พี่โส่วจิ้งของเจ้าและลงเอยด้วยการตาย ในตอนนั้นตาแก่ซงเฟิงหายตัวไปจากโลกนี้นานแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่และถึงกับต้องการแก้แค้นเรื่องนี้ ตาแก่นั่นอาฆาตแค้นเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ต้องยากจะรับมือในภายหลังแน่”  


 


 


“ถ้าอย่างนั้น… ท่านอาจารย์ แล้วระหว่างท่านกับอาจารย์ซงเฟิงมีความขัดแย้งกันหรือไม่”  


 


 


“เรียกว่าความขัดแย้งไม่ได้หรอก เมื่อตอนที่ข้าเพิ่งเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนจิตวิญญาณใหม่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ข้าและตาแก่ซงเฟิงไปที่สถานที่ลับด้วยกันและเกิดการโต้เถียงกันขึ้น” ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้อธิบายต่อและแค่ส่ายหน้าเท่านั้น “ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้กลายเป็นศัตรูกัน ณ ตอนนั้น แต่เราก็ไม่ได้จากกันด้วยดี”  


 


 


ด้วยลักษณะนิสัยอาจารย์ของนาง มันคงจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์ถ้าเขาสามารถเข้ากันได้ดีกับชายผู้มีอารมณ์แปลกประหลาดอย่างอาจารย์ซงเฟิง! ความประทับใจของอาจารย์ซงเฟิงที่มีต่ออาจารย์ของนางก็แย่พออยู่แล้ว แต่แล้วศิษย์ที่รักของเขายังถูกฆ่าโดยฉินโส่วจิ้งอีก ความเกลียดชังของเขาคงจะหยั่งรากลึกมากขึ้นเป็นธรรมดา 


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอคิดมาถึงตรงนี้ นางก็อดที่จะปวดหัวไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าคนที่ฝึกตนจนถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนจิตวิญญาณใหม่จะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน อาจารย์ของนางอายุมากกว่าแปดร้อยปีแล้ว ดังนั้นอาจารย์ซงเฟิงก็น่าจะอายุมากกว่าหนึ่งพันปี ถ้าอาจารย์ของนางไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้ เขาก็จะตายก่อนอาจารย์ซงเฟิงแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ศิษย์โดยตรงของท่านอาจารย์อย่างนางจะไม่กลายเป็นเป้าหมายการแก้แค้นของอาจารย์ซงเฟิงหรอกหรือ แน่นอนว่าถ้านางอยู่ภายในโรงเรียนเสวียนชิง นางก็จะไม่เป็นอะไร… 


 


 


“เทียนเกอ… ถ้าเจ้าออกไปข้างนอกด้วยตัวเองในอนาคต มันจะดีกว่าที่เจ้าจะไม่เปิดเผยตัวตนว่าเป็นศิษย์ของข้าต่อหน้าคนอื่น นอกเสียจากว่าตาแก่ซงเฟิงตายไปแล้วหรือเจ้าสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้แล้ว เข้าใจไหม”  


 


 


โม่เทียนเกอตะลึง ประมุขเต๋าจิ้งเหอมักจะหยิ่งยโสและชอบกดขี่อยู่เสมอ แต่กระนั้นเขากลับพูดเช่นนี้กับนาง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการปกป้องนางจากหายนะครั้งนี้! นางรู้สึกซาบซึ้งมากจนนางถึงกับเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ด้วยความจริงใจอย่างที่สุด “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”  


 


 


เมื่อได้เห็นสภาพตอนนี้ของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะขึ้นโดยไม่คาดคิด “เจ้าเด็กคนนี้นี่! วันนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อย่างจริงใจ ใช่ไหม”  


 


 


โม่เทียนเกอก้มหัวคำนับและหัวเราะเบาๆ ถึงแม้ว่าอาจารย์ของนางจะไม่น่าเชื่อถือ แต่เขาก็ฉลาดเฉียบแหลมมาก อีกอย่าง ถึงแม้ว่าโดยปกตินางจะเรียกเขาว่าท่านอาจารย์โดยไม่ได้เคารพมากนัก แต่นางก็รู้สึกเสมอกว่านางโชคดีมากที่มีอาจารย์เช่นนี้ 


 


 


เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะจนพอใจ เขาก็พูดว่า “หลังจากข้าสร้างจิตวิญญาณใหม่ ข้าก็รับศิษย์มาห้าคน คือเสวียนอิน ชิงหย่วน [1] หมิงเจิน ซู่ซิน และฉางคง ศิษย์พี่รองดั้งเดิมของเจ้า ชิงหย่วน ตายก่อนวัยอันควรไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นเมื่อข้ารับศิษย์อีกคนเข้ามา ข้าจึงมอบชื่อ ‘ชิงหยวน [2] ’ เป็นชื่อชาวลัทธิเต๋าของเขา” 


 


 


“เดิมข้าตั้งใจจะหยุดรับศิษย์ แต่เมื่อข้าเดินทางกลับไปยังตระกูลฉินในโลกมนุษย์ตอนหลัง ข้าก็ได้ค้นพบศิษย์พี่โส่วจิ้งของเจ้าอย่างไม่คาดคิด เขายังเป็นผู้สืบสกุลวงศ์ย่อยของข้าและรากวิญญาณของเขาก็ไม่ได้แย่ ข้าจึงต้องให้ความใส่ใจเขามากเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้นข้าพาเขากลับมากับข้าที่เขาไท่คังและรับเขาเป็นศิษย์ของข้า”  


 


 


“ถึงแม้ว่ารากวิญญาณของเด็กนั่นจะธรรมดา แต่เขาก็มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่ดีและฉลาดไหวพริบดีมาก หลังจากข้ารับเขาเข้ามา ข้าคิดว่าการมีเขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายก็เพียงพอแล้ว แต่เขากลับบอกให้ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์…”  


 


 


แน่นอนว่าคนคนนั้นคือสาเหตุว่าทำไมข้าถึงถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์… โม่เทียนเกอเดาไว้นานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ผิดหวังมากมายอะไร แต่นางก็ไม่สามารถรู้สึกยินดีกับเรื่องนี้ได้เหมือนกัน 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงพูดต่อ “เมื่อข้ารับเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ลงนามของข้า ตอนแรกข้าไม่ได้คิดจริงจังกับเรื่องนี้ ในขณะนั้นข้าคิดว่าด้วยรากวิญญาณที่เจ้ามี มันคงดีเยี่ยมแล้วหากเจ้าสามารถเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้และก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เพราะเหตุนั้นข้าจึงไม่มีความจำเป็นต้องสอนอะไรเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้ถือว่าเป็นศิษย์ข้าอย่างเป็นทางการด้วย ข้าไม่เคยคาดคิดแม้แต่ครั้งเดียวเลยว่าที่จริงแล้วเจ้าจะถูกกำหนดโดยโชคชะตาให้มาเป็นศิษย์ของข้า เด็กคนนี้… เจ้าไม่ควรรู้สึกว่าข้าทำไม่ดีกับเจ้า ในเมื่อข้ารับเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการแล้ว ข้าก็จะปฏิบัติกับเจ้าอย่างจริงใจแน่นอน”  


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะ นางไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่มีชีวิตสงบสุขและราบรื่น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้นางรู้สึกว่าถูกทำไม่ดีด้วยได้อย่างไรกัน “วางใจเถอะท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจ”  


 


 


ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าในเรื่องนี้ เจ้ามั่นคงและมองตามความเป็นจริง มีความตั้งใจแน่วแน่ และไม่เคยลดคุณค่าตัวเอง เจ้าไม่เหมือนกับเด็กน้อยของชิงหย่วนที่ข้าตามใจนางตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นข้าเจอลูกสาวที่ศิษย์พี่ชิงหย่วนของเจ้าทิ้งไว้และยังพาศิษย์พี่โส่วจิ้งของเจ้ากลับมาด้วย ข้าเลี้ยงสองคนนั้นให้อยู่ข้างกาย แต่พระเจ้าก็รู้ว่าทำไมไม่มีใครโตมาได้ดีสักคน…”  


 


 


“ท่านอาจารย์…” สีหน้าผิดหวังของประมุขเต๋าจิ้งเหอที่ยากจะได้เห็นทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกถึงความไม่คุ้นเคยเช่นเดียวกับความสับสน “ไม่ใช่ว่าตอนนี้ศิษย์พี่โส่วจิ้งกำลังไปได้สวยอยู่หรือเจ้าคะ คาดว่าภายในไม่กี่สิบปีหรือร้อยปีข้างหน้า เขาจะสามารถย่างเข้าสู่เต๋าอันยิ่งใหญ่และดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้แน่นอน”  


 


 


“เจ้าไม่รู้ว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร” ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหน้า “ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้… ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาก็มีหัวใจแห่งเต๋าที่หนักแน่นและมักจะฝึกตนอย่างพากเพียร เดิมทีข้ามักจะมีความสุขเสมอที่ศิษย์ของข้าโตมาเป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตาม แค่ตอนนี้ล่ะที่ข้ารู้ว่าการสอนของข้ามีอะไรขาดตกบกพร่องไป เขาฉลาดและมุมานะเกินไป ข้าเคยคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีและไม่จำเป็นต้องเข้าไปก้าวก่ายมาก แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าถ้าความมุมานะของเขาไปอยู่ในเรื่องอื่น มันก็อาจเป็นสิ่งที่อันตรายถึงชีวิตได้”  


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร 


 


 


นางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดต่ออย่างช้าๆ “ทุกวันนี้ข้ากังวลเกี่ยวกับเขาที่สุด นอกเหนือจากตาแก่ซงเฟิงที่ต้องการหาตัวเขาและแก้แค้นเขา ตัวเขาเองยังถูกฝันร้ายหมกมุ่นตามหลอกหลอน ตอนนี้เขายืนกรานจะอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิจนกว่าเขาจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ แต่ข้าก็กังวลมากว่า… เขาจะไม่สามารถผ่านอปุสรรคที่เรารู้จักกันว่าเป็นมารภายในจิตใจไปได้ในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดนไปสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่”  


 


 


หลังจากเขาพูดเช่นนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอหลับตาลงและถอนหายใจยาว ดูเหนื่อยอ่อนอย่างที่สุด 


 


 


โม่เทียนเกอเงียบเป็นเวลานาน สุดท้ายแล้วนางก็ถามอย่างแผ่วเบา “ท่านอาจารย์ ท่านบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับข้า… เพื่ออะไร”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอลืมตาขึ้น สีหน้าของเขาซึ่งก่อนหน้านี้ดูจริงจัง ตอนนี้ดูอ่อนโยนขึ้น “เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองในอนาคต”  


 


 


“…”  


 


 


“หลังจากข้ารับเจ้าเข้ามา ข้าก็ตระหนักว่าเจ้าคล้ายกับที่ไอ้เด็กเหลือขอนั่นเคยเป็น ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะ…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อข้าสั่งสอนเขาแบบผิดๆ ไปแล้ว บัดนี้ข้าต้องไม่ปล่อยให้เจ้าเข้าสู่เส้นทางเดียวกันกับเขา ย้อนไปตอนนั้นเด็กนั่นฝึกตนอย่างเต็มที่และไม่เคยสนใจกิจธุระทั่วไป แต่ข้าก็ไม่สน ตอนนี้หลังจากคิดมามาก ข้าคิดว่ามันจะดีที่สุดที่ให้เจ้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของโรงเรียนมากขึ้น ถ้าเจ้าได้เห็นและได้ฟังมากขึ้น เจ้าก็จะไม่ยึดติดกับอะไรมากเกินไปในอนาคต สำหรับเด็กอย่างพวกเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับวิชาการฝึกตนเฉพาะทาง แต่พฤติกรรมของเจ้า อย่างไรก็ตาม ต้องได้รับการชี้แนะอย่างเหมาะสมเพื่อให้เจ้าไม่เดินไปบนเส้นทางวกวนในอนาคต”  


 


 


โม่เทียนเกอเดามานานแล้วว่าทำไมประมุขเต๋าจิ้งเหอถึงสอนนางในวิธีแบบที่เขาทำ แต่การได้ยินเขาอธิบายให้นางฟังด้วยตัวเองในตอนนี้ นางก็ยังรู้สึกซาบซึ้งอยู่ดี 


 


 


“เอาล่ะ อาการบาดเจ็บของอาจารย์ไม่สำคัญแล้วตอนนี้ ตอนนั้นที่ข้าพาเจ้ากลับมา ข้าบอกว่าเจ้าจะต้องถูกกักบริเวณและต้องใคร่ครวญถึงความผิดพลาดของเจ้าไปอีกสิบปี ตอนนี้ยังเหลืออีกห้าปี ในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าปล่อยให้เจ้าได้มีประสบการณ์หลากหลายและตอนนี้เจ้าก็คุ้นเคยกับเรื่องต่างๆ ของโรงเรียนแล้วไม่มากก็น้อย เจ้าควรเริ่มปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิได้แล้ว ในอีกห้าปีเมื่อเจ้าออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เจ้าน่าจะลงจากเขาและออกท่องเที่ยว ไปซะ!”  


 


 


“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”  


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 清远 (Qīngyuǎn) ชิงหย่วน 


 


 


[2] 青元 (Qīngyuán) ชิงหยวน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม