หวานรักจับหัวใจท่านประธาน 145-168

 ตอนที่ 145 ต่อกรไม่ได้! ต่อกรไม่ได้!


 


 


ถ้าต้องหาใครสักคนบนโลกใบนี้ที่เหนียนเสี่ยวมู่กลัว ก็ต้องเป็นถานเปิงเปิงอย่างแน่นอน


 


 


คนที่ปกติพูดน้อย เมื่อตัวพัวพันถึงปัญหาสุขภาพ ก็จะกลายเป็นคนพูดมาก


 


 


ศัพท์เฉพาะทางต่างๆ เล่นเอาเวียนหัวเสียเหลือเกิน!


 


 


ต่อกรไม่ได้ๆ!


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ขดตัวอยู่บนเก้าอี้ของตัวเองด้วยความหวาดหวั่น มองบริกรถือเมนูที่สั่งแล้วเรียบร้อยจากไปตาปริบๆ


 


 


“เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องรีบร้อนอยากเจอฉันด้วย” ถานเปิงเปิงยกแก้วน้ำตรงหน้า หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งแล้วก็ถามขึ้น


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่นึกถึงเรื่องสำคัญได้เมื่อได้ยินดังนั้น จึงรีบนั่งตรงตัวตรง แล้วหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าตัวเอง


 


 


“นี่คือโบนัสของฉันในเดือนนี้ แล้วก็มีสลิปเงินเดือนของฉันด้วย” เหนียนเสี่ยวมู่พูดพลางยื่นของให้ถานเปิงเปิง


 


 


คำสั่งของอวี๋เยว่หานได้ผลดีมาก พอเขาเอ่ยปาก ผู้ช่วยก็ให้คนของแผนกการเงินโอนโบนัสมาที่เธอ


 


 


เธอจำได้ว่ามีหนี้ที่ใกล้ถึงเวลาจ่ายแล้ว


 


 


“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่มีโอกาสบอกเธอสักที อวี๋เยว่หานคิดว่าฝีมือฉันไม่เลว ก็เลยให้ฉันเข้าไปทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทตระกูลอวี๋ แถมเป็นตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์ด้วยนะ! แต่แผลของเสี่ยวลิ่วลิ่วยังไม่หายดี ฉันก็เลยต้องดูแลเธอควบไปด้วย…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เหมือนเด็กที่ไม่ได้เจอญาติมานานมาก จึงรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ให้ฟังอย่างละเอียด


 


 


ถานเปิงเปิงแค่ฟังเฉยๆ ไม่ได้โต้ตอบอะไร


 


 


จากนั้นเธอก็ยื่นมือไปหยิบซองจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาดูเงินข้างในครั้งหนึ่ง


 


 


แต่เธอก็หยิบสลิปเงินเดือนข้างในออกมาส่งคืนให้เหนียนเสี่ยวมู่ “เธอเก็บสลิปเงินเดือนไว้เถอะ”


 


 


คุณหมอสาวพูดจบก็เก็บเงินในองจดหมายเข้าไปในกระเป๋า โดยไม่ให้โอกาสเหนียนเสี่ยวมู่ได้ปฏิเสธเลย


 


 


อาหารมาถึงครบหมดแล้ว


 


 


วิธีการที่พวกเธอสองคนพูดคุยกันไม่ค่อยเหมือนเพื่อนสนิททั่วไปเท่าไหร่นัก


 


 


นั่นเป็นเพราะนิสัย เหนียนเปิงเปิงพูดน้อยมาก เธอฟังเหนียนเสี่ยวมู่เล่าเหตุการณ์ล่าสุดของตัวเอง พูดตอบเพียงหนึ่งหรือสองประโยคเท่านั้น


 


 


“จริงสิ เธอเคยได้ยินนางแบบที่ชื่อซ่างซินหรือเปล่า” เหนียนเสี่ยวมู่นึกถึงงานที่ตัวเองกำลังติดขัด จึงถามโดยสัญชาตญาณ


 


 


เดิมทีคิดว่าด้วยชื่อเสียงและความนิยมขอบริษัทตระกูลอวี๋และบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้า เชิญนางแบบคนหนึ่งมาเป็นพรีเซนเตอร์ คงจะเป็นเรื่องกล้วย แต่ดูจากตอนนี้แล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น


 


 


อย่าว่าแต่ให้เธอติดต่อซ่างซินเลย ตอนนี้ติดต่อผู้จัดการของนางแบบสาวยังเป็นเรื่องยากเลย!


 


 


ครั้นอีกฝ่ายได้ยินว่าเธอมาเจรจาเรื่องพรีเซนเตอร์ ก็แทบจะไม่ให้โอกาสได้เจรจาเลย แถมยังปฏิเสธในทันที


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งถามจบก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เสียแล้ว


 


 


ในสายตาของถานเปิงเปิงมีแต่คนไข้ เรื่องอื่นไม่อยู่ในสายตาของเธอโดยสิ้นเชิง เป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะสนใจข่าวบันเทิง


 


 


“เธอหมายถึงนางแบบที่พอเดินแบบก็ดังเป็นพลุแตกคนนั้น” ท่าทางคนกาแฟของถานเปิงเปิงชะงักงัน ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย


 


 


“เธอรู้จักเหรอ” เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งใจเย็นลงได้ก็ต้องร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เธอรีบร้อนไต่อยู่ตรงหน้าโต๊ะ “อะไรยังไง เธอรีบบอกฉันเร็ว!”


 


 


“ฉันไม่รู้จักหรอก แต่ในแผนกของพวกฉันมีหมอผู้ชายหลายคนเป็นแฟนคลับของเธอ ฉันได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดถึงอยู่หลายครั้ง เล่ากันว่าเป็นผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์มาก”  ถานเปิงเปิงชำเลืองมองอีกฝ่าย ก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาดื่ม แล้วกล่าวอย่างเรียบง่าย


 


 


“มีเอกลักษณ์มากแค่ไหน” เหนียนเสี่ยวมู่ได้กลิ่นสิ่งผิดปกติ จึงหรี่ตาถาม


 


 


เมื่อเห็นเธออยากรู้จริงๆ สายตาของถานเปิงเปิงก็จริงจังขึ้นมา คุณหมอสาววางแก้วลง แล้วนึกอย่างละเอียด


 


 


“ฉันได้ยินพวกเขาพูดว่า ซ่างซินคนนี้เหมือนจะไม่เคยรับงานพรีเซนเตอร์ ลึกลับมาก แม้แต่นักลงทุนอยากเลี้ยงข้าวเธอก็ยังถูกปฏิเสธทั้งหมด”


 


 


 


 


ตอนที่ 146 เขากำลังรอเธอเหรอ


 


 


“อวดดีขนาดนี้ คงจะผิดใจกับใครไม่ยาก” เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินถึงตรงนี้ก็ชะงักงันไป


 


 


ในวงการบันเทิง ถึงแม้อยู่หลังฉากก็ไม่กล้าหลงระเริงขนาดนี้


 


 


นางแบบที่เพิ่งเดินแบบได้ไม่นาน วิธีการของซ่างซินเป็นการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


“ผิดใจกับคนเยอะแยะไป ตอนที่เธอเพิ่งเดินแบบได้ไม่นานและมีความนิยมน้อยกว่าตอนนี้ มีเสี่ยใหญ่วงในชอบใจความหยิ่งของเธอ อยากจะเชิญเธอไปกินข้าว ให้เธอเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าของตัวเอง”


 


 


ถานเปิงเปิงวางมือสองข้างทับซ้อนกันอยู่หน้าลำตัว มุมปากยกยิ้มเย้ยหยัน


 


 


ปากบอกว่าจะเชิญไปกินข้าวเพื่อคุยเรื่องพรีเซนเตอร์ แต่ความจริงชัดแจ้งอยู่แล้ว เสี่ยใหญ่คนนั้นถูกใจนางแบบสาว อยากจะเคลมเธอเสียมากกว่า


 


 


แต่ฝ่ายนางแบบให้เกียรติตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองมีเงินมากมายแล้ว แถมยังอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกต่างหาก


 


 


เสี่ยใหญ่ใช้เงื่อนไขมากมายบีบบังคับซ่างซิน ต้องการให้เธอปรากฏตัวในงานเลี้ยง


 


 


ผลสุดท้ายซ่างซินไปร่วมงาน แต่เสี่ยใหญ่ยังไม่ทันได้จับไหล่ของเธอด้วยซ้ำ เธอก็ต่อยเขาล้มคว่ำไปแล้ว


 


 


ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังสาดไวน์ใส่หน้าอีกฝ่าย พร้อมทั้งชี้หน้าต่อว่าอีกด้วย


 


 


“วงการนี้มีกากเดนอย่างพวกคุณเพิ่มขึ้นมาทำให้แปดเปื้อน ขืนกล้าแต๊ะอั๋งฉันอีก ครั้งหน้าฉันจะตัดไอ้จ้อนคุณทิ้ง”


 


 


นิสัยเผด็จการของเธอแพร่สะพัดไปทั่วทั้งวงการภายในข้ามคืน


 


 


เล่ากันว่าเสี่ยใหญ่ที่ถูกเธอต่อยคว่ำต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ครึ่งเดือนเลยทีเดียว


 


 


หลังจากเขาออกจากโรงพยาบาล ทุกคนต่างก็คิดว่าซ่างซินจะต้องมีข่าวเสียติดตัวแน่ แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องนี้จบลงโดยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…


 


 


และซ่างซินก็ยังคงเป็นซ่างซิน


 


 


นอกจากงานเดินแบบสินค้าแบรนด์เนม เธอไม่รับงานแสดง และไม่รับงานพรีเซนเตอร์


 


 


ความงามและนิสัยอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอนี้เอง ที่ทำให้เธอกลายเป็นขวัญใจชาวจีนในทันที…


 


 


“ฉันคิดว่าเพื่อนร่วมงานของเธอน่าจะเคยได้ยินเรื่องที่นางแบบคนนั้นต่อยคนกันหมด คิดจะเชิญซ่างซินมาเป็นพรีเซนเตอร์ เตรียมโลงศพให้ตัวเองก่อนดีกว่า”


 


 


“…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ฟังจบก็หัวเราะไม่ออกแล้ว


 


 


แม้แต่เสี่ยใหญ่วงในยังถูกต่อยโดยที่สวนหมัดไม่ได้ สุดท้ายเรื่องราวยังจบลงเงียบๆ อีก ปูมหลังของซ่างซินคนนี้คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ


 


 


กระดูกเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ เธอจะกล้าเคี้ยวได้อย่างไร


 


 


ครืด ครืด… โทรศัพท์มือถือส่งเสียงขึ้นมาทันใด


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ พบว่าเป็นเบอร์บ้านแปลกหน้า แต่ก็กดรับด้วยใจกังขา


 


 


วินาทีต่อมา เธอได้ยินเสียงเล็กจ้อยลอดมาจากในนั้น “พี่สาวคนสวย ตะไมพี่ไม่กลับมากินข้าวล่ะ”


 


 


“…” เธอนึกขึ้นได้ทันที ก่อนหน้านี้ดีใจเกินไปที่ได้รับโทรศัพท์จากถานเปิงเปิง ลืมบอกเสี่ยวลิ่วลิ่วไปเลย ว่าวันนี้เธอกลับไปกินข้าวกับเด็กหญิงไม่ได้


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วรอเธออยู่ตลอดเลยเหรอเนี่ย


 


 


อย่างนั้นอวี๋เยว่หาน…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หนาวสันหลังวาบ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “ที่รัก ฉันกินอิ่มแล้ว ต้องกลับไปดูแลเสี่ยวลิ่วลิ่วที่คฤหาสน์ตระกูลอวี๋แล้ว ไว้วันหลังนัดกันใหม่นะ”


 


 


ครั้นพูดจบก็ถือกระเป๋าวิ่งออกจากร้านอาหารไป


 


 


เธอเรียกรถแท็กซี่กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลอวี๋อย่างรวดเร็ว


 


 


อีกเดี๋ยวถ้าเจออวี๋เยว่หานจะอธิบายกับเขาเรื่องที่เธอลืมกินข้าวเป็นเพื่อนเสี่ยวลิ่วลิ่วอย่างไรดี เธอคิดแทบล้มประดาตายมาตลอดทาง


 


 


แต่เธอยังไม่ทันคิดเหตุผลได้ ตัวเองก็มาถึงคฤหาสน์ตระกูลอวี๋แล้ว


 


 


เธอเพิ่งเดินมาถึงเขตคฤหาสน์ ก็เห็นเงาร่างสูงส่งยืนอยู่ในห้องรับแขก


 


 


เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆ กางเกงสแล็กสีขาว ขับรูปร่างของเขาให้ดูสูงโปร่งเข้าไปใหญ่


 


 


ด้านหลังของเขาแผ่ความรู้สึกเหินห่างห้ามใครเข้าใกล้ออกมา


 


 


ตอนที่เธอกำลังคิดว่าต้องเข้าไปตอนนี้หรือไม่ เขาเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันมามองเธอในทันที…




ตอนที่ 147 จูงมืออวี๋เยว่หาน?!


 


 


นัยน์ตาสีดำขลับเหมือนบึงน้ำลึกจ้องมองเธอไม่วางตา


 


 


แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมาบนตัวเขา ใบหน้าหล่อเหลาอาบแสงแดดสีส้ม ดูสูงส่งและลึกลับ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถูกจับได้คาหนังคาเขา คิดจะหลบก็หลบไม่พ้นแล้ว ทำได้แค่ก้มหน้าเดินเข้าไป


 


 


“คุณชาย…”


 


 


เธอกำลังลังเลว่าต้องอธิบายเรื่องที่ตัวเองกลับมาช้าอย่างไรดี ก็เห็นเขาหมุนตัวกลับไปอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะเดินไปที่ห้องอาหารโดยไม่ใส่ใจ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่แอบดีใจที่ตัวเองรอดมาได้ พลางตามหลังเขาเข้าไปที่ห้องอาหาร เธอเห็นเสี่ยวลิ่วลิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้เด็กอย่างว่าง่าย ในปากคาบช้อนเล็กๆ ของตัวเองเอาไว้ แต่กลับไม่ได้กินข้าว


 


 


ครั้นเด็กหญิงเห็นเธอก็เงยหน้าเล็กขึ้นมาด้วยความดีใจ


 


 


“พี่สาวคนสวย พี่กลับมาแล้ว หนูกับปาปากำลังรอพี่กลับมากินข้าวอยู่เลย”


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงงัน ก่อนจะเงยหน้าด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง


 


 


เธอมองไปยังเงาหลังเยือกเย็นของอวี๋เยว่หาน


 


 


ที่เขายืนอยู่ที่ห้องรับแขกเมื่อครู่ เพราะกำลังรอเธออย่างนั้นเหรอ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่คิดจะบอกว่าตัวเองกินข้าวข้างนอกมาแล้ว แต่ก็กลืนคำพูดกลับไปทันที


 


 


เธอดึงเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยความใจอ่อน จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับข้าวใส่ชามเล็กของเด็กหญิง


 


 


“ขอโทษนะ พี่กลับมาช้า หนูรีบกินเถอะ”


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วเป็นเด็กดี เมื่อเธอมาถึง เจ้าตัวน้อยก็ตักข้าวในชามเข้าปากตัวเองด้วยความเบิกบานใจและกินอย่างเอร็ดอร่อยทีละคำ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ต้องดูแลเสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยซ้ำ ครั้นเจ้าตัวน้อยกินข้าวอิ่มแล้วก็เธอมองไปรอบๆ อย่างสบายใจ


 


 


เมื่อสายตากวาดมองไปถึงอวี๋เยว่หานที่นั่งอยู่ตรงข้าม ในหัวก็มีคำพูดของเสี่ยวลิ่วลิ่วเมื่อครู่นี้ผุดขึ้นมา


 


 


เมื่อกี้เขา…กำลังรอเธอจริงๆ เหรอ


 


 


เธอควรจะขอโทษสักคำไหมนะ


 


 


“ไปไหนมา” อวี๋เยว่หานเหลือบมองเธอ เอ่ยปากในทันใด


 


 


น้ำเสียงอันเย็นชานั้นดูเหมือนไม่มีความเป็นห่วง เหมือนกำลังไม่พอใจที่เธอออกไปโดยพลการมากกว่า


 


 


“…ไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง ฉันรีบร้อนออกไป ก็เลยลืมบอก ขอโทษนะที่ทำให้พวกคุณต้องรอ” ครั้นเหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินเขาพูด เธอก็ก้มหน้ายอมรับผิดตามจริงทันที


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของอวี๋เยว่หานก็เคร่งขรึมลงพร้อมทั้งกล่าวอย่างเยียบเย็นอีกครั้ง


 


 


“ผมไม่ได้คิดจะรอคุณ แต่เสี่ยวลิ่วลิ่วไม่เจอคุณก็เลยไม่ยอมกินข้าว”


 


 


“…”


 


 


เธอน่าจะรู้อยู่แล้ว เจ้าก้อนน้ำแข็งเย็นชาจะตายไป เรื่องอบอุ่นอย่างรอเธอกินข้าวเนี่ย เขาจะทำเป็นได้อย่างไร


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วของเธอต่างหากที่น่ารัก


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่บ่นอยู่ในใจแล้วคีบกับข้าวใส่ชามเล็กของเสี่ยวลิ่วลิ่วอีกด้วยความเอ็นดู


 


 


เมื่อเด็กหญิงกินอิ่ม เธอก็อุ้มไปเดินเล่นในสวน


 


 


แขนของเสี่ยวลิ่วลิ่วดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้แกะผ้าพันแผลออกไปแล้ว ทำให้อดใจไปเกาแผลแก้คันไม่ได้ จึงต้องดูแลเป็นพิเศษ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งจูงมือของเจ้าตัวน้อย แต่ก็ถูกเด็กหญิงดึงไปตรงหน้าอวี๋เยว่หาน


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่วเจ็บมือ จูงได้แค่มือเดียว พี่สาวคนสวยช่วยจูงมือของปาปาได้ไหม”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


จะ จูงมือของอวี๋เยว่หาน?!


 


 


ดวงตาของเธอหดตัว สายตาตกลงบนมือของเขาที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกเพียงว่าคำพูดของเสี่ยวลิ่วลิ่วแวบอยู่ในหัวของเธอเหมือนกับฟ้าผ่า


 


 


สมองเธอหยุดทำงานไปแล้ว


 


 


อวี๋เยว่หานเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ เสี่ยวลิ่วลิ่วจะพูดอย่างนี้ออกมา ดวงตาสีดำของเขามองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่ จ้องมองมือของเธอที่กำลังจูงมือเสี่ยวลิ่วลิ่วอยู่


 


 


ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย


 


 


มือของเธอเล็กระจ้อยร่อย นิ้วมือเรียวยาว ดูแล้วเหมือนลูกคุณหนูที่ไม่เคยลำบาก ไม่ใช่พยาบาลรับจ้าง


 


 


ไม่รู้ว่าว่าเธอเป็นใครกันแน่…


 


 


 


 


ตอนที่ 148 เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น


 


 


ครั้นนึกได้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ดวงตาของอวี๋เยว่หานก็หลุบต่ำลง


 


 


เขากำลังจะพูดบางอย่าง แต่เหนียนเสี่ยวมู่อุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่ววิ่งเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว “เสี่ยวลิ่วลิ่วควรอาบน้ำแล้ว ฉันจะพาเธอไปอาบน้ำ”


 


 


เธอหายไปจากหน้าประตูในพริบตา


 


 


เมื่อเธอวิ่งผ่านเขาไป เขาก็มั่นใจว่ามองเห็นสีแดงระเรื่อบนแก้มของเธอ…เหมือนกำลังเขิน


 


 


น่าแปลก ความอึดอัดที่สุมอยู่ในอกเขาจางหายไปในทันที


 


 


เขายกมุมปากโค้งขึ้น เหมือนจะยิ้ม แต่ก็ไม่ใช่


 


 


จากนั้นค่อยหมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน


 


 


แต่เพิ่งเดินเข้ามาถึงห้องรับแขกก็เห็นเหนียนเสี่ยวมู่อุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วออกมาจากห้อง “ท่อน้ำในห้องน้ำของเสี่ยวลิ่วลิ่วเหมือนจะเสีย เปิดก๊อกแล้วน้ำไม่ไหล”


 


 


พ่อบ้านได้ยินดังนั้นก็รีบมา หลังจากฟังเหนียนเสี่ยวมู่พูดจบ เขาก็รีบส่งคนเข้าไปตรวจสอบท่อน้ำในห้องของเสี่ยวลิ่วลิ่วทันที


 


 


ไม่นานทุกอย่างก็ได้ผลสรุป


 


 


“ท่อน้ำที่ผ่านบ้านถูกตัดไปท่อนหนึ่ง น้ำในห้องทุกห้องของชั้นล่างก็ไม่ไหลเหมือนกัน แต่กำลังซ่อมอยู่ครับ ไม่นานก็จะซ่อมเสร็จ” พ่อบ้านยืนรายงานอยู่ข้างอวี๋เยว่หานอย่างนอบน้อม


 


 


“ชั้นบนล่ะ” อวี๋เยว่หานขยับริมฝีปากบาง


 


 


“น้ำชั้นบนมีท่อทางเดินอีกท่อ ไม่มีปัญหาครับ” พ่อบ้านตอบอย่างนอบน้อมอีก


 


 


อวี๋เยว่หานหลุบตามองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่ ก่อนจะพูดเรียบๆ “พาเธอไปอาบน้ำในห้องผม”


 


 


เมื่อพูดจบเขาก็เดินผ่านเหนียนเสี่ยวมู่นำขึ้นไปข้างบนก่อน


 


 


เด็กหญิงได้ยินว่าจะได้อาบน้ำก็ดีใจยกใหญ่


 


 


จากนั้นเธอก็หยิบเสื้อผ้าตัวเล็กๆ วิ่งไปอย่างรวดเร็ว


 


 


สองสามตามหลังอวี๋เยว่หานเข้าไปในห้องนอนของเขาอย่างว่าง่าย


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เดินอยู่ข้างหลังอย่างเชื่องช้า ครั้นคิดว่าจะต้องเข้าไปในห้องของเขา หัวของเธอก็มีภาพแวบผ่านไปมาอยู่หลายครั้งอย่างน่าประหลาด…


 


 


ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เธอเข้าไปในห้องของเขาจะไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลย


 


 


เธอกำลังครุ่นคิด แต่พลันรู้สึกได้ถึงสายตาแหลมคมของเขากวาดมองมาที่เธอ


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นอวี๋เยว่หานอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยมือข้างเดียว กำลังพิงประตูรอเธออยู่


 


 


เขาเม้มริมฝีปากบางเซ็กซี่ ไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาดูถูกนั้นสื่อความหมายออกมาได้มากมาย


 


 


อย่างเช่น รำคาญที่เธอขาสั้น


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่สูดหายใจเข้าลึกๆ เพิ่งคิดจะบอกเขาว่าเธอเดินช้าไม่ได้แปลว่าขาสั้น แต่เขาก็อุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วเดินไปข้างหน้าเสียแล้ว


 


 


เขาฝากเสี่ยวลิ่วลิ่วไว้ในอกเธอ


 


 


“คุณอาบให้เธอแล้วกัน ผมมีธุระ”


 


 


“…ได้ค่ะ” เมื่อได้ยินว่าเขาจะไม่อยู่ในห้อง เหนียนเสี่ยวมู่ก็รับเสี่ยวลิ่วลิ่วมาด้วยความเบิกบานทันที และเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่พูดอะไรอีก


 


 


จากนั้นเธอก็ไปในห้องน้ำ เปิดน้ำ และอาบน้ำให้เสี่ยวลิ่วลิ่ว


 


 


 


 


ในห้องหนังสือ


 


 


อวี๋เยว่หานส่งอีเมลด่วน ก่อนจะพิงพนักเก้าอี้ พลางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง


 


 


เขาเพิ่งคิดจะยื่นมือไปหยิบเอกสาร อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเหนียนเสี่ยวมู่พาเสี่ยวลิ่วลิ่วไปที่ห้องตัวเอง จึงชะงักมือไปเล็กน้อย


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วชอบเล่นน้ำ ตอนอาบน้ำเอาใจยากเป็นที่สุด


 


 


อ่างอาบน้ำในห้องของเขาใหญ่กว่าห้องอื่นเป็นเท่าตัว เธอคนเดียวจะจัดการไหวไหม


 


 


อวี๋เยว่หานลุกขึ้นยืน แล้วสาวเท้าเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง


 


 


แต่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเพราะพริ้งเหมือนกระดิ่งดังออกมาจากข้างใน


 


 


มีทั้งเสียงเสี่ยวลิ่วลิ่วและเสียงของเธอ


 


 


เขาตะลึงงัน แต่จากนั้นก็ได้ยินเสียงใสแจ๋วของเธอ “เสี่ยวลิ่วลิ่ว พอแล้วนะ เล่นน้ำอีกไม่ได้แล้ว มาใส่เสื้อผ้าเร็ว”


 


 


เสียงกรี๊ดระลอกหนึ่งพลันดังมาจากในห้องน้ำทันทีที่เธอพูดจบ


 


 


อวี๋เยว่หานเคร่งเครียดขึ้นมา ร่างกายตอบสนองก่อนสมอง เขาพุ่งเข้าไปผลักประตูห้องน้ำออกอย่างไม่ลังเลสักนิด


 


 


วินาทีต่อมา เขาเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ยิ่งทำให้ดวงตาของเขาหดเกร็งในทันที




ตอนที่ 149 ใครโง่ใครเขินกัน 


 


 


ในห้องอาบน้ำ 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วยืนอยู่ในอ่างอาบน้ำ ดวงหน้าเล็กจ้อยน่ารักมีหยดน้ำอยู่เต็มไปหมด กำลังยิ้มกริ่มราวกับจิ้งจอกตัวน้อย 


 


 


เด็กหญิงยิ้มแป้นจนตากลมโตเหลือเพียงเส้นบางๆ 


 


 


พร้อมทำท่าทางเหมือนเพิ่งสาดน้ำเสร็จ… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เสื้อผ้าบนตัวเปียกไปหมดแล้ว 


 


 


บนพื้นก็เต็มไปด้วยหลักฐานที่ทั้งคู่เล่นสงครามสาดน้ำจนเสร็จสิ้น 


 


 


หญิงสาวปรับตัวได้ดีมาก ไม่เพียงไม่ถูกเสี่ยวลิ่วลิ่วทำให้กลัว ยังเล่นกับเสี่ยวลิ่วลิ่วอย่างมีความสุข 


 


 


อวี๋เยว่หานกวาดมองใบหน้าเธอ ก่อนที่สายตาจะตกลงบนหน้าอกของเธอ… 


 


 


เธอเองอาจจะยังไม่สังเกตเห็น ว่าเธอสวมเสื้อสีขาว หลังจากเปียกน้ำไปแล้ว เสื้อก็ทั้งบางทั้งมองได้ทะลุ 


 


 


ดูแล้วเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย 


 


 


สิ่งที่ควรมอง สิ่งที่ไม่ควรมอง เขาแทบจะมองเห็นหมดแล้ว 


 


 


อวี๋เยว่หานเกร็งตัวอย่างน่าประหลาด ใบหน้าเย็นชาฉายแววยั่วเย้าเล็กน้อย 


 


 


เขาอยากจะเลื่อนสายตาหนี แต่รูปร่างโค้งเว้าชัดเจนของเธอกลับเคลื่อนที่อยู่ตรงหน้าเขาตลอด 


 


 


เธอเดินเข้ามาหาเขา “คุณชาย เสี่ยวลิ่วลิ่วอาบน้ำเสร็จแล้ว ห้องน้ำคุณเปียกนิดหน่อย…ฉันจะใส่เสื้อผ้าให้เธอ แล้วจะทำความสะอาดให้ค่ะ” 


 


 


“…” อวี๋เยว่หานหลุบตามองใบหน้าไร้เดียงสาตรงหน้าตนเอง 


 


 


ในอกของเขาเหมือนมีไฟลุกโชนขึ้นมาโดยพลัน 


 


 


เขาโยนผ้าขนหนูผืนหนึ่งจากบนชั้นวางใส่ตัวเธอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังกังวลว่าตัวเองทำให้ห้องน้ำของเขาเละเทะขนาดนี้ แล้วเขาจะโกรธจนลงไม้ลงมือกับเธอหรือเปล่า ครั้นเห็นเขายกมือ เธอก็รู้สึกตื่นกลัว แต่ผลสุดท้ายมีเพียงผ้าขนหนูที่บินมา ทำเอาเธอตะลึงงันอยู่บ้าง 


 


 


ผ้าขนหนูคลุมหัวเธออยู่ เธอจึงรีบร้อนยื่นมือไปดึงผ้าขนหนูลงมา 


 


 


“เด็กๆ อาบน้ำจะค่อนข้างดื้อ ฉันบอกแล้วไงว่าจะทำความสะอาดให้…” เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบด้วยความโมโห ก่อนจะพบว่าชายหนุ่มตรงหน้าผิดปกติไปบ้าง 


 


 


ใบหน้าของเขาหดเกร็งอย่างยิ่งยวดราวกับอดกลั้นอะไรบางอย่างไว้ 


 


 


“คุณชาย คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” 


 


 


เธอแค่ทำห้องน้ำเขาเละเท่านั้นเอง เขาคงไม่น่าโกรธจนพูดไม่ออกและไม่ยอมมองเธอสักครั้งแบบนี้ 


 


 


หรือว่าความจริงแล้วเขาเป็นโรครักความสะอาดขั้นรุนแรง? 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงของเธอ อวี๋เยว่หานก็เงยหน้าขึ้นมา วินาทีต่อมาก็เหลือบมองผ้าขนหนูที่เธอดึงออก และขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


ลูกกระเดือกเซ็กซี่ของเขาขยับขึ้นลง ก่อนจะเค้นเสียงแหบพร่าออกมาจากในลำคอ “พันผ้าขนหนูให้ดี” 


 


 


“ฉันไม่ได้อาบน้ำสักหน่อย ฉันไม่ต้องใช้ผ้าขนหนู..” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยังพูดไม่ทันจบ เธอมองตามสายตาเขาลงไป ชำเลืองเห็นหน้าอกที่เหมือนกำลังเปิดโล่งของตัวเอง แล้วหยุดพูดในทันใด 


 


 


อากาศ ณ ตรงนั้นราวกับหยุดนิ่งไปทันควัน 


 


 


เธออึ้งงันอยู่หลายวินาที ก่อนจะดึงสติกลับมาแล้วยื่นมือไปคว้าผ้าขนหนูมาพันตัวเองจนเหมือนบ๊ะจ่าง 


 


 


“ฉันจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง แล้วก็เปลี่ยนให้เสี่ยวลิ่วลิ่วด้วย!” เธอไม่กล้ามองหน้าอวี๋เยว่หานอีก ได้แต่ก้มหน้าวิ่งออกไปข้างนอก 


 


 


ทว่าบนพื้นเต็มไปด้วยหยดน้ำชุ่มฉ่ำ เธอรีบร้อนจนเกินไป ทำให้ตัวลื่นไถลไปหาอวี๋เยว่หานที่อยู่หน้าประตู เข้าไปในอ้อมอกของเขาแล้ว 


 


 


แรงปะทะแรงเกินไป ส่งผลให้เธอกดเขาไว้ที่กรอบประตู… 


 


 


นี่คืออะไร 


 


 


กรอบประตูเหรอ 


 


 


ครั้นเห็นใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าดำคล้ำขึ้น เหนียนเสี่ยวมู่คิดแต่อยากให้มีใครเข้ามาทำให้เธอสลบไปเท่านั้น 


 


 


เดินออกไปไม่ยากหรอก ใครโง่ใครเขินกัน 


 


 


“คุณชายหาน พื้นลื่นเกินไป ฉันไม่ได้ตั้งใจ…” 


 


 


“ยังไม่ปล่อยอีก?” เสียงของอวี๋เยว่หานแหบพร่า พลางจ้องมองหญิงสาวที่ตัวแนบชิดกับตนเอง ดวงตาทรงเสน่ห์เป็นสีดำล้ำลึกอย่างยิ่ง 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ยื่นมือไปดันเธอออก ก่อนจะหมุนตัวจากไปพร้อมใบหน้าเยือกเย็น 


 


 


เงาหลังสูงโปร่งแข็งทื่อของเขาแผ่ซ่านความโมโหออกมา… 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 150 คุณไม่เป็นไรใช่ไหม 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เขินจนไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าเขาตลอดทั้งคืน 


 


 


หลังจากกล่อมเสี่ยวลิ่วลิ่วเข้านอนแล้ว เธอก็หมกตัวอยู่ในห้อง ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับซ่างซิน 


 


 


นอกจากวิดีโอและรูปภาพเดินแบบของเธอแล้ว บนอินเทอร์เน็ตแทบจะไม่มีรูปภาพส่วนตัวของเธอเลย 


 


 


ครั้นติดต่อผู้จัดการของเธออีก ทางฝั่งนั้นก็เน้นย้ำอีกครั้งว่าซ่างซินจะไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่คว้าหมอนบนหัวเตียงมา สองมือรองอยู่ตรงแก้ม เหม่อมองเงื่อนไขร่วมมือที่บริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าให้มา 


 


 


ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมทางเซิ่งต้าถึงคิดว่าซ่างซินเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่เหมาะสมที่สุด 


 


 


นางฟ้าขวัญใจชาวจีนที่ดังเป็นพลุแตกคนนี้ทั้งสวย มีเอกลักษณ์ และกำลังเป็นที่นิยม สอดคล้องกับภาพลักษณ์สินค้าใหม่ที่บริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ากำลังจะปล่อยออกมาอย่างมาก 


 


 


ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ซ่างซินเดินแบบมาก นักลงทุนนับไม่ถ้วนอยากเชิญเธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่เธอล้วนปฏิเสธไปทั้งหมด หากบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าได้ตัวเธอมา เพียงแค่เรื่องตลกนี้ก็พอให้สินค้าใหม่ของพวกเขาโด่งดังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน 


 


 


โอกาสทางธุรกิจยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่มือใหม่ในแวดวงธุรกิจอย่างเธอยังมองออกเลย 


 


 


เพียงแต่คิดง่ายทำยาก อยากจะเชิญซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่เธอไม่มีคอนเนคชันเลยด้วย แล้วจะเจรจาได้อย่างไร 


 


 


หรือว่าหน้าที่แรกอย่างเป็นทางการที่เธอได้เข้ามาในแผนกประชาสัมพันธ์จะต้องล้มเหลวไปอย่างนี้ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ หมดเรี่ยวแรงแล้ว 


 


 


แต่เธอพลันลุกขึ้นนั่ง ราวกับนึกอะไรได้ ก่อนจะยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือมาส่งข้อความหาถานเปิงเปิง 


 


 


จากนั้นเธอก็จ้องโทรศัพท์มือถือตาปริบๆ 


 


 


ถานเปิงเปิงตอบข้อความช้ามาก ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะตอบกลับมาครั้งหนึ่ง 


 


 


ส่วนแรกบอกที่อยู่และเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น 


 


 


ส่วนหลังเน้นไว้ว่า ‘เป็นข้อมูลที่เพื่อนร่วมงานผู้ชายให้มา ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ’ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กอดโทรศัพท์มือถือ ได้เห็นถานเปิงเปิงสอบถามข้อมูลงานครั้งต่อไปของซ่างซินให้เธอจริงๆ เธอก็ดีใจจนเกือบจะดีดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้เลยทีเดียว 


 


 


พลังของแฟนคลับช่างยิ่งใหญ่ ข้อมูลที่สื่อไม่มีทางรู้ แฟนพันธุ์แท้ต้องรู้แน่นอน 


 


 


ในที่สุดก็มีโอกาสอันน้อยนิดที่จะได้เจรจาเรื่องพรีเซ็นเตอร์กับซ่างซิน เหนียนเสี่ยวมู่ถอนหายใจ ก่อนจะหยิบแก้วไปรินน้ำ 


 


 


แต่เพิ่งหยิบกาน้ำขึ้นมา เธอก็ยินเสียงหยดน้ำดังซ่าๆ ในหัวเธอมีภาพในห้องน้ำที่ไม่อาจลืมได้ง่ายๆ ผุดขึ้นมาทันที 


 


 


ตอนนี้เธอหน้าร้อนจี๋ไปหมด 


 


 


เธอวางกาน้ำลง ไม่ดื่มน้ำแล้ว แต่หันหน้ามุดเข้าไปในผ้าห่ม บังคับตัวเองให้นอนหลับไป 


 


 


 


 


 


เช้าวันต่อมา  


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มาตอกบัตรเข้าบริษัท จากนั้นยื่นเรื่องขอออกไปข้างนอก 


 


 


เธอมาถึงงานแฟชั่นโชว์ที่ซ่างซินต้องมาลองเสื้อผ้าตั้งแต่เช้า ตามที่อยู่ที่ถานเปิงเปิงส่งให้เธอ 


 


 


วันนี้ซ่างซินไม่มีเดินแบบ เพียงแค่ลองเสื้อผ้าเท่านั้น การคุ้มกันจึงไม่แน่นหนา 


 


 


ตอนเหนียนเสี่ยวมู่มาถึง นอกจากเธอแล้ว รอบๆ ก็แทบจะไม่มีใครอื่น 


 


 


เธอจองที่นั่งดีๆ ได้ก่อนใคร 


 


 


เมื่อถึงเวลาที่ซ่างซฺนต้องปรากฏตัว แฟนคลับที่ได้ข่าวจำนวนมากก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน พากันเบียดเข้ามาอย่างหนาแน่น 


 


 


เบียดกันแน่นจนน้ำผ่านไปไม่ได้สักหยด 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถูกเบียดอยู่ข้างหน้าสุด เธอจับแผงกันเอาไว้แน่น จะได้ไม่ถูกเบียดออกไป 


 


 


 


 


 


เก้าโมงตรง 


 


 


รถมินิแวนสีขาวคันหนึ่งขับเข้ามาอย่างเชื่องช้า 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่ทันเห็นคนในรถชัดเจนก็มีเสียงกรี๊ดของแฟนคลับดังขึ้นมาแล้ว 


 


 


“ซ่างซิน! ซ่างซิน!” 


 


 


“นางฟ้า ผมรักคุณ!” 


 


 


“นางฟ้าซ่างซิน คุณเป็นหนึ่งเดียวในใจของผม” 


 


 


“…” 


 


 


เหล่าบอดี้การ์ดเข้ามาควบคุมสถานการณ์ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งมาถึงข้างหน้าก็ถูกขวางเอาไว้เสียแล้วจึงรีบอธิบาย 


 


 


“ฉันมาเจรจาร่วมงานกับซ่างซิน…” 


 


 


“พวกผมฟังข้ออ้างแบบนี้มาเยอะแยะแล้ว ถอยไป!” บอดี้การ์ดกล่าวเตือนหน้าเคร่ง 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ตอนที่ถูกดันจนเกือบล้มนั้นเองก็มีผู้หญิงใส่หมวกแก๊ปคนหนึ่งรับเธอไว้ได้ทัน “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม” 




ตอนที่ 151 ขอให้คุณโชคดี 


 


 


“ขอบคุณค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่ยืนจนมั่นคงแล้วจึงหันไปมองเธอตามสัญชาตญาณ ก่อนจะพบว่าคนตรงหน้าไม่เพียงใส่หมวกแก๊ป แต่ยังใส่หน้ากากด้วย 


 


 


มองไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง 


 


 


เพียงแต่สายตาของอีกฝ่ายเป็นมิตรมาก หลังจากเธอเห็นเหนียนเสี่ยวมู่แล้วว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ ถึงจะหมุนตัวจากไป 


 


 


รูปร่างสะสวยนั้นทำให้เหนียนเสี่ยวมู่รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างอย่างน่าประหลาด แต่พยายามนึกแล้วก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน… 


 


 


แฟนคลับรอบๆ ยังคงคึกคัก เสียงกรี๊ดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำเอาเหนียนเสี่ยวมู่ต้องปิดหู เธออยากเดินไปข้างหน้า แต่ถูกบอดี้การ์ดขวางทางไว้ เข้าไปไม่ได้เลย 


 


 


เธอจับจ้องไปที่ประตูของลานแฟชั่นโชว์ที่รถมินิแวนเคลื่อนมาถึง หลังจากประตูรถเปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้าไปข้างในภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาของเหล่าบอดี้การ์ด 


 


 


“ซ่างซิน!” 


 


 


“นางฟ้า มองผมสักครั้งเถอะ!” 


 


 


“ซ่างซิน ผมรักคุณ! ผมจะสนับสนุนคุณไปตลอดชีวิต!” 


 


 


“…” 


 


 


เมื่อซ่างซินปรากฎตัว แฟนคลับรอบๆ ก็กรูกันเข้ามา เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ทันตั้งตัวจึงถูกเบียดไปอยู่ข้างหน้าไปโดยปริยาย 


 


 


บอดี้การ์ดแทบจะควบคุมสถานการณ์ร้อนระอุแบบนี้ไม่อยู่แล้ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่จมอยู่ในฝูงชน ครั้นเห็นซ่างซินกำลังจะเดินเข้าไปในลิฟต์ เธอก็ร้อนใจตะโกนไล่หลังนางแบบสาวไปเสียงหนึ่ง 


 


 


“ซ่างซิน ฉันขอเวลาคุณสักแป๊บหนึ่งได้ไหม ฉันมาคุยเรื่องร่วมงานกับคุณ…” 


 


 


สิ้นเสียของเธอ ซ่างซินก็เข้าไปในลิฟต์แล้ว 


 


 


ประตูลิฟต์ปิดลงอย่างไร้เยื่อใย กั้นพวกเธอทั้งสองคนเหมือนอยู่กันคนละโลก 


 


 


อย่าว่าแต่เจรจาร่วมงานกันเลย ซ่างซินได้ยินเธอพูดหรือเปล่าเนี่ยสิเป็นปัญหา 


 


 


เธอตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ สุดท้ายก็ไม่ได้พบหน้าซ่างซินด้วยซ้ำไป… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เดินมาถึงริมถนน ก่อนจะนั่งยองๆ ลง 


 


 


เธอคิดจนหัวแทบแตก แต่ยังมีหนทางเจอซ่างซินอยู่ ถ้าเบียดเข้าไปข้างหน้าอีกก็อาจจะได้เจอผู้จัดการของซ่างซิน 


 


 


มาแย่งพื้นที่ของแฟนคลับ แต่สุดท้ายกลับต้องถอยไปทุกครั้งคงจะไม่ได้ 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้น มองฝูงชนที่ค่อยๆ กระจายตัวไปตามการหายไปของซ่างซิน ฉันพลันนั้นเธอก็เหลือบเห็นเงาร่างอันคุ้นเคย 


 


 


หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปที่ช่วยประคองเธอเมื่อครู่ก็กำลังนั่งยองๆ อยู่ด้านข้าง มองไปยังกลุ่มคนที่สลายตัวไปข้างหน้าเช่นเดียวกับเธอ 


 


 


สองมือยันแก้ม ดูท่าทางสิ้นหวังอยู่บ้าง 


 


 


“อารมณ์ไม่ดีเพราะไม่ได้เจอไอดอลที่ชอบเหรอคะ” เหนียนเสี่ยวมู่หันมาเอ่ยปากถาม 


 


 


หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปเหมือนจะไม่คิดว่ามีคนสังเกตเห็นเธอ สายตาของเธออึ้งงันไปเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงจะตอบ “คงงั้นมั้งคะ” 


 


 


จากนั้นเธอก็ย้อนถาม “แล้วคุณล่ะ ชอบซ่างซินมากเหรอคะ” 


 


 


“ฉันไม่ใช่แฟนคลับของเธอหรอกค่ะ ฉันแค่อยากเจอเธอเพื่อเจรจาเรื่องพรีเซ็นเตอร์” เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบก็บุ้ยปากไปทางบอดี้การ์ดตรงหน้าประตูลานแฟชั่นโชว์ “คุณก็เห็นนี่คะ ฉันเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ผู้จัดการของเธอก็ไม่รับโทรศัพท์ด้วย” 


 


 


หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปฟังเหนียนเสี่ยวมู่แล้วรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “คุณไม่รู้เหรอคะว่าซ่างซินไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์ คุณอย่าเปลืองความคิดเลย” 


 


 


“คนรอบข้างฉันก็พูดแบบนี้ค่ะ แต่ก็ต้องลองก่อนถึงจะรู้ไม่ใช่เหรอ ล้มเลิกกลางคันไม่ใช่นิสัยของฉันหรอกค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่ยกยิ้มที่มุมปาก บนใบหน้าไม่มีความเศร้าซึมใดเพราะความผิดหวังในวันนี้เลย 


 


 


ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความสดใสทำให้เครื่องหน้าที่เดิมทีโดดเด่นกว่าใครยิ่งน่าหลงใหลเข้าไปใหญ่ 


 


 


หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปหันหน้ามองเหนียนเสี่ยวมู่พลางเหม่อลอย จากนั้นก็ปรบมือ แล้วลุกขึ้นยืนจากบนพื้น 


 


 


“ฉันต้องไปแล้ว ขอให้คุณโชคดีค่ะ!” 


 


 


“คุณก็เช่นกันนะคะ ขอให้เช้านี้ได้เจอไอดอลของคุณค่ะ!” เหนียนเสี่ยวมู่โบกมือบอกลา พร้อมกับมองเงาร่างของเธอจากไป ครั้นกำลังเตรียมจะเดินไปตามฝ่ายจัดการลานแฟชั่นโชว์ว่าขอพบซ่างซินได้ไหม โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้นมาทันใด 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 152 ที่แท้เป็นเธอนี่เอง! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ควักโทรศัพท์ออกมา เหลือบมองครั้งหนึ่ง พบว่าเป็นโทรศัพท์จากที่บริษัทจึงรีบร้อนรับสาย 


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ คุณไปไหนเนี่ย ไม่เห็นคุณตั้งแต่เช้าแล้ว คนจากบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ามา กำลังสอบถามเรื่องพรีเซ็นเตอร์ซ่างซิน ไม่ว่าเธออยู่ที่ไหนต้องรีบกลับมา!” เสียงร้อนใจของเย่หมิงหมิ่นดังลอดออกมาจากในสาย 


 


 


ครั้นพูดจบอีกฝ่ายก็วางสายไป 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินว่าคนจากบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ามาแล้ว เธอก็รีบยัดโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า ก่อนจะมุดตัวเข้าไปในรถแท็กซี่ที่เรียกได้ 


 


 


“ไปบริษัทตระกูลอวี๋ค่ะ!” 


 


 


หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปที่เพิ่งเดินมาถึงประตูลานแฟชั่นโชว์เหมือนรู้สึกถึงอะไรบ้างอย่างจึงหยุดฝีเท้าเงยหน้ามองมาทางเหนียนเสี่ยวมู่ทันที 


 


 


แต่ก็มองเห็นเพียงรถแท็กซี่ที่ขับไกลออกไปเท่านั้น… 


 


 


เธอขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


สายตาของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร 


 


 


“ซ่างซิน ใกล้ถึงเวลาลองชุดแล้ว เธอยังตะลึงอะไรอยู่อีก รีบเข้ามาสิ!” ผู้จัดการยืนอยู่หน้าประตู พลางเรียกเสียงเบา 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปก็ได้สติกลับมา ก่อนจะจะยื่นมือไปกดหมวกแก๊ปของตัวเอง ก้มหน้า แล้วเดินเข้าไปในลานแฟชั่นโชว์อย่างถ่อมตัว 


 


 


 


 


 


บริษัทตระกูลอวี๋ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รีบร้อนกลับมา แต่ก็ไม่ทันผู้จัดการโครงการของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้า 


 


 


“คนจากบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าไปแล้ว แต่ฝากข้อความไว้ พวกเขาหวังมากว่าจะเชิญซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้ เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งสัปดาห์ก็จะเริ่มโครงการแล้ว นั่นก็หมายความว่าคุณเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์” 


 


 


เย่หมิงหมิ่นก้าวมาข้างหน้า ส่งสาส์นของอีกฝ่ายให้เหนียนเสี่ยวมู่ 


 


 


“ผู้จัดการเหวินพูดว่า บริษัทของพวกเราเสียแรงเสียเวลากับโครงการร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าไปมาก จะต้องทำความต้องการของพวกเขาให้ได้มากที่สุด” 


 


 


“…” 


 


 


พูดน่ะง่าย แต่ไม่มีใครติดต่อซ่างซินได้เลย 


 


 


คำขอของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ายากเย็นอยู่บ้างเหมือนกัน 


 


 


แต่ถ้าหากพวกเขาทำตามคำขอไม่ได้ตั้งแต่เริ่มต้นร่วมงานกันก็จะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำในการร่วมงานกันภายหลังได้ง่ายมาก 


 


 


แต่ในทางกลับกัน หากพวกเขาเชิญซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้จริงก็จะพิสูจน์อำนาจของพวกเขาต่อบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


เหวินหย่าไต้จึงหวังว่าจะทำตามคำขอของอีกฝ่ายได้ เพื่อบริษัทตระกูลอวี๋ 


 


 


“ฉันทราบแล้วค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบก็เดินกลับไปนั่งลงหน้าโต๊ะทำงานของตัวเอง พลางเหม่อมองคอมพิวเตอร์ 


 


 


เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้ซ่างซินตกลงพบเธอ… 


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน คุณคงไม่คิดจะเชิญซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์จริงๆ หรอกใช่ไหม” เพื่อนร่วมงานข้างๆ เป็นนักศึกษาฝึกงานสาว เธอหันหน้ามาถามเสียงเบา 


 


 


แต่คนรอบข้างที่ได้ยินก็หันมามองเหนียนเสี่ยวมู่ไม่น้อย 


 


 


ในสายตามีความอยากรู้อยากเห็นฉายชัด 


 


 


“อืม นี่เป็นคำของการร่วมมือ มีทางให้ประนีประนอมด้วยเหรอ” เหนียนเสี่ยวมู่ยื่นมือไปเปิดคอมพิวเตอร์ พร้อมกับตอบอย่างใจเย็น 


 


 


“มีสิคะ” นักศึกษาฝึกงานที่เป็นคนถามเมื่อครู่ขยับเข้ามาใกล้เธอ ก่อนจะพูดเสียงเบา “คนทั้งแผนกต่างก็รู้ว่าซ่างซินไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์ ให้เธอออกงานอีเวนท์สักงานยังยากเลย งานนี้ทำให้คุณลำบากชัดๆ เลย” 


 


 


“…” 


 


 


“ฉันว่านะคะ คุณไปอ้อนผู้จัดการดีกว่า ทำตัวน่าสงสารสักหน่อย บอกว่าซ่างซินไม่ยอมพบคุณ แล้วให้ผู้จัดการไปปฏิเสธเรื่องพรีเซ็นเตอร์กับคนของเซิ่งต้า” 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่อึ้งงัน เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็มีเสียงถากถางดังขึ้นมาจากข้างหลัง 


 


 


“นี่ งานนี้ยังไม่ทันเริ่มก็รีบลั่นกลองรบถอยทัพแล้วเหรอ แผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเราอ้อนผู้จัดการก็ไม่ต้องทำงานได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” 


ตอนที่ 153 นี่คือความจริงใจของฉัน 


 


 


เย่หมิงหมิ่นยกแก้วน้ำเดินมาข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น “ถ้าแม้แต่งานเล็กๆ แค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ต้องให้ผู้จัดการมาออกหน้าแทน ฉันแนะนำให้ใครบางคนออกจากบริษัทตระกูลอวี๋ไปเลยจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ตอนเซี่ยจิงจิงอยู่ก็ไม่เคยเกิดความผิดพลาดแบบนี้” 


 


 


เมื่อเห็นเย่หมิงหมิ่นปรากฏตัว คนที่คิดจะแนะนำเหนียนเสี่ยวมู่เมื่อครู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปบ้าง 


 


 


เพราะเย่หมิงหมิ่นพูดถูก 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เข้ามาในแผนกประชาสัมพันธ์ได้ก็เพราะความสามารถโดดเด่น และคุณชายหานก็ใช้เส้นให้เธอเข้ามาตั้งแต่ทีแรก 


 


 


เธอรับตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์แทนเซี่ยจิงจิง 


 


 


ถ้าเธอเทียบเซี่ยจิงจิงไม่ได้ เจอปัญหาทีไรก็ทำได้แค่ไปหาผู้จัดการ อย่างนั้นเธอจะมีสิทธิ์อะไรอยู่ที่แผนกประชาสัมพันธ์ล่ะ 


 


 


ทุกคนเงียบกริบไปในทันที สายตาที่มองเหนียนเสี่ยวมู่เจือความสงสัย 


 


 


“แต่ว่าเชิญซ่างซินมายากเย็นแบบนี้ แถมยังบอกให้รู้โดยทั่วกันว่าตัวเองจะไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์…” 


 


 


“ก็นั่นน่ะสิ ก่อนหน้านี้มีผู้ลงทุนไปหาซ่างซินตั้งเยอะแยะ แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด ถึงเหนียนเสี่ยวมู่จะเก่ง แต่ก็คงทำไม่ได้แน่ๆ!” 


 


 


“ฉันกลับคิดว่าแทนที่จะรับปากตอนนี้ บอกผู้จัดการตอนนี้ว่าตัวเองทำไม่ได้ ดีกว่าเสียหน้าตอนนั้นนะ” 


 


 


“เธอหมายความว่าจะให้เธอไปยอมรับว่าตัวเองทำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ไม่ได้ยินซูเปอร์ไวเซอร์เย่หรือไง ถ้าเหนียนเสี่ยวมู่ทำงานนี้ไม่ได้ เธอก็ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ที่แผนกประชาสัมพันธ์ของเราจริงๆ…” 


 


 


“…” 


 


 


เพียงแค่หนึ่งนาที รอบข้างก็มีเสียงถกเถียงของเพื่อนร่วมงานดังขึ้นมาหยุดหย่อน 


 


 


ไม่มีใครเชื่อว่าเหนียนเสี่ยวมู่จะเชิญซ่างซินมาได้จริงๆ ต่างก็รอว่าเธอจะบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ และรับผิดกับเหวินหย่าไต้เองเมื่อไหร่กัน 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


คำพูดของเย่หมิงหมิ่นชัดเจนมาก 


 


 


ที่แท้ทุกคนยังคิดว่าเชิญซ่างซินมาเป็นเรื่องยากมาก เชิญไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติมาก 


 


 


แต่ถ้าตอนนี้เธอเชิญซ่างซินมาไม่ได้ก็จะกลับกลายเป็นว่าเธอไม่มีความสามารถ 


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน คุณเพิ่งมาใหม่ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่รู้จักฝีมือคุณนะ ตรงไหนที่พูดไม่เข้าหู คุณก็ให้อภัยฉันแล้วกัน พวกเราทุกคนรอเรื่องน่ายินดีจากคุณอยู่ทั้งนั้นแหละ” เย่หมิงหมิ่นเห็นบรรยากาศเริ่มแย่ ถึงได้พูดพร้อมรอยยิ้ม 


 


 


สิ้นเสียงของเธอ คนรอบข้างก็ส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมาทันที 


 


 


ดูเหมือนเธอกำลังไกล่เกลี่ยให้ แต่ความจริงแล้วกำลังกดดันเหนียนเสี่ยวมู่อยู่ต่างหาก 


 


 


ครั้นเห็นว่าตัวเองทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ เธอก็ยกแก้วน้ำเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองด้วยความสบายใจ 


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ขอโทษที่ฉันพูดมากนะคะ เลยทำให้คุณลำบากเลย” นักศึกษาฝึกงานที่เป็นห่วงเหนียนเสี่ยวมู่เมื่อครู่เอ่ยปากพร้อมสีหน้าสำนึกผิด 


 


 


สีหน้าของเหนียนเสี่ยวมู่เรียบเฉยมาโดยตลอด ครั้นได้ยินเสียงคนข้างๆ เธอก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่เกี่ยวกับคุณเลยค่ะ ถึงแม้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรพวกนี้ ฉันก็ไม่ยอมแพ้เรื่องพรีเซ็นเตอร์ซ่างซินง่ายๆ หรอก!” 


 


 


“คุณคิดจะไปสู้เพื่องานพรีเซ็นเตอร์นี้จริงๆ เหรอคะ” นักศึกษาฝึกงานออกจะตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“สรรพสิ่งอยู่ที่คนกำหนด ไม่ทำให้เต็มที่แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีหวังแม้สักนิด” เหนียนเสี่ยวมู่หันหน้าไปมองจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ในหัวมีแต่คำพูดของเย่หมิงหมิ่นเมื่อครู่ อยู่ๆ ก็จับทางงานที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุได้ 


 


 


เธอยื่นมือไปเปิดเอกสารโครงงานประชาสัมพันธ์ที่บริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าสร้างขึ้น และทำรายงานส่วนพรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง 


 


 


จากนั้นก็ส่งอีเมลไปหาผู้จัดการของซ่างซิน 


 


 


เย่หมิงหมิ่นพูดถูกต้อง เธอเพิ่งมาใหม่ เพื่อนร่วมงานในแผนกประชาสัมพันธ์ไม่รู้จักเธอ จะต้องสงสัยในความสามารถของเธอแน่นอน 


 


 


อย่างนั้นซ่างซินล่ะ? 


 


 


คนที่อยากร่วมงานกับซ่างซินมีตั้งมากมายแล้วทำไมนางแบบสาวชื่อดังต้องเลือกเธอด้วย 


 


 


เธอต้องทำให้ซ่างซินเห็นความจริงใจของเธอให้จงได้ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 154 ไม่เห็นน่ารักเลยสักนิด 


 


 


เมื่อประกาศออกมา ในที่สุดท้องของเหนียนเสี่ยวมู่ก็อดประท้วงออกมาไม่ได้ 


 


 


เธอเงยหน้ามองเวลาครั้งหนึ่ง ก่อนจะพบว่าเป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว 


 


 


เลยเวลาข้าวกลางวันมาตั้งนานแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด… 


 


 


เธอลืมเปลี่ยนยาให้เสี่ยวลิ่วลิ่วไปเลย 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ผุดลุกจากเก้าอี้ทันควัน เธอคว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาแล้ววิ่งออกจากแผนกประชาสัมพันธ์โดยไม่ทันได้ดื่มน้ำสักอึก 


 


 


หลังจากเข้าไปในลิฟต์แล้ว เธอก็กดชั้นของส่วนทำงานประธานบริษัทอย่างรวดเร็ว 


 


 


และได้แต่ภาวนาอยู่เงียบๆ ในใจ ขอให้สายตาเย็นชาของอวี๋เยว่หานอย่าได้แช่แข็งเธอทั้งเป็นเลย… 


 


 


ติ๊ง! 


 


 


ลิฟต์มาถึงแล้ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ถึงจะเดินไปทางห้องทำงานประธานบริษัท 


 


 


แต่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูก็เห็นผู้ช่วยเฝ้าอยู่ข้างนอก 


 


 


“ฉันมาเปลี่ยนยาให้เสี่ยวลิ่วลิ่วค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบ ผู้ช่วยก็เปิดประตูห้องทำงานให้เธอ 


 


 


เมื่อเธอเดินเข้าไปข้างในก็พบว่าอวี๋เยว่หานไม่อยู่ ส่วนเสี่ยวลิ่วลิ่วหลับไปแล้ว ร่างกายเล็กนุ่มนิ่มกำลังนอนคว่ำอยู่บนหมอน กำลังนอนหลับก้นโด่งอยู่ 


 


 


ท่านอนแปลกประหลาดแบบนี้ไม่รู้เหมือนใคร 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ผ่อนฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ก่อนจะอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาจัดท่าให้ดีแล้วเริ่มใส่ยาบนแผล 


 


 


เธอกังวลว่าจะปลุกเสี่ยวลิ่วลิ่วจึงใส่ยาอย่างอ่อนโยนและเชื่องช้ามาก 


 


 


หลังจากใส่ยาเสร็จ บนขอบหน้าผากของเธอก็มีเหงื่อเม็ดบางๆ ผุดพรายขึ้นมา 


 


 


ครั้นเห็นเสี่ยวลิ่วลิ่วหลับเหมือนนางฟ้าตัวน้อย เหนียนเสี่ยวมู่ก็อดที่จะหอมแก้มบนใบหน้ารูปไข่สีชมพูระเรื่อไม่ได้ 


 


 


“ถ้าพ่อของหนูน่ารักได้ครึ่งหนึ่งของหนูก็ดีสิ” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ลุกขึ้นจากขอบเตียง เก็บกล่องยาเรียบร้อย แต่เพิ่งหมุนตัวเตรียมออกจากห้องพักผ่อน ก็เห็นอวี๋เยว่หานยืนอยู่หน้าประตูห้อง 


 


 


ใบหน้าเย็นชาจ้องมองเธออยู่เงียบๆ 


 


 


“เฮ้ย!” เหนียนเสี่ยวมู่ถอยหลังไปทันที เกือบจะชนขอบเตียงอยู่แล้ว 


 


 


เธอฝืนให้ร่างกายยืนอย่างมันคง ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยความเคร่งเครียด แต่เห็นว่าเด็กหญิงไม่ได้ตกใจตื่น เธอถึงได้มองอวี๋เยว่หานอีกครั้ง 


 


 


ดวงตาสีดำล้ำลึกของเขากวาดตามองใบหน้าของเธอ แล้วหมุนตัวเดินออกไป 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถือกล่องยาเดินตามไป กระวนกระวายใจอยู่ตลอดว่าเขาได้ยินที่เธอพูดเมื่อครู่หรือเปล่า 


 


 


คนโบราณพูดถูก พูดจาให้ร้ายคนอื่นลับหลังไม่ได้จริงๆ 


 


 


ไม่ว่าจะพูดครั้งไหนก็โดนจับได้ทุกครั้งเลย 


 


 


เธอซวยเกินไปแล้ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เดินออกจากห้องพักผ่อน กำลังหาโอกาสหนีออกไปก่อน แต่พอเธอจัดการความรู้สึกตัวเองได้แล้วก็เริ่มได้กลิ่นอาหารหอมๆ สายหนึ่งโชยมา 


 


 


ครั้นเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นผู้ช่วยเข็นรถเข็นอาหารเดินเข้ามาจากข้างนอก 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ลอบมองรถเข็นครั้งหนึ่ง บนนั้นมีอาหารอยู่สองสามอย่าง มีเนื้อสันเสียด้วย 


 


 


จ๊อก 


 


 


ท้องเล็กๆ ของเธอร้องแสดงอาการท้องว่างออกมาอย่างไม่เกรงใจ 


 


 


“ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเหรอ” อวี๋เยว่หานหันมามองเธอ ไม่รู้ว่าในดวงตาสีดำนั้นคิดอะไรอยู่ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่อยากบอกว่าตัวเองกินมาแล้ว แต่ก็ท้องร้องขึ้นมาอีก 


 


 


เธอยื่นมือไปกุมท้อง “คุณชาย ฉันไม่รบกวนคุณแล้ว ขอตัว…” 


 


 


“ตอนนี้ร้านอาหารพนักงานไม่มีกับข้าวเหลือแล้วนะ” อวี๋เยว่หานมองนาฬิกาข้อมือหรูของตัวเอง แล้วเอ่ยปากทันที 


 


 


นัยน์ตาสีดำขลับชำเลืองมองเธอครั้งหนึ่ง 


 


 


คำพูดของเขาหมายความว่ามีแต่ตรงนี้ที่มีข้าวกลางวัน 


 


 


ฟรี แถมยังอร่อย 


 


 


ถ้าเธอฉลาดพอ ตอนนี้เธอก็ควรเอาใจเขา ให้เขาเชิญเธอกินข้าว 


 


 


อวี๋เยว่หานเหลือบมองใบหน้าสับสนเธอ ก่อนจะสาวเท้ามาข้างหน้า บอกให้ผู้ช่วยวางอาหารกลางวันทั้งหมดลงบนโต๊ะ 


 


 


จากนั้นเขาก็นั่งลงตรงหน้าเหนียนเสี่ยวมู่ แล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปากอย่างเชื่องช้า 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่จับจ้องไปที่เขาพร้อมกับกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว 


 


 


พูดให้ถูกต้อง เธอมองชิ้นเนื้อที่เขาคีบขึ้นมา วินาทีที่เห็นเขาใส่มันเข้าไปในปาก เธอถึงกับกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บปวดใจ 



ตอนที่ 155 น่ารักแล้วยังไง


 


 


เธอยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน แล้วก็หิวมาก


 


 


เมื่อครู่เธอรีบร้อนมาเปลี่ยนยาให้เสี่ยวลิ่วลิ่ว จึงไม่รู้สึกทรมานเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เห็นคนกำลังกินข้าวอยู่ข้างหน้า ทำเอาควบคุมน้ำลายไม่ได้ด้วยซ้ำไป


 


 


ไม่ถลันเข้าไปแย่งเขากินก็นับว่าเป็นความดื้อรั้นอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอแล้ว!


 


 


อยากเดิน แต่ก้าวขาไม่ออก…


 


 


“อยู่ก่อนไหมล่ะ กินข้าวกับผม” อวี๋เยว่หานเหมือนจะอ่านการต่อสู้ดิ้นรนในใจเธอได้ เขาจึงขยับริมฝีปากบางถามอย่างไม่ใส่ใจนัก


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น เหนียนเสี่ยวมู่ก็ตาเป็นประกายทันใด!


 


 


เธอก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งลง กำลังจะพูดว่าเธอจะไม่เกรงใจแล้ว


 


 


แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงน่าหลงใหลของเขาค่อยๆ ดึงขึ้นข้างหู “แต่ผมคิดว่าซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนไม่น่าจะชอบกินข้าวกับคนไม่น่ารัก”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู “…” !!


 


 


เขาได้ยินจริงๆ ด้วย


 


 


คำพูดที่พูดออกไปแล้ว ล้วนเป็นบาปกรรมติดตัว…


 


 


แต่เหนียนเสี่ยวมู่เป็นใครกันล่ะ อาหารและเงินอยู่ตรงหน้า เธอยอมแพ้เพื่อให้ได้มา!


 


 


ดวงหน้าเล็กจ้อยของเธอยิ้มแป้นขึ้นมาทันใด เป็นรอยยิ้มที่จริงใจมาก “น่ารักแล้วยังไง ผู้ชายที่หล่อ สง่างาม สูงยาวเข่าดี บุคลิกสูงสง่า โดดเด่น และสูงส่งหาใครเทียบเทียมอย่างคุณชาย…ดีกว่าคนมีเสน่ห์ข้างนอกพวกนั้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า!”


 


 


“…”


 


 


“ได้กินข้าวกับคุณ ถือว่าเป็นเกียรติของฉันเลย เป็นเกียรติมาก!” เหนียนเสี่ยวมู่พูดพลางหยิบอุปกรณ์รับประทานอาหาร ก่อนจะลากซี่โครงจานหนึ่งมาไว้ตรงหน้า


 


 


เธอไม่ได้หั่นเนื้อเป็นสองท่อน แต่คีบทั้งชิ้นใส่ปากทันที


 


 


งั้นก็ดีกว่าก้อนน้ำแข็งอีกเหรอ” อวี๋เยว่หานเลิกคิ้ว ใช้ดวงตาสีดำมืดมนมองเธอ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!


 


 


เธอคาบซี่โครงอยู่ในปาก กำลังจะเริ่มเคี้ยว แต่เมื่อได้ยินเขาพูดก็ตกใจจนเชชิ้นเนื้อร่วงกลับลงมาใส่จานตัวเอง


 


 


ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี


 


 


ให้ตายก็ไม่ยอมรับเหรอ


 


 


หรืออธิบายกับเขาว่าตอนนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจ คุณชายไม่ก้อนน้ำแข็ง แต่เป็นผู้ชายอบอุ่นที่สุดในโลก?


 


 


อวี๋เยว่หานพิงพนักเก้าอี้ จ้องมองใบหน้าอึ้งงันของเธอ


 


 


ดวงตาสดใสคู่นั้นฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา


 


 


 รู้ดีว่าเมื่อครู่เธอชมเขาเกินจริงเพื่อขอไปทีเท่านั้น แต่ความอัดอั้นในอกก็หายไปอย่างน่าประหลาด


 


 


แม้แต่ความเหนื่อยล้าจากการประชุมตลอดทั้งเช้าก็เหมือนจะเบาบางลงไปไม่น้อย


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน


 


 


“คุณชาย เวลากินไม่พูด เวลานอนไม่เอ่ย พวกเรากินข้าวกันก่อนดีไหมคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ฉุกคิดขึ้นได้ จึงพูดโพล่งออกมา


 


 


หลังจากพูดจบก็มองเขาอย่างเกรงๆ


 


 


เดิมทีคิดว่าเขาคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ อย่างนั้น แต่วินาทีต่อมากลับเป็นเขายกตะเกียบขึ้นมาอย่างสุขุม และรับประทานอาหารด้วยความสง่างาม


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ร้องในใจว่าโลคเข้าข้าง ตึงรีบก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเงียบๆ


 


 


เมื่อกินดื่มจนอิ่ม เธอก็นึกถึงเอกสารร่วมงานที่ส่งไปให้ผู้จัดการของซ่างซิน จึงรีบร้อนกลับไปที่แผนกประชาสัมพันธ์


 


 


“ช่วงนี้แผนกประชาสัมพันธ์งานยุ่งมากเหรอ” อวี๋เยว่หานมองเงาหลังรีบเร่งของเธอ เมื่อนึกได้ว่าเกือบบ่ายสองแล้วยังไม่ได้กินข้าว เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา


 


 


“เอ่อ…โครงการของบริษัทเทคโนโลยีซ่งต้า อีกฝ่ายหวังว่าจะเชิญซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้ครับ ก่อนหน้านี้เซี่ยจิงจิงเป็นคนรับผิดชอบ แต่ตอนนี้เซี่ยจิงจิงถูกพักงานไปสำนึกผิด งานก็เลยตกมาถึงเหนียนเสี่ยวมู่ครับ” ผู้ช่วยรายงานอย่างนอบน้อม


 


 


“ซ่างซิน?” ดวงตาสีดำของอวี๋เยว่หานวูบไหว ก่อนจะหันไปมองผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ


 


 


“ครับ ซ่างซินเป็นหนึ่งในนางแบบที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้ แต่ตามที่ผมรู้ ตั้งแต่เธอเริ่มเดินแบบจนถึงวันนี้ เธอไม่เคยรับงานแสดงหรือพรีเซ็นเตอร์ ผิดใจกับคนมากมายแต่ก็ยังอยู่ดีมีสุข ดูท่าทางไม่ใช่คนธรรมดา ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนอยากเชิญเธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์จึงเป็นเรื่องยากมาก!”


 


 


 


 


ตอนที่ 156 เจอกับน้ำเย็นหนึ่งกะละมัง


 


 


ผู้ช่วยชะงักไป ก่อนจะพูดต่อ “แต่ท่าทางซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนจะมาคิดยอมแพ้นะครับ”


 


 


ถ้าคนทั่วไปรับงานนี้ไม่ยอมแพ้ตั้งแต่แรก ก็คงจะร้องโวยวายไม่จบสิ้น แต่เหนียนเสี่ยวมู่เหมือนจะไม่ใส่ใจ เอาแต่ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน…


 


 


“วันนี้เธอออกจากบ้านตั้งแต่เช้าก็เพราะงานนี้เหรอ” อวี๋เยว่หานเอ่ยปากเสียงเบา


 


 


ตอนเขาเพิ่งตื่นนอน ก็เห็นเสี่ยวลิ่วลิ่ววิ่งเข้ามาในห้อง บอกกับเขาว่าพี่สาวคนสวยหายไปแล้ว


 


 


ต่อมาพ่อบ้านก็นำโน้ตที่เหนียนเสี่ยวมู่เขียนทิ้งไว้ในห้องรับแขกมาให้ ถึงได้รู้ว่าเธอไปที่บริษัทก่อนแล้ว


 


 


“ครับ ช่วงนี้ซ่างซินมีเดินแบบ วันนี้จะไปลองเสื้อที่ลานแฟชันโชว์ ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนน่าจะรู้ข่าว ก็เลยตั้งใจไปรอ” ผู้ช่วยมองอวี๋เยว่หานครั้งหนึ่ง เห็นสีหน้าเขาไม่เปลี่ยนแปลง ถึงได้พูดต่อ


 


 


“ผมได้ยินมาว่าเธอไม่เพียงไม่เจอซ่างซิน แต่ไม่เจอผู้จัดการของซ่างซินด้วยครับ”


 


 


ไปเสียเที่ยวแบบนี้ แถมยังรออยู่ข้างนอกนานขนาดนั้น


 


 


“…”


 


 


อวี๋เยว่หานขมวดคิ้ว สายตาเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


ในหัวของเขามีใบหน้ายิ้มแป้นแล้นตรงหน้าเขาของเธอ


 


 


รอยยิ้มเจือความเจ้าเล่ห์อย่างนั้น เขามองความอัดอั้นตันใจอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย


 


 


เดิมทีเขาคิดว่าเธอตกลงเข้าไปทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์ก ก็เพราะอยากได้เงินเดือนสองเท่าเท่านั้น


 


 


ตอนนี้เห็นสีหน้าท่าทางของเธอแล้วเขากลับแปลกใจอยู่บ้าง


 


 


“ไปตรวจสอบดู ว่าซ่างซินคนนี้มีที่มาที่ไหนยังไง” อวี๋เยว่หานขยับริมฝีปากบาง สั่งราวกับไม่ใส่ใจนัก


 


 


“…” ผู้ช่วยตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองเขาด้วยความงงงัน


 


 


หรือคุณชายจะลงมือเอง?


 


 


เป็นไปไม่ได้ แค่นางแบบคนเดียว ไม่ควรค่าให้คุณชายออกโรงเองเลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ซ่างซินเลย คุณชายไม่น่าเห็นโครงการของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าอยู่ในสายตา


 


 


อย่างนั้น ความจริงแล้วเป็นเพราะ…


 


 


ผู้ช่วยดึงสติกลับมา แล้วโค้งตัวอย่างว่องไว “ครับ”


 


 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กลับมาถึงแผนกประชาสัมพันธ์ เธอนั่งบนที่นั่งของตัวเองอย่างรีบร้อน ก่อนจะเปิดอีเมล


 


 


ครั้นเห็นว่าบนนั้นมีอีเมลที่ยังไม่ได้อ่าน เธอก็แทบเด้งตัวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น!


 


 


ผู้จัดการของซ่างซินตอบอีเมลของเธอแล้ว!


 


 


นี่เป็นปฏิสัมพันธ์แรกของอีกฝ่าย ตั้งแต่เธอรับงานนี้เลยก็ว่าได้


 


 


เธอฟุบลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์ด้วยความตื่นเต้น จากนั้นถึงจะคลิกเปิดอีเมล


 


 


แต่ก็ต้องพบว่าในอีเมลมีการตอบกลับเพียงสั้นๆ น้ำเสียงไม่เหมือนผู้จัดการ เหมือนตัวซ่างซินเองเสียมากกว่า


 


 


‘คุณทำแผนพรีเซ็นเตอร์ได้ดีมากค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันคงต้องรับงานนี้แน่ๆ แต่น่าเสียดายมากเลยค่ะ ฉันไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์ทั้งนั้น’


 


 


ครั้นอ่านจบจบ ดวงตาของเหนียนเสี่ยวมู่ก็มืดมนลงทันใด


 


 


ราวกับถูกน้ำเย็นกะละมังหนึ่งสาดหน้าตอนที่ดีใจที่สุด


 


 


แต่ไม่นานเธอก็พบว่าประโยคนี้แปลกๆ อยู่บ้าง


 


 


ในเมื่อซ่างซินพอใจแผนของเธอมาก แล้วทำไมปฏิเสธทั้งๆ ที่ไม่มีทางให้เจรจาเลยล่ะ


 


 


ซ่างซินมีความลำบากใจอะไรหรือเปล่า


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กัดริมฝีปาก เหม่อมองอีเมลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์…


 


 


“ฉันบอกแล้วไง ซ่างซินไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์ทั้งนั้นแหละ ดูท่าทางถึงซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนเก่งกว่านี้ ก็ต้องระวังเจออุปสรรคหน่อยแล้ว” มีคนเหลือบเห็นอีเมลบนคอมพิวเตอร์ของเธอ จึงพูดถากถางขึ้นมา


 


 


“อย่าพูดแบบนี้สิ ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนได้มาทำงานที่แผนกประชาสัมพันธ์ของเราง่ายๆ เธอต้องมีข้อดีกว่าคนอื่นแน่ ถึงไม่ถึงกำหนดหนึ่งสัปดาห์สักหน่อย” อีกคนหนึ่งพูดสนับสนุน


 


 


พวกเธอทั้งสองคนเป็นลูกน้องของเซี่ยจิงจิง


 


 


แม้เซี่ยจิงจิงจะมีนิสัยโผงผาง แต่ก็ใช้ความคิดไปกับการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานไปไม่น้อย


 


 


หลายๆ คนในแผนกรอให้เธอกลับมา และรอดูเหนียนเสี่ยวมู่หน้าแตกไปด้วย



ตอนที่ 157 คุณอย่าเสียใจภายหลังแล้วกัน!


 


 


“อย่าว่าแต่หนึ่งสัปดาห์เลย ถึงตอนนี้มีเวลาหนึ่งเดือน บางคนยังไม่ได้เจอซ่างซินเลยด้วยซ้ำ จะไปเจรจาเรื่องพรีเซ็นเตอร์ได้ยังไง ไม่ให้ในอีเมลของเหนียนเสี่ยวมู่เหรอ ซ่างซินไม่อยากคุยด้วยด้วยซ้ำ” คนที่พูดเมื่อครู่จงใจพูดเสียงดังขึ้นเมื่อเห็นคนอื่นๆ มองมา


 


 


เดิมทีพวกเธอไม่กล้าต่อกรกับเหนียนเสี่ยวมู่ เพราะไม่แน่ใจว่าเธอมีความสัมพันธ์อะไรกับคุณชายหานกันแน่


 


 


ถึงอย่างไรเสียรูปภาพที่ถูกแอบถ่ายในอินทราเน็ตก็น่าตกใจจริงๆ


 


 


แต่สองวันมานี้ หลังจากเห็นเหนียนเสี่ยวมู่ยุ่งหัวหมุนกับการติดต่อให้ซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ คุณชายหานกลับไม่มีความคิดจะถามไถ่แม้สักนิด ก็เหมือนกับเป็นการพิสูจน์ความจริง ว่าระหว่างทั้งสองคนไม่มีอะไรทั้งนั้น


 


 


ความอบอุ่นก่อนหน้านี้ต้องเป็นสิ่งที่เหนียนเสี่ยวมู่หลอกใช้ให้คุณหนูสร้างขึ้นแน่นอน


 


 


เพื่อยกระดับสถานะของตัวเองเท่านั้นแหละ!


 


 


คนแบบนี้จะปล่อยให้ทำลายชื่อเสียงแผนกประชาสัมพันธ์ต่อไปได้อย่างไร


 


 


“เสี่ยวหลาน เธอพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ถ้าต่อไปเธอเชิญซ่างซินมาได้จริงๆ ไม่กลัวว่าเหนียนเสี่ยวมู่จะให้เธอขอโทษต่อหน้าทุกคนเหรอ…” มีเพื่อนร่วมงานดึงคนพูดเอาไว้ แต่ก็ถูกสะบัดออก


 


 


คนที่ชื่อเสี่ยวหลานเดินมาข้างหน้า สองมือกอดอก พร้อมมองเหนียนเสี่ยวมู่อย่างท้าทาย


 


 


“ถ้าเธอเชิญซ่างซินมาได้จริงๆ อย่าว่าแต่ขอโทษต่อหน้าทุกคน จะให้ฉันคุกเข่าต่อหน้าทุกคน คำนับเธอสามครั้ง ฉันก็จะไม่อิดออดเลย!” ฟางหลานยิ้มเยาะ พร้อมทั้งเหลือบมองเหนียนเสี่ยวมู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า


 


 


“คุณอย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน!” เหนียนเสี่ยวมู่มองเพื่อนร่วมงานที่มุงเข้ามาดูความคึกคักรอบๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเชื่องช้า สายตามองตรงไปที่ฟางหลานอย่างใจเย็น


 


 


ครั้นพูดจบเธอก็ปิดคอมพิวเตอร์ ถือกระเป๋าของตัวเอง แล้วหมุนตัวเดินออกไป


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ ถ้าเธอเชิญซ่างซินมาไม่ได้ ก็พิสูจน์ว่าเธอไม่มีฝีมือที่จะอยู่ในแผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเรา เธอสู้ซูเปอร์ไวเซอร์เซี่ยไม่ได้…”


 


 


คำพูดต่อจากนั้นถูกประตูลิฟต์ขวางกั้นไว้แล้ว


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พิงผนังลิฟต์ คำพูดถากถางเมื่อครู่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธอ


 


 


ในหัวเธอมีแต่คำพูดในอีเมลเมื่อครู่วนเวียนไปมา


 


 


ซ่างซินยอมรับแผนของเธอและเห็นแผนของเธอแล้วอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้เธอดีใจมาก


 


 


แต่จะไม่ให้โอกาสลองสักหน่อยเลยเหรอ


 


 


นี่มันแปลกเกินไปแล้ว


 


 


เธอต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงจะมีโอกาสทำให้ซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้!


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ออกจากแผนกประชาสัมพันธ์ แล้วโทรศัพท์หาถานเปิงเปิง “ที่รัก เธอช่วยฉันถามพวกเพื่อนร่วมงานผู้ชายที ดูว่ามีใครรู้ตารางงานในวันนี้ของซ่างซินไหม หรือเธอจะไปที่ไหน”


 


 


ถานเปิงเปิง “…”


 


 


เธอเป็นหมอ ไม่ใช่นักข่าวกอสซิปสักหน่อย


 


 


ทำไมต้องถามตารางงานของนางแบบคนหนึ่งจากเธอด้วย


 


 


“เดี๋ยวก่อนนะ ฉันจะช่วยถามให้” ถานเปิงเปิงวางสายไป แต่ไม่นานก็ส่งข้อความตอบกลับมา


 


 


ในนั้นเป็นตารางงานส่วนตัวของซ่างซิน เนื้อหาที่ต้องให้ความสนใจยังคงเป็นไม่แน่ใจว่าแหล่งข่าวเป็นความจริงหรือไม่


 


 


“สวนสนุกเด็กเหรอ” เหนียนเสี่ยวมู่อ่านข้อความบนโทรศํพท์มือถือ เกือบจะเซตกจากบั้นบันไดข้างทางแล้ว!


 


 


สถานที่แบบนี้ไม่ใช่ที่ที่คนอายุเท่าเสี่ยวลิ่วลิ่วถึงจะชอบไปหรอกเหรอ


 


 


ทำไมซ่างซินต้องไปที่นั่นด้วย


 


 


‘ได้ยินว่าวันนี้มีงานการกุศลที่สวนสนุก ซ่างซินไปออกอีเวนท์ แต่ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ไม่แน่ใจว่าข่าวจริงหรือเปล่า เธอลองไปเสี่ยงดวงดูก็ได้’ ถานเปิงเปิงส่งข้อความมาอีกครั้ง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตอบกลับไปแค่ ‘จุ๊บๆ’ ก่อนจะยัดโทรศัพท์มือถือใส่ในกระเป๋า แล้วไปยังสวนสนุก


 


 


แต่เพิ่งมาถึงสวนสนุก เธอก็ต้องตกใจกับภาพคึกคักตรงหน้า!


 


 


 


 


ตอนที่ 158 คุณอยู่ที่ไหน


 


 


ตรงประตูทางเข้าสวนสนุกเต็มไปด้วยผู้คน ไม่เพียงเบียดกันจนเต็มทางเข้า แม้แต่ถนนข้างทางก็มีคนยืนอยู่ยั้วเยี้ย


 


 


เพราะวันนี้มีงานอีเวนท์ในสวนสนุก คนที่มาอยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ดังนั้นสถานการณ์ข้างหน้าจึงค่อนข้างวุ่นวาย


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่สังเกตเห็นว่าในนั้นมีแฟนคลับของซ่างซินอยู่ไม่น้อยเลย เธอจึงตาเป็นประกายทันที


 


 


มีแฟนคลับก็หมายความว่าข่าวอาจจะเป็นความจริง


 


 


ถึงแม้เธอแย่งชิงได้ตำแหน่งดีๆ แต่ก็ไม่มีทางเข้าใกล้ซ่างซินได้โดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเจรจาร่วมงานกันเลย


 


 


เธอต้องคิดหาวิธีอื่น…


 


 


ดวงตาใส่แจ๋วเหมือนคริสตัลคู่นั้นของเหนียนเสี่ยวมู่หรี่ลง ก่อนจะจับจ้องไปที่เวทีงานอีเวนท์ที่ตั้งขึ้นชั่วคราวในสวนสนุก


 


 


ด้านหน้าเวทีมีกลุ่มคนเดินกันขวักไขว่


 


 


อยากจะเข้าใกล้ซ่างซินจากทางนั้นคงไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าเธอได้เข้าไปด้านหลังเวที…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตัดสินใจเดินไปยังจุดขายตั๋ว หลังจากซื้อตั๋วเข้างานได้ เธอก็เข้าไปข้างใน ทำตัวติดกับคนงานที่นี่อยู่ตลอด แล้วถือโอกาสแอบเข้าใกล้ห้องพักผ่อนตอนที่ไม่มีคนสังเกตเห็น


 


 


เมื่อได้เข้าใกล้ประตูอย่างยากลำบาก และกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกจากข้างใน


 


 


หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปคนหนึ่งก้มหน้าเดินออกมาจากข้างใน


 


 


ทั้งสองคนชนกันอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว!


 


 


จากนั้นทั้งคู่ก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเนื่องจากแรงชน แล้วเอ่ยปากพร้อมกัน


 


 


“คุณนี่เอง!”


 


 


“คุณนี่เอง!”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พบว่าตัวเองพูดเสียงดังไปบ้าง จึงรีบร้อนปิดปาก แล้วพูดให้เบาลง “คุณมาแอบดูไอดอลของคุณเหรอคะ ฉันก็มาหาซ่างซินเหมือนกัน”


 


 


“คุณยังไม่ยอมแพ้เหรอเนี่ย” ในตาของหญิงสาวใส่หมวกแก๊ปมีความประหลาดใจพาดผ่านไป


 


 


“คุณก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ ถ้าไม่ได้เจอซ่างซิน ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จริงสิ เธอไม่อยู่ข้างในเหรอคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ชี้เข้าไปในห้องพักผ่อน


 


 


ถ้าเธอจำไม่ผิด หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปเพิ่งจะเดินออกมาจากข้างในนั้น


 


 


“…ไม่อยู่ค่ะ” สายตาของหญิงสาวใส่หมวกแก๊ปวูบไหวเล็กน้อย ในดวงตาคู่นั้นฉายแววไม่มั่นใจออกมา


 


 


เมื่อได้ยินเสียงข้างนอก ทั้งสองคนก็สบตาอย่างรู้กัน จากนั้นก็เดินแยกย้ายกันไปคนละทาง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังเครียด ถ้าในห้องพักผ่อนไม่มีใครอยู่ แล้วเธอจะไปหาซ่างซินได้ที่ไหน และถ้าถูกบอดีการ์ดพบเข้า พวกเขาก็คงหิ้วเธอออกจากตรงนี้แน่


 


 


ช่วยไม่ได้ ทำได้แค่รออยู่ข้างล่างเวทีเหมือนๆ กับแฟนคลับแล้วล่ะ


 


 


ตั้งแต่งานอีเวนท์เริ่ม เธอไม่เห็นซ่างซินปรากฎตัวเลยจนกระทั่งจบงาน แต่เห็นหญิงสาวใส่หมวกแก๊ปคนนั้นช่วยดูแลเด็กอยู่ท่ามกลางฝูงชนอยู่หลายครั้ง


 


 


แถมเธอคนนั้นยังหอบหิ้วของขวัญกองหนึ่งส่งให้เด็กๆ ราวกับเป็นซานตาคลอสอย่างไม่หยุดหย่อน


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถูกการกระทำของเธอโน้มน้าวจิตใจ ในเมื่อไม่ได้เจอซ่างซิน อย่างนั้นถือโอกาสเข้าไปช่วยก็ดีเหมือนกัน


 


 


เมื่องานอีเวนท์จบลง เธอเตรียมจะไปพูดคุยกับหญิงสาวใส่หมวกแก๊ปสักสองคำ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายหายตัวไปแล้ว


 


 


ครั้นหันไปมองหารอบๆ ก็หาตัวหญิงสาวคนนั้นไม่พบ แต่มีคนตะโกนเสียงดังว่า “ซ่างซิน!”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที!


 


 


เธอมองไปยังประตูสวนสนุก เห็นรถมินิแวนสีขาวที่คุ้นเคยกำลังจะเตรียมตัวออกไปจริงๆ ด้วย!


 


 


หลังจากคิดว่าจะตามไป เธอก็ถูกเหล่าแฟนคลับโอบล้อมเบียดไปอีกด้านหนึ่ง ทำให้เข่าของเธอชนเข้ากับม้าหิน เจ็บจนเธอต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เลยทีเดียว


 


 


พอดึงสติกลับมาได้ ซ่างซินหายไปไหนแล้วล่ะ


 


 


วันนี้เสียเที่ยวอีกแล้ว!


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่โมโหจนต้องทุบม้าหินครั้งหนึ่ง แต่เพิ่งยืนขึ้นก็พบว่าเจ็บหัวเข่าจนยืดขายืนได้ไม่ตรงอยู่บ้าง และโทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงดังขึ้นมาในเวลานี้พอดี


 


 


เธอควักโทรศัพท์มือถือออกมาดู เมื่อเหลือบเห็นว่าเป็นสายจากอวี๋เยว่หาน เธอก็รีบรับสายทันที


 


 


“คุณอยู่ที่ไหน”




ตอนที่ 159 ตกกระป๋อง 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่ฟังเขาพูด แล้วมองเวลาตามสัญชาตญาณ พบว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว 


 


 


อวี๋เยว่หานน่าจะโทรศัพท์มาเร่งให้เธอกลับไปกินข้าวกับเสี่ยวลิ่วลิ่ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รีบร้อนตอบกลับไป “คุณชาย ฉันจะกลับถึงบ้านภายในครึ่งชั่วโมง” 


 


 


หลังจากพูดจบเธอก็วางสายแล้วยันม้าหินลุกขึ้นยืน 


 


 


เธอเจ็บหัวเข่าจนต้องเดินกะโผลกกะเผลกไปทางประตูสวนสนุก 


 


 


เมื่อออกมาจากฝูงชนได้อย่างยากลำบาก เธอก็เรียกรถแท็กซี่กลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลอวี๋ 


 


 


 


 


 


ตู๊ด ตู๊ด เสียงวางสายดังลอดออกมาจากในโทรศัพท์มือถือ 


 


 


อวี๋เยว่หานละสายตาจากโทรศัพท์มือถือ ขมวดคิ้วมุ่น เธอกล้าวางสายเขาเหรอเนี่ย 


 


 


เธออยู่ที่ไหน 


 


 


เสียงรอบข้างเหมือนจะแปลกๆ ไปบ้าง 


 


 


“ตอนบ่ายเธอไม่อยู่ที่บริษัทเหรอ” อวี๋เยว่หานเอ่ยปากเสียงเรียบ  


 


 


ผู้ช่วยรีบอธิบาย “เมื่อตอนบ่ายซูเปอร์ไวเซอร์เหนียนขอออกไปข้างนอก แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าเธอไปที่ไหน แต่ผมตรวจสอบดูแล้ว วันนี้ซ่างซินไมมีงานอีเวนท์ ส่วนกำหนดการส่วนตัวของเธอผมก็ไม่แน่ใจครับ” 


 


 


เขาเป็นผู้ช่วยพิเศษส่วนตัวของประธานบริษัทผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้เขาเกือบจะกลายเป็นผู้ช่วยของเหนียนเสี่ยวมู่ไปแล้ว 


 


 


ทุกวันนี้เขาต้องถามเรื่องของเหนียนเสี่ยวมู่ไว้ เผื่ออยู่ๆ คุณชายก็ถามขึ้นมา 


 


 


“…” ไม่อยู่ที่บริษัท 


 


 


ดวงตาของของเขาเผยความมืดมนออกมา ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาแล้วหยิบนิตยสารการเงินมาอ่านอยู่ครู่หนึ่ง 


 


 


แต่ความจริงแล้วเหม่อลอยอยู่ตลอด 


 


 


สายตาของเขาเหลือบมองนาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว.. 


 


 


เขาเห็นเงาร่างผอมเพรียวในอีกวินาทีต่อมา เธอกำลังรีบร้อนเดินเข้ามาจากข้างนอก 


 


 


ท่าทางเดินเหินของเธอไม่ค่อยเหมือนเวลาปกติ ตัวเธอเอียงมาด้านหน้าเล็กน้อย ราวกับว่าหัวเข่ามีปัญหาบางอย่าง 


 


 


อวี๋เยว่หานโยนนิตยสารลงบนโต๊ะน้ำชา ก่อนจะยืนขึ้น แล้วเดินเข้าไปหาเธอ “หัวเข่าเป็นอะไร” 


 


 


“…ไม่มีอะไรค่ะ แค่ชนนิดหน่อย” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังจะอธิบายว่าตัวเองกลับมาช้าเพราะเรื่องงาน แต่ตัวเธอกลับถูกอวี๋เยว่หานอุ้มขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิงเสียแล้ว 


 


 


ครั้นร่างกายอยู่กลางอากาศ เธอก็ตกใจจนต้องรีบโอบคอของเขาเอาไว้ 


 


 


ทันใดนั้นกลิ่นอายของความเผด็จการก็ปะทะเข้ามา 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา แล้วเงยหน้ามองใบหน้าเฉยชาของเขาด้วยความประหลาดใจ แต่กลับเห็นเขาทำหน้าบึ้งตึง สีหน้าไม่ชัดเจน ดูไม่ออกว่ากำลังโกรธหรือเปล่า เพียงแต่รู้สึกว่าเวลานี้เธอพูดให้น้อยหน่อยจะดีกว่า 


 


 


ไม่นานเธอก็ถูกวางลงบนโซฟา 


 


 


“พ่อบ้าน เรียกหมอมา” 


 


 


เมื่อได้ยินว่าเขาจะเรียกหมอ เหนียนเสี่ยวมู่ก็รีบดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้ “ไม่ต้องๆ แค่ชนนิดเดียวเอง ทายาแล้วนวดนิดหน่อยก็พอ” 


 


 


เธอเปราะบางขนาดนั้นที่ไหนกัน ชนนิดเดียวก็ต้องเรียกหมอด้วยหรือไง 


 


 


ทว่าอวี๋เยว่หานไม่เชื่อ เธอจึงตั้งใจเลิกขากางเกงขึ้น ให้เขามองแผลบนหัวเข่าของตัวเองสักหน่อย 


 


 


ตรงนั้นมีแค่เนื้อบวมแดง ไม่มีแผลถลอก ตอนเพิ่งชนเธอรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวจริงๆ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว 


 


 


หลังจากได้ยินดังนั้น อวี๋เยว่หานก็มองเธอด้วยสายไม่ไว้ใจอยู่สามวินาที แต่สายตาของเขาก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม เมื่อเห็นว่าเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ 


 


 


เขาเปลี่ยนไปสั่งให้พ่อบ้านไปหยิบกล่องยาเข้ามา 


 


 


“พี่สาวคนสวย” เสี่ยวลิ่วลิ่วได้ยินว่าเธอกลับมาแล้วจึงวิ่งออกมาจากในห้องของตัวเองทันที อยากจะโผเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ 


 


 


แต่ร่างเล็กนุ่มนิ่มเพิ่งวิ่งมาถึงข้างหน้า ชายเสื้อของเข้าตัวเล็กก็ถูกมือแกร่งคว้าเอาไว้ 


 


 


เขาอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา แล้วพูดเสียงเบา “บนตัวเธอมีแผล ตอนนี้อุ้มลูกไม่ได้” 


 


 


“…” เสี่ยวลิ่วลิ่วถูกอุ้มขึ้นกลางอากาศกะทันหัน พลางหดคอสั้นๆ แล้วเบิกตาโพลงมองเหนียนเสี่ยวมู่อย่างงุนงง 


 


 


บนใบหน้าเล็กสะสวยเต็มไปด้วยความสงสัย 


 


 


หนูเป็นใคร หนูอยู่ที่ไหน ตอนนี้หนูกำลังทำอะไร 


 


 


ปาปาที่รักหนูที่สุดล่ะ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 160 เสียใจซ้ำสอง! 


 


 


“ฉันไม่เป็นไร หัวเข่ามีแผลเล็กน้อย ยังอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วได้อยู่” เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบก็ยื่นมือไปอุ้มเด็กหญิงกลับมา แล้วกอดไว้ในอก 


 


 


ทันใดนั้นเสี่ยวลิ่วลิ่วก็หมุนตัวถูไถอยู่ในอกของเธอ 


 


 


ตาโตสีเขียวมรกตจ้องมองอวี๋เยว่หานด้วยความน้อยใจแล้ว! 


 


 


อวี๋เยว่หาน “…” 


 


 


ไม่นานพ่อบ้านก็ถือกล่องยาเข้ามา 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้ต้องการให้ใครดูแล เธอหายาลดบวมที่เหมาะสม บีบใส่ฝ่ามือเล็กน้อย แล้วนวดสองสามครั้งอย่างไม่ใส่ใจ 


 


 


“เรียบร้อย ไม่เป็นไรแล้ว” 


 


 


เธอโยนยาใส่เข้าไปในกล่องยา ครั้นยืดขากำลังจะยืนขึ้น ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา 


 


 


“เมื่อกี้คุณไปไหนมา” 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่เม้มปาก ลังเลอยู่ว่าควรพูดความจริงหรือไม่ 


 


 


“ไปหาซ่างซินเหรอ” อวี๋เยว่หานเหลือบมองเธอด้วยนัยน์ตาเฉยชา เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตรงข้ามเธอ ออร่าของความน่าเกรงขามทำให้ห้องรับแขกเหมือนกลายเป็นสถานที่ไต่สวนเสียแล้ว 


 


 


ถ้าเธอกล้าพูดโกหก ก็จะถูกเปิดโปงในทันที 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้เรื่องพรีเซ็นเตอร์ด้วย 


 


 


“ฉันได้ยินมาว่า นอกจากเดินแบบของแบรนด์ดังแล้ว ซ่างซินไม่รับงานแสดงหรืองานพรีเซ็นเตอร์อื่น ส่วนตัวฉันคิดว่าเธอก็อยากรับ แต่ความลำบากใจบางอย่าง ฉันอยากแน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เห็นเขาถาม ก็เลยตอบตามตรงอย่างไม่อ้อมค้อม 


 


 


อวี๋เยว่หานเป็นคนหนุ่มที่มีชื่อเสียง สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการธุรกิจตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าบริษัทตระกูลอวี๋ 


 


 


โด่งดังในชั่วข้ามคืนเชียวล่ะ! 


 


 


คนหนุ่มอัจฉริยะที่ถูกขนานนามว่าฉลาดเป็นกรด พาบริษัทตระกูลอวี๋ขึ้นสู่ชั้นแนวหน้าภายในเวลาไม่กี่ปี กลายเป็นตระกูลยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองเอช 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเขาตั้งแต่ยังไม่เข้าไปทำงานในบริษัทตระกูลอวี๋ 


 


 


ถ้าเขายอมชี้แนะเธอ เธอก็น้อมรับคำชี้แนะนั้น 


 


 


“ทีแรกฉันอยากไปเจรจากับซ่างซิน แต่ฉันก็ไม่ได้เจอเธอเลย อย่าว่าแต่ซ่างซิน แค่ผู้จัดการของเธอฉันก็ยังไม่ได้เจอเลย” 


 


 


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหนียนเสี่ยวมู่คิดไม่ตก 


 


 


มีใครที่ไหนที่ปฏิเสธเรื่องเงินๆ ทองๆ ทั้งที่ยังไม่ได้คุยกัน 


 


 


ซ่างซินไม่สนใจชื่อเสียงเงินทอง แต่คนที่อยู่ข้างกายเธอก็เห็นเงินทองเป็นของนอกกายเหมือนกันเหรอ 


 


 


นอกจากมีผลประโยชน์อะไรมากไปกว่านั้น หรือมีความลำบากใจยางอย่าง 


 


 


“กินข้าวก่อนเถอะ” นัยน์ตาของอวี๋เยว่หานวูบไหว ก่อนจะยื่นมือไปอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วจากมือของเธอ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องครัว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองเงาหลังของเขาด้วยความอึ้งงัน ผ่านไปนานพอดู เธอถึงรู้สึกตัว และรีบเดินตามเขาเข้าไป 


 


 


เธอรู้สึกว่าเขาน่าจะมีความลับอะไรที่ไม่อยากให้ใครรู้ เธอจึงแสดงตัวเป็นสุนัขรับใช้ในอาหารมื้อนี้เป็นพิเศษ 


 


 


“คุณชาย กับข้าวจานนี้อร่อยมาก คุณกินเยอะๆ หน่อยสิ” 


 


 


“มีปลาเก๋าของโปรดคุณด้วยนะ…” 


 


 


“พ่อบ้าน น้ำแกงเสร็จหรือยังคะ ฉันจะไปตักให้คุณชายถ้วยหนึ่ง…” 


 


 


“…” 


 


 


อวี๋เยว่หานมองเหนียนเสี่ยวมู่ที่เอาใจเขาจนไม่ได้กินข้าว ใบหน้าของเขาเรียบเฉย แต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว 


 


 


จากนั้นเขาก็ยกน้ำแกงขึ้นมาดื่มอย่างเชื่องช้า 


 


 


“คุณชาย รสชาติเป็นยังไงบ้าง ถ้าคุณชอบ ฉันจะไปตักมาให้อีกถ้วย” เหนียนเสี่ยวมู่ถามพร้อมรอยยิ้ม 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เด็ก มองเหนียนเสี่ยวมู่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อที่เธอชอบที่สุดวางใส่ในตานของอวี๋เยว่หาน ทั้งๆ ที่เธอพกยกจานเล็กๆ ของตัวเองไปข้างหน้า 


 


 


พี่สาวคนสวยไม่มองเธอด้วยซ้ำ เธอจึงทำปากจู๋ 


 


 


น้อยใจจนหน้างองุ้มเป็นก้อนแล้ว 


 


 


ฮือๆ พี่สาวคนสวยไม่รักเธอแล้ว… 


ตอนที่ 161 ประเด็นอยู่ที่คนคนเดียว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่คอยเอาใจสองพ่อลูกจนเหนื่อยล้า และรอพวกเขากินข้าวเสร็จอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ยื่นมือไปลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าอวี๋เยว่หาน จ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง 


 


 


“คุณชาย คุณเคยเจอซ่างซินไหม” 


 


 


“คุณรู้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอบ้างหรือเปล่า” 


 


 


“ทำไมเธอถึงไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์ หรือว่าเบื้องหลังของเธอ…” 


 


 


“…” 


 


 


อวี๋เยว่หานขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองเหนียนเสี่ยวมู่ที่กลายเป็นสารานุกรมไปแล้ว แต่ผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ยังไม่พูดจา 


 


 


จนกระทั่งเธอรู้สึกได้ว่าตัวเองถามมากเกินไปแล้ว เธอถึงยื่นมือไปปิดปากตัวเอง แล้วเหลือบมองเขาอย่างระวัดระวัง 


 


 


เขาถึงจะเอ่ยปากอย่างเชื่องช้าทีละคำ 


 


 


“อยากให้ซ่างซินรับงานพรีเซ็นเตอร์ ประเด็นอยู่ที่คนคนเดียว” 


 


 


“…” 


 


 


“ประธานบริษัทคนใหม่ของบริษัทตระกูลถัง ถังหยวนซือ” ริมฝีปากบางของอวี๋เยว่หานเอ่ยชื่อคนหนึ่งออกมาอย่างเย็นชา 


 


 


เมื่อพูดจบ เขาก็ไม่สนใจว่าเหนียนเสี่ยวมู่ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า และลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไปอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วที่เพิ่วกินอิ่มออกจากห้องอาหารไป 


 


 


เหลือไว้เพียงเหนียนเสี่ยวมู่ที่ได้ยินเขาพูดแล้วก็เอาแต่งุนงง 


 


 


เธอพึมพำกับตัวเอง “ถังหยวนซือ…” 


 


 


จากนั้นเธอก็รู้สึกตัว กลับไปที่ห้องของตัวเองทันที เมื่อเปิดคอมพิวเตอร์แล้วก็เริ่มค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับถังหยวนซือ แต่เธอก็ได้แต่งงงันหลังจากป้อนชื่อนี้ลงไปพร้อมกดปุ่มค้นหา 


 


 


ข้อมูลเต็มหน้าจอไปหมด แต่กลับมีอะไรเกี่ยวข้องกับซ่างซินเลย 


 


 


แต่มีข้อมูลหนึ่งที่แปลกประหลาดมาก 


 


 


‘ประธานบริษัทตระกูลถังเคยเป็นเด็กกำพร้า แต่วาสนาดีตระกูลผู้มีอิทธิพลของเมืองเอสรับเลี้ยง…’ 


 


 


แล้วนี่มันเกี่ยวกับสร้างซินอย่างไร 


 


 


หรือว่าเขาไม่ยอมให้ซ่างซินรับงานพรีเซ็นเตอร์? 


 


 


แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่น่าจะเป็นอย่างที่เธอคิด… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่คิดอยู่คนเดียวตั้งนานก็คิดไม่ออก ว่าอวี๋เยว่หานตั้งใจจะบอกอะไรเธอกันแน่ 


 


 


เธอตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์ เตรียมออกจากห้องไปหาเขา 


 


 


พูดออกมาแค่ครึ่งเดียว ไม่พูดให้คนอื่นเข้าใจแบบนี้มันน่าโมโหที่สุดเลย! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เดินไปถึงห้องรับแขกด้วยใจโมโห แต่เพิ่งจะขึ้นชั้นบน เธอนึกถึงใบหน้าเหมือนก้อนน้ำแข็งของอวี๋เยว่หานก็กลัวจนตัวสั่นแล้ว 


 


 


เธอหันไปเห็นผู้ช่วยถือเอกสารเดินเข้ามาจากข้างนอกพอดี ทำให้เธอเกิดความคิดอันชาญฉลาด และพุ่งเข้าไปขวางหน้าผู้ช่วยเอาไว้ 


 


 


“ผู้ช่วยหยางคะ ฉันขอเวลาคุณสักสองสามนาที ถามอะไรบางอย่างได้ไหมคะ” 


 


 


“…” ผู้ช่วยชะงักไป แล้วมองเธอด้วยสายตาสอบถาม 


 


 


“ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เมื่อกี้คุณชายบอกฉันว่า จุดสำคัญในการโน้มน้าวซ่างซินคือถังหยวนซือ คุณรู้ไหมคะว่าประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร” เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบก็มองผู้ช่วยด้วยแววตาเคร่งเครียด 


 


 


ผู้ช่วยเกิดความลังเล แต่จากนั้นก็บอกเธอ “ว่ากันว่าซ่างซินชอบประธานถังมาหลายปีแล้ว แต่ประธานถังไม่เคยตอบสนองอะไรเธอเลย” 


 


 


“…” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ไม่คิดว่าจะเป็นคำตอบนี้ จึงตะลึงไปเล็กน้อย 


 


 


ผู้หญิงตามจีบผู้ชายเหรอ… 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวที่มีความหาญกล้าเต็มเปี่ยมในตำนานจะยังมีคนกล้ารังเกียจเธอด้วย 


 


 


สมองของเหนียนเสี่ยวมู่คิดแผนการได้แล้ว ตาเป็นประกายทันใด 


 


 


“ฉันรู้แล้วค่ะว่าจะโน้มน้าวซ่างซินอย่างไร! ขอบคุณค่ะผู้ช่วยหยาง!” เหนียนเสี่ยวมู่พูดพลางหมุนตัววิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง 


 


 


เธอเปิดคอมพิวเตอร์ อ่านแผนพรีเซ็นเตอร์ที่ส่งไปให้ซ่างซินก่อนหน้านี้ ก่อนจะปรับแก้เป็นครั้งสุดท้าย ตั้งอกตั้งใจทำหมายเหตุเป็นอย่างดี 


 


 


หลังจากตรวจสอบซ้ำๆ อยู่สองสามรอบ เธอถึงจะส่งไปอีกครั้งเมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหา! 


 


 


จากนั้นเธอก็ประสานทั้งสองมือเข้าด้วยกัน พร้อมกับจ้องมองอีเมลอย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


“ติ๊ง!” เมื่อได้ยินเสียงเตือนอีเมลตอบหลับ เธอตื่นเต้นจนเกือบจะตกเก้าอี้ และเอื้อมมือไปคลิกเมาส์เปิดอ่านอย่างร้อนรน! 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 162 ผู้ใดร้อนรนอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ผู้นั้นมีเจตนาร้ายแอบแฝง 


 


 


คำพูดสั้นๆ สะท้อนเข้ามาในม่านตาของเธอ 


 


 


‘ฉันยอมพบคุณสักครั้งค่ะ’ 


 


 


ซ่างซินยอมพบเธอแล้วเหรอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่อ่านอีเมลซ้ำอยู่หลายครั้ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เธอถึงจะดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ 


 


 


กรี๊ด! 


 


 


พยายามมาตั้งนาน ในที่สุดก็มีโอกาสเจอซ่างซิน ได้พูดคุยเรื่องพรีเซ็นเตอร์กับแบบตัวต่อตัวสักที! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ทำใจเย็นๆ แล้วโผไปที่หน้าคอมพิวเตอร์ เพื่อตอบกลับอีเมลอย่างรวดเร็ว ‘ฉันไปพบคุณได้ทุกเวลาเลยค่ะ คุณสะดวกเวลาไหนคะ’ 


 


 


เมื่อตอบอีเมลเสร็จ หัวใจของเธอก็เต้นรัวเร็วขึ้นมา รอคอยการตอบกลับของอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น 


 


 


เวลาที่บริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าให้มีแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น 


 


 


ถ้าภายในหนึ่งสัปดาห์นี้ซ่างซินไม่ว่างล่ะ… 


 


 


ไม่นานเธอก็ได้อีเมลตอบกลับใหม่ 


 


 


‘สิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้ พบกันที่บริษัทตระกูลอวี๋ค่ะ’ 


 


 


‘ได้ค่ะ ฉันจะรอคุณ’ เหนียนเสี่ยวมู่ส่งอีเมลกลับไป ในที่สุดความรู้สึกตื่นเต้นก็สงบลง 


 


 


เธอจัดการแผนในคอมพิวเตอร์อีกครั้ง และทำงานอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง แล้วถึงจะปิดคอมพิวเตอร์ด้วยความสบายใจ 


 


 


ครั้นจะเตรียมตัวเข้านอน ในหัวของเธอก็มีใบหน้าของอวี๋เยว่หานแวบเข้ามา 


 


 


เธอนึกขึ้นได้ว่าถ้าอวี๋เยว่หานไม่พูดเตือน เธอก็คงคิดเงื่อนไขการพรีเซ็นเตอร์ของซ่างซินไม่ออกจริงๆ เมื่อคิดคำนวนดูให้ดี ก็นับว่าเธอติดหนี้น้ำใจเขาครั้งหนึ่ง 


 


 


และเธอต้องคิดให้ดี ว่าจะใช้หนี้น้ำใจนี้อย่างไร… 


 


 


 


 


 


วันต่อมา 


 


 


อวี๋เยว่หานตื่นเช้ามาตลอด แค่ฟ้าสว่างเขาก็ตื่นนอนแล้ว 


 


 


หลังจากจัดการเอกสารด่วนจำนวนหนึ่งเสร็จสิ้น เขาถึงจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวลงมากินข้าวเช้าข้างล่าง 


 


 


แต่เพิ่งจะลงไปถึงชั้นล่าง เขาก็เห็นเหนียนเสี่ยวมู่กำลังวุ่นอยู่ในห้องอาหาร 


 


 


เธอใส่ผ้ากันเปื้อน ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ดูจากสีหน้าแล้วตั้งอกตั้งใจทีเดียว 


 


 


เมื่อสังเกตว่ามีคนเดินเข้ามาในห้องอาหาร เธอก็หันมามองทันที 


 


 


“คุณชายตื่นแล้ว หิวไหม ข้าวเช้าใกล้เสร็จแล้ว คุณรอฉันอีกหนึ่งนาทีนะ!” เหนียนเสี่ยวมู่ยิ้มสดใสมาก รอยยิ้มหวานๆ นั้นทำให้เครื่องหน้าที่สะสวยอยู่แล้วให้ยิ่งน่าหลงใหลเข้าไปอีก 


 


 


พูดจบเธอก็หมุนตัวพุ่งเข้าไปในครัว 


 


 


ไม่นานเธอก็ยกนมสดสามแก้วเดินออกมาจากข้างใน 


 


 


อวี๋เยว่หานตั้งใจมอง ถึงจะพบว่าบนโต๊ะหารมีอาหารเช้าอันอุดมสมบูณ์วางอยู่วามชุด 


 


 


กลิ่นหอมน่ารับประทาน ดูแล้วเรียกน้ำย่อยมากเลยทีเดียว 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วที่เพิ่งตื่นนอนยังสะลึมสะลืออยู่บ้าง แต่เมื่อได้กลิ่นหอมๆ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาเธอ 


 


 


“กินข้าวๆ!” 


 


 


“เจ้าแมวตะกละ!” เหนียนเสี่ยวมู่บีบจมูกของเด็กหญิง จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้น แล้ววางลงบนเก้าอี้เด็ก ก่อนจะยกอาหารเช้าชุดหนึ่งวางลงตรงหน้า 


 


 


เธอเห็นเสี่ยวลิ่วลิ่วกินอย่างเอร็ดอร่อย ถึงจะเงยหน้ามองอวี๋เยว่หานด้วยความกระตือรือร้น 


 


 


“คุณชาย คุณก็รีบมาชิมดูสิว่าอร่อยไหม” 


 


 


“…” 


 


 


อวี๋เยว่หานเงยหน้ามองเธอ แล้วหลุบตามองอาหารเช้าตรงหน้า ก่อนที่ให้หัวเขาจะมีภาพอาหารที่เกือบจะไหม้ เมื่อครั้งที่เธอทำอาหารให้ห้องพักผ่อนของบริษัท 


 


 


จากนั้นเขาก็มองอาหารอันโอชะตรงหน้า แววตาของเขาหยั่งลึกลง ก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งลง 


 


 


เขาหยิบอุปกรณ์กินข้าวขึ้นมา แล้วบรรจงตัดแฮมอย่างเชื่องช้า ทว่าไม่ยอมใส่เข้าไปในปากเสียที 


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ ผู้ใดร้อนรนอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ผู้นั้นมีเจตนาร้ายแอบแฝง” 


 


 


“…” 


 


 


“ซ่างซินรับงานพรีเซ็นเตอร์แล้วเหรอ” อวี๋เยว่หานชำเลืองมองเธอ แล้วเอ่ยปากเสียงเรียบ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่อึ้งไป แต่ก็ตอบอย่างว่าง่าย “ยังหรอก แต่เธอตกลงพบฉันเพื่อพูดคุยกันแล้ว” 


 


 


แล้วเธอก็พูดเอาใจทันที “นี่ก็เพราะได้คำแนะนำจากคุณไงคะ!” 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋เยว่หานก็เงยหน้ามองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ 


 


 


เขาแค่กล่าวเตือนเธอ ทำไมเธอคิดแผนทำให้ซ่างซินใจอ่อนได้เร็วขนาดนี้ล่ะ 


 


 


“คุณพูดกับเธอว่าอะไร” 


ตอนที่ 163 ค่อยๆ ตาย ค่อยๆ ตาย 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เบิกตาโพลง ในดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “คุณชาย ก่อนที่จะพูดคุยร่วมงานกันสำเร็จ นี่เป็นความลับของแผนกประชาสัมพันธ์ ให้คนนอกรู้ไม่ได้หรอก!” 


 


 


“…” 


 


 


“ถ้าคุณอยากรู้ล่ะก็ รอตอนที่ซ่างซินตกลง แล้วผู้จัดการเหวินไปรายงานให้คุณทราบแล้วกัน” 


 


 


“…” 


 


 


ผ่านไปไม่นานเธอก็ต้องระวังตัวแม้กระทั่งกับประธานบริษัทแล้ว! 


 


 


อวี๋เยว่หานมองเธออยากเยือกเย็น และไม่สนใจท่าทางปกปิดเป็นความลับของเธอมาใส่ใจ นัยน์ตาสีดำกวาดมองอาหารเช้าตรงหน้า แล้วใช้ส้อมจิ้มแฮมเข้ามาใส่ปาก 


 


 


เมื่อได้ชิมแล้ว เขาก็รู้ว่ารสชาติไม่เลวเลยจริงๆ! 


 


 


เทียบกับการลงครัวคราวก่อนของเธอ นี่ไม่เพียงเป็นการพัฒนาทีละขั้น แต่เรียกได้ว่าพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว 


 


 


อร่อยจนน่าสงสัย… 


 


 


“คุณทำอาหารเช้าวันนี้เหรอ” อวี๋เยว่หานหลุบตา ก่อนจะตัดออมเล็ตใส่ปาก 


 


 


สุกเจ็ดส่วน เป็นรสชาติที่เขาชอบมาก 


 


 


แถมยังมีรสชาติเค็มแบบพอเหมาะมากด้วย 


 


 


“…ก็ไม่ใช่ทั้งหมด” เหนียนเสี่ยวมู่เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ เธอนั่งลงตรงข้ามเขา แล้วดึงอาหารเช้าตรงหน้าตัวเองเข้ามาก้มหน้าก้มตากิน 


 


 


เธออยากเปลี่ยนประเด็นใจจะขาด 


 


 


“แฮมกับออมเล็ตนี่ไม่ใช่ฝีมือคุณแน่” อวี๋เยว่หานไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจหลังจากได้ยินคำพูดของเธอแม้สักนิด 


 


 


เมื่อตัดตัวเลือกอาหารจานหลักในถาดไปแล้ว เขาก็มองไปที่ขนมปังปิ้งในจานเล็กอีกจานหนึ่ง 


 


 


“นี่คุณปิ้งเองเหรอ” 


 


 


ปิ้งขนมปังไม่ใช่งานยาก แค่ปรับอุณหภูมิ ใส่ขนมปังแผ่น เธอน่าจะทำได้ 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินเขาพูดแล้วก็เม้มปาก ไม่กล้าตอบ 


 


 


อย่างนั้นก็ไม่ใช่แล้ว 


 


 


อวี๋เยว่หานขมวดคิ้วมุ่น เขากวาดสายตามองอาหารเช้าตรงหน้า ยังมีสลัดผักที่ดูแล้วหน้าตาดีใช้ได้อีกจานหนึ่ง 


 


 


เขาใช้สายตาสอบถามเธอ แล้วจานนี้ล่ะ? 


 


 


“ก็ไม่ใช่” เหนียนเสี่ยวมู่ตอบเสียงแผ่วเบา 


 


 


อวี๋เยว่หาน “…” 


 


 


เธอไม่ได้ทอดแฮมและออมเล็ต ขนมปังเธอก็ไม่ได้เป็นคนปิ้ง สลัดก็ไม่ได้เป็นคนทำ… 


 


 


“ฉันช่วยเช็ดโต๊ะ ยกอาหาร” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รู้สึกถึงสายตาเย็นชาของเขา จึงรู้สึกหนาวสันหลัง และรีบพูดเสริม 


 


 


นี่นับว่าเป็นคุณงามความดีไหมนะ 


 


 


เธอก็อยากลงครัวด้วยตัวเอง แต่เธอไม่มีพรสวรรค์เรื่องการทำอาหารเอาเสียเลย 


 


 


ถ้าเธอทำครัวของเขาไหม้อีก โบนัสของเธอก็คงหมวดเกลี้ยงไปด้วย 


 


 


เธอคำนึงถึงกระเพาะของเขา เขาจะซาบซึ้งบ้างไหม… 


 


 


“เสี่ยวลิ่วลิ่ว อร่อยไหม” เหนียนเสี่ยวมู่หันไปมองเจ้าก้อนข้าวเหนียวข้างๆ เป็นการของความช่วยเหลือ 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วกำลังพยายามใช้ช้อนเล็กๆ ตักออมเล็ตที่หั่นไว้เรียบร้อยขึ้นมา ปากเล็กๆ ของเธอกำลังเคี้ยว แต่ก็พยักหน้าตอบเหมือนลูกเจี๊ยบกับกำลังจิกเม็ดข้าว พร้อมกับตอบทั้งที่ยังมีอาหารเต็มปาก “อาหย่อย” 


 


 


ใบหน้าเล็กน่ารักพึงพอใจมาก 


 


 


“ระวังสำลักนะ” เหนียนเสี่ยวมู่พูดพลางส่งนมให้เธอ 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วรับแก้วมาดื่มอึกๆ จนหมด 


 


 


แถมยังเรอครั้งหนึ่งเดียว 


 


 


จากนั้นเด็กหญิงก็ยื่นหน้าเล็กๆ มองไปทางอวี๋เยว่หาน “ปาปา ตะไมไม่กินล่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


“ค่อยๆ ตาย ค่อยๆ ตาย” คำแขวะออกมาจากเจ้าหญิงน้อย 


 


 


มีใครบางคนหน้าดำคร่ำเครียดยิ่งกว่าเดิมแล้ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ก็คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงกะทันหันจนเธอเครียดขึ้นมาแบบนี้! 


 


 


เมื่อเห็นเสี่ยวลิ่วลิ่วกินอิ่ม เธอก็อุ้มเด็กหญิงขึ้น แล้วหมุนตัววิ่งออกไป “คุณชาย ถึงเวลาทำงานแล้ว ฉันพาเสี่ยวลิ่วลิ่วไปบริษัทก่อนนะ!”  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 164 เส้นตายของเธอ 


 


 


เมื่อถึงบริษัทตระกูลอวี๋ เหนียนเสี่ยวมู่ก็ไปฝากเสี่ยวลิ่วลิ่วไว้กับผู้ช่วยที่ห้องทำงานประธานบริษัทก่อน จากนั้นถึงจะกลับไปที่แผนกประชาสัมพันธ์ 


 


 


ซ่างซินตกลงกับเธอแล้ว ว่าเช้าวันนี้จะมาเจรจาเรื่องงานพรีเซ็นเตอร์กับเธอ 


 


 


เธอต้องไปจองห้องประชุมเก็บเสียงก่อน 


 


 


และต้อมพิมพ์สัญญาที่เมื่อวานแก้ไขไว้ออกมาด้วย… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่คิดแต่เรื่องนี้ และมุ่งตรงไปที่ประตูแผนกของตัวเอง 


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน วันนี้คุณจะขอออกไปข้างนอกหรือเปล่าคะ” เลขาเห็นเธอแล้วก็ถามขึ้นมาอย่างมีมารยาท 


 


 


สองสามวันมานี้เหนียนเสี่ยวมู่ออกไปข้างนอกตลอด ส่วนเรื่องที่อยากเจอซ่างซินเพื่อให้ได้เธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ยังไม่มีใครในแผนกประชาสัมพันธ์รู้เรื่อง 


 


 


เมื่อได้ยินเลขาถาม เพื่อนร่วมงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หลายคนก็หันหน้ามามองเหนียนเสี่ยวมู่ด้วย 


 


 


“ไม่ค่ะ วันนี้ฉันไม่ออกไปข้างนอก…” เหนียนเสี่ยวมู่ยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงโอเวอร์ดังมาจากข้างหลัง 


 


 


“โอ้ ไม่ออกไปแล้วเหรอ ซูเปอร์ไวเซอร์ คุณไม่น่าจะลั่นกลองถอยตั้งแต่ยังไม่ยอมรับความจริงเร็วขนาดนี้มั้ง?” ฟางหลานเข้ามาจากข้างนอก เธอแสกนบัตรเดินเข้ามาในแผนก และถามด้วยน้ำเสียงคลุมเครือตอนผ่านเหนียนเสี่ยวมู่ไป 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเธอ 


 


 


เธอเดินเลยอีกฝ่ายไป อยากกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง 


 


 


แต่พอเห็นเหนียนเสี่ยวมู่ไม่ตอบ ฟางหลานก็คิดว่าเธอปิดประตูไม่รับแขกหลายครั้งแล้ว ในที่สุดก็ยอมรับความจริง จึงพูดจาไม่เกรงใจขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ อย่าลืมสัญญาของพวกเราล่ะ ถ้าเธอเชิญซ่างซินมาไม่ได้ ก็พิสูจน์ว่าเธอไม่มีฝีมือและไม่มีสิทธิ์จะอยู่ที่แผนกประชาสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง!” 


 


 


“เสี่ยวหลาน นี่เพิ่งผ่านมากี่วันเอง เธอจะพูดเรื่องนี้ให้ได้อะไร” มีคนทนดูต่อไม่ได้ จึงยื่นมือมาดึงฟางหลาน เตือนให้เธอสำรวมหน่อย 


 


 


สัญญาหรือไม่สัญญาอะไร ฟางหลานก็ทำไปด้วยอารมณ์ทั้งนั้น เหนียนเสี่ยวมู่ไม่เคยรับปากอะไรเลยด้วยซ้ำ 


 


 


ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เหนียนเสี่ยวมู่ก็เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ของแผนกประชาสัมพันธ์ พนักงานอย่างเธอพูดตะคอกใส่ซูเปอร์ไวเซอร์ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง! 


 


 


“พูดแบบนี้แหละถูกต้องแล้ว ฉันรู้สึกว่าไม่มีใครเชิญซ่างซินมาได้ทั้งนั้น…อย่าว่าแต่ฉันเลย พวกเธอน่ะ ไม่มีใครคิดแบบฉันบ้างเลยหรือยังไง” มีคนพูดพึมพำเสียงเบา 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลายๆ คนก็เงียบไป 


 


 


สีหน้าของฟางหลานสดใสขึ้นมาทันควัน 


 


 


ในเมื่อเธอฉีกหน้าเหนียนเสี่ยวมู่แล้ว ก็ไม่ต้องหลีกเลี่ยงอะไร 


 


 


ถ้าถือโอกาสไล่เหนียนเสี่ยวมู่ออกไปตอนที่รอเซี่ยจิงจิงกลับมารับตำแหน่งเดิม เธอก็จะมีความงามความดีใหญ่หลวงเชียวล่ะ! 


 


 


“อย่าว่าแต่หนึ่งอาทิตย์เลย ต่อให้ให้เวลาเธอหนึ่งปี เธอไม่มีทางเชิญซ่างซินมาได้ พวกเธออาจจะไม่รู้ ว่ามีแฟนคลับซ่างซินบางคนบุกไปขอเจอที่งานอีเวนท์อยู่หลายครั้ง แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้เจอแม้กระทั่งผ็จัดการของซ่างซิน” 


 


 


“…” 


 


 


“ฉันว่านะ ทุกคนอย่าเสียเวลาฝากความหวังไว้ที่คนแบบนี้เลยดีกว่า ไปปรึกษากัน ว่าจะอธิบายกับผู้จัดการยังไง จะได้ไม่โดนลากไปเกี่ยวด้วย!” 


 


 


ตอนที่เดินผ่านไป ฟางหลานก้าวมาข้างหน้า และตั้งใจชนไหลของเหนียนเสี่ยวมู่อย่างแรง! 


 


 


ดวงตาของเหนียนเสี่ยวมู่ฉายแววดุดัน “เดี๋ยวก่อน!” 


 


 


“อะไรกันซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน เธอยืนขวางทางอยู่ตรงนี้เอง ฉันก็เลยชนเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ คุณคิดจะทำอะไรเหรอ” ฟางหลานตั้งใจพูดเสียงดัง ส่งผลให้เพื่อนร่วมงานรอบๆ หันมามองพวกเธอ 


 


 


ถ้าเหนียนเสี่ยวมู่ถามเรื่องที่เธอชนตัวเองเข้าจริงๆ ก็ยิ่งจะทำให้ทุกคนคิดว่าเหนียนเสี่ยวมู่ใจแคบ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองข้ามเจตนาของเธอไปแล้ว แต่มองไปรอบทิศ ก่อนจะพูดอย่างเชื่องช้า “ฉันจำได้ คุณเคยบอกว่าถ้าฉันเชิญซ่างซินมาได้ คุณจะโขกหัวขอโทษฉันต่อหน้าทุกคนใช่ไหม” 



ตอนที่ 165 โขกหัวขอโทษ 


 


 


“แล้วยังไง? ตอนนี้อย่าว่าแต่เชิญซ่างซินเลย แม้แต่หน้าซ่างซินก็ยังไม่ได้เห็น แล้วมีสิทธิ์อะไรมาให้ฉันขอโทษเธอ” ฟางหลานดอกอกถากถาง 


 


 


คนอื่นไม่รู้ว่าเธอไปสอบถามมาแล้ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ขอออกไปข้างนอกอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เพียงไม่ได้เจอซ่างซิน ยังได้ยินมาว่าทำให้ตัวเองบาดเจ็บด้วย 


 


 


จนตรอกจริงๆ 


 


 


ท่าทางในตอนนี้ของเธอ แค่ไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน ก็เลยฝืนต่อกรสินะ? 


 


 


รอให้ถึงกำหนดหนึ่งสัปดาห์ก่อนเถอะ ดูสิว่าเธอจะยังปากแข็งแบบนี้ได้อีกไหม! 


 


 


“ใครบอกว่าฉันไม่ได้เจอซ่างซิน” เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้ามองฟางหลาน ก่อนจะพูดเน้นย้ำที่ละคำ “วันนี้ซ่างซินจะมาคุยเรื่องพรีเซ็นเตอร์กับฉันด้วยตัวเอง ที่บริษัทตระกูลอวี๋ตอนสิบโมงเช้า” 


 


 


“เธอว่ายังไงนะ” ฟางหลานเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


ไม่เพียงแค่เธอ รอบข้างก็มีเสียงถอนหายใจออกมาระลอกหนึ่งเช่นกัน 


 


 


สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว 


 


 


ราวกับไม่กล้าเชื่อว่า ซ่างซินจะพิจารณาเรื่องพรีเซ็นเตอร์ และมาที่นี่ด้วยตัวเองจริงๆ… 


 


 


นี่คือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองข้ามสายตาประหลาดใจโดยรอบไป และเดินตรงไปจ้างหน้า ก่อนจะหลุบตาลงเล็กน้อย เพื่อมองใบหน้าตกตะลึงของฟางหลาน “เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง คุณลองฝึกดูก่อนก็ได้นะ ว่าจะโขกหัวขอโทษฉันยังไงดี” 


 


 


“…” ฟางหลานหดตาดำอย่างแรง! 


 


 


จากนั้นก็หน้าซีดเผือดในทันที 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กลับไม่มองเธออีก แต่หันหน้าไปบอกให้เลขาช่วยเธอจองห้องประชุมตั้งแต่สิบโมงเป็นต้นไป 


 


 


จากนั้นเธอก็หมุนตัวเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง และเปิดคอมพิวเตอร์เตรียมสัญญา 


 


 


ไม่มีใครในแผนกประชาสัมพันธ์คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกผันเช่นนี้ 


 


 


และไม่มีใครเห็นใจฟางหลานที่หาเรื่องใส่ตัวแบบนี้ กลับกังขาในคำพูดของเหนียนเสี่ยวมู่ขึ้นมาหลายส่วนเสียมากกว่า 


 


 


เพราะทุกคนรู้ดีถึงกิตติศัพท์เรื่องความเย็นใจและหยิ่งทะนงของซ่างซิน 


 


 


นักลงทุนหลายคนชอบนิสัยของเธอ อยากได้ตัวเธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย 


 


 


เธอจะตอบตกลงเหนียนเสี่ยวมู่ได้อย่างไรกัน… 


 


 


ยังไม่ถึงเวลาสิบโมง แต่แผนกประชาสัมพันธ์ต่างก็รอคอยการปรากฏตัวของซ่างซินด้วยความเคร่งเครียด! 


 


 


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า 


 


 


เก้าโมงห้าสิบนาที 


 


 


ห้องประชุมที่ว่างเปล่าจัดวางดอกไม้สดและผลไม้ไว้เรียบร้อยแล้ว 


 


 


เก้าโมงห้าสิบห้านาที 


 


 


เพื่อนร่วมงานทุกคนในแผนกประชาสัมพันธ์ที่มีงานอยู่ข้างนอกต่างก็รีบกลับมา 


 


 


มีแต่คนอยากเห็นตัวจริงของซ่างซินสักครั้ง 


 


 


ถึงอย่างไรซ่างซินก็เป็นคนดัง นอกจากถ่ายภาพเพื่อการทำงาน ก็แทบจะไม่มีใครหาภาพส่วนตัวของเธอเจอแล้ว ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าความจริงแล้วเธอมีลักษณะท่าทางอย่างไร 


 


 


ในแผนกมีแฟนคลับของเธออยู่ไม่น้อย เตรียมพร้อมแม้กระทั่งกล้องถ่ายรูปและสมุดลายเซ็น 


 


 


“สิบโมงแล้ว ทำไมซ่างซินยังไม่มาอีก” มีคนเอาแต่จ้องนาฬิกา พอถึงเวลาสิบโมงก็ถามขึ้นมาด้วยความผิดหวัง 


 


 


“อาจจะรถติดก็ได้ เธออย่าเพิ่งร้อนใจ รออีกหน่อย” 


 


 


แต่รอกันแบบนี้ไปสิบนาทีแล้ว ซ่างซินก็ยังไม่ปรากฏตัว 


 


 


ฟางหลานที่เกือบจะสิ้นหวังไปแล้วกลับมาโมโหทันที เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ “คงไม่มีใครพูดโกหก เพื่อล้อเล่นกับทุกคนหรอกมั้ง?” 


 


 


ครั้นเธอพูดจบ ทุกคนก็มองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่กันหมด! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เพิ่งจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา อยากจะโทรศัพท์ไปสอบถาม ฟางหลานก็แย่งไปเสียแล้ว 


 


 


เธอขมวดคิ้ว “คุณจะทำอะไร” 


 


 


“คำถามนี้ฉันต้องถามเธอสิถึงจะถูก! เหนียนเสี่ยวมู่ เธอกล้ามากนะ กล้าพูดโกหกหลอกเพื่อนร่วมงานเยอะแยะขนาดนี้เชียวเหรอ” ฟางหลานจับมือเธอไว้ ก่อนจะยิ้มเยาะอย่างลำพองใจ “แถมยังบอกให้ฉันคุกเข่าขอโทษเธออีก ตอนนี้คนที่ควรคุกเข่าขอโทษทุกคนน่าจะเป็นเธอมากกว่ามั้ง?” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 166 เธอขู่ฉันเหรอ 


 


 


“คืนมือถือให้ฉัน” เหนียนเสี่ยวมู่มีสีหน้าคร่ำเคร่ง 


 


 


แม้เธอจะไม่เคยเจอซ่างซิน แต่เธอเชื่อว่าซ่างซินจะไม่ผิดนัดโยที่ไม่มีเหตุผล 


 


 


น่าจะแค่เกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรบางอย่าง… 


 


 


“ตอนนี้รู้จักร้อนใจแล้วเหรอ ตอนที่พูดโกหกทุกคนเมื่อกี้นี้ ทำไมไม่คิดถึงผลลัพธ์บ้างล่ะ” ฟางหลานหันไปมองเพื่อนร่วมงานรอบๆ และจงใจพูดเสียงดังขึ้น 


 


 


ความรู้สึกของใครหลายๆ คนถูกเธอทำให้ปั่นป่วน ส่งผลให้สายตาที่มองมายังเหนียนเสี่ยวมู่เกิดความไม่พอใจขึ้นบ้าง 


 


 


เชิญซ่างซินมาไม่ได้ พวกเขาเข้าใจได้อยู่แล้ว 


 


 


แต่ถ้ายังฝืนโกหกคนอื่นเพราะเชิญมาไม่ได้ ก็คงจะเกินไปหน่อยแล้ว! 


 


 


แถมพวกเขายังตระเตรียมบางอย่างไว้ชั่วคราว เพราะได้ยินว่าซ่างซินจะมา 


 


 


การตกแต่งในห้องประชุม ล้วนเป็นการจัดตามแผนรับรองแขกผู้มีเกียรติ 


 


 


พวกเขากังวลว่าซ่างซินปรากฎตัวแล้วจะเกิดความวุ่นวาย จึงเชิญเพื่อนร่วมงานมาเป็นบอดีการ์ดแผนกเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย… 


 


 


แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว! 


 


 


“ฉันไม่ได้โกหก!” เหนียนเสี่ยวมู่มองฟางหลานที่กำลังปลุกปั่นไม่ยอมหยุด เธอไม่มีอารมณ์จะแก้ตัวแล้ว จึงเดินไปข้างหน้า แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับมา 


 


 


แม้เธอจะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของซ่างซิน แต่ก็มีเบอร์โทรศัพท์ผู้จัดการของซ่างซิน 


 


 


ในเมื่อซ่างซินยอมมาพูดคุยเรื่องงานร่วมงานกับเธอด้วยตัวเอง ผู้จัดการก็น่าจะรับโทรศัพท์ 


 


 


ขอแค่เธอถาม ก็จะได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


“ในเมื่อไม่ได้โกหก งั้นเธอก็อธิบายให้ทุกคนฟังหน่อยสิ ว่าทำไมเลยเวลาสิบโมงไปแล้วซ่างซินถึงยังไม่ปรากฏตัว ป่านนี้แล้วเธอยังคิดจะล้อเล่นกับทุกคนอีกเหรอ” ฟางหลานคว้าโทรศัพท์มือถือไว้ไม่ยอมปล่อย แน่ใจเป็นแม่นมั่นว่าเหนียนเสี่ยวมู่แค่อยากหาข้ออ้าง 


 


 


“อยากให้ฉันคืนมือถือให้เธอก็ได้ แต่เธอต้องโขกหัวของโทษทุกคนก่อน!” 


 


 


“…” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่จ้องฟางหลาน สุดท้ายความอดทนเส้นสุดท้ายก็ขาดสะบั้น ทำให้เธอก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง 


 


 


ดวงตาสดใสส่องประกายเฉียบคมออกมา 


 


 


บรรยากาศกดดัน เปลี่ยนเธอราวกับเป็นคนละคนในทันที จากนั้นก็พูดอย่างชัดเจนทีละคำ “ฉันจะพูดอีกเป็นครั้งสุดท้าย คืนมือถือมาให้ฉัน!” 


 


 


“…” 


 


 


ฟางหลานถูกเหนียนเสี่ยวมู่จ้องมองจนหวาดหวั่น เกือบจะส่งโทรศัพท์มือถือคืนกลับไปอย่างว่าง่าย แต่พริบตาที่ยื่นมือออกไป เธอดึงสติกลับมา 


 


 


เธอสั่นศีรษะอย่างแรง และมองเหนียนเสี่ยวมู่อีกครั้ง 


 


 


“เธอ เธอขู่ฉันเหรอ เหนียนเสี่ยวมู่ ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด เธอคิดจะทำอะไรฉัน…โอ๊ย!” 


 


 


ฟางหลานยังพูดไม่ทันจบ เหนียนเสี่ยวมู่ก็ยื่นมือไปคว้าข้อมือเธอเอาไว้ แถมยังมองข้ามเสียงร้องเหมือนหมูถูกเชือดของเธออีกต่างหาก จากนั้นก็ตรงเข้ามาแย่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาจากมือของเธอ 


 


 


หลังจากนั้นฟางหลานก็ทรุดลงกับพื้น แล้วสะบัดมือ 


 


 


เธอนวดข้อมือที่เริ่มปวดขึ้นมา ครั้นคิดจะฟ้อง เหนียนเสี่ยวมู่ก็เงยหน้าเพื่อนร่วมงานรอบๆ แล้ว 


 


 


“ซ่างซินรับปากว่าจะมาวันนี้จริงๆ เรื่องนี้ยืนยันด้วยอีเมลของฉันได้ ฉันไม่ได้พูดโกหก” 


 


 


“เธอโกหก! ถ้าซ่างซินรับปากเธอแล้ว ทำไมถึงยังไม่มาล่ะ” ฟางหลานตะเกียกตะกายขึ้นขากพื้น พลางกัดฟันคำรามเสียงต่ำ 


 


 


พอคิดว่าเหนียนเสี่ยวมู่กล้าลงมือกับเธอต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ เธอก็อย่างจะพุ่งเข้าไปฉีกทึ้งอีกฝ่ายใจจะขาด! 


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณมาขวางฉันไว้ ฉันก็โทรไปถามให้แน่ใจได้ตั้งนานแล้ว” เหนียนเสี่ยวมู่ชำเลืองมองเธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะใช้โทรศัพท์มือถือต่อสายไปหาผู้จัดการของซ่างซิน 


 


 


ในสายมีเสียงดังอยู่สองครั้ง ก่อนจะถูกตัดสายไป 


 


 


เมื่อเห็นดังนั้น ฟางหลานก็ยิ้มขึ้นมาทันที “ทุกคนเห็นแล้วใช้ไหม ผู้จัดการของซ่างซินไม่รับสายของเธอด้วยซ้ำ เหนียนเสี่ยวมู่ เธอยังไม่ยอมรับอีกเหรอว่ากำลังโกหก…” 


 


 


แต่ฟ่งหลานยังพูดไม่จบ ก็เห็นเลขาแผนกต้อนรับแขกรีบร้อนวิ่งเข้ามาหาพวกเธอ 


 


 


“ซะ ซ่างซินมาแล้ว!” 



ตอนที่ 167 ความรู้สึกคุ้นเคยที่น่าประหลาด


 


 


“คุณพูดว่าอะไร? ใครมาแล้ว?” เหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็มีเพื่อนร่วมงานรอบข้างถามด้วยความตกใจแล้ว


 


 


“ซ่างซินกับทีมของเธอค่ะ เพิ่งมาถึงโถงบริษัทเราเมื่อกี้นี้เลย กำลังจะขึ้นมาแล้วค่ะ ฉันโทรมาที่แผนกประชาสัมพันธ์แล้วไม่มีคนรับ ก็เลยต้องมาบอก…” เลขาหอบพลางอธิบาย ก่อนจะยื่นมือชี้ไปทางลิฟต์


 


 


“ติ๊ง!” ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี


 


 


เงาร่างสะสวยเดินออกมาจากข้างในแล้ว


 


 


รูปร่างสูงเพรียว เรียกได้ว่างดงามละเอียดอ่อน


 


 


คิ้วดกดำ เครื่องหน้าเหมือนถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต ปากสีแดงระเรื่อง


 


 


เธอแต่งกายเรียบง่าย และไม่ได้แต่งหน้ามากจนเกินไป เพียงแค่ใส่เสื้อยืดสีขาวธรรมดา เข้าคู่กับกางเกงยีนขาดๆ หนึ่งตัว ดูทันสมัยมาก


 


 


ซ่างซินมาแล้วจริงๆ!


 


 


มีคนเดินตามเธอออกมาจากในลิฟต์อีกสองสามคน ให้ความรู้สึกของการทำธุรกิจอย่างยิ่ง ดูก็รู้ว่าเป็นคนในทีมของซ่างซิน คอยปกป้องอยู่ข้างกายเธอด้วยความระมักระวังตลอด และคอยปกปิดส่วนที่โป๊โดยไม่จำเป็นด้วย


 


 


ทุกคนในแผนกประชาสัมพันธ์ต่างก็อยู่ในความตกตะลึง


 


 


“ขอโทษจริงๆ ค่ะ เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางเล็กน้อย ฉันเลยมาสายค่ะ”


 


 


“…มะ ไม่เป็นไรค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่มองคนตรงหน้า ออกจะเหม่อลอยเล็กน้อย


 


 


เธอคิดไปแล้วว่าวันนี้ซ่างซินจะไม่มาจริงๆ หรือเปล่า


 


 


แต่เพียงกะพริบตา ซ่างซินก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว แถมยังขอโทษเธอด้วยความจริงใจอีกต่างหาก


 


 


“งั้นพวกเราเริ่มคุยเรื่องพรีเซ็นเตอร์กันเลยไหมคะ” ซ่างซินเงยหน้ามองตรงหน้า เธอกวาดสายตามองคนอื่นๆ ในแผนก และจบลงด้วยการกลับมามองเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


“พวกเราเตรียมห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว เชิญข้างในค่ะ!” เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา และรีบร้อนพยักเพยิดให้เลขานำทางไป


 


 


จากนั้นเธอก็เดินตามไป


 


 


หลังจากเข้าไปในห้องประชุมแล้ว ในที่สุดเหนียนเสี่ยวมู่ก็สงบสติได้ และเงยหน้าพิจารณาคนตรงหน้าอย่างจริงจัง


 


 


ซ่างซินไม่เหมือนที่เธอคิดไว้สักนิด


 


 


ซ่างซินในข่าวลือเท่และมีเอกลักษณ์มาก เป็นผู้หญิงโดดเด่นที่เพิ่งเดินแบบก็ไม่กลัวฟ้าดิน ทำให้ในหัวของเธอเต็มไปด้วยภาพลักษณ์หญิงสาวคาบบุหรี่ แต่งหน้าจัด และเย็นชาห่างเหินอย่างยิ่ง


 


 


แต่คนตรงหน้ามีเครื่องหน้าสะสวยสะอาดสะอ้าน สายตายฉายแววความอบอุ่น ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่างาม


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงได้รู้สึกคุ้นอยู่บ้าง…


 


 


“พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ถามออกไปตามสัญชาตญาณ


 


 


ครั้นพูดจบ เธอถึงจะรู้สึกว่าตัวเองถามตรงเกินไป เหมือนผู้ชายตามจีบผู้หญิงตามท้องถนน แต่กำลังจะอธิบาย เธอก็เห็นซ่างซินหัวเราะขึ้นมาแล้ว


 


 


เธออึ้งไปเล็กน้อย


 


 


หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเธอเคยเจอกันจริงๆ?


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นซ่างซินหยิบหมวกแก๊ปใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเป้ของตัวเองมาใส่ไว้


 


 


วินาทีต่อมา เหนียนเสี่ยวมู่ก็ต้องเบิกตาโพลง


 


 


“คุณนี่เอง!”


 


 


หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปที่เคยเจอกันในงานอีเวนท์ถึงสองครั้ง!


 


 


ครั้งแรกเธอถูกชนจนล้ม หญิงสาวใส่หมวกแก๊ปเป็นคนประคองเธอไว้


 


 


แต่ตอนนั้นหญิงสาวใส่หน้ากาก แถมยังปะปนอยู่ในกลุ่มแฟนคลับ ทำให้เหนียนเสี่ยวมู่คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนี้คือซ่างซิน


 


 


พูดอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเธอเจอซ่างซินที่สวนสนุกแล้ว เพียงแต่มองหญิงสาวจากไปต่อหน้าต่อตา…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่จับจ้องคนตรงหน้า แต่ไม่นานก็ดึงสติกลับมา


 


 


“ขอโทษนะคะ สองครั้งก่อนฉันไม่ได้บอกกับคุณตรงๆ ความจริงฉันกำลังรอใครคนหนึ่งอยู่…” ซ่างซินกล่าว สายตาของเธอพลันเยียบเย็นขึ้นมา ราวกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง


 


 


 


 


ตอนที่ 168 กลัวว่าเขาจะลืมฉัน


 


 


“ประธานถังเหรอคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ฟังเธอแล้วก็ถามตามสัญชาตญาณ


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของซ่างซินก็ปรากฏความประหลาดใจเล็กร้อย ราวกับคิดไม่ถึงว่าเหนียนเสี่ยวมู่จะตรงไปตรงมาอย่างนี้ จากนั้นเธอก็หันหน้าไปมองคนข้างๆ


 


 


ผู้จัดการของเธอโบกมือบอกให้คนในทีมออกไปทั้งหมดทันที


 


 


ทำให้ในห้องประชุมเหลือเพียงพวกเธอสองคน


 


 


ซ่างซินยื่นมือไปถอดหมวกแก๊ปออก เม้มปาก และพูดอย่างเชื่องช้า “ฉันรู้จักกับพี่เสี่ยวซือมาหลายปีแล้ว ตอนนี้เขายังอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า…”


 


 


กลิ่นอายบนตัวของซ่างซินเปลี่ยนไป ราวกับกำลังจมอยู่ในความทรงจำ


 


 


ตอนที่เธอรู้จักกับถังหยวนซือ เขายังเป็นเด็กกำพร้าในบ้านเด็กกำพร้าถงเล่อ


 


 


เขาเป็นเด็กแท้ๆ แต่กลับเย็นชาและมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ ทำตัวเฉยชากับทุกคน ชอบมองหน้าต่างอยู่ในห้องสมุดเล็กๆ ของบ้านเด็กกำพร้าอยู่เงียบๆ


 


 


แต่เขาอ่อนโยนกับเธอเพียงคนเดียว


 


 


ต่อมาคุณลุงที่เธอรักที่สุดก็รับเลี้ยงเขา กลายมาเป็นพี่ชายของเธอจริงๆ


 


 


ตอนนั้นเธอชอบวิ่งไล่หลังเขาที่สุด พลางเรียกเขาว่า ‘พี่เสี่ยวซือ’ แล้วรอเขาหันกลับมามองเธอด้วยสายตาเอ็นดู


 


 


หรือบางครั้งก็เล่นซ่อนแอบ รอเขาหาตัวเธอจนเจอ แล้วก็กระโจนขึ้นมา จ้องมองใบหน้าตกใจของเขา..


 


 


 ความสนุกในวัยเด็ก ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นที่มีแต่ความไร้เดียงสา


 


 


จนกระทั่งคนของตระกูลถังปรากฏตัว ทุกอย่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป…


 


 


“ฉันไม่กลัวคุณหัวเราะเยาะหรอกค่ะ แต่ฉันเป็นนางแบบได้ ก็เพราะว่าเขา” มุมปากของซ่างซินปรากฎรอยยิ้มขมขื่น สายตาที่มองเหนียนเสี่ยวมู่เงียบเหงาอยู่บ้าง


 


 


“หลังจากตระกูลถังรับเขาไป พวกเราก็ติดต่อกันน้อยมาก ตอนนี้ฉันแอบออกจากบ้านเพื่อไปเจอเขาอยู่บ่อยๆ แต่ถึงฉันไปถึงตระกูลถังแล้ว ก็ไม่ได้เจอเขาอยู่ดี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันบังเอิญเห็นประกาศประกวดนางแบบ ตอนนั้นฉันก็แค่คิดง่ายๆ ว่าถ้าฉันได้ออกทีวี เขาก็จะได้เห็นฉันบ่อยๆ แล้วก็จะไม่ลืมฉัน…”


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่คิดไม่ถึงเลยว่าอดีตอันเป็นความลับของซ่างซินจะมีเรื่องราวอย่างนี้


 


 


หลังจากอึ้งงันไปหลายวินาที เธอก็จับมือของเธอด้วยความเป็นห่วง


 


 


“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ฉันชินแล้วล่ะค่ะ” ซ่างซินส่ายหน้า กลับมามีท่าทางสดใสเหมือนเมื่อครู่อีกครั้ง


 


 


เธอหยิบหมวกแก๊ปของตัวเองขึ้นมาแกว่งไกวตรงหน้าเหนียนเสี่ยวมู่ “คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันต้องใส่หมวกนี้ตอนปลอมตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มแฟนคลับทุกครั้ง”


 


 


“เขาให้คุณมาเหรอคะ” เหนียนเสี่ยวมู่เลิกคิ้ว


 


 


“อื้ม” ซ่างซินพยักหน้าอย่างแรง รอยยิ้มของเธอเปล่งประกายยิ่งขึ้น “เขาไม่อยากให้ฉันเข้าวงการบันเทิง เพราะคิดว่าวงการนี้วุ่นวายเกินไป ดังนั้นทุกครั้งที่ได้ยินว่าฉันมีงานอีเวนท์ เขาก็จะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จากนั้นก็มาดูฉันตอนที่ฉันออกงานอีเวนท์ เพราะว่าไม่สบายใจ”


 


 


ขณะที่ซ่างซินพูดอยู่ รอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆ หายไป เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้


 


 


“แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มางานอีเวนท์ของฉันแล้ว”


 


 


“…”


 


 


“ฉันจงใจใส่หมวกแก๊ปใบนี้ เพราะกังวลว่าถ้าเขาปรากฏตัว เขาจะจำฉันไม่ได้ แต่ฉันลืมไปว่าถ้าเขาไม่มา ฉันใส่อะไรก็ไม่มีประโยชน์ คุณว่าฉันโง่หรือเปล่า” ซ่างซินพูด สายตาสับสนขึ้นมา


 


 


บางครั้งการยืนหยัดทำอะไรนานๆ ก็กลายเป็นความเคยชินได้


 


 


แต่ถึงแม้จะชินแล้ว ก็ยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ดี


 


 


และอยากจะยอมแพ้…


 


 


“ในเมื่อคุณอยากเจอเขา ทำไมไม่ไปหาเขาล่ะคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ถามด้วยความไม่เข้าใจ


 


 


เธอตรวจสอบข้อมูลของถังหยวนซือแล้ว เขายังไม่แต่งงาน ไม่มีแฟนด้วยซ้ำไป


 


 


ซ่างซินคิดจะจีบเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม