ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 145-152

 ตอนที่ 145 เข้าข้างภรรยาแน่นอนอยู่แล้ว


 


 


อวี๋กานกานโมโหจนแทบอยากจะกระทืบเท้าเร่าๆ พูดอำเธอไม่พอ ทำไมถึงต้องอำแม้แต่ลู่เสวี่ยเฉินด้วย อีกทั้งลู่เสวี่ยเฉินยังเชื่ออีก นี่มันอุดหูขโมยกระดิ่งชัดๆ[1] เธอมองหน้าลู่เสวี่ยเฉินกล่าวอย่างจริงจัง “ฉันกับเขาไม่สนิทกันจริงๆ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้น “โอเคๆ คุณไม่สนิทกับเขาเนาะ”


 


 


ท่าทางของลู่เสวี่ยเฉินสุดแสนจะประชดประชัน มองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อ เธอพูดต่อ “เขาไม่ใช่สามีของฉัน”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินพยักหน้า “ใช่ๆ คุณเป็นภรรยาของเขา”


 


 


อวี๋กานกานเอือมระอา เบ้ปาก “ที่ฉันพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินยิ้มอย่างเสแสร้ง ทำหน้ามุ่ย “พอๆ พวกคุณสองคนช่วยหยุดสวีทหวานต่อหน้าผมสักที เหม็นกลิ่นความรัก”


 


 


อวี๋กานกานอ้าปากค้างดวงตาเบิกโต “…”


 


 


เธอกำลังพูดแยกแยะให้ชัดเจนอยู่แท้ๆ ทำไมถึงกลายมาเป็นสวีทหวานได้ อวี๋กานกานเอือมระอาสุดๆ บ่นพึมพำ “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาสนใจนาย”


 


 


เธอกำลังจะก้าวขาแต่กลับถูกฟังจือหันคว้าแขนไว้ “ไปไหน?”


 


 


“แน่นอนว่าทำเรื่องที่ควรทำ พลิกวิกฤตไงล่ะ” อวี๋กานกานหมุนกายมามองฟังจือหัน นัยน์ตาฉายแววความเจ้าเล่ห์ “เอ่อ…นายจะช่วยฉันไหม”


 


 


ดวงตาเรียวยาวทรงเสน่ห์ของฟังจือหันแฝงไว้ด้วยความหยอกเย้า “คุณอยากให้ผมช่วย”


 


 


“ใช่”


 


 


“ดีเลย”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินส่งเสียงจุ๊ปากสองครั้ง มองอวี๋กานกานแล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “ผม!…ครั้งก่อนผมขอให้ฟังจือหันช่วย แต่เขาตั้งเงื่อนไขกับผมสิบข้อ น้องกานกาน เขาไม่ตั้งเงื่อนไขสักข้อกับคุณก็ตอบตกลงทันที คุณยังกล้าพูดอยู่อีกเหรอว่าพวกคุณไม่สนิทกัน” จากนั้นเขาก็หันไปแค่นเสียงขึ้นจมูกใส่ฟังจือหัน“เหอะ ลำเอียง”


 


 


แววตาของอวี๋กานกานปรากฏความประหลาดใจ “ขอช่วยเรื่องเดียวแลกกับสิบข้อ จริงหรือพูดอำเนี่ย”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินพูดด้วยความโมโห “จริงแท้แน่นอน”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะออกมา เธอไม่เชื่อ รู้สึกว่าลู่เสวี่ยเฉินพูดโอเวอร์เกินจริง เธอลุกขึ้นยืน “ในเมื่อจะช่วยฉัน งั้นก็รีบไปกันเถอะ”


 


 


“ไปไหน?”


 


 


“ตรวจสอบ”


 


 



 


 


หลังจากนั้นสามสิบนาที ลู่เสวี่ยเฉินขับรถมาถึงใต้อาคารที่อยู่อาศัยหลังหนึ่ง เขาหันไปมองอวี๋กานกานและฟังจือหันที่นั่งอยู่ด้านหลังอย่างไม่เข้าใจ “ที่นี่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่”


 


 


อวี๋กานกานโน้มตัวเกาะอยู่บนกระจก ท่าทางระแวดระวัง “บอกไปแล้วไง มาตรวจสอบ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ตรวจสอบอะไรล่ะ” เขาหันไปมองฟังจือหันอย่างไม่เข้าใจ แววตาของฟังจือหันเองก็มองอวี๋กานกานด้วยความงุนงงเช่นกัน


 


 


อวี๋กานกานกล่าว “นี่เป็นบ้านของผู้ตายคนนั้น ถึงแม้เรื่องจะเข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่ฉันรู้สึกว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ฉันต้องตรวจสอบด้วยตัวเองอีกรอบ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองอวี๋กานกานด้วยสีหน้างงงวย “แล้วคุณจะให้ฟังจือหันช่วยอะไร”


 


 


“ขับรถพาฉันมา ช่วยฉันสืบ คุ้มกันฉันประมาณนี้”


 


 


ทันทีที่ได้ยินคำตอบของอวี๋กานกาน ลู่เสวี่ยเฉินก็หลุดขำก๊ากออกมาชนิดที่เรียกได้ว่าชักดิ้นชักงอ


 


 


อวี๋กานกานขมวดคิ้วมองลู่เสวี่ยเฉิน สีหน้าสับสนงุนงง “นายขำอะไรไม่ทราบ” เมื่อครู่มีคนเดินผ่านไป อวี๋กานกานสะดุ้งเล็กน้อยจ้องลู่เสวี่ยเฉิน “นายหยุดหัวเราะสักที มีคนเห็นเราแล้ว…”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินไม่เพียงแต่ไม่หยุดหัวเราะ มิหนำซ้ำยังหัวเราะหนักกว่าเก่าจนน้ำตาแทบจะเล็ดออกมาอยู่แล้ว เขาฟุบลงไปกับพวงมาลัยรถยนต์ หัวเราะอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้


 


 


คิ้วของอวี๋กานกานมุ่นเข้าหากัน มองฟังจือหัน “ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”


 


 


หน้าตาหล่อเหลาของเขาแสดงออกว่าเข้าข้างเธอ “ไม่นิ”


 


 


อวี๋กานกานงุนงง “แล้วเขาขำอะไร”


 


 


ฟังจือหันตอบ “เขาป่วย กลับไปคุณจัดยาให้เขาสักสองสามชุด”


 


 


อวี๋กานกาน “…อ่า”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉิน “…”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] อุดหูขโมยระฆัง มาจากนิทานอีสปจีน เรื่องมีอยู่ว่ามีโจรคนหนึ่งต้องการขโมยระฆังขนาดใหญ่ ซึ่งเขาไม่สามารถแบกได้ไหว เขาจึงตัดสินใจตีระฆังให้แตกก่อนแล้วค่อยขนเศษระฆังไปขาย แต่เมื่อเขาตีระฆังเข้าไปหนึ่งทีเสียงระฆังก็ดังก้องกังวานขึ้น เขาจึงแก้ไขโดยการเอาเศษผ้ามาอุดหูโดยที่นึกว่าเมื่อตัวเองไม่ได้ยินเสียงผู้อื่นก็ย่อมไม่ได้ยินด้วย อุปหมายถึง การหลอกตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่ากลบเกลื่อนไม่อยู่แต่ก็ยังดันทุรังทำ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 146 คลินิกยังไงก็ต้องเป็นของฉัน!


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดของอวี๋หมิงถางจากอินเทอร์เน็ต ตอนที่ผู้ช่วยโหย่วเดินทางไปหาอวี๋กานกาน เธอเตรียมแชมเปญไว้รอดื่มเฉลิมฉลองเรียบร้อยแล้ว เพราะขอแค่เป็นคนฉลาดย่อมรู้อยู่แล้วว่าหนทางในภายภาคหน้าควรเลือกเดินไปทางไหน อวี๋กานกานเป็นคนฉลาดหลักแหลม อย่างไรก็ไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอของผู้ช่วยโหย่ว


 


 


ยังไม่ทันได้รับข่าวคราวจากผู้ช่วยโหย่ว หลินจยาอวี่กลับมาถึงก่อนซะแล้ว เฉียวพั่นเอ๋อร์ออกมาต้อนรับ ยิ้มแล้วจูงมือหลินจยาอวี่พร้อมทั้งพูดอย่างเป็นกันเอง “จยาอวี่ มาได้ไงเนี่ย มาหาฉันดื่มชายามบ่ายเหรอ ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าเคลียร์งานสองวันนี้เสร็จแล้วจะไปหาเธอ”


 


 


หลินจยาอวี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง นั่งลงปุ๊บก็ยิงคำถามออกมาตรงๆ “ต้องทำยังไงเธอถึงจะยอมล้มเลิกแผนการซื้อคลินิก”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มแล้วถาม “อวี๋กานกานขอให้เธอมาช่วยพูดเหรอ”


 


 


หลินจยาอวี่ส่ายหน้า “ไม่ใช่”


 


 


เห็นได้ชัดว่าเฉียวพั่นเอ๋อร์ไม่เชื่อในคำตอบนี้ รู้สึกว่าหลินจยาอวี่ถูกอวี๋กานกานเป่าหู เธอคลี่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าว “ฉันไม่ได้จะว่าอะไรเธอนะจยาอวี่ เพื่อนคนนี้ที่เธอคบเขาเป็นคนประเภทไหนกันแน่ ฉันบอกกับเขาไปชัดเจนแล้วนะว่าฉันเห็นแก่เธอ เรื่องราคาขายฉันยินดีให้ราคาที่เขาพอใจ ทำไมเขาถึงยังลากเธอให้มาเกี่ยวด้วยอีก”


 


 


“อวี๋กานกานไม่ขายคลินิก”


 


 


“แต่ฉันจะเอา”


 


 


“ทำไมถึงต้องเป็นอวี้หมิงถางเท่านั้น”


 


 


“เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันจะพูดกับเธอตรงๆ ก็แล้วกัน ตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์บ้านพักคนชราเมืองไป๋หยางคืออวี้หมิงถาง สองปีมานี้โรงพยาบาลของฉันถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ตระกูลเฉียวภายนอกดูดียิ่งใหญ่ แต่สภาพความเป็นจริงไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่เห็น ทางด้านการเงินก็ประสบปัญหา ตระกูลของฉันทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างลงไปที่โครงการนี้ เพราะฉะนั้นฉันต้องเอาคลินิกนี้มาให้ได้ก่อนถึงจะสามารถเจรจาขอโครงการศูนย์บ้านพักคนชราได้” หากกับคนอื่นเธอย่อมไม่เล่าให้ฟังอยู่แล้ว แต่มารดาของหลินจยาอวี่เป็นถึงผู้มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับสองของเมืองไป๋หยาง ต่อให้เธอไม่เล่า หลินจยาอวี่กลับไปถามก็รู้ถึงสาเหตุอยู่ดี ฉะนั้นไม่สู้บอกต่อหน้าหลินจยาอวี่แสดงความจริงใจไม่ดีกว่าหรอกเหรอ


 


 


หลินจยาอวี่ค่อนข้างตกใจ เธอเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะกล่าว “ฉันเคยรับปากอวี๋กานกานว่าจะไม่ยอมให้คลินิกของเขาเกิดปัญหา นี่ถือเป็นค่ารักษาที่ฉันจ่ายให้เขา ดังนั้นฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือเขา”


 


 


หัวคิ้วของเฉียวพั่นเอ๋อร์มุ่นเข้าหากัน “จยาอวี่ นี่เธอหมายความว่าอะไร” ในน้ำเสียงมีความเย็นชาเพิ่มเข้ามา “ตอนนี้ชื่อเสียงของอวี๋กานกานและคลินิกฉาวโฉ่ ยับเยินป่นปี้ ถ้าเธอหวังดีกับเขาจริงๆ ละก็ ไม่สู้เธอไปเกลี้ยกล่อมให้เขายอมขายไม่ดีกว่าเหรอ ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝัง”


 


 


หลินจยาอวี่ไม่พูดอะไรต่ออีก นั่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ลุกออกไป หลังจากที่เธอปิดประตูแล้ว เฉียวพั่นเอ๋อร์หน้าบูดหน้าบึ้ง ระหว่างเธอกับอวี๋กานกาน เธอไม่เชื่อว่าหลินจยาอวี่จะเลือกอวี๋กานกาน เพราะเธอและหลินจยาอวี่ต่างหากที่เป็นคนในแวดวงเดียวกัน อีกทั้งโครงการนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับเมืองไป๋หยาง หากสำเร็จลุล่วง หลินฮูหยินมารดาของหลินจยาอวี่ก็ย่อมได้รับผลประโยชน์เช่นกัน


 


 


สำหรับอวี๋กานกานอะไรนั้น…ก็แค่แพทย์แผนจีนคนหนึ่งเท่านั้น ที่รักษาโรคของหลินจยาอวี่ได้ไม่ใช่เพราะเงินหรอกเหรอ เธอไม่เชื่อว่าหลินจยาอวี่จะไม่เข้าใจในเหตุผลข้อนี้


 


 


ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เฉียวพั่นเอ๋อร์รับสาย เสียงปลายสายเป็นเสียงของผู้ช่วยโหย่ว น้ำเสียงผิดหวังแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคือง “คุณหนูเฉียว เธอปฏิเสธอีกแล้วครับ”


 


 


“คุณไม่ได้บอกเธอเหรอว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร” ยัยอวี๋กานกานมันคิดว่าตัวเองเป็นใคร ให้สีสามสีจะเปิดโรงย้อมผ้า[1]


 


 


ผู้ช่วยโหย่วกล่าว “ผมบอกไปแล้วครับ แต่เธอก็ยังไม่ยอมขายคลินิก ท่าทีหนักแน่นมั่งคงเหมือนกับวันก่อนไม่มีผิด ไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร!”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์หัวเราะเสียงเย็น “มันคงนึกว่าหลินจยาอวี่จะช่วยมันได้น่ะสิ ดูท่าฉันคงต้องแสดงให้มันเห็น ให้มันรู้ว่าหลินจยาอวี่ก็ช่วยมันไม่ได้!”


 


 


คลินิกยังไงก็ต้องเป็นของฉันเฉียวพั่นเอ๋อร์!


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ให้สีสามสีจะเปิดโรงย้อมผ้า หมายถึง ทำอะไรเกินตัวจนน่าขัน


ตอนที่ 147 เดิมพันใครแพ้ใครชนะ


 


 


หยาดฝนเม็ดละเอียดโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า อวี๋กานกานให้ลู่เสวี่ยเฉินและฟังจือหันรอเธออยู่บนรถ จากนั้นลงรถไปเองคนเดียว


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินขำจนท้องแทบแตก ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ความหมายของการมาตรวจสอบของอวี๋กานกานที่แท้ก็คือมาถามเพื่อนบ้าน ฟังจือหันตอบตกลงช่วยเธอแล้ว เธอยังจำเป็นต้องมาเป็นกังวลสืบสวนอะไรทำไมอีก กลับบ้านไปนอนอย่างสบายใจได้แล้ว


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินมองฟังจือหันแล้วถาม “นายปล่อยให้เธอลงไปแบบนี้น่ะนะ?”


 


 


ฟังจือหันยิ้มมุมปาก นัยน์ตาเฉื่อยชาเหมือนอย่างเคย พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน “มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเบ้ปาก แค่นหัวเราะ “เธอกับนายเนี่ยตลกดีจริงๆ นายก็ยอมเล่นไปกับเธอด้วยเนอะ”


 


 


“ถ้าอิจฉา นายก็ไปหาสาวที่เจอที่ผับ…”


 


 


ไม่ต้องรอให้ฟังจือหันพูดจนจบประโยค ลู่เสวี่ยเฉินพูดขัดขึ้นมาทันที น้ำเสียงระทมทุกข์และเคียดแค้น “นี่น่ะเหรอเรื่องที่เราจะพูด! ทุกวิทุกนาทีของนายเป็นเงินเป็นทองแต่กลับปล่อยให้เธอลงไปแบบนี้ นายก็รู้ดีว่าเธอสืบหาอะไรไม่เจอหรอก”


 


 


ฟังจือหันไม่เห็นด้วย “ก็ไม่แน่ซะทีเดียว”


 


 


“พนันกันไหมล่ะ” นัยน์ตาของลู่เสวี่ยเฉินฉายแววความรู้สึกสนุกสนานซึ่งแฝงไว้ด้วยแผนการเอาคืน


 


 


“จะพนันอะไรล่ะ” ฟังจือหันรับคำท้าด้วยความยินดี


 


 


“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ถ้าฉันชนะ นายต้องรับปากทำตามคำขอฉันเรื่องหนึ่ง” คำขอนี้เขาจะขออะไรธรรมดาๆ ไม่ได้ ต้องคิดให้ดี


 


 


ฟังจือหันกล่าว “คำขอของฉันง่ายมาก ถ้านายแพ้ หลังจากนี้งานด้านประชาสัมพันธ์ของอวี้หมิงถางทั้งหมดเป็นหน้าที่ของนาย”


 


 


“ได้!” ลู่เสวี่ยเฉินตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิด เพราะเขามั่นใจมากว่าตนเองไม่มีทางแพ้


 


 



 


 


อวี๋กานกานเดินวนรอบๆ สวนย่อมไปแล้วหนึ่งรอบ ผลปรากฏว่าไม่เจอใครแม้แต่คนเดียว อาจเป็นเพราะฝนตก ไม่เช่นนั้นบรรดาลุงป้าน้าอาต้องมารวมตัวกันเต้นแอโรบิก รำไทเก๊ก ไม่ก็เล่นไผ่ คุยเล่นกันที่สวมย่อม


 


 


ช่างเถอะ รอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยกลับมา…


 


 


ในตอนที่เธอกำลังจะเดินกลับไปหาฟังจือหันและลู่เสวี่ยเฉิน ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกด้วยความประหลาดใจดังเข้าโสตประสาทของเธอ “ปลาน้อย[1]ไม่ใช่เหรอ”


 


 


อวี๋กานกานหันไปตามเสียง ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกล มีคุณป้ารูปร่างอวบคนหนึ่ง อายุประมาณห้าสิบกว่าปีแต่แต่งตัวทันสมัย ในมือถือร่มลายดอกไม้สีน้ำเงิน เมื่อเห็นว่าเป็นอวี๋กานกานเธอก็ยิ้มจนตาหยี กล้ามเนื้อบนใบหน้ารวมกันเป็นก้อนเดียว “หนูมาแถวนี้ได้ไงเนี่ย”


 


 


“แม่เฉิน ทำไมป้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละคะ” อวี๋กานกานยิ้มและเดินเข้าไปทักทาย แม่เฉินไม่ใช่เป็นคนถนนหนานเจิ้น แต่ว่าลูกชายของแม่เฉินเปิดร้านขายเสื้ออยู่ที่ถนนนานเจิ้นอยู่หลายปี นานๆ ทีแม่เฉินจะมาช่วยขาย มีอยู่ปีหนึ่งเธอล้มได้รับบาดเจ็บที่ขา รักษาตัวอยู่ที่คลินิกของอวี๋กานกาน ไปๆ มาๆ จึงสนิทสนมกัน


 


 


“บ้านป้าอยู่ที่นี่ล่ะจ้ะ หนูมาทำอะไรที่นี่เหรอ ดูสีหน้าไม่ค่อยดี ไม่สบายหรือเปล่า” แม่เฉินถามด้วยความเป็นห่วง


 


 


“หนูไม่ได้ป่วยค่ะ มาจัดการธุระนิดหน่อยน่ะค่ะ” อวี๋กานกานเกาศีรษะกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเอ่ยปากพูดออกไป “ในอินเทอร์เน็ตคุณป้าไม่เห็นเหรอคะ”


 


 


แม่เฉินถอนหายใจแล้วหัวเราะ “ไอหยา แม่บ้านแก่ๆ อย่างป้าเล่นอินเทอร์เน็ตที่ไหนล่ะ มาๆ ไปนั่งที่บ้านป้าก่อน”


 


 


“ไม่รบกวนไปถึงที่บ้านดีกว่าค่ะ แต่ว่าหนูมีเรื่องจะถามคุณป้าหน่อย”


 


 


“เรื่องอะไรเหรอ พูดมาได้เลย”


 


 


อวี๋กานกานต้องการสอบถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก่อนถามเธอจึงเล่าเรื่องราววุ่นวายที่คลินิกทั้งหมดให้แม่เฉินฟัง เพื่อแสดงถึงเจตนาที่ต้องการจะตรวจสอบถึงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้


 


 


แม่เฉินขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ใบสั่งยานั้นหนูไม่ได้เป็นคนเขียนนี่ พวกเขาทำแบบนี้เกินไปแล้วจริงๆ ครอบครัวนี้ป้าไม่รู้จักหรอก แต่ป้าว่าต้องมีคนรู้จักบ้างแหละ มาๆ ตามป้ามา…”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ‘อวี๋’ นามสกุลของอวี๋กานกานพ้องเสียงกับคำว่า ‘ปลา’ ในภาษาจีน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 148 อวี๋กานกานผู้เอาใจใส่


 


 


แม่เฉินจูงอวี๋กานกานเดินเข้าไปในบ่อนไพ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ภายในบ่อนมีกลุ่มคุณป้ากำลังรวมกลุ่มกันเล่นไพ่การ์ดและไพ่นกกระจอก คุณน้าสวมเสื้อโค้ตสีเทาคนหนึ่งเมื่อเห็นแม่เฉินเดินเข้ามา เธอก็โบกมือทักทายทันที “เหล่าเฉินมาแล้วเหรอ งั้นเธอมาเล่นฉันนี่ ฉันจะกลับละ”


 


 


“เหล่าหลิว ปกติเธอเล่นจนถึงมื้อเย็นไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้รีบกลับจังล่ะ” แม่เฉินถามด้วยความสงสัย


 


 


“ก็ฝนตกน่ะสิ โรคปวดข้อขากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว” ป้าหลิวพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เดินออกมาเพื่อให้แม่เฉินเล่นแทน


 


 


แม่เฉินเดินจูงมืออวี๋กานกาน “อย่าเพิ่งรีบไปสิ ฉันเจอหลานสาวที่ด้านนอกพอดี ให้เขาลองตรวจเธอดูหน่อย วิชาแพทย์ของเขาเก่งมากนะ ปีนั้นที่ฉันล้มได้รับบาดเจ็บที่ขา ก็ได้เขาเนี่ยแหละรักษาจนหาย เรียกได้ว่าหายดีเป็นปลิดทิ้ง ไม่หลงเหลือภาวะแทรกซ้อนใดๆ”


 


 


ป้าหลิวปรายตามามองอวี๋กานกานแวบหนึ่ง พูดอย่างเย็นชา “ช่างเถอะ ฉันกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า” เด็กสาวที่อายุน้อยขนาดนี้ จะมีปัญญารักษาโรคเรื้อรังให้หายได้อย่างไร พอก้าวเท้าเดินปุ๊บเธอก็ถูกแม่เฉินคว้าไว้อีกครั้ง “วิชาแพทย์ของปลาน้อยเก่งกาจมากจริงๆ เธอให้เขาลองตรวจชีพจรดูสักหน่อยเถอะ”


 


 


ความปรารถนาดีมักยากจะปฏิเสธได้ลง ตรวจก็ตรวจ ป้าหลิวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ “รบกวนเธอแล้วนะ สาวน้อย”


 


 


แม่เฉินแนะนำพวกเขาทั้งสองให้รู้จักกัน “เธอแซ่อวี๋ แต่ทุกคนติดปากเรียกว่าปลาน้อย ปลาน้อยนี่ป้าหลิว ป้าสวี ป้าหวง ป้าจงแล้วก็ป้าจางจ้ะ…” หลังจากที่ทักทายตามมารยาทแล้ว ป้าๆ คนอื่นก็หันกลับไปเล่นไพ่ต่อ


 


 


อวี๋กานกานนั่งอยู่ตรงหน้าโดยที่หันข้างให้กับป้าหลิว ยื่นนิ้วทั้งสามออกไปจรดลงบนข้อมือของป้าหลิวเพื่อตรวจชีพจร หลังจากผ่านไปแล้วสองนาที อวี๋กานกานดึงมือกลับ จากนั้นโน้มตัวไปที่ใบหูของป้า หลิวกระซิบเสียงเบา “ป้าหลิวคะ ขาของป้าไม่ได้เป็นอะไรแต่เป็นก้นที่เจ็บมากต่างหากใช่ไหมคะ!”


 


 


ป้าหลิวมองอวี๋กานกานด้วยสีหน้าประหลาดใจ สาวน้อยคนนี้อายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถทางด้านนี้จริงๆ เป็นความจริงที่อาการเจ็บปวดของเธอไม่ได้อยู่ที่ขา เธอแค่อายที่จะบอกกับผู้อื่นว่าเธอเจ็บก้น อีกอย่างถ้าพูดออกมาก็ดูไม่น่าฟังด้วย เธอจึงเลือกที่จะบอกว่าปวดขาแทน ตลอดมานอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่มีใครรู้เลยแม้แต่คนเดียว นึกไม่ถึงว่าเด็กสาวคนนี้จะรู้ได้จากการตรวจชีพจร


 


 


วิชาแพทย์ไม่เลว อุปนิสัยดีเยี่ยม รู้ว่าเธอไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจึงโน้มตัวมากระซิบข้างหู ทั้งเอาใจใส่และคำนึงถึงภาพลักษณ์ของเธอ


 


 


อวี๋กานกานหันกลับมานั่งตัวตรง ใช้น้ำเสียงปกติกล่าว “ป้าหลิวคะ นี่เป็นอาการบาดเจ็บจากที่ป้าเคยล้มเมื่อหลายปีก่อนซึ่งไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผนวกกับได้รับไอเย็นทำให้เกิดเป็นอาการปวดเรื้อรัง อาการนี้อย่างต่ำเป็นมากว่าสิบปีแล้ว”


 


 


น้าหลิวพยักหน้า “ใช่ สิบกว่าปีแล้ว เมื่อใดที่ฝนตกก็จะมีอาการเจ็บปวดขึ้นมาทันที” มีหลายครั้งที่ปวดถึงกับขนาดทนไม่ไหว จะยืนก็ไม่ได้จะนั่งก็ไม่ได้ทำได้เพียงฟุบหมอบลงบนเตียงนอน


 


 


“ตอนนี้ฝนตกถึงจะมีอาการเจ็บปวด แต่ถ้าหากปล่อยให้เป็นไปอีกสองสามปีคาดว่าฝนไม่ตกก็อาจจะมีอาการเจ็บได้ค่ะ คุณป้าต้องรับการรักษาอย่างจริงจัง” อวี๋กานกานพูดพร้อมกับกดลงไปที่จุดฉื่อเจ๋อ[1]บนแขนของป้าหลิว


 


 


ป้าหลิวเจ็บจนทนไม่ไหว ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “โอ๊ย” ทันใดนั้นสายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่ป้าหลิวและอวี๋กานกาน สีหน้าตกใจและเป็นกังวล


 


 


อวี๋กานกานกดค้างไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ คลายออกมือออก จากนั้นนวดเบาๆ ป้าหลิวที่เมื่อครู่ร้องเจ็บปวดค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “เหมือนจะไม่ค่อยเจ็บเท่าไรแล้ว” หลังพูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นนั่งลง รู้สึกได้จริงๆ ว่าไม่เจ็บเหมือนตอนแรกแล้ว


 


 


อวี๋กานกานกล่าว “ป้าหลิว หลังจากนี้ถ้าหากฝนตกนั่งแล้วมีอาการเจ็บปวด สามารถนวดไปที่จุดฉื่อเจ๋อซึ่งเป็นจุดของเส้นลมปราณปอด ไม่เพียงแต่จะสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดในขณะนั้นได้ หากนวดเป็นประจำยังสามารถลดโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยได้อีกด้วยค่ะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] จุดฉื่อเจ๋อ อยู่บริเวณข้อพับแขน


ตอนที่ 149 ไปที่ไหนทุกคนก็รักใคร่เอ็นดู


 


 


ป้าหลิวถาม “ยังรักษาให้หายได้ใช่ไหม”


 


 


อวี๋กานกานตอบ “นวดเป็นประจำสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้งร่วมกับการฝังเข็ม ครึ่งปีน่าจะหายกลับมาเป็นปกติได้ค่ะ ต่อให้ไม่ถึงขั้นหายเป็นปกติ เมื่อฝนตกก็จะไม่รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวเหมือนตอนนี้ค่ะ”


 


 


“ขอบคุณมากจริงๆ” ป้าหลิวซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง หันไปมองแม่เฉิน “เหล่าเฉิน ยัยหนูนี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่เธอหามาจากที่ไหนกัน ถ้ารักษาโรคเรื้อรังของฉันได้ ฉันจะขอบคุณเธออย่างงามเลยล่ะ”


 


 


แม่เฉินเล่นไพ่นกกระจอกพร้อมกับหัวเราะไปด้วย “เมื่อก่อนลูกชายฉันเปิดร้านอยู่ถนนหนานเจิ้น ปลาน้อยกับคุณปู่ของเธอมีคลินิกอยู่ที่นั่น คนทั้งถนนหนานเจิ้นมีใครไม่รู้บ้างว่าวิชาแพทย์ของสองปู่หลานนี้เก่งกาจ ตอนนั้นฉันหกล้มมีอาการบาดเจ็บที่ขา ใครๆ ก็บอกว่าไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม เธอก็เห็นแล้วนี่ จะลมพัดหรือฝนตกฉันก็ไม่กลัว”


 


 


อวี๋กานกานพูดอย่างเหนียมอาย “แม่เฉินคะ นั้นเป็นเพราะคุณป้าให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาและฟื้นฟูจึงทำให้ไม่หลงเหลืออาการบาดเจ็บ” แม่เฉินชมเกินไปแล้ว เธอเขินอายสุดๆ ที่จริงเธอเองก็เป็นแค่หมอธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้นเอง


 


 


แม่เฉินเห็นว่าหลังจากที่อวี๋กานกานช่วยตรวจเสร็จแล้ว ใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอดูอึดอัดใจลำบากใจ นั่งเงียบไม่รู้ว่าจะเริ่มถามที่ตรงไหน แม่เฉินจึงออกโรงช่วยเธอถาม “พวกเธอรู้เรื่องของบ้านจูซื่อนั่นไหม”


 


 


สามีของหญิงวัยกลางคนที่เสียชีวิตก็คือจูซื่อ ป้าหลิวที่ไม่ได้ร่วมวงเล่นไพ่ด้วย ตอนนี้ก้นของเธอไม่เจ็บปวดมากแล้ว ตอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น “รู้จักสิ เรื่องนี้ดังกระฉ่อนอยู่นะ ได้ยินมาว่าเขากินยาของหมอไร้ศีลธรรมคนหนึ่งจนม่องเท่งไปแล้ว”


 


 


ป้าหวงจั่วไพ่ขึ้นมาหนึ่งใบ ถอนหายใจ “น่าสงสารเหมือนกันนะ จูซื่ออายุยังไม่ถึงหกสิบเลย ทั้งลูกชายและลูกสาวก็ยังไม่ได้แต่งงาน”


 


 


แม่เฉินทิ้งไพ่ลงไปหนึ่งใบ กล่าว “ไม่ใช่ว่ากินยาจีนหรอกเหรอ ยาจีนออกฤทธิ์อย่างอ่อนโยนทั้งนั้น เป็นไปได้ยังไงที่กินแค่สองชุดก็สามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ฉันว่านะมันต้องมีอะไรบางอย่าง”


 


 


ป้าหวงสงสัย “เป็นงั้นเหรอ”


 


 


ไม่ต้องรอให้แม่เฉินเอ่ยปากพูด ป้าจางที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันพูดขึ้นมา “เป็นไปได้นะ” เธอกดเสียงต่ำ พูดอย่างมีลับๆ ล่อๆ “บ้านของจูซื่ออยู่ข้างๆ บ้านฉัน ก่อนหน้านี้ไปตรวจมาพบว่าป่วยเป็นโรคหัวใจ อีกทั้งยังพบว่าลูกชายของเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตัวเอง ฉันเดาว่าเขาน่าจะโมโหจนขาดใจตาย วันนี้ตอนเช้าลูกสาวของเขาโมโหโกรธเกรี้ยวเดินออกจากบ้าน ยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านตะโกนว่าแม่เป็นคนฆ่าพ่อ ทั้งยังบอกอีกว่าพี่ชายไม่ใช่พี่แท้ๆ ของเธอ ฉะนั้นค่าชดเชยของพ่อทั้งหมดต้องตกเป็นของเธอและย่า แม่และพี่อย่าคิดแม้แต่จะได้สักสตางค์เดียว ฉันว่าน่าจะประสงค์ร้ายจงใจก่อเรื่องให้วุ่นวายนะสิไม่ว่า”


 


 


อวี๋กานกานได้ยินแล้วก็รู้สึกแอบตกตะลึงอยู่ในใจ แม่เฉินเจ็บปวดหัวใจแทนอวี๋กานกาน ทุบโต๊ะด้วยความโมโหเดือดดาล “ฉันรู้อยู่แล้ว กลั่นแกล้งปลาน้อยของพวกเราที่เป็นเด็กใสๆ ซื่อๆ”


 


 


บรรดาคุณป้าหันมามองแม่เฉินด้วยความประหลาดใจเป็นตาเดียว “หมอคนนั้นที่จ่ายยาผิดคือปลาน้อยเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานอธิบาย “ยานั้นหนูไม่ได้เป็นคนสั่งจ่ายค่ะ ช่วงนั้นหนูไม่อยู่เป็นลูกพี่ลูกน้องของหนูที่มาดูแลคลินิกแทน จากนั้นเธอจ่ายยาแก้ปวดให้จูซื่อไปสองสามชุด มียาตัวหนึ่งที่ฤทธิ์ค่อนข้างแรง แต่ยาตัวอื่นมีฤทธิ์อ่อนทั้งหมด ตามหลักแล้วไม่มีทางที่จะรับประทานเข้าไปแล้วถึงขั้นเสียชีวิตได้”


 


 


ป้าหลิวนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ที่อวี๋กานกานตรวจชีพจรให้เธอ เธอสนับสนุนเข้าข้างอวี๋กานกานทันที “กินแค่ยาจีน ไม่ได้ขึ้นเขียงผ่าตัดเสียหน่อย จะมากล่าวหาว่าฆ่าคนตายได้ยังไง แค่ดูก็รู้แล้วว่าพวกเขาไปหาหนูเพื่อขู่เอาค่าชดใช้”


 


 


แม่เฉินพูดกับป้าจาง “ต้องเปิดโปงพวกเขาให้ได้ ประตูหน้าบ้านเธอน่าจะมีกล้องวงจรปิดนะ น่าจะบันทึกภาพตอนนั้นไว้ได้ ให้ลูกชายเธอช่วยเอาคลิปออกมาจากกล้องหน่อยได้ไหม”


 


 


อวี๋กานกานที่นั่งอยู่ข้างๆ มองป้าจางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “ได้ไหมคะ ป้าจาง ป้าช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 150 ปลาคาร์ปนำโชคอวี๋กานกาน


 


 


ป้าจางค่อนข้างลังเล แม่เฉินและป้าหลิวพยายามพูดเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างหูป้าจาง ในที่สุดป้าจางก็ยอมตกลง โทรศัพท์ไปหาลูกชายของตัวเอง “ฮัลโหลลูก คลิปวิดีโอเมื่อเช้าที่เพื่อนข้างบ้านทะเลาะกัน เอ็งไปเอามาแล้วส่งมาให้แม่หน่อยสิ…จะถามอะไรทำไมเยอะแยะ ส่งมาให้แม่ก็พอ…” หลังจากที่วางสายแล้ว ป้าจางก็หันมาพูดกับอวี๋กานกาน “เดี๋ยวเขาส่งมาให้ป้าทางวีแชทแล้วเดี๋ยวป้าแชร์ให้หนู”


 


 


อวี๋กานกานลุกขึ้นยืน โค้งตัวลงต่ำ รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง “ขอบคุณคุณป้านะคะ ในอนาคตถ้าคุณป้ามาตรวจกับหนูที่คลินิก หนูสัญญาว่าจะไม่คิดเงินสักบาทเดียว”


 


 


แม่เฉินหัวเราะอย่างร่าเริง กล่าว “แบบนั้นไม่ได้หรอก จะยอมให้หนูขาดทุนได้ยังไง เก็บราคาต้นทุนสักนิดสักหน่อยเถอะ”


 


 


ป้าหวงที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันหัวเราะดังลั่น “ไอหยา โทษทีๆ ฉันชนะอีกแล้ว”


 


 


ป้าหลิวลุกขึ้นยืน หัวเราะเหอะๆ เบ้ปากกล่าว “เหล่าหวง ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเธอจะชนะสักตา แต่หลังจากที่ปลาน้อยมานั่งด้านหลัง เธอก็มือขึ้นชนะตลอดเลยนะ”


 


 


ป้าจางที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่งกวักมือเรียกอวี๋กานกาน “มาๆ มานั่งข้างป้านี่ วันนี้ป้ายังไม่ชนะสักตาเลย ลองทดสอบหนูหน่อยสิว่าถ้าหนูมานั่งข้างป้าแล้วป้าจะชนะไหม”


 


 


“หนูว่าบังเอิญแน่ๆ ค่ะ ป้าหวงคงมือขึ้น” ถึงแม้อวี๋กานกานจะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังเปลี่ยนที่ไปนั่งข้างป้าจาง ยิ้มแล้วกล่าว “ถ้าไม่ชนะ คุณป้าอย่าโทษหนูนะคะ”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ชนะก็คิดเสียว่าวันนี้มือไม่ขึ้น ป้าวางแผนไว้แล้วถ้าตานี้เสียอีกก็ไม่เล่นแล้ว…” ป้าจางจั่วไพ่ขึ้นมาหนึ่งใบ ยังพูดไม่ทันจบดี ป้าจางก็ล้มไพ่ตรงหน้าทั้งหมดลงทันที “โทษที ฉันชนะ”


 


 


ป้าจางยื่นมือมาโอบอวี๋กานกานเบาๆ “ปลาน้อยหนูนี่ดวงดีจริงๆ”


 


 


ป้าจงกวักมือเรียกผู้อาวุโสอวี๋กานกาน “มาๆ มานั่งข้างป้า”


 


 


ป้าจางพูดห้าม “เธอจะรีบไปไหน ฉันเพิ่งจะชนะได้ตาเดียวเอง ดูพวกเธอสิชนะไปตั้งกี่ตาแล้ว ให้ฉันอีกสักตาสองตาจะเป็นไรไป นั่งลงๆ นั่งข้างป้า”


 


 


อวี๋กานกานเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก นี่มันต้องเป็นแค่เรื่องบังเอิญแน่ๆ แต่หลังจากที่เธอนั่งลงข้างป้าจาง สองตาต่อมาก็เป็นป้าจางที่กินเรียบ


 


 


ป้าจางนับเงิน ยิ้มอย่างมีความสุขพลางถามอวี๋กานกาน “ปลาน้อยหนูมีแฟนแล้วหรือยังจ้ะ ลูกชายป้ายังไม่มีแฟนนะ เขาเป็นอัจฉริยะทางด้านไอที รายได้ต่อปีเกินล้านหยวน หนูลองพิจารณาดูหน่อยไหม” สาวน้อยที่ดวงดีขนาดนี้ ได้แต่งเข้าบ้านคงสุขสมฤดีไม่น้อย


 


 


ป้าจงทิ้งไพ่ลงไปหนึ่งใบ กล่าว “ป่าว่าหลานชายป้าเหมาะกว่านะ หน้าตาดีเหมือนกับดาราไม่มีผิด รูปลักษณ์หน้าตาเหมาะสมกับปลาน้อย หนุ่มหล่อสาวงาม”


 


 


ป้าจางถลึงตาใส่ป้าจง ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจกล่าว “เธอหมายถึงลูกชายฉันไม่หล่ออย่างงั้นเหรอ ลูกชายฉันไม่หล่อตรงไหน หล่อกว่าลูกชายเธอตั้งเยอะ”


 


 


ป้าหลิวที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่ายมือไปมา กล่าว “พวกเธอไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว ฉันว่าลูกชายฉันเหมาะสมกว่า ปลาน้อยลูกชายป้าปีนี้อายุยี่สิบห้าปี เป็นเจ้าของบริษัท ป้าโทรหาเขาตอนนี้ให้เขาลองมาเจอหนูดีไหม”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก “…”


 


 


ทำไมจู่ๆ ถึงต่างพากันนัดดูตัวให้เธอ อวี๋กานกานรีบเอื้อมมือไปห้ามป้าหลิว “ยะ อย่าเลยค่ะ”


 


 


ทันใดนั้นประตูของบ่อนก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำเดินย่างเท้าเข้ามาอย่างสุขุมเยือกเย็น แสงสว่างภายในห้องส่องกระทบลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา ราวกับเทพยดาสมบูรณ์แบบที่อยู่ในโลกของเทพนิยาย ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยออร่าองอาจน่าเกรงขาม


 


 


เมื่ออวี๋กานกานเห็นเขา เธอรู้สึกราวกับว่ามีพระมาโปรด รีบพูดกับคุณป้าทุกคน “ขอโทษนะคะ พะ…เพื่อนของหนูมาตามน่ะค่ะ”  


ตอนที่ 151 แสวงหาผลประโยชน์จากแผนการชั่วร้าย


 


 


ในตอนที่อวี๋กานกานพาฟังจือหันออกมาจากบ่อนไพ่ ฝนด้านนอกได้หยุดตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลู่เสวี่ยเฉินรออยู่บนรถ นั่งไขว่ห้างเล่นมือ ปรายตามามองพวกเขาที่กำลังก้าวเท้าขึ้นรถ อดที่จะแซวไม่ได้ “น้องกานกาน มีใครไม่รู้นึกว่าคุณโดนคนอื่นลักพาตัวไปแล้ว รีบร้อนลงจากรถไปตามหา”


 


 


อวี๋กานกานชำเลืองไปมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ พลันรู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา เมื่อครู่ที่บ่อนไพ่หลังจากที่ฟังจือหันปรากฏตัว บรรดาคุณป้าก็ไม่ได้ยุ่งวุ่นแนะนำคู่เดทให้เธออีก แต่เปลี่ยนเป็นหยอกล้อเธอกับฟังจือหันแทน แต่งงานเมื่อไร จะมีลูกเมื่อไร ถ้าในอนาคตมีลูกชายก็ให้มาแต่งกับหลานสาวของพวกเขา แต่ถ้ามีลูกสาวก็ให้แต่งกับหลานชายของพวกเขา


 


 


ระหว่างเธอกับฟังจือหันยังไม่มีแม้แต่สัญญาณเริ่มต้น จะไปถึงขั้นมีลูกได้อย่างไร อวี๋กานกานไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ทันทีได้คลิปวิดีโอก็รีบชิ่งออกมาทันที ชวนให้รู้สึกฉุกละหุก โชคดีที่เธอนัดไว้กับแม่เฉินล่วงหน้าแล้วว่า รอให้เธอจัดการเรื่องที่คลินิกให้เรียบร้อย เธอจะเชิญบรรดาป้าๆ มาเลี้ยงขอบคุณสักมื้อ


 


 


เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกอึดอัดอวี๋กานกานยิ้มแป้น พูดกับลู่เสวี่ยเฉิน “คุณลู่ ฉันเจอของเด็ดที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง บางทีอาจจะสามารถช่วยพวกเราได้” อวี๋กานกานเขย่ามือถือของตนเองไปมา


 


 


“โอ้ว้าว ของเด็ดของดีอะไร” แม้ว่าลู่เสวี่ยเฉินจะมีสีหน้าท่าทีสนอกสนใจ แต่ที่จริงแล้วเขากลับไม่ได้รู้สึกว่าอวี๋กานกานจะหาของที่เป็นประโยชน์อะไรมาได้ คงไม่ใช่ว่าปลาคาร์ป[1]นำโชคประทับร่าง ไปเจอคนกลุ่มหนึ่งกำลังปรึกษาหารือเรื่องแผนการชั่วอยู่แล้วถูกเธอถ่ายอัดไว้ได้อย่างพอดิบพอดีหรอกนะ


 


 


อวี๋กานกานเปิดคลิปวิดีโอในโทรทัศน์มือถือ วางไว้ตรงกลางเพื่อที่จะได้มองเห็นกันทั้งสามคน ในคลิปวิดีโอประตูห้องถูกเปิดออก มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้อง ตามมาด้วยหญิงวัยกลางคนที่เดินตามมาติดๆ ทั้งยังคว้าแขนของผู้หญิงคนแรกไว้ “แกจะไปไหน แกนังลูกอกตัญญู ฉันให้กำเนิดแกมาอย่างลำบากยากเข็ญ เลี้ยงดูแกเพื่อให้แกมาทำแบบนี้กับฉันงั้นเหรอ”


 


 


หญิงสาวหัวเราะเสียงเย็น กล่าว “แม่ให้กำเนิดหนูเลี้ยงหนูก็จริง แต่แม่ก็ฆ่าพ่อ เงินพวกนี้เป็นเงินของหนูและย่า หนูจะไม่ให้แม่และพี่สักบาทเดียว”


 


 


ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาจากห้อง “แกนังบ้า แกรีบโอนเงินกลับมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”


 


 


 หญิงสาวตอบ “ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าพี่ไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของพ่อ พ่อก็คงไม่โกรธจนสิ้นใจตาย พี่ยังกล้ามาถามเอาเงินจากฉันอยู่อีกเหรอ”


 


 


ชายหนุ่มพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน คุณหนูเฉียวก็คงไม่มาร่วมมือกับพวกเรา คิดอยากจะฮุบเงินทั้งหมดคนเดียวงั้นเหรอ ไม่มีทาง!”


 


 


“แต่ฉันเป็นคนไปประท้วงที่อวี้หมิงถาง พี่กลัวเสียหน้าไม่กล้าไป มีสิทธิ์อะไร ทำไมฉันถึงต้องให้เงินพี่ด้วย” หญิงสาวสะบัดมือของผู้เป็นแม่อย่างแรง จากนั้นเดินจากไปด้วยความโมโหเดือดดาล


 


 


หญิงวัยกลางคนดิ้นกระทืบเท้าเร่าๆ ตะโกนด่าเสียงดัง “นังเด็กเวร แกมันชั่วจริงๆ ฉันเป็นแม่แท้ๆ ของแกนะ แกไม่กลัวจะถูกฟ้าผ่าลงโทษบ้างหรือไง!”


 


 



 


 


คลิปวิดีโอไม่ได้ยืดยาว บทสนทนาก็ไม่ได้เยอะ แต่สามารถเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าการตายของจูซื่อนั้นผิดปกติ อีกทั้งเบื้องหลังยังมีคุณหนูเฉียวอีกหนึ่งคนที่ให้เงินพวกเขาเพื่อไปประท้วงก่อเหตุวุ่นวายที่อวี้หมิงถาง


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินดูจบแล้ว หัวเราะเสียงเย็น “สันดานเลวของมนุษย์ ในยามที่มีผลประโยชน์ให้ฉกฉวย จะขาดซึ่งคุณธรรมขั้นพื้นฐาน” 


 


 


ฟังจือหันมองลู่เสวี่ยเฉิน เอ่ยเสียงเรียบ “ที่เหลือยกให้เป็นหน้าที่ของนาย”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินตะลึงงงไปขณะหนึ่งถึงจะเข้าใจ ขบฟันกรอด กล่าว “นี่เป็นเพราะพวกเรารู้ถึงต้นสายปลายเหตุอยู่ก่อนแล้ว ได้ฟังแล้วจึงสามารถเชื่อมโยงไปยังแซ่เฉียวได้ว่าเธอแอบวางแผนอยู่เบื้องหลัง แต่คนนอกจะไม่คิดแบบนี้นะสิ”


 


 


ฟังจือหันยกยิ้มมุมปาก “แค่ใช้ได้ก็พอ”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ปลาคาร์ป เป็นสัตว์มงคลที่นำมาซึ่งโชคลาภ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 152 ติดกับอีกแล้ว


 


 


อวี๋กานกานมองพวกเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด เธอมองลู่เสวี่ยเฉินสลับไปมากับฟังจือหัน “พวกนายคุยเรื่องอะไรกัน อะไรใช้ได้”


 


 


ชายหนุ่มเย็นชาฟังจือหัน ริมฝีปากบางของเขาขยับพูด “คุณลู่คนนี้เขามีคอนเนคชั่นและเส้นสายอยู่บ้าง หลังจากที่ดูคลิปนี้แล้ว เขาตัดสินใจจะช่วยคุณแก้ไขปัญหาเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้เอง”


 


 


อวี๋กานกานทั้งประหลาดใจและดีใจในคราเดียวกัน เธอมองไปยังลู่เสวี่ยเฉินด้วยสีหน้าซาบซึ้ง กล่าว “จริงเหรอ คุณลู่ งั้นต้องรบกวนคุณแล้ว ช่วยฉันเอาคลิปวิดีโอนี้ไปเผยแพร่ที”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินอ้าปาก บนใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่าสตรีไม่มีวี่แววของความเล่นสนุกให้เห็น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “แค่เปิดเผยคลิปวิดีโอนี้ช่วยอะไรไม่ได้หรอก น้องกานกาน”


 


 


“นี่มันยุคไซเบอร์ไม่ใช่เหรอ คลิปวิดีโอนี้น่าจะช่วยฉันพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้?”


 


 


“ยุคไซเบอร์ก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าการควบคุมคอมเมนต์[1]”


 


 


จริงด้วยสมัยนี้อาชีพรับจ้างโพสต์ข้อความในอินเทอร์เน็ตกำลังแพร่หลาย ไม่มีทางที่เฉียวพั๋นเอ๋อร์จะอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรแน่ อวี๋กานกานขมวดคิ้ว พึมพำกับตัวเอง “งั้นจะทำยังไงดี”


 


 


ดวงตาล้ำลึกของฟังจือหันจ้องไปที่อวี๋กานกาน นิ้วมือเรียวยาวดีดเข้าไปที่หน้าผากของเธอหนึ่งที “ในเมื่อคุณลู่ตกลงรับปากช่วยคุณแล้ว แน่นอนว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาจัดการได้สบายๆ”


 


 


หึหึ~ แผนยั่วยุให้ฮึกเหิม ลู่เสวี่ยเฉินมองฟังจือหันด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าฟังจือหันนั่งอยู่บนรถด้วยกันกับเขา เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานหายไปนานแล้วยังไม่กลับมาจึงลงไปตามหาด้วยความเป็นห่วง ไม่เช่นนั้นเขาคงคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนที่ฟังจือหันวางไว้อยู่ก่อนแล้ว


 


 


น้องกานกานนี่ดวงดีจริงๆ แต่ทว่าการที่เธอได้มารู้จักกับฟังจือหัน นั้นต่างหากที่เป็นเรื่องซวยในชีวิต คนอย่างหมอนี่ร้ายทั้งภายนอกและภายใน น้องกานกานเหมือนเป็นยาที่วางอยู่ในอุ้งมือของฟังจือหัน ใช้วิธีต้มกบด้วยน้ำอุ่น[2] ตอนที่เธอไม่สามารถโดดออกจากฝ่ามือของฟังจือหันได้ เธอจะเพิ่งพบว่าตัวเองได้ถูกความร้อนจากอุ้งมือของฟังจือหันต้มจนสุกแล้ว รอเพียงแค่ถูกรับประทาน


 


 


อวี๋กานกานเห็นว่าลู่เสวี่ยเฉินมีสีหน้าเคร่งเครียด นึกว่าเขาไม่อยากช่วย เธอจึงยิ้มแล้วกล่าว “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ คุณลู่เองก็ค่อนข้างยุ่ง ฉันจัดการด้วยตัวเองดีกว่าค่ะ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินเต็มใจที่จะช่วยอวี๋กานกานอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่สบอารมณ์ที่ตนเองแพ้ให้กับฟังจือหัน ครั้งนี้ยังถูกอวี๋กานกานทำกับเขาเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล เขารีบพูด “ผมไม่ยุ่ง แค่เรื่องหมูๆ”


 


 


อวี๋กานกานนึกว่าเขาแค่พูดตามมารยาท “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ มันจะรบกวนคุณเกินไปเปล่าๆ”


 


 


“ไม่…”


 


 


มุมปากของฟังจือหันหลุดรอยยิ้มขบขันออกมา ลู่เสวี่ยเฉินที่กำลังจะรับปากอวี๋กานกานอย่างใจป้ำ เมื่อเห็นว่ามุมปากของฟังจือหันยกยิ้มขึ้น เขาก็รีบปิดปากทันที ไม่ปกติ ทำไมถึงรู้สึกว่าพวกเขาสองคนกำลังร่วมมือกันปั่นหัวเขา


 


 


ทันใดนั้นเอง ฟังจือหันก็หันไปพูดกับอวี๋กานกาน “เข้าไม่กล้ารับหน้าที่นี้ เพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี แล้วจะเข้าหน้าคุณไม่ติด”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินมีเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว เขาหัวเราะหึหึสองครั้ง “ผมเป็นใคร ผมลู่เสวี่ยเฉินนะครับ เรื่องหมูๆ แค่นี้ น้องกานกานวางใจได้เลย ให้เป็นหน้าที่ของผมเอง”


 


 


หลังพูดจบลู่เสวี่ยฉันอยากจะตีตัวเองให้ตาย ตอนแรกยังรู้อยู่เลยว่ามีใครบางคนต้องการใช้แผนยั่วยุให้ฮึกเหิม ทำไมถึงวนกลับมาตกหลุมพรางได้ล่ะเนี่ย ร้ายกาจ!


 


 



 


 


อวี๋กานกานกลับมาถึงคลินิก นั่งอยู่บนโซฟา หยิบมือถือขึ้นมาเข้าอินเทอร์เน็ต ความคิดเห็นของคนที่มีต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ทั้งหมดล้วนเทไปทางเห็นใจจูซื่อและครอบครัวของเขา ประณามอวี๋กานกานว่าไม่ใช่คน ไม่มีมโนธรรม เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ควรจะตกนรกขุมที่สิบแปด


 


 


เมื่อเห็นถ้อยคำโจมตีที่หยาบโลนเหล่านั้น จะบอกว่าไม่รู้สึกเลยก็เป็นไปไม่ได้ มีใครคนไหนที่ถูกด่าทอถึงขั้นนี้แล้วยังไม่รู้สึกอะไรได้อยู่ เธอนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูเมื่อนานมาแล้ว


 


 


เหตุเกิดบนรถประจำทางเนื่องจากนางเอกไม่ได้ลุกให้ผู้สูงอายุคนหนึ่งนั่ง ถูก “เครื่องล่าเนื้อมนุษย์[3]” อีกทั้งจู่ๆ ก็ยังกลายไปเป็นมือที่สามของคนอื่น ในอินเทอร์เน็ตต่างพากันรุมประณามเธอ เพื่อสนองความโกรธแค้นของทุกคน นักข่าวในช่องโทรทัศน์ยังจงใจไม่ฉายคลิปวิดีโอขอโทษของเธอ สุดท้ายผลักนางเอกให้ไปยืนอยู่บนเส้นทางมรณะ


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] การจงใจให้เห็นแต่คอมเมนต์ดีๆ ลบคอมเมนต์ที่ตัวเองไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นออก มักใช้กับพวกแฟนเพจดารา ศิลปิน


 


 


[2] ต้มกบด้วยน้ำอุ่น เป็นการใช้น้ำอุ่นค่อยๆ ต้มกบ กว่ากบจะรู้ตัวว่าร่างกายก็สุกไปกว่าครึ่งแล้ว อุปมาถึง การหลอกให้ตายใจ


 


 


[3] เครื่องล่าเนื้อมนุษย์ ถูกสืบประวัติจากอินเทอร์เน็ตจนทราบถึงตัวตนจริงๆ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม