ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ 1444-1451
ตอนที่ 1444 เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำ (1)
“เจวี๋ยเชียน ข้าขอถามเจ้าอีกคำถามได้หรือไม่” อวิ๋นลั่วเฟิงจ้องชายหนุ่มโดยไม่ละสายตา “ข้าจะหาตัวท่านที่มาเกิดใหม่ได้อย่างไร”
“เจ้าจะรู้เองเมื่อเจอเขา” คำตอบของเจวี๋ยเชียนยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ตูม!
ทันใดนั้นเองอวิ๋นลั่วเฟิงก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างแรง นางขมวดคิ้วแน่นเหมือนว่ามีระเบิดกำลังระเบิดภายในศีรษะนาง
ไม่นานคลื่นความทรงจำที่ไม่ใช่ของนางก็ไหลเข้ามาในความคิด นี่เป็นความทรงจำของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หันหลังให้พรรคของตัวเองแล้วทรยศพวกพ้อง เขาก้าวขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดที่ละก้าวจนกลายเป็นคนที่ไร้เทียมทาน
ความจริงแล้วนางและเจวี๋ยเชียนมีความคล้ายคลึงกันมาก พวกเขามาจากจุดต่ำสุดในแผ่นดินหลงเซียวแล้วเดินทางมาแดนลับแลทีละก้าว จนในที่สุดก็มาถึงแคว้นเจ็ดเมือง
แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นลั่วเฟิงตกใจก็คือความทรงจำพวกนี้มีความรู้ที่สะสมมาทั้งชีวิตของเจวี๋ยเชียนอยู่ด้วย คำถามที่นางเคยสงสัยและไม่เข้าใจหลังจากอ่านเนื้อหาการสร้างหุ่นเชิดก็คลายออกราวกับว่านางบรรลุ
“ตอนนี้เจ้าก็ได้รับความทรงจำของข้าไปแล้ว” เจวี๋ยเชียนก้มหน้ามองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างหยิ่งยโส “ความทรงจำเหล่านี้คงทำให้เจ้าสามารถสร้างหุ่นเชิดได้! แล้วข้าก็ให้วิชาการต่อสู้ทั้งหมดของข้ากับเจ้าด้วย ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์”
ในที่สุดอาการปวดศีรษะของอวิ๋นลั่วเฟิงก็หายไป นางเงยหน้ามองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้านาง “ตอนที่ข้าเจอเศษเสี้ยววิญญาณของท่านครั้งแรก ทำไมท่านไม่มอบสิ่งเหล่านี้ให้ข้าตั้งแต่ตอนนั้น เหตุใดต้องล่อให้ข้ามาที่นี่แทน”
“ตัวเจ้าก่อนหน้านี้ยังอ่อนแอนัก การรู้มากเกินไปไม่มีประโยชน์ แม้แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ให้ความทรงจำทั้งหมดแก่เจ้า เจ้ายังไม่สามารถรับรู้บางอย่างในขณะที่ความสามารถเจ้าไม่ถึงได้”
อวิ๋นลั่วเฟิงจะไม่เข้าใจความนัยของเจวี๋ยเชียนได้อย่างไร นางเงียบไปสักพักก่อนพูดช้าๆ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
เจวี๋ยเชียนส่งสายตาให้อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นครั้งสุดท้าย
ดวงตาสง่างามและหยิ่งยโสของเขามีร่องรอยอ่อนลงเหมือนว่าการรู้ถึงความสำเร็จในปัจจุบันของอวิ๋นลั่วเฟิงทำให้เขาพอใจ
“เจวี๋ยเชียน!” เมื่อจีจิ่วเทียนเห็นว่าร่างของเจวี๋ยเชียนค่อยๆ จางลง เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าสัญญาอะไรไว้กับข้า”
เจวี๋ยเชียนยิ้ม พูดได้เลยว่ารอยยิ้มของชายหนุ่มดูดีมาก เขาในตอนนี้ไม่เหมือนกับกับคนที่หยิ่งยโสก่อนหน้านี้ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองภาพวาดที่งดงามอยู่
“นางเป็นผู้สืบทอดของข้า ดังนั้นนางสามารถช่วยเจ้าได้”
จีจิ่วเทียนไม่ได้พูดอะไรอีก สีหน้าของเขาสงบนิ่งจนยากที่จะสังเกตเห็นประกายบางอย่างในดวงตา
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ จิตใจของอวิ๋นลั่วเฟิงก็สัมผัสได้ถึงลางร้าย
นาง…เพิ่งถูกเจวี๋ยเชียนขายออกไปใช่หรือไม่
“เจวี๋ยเชียน ตัวเจ้าที่เกิดใหม่ก็ช่วยไม่ได้หรือ” จีจิ่วเทียนเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยถามคำถามสุดท้าย
เจวี๋ยเชียนส่ายหน้า “ตอนนั้นข้าแบ่งวิญญาณออกไปเพื่อคอยนำทางผู้สืบทอดของข้า ทำให้วิญญาณของข้าอ่อนแอมาก ด้วยสภาพของวิญญาณของข้า ถึงแม้ว่าจะเกิดใหม่ ข้าก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว ดังนั้นคนเดียวที่ช่วยเจ้าได้ตอนนี้ก็คือนาง!”
เมื่อเขาพูดจบ ร่างหยิ่งยโสและทรงอำนาจของเจวี๋ยเชียนก็หายไป แล้วภายในห้องก็เงียบสนิท
“จีจิ่วเทียน เจ้าช่วยเรียกฉาฉามาที่นี่หน่อย ส่วนสัตว์อสูรวิญญาณตัวอื่นก็ลงไปในบ่อน้ำพุฌานโลหิตแล้วฝึกพลังฌานซะ!”
ด้วยสมบัติที่สวรรค์มอบให้ภายในนี้ นางเชื่อว่าไม่นานนางก็จะผ่านด่านเลื่อนเป็นผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ระดับกลาง…
ตอนที่ 1445 เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำ (2)
เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำ ไม่นานก็ผ่านไปเป็นปี เวลาสามปีผ่านไปภายในมิติลวงตาแห่งนี้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
พรสวรรค์ของอวิ๋นลั่วเฟิงน่ากลัวมาก ยิ่งเมื่อได้น้ำพุฌานโลหิตช่วย นางก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีเพื่อผ่านด่านเลื่อนระดับจากผู้ฝึกฌานขั้นราชันปราชญ์เป็นขั้นจักรพรรดิปราชญ์ระดับกลาง
ปกติแล้วเมื่อผู้ฝึกฌานเพิ่มความแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง ถ้าไม่มีทรัพยากรหายากช่วย ต่อให้ใช้เวลาเป็นสิบปีพวกเขาก็ไม่มีทางผ่านด่านเลื่อนระดับขึ้นไปได้
ดังนั้นโชคของอวิ๋นลั่วเฟิงจึงค่อนข้างดีที่ได้รับสมบัติของเจวี๋ยเชียนมา ไม่อย่างนั้นนางไม่มีทางได้น้ำพุฌานโลหิตแล้วเลื่อนเป็นผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ระดับกลางภายในเวลาแค่ปีเดียว
แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้นางจะผ่านด่านเป็นผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์นางก็ยังออกไปจากมิติลวงตานี้ไม่ได้เพราะนางต้องใช้เวลาอีกถึงสองปีเพื่อเรียนรู้วิชาหุ่นเชิด…
วิชาสร้างหุ่นเชิดนั้นยากมาก นางต้องใช้เวลาถึงสองปีเต็มๆ เพื่อทำให้ตัวเองให้เข้าใจวิชาอย่างถ่องแท้แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังทำไม่สำเร็จ
สองปีที่ผ่านมา สัตว์อสูรวิญญาณทั้งหมดก็ค่อยๆ เลื่อนระดับทีละตัว
คนแรกคือหั่วหั่ว นางเลื่อนระดับจากขั้นเซียนปราชญ์เป็นจักรพรรดิปราชญ์ระดับต่ำ แม้แต่เสี่ยวโม่เองก็เทียบนางไม่ได้จึงหยุดอยู่ที่ขั้นเซียนปราชญ์ระดับสูง แน่นอนว่าถ้าเขามีเวลามากกว่านี้ เขาก็คงจะเลื่อนจากเซียนปราชญ์ไปเป็นจักรพรรดิปราชญ์ได้
ส่วนคนอื่นๆ อย่างไหน่ฉาและราชินีหนู เมื่อสองสามเดือนก่อนทั้งคู่ก็เลื่อนขึ้นมาเป็นขั้นเซียนปราชญ์ระดับกลาง เหมิงเหมิงก็ตามหลังพวกเขามา แล้วเมื่อวานก็เลื่อนขั้นขึ้นเป็นหนูหาทองขั้นเซียนปราชญ์ระดับกลางเหมือนกัน
ส่วนสมาชิกตัวอื่นๆ ในเผ่าก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ตัวที่อ่อนแอที่สุดก็เลื่อนเป็นขั้นราชันปราชญ์ระดับกลาง และส่วนใหญ่ก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนปราชญ์ระดับต่ำ
ความจริงแล้วฉาฉาแข็งแกร่งกว่าหั่วหั่ว แต่พรสวรรค์ของเขาไม่เท่านาง แล้วความสามารถในการดูดซับพลังฌานก็ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเขาจึงผ่านด่านเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิปราชญ์เท่านั้น
ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นสัตว์อสูรวิญญาณขั้นจักรพรรดิปราชญ์เหมือนกัน แต่คนหนึ่งเริ่มจากขั้นราชันปราชญ์ระดับต่ำ ขณะที่อีกคนเป็นเซียนปราชญ์แล้ว ดังนั้นความแตกต่างของทั้งสองจึงเห็นได้ชัด
มีเพียงคนเดียวที่ไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งถึงขั้นไหนก็คือเสี่ยวซู่ แม้แต่อวิ๋นลั่วเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เสี่ยวซู่แข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน
สามปีที่ผ่านมาหั่วหั่วและสัตว์อสูรวิญญาณตัวอื่นมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกพลังฌาน เผ่าหนูไม่สามารถผ่านด่านเลื่อนระดับได้ด้วยการซึมซับพลังฌาน ดังนั้นพวกเขาต้องฝึกด้วยการดูดซึมน้ำจากน้ำพุฌานโลหิต
เผ่าหนูน่าจะเป็นเผ่าเดียวที่ทำแบบนี้ได้ ถ้าเป็นสัตว์อสูรวิญญาณชนิดอื่น การดูดซึมน้ำพุจะทำให้ร่างพวกมันระเบิดจนตายทันที
แต่ว่าเสี่ยวซูแค่เล่นในน้ำพุแล้วก็ไม่ได้แสดงสัญญาณว่าจะผ่านด่านแต่อย่างใด แต่เพราะอะไรไม่ทราบทุกคนกลับสัมผัสได้ว่าตัวเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
การเปลี่ยนแปลงของเขาโดดเด่นกว่าทุกคน…
…
ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม อวิ๋นลั่วเฟิงกำลังยุ่งอยู่กับการรื้อหุ่นเชิดในมือเพื่อปรับแต่ง ขณะที่โม่เชียนเฉิงนั่งอยู่ข้างๆ แล้วมองนางด้วยความหลงใหล
เหมือนว่าสายตาของเขามองเห็นเพื่อนเก่าเมื่อพันปีที่แล้วผ่านนาง
“ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ” เด็กสาวค่อยๆ ผ่อนคลายแล้วยืนขึ้น นางปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วยิ้มบาง
เด็กหญิงผมสีเลือดหมูนอนอยู่ข้างๆ นาง ดวงตาไร้ชีวิตของเด็กหญิงก็เป็นสีเลือดหมูเหมือนกัน
แต่ว่าจู่ๆ เด็กหญิงน่ารักก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนโดยมีสายตาตกตะลึงของโม่เชียนเฉิงมองอยู่ ดวงตานางดูมืดมัวและไร้ชีวิตเหมือนมีหมอกหนาบดบังนัยน์ตาของนางอยู่ แต่ว่าแขนขาทั้งคู่ของนางกับขยับอย่างกระฉับกระเฉง ไม่มีร่องรอยของความติดขัดสักนิดเดียว
“เจ้าสร้างหุ่นเชิดงั้นหรือ” โม่เชียนเฉิงพุ่งไปหาเด็กหญิงหน้าตาน่ารักอย่างกระตือรือร้น เขายกมือขึ้นสัมผัสผิวหนังที่ยืดหยุ่นแล้วเผยดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น “ผิวหนังของนางไม่ต่างจากผิวหนังมนุษย์แม้แต่น้อย มีความหยืดหยุ่นมาก! เจวี๋ยเชียน เจ้าช่างเก่งกาจจริงๆ!”
ตอนที่ 1446 เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำ (3)
“ข้าบอกว่าข้าชื่ออวิ๋นลั่วเฟิง” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดอย่างอ่อนใจแล้วมองหน้าตื่นเต้นของโม่เชียนเฉิง
ดวงตาของโม่เชียนเฉิงมืดครึ้มก่อนจะหลุบตาลงเพื่อปกปิดความผิดหวัง “ข้าขอโทษ ข้าจะไม่เรียกชื่อเจ้าผิดอีก” ถ้าเกิดเขาทำเรื่องผิดผลาดแล้วทำให้เจวี๋ยเชียนไม่ต้องการเขาอีกจะทำอย่างไร
“หุ่นเชิดตัวนี้ยังไม่สมบูรณ์” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม “ความแข็งแกร่งของนางยังอยู่แค่ขั้นราชันปราชญ์ระดับกลาง สำหรับข้า ความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดยังไม่พอ”
โม่เชียนเฉิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจเพียงครึ่งเดียว “เจ้าหมายถึงหุ่นเชิดตัวนี้ล้มเหลวหรือ”
“เปล่า นางเป็นแค่ผลงานสำเร็จเพียงครึ่งเดียว โชคดีที่หลังจากเรียนวิชามาถึงสองปี ในที่สุดข้าก็เข้าใจถึงแก่นการสร้างหุ่นเชิด ครั้งหน้าข้ามั่นใจว่าข้าจะสร้างผลงานที่สมบูรณ์ขึ้นมา!”
สองปีที่ผ่านมา นางเสียวัตถุดิบไปมาก แต่โชคดีที่เจวี๋ยเชียนเตรียมวัตถุดิบไว้ให้หมดแล้ว ดังนั้นนางก็เลยไม่ต้องใช้ของตัวเอง อวิ๋นลั่วเฟิงพูดจบนางก็เลิกสนใจโม่เชียนเฉิงแล้วมุ่งความสนใจไปที่การสร้างหุ่นเชิดอีกครั้ง
โม่เชียนเฉิงถอยหลังกลับไปที่หินที่เข้าอยู่ตอนแรกเงียบๆ เขาเอามือเท้าคางแล้วจ้องอวิ๋นลั่วเฟิงโดยไม่ละสายตา
เวลาผ่านไปช้าๆ
ครั้งนี้โม่เชียนเฉิงไม่ต้องรอนาน หุ่นเชิดอีกตัวก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าอวิ๋นลั่วเฟิง เมื่อเทียบกับหุ่นเชิดตัวก่อนหน้านี้ หุ่นเชิดตัวนี้ไม่ได้เป็นเด็กสาวน่ารักไร้พิษภัย
แต่เป็นชายหนุ่มที่เห็นกล้ามเนื้อแน่นชัดเจนเหมือนวีรบุรุษในนิยาย แล้วแม้ว่าเขาจะมีใบหน้าธรรมดาแต่ก็โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน
โม่เชียนเฉิงหน้าบึ้งแล้วถามอย่างโกรธเคือง “อวิ๋นลั่วเฟิงทำไมเจ้าต้องสร้างหุ่นเชิดเป็นบุรษ” แต่ตอนที่เขาโกรธอยู่ก็เห็นอะไรบางอย่าง แล้วใบหน้าโกรธขึ้งของเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
อวิ๋นลั่วเฟิงมองโม่เชียนเฉิงอย่างแปลกใจ
สติของชายคนนี้ยังดีอยู่หรือไม่ วินาทีที่แล้วเขายังโกรธอยู่ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นมีความสุขเสียแล้ว หรือว่าเขาจะถูกขังอยู่ที่นี่นานเกินไปก็เลยกลายเป็นบ้า
โฮก!
หลังจากวิญญาณของมังกรยักษ์ภายในกระดูกผู้ใช้เวทถูกปลดปล่อย เขาก็มาอยู่เงียบๆ ข้างโม่เชียนเฉิง เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมสีหน้าของโม่เชียนเฉิงจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเลยคำรามอย่างไม่เข้าใจแล้วแสดงดวงตาสับสน
โม่เชียนเฉิงกำลังมีความสุขมาก เพราะตอนที่อวิ๋นลั่วเฟิงสร้างหุ่นเชิด นางลืมสร้างอะไรบางอย่างที่สำคัญกับบุรุษ ดังนั้น…ต่อให้ในอนาคตหุ่นเชิดตัวนี้มีสติปัญญาเขาก็ยังเป็นขันทีอยู่ดี!
“อวิ๋นลั่วเฟิง ข้ารู้ว่าเจ้าดีต่อข้า” รอยยิ้มสดใสของโม่เชียนเฉิงดูเจิดจ้ามาก เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่าย “ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่สร้างหุ่นเชิดออกมาแบบนี้” หลังจากพูดจบ โม่เชียนเฉิงก็ปีนขึ้นหลังวิญญาณมังกรแล้วบินขึ้นฟ้า
จีจิ่วเทียนก็บังเอิญเดินมายืนข้างอวิ๋นลั่วเฟิงพอดี
อวิ๋นลั่วเฟิงไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าแล้วถาม “โม่เชียนเฉิงอยู่ในนี้จนเสียสติไปแล้วหรือ”
“หืม…” จีจิ่วเทียนลูบคางเบาๆ แล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น”
ถ้าเขาไม่ได้เสียสติในฐานะที่เป็นบุรุษ โม่เชียนเฉิงจะรักชอบเจวี๋ยเชียนได้อย่างไร
“เป็นอย่างไรบ้าง” จีจิ่วเทียนเลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่ชายมีกล้ามข้างหลังอวิ๋นลั่วเฟิง แล้วเขาก็ค่อยๆ หรี่ตา “นี่คือหุ่นเชิดที่เจ้าสร้างงั้นหรือ”
อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้า “น่าเสียดายที่ข้ายังสร้างให้เขามีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ไม่ได้
”ตอนที่ 1447 เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำ (4)
“ดีแล้วที่อย่างน้อยเจ้าก็สร้างหุ่นเชิดได้สำเร็จ ส่วนเรื่องสติปัญญา…” จีจิ่วเทียนหยุดก่อนพูดต่อ “เจวี๋ยเชียนเองก็หาวิธีที่สมบูรณ์ไม่ได้แม้จะใช้เวลาศึกษาอยู่หลายปี”
คัมภีร์ที่ถูกเจวี๋ยเชียนทิ้งไว้ก็เพื่อเป็นข้อแนะนำในการสร้างสติปัญญาให้หุ่นเชิด เจวี๋ยเชียนเองก็รู้ถึงแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเท่านั้น แล้วก็โชคร้ายที่เขาตอนนั้นถูกโจมตีเสียก่อนที่จะสามารถพัฒนาวิธีการที่สมบูรณ์ได้
“สักวันหนึ่ง ข้าจะสร้างหุ่นเชิดที่มีสติปัญญาสำเร็จแน่นอน!” เสียงของอวิ๋นลั่วเฟิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ข้าทำบททดสอบของเจวี๋ยเชียนหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราก็ออกจากมิติลวงตาได้ทันที”
สามปี! นางใช้เวลาอยู่ในเวลามิติลวงตาแห่งนี้ถึงสามปีเต็มๆ โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ข้างนอกแม้แต่น้อย
อวิ๋นเซียวจะออกมาตามหานางหรือไม่นะ
“หืม?” ทันใดนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเข้ามาประทับอยู๋ในความคิดนางจนทำให้นางสะดุ้ง แล้วดวงตาก็เป็นประกายสับสน “นี่คืออะไร”
“นายหญิง” เสียงของเสี่ยวโม่ดังขึ้นผ่านจิตนาง “ท่านทำบททดสอบของเจวี๋ยเชียนเสร็จแล้ว ดังนั้นเขาก็เลยยกมิติลวงตาแห่งนี้ให้ท่าน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ท่านสามารถเข้าออกภายในมิติลวงตาได้ตามใจ”
เมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงได้ยินดังนั้น ดวงตาของนางก็เป็นประกายมีความสุข นี่หมายความว่าในอนาคต นางสามารถส่งคนจากกองกำลังมาในมิติลวงตาเพื่อฝึกพลังฌานได้สินะ
“ถ้าข้าควบคุมมิติลวงตาได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับโม่เชียนเฉิงที่เป็นแก่นพลังของมิติลวงตานี้ล่ะ” อวิ๋นลั่วเฟิงถามเสียงเบาแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
เสี่ยวโม่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบ “นายหญิง ถึงแม้ว่าโม่เชียนเฉิงจะเป็นแก่นพลังของมิติลวงตา แต่เขาไม่ใช่สมบัติหรือสัตว์อสูรวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกบังคับให้ทำสัญญากับท่าน! ดังนั้นเขาจะติดตามท่านไปทั้งชีวิต ถ้าเขารู้ว่าท่านแสร้งเป็นเจวี๋ยเชียน ท่านจะต้องอยู่ในอันตรายแน่นอน”
ความผิดหวังพุ่งเข้ามาในหัวใจอวิ๋นลั่วเฟิง ตอนแรกนางคิดว่าระเบิดเวลาอย่างโม่เชียนเฉิงจะถูกไล่ออกไปเมื่อเจวี๋ยเชียนยกมิติลวงตาให้นาง
“อีกอย่าง โม่เชียนเฉิงจะตายไม่ได้! ถ้าเขาตาย มิติลวงตาก็จะพังทลายลงเหมือนกัน ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ โดยไม่มีอะไรแลกเปลี่ยน” เสี่ยวโม่พูดต่อ “แต่ว่าอย่างน้อยโม่เชียนเฉิงก็ออกจากมิติลวงตานี้ไม่ได้ไปอีกสักพัก”
“สักพัก? เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“นายหญิง รู้หรือไม่ว่าทำไมโม่เชียนเฉิงถึงฝึกพลังฌานภายในมิติลวงตาได้ยากลำบาก นั่นเป็นกลไกที่เจวี๋ยเชียนตั้งไว้ หลังจากโม่เชียนเฉิงเลื่อนระดับถึงจุดจุดหนึ่ง เขาก็จะสามารถออกไปจากมิติได้!”
หัวใจของอวิ๋นลั่วเฟิงก็ตื่นเต้นดีใจทันที ดูเหมือนว่านางจะต้องรีบเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้เร็วที่สุดเพื่อรออันตรายที่นางจะต้องเผชิญ
ฝุบ!
โม่เชียนเฉิงกระโดดลงมาจากมังกรแล้วร่อนลงมาจากฟ้า เมื่อเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ดวงตาเขาจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นลั่วเฟิง
“เจ้ากำลังจะไปแล้วหรือ” เขารีบถามแล้วเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
“ใช่แล้ว” อวิ๋นลั่วเฟิงตอบพร้อมพยักหน้า “ข้ายังมีครอบครัวและเพื่อนอยู่ข้างนอก ข้าอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้”
ประกายสีชาดปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของโม่เชียนเฉิง เขาออกแรงดึงแขนของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโมโหเหมือนเด็กๆ “เจ้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้! ข้าไม่ยอมให้เจ้าไป! ข้ารอเจ้ามาหลายปีทำไมเจ้าถึงทิ้งข้าไปอีกแล้ว”
“โม่เชียนเฉิงปล่อยนาง!” ดวงตาสีดำของจีจิ่วเทียนเป็นประกายสังหารแล้วจ้องโม่เชียนเฉิงอย่างเย็นยะเยือก
โม่เชียนเฉิงหันมาจ้องหน้าเขาโดยไม่ยอมแพ้ “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้าก็แค่ต้องการแย่งนางไปจากข้า! ข้าไม่ยอมให้นางไป! ถ้าเจ้าต้องการออกไป เจ้าก็ไปคนเดียวสิ!”
ทันทีที่จีจิ่วเทียนกำลังจะเดินเข้าไป อวิ๋นลั่วเฟิงก็ยกมือห้ามเขา
ตอนที่ 1448 เวลาไหลผ่นดั่งสายน้ำ (5)
“โม่เชียนเฉิง เจ้าปล่อยก่อนเถอะ” นางพูดแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ
โม่เชียนเฉิงสะดุ้งเมื่อเขาเห็นว่าเขาจับข้อมืออวิ๋นลั่วเฟิงอย่างแรงจนเป็นรอยแดง หัวใจเขาบีบรัดแล้วดวงตาก็ฉายแววความเจ็บปวดใจ เขาละล่ำละลักพูดด้วยความกังวล “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเจ็บหรือไม่ ข้าช่วยเจ้า..”
“โม่เชียนเฉิง ตอนนี้ข้าควบคุมมิติลวงตาแห่งนี้ได้แล้ว เมื่อข้าออกไป ข้าก็เอามิติลวงตาไปด้วย ดังนั้นเจ้าเองก็ติดตามข้าไปด้วยเหมือนกัน” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดอย่างเคร่งเครียด
ความดีใจคืบคลานเข้าสู่จิตใจของโม่เชียนเฉิง เขาเหมือนไม่เชื่อคำพูดของนาง “เจ้าจะไม่ทิ้งข้าจริงหรือ เจ้ายินดีพาข้าไปด้วยตอนที่เจ้าออกไปหรือ”
อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้า “อีกอย่างในอนาคตผู้ติดตามของข้าก็จะเข้ามามิติลวงตาเพื่อฝึกพลังฌานด้วย”
ก่อนที่โม่เชียนเฉิงจะรู้ว่านางโกหก คนรอบตัวนางก็จะปลอดภัย ถ้านางพาคนในกองกำลังเข้ามาที่นี่ก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร…
“เข้าใจแล้ว” ดวงตาของโม่เชียนเฉิงยังคงจับจ้องไปที่อวิ๋นลั่วเฟิง “เจ้าต้องไม่หลอกลวงข้าอีก! ไม่อย่างนั้น…ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!” เมื่อเขาพูดจบ โม่เชียนเฉิงก็ปล่อยกลิ่นอายอันตรายออกมาแล้วดวงตาที่เป็นประกายสีชาดของเขาก็เข้มขึ้น
“จีจิ่วเทียน ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะ” อวิ๋นลั่วเฟิงส่งสายตาให้โม่เชียนเฉิงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหน้ามาหาจีจิ่วเทียน “พวกเราอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องออกไปแล้ว”
เพราะว่าตอนนี้มิติลวงตาเป็นของนาง ดังนั้นเพียงแค่นางคิดก็สามารถออกจากมิติลวงตาได้
แล้วนางก็ทิ้งสัตว์อสูรวิญญาณไว้ในมิติลวงตาเพื่อฝึกพลังต่อไป!
…
อวิ๋นลั่วเฟิงไม่รู้ว่าในช่วงสามปีที่นางหายไป เมืองหลวงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมา กแล้วสวรรค์ถูกพลิกกลับ
อย่างแรกเมื่อสามปีที่แล้วภายในดินแดนแห่งจินตนาการของเผ่าผู้ใช้เวทเกิดแสงบางอย่างปรากฏขึ้นแล้วร่างของเซี่ยงเฟยก็โผล่ขึ้นมาเหนือลานในเผ่าผู้ใช้เวท
เมื่อหัวหน้าเผ่าผู้ใช้เวทได้ยินข่าวเขารีบมาที่นี่พร้อมกับคนอื่นทันที พวกเขาไม่คาดว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะบ้าคลั่งเหมือนคนเสียสติของเซี่ยงเฟย
หัวหน้าเผ่าตั้งใจจะถามความเป็นอยู่ของอวิ๋นลั่วเฟิงแต่เซี่ยงเฟยกับพูดบางคำขึ้นมาก่อน
“ตายหมดแล้ว พวกเขาตายหมดแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาหัวใจของหัวหน้าเผ่าก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม พวกเขาตายหมดแล้วงั้นหรือ ก็หมายความว่าคนที่เข้าไปในดินแดนแห่งจินตนาการตายหมดแล้วยกเว้นเซี่ยงเฟย
โชคไม่ดีที่หัวหน้าเผ่าตัดสินใจเร็วเกินไป หลังจากเซี่ยงเฟยพูดจบร่างของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป เมื่อหัวหน้าเผ่าเห็นแบบนั้นก็โกรธจัดจนพุ่งเขาไปกระชากคอเสื้อเซี่ยงเฟยแล้วตะโกนถามอย่างโมโห “เซี่ยงเฟย เจ้าสังหารพวกเขาหรือ ไอ้สารเลว”
เซี่ยงเฟยแค่ส่งสายตาเย้ยหยันให้หัวหน้าเผ่าแต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรร่างของเขาก็กลายเป็นควันสลายไปเสียก่อน รอยยิ้มสุดท้ายของเขาทำให้หัวหน้าเผ่าเข้าใจผิดว่าคนของหุบเขาพิษสังหารอวิ๋นลั่วเฟิง!
ดังนั้นเขาจึงรีบส่งคนไปตามหาครอบครัวของอวิ๋นลั่วเฟิงเพื่อจะแจ้งข่าวแก่พวกเขา
โดยที่ไม่รอให้ข่าวการตายของอวิ๋นลั่วเฟิงไปถึงหูครอบครัวนาง คนจากหุบเขาพิษก็มาถึงหน้าประตูเผ่าผู้ใช้เวทอีกครั้ง หัวหน้าเผ่าผู้ใช้เวทที่กำลังโดนหุบเขาพิษโจมตีจนข้างหนึ่งก้าวไปสู่ความตายก็โชคดีที่ผู้อาวุโสจวินมาถึงแล้วกำจัดคนจากหุบเขาพิษ
ผู้อาวุโสจวินเพิ่งรู้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นหลานสาวของตัวเอง แล้วก็รู้ข่าวว่านางเดินทางมาที่นี่เพื่อตามหากระดูกผู้ใช้เวท จึงรีบตามมาอย่างตื่นเต้น
ใครจะรู้ว่า…เขาจะต้องมาฟังข่าวร้ายแบบนี้
ใครจะไปเข้าใจความรู้สึกของคนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวแล้วออกมาตามหาแต่กลับต้องมาฟังข่าวร้ายทันทีที่มาถึง
ตอนที่ 1449 เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำ (6)
จิตวิญญาณที่กระฉับกระเฉงของผู้อาวุโสจวินลดลงไปหลายสิบปีทันที แม้แต่หลังจากที่เขาออกมาจากเผ่าผู้ใช้เวท แผ่นหลังของเขาก็โค้งงอแล้วแสดงสีหน้าเศร้าโศกอยู่ตลอดเวลา ต้องมีใครสักคนชดใช้กับความเสียใจของชายชราผู้นี้! เขาโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของหุบเขาพิษ ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปที่หุบเขาด้วยตัวเองเพื่อเริ่มการสังหารหมู่
ขณะเดียวกัน…
ข่าวการตายของอวิ๋นลั่วเฟิงก็แพร่ไปทั่วแคว้นแล้วปลุกระดมคนหลายกลุ่ม
ทั้งเมืองบูรพาที่หงหลวนอยู่และเมืองประจิมของสำนักศึกษาเมืองประจิมเองก็มุ่งหน้ามาโจมตีหุบเขาพิษเช่นเดียวกัน แม้ยอดฝีมือจากตระกูลจวินแห่งเมืองวิญญาณจะไม่ได้ลงมือ แต่แค่ผู้อาวุโสจวินคนเดียวก็เพียงพอที่จะทำลายหุบเขาพิษ
ประมุขของหุบเขาพิษสับสนจากความตกใจ ใครจะคิดว่าจะมีใครก็ไม่รู้ในหุบเขากล้าโจมตียอดฝีมือของเมืองเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้เขาโมโหยิ่งขึ้นก็คือไอ้สวะเซี่ยงเฟยหาเรื่องใครไม่ทำ ดันไปหาเรื่องสตรีที่ชื่ออวิ๋นลั่วเฟิง!
ดังนั้นเพื่อความอยู่รอด ประมุขหุบเขาจึงพากลุ่มคนที่เขาไว้วางใจถอยไปตั้งหลักที่ภูผาสุสานกับเขา ถ้าที่ที่อันตรายที่สุดในแผ่นดินหลงเซี่ยวคือป่าในแดนลับแล เช่นนั้นที่ที่อันตรายที่สุดของแคว้นเจ็ดเมืองก็คือภูผาสุสานเทพ ตามตำนานกล่าวว่าแม้เหล่าเทพเซียนจะมาที่ภูผาสุสานเทพก็ยากที่จะหนีออกไปแบบมีชีวิต!
แม้ประมุขหุบเขาพิษอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่ภูผาสุสานเทพ แต่ก็ดีกว่าตกอยู่ในมือของศัตรู ไม่แน่เขาอาจจะโชคดีแล้วรอดชีวิตในภูผาก็ได้…
การกระทำของสมาชิกของหุบเขาพิษมีประสิทธิภาพอย่างมาก เมื่อยอดฝีมือทั้งหลายเห็นว่าพวกเขาหนีเข้าไปในภูผาสุสานเทพ พวกเขาก็หยุดไล่ล่า แต่พวกเขาก็ยังเฝ้าดูอยู่ด้านนอก ถ้าคนจากหุบเขาพิษออกมา พวกเขาจะเข้าไปสังหารทันทีโดยไม่ลังเล!
ขณะที่ทุกคนคิดว่านอกจากคนจากหุบเขาพิษที่หนีเข้าไปในภูผาสุสานเทพแล้วก็คงไม่มีใครเข้าไปอีก แต่ก็มีชายหนุ่มหล่อเหลาสวมอาภรณ์ยาวสีดำมุ่งหน้าเข้าไปในภูผาท่ามกลางสายตาของทุกคน
นอกจากใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขาแล้ว กลิ่นอายของเขาก็ทรงพลังเหมือนกัน ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เขาล้วนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกจนไม่น่าเข้าใกล้จากเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเข้าไปถามเมื่อเห็นเข้าไปในภูผา จนกระทั่งร่างของเขาหายไป ทุกคนถึงพึ่งมีการตอบสนอง
“ชายคนนั้นเป็นใครกัน”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่กลิ่นอายของเขาทรงพลังมากเกินไป ตอนที่ข้ายืนอยู่ข้างเขาเมื่อกี้ ข้ารู้สึกได้ว่าตัวเองถูกปกคลุมไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับว่าชีวิตของข้าสามารถหายไปภายใต้น้ำมือเขาได้ทุกเมื่อ”
การที่สามารถสังหารคนได้เพียงแค่ใช้กลิ่นอายชายคนนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ไม่แน่ว่าอาจจะมีแค่ผู้อาวุโสจากตระกูลจวินเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเขาได้
…
ณ เมืองหลวง
ภายในจวนเก่าแก่หลังหนึ่ง ผู้อาวุโสจวินร้องไห้คร่ำครวญเหมือนเด็กๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
มู่ต้งถอนหายใจ “นี่ก็ผ่านมาสามปีแล้ว ถึงแม้ว่านางจะตายจริง นางก็จากไปเกือบสามปีแล้ว เจ้าจะร้องไห้อีกนานแค่ไหน”
“คนที่ตายไม่ใช่หลานสาวเจ้านี่ เจ้าก็เลยไม่เสียใจ” ผู้อาวุโสจวินสะอึกสะอื้นไม่หยุด “ไอ้พวกสารเลวจากหุบเขาพิษ พวกเขากล้าแตะต้องหลานสาวของชายแก่คนนี้ ถ้าพวกเขาตกอยู่ในกำมือข้าเมื่อไร ชายแก่คนนี้จะทำให้พวกเขาเสียใจยิ่งกว่าความตาย!”
มุมปากของมู่ต้งกระตุก เขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็จบลงที่ปิดปากเงียบอย่างช่วยไม่ได้ ลืมมันซะเถอะ ข้าไม่สามารถยุ่งกับชายแก่คนนี้ได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะพุ่งเข้าไปในภูผาสุสานเทพเพื่อหาทางแก้แค้นกับคนของหุบผาพิษ!
ที่จริงเมื่อสามปีที่แล้วชายชราคนนี้ก็เกือบพุ่งเข้าไปข้างในแล้ว ถ้าเขาไม่เข้าไปหยุดชายชราไว้เสียก่อน ไม่แน่เขาอาจจะไปเป็นอาหารให้สัตว์อสูรวิญญาณในภูผาสุสานเทพแล้ว
“เวลาก็ผ่านไปสามปีแล้ว ไม่แน่คนจากหุบเขาพิษอาจจะตายอยู่ข้างในแล้วก็ได้ สถานที่นั่นอันตรายมาก อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่พวกเราก็ไม่กล้าเข้าไปข้างในแบบไม่ระวังตัว”
ตอนที่ 1450 เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำ (7)
มู่ต้งพูดพร้อมยกยิ้มบิดเบี้ยว “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังไม่เห็นศพของเสี่ยวอวิ๋น แล้วเหตุใดเจ้าถึงมั่นใจว่านางตายแล้ว”
“คนจากเผ่าผู้ใช้เวทบอกว่าหุบเขาพิษเป็นสาเหตุให้หลานสาวข้าตาย!” ผู้อาวุโสจวินพูดรอดฟัน “พวกเขายังรู้สึกได้ว่าภายในดินแดนแห่งจินตนาการเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหลานสาวข้าต้องจากไปแล้วแน่นอน!”
ตอนนั้นเมื่อเขามุ่งหน้าไปเมืองบูรพาและได้รู้จากเจ้าเมืองบูรพาว่าอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นบุตรสาวของจวินเอ๋อร์ เขาตื่นเต้นมากจนสนใจเพียงอย่างเดียวคือรีบหานางให้เจอแล้วกอดนางโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง
แต่ทว่า…โชคชะตามักเล่นตลกกับผู้คนเสมอ ก่อนที่เขาจะได้เจอกับหลานสาว ฝันร้ายก็เกิดขึ้นเสียก่อน
เขาจะไม่เสียใจได้อย่างไร อย่าว่าแต่สามปีเลย ทั้งชีวิตเขาจะลืมความเศร้าโศกนี้ได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
“จวินหลิงเทียน เรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับเสี่ยวอวิ๋น เจ้ามีแผนจะบอกคนตระกูลจวินหรือไม่” มู่ต้งขมวดคิ้วถาม
ชายชราส่ายหน้า “มีแค่ข้าเสียใจคนเดียวก็พอ ทำไมข้าต้องทำให้คนอื่นมาเสียใจกับข้าด้วย ถ้าอวิ๋นเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็คงพานางไปแนะนำกับตระกูลจวิน แต่ในเมื่อนางไม่อยู่กับพวกเราแล้ว ถ้าข้าบอกพวกเขาจะไม่ทำให้ทุกคนเสียใจไปกับข้าหรอกหรือ
ชายชราเริ่มสะอื้นอีกครั้ง น้ำตาเขาไหลดั่งสายน้ำ ทำให้มู่ต้งแสดงสีหน้าจนใจ สามปีที่ผ่านมา เขาต้องนั่งฟังเสียงร้องไห้ของชายชราทุกวัน มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาทรมานขนาดไหน ตาแก่ผู้นี้ไม่กลัวว่าจะร้องไห้จนเป็นใบ้หรือ
แต่ว่า…เมื่อนึกถึงเด็กสาวที่เขียนคำตอบเมื่อตอนนั้น หัวใจของมู่ต้งก็พลันรู้สึกสงสาร
หุบเขาพิษทำให้แผ่นดินนี้เสียอัจฉริยะที่โดดเด่นไปคนหนึ่ง ดังนั้นเขาก็ต้องทนรับผิดชอบ
“จริงสิ จวินหลิงเทียน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อสามปีที่แล้วมีชายหนุ่มมุ่งหน้าเข้าไปในภูผาสุสานเทพ ชายคนนี้ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเสี่ยวอวิ๋นแน่นอน เขาถึงยอมเสี่ยงเพื่อสังหารคนของหุบเขาพิษ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น จวินหลิงเทียนก็หันไปมองมู่ต้ง “ถ้าไม่ใช่เพราะคนเลวอย่างเจ้าขวางข้า ข้าก็คงพุ่งเข้าไปด้านในตั้งนานแล้วเหมือนกัน! ข้าไม่มีทางพอใจจนกว่าจะสังหารคนพวกนั้นได้! แค่ตอนนั้นเจ้าหยุดข้าไว้ยังไม่พอหรือ เจ้ายังต้องมาเฝ้าข้าทุกวันอีก ข้าก็แค่อยากจะแก้แค้นให้หลานสาวก็เท่านั้น”
มู่ต้งอาจจะสู้จวินหลิงเทียนเรื่องทักษะการแพทย์ไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงความแข็งแกร่ง พวกเขาก็ไม่ต่างกันมากนัก ตอนที่เขาพยายามจะเข้าไปในภูผาสุสานเทพ มู่ต้งก็เลยสู้กับเขานานกว่าครึ่งเดือนกว่าเขาจะยอมหยุด ตั้งแต่ตอนนั้นมู่ต้งก็เอาแต่ทำตัวติดกับเขาเพราะกลัวว่าเขาจะพุ่งเข้าไปในภูผาสุสานเทพทันทีโดยไม่ยั้งคิด
“ชายคนนั้นคือจักรพรรดิปีศาจ” ผู้อาวุโสจวินมองหน้ามู่ต้งแล้วถอนหายใจ “ข้าลองถามรอบๆ แล้ว อวิ๋นเอ๋อร์เข้าร่วมการแข่งขันตอนนั้นก็เพื่อมาพบจักรพรรดิปีศาจ พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน”
ผู้อาวุโสจวินเงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดเบาๆ “จักรพรรดิปีศาจต้องเป็นคนที่ภักดีและจริงใจ เขากล้าเข้าไปในภูผาสุสานเทพเพื่อแก้แค้นให้อวิ๋นเอ๋อร์ ตอนนี้ก็ผ่านมาสามปีแล้วตั้งแต่เขาเข้าไปด้านใน แต่ก็ยังไร้วี่แววของเขา”
“ถ้าชายคนนี้คือจักรพรรดิปีศาจ ข้าก็เชื่อว่าเขาจะต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน”
จักรพรรดิปีศาจเป็นตำนานใหม่ของแคว้นเจ็ดเมือง พวกเขาว่ากันว่าเขายังอายุน้อย แต่ความแข็งแกร่งก็เขากับสูงส่งมาก แล้วเขาก็เป็นคนโหดร้าย ไร้เมตตาและอำมหิต ไม่ว่าอย่างไรชายหนุ่มแบบเขาก็ต้องกลับมาได้แบบมีชีวิต!
“มู่ต้ง เจ้าจะตามข้าไปอีกนานแค่ไหน” จวินหลิงเทียนคำรามอย่างโกรธเคืองขณะที่เขายืนขึ้น มู่ต้งเองก็ยืนขึ้นเช่นเดียวกัน ความโกรธปกคลุมใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเขา
ตอนที่ 1451 เวลาไหลผ่านดั่งสายน้ำ (8)
“จนกว่าเจ้าจะล้มเลิกการเข้าไปในภูผาสุสานเทพ ถึงกระนั้นข้าก็ไม่คิดมากถ้าต้องต่อสู้กับเจ้าสักครึ่งเดือนอีกครั้ง”
เมื่อผู้อาวุโสจวินได้ยินเช่นนั้น ความโกรธเขาก็หายไปแล้วทำได้แค่สะบัดแขนเสื้อ ทันทีที่เขาคิดถึงหลานสาวที่น่าสงสารของเขา น้ำตาก็พลันไหลท่วมหน้าเขาอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน หงหลวนที่รู้ดีว่าภูผาในเมืองหลวงอันตรายขนาดไหนก็กำลังหมุนตัวอยู่กลางดงสัตว์อสูรวิญญาณ ความโหดร้ายครอบงำดวงตานางขณะที่แทงอกของสัตว์อสูรวิญญาณอย่างไร้ปรานี
หงหลวนโดนล้อมด้วยสัตว์อสูรวิญญาณจำนวนมาก แม้นางจะมีบาดแผลหลายแห่งแต่นางก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความมุ่งมั่นล้วนๆ ในที่สุดสัตว์วิญญาณตัวสุดท้ายก็ล้มลง นางไอแล้วกระอักเลือดออกมา ใบหน้างดงามซีดเผือดของนางเป็นประกายเมื่อโดนแสงอาทิตย์กระทบใบหน้า
“อวิ๋นลั่วเฟิง รอข้าก่อน!” นางพยายามลุกขึ้นยืนแล้วปาดเลือดที่มุมปาก ดวงตาทรงอำนาจของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “รอจนกว่าข้าจะแข็งแกร่งพอ! ข้าเองก็จะเข้าภูผาสุสานเทพเพื่อไล่ล่าคนพวกนั้นแล้วแก้แค้นให้เจ้าเหมือนกัน! ถ้าพวกเขาโชคร้ายตายในภูผาไปแล้ว ข้าก็จะใช้แส้ฟาดศพพวกเขาร้อยวันเพื่อระบายความเกลียดในใจข้า!”
ความเหนื่อยล้าตลอดหลายวันที่ผ่านมาทำให้ร่างกายของนางอ่อนแอจนเกือบจะทรุดลงพื้น ต้องขอบคุณกระบี่ที่นางปักไว้ที่พื้นทำให้พยุงตัวเองไว้ได้
“อวิ๋นลั่วเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่ข้าเข้าใกล้จุดที่อันตรายที่สุดในแคว้น ข้าก็รู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อข้าคิดถึงเจ้า ข้าก็มีแรงขับเคลื่อนที่จะลงมือมากขึ้น!
“จักรพรรดิปีศาจบอกข้าว่าเจ้ายังไม่ตาย สักวันหนึ่งเจ้าจะมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเรา! แล้วเขาก็จะจัดการกับศัตรูเจ้าก่อนที่เจ้าจะกลับมาและก่อนที่เขาก็เข้าไปในภูผาสุสานเทพ
“ตอนนี้…เจ้าจะออกมาบอกพวกเราว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้หรือยัง”
น้ำตาค่อยๆ ไหลอาบใบหน้างดงามของหงหลวน ดวงตาของนางเป็นประกายโศกเศร้าและเจ็บปวด หัวใจของนางบีบรัดอย่างแรงทุกครั้งที่คิดถึงชื่อ ‘อวิ๋นลั่วเฟิง’ นางเจ็บปวดจนทนไม่ไหว
“อวิ๋นลั่วเฟิง ข้าจะรอเจ้าอีกสักนิด หากเจ้ายังไม่ปรากฏตัว ข้าก็จะเดินทางไปภูผาสุสานเทพเพื่อไล่ล่าคนจากหุบผาพิษ! ถ้าข้าโชคร้ายต้องทิ้งชีวิตไว้ด้านในแล้วจากไปยังโลกหลังความตาย ตอนนั้นพวกเราก็จะได้ทิ้งชื่อพวกเราไว้ข้างกันบนโลกเหมือนเมื่อก่อน!”
สีหน้าของหงหลวนเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นอีกครั้ง นางก้าวเท้าลึกเข้าไปในป่า สามปีที่ผ่านมานางเดินทางไปยังที่ที่อันตรายทุกที่ในแคว้น มีแค่สถานที่แบบนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้นางแข็งแกร่งขึ้น! โชคดีที่นางสามารถหลบหนีออกมาจากสถานที่อันตรายพวกนี้ได้แบบมีชีวิตอยู่…
…
อวิ๋นลั่วเฟิงที่เพิ่งออกจากมิติลวงตาไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นภายในแคว้นเลยแม้แต่น้อย
ที่สำคัญกว่านั้น มิติลวงตาไม่ได้ส่งนางที่ภูผาผู้ใช้เวท แต่ส่งนางมาที่ตีนเขาทันที นี่จึงทำให้นางพลาดโอกาสที่จะรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแคว้นระหว่างสามปีที่ผ่านมา…
“ข้าหายไปสามปี อวิ๋นเซียวและหงหลวนต้องรอข้าอยู่แน่นอน ตอนนี้ข้าต้องไปหาพวกเขา”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ อวิ๋นลั่วเฟิงอาจจะไปที่ภูผาผู้ใช้เวทเพื่อบอกลา แต่ตอนนี้การเดินทางไปบอกลานับเป็นเรื่องเสียเวลาสำหรับนาง…
“อย่างไรก็ตามข้าก็ยังมีบางอย่างที่ต้องทำก่อนจากไป” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่” จีจิ่วเทียนตอบด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์แล้วหันไปมองอวิ๋นลั่วเฟิง
อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้าให้เขาก่อนเดินไปที่บ้านหลังเล็กๆ ในหมู่บ้านเล็กๆ
ข้างนอกบ้านมีชายชราคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ เมื่อเห็นอวิ๋นลั่วเฟิงเดินมาหาเขา เขาก็สะดุ้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น