เล่ห์รักกลกาล 144-156

ตอนที่ 144 เยี่ยนที่แทงข้างหลังจิ่วหุนและเป่ยเฉินอี้

 

 “เอ๋” 


 


 


เซียวเยว่ชิงฟังจบ สีหน้าตะลึงมองเยี่ยเม่ย  เอ่ยละล้าละลังว่า “นี่…นี่จะใช้การได้หรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามอง ถามว่า “ตอนนี้ถามว่าความคิดของข้าใช้ได้หรือไม่ กลายเป็นธรรมเนียมของพวกเจ้าแล้วหรือ” 


 


 


แผนการศึกครั้งก่อน หลูเซียงฮั่วก็มีปฏิกิริยาเช่นนี้  


 


 


เซียวเยว่ชิงตระหนักได้ทันที จริงด้วย ความคิดของผู้นำทัพเขาเชื่อฟังก็พอแล้ว ถึงคราวที่ตัวเองจะถามว่าใช้ได้หรือไม่ที่ไหนกัน ยิ่งไม่ต้องพูด แผนการของเยี่ยเม่ยก่อนหน้านี้ ช่างประเสริฐนักเชียว 


 


 


เขารีบตอบรับ “เข้าใจแล้ว ข้าน้อยจะรีบไปทำทันที แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจได้” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ ก็หันหน้าเตรียมเดินจากไป 


 


 


เยี่ยเม่ยจัดเสื้อผ้าไม่ยับย่นของตน แล้วลุกขึ้น 


 


 


ในขณะที่นางกำลังจะออกจากประตู เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพาอวี้เหว่ยเดินเข้าห้องนาง  


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของชายหนุ่ม มีกลิ่นอายปีศาจ หล่อเหลาเสียจนทำให้คนไม่กล้าละสายตา ทั้งยังล่อลวงให้คนอดใจไม่ไหวต้องมองเขา ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นไอเหนือคนธรรมดา ทำให้คนหวั่นไหว 


 


 


เช้าตรู่ได้พบคนเช่นนี้ ต้องบอกว่าช่างรื่นตานัก 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ถามว่า “ท่านไม่พักฟื้นหรือ” 


 


 


หญิงสาวกล่าวเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสะบัดชายเสื้อ อวี้เหว่ยด้านข้างยื่นถาดอาหาร วางกับข้าวลงบนโต๊ะ จากนั้นรีบถอยไปอยู่หลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยจับจ้องที่โต๊ะ 


 


 


ดวงตาคู่ร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากอย่างแช่มช้า “เยี่ยนต้องพักฟื้นแน่ แต่ว่าไม่อาจไม่กังวลถึงสุขภาพของแม่นางเยี่ยเม่ย จึงนำอาหารเช้ามาส่งให้แต่เช้า หวังว่าความเอาใจใส่ของเยี่ยนจะทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยพึงพอใจ”  


 


 


 “ขอบคุณมาก” เยี่ยเม่ยไม่ใช่คนไม่รู้จักชั่วดี ผู้อื่นตระเตรียมอาหารมาให้ตั้งแต่เช้า นางย่อมต้องขอบคุณ 


 


 


เยี่ยเม่ยนั่งลงที่โต๊ะ ปรายตามองเขาทีหนึ่งเอ่ยว่า “ท่านก็กินด้วยกันสิ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มออกมาทันที รอยยิ้มนั้นสง่างาม ภายใต้ความอ่อนโยนแฝงความยินดีเอาไว้อย่างชัดเจน เขานั่งลงตรงหน้าเยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว 


 


 


คนทั้งสองหยิบตะเกียบ หลังจากองค์ชายสี่คีบกับข้าวให้เยี่ยเม่ยแล้ว ก็เริ่มทำการแทงมีดอีกครั้ง “คุณชายเสี่ยวจิ่ว ยังไม่กลับมาหรือ” 


 


 


คำพูดนี้ของเขาส่งผลต่อความงุ่นง่านในใจของเยี่ยเม่ยทันที 


 


 


เยี่ยเม่ยส่ายหน้า ตอบ “ไม่ พวกเซียวเยว่ชิงออกตามหาทั้งคืนแล้ว ไม่พบเบาะแสเลยสักน้อย” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนใจ ทำท่าทางเศร้าสร้อย เอ่ยปากแช่มช้า “ดูท่าเจ้าหนูเสี่ยวจิ่ว ไม่รู้ถึงความห่วงใยของเจ้าสักนิด” 


 


 


อวี้เหว่ยที่อยู่ด้านหลังเขามุมปากกระตุก มีดนี้แทงออกไปได้ดีนัก… 


 


 


คำพูดนี้กระทบใจเยี่ยเม่ย ทำให้สีหน้านางสงบนิ่งลง ความจริงนางก็รู้สึกว่าเสี่ยวจิ่ววู่ว่ามเกินไป มีปัญหาอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้มิใช่หรือ 


 


 


ไฉนต้องหนีออกจากบ้านด้วยเล่า 


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยอยู่ในห้วงแห่งความโมโห เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เอ่ยช้าๆ คล้ายปลอบโยนว่า “แต่ว่าฝีมือของเขาไม่เลว ต่อให้ไม่กลับมา คิดดูแล้วเขาอยู่ข้างนอกก็ไม่มีทางเสียเปรียบ เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไปนัก” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยว่า “มีเหตุผล ความปลอดภัยของเขาไม่น่าเป็นห่วงเลยสักนิด” 


 


 


เมื่อเอ่ยเช่นนี้ นางก็คลายใจได้มาก 


 


 


อวี้เหว่ยกลอกตา ได้…ได้…เตี้ยนเซี่ยเริ่มล้างสมองแม่นางเยี่ยเม่ยโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้ว เขาบอกแม่นางเยี่ยเม่ยว่าต่อให้เสี่ยวจิ่วไม่กลับมา ก็ไม่มีทางเกิดเรื่อง ความจริงก็คือไม่ต้องยุ่งเลยก็ได้แล้ว 


 


 


ไฉนเมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้เลยว่าเตี้ยนเซี่ยก็มีช่วงเวลาที่มีความคิดลึกซึ้งถึงขั้นนี้… 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มอย่างน่ามอง เอ่ยเสียงราบรื่นว่า “เมื่อคืนลงแรงคนไปตั้งมาก เช้านี้เยี่ยนถามหลูเซียงฮั่วแล้ว ถึงได้รู้ว่ายังหาเบาะแสของเขาไม่พบ หวังว่าเรื่องเช่นนี้ภายหน้าจะไม่เกิดขึ้นอีก อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นคนกังวลใจมากที่สุด แต่ครั้งนี้หลังจากเขากลับมา ภายหน้าเขาก็จะรู้แล้วว่า ทุกคนล้วนห่วงใยเขา” 


 


 


สวรรค์ 


 


 


อวี้เหว่ยแทบอยากปรบมือให้เตี้ยนเซี่ยของเขา 


 


 


คำพูดนี้หมายความว่าอะไรเล่า 


 


 


ทางหนึ่งก็บอกว่าจิ่วหุนไม่คำนึงถึงส่วนรวม ทำให้ทุกคนต้องใช้กำลังคนมากมายไปตามหาเขา 


 


 


อีกด้านหนึ่งก็บอกว่าจิ่วหุนไม่คำนึงถึงความรู้สึกเยี่ยเม่ยเลยสักน้อย ทั้งไม่รู้ถึงความห่วงใยของทุกคน อยากไปก็ไป ไม่ทิ้งร่องรอยสักนิด 


 


 


สุดท้ายยังไม่ลืมบอกว่า เตี้ยนเซี่ยก็กังวลในการกระทำของจิ่วหุน แสดงออกว่าเตี้ยนเซี่ยทั้งใจกว้างและคิดแทนแม่นางเยี่ยเม่ย  


 


 


เป็นดังคาด… 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลับหันมองบุรุษเบื้องหน้าทีหนึ่ง 


 


 


เดิมทีนางคิดว่าความสัมพันธ์แตกหักของจิ่วหุนกับเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไม่พอใจที่นางส่งคนออกตามหาจิ่วหุน คิดไม่ถึงว่าเขายังห่วงใยว่าหาจิ่วหุนพบแล้วหรือยัง 


 


 


ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกซาบซึ้งขึ้นในทันที ด้วยเหตุนี้น้ำเสียงเย็นชาอยู่ตลอดของนางในยามนี้เพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน “ต้องขอบคุณที่ท่านห่วงใยเขา ไม่คิดแค้นเรื่องที่เขาทำให้ท่านบาดเจ็บ” 


 


 


อวี้เหว่ยในยามนี้กลอกตามองขึ้นบนเพดานอีกครั้ง… 


 


 


เรื่องนี้สอนพวกเขาว่า หลังจากก่อปัญหากับผู้อื่นแล้ว จะต้องเล่าเรื่องให้ชัดเจนก่อนจากไป ไม่เช่นนั้นเรื่องราวจะเปลี่ยนเป็นอย่างที่ศัตรูของตนเล่า ส่วนตนก็จะตกหลุมพรางอย่างที่จิ่วหุนประสบอยู่ 


 


 


องค์ชายสี่ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย กลับพยักหน้า ยิ้มเอ่ยช้าๆ ว่า “เขาเป็นน้องชายเจ้า เยี่ยนย่อมเป็นห่วงเขา”  


 


 


คำพูดนี้ยิ่งทำให้เยี่ยเม่ยใจสั่น 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอาใจใส่นาง เพราะนางเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังเอาใจใส่กับจิ่วหุนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับเขาเช่นนี้ นางย่อมรู้สึกซาบซึ้ง 


 


 


ในเวลานี้ หลูเซียงฮั่ววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา 


 


 


เยี่ยเม่ยมองหลูเซียงฮั่วทีหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายเข้ามาอย่างรีบร้อน สีหน้าของนางปรากฏความประหลาดใจ ถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “หรือว่าหาตัวเสี่ยวจิ่วพบแล้ว”  


 


 


 “เอ๋” หลูเซียงฮั่วชะงักงัน รีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ใช่” 


 


 


สีหน้ายินดีของเยี่ยเม่ยหนีไม่พ้นสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเขาไม่เปลี่ยนแปลง แววตากลับมีความเดือดดาลแอบอยู่ 


 


 


เยี่ยเม่ยผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าคาดหวังว่าพวกเขาจะตัวพบเป็นไปได้น้อยมาก 


 


 


หลูเซียงฮั่วรีบประสานมือ เอ่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “องค์ชายสี่ มีราชโองการมาจากในวัง ส่งอี้อ๋องมาเป็นผู้ตรวจการทหาร ไม่เกินวันมะรืนก็จะมาถึงแล้ว”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขาครั้งหนึ่ง กลับคลี่ยิ้มถามว่า “เป่ยเฉินอี้หรือ” 


 


 


หลูเซียงฮั่วรีบพยักหน้า “ขอรับ” 


 


 


อี้อ๋องมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ย่อมเป็นเป่ยเฉินอี้อย่างแน่นอนแล้ว  


 


 


เห็นปฏิกิริยาตอบรับของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความสนใจอยู่ไม่น้อย คิดดูแล้วอีกฝ่ายก็แซ่เป่ยเฉิน เยี่ยเม่ยถามเขาว่า “หรือจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายท่าน” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นหัวเราะ กลอกตามองเยี่ยเม่ย ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “อายุมากกว่าข้าห้าปี เป็นลูกชายที่อายุน้อยที่สุดของฮ่องเต้องค์ก่อน เป็นเสด็จอาของเยี่ยน” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ คล้ายกับเขาคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รีบกล่าวกับเยี่ยเม่ยอีกว่า “เขาผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย ใบหน้าหล่อเหลาก็เพื่อปกปิดจิตใจโหดเ**้ยมดังอสรพิษของเขา แม่นางเยี่ยเม่ยอย่าได้หลงกลเขาเด็ดขาด” 


 


 


อวี้เหว่ยหมดคำพูด เตี้ยนเซี่ยท่านเสพติดการใช้มีดแทงข้างหลังใช่หรือไม่ แทงข้างหลังจิ่วหุนยังไม่พอ อี้อ๋องก็โดนไปด้วย 

 

 

 


ตอนที่ 145 เตี้ยนเซี่ย สังหารจิ่วหุนออกจะโหดเหี้ยมเกินไปหรือไม่

 

หลูเซียงฮั่วก็ตัวสั่นมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


ถึงบอกว่าในระยะนี้ ยามที่อยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย องค์ชายสี่เปลี่ยนไป มีอารมณ์ดีขึ้นมาก แต่ว่าในใจของตนก็ยังไม่อาจควบคุมอาการตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้เมื่อได้พบองค์ชายสี่  


 


 


ได้ฟังคำวิจารณ์อี้อ๋องขององค์ชายสี่ เขาก็ทำได้แค่…แค่กๆๆ… 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลับปรายตามองเขา “เลวร้ายถึงขั้นนี้เชียวหรือ” 


 


 


ดูจากท่าทีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีต่อเป่ยเฉินอี้แล้ว แตกต่างกับการที่เขาไม่เห็นเป่ยเฉินเสียงอยู่ในสายตา เยี่ยเม่ยพลันตระหนักได้ อี้อ๋องผู้กำลังเดินทางมานี้ เกรงว่าจะเป็นคนไม่ธรรมดา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองหลูเซียงฮั่ว จากนั้นรีบมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ถามแม่ทัพหลูได้” 


 


 


สายตาของเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปหยุดอยู่ที่หลูเซียงฮั่วอย่างรวดเร็ว  


 


 


หลูเซียงฮั่วก็ไม่รู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาไม้ไหน แต่ว่าก็พูดความจริงออกไป “แม่นางเยี่ยเม่ย อี้อ๋องได้รับขนานนามว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า เรื่องราวต่างๆในโลกล้วนอยู่ในการคำนวณของเขา ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ขอเพียงคนที่เขาต้องการจัดการ ล้วนไม่มีใครมีจุดจบที่ดี ศึกใดๆ ที่เขาร่วมรบ ราชสำนักเป่ยเฉินล้วนได้รับชัยชนะ…”  


 


 


เยี่ยเม่ยฟังมาถึงบัดนี้ ถามอย่างสงบว่า “ฟังอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะเป็นคนที่มีความสามารถเกินคนทั่วไป” 


 


 


 “แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ…” หลูเซียงฮั่วปรายตามองเยี่ยเม่ย เอ่ยต่อ “อี้อ๋องมีนิสัยประหลาด เขาทำอะไรไม่สนใจวิธีการ ต้องการเพียงผลลัพธ์ ขอเพียงเอาชนะได้ ใครจะเป็นตาย ในสายตาเขาแล้วไม่ต้องเอ่ยถึง ต่อให้เป็นผู้มีพระคุณของเขาก็ตาม” 


 


 


เมื่อคิดถึงสงครามเมื่อสี่ปีก่อน ทุกคนต่างก็หวาดกลัวอยู่ในใจ 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังถึงตรงนี้ ค่อยคิดได้ว่า “ความหมายของท่านคือ เขาเป็นคนไร้หัวใจคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ” 


 


 


 “บอกว่าอย่างนั้นก็ได้” หลูเซียงฮั่วรีบตอบ 


 


 


คนทั้งใต้หล้ามีความเห็นเกี่ยวกับอี้อ๋องเช่นเดียวกัน แต่ไหนแต่ไรมาอี้อ๋องก็ไม่เคยใส่ใจว่าคนอื่นวิจารณ์เขาอย่างไร 


 


 


เมื่อพูดคุยมาจนตอนนี้ เป่ยเฉินอี้ที่ยังไม่ปรากฏกายก็มีภาพลักษณ์ไม่ดีนักในใจเยี่ยเม่ยแล้ว คนฉลาดผู้หนึ่ง มีสติปัญญาเหนือล้ำคนทั่วไป ควรค่าแก่การชื่นชม แต่ในขณะเดียวกันก็เลือดเย็นไร้จิตใจ อย่างนั้นก็หาใช่คนที่คู่ควรคบหา 


 


 


ถึงยามนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังรู้สึกว่าไม่พอ ค่อยๆ เสริมขึ้นมาจากด้านข้างว่า “อีกอย่างเสด็จอาของเยี่ยนผู้นี้ มีคนในดวงใจแล้ว นางตายไปหลายปีฝังร่างไว้ที่จวนอ๋อง หลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเสด็จพ่อพระราชทานสมรสกี่ครั้งก็ถูกปฏิเสธจนหมด สตรีที่เข้าใกล้เขาเพราะแผนการ ไม่ตายก็บาดเจ็บ ดังนั้นแม่นางเยี่ยเม่ยต้องอยู่ห่างเขาไว้หน่อย” 


 


 


เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หลูเซียงฮั่วที่ไม่เข้าใจมาตลอด ก็นับว่าเข้าใจความคิดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว 


 


 


พูดอยู่ตั้งนานที่แท้กลัวว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะมีใจให้กับอี้อ๋อง 


 


 


จริงอยู่ที่ในบรรดาบุรุษที่โดดเด่นที่สุดในใต้หล้ารวมอี้อ๋องอยู่ในนั้นด้วย องค์ชายสี่ในยามนี้ชอบแม่นางเยี่ยเม่ย กลัวอี้อ๋องจะแย่งไปก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็เอ่ยความเห็นออกมา “ดูท่าเสด็จอาของท่าน ไม่ใช่ไร้ใจไปทั้งหมด เพียงแค่มีใจให้กับคนรักเท่านั้น” 


 


 


ไม่เช่นนั้นไฉนถึงเย็นชากับผู้อื่น แต่กลับฝังคนรักไว้ข้างกาย ซ้ำผ่านมาหลายปีแล้วไม่แต่งงานกันเล่า 


 


 


เมื่อนางเอ่ยจบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก 


 


 


จากนั้นประโยคถัดมาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกือบทำให้เยี่ยเม่ยสำลักตาย 


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของเขา ค่อยๆ เอ่ยว่า “แต่แม่นางเยี่ยเม่ย คนรักของเขาผู้นี้ ถูกเขาทำร้ายจนตาย ไม่เพียงแค่นั้น เพราะแผนการของเขา พ่อแม่และตระกูลของคนรักเขาล้วนถูกฆ่าตายหมดสิ้น ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว คนรักของเขายินยอมตาย ไม่ยอมอยู่ข้างกายเขา สุดท้ายฆ่าตัวตายต่อหน้าทุกคน” 


 


 


 “แค่ก…แค่ก…” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำให้เยี่ยเม่ยตกใจได้สำเร็จ 


 


 


หญิงสาวไอโขลกหลายที 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบลุกขึ้น ลูบหลังให้เยี่ยเม่ยอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างมาก 


 


 


อวี้เหว่ยและหลูเซียงฮั่วเห็นฉากนี้ ล้วนรู้สึกว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตก และตกลงทางทิศตะวันออกเป็นแน่แล้ว ต่อให้ฝันพวกเขายังคิดไม่ถึง องค์ชายสี่จะมีวันที่เอาใจใส่คนเช่นนี้  


 


 


เยี่ยเม่ยสำลักอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกว่าอาหารเบื้องหน้าไม่น่ากินอีกแล้ว อีกทั้งหันหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง “ท่านพูดถูก คนผู้นี้ข้าต้องอยู่ห่างเขาให้มากหน่อย” 


 


 


ใจดำอำมหิตได้ถึงขั้นนี้ ย่อมต้องหลีกหนีห่างหน่อยถึงจะปลอดภัย 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยจบ ก็ย้ำอีกรอบว่า “หากเป็นไปได้ พยายามอย่าให้เขาเข้าใกล้ข้า” 


 


 


ไม่เช่นนั้น อาศัยความเป็นธรรมที่อยู่ในใจตนเอง นางยังไม่รู้ว่าตนจะชี้หน้าด่าเขาเป็นบุรุษสารเลว เพื่อทวงความยุติธรรมแทนคนรักที่ตายไปแล้วของเขาหรือไม่ 


 


 


ผลลัพธ์เช่นนี้ องค์ชายสี่ย่อมยินดีเป็นอย่างมาก 


 


 


เขารีบพยักหน้า เอ่ยเชื่องช้าน่าฟัง “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจ เมื่อเขามาถึงแล้ว เยี่ยนจะให้คนจัดที่พักของเขาให้ห่างจากเจ้ามากที่สุด พยายามไม่ให้ได้พบหน้า” 


 


 


 “อืม” 


 


 


เยี่ยเม่ยตอบรับคำหนึ่ง ทว่านางเองก็เข้าใจว่าไม่พบหน้าเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ 


 


 


อย่างไรอีกฝ่ายก็มีฐานะเป็นผู้ตรวจการทหาร ส่วนตัวนางเป็นผู้นำทัพ มีเหตุผลไหนกันที่ผู้ตรวจการทหารกับผู้นำทัพจะไม่พบหน้า แต่เจอกันได้น้อยเท่าไหร่ก็เท่านั้นเถอะ 


 


 


อวี้เหว่ยและหลูเซียงฮั่วในเวลานี้กวาดตามอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่สมใจปรารถนา   


 


 


ถึงแม้… 


 


 


การกำจัดศัตรูหัวใจตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นนี้ออกจะไร้คุณธรรม แต่คำพูดขององค์ชายสี่ทุกคำล้วนเป็นความจริง ไม่ได้ใส่ความอี้อ๋องเลยสักน้อยนิด ทว่าไม่รู้เพราะอะไร….  


 


 


พวกเขารู้สึกว่าการแทงข้างหลังเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่มีเกียรติ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลูบหลังไปได้หลายที เยี่ยเม่ยก็ค่อยหายใจคล่อง ไม่สำลักไออีก จากการที่เขาช่วยลูบหลังนางเบาๆ บรรยากาศระหว่างทั้งสองค่อยๆ มีความลึกซึ้งขึ้นมาบ้าง 


 


 


ใบหน้าเยี่ยเม่ยค่อยๆ แดงเล็กน้อย หันกลับไปมองเขา เอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว” 


 


 


 “อืม” เขาดึงมือกลับมา ไม่สัมผัสนางอีก 


 


 


ทว่าจู่ๆ เรียวนิ้วยาวพลันยื่นออกไป จับปอยผมที่แตกออกบดบังการมองเห็นตรงหน้าผากนางไปทัดหลังใบหู เรียวนิ้วของเขาบังเอิญสัมผัสโดนใบหูของเยี่ยเม่ยพอดี นางรู้สึกว่าใบหูร้อนวูบ หน้ายิ่งทวีความร้อนแรงกว่า 


 


 


นางไม่รู้ว่าเพราอะไร ขอเพียงเขาสัมผัสถูกกาย นางก็รู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งไม่รู้สึกปฏิเสธ แต่กลับมีความรู้สึกอยากวิ่งหนีออกไปให้ไกล 


 


 


ดังนั้นนางลุกขึ้นโดยฉับพลัน เอ่ยปากว่า “ข้าอิ่มแล้ว ข้าจะไปค่ายทหารก่อน ท่านค่อยๆ กินไปเถอะ” 


 


 


พูดจบ เยี่ยเม่ยก็รีบหนีอย่างร้อนรน ก้าวเท้ากว้างๆ จากไป 


 


 


ความร้อนบนใบหน้ายังไม่ลดลง 


 


 


เห็นปฏิกิริยาตอบรับเกินเหตุของเยี่ยเม่ย องค์ชายสี่ไม่คัดค้าน สีหน้ากลับมีแววขบขัน เขาเข้าใจว่าเป็นอาการหวั่นไหวของนาง ไม่เช่นนั้นจากนิสัยของเยี่ยเม่ย เกรงว่าจะลงมือกับเขาแล้ว 


 


 


หลูเซียงฮั่วยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ได้ฟังว่าจะไปค่ายทหาร ก็รีบติดตามไป 


 


 


อวี้เหว่ยมองเจ้านาย ถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่าน…” 


 


 


พูดยังไม่ทันจบ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา เอ่ยปากว่า “จิ่วหุน หากเป็นไปได้ เยี่ยนหวังว่าเขาจะไม่กลับมาอีก” 


 


 


อวี้เหว่ยเข้าใจในทันที แต่ “เตี้ยนเซี่ย ฆ่าเขาออกจะโหดเ**้ยมเกินไปหรือไม่” 

 

 

 


ตอนที่ 146 ก็ให้เยี่ยนรับมือแทนนางเถอะ

 

อวี้เหว่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรั้งสายตามามองเขา 


 


 


ดวงตาชั่วร้ายคู่นั้นมีความสงสัย สีหน้าดูแล้วอ่อนโยนมาก ทว่ากลับทำให้อวี้เหว่ยรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ ปล่อยให้เขามีชีวิตกลับมา ปรากฏกายอยู่ข้างแม่นางเยี่ยเม่ยทุกวัน สุดท้ายก็แย่งแม่นางเยี่ยเม่ยที่เยี่ยนรักไป ถึงไม่เรียกว่าโหดเ**้ยมอย่างนั้นหรือ” 


 


 


อวี้เหว่ยยามนี้ตัวสั่น “เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าได้แตกตื่นเกินไป ข้าน้อยมิได้หมายความว่าเช่นนี้” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ มือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนวางบนบ่าอวี้เหว่ย น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นเบาสบายว่า “อวี้เหว่ย เจ้าต้องเข้าใจ ใจอ่อนกับศัตรูหัวใจ ก็เท่ากับเ**้ยมโหดกับตัวเอง” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ ค่อยๆ กล่าว “หากเยี่ยนปล่อยแม่นางเยี่ยเม่ยไป ทำให้จิ่วหุนซาบซึ้งและรู้สึกผิดต่อเยี่ยน เช่นนั้นจะไม่ทำให้ชั่วชีวิตนี้ของเขาไม่อาจเป็นสุขได้หรอกหรือ ดังนั้นเพื่อให้ชีวิตสั้นๆ ของจิ่วหุนผ่านไปได้อย่างไม่ติดค้าง ก็ฆ่าเขาเถอะ เยี่ยมยินยอมเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นมาตลอด เพื่อให้เขาไม่ต้องรู้สึกผิดในใจ เยี่ยนได้แต่แบกรับชื่อเสียงโหดร้ายฐานฆ่าคนแล้ว” 


 


 


อวี้เหว่ยเงียบไป 


 


 


อ้อ ดังนั้นท่านคิดออกคำสั่งให้สังหารจิ่วหุน ยังบอกว่าเป็นการดีกับจิ่วหุนด้วยใช่หรือไม่  


 


 


ท่านยังบอกว่าเสียสละตัวเองแล้วใช่ไหม 


 


 


ได้ ท่านหน้าตาดี พูดอะไรก็ถูกไปหมด 


 


 


 “ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปจัดการ แต่ว่าเตี้ยนเซี่ย วรยุทธ์ของจิ่วหุนท่านก็รู้ดี คิดจะฆ่าเขาไม่ใช่ว่าจะสำเร็จได้” อวี้เหว่ยพูดตามจริง นอกเสียจากเตี้ยนเซี่ยลงมือเอง ไม่เช่นนั้นคิดเอาชีวิตจิ่วหุน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ก็ไม่ใส่ใจ 


 


 


ท่าทางสง่างามจัดชายเสื้อ ค่อยๆ เอ่ยว่า “หากฆ่าไม่ได้ ก็ทำให้เขาบาดเจ็บหน่อย หาตัวเขาพบช้าไปอีกหลายวันก็ดี จำไว้ ต้องปิดเป็นความลับ เรื่องนี้เยี่ยนไม่ต้องการให้เข้าหูแม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


อวี้เหว่ย พยักหน้า “ขอรับ เตี้ยนเซี่ยวางใจได้” 


 


 


ถึงเขาจะชอบบ่นเตี้ยนเซี่ย แต่ก็ยังรู้จักขอบเขต  


 


 


อวี้เหว่ยกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ ถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านยังจะกินต่อหรือไม่” 


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยก็จากไปแล้ว 


 


 


อีกอย่างเขามองออก เตี้ยนเซี่ยมาส่งอาหารนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง เขาตั้งใจมาแทงข้างหลังคนต่างหากที่เป็นเรื่องจริง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยว่า “เยี่ยนอิ่มแล้ว” 


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาพลันคิดอะไรได้ ปรายตามองอวี้เหว่ย “ก่อนเป่ยเฉินอี้มาถึง จับตาดูการเคลื่อนไหวของทุกคนไว้ให้ดี อย่าให้เขายื่นมือมาได้ยาวเกินไป อย่างไรเสียเขาก็ถนัดการก่อเรื่องไม่เป็นเรื่องมาโดยตลอด”  


 


 


อวี้เหว่ยรีบพยักหน้า “ขอรับ ข้าน้อยจะระวังไว้ ตามความเคยชินของอี้อ๋อง เดินหมากก้าวหนึ่งต้องวางแผนล่วงหน้าไว้สามก้าว ก่อนเขาจะมาถึงชายแดน เป็นไปไม่ได้ว่าจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวก่อนแล้ว” 


 


 


ส่วนที่บอกว่าอี้อ๋องถนัดสร้างเรื่อง ก่อเรื่อง จุดนี้อวี้เหว่ยเห็นด้วย เมื่อคิดถึงคดีที่อี้อ๋องก่อขึ้นมา อวี้เหว่ยพลันตัวสั่น  


 


 


แต่หลังจากเอ่ยจบแล้ว อวี้เหว่ยกลับแปลกใจอยู่บ้าง เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “แต่ว่าเตี้ยนเซี่ย ท่านไม่คล้ายคนที่ใส่ใจรายละเอียด ท่านไม่สนใจใต้หล้า ทั้งยังไม่สนใจกำลังทหาร ต่อให้อี้อ๋องสอดมือเข้ามา ท่านก็สมควรไม่ใส่ใจ” 


 


 


เมื่อก่อนเตี้ยนเซี่ยไม่เคยให้เขาระวังเรื่องเหล่านี้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองอวี้เหว่ย ถอนใจคำหนึ่ง สายตาชั่วร้ายไม่คล้ายมองคนผู้หนึ่ง แต่กำลังมองหมูตัวหนึ่ง 


 


 


เขาอธิบายแช่มช้าว่า “เยี่ยนย่อมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่เวลานี้ผู้นำทัพคือแม่นางเยี่ยเม่ย เมื่อเป่ยเฉินอี้สอดมือเข้ามา จะทำให้แต่ละก้าวของนางถูกจำกัด หากเพราะเหตุนี้ทำให้นางได้รับความลำบาก เยี่ยนจะเสียใจจนนอนไม่หลับ” 


 


 


อวี้เหว่ยถอนใจ “ดังนั้นต่อจากนี้ไป ท่านไม่อาจอยู่อย่างสบายได้แล้ว” 


 


 


 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มจางๆ ตอบว่า “ไม่ผิด อาศัยความสามารถของนางต่อกรกับต้ามั่ว รับมือกับบรรดาแม่ทัพในชายแดนได้ไม่จบสิ้น ดังนั้นเรื่องก่อนหน้านี้ เยี่ยนสอดมือเข้าไปยุ่งน้อยมาก นางก็ไม่หวังให้เยี่ยนเข้าไปยุ่งด้วย แต่เป่ยเฉินอี้ ในเมื่อเขามาแล้วย่อมต้องมีการเตรียมตัว ความเจ้าเล่ห์ของคนผู้นั้น ทั้งใต้หล้าไม่แน่ว่าจะมีคนรับมือได้ ก็ให้เยี่ยนช่วยรับมือเถอะ” 


 


 


อวี้เหว่ยพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” 


 


 


พูดไปเขายังแอบมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพียงรู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยช่างใส่ใจแม่นางเยี่ยเม่ยมากเหลือเกิน เมื่อก่อนหากใครพูดเรื่องรับมือกับเตี้ยนเซี่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องทำให้อีกฝ่ายเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกแน่ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งการ “ไปได้แล้ว” 


 


 


 “ขอรับ” 


 


 


อวี้เหว่ยจากไปอย่างว่องไว 


 


 


   …… 


 


 


ตำหนักหลิงซาน 


 


 


เป่ยเฉินเสียงมารอหน้าประตูตำหนักตั้งแต่เช้าตรู่ 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอเฝ้าอยู่หน้าประตู เห็นเป่ยเฉินเสียงก็ยื่นขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้กับองค์ชายใหญ่ จากนั้นกล่าวว่า “การมาขององค์ชายใหญ่ จวินซ่างรู้แต่แรกแล้ว นี่คือยาถอนพิษหนอน ทั่วหล้ามีเพียงขวดเดียว หวังว่าหลังจากองค์ชายใหญ่เสวยยาถอนพิษแล้ว บุญคุณความแค้นที่มีต่อองค์ชายสี่จะมลายหายสิ้น”  


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ สายตาของเป่ยเฉินเสียงมีแววโกรธขึง 


 


 


ไม่รีบร้อนรับขวดยาไว้ กลับถามย้อน เป่ยเจี้ยนเกอคำหนึ่ง “ตัวข้าอยากรู้ว่าไฉนจวินซ่างถึงได้เข้าข้างเขาเช่นนี้” 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอมองเป่ยเฉินเสียงอย่างแปลกใจ “คำพูดขององค์ชายใหญ่ผิดแล้ว ทั่วหล้ามียาถอนพิษเพียงขวดเดียว จวินซ่างมอบให้ท่านแล้ว องค์ชายใหญ่ไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง ซ้ำยังรู้สึกว่าจวินซ่างเข้าข้างองค์ชายสี่ นี่คือเหตุผลอันใดกัน” 


 


 


 “จวินซ่างมอบยาถอนพิษออกมาเพื่อเป่ยเฉินเสียงจริงๆ หรือว่าเพราะหากข้าไม่ได้รับยาถอนพิษ ภายหน้าจบชีวิตลงเพราะพิษหนอน ราชวงศ์จะไม่ละเว้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกันแน่” เป่ยเฉินเสียงเอ่ยถามเสียงดัง 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอเห็นเขาพูดเช่นนี้ ใบหน้าอ่อนโยนค่อยๆ เคร่งขรึม เอ่ยไปตามหน้าที่ “ในเมื่อองค์ชายใหญ่เข้าใจเหตุผลนี้ ไยต้องถามเล่า หากราชวงศ์เอาผิดลงมา ตามนิสัยองค์ชายสี่ย่อมไม่ยอมให้จัดการ เมื่อถึงเวลานั้นราชสำนักเป่ยเฉินเกิดความโกลาหล นี่คือสิ่งที่องค์ชายใหญ่อยากเห็นอย่างนั้นหรือ”  


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเจี้ยนเกอเสริมขึ้นอีกว่า “ดังนั้น แทนที่จะบอกว่าจวินซ่างทำเพื่อท่านหรือเพื่อองค์ชายสี่ มิสู้บอกว่าจวินซ่างทำเพื่ออนาคตของราชสำนักเป่ยเฉิน” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงฟังแล้ว โทสะยังไม่ลดลง แผดเสียงสูง “หากจวินซ่างเห็นแก่ราชสำนักเป่ยเฉินจริง ก็สมควรสังหารเป่ยเฉินเสียเยี่ยนซะ เพื่อป้องกันเภทภัยในภายหลัง” 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอสีหน้าเย็นชา เอ่ยว่า “องค์ชายใหญ่ จวินซ่างจัดการอย่างไร ไม่ต้องให้ท่านสั่งสอน ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของจวินซ่างกับองค์ชายสี่ ท่านไม่ใช่ไม่เข้าใจ คนมิใช่ท่อนไม้ จะไร้หัวใจได้หรือ พวกท่านต้องบีบให้จวินซ่างลงมือกับองค์ชายสี่ให้ได้ หรือว่าเป้าหมายของพวกท่านคือเห็นจวินซ่างลำบากใจ”  


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยคำพูดแรงๆ ออกไปแล้ว 


 


 


สีหน้าเป่ยเฉินเสียงในเวลานี้เดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดขาว “ข้า…ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอเสียงเย็นชา “นี่คือยาถอนพิษ องค์ชายใหญ่จะรับหรือไม่ก็แล้วแต่ ข้าน้อยกลับไปรายงานก่อน” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงไม่เอ่ยอะไรอีก ยื่นมือออกไปรับยาถอนพิษ เอ่ยปากว่า “ข้าขอพบจวินซ่างสักครั้งหนึ่ง” 

 

 

 


ตอนที่ 147 เป็นศัตรูกับเสินเซ่อเทียน ยังโง่เขลากว่าเป็นศัตรูกับสวรรค์

 

เดิมคิดว่าไม่ว่าพูดอย่างไร ตนก็เป็นถึงองค์ชาย ทั้งยังเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป เสินเซ่อเทียนก็สมควรไว้หน้าเขาบ้าง 


 


 


จากนั้นเมื่อเป่ยเจี้ยนเกอฟังแล้ว เพียงแค่มองเป่ยเฉินเสียงทีหนึ่ง ค้านว่า “องค์ชายใหญ่รับยาไปแล้วก็กลับไปเถอะ จวินซ่างบอกแล้วว่า วันนี้ไม่อยากตื่นเช้า ไม่รับแขก”  


 


 


เป่ยเฉินเสียงมุมปากกระตุก 


 


 


เขาเคยคิดถึงเหตุผลต่างๆ ที่เสินเซ่อเทียนปฏิเสธเขา แต่คิดไม่ถึงเลย อีกฝ่ายจะใช้เหตุผลธรรมดาถึงเพียงนี้ ไม่อยากตื่นเช้า 


 


 


เป่ยเฉินเสียงสีหน้าคล้ำ เอ่ยว่า “อย่างนั้นข้าจะรอถึงช่วงสาย หรือไม่ก็กลางวัน รอจนกระทั่งจวินซ่างตื่นนอน” 


 


 


ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขาจะต้องคุยกับเสินเซ่อเทียนให้ได้ 


 


 


เขารู้ดีว่าในสายตาเสินเซ่อเทียนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเสด็จพ่อและความมั่นคงของเป่ยเฉิน เขาจะแยกแยะกับเสินเซ่อเทียนให้ดีว่า การดำรงอยู่ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสำหรับราชสำนักเป่ยเฉินแล้วถือเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง 


 


 


เพื่อไม่ให้เสินเซ่อเทียนปล่อยเจ้าปีศาจตัวนี้ไปเพราะความรู้สึกส่วนตัว 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอมองเป่ยเฉินเสียง เอ่ยค้านต่อไป “จวินซ่างบอกว่า ช่วงสายวันนี้จะไปตกปลา ตอนบ่ายไปชมดอกไม้ ตอนดึกชมจันทร์ วันนี้ไม่มีเวลาพบใครทั้งนั้น หากเตี้ยนเซี่ยต้องการพบจวินซ่าง เกรงว่าจะต้องเชิญฝ่าบาทเสด็จมาเท่านั้น” 


 


 


คำพูดนี้เอ่ยออกมาอย่างชัดเจน นอกจากเห็นแก่ฝ่าบาท เสินเซ่อเทียนไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น 


 


 


เป่ยเฉินเสียงหน้าเดี๋ยวก็หมองคล้ำเดี๋ยวก็ซีดเซียว มองเป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยว่า “ไม่อาจผ่อนผันได้เลยสักนิดหรือ”  


 


 


 “ไม่อาจ” เป่ยเจี้ยนเกอยังปฏิเสธต่อไป 


 


 


คราวนี้เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา ด้านหลังเป่ยเฉินเสียงยังมีเหล่าองครักษ์เฝ้าดูฉากนี้ เป่ยเฉินเสียงรู้สึกเพียงว่าชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยรู้สึกวางตัวลำบากเท่านี้มาก่อน 


 


 


เป่ยเฉินเสียงแค่นเสียงเย็นชา สะบัดชายเสื้อ ใบหน้าตึงหมุนกายจากไป จากนั้นเอ่ยถ้อยคำรุนแรงเพราะความเสียหน้าของตน “หวังว่าจวินซ่างจะไม่เสียใจที่ไร้มารยาทกับข้าในวันนี้” 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอฟังแล้ว มองแผ่นหลังขององค์ชายใหญ่ กลับหัวเราะออกมา “ก็หวังว่าองค์ชายใหญ่จะไม่เสียใจกับคำพูดเมื่อครู่ของท่าน”  


 


 


แผ่นหลังเป่ยเฉินเสียงแข็งทื่อไป ทั้งเข้าใจว่าเป่ยเจี้ยนเกอไม่พอใจในคำพูดของเขา 


 


 


แต่คำพูดที่เอ่ยออกไป ก็ไม่มีเหตุผลให้ถอนคำกลับ เขาเดินหน้าจากไป 


 


 


   …… 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอแค่นเสียงหัวเราะ หมุนกายกลับตำหนัก  


 


 


ตำหนักนี้สร้างอย่างหรูหรา ทว่าภายในกลับตกแต่งอย่างเรียบง่ายธรรมดา ดูคล้ายที่พำนักของผู้สูงส่ง 


 


 


ประตูหลักของตำหนักกำลังเปิดออก  


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอยืนอยู่ที่ประตู ค้อมเอวลง “จวินซ่าง องค์ชายใหญ่จากไปแล้ว เขายืนยันขอพบท่านให้ได้ ข้าน้อยตอบปัดไปแล้ว” 


 


 


เมื่อเอ่ยจบ เป่ยเจี้ยนเกอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเสริมต่อว่า “เพราะท่านไม่ยอมให้องค์ชายใหญ่พบ เขาโมโหมาก ทั้งยังเอ่ยว่าหวังว่าท่านจะไม่เสียใจกับการกระทำไร้มารยาทในวันนี้” 


 


 


เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา เป่ยเจี้ยนเกออยากหัวเราะนัก อาศัยคนอย่างองค์ชายใหญ่ ถึงกับกล้าเอ่ยวาจารุนแรงเช่นนี้หน้าประตูตำหนักหลิงซาน 


 


 


คำพูดนี้ดึงความสนใจของเสินเซ่อเทียน  


 


 


ภายในน้ำเสียงที่เปล่งออกมามีความกดดันแฝงความสูงศักดิ์ คล้ายกับมีความน่าเกรงขามติดตัวมาแต่กำเนิด น้ำเสียงฟังไม่ออกว่ายินดีหรือโมโห “เป่ยเฉินเสียงลืมไปแล้วหรือว่า แผ่นฟ้าสูงเพียงไหน” 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอก้มหน้า ถามว่า “จวินซ่าง จะลงมือไหม” 


 


 


เขารู้สึกว่าความจริงองค์ชายใหญ่สมควรได้รับบทเรียน 


 


 


เสินเซ่อเทียนยิ้มบางๆ น้ำเสียงน่าเกรงขามดังขึ้นอีก “ไม่รู้จักฟ้าสูงอย่างเขา ต้องมีสักวันที่รู้ว่า การเป็นศัตรูกับ เสินเซ่อเทียนยังโง่เขลากว่าการเป็นศัตรูกับสวรรค์อีก เพราะว่าผู้เหนือล้ำกว่าทุกคน มีแต่เสินเซ่อเทียนเท่านั้น ไม่ต้องสนใจเขา ตอนนี้ข้าอยากตกปลาเท่านั้น เจ้าไปเตรียมข้าวของมา” 


 


 


 “ขอรับ”  


 


 


คำตอบของเสินเซ่อเทียนไม่ต่างจากการคาดเดาของเป่ยเจี้ยนเกอนัก 


 


 


ในโลกนี้คนที่อยู่ในสายตาของจวินซ่างมีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย คนที่จวินซ่างยินยอมใส่ใจยิ่งน้อยมากกว่า อีกอย่างกำลังขององค์ชายใหญ่ ยังไม่ถึงขั้นที่อยู่ในสายตาหรือเป็นบุคคลที่จวินซ่างต้องใส่ใจ… 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกอหมุนกายไปเตรียมข้าวของ 


 


 


จู่ๆ เป่ยเจี้ยนเกอก็ฉุกคิดขึ้นได้ ถามอีกคำว่า “จริงสิ จวินซ่าง เป่ยเฉินอี้รับบัญชาไปชายแดนแล้ว” 


 


 


เสินเซ่อเทียนถามเสียงเรียบว่า “เป่ยเฉินอี้หรือ” 


 


 


   …… 


 


 


บนนถนนสายหลัก 


 


 


รถม้าคันหนึ่งวิ่งอยู่บนถนน 


 


 


เหล่าชาวบ้านที่สัญจรไปมาพากันหลบหลีกด้วยสัญชาตญาณ 


 


 


เพราะองครักษ์ที่นำรถม้าถือธงผืนใหญ่เอาไว้ในมือ บนธงนั้นเขียนอักษร “อี้” ตัวใหญ่ไว้ 


 


 


สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้ว่า คนบนรถม้าก็คืออี้อ๋องของพวกเขานั่นเอง 


 


 


ชื่อเสียงของอี้อ๋องในแผ่นดินเป่ยเฉิน ไม่มีใครไม่รู้ ชาวบ้านทั้งรักทั้งหวาดกลัวอี้อ๋องผู้นี้  


 


 


หลายปีผ่านมาแล้ว อี้อ๋องสร้างคุณงามความดีให้แผ่นดินเป่ยเฉินไม่น้อย คนทั้งหลายล้วนเลื่อมใสในตัวเขา แต่ฝีมืออี้อ๋องก็ทำให้คนทั้งหลายฟังอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าเข้าใกล้ มีเพียงความรู้สึกหวาดกลัว  


 


 


บรรยากาศนอกรถม้าตึงเครียด 


 


 


ภายในรถม้า เป่ยเฉินอี้ปิดตาพักผ่อน บนศีรษะเขาสวมที่ครอบผมทองคำ สลักลายสุนัขจิ้งจอก คล้ายแสดงออกถึงจิตใจทะเยอทะยานของเขา นั่นคือกลิ่นอายแห่งราชันย์ที่มีเฉพาะราชนิกุล ทั้งยังเข้มข้นมากกว่าฮ่องเต้มากนัก 


 


 


คนผู้นี้ ขอเพียงมองครั้งเดียวก็ถูกเข้าใจว่าเป็นราชาแต่กำเนิด 


 


 


ส่วนในเวลานี้ สายลมพัดม่านรถม้าเปิดออก 


 


 


เป่ยเฉินอี้ลืมตาขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่าง 


 


 


ชั่วเวลานั้น สติของเขาพลันเลือนราง คล้ายเห็นสตรีที่สดใสน่ารักในรถม้า ชี้ออกไปนอกหน้าต่างยิ้มให้เขา เอ่ยว่า “เป่ยเฉินอี้ท่านดูสิ ข้างนอกคึกคักนัก เป่ยเฉินอี้…” 


 


 


เขายื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ลูบใบหน้าของหญิงสาว 


 


 


ถัดมา สตรีผู้นั้นก็หายไปไม่เห็นอีก ความคึกคักด้านนอกหน้าต่างก็สลายไปไม่เหลือ ที่เหลืออยู่คือบรรยากาศตึงเครียดที่คนยังไม่กล้าหายใจ 


 


 


เขาหัวเราะเสียงขื่น รั้งมือกลับมา “อาซี สี่ปีผ่านไปแล้ว สี่ปีแล้ว อาซี นี่คือการลงโทษใช่หรือไม่” 


 


 


นี่คือการลงโทษหรือ 


 


 


นางตายไปแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีวินาทีไหนที่เขาไม่คิดถึงนาง ไม่อาจลืม ทั้งยังลืมไม่ลง ยิ่งฝืนลืมไม่ได้ นี่คือ…บทลงโทษของสวรรค์ใช่หรือไม่ 


 


 


ม่านรถม้าถูกคนเปิดออก 


 


 


เป่ยเฉินอี้ได้สติ มองไปที่ประตู  


 


 


องครักษ์ผู้หนึ่งเข้ารถม้ามา มองไปยังเป่ยเฉินอี้ “ท่านอ๋อง” 


 


 


สีหน้าเป่ยเฉินอี้กลับมาเป็นปกติ เป็นท่าทางลุ่มลึก น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นว่า “มั่นใจแล้วหรือยัง” 


 


 


 “มั่นใจแล้ว จู่ๆ ที่ชายแดนมีแม่นางนามว่าเยี่ยเม่ยปรากฏตัว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอาใจใส่นางมาก เรื่องก่อนหน้าที่พวกเราได้ยิน ไม่ใช่ข่าวลือ ล้วนเป็นความจริง” องครักษ์รีบรายงาน  


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า ล้วงจดหมายสามฉบับออกจากแขนเสื้อ ส่งให้องครักษ์ “เปิดจดหมายพวกนี้ออกตามลำดับ เรื่องทั้งสาม ทำทีละอย่าง สตรีนางนั้นเป็นหมากสำคัญในแผนการของข้า” 


 


 


องครักษ์พยักหน้า “ขอรับ” 


 


 


หลังจากองครักษ์รับคำสั่งเสร็จก็ถอยออกไป 


 


 


เป่ยเฉินอี้ถอนสายตากลับมา แววลุ่มลึกเหมือนเคย “จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวหรือ การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ กลับทำให้เรื่องราวเปลี่ยนไปน่าสนุกขึ้น” 

 

 

 


ตอนที่ 148 คำชมของฝ่ายตรงข้าม

 

เป่ยเฉินอี้หลับตาลง รถม้ายังคงวิ่งช้าๆ 


 


 


   …… 


 


 


เยี่ยเม่ยอยู่ระหว่างทางไปค่ายทหาร บังเอิญพบซินเยว่เยี่ยนกับซือหม่าหรุ่ยพอดี คนทั้งสองอยู่ในสวนทำเรื่องน่าเบื่อมากอยู่  


 


 


กระโดดเชือก 


 


 


เยี่ยเม่ยใช้สายตาราวกับมองเด็กนักเรียนประถม มองไปที่ทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นซือหม่าหรุ่ยที่จับจังหวะยามกระโดดได้ไม่ดี ขาติดอยู่ที่เชือก 


 


 


เพราะระหว่างกระโดด เชือกหมุนแรงมาก ชั่วครู่ฟาดใส่ขานาง สีหน้าของซือหม่าหรุ่ย บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด  


 


 


แต่ว่าภาพนี้ทำให้เยี่ยเม่ยได้รับแรงบันดาลใจ พลันเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมาได้ สายตาของนางวาวโรจน์ขึ้น 


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยจมอยู่ในห้วงความยินดี ซินเยว่เยี่ยนตามองเยี่ยเม่ย เอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ามาเล่นด้วยกันไหม” 


 


 


เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก  


 


 


พูดไม่ออกจริงๆว่าในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด กระโดดเชือกเป็นกิจกรรมของเด็กนักเรียนชั้นประถม หรือบอกได้ว่า….นักเรียนประถมจำนวนมากก็ไม่เล่นแล้ว นางไม่อยากเป็นเพื่อนเล่นกับแม่นางน้อย 


 


 


ดังนั้นเยี่ยเม่ยโบกมือ “ไม่ล่ะ ข้ายังมีเรื่องต้องทำ พวกเจ้าเล่นต่อเถอะ”  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยก็มองเยี่ยเม่ย นางยกเชือกในมือเดินเข้ามา หัวเร่าะเอ่ยปากว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ ลองเอ่ยมา ไม่แน่พวกเราอาจช่วยเจ้าได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยเพิ่งเตรียมตัวจากไป คิดๆ ดูแล้ว แม่นางทั้งสอง หากให้พวกนางจับตาดูเรื่องนี้ ไม่แน่อาจได้ผลกว่า 


 


 


ดังนั้น เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ก็ดี ข้ามีเรื่องรบกวนพวกเจ้าจริงๆ” 


 


 


จากนั้น เยี่ยเม่ยหันกลับมองหลูเซียงฮั่ว  


 


 


นางเอ่ยตอบเสียงเย็นชาว่า “พวกเจ้าสามคนยื่นหูมานี่” 


 


 


ท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเยี่ยเม่ย คนทั้งสามยื่นหูไป ตอนที่ฟังเยี่ยเม่ยใบหน้าของหลูเซียงฮั่วบูดเบี้ยว 


 


 


ส่วนใบหน้าของ ซือหม่าหรุ่ย และ ซินเยว่เยี่ยนกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น  


 


 


ทั้งสองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แววตาของทั้งสองทอประกายวาวไปตามคำพูดของเยี่ยเม่ย  


 


 


รอจนทุกอย่างเอ่ยจบ 


 


 


เยี่ยเม่ยมองพวกเขาสามคน เอ่ยว่า “อีกเรื่องหนึ่ง ข้าให้เซียวเยว่ชิงไปจัดการแล้ว เรื่องนี้มอบให้พวกเจ้าทั้งสาม ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด” 


 


 


 “อืม” เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเม่ยมอบหมายภารกิจสำคัญให้ซือหม่าหรุ่ย นางเข้าใจดีว่า นี่คือการแสดงออกว่าเยี่ยเม่ยเชื่อใจนาง ดังนั้นนางต้องฉวยโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยังใคร่ครวญอยู่ในสมอง นางคิดจับเยี่ยเม่ยกลับไปเป็นน้องสะใภ้ เวลานี้ย่อมพยักหน้ารัวๆ ยินดีช่วยเยี่ยเม่ยทำงานเป็นอย่างมาก 


 


 


หลูเซียงฮั่วประสานมือ “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจ เรื่องนี้ข้าต้องทำให้สำเร็จแน่ เชื่อว่าความคิดของแม่นาง จะทำให้พวกต้ามั่วเสียเปรียบครั้งใหญ่” 


 


 


   …… 


 


 


ค่ายทหารต้ามั่ว  


 


 


นอกกระโจม เซียวชินสวมหน้ากากยื่นเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองทะเลทราย 


 


 


ในเวลานี้เบื้องหลังเขามีเสียงฝีเท้าดังขึ้น 


 


 


เซียวชินหันหน้ากลับมอง เห็นจิวมั่วเหอในชุดนักบวชเดินเข้ามา 


 


 


จิวมั่วเหอกวาดสายตามองเซียวชิน ยิ้มเอ่ยว่า “จั่วอี้อ๋องในวันนี้ไฉนสวมหน้ากากอีกแล้วเล่า ได้ยินก่อนหน้านี้ จั่วอี้อ๋องถูกเยี่ยเม่ยฟันหน้ากากแตกในสนามรบ เผยโฉมหน้าสง่างามออกมา ใช้หน้ากากปกปิดใบหน้าไว้ จั่วอี้อ๋องไม่รู้สึกเสียดายหรอกหรือ” 


 


 


เซียวชินฟังแล้ว ไม่โกรธเลยสักน้อย เอ่ยตอบเรียบๆ “ตัวข้าไม่เคยสงสัยว่าไฉนท่านต้องสวมชุดนักบวชด้วย ท่านก็มิต้องสงสัยว่าไฉนข้าต้องสวมหน้ากาก คนเรามีชีวิตอยู่ ใส่ใจเรื่องของตัวเองก็ไม่ง่ายแล้ว ไยต้องสงสัยเรื่องผู้อื่น” 


 


 


 “ฮ่าๆๆๆ…” จิวมั่วเหอหัวเราะเสียงดัง 


 


 


เขาย่อมรู้ว่าคำพูดของ เซียวชินแฝงความนัย ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายเสียดสีเขาสวมชุดนักบวช ความจริงแล้วมีใจทะเยอทะยาน เพียงใช้ชุดนักบวชปกปิดความต้องการตำแหน่งราชาต้ามั่วของเขา 


 


 


ส่วนจิวมั่วเหอก็ไม่กลัดกลุ้ม พยักหน้าเอ่ยว่า “จั่วอี้อ๋องเอ่ยไม่ผิด คนเรามีชีวิตอยู่ ใส่ใจเรื่องของตัวเองก็ไม่ง่ายแล้ว ดังนั้นนอกจากตัวจั่วอี้อ๋อง เรื่องอื่นๆ ข้าน้อยหวังว่าท่านจะไม่ยุ่งเกี่ยว” 


 


 


 “ท่านวางใจได้” เซียวชินถอนใจ หันมองจิวมั่วเหอ “ข้าตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้จะเดินทางออกจากต้ามั่ว” 


 


 


จิวมั่วเหออึ้งไป คิดไม่ถึงว่า เซียวชินจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ 


 


 


เซียวชินกวาดตามอง จิวมั่วเหอ ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านกับบิดาลอบถามข้ามาหลายครั้งแล้ว คงไม่เชื่อใจในตัวข้า กังวลว่าข้าจะเป็นหินขวางทางพวกท่าน วันนี้ข้าไม่มีอำนาจทางทหารอีกแล้ว ท่านมีเจตนาร้ายกับข้าเช่นนี้ หากข้ารั้งอยู่ต่อไป เกรงว่าไม่ช้าจะตายอยู่ที่นี่” 


 


 


การคาดเดาของเซียวชิน จิวมั่วเหอไม่ปฏิเสธเลยสักนิด กลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม มองไปรอบด้านที่ไร้ผู้คน 


 


 


จิวมั่วเหอพยักหน้าเอ่ย “หากคนที่จั่วอี้อ๋องภักดีไม่ใช่ท่านข่าน จิวมั่วเหออยากเป็นสหายกับท่าน น่าเสียดาย…” 


 


 


คำพูดของเซียวชินไม่ผิด 


 


 


คนที่อีกฝ่ายภักดีคือท่านข่าน อีกทั้งความสามารถของอีกฝ่ายก็ไม่มีอะไรให้กังขา หากตัวเองขึ้นตำแหน่งราชาต้ามั่ว ไม่อาจไม่กำจัดเซียวชิน 


 


 


จิวมั่วเหอเอ่ยต่อว่า “จิวมั่วเหอหาได้ไร้เดียงสาเช่นท่านพ่อ เมื่อได้รับคำสัญญาว่าจะไม่ขัดขวางจากจั่วอี้อ๋อง ก็คลายความระวังต่อท่าน อย่างไรสิ่งที่อันตราย ยังไงก็ต้องฆ่า ถึงจะปลอดภัย จั่วอี้อ๋องท่านว่าอย่างไร”  


 


 


 “ข้าเข้าใจ” เซียวชินรีบพยักหน้า ทั้งยังชื่นชมจากใน “จิตใจเช่นนี้ของท่าน มีคุณสมบัติเป็นราชา” 


 


 


เทียบกับบิดาของจิวมั่วเหอแล้ว ตัวจิวมั่วเหอเหมาะสมกับตำแหน่งราชามากกว่า 


 


 


หากเขาเซียวชินอยู่ในจุดยืนเดียวกับจิวมั่วเหอ คนแรกที่ต้องกำจัดก็คือตัวเอง 


 


 


เซียวชินเอ่ยออกมาเช่นนี้ จิวมั่วเหอก็ยิ้มออกมา “ฟังออกว่าคำพูดของจั่วอี้อ๋องเป็นคำชมที่มาจากใจ อย่างนั้นจิวมั่วเหอขอรับไว้แล้ว ความจริงจั่วอี้อ๋องก็ไม่จำเป็นต้องจากไป หากท่านยินดีรั้งอยู่ เปลี่ยนจุดยืนของตนช่วยจิวมั่วเหอทำการใหญ่…” 


 


 


เซียวชินมองจิวมั่วเหอ เลิกคิ้ว “ข้าภักดีต่อท่านข่าน ไม่อาจภักดีต่อท่าน จุดยืนของบุรุษผู้หนึ่ง หากเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเช่นนี้ จะต่างอะไรกับการขายนายเพื่อความสูงศักดิ์อีกเล่า”  


 


 


จิวมั่วเหอฟังแล้ว จากนั้นก็ถามเซียวชินอีกประโยคว่า “อย่างนั้น ภายหน้าจั่วอี้อ๋องจะเป็นศัตรูกับต้ามั่วหรือไม่”  


 


 


เซียวชินเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่เกี่ยวพันกับการศึกใดๆ ของต้ามั่วและเป่ยเฉินอีกแล้ว” 


 


 


ถัดมา เซียวชินเอ่ยว่า “เชื่อว่าท่านก็เข้าใจ คิดสังหารข้า สำหรับพวกท่านแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อข้ายินดีจากไป ไม่กลับมาอีก ข้าก็ขอแนะนำท่านว่าอย่าได้สร้างปัญหาแทรกขึ้นมาอีก มิเช่นนั้นข้าก็มิใช่คนที่จะถูกรังแก ในที่สุดแล้วข้าเลือกออกจากต้ามั่ว หรือจะเป็นศัตรูกับตระกูลท่าน ข้าก็คงไม่กล้ารับรอง” 


 


 


นี่คือคำขู่ของของเซียวชิน  


 


 


จิวมั่วเหอหัวเราะ ประสานมือเอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าท่านเป็นคนที่เชื่อถือได้ ย่อมไม่ก่อปัญหาแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้ท่านเดินทางโดยราบรื่น” 


 


 


           “ขอบคุณมาก” เซียวชินพยักหน้า “อย่างนั้นขอเตือนท่านหน่อย การทำศึกกับเยี่ยเม่ย ต้องระวังให้ดี มิเช่นนั้น ท่านอาจจะเสียเปรียบในการศึกเป็นครั้งแรก” 

 

 

 


ตอนที่ 149 ขอร้องเจ้าล่ะ อย่าขายข้าได้หรือไม่

 

จิวมั่วเหอเลิกคิ้ว “ดูท่าจั่วอี้อ๋องจะประเมินนางเอาไว้สูงมาก”


 


 


เซียวชินไม่ปิดบังความชื่นชมเลยแม้แต่นิด มองจิวมั่วเหอเอ่ยว่า “เชื่อว่าท่านก็รู้ ข้าอยู่ต้ามั่วสี่ปี ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แต่ศึกครั้งที่แล้ว ไม่เพียงแค่พ่ายแพ้ ทั้งยังแพ้อย่างหมดรูป ไม่เช่นนั้นท่านก็ไม่มีโอกาสเอาตราคุมทัพของข้าไป”


 


 


จิวมั่วเหอพยักหน้า “นั่นก็จริง”


 


 


เมื่อคืนเขาเจรจากับเยี่ยเม่ย ก็รู้สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา ยามนี้ฟังคำพูดของเซียวชินก็ยิ่งประเมินเยี่ยเม่ยไว้สูงขึ้นไปอีก


 


 


เซียวชินเอ่ยต่อ “การยอมรับศัตรูก็คือยอมรับตัวเอง นางเป็นศัตรูที่คู่ควรกับการเลื่อมใส”


 


 


จิวมั่วเหอมอง เซียวชิน เผยรอยยิ้มที่มิได้ยิ้มเอ่ยว่า “คำเตือนของจั่วอี้อ๋อง ข้าจะจดจำไว้”


 


 


สิ้นเสียง นายทหารผู้หนึ่งพลันวิ่งเข้ามา “แม่ทัพจิวมั่วเหอ มีคนมาหาท่าน”


 


 


เซียวชินมองจิวมั่วเหอ


 


 


ผายมือออกเป็นท่าว่า ‘เชิญ’ จากนั้นเอ่ยว่า “ในเมื่อมีคนมาหา ท่านก็ตามสบายเถอะ”


 


 


จิวมั่วเหอเองก็แปลกใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาหาตน แต่เขาไม่พูดมาก พยักหน้าให้เซียวชิน “ขอตัวก่อน”


 


 


เซียวชินมองส่งจิวมั่วเหอออกไปไกล จากนั้นก็ถอนหายใจ


 


 


เสี้ยวนาทีถัดมา เซียวชินดีดนิ้วทีหนึ่ง ไม่ช้าคนชุดดำผู้หนึ่งปรากฏอยู่ด้านข้างเซียวชิน คนชุดดำผู้นั้นมอง เซียวชินเอ่ยปากว่า “ท่านหมอปีศาจใคร่ครวญดีแล้วหรือยัง”


 


 


คำเรียกหมอปีศาจนี้ ทำให้เซียวชินแค่นหัวเราะ


 


 


คล้ายกับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรกับคำเรียกนี้ดี แต่สุดท้ายแล้วเขาก็หาได้ใส่ใจคำเรียกขานนี้


 


 


เซียวชินมองคนชุดดำ เอ่ยปากเสียงเย็นว่า “ข้ายอมรับเงื่อนไขของอี้อ๋อง เจ้ากลับไปรายงานเถอะ เพียงแต่ หวังว่าอี้อ๋องจะเข้าใจ นอกจากเรื่องนั้นแล้ว เซียวชินจะไม่ทำเรื่องอื่นให้เขา”


 


 


 


 


 “ได้” คนชุดดำพยักหน้า จากนั้นกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อี้อ๋องก็รอท่านหมอปีศาจไปพบแล้ว”


 


 


เซียวชินส่ายหน้า รีบตอบ “เซียวชินจะรออี้อ๋องอยู่ที่ชายแดนเป่ยเฉิน ”


 


 


 “ก็ดี คำพูดของหมอปีศาจ ข้าจะถ่ายทอดไปอย่างแน่นอน”


 


 


คนชุดดำเอ่ยจบ ก็หมุนตัวจากไป


 


 


   ……


 


 


จิวมั่วเหอเดินกลับกระโจมของตน ก็เห็นผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่   


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เข้ามาในกระโจมก็หาที่นั่งให้ตนเอง กินดื่มอย่างเต็มที่


 


 


จิวมั่วเหอมองเขา พลันแค่นหัวเราะออกมา “ลมอะไรถึงหอบท่านผู้เฒ่ามาถึงที่นี่ได้ ท่านอาจารย์”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบห่อปากทำเสียง“ชู่”


 


 


ทั้งใช้ท่าทางราวกับโจรร้อนตัวมองไปรอบทั้งสี่ทิศ ถึงได้เอ่ย “ข้าหลอกศิษย์น้องหญิงเจ้าแล้วว่า เจ้าเป็นลูกศิษย์ของพี่น้องข้า เจ้าอย่าได้ปากพล่อย เปิดโปงข้าออกไปเชียว”


 


 


มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาหลอกเยี่ยเม่ย ยามที่เขาทำเหมือนว่าจิวมั่วเหอไม่ใช่ลูกศิษย์ของตน เขารู้สึกร้อนใจมากแค่ไหน


 


 


 “ไอ้หยา ศิษย์น้องหญิง” จิวมั่วเหอดูคล้ายกับตื่นเต้น เลิกคิ้วถาม “ศิษย์น้องคนไหน มีใครตาบอดรับท่านเป็นอาจารย์อีกแล้ว”


 


 


คำพูดนี้ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ฟังแล้วไม่ยินดี ก่อนเอ่ยตำหนิ “ข้าบอกไม่ให้เจ้าพูด อย่าให้นางรู้เชียว อีกอย่าง รับข้าเป็นอาจารย์ มีอะไรไม่ดีกัน เจ้าในยามนี้ไม่ใช่มีชีวิตดีหรือไง”


 


 


จิวมั่วเหอมองอาจารย์ เขายืดตัวตรง เอ่ยว่า “ที่นี่ล้วนเป็นคนของข้า นางจะได้ยินหรือ ส่วนอาจารย์ ปีนั้นท่านโยนตำราเล่มหนึ่งให้ข้า ก็ไม่เคยสนใจศิษย์อย่างข้าคนนี้ หลายปีที่ผ่านมายังให้ข้าปรนนิบัติท่านกินดื่มเปล่าๆ ท่านคิดว่าอาจารย์นี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ”


 


 


 


 


 “แค่ก…” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่สำลักรุนแรง ถลึงตามองจิวมั่วเหอ “เจ้าก็ไม่ต้องพูดเช่นนี้ เจ้าสมควรรู้ว่ากราบข้าเป็นอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย”


 


 


จิวมั่วเหอก้าวเท้ากว้างข้ามไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน ปรายตามอง ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ “ไม่ง่ายหรือ ข้ากลับรู้สึกว่าไม่ยากสักนิด ศิษย์พี่ข้ากูเยว่อู๋เหิน ปีนั้นท่านรับเขาเป็นศิษย์ เพราะเขามีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก ยังไม่ได้รับคำชี้แนะก็บรรลุขั้นสูงสุดของเคล็ดวิชากำลังของท่านได้ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุน้อยๆ ท่านกลัวว่าจะมีสักวันที่เขาใช้เคล็ดวิชากำลังภายในของท่านทำร้ายท่าน ดังนั้นจึงหลอกพ่อแม่ของเขา บังคับรับเขาเป็นศิษย์”


 


 


 “แค่กๆๆ…” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยังสำลักไอต่อไป โบกมือ เอ่ยว่า “ไอ้หยา เรื่องเก่าขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ต่อให้ศิษย์พี่เจ้าไม่พอใจในตัวข้า ก็ยังไม่ถึงทีที่เจ้าจะออกหน้าทวงความยุติธรรมให้เขา”


 


 


จิวมั่วเหอยืดตัวตรง เอ่ยต่อ “ส่วนศิษย์น้องสามที่ข้าไม่เคยพบ เป็นราชาของแผ่นดินผืนไหนกันนะ ข้าก็ลืมไปแล้ว แต่ข้าคิดว่า อาจารย์ ท่านรับเป็นศิษย์ย่อมมิใช่เพราะเห็นคุณสมบัติในตัวผู้อื่นอย่างที่เล่าลือ แต่ต้องเป็นเพราะท่านเห็นแก่อย่างอื่นมากกว่า”


 


 


คำพูดของเขานี้ทำให้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เกิดโทสะขึ้นมาบ้าง เตือนเขาว่า “เจ้าอย่าได้ทำเกินไป ใส่ความอาจารย์แบบนี้ดีอย่างนั้นหรือ”


 


 


ถึงเขาจะพูดไม่ผิด แต่เขาก็ยังรักศักดิ์ศรีของตนเถอะ


 


 


จิวมั่วเหอไม่ใส่ใจอาการเดือดดาลของอีกฝ่าย เพียงปรายตามอง ค่อยๆ เอ่ยต่อไปว่า “ว่ามาเถอะ ท่านรับศิษย์น้องเล็กเพราะอะไร นางเป็นใคร”


 


 


ระหว่างพูดจิวมั่วเหอยกถ้วยชา เตรียมจะดื่มชา


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ส่งสายตามองเขา เอ่ยว่า “เพราะอะไรไม่ต้องพูดมาก ส่วนฐานะของนางน่ะ ก็คือคนที่อยู่ชายแดนเป่ยเฉิน เป็นผู้นำทัพในตอนนั้น เยี่ยเม่ยผู้นั้น”


 


 


 “หืม…” จิวมั่วเหอพ่นน้ำชาที่ดื่มเข้าไป ทั้งยังสำลัก มองอาจารย์อยู่นานโดยไม่อยากเชื่อ


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ทำหน้าไม่ถูก ลูบเคราตัวเอง ฝืนสงบอารมณ์ลง กล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าคงเข้าใจแล้ว อย่าให้นางรู้ว่าเจ้าก็คือศิษย์ข้าเช่นกัน ไม่เช่นนั้นนางต้องสงสัยว่าข้ารับนางเป็นศิษย์ เพราะเจตนาไม่ดี เช่นนั้นศิษย์ที่อาจารย์ของเจ้ารับมาอย่างยากเย็นก็หายไปแล้ว”


 


 


จิวมั่วเหอสำลักอยู่สองสามที ค่อยจ้องผู้เป็นอาจารย์ “อย่างนั้นท่านก็ไม่กังวลว่า ข้าจะสงสัยว่าหลังจากท่านรับนางเป็นศิษย์แล้วจะช่วยนางวางแผนจัดการข้า ข้ากลัวว่าตัวเองจะถูกท่านขาย ดังนั้นต้องจับท่านไว้”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ส่ายหน้า เอ่ยชัดเจน “เรื่องนี้ข้าไม่กังวลเลย เพราะข้าไม่มีทางขายเจ้าโดยพลการแน่ ข้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อขอให้เจ้าอนุญาตให้ข้าขายเจ้าได้หรือไม่”


 


 


จิวมั่วเหอหมดคำพูด


 


 


อ้อ


 


 


ดังนั้นไม่อาจแอบขาย ก็เตรียมจะขายอย่างเปิดเผยแล้วหรือไง


 


 


จิวมั่วเหอถอนหายใจ เขาเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ปรายตามองอาจารย์ทีหนึ่ง ถามว่า “ว่ามาเถอะ นางอยากรู้อะไร”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองเขาอย่างระวังทีหนึ่ง ลูบเครากล่าว “อยากรู้เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับเจ้า”


 


 


จิวมั่วเหอจ้องอาจารย์ ถามว่า “ท่านอยากบอกนางมากแค่ไหน” 

 

 


ตอนที่ 150 จิ่วหุนกลับมาแล้ว

 

“อ้อ…”


 


 


สายตาของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เริ่มกลอกซ้ายขวาไปมา แสดงท่าทางของคนร้อนตัว


 


 


มือของจิวมั่วเหอเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ เตือนผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ว่า “ท่านพูดมาเถอะ  คนนิสัยใจร้อนอย่างข้า ท่านก็รู้ว่าไม่ชอบให้คนอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่อย่างนั้น…”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้ จิวมั่วเหอเป็นพวกใจร้อน มีเรื่องอะไรพูดออกมาตรงๆ บางทีเขาอาจจะโมโหบ้าง แต่ว่าการอึกอักไม่ยอมพูดจานั้นท้าทายความอดทนของเขากว่ามาก พอพูดออกมาเขาก็พร้อมจะระเบิดทันที


 


 


ดังนั้น ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตัดสินใจเอ่ยทันที “ทั้งหมด”


 


 


อากาศพลันหยุดนิ่งแล้ว บรรยากาศกดดัน


 


 


จิวมั่วเหอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยว่า “อาจารย์ ข้าถามอะไรท่านได้ไหม นางวางยาอะไรหรือ ท่านถึงได้เห็นสตรีดีกว่าบุรุษเช่นนี้”


 


 


เวลานี้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองจิวมั่วเหอด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม “ข้าเห็นสตรีดีกว่าบุรุษตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


 


 


จิวมั่วเหอถอนหายใจ กวาดสายตามองเขา “อย่างนั้นไม่สู้ท่านบอกมาหน่อย หลายปีที่ผ่านมาท่านเคยเอาใจใส่ศิษย์คนไหนบ้าง กลับกันไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้าก็ดี ศิษย์น้องสามก็ช่าง แม้กระทั่งตัวข้าล้วนไม่เคยได้รับการดูแลจากท่านเช่นนี้เลยมิใช่หรือ”


 


 


 “นั่น นั่น…อย่างมากภายหน้าข้าค่อยหาทางชดเชยให้พวกเจ้าก็ได้แล้ว” สายตาของผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กวาดซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้ตัว เขาร้อนตัว…


 


 


ทั้งไม่อาจมิยอมรับ ตัวเองไม่เคยเอาใจใส่ศิษย์คนอื่นๆ เช่นนี้มาก่อน


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองจิวมั่วเหอทีหนึ่ง เลิกคิ้วถามว่า “ขายเจ้าได้หรือไม่ เจ้าก็พูดมาเถอะ กลัวอะไร เจ้าก็คิดเสียว่าศิษย์น้องเล็กอยากทำความเข้าใจศิษย์พี่รอง อีกอย่างนางแค่อยากได้ข้อมูลส่วนตัวของเจ้า หาใช่เรื่องการทหารของต้ามั่ว”


 


 


จิวมั่วเหอถอนใจยาว มองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ เขายืดบ่าตรง “ก็ได้ ท่านอยากบอกนางก็บอกเถอะ อย่างไรต่อให้ข้าไม่ยอม ท่านก็ยังจะบอก วันนี้ที่ท่านมาก็เพียงแค่บอกข้าเท่านั้น กันไม่ให้ข้าถูกท่านขายแล้วยังไม่รู้ตัว”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รีบกระแอมไอแก้ความกระอักกระอ่วน “ฮี่ๆ เจ้าดูออกซะแล้ว”


 


 


คราวนี้กลายเป็นจิวมั่วเหอที่ไม่ยินยอมเสียแล้ว


 


 


เขามองอาจารย์ของตนเอ่ยว่า “ข้าอยากรู้จริงๆว่า เยี่ยเม่ยผู้นั้นมีมนต์อะไร ทำให้เซียวชินประเมินนางสูงขนาดนั้นก็ช่างเถอะ ท่านเองก็ใส่ใจนางขนาดนี้ด้วย”


 


 


เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ผู้นี้มาสิบกว่าปี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขอร้องให้อาจารย์ช่วยอะไรได้สำเร็จเลยสักครั้ง แต่แน่นอนว่า เขาจิวมั่วเหอมีเรื่องก็จัดการเองได้ ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ


 


 


ทว่าความลำเอียงของอาจารย์ ก็ชัดเจนเกินไปแล้ว


 


 


คราวนี้สีหน้าผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กลับขรึมลง มองจิวมั่วเหอเอ่ยว่า “ข้าบอกเจ้าได้แค่ประโยคเดียว นางเป็นคนที่มีชะตาเกี่ยวพันกับฟ้า”


 


 


ดูท่าทางจริงจังขึ้นมาอย่างกะทันหันของ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่แล้ว เมื่อเอ่ยถึงปัญหา จิวมั่วเหอที่มีสีหน้าไม่อินังขังขอบมาตลอดก็เปลี่ยนไป


 


 


เขาย่อมรู้ที่มาของอาจารย์ตน


 


 


เขาปรายตามองผู้เป็นอาจารย์ หยอกล้อประโยคหนึ่งเหมือนเคย “นางเกี่ยวพันกับชะตาฟ้า หรือว่าได้ตัวนางจะได้แผ่นดิน”


 


 


 “เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่า สุดท้ายจะไม่ใช่นางที่ได้ครอบครองใต้หล้า” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ย้อนถาม


 


 


จิวมั่วเหอชะงักงัน


 


 


เสี้ยวนาทีถัดมา ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันหัวเราะมองจิวมั่วเหอ “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ฮ่าๆๆๆ…”


 


 


จิวมั่วเหอเห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ก็คลายใจ


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ลุกขึ้น พยักหน้าให้จิวมั่วเหอ เอ่ย “เอาล่ะ สิ่งที่สมควรพูดข้าก็พูดไปแล้ว ข้ายังมีเรื่อง ขอตัวก่อน”


 


 


พูดจบ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็รีบร้อนออกจากกระโจมของจิวมั่วเหอ


 


 


หลังจากเขาเดินออกไป ก็ใช้มือปาดเหงื่อบนหน้าผากออก บ่นอุบว่า “เกือบหลุดปากออกไป ยังดีที่ข้ามีไหวพริบ เผยความลับสวรรค์จะถูกลงโทษ ปากพล่อยๆ ของข้านี่มัน…”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พูดไป ยังเอามือบีบหน้าตัวเองไปด้วย


 


 


ในกระโจม


 


 


หลังจากผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ออกไป จิวมั่วเหอนั่งพิงกำแพง สองมือประสานไว้ด้านหลังหัว ยกขาขึ้นสูง ท่าทางนี้ช่างไม่เข้ากับชุดนักบวชที่เขาสวมใส่เลย


 


 


ส่วนดวงตาสีฟ้าชวนหลงใหลของเขาปรากฎแววสนุกสนาน “ศิษย์น้องเล็กเอ๋ย คนมากมายต่างเห็นเจ้าสำคัญ ศิษย์พี่อย่างข้า สนใจเจ้าขึ้นทุกทีแล้ว”


 


 


   ……


 


 


ในค่ายทหารของเป่ยเฉิน


 


 


เยี่ยเม่ยนั่งตำแหน่งประธาน แม่ทัพทั้งหลายนั่งลง แต่ละคนสีหน้าแตกตื่น เพราะพวกเขารู้ว่า เซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วได้รับคำสั่งของเยี่ยเม่ยให้ทำภารกิจแล้ว 


 


 


เมื่อคิดถึงชัยชนะของศึกครั้งก่อน คนทั้งหมดก็ยินดีปรีดา คล้ายกับว่าชัยชนะของศึกต่อไปปรากฎอยู่เบื้องหน้าแล้ว


 


 


มีคนผู้หนึ่งทนความสงสัยในใจไม่ไหว ส่งสายตามองเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าตามพวกเรามา เพื่อทำอะไรกัน”


 


 


คำพูดนี้ช่วยถามแทนใจของคนทั้งหมด


 


 


ความจริงพวกเขาเองก็แปลกใจ เพราะเซียวเยว่ชิงกับหลูเซียงฮั่วได้รับภารกิจลับ มีแต่พวกเขาแม่ทัพไม่กี่คนที่รู้เรื่อง ผู้ใต้บัญชาทั้งหลายไม่มีใครรู้


 


 


ดังนั้นเมื่อเยี่ยเม่ยส่งให้สองคนนั้นไปทำงานแล้ว ไฉนยังต้องเรียกตัวพวกเขามาอีกด้วยเล่า


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองคนทั้งหมด พ่นคำพูดออกมาอย่างมีความนัย “ทะเลาะกัน”


 


 


 “เอ๋”


 


 


คนทั้งหมดตะลึงงัน มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


เห็นทุกคนสีหน้าตื่นตะลึงมองนาง เยี่ยเม่ยทวนคำพูดอีกครั้ง เรียกทุกคนมารวมกันเพราะเรื่องเดียว “ทะเลาะกัน”


 


 


แม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง เอ่ยปากถามว่า “ไม่ทราบว่าคำพูดนี้ของแม่นางเยี่ยเม่ยหมายความว่าอย่างไร พวกเราในที่นี้ต่างก็ยินยอมฟังคำสั่งของแม่นาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนต้องทะเลาะกันด้วย”


 


 


 “ถูกแล้ว ชัยชนะครั้งก่อน ก็บ่งบอกความสามารถของแม่นางมากพอแล้ว ดังนั้นพวกเราทั้งหมดล้วนเชื่อแม่นาง ของเพียงแม่นางสั่งมา พวกเราต่างเชื่อฟัง ไฉนยังต้องทะเลาะกันด้วย” แม่ทัพอีกคนหนึ่งลุกขึ้นเอ่ยบ้าง


 


 


ตอนแรกๆ ที่พวกเขารู้ว่าเยี่ยเม่ยได้รับตราพยัคฆ์ ต่างไม่เชื่อนาง แต่เวลานี้ ชัยชนะครั้งก่อนทำให้พวกเขาต่างเฝ้ารอกลยุทธ์ของเยี่ยเม่ย 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของพวกเขา ก็พอใจมาก นางพยักหน้า เอ่ยว่า “ทุกท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ความหมายของข้าคือ พวกเราทะเลาะกัน เป็นการเล่นละครให้คนของต้ามั่วชม ต้องให้สายของต้ามั่วรับรู้ว่าพวกเราทะเลาะกันอย่างรุนแรงมาก เช่นนี้ก็จะช่วยชักนำพวกเขาให้เข้าใจผิด”


 


 


 “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” แม่ทัพผู้หนึ่งตระหนักได้ทันที


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองคนทั้งหมดถามว่า “ดังนั้น ต้องให้ข้าบอกหรือไม่ว่าจะทะเลาะกันยังไง”


 


 


 “ไม่ต้อง”


 


 


แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยจบ ก็หันหน้าไปหาแม่ทัพอีกคนเอ่ยปากว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด จะออกรบเช่นนี้ได้หรือไง”


 


 


 “ข้าพูดเหลวไหลที่ไหนกัน” แม่ทัพอีกคนรีบตอบรับทันที


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ


 


 


ในขณะนี้เอง ซือหม่าหรุ่ยเดินเข้ามาจากประตู สีหน้าตื่นเต้นยินดี “แม่นางเยี่ยเม่ย เสี่ยวจิ่วกลับมาแล้ว” 

 

 


ตอนที่ 151 เจ้าไม่ปลอบข้าก็ช่างเถอะ ข้าปลอบตัวเองก็ได้

 

 “หืม” เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ยที่หน้าประตู 


 


 


เหล่าแม่ทัพที่กำลังตั้งใจแสดงละครอยู่ในที่นี้ พลันชะงักไปเล็กน้อย 


 


 


เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย ถามว่า “เจ้ามั่นใจหรือ” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบพยักหน้า จากนั้นเอ่ยกับเยี่ยเม่ย “ข้าจะไม่มั่นใจได้หรือ คนเป็นๆ ทั้งคนยืนอยู่ที่นั่น จะไม่มั่นใจได้อย่างไร” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองแม่ทัพทั้งหลาย ลุกขึ้น “ข้าขอตัวก่อนแล้ว พวกเจ้าแสดงกันต่อไป จำไว้ ต้องสร้างภาพปลอมๆ ให้ทุกคนเข้าใจว่า ข้าไม่สนใจคำทัดทานดึงดันจะออกรบ คนครึ่งหนึ่งสนับสนุนข้า อีกครึ่งหนึ่งไม่สนับสนุน ดังนั้นเริ่มเถียงกันได้ หลังจากข้าจากไปแล้ว ก็เพิ่มความรุนแรงจนถึงขั้นลงมือต่อยตี สรุปแล้วยิ่งแสดงยิ่งเหมือนจริงยิ่งดี” 


 


 


 “รับทราบ พวกเราเข้าใจแล้ว” แม่ทัพทั้งหลายพยักหน้า  


 


 


แม่ทัพแต่ะคนในยามนี้ล้วนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะตนเองได้รับภารกิจที่เฝ้ารอ ทั้งยังเป็นเพราะคุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้ว นับตั้งแต่คุณชายเสี่ยวจิ่วหายตัวไป พวกเขากังวลอยู่นาน ในที่สุดก็กลับมาเสียที  หากมิใช่เพราะพวกเขาต้องทำภารกิจทะเลาะกันของแม่นางเยี่ยเม่ยให้สำเร็จ ยามนี้พวกเขาต้องติดตามไปดูอย่างแน่นอน  


 


 


แม่ทัพผู้หนึ่งทนไม่ไหว ถามซือหม่าหรุ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “คุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่”  


 


 


พวกเขาเป็นห่วงเสี่ยวจิ่วจริงๆ หนังสือรวบรวมรายชื่อเสนอชื่อเสี่ยวจิ่วเขียนเสร็จแล้ว  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้า “เขาไม่เป็นไร ดูแล้วปลอดภัยดี” 


 


 


แม่ทัพทั้งหลายวางใจ จากนั้นก็มีแม่ทัพอีกคนเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ดี การศึกอีกหลายวันข้างหน้า คุณชายเสี่ยวจิ่วน่าจะช่วยเหลือได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่บอกความในใจกับพวกเขา สั่งการไปว่า “ทะเลาะกันให้ดีๆ ”  


 


 


จากนั้นนางก็เดินตามซือหม่าหรุ่ยออกไป 


 


 


ครั้นออกจากกระโจม ก็เป็นเวลาที่อาทิตย์อัสดง 


 


 


เยี่ยเม่ยถามซือหม่าหรุ่ย “เรื่องที่เสี่ยวจิ่วกลับมา ยังมีใครรู้อีกบ้าง” 


 


 


 “มีข้าคนเดียวที่เห็นเขาหน้าประตูห้องเจ้า นอกจากข้าแล้วน่าจะไม่มีใครอีก” ซือหม่าหรุ่ยเอ่ย เสริมขึ้นอีกว่า “การเคลื่อนไหวของเขาค่อยข้างลึกลับ ไม่ไปมาอย่างเอิกเกริก ดังนั้นข้าเดาว่าคนอื่นน่าจะไม่รู้” 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยรับคำหนึ่ง จากนั้นถาม “ใครพาเขากลับมา” 


 


 


หรือจะเป็นอาจารย์ที่นางเพิ่งยอมรับ 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รับปากแล้วจริงๆ ว่าจะช่วยนางตามหาคน แต่ว่าเพิ่งจะผ่านไปวันเดียว ไม่น่าไวถึงขั้นนี้ อาจารย์ของนางพึ่งพาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ เห็นแต่เขานั่งคุกเข่าหน้าประตูห้องเจ้าคนเดียว อย่างอื่นก็ไม่รู้แล้ว หลังจากข้าเห็น ก็รีบมาหาเจ้าในทันทีเลย” 


 


 


เพราะว่านางรู้ว่า เยี่ยเม่ยเป็นกังวลถึงเสี่ยวจิ่วอยู่ตลอด 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เวลานี้นางไม่ถามอีก กวาดตามองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง “ลำบากเจ้าแล้ว แต่ก่อนหน้าที่เจ้าจะไปหาข้า มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” 


 


 


ไม่อย่างนั้นอยู่ๆ จะวิ่งไปที่ห้องนางทำไมกัน อย่างไรเสียตอนนี้ ซือหม่าหรุ่ยกับ ซินเยว่เยี่ยนก็รับปากช่วยนางเตรียมของสำหรับรับศึก 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบยิ้มออกมา บอกว่า “ข้าอยากบอกเจ้าว่า ของที่เจ้าต้องการ เตรียมไว้ให้เจ้าครบตามคำสั่งแล้ว ตอนนี้กำลังเตรียมจัดทำ”  


 


 


นี่คือข่าวดี ย่อมต้องบอกเยี่ยเม่ยทันที ใบหน้าที่เย็นชามาโดยตลอดของเยี่ยเม่ยพลันมีรอยยิ้ม 


 


 


ไม่เลวเลย เสี่ยวจิ่วกลับ เรื่องราวก็ทำได้ง่ายขึ้น 


 


 


ดีมาก 


 


 


   …… 


 


 


 


 


 


ห้องขององค์ชายสี่  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนอยู่บนหลังคา สองเท้าไขว้กันอย่างสบายอารมณ์ หัวหนุนสองมือเอาไว้ อวี้เหว่ยยืนอยู่ข้างกายเขา รายงานว่า “เตี้ยนเซี่ย ในวังมีข่าวว่า ซือถูเฟิงถูกเนรเทศแล้ว เป็นความต้องการของเสินเซ่อเทียน” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเบาๆ เอ่ยว่า “เดิมทีเสด็จพ่อก็ถูกจวนเสนาบดีกับเสด็จแม่ขัดขวาง ไม่อาจสังหารเขาอยู่แล้ว ประจวบกับที่เสินเซ่อเทียนเสนอขึ้นมาพอดีใช่หรือไม่” 


 


 


อวี้เหว่ยพยักหน้า “ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้น จากนิสัยของเสินเซ่อเทียนไม่มีทางใส่ใจความเป็นตายของคนไม่สำคัญอย่างซือถูเฟิงแน่” 


 


 


แต่ว่า อวี้เหว่ยมองใบหน้าด้านข้างของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เตี้ยนเซี่ย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในเมื่อเสินเซ่อเทียนเอ่ยปากแล้ว อย่างนั้น ซือถูเฟิงจะจัดการอย่างไรดี” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างนั้นก็เนรเทศเขาไปเถอะ ในทางกลับกันสำหรับพวกคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง การเนรเทศก็ไม่ได้ดีไปกว่าการตายเท่าไหร่นัก ระหว่างทางเจ้าส่งนักฆ่าไปสักหลายคนหน่อย ส่วนที่ว่าเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ก็อยู่ที่โชคชะตาของเขาแล้ว”  


 


 


 “ขอรับ” อวี้เหว่ยพยักหน้า กล่าวต่อไปว่า “ยังมีอีก เตี้ยนเซี่ย แม่ทัพหลี่รับคำสั่งให้ไปสังหารซือถูเฉียง ถึงกับเข้าวังไปฟ้องฝ่าบาท สุดท้ายฝ่าบาทไม่สนใจเขา ให้เขากลับมาหาท่านที่ชายแดน ด้วยเหตุนี้เขาตกใจหวาดกลัวเสียเป็นบ้าไปแล้ว” 


 


 


ระหว่างเล่าไปอวี้เหว่ยก็รู้สึกจนปัญญา 


 


 


เขาไม่เข้าใจจริงๆว่า แม่ทัพหลี่คิดอะไรอยู่ ไม่กล้าเป็นศัตรูกับเตี้ยนเซี่ย อย่างนั้นสังหารซือถูเฉียงก็จบเรื่องแล้วมิใช่หรือ ถึงเวลาเอาผิดก็ผลักไสเรื่องราวไปให้เตี้ยนเซี่ยเสียก็พอแล้ว 


 


 


แต่ว่า เขาหนีไปฟ้องฝ่าบาท พระองค์ปกป้องซือถูเฟิงแล้ว ก็ไม่อาจปกป้องแม่ทัพหลี่ได้อีก หากปกป้องคนทั้งสองก็จะทำให้เตี้ยนเซี่ยเกิดโทสะ ดังนั้นแม่ทัพหลี่จึงถูกทอดทิ้งแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก 


 


 


จากนั้นแม่ทัพหลี่… 


 


 


อวี้เหว่ยเล่าอย่างจนปัญญาว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านยังไม่ได้จัดการเขาเลย เขาก็บีบคั้นตัวเองจนเป็นบ้าไปแล้ว อีกทั้งยังตะโกนเอ่ยวาจาอย่างไร้สติว่า เสินเซ่อเทียนกุมอำนาจ ท่านทำร้ายคนบริสุทธิ์ ราชสำนักเป่ยเฉินจบสิ้นแล้ว ข้าน้อยคิดว่าต่อให้ท่านไม่สังหารเขา ฝ่าบาทก็ทนเขาได้ไม่กี่วันเท่านั้น” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ในโลกนี้ล้วนมีตัวโง่งม ความกล้าหาญและความสามารถอ่อนด้อย กลับไม่เชื่อฟัง สำหรับพวกเขาสติปัญญากับการรู้จักสถานการณ์ไม่มีหรืออย่างไงกัน” 


 


 


อวี้เหว่ยถอนใจ นั่นน่ะสิ หากแม่ทัพหลี่เชื่อฟังคำพูดของเตี้ยนเซี่ย ไม่ตีสองหน้า ก็ไม่ต้องอยู่ในสภาพอนาถขนาดนี้ โง่เขลาและไม่รู้จักสถานการณ์เอาเสียเลย 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองฟ้า เอ่ยว่า “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องเจ้าคนโง่นี่อีก ฟ้ามืดแล้ว เจ้าไปหาแม่นางเยี่ยเม่ยบอกว่าอาการบาดเจ็บข้ากำเริบ ขอให้นางมาช่วยดูแล” 


 


 


อวี้เหว่ย “…ขอรับ” 


 


 


   …… 


 


 


เยี่ยเม่ยเดินมาถึงหน้าประตูห้องตัวเอง 


 


 


ก็เห็น จิ่วหุนอยู่จริงๆ ตอนนั้นเขาไม่ได้นั่งคุกเข่า กลับยืนพิงกำแพงนอกห้องอยู่ 


 


 


หนุ่มน้อยยังคงสวมอาภรณ์สีขาวปลอด ผ้าคาดสีแดงรัดเอว ผ้าผูกผมสีแดง ดูแล้วงดงามเกินบรรยาย 


 


 


เสี้ยวนาทีที่เยี่ยเม่ยมองเห็นจิ่วหุน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยเม่ย  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยังมีเรื่องที่เยี่ยเม่ยมอบหมายแล้วยังทำไม่เสร็จ จึงเอ่ยว่า “ข้าขอตัวก่อน” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ซือหม่าหรุ่ยสาวเท้ากว้างๆ เดินจากไป 


 


 


เยี่ยเม่ยเดินมาถึงหน้าจิ่วหุน มองเขา ถามเสียงเย็นชาว่า “ไปไหนมา” 


 


 


จิ่วหุนไม่ตอบ 


 


 


เยี่ยเม่ยถามต่อ “เพราะอะไรต้องโมโหด้วย” 


 


 


จิ่วหุนก้มหน้า เสียงอู้อี้ตอบว่า “อย่างไรเจ้าก็ไม่ปลอบข้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก เอ่ยถามปัญหาที่สอดคล้องกับความจริงออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าหนีออกจากบ้าน ข้าจะไปปลอบเจ้าที่ไหนกัน” 


 


 


จิ่วหุนไม่ค่อยพอใจคำพูดนี้ของนาง เหมือนกับเขาไม่ได้ยินคำนั้น มีแต่เสียงอึดอัดได้รับความไม่เป็นธรรมเอ่ย “เจ้าไม่ปลอบก็ช่างเถอะ ข้าปลอบตัวเองก็ได้”   

 

 


ตอนที่ 152 เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบอกว่าข้าทำเขาบาดเจ็บหรือ

 

เสี้ยววินาทีนั้น เยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าตัวเองสมควรตอบว่าอะไรดี  


 


 


นางเงียบไปสักพัก เยี่ยเม่ยเอ่ยถามขึ้นว่า “อย่างนั้น ใครเป็นคนพาเจ้ากลับมา” 


 


 


จิ่วหุนก้มหน้าไม่ส่งเสียง 


 


 


เยี่ยเม่ยครุ่นคิดไม่นาน ถามขึ้นว่า “เจ้ากลับมาเองแล้วใช่ไหม” 


 


 


 “อืม” จิ่วหุนตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ 


 


 


จากนั้นเงยหน้ามองเยี่ยเม่ย เอ่ยด้วยเสียงเป็นทุกข์ว่า “เจ้าไม่ไปหาข้าก็ช่างเถอะ ข้ากลับเองก็ได้”   


 


 


เยี่ยเม่ยพูดไม่ออก เจ้าเด็กนี่วันๆ เอาแต่คิดเรื่องอะไรกันแน่ 


 


 


ตอนนี้นางรู้สึกว่าในความจนปัญญานั้นแฝงด้วยความสงสาร ในความสงสารนั้นแฝงไปด้วยความจนปัญญา ทำให้นางไม่รู้ว่าประโยคถัดไปควรพูดว่าอย่างไรดี 


 


 


หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็คิดได้ “เมื่อวานคนในค่ายทหารทั้งหมดออกตามหาเจ้าไปทั่ว แต่หาไม่พบ” 


 


 


ความนัยของประโยคนี้ก็คือ ไม่ใช่ข้าไม่ตามหาเจ้า แต่หาเจ้าไม่พบ 


 


 


จิ่วหุนพยักหน้า ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา พ่นคำพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว” 


 


 


จิ่วหุนเอ่ยจบ ก็ขยับไปยืนข้างหนึ่ง บ่งบอกว่าไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยเตรียมจะพูดบางอย่างอีก พลันมีบ่าวผู้หนึ่งเข้ามา อีกฝ่ายไม่เข้าใจสถานการณ์ มองจิ่วหุนด้วยสายตาแปลกใจ ถามว่า “คุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้วหรือ”  


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยรับคำ รีบถามว่า “มีเรื่องอะไร” 


 


 


บ่าวผู้นี้หน้าคุ้นมาก เยี่ยเม่ยเคยเจอเขาหลายครั้ง เป็นคนเฝ้าประตูเรือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


บ่าวรั้งสายตากลับมา รีบตอบว่า “จริงด้วย มีเรื่องแล้วจริงๆ  อาการบาดเจ็บขององค์ชายสี่กำเริบอีกครั้ง อวี้เหว่ยสั่งให้ข้าน้อยมาบอกท่านว่า หากแม่นางเยี่ยเม่ยมีเวลาว่าง หวังว่าท่านจะไปเยี่ยมองค์ชายสักครั้งหนึ่ง” 


 


 


เขาพูดออกมาเช่นนี้ จิ่วหุนที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ถามเสียงกลัดกลุ้มว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบาดเจ็บแล้วหรือ” 


 


 


ยามที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุนต่อสู้กัน คนที่ห้อมล้อมอยู่ล้วนเป็นเหล่าทหาร บ่าวผู้นี้ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจเรื่องราวสักน้อย เพียงตอบว่า “ขอรับ” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองการตอบสนองของจิ่วหุน พลันรู้สึกแปลกใจ  


 


 


แต่เยี่ยเม่ยหยุดพูดไปชั่วขณะ เพียงหันหน้ามองบ่าวคนนั้นทีหนึ่ง “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน บอกเขาว่าอีกเดี๋ยวข้าจะไปหา” 


 


 


 “ขอรับ” บ่าวผู้นั้นถอยออกไปอย่างว่องไว 


 


 


หลังจากบ่าวจากไป เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุนทีหนึ่งถอนหายใจ เอ่ยว่า “เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว เจ้ารู้หรือไม่” 


 


 


ทั้งๆ ที่สองคนนี้ประมือกัน อีกฝ่ายถึงได้บาดเจ็บนิ 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา จิ่วหุนมองนางด้วยสายตาแปลกใจ น้ำเสียงเบาราวสัตว์ตัวน้อยดังขึ้นอย่างเคย “ทำไมข้าต้องรู้ด้วย” 


 


 


ทำไมเขาต้องรู้ว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบาดเจ็บด้วยเล่า 


 


 


เขาออกจากเมืองชายแดนไปตั้งนาน เพิ่งกลับมาเมื่อครู่ไม่ใช่หรือไง 


 


 


อีกอย่าง จากความสัมพันธ์ของเขากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาคร้านจะห่วงใยอีกฝ่าย 


 


 


เยี่ยเม่ยเริ่มแปลกใจ ปรายตามอง จิ่วหุน “ไม่ใช่ว่าเจ้าสองคนประมือกัน ในตอนที่เขาจะเอาชนะได้ ฉุกคิดถึงคำพูดของข้า จึงยั้งมือไว้ทัน ไม่เอาชีวิตเจ้า ดังนั้นเจ้าถึงทำร้ายเขาบาดเจ็บ”  


 


 


จิ่วหุน “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกข้าทำร้ายบาดเจ็บหรือ” 


 


 


 “ถูกแล้ว” เยี่ยเม่ยพยักหน้า 


 


 


จิ่วหุนเงียบไปหลายวินาที มองสีหน้าเยี่ยเม่ยก็ดูไม่คล้ายกำลังล้อเล่น 


 


 


เขาฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จ้องเยี่ยเม่ย ถามเสียงกลุ้มว่า “เพราะว่าเจ้าได้ยินเช่นนี้ วันนั้นถึงไปดูแลเขาอย่างนั้นเหรอ” 


 


 


ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนโง่ เรียบเรียงเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ถูกแล้ว” 


 


 


   …… 


 


 


เรือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


บ่าวผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงาน “เตี้ยนเซี่ย รายงานไปแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยบอกว่าอีกเดี๋ยวนางจะมา” 


 


 


บ่าวพูดไป พลางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไหนว่าเตี้ยนเซี่ยบาดเจ็บสาหัสมิใช่หรือ เหตุใดสภาพของเตี้ยนเซี่ยในเวลานี้ไม่คล้ายได้รับบาดเจ็บเลย ต้องการคนดูแลที่ไหนกัน 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ค่อยๆ เอ่ยว่า “รู้แล้ว ออกไปได้” 


 


 


 “ขอรับ” ถึงบ่าวจะแปลกใจ แต่ก็ล่าถอยออกไป 


 


 


หลังจากเขาหมุนกายเตรียมจากไป พลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หันกลับไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยต่อว่า “จริงสิ เตี้ยนเซี่ย คุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้ว” 


 


 


 “อะไรนะ ” อวี้เหว่ยอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ 


 


 


มือที่เตรียมจะรินชาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันชะงัก กวาดตามองบ่าวผู้นั้น ถามว่า “กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ” 


 


 


บ่าวตอบว่า “ขอรับ กำลังสนทนาอยู่กับแม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


อวี้เหว่ยถามเสียงสั่น “เจ้าคงไม่ได้บอกแม่นางเยี่ยเม่ยต่อหน้าจิ่วหุนว่าอาการของเตี้ยนเซี่ยกำเริบแล้ว หวังให้แม่นางเยี่ยเม่ยมาช่วยดูแลหรอกนะ” 


 


 


 “ขอรับ ” บ่าวพยักหน้า “ข้าน้อยเอ่ยเช่นนี้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” 


 


 


อวี้เหว่ยเห็นชัดว่า มือที่จับกาน้ำชาของเตี้ยนเซี่ยสั่นไปเล็กน้อย 


 


 


อวี้เหว่ยโบกมือเป็นสัญญาณไล่บ่าวออกไป 


 


 


ถึงบ่าวผู้นั้นจะไม่เข้าใจ แต่ก็รีบจากไป เพราะเขารู้สึกว่าอารมณ์ของเตี้ยนเซี่ย คล้ายจะอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง ยามปกติที่เตี้ยนเซี่ยอ่อนโยนเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่มีเรื่องดีอันใด 


 


 


รอจนบ่าวผู้นั้นออกไป 


 


 


อวี้เหว่ยรีบร้องว่า “เสี่ยวกวน” 


 


 


สิ้นเสียง คนชุดดำผู้หนึ่งปรากฏกายในห้อง บนหน้าผากของคนผู้นั้นมีเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วผุดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินคำสนทนาเมื่อครู่ 


 


 


เขาคุกเข่าลง “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ข้าน้อยส่งสายออกไปทั่วทั้งเมืองแล้ว ทั้งยังส่งคนออกไปไล่สังหารจิ่วหุนมากมาย ทว่าจนถึงบัดนี้ ข้าน้อยยังไม่ได้ยินข่าวคราวของจิ่วหุนเลย” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ 


 


 


คนทั้งหมดก็เงียบไป 


 


 


อวี้เหว่ยสั่นเล็กน้อย รีบวิเคราะห์ว่า “เตี้ยนเซี่ย หรือเป็นเพราะจิ่วหุนมีวรยุทธ์สูงส่ง คนของพวกเราไม่อาจพบเห็นร่องรอยของเขาได้ง่ายๆ” 


 


 


การคาดเดานี้ไม่ใช่ไร้เหตุผล อย่างไรความสามารถของจิ่วหุนก็มีจริงๆ อีกฝ่ายเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของใต้หล้า ฝีมือการพรางกาย อวี้เหว่ยเข้าใจว่าตนคงไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นคนใต้บัญชาหาไม่พบก็เป็นเรื่องปกติ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำอธิบายของอวี้เหว่ย สายตาเย็นเยือกมองไปที่ร่างของเสี่ยวกวนที่คุกเข่าบนพื้นผู้นั้น ถามด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “ดังนั้นตัวไร้ค่าที่ทำภารกิจไม่สำเร็จ เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีค่าให้อะไรอีก” 


 


 


 “เตี้ยนเซี่ยโปรดไว้ชีวิตด้วย ” เสี่ยวกวนโขกหัวลงกับพื้น 


 


 


อวี้เหว่ย รีบเอ่ยไกล่เกลี่ย “เตี้ยนเซี่ย หลายปีมานี้เสี่ยวกวนทำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เพียงแต่คู่มือร้ายกาจเกินไป ท่านคิดก่อนว่าจะรับมืออย่างไรดีกว่า” 


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยจบก็โบกมือ เสี่ยวกวนรีบหนีไป 


 


 


ล้อเล่นหรือเปล่า หากเสี่ยวกวนถูกเตี้ยนเซี่ยฆ่าทิ้งเพราะความโมโห ครั้งหน้าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องให้เขาดำเนินการเอง ไม่ เขาไม่ยอม 


 


 


อีกอย่าง เรื่องนี้ก็เข้าใจได้ จิ่วหุนออกจะร้ายกาจขนาดนั้น 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำพูดของอวี้เหว่ย กลับคร้านจะใส่ใจเสี่ยวกวนอีก เขาเงียบนิ่งไปสักพัก อวี้เหว่ยมองออกว่า หน้าผากของเตี้ยนเซี่ยปรากฏเหงื่อซึมออกมา 


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ย “เตี้ยนเซี่ย ท่านไม่ต้องกังวลถึงขั้นนี้ ในทางกลับกันหากต่อสู้กันขึ้นมา แม่นางเยี่ยเม่ยไม่น่าจะเป็นคู่มือของท่านได้”  

 

 


ตอนที่ 153 เพราะว่าจิ้งหรีดที่ข้าน้อยฝากคนซื้อจากเมืองหลวงมาถึงแล้ว

 

สิ้นเสียงเขา  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเขาทีหนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ เยี่ยนอาจต่อสู้กับแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว” 


 


 


อวี้เหว่ย “… ไม่อาจ” 


 


 


ก็ได้ เป็นเพราะตัวเขาไร้สมองก็แล้วกัน 


 


 


หากเตี้ยนเซี่ยสู้กับแม่นางเยี่ยเม่ยขึ้นมา ยังจะเล่นละครต่อไปได้อีกหรือ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไล่ตามเกี้ยวแม่นางเยี่ยเม่ยเลย เกรงว่าหากปรากฏตัวต่อหน้าแม่นางเยี่ยเม่ย ก็เป็นเรื่องอันตรายมาก 


 


 


อวี้เหว่ยปาดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ย “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง รู้สึกว่าแม่นางเยี่ยเม่ยกำลังจะมาถึงแล้ว ”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็นิ่งไปสักพักเช่นกัน ปรายตามองอวี้เหว่ย ถามว่า “ดังนั้นเจ้าคิดว่า เยี่ยนสมควรแกล้งบาดเจ็บต่อไป หรือว่ารับผิดเลยดี”  


 


 


 “นั่นก็…” อวี้เหว่ยกลืนน้ำลาย “เตี้ยนเซี่ย มีคำพูดหนึ่งเอ่ยว่ายิ่งปฏิเสธโทษจะยิ่งหนัก เมื่อยอมรับผิดก็จะได้รับความปรานี ข้าน้อยรู้สึกว่า ท่านยอมรับผิดตรงๆ จะดีกว่า  กันไม่ให้การปฏิเสธไม่เอ่ยความจริง จะผิดอีกขั้นหนึ่ง”  


 


 


อวี้เหว่ยแสดงให้เห็นว่า ตัวเขาเองก็ลนลานมาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากยังพูดจาเหลวไหลต่อไป จุดจบจะต้องน่าอนาถเป็นอย่างมาก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนใจเบาๆ ยื่นมือออกมานวดหว่างคิ้ว กวาดตามองอวี้เหว่ย เอ่ยว่า “เจ้าตัวโง่งมนั่น ข้าหวังว่าจะไม่ปรากฏกายต่อหน้าข้าอีก” 


 


 


 “อ๋า อ้อขอรับ” อวี้เหว่ย ตอบรับในทันที 


 


 


เตี้ยนเซี่ยหมายถึง บ่าวที่ไม่ทำความเข้าใจสถานการณ์ เห็นจิ่วหุนก็ถ่ายทอดคำสั่งให้กับแม่นางเยี่ยเม่ย  


 


 


อวี้เหว่ยสีหน้าขมขื่น “เตี้ยนเซี่ย หากรู้แต่แรกข้าน้อยไปเองดีกว่า” 


 


 


หากตัวเองไป เห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้อง ย่อมรู้ว่าจะรับมืออย่างไร น่าเสียดายที่เขาไม่ไปด้วยตัวเอง คราวนี้ก็ดีเลย เกิดเรื่องขึ้นจนได้ 


 


 


คิดไม่ถึงว่า เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยคำพูดคล้ายจะรับผิดชอบแทนออกไป 


 


 


     เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็รั้งสายตากลับมา ถามเสียงเย็นเยียบ “ถูกต้อง เยี่ยนก็แปลกใจ กำลังจะถามเจ้าว่า เมื่อครู่ไฉนเจ้าไม่ไปเอง” 


 


 


 “ตุบ” อวี้เหว่ยคุกเข่าเสียงดัง 


 


 


ปาดน้ำมูกน้ำตา “เตี้ยนเซี่ยคืออย่างนี้ ช่วงนี้ตอนที่ท่านกับแม่นางเยี่ยเม่ยอยู่ร่วมกัน แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ใช่กำชับไม่ให้ข้าน้อยแอบฟังแอบดูไม่ใช่หรือ ข้าน้อยเบื่อหน่าย จึงหาซื้อจิ้งหรีดสองตัวมากัดกัน” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเวลานี้ อวี้เหว่ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองเตี้ยนเซี่ยเล็กน้อย เอ่ยเสียงสั่นว่า “ตอนที่ข้าน้อยกำลังจะไปรายงาน มีคนเข้ามาบอกว่าจิ้งหรีดที่ข้าน้อยให้คนนำมาให้จากเมืองหลวงมาถึงแล้ว ข้าน้อยถึงออกไปเอาจิ้งหรีด” 


 


 


อวี้เหว่ยพูดไป น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสองสาย 


 


 


ทั้งยังเอ่ยเสริมขึ้นให้ชัดเจนว่า “เตี้ยนเซี่ย จิ้งหรีดของชายแดนไม่มีคุณภาพ ไม่สนุกเอาเสียเลย ข้าน้อยฝากคนซื้อจิ้งหรีดมาจากเมืองหลวง ลงแรงไปตั้งมาก ใส่เอาไว้ในกระบองไม้ไผ่ผูกขาพิราบสื่อสารบินส่งมา หากสายไปอีกนิด จิ้งหรีดก็จะตาย…” 


 


 


อวี้เหว่ยยิ่งเอ่ย ยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องยิ่งเย็นเยือกขึ้นมา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจ้องเขาเงียบๆ ดวงตาชั่วร้ายคู่นั้นไม่ปรากฏความยินดียินร้าย มุมปากคลับคล้ายคลับคลาเหมือนมีรอยยิ้มน่ามอง จ้องจนอวี้เหว่ยรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ 


 


 


อวี้เหว่ยร้องไห้เสียงดัง “เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าเพิ่งให้ความสำคัญมาตกอยู่ที่ข้าเลย ไม่ช้า แม่นางเยี่ยเม่ยก็จะมาถึงแล้ว จริงๆ นะขอรับ” 


 


 


ดังนั้นเรื่องแรกที่ท่านสมควรคิดในยามนี้ก็คือ ท่านจะทำอย่างไรถึงหนีจากความยุ่งยากนี้ได้ ไม่สมควรสนใจข้าน้อยแล้ว 


 


 


เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็พยักหน้า ตอบว่า “เจ้าพูดไม่ผิด เรื่องนี้ที่สำคัญไม่ใช่ความผิดเจ้า ล้วนเป็นเพราะเจ้าจิ้งหรีดสองตัวนั่น เอาออกมาเถอะ” 


 


 


 “เอ๋” อวี้เหว่ยอยากร้องไห้ไปใหญ่ 


 


 


เขารู้สึกว่าวันนี้บ่อน้ำตาของตัวเองค่อนข้างตื้นไปหน่อย  


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มองไปยังอวี้เหว่ย ค่อยๆ เอ่ยว่า “ทำไม หรือเสียดาย” 


 


 


 “ไม่ ไม่เสียดาย ไม่เสียดาย” เสียดายจิ้งหรีดรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ 


 


 


อวี้เหว่ยรีบล้วงกระบอกไม้ไผ่ในแขนเสื้อออกมา ส่งให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เตี้ยนเซี่ย อยู่ในนี้” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ยื่นมือออกไปรับ เพียงแค่มองอวี้เหว่ยช้าๆ น้ำเสียงอ่อนโยนสั่งว่า “เหยียบพวกมัน” 


 


 


 “หา” อวี้เหว่ยน้ำตาตก คำว่า ‘หา’ เอ่ยออกมาอย่างโศกเศร้า 


 


 


ในระหว่างความเสียใจ ดวงตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มองมาที่ร่างอวี้เหว่ยอีกครั้ง  


 


 


อวี้เหว่ยไม่กล้าลังเลอีก โยนกระบอกไม้ไผ่ลงที่พื้น น้ำตาคลอเบ้าเหยียบลงไป… 


 


 


 “แผละ” ในเสียงนั้นยังแฝงไปด้วยเสียงกรอบแกรบ 


 


 


จิ้งหรีดสองตัวนั้นแตกสลาย อวี้เหว่ยหัวใจแตกสลายเช่นกัน เขาเข้าใจแล้ว เตี้ยนเซี่ยทรมานจิตใจคน ได้กลายเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเตี้ยนเซี่ยไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวนานแล้ว 


 


 


เตี้ยนเซี่ยรู้ว่าจิ้งหรีดสองตัวนั้นสำคัญกับเขามาก ช่วยแก้เบื่อและคลายเหงาของตัวเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา สุดท้ายถูกเขาเหยียบตาย 


 


 


อวี้เหว่ยรู้สึกเจ็บเหมือนถูกมีดกรีด ชั่วชีวิตยังไม่เคยเจ็บใจขนาดนี้มาก่อน 


 


 


เขาสีหน้าโศกเศร้า สาบานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านเก็บงำโทสะก่อนเถอะ ข้าน้อยรับประกันว่า ภายหน้าไม่ว่าเรื่องอะไรจะเก็บไว้ก่อน เรื่องของท่านต้องมาก่อน ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแล้ว อีกอย่าง ข้าน้อยจะไม่กัดจิ้งหรีดอีก” 


 


 


หากรู้แต่แรกให้จิ้งหรีดทนอีกสักหน่อยก็ไม่ตาย คราวนี้ดีเลย ถูกเหยียบตายจนได้  


 


 


เมื่อจิ้งหรีดสองตัวตายจากไป อารมณ์ขุ่นมัวของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายดีมากขึ้นสองส่วน ปรายตามองอวี้เหว่ย ค่อยๆ กล่าวว่า “เอาศพออกไปทิ้ง” 


 


 


 “ขอรับ” 


 


 


อวี้เหว่ยนั่งคุกเข่า เก็บศพจิ้งหรีด 


 


 


หลังจากจัดการแล้ว เขาปิดหน้าร้องไห้ออกไป “โหดร้ายเกินไปแล้ว ช่างโหดร้ายเหลือเกิน…” 


 


 


   …… 


 


 


หน้าประตูห้องเยี่ยเม่ย  


 


 


เยี่ยเม่ยยื่นปอยผมออกไป นั่นคือปอยผมที่หลุดไปของจิ่วหุนพอดีที่ถูกหลินซูเหย่าเก็บเอาไว้  


 


 


เยี่ยเม่ยเงียบไปหลายวินาที ปรายตาจิ่วหุน “ความหมายของเจ้าคือ เจ้าไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำร้ายเขา แต่ความจริงคือเขาทำร้ายเจ้าแล้ว” 


 


 


 “อืม” จิ่วหุนพยักหน้า  


 


 


    จิ่วหุนชี้ไปยังผมที่ขาด เป็นรอยไหม้กลุ่มหนึ่ง เสียงกลัดกลุ้มเอ่ยว่า “พลังของเขาเป็นธาตุไฟ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำได้” 


 


 


คนอื่นๆ ที่มีพลังธาตุไฟเช่นเดียวกัน ก็ยังไม่มีความสามารถเช่นนี้ 


 


 


…. 


 


 


เยี่ยเม่ยเงียบไปชั่วครู่ 


 


 


ในขณะนี้เซียวเยว่ชิงเดินเข้ามาพอดี หลังจากเดินเข้ามาแล้วเห็นจิ่วหุน กล่าวด้วยความเบิกบานว่า “คุณชายเสี่ยวจิ่ว ท่านกลับมาแล้วหรือ” 


 


 


จิ่วหุนไม่สนใจเขา 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องมองเขา  


 


 


    เซียวเยว่ชิงเห็นบรรยากาศ พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง มองเห็นปอยผมในมือเยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว พลันรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง เขารู้ว่าตัวเองมาผิดเวลาเสียแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ถามขึ้นว่า “ท่านมีเรื่องอะไร” 


 


 


 “อ้อ เรื่องที่ท่านสั่งให้ข้าเตรียม ตอนนี้เตรียมงานได้เกือบเสร็จแล้ว” เซียวเยว่ชิงพูดจบ ก็รีบเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าน้อยจะรายงานก็รายงานจบแล้ว ข้าขอตัวก่อน” 


 


 


พูดจบเขาก็จากไป 


 


 


เยี่ยเม่ยรั้งไว้ด้วยเสียงเย็นชา “เดี๋ยวก่อน ข้ามีคำพูดจะพูดกับท่าน” 


 


 


    สีหน้าเซียวเยว่ชิงเผยความรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายดีกว่า…  

 

 


ตอนที่ 154 แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนเตรียมแส้ไว้ให้แล้ว

 

เซียวเยว่ชิงหันกลับมาด้วยสีหน้าโศกเศร้ามองเยี่ยเม่ย


 


 


เอ่ยปนสะอื้น “แม่นางเยี่ยเม่ย มีเรื่องอะไรหรือ”


 


 


เขาอยากร้องไห้จริงๆ


 


 


คุณชายเสี่ยวจิ่วอยู่ที่นี่ หากทำให้คุณชายเสี่ยวจิ่วรู้ว่า คำหลอกลวงแม่นางเยี่ยเม่ยทั้งหลายล้วนมาจากปากเขาบอกแม่นางเยี่ยเม่ยเอง


 


 


จากวิธีการฆ่าคนของคุณชายเสี่ยวจิ่วในสนามรบ ไม่รู้เลยจริงๆว่า ตัวเขาที่น่าสงสารจะถูกหั่นเป็นกี่ชิ้น


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตาเซียวเยว่ชิง  เอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่มีอะไร ก็แค่จะยืนยันกับเจ้าว่า คำพูดที่เจ้าบอกข้าในวันนั้นเป็นความจริงใช่หรือไม่”


 


 


หางตาของเซียวเยว่ชิงปรายตามองจิ่วหุน เขาอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ทั้งไม่รู้ว่าพูดอะไรดี


 


 


เพราะเรื่องนี้มีผลลัพธ์เพียงแค่สองข้อเท่านั้น อย่างแรก บอกความจริงออกมา แล้วเขาถูกองค์ชายสี่ฆ่าตาย อย่างที่สอง พูดจากเหลวไหลต่อไป ถูกจิ่วหุนฆ่าตาย


 


 


ยามนี้เขายิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ไฉนไม่ส่งคนมาดูสถานการณ์ก่อน ตัวเองค่อยมากันเล่า


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นเขาไม่พูด ถามเสียงเย็นชา “อะไรกัน คำพูดของข้าทำให้เจ้ารู้สึกว่าตอบยากอย่างนั้นหรือ”


 


 


เซียวเยว่ชิงสะอื้นตอบ “แม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ใช่แค่ตอบยาก แต่ก็ยากที่จะตอบได้มากๆ”


 


 


ไม่ว่าตอบจะตอบอย่างไรก็ตาย ต่างก็แต่ว่าจะตายอยู่ที่มือใคร นี่ยังไม่ใช่คำถามที่ยากจะตอบได้อีกเหรอ


 


 


เซียวเยว่ชิงเอ่ยประโยคนี้จบ เงยหน้ามองเยี่ยเม่ย ปรึกษาว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านดู ข้าน้อยจงรักภักดีต่อท่าน ทั่วทั้งค่ายทหารล้วนหาคนที่ภักดีเช่นข้าไม่ได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นเรื่องนี้ ท่านไปถามคนอื่นเถอะ”


 


 


ไม่ต้องถามเขาแล้ว


 


 


เขาไม่อาจขวางไว้ได้อีกแล้ว ผู้อื่นตายได้ แต่ข้าไม่อาจตายก็แล้วกัน


 


 


…..


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ สมองหวนคิดถึงความทรงจำในวันนั้นอย่างรวดเร็ว ครั้งก่อนตอนที่เซียวเยว่ชิงเอ่ยคำพูดพวกนั้นกับนาง ซินเยว่เยี่ยนกับซือหม่าหรุ่ยเดินผ่านมาพอดี ปฏิกิริยาแปลกๆ ต่างๆ รวมกับคำพูดของ เซียวเยว่ชิง


 


 


ยามนี้นางพลันเข้าใจแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเซียวเยว่ชิง เอ่ยถามว่า “ดังนั้น ความจริงของเรื่องก็คือ พวกเจ้าล้วนรับคำสั่งของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่กล้าขัดขืน ดังนั้นไม่อาจไม่ฟังคำพูดเขา ทำได้แค่โกหกข้าแล้ว”


 


 


เซียวเยว่ชิงฟังคำพูดนี้ แสดงออกอย่างเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก


 


 


หากตัวเองยอมรับคำพูดนี้ ยิ่งจะตายอย่างน่าอนาถ องค์ชายสี่ไม่ทรมานตนทั้งครอบครัวจนตายก็แปลกแล้ว เซียวเยว่ชิงหน้าตาบึ้งตึงส่ายหน้าให้กับเยี่ยเม่ย


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งไป มองเซียวเยว่ชิง เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องตอบแล้ว ทำงานต่อไปเถอะ”


 


 


 “ขอรับ” เซียวเยว่ชิงตอบรับคำหนึ่ง


 


 


จากนั้น เซียวเยว่ชิงเดินต่อไปอีกหลายก้าว ค่อยหยุดชะงัก เขาหันกลับมามองเยี่ยเม่ยคุกเข่าลง “ตุบ”


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ย ขอร้องท่านแล้ว อย่าได้พูดถึงข้าน้อยต่อองค์ชายสี่ได้หรือไม่”


 


 


เห็นได้ชัดเลยว่า แม่นางเยี่ยเม่ยรู้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ หากองค์ชายสี่รู้ว่าเขาไม่ได้เอ่ยคำโกหกต่อไป ชีวิตเขายังจะเหลืออีกเหรอ


 


 


ความจริงไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากโกหกต่อไป อย่างไรเสียการล่วงเกินองค์ชายสี่จะทำให้ครอบครัวตกตายกันหมด หากล่วงเกินจิ่วหุนก็แค่เขาคนเดียวที่ตาย แต่ที่สำคัญก็คือเขาละอายใจ


 


 


เสี่ยวจิ่วที่เป็นเจ้าทุกข์อยู่ที่นี่ เขาเป็นชายชาตรี จะให้เขาเบิกตากว้างเอ่ยคำลวงต่อหน้าเสี่ยวจิ่ว เขาจะพูดออกได้อย่างไร


 


 


เยี่ยเม่ยเข้าใจความกลัดกลุ้มของเขา ทั้งยังเข้าใจความหวาดกลัวคนของราชสำนักเป่ยเฉินทั้งหลายที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


นางพยักหน้า เอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าถอยไปเถอะ”


 


 


เซียวเยว่ชิงน้ำตาคลอเอ่ยว่า “ขอบคุณแม่นางเยี่ยเม่ย”


 


 


ความรู้สึกที่หนีรอดจากความตายเช่นนี้ช่างมิได้สวยหรูเอาเสียเลย


 


 


ครั้นดูจากการแสดงออกของเขาก็เท่ากับสารภาพกับเยี่ยเม่ยไปแล้ว เรื่องอาการบาดเจ็บ คนที่โกหกความจริงก็คือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ส่วนคนที่ได้รับความไม่ยุติธรรมตัวจริงก็คือจิ่วหุน


 


 


หลังจากเซียวเยว่ชิงเอ่ยจบ ก็รีบลุกขึ้นทันที สาวเท้าสวบๆ ออกไป ชั่วขณะนั้นความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ความเจ็บปวดที่ก่อนหน้านี้หลอกลวงทำร้ายเสี่ยวจิ่วสลายไปจนหมดสิ้น รู้สึกว่าตนเองพ้นความผิดแล้ว


 


 


หลังจากเซียวเยว่ชิงจากไป


 


 


เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน ยื่นมือออกไปตบบ่าเขา “ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


น้ำเสียงนางยังคงเย็นชาเหมือนเดิม ทั้งแฝงความโมโหเอาไว้ด้วย


 


 


จิ่วหุนเข้าใจ นี่คือความโกรธที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


เขารีบพยักหน้า ท่าทางว่าไม่เป็นไร เอ่ยว่า “ข้าไม่โมโหแล้ว”


 


 


เขาเป็นคนรู้จักสถานการณ์เช่นนี้ ไม่โทษเยี่ยเม่ย เยี่ยเม่ยยิ่งสงสารจิ่วหุนจับใจ


 


 


แน่นอนว่าความโกรธที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน


 


 


เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน ถามว่า “มีแค่ปอยผมขาดใช่ไหม ไม่ได้รับบาดเจ็บอื่นใช่หรือเปล่า”


 


 


จิ่วหุนส่ายหน้า น้ำเสียงกลัดกลุ้มเอ่ยว่า “ไม่มี”


 


 


ในเวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังจะถูกจัดการเพราะแกล้งบาดเจ็บ ต่อให้จิ่วหุนโง่แค่ไหน เวลานี้ก็ไม่เสแสร้งบาดเจ็บไปด้วย


 


 



 


 


 “อย่างนั้นก็ดี” เยี่ยเม่ยคลายใจ เอ่ยว่า “เจ้าพักผ่อนเสีย”


 


 


เยี่ยเม่ยพูดไปก็เตรียมออกจากประตู


 


 


จิ่วหุนมองตามเยี่ยเม่ย ถามว่า “เจ้าจะไปทำอะไร”


 


 


มุมปากเยี่ยเม่ยยกยิ้มเย็นชา น้ำเสียงเย็นเยือก “ไม่ใช่มีบางคนบอกว่าอาการบาดเจ็บกำเริบ ต้องการให้ข้าไปดูแลมิใช่หรือ”


 


 


ท่าทางถมึงทึงของเยี่ยเม่ยดูแล้วน่ากลัวมาก


 


 


ในขณะนั้นเองจิ่วหุนที่เชื่อฟังมาโดยตลอด เวลานี้ก็เริ่มเฝ้ารอดูจุดจบของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ให้ร้ายเขาเสียอนาถถึงขั้นนี้


 


 


จิ่วหุนพยักหน้า กล่าวต่อ “อย่างนั้นเจ้าไปเถอะ”


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยหมุนกายเดินออกไป พลันฉุกคิดบางอย่างได้ หันกลับมามองจิ่วหุน เอ่ยว่า “ครั้งหน้าหากมีเรื่องไม่ยินดีอะไรอีก บอกกับข้ามาตรงๆ อย่าได้วู่วามหนีออกจากบ้าน เจ้าก็เห็นแล้ว เจ้าหนีออกไปก็ถูกคนวางแผนการใส่ทันที”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้สมองของเยี่ยเม่ยก็อื้ออึ้งรู้สึกจนปัญญากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้จริงๆ ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษ กินอิ่มนอนหลับว่างงาน แกล้งบาดเจ็บเพื่ออะไรกัน


 


 


จิ่วหุนพยักหน้า “รู้แล้ว”


 


 


เข้าใจแล้ว ภายหน้าต่อให้ต้องหนีออกจากบ้านอีกก็ไปที่ที่ตามหาตัวได้ง่าย แบบนี้ก็ไม่ทำให้ทุกคนหาไปจนทั่วแต่ก็หาไม่พบ นางไม่มาปลอบเขาอีก


 


 


ซ้ำเขายังต้องกลับมาเอง ถึงเขาจะไม่ใช่คนรักหน้าขนาดนั้น แต่ความจริงเขาก็ประหม่ามาก


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นจิ่วหุนเห็นด้วยแล้ว ก็ไม่พูดมาก เดินจากไป


 


 


   …


 


 


ในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


องค์ชายสี่นั่งใช้สมองขบคิดแผนการรับมือ


 


 


อวี้เหว่ยจัดการศพจิ้งหรีดเสร็จแล้ว กำลังยืนอยู่ข้างกายเจ้านาย รอดูจุดจบของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ข้างๆ


 


 


ส่วนด้านข้างคืออุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้จำนวนมาก


 


 


ในเสี้ยวเวลานี้เอง เยี่ยเม่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา หลังจากเข้ามาแล้วก็ตวาดเสียงเย็น “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบลุกขึ้น ยืนอย่างสงบเสงี่ยม “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนเตรียมแส้เอาไว้แล้ว” 

 

 


ตอนที่ 155 ใจที่เยี่ยนมีให้เจ้า เป็นของจริงแน่นอน

 

เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก เพลิงโทสะที่เดิมสุมมาเต็มอก เมื่อเข้ามาก็จะจัดการคนผู้นี้ แต่นางคิดไม่ถึงว่า ตัวเองยังไม่ทันจะเอ่ยปากเอาผิด อีกฝ่ายก็เอ่ยประโยคเช่นนี้ ทำให้เพลิงโทสะจุกอยู่ที่คอ ไม่รู้จะระบายออกมาอย่างไร


 


 


อวี้เหว่ยในยามนี้ก็มอง เตี้ยนเซี่ยของตนอย่างไม่อยากเชื่อ ตอนเตี้ยนเซี่ยสั่งให้เขาออกไปหาแส้หนังมา ยังหลงคิดว่าจะเอาไปให้แม่นางเยี่ยเม่ยเพื่อประจบเอาใจเสียอีก


 


 


ดูจากสถานการณ์แล้ว คงไม่ใช่เช่นนั้น


 


 


ในขณะที่เขากำลังกลัดกลุ้ม


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหยิบแส้หนังขึ้นมา ท่าทางองอาจเดินเข้าหาเยี่ยเม่ย  ยื่นแส้ในมือให้กับนางเอ่ยช้าๆ ว่า “มีความผิดก็ต้องรับผิด เยี่ยนมีคุณธรรมเหนือคนทั่วไป หากตีเยี่ยนแล้วแม่นางจะคลายโทสะได้ เยี่ยนก็ยินยอมรับ”


 


 


อวี้เหว่ยในเวลานี้ไม่กล้ามองตรงๆ แล้ว


 


 


เขารู้สึกว่า เตี้ยนเซี่ยจะต้องถูกแม่นางเยี่ยเม่ยฟาดจนสะบักสะบอมแน่


 


 


เขาทนมองไม่ได้ จึงเอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยขอตัวก่อนแล้ว ท่านกับแม่นางเยี่ยเม่ยค่อยจัดการก็แล้วกัน”


 


 


อย่างไรก็เป็นเรื่องระหว่างเตี้ยนเซี่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ย ตัวเขาไม่สะดวกจะชมอยู่ที่นี่


 


 


หากเตี้ยนเซี่ยถูกแม่นางเยี่ยเม่ยตีขึ้นมาจริงๆ ตัวเขาที่ดูเหตุการณ์จะถูกเตี้ยนเซี่ยฆ่าปิดปากเพื่อรักษาหน้าหรือเปล่า จุดนี้มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้


 


 


อวี้เหว่ยไม่กล้าเอาชีวิตตนไปเสี่ยง มอบให้สวรรค์


 


 


ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมไม่มีเวลาไปใส่ใจเขา อวี้เหว่ยรีบหนีออกไปจากเรือนแล้ว ทั้งยังกังวลว่าคนที่ผ่านมาไม่ทันระวังเห็นฉากคาวเลือด แล้วถูกเตี้ยนเซี่ยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ฆ่าคนปิดปาก


 


 


หลังจากอวี้เหว่ยผู้มีเมตตาออกไป ก็ปิดประตูมิดชิด ตัดขาดทุกอย่างไว้ด้านหลังประตู


 


 


เยี่ยเม่ยก้มลงหยิบแส้หนังในมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยิ้มตอบกลับด้วยความโมโห “ดูท่าจะสำนึกแล้ว”


 


 


 


 


           ถึงแม้เยี่ยเม่ยจะค่อนข้างพอใจกับการแสดงออกของอีกฝ่าย แต่เพลิงโทสะในใจ กลับไม่ลดลงเลยสักน้อย นี่คือสองเรื่องที่นางเกลียดที่สุดในชีวิต


 


 


           หลอกลวงและหักหลัง


 


 


ส่วนการล้อเล่นของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถึงจะไม่มีผลกระทบในวงกว้าง ยังสามารถอธิบายได้ชัดเจน อีกอย่างก็ไม่ก่อผลร้ายจนเกินจะกอบกู้คืนมาได้ แต่ก็เป็นการหลอกลวงจริงๆ


 


 


เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันเข้าใจได้ในทันที วันนี้เขาคงจะถูกตีอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว


 


 


เขาแสดงออกด้วยท่าทางจริงใจ ก้มหน้าเอ่ย “โทสะของแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนยินยอมรับ”


 


 


สิ้นเสียง เยี่ยเม่ยก็หยิบแส้มา ทันใดนั้นเยี่ยเม่ยฉุกคิดขึ้น ถามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า “อย่างนั้น เรื่องที่ข้าขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงท่านก็…”  


 


 


ครั้นนางคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาต้องการให้นางรับผิดชอบ ส่วนตัวนางก็รับปากว่าจะรับผิดชอบแล้ว หรือว่าเรื่องนี้ความจริงคือหลุมพราง


 


 


นางเอ่ยอกไปเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมลง ดวงตาคู่ร้ายมองเยี่ยเม่ย ค่อยๆ กล่าวว่า “เรื่องนี้เยี่ยนไม่เข้าใจจริงๆ ถึงแม้เยี่ยนจะไม่สลบไป แต่ว่ายามนั้นก็หลับจริงๆ แล้ว”


 


 


เขาพูดเป็นปกติ จริงจังเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วในใจเขาตื่นเต้นไม่น้อย


 


 


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ เขาควบคุมตัวหมากสำคัญเอาไว้ เมื่อได้รับคำว่า “รับผิดชอบ” จากนาง หากเพราะเรื่องนี้ต้องทำให้ทุกอย่างพังทลาย เมื่อเทียบกับเรื่องที่จะถูกแส้ฟาดในยามนี้แล้ว เขายิ่งรับไม่ได้มากกว่า


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความละล้าละลัง เห็นสีหน้าเขาจริงจัง ไม่ดูร้อนตัวหรือเปลี่ยนสีหน้าเลยสักน้อย นางสงสัยว่าเรื่องอาจจะเกิดจากตัวนางจริงๆ


 


 


ในระหว่างที่นางอยู่ในห้วงความสงสัย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันหรี่ดวงตาชั่วร้าย เอ่ยต่อว่า “นอกเสียจากว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่คิดรับผิดชอบแล้ว ดังนั้นจึงจงใจยืมโอกาสนี้บิดพลิ้ว”


 


 


เขารู้แน่นอนว่านางมิได้คิดเช่นนั้น แต่ว่าใช้วิธีการกระตุ้นเช่นนี้ กลับทำให้มีโอกาสที่นางจะยอมรับผิดชอบต่อไป


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา  เยี่ยเม่ยก็ปรายตามองทันที เอ่ยว่า “ในโลกนี้ไม่มีเรื่องไหนที่ข้าเยี่ยเม่ยรับผิดชอบไม่ไหว”


 


 


สิ้นเสียง เยี่ยเม่ยก็เอ่ยต่อว่า “ดังนั้น เรามาคิดบัญชีกันก่อนเถอะ”


 


 


เยี่ยเม่ยพูดไป แส้ในมือที่สะบัดลง


 


 


 “เพี๊ยะ” เสียงแส้ฟาดลงบนร่างของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


เยี่ยเม่ยลงมือไม่เบาเลย  เสื้อผ้าหรูหราบริเวณบ่าถูกแส้ฟาดแตกออก เลือดไหลซิบ


 


 


เขายังยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่เปลี่ยนสีหน้า ท่วงท่าไม่สูญเสียความสง่างาม ขยับสักน้อยยังไม่มี คล้ายกับว่าแส้นี้ไม่ได้ฟาดลงที่ร่างเขา


 


 


เยี่ยเม่ยกลับชะงักไปเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าตัวนางลงมือแรงเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องหลบแน่ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่หลบ มองบาดแผลที่แขนเสื้อของเขา เยี่ยเม่ยชะงักไปครู่หนึ่ง


 


 


มือที่จับแส้ไว้ ลังเลไม่ฟาดลงไปเป็นครั้งที่สอง


 


 


ส่วนในเวลานี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองนาง กลับมีท่าทางสัตย์จริง ถามช้าๆ ด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยหายโมโหหรือยัง หากยังก็ฟาดลงมาอีก ขอเพียงแม่นางไม่โกรธแค้นเยี่ยน วันนี้ถูกแม่นางฟาดจนตาย เยี่ยนก็ไม่โกรธเคืองสักน้อย”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา กลับทำให้ เยี่ยเม่ยหน้าขรึมลง


 


 


หญิงสาวมีสีหน้าเย็นชา มองบุรุษตรงหน้า เอ่ยเสียงนิ่งว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน คำพูดของท่านคำไหนคือความจริงกันแน่”


 


 


นางเริ่มสงสัยแล้ว บุรุษผู้นี้สารภาพรักกับนาง ตัวเขาเองก็เคยยอมรับว่านั่นคือความคิดที่จะทรมานใจนางเท่านั้น


 


 


เขาสารภาพความในใจอีกครั้ง แต่ก็สร้างคำโกหกมาหลอกตัวนางอย่างรวดเร็ว ทำให้จิ่วหุนหนีออกจากบ้านไป


 


 


คราวนี้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้อีก ท่าทางยอมถูกจัดการ


 


 


เยี่ยเม่ยอยากรู้จริงๆ คำพูดของอีกฝ่าย สรุปแล้วคำไหนจริง คำไหนเท็จ


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยถามเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ถอนใจ


 


 


ดวงตาร้ายกาจของเขามองเยี่ยเม่ย สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกล้ำลึก น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยไม่คิดบ้างว่า ไฉนเยี่ยนต้องโกหก ทั้งยังให้ทุกคนร่วมกันพูดโกหก ให้ร้ายจิ่วหุนด้วย”


 


 


คำถามของเขา ทำเยี่ยเม่ยอึ้งไป


 


 


จริงด้วย นางมัวแต่โมโห ไม่ทันคิดมาก ในใจเพียงคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนน่าเบื่อมาก


 


 


แต่ ไม่ช้าเยี่ยเม่ยก็คิดถึงความเป็นไปได้ชนิดหนึ่ง นางจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามว่า “เพราะว่าท่านกับจิ่วหุนมีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกัน ดังนั้นคิดใช้ข้าเพื่อกดดันเขาอย่างนั้นหรือ”


 


 


ดังนั้นนางถูกใช้เป็นชนวนแล้วอย่างนั้นเหรอ


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ขมวดคิ้วแน่น เขาพินิจมองเยี่ยเม่ยอยู่หลายวินาที เขาสงสัยว่าเยี่ยเม่ยกำลังล้อเล่นกับตัวเขา


 


 


แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของหญิงสาว เขาพลันเข้าใจวิถีความคิดของหญิงแกร่ง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพรูลมหายใจออกมา สารภาพความในใจออกไป “อย่างนั้นแม่นางเยี่ยเม่ยไม่เคยคิดหรือว่า ไฉนข้ากับเขามีความสัมพันธ์ไม่ดี ความจริงแล้วทุกอย่างง่ายมาก กำลังหึงก็เท่านั้น เยี่ยนไม่ชอบให้เขาอยู่ข้างกายเจ้า ดังนั้นคิดใส่ร้ายให้เขาจากไป นี่ก็คือความคิดของเยี่ยน”


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยชะงักงันไปแล้ว ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เอ่ยปากอย่างว่องไว “คำพูดไหนของเยี่ยนที่เป็นความจริงไม่สำคัญ ที่สำคัญคือหัวใจของเยี่ยนเป็นของจริงอย่างแน่นอน” 

 

 


ตอนที่ 156 แม่นางเยี่ยเม่ยพอใจ เป็นคำขอเดียวของเยี่ยน

 

   เยี่ยเม่ยจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง เห็นสายตาจริงจัง ก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าเชื่อคำพูดนี้”


 


 


หากมิใช่คำพูดจากใจจริง บุรุษเบื้องหน้าที่เฉยชาต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ยอมรับแส้ของนางเอาไว้ เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้


 


 


 “แต่ที่สมควรถูกตีก็ต้องตี” เยี่ยเม่ยยังคงมีสีหน้าเย็นชาดังเดิม เรื่องหลอกลวงไม่อาจให้อภัยได้


 


 


ในระหว่างที่เอ่ย แส้ของเยี่ยเม่ยสะบัดฟาดลงพื้นเกิดเสียงดัง ทำให้อวี้เหว่ยที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินอย่างชัดเจนโดยมิต้องแอบฟังตัวสั่นงก


 


 


จากนั้นเยี่ยเม่ยจ้องใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของผู้ชายตรงหน้า นางเอ่ยปากว่า “มีบางครั้งจำเป็นต้องสั่งสอน ตีจนเจ็บแล้วถึงจะไม่มีครั้งหน้าอีก ท่านว่าอย่างไรเล่า”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง เสียงหัวเราะน่าฟังแฝงด้วยความอ่อนโยน สายตามองเยี่ยเม่ยที่ยังไม่รั้งกลับมา กวาดมองรอยเลือดบนแส้ จากนั้นเขาเอ่ยว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น คำพูดของแม่นางเยี่ยเม่ยล้วนมีเหตุผล”


 


 


 “อย่างนั้นก็ดี”


 


 


เยี่ยเม่ยรับคำเสียงเย็น ถึงนางจะพอใจท่าทีเช่นนี้ของเขา แต่ว่ายามสมควรสั่งสอนก็ต้องสั่งสอน


 


 


หลังจากสิ้นเสียงพูด ก็เกิดเสียงแส้ดังลั่นไปทั่วเรือน “เพียะ” “เพียะ” “เพียะ”


 


 


อวี้เหว่ยยืนกอดอกอยู่หน้าประตู จินตนาการว่าวันนี้เตี้ยนเซี่ยจะถูกแส้ฟาดเจียนตาย พลันสำนึกขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจิ้งหรีดเขาเลยไม่ได้ไปถ่ายทอดคำสั่ง ชักนำให้เหตุการณ์ไม่อาจย้อนคืนได้เช่นนี้


 


 


ในขณะที่เขาคิด เสียงแส้ดังออกมา


 


 


อวี้เหว่ยตัวสั่นเล็กน้อย ขมับมีเหงื่อเย็นเยียบไหลซึม สายตามองท้องฟ้า เดิมหลงคิดว่าเขาถูกเตี้ยนเซี่ยบีบให้เหยียบจิ้งหรีดตาย ก็เป็นคนที่น่าสงสารอย่างมากในโลกแล้ว


 


 


ยามนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเตี้ยนเซี่ย เขารู้สึกว่าจิ้งหรีดก็ไม่นับเป็นตัวอะไรทั้งนั้น


 


 


จริงด้วย ไม่รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยที่ถูกฟาดเพราะเขา จะซ้อมตัวเขาและคนที่เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้หางตาของอวี้เหว่ยก็มีน้ำตาคลอ ในขณะที่เขาอยู่ในห้วงความปวดใจแสนสาหัส


 


 


นกหลายตัวในเรือนตกใจเสียงแส้ บินทะยานไปในท้องฟ้า ลาลับจนไม่เห็นแม้แต่เงา


 


 


จนกระทั่งเสียงแส้สงบลง ทั้งนก แมลงบิน รวมถึงหนอนบนพื้นทั้งหลายในเรือนก็หนีหายไปจนหมดสิ้น ภายในเรือนหลงเหลือเพียงความเงียบสงบ


 


 


ยามนี้อวี้เหว่ยพรูลมหายใจออกมาคำรบหนึ่ง อยากหันไปเปิดประตูดูสักหน่อย เตี้ยนเซี่ยยังมีชีวิตอยู่ไหมแต่เขากลัวว่าการแอบมองจะยั่วโมโหเยี่ยเม่ย แล้วพานจะทำให้นางคิดบัญชีกับเตี้ยนเซี่ย ยิ่งทำให้เหตุการณ์ไม่อาจควบคุมได้ เป็นเหตุให้เตี้ยนเซี่ยถูกทำร้ายอย่างรุนแรง


 


 


ดังนั้นเขาได้แต่อดกลั้นอย่างทุกข์ทรมาน


 


 


   ……


 


 


ส่วนภายในเรือน เยี่ยเม่ยที่ลงแส้อยู่นานก็เก็บแส้แล้ว


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเบื้องหน้าร่างกายไม่เหลือเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สมบูรณ์เลยสักชิ้น ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแส้และรอยเลือด เคราะห์ดีที่ไม่ฟาดใส่ใบหน้า ไม่ทำลายรูปโฉมหล่อเหลาของเขา


 


 


ถูกฟาดอยู่นานเช่นนี้ แต่ละแส้ของเยี่ยเม่ยลงมือหนักมาก ร้อยทั้งร้อยลงมืออย่างแม่นยำ ร่างกายเขาไม่เหลือเนื้อที่ไร้บาดแผลเลยสักน้อย เยี่ยเม่ยถึงคลายโทสะลง


 


 


ส่วนตลอดกระบวนการเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ส่งเสียงเลยสักแอะ กัดฟันทนรับไว้ จนกระทั่งเยี่ยเม่ยฟาดเสร็จ เขาพลันมองไปที่นาง คลี่ยิ้มออกมา สีหน้าเลื่อนลอยอยู่บ้าง เอ่ยปากช้าๆ ว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนไม่ถูกแส้ฟาดรุนแรงเช่นนี้มานานแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย


 


 


คำพูดนี้หมายความว่า เขาไม่ถูกลงมืออย่างรุนแรงเช่นนี้มานานแล้ว นั่น…ในความสงสัยนั้น นางเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “หรือว่าเมื่อก่อนท่านเคยถูกคนทำร้ายอย่างนี้ด้วย”


 


 


เป็นไปได้หรือ


 


 


นิสัยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน…


 


 


ไม่ถูก แต่เดิมนางไม่เคยพิจารณาว่า นิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา เขาก็พลันหัวเราะออกมา ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายในยามนี้ยิ่งดูทรงเสน่ห์ดังปีศาจ ความเลื่อนลอยบนใบหน้าหายไปในชั่วขณะ มองเยี่ยเม่ยกล่าวว่า “นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือครั้งนี้เยี่ยนยินยอมถูกตี ก็เพื่อช่วยให้หญิงสาวที่เยี่ยนรักระบายโทสะ”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ เขาหันกลับไปมองที่โต๊ะอีกครั้ง


 


 


จากนั้นหันกลับมามองเยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เอ่ย “บนโต๊ะยังมีของอย่างอื่นอีก หากแม่นางเยี่ยเม่ยไม่พอใจ ก็สามารถใช้ได้จนกระทั่งแม่นางพอใจแล้วค่อยหยุด”


 


 


เยี่ยเม่ยส่งสายตามองผ่านเขาไปที่โต๊ะ


 


 


เมื่อมองไปนางก็ต้องตกตะลึง บนโต๊ะล้วนเป็นเครื่องลงทัณฑ์ นางสงสัยว่าเอามาจากคุกหรือเปล่า แม้กระทั่งเครื่องถอดเล็บก็ยังวางไว้ตรงนั้นเลย


 


 


เยี่ยเม่ยพยักอย่างด้วยความพอใจ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ดีมาก ท่านไม่ได้ดูแคลนความโหดเ**้ยมของข้าเลย”


 


 


นางชอบสังหารโหด คนที่ชอบสังหารโหด ย่อมมีจิตใจโหดเ**้ยม ชื่นชอบการทรมานร่างคน


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเตรียมข้าวของตั้งมากมาย ก็เรียกได้ว่าเอาใจนางถึงที่สุดแล้ว


 


 


ใบหน้าของชายหนุ่มเจือรอยยิ้ม พอใจกับคำชื่นชมของเยี่ยเม่ย เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยพอใจก็ถือเป็นเกียรติของเยี่ยน ทั้งยังเป็นสิ่งเดียวที่เยี่ยนไขว่คว้าในชาตินี้”


 


 


คำพูดนี้กล่าวเหมือนกับว่าของทั้งหมดไม่ได้เตรียมมาใช้กับร่างกายเขา ยิ่งคล้ายกับว่าไม่ใช่เขาที่ถูกทำร้าย


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยพึงพอใจกับความร่วมมือและคำพูดของเขามาก โดยเฉพาะที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทีท่าถือโทษนาง เยี่ยเม่ยยิ่งทวีพอใจมากขึ้นไปอีก


 


 


ดังนั้นนางวางแส้ในมือลง โยนลงพื้น สายตาให้อภัยกวาดมองเขา เอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชาว่า “ยอมรับความผิดอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงท่าทางยอมถูกลงโทษทำให้ข้าพอใจมาก จบเรื่องไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน”


 


 


ดังนั้นเครื่องลงทัณฑ์พวกนั้นก็ไม่ต้องใช้แล้ว


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยกล่าวจบ แววตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทอประกายยิ้มแย้ม จากความเข้าใจในตัวเยี่ยเม่ย การที่นางยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ก็เท่ากับว่านางเห็นเขาสำคัญแล้ว


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นทันที “ขอบคุณแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนซาบซึ้งมาก” 


 


 


เมื่อเอ่ยคำนี้ เขายังคารวะเยี่ยเม่ยด้วย


 


 


คราวนี้กลับเปลี่ยนเป็นเยี่ยเม่ยที่กลัดกลุ้ม


 


 


นางประเมินเขาด้วยสายตา ถามขึ้นว่า “ท่านไม่คิดว่าข้าโหดร้ายเกินไป อีกทั้งยังไม่อ่อนโยนกับท่านเลยสักนิด กระทั่งไม่โกรธเคืองที่ข้าลงมือหนักขนาดนี้ บอกว่าจะตีก็ตีอย่างนั้นหรือ”


 


 


อย่างไรนางก็ลงมือทำร้ายคน ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักน้อย ทั้งไม่ใช่แสร้งทำท่าทางตีเขา ทุกครั้งลงมืออย่างหนักหน่วง นางยังสงสัยว่าหากเขาอ่อนแอไปหน่อย เวลานี้สมควรถูกนางฟาดจนเจียนตายแล้ว


 


 


ความจริงเมื่อฟาดเขาเสร็จ หลังจากเยี่ยเม่ยคลายโทสะก็รู้สึกว่าตัวเองลงมือหนักไป


 


 


เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง กลับหัวเราะอย่างน่าฟัง อธิบาย “เยี่ยนเพียงรู้สึกว่า เยี่ยนโกหกแม่นาง เจ้ายังยินยอมลงมือกับเยี่ยน ให้โอกาสเยี่ยนกลับตัวเป็นคนใหม่ นั่นก็หมายความว่าแม่นางมีเมตตา ทำร้ายเยี่ยนแต่ไม่เอาชีวิต ยิ่งทำให้เห็นถึงจิตใจดีงามของเจ้า ในสายตาเยี่ยนเห็นแต่ด้านดีของแม่นางเยี่ยเม่ย ส่วนด้านร้ายของแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนเห็นว่าไม่มีเลย”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม