เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 143-149

ตอนที่ 143 ฉันไม่ยอมให้เธอไปหรอก

 

ด้วยอยากอาศัยรถฟรีกลับบ้าน เฉินโยวหรานจึงตัดสินใจว่าจะไม่ชวนเขาทะเลาะและยอมขึ้นรถอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ช้าเธอก็ถึงบ้าน 


 


 


ขณะลงจากรถ เธอก็หันไปทำหน้าล้อเลียนใส่เขาแล้วพูดว่า “งานคนรับใช้ของนายอาจจะทำให้มีรถกับเงินก็จริง แต่นายก็ยังต้องเป็นคนมาส่งฉันกลับบ้านอยู่ดีนั่นแหละน่า ฮิๆ” 


 


 


พูดจบก็เผ่นผลุงเข้าตัวอาคารไป 


 


 


“เธอนี่มัน…” เฉินอวี่เฉิงจะวิ่งไล่ตามก็ไม่ทัน ทำได้แค่มองหญิงสาววิ่งเข้าไปที่ล็อบบี้และปิดประตูใส่โดยแรง 


 


 


นายแพทย์หนุ่มนั่งบ่นพึมพำอยู่ในรถ “วิ่งเร็วเป็นบ้า” 


 


 


เมื่อหมุนตัวจะเดินเข้าไปด้านใน เฉินโยวหรานก็หันไปเจอมารดาของตัวเองเข้าเต็มรัก 


 


 


“โอ๊ย! ตกใจหมดเลย แม่ก็” หญิงสาวร้องอุทาน 


 


 


ผู้เป็นแม่ลากตัวลูกสาวไปที่หน้าต่างและชี้ไปยังรถที่เพิ่งขับออกไป “ใครมาส่งแกที่บ้านน่ะ” 


 


 


ที่ด้านหลังของแม่ เฉินโยวหลัน น้องสาวของเธอก็รีบพูดแทรกขึ้นมา “นั่นน่ะสิพี่ ใครกันน่ะ แล้วทำไมเขาถึงมาส่งพี่ที่บ้านได้ล่ะ ฉันเห็นนะว่ารถนั่นน่ะปอร์เช่เชียว ทำไมถึงไปรู้จักคนรวยเบอร์นั้นได้ล่ะเนี่ย แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกพวกเราบ้าง” 


 


 


เฉินโยวหรานมองแม่และน้องสาวด้วยความอึดอัด “แค่เพื่อนมาส่งบ้านน่ะ” 


 


 


“นี่ไม่ได้เดตกับเขาหรอกหรือ” 


 


 


“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ให้เธอเดทกับอีตาเฉินอวี่เฉิงเนี่ยน่ะเหรอ รอให้เธอเสียสติซะก่อนเถอะ 


 


 


เมื่อผิดหวังกับคำตอบ ผู้เป็นมารดาจึงไม่ซักไซ้อะไรต่อ “ฉันก็ว่าแล้วละว่าคนมีเงินระดับนั้นเขาไม่น่าชายตามองแกหรอก นี่แกควรจะหาแม่สื่อได้แล้วนะ” 


 


 


ข้างเฉินโยวหลันก็กระโดดเข้ามาหาพลางอ้อนวอนว่า “พี่จ๋า ในเมื่อเขาไม่ใช่แฟนพี่…งั้นพี่ช่วยแนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยสิ ถ้าพี่คว้ามาไม่ได้ งั้นก็ให้ฉันลองหน่อยนะ” 


 


 


“นั่นน่ะสิ ว่าแต่เขามีแฟนรึเปล่าล่ะ ถ้าไม่มี แกก็ช่วยแนะนำให้น้องสาวแกหน่อย น้องแกก็อายุยี่สิบเข้าไปแล้ว ออกเดตได้น่ะ จะหาคู่น่ะต้องหาเสียตั้งแต่ยังสาวๆ ไม่อย่างนั้นคนดีๆ มีหวังโดนฉกไปหมดกันพอดี” 


 


 


“โอ๊ย เขามีสาวควงเป็นกระบุง เลิกคิดกันได้เลยทั้งคู่นั่นแหละ” เฉินโยวหรานไม่อาจทนฟังสองแม่ลูกผู้หิวเงินได้อีกต่อไป เธอรีบตรงเข้าห้องและนึกถึงของขวัญที่จะต้องส่งให้กับยัยหลินเช่อหน้าโง่ในวันพรุ่งนี้ หญิงสาวรีบกดเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยความตื่นเต้น… 


 


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพาหลินเช่อกลับมาถึงบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้าน เขาก็สั่งให้ทุกคนออกไปและพาเธอเข้าไปในห้องนอนด้วยตัวเอง 


 


 


เขาวางหลินเช่อลงบนเตียง ใช้ผ้าขนหนูเปียกช่วยเช็ดหน้าให้เธอ 


 


 


ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า เมื่อเห็นว่าเธอไม่รู้สึกตัวดีนัก เขาจึงฉวยโอกาสก้มลงและจูบเธอเบาๆ ที่หน้าผาก 


 


 


แต่เมื่อคิดได้ว่าหลินเช่อออกไปดื่มเหล้าตามลำพัง เขาก็อดโกรธไม่ได้ จนต้องเขกหัวเธอเข้าสักที 


 


 


หลินเช่อสะดุ้งตื่น เมื่อเธอลืมตาก็มองเห็นกู้จิ้งเจ๋อ หญิงสาวจึงนิ่วหน้าและพยายามผลักเขาออกไป 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “นี่เธอเมาใส่ฉันอีกแล้วงั้นเหรอ!” 


 


 


“คนเลว ออกไปเลยนะไม่ต้องเข้ามา” หลินเช่อว่า 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหน้าตึง “ฉันเลวตรงไหน!” 


 


 


หลินเช่อตอบ “เลวสิ คุณน่ะคอยแต่รังแกฉันอยู่เรื่อยเลย!” 


 


 


ชายหนุ่มครุ่นคิด ถ้าหากว่าเป็นแบบที่เธอว่า เขาก็อยากจะรังแกหล่อนอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ กู้จิ้งเจ๋อพยายามอธิบายอย่างอดทน “ยัยโง่ แบบนี้เขาไม่เรียกว่ารังแก นี่เป็นการแสดงความรักต่อเธอต่างหากล่ะ” 


 


 


หลินเช่อยังคงมึนงงจนได้ยินที่ชายหนุ่มพูดไม่ถนัดนัก เธอยังคงพยายามผลักไสเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ราวกับว่ากำลังจะหาทางระบายความหงุดหงิด “ปล่อยฉัน ออกไปนะ ฉันไม่อยากอยู่กับคุณแล้ว” 


 


 


“เอาล่ะ หลินเช่อ เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


เธอปัดมือเขาออกไปอย่างโกรธจัด “คุณก็มีผู้หญิงที่คุณรักอยู่แล้วนี่ แล้วทำไมถึงยังจะมาวุ่นวายกับฉันอีก นี่คุณกำลังรังแกฉันอยู่นะ!” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนิ่งงัน 


 


 


หลินเช่อยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วหยิกเข้าที่แก้มของอีกฝ่าย ด้วยความเมามาย หญิงสาวรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน ขาเธอลอยละล่องขึ้นจากพื้น ร่างกายก็แผ่ขยายออกไป ตอนนี้เธอแยกไม่ออกแล้วระหว่างความฝันกับโลกความจริง เธอจึงทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณบอก 


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอมองดูใบหน้าแสนร้ายกาจของเขาแล้วก็อดรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่ได้ คนทั่วไปไม่มีทางได้แตะเนื้อต้องตัวผู้ชายคนนี้ต่อให้พวกเขาจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม แต่เขากลับอยู่ตรงหน้าต่อหน้าเธอในทุกๆ วัน 


 


 


แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็คิดว่าตัวเองโชคร้ายด้วย เพราะหลังจากได้พบกู้จิ้งเจ๋อแล้วจะมีผู้ชายคนไหนอีกล่ะที่จะทำให้เธอรู้สึกแบบนี้ได้ 


 


 


เธอกลัวเหลือเกินว่าเมื่อเธอต้องจากเขาไปแล้ว เธอจะไม่มีวันตกหลุมรักใครได้อีก 


 


 


แล้วแบบนี้โชคชะตาจะดลบันดาลให้เธอได้มาพบกับเขาทำไมกันล่ะ ให้เธอได้พบเขาแต่ไม่อาจได้ครอบครองเขา 


 


 


หรือหากได้ครอบครองเขา ก็เป็นเวลาเพียงชั่วคราวเท่านั้น 


 


 


ถ้าจะให้ได้พบกันเพียงเพื่อผ่านแบบนี้ละก็ งั้นไม่ต้องเคยพบเจอกันเลยไม่ดีกว่าหรือ เธอจะได้ใช้ชีวิตปกติธรรมดาของเธอ แต่งงานกับผู้ชายธรรมดา แทนที่จะต้องมามีชีวิตอยู่แบบในเวลานี้… 


 


 


“คนชั่ว อันธพาล คนร้ายกาจ กู้จิ้งเจ๋อ เมื่อไหร่เราจะหย่ากันซะที ไหนบอกฉันมาให้ชัดเจนทีซิ!” 


 


 


เธอระดมมือตบตีเข้าไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายไม่ยั้งทั้งที่เขายังคงนิ่งไม่ไหวติง เขามองดูสีหน้าทุกข์ทรมานของเธอขณะยอมให้เธอทุบตีได้ตามใจชอบ 


 


 


จนกระทั่งหลินเช่อหมดแรง เขาก็ยังคงไม่ขยับไปไหน 


 


 


ชายหนุ่มมองใบหน้าเล็กๆ นั้นและถามขึ้นว่า “เธออยากหย่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ” 


 


 


หลินเช่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองและตอบว่า “ใช่ค่ะ” 


 


 


ใช่สิ เธออยากจะไปจากเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้หัวใจตัวเองต้องตกหลุมรักเขาไปมากกว่านี้ 


 


 


เธอไปซะตอนนี้ บางทีทุกอย่างอาจจะยังไม่สายเกินไปก็ได้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูเธอด้วยสายตาอันลึกล้ำ มีแววหม่นเศร้าผุดขึ้นมาแวบหนึ่งในดวงตา 


 


 


หลังจากที่อยู่ๆ หลินเช่อก็โพล่งออกมาว่าอยากจะไป เขาก็บังเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่อยากจะเก็บเธอเอาไว้ข้างกายไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม 


 


 


ต่อให้เขาต้องจับเธอมัดเอาไว้กับตัวเขาก็อยากจะทำ เขาไม่อยากให้เธอไปเลย 


 


 


ทำไมถึงคิดแบบนี้ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน 


 


 


เขาเพียงแต่รู้สึกเริ่มเคยชินกับการมีเธออยู่ด้วยเสียแล้ว แต่เธอกลับมาบอกว่าต้องการทอดทิ้งเขาและจากไป เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องหย่าเลยสักนิด หัวใจของเขาปวดร้าวอย่างไม่อาจหักห้ามได้ กู้จิ้งเจ๋อจับไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวไว้ จนเผลอตัวลืมไปว่าเขาจับเธอไว้แน่นแค่ไหน 


 


 


“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันไม่อนุญาตล่ะ ฉันไม่ให้เธอไป” น้ำเสียงหนักแน่นของเขาดังก้องไปทั่วห้อง 


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้น ศีรษะของเธอยังหนักอึ้งด้วยฤทธิ์เหล้า แต่ดวงตาของเธอใสกระจ่าง เธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาแน่วแน่ของเขา 


 


 


ดวงตาสีเข้มนั้นดูจะยิ่งเข้มทะมึนยิ่งขึ้นไปอีก เขาผลักเธอลงกับเตียงแล้วขึ้นกดร่างเธอเอาไว้ จ้องมองใบหน้าของเธอ พร้อมสองมือที่ยังกระชับแน่นอยู่กับไหล่ทั้งสองข้าง 


 


 


“ทะ…ทำไมคะ…” หลินเช่อถามเสียงแผ่ว 


 


 


ทำไมเขาถึงไม่ยอมให้เธอไปล่ะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “เธอถามฉันว่าเราจะหย่ากันเมื่อไหร่ใช่มั้ย” 


 


 


“อืม…” 


 


 


“แล้วถ้าฉันบอกว่าเราจะไม่หย่ากันล่ะ” 


 


 


“อะไรนะ” 


 


 


แล้วเขาก็ประทับจูบอันหนักแน่นลงบนริมฝีปากเธอ หลินเช่อรู้สึกเหมือนจะสิ้นสติ เธอกำลังจะสิ้นสติอยู่ในอ้อมแขนด้วยจูบอันดูดดื่มของเขา จูบที่เธอไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย…  

 

 


ตอนที่ 144 ยังแคร์มาก ก็ยิ่งเจ็บมาก

 

เมื่อหลินเช่อลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา ในหัวของเธอก็เต็มไปด้วยความสับสนงุนงงอย่างหนัก 


 


 


ขณะที่เธอพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน หญิงสาวก็พลันหันไปเห็นว่าดวงอาทิตย์ขึ้นสูงมากแล้วบนท้องฟ้า และเธอกำลังนอนอยู่บนวงแขนนิ่มๆ ของใครบางคน 


 


 


เมื่อทำท่าจะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เธอก็หันไปพบกับกู้จิ้งเจ๋อที่นอนอยู่ข้างๆ 


 


 


กลายเป็นว่าเธอนอนอยู่ในแขนเขานั่นเอง… 


 


 


หลินเช่อรีบก้มลงสำรวจเสื้อผ้าที่สวมอยู่ และก็ได้เห็นว่าเธอยังคงอยู่ในอาภรณ์ชุดเดิมที่สวมเมื่อวานจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ 


 


 


แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


ในขณะเดียวกัน 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา 


 


 


เขาลืมตาขึ้นมาเห็นหญิงสาวที่กำลังมีท่าทีกระวนกระวายใจและกำลังจะขยับตัวลงจากเตียง 


 


 


เมื่อคืนที่ผ่านมาเขานอนหลับไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ แล้วตอนนี้ก็ยังถูกปลุกให้ตื่นอีก สีหน้าของชายหนุ่มจึงดูปั้นยากทีเดียว 


 


 


เมื่อหันไปเห็นสายตาของกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังมองมาเงียบๆ หลินเช่อก็รีบลุกขึ้นนั่งและกระถดตัวถอยออกมาจากวงแขนเขา 


 


 


หญิงสาวยกมือขึ้นนวดคลึงศีรษะแล้วบอกว่า “ขอโทษนะคะ นี่เมื่อคืนฉันเมาอีกแล้วเหรอคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจ้องมองนิ่งนาน สายตาของเขาแทนคำตอบทุกอย่างได้เป็นอย่างดี 


 


 


หลินเช่อรีบลุกขึ้นอย่างกระดากอาย “ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันไม่เองก็รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเหมือนกัน ว่าแต่เมื่อคืนฉันไม่ได้ก่อเรื่องอะไรใช่มั้ยคะ…” 


 


 


“นี่เธอจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ” 


 


 


“ค่ะ…” คราวนี้เธอลืมจริงๆ นี่นา 


 


 


เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองดื่มอะไรเข้าไป รู้เพียงแต่รสชาติแสนหวาน ทว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นแรงถึงใจทีเดียว หลังจากที่ดื่มเข้าไป เธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “เธอลากฉันเข้ามาแล้วก็ยืนกรานว่าจะนอนกับฉันให้ได้ ฉันอยากหนีแต่เธอก็ไม่ยอม เพราะแบบนี้เมื่อคืนฉันถึงไม่ได้อาบน้ำแล้วก็ต้องเข้านอนเลยนี่แหละ” 


 


 


“หา” หลินเช่อมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อ 


 


 


แต่เมื่อเห็นสภาพกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังนั่งอยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่แล้ว 


 


 


หญิงสาวก็แดงหน้าขึ้นมาทันที “ขอโทษนะคะ…ฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะ…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “ไม่ยักรู้นะว่าเธอจะใจกล้าขนาดนี้เวลาเมา เธอทำกระทั่งพยายามถอดเสื้อผ้าตัวเองเพื่อให้ฉันยอมนอนด้วยด้วยซ้ำ” 


 


 


“…” หลินเช่อไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะทำเรื่องแบบนี้ได้ 


 


 


แต่เมื่อมองดูกู้จิ้งเจ๋อที่ทั้งเซ็กซี่และมีเสน่ห์ตรงหน้าแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ถูกเขาสะกดให้ขาดสติได้ทั้งนั้น บางทีเธออาจจะเมามากจนสัญชาตญาณดิบเข้าครอบงำ หรือว่าเธอจะเป็นฝ่ายยั่วยวนเขาจริงหรือนี่ 


 


 


“ขอโทษค่ะ ขอโทษ ฉัน…ฉันไม่ได้ทำอะไรคุณใช่มั้ยคะ” หลินเช่อยกมือขึ้นทาบอกมองดูอีกฝ่ายอย่างวิตกจริตเต็มที่ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดด้วยน้ำเสียงเยาะๆ ว่า “โชคดีที่ฉันปัดป้องได้ทันน่ะสิ ไม่อย่างงั้นละก็ หึๆ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าวันนี้เธอจะทำหน้ายังไง” 


 


 


“ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ…แล้ว….แล้วฉันจะชดใช้ให้คุณได้ยังไงคะเนี่ย” 


 


 


“ช่างมันเถอะ แค่เธอไม่ไปก่อเรื่องข้างนอกทุกสองสามวันนั่นก็ถือว่าช่วยฉันเยอะแล้ว” 


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขาอย่างรู้สึกผิด เธอมองดูกู้จิ้งเจ๋อลงจากเตียงไปในขณะที่เธอทรุดตัวลงนั่งและก่นด่าตัวเองด้วยความโมโห 


 


 


อุตส่าห์บอกตัวเองแล้วนะว่าอย่าก่อเรื่องอะไรอีก แต่ก็ยังทำลงไปจนได้ 


 


 


ชายหนุ่มเปิดประตูห้องน้ำแล้วหันมามองหลินเช่อที่ยังคงนั่งหน้าเครียด 


 


 


ดูเหมือนว่าเธอจะจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


 


 


 


ตกบ่าย เฉินอวี่เฉิงเงยหน้าขึ้นเห็นกู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาจึงร้องทักอย่างแปลกใจ “ว้าว ท่านประธานกู้ เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับที่มีโอกาสได้ต้อนรับท่านที่นี่ นึกว่าถ้ามีคุณผู้หญิงอยู่ด้วยแล้ว คุณจะไม่มีวันโผล่หน้ามาหาผมเลยซะอีก” 


 


 


“นายพูดถูก ฉันเองก็รู้สึกว่านายไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉันอีกแล้ว ฉันอยากปล่อยนายไปช่วยรักษาคนอื่นเหมือนกัน จะเก็บนายไว้ใช้คนเดียวแบบนี้มันก็ออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงหน้าถอดสีทันที ก่อนเขาจะรีบฉีกยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ท่านประธานกู้ ก็อย่างที่เคยบอกนั่นแหละครับว่า การวิจัยเกี่ยวกับอาการป่วยของท่านนับว่าเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นทั่วโลกที่ล้มป่วยด้วยโรคเดียวกันนี้ด้วยเหมือนกัน แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังค้นไม่พบวิธีการรักษาใด และผมก็ไม่กล้าไปสู้หน้าคนไข้อีกแล้วด้วย ผมวิจัยเรื่องนี้มาเป็นเวลานานมาก ถ้าจะมายอมแพ้ตอนนี้ก็เท่ากับความพยายามที่ผ่านมาก็ต้องกลายเป็นเรื่องสูญเปล่าน่ะสิครับ และต่อให้คุณจะมีคุณผู้หญิงแล้ว คุณก็ยังมาหาผมด้วยปัญหาอื่นได้นี่นา…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตวัดสายตาใส่ แต่ก็คร้านที่จะโต้เถียงด้วย เขาจึงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม 


 


 


เฉินอวี่เฉิงถามต่อไปว่า “แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” 


 


 


นายแพทย์หนุ่มสามารถบอกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้น กู้จิ้งเจ๋อคงจะเจอปัญหาบางอย่างเข้าเสียแล้ว 


 


 


“ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันไม่อยากหย่าอีกแล้วน่ะ” 


 


 


“หา” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงยิ้มให้อีกฝ่าย “ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ตัวคุณผู้หญิงเองก็ไม่ใช่ว่าจะแย่ตรงไหน ถึงแม้สถานะทางสังคม วิถีชีวิตของเธออาจจะแตกต่างจากคุณ หรืออาจจะมีอะไรที่ไม่ค่อยเข้ากันนักอยู่บ้าง แต่ความจริงแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงที่ไม่เลวเลยทีเดียว” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมอง 


 


 


“ไอ้ที่พล่ามมามากมายนี่มันจะช่วยแก้ปัญหาให้ฉันได้ยังไงมิทราบ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงขยับนั่งตัวตรง มองหน้าอีกฝ่าย “คุณก็รู้ว่าผมช่วยแก้ปัญหาให้คุณไม่ได้ คุณต้องแก้มันด้วยตัวเอง ผมช่วยได้เพียงแค่ทำให้ความคิดของคุณชัดเจนขึ้นก็เท่านั้น ในเมื่อคุณไม่ต้องการหย่า ก็ไม่ต้องหย่า จะทำให้มันยากทำไมล่ะครับ” 


 


 


“ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ต้องการหย่า” 


 


 


“แล้วคุณพอจะนึกถึงสาเหตุอะไรออกบ้างละครับ” เฉินอวี่เฉิงกลับเข้าสู่บทบาทของนักจิตวิทยามืออาชีพอย่างเต็มตัว เขาตั้งใจฟังคนไข้และพูดโต้ตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนนุ่มนวล 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “บางทีอาจเป็นเพราะฉันเริ่มเคยชินกับการที่มีเธออยู่ด้วย หรือบางทีอาจเป็นเพราะเธอเป็นฝ่ายขอหย่าขึ้นมาและฉันก็ไม่ชอบใจกับเรื่องนี้นัก หรือบางทีฉันอาจจะจินตนาการถึงเธอ…” 


 


 


“จินตนาการเหรอครับ” เฉินอวี่เฉิงแทบจะลืมความเป็นหมอของตัวเอง และรีบซักไซ้ต่อ “จินตนาการ…เรื่องอะไร” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบตามองคนถาม ก็เล่นถามอะไรโจ่งแจ้งขนาดนี้กันเล่า 


 


 


เมื่อได้เห็นท่าทีของอีกฝ่าย นายแพทย์ก็หัวเราะออกมาทันที 


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อไม่ขำด้วย “เฉินอวี่เฉิง นี่นายไม่อยากทำงานนี้แล้วใช่มั้ย” 


 


 


“เปล่าครับ เปล่า เปล่าเลย งั้นคุณกำลังจะบอกว่าคุณกับเธอยังไม่เคย…ทำเรื่องนั้นกันเลยอย่างนั้นเหรอครับ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหน้าถอดสี 


 


 


เขาตอบว่า “ฉันไม่ต้องการให้เรื่องระหว่างเรามันยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้น่ะ แล้วฉันก็ไม่สามารถ…ทำเรื่องไม่ดีกับเธอเพียงเพื่อจะเติมเต็มความปรารถนาของตัวเองได้ด้วย มันเป็นความต้องการตามธรรมชาติของฉัน และเธอก็ไม่ใช่ที่ระบายเพื่อที่จะตอบสนองมัน เพราะงั้น ฉันทำไม่ได้หรอก” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงตอบ “ผมคิดว่าคุณพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองมากเกินไปนะครับ เพราะแบบนี้คุณถึงปล่อยวางความคิดนี้ไม่ได้ คุณอาจจะลองใช้ชีวิตกับเธออย่างจริงจังเธอดู บางทีมันอาจจะทำให้ความคิดแบบนี้หายไปก็ได้นะครับ” 


 


 


“…” 


 


 


นายแพทย์พูดต่อไปอีกว่า “ทำไมเหรอครับ คุณยังกังวลเรื่องอะไรอีก” 


 


 


“ถ้าทำแบบนี้ แล้วเกิดฉันเผลอพ่ายแพ้ให้กับความปรารถนาของตัวเองจนทำเรื่องไม่ดีกับหลินเช่อเข้า แบบนั้นจะไม่เป็นการทำร้ายเธอหรอกเหรอ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงตอบ “ก็เพราะว่าคุณห่วงใยเธอแบบนี้ไงล่ะ คุณถึงได้พยายามหักห้ามตัวเองอย่างหนัก ว่าแต่ทำไมคุณถึงได้เป็นห่วงเธอนักล่ะ” 


 


 


“เพราะว่า…” 


 


 


“คุณเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้” 


 


 


“ใช่…” 


 


 


“นี่เป็นปัญหาที่มีทางเลือกแค่สองทางเท่านั้น ถ้าคุณแคร์เธอและไม่อยากทำร้ายเธอ คุณก็จะต้องทำร้ายตัวเองแทน ทางเลือกของคุณมีเพียงเท่านี้” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก็ยังคิดไม่ตกอยู่นั่นเอง 


 


 


สุดท้ายแล้ว คำตอบที่เขาต้องการก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้จากคนอื่นอยู่ดีนั่นเอง 


 


 


ขอบคุณที่ดูเหมือนว่าหลินเช่อจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนไปจนหมดจริงๆ 


 


 


เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเห็นเธอกำลังเปิดดูกล่องพัสดุ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาและถามว่า “ทำอะไรอยู่น่ะ” 


 


 


“มีคนส่งของมาให้ฉันน่ะค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”  

 

 


ตอนที่ 145 ผู้ชายที่ฉันไม่อาจเอื้อมที...

 

กู้จิ้งเจ๋อรีบเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดทีเดียวขณะพยายามดึงหลินเช่อให้ออกห่างจากกล่องพัสดุ


 


 


“ถ้าเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วทำไมถึงได้กล้าเปิดกล่องโดยไม่ระวังอย่างนี้ล่ะ”


 


 


หลินเช่อหันมองหน้าชายหนุ่มอย่างประดักประเดิด “ก็ฉันคิดว่าเป็นเฉินโยวหรานส่งมาน่ะสิคะ เธอบอกว่าจะส่งของขวัญมาให้ฉันน่ะ”


 


 


แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่กู้จิ้งเจ๋อก็ยังอดระแวงไม่ได้ เขาจึงจัดการให้แน่ใจว่าหลินเช่ออยู่ในระยะไกลพอก่อนจะลงมือเปิดพัสดุออกอย่างระมัดระวัง ทว่าเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ชายหนุ่มก็ต้องตัวแข็งทื่อ


 


 


ในกล่องนั้นคืออุปกรณ์บางอย่างที่ถูกหุ้มห่อด้วยพลาสติก… หน้าตาของมันประหลาดทีเดียว…


 


 


หลินเช่อเห็นสีหน้าพิลึกพิลั่นของชายหนุ่มแล้วก็รีบปราดเข้ามายืนข้างๆ เพื่อดูให้เห็นกับตาว่ามันคืออะไร “มันคืออะไรเหรอคะ”


 


 


เธอฉีกสิ่งที่หุ้มห่อออกและก็ได้เห็นว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ภายในนั้นคือ…มันมีสีสันสวยงามทีเดียว แต่รูปร่างประหลาด เมื่อดึงออกจากพลาสติกที่ห่อ ก็ได้เห็นว่าเจ้าสิ่งที่หล่นกลิ้งไปบนพื้นคืออะไรบางอย่างที่รูปร่างเหมือนผลกล้วย มันนุ่มนิ่ม และยืดหยุ่นเหมือนยาง จนกระดอนไปบนพื้นได้ ของชิ้นที่อยู่ข้างใต้ในกล่องนั้นคือสิ่งที่รูปร่างเป็นวงรี แล้วก็อีกชิ้น แล้วก็อีกชิ้น…


 


 


หลินเช่อนิ่งคิดอยู่เป็นครู่ จนกระทั่งนึกออกจนได้ว่ามันคืออะไร


 


 


“อ่า… นี่มัน…เซ็กส์ทอย…”


 


 


ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจนจบประโยค หลินเช่อก็ยกมือขึ้นปิดปากและเหลือบสายตาไปหากู้จิ้งเจ๋อ


 


 


เขากำลังนิ่งอึ้ง หน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะเข้าใจในที่สุดว่าบรรดาสิ่งของในกล่องคืออะไร


 


 


มันก็คือ…


 


 


ยัยเฉินโยวหรานนี่!


 


 


หลินเช่อจะต้องฆ่าหล่อนให้ตายคามือทีเดียว


 


 


หล่อนบอกว่าอยากจะให้ของขวัญกับเธอ เนี่ยน่ะเหรอของขวัญที่ว่า


 


 


หลินเช่อมองสีหน้าเหยเกของกู้จิ้งเจ๋ออย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จึงได้แต่รีบรวบรวมเจ้าอุปกรณ์เหล่านั้นกลับลงกล่องโดยเร็ว


 


 


“ฉะ ฉะ ฉัน…ของพวกนี้…ฉันจะรีบเอาไปทิ้งเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยืนนิ่ง มองหลินเช่อ ในขณะนั้นเองที่เขาเริ่มคิดว่า นี่บรรดาเพื่อนของหลินเช่อทั้งหลายล้วนเป็นคนแบบนี้กันหมดหรือยังไงนะ


 


 


หลินเช่อยังพยายามอธิบาย “ฉันไม่รู้เรื่องนี้นะคะ… เฉินโยวหรานคงอยากจะล้อฉันเล่นน่ะค่ะ”


 


 


ชายหนุ่มหันไปมองอุปกรณ์ในมือเธอ การได้เห็นของแบบนี้เป็นครั้งแรกทำให้เขานึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาจับใจทีเดียว


 


 


ความคิดของเขาเริ่มล่องลอยไปถึงคำถามที่ว่า จะเป็นอย่างไรถ้าเอาอุปกรณ์พวกนี้ไปใช้กับหลินเช่อ…


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะเขาเพิ่งกลับมาจากคลินิกของเฉินอวี่เฉิงและคำพูดของนายแพทย์ก็ยังคงส่งผลต่อความคิดของเขาอยู่ก็เป็นได้ ประโยคของเฉินอวี่เฉิงผุดขึ้นในห้วงคิดของเขา ลองพยายามและไขว่คว้ามาสิ บางทีเขาอาจจะไม่ต้องตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ก็ได้


 


 


เขาเฝ้ามองหลินเช่อก้มลงเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นลงกล่องก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เธอ


 


 


บางทีถ้าเขาลองพยายามดู เขาอาจจะเข้าใจเรื่องนี้ในที่สุดก็ได้


 


 


แต่เมื่อเขาเข้าไปถึงตัว หลินเช่อก็ลุกขึ้นยืนเสียแล้ว


 


 


เขาพลาดจังหวะอีกแล้ว ชายหนุ่มหลับตา รู้สึกได้ถึงความเจ็บร้าวของร่างกายจากเมื่อคืนที่ผ่านมา และบังคับตัวเองให้ยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยมอีกครั้ง


 


 


ทำไมถึงได้โง่เง่าอย่างนี้นะ กู้จิ้งเจ๋อด่าตัวเองอยู่ในใจ


 


 


ทั้งหมดนี่เป็นเพราะหลินเช่อนั่นแหละ!


 


 


เขาเห็นหลินเช่อยกกล่องพัสดุนั้นเข้าไปไว้ในห้องเก็บของ จึงเดินตามเธอไปติดๆ เหมือนภูตผี


 


 


เมื่อหญิงสาวหันมา เธอจึงชนเข้ากับร่างใหญ่ที่เดินตามประชิดมาด้านหลัง


 


 


เธอเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจและได้เห็นว่าใบหน้าของกู้จิ้งเจ๋อกำลังแดงก่ำผิดปกติ


 


 


ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยข้าวของสารพัดอย่างจนทำให้ห้องที่แม้ว่าจะกว้างใหญ่ก็ดูแคบลงถนัดตา


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่ม


 


 


“คุณ…เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าคุณแดงมากเลย” เธอถามพลางยกมือขึ้นแตะหน้าเขา เขาเป็นไข้หรือเปล่านะ ทำไมหน้าถึงได้แดงขนาดนี้


 


 


เขาคว้ามือเธอไว้


 


 


ใจหนึ่งเขาอยากจะทำตามความคิดของตัวเอง แต่อีกใจก็คิดถึงคำพูดของเฉินอวี่เฉิงขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่แน่ใจเลยว่าหัวใจของเขาจะหยุดคิดเรื่องแบบนั้นได้จริงหรือไม่ ถ้าเขาได้ครอบครองเธอแล้ว


 


 


“คุณ…”


 


 


หลินเช่อก้าวถอยหนี ในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มรุกคืบเข้ามา เขามองหน้าเธอ “ทำไมเราไม่ลองเอามาใช้กันดูหน่อยล่ะ…ไหนๆ มันก็ถูกส่งมาให้แล้วนี่”


 


 


หลินเช่อร้องด้วยความตกใจ “คุณหมายความว่ายังไงคะเอามาลองใช้กันดูหน่อย ฉันไม่ลองอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ!”


 


 


หลินเช่อใช้สองมือผลักไสอีกฝ่าย “ออกไปนะ! นี่คุณจะทำอะไรน่ะ”


 


 


สายตาของเขามองเธออย่างดูดดื่ม “หลินเช่อ…นี่เธอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนไปหมดแล้วจริงๆ น่ะเหรอ”


 


 


“ใช่สิคะ” เธอมองหน้าเขา


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับบอกว่า “แต่ฉันไม่ลืมนี่”


 


 


“อะไรนะ…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะคะ นี่ฉันเป็นฝ่ายยั่วยวนคุณจริงๆ เหรอ ฉันขอโทษด้วยนะคะ ฉันเมามาก”


 


 


เขาก้มลงมองเธอ “แต่เธอก็ต้องการฉันเหมือนกัน ใช่มั้ยล่ะ”


 


 


“คุณ…นี่คุณกำลังพูดอะไรไร้สาระอยู่น่ะ” หลินเช่อเกิดฮึดสู้ขึ้นมาแล้ว หน้าเธอแดงก่ำขณะพยายามออกแรงผลักเขาออกไป ปากก็ร้องตะโกน “ทำไมฉันถึงจะต้องการคุณด้วยล่ะ”


 


 


เขามองดูใบหน้าแดงจัดของเธอก่อนกดจูบลงกับริมฝีปาก


 


 


หลินเช่อตัวแข็ง หัวใจเธอกระตุกแรงและเต้นโครมครามอยู่ในอกราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาได้ทุกขณะจิต


 


 


ริมฝีปากชุ่มฉ่ำของทั้งคู่สัมผัสกัน เขาสวมกอดเธอไว้ และร่างทั้งสองก็โน้มเข้าหากัน


 


 


หลินเช่อต้องการมากกว่านี้ ภาพบางอย่างผุดวาบขึ้นมาในห้วงคำนึง ราวกับเป็นเศษเสี้ยวบางส่วนของเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา


 


 


ในจังหวะนั้นเองที่เธอเริ่มจำได้ถึงตอนที่เธอเอ่ยปากเรื่องขอหย่า และกู้จิ้งเจ๋อก็ตอบว่าเขาไม่อนุญาตให้เธอไป…


 


 


หญิงสาวลืมตาขึ้น รสสัมผัสของเขายังคงอ้อยอิ่งอยู่ในปากเธอราวกับการสะกดจิตที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานได้


 


 


เขามองเธออย่างดื่มด่ำ “เห็นมั้ย เธอก็ต้องการฉันเหมือนกัน…”


 


 


หลินเช่อหน้าแดงหนักขึ้นไปอีก


 


 


เขาพูดต่อไปว่า “แล้วทำไมเธอถึงพยายามต่อต้านฉันล่ะ”


 


 


มือของเขาแตะอยู่ที่เอวเธอ


 


 


หลินเช่อกัดริมฝีปากพลางมองดูชายหนุ่ม หัวใจเธอเวลานี้อัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้าและหวาดกลัว


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อคะ…ฉัน…ฉันตกหลุมเสน่ห์ของคุณอย่างง่ายดายเหลือเกิน คุณดีมาก ดีมากจริงๆ ค่ะ คุณอาจจะเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดที่ฉันเคยพบเจอมาในชีวิตเลยก็ได้ ฉันเคยเป็นผู้หญิงที่โชคร้ายมาก และทุกคนที่ฉันได้พบก็ล้วนแต่เลวร้าย แต่พอได้มาพบคุณ ชีวิตฉันก็เริ่มที่จะหันเหเปลี่ยนแปลง เพราะคุณแสนดีเหลือเกิน แต่คุณรักใครคนอื่นอยู่ และฉันก็เคยเจ็บเพราะเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ฉันไม่อยากที่จะเจ็บอีกเป็นครั้งที่สองค่ะ ฉันเห็น… เมื่อวานนี้ ฉันเห็นของขวัญที่โม่ฮุ่ยหลิงให้คุณ กู้จิ้งเจ๋อคะ ที่เขาพูดก็ถูกนะคะ พวกคุณเหมาะสมกันมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าคุณแค่อยากทำเหมือนฉันเป็นของเล่นละก็ ได้โปรดอย่าทำแบบนั้นอีกเลยค่ะ”


 


 


หัวใจของชายหนุ่มหล่นวูบ


 


 


เขาไม่สนใจที่จะเปิดดูของขวัญนั่นด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร


 


 


“อันที่จริง ของขวัญนั่น…”


 


 


“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็เหมือนคุณนั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่ฉันไม่ควรจะอยากได้”


 


 


เมื่อพูดจบ เธอก็ผลักเขาออกไปให้พ้นทาง แม้จะทั้งเศร้าและหดหู่ แต่หญิงสาวก็ฝืนยิ้มให้กับตัวเอง เธอชินกับความรู้สึกแบบนี้มานานแล้วล่ะ คนธรรมดาอย่างเธอย่อมต้องเคยเจอกับเรื่องแบบนี้ เธอมองเห็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ในทุกๆ วันนั้นเธอก็ต้องบังคับตัวเองให้ลืมมันไปซะ


 


 


เพราะคนอย่างเธอไม่ควรที่จะต้องการคนแบบเขา… 

 

 


ตอนที่ 146 ฉันเลิกกับเขานานแล้ว

 

กู้จิ้งเจ๋อคว้ามือเธอไว้ก่อนที่จะค่อยๆ ปล่อยลง


 


 


ถ้าหากมันเป็นเพียงแค่ความต้องการตามธรรมชาติ แล้วทำไมความรู้สึกเหล่านั้นมันถึงหายไปหมดเมื่อเขาได้ยินเธอพูดแบบนั้นล่ะ


 


 


เขามองเธอและบอกว่า “ฉันขอโทษ ถ้าเธอไม่ต้องการ ฉันก็จะไม่บังคับเธอ”


 


 


เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ในมุมของหลินเช่อมาก่อนเลย


 


 


เพราะคำพูดของเฉินอวี่เฉิงแท้ๆ และคำพูดประโยคนั้นนั่นแหละที่ทำให้เขาคิดปรารถนาในตัวเธอและไม่ยอมทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง


 


 


ซึ่งมันไม่ยุติธรรมสำหรับหลินเช่อเลยแม้แต่น้อย


 


 


เขาจึงพูดต่อไปว่า “ฉันขอสัญญากับเธอว่า ตราบใดที่ฉันยังไม่เข้าใจในตัวเองอย่างถ่องแท้ ฉันจะไม่แตะต้องเธอแบบนี้อีกต่อไป”


 


 


หลินเช่อชะงัก เงยหน้ามองเขา รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นที่สุด


 


 


ผู้ชายส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำตามคำบงการของร่างกายส่วนล่างกันทั้งสิ้น


 


 


แต่ถ้าเขาเริ่มคิดที่จะใช้ร่างกายส่วนบนเพื่อเธอแบบนี้แล้วละก็…นั่นหมายความว่าลึกลงไปข้างใน เขาก็ยังแคร์เธออยู่สินะ


 


 


ความใส่ใจเพียงเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำให้หัวใจของหลินเช่อเป็นสุขได้แล้ว


 


 


เธอเป็นคนที่พอใจกับอะไรง่ายเสียจริง แค่ความพยายามเล็กๆ นี่ก็ทำให้เธอซึ้งใจได้แล้ว


 


 


“แต่ถ้าเธอโกรธเพราะโม่ฮุ่ยหลิงให้ของขวัญฉันแล้วละก็ฉันบอกได้เลยนะว่า…”


 


 


เขาก้าวเข้ามาหาและดึงตู้เก็บของให้เปิดออก


 


 


ในนั้นเต็มไปด้วยกล่องมากมายหลายขนาดอัดกันอยู่แน่นขนัด หลินเช่อเห็นแล้วก็ต้องตกใจ


 


 


เมื่อได้เห็นกล่องของขวัญสวยงามเหล่านั้น เธอก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า “ของขวัญพวกนี้คืออะไรกันคะ ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีกล่องไหนถูกเปิดเลยด้วย”


 


 


ชายหนุ่มมองกล่องของขวัญที่จมฝุ่นอยู่ในนั้นแล้วตอบว่า “บางกล่องก็แกะแล้วแต่ส่วนใหญ่จะถูกทิ้งเอาไว้อย่างนั้น ทั้งหมดนี่คือของขวัญที่โม่ฮุ่ยหลิงมอบให้ฉันตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา”


 


 


หลินเช่อมองดูด้วยความพิศวง “แล้วทำไมคุณถึงเอาของขวัญทั้งหมดมาทิ้งไว้ในนี้ละคะ”


 


 


เขาตอบว่า “ฮุ่ยหลิงให้ของขวัญฉันเยอะแยะมากมายในทุกปี แต่ฉันไม่เคยใช้มันเลยสักอย่างเดียว แล้วฉันก็ไม่มีเวลาที่จะมาจัดการกับมันด้วย แต่ฮุ่ยหลิงก็ยังยัดเยียดมันให้ฉันมากขึ้นและมากขึ้นโดยไม่สนใจว่าฉันจะใช้มันหรือเปล่า เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยแค่เอามันมาเก็บไว้ที่นี่ ของขวัญกล่องที่เธอเห็นนั่นเป็นเพราะว่าฉันยังไม่มีเวลาเอามันมาเก็บในนี้เท่านั้นเอง”


 


 


ที่เป็นแบบนี้ก็แสดงว่าโม่ฮุ่ยหลิงไม่เคยสนใจอย่างแท้จริง เธอไม่สังเกตเลยสักนิดว่าเขาต้องการของขวัญเหล่านี้หรือเปล่า และก็ยังซื้อหามามอบให้เขาอยู่อย่างไม่ขาดสาย เธอไม่สนใจด้วยว่าเขาจะปฏิเสธมัน ก็แค่ส่งมันมาให้อย่างไม่ไยดีใดๆ ถ้าเขาไม่ยอมรับ เธอก็จะโกรธอยู่นานและตัดพ้อว่าเพราะเขาไม่รักเธอแล้ว เธอเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองแบบนั้นนั่นแหละ


 


 


หลินเช่อยังไม่ค่อยเข้าใจนัก “ว้าว นี่เป็นของแพงๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ แล้วก็ยังเป็นของขวัญด้วย…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออธิบายว่า “ตอนแรกๆ ฉันก็ตอบขอบคุณเธอกลับไปทุกครั้ง แต่ในที่สุดฉันก็ได้รู้ว่ามันเป็นการเสียเวลาเกินไป เพราะฉันมักยุ่งเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ ฉันต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อติดต่อธุรกิจ ใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินคราวละหลายๆ วัน และไม่มีเวลาที่จะให้ของขวัญเธอเป็นการตอบแทน ฉันก็เลยได้แต่เอามันกองรวมกันไว้ที่นี่แล้วก็รอว่าเมื่อไหร่ฉันจะมีเวลากลับมาจัดการมัน”


 


 


หลินเช่ออดคิดไม่ได้ว่าโม่ฮุ่ยหลิงเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวทีเดียว


 


 


นี่หล่อนใช้เงินไปมากแค่ไหนกับของขวัญพวกนี้กันนะ


 


 


แต่ก็นั่นแหละ สำหรับคนรวยแล้วคงแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับคนจนๆ อย่างพวกเธอ


 


 


หลินเช่อเองแม้อยากจะให้ของขวัญแต่เธอก็ไม่ได้มีเงินมากนัก และเธอก็คิดว่าการให้ของขวัญควรจะเป็นสิ่งที่ทำจากใจ ตราบใดที่เป็นการให้ด้วยความตั้งใจแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องประโคมข้าวของราคาแพงลิบให้อยู่ตลอดเวลาแบบนี้ แค่ของใช้ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ หรือของที่มีประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว


 


 


หญิงสาวกวาดสายตาไปก็ได้เห็นเข็มกลัดเนกไท สร้อยข้อมือ เนกไท รองเท้า และข้าวของอีกแทบทุกประเภทในตู้ใบนั้น


 


 


เธอบอกได้ทันทีว่าทุกชิ้นล้วนเป็นของแบรนด์เนมที่ทุกคนจะต้องอิจฉาเมื่อได้เห็น


 


 


“ถ้ามีคนเห็นว่าคุณมีคนรักแบบนี้ละก็ คุณไม่รู้หรอกค่ะว่าคนอื่นเขาจะอิจฉาคุณกันแค่ไหนน่ะ”


 


 


“คนรักอะไรกัน” ชายหนุ่มถามหน้าตาย


 


 


หลินเช่อหันขวับไป “เธอไม่ใช่คนรักคุณหรอกเหรอคะ ก็เห็นเธอใช้เวลาไปกับคุณตั้งเยอะแยะ แถมข้าวของพวกนี้ก็ยังมีราคามหาศาลอีกต่างหาก”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “ตอนแรก ฉันก็มีความสุขดีอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นฉันก็ได้รู้แล้วว่าเขาพยายามให้ข้าวของฉันอย่างไม่ขาดสายเพราะเขาคิดว่ามันทำให้ฉันมีความสุข แต่ยิ่งเขาให้ฉันมากเท่าไหร่ ข้าวของพวกนี้ก็มีความหมายน้อยลงทุกที ฮุ่ยหลิงแค่สั่งให้คนไปซื้อมันมาให้เท่านั้น และฉันก็ไม่ได้ต้องการมันเลยสักนิดด้วย ฉันคิดว่าฉันไม่ได้สนใจมันอีกต่อไปแล้วน่ะ”


 


 


หลินเช่อคิดว่าการให้จากหัวใจนั่นแหละที่ทำให้ของขวัญนั้นสำคัญ ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็จะกลายเป็นแค่การให้ทั่วๆ ไปตามวาระที่ปราศจากความหมายไปในที่สุด


 


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ใครบอกกันว่าฮุ่ยหลิงเป็นคนรักของฉันน่ะ”


 


 


หลินเช่อมองเขาด้วยสายตาประหลาด “ก็แล้วไม่ใช่เหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “อันที่จริงฉันบอกเขาไปตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ว่าเขาสามารถไปหาผู้ชายคนอื่นได้หลังจากที่ฉันแต่งงานแล้ว แต่เขากลับไม่ยอมทำแบบนั้น ฉันก็เลยพูดกับเขาไปแล้วอย่างชัดเจนว่าฉันเป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว และไม่สามารถมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาได้อีกต่อไป เขาไม่ได้เป็นคนรักของฉันมาตั้งนานแล้วล่ะ”


 


 


หลินเช่ออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง


 


 


เธอไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟังแบบนี้


 


 


นี่เขาเคลียร์กับโม่ฮุ่ยหลิงชัดเจนแล้วอย่างนั้นเหรอ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหรี่ตามอง “อย่าบอกนะว่าเธอคิดว่าฉันเป็นผู้ชายที่แย่ขนาดนั้นน่ะ”


 


 


“ฉันนึกว่าเราจะหย่ากันไม่ช้าก็เร็วอย่างที่คุณบอก แล้วคุณก็จะกลับไปคบกับเธอต่อนี่คะ”


 


 


“ฉันเลือกที่จะพูดความจริง เพราะฉันไม่ต้องการทำให้โม่ฮุ่ยหลิงต้องเสียเวลาอีกต่อไป แล้วก็ไม่อยากทำให้เธอต้องอับอายด้วย ถ้าฉันยังคบหาเขาอย่างใกล้ชิดสนิทสนมต่อเหมือนที่ผ่านมา คนอื่นเขาจะมองเธอยังไงล่ะ อย่าห่วงเลย ฉันไม่ทำแบบนั้นกับเธอหรอก”


 


 


หลินเช่อซาบซึ้งเสียจนพูดอะไรไม่ถูก


 


 


เขาเป็นคนดีจริงๆ


 


 


หรือบางที อาจจะเป็นเธอเองที่พอใจกับอะไรง่ายๆ แค่นี้


 


 


เธอคิดจริงๆ ว่าทั้งเขากับโม่ฮุ่ยหลิงยังคบหากันอยู่และทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจแทบแย่ที่จะต้องตกอยู่ในสถานะนี้ แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกดีขึ้นมาก แค่เขาอุตส่าห์คิดถึงเธอแบบนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอประทับใจ


 


 


หลินเช่อโพล่งออกไปว่า “กู้จิ้งเจ๋อคะ…ฉัน…ทำไมถึงไม่…”


 


 


หญิงสาวก้มหน้างุด ใบหน้าแดงระเรื่อ และบอกว่า “ฉันจะใช้มือทำให้คุณก็ได้นะ…ไม่อย่างงั้นคุณอาจจะอึดอัดที่ต้องทนอยู่แบบนี้”


 


 


ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองหูฝาดไปเสียอีก


 


 


แต่ก็ไม่


 


 


เขามองดูหน้าแดงๆ ของเธอ เมื่อหลินเช่อเป็นคนคิดและพูดขึ้นมาเองแบบนี้ ร่างกายของเขาก็หยุดรับฟังคำสั่งและเริ่มขยายตัวขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เขาอยากจะปฏิเสธ แต่ร่างกายกลับทรยศความคิดนั้นเสียนี่


 


 


หลินเช่อนั้นเผลอหลุดปากออกไปด้วยรู้สึกซาบซึ้งในความดีของเขา แต่เมื่อได้เห็นร่างกายท่อนล่างของชายหนุ่มที่เริ่มโป่งนูนออกมา เธอก็เริ่มที่จะนึกเสียใจ


 


 


“ลองใส่ให้ฉันดูหน่อยสิ ได้รึเปล่า”


 


 


หลินเช่อหันไปมองแล้วก็ยิ่งรู้สึกขัดเขินหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า


 


 


สิ่งที่เขาบอกให้เธอใส่ก็คือส่วนหนึ่งของ ‘อุปกรณ์’ ที่เฉินโยวหรานส่งมาให้นั่นเอง มันเป็นผ้าก็จริง แต่ก็บอบบางเสียจนแทบจะเรียกได้ว่าแค่ห้อยติดอยู่กับเนื้อตัวเท่านั้น


 


 


นี่เธอเสนอให้เขาเพียงคืบ แต่เขากลับจะเอาถึงศอกทีเดียว


 


 


แต่ถึงกระนั้น หลินเช่อก็เคลิ้มคล้อยไปกับคำพูดเขา หญิงสาวตอบตกลงโดยที่แทบจะไม่ต้องคิด…


 


 


ในห้องน้ำ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปลดกระดุมชุดนอนและนั่งลงบนเตียง เขาแทบทนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก จึงรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว


 


 


หลินเช่อพยายามจะปกปิดจุดสำคัญบนเรือนร่างไม่ให้เห็น แต่นั่นยิ่งทำให้เธอดูเซ็กซี่มากขึ้นไปอีก


 


 


ดวงตาของเขาเต้นระริกเมื่อจ้องมองเธอ ก่อนที่ความพึงใจในสายตานั้นแปรเปลี่ยนเป็นความปรารถนาต้องการ… 

 

 


ตอนที่ 147 รอก่อนเถอะนะ เฉินโยวหราน

 

ใบหน้าของหลินเช่อดูน่าขันอย่างยิ่ง ขณะที่เดินเข้ามา ใบหน้าของหญิงสาวทั้งเหยเกและแดงก่ำราวกับกุ้งต้มทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อร้องเรียก “หลินเช่อ มานี่สิ!”


 


 


หญิงสาวลังเล ตอนนี้เธอชักนึกเสียใจซะแล้วสิ ทำไมนะเธอถึงจะต้องเผลอหลุดปากอะไรออกไปโดยไม่ทันคิดแบบนี้ด้วย น่าสมเพชชะมัด


 


 


แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนเสนอออกไปอยู่ดี ไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน ในเมื่อเธอเป็นคนพูดเองนี่ ยังไงก็ต้องทำ ต่อให้ตอนนี้เธอใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้วก็ตาม…


 


 


หลินเช่อทำใจกล้าและเดินไปที่เตียงนอน เธอมองเห็นแผงอกของกู้จิ้งเจ๋อที่โผล่ออกมาให้เห็นรำไรใต้ชุดนอน เธอก้มลงแต่ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ


 


 


ขณะที่โน้มศีรษะลงไป ใบหน้าก็แดงก่ำ เธอรู้สึกได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อยกแขนขึ้นสวมกอดเธอเอาไว้


 


 


หลินเช่อคร่ำครวญอย่างน่าสงสารว่า “ให้ตายสิคะ…ฉัน…ฉันเริ่มรู้สึกเสียใจที่พูดไปอย่างนั้นแล้วนะเนี่ย!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าเครียด “เสียใจเหรอ…สายไปซะแล้วละ!”


 


 


ถ้าวันนี้เธอไม่ช่วยเขาละก็ เขาจะจัดการเธอจนไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน!


 


 


เมื่อตกกลางคืน หลินเช่อได้แต่นวดเฟ้นท่อนแขนที่ปวดหนึบของตัวเองด้วยความโกรธ ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเฉินโยวหราน หล่อนบ้าไปแล้วหรือไงที่ส่งของทะลึ่งตึงตังแบบนั้นมาให้น่ะ หล่อนตั้งใจจะแกล้งเธอชัดๆ!


 


 


 


 


เช้าวันต่อมา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตื่นขึ้นอย่างสดชื่นแจ่มใสในตอนเช้าและออกจากบ้านไป


 


 


ในขณะที่หลินเช่อรีบตรงไปที่บ้านของเฉินโยวหรานโดยไม่รอช้า


 


 


“เฉินโยวหราน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะฆ่าเธอ” หลินเช่อพุ่งเข้าไปในบ้านของเพื่อนสาว นึกอยากบีบคอเพื่อนรักให้ตายคามือเต็มที่


 


 


เฉินโยวหรานถูกกดลงกับเตียงนอน ร่ำร้องขอชีวิต “ยกโทษให้ฉันด้วย ยกโทษให้ฉันน้า ที่ฉันทำไปก็เพื่อเธอเลยนะ ไม่เห็นหรือไง นี่เธอสวยเปล่งปลั่งขึ้นตั้งเยอะแน่ะ เป็นไงล่ะ เมื่อคืนนี้สะเทือนเลื่อนลั่นกันไปเลยล่ะสิ”


 


 


“หุบปากไปเลยย่ะ!” แค่นึกหลินเช่อก็ปรี๊ดขึ้นมาแล้ว


 


 


สองสาวงอนง้อต่อว่ากันจนคืนดีและออกไปชอปปิ้งด้วยกันต่อ


 


 


สมัยที่ยังเรียนหนังสือ ทั้งสองออกเที่ยวเตร่ด้วยกันอยู่บ่อยๆ เหมือนกับเด็กสาวทั่วไป พวกเธอจะกินไอศกรีม และซื้อเสื้อผ้าราคาถูกจากตลาดนัดกลางคืน


 


 


หลินเช่อสวมแว่นกันแดดอันโตเพื่อป้องกันไม่ให้ใครจำได้ เมื่อเธอและเฉินโยวหรานเดินกินไอศครีมไปด้วยกัน


 


 


เฉินโยวหรานถามขึ้นอย่างผิดหวัง “พวกเธอนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะ ตกลงเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยงั้นเหรอ ให้ตายสิ นี่เธอรู้รึเปล่าว่าฉันหมดเงินไปกับของพวกนั้นตั้งเท่าไหร่น่ะ”


 


 


หลินเช่อนึกอยากจะฆ่าเพื่อนเสียนัก “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะส่งคืนให้ เธอจะได้เอาไปใช้ซะเองไงล่ะ!”


 


 


“หืม ฉันไม่ใช่หรอกย่ะ”


 


 


โทรศัพท์ของหลินเช่อดังขึ้น เธอมองเห็นชื่อของหลินโหย่วไฉผู้เป็นบิดาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อนที่จะกดรับสาย


 


 


[หลินเช่อ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหลินอวี่] เสียงผู้เป็นพ่อดังมาตามสาย


 


 


หลินเช่อถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”


 


 


[พี่เขาไปรับรองลูกค้าแล้วเกิดไปล่วงเกินบางคนเข้า ตอนนี้พวกมันก็เลยจะมาคิดบัญชีพวกเราที่บ้าน บอกทีสิว่าพ่อควรจะทำยังไงดี]


 


 


หลินเช่อไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ครอบครัวของเธอเลือกที่จะโทรหาเธอเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแบบนี้ “แล้วหนูจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ”


 


 


[แกรู้จักกู้จิ้งเจ๋อนี่ แกจะช่วย…แกช่วยบอกเขาให้ช่วยโผล่หน้ามาหน่อยไม่ได้เหรอ]


 


 


“พ่อคะ…นี่มันไม่ถูกต้องนะคะ เราจะไปลากคนอื่นมาพัวพันกับปัญหาของครอบครัวเราแบบนี้ไม่ได้”


 


 


[เขาเป็นพี่แกนะ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับแก แกเองก็สนิทกับหลินอวี่มากกว่าใครเพื่อนนี่นา]


 


 


ใช่สิ ตอนที่ยังเป็นเด็ก หลินอวี่ขโมยการบ้านของเธอไปส่งและทำราวกับว่าเป็นงานของตัวเอง แบบนี้คงสนิทกันตายแล้วล่ะ


 


 


“ก็ได้ค่ะพ่อ หนูจะลองบอกเขาดูถ้ามีโอกาส”


 


 


[ดี ดี ดีเลย เวลาแบบนี้นี่แหละที่ครอบครัวจะได้ชื่นชมในตัวแก]


 


 


เมื่อหลินเช่อวางสาย เฉินโยวหรานก็มองหน้าเพื่อนรักด้วยท่าทางประหลาดใจ


 


 


“นี่มันบ้าอะไรกัน ครอบครัวเธอต้องการเธอแค่เฉพาะตอนที่เกิดเรื่องอย่างนั้นเหรอ พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ แหม พอรู้ว่าลูกได้ดิบได้ดีขึ้นมาละก็เอาเชียวนะ ทีเมื่อก่อนพวกเขาทำกับเธออย่างกับขยะ ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นครอบครัวเดียวกันด้วยซ้ำ ไม่ต้องไปช่วยพวกเขาเลยนะ นี่ฉันพูดจริงๆ”


 


 


หลินเช่อตอบ “ไม่ดีหรอกที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับกู้จิ้งเจ๋อน่ะ เขาไม่ได้ติดค้างอะไรฉัน แล้วอีกอย่างฉันก็เอาแต่คอยสร้างปัญหาให้เขาซะด้วยสิ”


 


 


“แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะ”


 


 


หลินเช่อว่า “ฉันจะลองสืบดูว่าหลินอวี่ไปมีเรื่องกับใคร แล้วเดี๋ยวค่อยมาว่ากันว่าจะเอายังไงดี เอาเถอะ ฉันอยากไม่ชอปปิ้งแล้วล่ะ เธอไปต่อก็แล้วกัน ฉันจะกลับบ้านก่อนนะ”


 


 


“เอางั้นก็ได้”


 


 


เฉินโยวหรานรอจนหลินเช่อเดินออกไป เธอจึงออกจากร้านค้า แต่แล้วเสียงสัญญาณกันขโมยก็ดังขึ้น


 


 


หญิงสาวถึงกับงงทีเดียวเมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยพากันกรูเข้ามาหาเธอ


 


 


“นี่พวกคุณทำอะไรน่ะ…”


 


 


“คุณมีสินค้าที่ยังไม่ได้จ่ายเงินอยู่กับตัวหรือเปล่า”


 


 


“จะมีได้ยังไงล่ะ ก็ฉันจ่ายเงินแล้ว” เฉินโยวหรานยังคงงุนงง แต่เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยให้เธอลองเดินผ่านตัวเซ็นเซอร์อีกครั้ง เสียงสัญญาณเตือนก็ยังคงดังอยู่นั่นเอง


 


 


คราวนี้พนักงานบอกกับเธอว่า “เราจะแจ้งตำรวจ เพราะตอนนี้เราไม่ได้รับอนุญาตให้ค้นตัวผู้ต้องหาเองอีกแล้ว เราต้องให้ตำรวจมาจัดการเรื่องนี้”


 


 


“หา”


 


 


เฉินโยวหรานจึงพยายามหาทางต่อรอง “ก็ได้ค่ะ ฉันล้วงกระเป๋าให้ดูแล้วกันว่าฉันไม่ได้หยิบอะไรออกมาจริงๆ”


 


 


ทว่าเธอกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในกระเป๋า มันคือกล่องใส่…ถุงยาง


 


 


หน้าเธอแดงก่ำ…


 


 


พนักงานรักษาความปลอดภัยหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆ คุณครับ ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้มัน คุณซื้อมันได้นะครับ…”


 


 


เฉินโยวหรานยังทำอะไรไม่ถูก เมื่อใครอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า


 


 


“ใช่แล้วล่ะ ถ้าคุณอยากใช้ คุณก็ซื้อได้ แต่จะว่าไป ท่าทางคุณดูไม่น่าจำเป็นต้องใช้เท่าไหร่นะ”


 


 


คนที่พูดอยู่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉินอวี่เฉิงนั่นเอง


 


 


หญิงสาวหันไปมองเขาอย่างหมดทางสู้ “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย”


 


 


เขาตอบว่า “อ้อ ออฟฟิศผมอยู่ข้างๆ นี่เอง ผมควรจะเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่านะ ว่าคุณนั่นแหละมาทำอะไรที่นี่”


 


 


เฉินโยวหรานบอกเสียงอ่อยว่า “ฉันมาซื้อของน่ะสิ ก็ที่นี่มันห้างสรรพสินค้าไม่ใช่หรือไง”


 


 


ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะหลินเช่อซึ่งอยู่ใกล้ๆ ที่นี่ และบอกเธอว่าห้างนี้เดินสนุก เธอก็เลยตามเพื่อนมานี่แหละ


 


 


แต่ดูท่าทางเหมือนว่าจะเป็นห้างที่มีแต่คนรวยๆ มาเดินกันทั้งนั้น


 


 


เฉินโยวหรานจ้องหน้าเฉินอวี่เฉิงอย่างจะเอาเรื่อง


 


 


เธอปากล่องถุงยางใส่หน้าเขา “ฉันไม่ต้องการไอ้นี่สักหน่อย คุณนั่นแหละที่ต้องใช้ ในเมื่อทำตัวสำส่อนแบบนี้ ฉันละกลัวว่าคุณจะติดโรคมาน่ะสิ เฮอะ!”


 


 


“…”


 


 


พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งฉิวออกไปทันที


 


 


นายแพทย์หนุ่มยืนถือกล่องถุงยาง นิ่วหน้ามองตามทิศทางที่หญิงสาววิ่งหนีไป


 


 


เมื่อออกมาจากร้านค้าได้ เฉินโยวหรานก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าถุงยางเจ้ากรรมกล่องนั้นมาอยู่ในกระเป๋าของเธอได้ยังไง


 


 


แล้วทันในนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ มีข้อความส่งมาจากหลินเช่อ


 


 


[ได้รับของขวัญหรือยังจ๊ะ]


 


 


คราวนี้เฉินโยวหรานรู้ได้ในทันที


 


 


ฝีมือหลินเช่อนี่เอง


 


 


ยัยหลินเช่อบ้า!


 


 


“รอก่อนเถอะหลินเช่อ อย่าให้ถึงตาฉันบ้างก็แล้วกัน!” เฉินโยวหรานอายมาก มันก็คงไม่เป็นอะไรเท่าไหร่ถ้าไม่ต้องเจอคนรู้จัก แต่นี่เธอดันบังเอิญเจอกับอีตาหมอบ้องตื้นเฉินอวี่เฉิงนั่นจนต้องกลายเป็นตัวตลกของเขาไป


 


 


หลินเช่อหัวเราะเสียงดังเมื่ออ่านข้อความจากเฉินโยวหรานและนึกภาพออกว่าอีกฝ่ายกำลังเต้นเร่าๆ แค่ไหน นี่ถือเป็นการแก้แค้นนะ ก็ใครบอกให้เฉินโยวหรานทำแบบนั้นกับเธอก่อนล่ะ


 


 


ไม่ช้าหลินเช่อก็กลับถึงบ้าน แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าประตู เธอก็เห็นรถยนต์คุ้นตาคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอก


 


 


หลินเช่อเพิ่งก้าวลงจากรถเมื่อตอนที่ใครบางคนรีบเข้ามาหาเธอจากทางด้านหลัง


 


 


“หลินเช่อ อย่าเพิ่งเข้าไป นี่เรารอแกมาทั้งวันแล้วนะ”


 


 


เมื่อหญิงสาวหันไป เธอก็ได้พบว่าบุคคลนั้นคือหลินโหย่วไฉนั่นเอง


 


 


ถัดไปจากหลินโหย่วไฉก็คือหลินอวี่ที่เธอไม่ได้พบหน้ามาแสนนาน


 


 


หลินอวี่มองมา ทำท่าเหมือนไม่อยากจะเดินมาหานัก โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นหลินเช่อ ผู้เป็นพี่ก็ยิ่งทำสีหน้าดูแคลน


 


 


แต่หลินโหย่วไฉเป็นฝ่ายดึงลูกสาวเข้ามายืนข้างตัว “หลินเช่อ ฉันพาพี่สาวแกมาหาน่ะ” 

 

 


ตอนที่ 148 เหตุผลที่มาหา

 

หลินเช่อมองดูผู้เป็นบิดาและพี่สาวต่างมารดาด้วยความประหลาดใจ 


 


 


ทั้งสองคนมาที่นี่ทำไมกัน 


 


 


หลินโหย่วไฉยกมือขึ้นลูบศีรษะที่เกือบจะล้านเลี่ยนแล้วยิ้มให้หลินเช่อพลางพูดว่า 


 


 


“พี่สาวแกไปมีเรื่องเข้าน่ะ ตอนนี้ก็เลยทำได้แค่พาหล่อนมาที่นี่เพื่อขอร้องแก แกต้องช่วยพวกเรานะ เรื่องนี้สำคัญมาก ช่วยทำอะไรสักอย่างเพื่อเห็นแก่พี่สาวของแกเถอะนะ” 


 


 


หลินโหย่วไฉมองหน้าหลินเช่อและคิดว่าเขาทำถูกแล้วที่มาที่นี่ หลินเช่อคงไม่มีทางช่วยแน่ถ้าพวกเขาไม่เป็นฝ่ายมาหาถึงที่ 


 


 


เขาเห็นแล้วว่าหลินเช่อไม่ได้มีท่าทีอนาทรร้อนใจใดๆ เพราะฉะนั้นก็สมควรแล้วที่เขามาขอร้องหล่อนด้วยตัวเอง 


 


 


ไม่อย่างนั้นหลินเช่อก็คงจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและปล่อยให้พวกเขาต้องเผชิญชะตากรรมตามลำพัง 


 


 


หลินเช่อนี่ก็แปลก พี่สาวทั้งคน ทำไมถึงไม่รีบหาทางช่วยเหลือเลยนะ 


 


 


หลินเช่อมองดูบุคคลทั้งสองที่ยืนขวางทางเอาไว้ 


 


 


“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนถึงตอนนี้หนูก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย” 


 


 


หลินโหย่วไฉรีบเล่า “ตอนที่พี่สาวแกไปสังสรรค์กับลูกค้าน่ะ ตาผู้จัดการเฒ่านั่นพยายามจะเข้ามาล่วงเกิน แต่แน่ละว่าพี่แกไม่ยอม หลินอวี่มีสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นและไม่ยอมตกลงด้วย พี่สาวแกก็เลยตบหมอนั่นเข้า ตอนนี้เขาเลยประกาศสงครามกับเราและพยายามทำทุกอย่างให้เราอาศัยอยู่ในเขต B นี่ไม่ได้อีกต่อไป ฉันเองก็กังวลใจ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี พี่สาวแกกำลังอยู่ในช่วงวัยสำคัญ ไม่ควรต้องถูกทำลายชื่อเสียงแบบนี้” 


 


 


หลินเช่อถาม “แล้วพี่ไปล่วงเกินใครเขากันแน่ บอกชื่อเขามาก่อนสิคะ” 


 


 


หลินโหย่วไฉกระทุ้งหลินอวี่จนเธอยอมตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า “หมอนั่นชื่อเฉินจิ่งเสียน ตาแก่อ้วนอัปลักษณ์ที่น่าขยะแขยงที่สุด ฉันไม่มีทางยอมเข้าใกล้ตานั่นเด็ดขาด มันไม่เคยส่องกระจกดูสารรูปตัวเองเลยว่าคู่ควรกับฉันแค่ไหนแต่กลับกล้าลวนลามฉันงั้นเรอะ แค่ยอมลดตัวไปร่วมสังสรรค์ด้วยก็ถือว่ามากเกินพอแล้วนะ ฉันไม่มีวันยกโทษให้มันที่พยายามแตะต้องฉันเป็นอันขาด” 


 


 


หลินเช่อขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าไม่อยากยุ่งกับเขาก็ไม่ควรจะออกไปสังสรรค์กับเขาสิ แต่นี่พี่ดันไปให้ความหวังเขาแล้วมาปฏิเสธทีหลังแบบนี้ ถ้าพี่ทำตามหลักการของตัวเองเสียตั้งแต่ต้น เขาก็คงไม่พยายามหาทางเข้าใกล้พี่หรอก ที่เขามีโอกาสได้พาพี่ออกไปกินอาหารค่ำนั่นมันก็ชัดอยู่แล้วว่าเขามีเจตนาอะไร ทำไมพี่ถึงไม่รู้ล่ะ พี่ควรจะปฏิเสธเขาไปตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ” 


 


 


หลินเช่อเองก็เคยได้รับคำเชิญแบบนี้เหมือนกัน แต่เธอไม่เคยกล้าที่จะตอบรับคำเชิญประเภทนี้ 


 


 


เจตนาของคนพวกนี้ชัดเจนอยู่แล้วในสายตาตั้งแต่แรก ไม่จำเป็นต้องอธิบายเป็นคำพูด เพราะแบบนี้หลินเช่อจึงปฏิเสธแข็งขันมาโดยตลอด 


 


 


บางทีอาจจะเพราะแบบนี้ หลายๆ คนจึงคิดว่าเธอเป็นคนไม่มีอัธยาศัยและเข้าถึงยากจนทำให้เธอต้องเสียโอกาสในหน้าที่การงานไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงกระนั้นหลินเช่อก็ไม่เคยนึกเสียใจเลย 


 


 


เธอโชคดีมากที่ได้ผู้จัดการส่วนตัวอย่างอวี๋หมินหมิ่น หล่อนไม่เคยฝืนใจหลินเช่อให้ต้องออกไปดื่มกินสังสรรค์กับคนเหล่านี้เลย อวี๋หมินหมิ่นเองก็มีหลักการของเธอในการจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยเหมือนกัน 


 


 


หลินอวี่ตอบว่า “ก็แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ เขาเป็นผู้จัดการใหญ่ ฉันไม่กล้าปฏิเสธหรอก ถ้าฉันไม่ออกไปกินข้าวกับเขา ฉันจะได้บทมาแสดงได้ยังไงล่ะ” 


 


 


ได้งานจากการกินข้าวด้วยเนี่ยนะ ง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าไม่มีอะไรที่พูดไปแล้วจะช่วยเรื่องนี้ได้ เธอจึงทำได้แต่เพียงเหลือบตามองดูผู้เป็นพี่สาว 


 


 


หลินโหย่วไฉรีบตะล่อมต่อ “เอาล่ะ เอาไว้เราค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลังเถอะนะ ว่าแต่ตอนนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะ อา หลินเช่อ ทำไมแกถึงไม่เชิญเราเข้าไปนั่งในบ้านล่ะ เราก็อยากเข้าไปเองอยู่หรอก แต่คนรับใช้ที่ประตูนั่นไม่ยอมให้เราเข้าไป แกต้องบอกพวกเขานะ” 


 


 


หลินหวี่รีบแทรกขึ้นมา “นั่นสิ เร็วเข้าเถอะ แล้วก็ไล่พวกมันออกไปให้หมดซะ” 


 


 


หลินเช่อตอบว่า “พวกเขาทำเฉพาะในสิ่งที่ได้รับคำสั่งให้ทำเท่านั้น เพราะอย่างนี้พวกเขาถึงไม่ยอมพ่อเข้าไป” 


 


 


อีกอย่าง ใช่ว่าใครหน้าไหนจะเข้านอกออกในคฤหาสน์ตระกูลกู้ได้อย่างอิสระ หลินเช่อเองก็ต้องระมัดระวังอย่างมากเวลาจะพาใครมาบ้าน แต่ตอนนี้ทั้งพ่อและพี่สาวของเธอกลับเป็นฝ่ายพาตัวเองมาที่นี่เสียเอง พ่อของเธอไม่แม้แต่จะทักทายเธอด้วยซ้ำ หลินเช่อหน้านิ่ว ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรดี 


 


 


แต่แล้วพนักงานรักษาความปลอดภัยก็วิ่งตรงเข้ามาจากข้างในบ้าน 


 


 


“คุณผู้หญิงครับ เราแจ้งให้ท่านทราบแล้ว ท่านบอกว่าคุณสามารถพาพวกเขาเข้าไปรอข้างในได้ ท่านจะกลับมาในไม่ช้านี้ครับ” 


 


 


พวกเขาได้รับคำสั่งให้รีบรายงานให้กู้จิ้งเจ๋อรู้ทันทีที่หลินเช่อต้องเจอกับปัญหาไ 


 


 


ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นหลินเช่อกลับมาถึงบ้านและถูกดึงตัวเพื่อให้เจรจาอยู่ตรงนี้ พวกเขาจึงรีบแจ้งผู้เป็นนายให้รู้ในทันที 


 


 


ทันทีที่ได้ยินคนในบ้านเรียกหลินเช่อว่า ‘คุณผู้หญิง’ หลินโหย่วไฉก็รู้ได้ในทันทีว่าตัวเขาจะต้องมีสถานะที่ดีไม่น้อยทีเดียวในบ้านตระกูลกู้แห่งนี้ ส่วนทางด้านของหลินอวี่นั้นกลับทำสีหน้าเยาะหยันในความหน้าไม่อายของหลินเช่อ ตอนที่ย้ายเข้ามาที่นี่ในฐานะภรรยา แม่หลินเช่อนี่คงจะบังคับคนในบ้านให้เรียกตัวเองว่า ‘คุณผู้หญิง’ ละสินะ 


 


 


แต่ถึงกระนั้น เมื่อได้เห็นบรรดาพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้ว หลินอวี่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าพวกเขาดูสมกับเป็นคนของคฤหาสน์ตระกูลกู้โดยแท้ ดูเป็นมืออาชีพและมีฝีมือเยี่ยมทีเดียว 


 


 


เมื่อหลินเช่อได้ยินว่ากู้จิ้งเจ๋อรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว เธอก็หันมาบอกบิดาว่า “งั้นก็เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ” 


 


 


หลินโหย่วไฉมีท่าทียินดีปรีดาขึ้นมาทันควัน เขาพูดกับหลินเช่ออย่างชื่นชมว่า “ดีมาก แกต้องพูดกับกู้จิ้งเจ๋อให้เป็นเรื่องเป็นราวล่ะหลังจากนี้” 


 


 


ขณะเดินเข้าไป สองพ่อลูกก็พากันเหลียวดูการตกแต่งอันวิจิตรตระการตาของตัวคฤหาสน์กันอย่างตื่นเต้น ทั้งหลินโหย่วไฉและหลินอวี่ต่างก็พากันทึ่งจัด 


 


 


แน่ล่ะว่านี่คือบ้านของกู้จิ้งเจ๋อ มันหรูหราแต่ไม่ได้ดูเวอร์วังอลังการ ทว่าถูกตกแต่งอย่างมีรสนิยมทีเดียว 


 


 


ตัวบ้านนั้นใหญ่โตจนแทบจะเอาบ้านตระกูลหลินมาใส่ไว้ในนี้ได้อีกหลายหลัง เมื่อคิดว่าหลินเช่อได้อยู่ที่นี่แล้ว หลินอวี่ก็อดริษยาขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ หญิงสาวคิดอย่างชิงชังว่า ทำไมคนอย่างนังหลินเช่อถึงได้โชคดี กลายเป็นผู้หญิงที่กู้จิ้งเจ๋อติดตาต้องใจขึ้นมาได้อย่างนี้นะ 


 


 


จะดีสักแค่ไหนถ้าเธอได้มาอยู่ที่นี่บ้าง 


 


 


หลินอวี่อยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้โอ้อวด 


 


 


แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ตามติดเป็นเงาตามตัวคว้าโทรศัพท์มือถือของเธอไปเสียก่อน 


 


 


หลินอวี่ร้องขึ้นอย่างโกรธจัด “นั่นแกทำอะไรน่ะ” 


 


 


หลินเช่อตอบให้ว่า “นี่ พี่จะถ่ายรูปในนี้ไม่ได้นะ” 


 


 


“แล้วทำไมแกถึงถ่ายได้ล่ะ อย่างกับว่าฉันไม่เคยเห็นแกถ่ายรูปอวดพวกเพื่อนๆ ของแกอย่างงั้นแหละ” 


 


 


หลินเช่อหันไปมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เป็นฝ่ายตอบคำถามเสียเองว่า “คุณผู้หญิงสามารถทำอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ แต่สำหรับบุคคลภายนอกที่ไม่มีใครรับประกันแล้วไม่สามารถถ่ายรูปได้ ขอโทษด้วย เราต้องยึดโทรศัพท์ของพวกคุณไว้” 


 


 


“อะไรนะ” 


 


 


หลินอวี่แทบจะกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความขุ่นเคือง 


 


 


หลินเช่อเหลือบดูผู้เป็นพี่สาวและพุดว่า “เอาล่ะ เข้าไปกันเถอะ” 


 


 


หลินอวี่เดินตามมาพลางร้องถามอย่างขัดใจว่า “นี่แกจะยอมให้เขายึดโทรศัพท์ฉันไปแบบนี้น่ะเหรอ ฉันเป็นพี่สาวแกนะ ถ่ายรูปแค่นี้จะเป็นอะไรไป” 


 


 


“มันเป็นงานของพวกเขา ฉันไม่มีหน้าที่อะไรไปสั่ง” 


 


 


“เฮอะ งั้นแกคงเป็นได้แค่นี้สินะ ในบ้านตระกูลกู้นี่น่ะ เพราะแม้แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยยังทำอะไรข้ามหัวแกได้เลยนี่นา” 


 


 


หลินอวี่ตั้งใจที่จะยั่วโมโห 


 


 


แต่หลินเช่อตอบว่า “เราทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาไม่ได้ข้ามหัวฉัน พวกเขาแค่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเข้มงวดเพื่อที่เราจะได้ปลอดภัยกัน ฉันว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ” 


 


 


“นี่แก…” 


 


 


หลินอวี่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะเธอเองก็ยังไม่มีปัญญาแม้แต่จะจัดการกับสาวใช้ในบ้านด้วยซ้ำ 


 


 


ไม่ช้าทุกคนก็เดินมาถึงห้องนั่งเล่น มันเป็นห้องกว้างที่มีสาวใช้เดินขวักไขว่ไปมา คอยเตรียมผลไม้และน้ำชาเอาไว้รับแขก สองพ่อลูกยิ่งทึ่งจัดกว่าตอนแรกยิ่งนัก สาวใช้มากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้คอยทำหน้าที่บริการรับใช้หลินเช่ออย่างนั้นเหรอ ชีวิตของหลินเช่อที่นี่ดูจะสบายเกินไปเสียแล้ว 


 


 


เมื่อทั้งสามนั่งลง ไม่ช้าพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตูด้านนอก 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้ว 


 


 


เขาเดินเข้ามาทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงาน ชุดสูทนั้นขับเน้นความเย็นชาในแววตา ร่างสูงดูทรงอำนาจยิ่งราวกับจะสลักเอาไว้ทั่วร่างว่าอย่าได้หาญกล้าเข้ามาใกล้ รังสีแห่งความรู้สึกคุกคามที่แผ่กระจายออกมา ทำให้ชายหนุ่มยิ่งดูเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูดใจ  

 

 


ตอนที่ 149 พ่อลูกไร้ยางอาย

 

สายตาของหลินอวี่จับจ้องไปที่กู้จิ้งเจ๋อทันทีที่เขาเดินเข้ามา แล้วทันใดนั้นหญิงสาวก็รีบผุดลุกขึ้น 


 


 


หลินโหย่วไฉเองก็รีบตรงเข้าไปทักทายด้วยเช่นกัน 


 


 


“คุณกู้ครับ วันนี้เรามาเยี่ยมหลินเช่อ เรารู้สึกโล่งใจมากที่ได้เห็นเธออยู่อย่างสบายแบบนี้” 


 


 


หลินเช่อกลอกตา 


 


 


แต่หลินโหย่วไฉทำเป็นไม่เห็นและพูดกับกู้จิ้งเจ๋อต่อว่า 


 


 


“นี่คือหลินอวี่ พี่สาวของหลินเช่อครับ” 


 


 


ดวงตาของหลินอวี่เป็นประกายระยิบเมื่อเธอมองดูเขาอย่างเขินอาย “ท่านประธานกู้” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเพียงแต่ปรายตามองเฉยๆ ก่อนจะหันไปเรียกหลินเช่อ “มานี่สิ” 


 


 


หลินเช่อรีบเดินเข้ามาและมองหน้าชายหนุ่ม “พ่อฉันมีปัญหาน่ะค่ะ ก็เลยมาหาฉันที่นี่” 


 


 


หลินโหย่วไฉเห็นว่าได้จังหวะพอดีจึงรีบแทรกเข้ามาทันที “ใช่แล้วละครับ หลินอวี่ของเราน่ะ ลูกคนนี้ช่างเป็นคนซื่อตรงแล้วก็รักนวลสงวนตัวอย่างที่สุด เพราะอย่างนี้ตอนที่ออกไปเอนเตอร์เทนลูกค้า เธอก็เลยไปล่วงเกินบางคนเข้า เพราะหมอนั่นอยากลวนลามแต่เธอปฏิเสธ ก็เลยกลายเป็นเรื่องขึ้นมานี่แหละครับ…” 


 


 


หลินโหย่วไฉโอ้อวดคุณสมบัติของหลินอวี่ก่อนที่จะเล่าถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบกลับมาว่า “ฉันจะให้คนจัดการเรื่องนี้ให้” 


 


 


“อา รู้อยู่แล้วว่าท่านประธานกู้เป็นคนดี หลินอวี่รีบขอบคุณท่านซะสิ” 


 


 


หลิวอวี่พูดอายๆ ว่า “ท่านประธานกู้ ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงค่ะ…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อใช้มือข้างหนึ่งจับมือหลินเช่อเอาไว้และยิ้มให้เธอ ความรู้สึกที่ส่งผ่านสายตาออกมานั้นบ่งบอกว่าหลินเช่อคือสมบัติล้ำค่าที่สุดที่อยู่ในหัวใจเขา เมื่อหลินอวี่ได้เห็น เธอก็แทบจะเรียกได้ว่าหัวใจสลายทีเดียว 


 


 


การที่คนอย่างหลินเช่อเป็นที่ชื่นชมของผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อเช่นนี้ เป็นเรื่องที่หลินอวี่ไม่มีวันยอมรับได้ ต่อให้เธอต้องตายก็เถอะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบอย่างสุภาพว่า “ไม่จำเป็นหรอก ขอบคุณน้องสาวของเธอเถอะ” 


 


 


ความหมายของชายหนุ่มก็คือ เขายินยอมช่วยคนทั้งสองก็เพราะเห็นแก่หลินเช่อเท่านั้นเอง 


 


 


หัวใจของหลินอวี่หล่นวูบ ความหดหู่หม่นหมองแล่นเข้าเกาะกุม 


 


 


การต้องมาขอบคุณนังเด็กผู้หญิงที่เธอไม่เคยคิดว่าเป็นน้องแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่เธอไม่มีวันเต็มใจทำ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อไปอีกว่า “ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วละนะ” 


 


 


หลินโหย่วไฉรีบตอบว่า “ใช่ครับๆ ด้วยความช่วยเหลือของท่านประธานกู้แบบนี้ เราคงไม่ต้องกังวลใจอะไรกันอีกแล้ว ว่าแต่ท่านประธานกู้ ให้เราได้มีโอกาสเลี้ยงอาหารสักมื้อเป็นยังไงครับ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ไม่ต้องหรอก” 


 


 


“ไม่ได้หรอกนะครับ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แค่กินข้าวกันธรรมดาเท่านั้น” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “ห้องครัวที่นี่มีทุกอย่าง พวกคุณสองคนอยู่กินข้าวซะที่นี่แทนจะดีกว่านะ” 


 


 


เมื่อหลินโหย่วไฉได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งยินดีกว่าเดิม 


 


 


แน่ล่ะว่าการได้อยู่ที่นี่และร่วมโต๊ะอาหารย่อมเป็นการดีกว่า 


 


 


“ท่านประธานกู้ใจดีจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจละนะครับ” 


 


 


หลินเช่อมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อแล้วดึงแขนชายหนุ่มพลางบอกว่า “เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะค่ะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้าและปล่อยให้สาวใช้รับหน้าที่ดูแลแขก ในขณะที่ตัวเขาเข้าไปที่ห้องด้านในกับหลินเช่อ 


 


 


หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างคาดคั้น “ทำไมคุณถึงเชิญให้สองคนนั่นอยู่กินข้าวล่ะคะ” 


 


 


“ก็พวกเขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่ ถ้าฉันไม่เชิญกินข้าวก็จะเป็นการหยาบคายเกินไปน่ะสิ” 


 


 


หลินเช่อว่า “คุณไม่ต้องทำตัวดีกับสองคนนั่นหรอกค่ะ ฉันบอกได้นะว่าถ้าคุณให้คืบ พวกเขาจะเอาคืนเป็นวาเลยเชียวละ ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าฉันรู้จักพ่อตัวเองดีน่ะ” 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกน่า พวกเขาจะได้อะไรจากเรื่องแค่นี้กัน” กู้จิ้งเจ๋อพูดอย่างไม่ใส่ใจ 


 


 


หลินเช่อถามด้วยความสงสัยอีกว่า “ว่าแต่ทำไมคุณถึงกลับมาบ้านล่ะคะเนี่ย” 


 


 


เขามองหน้าเธอ “ก็ถ้าฉันไม่กลับมา พวกเขาจะเลิกก่อกวนเธอมั้ยล่ะ” 


 


 


“อา…” เธอยิ้มให้เขาอย่างนึกขอบคุณเมื่อได้รู้ว่าเขาอุตส่าห์กลับมาเพื่อช่วยเธอ “แต่ไม่ต้องให้พวกเขาอยู่กินข้าวหรอกค่ะ นี่ฉันพูดจริงๆ นะ…” 


 


 


หลินเช่อเองก็แอบเห็นสายตาของหลินอวี่ที่มองดูกู้จิ้งเจ๋อ พี่สาวของเธอจ้องเขาตาเป็นมันเลยทีเดียวละ 


 


 


“ใครจะรู้ว่าสองคนนั้นอาจจะเกิดความคิดอุตริอะไรขึ้นมาอีกบ้าง” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อดึงเธอเข้าไปหาและบอกว่า “ก็เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ฉันถึงจะให้โอกาสพวกเขาได้นำเสนอไอเดียพิลึกที่ว่านั่นน่ะ!” 


 


 


หลินเช่อยิ้มให้เขา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคิดเอาไว้ทั้งหมดแล้วนี่นะ 


 


 


และเธอก็เชื่อใจที่จะให้เขาเป็นคนจัดการกับปัญหาทั้งหลายเหล่านั้น 


 


 


ในขณะเดียวกัน สองคนที่กำลังถูกพูดถึงก็มีความคิดอุตริจริงๆ เสียด้วย 


 


 


หลินอวี่มองดูสองหนุ่มสาวที่พากันเดินหายไปด้วยความหงุดหงิดและพูดขึ้นว่า “ถามจริงๆ เถอะว่า กู้จิ้งเจ๋อมองเห็นอะไรในตัวแม่หลินเช่อนั่นนะ” 


 


 


หน้าอกของหลินเช่อก็ไม่ใหญ่เท่าเธอสักหน่อย 


 


 


ถึงแม้ว่าของเธอจะเป็นหน้าอกที่ทำมาก็เถอะน่า 


 


 


หลินโหย่วไฉรีบปราม “พอทีเถอะ พ่อน่ะอยากให้หลินเช่อช่วยแต่งงานเข้าตระกูลเฉิงแทนแกเมื่อคราวก่อน โชคดีที่หล่อนไม่ได้ยอมเข้าพิธี” 


 


 


“พ่อยังจะกล้าพูดเรื่องนี้อีกหรือคะ พ่อทำหนูกลัวแทบตายตอนที่บอกให้หนูแต่งงานกับไอ้ปัญญาอ่อนนั่นน่ะ ให้ตายหนูก็ไม่มีทางยอมหรอก” หลินอวี่ต่อว่า 


 


 


“นังนั่นน่ะควรจะแต่งกับตระกูลเฉิงไปซะ ที่ไม่แต่งก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องโชคดีตรงไหน ถ้าหลินเช่อแต่งกับบ้านนั้นละก็ หนูคงไม่ต้องมาทนเห็นหล่อนทำตัวยโสหัวสูงเป็นคุณนายใหญ่แบบนี้ เห็นแล้วไม่สบอารมณ์เอาซะเลย” 


 


 


หลินโหย่วไฉกลับแย้งว่า “ลูกจะคิดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ ตอนนี้การที่หลินเช่อได้แต่งเข้าตระกูลใหญ่มันเลยกลายเป็นประโยชน์กับเรา” 


 


 


“หนูไม่เห็นอยากได้ประโยชน์อะไรจากแม่นั่น ใครจะรู้ล่ะว่าหล่อนใช้เล่ห์เพทุบายอะไรบ้างถึงได้กลายเป็นคนโชคดีอย่างนี้ได้ ไม่อย่างนั้นใครกันเขาจะมาหลงรักคนอย่างมันคะ” 


 


 


“อา หลินอวี่ ลูกต้องคิดใหม่นะ ตอนนี้หลินเช่อได้ดิบได้ดีแล้ว เพราะอย่างนี้ลูกถึงได้มีโอกาสมาพบกู้จิ้งเจ๋อที่คฤหาสน์ตระกูลกู้ได้อย่างนี้ ลูกจะต้องอาศัยโอกาสนี้…” สีหน้าของหลินโหย่วไฉพยายามบอกใบ้บางอย่างกับลูกสาว 


 


 


หลินอวี่เข้าใจได้ในทันที 


 


 


ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้เธอมีโอกาสได้เข้าถึงตัวกู้จิ้งเจ๋อแล้วนี่นะ 


 


 


อีกอย่าง เขาทั้งหล่อเหลาและทรงเสน่ห์ออกขนาดนี้ 


 


 


เธอจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ 


 


 


เมื่อได้เวลารับประทานอาหาร สาวใช้ก็จัดการจัดโต๊ะ นำเอาถ้วยชามงดงามมาวางเตรียมไว้บนโต๊ะอาหารตัวใหญ่ อาหารทุกจานล้วนดูโอชะยิ่งนัก หลินอวี่และหลินโหย่วไฉต่างรู้สึกทึ่งจัด นี่คือชีวิตของคนรวยๆ เขาสินะ 


 


 


แล้วหลินเช่อกับกู้จิ้งเจ๋อก็เดินเข้ามา 


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อจูงมือหลินเช่อมาถึงโต๊ะ เขาก็ช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้เธอก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง 


 


 


“อาหารบ้านๆ ธรรมดาทั้งนั้น หวังว่าจะไม่ถือนะ” กู้จิ้งเจ๋อว่า 


 


 


ถ้านี่เรียกว่าเป็นอาหารบ้านๆ สองพ่อลูกก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่า แล้วอาหารอย่างหรูของคฤหาสน์ตระกูลกู้จะเป็นอย่างไร 


 


 


หลินโหย่วไฉรีบบอก “แค่นี้ก็ดีมากแล้วละครับ ดีมากแล้ว” 


 


 


ระหว่างมื้ออหาร หลินโหย่วไฉพยายามมองหน้าหลินเช่อที่เอาแต่ทำเฉยเมยใส่ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้น 


 


 


ในที่สุดทุกคนก็รับประทานจนเสร็จ และไม่มีเหตุผลที่จะให้อ้อยอิ่งอยู่ที่นี่ต่อ หลินโหย่วไฉจึงรีบหันไปบอกหลินเช่อว่า “หลินเช่อ พ่ออยากจะขอพูดอะไรด้วยตามลำพังหน่อยน่ะ” 


 


 


หลินเช่อหันไปมองผู้เป็นบิดา 


 


 


เธอวางช้อนลงและเดินตามเขาออกไป 


 


 


หลินโหย่วไฉหันขวับมามองหน้าลูกสาว 


 


 


ทางด้านหลินอวี่นั้นรีบนั่งตัวตรงแน่ว เธอทั้งกังวลและตื่นเต้นเมื่อมองไปยังกู้จิ้งเจ๋อที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ 


 


 


แต่เธอไม่ทันสังเกตเห็นแววเย็นชาในดวงตาของชายหนุ่ม 


 


 


เมื่อออกมาด้านนอก หลินเช่อก็ถามว่า “พ่อคะ ปัญหาก็แก้ไขเรียบร้อยแล้ว ยังจะมีอะไรต้องคุยกันอีกเหรอ” 


 


 


หลินโหย่วไฉบอกว่า “ท่าทางกู้จิ้งเจ๋อนี่จะดีกับแกอยู่มากนี่นะ” 


 


 


หลินเช่อตอบ “ใช่ค่ะ” 


 


 


ผู้เป็นพ่อจึงพูดต่อไป “หลินเช่อ กว่าจะเลี้ยงแกมาจนโตได้ขนาดนี้นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ลองคิดดูสิ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหลิน แกจะได้เป็นอย่างที่แกเป็นทุกวันนี้หรือเปล่า พอปีกกล้าขาแข็งแล้ว แกจะมาบินหนีไปดื้อๆ แล้วก็ลืมครอบครัวแบบนี้ไม่ได้นะ” 


 


 


“พ่อคะ พ่อพยายามจะพูดอะไรกันแน่ ช่วยพูดมาตรงๆ เลยดีกว่า” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม