วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 14.3-14.9

ตอนที่ 14-3

 

หัวหน้าทหารองครักษ์แห่งอดีตองค์รัชทายาทซึ่งได้รับหน้าที่ให้คุ้มกันตั้งแต่โฮจินยังเด็กมากๆ ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทั้งยังเคยปกป้องเขาด้วยชีวิตอีกด้วย แม้วันเวลาจะทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาของเขาและมีหิมะสีขาวตกลงบนเส้นผมที่เคยดกดำก็ตาม แต่โฮจินก็ไม่มีทางที่จะจำจินชอนไม่ได้ แต่ตอนนั้นเขาถูกแทงอย่างแรงและเลือดไหลออกมาเยอะจน…เสียชีวิตไปแล้วนี่ ทำไมถึง? 


 


 


“จินชอน? ท่านยังไม่ตายหรอกหรือ” 


 


 


โฮจินยกมือขึ้นไปตรงใบหน้าของจินชอนพร้อมกันกับเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ฝ่ามือนั้นมีความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังราวกับต้องการจะยืนยันให้แน่ใจว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าตัวเองคือตัวจริง 


 


 


“ในตอนนั้นกระหม่อมได้เดินทางไปถึงประตูแห่งความตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกที่ตามหาฝ่าบาทก็มาพบกระหม่อมเข้าและรักษาได้ทันท่วงที แม้จะเป็นการไม่จงรักภักดีแต่…นั่นทำให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่ต่อได้จนถึงตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ตามหาข้าอย่างนั้นหรือ ใครกัน” 


 


 


“พวกทหารที่พระราชาทรงส่งมาพ่ะย่ะค่ะ โปรดทรงเชื่อกระหม่อมและเสด็จกลับไปที่พระราชวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรด กระหม่อมขอร้องพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทหารที่พระราชาส่งมาไม่มีทางไว้ชีวิตจินชอน แต่ในเมื่อตอนนี้จินชอนยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้า จึงไม่มีทางอื่นนอกจากจะเชื่อ โฮจินจ้องมองเขาด้วยสายตาสับสนสักพักก็เช็ดดาบและเก็บมันกลับไปเหมือนเดิมอย่างไม่พอใจนัก เงาแห่งอดีตที่คิดว่าปล่อยผ่านไปได้หมดแล้วเริ่มตะครุบแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง 


 


 


“ไปกันเถอะ” 


 


 


จินชอนแสดงการขอบคุณด้วยการโค้งคำนับแล้วจึงเดินนำหน้าไป ส่วนโฮจินก็เดินตามหลังเขาทันที แต่ดูเหมือนว่าเหล่าทหารที่ล้อมรอบเขาจะรู้สึกเบาใจแล้วที่ทำหน้าที่ได้สำเร็จจึงไม่ได้สังเกตว่ามีคนอื่นอยู่อีก ให้รยูฮาตามมาดีไหมนะ หรือว่าจะให้กลับไปที่แทซากุกและบอกให้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โฮจินลังเลว่าจะเรียกนางดีไหมสักพักหนึ่งแล้วจึงหยุดคิด 


 


 


เพราะนางมักจะทำตามใจตนเองมากกว่าเชื่อฟังผู้อื่น แต่เมื่อรยูฮาเห็นเขาเดินออกมาข้างนอกโดยมีทหารล้อมรอบ จึงชักดาบออกมาในทันที 


 


 


“ใครน่ะ!” 


 


 


การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของรยูฮาทำให้คมดาบที่ยังคงคุกรุ่นและความกระหายเลือดพุ่งตรงไปที่นางโดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


“กล้าดีอย่างไรถึงได้ชักดาบขึ้นมา! ยังไม่รีบเก็บไปอีก!” 


 


 


คำพูดที่คาดไม่ถึงซึ่งออกมาจากปากขอโฮจินทำให้รยูฮาร้องโอ๊ะพลางเก็บดาบเข้าไป พอใช้คำพูดแบบนั้นก็เหมือนกับคนในราชวงศ์ไม่ใช่เล่น เหล่าทหารลดดาบลงอย่างลังเลตามคำสั่งของโฮจิน แต่ก็ยังไม่ลดความระมัดระวังจากผู้หญิงต้องสงสัยลง 


 


 


“โค้งคำนับเสียสิ นางคือพระมเหสีของแทซากุก” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“กระหม่อมกระทำผิดอย่างใหญ่หลวงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าพระมเหสีจะทรงปรากฏตัวออกมาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เป็นการเสียมารยาทของหม่อมฉันเองที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันแบบนี้เพคะ” 


 


 


แม้จะเป็นการสนทนาที่ค่อนข้างจะสุภาพมากทีเดียว แต่บรรยากาศกลับอึดอัดแปลกๆ ช่างไม่เหมือนผู้ที่ฆ่าพี่น้องจนหมดเพื่อขึ้นครองราชบัลลังก์เอาเสียเลย รยูฮามองพระราชาของฮเยกุกเช่นนั้น ดวงตาเรียวคล้ายโฮจินดูฉลาดปราดเปรื่องและเป็นคนพูดน้อยไม่พูดเรื่องไร้สาระ นอกจากนั้นแล้วเขาควรจะตกใจกับการปรากฏตัวโดยไม่ทันคาดคิดของรยูฮา แต่เขากลับต้อนรับนางอย่างใจเย็น 


 


 


“ต้องขออภัยด้วยที่ต้องทูลเช่นนี้ แต่ทรงมีความสัมพันธ์อย่างไรกับน้องชายของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“น้องชาย? กับผีน่ะสิ น้องชายที่เคยส่งคนหนึ่งกองทัพมาฆ่าน่ะหรือ” 


 


 


โฮจินพูดจาถากถางอย่างรุนแรง 


 


 


“รีบส่งตัวภรรยาของข้าคืนมา เพราะข้าไม่อยากจะอยู่ในที่ที่น่ารังเกียจแบบนี้แม้เพียงวันเดียว” 


 


 


“นางกำลังมาที่นี่” 


 


 


ทันทีที่พระราชาแห่งฮเยกุกพูดจบก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นว่า เสด็จมาข้างนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ หญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในอ้อมกอดของโฮจินที่ลุกพรวดขึ้น รยูฮาเกือบจะทำหน้าเหยเกอย่างเต็มที่แล้ว แต่นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือวังของประเทศอื่นซึ่งควรที่จะสำรวมกิริยามารยาทยิ่งกว่าตอนไหนๆ จึงสามารถรักษาสีหน้าได้สำเร็จอย่างหวุดหวิด 


 


 


“ท่านสามี ทำไมถึงได้มาช้านักล่ะเจ้าคะ” 


 


 


แชยอนเป็นผู้หญิงที่ออดอ้อนเก่งแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็อยากอุดหูเสียจริง 


 


 


“งานข้าเยอะน่ะขอรับ ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเจ้าใช่ไหม ฮูหยิน” 


 


 


เป็นเสียงที่อ่อนโยนที่สุดในโลก แต่รยูฮากลับรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว 


 


 


“กายของข้าสบายดี แต่เพราะว่าคิดถึงท่านสามีมากก็เลยนอนไม่ค่อยหลับเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


ทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว รยูฮาพยายามที่จะไม่เสียมารยาทจึงพูดกับโฮจินอย่างนอบน้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


 


 


“องค์ชาย ขออภัยที่ต้องขัดจังหวะ แต่อีกสักครู่ช่วยมาคุยกับหม่อมฉันหน่อยได้ไหมเพคะ” 


 


 


“พระชายา? ไม่ใช่สิ พระมเหสี!” 


 


 


นางนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าแชยอนจะเพิ่งสังเกตเห็น รยูฮาไม่ต้องการได้รับการทักทายจึงยกมือขึ้นเป็นการบอกให้เงียบๆ แชยอนน่าจะเข้าใจความหมายนั้นจึงโค้งคำนับให้เล็กน้อย หลังจากการพบกันอันวุ่นวายของทั้งสองจบลง ในที่สุดพระราชาแห่งฮเยกุกที่จับตาดูอยู่เงียบๆ ตลอดมาก็พูดขึ้นเบาๆ 


 


 


“ต้องขอโทษด้วยที่พาตัวพระชายาขององค์ชายมาตามอำเภอใจ แต่ข้าก็ได้ส่งพวกนางในตามไปดูแลด้วย เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความไม่สะดวกสบายใดๆ” 


 


 


เป็นคำพูดที่ระแวดระวังจนไม่สมกับเป็นพระราชา แต่โฮจินก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะโอบเอวแชยอนเดินออกไปทางประตู ซึ่งเป็นอากัปกิริยาที่มีความหมายชัดเจนว่านับแต่นี้ไปไม่ต้องเข้ามายุ่งอีกต่อไปแล้ว 


 


 


“ตำแหน่งองค์ชายอะไรนั่นทรงมอบให้มดที่เดินผ่านไปผ่านมาเถอะ ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“จิน นั่งลงก่อนสักเดี๋ยวสิ” 


 


 


“อย่าเรียกข้าด้วยชื่อนั้น!” 


 


 


โต๊ะที่โฮจินเตะอย่างแรงพลิกคว่ำลงเสียงดัง ส่วนอาหารว่างที่เหล่านางในทำมาให้ด้วยความตั้งใจก็กระจัดกระจายเละเทะไปหมด พร้อมกันนั้นเหล่าทหารองครักษ์ก็เข้ามาขวางตรงหน้าของพระราชาโดยพร้อมเพรียงกัน แม้พระราชาจะชี้นิ้วให้ถอยไปข้างๆ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ลดความระมัดระวังลง 


 


 


“หลังจากจับพี่น้องทุกคนมาฆ่าจนไม่มีทายาทมาสืบทอด พอมาถึงตอนนี้ก็เลยเรียกข้าว่าจินอย่างนั้นหรือ ถ้าบอกให้ข้าเป็นองค์รัชทายาท ข้าก็ต้องขอบใจด้วยใช่ไหม” 


 


 


“เจ้ากรมกลาโหม!” 


 


 


เสียงอันแหลมคมของรยูฮาเข้ามาขัดคำพูดเสียดแทงของโฮจินที่พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ 


 


 


“หยุดพูดเถอะเพคะ ไม่รู้หรือว่าคำพูดแต่ละคำของท่านสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศได้นะเพคะ!” 


 


 


ทุกคำพูดย่อมมีผลของมัน โฮจินจึงได้แต่กัดฟังกรอดเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ดูท่าคงจะต้องคลายความสงสัยที่ปรากฏบนใบหน้าของพระราชาเสียก่อน รยูฮาลังเลว่าจะให้โฮจินนั่งลงที่เดิมดีไหม แต่พอก้มลงไปมองโต๊ะที่คว่ำหน้าลงอย่างเละเทะก็ตัดสินใจที่จะปล่อยให้สถานการณ์นี้รีบๆ ผ่านไป ถึงจะยื้อเวลาไปก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่ดี 


 


 


“หลายสิบปีก่อน ในตอนที่ชีวิตขององค์ชายขึ้นอยู่กับเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย ท่านพ่อของพวกเราได้ช่วยชีวิตองค์ชายเอาไว้เพคะ จากนั้นจึงได้มาเป็นสมาชิกในครอบครัวจนถึงปัจจุบัน และไม่นานมานี้ก็ทรงได้รับแต่งตั้งตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมด้วย แม้ว่าจะประสูติที่ฮเยกุก แต่ตอนนี้พระองค์เป็นทั้งข้าหลวงของแทซากุก ทั้งยังเป็นท่านพี่ของหม่อมฉันอีกด้วยเพคะ ดังนั้นหากทรงประสงค์จะรั้งพระองค์ไว้ที่ฮเยกุกโดยฝ่ายเดียวเช่นนี้ ฝั่งแทซากุกเองก็คงจะไม่มีทางเลือกนอกจากโต้ตอบทางด้านการทูตเพคะ” 


 


 


ฮเยกุกและแทซากุกมีความสัมพันธ์ที่เคียงบ่าเคียงไหล่กัน แต่ในแง่ของกำลังของชาตินั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งฝั่งที่ครองความได้เปรียบคือแทซากุก ดังนั้นฮเยกุกจึงไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งอันไร้ประโยชน์ขึ้น พระราชาแห่งฮเยกุกซึ่งสงบนิ่งแม้โฮจินจะพูดจาว่าร้ายใส่จึงแสดงท่าทางที่ตัดสินใจลำบากออกมาเป็นครั้งแรก ประหนึ่งตอกย้ำว่าความคิดนั้นเป็นเรื่องจริง 


 


 


“แรกเริ่มเดิมที เชื้อสายของราชวงศ์นั้นไม่สามารถออกไปอยู่ที่ประเทศอื่นได้โดยง่ายอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะที่จะตอบโต้ทางการทูต ทั้งที่แทซากุกนำตัวองค์ชายแห่งฮเยกุกไปแล้วให้พระองค์เป็นเพียงแค่ข้าหลวง” 


 


 


“หากเป็นเชื้อสายที่สูงส่งถึงเพียงนั้น ก็ทรงควรที่จะรักษาไว้ให้ดีตั้งแต่แรกสิเพคะ หากไม่ใช่ท่านพ่อของหม่อมฉันล่ะก็ เจ้ากรมกลาโหมก็คงจะสิ้นพระชนม์ไปตรงนั้นและไม่ได้มาอยู่ตรงนี้แล้วเพคะ”  

 

 


ตอนที่ 14-4

 

รยูฮาแกล้งเน้นคำว่าเจ้ากรมกลาโหมพร้อมทั้งพูดจาในเชิงตำหนิติเตียน แต่พระราชาแห่งฮเยกุกก็ไม่ยอมแพ้ 


 


 


“กระหม่อมจะส่งจดหมายส่วนตัวเพื่อแสดงความขอบคุณไปถึงท่านเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ แต่ถ้าหากต้นพลับซึ่งปลูกไว้ที่ลานบ้านของกระหม่อมยื่นออกไปยังบ้านตรงข้าม แล้วลูกพลับลูกนั้นจะเป็นของบ้านตรงข้ามได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ถ้าหากผู้ที่เดินผ่านต้นกล้าซึ่งถูกดึงออกและถูกมองว่าไร้ค่านั้น เก็บมันมาและช่วยชีวิตเอาไว้ มันก็ต้องเป็นของผู้ที่ช่วยชีวิตมันเอาไว้สิเพคะ” 


 


 


“เป็นของผู้ที่ช่วยชีวิตไว้เช่นนั้นหรือ…ทรงกำลังตรัสเหมือนราชวงศ์แห่งฮเยกุกเป็นข้าทาสนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าหลวงซึ่งปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อพระราชาแห่งแทซากุกต่างหากเพคะ ข้าหลวงทุกคนก็คือราษฎร และราษฎรก็คือแทซากุก ดังนั้นหากพูดว่าพระราชาซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินนั้นเป็นเจ้าของเจ้ากรมกลาโหมก็ใช่ว่าเป็นคำพูดที่เกินไปนะเพคะ” 


 


 


รอยยิ้มตามมารยาทประดับอยู่ที่ริมฝีปากของทั้งสองซึ่งเผชิญหน้ากัน พลางพูดจาอย่างมีชั้นเชิงโดยไม่หลุดแม้แต่เสี้ยววินาที แม้ว่าสายตาที่สบกันจะลุกเป็นไฟแล้วก็ตาม ซึ่งฝ่ายที่ถอยออกไปก้าวหนึ่งก่อนก็คือพระราชาแห่งฮเยกุก 


 


 


“กระหม่อมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่วิธีการต้อนรับแขกเมืองที่ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้อย่างเป็นทางการ คืนนี้เสด็จเข้าไปพักผ่อนที่นั่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“พอเห็นว่าทรงยังไม่ทันได้เตรียมตัวต้อนรับแขกเมือง ทางหม่อมฉันเองก็ต้องขออภัยด้วยที่มาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันเช่นนี้เพคะ พระองค์ก็ทรงพักผ่อนตามสบายเหมือนกันเถิดนะเพคะ หากทรงกรุณาส่งสาสน์ด่วนไปยังพระราชวังแห่งแทซากุกในตอนฟ้าสาง หม่อมฉันจะขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งเพคะ” 


 


 


“กระหม่อมจะจัดการให้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ทรงพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หลังจากการบอกลาของทั้งสองซึ่งยิ้มอย่างอ่อนโยนจนวินาทีสุดท้ายสิ้นสุดลง โฮจินก็ลุกขึ้นเป็นคนแรกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย รยูฮาก็ลุกขึ้นตามหลังเขาและถอนหายใจภายในใจเช่นกัน ตอนแรกก็มั่นใจอยู่หรอก แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ ควรใช้โอกาสนี้ในการกำจัดตัวปัญหา หรือจะพาเขากลับไปดี ความกังวลนั้นยังคงวนเวียนไปมาอยู่เรื่อยๆ เป็นเวลาหลายวัน แม้ว่าจะเข้าไปในห้องบรรทมด้วยการนำทางของนางใน จนนอนหลับและตื่นมาแล้วก็ตาม 


 


 


“หม่อมฉันเอาเสื้อผ้ามาให้พระองค์เปลี่ยนเพคะ ไม่สามารถหาชุดของแทซากุกได้จึงเตรียมเสื้อผ้าของฮเยกุกมาถวายให้แทนเพคะ โปรดทรงรับ…” 


 


 


“ไม่เป็นไร ปกติข้าก็สวมชุดแบบนี้อยู่แล้ว อย่าได้กังวลเลย” 


 


 


รยูฮาไม่มีทางนำชุดผ้าไหมที่ทำอย่างประณีตมาจากแทซากุกได้อยู่แล้ว ซึ่งอันที่จริง แม้แต่ตอนอยู่ในวังนางก็มักจะสวมเฉพาะชุดสีขาวไปไหนมาไหนแทบจะตลอดเวลาโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ดูเหมือนว่าพระราชาแห่งฮเยกุกจะเข้าใจผิดคิดว่านางไม่มีชุดที่ตระเตรียมมา รยูฮายิ้มเจื่อน ก่อนจะให้นางในที่เอาชุดมาถวายกลับไปและแต่งตัวด้วยตัวเอง 


 


 


“พระมเหสี โฮจินพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หาได้ยากที่โฮจินจะกราบทูลตามระเบียบแบบแผน ซึ่งวันที่หาได้ยากนั้นก็คือวันนี้ 


 


 


“เข้ามาสิ” 


 


 


รยูฮาที่มักจะต้อนรับเขาด้วยการเอนตัวลงนอนหรือไม่ก็นอนคว่ำบนเตียง หรือบางทีก็นั่งพิงพนักอยู่บนเก้าอี้ แต่วันนี้นางกลับอยู่ในท่าทางสุภาพเรียบร้อยเช่นกัน ทันทีที่สบตากัน ทั้งคู่พยายามกดเสียงหัวเราะที่จะหลุดออกมาเอาไว้ จากนั้นจึงนั่งหันหน้าเข้าหากันอย่างมีมารยาท 


 


 


“ช่วยออกไปสักเดี๋ยวสิ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 


 


 


รยูฮาให้เหล่านางในออกไปอย่างเป็นธรรมชาติในเวลาที่เหมาะสม ทันทีที่พวกเขาลับสายตาไป นางจึงนั่งยืดตัวบนเก้าอี้ โฮจินเองก็รู้สึกไม่สบายเช่นกัน เขาที่มักจะเอาเท้าขึ้นไปบนโต๊ะกลับมาเป็นปกติ แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังทุ้มต่ำลงเพื่อให้ดูมีความภูมิฐาน ก่อนจะเริ่มบ่นอุบ 


 


 


“เจรจาให้จบในวันนี้แล้วออกไปกันเถอะ สัญญากันแล้วนี่” 


 


 


“เกลียดการเป็นองค์รัชทายาทขนาดนั้นเลยหรือ” 


 


 


“ไม่ถึงกับเกลียด แต่ก็ไม่ชอบ” 


 


 


“ถ้างั้น” 


 


 


เมื่อรยูฮาลุกขึ้นพลางจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ โฮจินก็ลุกขึ้นด้วย พวกเขาเดินทางมาถึงฮเยกุกได้ห้าวันแล้ว แน่นอนว่าพระราชาแห่งฮเยกุกดูแลต้อนรับนางอย่างเอาใจใส่ ด้วยการมาหาด้วยตนเองวันละหนึ่งครั้งและโผล่หน้าเข้ามาถามไถ่ว่าไม่สะดวกสบายตรงไหนหรือไม่ก่อนจะกลับไป แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดเรื่องโฮจินขึ้นมาเลยแม้แต่คำเดียว แสดงว่าเขาก็มีความสามารถทางด้านการทูตอย่างมากเช่นกันแม้จะยังอายุน้อยอยู่ก็ตาม และวันนี้คือวันที่พระราชาจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อรยูฮาและโฮจิน 


 


 


“ไปกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แล้วแชยอนล่ะ” 


 


 


“ส่งไปก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าข้าต้องมารับพระมเหสี” 


 


 


โฮจินช่วยรยูฮาเปิดประตูและเดินไปด้วยกันตามแบบแผน แชยอนนั่งรอพวกเขาอยู่ที่สถานที่จัดงานเลี้ยงในชุดอันหรูหราราวกับดอกไม้สมกับเป็นนางสนม และจู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอที่คาดไม่ถึงจากพระราชา 


 


 


“ทรงเป็นพระกรุณาอย่างยิ่งเพคะฝ่าบาท แต่หม่อมฉันเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ความคิดในใจของท่านสามีเช่นกันเพคะ” 


 


 


“ลองคิดดู มันคือตำแหน่งที่เก็บไว้ให้พระมเหสีในวันข้างหน้าเชียวนะ” 


 


 


พระมเหสี คำนั้นทำให้นางนึกถึงโฮจินซึ่งบอกให้ไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงก่อนเลยเพราะจะต้องไปรับพระมเหสีขึ้นมา เหมือนกับในอดีตที่ฮอนทิ้งเคยนางและหายตัวไปทันทีที่ได้ยินว่าพระชายาโดนน้ำร้อนลวก แชยอนรู้สึกหม่นหมองขึ้นครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความทรงจำนั้นออกไป 


 


 


“หม่อมฉันรักและเชื่อฟังสามีแต่เพียงผู้เดียวเพคะ นอกจากหม่อมฉันจะไม่ประสงค์จะโน้มน้าวใจเขาแล้ว เขายังไม่ใช่คนประเภทที่จะรับฟังเมื่อถูกโน้มน้าวใจด้วยเพคะ” 


 


 


ใกล้จะถึงเวลาที่พระมเหสีแห่งแทซากุกจะเสด็จมาถึงแล้ว พระราชาแห่งฮเยกุกจึงร้อนใจรีบคว้าข้อมือของแชยอนและเสียงของเขาก็เริ่มดังขึ้น 


 


 


“เจ้าก็พูดได้นี่ เพราะเรื่องแย่ๆ…” 


 


 


“กรุณาปล่อยมือนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โฮจินปรากฏตัวออกมาโดยที่ขันทียังไม่ทันได้กราบทูลให้ทรงทราบ เขาพูดเช่นนั้นซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำอย่างเยือกเย็น การที่เขาไม่ดึงแชยอนเข้ามาในอ้อมกอดและชักดาบออกมาก็เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนางและกลัวว่าจะทำให้รยูฮามีปัญหา แต่ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป สติสัมปชัญญะของเขาคงจะไม่เหลืออีกเลย 


 


 


โฮจินโอบกอดแชยอนแล้วหายลับออกไปข้างนอกสถานที่จัดงานเลี้ยง รยูฮาจ้องมองดูพวกเขาที่ออกไปไกลแล้วย่นหน้าผากเล็กน้อย ท่ามกลางบรรยากาศที่พังเละเทะแบบนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถรั้งตัวโฮจินไว้ได้ และไม่เห็นรยูฮาเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน 


 


 


“พระมเหสีแห่งแทซากุกเสด็จ!” 


 


 


ขันทีผู้ซึ่งสติหลุดเพราะความไร้มารยาทของโฮจินตะโกนขานขึ้นมาช้าเกินไป ซึ่งรยูฮาเข้ามาจนเกือบถึงที่หมายแล้ว พระราชาเห็นนางพอดีจึงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม แต่ก็ไม่สามารถซ่อนสีหน้าลำบากใจไว้ได้ 


 


 


“กระหม่อมคงจะแสดงด้านไม่ดีให้แขกบ้านแขกเมืองเห็นแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่เป็นไรเพคะ เพราะเขาก็ไม่ใช่คนใจดีอยู่แล้ว” 


 


 


“ดูเหมือนว่าพระมเหสีจะทรงรู้จักจินเป็นอย่างดีนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เขาเหน็บแนมหรือเปล่านะ รยูฮาเลื่อนสายตาขึ้นมาสำรวจดูใบหน้าของพระราชาแห่งฮเยกุกซึ่งกล่าวเช่นนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การเหน็บแนม สีหน้าของเขากลับดูอิจฉาและเหงาหงอยเสียด้วยซ้ำ 


 


 


“เป็นเพราะว่าอาศัยอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวตั้งแต่เด็กน่ะเพคะ” 


 


 


“อย่างนั้นสินะ” 


 


 


พระราชาหันหน้าไปทางนักดนตรีด้วยสีหน้าครุ่นคิด ต้องขอบใจที่เครื่องดนตรีบรรเลงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน คนอื่นๆ จึงไม่สามารถได้ยินบทสนทนาของทั้งสองได้ 


 


 


“ไม่รู้ว่าจะทรงเชื่อหรือเปล่า แต่พวกพี่น้องน่ะ กระหม่อมไม่ได้เป็นคนฆ่าพ่ะย่ะค่ะ แต่จินฝั่งใจว่ากระหม่อมจะส่งตัวเขาไปให้พวกผู้ลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้ดีว่ามันน่าคับแค้นใจถึงเพียงใด” 


 


 


รยูฮาคิดว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดีแต่แล้วก็หยุด พระราชาเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้รอคำตอบเช่นกัน 


 


 


“พวกพี่น้องของกระหม่อมเสียชีวิตไป กระหม่อมจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตน้องชายที่เหลือเพียงคนเดียวเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น…” 


 


 


“ขอประทานอภัยที่ต้องขัดจังหวะเพคะ” 


 


 


รยูฮาขัดจังหวะการพูดของเขาพลางส่ายหน้าเบาๆ 


 


 


“หม่อมฉันไม่อาจรู้ได้ว่าทรงเล่าเรื่องนี้ให้หม่อมฉันฟังทำไม แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทรงเล่าให้พระมเหสีของประเทศอื่นฟังเพคะ เพราะฉะนั้นกรุณาหยุดไว้เท่านี้ และทรงเล่าให้น้องชายฟังด้วยตัวเองจะดีกว่าหรือไม่เพคะ” 


 


 


“แม้แต่หน้าของกระหม่อม เขายังไม่อยากจะมองเลยพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากจะขอเสียมารยาทและขอร้องพระมเหสีหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากจะให้หม่อมฉันไปเล่าต่อ หม่อมฉันไม่สามารถทำให้ได้เพคะ อีกทั้งหม่อมฉันจะเคารพในความประสงค์ของเจ้ากรมกลาโหมด้วยเพคะ” 


 


 


คำตอบที่เด็ดขาดทำให้สีหน้าของพระราชาดูหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับรู้สึกผิดหวังมากทีเดียว รยูฮาเบนสายตาไปยังระบำพื้นบ้านอันงดงามของพวกนางรำพลางจัดการความคิดสักพัก คำว่าบ้านสำหรับโฮจินคือตระกูลซอของรยูฮาซึ่งอยู่ที่แทซากุกมากกว่าราชวงศ์แห่งฮเยกุก เช่นเดียวกันกับมินอา 


 


 


อย่างไรก็ตามหากวางอารมณ์ทั้งหมดลงและเมื่อจวนจะกลายเป็นปัญหาระดับประเทศ โฮจินก็คงจำเป็นจะต้องขึ้นครองราชบัลลังก์ เพราะการเป็นพันธมิตรกันระหว่างสองประเทศคือแทซากุกและฮเยกุกจะทำให้ประเทศรอบข้างเก็บตัวเพื่อเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ เพื่อที่ในวันข้างหน้าหากเกิดสงครามขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือกันได้ หากไม่ใช่พระมเหสี นางก็คงจะคำนึงถึงความสุขของโฮจินก่อนแล้ว เฮ้อ รยูฮาถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นจึงกระซิบกระซาบอีกครั้ง 


 


 


“หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง โปรดเสด็จมายังที่พักของหม่อมฉันสักครู่หนึ่งเพคะ มาโดยไม่ต้องให้คนขานบอก ทรงเปิดประตูเข้ามาได้เลยเพคะ”  

 

 


ตอนที่ 14-5

 

“โอ๊ยยย เจ็บนะเจ้าค่ะ ท่านสามี” 


 


 


โฮจินลากแชยอนเข้ามาในห้องนอนและตะโกนสั่งให้ไปเอาน้ำมาทันที จากนั้นจุ่มข้อมือแชนยอนลงไปในน้ำและเริ่มถูอย่างแรงราวกับว่าพระราชาแพร่เชื้อโรคใส่ 


 


 


“ขอโทษนะขอรับ” 


 


 


แม้ปากจะบอกขอโทษ แต่แรงที่ถูผิวก็ยังคงเหมือนเดิมเพียงแค่คลายแรงที่จับข้อมืออยู่ลงเท่านั้น โฮจินใช้ผ้าแห้งเช็ดข้อมือแชยอน ในตอนนั้นแขนเสื้อของทั้งสองเปียกโชกและผิวน้ำบริเวณที่ขัดถูก็กลายเป็นสีแดง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พอใจ 


 


 


“ฝ่าบาท พระมเหสีทรงเรียกหาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ให้ตายเถอะ บอกแล้วไงอย่าเรียกข้าเช่นนั้น” 


 


 


โฮจินบ่นด้วยความปลงพลางสะบัดชุดที่เปียกโชกแล้วลุกขึ้น เหล่านางในนำเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน แต่เขาไม่สนใจและให้แชยอนเปลี่ยนเพียงคนเดียว เขาสั่งไว้ว่าอย่าตามมาและออกไปยังที่พักของรยูฮาด้วยกันกับแชยอน ถึงไม่เรียกก็ตั้งใจจะไปที่นั่นอยู่แล้ว 


 


 


“พระมเหสี องค์ชายเสด็จเพคะ” 


 


 


คำขานบอกของนางในที่ยืนอยู่ด้านหน้าทำให้หน้าผากของโฮจินย่นเข้าหากัน แต่เขาก็ไม่ได้ตะโกนใส่พวกนางในเหมือนตอนอยู่ที่พักของตนเอง และเพียงแค่เข้าไปข้างในประตูที่เปิดอยู่แล้วนั่งลงอย่างสำรวมข้างๆ แชยอน 


 


 


“ขอดูมือหน่อยสิ ท่านเจ้ากรมกลาโหม” 


 


 


“มือกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โฮจินรู้สึกทะแม่งแปลกๆ มือที่ยื่นออกไปถูกรยูฮาคว้าไว้แน่น ในขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกว่ามีคนกำลังตรงมาทางนี้จากข้างนอก โฮจินจึงตั้งใจจะลุกพรวดขึ้น แต่รยูฮาไม่ยอมปล่อยมือ ในไม่ช้าพระราชาแห่งฮเยกุกซึ่งถือบางอย่างอยู่ในมือก็เดินเข้ามาในประตูที่เปิดอยู่ ใบหน้าโฮจินบิดเบี้ยว แต่ไม่สามารถโมโหใส่รยูฮาต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหลายได้ เพราะที่นี่คือพระราชวังของประเทศอื่น 


 


 


“พระมเหสี กระหม่อมคิดว่าทรงอยู่ข้างเดียวกับกระหม่อมเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสียงที่กดต่ำลงพุ่งตรงไปยังรยูฮาอย่างหดหู่ 


 


 


“หม่อมฉันแค่อยากคุยด้วยเท่านั้นเพคะ หม่อมฉันคือน้องสาวของท่านไม่ใช่หรือ” 


 


 


พระราชาโบกมือไล่ให้พวกข้าราชบริพารถอยออกไปไกลๆ แต่รยูฮาก็ยังคงจับโฮจินไว้แน่นโดยไม่ปล่อย 


 


 


“จิน” 


 


 


“จินตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นเลิกตามหาเขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกลับไปที่แทซากุก” 


 


 


“คืนนั้น เจ้าจำได้ไหมว่าออกไปจากวังได้อย่างไร” 


 


 


“หยุดตรัสอะไรไร้สาระเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พอโฮจินส่งเสียงคำราม พระราชาจึงหยุดนิ่ง แต่ในไม่ช้าก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดแล้วพูดต่อ 


 


 


“ประตูบานนั้นที่เจ้าออกไป ข้าเป็นคนเปิดเอง พวกทหารเฝ้าประตูที่มอบกุญแจให้ข้าโดนลงโทษทันทีหลังจากที่เจ้าหลบหนีไป ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นเช่นนั้น แต่เพราะว่าข้าต้องช่วยเจ้าจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” 


 


 


“บอกแล้วไงว่าไม่อยากฟัง” 


 


 


“ข้าแอบส่งทหารคุ้มกันไปอย่างลับๆ แต่ช้าเกินไป พวกเขาเจอแค่จินชอนซึ่งลมหายใจรวยรินและเสื้อผ้าของเจ้าเท่านั้น” 


 


 


พระราชาแก้มัดของที่ถือในมือออกมา มันคือเสื้อผ้าและรองเท้าของเด็กซึ่งถูกห่อไว้ด้วยผ้าไหม แม้จะเลอะเทอะไปด้วยดินและรอยเลือดที่เปลี่ยนเป็นสีดำเป็นหย่อมๆ แต่โฮจินก็รู้ว่านั่นคือเสื้อผ้าของตน ถึงแม้ตั้งใจจะไม่มองใบหน้านั้น แต่ในตอนนั้นเองโฮจินก็หันมาจ้องหน้ากับพระราชา หลังจากใช้อีกมือซึ่งไม่ถูกจับดันสิ่งนั้นออกไป 


 


 


“ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงฆ่าหรือจะทรงช่วยชีวิต กระหม่อมก็เกลียดประเทศนี้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าจะให้เป็นองค์รัชทายาทที่นี่ สู้ไปเป็นข้าหลวงที่แทซากุกยังดีเสียกว่า” 


 


 


“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะตามหาเจ้าเจอในประเทศอันกว้างใหญ่เช่นนี้” 


 


 


แม่งเอ๊ย แชยอนค่อยๆ วางมือบนขาของโฮจินซึ่งสบถออกมาเบาๆ อย่างระมัดระวัง 


 


 


“แทซากุกเป็นผู้ส่งเจ้ามา แน่นอนว่าคนที่ส่งเจ้ามาก็คือพ่อบุญธรรมของเจ้า ท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


ความเงียบคืบคลานเข้ามาราวกับความมืดมิด รยูฮาคลายแรงในมือที่จับเขาอย่างช้าๆ ไม่รู้ทำไมแต่คิดว่าควรจะต้องทำเช่นนั้น แต่โฮจินกลับคว้ามือรยูฮาที่กำลังจะผละออกไว้แน่นอีกครั้ง 


 


 


“อยากให้ข้าเชื่ออย่างนั้นรึ” 


 


 


“ไม่ว่าจะชนชั้นวรรณะใด การฆาตกรรมก็คือความผิดอันใหญ่หลวง นอกจากนั้นแล้ว…” 


 


 


พระราชาเบนสายตาไปแวบหนึ่ง ซึ่งปลายสายตานั้นคือแชยอนซึ่งหน้าซีดเซียวด้วยความกลัว 


 


 


“ยังพานางสนมขององค์รัชทายาทหนีไปอีก ช่างเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเสียจริง หากสถานการณ์ทั้งหมดถูกเปิดเผยล่ะก็ ฝ่ายที่จะตกที่นั่งลำบากที่สุดก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลของท่านมหาเสนาบดีที่เก็บเจ้ามาไม่ใช่รึ เพราะรอบๆ อำนาจอันยิ่งใหญ่นั้นย่อมมีบรรดาสิงสาราสัตว์ที่คอยเพ่งเล็งอยู่ทุกเมื่อ” 


 


 


ใบหน้าของท่านอาจารย์ซึ่งไม่สนประเทศอื่นๆ และบีบบังคับส่งเขามายังฮเยกุกยังคงติดตรึงใจ ที่บอกว่าเป็นอันตราย ให้ทิ้งแชยอนไว้แล้วกลับมาก็เพราะอย่างนั้นหรือ ท่านอาจารย์เป็นถึงผู้ที่เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนตนมาเป็นเวลายาวนาน คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าหากส่งตนมาที่ฮเยกุก แล้วสั่งให้กลับไปดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทสุ่มสี่สุ่มห้า ตนจะต้องหนีไปยังที่ไกลๆ อย่างแน่นอน 


 


 


‘ได้โปรดช่วยข้าด้วย แล้วข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่าน’ 


 


 


‘โฮจิน นี่คือชื่อของเจ้า’ 


 


 


ในคืนนั้นหากไม่ใช่ท่านอาจารย์ ชีวิตเขาคงสูญสิ้นไปแล้ว โฮจินค่อยๆ ปล่อยมือรยูฮาลงอย่างช้าๆ ตอนนี้คงจะถึงเวลาที่จะต้องตอบแทนบุญคุณนั้นแล้วสินะ 


 


 


“เงื่อนไข” 


 


 


โฮจินส่ายหัวไปมาพลางหัวขมวดคิ้ว ซึ่งเป็นนิสัยที่เขามักจะทำเมื่อไม่พอใจเป็นอย่างมาก 


 


 


“หากมีทายาทสืบสกุลให้ฝ่าบาท ทรงจะต้องปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาททันทีและแต่งตั้งองค์ชายองค์นั้นให้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน รวมถึงจะต้องยอมรับชนชั้นกับอดีตของแชยอนและแต่งตั้งให้เป็นพระชายาในองค์รัชทายาท” 


 


 


“ข้าสัญญา” 


 


 


 


 


 


หลังจากวันนั้น รยูฮาก็พักอยู่ที่พระราชวังแห่งฮเยกุกต่ออีกสามวัน โฮจินซึ่งไม่พูดอะไรเลยในวันแรกพูดทักทายรยูฮาในวันที่สอง และพูดหยอกล้อในวันที่สาม และในวันที่เข้าสู่วันที่สี่ เขาขอคุ้มกันขบวนรถม้าที่พระมเหสีทรงนั่งด้วยตัวเอง ก่อนจะขึ้นไปบนหลังม้า 


 


 


“พระมเหสี” 


 


 


ผ่านมาหนึ่งชั่วยามแล้วหรือเนี่ย เสียงโฮจินทะลุม่านหนาเข้ามา 


 


 


“ว่ามา” 


 


 


“กระหม่อมคิดว่าควรจะเขียนจดหมายดีไหม แต่มันไม่เหมาะกับนิสัยของกระหม่อมเอาเสียเลย ทรงช่วยถ่ายทอดคำพูดนี้ไปให้ท่านอาจารย์ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ได้อยู่แล้วสิ” 


 


 


มีเพียงแค่เสียงเกือกม้าดังกุบกับ รยูฮาไม่เร่งรัดและไม่แม้กระทั่งมองหน้าโฮจินอีกด้วย 


 


 


“ขอบพระคุณ…ที่เป็นพ่อให้ข้า” 


 


 


“แล้วไม่มีคำพูดอะไรถึงน้องสาวเลยหรือเพคะ” 


 


 


รยูฮาเปิดม่านขึ้นเล็กน้อยมองโฮจินจากข้างใน แม้จะเคยคิดว่าเขาไม่เหมาะกับชุดจอมยุทธเป็นอย่างยิ่งถึงแม้จะเป็นจอมยุทธก็ตาม แต่พอได้เห็นเขาในชุดผ้าไหมและผูกผ้าโพกหัวแบบนี้แล้วก็พอดูได้เหมือนกัน 


 


 


“เพราะเจ้า ข้าเลยลำบากมาเยอะเลยนะ น้องสาว” 


 


 


รยูฮาขำคิกคักพลางเปิดม่านขึ้นมาสุดและเท้าคางตรงกรอบหน้าต่าง เพราะเป็นเรื่องจริงที่นางทำให้เขาลำบากมามากจึงไม่มีอะไรจะพูด ตอนยังเด็กก็ทุบตีไม่ยั้งและใช้ให้เขาทำตามคำสั่ง พอโตขึ้นมาหน่อยก็ใช้ให้เขาแอบเอาเหล้าเข้ามา จนพอโตขึ้นมาอีกนิดก็ลากไปบ่อนพนันด้วยกันและปล่อยเงินกู้ นอกจากนั้นยังสั่งให้เข้ามาในวังเพื่อให้คุ้มกันแม้กระทั่งหลังคาของตำหนักนางสนมอีกด้วย 


 


 


พอมาลองคิดๆ ดูแล้วแม้ว่าเขาจะบ่นและประชดประชันอยู่เป็นประจำ แต่ก็ทำตามทุกอย่างที่นางต้องการทั้งสิ้น หากไม่ต้องไปคุ้มกันตำหนักของนางสนม บางทีโฮจินอาจจะได้อยู่อย่างสุขสบายที่แทซากุกเฉกเช่นเดิม 


 


 


“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพี่” 


 


 


“ไม่เป็นไร” 


 


 


โฮจินยิ้มกว้างแล้วจึงเอื้อมมือออกไปเอาม่านลงเหมือนเดิม บทสนทนาในวันนี้จบลงเพียงเท่านั้น แต่ทั้งสองคนได้แบ่งปันเรื่องราวร่วมกันมากมายกว่าที่เคยในระยะเวลาหลายวันที่เดินทางไปจนถึงชายแดน และในที่สุดก็มาถึงเขตชายแดน โฮจินทิ้งคำพูดไว้ว่าจะกลับมาเยี่ยมที่แทซากุกภายในปีนี้ ก่อนจะหันหลังกลับไปยังพระราชวังอีกครั้ง หลังจากโค้งคำนับให้พระมเหสีของแผ่นดินอื่นในฐานะองค์รัชทายาทอย่างนอบน้อม  

 

 


ตอนที่ 14-6

 

“เด็กนั่นคงจะไม่มาด้วยสินะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธเคืองใต้เท้าหรือไม่” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองชะเง้อมองไปข้างนอกไม่หยุดราวกับรอคอยบางอย่างเอ่ยขึ้นมาเบาๆ กลิ่นหอมของดอกฉัตรทองซึ่งขยันขันแข็งผลิดอกเป็นพิเศษในปีนี้รวมเข้ากับเสียงนั้นและปลิวหายไปในสายลมยามเย็น 


 


 


“ไม่คิดเลยว่าเขาจะพาพระมเหสีไปด้วย คงจะได้ยินอะไรบางอย่างเข้าแน่ๆ” 


 


 


“เขาเป็นเด็กฉลาด ดังนั้นในตอนนี้เขาก็ต้องกลายเป็นคนฉลาดเจ้าค่ะ พอลูกชายหายไปหนึ่งคนก็รู้สึกเหงาใจเหมือนกันนะเจ้าคะ” 


 


 


สิ่งที่นายหญิงตระกูลจองพูดเสริมในตอนท้ายทำให้มุมปากของท่านมหาเสนาบดีขยับเล็กน้อย ก่อนจะลดลงเหมือนเดิม เขาวางแผนที่จะส่งคณะผู้แทนพระองค์จากแทซากุกเพื่อยินดีกับการอภิเษกองค์รัชทายาทแห่งฮเยกุกเช่นกัน แต่เรื่องทั้งหมดจะต้องผ่านมือเขาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะนำไปทูลถวายแก่พระระชา ดังนั้นแน่นอนว่ายิ่งนับวันใต้ตาจึงคล้ำลงขึ้นทุกทีเพราะงานที่โถมเข้ามา อีกทั้งยังเหนื่อยใจเป็นอย่างมากด้วย เนื่องจากเหล่าเสนาบดีคัดค้านพระราชาซึ่งหวังจะผลักดันให้คืนตำแหน่งแก่อดีตองค์ชาย 


 


 


“ข้าตั้งใจจะลาออกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากกลับมาจากฮเยกุกในคราวนี้ แล้วเราสองคนไปเที่ยวด้วยกันสักแห่งเถอะ” 


 


 


“ดีเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ใต้เท้าควรจะต้องพักผ่อนแล้วด้วย” 


 


 


ท่านมหาเสนาบดีที่นึงถึงสมัยที่นางยังสาวและงดงามนั้นเอื้อมมือออกไปลูบหัวของนายหญิงตระกูลจองที่เงยขึ้นมาอย่างเรียบร้อยเบาๆ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงคนใช้ที่รีบร้อนตามหาเขาดังขึ้นจากข้างนอก 


 


 


“ท่านใต้เท้า! พระมเหสีจวนจะเสด็จถึงแล้วขอรับ!” 


 


 


“ถึงเวลาแล้วหรือเนี่ย” 


 


 


สามีภรรยาทั้งสองละทิ้งช่วงเวลาที่ได้อยู่กันสองคนซึ่งนานทีจะมีโอกาส แล้วจึงออกไปด้านนอก ภายในบ้านต่างวิ่งวุ่นกันอุตลุดยกเว้นเรือนหลังในที่ทั้งสองคนพักอาศัยอยู่ ไหนจะต้องเตรียมอาหารให้เหล่าทหารองครักษ์และบรรดาคนยกเกี้ยวซึ่งเดินทางมาไกล ไหนจะต้องจัดที่พักให้เรียบร้อยและทำให้อากาศถ่ายเท  ไหนจะต้องพานายทั้งสามท่านมาอีก ฮอนที่เคยประกาศกร้าวไว้ว่าจะส่งเกี้ยวของตนไปให้รยูฮาได้ส่งทหารอารักขาพระราชวังและรถม้าของพระราชาไปให้จริงๆ ดังนั้นขบวนเสด็จจึงยิ่งใหญ่อลังการ 


 


 


“ถวายบังคมพระมเหสี” 


 


 


“ถวายบังคมพระมเหสี!” 


 


 


ทุกคนในบ้านต่างโค้งคำนับกันตรงหน้าประตูทางเข้า แต่รยูฮากับมินอาที่ไม่ได้กลับบ้านมานานรับคำทักทายของพวกเขาบ้างไม่รับบ้าง ก่อนจะมุ่งตรงไปยังที่พักในทันที ท้องของมินอาที่ป่องขึ้นมาพอสมควรเริ่มอึดอัดอีกครั้งเนื่องจากการเดินทางอันยาวนาน ฝีเท้าของนายหญิงตระกูลจองซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลก็เดินตามทั้งสองเข้าไปด้านในเช่นนั้น 


 


 


“มินอา รู้สึกไม่สบายท้องมากเลยใช่ไหม” 


 


 


“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่” 


 


 


มินอาที่เคยสร้างกำแพงแม้แต่กระทั่งกับนายหญิงตระกูลจองและมักจะลุกพรวดขึ้นทันทีที่นางเข้ามาในห้อง ตอนนี้นางเรียกนายหญิงตระกูลจองว่าท่านแม่อย่างเป็นธรรมชาติทั้งที่ยังคงเอนตัวนอนอยู่ รยูฮารู้สึกดีใจจนต้องหยิกแก้มมินอาที่ป่องขึ้นมาเล็กน้อยเบาๆ 


 


 


“โอ๊ย!” 


 


 


“โอ๊ย?” 


 


 


คำพูดที่ไม่เป็นธรรมชาติอย่างมากออกมาจากปากของมินอาทำให้รยูฮาทำสีหน้าบูดบึ้ง ไม่ใช่ เจ็บนะเพคะ แต่เป็น โอ๊ย อย่างนั้นหรือ ตอนกลางคืนก็ร้องหาผลไม้ฤดูร้อนที่ยังไม่ออกลูก แล้วพอไม่ได้กินผลไม้นั้นก็ร้องไห้งอแง มาถึงตอนนี้ก็ร้องโอ๊ย? เสียงพร่ำบ่นของนายหญิงตระกูลจองลอยไปหารยูฮาซึ่งกำลังกลุ้มใจว่าลูกในท้องกำลังควบคุมมินอาอยู่หรือเปล่า 


 


 


“ตายแล้ว ไปหยิกคนท้องได้อย่างไรเล่า!” 


 


 


“ข้าไม่ได้หยิกแรงขนาดนั้นเสียหน่อยเจ้าค่ะ เจ้ากำลังทำตัวสำออยอยู่ใช่หรือไม่” 


 


 


“เด็กคนนั้นจะทำตัวสำออยได้อย่างไรกัน แม่จะอยู่ในนี้เอง เจ้าออกไปได้แล้ว!” 


 


 


ถึงจะพยายามโต้เถียงกับความอยุติธรรม แต่ดูเหมือนว่าการตั้งครรภ์จะเป็นยศไปแล้ว ซึ่งเป็นยศที่สูงกว่าพระมเหสีเสียอีก สุดท้ายรยูฮาก็ถูกนายหญิงตระกูลจองบังคับให้ออกมาข้างนอก ทั้งที่เรือนนี้เป็นของรยูฮาด้วยซ้ำ แถมเตียงที่มินอานอนอยู่ก็เป็นของรยูฮาเช่นกัน นางว่าจะเดินไปฝั่งเรือนหลังใน แต่ดูเหมือนว่าพวกทหารองครักษ์ซึ่งตามมาในการเดินทางอันยาวไกลยึดพื้นที่สวนหน้าบ้านเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองพักหนึ่งไปเสียแล้ว ดังนั้นหากตนปรากฏตัวออกไปอาจจะทำให้บรรยากาศกร่อยลงได้ เนื่องจากทำนู่นก็ไม่ได้ทำนี่ก็ไม่ได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจเข้าไปที่สวนหลังบ้านเพื่อแกว่งดาบสักหน่อย แต่แม้กระทั่งที่นั่นรยูฮาก็รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย 


 


 


“ใครน่ะ” 


 


 


มีสัญญาณของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ข้างนอกกำแพงจำนวนหนึ่ง สอง สาม… ทั้งหมดหกคน ซึ่งเป็นพวกที่ไม่น่ากลัวแต่ถูกฝึกมาแล้ว ดาบสีนิลถูกเล็งไปตรงระหว่างตะวันที่กำลังตกดินโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะพระมเหสี” 


 


 


ชายสองคนกระโดดข้ามกำแพงสูงอย่างสบายๆ แล้วหมอบคำนับ วันนี้มีทหารคุ้มกันอยู่รอบๆ กำแพงอย่างแน่นหนากว่าปกติสองเท่าหรืออาจจะถึงสามเท่าเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพวกที่ฝ่าฝืนเข้ามาในรั้วที่พักซึ่งพระมเหสีประทับอยู่โดยไม่ถูกตรวจสอบก็หมายความได้อย่างเดียวเท่านั้น 


 


 


“ฝ่าบาท ปรับเปลี่ยนกำหนดการของวันนี้อีกแล้วหรือเพคะ” 


 


 


เสียงที่คุ้นหูลอดกำแพงเข้ามาพร้อมกันกับเสียงหัวเราะ 


 


 


“ข้าส่งคนไปหาท่านพ่อตาแล้ว” 


 


 


“แต่ท่านพ่อไม่ได้บอกเช่นนั้นนะเพคะ” 


 


 


“เพราะว่าเพิ่งส่งไปอย่างไรเล่า” 


 


 


พอรยูฮาหยุดพูด ชายทั้งสี่คนก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพงอีกครั้ง ส่วนอีกสามคนก็หมอบคำนับเหมือนที่อีกสองคนทำก่อนหน้านี้ และจู่ๆ ก็มีคนหนึ่งจับใบหน้าของรยูฮาและประทับจูบลงไป เขาบาดเจ็บไหมนะ รยูฮาเก็บดาบไปข้างหลังและใช้มือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของฮอนพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างอย่างหยอกล้อ 


 


 


“พรุ่งนี้หม่อมฉันก็กลับไปแล้ว เสด็จออกมาจากวังทำไมอีกเพคะ” 


 


 


“อยู่ใกล้กันแค่นี้ยังต้องรอจนถึงพรุ่งนี้อีกหรือ ไม่มีทางเสียหรอก” 


 


 


ริมฝีปากของฮอนประทับลงบนหน้าผากกลมอีกครั้ง หอมแก้มนุ่มเบาๆ และประกบบนริมฝีปากอันน่าหลงใหลอีกรอบ รสชาติหอมหวานแผ่ซ่านออกมาจากปลายลิ้นที่แทรกเข้ามาอย่างนุ่มนวลกว่าเมื่อสักครู่ ดาบสีนิลร่วงหล่นลงไปนอนอยู่บนพื้นอย่างสงบเสงี่ยม ทั้งสองคนผละออกจากกันหลังจากตะวันตกดินและความมืดกำลังคืบคลานเข้ามา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“พระมเหสี พระมเหสี!” 


 


 


เสียงของฮอนที่วิ่งตะโกนเรียกพระมเหสีมาตั้งแต่ปากทางเข้าวังจานยองอย่างไม่รักษาเกียรติ ดังทะลุประตูหลายชั้นมาจนถึงห้องบรรทม จนรยูฮาซึ่งกำลังคิดอยู่ว่านอนกลางวันสักหน่อยดีไหมขมวดคิ้วและลุกออกไปข้างนอก ชายเสื้อสีขาวพริ้วไหวไปมา ในจังหวะที่รยูฮาซึ่งกำลังออกไปเพื่อที่จะปิดปากฮอนออกมาเจอกับฮอนซึ่งกำลังวิ่งตรงมาหารยูฮาที่โถงทางเดินพอดี 


 


 


“ปล่อยนะเพคะฝ่าบาท ข้าราชบริพารกำลังมองอยู่นะเพคะ” 


 


 


“ไม่มีใครมองอยู่เสียหน่อย” 


 


 


เหล่านางในรีบหันหลังและก้มหน้าไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบตั้งแต่ตอนที่ทั้งสองเจอหน้ากันแล้ว ดังนั้นคำพูดของเขาจึงไม่ผิดนัก ฮอนอุ้มรยูฮาเข้ามาในห้องนอน วางนางลงบนเตียงและมุดหน้าในหน้าอกนุ่มนิ่ม หัวที่ปวดตุบๆ มาตลอดช่วงเช้าจึงสงบลงได้บ้างนิดหน่อย พอรยูฮาใช้มือเรียวลูบหัวเขาเหมือนกับลูกสุนัขก็รู้สึกเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้ง 


 


 


“ทรงทะเลาะมาอีกแล้วหรือเพคะ” 


 


 


“เกิดเรื่องวุ่นวายเพราะเรื่องคณะผู้แทนพระองค์ที่จะส่งไปยังฮเยกุกน่ะ พอส่งไปเป็นจำนวนมากก็แย้งขึ้นว่าแทซากุกคือเมืองขึ้นของฮเยกุกหรือ พอสั่งให้เตรียมไปอย่างพอดีก็แย้งขึ้นว่าไม่มีมารยาทอีก พอจะเตรียมเท่าๆ กับตอนที่ข้าขึ้นครองราชย์ก็บอกว่าสถานการณ์มันไม่เหมือนกันเพราะตอนนั้นทางฝั่งเราตรงกันกับช่วงจัดพิธีพระบรมศพอยู่พอดี และพอจะส่งไปเท่ากับที่เสด็จพ่อเคยส่งไปที่จอนแดก็บอกว่าใช้เวลานาน” 


 


 


มันคือภาระหน้าที่ที่ฮอนซึ่งขึ้นครองราชบัลลังก์มาด้วยจุดเริ่มต้นที่สับสนวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกจะต้องแบกรับเอาไว้ ช่วยผ่อนคลายให้สักหน่อยดีไหมนะ รยูฮากอดศีรษะของฮอนไว้แน่นและกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง เสียงหัวเราะซุกซนลอดออกมาจากระหว่างเครื่องนอนที่ยับยู่ยี่ 


 


 


“จำนวนจะไปสำคัญอะไรเพคะ ดอกไม้ป่าที่ห่อมาในผ้าไหมอย่างสวยงามย่อมทำให้คนประทับใจยิ่งกว่าทองคำที่ม้วนด้วยกระดาษอยู่แล้วเพคะ” 


 


 


ริมฝีปากของรยูฮาที่ยังคงอมยิ้มอยู่กระซิบคำพูดที่กำกวมให้ฮอนฟัง 


 


 


“ผ้าไหม?” 


 


 


“แน่นอนว่ามันจะดีกว่าหากไม่มีผ้าไหม” 


 


 


มือเรียวคลายปมเชือกเสื้อคลุมมังกรลงแล้วแทรกมือเข้าไปข้างในนั้น ใช้เสื้อของฮอนแทนผ้าห่ม และหนุนแขนของฮอนแทนหมอน ยังมีอะไรที่จะต้องอิจฉาในโลกอีกไหมนะ แต่ฮอนที่ปกติจะหวั่นไหวไปกับการยั่วยวนนั้นกลับตั้งหน้าตั้งตาตีความท้ายประโยคที่รยูฮาพูด 


 


 


“…อ๋ออ”  

 

 


ตอนที่ 14-7

 

หลังจากนั้นสักครู่ ฮอนก็ยิ้มแย้มออกมาพร้อมกับกอดนางไว้แน่นและกลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนกับที่รยูฮาทำก่อนหน้านี้ เคี้ยวตัวน่ารักนี้ลงไปเลยดีไหม 


 


 


“ทำไมหรือเพคะฝ่าบาท” 


 


 


“ก็ชอบมากอย่างไรเล่า” 


 


 


“ทำอย่างกับไม่เคยอย่างนั้นแหละ” 


 


 


เสียงหัวเราะสดใสระเบิดออกมาอีกครั้ง ฮอนคิดว่าเสียงนั้นไพเราะยิ่งกว่าการบรรเลงดนตรีใดๆ พลางถูใบหน้ากับเส้นผมสวย และจู่ๆ เขาก็นึกถึงโคมไฟที่เคยแขวนตอนออกไปที่ตลาดเมื่ออดีตขึ้นมา 


 


 


“โคมไฟอันนั้น เจ้าอธิษฐานว่าอะไรหรือ” 


 


 


“ตรัสถึงโคมไฟอะไรหรือเพคะ” 


 


 


หางตาของรยูฮาที่จงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกำลังยิ้มอยู่ ฮอนเกลี่ยแก้มนั้นด้วยปลายนิ้วพลางยิ้มตาม 


 


 


“ข้าอธิษฐานให้เจ้ายิ้มอยู่ข้างๆ ข้าแบบนี้ไปตลอดชีวิต” 


 


 


“เหมือนหม่อมฉันเลย” 


 


 


“จริงหรือ เจ้าเองก็อธิษฐานให้ข้ายิ้มอยู่ข้างๆ เจ้าอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ไม่มีทางเพคะ” 


 


 


จุ๊บๆ รยูฮาคว้าใบหน้าฮอนมาระดมจูบและลุกขึ้นจากเตียง เพราะจวนจะถึงเวลาที่สำรับของว่างจะถูกยกเข้ามาถวายแล้ว จึงต้องสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแม้จะยังไม่เห็นเหล่านางในก็ตาม 


 


 


“แล้วอธิษฐานว่าอย่างไรล่ะ” 


 


 


“ก็ขอเหมือนกับที่ฝ่าบาททรงอธิษฐานไงเพคะ” 


 


 


“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าไม่ใช่นี่” 


 


 


รยูฮาหันกลับไปด้านหลังและจัดเสื้อคลุมมังกรทองที่ตนเองเป็นคนทำให้ยับยู่ยี่ให้เรียบร้อย นางจัดทรงผมของฮอนที่ปล่อยร่างกายไปตามมือของนาง และใช้มือรีดรอยยับต่างๆ หลังจากนั้นจึงนั่งลงตรงหน้ากคันฉ่องส่องหน้าพลางพึมพำออกมาเบาๆ 


 


 


“ข้าขอให้ข้าได้ยิ้มอยู่เคียงข้างท่านตลอดไปต่างหากล่ะเพคะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“เข้ามาสิเพคะฝ่าบาท ทำไมพระมเหสีไม่เสด็จมาด้วยกันล่ะ” 


 


 


“กระหม่อมไม่ได้พานางมาเพื่อที่จะใช้เวลากับเสด็จย่าได้อย่างเต็มที่ไงพ่ะย่ะค่ะ ทรงไม่ชอบหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ริมฝีปากบางของหญิงชราวาดเส้นโค้งงดงามจากการหยอกล้อของฮอน  


 


 


“ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใดอยู่ใช่หรือไม่เพคะ” 


 


 


“เห็นชัดขนาดนั้นเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ย่าคนนี้เป็นคนเลี้ยงดูและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับฝ่าบาทนะเพคะ” 


 


 


ฮอนเก็บรอยยิ้มขี้เล่นไป ภาพของเขาซึ่งเปลี่ยนจากหลานชายคนสุดท้ายไปเป็นพระราชาวัยหนุ่มทำให้นึกถึงบุตรชายในสมัยที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานขึ้นมา พระองค์จึงต้องกลืนความโศกเศร้าที่พลุ่งพล่านขึ้นมาลงไปอีกครั้ง 


 


 


“กระหม่อมตั้งใจจะคืนตำแหน่งให้เสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ แต่การคัดค้านของเหล่าเสนาบดีรุนแรงเป็นอย่างมาก จึงทำให้สำเร็จลุล่วงได้ยากพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ทรงตั้งใจจะมาขอยืมพลังจากย่าคนนี้อย่างนั้นใช่หรือไม่เพคะ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานทายาทก็จะลืมตาดูโลกแล้ว เราควรจะสะสางเรื่องนี้เสียก่อนไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีกระหม่อมเองก็ไม่อยากทำให้เสด็จย่าทรงเป็นห่วงแต่ว่า…” 


 


 


“ฝ่าบาททำได้ดีแล้วเพคะ” 


 


 


เสียงอันอ่อนโยนขัดคำพูดของฮอนซึ่งกำลังจะแสดงความขอโทษ 


 


 


“ย่าว่าจะเรียกตัวเหล่าเสนาบดีให้เข้ามาก่อนตั้งนานแล้ว แต่เพราะว่าฝ่าบาททรงไม่ได้ทูลบอกจึงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้” 


 


 


ในวันที่มีการยึดราชบัลลังก์ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เข้ามาขวางข้างหน้าฮอนพร้อมกับบอกว่าจะไม่มอบตรากษัตริย์ให้หากทำร้ายหลานของข้า แต่ถึงกระนั้นฮอนก็ยังเอายาพิษให้ชานและเขาก็เสียชีวิตไป เมื่อทำเช่นนั้นแล้วจะยังมีหน้ามาขอความช่วยเหลืออีกได้อย่างไร 


 


 


“ทรงไม่เกลียดชังกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


พระองค์ยื่นมือซึ่งเต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่นราวกับเปลือกไม้ไปหาฮอน พอได้ลองจับมือนั้นเบาๆ ฮอนจึงสัมผัสได้ถึงความแก่ชราของเสด็จย่าอย่างชัดเจน 


 


 


“โอรสของหม่อมฉันทรงขึ้นครองราชย์เมื่ออายุได้สิบสามปี หม่อมฉันเข้าใจดีว่าฝ่าบาทต้องทำเช่นนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าว่าหัวใจของฝ่าบาทเองก็แหลกสลายเฉกเช่นเดียวกับหัวใจของย่าคนนี้” 


 


 


“กระหม่อมไม่มีอะไรจะทูลพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่า” 


 


 


มืออันอบอุ่นของพระองค์ลูบหลังมือของฮอนราวกับเข้าใจทุกอย่าง 


 


 


“ในสมัยยังเด็กองค์ชายทั้งสองมักจะจับมือกันมาที่วังจางชุน และย่าคนนี้ก็มักจะให้ทั้งคู่นั่งบนตักพร้อมกับเล่านิทานให้ฟังเสมอ พอเข้าฤดูหนาวก็ปิ้งเกาลัดในเตาไฟด้วยกัน และพอเข้าฤดูใบไม้ร่วงก็ไปเด็ดลูกพลับที่สวน ส่วนในฤดูร้อนแผ่นน้ำแข็งของวังจางชุนก็จะละลายเป็นที่แรกด้วย ดังนั้นองค์ชายทั้งสองจึงชอบมาขอน้ำหวานทุกวี่ทุกวัน” 


 


 


วันในแต่ละวันที่คล้ายกับภาพวาดก่อนที่พระสนมยอนจะสิ้นพระชนม์ เมื่อความทรงจำผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขามักจะขอให้มันหายไปอีกครั้งแต่ตอนนี้กลับต่างออกไป เขารู้สึกดีใจที่ยังสามารถขุดความทรงจำเหล่านั้นขึ้นมาได้ราวกับเป็นเรื่องที่เพิ่งจะเกิดไปเมื่อวาน 


 


 


“พวกเราสองคนตั้งใจจะทำช่อดอกไม้เพื่อถวายให้เสด็จย่า จึงทำให้สวนดอกไม้ที่เสด็จแม่ทรงหวนแหนพังหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ ทรงไม่ทราบใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ทำไมจะไม่รู้เล่า หม่อมฉันรู้ตั้งแต่ตอนที่องค์ชายทั้งสองคนตัวเปื้อนเลอะเทอะพร้อมกับหอบดอกไม้มาให้แล้ว ดอกไม้นั้นคือดอกไม้ที่พระสนมยอนปลูกขึ้นมาจากเมล็ดที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ด้วยความทุ่มเทยิ่งกว่าใคร แต่ดอกไม้ถูกเด็ดออกมาแล้วจะทำอย่างไรได้ นอกเสียจากต้องปลอบใจหลานชายคนสุดท้องที่ร้องไห้งอแงน่ะสิ” 


 


 


วันนั้นคือวันที่ถูกเสด็จแม่ซึ่งมักจะรักและเอ็นดูเขาอยู่เสมอตีก้นเป็นครั้งแรก หยดน้ำตาที่ผสานด้วยรอยยิ้มคลอบนดวงตาของฮอนซึ่งกำลังนึกย้อนถึงวันนั้น ก่อนจะร่วงลงมา ชานตายแล้ว ความจริงนั้นทิ่มแทงใจของเขาอย่างรุนแรง เมื่ออยู่ตรงหน้าเสด็จย่าผู้ซึ่งเขาสามารถแบ่งปันความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายด้วยได้ 


 


 


“ชานน่ะ คือดอกไม้ดอกนั้น ดอกไม้ที่ถูกหักไปแล้วจะทำอย่างไรได้อีก พอเห็นหลานคนเล็กร้องไห้แบบนี้ สงสัยจะต้องทำให้สบายใจขึ้นหน่อยแล้วสินะ” 


 


 


มืออันอ่อนโยนตบหลังของฮอนที่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะและซ่อนใบหน้าเอาไว้เบาๆ หลานคนเล็กที่ตัวเล็กน่ารักในตอนนั้นเผลอแป๊บเดียวก็มีแผ่นหลังที่กว้างถึงขนาดนี้แล้ว มือของเสด็จย่าตบแผ่นหลังเขาเบาๆ เป็นเวลายาวนาน แต่พระราชาที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของพระองค์ก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่ดี เหมือนกับตอนที่มาหาเสด็จย่าพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก ทั้งที่ร้องไห้หลังจากถูกเสด็จแม่ตีก้นมาก็ตาม 


 


 


“หม่อมฉันจะแจ้งพวกเสนาบดีให้มาที่วังจางชุนทันทีที่พวกเขาเข้าวังมา ยามใดที่ฝ่าบาทรู้สึกว่ามีอำนาจไม่เพียงพอ เสด็จมาหาย่าคนนี้ได้เสมอ แม้หม่อมฉันจะเป็นเพียงหญิงชราหลังบ้าน แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง” 


 


 


เมื่อตัดสินใจแล้วก็จะสามารถทำได้เท่าที่ต้องการ แต่พระองค์จะไม่แทรกแซงเรื่องกิจการบ้านเมืองโดยไม่จำเป็น การที่ผู้อาวุโสเรียกตัวเหล่าเสนาบดีตั้งแต่เช้าตรู่เป็นเรื่องที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น เหล่าเสนาบดีซึ่งมีท่านมหาเสนาบดีเป็นหัวหน้าต่างก็ค่อยๆ ทยอยมารวมตัวกันที่วังจางชุน 


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะพระพันปี” 


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะพระพันปี!” 


 


 


ความสง่างามซึ่งแตกต่างกับความสง่างามของฮอนซึ่งยังอ่อนเยาว์ปกคลุมไปทั่วร่างที่เล็กและชรา ก่อนจะทอดสายตามองเหล่าเสนาบดี หลังจากตรวจสอบดูแล้วว่าทุกคนที่มีอำนาจในการเสนอมารวมตัวกันครบแล้ว พระพันปีจึงเคาะโต๊ะสองทีเพื่อจัดการความวุ่นวายให้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา 


 


 


“ขอบใจทุกท่านมากที่มารวมตัวกันเช่นนี้ ข้ารู้เป็นอย่างดีว่าพวกท่านยุ่ง เพราะฉะนั้นข้าจะไม่พูดอะไรยืดยาว” 


 


 


สายตาของพระพันปีพุ่งตรงไปยังท่านมหาเสนาบดีซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าพระองค์พอดีก่อนจะลดสายตาลง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ก้าวออกมาและคงจะทำเช่นนั้นต่อไป ช่างเป็นคนที่หนักแน่นทีเดียว 


 


 


“ข้าจะคืนตำแหน่งให้กับอดีตองค์ชายผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว” 


 


 


“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ พระพันปี! 


 


 


“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ” 


 


 


“แม้จะเป็นสายเลือดของราชวงศ์ แต่เขาเป็นผู้วางแผนก่อกบฎนะพ่ะย่ะค่ะ เราจะสามารถฝังคนแบบนั้นไว้ที่สุสานของราชวงศ์ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“…สุสานของราชวงศ์รึ” 


 


 


พระพันปีจิ๊ปากเบาๆ ราวกับไม่พอใจ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นคืนตำแหน่งให้แก่คนตาย แต่ไม่ต้องเคลื่อนย้ายหลุมศพ ให้ไว้ที่นั่นอย่างเดิม”  


 


 


“พระพันปี!” 


 


 


“บังอาจขึ้นเสียงกับข้าได้อย่างไร!”  

 

 


ตอนที่ 14-8

 

นางไม่ใช่ทั้งเสือที่ถอดเขี้ยวเล็บแล้ว และไม่ได้เป็นเพียงแค่หญิงชราหลังบ้าน วีรสตรีผู้ซึ่งเคยจูงจมูกเหล่าเสนาบดีอยู่เบื้องหลังพระราชาผู้ทรงเยาว์วัยและจัดการงานบ้านงานเมืองอย่างเรียบร้อยยังคงไม่ตายจากไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม 


 


 


“ข้ามีศักดิ์เป็นย่าของฝ่าบาท ซึ่งก็คือผู้อาวุโสที่สุดในราชวงศ์แทซากุก! ข้าจะคืนตำแหน่งให้กับอดีตองค์ชาย ในเมื่อมันเป็นความประสงค์ของทั้งข้าและฝ่าบาท แต่พวกเจ้ามองธรรมเนียมปฏิบัติก่อนความประสงค์ของฝ่าบาทอย่างนั้นรึ!” 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่กฎหมายของประเทศอันเข้มงวด…” 


 


 


“กฎหมายของประเทศอันเข้มงวดนั้นอยู่เหนือข้าอย่างนั้นหรือ ประเทศนี้คือประเทศของกฎหมายหรือประเทศของจักรพรรดิ? ท่านมหาเสนาบดีลองบอกข้ามาสิ!” 


 


 


เสียงของภรรยาที่เคยขอร้องไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นอันขาดลอยผ่านไป แต่นางไม่ได้บอกว่าไม่ให้ช่วยฝ่าบาทสักหน่อยนี่ แถมยังไม่เคยบอกว่าไม่ให้ช่วยพระพันปีอีกด้วย ท่านมหาเสนาบดีโค้งคำนับอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา 


 


 


“ในความคิดของกระหม่อม สิ่งที่พระพันปีตรัสนั้นถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าอดีตองค์ชายจะพยายามแย่งชิงบัลลังก์ด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม แต่เขาได้ไว้ชีวิตฝ่าบาทและให้ออกไปข้างนอกพระราชวัง ทั้งที่สามารถปลิดชีพของฝ่าบาทได้เดี๋ยวนั้น อีกทั้งยังไม่ต่อต้านในตอนถูกยึดราชบัลลังก์คืนอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ ทั้งอดีตองค์ชายและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมดต่างก็ถูกลงโทษกันหมดแล้ว ดังนั้นกระหม่อมจึงเห็นสมควรว่าควรที่จะคืนตำแหน่งและอำนาจในราชวงศ์ให้แก่อดีตองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แค่ในตอนที่พระราชายืนกรานที่จะคืนตำแหน่งให้อดีตองค์ชายเพียงลำพัง บรรดาเสนาบดีก็รับมือได้ยากแล้ว พอแม้กระทั่งพระพันปีและท่านมหาเสนาบดียังเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย จึงไม่สามารถคัดค้านได้อีกต่อไป แทบจะทั้งหมดปิดปากสนิท ยกเว้นเพียงจำนวนหนึ่งที่ยังคงคัดค้านต่อไป 


 


 


“ขอบใจมากท่านมหาเสนาบดี ในเมื่อความตั้งใจของข้าได้ถูกถ่ายทอดไปให้พวกเจ้าแล้ว และนี่ก็จวนจะถึงเวลาอ่านหนังสือในตอนเช้าแล้ว พวกเจ้าไปได้” 


 


 


พระพันปีโบกมือพลางทอดสายตามองเหล่าเสนาบดีเหมือนกับไม่อยากฟังต่อ การแจ้งอย่างกะทันหันทำให้พวกเขาต้องตื่นแต่เช้ากว่าปกติและรีบเข้างาน พวกเขาต่างก็หมดแรงหลังจากถูกกดด้วยพลังอำนาจของพระพันปีทันทีที่เข้าพระราชวังมา ไม่ว่าจะเป็นคนที่หนักแน่นสักไหนก็ต้องหมดแรงเช่นกัน ในวันนี้ฮอนจึงคว้าชัยชนะจากสงครามประสาทกับพวกเสนาบดีได้อย่างง่ายดายกว่าปกติ 


 


 


“อีชาน องค์ชายสองผู้ซึ่งถูกถอดออกจากราชสมบัติได้คืนกลับสู่ราชวงศ์ พร้อมทั้งได้จัดเตรียมสุสานซึ่งมีชื่อเรียกว่าสุสานหลวงแห่งมูยอง รวมถึงสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออยู่ก็จะได้คืนสู่ตำแหน่งและได้เป็นส่วนหนึ่งในเชื้อสายของราชวงศ์เช่นกัน มินอาแห่งตระกูลซอ นางสนมลำดับขั้นที่สี่ จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาในองค์ชาย ส่วนกรมพิธีการจงเตรียมพร้อมสำหรับทุกขั้นตอนและอย่าได้ละเลยไปแม้แต่นิดเดียว” 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


คำตอบที่ตะโกนออกมาโดยพร้อมเพรียงกันพร้อมกับใบหน้าอันขมขื่นทำให้ใบหน้าของฮอนขมขื่นไปตามพวกเขาเช่นเดียวกัน เหล่าเสนาบดีที่ถูกฮอนจับจุดอ่อนได้กลายเป็นพวกไร้ประโยชน์ที่เชื่อฟังเป็นอย่างดี นั่นทำให้พวกเสนาบดีแก่ๆ ที่พยายามจะคว้าพระราชาหนุ่มไว้ในกำมือรู้สึกพ่ายแพ้อีกครั้ง และยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่เมื่อสิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีคำไหนเลยที่ขัดแย้งกับธรรมเนียมประเพณี เนื่องจากบรรดาคนแก่ที่ติดอยู่กับอดีตนั้นไม่ค่อยจะพอใจกับการเปลี่ยนแปลงนักถึงแม้ว่ามันจะไร้ที่ติในทุกด้านก็ตาม 


 


 


“ต่อไปจะเป็นปัญหาของคณะผู้แทนพระองค์ที่จะส่งไปยังฮเยกุก ให้ดำเนินการตรวจตราสิ่งของต่างๆ ที่จะส่งให้เป็นของกำนัลเหมือนอย่างครั้งที่แล้ว” 


 


 


“แต่ฝ่าบาท นั่นมันดูน้อยมากเกินไปหากเทียบกับอำนาจของแทซากุกนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“พูดเรื่องอะไรน่ะขอรับ ท่านใต้เท้า! เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว! หากเพิ่มเข้าไปอีก ฮเยกุกก็จะคิดว่าแทซากุกประจบประแจงเพื่อหวังให้ดูดีในสายตาพวกเขาน่ะสิ!” 


 


 


“เงียบ เงียบ!” 


 


 


ฮอนเคาะโต๊ะอย่างไม่พอใจให้กับบรรดาเสนาบดีที่กำลังจะเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้งพร้อมกับขึ้นเสียงเล็กน้อย 


 


 


“ไปสำรวจสิ่งของที่จะจัดส่งไปให้แล้วเสร็จเสีย ส่วนผู้นำคณะผู้แทนพระองค์ ข้าจะให้ท่านมหาเสนาบดีเป็นผู้นำ หากท่านมหาเสนาบดีไปเป็นผู้นำคณะผู้แทนพระองค์ด้วยตนเอง แค่ของกำนัลเพียงลังเดียว ทางฮเยกุกก็ซาบซึ้งใจอย่างมากแล้ว เพราะฉะนั้นจงไปเตรียมตามนี้” 


 


 


ดูเหมือนว่าวิธีที่เขานำมาเสนอในคราวนี้จะทำให้เสนาบดีต่างพึงพอใจกันทุกคน เสียงประสานที่ตรงกันว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง 


 


 


“ต่อไป” 


 


 


ไม่ว่าจะจัดการอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ฮอนพยายามไม่สนใจกระดาษม้วนที่กองกันเป็นภูเขาแล้วจึงพูดต่อ 


 


 


“เป็นปัญหาการนำเข้าปืนใหญ่ ปืนใหญ่ที่พัฒนาในแผ่นดินตะวันตกกำลังถูกเผยแพร่ไปในประเทศเล็กประเทศน้อยอย่างลับๆ พวกเราเองก็ต้องส่งคนไปยังแผ่นดินตะวันตกภายในฤดูใบไม้ร่วงและจะต้องนำสิ่งนั้นเข้ามาให้จนได้เช่นกัน” 


 


 


“ฝ่าบาท แต่แทซากุกคือประเทศใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถรุกรานได้นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้แผ่นดินตะวันตกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“กระหม่อมเองก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทำไมเราถึงจะต้องให้เงินทองแก่พวกชนต่างชาติทางแผ่นดินตะวันตกเพื่อซื้ออาวุธด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อ้า หากโฮจินอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาคงจะนำพวกเสนาบดีหนุ่มไปประจันหน้ากับพวกคนแก่ไปแล้ว แต่ทว่าท้องพระโรงในตอนนี้ยังไม่มีคนหนุ่มที่มีความกล้าหาญขนาดนั้น แม้ว่าฮอนจะคิดถึงโฮจินที่กำลังพยายามเล่าเรียนการเป็นองค์รัชทายาทที่ฮเยกุก แต่มันก็ไร้ประโยชน์ 


 


 


“หากไม่นับฮเยกุก ในปัจจุบันไม่มีประเทศไหนเลยที่ประจันหน้ากับแทซากุกได้ พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่” 


 


 


“ดังที่กระหม่อมได้กราบทูลไปพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“แต่ถ้าหากประเทศเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลรวมตัวเป็นพันธมิตรกัน พร้อมทั้งนำเข้าปืนใหญ่นั่น เจ้าจะทำอย่างไรรึ” 


 


 


“ปืนใหญ่เพียงไม่กี่กระบอกจะมาเทียบกับกำลังทหารอันแข็งแกร่งของแทซากุกอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้พวกเขาจะจ่อปืนใหญ่มาก็ตาม ความเสียหายที่กระทบต่อกองกำลังของแทซากุกก็คงจะเล็กน้อยมากพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เล็กน้อย? ความเสียหายของกองทัพน่ะรึ?” 


 


 


คำพูดที่มองว่ากองกำลังทหารเป็นเกราะกำบังไปสะกิดต่อมความรู้สึกของฮอนเข้า หมายถึงราษฎรที่เคยดีใจที่องค์รัชทายาทเสด็จมาหา ทั้งที่โดนพวกคนป่าปล้นสะดมและโดนขูดรีดจากขุนนางที่ทุจริตอย่างนั้นหรือ 


 


 


“ถ้าหากพวกเขารวมตัวกันรุกรานเข้ามา เช่นนั้นก็จงสละลูกชายของพวกเจ้ามาช่วยเป็นกองกำลังเสียสิ เพราะไม่ว่าอย่างไรความเสียหายต่อกองกำลังทหารก็เล็กน้อยอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยนำตัวลูกชายของพวกเจ้าเข้าไปในความเสียหายเล็กน้อยนั่นด้วยก็แล้วกัน!” 


 


 


“ฝ่าบาท บุตรหลานของตระกูลขุนนางจะไปเกณฑ์ทหาร…” 


 


 


“อ๋อ เพราะว่าไม่ใช่กลุ่มที่จะต้องไปเกณฑ์ทหารก็เลยจะไม่สนใจอย่างนั้นรึ” 


 


 


สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงของพระราชาที่กดต่ำลงกว่าเมื่อสักครู่คือความโกรธไม่ผิดแน่นอน ไหล่ของเสนาบดีคนที่พูดออกมาโดยไม่เจตนาหดลงไปเหมือนกับเต่า 


 


 


“แทซากุกแห่งนี้คือประเทศของจักรพรรดิ ซึ่งจักรพรรดิก็คือข้า! ราษฎรทุกคนในแผ่นดินนี้คือลูกหลานของข้า เจ้าตั้งใจจะใช้ลูกหลานของข้าเป็นเกราะกำบัง ต้อนให้พวกเขาไปสู่ความตายอย่างหมาข้างถนนเพื่อสร้างศักดิ์ศรีกระจอกๆ เพียงเล็กน้อยอย่างนั้นรึ!” 


 


 


“ทองที่นำไปลงกับการนำเข้าปืนใหญ่มันมหาศาลนะพ่ะย่ะค่ะ และนั่นมันคือเงินคลังหลวงซึ่งได้มาจากภาษีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“ทองนั่น กระหม่อมจะจ่ายให้เองพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสียงของท่านมหาเสนาบดีทั้งทุ้มต่ำและมีพลัง การเสนออย่างฉับพลันทำให้ท้องพระโรงซึ่งเต็มไปด้วยความตึงเครียดตกอยู่ในความเงียบในชั่วพริบตา 


 


 


“พูดต่อสิ ท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


“อย่างที่กระหม่อมทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ หากคลาดแคลนเงินคลังหลวงที่จำเป็นในการนำเข้าปืนใหญ่ กระหม่อมจะจ่ายให้ด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ตระกูลของท่านซื่อสัตย์สุจริตมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แล้วไปมีทรัพย์สมบัติมากมายถึงขนาดนั้นได้อย่างไร” 


 


 


“ทรัพย์สมบัติที่รวบรวมเพื่อใช้ในการยึดราชบัลลังก์กับทรัพย์สินที่กระหม่อมรวบรวมมาได้จากการดำเนินกิจการกลุ่มการค้าผ่านทางคนอื่นก็น่าจะเพียงพอพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


การที่ขุนนางดำเนินกิจการกลุ่มการค้าแยกต่างหากนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็เป็นความลับเช่นกัน แทซากุกนับว่านักปราชญ์มีเกียรติสูงสุด รองลงมาก็คือเกษตรกร ช่างฝีมือและพ่อค้าวาณิช เหล่าขุนนางที่ใฝ่ต่ำคิดจะทำการค้าขายจึงรู้สึกอายเกี่ยวกับความจริงนั้น พวกเขาดำเนินกิจการอย่างลับๆ ด้วยความตะขิดตะขวงใจ แม้ว่าจะมีรายได้จากกลุ่มการค้านั้นก็ตาม ดังนั้นการที่ท่านมหาเสนาบดีกล่าวในที่ประชุมแบบนี้ว่าตนดำเนินกิจการกลุ่มการค้าจึงน่าตกใจเสียจนหงายท้อง 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี ตอนนี้ท่านกำลังบอกว่าท่านทำการค้าในตำแหน่งขุนนางเพื่อให้ได้ทรัพย์สินมาอย่างนั้นหรือขอรับ!” 


 


 


 “ความมีเกียรติของพระสสุระก็คือความมีหน้ามีตาของราชวงศ์นะขอรับ แต่นั่นมัน…!” 


 


 


“เงียบ เงียบ! พวกท่านต่างหากที่ควรจะต้องรักษาเกียรติไว้บ้าง!” 


 


 


คำตำหนิที่ออกมาไม่ขาดสายทำให้ฮอนแผดเสียงดังออกมา 


 


 


“ท่านแทซัง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าเจ้าน่ะมีร้านผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในตลาด! ท่านชีออซา ข้าแต่งตั้งให้เจ้าไปทำหน้าที่ตรวจตรา แต่กลับไปขายแป้งทาหน้าเหมือนกับผู้หญิง!” 


 


 


“ฝ่าบาท ทรงพระทัยให้เย็นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 


ตอนที่ 14-9

 

หากท่านมหาเสนาบดีไม่ห้ามอยู่ข้างๆ บรรดาเสนาบดีที่หน้าแดงแปร๊ดเพราะคำสบประมาทก็คงจะมีเพิ่มอีกอย่างน้อยห้าหกคน อย่างไรก็ตามแม้จะระบุตัวเพียงแค่สองคน แต่ผลที่ได้รับก็เกินคาดทีเดียว พวกที่พยายามจู่โจมเพื่อสร้างรอยตำหนิให้กับอำนาจของท่านมหาเสนาบดีต่างปิดปากเงียบโดยพร้อมเพรียงราวกับมีใครมาเย็บให้ติดกัน 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดีไม่ได้ใช้ทรัพย์สินนั้นส่งเดช และในยามที่ข้าจำเป็นจริงๆ เขาก็ยินดีจ่ายให้อย่างไม่รู้สึกเสียดาย หากเงินคลังหลวงน่าเป็นกังวลถึงเพียงนั้น ถ้าเช่นนั้นข้าลดเบี้ยหวัดของพวกท่านก็ได้นี่” 


 


 


“มันไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเกี่ยวกับเงินคลังหลวงอย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ หากแทซากุกซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจที่สุดก้มหัวให้พวกคนต่างชาติจากแผ่นดินฝั่งตะวันตก ประเทศโดยรอบทั้งหมดก็อาจจะดูหมิ่นดูแคลนพวกเราได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากประเทศโดยรอบเหล่านั้นก้าวนำหน้าแทซากุกซึ่งหยุดพัฒนา ในตอนนั้นไม่ใช่ว่าเราจะถูกดูหมิ่นดูแคลน แต่จะโดนรุกรานต่างหาก พวกท่านไม่รู้ได้อย่างไร!” 


 


 


เสียงดังลั่นของพระราชาซึ่งหงุดหงิดพวกเสนาบดีที่พูดซ้ำซากแบบเดิมราวกับนกแก้วนกขุนทองสั่นสะเทือนเสาของท้องพระโรง แต่พวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ เพราะพวกคนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากไม่มีอะไรหลงเหลือแล้วนอกจากธรรมเนียมปฏิบัติและความมีเกียรติ ฮอนไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาอีกต่อไปจึงถีบประตูท้องพระโรงออกไปอย่างเต็มแรง ในขณะเดียวกันภายในหัวที่ไม่ได้หยุดพักก็กลับมาคิดนู่นคิดนี่อย่างวุ่นวายอีกครั้ง 


 


 


“ข้าต้องการการช่วยเหลือของพระมเหสี” 


 


 


ฮอนเข้ามาในห้องนอนหลังจากมีการขานบอกอย่างเหมาะสมแทนที่จะวิ่งเข้ามากอดรยูฮาและแสดงความรักอย่างมากเกินไปเหมือนปกติ และจู่ๆ เขาก็พูดประโยคนั้นออกมา การที่เขาผู้ซึ่งมีความหยิ่งในตัวเองอย่างมากมายื่นมือและเอ่ยปากขอให้ช่วยก่อนแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นในฐานะที่รยูฮาเป็นคู่ครอง นางจึงต้องเต็มใจช่วยอยู่แล้ว 


 


 


“เรื่องอะไรหรือเพคะฝ่าบาท” 


 


 


“ล่ามที่กลับมาจากการไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศตะวันตกบอกว่ามีอาวุธชนิดหนึ่งที่เรียกว่าปืนใหญ่ ซึ่งยิงเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ทหารร่วงกันเป็นแถบได้ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจะนำสิ่งนั้นเข้ามา แต่การคัดค้านของพวกคนแก่ทำให้มันไม่ง่ายเลย” 


 


 


“อาวุธของประเทศตะวันตกอย่างนั้นหรือ…ก็คงจะทำให้พวกเสนาบดีไม่พอใจตามที่คาด แต่ในมุมมองของหม่อมฉัน ความคิดของฝ่าบาทถูกต้องกว่าร้อยเท่าเพคะ ถ้าอย่างนั้นจะให้หม่อมฉันช่วยอย่างไรดีเพคะ” 


 


 


ว่ากันว่าคู่รักมักจะคล้ายคลึงกัน รยูฮาอยากรีบสะสางการปรึกษาที่สำคัญนี้ให้จบไวๆ เพื่อที่จะได้นอนกลางวันในอ้อมกอดของเขาหลังจากสำรับของว่างถูกยกมาถวายแล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม ฮอนกลับอยากแก้ไขปัญหานี้อย่างรอบคอบ ซึ่งจุดที่ทั้งสองคนนั้นคิดต่างกันก็มาบรรจบตรงกลางพอดี 


 


 


“กลุ่มการค้าที่โฮจินพาไปยังอยู่ที่ฮเยกุกใช่หรือไม่ ท่านมหาเสนาบดีวางแผนจะไปเยี่ยมเยียนฮเยกุกพร้อมกับคณะผู้แทนพระองค์ ดังนั้นหากเราส่งต่อทองคำไปยังกลุ่มการค้าผ่านทางเขา ก็ให้พวกเขาไปยังประเทศฝั่งตะวันตกและไปซื้อปืนใหญ่มาได้” 


 


 


“ดีเลยเพคะ แต่ทำไมทรงไม่ไปทูลท่านพ่อด้วยตนเอง แล้วเสด็จมาหาข้าแทนล่ะเพคะ” 


 


 


“หากให้เห็นว่าข้าไปพบท่านมหาเสนาบดีสองต่อสองบ่อยน่าจะไม่ดีนัก อีกอย่าง พอได้ฟังเสียงของเจ้า ข้าก็เริ่มจะมีสติสัมปชัญญะเพิ่มขึ้นด้วย และข้าก็มีเรื่องที่จะบอกรยูฮาด้วย” 


 


 


“เรื่องที่จะบอกหรือเพคะ” 


 


 


คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาหายไปและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มซุกซน เสียงที่ลดต่ำลงเล็กน้อยในตอนที่เรียกรยูฮาเนื่องจากกลัวว่าพวกนางในจะได้ยินเข้าก็น่าหลงใหลเช่นกัน ส่วนรยูฮาเองก็เลิกทำท่าทางสำรวมเรียบร้อยและโน้มตัวลงมานั่งเท้าคางเช่นกัน 


 


 


“ข้าคืนตำแหน่งให้เสด็จพี่ได้แล้ว และมินอาก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระชายาในองค์ชายด้วย เพราะฉะนั้นเราคงจะต้องรีบเตรียมราชโองการและเพชรพลอยเสียแล้วล่ะ” 


 


 


“ฝ่าบาท!” 


 


 


รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของรยูฮาทำให้ใบหน้าของฮอนซึ่งตึงเครียดตลอดช่วงเช้าคลายตัวลงราวกับตังเมฟักทองซึ่งถูกทิ้งไว้ในแดดที่แผดเผา พระชายาในองค์ชาย ตอนนี้มินอาจึงสามารถให้กำเนิดองค์ชายและเลี้ยงดูเขาในฐานะภรรยาหลวงขององค์ชายไม่ใช่นางสนมของผู้ก่อกบฏได้อย่างผ่าเผยแล้ว มินอาที่ได้รับพระราชโองการนี้จะทำสีหน้าอย่างไรนะ จะตื้นตันใจ จะเสียใจ หรือจะไม่แสดงอะไรออกมาเลยกันนะ เหมือนว่าพวกเขาทั้งสองเริ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานที่ร้องอ้อแอ้เสียแล้วสิ 


 


 


“ทรงเหนื่อยมามากเพคะ ทรงทำได้ดีมากจริงๆ เพคะฝ่าบาท” 


 


 


“พอเจ้าชมเช่นนั้น ข้าก็ดีใจ” 


 


 


ฮอนอุ้มรยูฮาขึ้นมาวางบนเตียง ในไม่ช้าการจูบอันเร่าร้อนก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ร่างเปลือยเปล่าของชายหญิงอันงดงามปรากฏใต้แสงแดดซึ่งเล็ดลอดมาทางหน้าต่าง บรรดาซังกุงที่ยกสำรับของว่างสำหรับทั้งสองพระองค์มาถวายจึงต้องรอไปอีกครู่หนึ่งพร้อมกับใช้สำลีอุดหูแทนที่จะเข้าไปข้างใน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ประตูใหญ่ซึ่งปกติจะถูกปิดสนิทและไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้ามาโดยเด็ดขาดนั้นถูกเปิดออก นอกจากทรัพย์สมบัติล้ำค่า **บมากมายนับไม่ถ้วน และผ้าไหมที่นำเข้าจากต่างประเทศแล้ว บรรดาซังกุงลงไปจนถึงนางในที่จะต้องมาปรนนิบัติรับใช้พระชายาซึ่งตั้งครรภ์ต่างก็ทยอยกันเข้ามาโดยไม่ขาดสาย สวนหน้าบ้านซึ่งไม่สามารถพูดได้เลยว่าคับแคบนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่ามากมายภายในพริบตาจนไม่ที่ให้เดิน 


 


 


“มินอาแห่งตระกูลซอ นางสนมลำดับขั้นที่สี่ จงก้าวออกมารับพระราชโองการจากพระราชา!” 


 


 


มินอาที่ตื่นมาแต่งหน้าแต่งตัวอย่างงดงามตั้งแต่เช้ามืดโอบกอดท้องที่ป่องขึ้นและก้าวออกมาข้างหน้าด้วยการประคองของนายหญิงตระกูลจอง แม้จะรู้สึกเจ็บปวดและดีใจเหมือนกับวันที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสนมครั้งแรกและจัดพิธีสมรสที่ไม่มีเจ้าบ่าว แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกไปได้ จากเสียงของขันทีที่ไล่อ่านราชโองการที่เต็มไปด้วยคำศัพท์ยากๆ เรื่อยลงมา มินอารู้ความหมายอยู่เพียงไม่กี่คำเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น องค์ชายสอง อีชาน ภรรยาหลวง คำอะไรแบบนั้น 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” 


 


 


แม้จะเป็นคำพูดไม่คุ้นชินซึ่งไม่เคยพูดออกมาจากปากเลยสักครั้งเดียว แต่ไม่รู้ทำไมนางถึงพูดออกมาได้ดีทีเดียว มินอาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และคำนับสี่ครั้งไปทางทิศที่มีพระราชวังตั้งอยู่ คำนับครั้งที่หนึ่งให้กับแสงจันทร์ในวังร้างซึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก คำนับครั้งที่สองให้กับรอยยิ้มที่ส่งให้เป็นครั้งคราว คำนับครั้งที่สามให้กับสัญญาที่จะโอบกอดเจ้าในชาติหน้า คำนับครั้งที่สี่ให้กับของขวัญที่ทิ้งไว้ให้เป็นการส่งท้าย น้ำหนักของปิ่นปักผมรูปร่างนกฟินิกซ์ไต่ขึ้นไปบนมือทั้งสองข้างที่ยื่นออกมาและกดลงมาบนหัวใจที่มีความสุข 


 


 


“ของขวัญพระราชทานที่พระพันปีทรงมอบให้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


มินอาเปิดฝาที่ถูกแกะสลักเป็นตราของราชวงศ์ออกช้าๆ พลางเม้ริมฝีปากไปด้วย มันคือชุดเครื่องแบบในพิธีขององค์ชายซึ่งถูกร้อยด้วยด้ายสีทองบนผ้าไหมสีดำสีเข้มเป็นมันวาว มีชุดเครื่องแบบในพิธีการที่ชานเคยสวมในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่หนึ่งชุดและเสื้อผ้าเด็กเก่าๆ ที่อยู่บนนั้นอีกหนึ่งชุด สิ่งเหล่านั้นคือของขวัญที่พระพันปีทรงมอบให้มินอาซึ่งไม่มีอะไรที่เป็นของดูต่างหน้าของชานเลย ทรัพย์สมบัติที่ได้รับตกทอดมาจากพระราชวังใดๆ ก็ไม่มีอันไหนที่มีค่าไปกว่าเสื้อผ้าสองชุดนี้ได้ 


 


 


“เป็นพระ…มหากรุณา…” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองตบหลังมินอาที่ก้มหน้าลงไปฟุบกับชุดนั้นเบาๆ ก่อนหน้านั้นนางกังวลว่ามินอาจะหนีออกไปอีกครั้งจึงไม่ปล่อยให้เรือนหลังเล็กว่างแม้แต่ชั่วขณะเดียว ตอนนอนก็เอาเตียงเพิ่มเข้ามาไว้ข้างๆ มินอาอีกหนึ่งหลังและนอนด้วยกันกับนาง แต่ตอนนี้นางไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางไม่ต้องนอนแล้วตื่นขึ้นมาสามสี่รอบและคลำเตียงของมินอาอีกแล้ว 


 


 


“ทรงลำบากมามากนะเพคะ พระชายา” 


 


 


หลังจากวันนั้น มินอาไปหาชานที่หลุมศพทุกวัน แม้ว่าทุกคนจะห้ามปรามก็ตาม นางทำแค่เพียงยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งและเฝ้ามองหลุมศพที่ถูกสร้างตามขนาดของสุสานหลวงและมีการสร้างรั้วกับแท่นบูชา ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นหลุมศพของผู้ก่อการกบฏจึงอย่าว่าแต่หินจารึกเลย แม้กระทั่งสุสานก็ไม่สามารถสร้างได้ด้วยซ้ำ คำถามที่ว่าไปที่ไกลๆ แบบนั้นทุกวันทำไมของนายหญิงตระกูลจองทำให้นางปิดปากเงียบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ แต่ก็เปิดใจออกมาว่าเพราะต้องการให้หลานของราชวงศ์ซึ่งอยู่ในท้องได้รู้สึกถึงพ่อ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม