ลำนำสตรียอดเซียน 142.2-145.2

ตอนที่ 142-2 การทะเลาะวิวาทครั้งแรกที...

 

โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าสิ่งที่นางฟ้องไปนั้นจะทำให้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ทรงพลังสองคนของโรงเรียนเสวียนชิงต้องต่อสู้กันและทำให้ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางพังราบคาบ


 


 


แน่นอนว่านี่เกิดขึ้นเพราะประมุขเต๋าจิ้งเหอนั้นเก่งในการสร้างปัญหา มันเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อออกมาจากปากของเขา มันก็จะทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกหัวเสียในทันที ดังนั้นการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่สามารถโทษโม่เทียนเกอได้


 


 


ในขณะนั้น นางเข้าไปในห้องเล็กๆ ของเยี่ยเจินจีด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม


 


 


ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เยี่ยเจินจีนั้นสูงขึ้นมากและก้าวหน้าในระดับการฝึกตน เขาเพิ่งเรียนจบจากโถงเหมิงเสวียไม่กี่วันก่อนและได้กลายเป็นศิษย์ทางการ การแบ่งสันปันส่วนระหว่างศิษย์ทางการกับศิษย์หัวกะทิรวมถึงการปฏิบัติต่อพวกเขานั้นแตกต่าง แต่เมื่อเยี่ยเจินจีพักอยู่ที่ตำหนักซ่างชิง โถงคนงานจึงไม่ก้าวก่ายมากนัก มันเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันคนอื่นในการพูดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงออกหน้าไปก่อนโดยบอกให้แบ่งเยี่ยเจินจีมาเป็นศิษย์ของอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง


 


 


ในตอนแรกโม่เทียนเกอไม่ได้ชอบใจในความคิดนี้นัก ทำไมเด็กคนที่นางสอนด้วยตัวเองจะต้องกลายเป็นศิษย์ของผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะเมื่อคนผู้นั้นไม่ได้ดูแลเขาเลยแม้แต่น้อย


 


 


อย่างไรก็ตามประมุขเต๋าจิ้งเหอบอกว่าโม่เทียนเกออยู่เพียงแค่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง และไม่ว่านางจะก้าวหน้าในการฝึกตนเร็วแค่ไหน นางก็ยังคงต้องการอย่างน้อยห้าสิบถึงหกสิบปีในการก่อแก่นขุมพลังของตัวนางเองได้ ในตอนนั้นเยี่ยเจินจีก็น่าจะสร้างฐานแห่งพลังได้แล้ว ยาสร้างฐานแห่งพลังจะแบ่งให้กับศิษย์ระดับหัวกะทิและศิษย์ทั่วไปแตกต่างกัน ดังนั้นนางต้องการที่จะกันเยี่ยเจินจีจากการสร้างฐานแห่งพลังของเขาเชียวหรือ


 


 


โม่เทียนเกอไม่มีทางเลือกนอกจากตกลงกับความคิดนี้ ตอนนี้เยี่ยเจินจียังคงอยู่กับนางเช่นแต่ก่อน และยังไม่เคยแม้แต่พบเจอกับผู้เป็นอาจารย์ในนามของเขาเลย


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปทางเตียงหยก เห็นเยี่ยเจินจีนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง นางก็ขมวดคิ้ว จับเขาในท่านั่งหลังจากนั้นจึงวางฝ่ามือลงบนหัวของเขา สอดแทรกพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างของเขา


 


 


หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เยี่ยเจินจีส่งเสียงครางออกมาเมื่อเริ่มได้สติ เมื่อเขาเห็นนาง เขากระซิบ “ท่านอา”


 


 


โม่เทียนเกอปล่อยตัวเขา “นี่เจ้าไม่คิดจะทานยาและรักษาบาดแผลของเจ้ารึ”


 


 


เยี่ยเจินจีหน้าแดง เขารีบหยิบยาวิเศษออกมากิน หลังจากนั้นจึงนั่งหลังตรงในท่าดอกบัว


 


 


โม่เทียนเกอมองเขาอยู่ด้านข้าง สังเกตลักษณะอาการของเขาอยู่เงียบๆ


 


 


เมื่อตอนที่นางกำลังฝึกตนอยู่เมื่อครู่นี้ นางใช้จิตสัมผัสของนางในการสำรวจสถานการณ์ภายนอก อย่างไรก็ตาม นางพบว่ามีการผันผวนของพลังวิญญาณที่นี่ เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ นางก็พบว่าพลังวิญญาณภายในร่างกายของเยี่ยเจินจีนั้นสับสนอย่างไม่คาดคิด ยิ่งไปกว่านั้นเขาแสดงให้เห็นว่ากำลังประสบกับการเบี่ยงเบนของพลังวิญญาณ ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่นางวางฝ่ามือลงบนหัวของเขา นางก็พบว่าอะไรคือปัญหา เด็กคนนี้ทานยาผสานพลังวิญญาณไปหลายเม็ด แต่พลังของยานั้นแรงเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้เขาเกือบที่จะต้องเผชิญกับการเบี่ยงเบนของพลังวิญญาณ


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน พลังวิญญาณภายในร่างกายของเยี่ยเจินจีค่อนข้างนิ่งขึ้น เมื่อเขาลืมตาและเห็นว่านางยืนอยู่ด้านหน้าเขาอย่างสงบนิ่ง เขารีบก้มหัวลง “ท่านอา ข้าขอโทษขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอเรียกคืนสติและส่ายหัว “เจ้าจะมาขอโทษข้าทำไม”


 


 


“… ข้าทำให้ท่านต้องเป็นกังวล”


 


 


คำตอบของเขาทำให้นางต้องถอนใจ นางนั่งลงข้างเขาและพูด “แล้วอะไรที่ทำให้ข้าเป็นกังวลกัน สุดท้ายแล้วคนที่ต้องทนกับผลนั้นก็คือตัวเจ้า จำเอาไว้นะ เจ้าฝึกตนไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวเจ้าเอง”


 


 


“ขอรับ” เยี่ยเจินจีตอบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “ท่านอา ท่านไม่ว่าข้าหรือ”


 


 


“ว่าเจ้าเพื่ออะไร”


 


 


“ข้า… ตอนนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นเพราะข้ากินยาผสานพลังวิญญาณตามใจตัวเองมากเกินไป ท่านไม่ว่าข้าหรือที่ทำตัวสะเพร่า”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะ “ข้าจะว่าเจ้าเพื่ออะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าไม่ทำผิดแบบเดิมซ้ำอีกในอนาคต อืม ถ้าเจ้ายังคงรู้สึกไม่ค่อยดี เจ้าก็บอกข้าได้ ทำไมเจ้าถึงทานยาผสานพลังวิญญาณหลายเม็ดในครั้งเดียว เจ้าไม่คิดว่าจะมีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือ”


 


 


“คือ…” เยี่ยเจินจีหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบอย่างซื่อตรง “ข้าคิดว่าระดับการฝึกตนของข้าพัฒนาช้าไป ดังนั้นข้าจึงอยากทานยาวิเศษบางอย่างเพื่อเพิ่มมัน”


 


 


“การฝึกตนพัฒนาช้าเกินไป…” โม่เทียนเกอหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเพิ่งจะอายุสิบสอง แต่เจ้าอยู่ในขั้นสามของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว นี่เรียกว่าช้าได้อย่างไร”


 


 


“แต่… หวาหลิงนั้นอยู่ในขั้นห้าของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วทั้งๆ ที่อายุเท่ากันกับข้า!”


 


 


หวาหลิงเป็นศิษย์ของอาจารย์เต๋าหมิงเจิน ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสลำดับสองของประมุขเต๋าจิ้งเหอ เพราะเขาอายุเท่ากันกับเยี่ยเจินจี เขาก็สามารถมองได้ว่าเป็นสหายของเจินจี


 


 


โม่เทียนเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “หวาหลิงมาจากครอบครัวของท่านอาจารย์ลุงหมิงเจิน รากวิญญาณของเขาดีกว่าเจ้า และเขาได้รับการสอนอย่างรอบคอบมาตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าจะไปเทียบกับเขาได้อย่างไร”


 


 


เยี่ยเจินจียู่ปากและก้มมองต่ำ “ข้ารู้ว่าความสามารถของข้าไม่ได้ดีเท่าเขา แต่นั่นก็หมายความว่าข้าก็จะด้อยกว่าเขาไปตลอดหรือ”


 


 


“ไม่แน่นอนอยู่แล้ว” โม่เทียนเกอพูดขณะที่ลูบหัวเยี่ยเจินจี “ความถนัดเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อเส้นทางของการฝึกตนหรอก เจ้าอาจจะยังไม่สามารถเทียบกับเขาได้ในตอนนี้ แต่ตราบใดที่เจ้าฝึกตนอย่างจริงจัง เจ้าจะต้องสามารถก้าวนำเขาได้ในวันหนึ่งอย่างแน่นอน อีกอย่างเจ้าก็ได้ก้าวข้ามถึงสองขั้นจากขั้นแรกมาขั้นที่สามภายในสองปี ในขณะที่หวาหลิงผู้ซึ่งฝึกตนมาก่อนเจ้า เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นห้าด้วยความยากลำบากไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง แล้วเจ้าจะต้องกลัวอะไร”


 


 


เยี่ยเจินจียังคงก้มหัวต่ำและสงบนิ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้น โม่เทียนเกอรู้ว่าเขายังคงไม่มั่นใจ ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดว่า “งั้นทำอย่างนี้แล้วกัน เจ้าจะต้องฝึกตนอย่างจริงจังเป็นเวลาสิบปีหลังจากนั้นจึงเทียบกับเขา ดูซิว่าเจ้าหรือเขาจะสร้างฐานแห่งพลังได้ก่อนกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร”


 


 


เยี่ยเจินจีครุ่นคิดถึงคำพูดของโม่เทียนเกอ คิดว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังภายในสิบปีนั้นค่อนข้างมากและเป็นไปได้ รอยยิ้มดั่งดอกไม้บานเผยออกมาบนใบหน้าเขาทันที “อือ!”


 


 


“อย่างไรก็ดี พวกเราก็ควรจะทำให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าจะต้องไม่บุ่มบ่ามทำอะไรที่ทำให้เจ้าต้องเป็นอย่างวันนี้! การฝึกตนจะต้องทำไปทีละขั้นตอน ถ้าเจ้าไม่ระมัดระวังและต้องเจอกับการเบี่ยงเบนทางพลังวิญญาณ การก้าวหน้าของเจ้าก็จะล่าช้าไปเป็นปี สิ่งที่ได้มาในระยะเวลาอันสั้นนั้นไม่เท่ากับที่ต้องเสียไป”


 


 


“ตกลง ข้าจะทำตามที่ท่านอาพูดขอรับ”


 


 


อีกด้านหนึ่ง เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอเสร็จสิ้นการต่อสู้ ชุดคลุมสุดหรูวิบวับสีทองลายมังกรถูกเผาและกลายเป็นสีเทาไหม้เกรียม หน้าตาของเขาก็สกปรกไปด้วยหลายสิ่ง ทั้งขี้เถ้าและฝุ่นในนั้น แม้กระทั่งเคราที่สวยงามของเขาก็ถูกเผาไปครึ่งหนึ่ง โดยรวมเขาดูโทรมอย่างโหดร้ายและช่างน่าสงสาร


 


 


เขาบินกลับมาที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างบ่นพึมพำมาตลอดทาง “ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง ข้า พ่อของเจ้าทิ้งเจ้าอย่างมีศักดิ์ศรีในวันนี้! ถ้าข้าใช้วิชาสลายพลังหยาง ถึงแม้เจ้าจะไม่ตาย แต่เจ้าก็จะต้องสูญพลังชีวิตของเจ้าไปครึ่งหนึ่ง! ฮึ่ม! เพราะพวกเรามาจากโรงเรียนเดียวกันหรอกนะ ข้าถึงปล่อยเจ้าไปตอนนี้!”


 


 


ในขณะที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกำลังสั่งให้ศิษย์บางคนจัดการเก็บกวาดถ้ำของเขาด้วยท่าทางที่หม่นหมอง หลังจากนั้นไม่นาน เขาเรียกศิษย์หนุ่มของเขาให้เข้าไปหา ทันทีที่พวกเขาเข้าไปยังห้องหินที่ไม่เสียหายและขังตัวเองไว้ภายใน เขาด่าศิษย์ของเขาด้วยความโกรธ “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้าคงว่างมากจนเสียสติไปแล้วสินะ ใช่ไหม แทนที่จะฝึกตนอย่างเหมาะสม เจ้ากลับไปเกี้ยวพาราสีศิษย์ของจิ้งเหอ ไอ้เฒ่าสัตว์ป่านั่น!? เจ้าสามารถเลือกใครก็ได้ แต่เจ้ากลับเลือกศิษย์ของมันเนี่ยนะ! ไอ้เฒ่าสารเลวนั่นมันพวกคดโกง! ถ้าลำแสงเบื้องบนไม่ตรง ลำแสงที่อยู่เบื้องล่างก็คดเคี้ยวเช่นกัน! คิดว่าศิษย์จะดีกว่ามันอย่างนั้นหรือ ระวังความประพฤติของตัวเองและลืมนางซะ!”


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยงง “แต่ท่านอาจารย์ ข้าบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว…”


 


 


ด้วยความประหลาดใจ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูด “เจ้าบอกหรือ เจ้าบอกข้าเมื่อไหร่”


 


 


“ครั้งล่าสุดเมื่อตอนที่ท่านกำลังฝึกตน ข้าบอกท่านว่าข้าต้องการใครสักคนในการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ท่านบอกข้าว่าข้าสามารถทำในสิ่งที่ปรารถนาได้ในเรื่องนี้…”


 


 


หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนและรู้สึกว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ประมุขเต๋าเจิ้นหยางรู้สึกละอายใจในทันที อย่างไรก็ตาม เสี้ยววินาทีต่อมา เขายังคงสาปแช่งต่อไปด้วยความโกรธ “ข้าบอกว่าแล้วแต่ที่เจ้าปรารถนา ดังนั้นเจ้าเลยทำในสิ่งที่เจ้าปรารถนาอย่างนั้นเลยหรือ มีผู้ฝึกตนหญิงระดับสูงๆ สวยงามในโรงเรียนของเราตั้งหลายคน เจ้าไปถูกใจกับศิษย์ของไอ้เฒ่าสารเลวนั่นได้อย่างไร ในครั้งนี้เขาไม่ได้ต้องการที่จะพูดคำว่า ‘ฉินจิ้งเหอ’ และตั้งใจที่จะเรียก ‘ไอ้เฒ่าสารเลว’ โดยตรง


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยรู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก “ข้าพูดไปแล้วว่าข้าจะเลือกศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงหลายๆ คน และท่านก็บอกว่าตกลง หลังจากที่พิจารณาพวกนาง มีเพียงแค่ศิษย์พี่โม่เท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด…”


 


 


“เจ้าไม่ได้บอกคนที่เจ้าเลือก!” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางคิดครู่หนึ่งหลังจากนั้นพูดด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่าน “อาจารย์ลุงเมี่ยวอีของเจ้าก็มีศิษย์ผู้หญิงอยู่ภายใต้การดูแลของนางไม่ใช่รึ จากที่ข้าจำได้ นางยังไม่ได้อายุมากนัก นางค่อนข้างเหมาะสมกับเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่เลือกนาง”


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยชำเลืองมองที่อาจารย์ของเขาอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่อู๋คนนั้น… นางค่อนข้าง…”


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยไม่ทันได้พูดจบ แต่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เขามองอย่างหงุดหงิดและพูด “เจ้า… ในฐานะของผู้ฝึกตน เจ้าให้ค่าอะไรกับรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าพวกนางจะดูสวยหรือน่าเกลียด พวกนางก็เป็นเพียงแค่กระดูกสีขาวภายใต้เนื้อหนัง! อีกอย่างผู้ฝึกตนจะน่าเกลียดได้แค่ไหนกันเชียว ศิษย์ของไอ้เจ้าสารเลวนั่นก็ไม่ได้สวยมากนักเหมือนกัน!”


 


 


เมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์ของเขาโกรธมากเพียงใด ไป๋เยี่ยนเฟยจึงปิดปากเงียบอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ท่านอาจารย์ของเขาเพิ่งจะทะเลาะกับอาจารย์ลุงจิ้งเหอ ถ้าเขาพูดอีก เขาก็เหมือนกับเติมน้ำมันลงบนกองไฟเท่านั้น


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเดินกลับไปมาภายในห้องอยู่หลายรอบก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอีก “นี่ถือว่าจบเรื่องนี้แล้วนะ เจ้าจะต้องไม่นึกถึงนางคนนั้นอีกต่อไป ไอ้เฒ่าสารเลวนั่นได้เลือกนางไว้ให้กับเด็กของเขาแล้ว เจ้าไม่มีทางที่จะได้นาง!”


 


 


“หา?” ไป๋เยี่ยนเฟยตกใจ “ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไร”


 


 


“ข้าหมายความว่า หญิงผู้นั้นเป็นของฉินโส่วจิ้ง เข้าใจไหม”


 


 


ข้อมูลนี้ทำให้ไป๋เยี่ยนเฟยตะลึงงัน แต่หลังจากนั้นเขาก็ตะโกน “นี่มันเกี่ยวอะไรกับเขา ข้าสืบเรื่องศิษย์พี่โม่มาก่อน นางไม่มีทีท่าที่จะสนใจในการฝึกตนร่วมสัมพันธ์แม้แต่น้อย!”


 


 


“นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางจ้องที่ศิษย์ของเขาและยิ้มเยาะ “ไอ้เด็กเหลือขอ จงฉลาดขึ้นมาอีกสักนิดนะ ข้า อาจารย์ของเจ้า เพิ่งทะเลาะกับไอ้เฒ่าสารเลวนั่น ถ้าเจ้ายังคงไล่ตามศิษย์ของเขา นั่นไม่เหมือนกับตบหน้าข้าเลยรึ ลืมนางซะ ถ้าเจ้าต้องการที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เจ้าก็เลือกคนอื่นไป!” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อและออกไปจากห้องหิน


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจว่าท่านอาจารย์ไม่ได้ยิ้มเยาะเขา ไป๋เยี่ยนเฟยก็ยังคงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง 

 

 


ตอนที่ 143-1 สนทนาเรื่องการฝึกตนร่วมส...

 

วัตถุสีเทาสกปรกคล้ายมนุษย์ตกลงสู่ยอดเขาห่างไกลที่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง มันลอบมองไปรอบๆ หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น มันประกบมือเข้าหากันและเริ่มทำท่ามุทราเป็นชุด ตอนนี้พอกำแพงอาคมด้านนอกสุดเปิดออก ในที่สุดมันจึงเดินผ่านประตูหินเข้าไป 


 


 


ทันทีที่มันเข้าประตูไป มันตะโกนเสียงดัง “ซีเอ๋อร์! เจ้าอยู่ไหน!”  


 


 


มันยังคงเดินไปบนทางเดินหินไปสู่โถงหลักซึ่งมันเลือกประตูหินอีกบานอย่างคล่องแคล่วและทำมือท่ามุทราอีกรอบ ประตูหินบานนั้นเปิดออกและสิ่งที่โผล่มาทักทายคือใบหน้าสง่างามแต่เศร้าหมอง 


 


 


ถึงอย่างนั้น ชั่วขณะที่ใบหน้านั้นเห็นมัน สีหน้าประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นทันที 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอเช็ดหน้าเขาอย่างสบายๆ และทำให้มันยิ่งดำขึ้นและสกปรกขึ้น 


 


 


ฉินซีอดไม่ไหวดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วและถามว่า “ท่านไปทำอะไรมา ทำไมถึงทำตัวเองให้เป็นเช่นนี้ได้”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอก้มลงมองสารรูปของตัวเอง แต่ไม่ช้าก็นั่งลงต่อหน้าฉินซีด้วยทัศนคติแบบไร้กังวลเหมือนเดิมขณะที่ชี้ไปที่จมูกของฉินซี “ข้าเป็นแบบนี้ก็เพื่อเจ้า!”  


 


 


“เพื่อข้า?” ฉินซีเลิกคิ้วอย่างสงสัย เขาไม่เชื่อสิ่งที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างแน่นอน เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าอาจารย์คนนี้มีคุณสมบัติเช่นไร หลายปีมาแล้วตั้งแต่อาจารย์เรียกชื่อเขา เขามักจะเรียกเขาว่า ‘ไอ้เด็กเหลือขอ’ เสมอ การที่จู่ๆ เขาก็เรียกชื่อขึ้นมาอย่างอ่อนโยน มันต้องเป็นเพราะเขาไปทำอะไรให้คนรู้สึกไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีแน่นอน เขาน่าจะมาเพื่อโอ้อวด 


 


 


แน่ล่ะ— 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอมองซ้ายมองขวา เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในถ้ำเซียนแห่งนี้ เขาโน้มตัวมาใกล้ฉินซีและพูดในน้ำเสียงลึกลับเกินจริง “เพื่อเจ้า! ข้าเพิ่งสู้กับตาเฒ่าเจิ้นหยางเพื่อเจ้า!”  


 


 


“…”  


 


 


“ไอ้เด็กเหลือขอ ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอถกแขนเสื้อ “ข้าเพิ่งสู้กับเขาก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า เจ้าไม่รู้สึกซาบซึ้งสักนิดเลยหรือ”  


 


 


“ท่านควรบอกข้ามาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น” ฉินซีพูดอย่างใจเย็น 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอที่ถูกบีบให้ต้องกลับเข้าประเด็นจ้องเขาถมึงทึงอยู่พักหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้และรายงานความสำเร็จของเขาอย่างภูมิใจ “ศิษย์ของตาเฒ่าเจิ้นหยางต้องการจะขโมยเมียเจ้า ดังนั้นข้าจึงต้องสู้กับตาเฒ่านั่น”  


 


 


“… เมียข้า?” ฉินซีถามช้าๆ “ข้ามีเมียตั้งแต่เมื่อไหร่”  


 


 


“ไอ้หยา เจ้ายังไม่อยากยอมรับอีกรึ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่า “เจ้าไม่ต้องอาย” “เทียนเกอไง! ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่อยากคุยเรื่องนี้ แต่ไม่สำคัญหรอก ข้าจะไม่บอกใคร ใช้เวลาตามสบาย…”  


 


 


เขาหยุดโดยอัตโนมัติก่อนที่เขาจะพูดจบเนื่องจากสีหน้าของฉินซีดูหม่นหมองมากราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำหนาทึบ “ท่านอาจารย์!”  


 


 


“อะไร” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจงใจลูบหนวดของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่คว้าขี้เถ้าออกมาหนึ่งกำ เขาตบมือกับชุดเสื้อผ้าของตัวเองทำให้ขี้เถ้าดำและดินกระจายไปทั่วห้อง 


 


 


ฉินซีจ้องเขาอย่างโกรธๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร นานนับชั่วนิรันดร์ ในที่สุดสีหน้าของเขาก็ค่อยผ่อนคลายลง “ท่านอาจารย์ แทนที่จะเกียจคร้านและไม่ทำอะไร ท่านควรจะออกเดินทางและท่องเที่ยวไป ตอนนี้ระดับการฝึกตนของท่านก็สูงมากพอแล้ว ดังนั้นท่านควรมองหาชะตาลิขิตสักอย่างและคิดว่าจะผ่านเข้าไปสู่ขั้นสุดท้ายได้อย่างไร”  


 


 


เสียงของเขาฟังดูสงบนิ่งมาก เจตนาเบื้องหลังคำพูดก็ฟังดูเหมือนเขาเห็นแก่ประโยชน์ของท่านอาจารย์ แต่ถึงอย่างนั้น พายุที่ก่อตัวอยู่ภายในคำพูดเหล่านั้นก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน การได้ยินฉินซีใช้น้ำเสียงเช่นนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหออดไม่ได้ที่จะหดตัวลง แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็เถียงอย่างมั่นใจอีกครั้งราวกับว่าความยุติธรรมอยู่ข้างเขา “ไอ้เด็กโสโครก! นั่นมันทัศนคติแบบไหนกัน ข้าต่อสู้เสี่ยงตายเพื่อเจ้าและถึงขนาดเสียชื่อเสียง แต่เจ้ากลับพูดกับข้าเช่นนี้จริงๆ น่ะรึ!”  


 


 


ฉินซีรู้สึกเขายั้งตัวเองพอแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคเหล่านั้น ไฟในใจเขาก็ไม่สามารถควบคุมได้และลุกโชนอย่างคลุ้มคลั่ง สีหน้าเขายิ่งแข็งกร้าวโดยไม่รู้ตัว “ท่านอาจารย์ ต่อให้ท่านอยากจะยุ่งวุ่นวาย แต่ท่านก็ควรรู้ขีดจำกัดบ้าง!”  


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินซีพูด ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ที่ยังไม่รู้ว่าขีดจำกัดอยู่ตรงไหน กระทืบเท้าด้วยความโกรธอีกครั้ง “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้ายุ่งวุ่นวาย!? จ-จ-เจ้า… ไอ้เด็กโสโครก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้างุ่มง่าม จะมีหรือที่ข้าต้องคอยเฝ้าเมียให้เจ้า ข้าบอกเลย…”  


 


 


“ใครบอกท่านว่านางเป็นเมียข้า” ฉินซีอดไม่ได้ที่ต้องตะโกนออกมา “ท่านเอาจริงเอาจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง! ท่านมีชีวิตอยู่มามากกว่าแปดร้อยปีแล้วนะ เกิดอะไรขึ้นกับสมองท่านกัน!”  


 


 


แม้จะใช้ชีวิตอยู่มามากกว่าแปดร้อยปีแต่ยังโดนศิษย์ผู้น้อยของเขาดูหมิ่น ประมุขเต๋าจิ้งเหออาจไม่รู้ว่าสมองของเขาหายไปไหน แต่เขารู้แน่นอนว่าความภาคภูมิใจในตนเองของเขาถูกทำร้ายอย่างรุนแรง เขาใช้ความพยายามปรับสีหน้าให้ดูดุดันจากนั้นจึงตะโกนว่า “ไอ้เด็กเหลือขอโสโครก! เจ้าคิดจริงๆ รึว่าข้าไม่รู้ว่าในหัวเจ้าคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่เจ้าเป็นเด็ก อารมณ์ของเจ้าก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการบางสิ่งเป็นอย่างมากแต่เจ้าไม่เคยยอมรับมัน! ถ้าข้าไม่คอยดูสถานการณ์แทนเจ้า เจ้าก็ไปร้องไห้ในอนาคตได้เลย!”  


 


 


เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกนอย่างนั้น เขาก็ดูเหมือนผู้อาวุโสขึ้นมาจริงๆ โชคร้ายที่ฉินซีไม่เชื่อเขา “เลิกคิดว่าท่านพูดถูกตลอดเสียที! ข้าไม่สนใจนางแม้แต่นิดเดียว!”  


 


 


“ฮ่า!!!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเยาะเย้ย เขาจ้องฉินซีด้วยสายตาเฉียบคมและพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่สนใจนาง ทำไมเจ้าต้องปิดบังตัวตนกับนางด้วย ทำไมเจ้าไม่อยากเจอนางในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ทำไมเจ้าฝึกตนจนเหมือนชีวิตจะหาไม่ ข้าเป็นคนที่เลี้ยงเจ้ามา คนอื่นทุกคนอาจจะไม่รู้ความคิดซับซ้อนพวกนี้ของเจ้า แต่ข้ารู้ดี!”  


 


 


“เจ้าไม่บอกนางว่าเจ้าเป็นใครเพราะเจ้าไม่อยากให้นางมองเจ้าในฐานะผู้อาวุโส! เจ้าไม่อยากเจอนางและเอาแต่ฝึกตนจนเหมือนบ้าเพราะศักดิ์ศรีของเจ้าถูกเทพบรรพบุรุษของนางทำให้เจ็บช้ำ! ในอดีตเจ้ารู้สึกว่ามีแต่ตัวเจ้าที่คอยดูแลนางเสมอ แต่ต่อหน้าบรรพบุรุษของนาง อยู่ๆ เจ้าก็กลายเป็นแค่มดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง เจ้าคิดว่าเจ้าอาจสูญเสียคุณสมบัติที่จะมีความรู้สึกใดๆ ต่อนางไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงเริ่มฝึกตนอย่างบ้าคลั่ง ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าคิดเสมอว่าอาจารย์นั้นไม่น่าเชื่อถือ แต่ข้าจะบอกเจ้าให้ ไม่ว่าดีหรือเลว ข้าก็อยู่มาแปดร้อยปี สำหรับข้า เจ้ายังไร้เดียงสานัก!”  


 


 


ถึงแม้ว่าฉินซีจะไม่ได้พูดอะไรหลังจากประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ แต่สีหน้าของเขาก็ยิ่งเศร้าหมองลง เขารู้ว่าอาจารย์ของเขาทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่เสมอแม้จะอายุมาก แต่สิ่งที่เขาพูดตอนนี้ทำให้ฉินซีรู้สึกราวกับว่าความลับในใจเขาถูกเปิดโปง ณ ช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดและถูกเอาออกมาวางแผ่โดยไม่มีอะไรปิดบัง เขายังรู้สึกราวกับจุดอ่อนของเขาถูกเข็มทิ่มแทงอย่างไม่ปรานี มันเจ็บปวดแต่เขาไม่สามารถเอื้อมถึงแผลได้ 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอสูดหายใจเข้าลึกก่อนพูดต่อ “ไอ้อารมณ์แบบนี้ของเจ้านี่นะ! เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเจ้ามักจะเก็บงำไว้กับตัวเอง คิดเสมอว่าเจ้าสามารถจัดการเองได้ อย่างไรก็ตาม ข้ายังต้องบอกเจ้าเรื่อง เรื่องพวกนี้… ถ้าเจ้าพลาดไป โอกาสของเจ้าจะหายไปตลอดกาล ไม่เป็นไรถ้าเจ้ายังไม่อยากยอมรับตอนนี้ ข้าจะคอยดูเรื่องนี้ให้ แต่เจ้าต้องไม่เป็นคนปากว่าตาขยิบ อาจารย์ไม่อยากให้เจ้าต้องมาเสียใจภายหลัง!”  


 


 


ฉินซียังคงไม่ได้พูดอะไรและเพียงแค่จ้องอย่างโกรธๆ ไปที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอ ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาได้ยินส่วนหลังในคำพูดของประมุขเต๋าจิ้งเหอ สายตาเขาก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว เขาหลุบตาลงต่ำแต่สีหน้าเขายังคงแข็งทื่อขณะที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปนาน เสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งของเขาก็เล็ดลอดออกมา “หยุดคิดว่าตัวเองถูกได้แล้ว การขยันฝึกตนของข้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้!”  


 


 


“ไม่เกี่ยว?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเขยิบเข้าไปหาเขาพร้อมรอยยิ้ม “ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้ามีอะไรรบกวนจิตใจอยู่ ต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องเมื่อครั้งก่อนที่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าและสิ่งนั้นทำลายความมั่นใจในตนเองของเจ้า”  


 


 


ถึงแม้ว่าฉินซียังคงนิ่งเงียบ แต่สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากำหมัดแน่น 


 


 


หน้าตาท่าทางของเขาตอนนี้ทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอยห่างและถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นเขาพูดด้วยเสียงนุ่มนวลที่เขาไม่เคยใช้มาก่อน “ซีเอ๋อร์ เจ้าโทษข้าได้ที่ไม่ได้สอนเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดี ตั้งแต่เจ้าเป็นเด็ก เจ้าก็มีจิตใจเด็ดเดี่ยว นอกเหนือจากการฝึกตน เจ้าก็แทบไม่เคยคิดถึงอะไรอื่น เจ้ายังอายุน้อยมากแต่เจ้าก็สงบนิ่งราวกับชายแก่ ในตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้าเกิดมาเพื่อฝึกตน มีเพียงแค่ตอนนี้ล่ะที่ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย”  


 


 


“เจ้าไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับอะไรเพราะเจ้าไม่เคยสนใจ แต่เมื่อเจ้าสนใจอะไรขึ้นมา นั่นจะเป็นจุดตกต่ำของเจ้า การเดินทางบนเส้นทางการฝึกตนของเจ้ากำลังเป็นไปอย่างราบรื่นเกินไป อย่าถลึงตาใส่ข้า ถึงแม้เจ้าจะผ่านสถานการณ์อันตรายมามากแต่เจ้าไม่เคยเผชิญกับการทดสอบจิตใจ เจ้าไม่เคยลิ้มรสความล้มเหลว”  


 


 


“ถึงแม้ว่าข้าจะดูแลเจ้ามาตลอดตั้งแต่ยังเล็ก แต่เจ้าก็ไม่เคยชอบที่ต้องพึ่งพาข้า ตลอดหลายปีมานี้ เจ้าฝึกตนจนถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังซึ่งเป็นผลของความพยายามอย่างหนักของเจ้าเองและไม่ได้เป็นเพราะข้า เพราะเหตุนี้เจ้าถึงมั่นใจในตัวเองและภาคภูมิใจมากเสมอ ความภาคภูมิใจของเจ้าทำให้เจ้ามักจะคาดหวังให้ตัวเองประสบความสำเร็จได้ดีที่สุดและไม่เคยปล่อยให้ใครหรืออะไรมามีผลกับเจ้า ทัศนคติเช่นนี้ในอดีตมักทำให้เจ้าประสบความสำเร็จมากกว่าใคร อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่เคยรู้ว่าความภาคภูมิใจที่มากเกินไปจะทำให้เจ้าต้องสูญเสียชีวิต!”  


 


 


ฉินซีเพียงแค่มองต่ำและไม่ได้พูดอะไร 


 


 


ท่านอาจารย์ที่ไร้วินัยของเขาคนนี้ไม่เคยพูดยาวขนาดนี้และไม่เคยใช้น้ำเสียงนุ่มนวลและเป็นห่วงขนาดนี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม เขาพูดถูกเผงเกินไป ถูกเสียจนเขาไม่สามารถพูดปฏิเสธอะไรได้เลย 


 


 


“ซีเอ๋อร์ ถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าจะสร้างมารภายในใจด้วยตัวเจ้าเองนะ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดพร้อมกับถอนหายใจยาว 


 


 


ฉินซีเม้มปาก “ข้าจะจัดการเอง”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหัว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากพึ่งพาข้า แต่สำหรับบางสิ่ง ตัวข้า ปีศาจแก่ๆ ที่มีชีวิตอยู่มามากกว่าแปดร้อยปีสามารถเห็นอะไรได้ชัดเจนมากกว่าเจ้า ข้าไม่รู้ว่าในใจเจ้าขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องใด แต่ข้ารู้ว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นต้นเหตุ เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากเตือนเจ้าอย่างจริงจังว่าถ้าเจ้าได้นางมา มารภายในจิตใจของเจ้าจะหายไปเอง”  


 


 


“นางไม่ใช่สิ่งของ”  


 


 


น้ำเสียงของฉินซียังคงฟังค่อนข้างดื้อรั้น แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอแค่หัวเราะเมื่อได้ยิน เสียงหัวเราะของเขาไม่ใช่แบบเกเรหรือเจ้าเล่ห์ แต่มันฟังดูค่อนข้างเหมือนยอมอ่อนข้อให้และตามใจ “ข้าพูดมาตั้งมากแต่เจ้ากลับสนใจอยู่แค่ประเด็นนั้น ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ามันเกินเยียวยาแล้ว!”  


 


 


ฉินซีไม่ได้พูดอะไรและก้มหัวลงแต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย 


 


 


หลังจากเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าให้สะอาด ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็พูดช้าๆ “ที่จริงเด็กสาวคนนั้นก็ดีใช้ได้นะ นางผ่านชีวิตยากลำบากมา ดังนั้นนางจึงเข้าใจถึงการเคารพตัวเองและการพัฒนาตัวเอง ถึงแม้ว่านางยังไม่โตพอ แต่ตราบใดที่นางยังคงควบคุมตัวเองได้ เมื่อเวลาผ่านไปนางจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน อีกอย่างนางก็เหมาะกับเจ้าจริงๆ เจ้าไม่ชอบเอะอะโวยวาย นางก็สงบนิ่งมาก เจ้าชอบฝึกตนอย่างเดียว นางก็มีจิตใจแห่งเต๋าที่หนักแน่นเหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเจ้าชื่นชมนาง คนอย่างเจ้า… การที่จู่ๆ เจ้าจะตกหลุมรักกับผู้หญิงสักคนทันทีนั้นเป็นไปไม่ได้ เจ้าต้องเริ่มจากความชื่นชม ยิ่งเจ้าชื่นชมใครสักคนมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งใส่ใจนางมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเจ้าใส่ใจมากขึ้น จิตใจของเจ้าก็จะรู้สึกซาบซึ้งได้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนเจ้ามักจะดูถูกผู้หญิงเสมอ แต่ตอนนี้เจ้ากลับเน้นย้ำว่านางไม่ใช่สิ่งของ ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ายอมรับไม่ได้รึว่านางเป็นคนพิเศษในใจของเจ้า?”  


 


 


เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ ฉินซียังคงเงียบ อย่างไรก็ตาม ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกมีความสุขมาก “มันนานหลายปีมาแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็นเจ้าอึดอัดขนาดนี้ พอเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ อาจารย์ก็รู้สึกถึงความสำเร็จขึ้นมาในทันที!”  


 


 


คำพูดของเขาทำให้ฉินซีเงยหน้าขึ้นในที่สุด เขาตะโกนอย่างไม่พอใจ “ท่านอาจารย์!”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังสนุกกับตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเมินเฉยต่อสีหน้าของฉินซี “อย่าโกรธเลย เด็กของคนอื่นๆ มักจะมีปัญหาอารมณ์แปรปรวนเมื่อพวกเขาอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยยี่สิบ อย่างไรก็ตาม เจ้าเพิ่งจะมีปัญหาอย่างนั้นเมื่ออายุมากกว่าร้อยปีแล้ว ช่างเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากเสียจริง!”  


 


 


ความโกรธของฉินซียิ่งพลุ่งพล่านขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขากำหมัดแน่นยิ่งขึ้นราวกับเขาต้องการต่อยประมุขเต๋าจิ้งเหอให้ได้ แน่นอนว่าเขาไม่ทำสิ่งเนรคุณอย่างการทุบตีผู้อาวุโสของเขาหรอก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ถือสาอะไรถ้าจะไล่เขาออกไป!   

 

 


ตอนที่ 143-2 สนทนาเรื่องการฝึกตนร่วมส...

 

เมื่อสังเกตเห็นว่าฉินซีกลั้นอารมณ์โกรธของเขาเอาไว้ได้อีกไม่นาน ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงรีบหยุดตอนที่เขายังนำอยู่ “เอาล่ะ อย่าเพิ่งคุยเรื่องนั้นกันเลย มาพูดกันถึงความเป็นไปได้ของการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กันอย่างจริงจังดีกว่า ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าฝึกวิชาหยางบริสุทธิ์ที่เจ้าได้มาจากเทพผู้อาวุโสคนนั้นจนถึงระดับสามแล้วใช่ไหม พลังวิญญาณหยางบริสุทธิ์ของเจ้าจะยิ่งงอกงามมากขึ้น ดังนั้นความแตกต่างระหว่างตัวเจ้าและคนที่มีร่างกายพลังหยางบริสุทธิ์ก็จะไม่ต่างกันมากนัก ศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นของเจ้าเข้าถึงระยะหยางขั้นสุดแล้ว ดังนั้นเพื่อจะทำให้พลังวิญญาณทั้งสองเป็นกลาง เจ้าขาดเพียงแค่หยินขั้นสุด ข้าพูดถูกหรือไม่”


 


 


หลังจากเขาเห็นฉินซีพยักหน้าด้วยความลังเล ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดต่อ “อย่างแรกมาคุยกันเรื่อง ศาสตร์แห่งสามวงจรเริ่มต้นก่อน วิชาการฝึกตนนี้เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอดีตอันไกลโพ้น ผู้ฝึกตนสมัยโบราณคิดว่าพลังวิญญาณเริ่มต้นทั้งสามคือต้นกำเนิดโลก ทั้งสามหน่วยคือสิ่งสมบูรณ์และสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าที่ยิ่งใหญ่ ตามสิ่งที่เจ้าพูดถึง วิชาการฝึกตนนี้เหมาะที่สุดในการบรรลุผ่านไปถึงดินแดนถัดไป แต่ข้อกำหนดที่ต้องใช้ฝึกมันนั้นเข้มงวดมาก หากไม่ได้รับพลังวิญญาณเริ่มต้นทั้งสามและหากทั้งสามหน่วยไม่สมบูรณ์ การบรรลุเต๋าที่ยิ่งใหญ่ก็จะเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เจ้ามีหยางขั้นสุดอยู่แล้วเพื่อทำให้พลังวิญญาณทั้งสองเป็นกลางและต้องการเพียงแค่หยินขั้นสุดเท่านั้น ข้าคิดว่ามันยากจะเชื่อว่าเจ้าไม่รู้ว่าการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนหญิงที่มีร่างกายพลังหยินบริสุทธิ์คือวิธีการที่ง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุดเช่นกันเพื่อให้ได้รับพลังวิญญาณหยินขั้นสุด”


 


 


ฉินซียังคงเงียบ แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ไม่ได้บังคับให้เขาต้องพูด เขาแค่พูดต่อไป “มาคุยกันถึงเรื่องวิชาหยางบริสุทธิ์อีกที ในอดีตตอนที่เจ้าบังเอิญได้รับลูกประคำวิญญาณพลังหยางมา ข้าบอกเจ้าแล้วว่าสมบัติพิเศษเช่นนี้จะทำให้พลังหยางของเจ้าเติบโตและอาจถึงขนาดเปลี่ยนสภาพร่างกายของเจ้า ตอนนี้ที่เจ้าได้รับวิชาหยางบริสุทธิ์มาอีก สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ในที่สุดก็ได้เข้าใจเสียที สภาพร่างกายของเจ้ากำลังกลายเป็นร่างกายพลังหยางบริสุทธิ์ ดังนั้นหากเจ้าทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับใครสักคนที่มีร่างกายพลังหยินบริสุทธิ์ เจ้าจะได้รับผลประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลแน่นอน!”


 


 


พอถึงเวลาที่คำพูดของเขาสิ้นสุดลง ทั้งห้องอยู่ในความเงียบสงัด


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองฉินซี เห็นได้ชัดว่ากำลังรอให้เขาตัดสินใจ แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของฉินซีก็แข็งทื่อและเขาไม่ได้พูดอะไร


 


 


หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายฉินซีก็พูดขึ้น “ข้าไม่อยากฝึกตนร่วมสัมพันธ์แค่เพื่อให้ได้ประโยชน์อะไรสักอย่าง แม้แต่เพื่อการฝึกตนของข้าหรือเพื่อหลีกเลี่ยงมารภายในใจ”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะ ไม่ประหลาดใจกับคำตอบของเขาสักนิด จากนั้นเขาตบบ่าฉินซี รู้สึกค่อนข้างหมดหนทาง “ไอ้เด็กเหลือขอ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง ความภาคภูมิใจที่มากเกินไปจะทำให้เจ้าต้องตายแต่เจ้าก็ยัง…”


 


 


“แล้วทำไม หวังพึ่งผู้หญิงเพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าแล้วมันจะสนุกตรงไหน”


 


 


“… เอ๊ย~!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหน้า อย่างไรก็ตาม จู่ๆ เขาถามอีกคำถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ถ้าไม่ใช่เพื่อการฝึกตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงมารภายในใจ แล้วเจ้าไม่ต้องการนางจริงๆ หรือ”


 


 


ครั้งนี้แทนที่จะรอคำตอบของฉินซี เขาจัดระเบียบตัวเองให้เรียบร้อยและกลับไปที่ตำหนักซ่างชิงด้วยอารมณ์สดชื่น ดูสดใสและเรียบร้อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาที่ดูดีมาตลอดชีวิตจะปล่อยให้ศิษย์ของเขาและศิษย์หลานๆ เห็นรูปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกได้อย่างไร โชคดีที่ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ยังไม่ได้รับศิษย์คนไหนเข้ามาและยังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอยู่ ณ ตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่ในบริเวณใกล้เคียงถ้ำเซียนของเขา


 


 


เป็นเวลานานหลังจากประมุขเต๋าจิ้งเหอออกไป เสียงพึมพำเบาๆ ดังอยู่ภายในถ้ำเซียน “อย่างน้อย… ไม่จนกว่าข้าจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าได้…”


 


 



 


 


ฉินโส่วจิ้ง!


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและเสกคาถาด้วยแรงทั้งหมดที่มี


 


 


ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าเบื้องหน้าเขาแตกออกด้วยเสียงดังแล้วโค่นลงใส่พุ่มไม้เตี้ยด้านล่าง ตอนนี้พออารมณ์ของเขาดีขึ้นเล็กน้อย ไป๋เยี่ยนเฟยหาที่ว่างและหมอบลงเพื่อนั่งพัก


 


 


เขาเป็นคนหยิ่งยโสมาโดยตลอด ท้ายที่สุดแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลแล้วที่เขาจะมีความหยิ่งผยองมากสักหน่อย


 


 


เขาเกิดในครอบครัวราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ในฐานะองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหยียน เขามีชีวิตหรูหรามาตั้งแต่เขายังเด็ก เมื่อเขาอายุได้สิบปี อาจารย์เซียนท่านหนึ่งได้มาที่พระราชวัง เขานำวิชาของเซียนติดตัวมาด้วยและใช้กฎที่พิเศษและมีอำนาจหลากหลาย แสดงให้เขาเห็นว่าเซียนมีอยู่จริงในโลกใบนี้


 


 


เขารู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรบเร้าอาจารย์เซียนท่านนั้น ต้องการจะนับถือเขาในฐานะท่านอาจารย์ เมื่อไม่สามารถจูงใจให้เขาเลิกได้และเพราะเขาเป็นองค์รัชทายาท อาจารย์เซียนจึงตรวจสอบรากวิญญาณของเขาอย่างไม่เต็มใจนัก และท่านอาจารย์เซียนก็ต้องแปลกใจที่เขามีรากวิญญาณเดี่ยวที่แทบจะไม่ได้ปรากฏให้เห็นมาในรอบหนึ่งศตวรรษ


 


 


ท่านอาจารย์เซียนปลาบปลื้มมากกับเหตุการณ์ที่พลิกผันขึ้นมากะทันหันและรีบรายงานกลับไปที่โรงเรียนของเขาทันที ที่จริงแล้วอาจารย์เซียนท่านนี้เป็นเพียงศิษย์นอกเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเขาและต้องการกลับไปยังโลกมนุษย์เพื่อมีความสุขกับตำแหน่งสูงและความร่ำรวยมหาศาลสักพักหนึ่ง โดยไม่คาดคิด เขากลับได้พบเจออัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยวให้กับโรงเรียน! เพราะเหตุนี้เขาจึงได้รับผลประโยชน์มากมาย เขาได้รับเข้าเป็นศิษย์ทางการและถึงขนาดได้รับมอบยาสร้างฐานแห่งพลังอีกด้วย


 


 


หลังจากนั้น ผู้อาวุโสประจำฝ่ายของอาจารย์เซียนท่านนั้นก็ได้มาที่แคว้นเหยียนด้วยตัวเองและพาไป๋เยี่ยนเฟยกลับไปที่เขาไท่คัง หลังจากนั้นเขาถูกบอกให้เคารพประมุขผู้อาวุโสสูงสุดในฐานะท่านอาจารย์ของเขาและนับตั้งแต่บัดนั้นท่านจะสอนให้เป็นการส่วนตัว ตั้งแต่นั้นมา ความรุ่งเรือง ความงดงาม ความร่ำรวย และยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายจากโลกมนุษย์ก็ไม่เคยทำให้เขาสนใจอีกเลย เขาละทิ้งตัวตนองค์รัชทายาทของเขา เช่นเดียวกับเมินสายตาอิจฉาของพระบิดาและพระเชษฐาของเขา และกลายมาเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของประมุขผู้อาวุโสสูงสุดแห่งโรงเรียนเสวียนชิง


 


 


เมื่อเขายังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขาเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้น เมื่อเขาเป็นผู้ฝึกตน เขาก็เป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยโชคชะตาเช่นนี้ มีเหตุผลอะไรหรือที่เขาจะไม่หยิ่งผยอง


 


 


เป็นตามคาด เนื่องจากต้นทุนที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาสามารถก้าวหน้าบนเส้นทางการฝึกตนได้อย่างราบรื่น ทำการบรรลุผ่านดินแดน สร้างฐานแห่งพลัง… สิ่งเหล่านี้ยากและอันตรายมากสำหรับคนอื่น แต่เขาสามารถทำมันได้อย่างง่ายดายแทบจะไม่ต้องเปลืองแรง


 


 


แต่กระนั้น เขาก็ยังมีช่วงเวลาทุกข์ใจ ตัวอย่างเช่น ทุกครั้งที่ศิษย์ผู้หญิงในโรงเรียนพูดถึงศิษย์ผู้ชาย พวกเขาจะถามก่อนเป็นอย่างแรกเลยว่า “อาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง” หรือ “ศิษย์พี่โส่วจิ้งเป็นอย่างไร”


 


 


เขาไม่พอใจมาก! ฉินโส่วจิ้งมีอะไรน่าทึ่งนักหรือไง สร้างฐานแห่งพลังของเขาตอนอายุยี่สิบ ก่อขุมพลังของเขาตอนอายุเจ็ดสิบแปด? เป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ? มีหน้าตาท่าทางสง่างาม?


 


 


พูดถึงเรื่องหน้าตา เขาเคยเห็นว่าศิษย์พี่โส่วจิ้งคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรและเขาก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไป๋เยี่ยนเฟยเชื่อว่าตัวเขาก็มีเสน่ห์โดดเด่นเช่นกันและไม่แพ้ฉินโส่วจิ้งเลยแม้แต่นิดเดียว! สำหรับเรื่องสถานะ เขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง เพราะงั้นเขาเลยแย่กว่าฉินโส่วจิ้งงั้นหรือ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายผู้ยิ่งใหญ่ ระดับการฝึกตนและตัวตนของเขายิ่งสูงกว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอเสียอีก! ยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันด้วยเรื่องระดับการฝึกตน ฉินโส่วจิ้งอายุมากกว่าเขาไม่ใช่หรือ? ต้นทุนของฉินโส่วจิ้งไม่มีอะไรนอกจากรากวิญญาณคู่ แย่กว่าของเขาตั้งเยอะ!


 


 


สรุปคือฉินโส่วจิ้งก็แค่เกิดมาก่อนข้าประมาณร้อยปี ลองให้เวลาข้าสักร้อยปีดูสิและฉินโส่วจิ้งจะไม่มีค่าพอจะถือรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ!


 


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเล่นๆ ที่ไป๋เยี่ยนเฟยเคยมี ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงฉินโส่วจิ้ง เขาก็แค่รู้สึกไม่มีความสุข แต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เขาพลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธแค้น คันไม้คันมืออยากจะระเบิดเขาให้แหลกเป็นจุณเหมือนอย่างที่เขาทำกับต้นไม้ต้นนั้น


 


 


ที่จริงแล้วเขาไม่ได้หลงใหลศิษย์พี่โม่มากมายนัก ไป๋เยี่ยนเฟยแค่คิดว่า ทำไมชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่ยังอายุน้อยและมีอนาคตสดใสผู้ที่มีทั้งความสามารถและหน้าตาดีเช่นเขาถึงไม่มีสาวงามอยู่ข้างกายกันนะ ศิษย์พี่โม่คนนั้นมีสถานะสูงส่งมากพอ ระดับการฝึกตนของนางก็ค่อนข้างดี หน้าตาของนางก็ยอดเยี่ยม อายุของนางก็ยังใกล้เคียงกับเขา และที่สำคัญที่สุด นางยังนิสัยที่อ่อนโยน ไม่น่าเบื่อเท่าศิษย์พี่อู๋แห่งยอดเขาวิหคอัคคีเขียว และนางก็ไม่ดื้อรั้นเท่าศิษย์น้องเจียงแห่งยอดเขาล่องเมฆา ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการรับมือกับสิ่งต่างๆ ของนางก็ไม่แย่ ดังนั้นนางจึงไม่น่าจะมีปัญหาแน่นอนในการเป็นภรรยาที่ดีและดูแลเอาใจใส่สามีของนาง


 


 


อย่างไรก็ตาม ใครจะไปคิดว่าหลังจากพยายามอย่างหนักและในที่สุดก็หาใครสักคนที่ตรงกับความต้องการของเขา ฉินโส่วจิ้งจะเข้ามาสอดและกลายเป็นอุปสรรคของเขา! ?


 


 


ฉินโส่วจิ้งคือใคร ฉินโส่วจิ้งก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่อาจเทียบได้กับเขา! ระดับการฝึกตนของฉินโส่วจิ้งสูงกว่าเขาก็จริง แต่มันก็แค่เพราะฉินโส่วจิ้งได้เปรียบเกิดมาก่อนเขาประมาณร้อยปีก็เท่านั้น!


 


 


ไม่ได้การล่ะ! เขาต้องไม่พ่ายแพ้เพราะฉินโส่วจิ้ง! ศิษย์พี่โม่คือคนที่เขาเลือกให้มาเป็นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของเขา เขาจะปล่อยให้ฉินโส่วจิ้งมาฉกฉวยนางไปได้อย่างไรกัน? หน้าไม่อาย!


 


 


ในเมื่อเขาวางแผนจีบศิษย์พี่โม่มาตั้งนาน เขาก็ต้องได้นางมาอย่างแน่นอนและให้ฉินโส่วจิ้งได้รู้ไว้ว่าเขา ไป๋เยี่ยนเฟย คือชายหนุ่มที่เก่งกาจที่สุดในโรงเรียน!


 


 


ด้วยความคิดเช่นนี้ในจิตใจ ไป๋เยี่ยนเฟยผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนตอไม้เริ่มหัวเราะอย่างร้ายกาจ 

 

 


ตอนที่ 144-1 การปฏิเสธ

 

เพราะเหตุนั้น โม่เทียนเกอตระหนักว่าหลังจากนางร้องเรียนเช่นนั้นไปกับประมุขเต๋าจิ้งเหอ นางไม่รู้เลยว่าท่านอาจารย์ผู้มีเกียรติของนางไปทำอะไรไว้ ไม่เพียงแต่ศิษย์น้องไป๋จะไม่หยุด แต่การไล่ตามของเขายิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย 


 


 


เมื่อนางฝึกตนทุกวัน นางมักจะได้รับเครื่องรางเรียกขาน ใจความก็ไม่มากไม่น้อยไปกว่า “ศิษย์พี่ อากาศวันนี้ช่างยอดเยี่ยม เราน่าจะออกมาเจอกันสักหน่อย” และอื่นๆ อีกมากมาย ทุกครั้งที่นางออกไปข้างนอก ศิษย์น้องไป๋จะโผล่มาอยู่ข้างหน้านางทันที สุดท้าย แม้แต่เยี่ยเจินจีก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เขาบอกว่าอาจารย์ลุงไป๋มักจะพยายามประจบประแจงเขา ทำให้กลัวถึงขนาดเขาต้องหนีทุกครั้งที่เขาเจออาจารย์ลุงไป๋ 


 


 


โม่เทียนเกอที่โมโหจัดรีบเร่งเข้าไปที่โถงหลักของประมุขเต๋าจิ้งเหอและตะโกนด้วยเสียงดัง “ท่านอาจารย์!”  


 


 


ความตกใจจากการปรากฏตัวกะทันหันของนางทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอสะดุ้งถึงขั้นโยนองุ่นสองลูกในมือเขาทิ้ง เมื่อเขาหายจากการตกใจ เขาถลึงตาอย่างโกรธๆ ใส่นาง “มีอะไร!? เจ้าตะโกนโวยวายโดยไม่นึกถึงความเหมาะสมเสียเลย!”  


 


 


โม่เทียนเกอรู้มานานแล้วว่าอาจารย์ของนางที่จริงเป็นอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่กลัวเขา ไม่เพียงแต่นางจะไม่ใส่ใจกับความโกรธของเขาแต่นางยังบ่นอีก “ท่านจัดการกับเรื่องนั้นอย่างไร ตอนนี้ศิษย์น้องไป๋ผู้นั้นยิ่งเกาะติดข้าแน่นยิ่งกว่าเดิม เขาทำให้ข้ารำคาญแทบตาย!”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอแปลกใจ “เขาทำอะไร”  


 


 


“เขาส่งเครื่องรางเรียกขานมาหาข้าทุกวัน เขาถึงขนาดเข้าหาเยี่ยเจินจีและสอพลอเขา เขาทำให้เยี่ยเจินจีกลัวแทบบ้า!”  


 


 


“โอ้…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลืนองุ่นที่เขาเคี้ยวอยู่ในปากแล้วจึงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ไอ้เด็กนั่นถือว่าค่อนข้างฉลาด เขาเข้าใจว่าเขาควรจะประจบประแจงคนรอบๆ ตัวเจ้า”  


 


 


“ท่านอาจารย์!” พอเห็นการตอบสนองของเขา โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกรำคาญใจมากขึ้น “ท่านอยู่ข้างใครกันแน่”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอรีบแก้ตัว “ข้าหมายความว่าเขาโง่เกินไป! เขารบกวนคนรอบๆ ตัวเจ้า! ใช่ ครั้งนี้เขาทำให้เจ้าโกรธ มีอะไรอีกไหม”  


 


 


“นั่นไม่ใช่ประเด็น เข้าใจไหม!?” โม่เทียนเกอนวดหน้าผากนาง ใครเป็นอาจารย์และใครเป็นศิษย์กันแน่นะตรงนี้ ทำไมเรื่องไร้สาระที่อาจารย์คนนี้พ่นออกมาถึงทำให้นางโกรธเกือบตายเสมอเลย  


 


 


“ถ้าอย่างนั้นแล้วประเด็นคืออะไร?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอถามด้วยความงุนงงโดยสิ้นเชิง 


 


 


“ประเด็นก็คือ ท่านจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรเมื่อคราวก่อน?”  


 


 


ในเมื่อพวกเขาคุยกันถึงเรื่องนี้ ในที่สุดประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงพูดว่า “ข้าพูด… เจ้าเด็กคนนี้นี่! อาจารย์ทะเลาะกับตาเฒ่าเจิ้นหยางเพื่อเจ้า ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่ซาบซึ้งแม้แต่นิดเดียว แต่เจ้ายังพูดกับข้าแบบนี้อีกรึ”  


 


 


“ทะเลาะ?” โม่เทียนเกองุนงง “ท่านอาจารย์ ท่านทะเลาะกับอาจารย์ลุงเจิ้นหยางทำไม”  


 


 


“เพราะตาเฒ่านั่นมันดูถูกเจ้า!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดเข้าข้างตัวเอง “เจ้าเป็นศิษย์ของข้า ดังนั้นการดูถูกเจ้าก็เหมือนกับดูถูกข้า ถ้าข้าไม่สู้กับเขาแล้วข้าควรจะไปสู้กับใครเล่า”  


 


 


“…” โม่เทียนเกอรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องพูดอีก นางควรจะรู้อยู่แล้วว่าปัญหาที่ถึงมืออาจารย์ของนางท่านนี้สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นการต่อสู้อยู่ดี! งั้นพวกเขาก็สู้กันเรียบร้อยและบาดหมางกัน ไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายถึงไม่ฟังสิ่งที่เขาพูด!  


 


 


“ทำไมเจ้ามองข้าอย่างนั้น” ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ที่เพิ่งกลายเป็นเป้าสายตาที่แสนโหดเ**้ยมของโม่เทียนเกอรู้สึกไม่พอใจ “เจ้าเด็กคนนี้! ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจว่าอาจารย์ต้องได้รับความเคารพจากศิษย์”  


 


 


โม่เทียนเกอเมินคำพูดเขา นางเพียงแค่ลูบอก ฝืนตัวเองให้ยับยั้งอารมณ์โกรธไว้ ไม่นานหลังจากนั้นนางก็พูดอย่างนิ่งๆ “เอาล่ะ ท่านอาจารย์ เชิญท่านทานองุ่นต่อไป เชิญโอ้อวดต่อไปเถิด ข้า… จะไปจัดการเรื่องนี้เอง!”  


 


 


นางหันกลับและเดินออกจากโถงหลักพร้อมกับเสียงตะโกนอย่างดังของประมุขเต๋าจิ้งเหอไล่หลังนาง “ไอ้เด็กคนนี้! เจ้าพูดกับอาจารย์ของเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร!? เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าโอ้อวด!? อย่าเพิ่งไป—”  


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอออกจากตำหนักซ่างชิง นางได้ส่งเครื่องรางเรียกขานออกไป 


 


 


เหตุผลที่นางไม่อยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองจนถึงตอนนี้ก็เพราะนางต้องการอยู่เงียบๆ ไม่โดดเด่นและไม่ต้องการก่อปัญหาเพิ่ม แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดแล้วว่านางไม่สามารถหวังพึ่งพาคนอื่นได้ ดังนั้นนางควรจะจัดการกับปัญหาด้วยมือของนางเองเสียเลย อีกอย่าง ถ้านางทำให้ศิษย์น้องไป๋ไม่พอใจแล้วจะทำไม อย่างมากที่สุดผลที่ตามมาก็เป็นการทำให้อาจารย์ลุงเจิ้นหยางขุ่นเคืองใจ แต่ท่านอาจารย์ของนางก็มีเรื่องมีราวกับเขาไปแล้วอยู่ดี 


 


 


หลังจากรออยู่ด้านนอกตำหนักซ่างชิงมาครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ได้ยินเสียงร่าเริง “ศิษย์พี่โม่!”  


 


 


เมื่อนางเห็นเขา สิ่งเดียวที่แล่นเข้ามาในจิตใจโม่เทียนเกอก็คือศิษย์น้องไป๋มาได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร 


 


 


“ศิษย์น้องไป๋” นางฝืนยิ้มด้วยความพยายามอย่างมาก 


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยมีรอยยิ้มกว้างและสายตาสดใสอยู่บนใบหน้า ตั้งแต่เขาตัดสินใจไล่ตามศิษย์พี่โม่ เขาก็ถามศิษย์พี่ผู้ชายและผู้หญิงหลายคนที่เคยทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์เพื่อขอคำแนะนำ อย่างไรก็ตาม แต่ละคนก็มีความคิดเห็นของตัวเองและไม่มีความคิดเห็นที่เหมือนกัน ท้ายที่สุดก็มีเพียงสิ่งเดียวที่ทุกคนเห็นตรงกัน นั่นคือผู้หญิงที่ดีจะถูกชนะใจได้โดยคนตามที่ตื๊ออย่างไม่ลดละ ถ้าเป็นวิธีการอย่างอื่น ไป๋เยี่ยนเฟยไม่แน่ใจนักว่าเขาจะทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้นั้นง่ายดาย เขาแค่จำเป็นต้องเกาะติดนาง 


 


 


ด้วยเหตุนั้นเขาส่งเครื่องรางเรียกขานให้นางทุกวันและแอบถามเกี่ยวกับความเป็นไปของนาง สุดท้าย ใครบางคนแนะนำว่าเขาควรเข้าทางหลานชายตัวน้อยของศิษย์พี่โม่ เขาคิดว่าในเมื่อศิษย์พี่โม่มีแต่เขาเป็นญาติ นางจะต้องเอาใจใส่เขาอย่างมากแน่ การประจบประแจงเขาไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน แน่ล่ะ ในที่สุดศิษย์พี่โม่ก็ตอบเครื่องรางเรียกขานของเขา นางยินดีจะพบเขาแล้ว!  


 


 


“ศิษย์พี่โม่” ไป๋เยี่ยนเฟยพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข “ข้ารอมานาน ในที่สุดท่านก็มีเวลาว่างเสียที”  


 


 


โม่เทียนเกอยังคงสีหน้าปกติของนางและมองไปรอบๆ “ศิษย์น้องไป๋ ข้ามีบางสิ่งที่อยากจะพูดกับเจ้า มากับข้าก่อนสิ”  


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยรีบพยักหน้า แถวนั้นมีคนอยู่มาก คงจะแย่แน่ถ้าคนอื่นแอบได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน!  


 


 


มันคงจะแย่จริงๆ ถ้าคนอื่นได้ยินพวกเขา ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะเตรียมใจมาเผื่อว่าต้องทำให้เขาไม่พอใจอยู่แล้ว แต่นางก็ไม่มีเจตนาจะทำให้เขาต้องอับอาย ถ้านางทำเช่นนั้น นางจะสร้างศัตรูให้ตัวเองโดยไม่มีเหตุผล 


 


 


หลังจากท่องไปทั่วท้องฟ้าอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เจอยอดเขาร้างไร้ผู้คนอย่างสิ้นเชิง โม่เทียนเกอนำหน้าไปและเริ่มร่อนลง 


 


 


“ศิษย์พี่โม่ นี่…”  


 


 


เดิมทีไป๋เยี่ยนเฟยคิดว่าพวกเขาจะหาสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามซึ่งพวกเขาสามารถคุยกันได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม โดยไม่คาดคิด สถานที่ที่นางเลือกกลับเป็นแค่ยอดเขาร้างแห้งแล้งที่ไม่มีแม้แต่ที่ให้นั่งได้ ถึงอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็เหลือบมองไปทั่วทันที ไม่มีใครอยู่ที่นี่ หรือว่านางอยากจะ… 


 


 


ก่อนที่เขาจะคิดเสร็จ เขาได้ยินเสียงโม่เทียนเกอ “ศิษย์น้องไป๋ มีบางอย่างที่ข้าต้องจัดการให้ชัดเจนกับเจ้า”  


 


 


เมื่อถูกดึงกลับมาจากฝันกลางวัน ไป๋เยี่ยนเฟยลูบจมูกและตอบในท่าทีสุภาพ “ศิษย์พี่ เชิญพูดเถิด”  


 


 


โม่เทียนเกอชำเลืองมองเขา จ้องมองไปที่เส้นขอบฟ้าและพูดอย่างเรียบเฉย “หัวใจข้าเข้าใจได้ดีถึงความรักลึกซึ้งที่ศิษย์น้องไป๋มีให้ข้า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้าเข้าสู่เส้นทางสู่ความเป็นเซียน ข้าต้องการจะจดจ่อกับหลักเต๋าให้เต็มที่และไม่มีความตั้งใจจะข้องเกี่ยวกับเรื่องความรัก ดังนั้นข้าคงมีแต่จะทำให้เจ้าผิดหวัง… ด้วยความสามารถของศิษย์น้อง ข้าเชื่อว่าอนาคตของเจ้าจะสดใส เมื่อใดที่เจ้าบรรลุถึงเต๋าอันยิ่งใหญ่ เจ้าจะต้องมีสาวงามมาอยู่ข้างกายอย่างแน่นอน ทำไมเจ้าถึงต้องฝืนตัวเองเพื่อยอมรับหญิงธรรมดาอย่างข้าด้วย ข้าหวังว่าศิษย์น้องจะหยุดรบกวนข้าในอนาคต ข้าไม่เหมือนกับศิษย์น้องที่มีความสามารถโดดเด่น ถ้าหัวใจแห่งเต๋าของข้าไม่มั่นคง ข้าเกรงว่าสิ่งที่รอข้าอยู่คือความล้มเหลว”  


 


 


เมื่อนางพูดจบ โม่เทียนเกอเหลือบมองไป๋เยี่ยนเฟยอีกที พอเห็นว่าเขาดูงุนงงจนทำอะไรไม่ถูก นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องไป๋?”  


 


 


“หา?” ไป๋เยี่ยนเฟยตกใจและได้สติกลับมา 


 


 


“ศิษย์น้องได้ยินที่ข้าเพิ่งพูดไปหรือไม่?”  


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยกุมหัวเขาด้วยทั้งสองมือ เขาดูเหมือนยังไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของนาง 


 


 


“ข้าพูดสิ่งที่ต้องการพูดไปแล้ว ดังนั้นข้าขอตัวก่อน”  


 


 


ทันทีหลังจากที่นางหันกลับและกำลังจะหนีไป จู่ๆ ไป๋เยี่ยนเฟยก็เรียกออกมาอย่างดังข้างหลังนาง “ศิษย์พี่โม่!”  


 


 


โดยไม่มีทางเลือกอื่น โม่เทียนเกอทำได้เพียงหยุดและหันกลับมาอีกครั้ง “ศิษย์น้องไป๋มีอะไรจะพูดหรือเปล่า”  


 


 


หลังจากงุนงงอยู่ชั่วขณะ เขาพูดขึ้น “ศิษย์พี่ ท่านกำลังปฏิเสธข้าหรือ?”  


 


 


โม่เทียนเกอว่าจะไม่พูดเช่นนั้นออกมาทื่อๆ ดังนั้นนางจึงแค่ยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่คู่ควรกับศิษย์น้องไป๋หรอก”  


 


 


“แต่ข้าไม่ถือ!” ไป๋เยี่ยนเฟยตะโกน “ข้ารู้ว่าศิษย์พี่โม่ไม่ได้สวยจนไม่มีใครเทียบได้และมีต้นทุนแค่กลางๆ แต่ข้าคิดว่าท่านค่อนข้างเหมาะ ข้าจึงไม่เคยสนใจเรื่องพวกนั้น”  


 


 


“…” อย่าบอกนะว่าเขายังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าแค่ทำไปตามมารยาท 


 


 


“แต่ข้าถือ” การปฏิเสธใครสักคนที่นางไม่ชอบ เพียงเพื่อให้คนคนนั้นพูดอย่างหยาบคายกลับมาว่า “ข้าไม่ถือที่ท่านไม่คู่ควรกับข้า” ย่อมทำให้นางรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้น นางกล่าว “ข้าถือจริงๆ! “ 


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยมีสีหน้าไร้เดียงสา เขายังคงไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมนางถึงโกรธ “ข้าไม่ได้ไม่ชอบท่าน แล้วท่านถือเรื่องอะไร”  


 


 


“ข้า…” โม่เทียนเกอพยายามอย่างหนักที่จะยั้งตัวเอง แต่ท้ายที่สุดนางก็ล้มเหลว “ศิษย์น้องไป๋ ต่อให้ระดับการฝึกตนของเจ้าสูงที่สุดในโลกนี้ ต่อให้เจ้าดูหล่อเหลาจนหาที่เปรียบไม่ได้ มันก็จะต้องยังมีคนที่ไม่ชอบเจ้าอยู่ดี”  


 


 


“แต่ข้าไม่เคยคาดหวังให้ทุกคนต้องชอบข้า…”  


 


 


“ข้าเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นที่ไม่ชอบเจ้า” โม่เทียนเกอตัดบทเขาและพูดอย่างขวานผ่าซาก คนบางคนไม่อาจเข้าใจอะไรได้เมื่อพูดอย่างสุภาพ ดังนั้นครั้งนี้นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


“หา?” ตอนนี้ที่นางพูดตรงๆ ไป๋เยี่ยนเฟยเงียบไปในที่สุด 


 


 


พอเห็นใบหน้าของไป๋เยี่ยนเฟยเปลี่ยนจากเขียวซีดเหมือนป่วยไปเป็นซีดขาว โม่เทียนเกอก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลดน้ำเสียงให้อ่อนลงเพราะนางไม่อยากจะมีเรื่องมีราวกับเขา “ศิษย์น้องไป๋ ข้ากำลังจดจ่ออยู่กับหลักแห่งเต๋าอย่างเต็มที่ ดังนั้นข้าจึงไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องความรัก เจ้าดีมาก เจ้ามีลักษณะทุกอย่างที่ผู้หญิงชอบตัวในผู้ชาย แต่ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องเช่นนี้ เพราะฉะนั้น… ข้าหวังว่าเรื่องจะจบลงที่นี่”  


 


 


ทันทีที่นางหันเพื่อจะเดินจากไป เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง “ศิษย์พี่โม่!”  


 


 


โม่เทียนเกอทำตัวไม่ถูก “มีอะไรอีกหรือศิษย์น้องไป๋”  


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยอ้าปากแต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ หลังจากพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็พูดว่า “เป็นเพราะฉินโส่วจิ้งหรือ ท่านปฏิเสธข้าเพราะฉินโส่วจิ้งใช่ไหม”  


 


 


โม่เทียนเกอพูดอย่างไร้สีหน้า “ใครพูดเช่นนั้น”  


 


 


“อาจารย์ลุงจิ้งเหอบอกว่าฉินโส่วจิ้งพาท่านกลับมาเพราะเขาต้องการท่านเพื่อตัวเขาเอง!”  


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของนางเผยให้เห็นความรู้สึก หลังจากครู่หนึ่งนางจึงพูดว่า “เจ้าคงเข้าใจผิด ใช่ไหม”  


 


 


“ข้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ลุงจิ้งเหอพูด” ไป๋เยี่ยนเฟยเยาะเย้ย “มีอะไรน่าทึ่งเกี่ยวกับฉินโส่วจิ้ง ข้าจะแย่กว่าเขาได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนหรือสถานะ ตรงไหนของเขาหรือที่ดีกว่าของข้า เขาแค่เกิดมาก่อนข้าร้อยปีก็เท่านั้น ลองให้เวลาข้าสักร้อยปีดูสิและข้าจะเหยียบย่ำเขาจมตีนแน่นอน!”  


 


 


โม่เทียนเกอเยาะเย้ยกลับ “ศิษย์น้องไป๋ เจ้าไม่รู้หรือว่าตอนนี้เจ้ายืนอยู่ในสถานที่แบบไหน? ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำตัวอย่างไรในยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณ แต่ที่นี่คือยอดเขาวสันต์กระจ่าง มันไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาแสดงอารมณ์แบบคุณชายผู้ร่ำรวยได้!”  


 


 


เมื่อได้ยินการต่อว่าตรงๆ ไป๋เยี่ยนเฟยค่อนข้างตกใจ “ศิ-ศิษย์พี่โม่…”  


 


 


โม่เทียนเกอยังคงพูดเยาะเย้ยต่อ “พูดจาดูถูกศิษย์พี่ต่อหน้าข้าในยอดเขาวสันต์กระจ่าง… ศิษย์น้องไป๋ อาจารย์ลุงเจิ้นหยางไม่สอนมารยาทอะไรให้เจ้าเลยหรือ”   

 

 


ตอนที่ 144-2 การปฏิเสธ

 

ใบหน้าของไป๋เยี่ยนเฟยเปลี่ยนเป็นสีเขียว


 


 


จากนั้นนางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ข้าพยายามพูดอย่างสุภาพแต่เจ้ากลับไม่เข้าใจ ดังนั้นข้าทำได้เพียงแค่พูดตามจริง ศิษย์น้องไป๋ เจ้าคิดว่าตัวเจ้ามีอะไรที่น่าทึ่งมากงั้นหรือ ถ้าไม่มีอาจารย์ลุงเจิ้นหยางแล้วเจ้าจะเป็นอะไร รากวิญญาณเดี่ยวงั้นหรือ จริงอยู่ที่ต้นทุนของเจ้าดีมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าทุกอย่างขึ้นอยู่กับต้นทุนเพียงอย่างเดียว เราจะยังฝึกตนกันไปเพื่ออะไร เราน่าจะแบ่งระดับกันตามต้นทุนไปเสียเลย! ถูกต้องที่ศิษย์พี่โส่วจิ้งอายุมากกว่าเจ้าเป็นร้อยปี แต่ต่อให้เจ้าได้เวลาร้อยปี เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะสามารถทำสำเร็จแบบเดียวกับที่เขาทำได้? ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา หลังจากหนึ่งร้อยปี เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะสามารถก่อขุมพลังได้”


 


 


“แน่นอนสิ ข้าต้องทำได้!” ใบหน้าของไป๋เยี่ยนเฟยแดงก่ำ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโกรธหรือเพราะอับอาย “ข้ามีรากวิญญาณเดี่ยว ถึงแม้ไม่มีอาจารย์ของข้า ข้าก็สามารถทำได้แน่! ท่านเอาข้าไปเทียบกับไอ้ฉินโส่วจิ้งนั่น”


 


 


“เจ้าเองต่างหากที่เรียกร้องอยากเทียบกับศิษย์พี่โส่วจิ้ง” โม่เทียนเกอจ้องเขาและแสยะยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกหากเจ้าไม่อยากถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเขา ถ้าเป็นเช่นนั้น เรามาเปรียบเทียบกันระหว่างเราสองคนดีไหมล่ะ? ข้าอาจจะไม่ใช่ ‘อัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว’ แต่ข้าก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางแล้วทั้งที่อายุแค่ยี่สิบเก้าปี แล้วเจ้าล่ะ ศิษย์น้องไป๋ผู้เก่งกาจ เจ้าอายุอ่อนกว่าข้าแค่ไม่กี่ปี ทำไมเจ้าถึงเพิ่งจะสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จแค่เมื่อเร็วๆ นี้เอง”


 


 


“นั่นเพราะท่านได้รับชะตาลิขิต!” ไป๋เยี่ยนเฟยตะโกน ตัวสั่นไปด้วยความโกรธ “ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ท่านบังเอิญเจอชะตาลิขิตทันทีหลังจากสร้างฐานแห่งพลังได้ ท่านเลยได้เข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังทันที!”


 


 


“ก็จริง แต่ชะตาลิขิตก็เป็นส่วนหนึ่งของจุดแข็งของคนเช่นกัน” รอยยิ้มของโม่เทียนเกอไม่หายไป “ต่อให้เราเทียบการพัฒนาของเราจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณไปถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง มันจะมีความแตกต่างมากงั้นหรือ ศิษย์น้องไป๋ เจ้าสร้างฐานแห่งพลังเมื่ออายุยี่สิบสองปี แต่ศิษย์พี่โส่วจิ้งสร้างฐานแห่งพลังของเขาเมื่ออายุยี่สิบปี ศิษย์พี่หลิงซีแห่งยอดเขาหยาดน้ำค้างหวานถึงขนาดทำได้ตอนเขาอายุแค่สิบเจ็ดปี เห็นไหม เจ้ายังเอาชนะพวกเขาไม่ได้เลย! งั้นมาพูดถึงตัวข้ากัน ข้าสร้างฐานแห่งพลังเมื่อข้าอายุยี่สิบสามปี ในตอนนั้นข้ายังเป็นคนโชคร้ายที่มีรากวิญญาณห้าธาตุ แต่ข้าช้ากว่าเจ้าไปแค่ปีเดียว เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าสามารถเอาชนะพวกเราทั้งหมดได้”


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาสังเกตเห็นว่าโม่เทียนเกอจ้องเขาเหมือนเขาเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวขณะที่นางพูด “เจ้าควรจะฝึกตนให้ดี ถ้าเจ้าใช้พลังทั้งหมดของเจ้าไปกับเรื่องอย่างการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เจ้าก็ไม่สามารถใช้ชีวิตให้คู่ควรกับชื่อ ‘อัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว’ ได้ในร้อยปีหรอก”


 


 


“ศิษย์พี่โม่!” ไป๋เยี่ยนเฟยไล่ตามนางอีกครั้ง ไม่แน่ชัดนักว่าเป็นเพราะเขารู้สึกยังคุยกันไม่จบหรือเพราะโกรธกันแน่


 


 


ถึงอย่างนั้นครั้งนี้โม่เทียนเกอไม่ได้หยุดอีก นางแค่เหวี่ยงแขนเสื้อ สร้างคลื่นพลังวิญญาณที่กั้นทางเขา เพราะอย่างนั้นไป๋เยี่ยนเฟยทำได้แค่มองอย่างหมดหนทางขณะที่นางก้าวขึ้นบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเหาะออกไป


 


 


เขายืนนิ่ง รู้สึกทั้งไม่พอใจและอับอาย เขาไม่เคยคิดเลยว่าศิษย์พี่โม่คนนี้จะดูถูกเขาเข้าจริงๆ อย่างไรก็ตาม วิธีที่ศิษย์พี่โม่สกัดกั้นเขาได้อย่างง่ายดายด้วยการเคลื่อนไหวง่ายๆ เมื่อครู่นี้ทำให้เขาเข้าใจ… ว่าเขาไม่เก่งเท่านางจริงๆ


 


 


ไม่สิ แน่นอนว่ามันไม่ใช่อย่างนี้! ด้วยความรำคาญ เขาโบกและปล่อยคาถาออกไป ระเบิดพื้นดินเบื้องล่างเขาจนเป็นแอ่งใหญ่ ข้าคืออัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว! ข้าคือศิษย์คนสุดท้ายของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง! ไม่มีทางที่ข้าจะห่วยกว่าคนอื่น! พวกเขาก็แค่โชคดีก็เท่านั้น!


 


 


ทันใดนั้น หน้าผาที่รกร้างขยับเปิดออก ไป๋เยี่ยนเฟยสะดุ้งโหยงและตื่นจากภวังค์ความคิด


 


 


เมื่อเขาหันกลับไป เขาเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูของประตูหินที่เปิดอยู่ กำลังจ้องอย่างเย็นชามาที่เขา “ศิษย์น้องไป๋ เจ้ามาที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างของเราในฐานะแขก ทำไมเจ้าถึงต้องทำลายและทำให้เกิดหลุมบนถ้ำเซียนของข้าด้วยเล่า”


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยจ้องอย่างเหม่อลอยไปที่คนผู้นั้นชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานก็ดึงสติกลับมาได้ พอถึงเวลาที่เขาได้เห็นชัดๆ ว่าชายคนนั้นคือใคร ความโกรธของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกครั้ง “ฉินโส่วจิ้ง! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! ข้าจะสู้กับเจ้า!!!”


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยเอาอาวุธเวทที่อาจารย์มอบให้เขาออกมาอย่างไม่มีเหตุผลและรีบพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเดือดดาล เขาไม่ได้คิดเลยว่าเขาไม่สามารถจะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาได้แน่จากระดับการฝึกตนของเขา


 


 


ฉินซีเพียงแค่ยกมือขึ้น ปล่อยแรงกดดันพลังวิญญาณของเขาออกไปซึ่งตกลงที่ไป๋เยี่ยนเฟยทันที


 


 


การเคลื่อนไหวพลังวิญญาณของไป๋เยี่ยนเฟยกลายเป็นเชื่องช้าและยากมากสำหรับเขาที่จะขยับเขยื้อน เขาไม่พอใจ เขาจึงพยายามเคลื่อนพลังวิญญาณของตัวเองด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อพยายามสู้กลับ อย่างไรก็ตาม แรงกดดันพลังวิญญาณนี้แข็งแกร่งเกินไป “อุก–” ไป๋เยี่ยนเฟยกระอักเลือดออกมาและล้มลงที่พื้น


 


 


ฉินซีถอนพลังวิญญาณของเขาออกและพูดอย่างเรียบเฉย “ศิษย์น้องไป๋ ในเมื่อเจ้าไม่มีความเคารพต่อผู้อาวุโส อย่าโทษข้าที่สั่งสอนเจ้าแทนอาจารย์ลุงเจิ้นหยาง!”


 


 


“จ-เจ้า…” ไป๋เยี่ยนเฟยนอนอยู่บนพื้น ไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาถูกเอาชนะหรือเพราะเขาโกรธ แต่ขณะที่เขาคิดถึงสิ่งที่เขาเพิ่งเจอมา จู่ๆ ความเศร้าก็ท่วมท้นขึ้นมากะทันหันทำให้เขาร้องไห้ออกมาทันที ทำไมชีวิตของเขาถึงขมขื่นนัก เขาเพิ่งถูกคนคนหนึ่งบอกปฏิเสธ และตอนนี้ศัตรูความรักของเขาก็กำลังให้บทเรียนกับเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ น่าขายหน้าที่สุด!


 


 


ขณะที่เขาร้องไห้โฮออกมา ฉินซีถึงกับตกใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนระหว่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเห็นศิษย์น้องไป๋คนนี้มานานหลายปี ตอนนี้เขาโตแล้วแต่อารมณ์ของเขายังคงเหมือนเด็ก


 


 


หลังจากร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดไป๋เยี่ยนเฟยก็เช็ดหน้าและคลานขึ้นจากพื้นพร้อมกับสะอึกสะอื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและน้ำมูก รวมกับเลือดที่เขากระอักออกมาเปรอะอยู่ทั่วใบหน้า รูปลักษณ์ของคุณชายผู้สง่างามหายไปในทันทีและกลายเป็นแมวหลากสีเลอะเทอะแทน


 


 


เขาต้องการยืดตัวเพื่อเขาจะได้ปัดฝุ่นบนชุดคลุมออกและจัดผมให้เรียบร้อยจะได้กลับบ้านในสภาพที่เกลี้ยงเกลา อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขายืนตรง เขาเห็นฉินซีอีกครั้งและรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกรอบ “ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่!”


 


 


ฉินซีพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่นี่คือถ้ำเซียนของข้า แน่นอนว่าข้าต้องอยู่ที่นี่”


 


 


“เจ้า…” เมื่อนึกได้ว่าเขาเพิ่งทำตัวเองขายหน้าต่อหน้าฉินซีมาสักพักแล้ว ทันใดนั้นไป๋เยี่ยนเฟยก็รู้สึกอับอายมากจนเขาอยากตาย เขาจ้องฉินซีอย่างดุดัน แต่ฉินซีแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นการจ้องของเขาและเพียงแค่พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและเรียบเฉยเหมือนเดิม “ศิษย์น้องไป๋ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เจ้าควรรีบกลับไปที่ยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณซะ ข้าจะไม่รั้งตัวเจ้าไว้นานกว่านี้”


 


 


“ข้า…” ใครจะอยู่ต่อ!


 


 


ฉินซีไม่รอให้เขาพูดจนจบประโยค เขาหันกลับและเข้าไปในถ้ำ ประตูหินปิดลงอีกครั้งและม่านพลังมายาถูกเปิดใช้งาน เปลี่ยนภาพทิวทัศน์กลับไปเป็นยอดเขาที่ปกติธรรมดา


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวยืนงุนงง ลมพัดใบหน้าที่เหมือนกับแมวหลากสีเลอะเทอะของเขา โดยรวมแล้วเขาช่างเป็นภาพที่น่าสังเวชใจที่ได้เห็น


 


 



 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคมที่บ้านพักหมิงชินด้วยความโกรธ ภาพที่ปรากฏให้นางเห็นคือเยี่ยเจินจีและเพื่อนของเขา หวาหลิง กำลังหยอกล้อและเล่นกับเสี่ยวหั่วสัตว์วิเศษไฟนรกในสนาม เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งสองคนก็ยืนขึ้นทันที


 


 


“ท่านอา!”


 


 


“อาจารย์ลุง!”


 


 


พอสังเกตเห็นว่าพวกเขาดูกลัวแค่ไหน โม่เทียนเกอรีบฝืนยิ้มน้อยๆ “โอ้ หวาหลิงนี่เอง เจ้าทั้งสองกำลังเล่นอะไรกันอยู่?”


 


 


“ไม่ ไม่” เยี่ยเจินจีพูดทันที “เราไม่ได้เล่นเสี่ยวหั่ว เรากำลังเล่นกับเสี่ยวหั่ว!”


 


 


ครั้งนี้คำตอบของเขาทำให้รอยยิ้มที่แท้จริงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ ตอนนี้เสี่ยวหั่วเป็นสัตว์วิเศษที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นแล้ว ด้วยนิสัยเชื่องๆ ของมัน มันจึงกลายเป็นของเล่นของเด็กสองคนนี้ พวกเขามักจะขอเสี่ยวหั่วให้ช่วยพวกเขาทำนั่นทำนี่ พวกเขาคิดว่านางไม่รู้ แต่นางจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่พวกเขาเข้าใจขีดจำกัดและไม่เคยเล่นอะไรเกินเลย ดังนั้นนางจึงปล่อยให้พวกเขาทำตามใจ อีกอย่าง พอมีเสี่ยวหั่วอยู่เป็นเพื่อน นางก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะไปมีอุบัติเหตุอะไร


 


 


“เอาล่ะ เจ้าสองคนเล่นต่อไปเถอะ” นางพูดพร้อมลูบหัวเยี่ยเจินจี หลังจากปล่อยให้เด็กชายทั้งสองคนเล่นกันเอง นางก็เดินไปยังห้องฝึกตนต่อ


 


 


ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมก่อนหน้านี้ สายลมเย็นยังคงพัดอย่างอ่อนโยน ท้องฟ้ายังคงสดใส และน้ำก็ยังใสแจ๋ว


 


 


โม่เทียนเกอนั่งอยู่ภายในกระท่อมเล็กๆ นางต้องการสงบอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง ดังนั้นนางจึงหยิบเอกสารมาม้วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากจ้องอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็โยนหนังสือและจดหมายทั้งหมดในกระท่อมออกไป


 


 


หนังสือและจดหมายที่ทำจากวัสดุหลายอย่างเหล่านั้นตกลงทีละเล่มบนกระดานไม้ไผ่ภายนอกและเกิดเสียงกระทบกันดัง


 


 


นางหอบหายใจอย่างหนัก ไม่นานหลังจากนั้น นางนั่งลงและซุกหน้าอยู่ภายในข้อพับแขนของนาง รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก


 


 


อาจารย์ลุงจิ้งเหอบอกว่าฉินโส่วจิ้งพาท่านกลับมาเพราะเขาต้องการท่านเพื่อตัวเขาเอง!


 


 


อาจารย์ลุงจิ้งเหอบอกว่าฉินโส่วจิ้งพาท่านกลับมาเพราะเขาต้องการท่านเพื่อตัวเขาเอง!


 


 


จิตใจของนางเอาแต่ทวนสิ่งที่ไป๋เยี่ยนเฟยพูดซ้ำๆ และไม่ยอมหยุด


 


 


ถึงแม้ว่านางจะแสร้งว่าคำพูดเหล่านั้นไม่สำคัญและยังคงท่าทีที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนั้น แต่นางก็ยังไม่อาจอดกลั้นอารมณ์โกรธที่อยู่ในจิตใจไว้ได้


 


 


ที่จริงนางรู้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างนั้น ไม่ว่าไป๋เยี่ยนเฟยจะก้าวร้าวแค่ไหน แต่เขาคงไม่บ้าโกหกคำพูดเช่นนั้นหรอก ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่รู้เลยว่าคำพูดจริงๆ แล้วพูดว่าอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่รู้ความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังมันเหมือนกัน นางอดไม่ได้ที่จะเริ่มเดาไปเรื่อย พวกเขามีแผนเช่นนั้นจริงๆ หรือ


 


 


ด้วยโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง นางไม่กลัวต่อให้คนอื่นคิดร้ายกับนาง แต่เพียงแค่… นางรู้สึกไม่ชอบใจถ้าคนคนนั้นมีเจตนาชั่วร้ายกับนางจริง

 

 

 


ตอนที่ 145-1 เฉลิมฉลองให้กับการเข้าสู...

 

ณ ช่วงเวลานี้ ในที่สุดเรื่องราวดอกท้อเน่าก็จบลง ในภายหลังโม่เทียนเกอได้ยินว่าประมุขเต๋าเจิ้นหยางเรียกศิษย์น้องไป๋กลับไปด้วยความโมโหและกักบริเวณเขา จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ดูเหมือนจะหายไปจากสายตาของนาง แม้กระทั่งตอนที่นางไปที่ยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณเพื่อจัดการเรื่องบางอย่าง นางก็ไม่เห็นศิษย์น้องไป๋อีกเลย วันของนางกลับมาสุขสงบอีกครั้ง


 


 


เมื่อเวลาผ่านไป นางค่อยๆ คุ้นชินกับที่โรงเรียนและเป็นที่เคารพจากศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณ ประมุขเต๋าจิ้งเหอในที่สุดก็ตกลงว่านางไม่จำเป็นต้องไปที่โถงเหมิงเสวียทุกวันอีกต่อไป มันเพียงพอสำหรับนางแล้วที่จะไปแค่ครั้งคราวตามที่โถงคนงานจัดการให้


 


 


นอกเหนือไปจากนั้น ภารกิจทั้งหมดที่ตำหนักซ่างชิงถูกส่งกลับคืนไปให้พวกสาวใช้ แต่โม่เทียนเกอต้องคอยควบคุมดูแลพวกนาง ถ้าเกิดสิ่งผิดพลาดนางจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบ


 


 


ด้วยวันเวลาที่ผ่านไปเช่นนี้ โม่เทียนเกอพบว่าสถานะของนางที่โรงเรียนเสวียนชิงนั้นเติบโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยไม่จำเป็นต้องบอก ศิษย์ระดับต่ำเรียกนางว่าท่านปรมาจารย์ แต่ในตอนนี้แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็ยังเรียกนางว่าท่านอาจารย์ลุงด้วยความจริงใจ


 


 


ดังนั้นนางฝังคำที่นางได้ยินจากไป๋เยี่ยนเฟยที่พบเมื่อครั้งล่าสุดทิ้งไปทั้งหมด


 


 


ไม่ว่าจะด้วยเจตนาอันใดที่มีต่อนางตั้งแต่ต้น นางมองเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้แล้วว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอปฏิบัติต่อนางดีแค่ไหน ถ้าเขารับนางเข้ามาในฐานะ… มนุษย์ร่างเตาหลอมพร้อมใช้งาน แล้วทำไมเขาจะต้องพยายามเพื่อนางมากมายขนาดนั้น เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ นางก็จะยังคงแสร้งทำเหมือนกับว่านางไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน


 


 


แต่ละปีผ่านไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ถึงแม้ว่านางจะมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่ระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอก็ไม่ได้พัฒนาเร็วเกินไป ในตอนแรก นางจงใจชะลอการฝึกตนเพื่อคงความแข็งแกร่งของฐานแห่งพลังของนางและเพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะจิตใจที่ไม่มั่นคงซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการก่อแก่นขุมพลังของนางในอนาคตได้ อย่างที่สอง ถึงแม้ว่าจะมีพืชวิญญาณมากมายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน พืชทั้งหมดส่วนมากนั้นอยู่ในระดับคุณภาพที่ดี นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในตอนนี้ ดังนั้นนางยังไม่สามารถใช้พวกมันได้มากนัก


 


 


สามปีผ่านไป โม่เทียนเกออายุสามสิบสองแล้วในตอนนี้ อย่างไรก็ตามนางยังคงดูเหมือนกับช่วงวัยสิบแปด สิบเก้าอยู่ มันมีหลายสาเหตุเกี่ยวกับเรื่องนี้ สาเหตุแรก ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของนาง ตอนนี้มันควรจะถูกเรียกว่าศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด ส่งผลในการคงไว้ซึ่งรูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์ สาเหตุที่สอง นางได้ทานยาคงรูปก่อนหน้านี้ นอกไปจากว่านางได้พบกับปัจจัยบางอย่าง รูปลักษณ์ของนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดช่วงชีวิตนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีทั้งสองสาเหตุ นางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง เมื่อเทียบกับช่วงอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่คาดว่าจะอยู่ได้สามร้อยถึงสี่ร้อยปีนั้น นางถือว่ายังอ่อนเยาว์มาก


 


 


ในทางกลับกัน เยี่ยเจินจีโตขึ้น ตอนนี้เขาเป็นวัยรุ่นอายุสิบห้าปีแล้ว เขาสูงขึ้นและใบหน้าของเขาเริ่มดูโตมากขึ้น แม้กระทั่งเสียงของเขาก็เริ่มแหบต่ำเช่นกัน โม่เทียนเกอไม่ใช่คนที่สูงมาตั้งแต่แรก ดังนั้นเยี่ยเจินจีจึงสูงเทียบเท่ากันกับนางแล้ว คาดว่าอีกไม่นานนางต้องเงยหน้ามองเขาอย่างแน่นอน


 


 


อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นว่าเยี่ยเจินจีปฏิบัติต่อนางอย่างไร เขายังคงพึ่งพานาง ชื่นชมและยังคงมองนางเป็นผู้อาวุโสที่เคารพเช่นเดิม ในขณะที่เขาไม่สามารถจำอาจารย์ในนามของเขาได้แม้แต่น้อย


 


 


การฝึกตนของเยี่ยเจินจีพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอใจดีที่จะมอบยาวิเศษที่เหมาะกับระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณและสมบัติต่างๆ แก่เขา ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในระดับเจ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นเขาสามารถไล่ทันหวาหลิงได้แล้ว ด้วยการโน้มน้าวของโม่เทียนเกอ เด็กคนนี้ขยันขันแข็งในการฝึกตนอย่างมาก และเขามีทั้งต้นทุนธรรมชาติและมุมมองความคิดที่ดี หากมีเวลาเพิ่มเขาจะต้องบรรลุผลสำเร็จอย่างมากแน่นอน


 


 


คนจากตระกูลเยี่ยยังคงติดต่อกับเขาอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่พวกเขามักจะส่งของต่างๆ มาให้ พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการมีอยู่ของโม่เทียนเกอ พวกเขารู้เพียงแค่ว่าเยี่ยเจินจีได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง พวกเขาดีใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากดังนั้นพวกเขาจึงส่งของมามากมายเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการตอบแทน ของเหล่านี้ได้ส่งมอบให้อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งอย่างพอเป็นพิธี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ตกเป็นของโม่เทียนเกอในท้ายสุด เมื่อเห็นเครื่องบรรณาการตอบแทนซึ่งเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ในโลกมนุษย์เหล่านั้น โม่เทียนเกอก็มั่นใจขึ้นมาเพราะนางรู้ว่าตระกูลเยี่ยนั้นจัดการได้ดีมากในโลกมนุษย์


 


 


ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้มีความชอบใดต่อตระกูลเยี่ย แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นตระกูลของนาง ควบคู่ไปกับความจริงที่ท่านอาที่สองมอบความรับผิดชอบนั้นไว้กับนาง มันก็เป็นเรื่องปกติที่นางจะทำให้ดีที่สุดเพื่อพวกเขาภายใต้อำนาจของนาง


 


 


หลังจากผ่านไปสามปี เหตุการณ์น่ายินดีอย่างยิ่งก็เกิดขึ้นที่โรงเรียนเสวียนชิงอีกครั้ง ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ เขาได้เป็นประมุขเต๋าเสวียนอินแล้วในตอนนี้!


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางส่งข้อความแสดงความยินดีและเปลี่ยนการเรียกเขาให้ถูกต้องในตอนที่ส่งไปให้เขา ต่อไปนี้นางจะต้องเรียกเขาท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินอีกครั้ง หลัวเฟิงเสวี่ยและคนอื่นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของระดับชั้นเดียวกันกับนาง


 


 


ในการที่ผู้หนึ่งได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ การจัดลำดับผู้อาวุโสของพวกเขาจะเลื่อนขั้นขึ้น และพวกเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่อาวุโสที่สุด ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับท่านอาจารย์จะยังคงอยู่ แต่พวกเขาก็จะตั้งอีกหนึ่งฝ่ายแยกเดี่ยวออกมา แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายท่านอาจารย์ของพวกเขาอย่างเช่นที่ผ่านมา


 


 


โรงเรียนเสวียนชิงมีทั้งหมดหกยอดเขารวมกัน มีห้าผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ถือครองอยู่ในแต่ละยอด ในตอนนี้เมื่อประมุขเต๋าเสวียนอินได้เลื่อนขึ้นมาในตำแหน่งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนที่หก ยอดเขาที่ยังคงว่างอยู่จึงถูกแบ่งให้เขา ตั้งแต่นี้ไป ประมุขเต๋าเสวียนอินและศิษย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาจะถูกย้ายไปที่ยอดเขาหยาดน้ำค้างหวาน


 


 


จากการเข้าสู่ระดับดินแดนขั้นต่อไปของประมุขเต๋าเสวียนอิน ประมุขเต๋าจิ้งเหอตั้งใจที่จะเรียกโม่เทียนเกอและสั่งสอนนาง


 


 


ต้นทุนของประมุขเต๋าเสวียนอินนั้นเยี่ยมยอด เขาเป็นศิษย์เพียงไม่กี่คนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวซึ่งโรงเรียนเสวียนชิงจะพบเจอแค่ครั้งหนึ่งในรอบหลายร้อยปี อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยที่จะกระหายถึงตำแหน่งอัจฉริยะต่างๆ และมุ่งมั่นแต่เพียงแค่การฝึกตนอย่างเหมาะสมเท่านั้น วางรากฐานอย่างมั่นคงทีละขั้นตอน ในตอนนี้เขาอายุมากกว่าสี่ร้อยปีแล้ว และเป็นเพียงแค่ตอนนี้หลังจากที่เขาสร้างฐานได้มั่นคงจนสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถประสบความสำเร็จในความพยายามครั้งแรกนี้


 


 


เรื่องนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุดในการสอนโม่เทียนเกอ ขณะที่ถือครองศาสตร์แห่งต้นกำเนิด โม่เทียนเกอสามารถพาตัวเองออกจากการเป็นคนที่มีรากวิญญาณที่แย่และสามารถนับได้ว่าเป็นคนอัจฉริยะด้วยต้นทุนของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้ว่าการฝึกตนของนางนั้นคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงย้ำเตือนกับนาง ไม่ว่าต้นทุนของนางจะดีเพียงใด ด้วยฐานที่มั่นคงเท่านั้นที่จะช่วยให้นางสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าด้วยความพยายามเพียงแค่เล็กน้อย


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจได้เป็นอย่างดีเพราะนางเองก็ระมัดระวังถึงปัญหานี้ การเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังในอายุยี่สิบสามนั้นถือว่าเร็วมากแล้ว แต่นางก็ก้าวจากขั้นต้นสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ในทันที หากนางนำพืชวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนออกมาขาย นางก็จะสามารถจัดหายารวมวิญญาณไว้ให้กับตัวเองได้มากพอ ผลที่ได้คือนางก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ภายในสิบถึงยี่สิบปีอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ระดับการฝึกตนที่ข้ามผ่านได้สำเร็จโดยการทานยาวิเศษจำนวนมากนั้นไม่ปลอดภัยไปด้วยอันตรายที่มองไม่เห็น สภาพจิตใจของนางจะไม่สามารถไล่ตามระดับการฝึกตนของตัวเองทันได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาระหว่างที่นางกำลังจะข้ามผ่านดินแดน


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกพึงพอใจที่นางเข้าใจในความหมายนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็บ่นพึมพำอย่างเบาๆ “มันจะดีแค่ไหนกันถ้าไอ้เจ้าตัวเหม็นเหลือขอนั้นเข้าใจบ้างเช่นกัน…”


 


 


เรื่องการเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ของประมุขเต๋าเสวียนอินนั้นไม่เพียงแต่เป็นแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับโรงเรียนเสวียนชิงเท่านั้น แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อโครงสร้างลำดับกลุ่มผู้ฝึกตนใหญ่ในขั้วแห่งท้องฟ้าและความสับสนวุ่นวายในทุกกลุ่ม

 

 

 


ตอนที่ 145-2 เฉลิมฉลองให้กับการเข้าสู...

 

การจลาจลของสัตว์ปีศาจเพิ่งจบลงอย่างเป็นทางการ เพราะโรงเรียนเสวียนชิงได้ทำการปิดผนึกภูเขาล่วงหน้า สูญเสียผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังและระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปหลายคน แต่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณส่วนมากนั้นยังอยู่รอดปลอดภัย ศิษย์หลายคนที่มีต้นทุนดีได้รับการปกป้องไว้ทั้งหมด คาดว่าในอีกห้าสิบถึงหกสิบปีต่อไปโรงเรียนน่าจะกลับสู่ความรุ่งโรจน์ตามเดิมอีกครั้ง


 


 


ในทางกลับกัน ระหว่างหกกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ โรงเรียนตานติ่งได้สูญเสียความแข็งแกร่งที่จำเป็นต้องรวมอยู่ในเจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายร้อยปีในการฟื้นคืนความแข็งแกร่งของพวกเขากลับมา สำหรับสำนักเทียนเต้า พวกเขาเป็นกลุ่มการฝึกตนที่มีพละกำลังมาก ซึ่งสามารถปกป้องศิษย์ที่สำคัญเอาไว้ได้ แต่เนื่องจากการคาดการที่ผิดพลาดตั้งแต่แรกของการจลาจล ความสูญเสียของพวกเขาจึงรุนแรงมากกว่าโรงเรียนเสวียนชิง


 


 


อีกกลุ่มการฝึกตนที่ไม่ได้ทนทุกข์ทรมานจากความเสียหายใหญ่หลวงคือโรงเรียนเจิ้งฝ่า ซึ่งตั้งอยู่โซนน้ำแข็งทางด้านเหนือสุดของขั้วแห่งท้องฟ้า พวกเขาได้เปลี่ยนเป็นสำนักเจิ้งฝ่าแล้วในตอนนี้ มีเพียงสาขาเดียวในคุนอู๋ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะทรมานจากความเสียหายบ้างแต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ความเป็นอยู่ในธารน้ำแข็งตอนเหนือสุดค่อนข้างยากลำบาก ถึงแม้ว่าโรงเรียนเจิ้งฝ่าจะเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เพียงกลุ่มเดียวที่นั่น แต่ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็ไม่สามารถเทียบได้กับการพัฒนาของสำนักเทียนเต้าหรือโรงเรียนเสวียนชิงแม้แต่น้อย หากไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ก่อตั้งสาขาในคุนอู๋


 


 


สาเหตุว่าทำไมโรงเรียนเสวียนชิงถึงอยู่อันดับรองลงมาจากสำนักเทียนเต้าก็เพราะมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่น้อยกว่าสำนักเทียนเต้า สำนักเทียนเต้ามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่อยู่ทั้งหมดเจ็ดคน ในขณะที่โรงเรียนเสวียนชิงมีเพียงแค่ห้าคน แต่เมื่อดูจำนวนของศิษย์ ทั้งสองกลุ่มนั้นไม่ได้ต่างกันมากนัก


 


 


ในตอนนี้เมื่อประมุขเต๋าเสวียนอินได้เข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่อย่างไร้ซึ่งอุปสรรค จำนวนผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงจึงเพิ่มเป็นหกคน ถึงแม้ว่าประมุขเต๋าหลิงซวีดูเหมือนว่าจะสิ้นอายุขัยในอีกร้อยปีข้างหน้า แต่อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งก็ได้เข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างเรียบร้อยแล้ว ด้วยนิสัยของเขา การเพิ่มผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อีกหนึ่งคนในโรงเรียนเสวียนชิงภานในร้อยปีข้างหน้าไม่น่าจะเป็นปัญหา อีกอย่างยังคงมีอาจารย์เต๋าหลิงซีผู้ซึ่งเป็นอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว ในขณะนี้เขาได้อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง มันเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถพัฒนามากขึ้นในอีกร้อยปีข้างหน้า


 


 


เมื่อถึงเวลานั้น จำนวนผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงก็จะเพิ่มเป็นเจ็ดคน และเกือบทั้งหมดนั้นล้วนเป็นคนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดซึ่งยังไม่ได้ใช้อายุขัยของพวกเขาไปถึงครึ่งด้วยซ้ำ ตอนนี้ประมุขเต๋าเจิ้นหยางอายุพันปี ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนจิตวิญญาณใหม่ ดังนั้นจึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่เขาจะอยู่ไปได้อีกเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยปี ประมุขเต๋าจิ้งเหอมีอายุอยู่ที่แปดร้อยปีและระดับการฝึกตนของเขาได้อยู่จุดสูงสุดของขั้นกลางในดินแดนจิตวิญญาณใหม่แล้วในตอนนี้ ตราบใดที่เขาได้ครอบครองชะตาลิขิต เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายได้ ผู้ที่มีสายตาแหลมคมน่าจะสามารถคาดเดาได้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะรุ่งโรจน์ขนาดไหนในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า


 


 


ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าสำนักเทียนเต้าจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อยู่เจ็ดคน สามคนในนั้นแทบจะสิ้นอายุขัยแล้วและดูเหมือนว่าจะสิ้นชีวิตลงในอีกสองร้อยถึงสามร้อยปีข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของพวกเขาก็ยังด้อยกว่ารุ่นของผู้ฝึกตนอายุน้อยที่มีความสามารถที่โรงเรียนเสวียนชิงมีเสียอีก


 


 


เพราะฉะนั้นเมื่อประมุขเต๋าเสวียนอินประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ และโรงเรียนเสวียนชิงได้ส่งคำเชิญให้กับกลุ่มการฝึกตนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เหล่ากลุ่มการฝึกตนที่ได้รับคำเชิญต่างครุ่นคิดว่าควรที่จะส่งเครื่องบรรณาการใดมาเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีต่อโรงเรียนเสวียนชิงให้ลึกซึ้งขึ้น


 


 


ระหว่างพวกเขา ท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของสำนักเทียนเต้าเป็นผู้ที่ลังเลที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกลุ่มการฝึกตนของพวกเขาในขั้วแห่งท้องฟ้านั้นอาจถูกคุกคาม


 


 


กระนั้นไม่ว่าใครจะคิดเช่นไร โรงเรียนเสวียนชิงก็ได้เริ่มเตรียมตัวเฉลิมฉลองในความสำเร็จของประมุขเต๋าเสวียนอินที่เข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่อย่างกระตือรือร้น


 


 



 


 


โม่เทียนเกอต้องปวดหัว… หนักหน่วงทีเดียว


 


 


แขกผู้มาเยือนมากมายมางานฉลองจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิงในครั้งนี้ แขกทั่วๆ ไปจะรับรองด้วยศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่สำหรับแขกระดับสูง ศิษย์ระดับหัวกะทิเช่นพวกนางจะต้องเป็นคนรับรองด้วยตัวเอง


 


 


เพราะเรื่องนี้โม่เทียนเกอได้สาปแช่ง ‘ศิษย์พี่โส่วจิ้ง’ อยู่ภายในใจผู้ซึ่งอ้างว่ากำลังปิดประตูแห่งจิตเพื่อฝึกตน ทำไมเขาถึงมีอิสระจากเรื่องนี้ได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำในขณะที่นางต้องพักทุกอย่างที่เกี่ยวกับการฝึกตนเพื่อทำให้ตัวเองต้องมายุ่งเกี่ยวกับการจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วย


 


 


แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ดังนั้นนางจึงต้องเชื่อฟัง และทำในสิ่งที่นางโดนบอกให้ทำ


 


 


เกี่ยวกับอาจารย์ของนางคนนี้ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพนัก นางก็เคารพเขาอย่างแท้จริงภายในใจของนาง สถานะปัจจุบันและเส้นทางที่ราบรื่นในการฝึกตนของนางนั้นเกิดขึ้นเพราะเขา


 


 


“ยินดีต้อนรับสู่ภูเขาไท่คัง สหายแห่งเต๋าที่น่ายกย่องทั้งหลาย ข้าได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับพวกท่าน ข้าโม่เทียนเกอ ศิษย์แห่งประมุขเต๋าจิ้งเหอ”


 


 


ครั้งนี้ผู้ฝึกตนที่มาถึงมาจากกลุ่มการฝึกตนขนาดกลาง ระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่ได้สูงแต่ก็ไม่ได้ต่ำนัก ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้การรับรองจากศิษย์พี่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของนางแล้ว ดังนั้นนางจึงรับหน้าที่ดูแลต้อนรับศิษย์ที่มากับพวกเขาแทน ถึงแม้ว่านางจะต้อนรับพวกเขาด้วยตนเอง มันก็ไม่ได้แสดงถึงการไม่ให้เกียรติด้วยสถานะตำแหน่งของนาง


 


 


เป็นไปตามที่นางคาด เมื่อศิษย์ทั้งเจ็ดหรือแปดคนนี้ได้ยินตัวตนของนาง พวกเขาประหลาดใจในทันที หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ตอบรับการทักทายของนางทีละคน สายตาของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชม


 


 


หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างมีไหวพริบและพูดอย่างคล่องแคล่ว “คารวะท่านอาจารย์ลุงโม่! ข้าชื่อเหวยซื่อเต๋อ ข้าเป็นศิษย์จากภูเขาปี้หลิง”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มกลับทันทีพร้อมตอบ “ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการนัก ระดับการฝึกตนของพวกเราไม่ได้ห่างกันแต่อย่างใด ท่านเรียกข้าว่าศิษย์น้องก็พอ”


 


 


“นั่นจะถูกต้องได้อย่างไร” ผู้นั้นยิ้มอย่างประจบสอพลอและพูด “อาจารย์ลุงเป็นถึงศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ หากทำเช่นนั้นจะเป็นการไม่เคารพท่านอย่างมาก”


 


 


“ศิษย์พี่สุภาพเกินไปแล้ว” โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้ดูภูมิใจแม้แต่น้อย “ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงเรียกข้าว่าอาจารย์ลุงเพราะพวกเขากลัวว่าลำดับขั้นความอาวุโสภายในโรงเรียนจะวุ่นวาย ศิษย์พี่ไม่ได้มาจากโรงเรียนเสวียนชิงดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก ระดับการฝึกตนของพวกเราค่อนข้างเท่าเทียมกัน พวกเราสามารถพูดคุยกันอย่างเท่าเทียมได้”


 


 


“นี่…” ผู้นั้นดูเหมือนกับจะพูดบางอย่าง แต่เสียงแค่นหัวเราะอย่างเยือกเย็นดังออกมาจากกลุ่มคน หลังจากนั้นไม่นาน ใครบางคนก็พูดขึ้นมาอย่างเหยียดหยาม “ศิษย์พี่เหวย ทำไมท่านถึงอยากเป็นผู้เข้าสังคมนัก ท่านไม่ได้มองตัวเองหน่อยหรือ คนบางคนอาจหัวเราะจนหัวแทบหลุดออกจากไหล่ได้เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้!”


 


 


คำพูดของคนผู้นั้นเต็มไปด้วยการเหยียดหยามและเยาะเย้ย ทำให้ท่าทางของเหวยซื่อเต๋อเปลี่ยนไปในทันที เขาหันกลับไปจ้องมองชายหนุ่มในกลุ่มคน “ต่งต้าเฟิง ข้าจะไม่ลดตัวเองลงไปต่อปากต่อคำกับคนที่ไร้ซึ่งมารยาทเช่นเจ้า!”


 


 


ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มเยาะ “เจ้าจะไม่ลดตัวลงมาเถียงกับข้า หรือเจ้ากลัวที่จะต้องถูกหัวเราะจากศิษย์น้องแห่งโรงเรียนเสวียนชิงกันแน่”


 


 


“เจ้า…”


 


 


ขณะที่เห็นทั้งสองคนดูเหมือนกำลังจะต่อสู้กัน โม่เทียนเกอจึงรีบพูดขึ้นในทันที “ศิษย์พี่ทั้งสอง!”


 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ยังคงเป็นเจ้าบ้าน ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงนาง ทั้งสองคนจึงหยุดพูดและหันแยกจากกันไป


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม “ศิษย์พี่ ในเมื่อทั้งสองท่านมาที่โรงเรียนเสวียนชิงเพื่อแสดงความยินดีต่อท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน เอาเป็นว่าทั้งสองแสดงความเคารพต่อท่านด้วยการจบเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้ดีหรือไม่”


 


 


ในเมื่อนางอ้างถึงประมุขเต๋าเสวียนอิน ทั้งสองคนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดการโต้เถียงกัน ทั้งสองคนต่างประกบมือให้นางเพื่อแสดงความขอโทษ “ศิษย์น้องพูดถูกต้องแล้ว” บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้ยินชายหนุ่มนั้นเรียกนางว่า ‘ศิษย์น้อง’ เหวยซื่อเต๋อจึงเปลี่ยนวิธีที่เขาเรียกนางเนื่องด้วยเขาไม่ต้องการให้ชายหนุ่มนั้นได้เปรียบไปมากกว่าเขา


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอก “ทุกท่านเพิ่งเดินทางมาถึงภูเขาไท่คัง ข้าคิดว่าทุกท่านคงเหนื่อยกันมากแล้ว คิดอย่างไรหากข้าพาทุกท่านชมที่พักกันในตอนนี้”


 


 


พวกเขาต่างไม่ปฏิเสธใดๆ หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณก็ได้นำกลุ่มผู้ฝึกตนเหล่านั้นไปโดยมีโม่เทียนเกอตามหลังเพื่อช่วยจัดการเรื่องที่พัก


 


 


เมื่อนางจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้วและกำลังจะจากไป ผู้ฝึกตนคนหนึ่งตามนางออกมาจากสวนขนาดเล็ก


 


 


โม่เทียนเกอเดินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะหยุดในทันทีและเรียกด้วยเสียงอันดัง “นั่นใคร!”


 


 


นางถือกระสวยอัปสราและผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไว้ในมือ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เมื่อนางสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อนางหันกลับไปนางก็ต้องตกตะลึง


 


 


ผู้ฝึกตนที่ตามหลังนางมานั้นอยู่ในระดับต้นของการสร้างฐานแห่งพลังในชุดคลุมสีดำ เขาสูงมาก นางอยู่สูงเพียงแค่ระดับคางของเขาเท่านั้นเอง


 


 


“ศิษย์น้อง… เยี่ย?” ผู้ฝึกตนนั้นพูดอย่างสงสัย “เจ้าคือศิษย์น้องเยี่ยใช่หรือไม่?”


 


 


เพียงพริบตา โม่เทียนเกอรีบสงบจิตใจของนาง นางหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่หลิ่ว ไม่ได้พบกันนานทีเดียว”


 


 


ผู้นั้นคือหลิ่วอีเตา หนึ่งในสหายเพียงไม่กี่คนที่นางยังคงมีเหลืออยู่ที่สำนักอวิ๋นอู้


 


 


เมื่อได้ยินคำตอบของนาง รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏออกมาบนใบหน้าของหลิ่วอีเตา เขาก็หัวเราะเช่นกัน เมื่อเขาหยุด ดวงตาของเขามีน้ำคลอเบ้าไปครึ่งหนึ่ง “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ายังมีชีวิตอยู่! เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ! มหัศจรรย์!”


 


 


โม่เทียนเกอไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้ นางจากสำนักอวิ๋นอู้มาแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเวลานานมากแล้วที่นางนึกถึงพวกเขาครั้งล่าสุด ในเวลานั้น นางหนีไปเพื่อชีวิตของตัวเอง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะอำลาพวกเขาเหล่านั้นแม้แต่น้อย อีกอย่างผู้คนที่นางใส่ใจนั้นล้วนแล้วแต่มีครอบครัวหรือตระกูลอย่างเช่นมู่หรงเหยียน หรือมีอนาคตที่พอคาดเดาได้อย่างหลิ่วอีเตา ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา ตอนนี้เห็นได้จากความเป็นจริงว่าหลิ่วอีเตาได้เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังและยังได้มาร่วมแสดงความยินดีในฐานะตัวแทนของสำนักตัวเองอีกด้วย เขาเป็นไปด้วยดีทีเดียว โม่เทียนเกอรู้สึกมีความยินดีมาก แต่เพราะนี่เป็นสิ่งที่นางคาดการณ์ไว้นางจึงสงบลงได้อย่างรวดเร็ว


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน หลิ่วอีเตารีบดึงสติกลับคืน “ศิษย์น้องเยี่ย อย่าได้ถือโทษโกรธข้า ได้พบกับสหายเก่าทำให้ข้าลืมตัวไปหน่อย”


 


 


“ศิษย์พี่หลิ่วรู้สึกยินดีกับข้า ข้าจะถือโทษโกรธท่านเพราะเรื่องนั้นหรือ” เมื่อเห็นหน้าตาท่าทางของหลิ่วอีเตา โม่เทียนเกอนั้นยินดีแต่นางก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ศิษย์พี่หลิ่วท่านจำข้าได้อย่างไร”


 


 


หลิ่วอีเตาหัวเราะเบาๆ “ข้าถูกจัดให้พักที่นั่น” เขาชี้ไปยังที่พักของแขกไม่ไกลจากพวกเขานัก “เมื่อข้าเห็นเจ้าเข้ามาเมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าข้ามองไม่ผิด คนสองคนจะดูเหมือนกันมากขนาดนั้นได้อย่างไร ถึงแม้ว่าการแต่งตัวของเจ้าในตอนนี้นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเจ้าก็ดูคลับคล้ายคลับคลา ดังนั้นข้าจึงตามเจ้ามาเพื่อต้องการการยืนยันอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่ข้าตามมาถามเจ้า และมันก็เป็นเจ้าจริงๆ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม