วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 14.10-15.2

ตอนที่ 14-10

 

“ไม่นึกเลยว่าท่านอาจารย์จะมาด้วยตนเองขอรับ” 


 


 


“กระหม่อมต้องปฏิบัติตามพระบัญชาสิพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท” 


 


 


โฮจินมองดูการเต้นรำของนางระบำที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร้อารมณ์ ไม่สิ ใบหน้าของจินดูไม่สบอารมณ์จนสังเกตได้ คงเป็นเพราะอาจารย์ก้มหัวลงตรงหน้าตัวเองและพูดจายกย่องอย่างแน่นอน แม้จะไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อน แต่ที่เขามั่นใจก็คือไม่ได้รู้สึกดีใจ 


 


 


“หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น ท่านช่วยมาที่ตำหนักของข้าได้หรือไม่ขอรับ ข้าอยากจะพบกันสองต่อสองสักครู่” 


 


 


“ได้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท” 


 


 


งานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับคณะผู้แทนพระองค์แห่งแทซากุกทั้งเลิศหรูและโอ่อ่าเกินกว่าจะบรรยาย ทั้งยังยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์อีกด้วย ดังนั้นในตอนที่การแสดงชุดสุดท้ายจบลง ในที่สุดองค์รัชทายาทที่นั่งหน้ามุ่ยมาตลอดก็ปรบมือเป็นครั้งแรก แต่นั่นคงจะไม่ใช่เพราะว่าการแสดงนั้นยอดเยี่ยมกว่าการแสดงชุดอื่นๆภายในงาน เพราะเขากลับตำหนักทันทีที่พระราชาผู้ซึ่งเป็นพี่ชายลุกขึ้นจากที่นั่งและถอดชุดเครื่องแบบในพิธีออกไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ 


 


 


“องค์รัชทายาท ท่านมหาเสนาบดีแห่งแทซากุกมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“บอกให้เขาเข้ามาและให้ทุกคนถอยออกไปให้หมด” 


 


 


เหล่าข้าราชบริพารคิดว่าองค์รัชทายาทไม่ชอบท่านมหาเสนาบดีเป็นอย่างมากหรือไม่ก็มีความเป็นปฏิปักษ์บางอย่างต่อแทซากุก เพราะมีเพียงไม่กี่ครั้งที่ได้เห็นเขาทำสีหน้าตึงเครียดขนาดนั้น แต่พอเหลือแค่ท่านมหาเสนาบดีกับจินเพียงสองคนอยู่ภายในห้องซึ่งทุกคนต่างถอยออกไปหมด เขาก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างขี้เล่นพร้อมกับโค้งคำนับให้อาจารย์ จากนั้นจึงเริ่มปลดปล่อยความไม่พอใจออกมาอย่างเต็มที่ 


 


 


“ไม่นึกเลยขอรับว่าท่านจะทรยศข้าด้วยวิธีแบบนี้!” 


 


 


“ทรงเคยบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ท่านช่วยเลิกพูดจายกย่องแบบนั้นได้ไหมขอรับ ให้ตียังดีเสียกว่า” 


 


 


พลั่ก หมัดที่คล้ายกับก้อนหินลอยไปตรงท้ายทอยของโฮจินทันที 


 


 


“ใครสั่งให้พานางสนมหนีไปแบบนั้น เจ้าบ้า เป็นเพราะเจ้า อาจารย์ที่แก่ชราคนนี้ถึงได้ลำบากลำบนมากมายขนาดนี้ รู้บ้างหรือไม่!” 


 


 


“ข้าบอกแค่ว่าให้ตียังดีเสียกว่า แต่ไม่ได้บอกให้ตีสักหน่อยขอรับ!” 


 


 


“ทำเรื่องที่สมควรโดนก็ต้องโดนตี จริงสิ หลังจากมาอยู่ที่แล้วเจ้าทำตัวดี ไม่ได้สร้างความวุ่นวายอะไรใช่หรือไม่” 


 


 


“ตอนนี้ข้าเป็นเสือสิ้นลายแล้วขอรับ ขืนลองไปจับข้อมือสาวงาม มีหวังแชยอนได้มองตาเขียวแน่ เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกนิ้ว หอนางโลมก็ไปไม่ได้ด้วย อีกอย่างพอเรียกพวกทหารมาให้ประลองกันสักตั้ง ก็มีแต่พวกอ่อนแอ ไม่ก็พวกที่ระมัดระวังเกิดเหตุเพราะกลัวว่าองค์รัชทายาทจะบาดเจ็บ” 


 


 


แม้ว่าเขาจะบ่นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แต่ก็ไม่โทษอาจารย์ที่บังคับให้เขากลับมาเลยสักนิดเดียว เขาคือองค์รัชทายาทที่ถูกทอดทิ้งซึ่งกวัดแกว่งดาบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแผลพุพองที่ขึ้นเต็มมืออันอ่อนนุ่มจะแตกออก ผู้ที่ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นสดใสได้ถึงเพียงนี้คงจะเป็นเพราะนางสนมที่พาหนีมา จู่ๆ ท่านมหาเสนาบดีก็รู้สึกขอบคุณพระสนมนางนั้นซึ่งในตอนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นพระชายาแล้วขึ้นมา 


 


 


“อีกสิบวันถึงจะกลับใช่ไหมขอรับ” 


 


 


“ยังเหลือพระราชบัญชาอยู่อีกหนึ่งอย่าง หากข้าสะสางเรื่องนั้นเสร็จแล้วจะกลับไป จะทรงยอมรับจดหมายลาออกหรือไม่นะ” 


 


 


“มันเป็นเรื่องกิจการแผ่นดิน ดังนั้นข้าคงไม่ควรถามสินะขอรับ” 


 


 


“ก็รู้ดีนี่” 


 


 


อาจารย์และลูกศิษย์ที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน แม้จะไม่ได้ตื้นตันจนน้ำตาไหล แต่เพียงแค่ได้บรรเทาความทุกข์ของจินซึ่งหลงเหลืออยู่ในก้นบึ้งก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ยังมีข่าวดีอีกด้วย ในไม่ช้าพระชายาก็เข้ามาและโค้งให้ท่านมหาเสนาบดีด้วยความเขินอาย ซึ่งเป็นการโค้งคำนับเขาในฐานะพ่อสามีหรืออาจารย์ซึ่งเป็นผู้เก็บสามีมาเลี้ยงจนเติบใหญ่ ไม่ใช่ในฐานะท่านมหาเสนาบดีของประเทศอื่น 


 


 


“ได้เห็นท่านที่งานเลี้ยงเมื่อสักครู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ทักทายกันอย่างเป็นทางการเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


ยังไม่ทันที่ท่านมหาเสนาบีจะทักทายนางกลับ โฮจินก็ดึงมือของนางมาและพูดออกมาอย่างรดวเร็ว 


 


 


“พระชายาตั้งครรภ์แล้วขอรับ!” 


 


 


มือของโฮจินวางบนท้องน้อยของแชยอนซึ่งยังคงราบเรียบ แชยอนจึงฟาดหลังมือของเขาดังเพียะ แต่โฮจินก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการกระทำที่น่าอายนั่น ใบหน้าของท่านมหาเสนาบดีที่มองดูพวกเขาก็เผยรอยยิ้มสดใสออกมาเช่นกันแม้จะเล็กน้อยก็ตาม แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่นัก แต่พระราชวังก็ดูเหมาะสมกับโฮจินดี พระชายาผู้งดงามราวกับดอกไม้ก็เหมาะสมกับเขา ชุดเครื่องแบบในพิธีก็เหมาะกับเขากว่าชุดจอมยุทธ รวมถึงรอยยิ้มที่ไม่บิดเบี้ยวก็เหมาะกับเขาเช่นกัน 


 


 


“กระหม่อมขอแสดงความยินดีด้วย ขอให้พระชายาคลอดบุตรที่คล้ายกับฝ่าบาทออกมาได้โดยปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


 


 


 


ผ่านไปสิบวัน คณะผู้แทนพระองค์ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างเอาใจใส่ขนของกำนัลที่ได้จากฮเยกุกกลับไปยังแทซากุกอีกครั้ง หลังจากท่านมหาเสนาบดีผู้เคร่งขรึมเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท จากนั้นเขาจึงวางมือบนหน้าท้องของพระชายาเบาๆ ภาพที่เขาหัวเราะดังลั่นจึงเป็นความลับที่มีเพียงแค่โฮจิน แชยอนและท่านมหาเสนาบดีเท่านั้นที่รู้ 


 


 


คณะผู้แทนพระองค์นำของกำนัลซึ่งได้รับมาจากฮเยกุกที่กองกันเป็นภูเขากลับประเทศไปโดยสวัสดิภาพ ท่านมหาเสนาบดีนำอยู่ด้านหน้าสุดโดยไม่พัก ในระหว่างทางกลับ เขาใส่กระดาษที่พับอย่างสวยงามแผ่นหนึ่งไปในหน้าอกและโผล่พรวดเข้าไปที่ห้องทรงงานของพระราชาอย่างกะทันหัน 


 


 


“ทรงกรุณารับจดหมายลาออกของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


เป็นไปตามที่คาดไว้ ใจจริงแล้วฮอนต้องการจะเมินท่านมหาเสนาบดีและจดหมายลาออกที่เขายื่นมาให้ แต่ไม่ในช้าก็ทำใจให้สงบลงได้ 


 


 


“หากช่วยข้าอีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ข้าจะยินดีทำเช่นนั้น” 


 


 


“หากเป็นเรื่องที่กระหม่อมสามารถช่วยเหลือได้ กระหม่อมจะช่วยอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อีกไม่นานมินอาก็จะคลอดลูก หากเขาสามารถวางมือจากงานในพระท้องพระโรงได้ ก็คงจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการเฝ้าดูท่าทางอันน่ารักน่าเอ็นดูของหลานผู้น่ารักได้ ภายในหัวใจของท่านมหาเสนาบดีจึงเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง 


 


 


“ในตอนนี้บุคคลที่มีความสามารถสูงของแทซากุกถูกแต่งตั้งมาจากการแนะนำของขุนนางระดับสูงหรือไม่ก็การสืบทอดไม่ใช่หรือ นอกจากนี้พวกขุนนางระดับล่างก็แต่งตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบขึ้นมาเองด้วย” 


 


 


“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้ามองว่านั่นแหละคือปัญหา ไม่ว่าในผืนแผ่นดินอันกว้างขวางนี้จะมีบุคคลที่มีความสามารถมากมายเพียงใด แต่รอบๆ กายข้ากลับหาไม่เจอเลย ดังนั้นมันจึงไม่ต่างอะไรกับการที่ดวงตาของข้าถูกปิดด้วยขุนนางระดับสูงเพียงไม่กี่คน” 


 


 


เรื่องปลดออกจากตำแหน่งก่อนที่มินอาจะคลอดถูกเขี่ยออกจากบทสนทนา ฮอนเสนอว่าจะปฏิรูประบบการแต่งตั้งบุคคลที่มีความสามารถสูงซึ่งเป็นระบบที่สืบทอดมาอย่างยาวนานกว่าพันปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เหล่าเสนาบดีไม่ค่อยจะยินดีนัก 


 


 


“ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“กระหม่อมจะทำระบบการสอบพ่ะย่ะค่ะ ให้ทำการทดสอบตั้งแต่พวกชนชั้นสูงไปจนถึงพวกสามัญชน เพื่อคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นพ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าคงจะไม่สามารถจัดสอบในเมืองหลวงได้พร้อมกันทีเดียว ดังนั้นหากแบ่งทั้งประเทศออกเป็นกลุ่มย่อยๆ แล้วให้ผู้ที่สอบผ่านมารวมตัวกันเพื่อสอบอีกครั้งที่เมืองหลวงก็น่าจะสามารถค้นหาบุคคลที่มีความสามารถจากในบรรดาผู้คนมากมายได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“รวมถึงสามัญชนด้วยหรือ” 


 


 


“เราต้องการผู้ที่ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ จากตระกูลสูงศักดิ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพราะหากให้ตระกูลสูงศักดิ์เพียงไม่กี่คนดูแลประเทศก็อาจจะมีสถานที่ที่ดวงตาของพระราชาทรงทอดพระเนตรไปไม่ถึงพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ช่างเป็นเส้นทางที่แสนจะยากลำบากเสียจริง ณ ตอนนี้ที่ระบบทั้งหมดถูกครอบครอง เส้นทางที่พระราชาหนุ่มตั้งใจจะเดินไปจึงเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่มันจะคงเหลือไว้ด้วยความสำเร็จอันยอดเยี่ยม ซึ่งแม้แต่อดีตพระราชาในสมัยเยาว์วัยเองก็ยังไม่กล้าที่จะเสี่ยง แม้จะทรงเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถก็ตาม 


 


 


พอท่านมหาเสนาบดีพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ฮอนก็กางกระดาษที่เขาเรียบเรียงความคิดมาแล้วเรียบร้อยออกมาทันที และขอให้เขาช่วยชี้จุดที่ควรแก้ไขให้ ทั้งสองเก็บตัวอยู่ในห้องทรงงานไม่ออกไปไหนจนกระทั่งดึกดื่น  

 

 


ตอนที่ 14-11

 

จินตนาการเกี่ยวกับยาสมุนไพรอันล้ำค่าที่ท่านมหาเสนาบดีนำมาให้และจินตนาการเกี่ยวกับลูกที่รยูฮาจะอุ้มท้องหลังจากกินยานั่นเข้าไปแทรกซึมไปบนเตียงนอนของฮอนทั้งคืน ด้วยเหตุนั้นเช้านี้จึงเป็นยามเช้าอันสุดพิเศษ โดยปกติซังกุงจะต้องมาปลุกหลายรอบจึงจะลืมตาตื่นได้ แต่พอมีเสียงเรียกเบาๆ ว่าฝ่าบาท เขาก็ลุกขึ้นอย่างสดชื่น เสวยโจ๊กหนึ่งถ้วยจนหมดเกลี้ยง 


 


 


“ข้าจะไปร่วมสำรับเช้ากับพระมเหสีที่วังจางชุน เตรียมตัวด้วย” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


เหล่าขันทีและนางในสิบกว่าคนต่างวิ่งวุ่นเพื่อปรนนิบัติพระราชา ล้างพระพักตร์และพระหัตถ์ด้วยน้ำอุ่น หลังจากรับชุดนอนมาและเก็บกลับไปอย่างสวยงามแล้วก็สวมชุดชั้นในและเสื้อนอกที่สะอาดสะอ้าน จากนั้นสวมชุดคลุมมังกรที่เต็มไปด้วยความสง่างามทับข้างบนและผูกเชือกเอาไว้แน่นหนา เกล้าผมยาวขึ้นด้านบนและวางมงกุฎสีทองขนาดเล็กไว้ด้านบนหลังจากเกล้าเป็นทรงอย่างสวยงามแล้ว วันนี้ฮอนรู้สึกพึงพอใจภาพของตนที่สะท้อนในกระจกเป็นพิเศษ เขายิ้มแย้มคนเดียวและขึ้นไปบนเกี้ยวที่เป็นประกายแวววับรับแสงแดดอยู่ ก่อนจะตรงไปยังวังจานยองซึ่งรยูฮาน่าจะกำลังรออยู่ 


 


 


“เสด็จมาเร็วจังเลยเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


“เพราะว่าข้าอยากเจอพระมเหสีให้เร็วที่สุดอย่างไรเล่า” 


 


 


เขาว่าพลางยื่นมือออกไป รยูฮาซึ่งปกติจะบอกว่าต้องรักษาเกียรติและเดินไปอย่างสุขุม ไม่รู้ลมอะไรพัดมาถึงได้จับมือ แถมยังประสานมือเข้าด้วยกันอีกด้วย โดยปกติแล้วพระราชาจะทรงเกี้ยว ส่วนพระมเหสีจะทรงรถม้า แต่วันนี้ทั้งสองกลับจับมือกันเดินไปอย่างนั้นจนถึงวังจางชุน 


 


 


กลิ่นหอมสดชื่นของช่วงต้นฤดูร้อนลอยเข้ามาแตะปลายจมูก ก้อนเมฆที่สูงโดดอยู่บนท้องฟ้าสีครามลอยละล่องไปพลางบอกให้มองฉันหน่อยสิ พระพันปีกำลังรอคอยอยู่แล้วหลังจากได้รับการแจ้งล่วงหน้า นางต้อนรับทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มยินดีเต็มใบหน้าเ**่ยวย่น 


 


 


“บรรทมสบายดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่า” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็หลับสบายดีใช่หรือไม่ วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทดูแจ่มใสเป็นพิเศษเชียวนะ” 


 


 


“หม่อมฉันเองก็คิดเช่นนั้นเพคะ พระพักตร์ของพระองค์ทรงหล่อเหลาขึ้นจนพวกนางในนอนไม่หลับเลยเพคะ” 


 


 


คำพูดของรยูฮาที่ปนเปไปด้วยความจริงจังครึ่งหนึ่งและการหยอกล้ออีกครึ่งหนึ่งทำให้เกิดเสียงหัวเราะหลุดออกมาเบาๆ สำรับอาหารค่อยๆ ทยอยเข้ามาโดยไม่ล่าช้าเพื่อคนทั้งสองที่หิวโหยหลังจากเดินมาไกล ไม่รู้ว่าเพราะหลับสบายจึงทำให้อยากอาหาร หรือเพราะรยูฮาจับมือแถมยังมีสีหน้าดูดีจึงทำให้อยากอาหารกันแน่ นางในต่างวิ่งวุ่นไปมาในขณะที่บทสนทนาเป็นไปอย่างอบอุ่น 


 


 


“เห็นทีว่าจะต้องส่งนางในห้องเครื่องของวังกอนชองมาร่ำเรียนที่วังจางชุนเสียหน่อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะสำรับของวังจางชุนมีรสชาติดีเสมอเลย” 


 


 


“ถึงจะได้แต่ก็ไม่ได้หรอกฝ่าบาท” 


 


 


“ไม่ให้ห้องเครื่องของวังกระหม่อมทำอาหารได้มีรสชาติดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากอาหารที่วังกอนชองอร่อยกว่า ทั้งสองก็คงจะไม่มาร่วมเสวยด้วยกันแบบนี้อีกไม่ใช่หรือ ในขณะที่ย่าคนนี้ยังคงแข็งแรง โปรดให้สำรับอาหารของวังจางชุนมีรสชาติดีที่สุดในวังเถิดฝ่าบาท” 


 


 


ไม่กี่วันก่อน มินอาซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายาได้เข้ามาในวังและมาถวายบังคมแก่พระพันปี หลังจากได้สัมผัสการถีบอย่างแรงราวกับดีใจที่ได้เจอย่าทวดของเหลนในวันนั้น กำลังวังชาของพระพันปีก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้นางตั้งตารอให้เหลนลืมตาออกมาดูโลก 


 


 


“แต่ถึงอย่างไรก็ตามเสด็จย่าก็ดูน่าจะทรงพระวรกายแข็งแรงไปอีกยี่สิบกว่าปี บางทีในระหว่างนั้นคนครัวที่วังกอนชองอาจจะฝีมือดีขึ้นมาก็เป็นได้นะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


การหยอกล้อที่ใส่ความปรารถนาดีเข้าไปทำให้พระพันปีรู้สึกปลื้มใจ หลังจากเสวยอาหารจนเกือบหมดและดื่มชากันสักถ้วยท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่น ทั้งสองก็บอกลาพร้อมกับขอตัวกลับก่อนและเดินจับมือกันออกไปเหมือนเดิม ผีเสื้อสีเหลืองเข้มตัวหนึ่งเกาะบนเส้นผมของรยูฮา ก่อนจะขยับปีนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าในไม่ช้า 


 


 


“เจ้าผีเสื้อคงคิดว่าพระมเหสีเป็นดอกไม้ ถึงได้บินมาเกาะแล้วบินหายไปเลย” 


 


 


“อย่าตรัสอะไรแบบนั้นสิเพคะฝ่าบาท พวกนางในหัวเราะกันแล้วเพคะ” 


 


 


“แต่อันที่จริง เจ้างดงามยิ่งกว่าดอกไม้เสียอีก เพราะฉะนั้นการที่คิดว่าเจ้าเป็นดอกไม้ก็ค่อนข้างจะเกินไปหน่อยนะ” 


 


 


รยูฮาบีบมือที่จับประสานกันแรงขึ้น โอ๊ย พอเขาแกล้งทำเป็นเจ็บและยื่นมือออกไปพลางขอให้เป่าให้ นางก็เป่าให้ดังฟู่ว ทั้งสองเดินหยอกล้อกันไปพลางลูบมือไปด้วย ในไม่ช้าก็มาถึงวังจานยอง จากนั้นการจูบที่ฮอนไม่ทันได้คาดคิดก็ประทับลงมาบนริมฝีปากก่อนจะบินจากไป 


 


 


“รีบเสด็จไปเถิดเพคะ เดี๋ยวพวกเสนาบดีจะรอเพคะ” 


 


 


“ข้าจะมาทันทีหลังว่าราชการเสร็จ เจ้าต้องรอข้านะ” 


 


 


“ทราบแล้วเพคะ” 


 


 


ฮอนเดินออกไปขึ้นเกี้ยวโดยไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก พอหันหลังกลับมามองจึงเห็นว่ารยูฮายังคงยืนมองเขาอยู่ตรงที่เดิม เขาหันกลับไปมองข้างหน้าอีกครั้งและหันไปมองข้างหลังอีก จากนั้นจึงโบกมือให้นางรีบเข้าไปในวัง เขาที่มาถึงเวลาว่าราชการในตอนเช้าพอดีประทับตราของกษัตริย์ลงบนกระดาษม้วนจำนวนหนึ่งด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน ส่วนกระดาษม้วนบางส่วนก็ถูกโยนทิ้งเหมือนกับขยะและไม่ทันได้สังเกตว่าในระหว่างนั้นใบหน้าของท่านมหาเสนาบดีดูหม่นหมองเป็นพิเศษ 


 


 


“ช่วงเช้าพอเท่านี้ก่อนแล้วกัน ไปทำงานของตนเองได้ ส่วนช่วงเย็นให้เข้ามาเฉพาะขุนนางระดับสี่ขึ้นไปก็พอ อ่อ ท่านมหาเสนาบดีช่วงอยู่ต่ออีกสักครู่สิ” 


 


 


นี่คือกลเม็ดที่ใช้เพื่อจะได้เลิกทรงงานเร็วๆ โดยการลดจำนวนคนที่เข้าร่วมลงเพื่อไปเจอรยูฮาไวๆ ท่านมหาเสนาบดีซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวในท้องพระโรงหลังจากที่เหล่าเสนาบดีโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียงกันและออกไปจนหมดเดินเข้าไปหาฮอน 


 


 


“ขออภัย แต่ข้ามีเรื่องอยากจะบอกท่านเป็นการส่วนตัว” 


 


 


เขาจะไปหาหมอหลวงมาแล้วหรือยังนะ รอยยิ้มซึ่งเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของฮอน 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่วังกอนชองกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮอนกลับเข้าไปยังตำหนักบรรทมด้วยกันกับท่านมหาเสนาบดีแทนที่จะไปห้องทรงงาน เสียงอันหนักแน่นของท่านมหาเสนาบดีฟังดูไม่สบายใจ แต่ท่านพ่อตาเป็นคนหนักแน่นอยู่แล้วแต่แรกไม่ใช่หรือ เขาพยายามข่มความไม่สบายใจในหัวสมองเอาไว้ด้วยความทรงจำดีๆ ในตอนเช้า แต่คำพูดที่ท่านมหาเสนาบดีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเมื่อครู่ก่อนที่สำรับน้ำชาจะถูกนำเข้ามาถวายได้ลบรอยยิ้มบนพระพักตร์ออกไปจนหมด 


 


 


 


 


 


เมื่อคืนวาน 


 


 


ฮอนกับท่านมหาเสนาบดีมัวแต่พูดคุยกันในห้องทำงานจึงไม่ได้ออกไปข้างนอกจนเงาพระจันทร์เริ่มทอดยาว 


 


 


“เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว เชิญท่านกลับก่อนดีกว่า” 


 


 


หลังจากเจอคนที่เหมาะสมที่จะมอบหมายงานและให้ดูแลเรื่องนี้คร่าวๆ แล้ว ฮอนก็นวดหลังคออันเหนื่อยล้าพร้อมกับหาว ขนาดมีท่านมหาเสนาบดีอยู่ด้วย งานยังกองเป็นภูเขาเลากา หากไม่มีเขาล่ะก็คงจะอนาคตมืดมนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแน่นอน 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท บรรทมให้สบายนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เดี๋ยว” 


 


 


ฮอนที่กำลังจะลุกเช่นกันรั้งเท้าของท่านมหาเสนาบดีเอาไว้ เพราะความคิดที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมา 


 


 


“คือว่า ข้ามีเรื่องกลุ้มใจ” 


 


 


“อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ควรปรึกษาเรื่องแบบนี้หรือไม่นะ แต่ก็ลังเลได้ไม่นาน ไหนๆ ก็ตั้งใจจะรับจดหมายลาออกอยู่แล้วก็ควรจะต้องได้ยาสมุนไพรที่เขาเคยบอกว่าดีด้วยไม่ใช่หรือ 


 


 


“โฮจิน…ไม่ใช่สิ องค์รัชทายาทเองก็มีข่าวดีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีแค่พระมเหสีของพวกเราเท่านั้นที่ยังไม่ตั้งครรภ์” 


 


 


“ทั้งสองพระองค์ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่เลยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ตาดำที่เขินอายขยับไปมาทุกทิศทุกทาง แต่ความมุ่งมั่นของเขายิ่งใหญ่กว่าความอาย ดังนั้นฮอนจึงไม่สนใจเรื่องความละอายใจและกดเสียงลงต่ำพลางยื่นตัวไปหาพ่อตาเล็กน้อย 


 


 


“ตามที่ข้าพูด ยาสมุนไพรดีตัวนั้น…ที่ท่านเคยบอกเมื่อคราวก่อน ยังมีอยู่หรือไม่” 


 


 


พอได้เห็นสีหน้าในตอนนี้จึงรู้ได้เลยว่าเขายังคงเป็นองค์รัชทายาทผู้ไม่ประสีประสาอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาของเขาเป็นประกายมากขึ้นอีก ทันทีที่ท่านมหาเสนาบดียิ้มแย้มและตอบว่าจะนำมาให้พรุ่งนี้ ฮาแบคเคยขึ้นเขาเพื่อไปเก็บสมุนไพรและตามหาต้นโทซาจา[1]อันล้ำค่าซึ่งว่ากันว่าช่วยในเรื่องการตั้งครรภ์มาอบแห้งอยู่หลายรอบมาเป็นเวลาค่อนข้างนานแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็คงจะกินได้พอดี 


 


 


“บางทีวันพรุ่งนี้หลังจากเสร็จสิ้นว่าราชการในตอนเช้า กระหม่อมจะนำมาถวายหลังจากพบหมอหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอตัวกลับก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เดินทางกลับโดยปลอดภัยนะขอรับ ท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] โทซาจา หรือต้นฝอยทอง ในตำรายาจีนมีการรับรองว่ามีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย เพิ่มสมรรถนะทางเพศในผู้ชาย บำรุงตับ ทำให้ชะลอวัย มีอนุมูลอิสระจำนวนมาก ป้องกันโรคกระดูกพรุน 

 

 

 


ตอนที่ 14-12 / ตอนที่ 15-1

 

ตอนที่ 14-12 


 


 


 


 


 


เมื่อออกมาจากประตูพระราชวัง ระฆังบอกเวลาห้ามออกข้างนอกก็ดังขึ้นแล้ว หากเป็นถึงระดับท่านมหาเสนาบดีจะนั่งเกี้ยวซึ่งมีคนหามแปดคน ไม่ใช่เกี้ยวคนหามสี่คนไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครพูดอะไร แต่เขาก็มักจะขี่ม้าเดินทางไปไหนมาไหนพร้อมกับมีผู้ติดตามเพียงคนเดียวเสมอ ท่านมหาเสนาบดีซึ่งรีบกลับบ้านเร็วกว่าปกติเล็กน้อยไถ่ถามถึงลูกชายคนรองทันทีที่มาถึง 


 


 


“ฮาแบคอยู่ที่ไหนรึ” 


 


 


“อยู่ที่ห้องยาขอรับ” 


 


 


มินอาที่ออกมาข้างนอกพอดีเพราะรู้สึกอึดอัดจึงออกมารับลม ต้อนรับเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 


 


 


“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ ท่านพ่อ” 


 


 


หน้าท้องของนางป่องขึ้นมาพอสมควร ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไปจึงเห็นได้ชัดว่านางกำลังตั้งครรภ์อยู่ และในอีกสามสี่เดือนข้างหน้าก็จะถึงเดือนที่จะต้องคลอดลูกแล้ว ท่านมหาเสนาบดีรู้สึกปลื้มใจกับคำเรียกที่ว่าท่านพ่อ ไม่ใช่ท่านอาจารย์หรือใต้เท้าอีกต่อไป เขาจึงวางธรรมเนียมปฏิบัติลงและคุยกับนางอย่างสบายๆ 


 


 


“ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ทำไมถึงยังไม่นอนอีก” 


 


 


“ยังไม่ดึกขนาดนั้นสักหน่อยเจ้าค่ะ นอกจากนั้นแล้วดูเหมือนว่าลูกจะเบื่อด้วยเจ้าค่ะ พอเอนตัวนอนลงก็เอาแต่ถีบอยู่เรื่อยจนนอนไม่ได้เลยเจ้าค่ะ” 


 


 


“ข้ากำลังจะไปห้องยา ไปด้วยกันเถอะ คิดเสียว่าไปเดินเล่น” 


 


 


“ท่านพี่น่าจะกำลังหายาสมุนไพรให้ข้าอยู่น่ะเจ้าค่ะ” 


 


 


หลังจากถือตะเกียงไฟพลางพูดคุยกันอย่างถูกคอได้สักพักก็มาถึงห้องยาที่ฮาแบคแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในนั้น เขาที่กำลังยุ่งกับงานอยู่เพียงลำพังจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างให้ ต้นโทซาจาที่ใส่ใจเป็นพิเศษเพื่อที่จะนำไปถวายแด่พระราชา ตอนนี้ได้ถูกห่อไว้อย่างดีเพื่อที่จะให้สามารถนำไปต้มรับเสวยได้ทันที ฮาแบคอธิบายให้ท่านมหาเสนาบดีฟังว่าจะต้องต้มอย่างไรและข้อควรระวังมีอะไรบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หันหน้าไปด้วยความรู้สึกตะหงิดใจ 


 


 


“อันนั้นห้ามแตะต้อง!” 


 


 


มินอาหยุดมือที่กำลังยื่นออกไปตรงผลไม้สีแดงและงดงามซึ่งมีอยู่ไม่กี่เม็ดบนกิ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยหนาม 


 


 


“เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ยาพิษหรือเจ้าคะ” 


 


 


“มันคือส่วนหนึ่งในยาถอนพิษที่ใช้ตอนที่พระราชาเสวยยาพิษเข้าไป แต่ยังไงพิษก็คือพิษ หากคนท้องกินเข้าไปก็อาจจะแท้งได้เลย ดังนั้นอยู่ห่างๆ มันไว้ อย่าแม้แต่ดมกลิ่นของมันด้วย” 


 


 


ส่วนหนึ่งของยาถอนพิษ ลางร้ายคืบคลานเข้ามาหามินอา 


 


 


“แล้วถ้าหาก ผู้หญิงที่ไม่ตั้งครรภ์กินสิ่งนี้เข้าไปจะเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ” 


 


 


“มันก็ต่างออกไปตามสภาพร่างกายน่ะ แต่เพียงแค่ปริมาณน้อยก็สามารถทำให้เป็นหมันได้เหมือนกัน” 


 


 


เป็นยาสมุนไพรที่ทั้งล้ำค่าและอันตราย คำพูดต่อมาของฮาแบคไม่เข้าหูมินอาเลยสักนิด ตอนนี้นางเห็นภาพตัวเองกำลังยืนอยู่ข้างๆ รยูฮาซึ่งผอมแห้งและซีดเซียว ณ วังจงซูในอดีต 


 


 


‘ยาถอนพิษเพคะ ได้มาจากองค์รัชทายาท พระองค์ตรัสว่า ยาถอนพิษนี้…จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกสองเดือนเพคะ’ 


 


 


รยูฮากลืนมันลงไปหนึ่งเม็ดโดยไม่เปิดโอกาสให้นางได้ห้าม ท่ามกลางเวลาที่ไหลผ่านไปอย่างกระวนกระวายใจ ไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น จากนั้นนางจึงใส่เข้าปากอีกหนึ่งเม็ดและทำให้ละลาย ก่อนจะป้อนมันเข้าปากฮอน 


 


 


“ท่านว่าเป็นหมันหรือเจ้าคะ” 


 


 


“ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่พวกนางโลมซื้อขายกันด้วยเงินจำนวนมากไงล่ะ แต่ข้าไม่ได้จะขายนะ” 


 


 


ริมฝีปากของมินอาสั่นระริก นางโอบกอดท้องที่แข็งขึ้นด้วยความเครียดโดยฉับพลันพร้อมกับทรุดนั่งลงไปกับพื้น ทันใดนั้นท่านมหาเสนาบดีที่ตื่นตกใจจึงเข้าไปประคองนางไว้และให้นั่งบนเบาะรองนั่งที่เขานั่งอยู่เมื่อสักครู่ จากนั้นเมื่อเสียงที่บีบเค้นออกมาได้อย่างยากเย็นเปล่งออกมาจากปากของมินอา เขาจึงหันไปมองที่ผลไม้ซึ่งเจือด้วยเลือดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


“พระมเหสีเสวยเข้าไปเจ้าค่ะ ยาถอนพิษนั่น ก่อนที่จะส่งไปให้ท่านพี่”  


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอน 15-1 


 


 


 


 


 


ตึกตัก 


 


 


หัวใจที่เต้นอย่างแข็งขันส่งเสียงออกมาแบบไม่เคยเป็นมาก่อน และเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ รยูฮาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและกะพริบตาอย่างช้าๆ จากนั้นจึงยืนตัวตรง สายตาที่จ้องมองกลับไปหาฮอนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไร้การสั่นไหว 


 


 


“หม่อมฉันจะไปเรียกหมอหลวงให้มาตรวจชีพจรเพคะ” 


 


 


ฮอนวางมือที่หยาบกระด้างเป็นพิเศษไว้บนมือของรยูฮาพลางส่ายหัว เลือดที่เย็นอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยจากอุณหภูมิร่างกายของนาง 


 


 


“ปลอมตัวซะ ต้องตามหมอจากข้างนอกมา” 


 


 


หากผลตรวจออกมาว่าเป็นหมันซึ่งมีโอกาสหนึ่งในร้อยจริง ตำแหน่งของรยูฮาก็จะสั่นสะเทือนไปด้วย เนื่องจากในขั้นตอนการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสจะต้องคัดเฉพาะสตรีที่สามารถตั้งครรภ์ได้เท่านั้น ถึงแม้ว่าตำแหน่งพระมเหสีจะไม่ถูกคุกคาม เนื่องจากมีคุณงามความดีของตระกูลท่านมหาเสนาบดีอยู่ แต่คงจะมีนางสนมเข้ามาอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ 


 


 


“ข้างนอกนั่น ไม่มีหมอที่เก่งกาจกว่าหมอหลวงหรอกเพคะ หม่อมฉันต้องการผลตรวจที่แม่นยำเพคะ” 


 


 


“ไม่ได้นะ ถ้าหากว่า…!” 


 


 


ถ้าหากผลตรวจจากหมอหลวงออกมาว่าไม่สามารถมีลูกได้ ฮอนกลืนประโยคนั้นที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ลงไปพร้อมกับน้ำลายเหนียวๆ 


 


 


“จะมีใครไล่หม่อมฉันออกไปจากวังจานยองหรือเพคะ หลังจากตรวจชีพจรเรียบร้อยแล้ว หม่อมฉันจะรับนางสนมเข้ามาตามผลตรวจนั่นเพคะ” 


 


 


“ซอรยูฮา!” 


 


 


แม้ว่าฮอนจะแสดงความโมโหออกมาพร้อมกับลุกพรวดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถห้ามเสียงของรยูฮาซึ่งตรงออกไปนอกประตูได้ 


 


 


“ขันทีโจอยู่ด้านนอกหรือเปล่า!” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 


 


 


“ไปตามหมอหลวงมา!” 


 


 


“ไม่ได้ อย่าเรียกมา ข้าบอกให้ถอยออกไปห่างๆ ไง!” 


 


 


“ไม่ได้ยินหรือไง! ข้าบอกให้ไปตามหมอหลวงมา!” 


 


 


ควรจะไปตามหรือไม่ไปตามกันแน่ ขันทีโจซึ่งยืนอยู่ด้านนอกกระวนกระวายอยู่เพียงลำพัง สายตาที่จ้องมองกันราวกับจะจับอีกฝ่ายกินปะทะกันตรงระหว่างโต๊ะกลม 


 


 


“ทรงตั้งใจจะทำลายความยุติธรรมเพียงเพราะความรักหรือเพคะ” 


 


 


“เจ้าคิดว่าความยุติธรรมสำคัญกว่าความรักของข้าอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“คิดเช่นนั้นจึงจะให้หม่อมฉันแอบออกไปหาหมอข้างนอกอย่างนั้นหรือ…” 


 


 


“ขอร้องล่ะ! ช่วยหยุดพูดหน่อยเถอะ!” 


 


 


ดูเหมือนว่าฝั่งที่ไม่เรียกหมอหลวงจะถูกต้อง ขันทีโจกลัวว่าเสียงของทั้งคู่จะเล็ดลอดออกไปข้างนอก จึงไล่พวกนางในที่ถอยออกไปไกลออกไปข้างนอกตำหนักให้หมด 


 


 


“เลิกพูดได้แล้ว ได้โปรด ช่วยฟังคำของข้าสักครั้ง” 


 


 


แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมนางได้ แต่เขาก็กอดนางไว้แน่นพร้อมกับกระซิบกระซาบราวกับอ้อนวอน อุณหภูมิร่างกายที่อบอุ่นเป็นพิเศษและชีพจรที่สั่นสะเทือนไปถึงรยูฮาถูกถ่ายทอดผ่านทางผ้าไหมสีขาว บางทีนางอาจจะหวังให้เขาทำเช่นนี้ แต่ก็หวังให้ฮอนโมโหและตะโกนออกมาเช่นเดียวกัน หัวใจที่หยุดเต้นเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ขันทีโจ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“จงไปเตรียมม้าซะ” 


 


 


เนื่องจากเป็นการแอบออกไปโดยที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าจึงมีเพียงแค่ทหารองครักษ์สองนายเท่านั้นที่ตามหลังพวกเขาทั้งสองไป แม้ว่าหญิงสาวผอมบางที่อยู่บนหลังม้ากับชายหนุ่มผอมสูงที่โอบกอดนางไว้จะเป็นจุดสนใจของผู้ที่ผ่านไปมา แต่เนื่องจากหายตัวไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงเลิกสนใจในทันที หลังจากเดินทางมาสักพักใหญ่ ม้าก็หยุดลงตรงหน้าบ้านของหมอซึ่งตั้งอยู่ในตรอกที่เปลี่ยวไร้ผู้คน ฮอนกระโดดพรวดลงไป ก่อนจะอุ้มรยูฮาและวางลงบนพื้น 


 


 


“หมดเวลาตรวจวันนี้แล้ว ไว้ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้” 


 


 


ชายชราขมวดคิ้วและออกมาบ่นพึมพำ เนื่องจากเสียงเกือกม้าที่มาอย่างปุบปับ แต่เพราะแววตาที่มองลงมาจากเหล่าทหารที่ดูท่าทางโกรธทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น สุดท้ายเขาก็ดื่มน้ำเย็นเข้าไปรวดเดียวเพื่อให้ตื่น ก่อนจะวางนิ้วมือสองนิ้วลงบนข้อมือที่มีเส้นเลือดสีน้ำเงิน ผ่านไปสักพักหมอก็เดาะลิ้นดังจิ๊ ฮอนจึงรู้สึกกระวนกระวายใจในระหว่างที่เขากำลังตรวจดูดวงตาและช่องปากของรยูฮา 


 


 


“แข็งแรง เพราะว่าแข็งแรงเกินไป นั่นแหละคือปัญหา” 


 


 


ชายชราบ่นพึมพำอย่างห้วนๆ และเดาะลิ้นอีกสองที จากนั้นจึงวางข้อมือให้ตรงที่เดิม 


 


 


“หมายความอย่างไร” 


 


 


“ก็ตามที่บอกไปนั่นแหละ ถึงจะกินรากโสมเป็นเครื่องเคียงแต่ก็ไม่น่าเป็นถึงขนาดนี้ ไม่มีส่วนไหนในร่างกายเลยที่ถูกสิ่งแปลกปลอมรุกราน แล้วแบบนี้จะไปมีลูกได้อย่างไร ในเมื่อร่างกายของแม่ผลักไสแม้กระทั่งเมล็ดพันธุ์ นี่คือสิ่งที่ข้าจะพูด”  

 

 


ตอนที่ 15-2

 

 


 


 


เขารู้สึกเศร้าใจเมื่อเห็นมือของคู่รักหนุ่มสาวที่จับประสานกันเริ่มซีดเซียว หมอพยายามทำจิตใจให้สงบลงพลางใส่กระบอกเข็มที่เตรียมไว้ลงไปที่เดิม 


 


 


“แล้วยา มันไม่สามารถรักษาด้วยยาได้เลยหรือ” 


 


 


“ไม่เลย มดลูกก็อุ่น กระดูกก็แข็งแรง ทุกอย่างดีหมด นี่เจ้ากินอะไรเป็นอาหารกันเนี่ย เข็มก็ไม่ได้ ยาก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้เลย เพราะฉะนั้นข้าจะไม่รับเงินก็แล้วกัน” 


 


 


หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ไม่อยากจะได้ยินแม้แต่น้อย ทั้งสองคนก็เงียบไปตลอดทางกลับพระราชวัง แต่ภายในหัวของทั้งคู่กำลังยุ่งอยู่กับการคิดเรื่องอื่น ไม่ใช่สิ พวกเขาไม่ได้กำลังคิดอะไรอยู่เลย แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกกลัวในตอนที่ผลตรวจของหมอถูกสรุปออกมา แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องคิดในฐานะพระราชากับพระมเหสี รวมถึงในฐานะคู่รักที่แบ่งปันความรักกันด้วย 


 


 


“บอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้าไม่ชอบนางสนม” 


 


 


ถึงจะดึกดื่นแล้วแต่ก็หลับไม่ลง ทันทีที่เข้ามาในห้องนอน เสียงอันเด็ดขาดของฮอนก็ขัดขึ้นมาก่อนที่รยูฮาจะพูด 


 


 


“ในประวัติศาสตร์ของแทซากุกไม่มีพระราชาองค์ไหนที่ไม่รับนางสนมเข้ามาเลยนะเพคะ” 


 


 


“แม้ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินหาไปจนถึงประเทศใกล้เคียง ข้าก็จะหายามาให้จนได้ แต่ถ้าหากทำเช่นนั้นแล้วก็ยังมีลูกไม่ได้” 


 


 


เหมือนกับที่ฮอนรับรู้ความคิดของรยูฮา รยูฮาเองก็รับรู้ความคิดของฮอนได้จากเพียงแค่มองแววตาที่ดูเสียดายเช่นกัน และยังรู้อีกว่าความคิดนั้นดูไม่ดีเท่าไหร่ 


 


 


“ไม่ได้เพคะ ปล่อยเด็กคนนั้นไปเถิดเพคะ” 


 


 


“รยูฮา” 


 


 


“เด็กคนนั้นสำคัญกับหม่อมฉันพอๆ กันกับที่หม่อมฉันสำคัญกับฝ่าบาทเพคะ ปล่อยไปเถิดเพคะ” 


 


 


“แต่ใจของข้า” 


 


 


ความเจ็บปวดรวดร้าวแทรกซึมลงไปแม้กระทั่งในน้ำเสียง 


 


 


“อย่างที่เจ้าไม่ทอดทิ้งข้าซึ่งกำลังจะตายไป ข้าเองก็ไม่สามารถปล่อยเจ้าไปได้เช่นกัน” 


 


 


“มันไม่ใช่เรื่องยากเลยเพคะ ง่ายเหมือนกะพริบตาทีเดียวเลยเพคะ” 


 


 


“ไหนเจ้าบอกว่าต่อให้เอามีดมาจ่อคอก็จะไม่พูดโกหก” 


 


 


มันจะไม่ยากได้อย่างไรกัน ทั้งการที่ฮอนนอนไม่มีสติและการที่จะต้องคอยดูแลเขา มันจะไม่ยากได้อย่างไร เป็นครั้งแรกที่รยูฮาพูดโกหกหลังจากเจอกับฮอน ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของชั่วยามก็ถูกจับได้เสียแล้ว 


 


 


“ประเทศ…ข้าจะปกครองอย่างดี แม้จะไม่มีรัชทายาท แม้จะถูกตัดออกจากวงศ์ตระกูลก็ไม่เป็นไร หากพวกเราแก่ตัวขึ้นก็ยกราชบัลลังก์จิ๊บจ๊อยให้ใครสักคนแล้วย้ายออกไปด้วยกันเถอะ ไปใช้ชีวิตที่มีแค่เราสองคนจริงๆ ไม่มีทหารองครักษ์และไม่มีข้าราชบริพาร” 


 


 


แค่นั้นก็เพียงพอแล้วเพคะ รยูฮาสัมผัสกับความอบอุ่นที่ประทับตรงริมฝีปากและกระซิบโดยไร้เสียง มือที่เต็มไปด้วยความรักใคร่และถวิลหาราวกับเป็นครั้งแรกลูบไล้ตัวนาง ก่อนจะดับไฟในตะเกียง เหลือแค่เพียงเสียงลมหายใจของทั้งสองภายในโลกที่จมอยู่ในความเงียบงัน แม้จะเป็นพระจันทร์เต็มดวง แต่ดวงจันทร์ที่ควรจะต้องลอยสว่างขึ้นมากลับซ่อนตัวอยู่ใต้เมฆเป็นเวลายาวนาน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ยาสมุนไพรเพคะพระมเหสี” 


 


 


“ขอบใจนะ” 


 


 


กลิ่นยาสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่ววังจานยองและยังคงไม่จางหายไป ไม่ใช่แค่เพียงสมุนไพรของวังหลวง แต่สูตรลับที่หาได้ทั่วไปก็ล้วนแต่ผสมน้ำดีของเสือขาวอันล้ำค่าเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตามรยูฮารู้อยู่แล้วว่าฤทธิ์ของส่วนผสมทั้งหมดเหล่านี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะถูกผลักออกจากร่างกาย ซึ่งเหตุผลที่นางยังดื่มยาสมุนไพรรสขมนี้วันละหลายรอบโดยไม่บ่นสักคำก็เพราะว่ามันคือความตั้งใจของฮอนนั่นเอง 


 


 


“คือว่า…เด็กๆ ที่ทรงรับสั่งคราวก่อนพร้อมแล้วเพคะ” 


 


 


กึก ถ้วยสีขาวถูกวางลงบนโต๊ะสำรับที่ยางจินถือเข้ามาเหมือนเดิม แม้จะยัดพุทราแช่น้ำผึ้งเข้าปากไปชิ้นหนึ่งก็ยังขมอยู่ดี ทำไมถึงได้ขมขนาดนี้นะ รยูฮาเคี้ยวไปมาหลายครั้งแล้วกลืนลงไป จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนทันที 


 


 


“นำไปสิ ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง” 


 


 


สถานที่ที่ห่างออกไปทางด้านหลังของวังจานยอง แต่เดิมเคยเป็นห้องนอนที่พวกข้าราชบริพารใช้ แต่เพราะว่านางไม่ได้มีข้าราชบริพารมากมายต่างกับพระมเหสีสมัยก่อนๆ ส่วนอื่นๆ ยกเว้นอาคารที่ใกล้กับห้องบรรทมที่สุดจึงว่างเปล่า ปกติแล้วหากไม่ใช่ข้าราชบริพารที่มาทำความสะอาดเป็นครั้งคราวก็ไม่มีคนผ่านมาทางนี้เลย แต่วันนี้มันต่างออกไป บรรดาสาวบริสุทธิ์ประมาณห้าหกคนกำลังรอพระมเหสีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและตัวสั่นระริกแม้ในสภาพอากาศร้อนในยามค่ำคืนของกลางฤดูร้อน 


 


 


“ห้ามเงยหน้าขึ้นเด็ดขาด และหากพระองค์ตรัสถามก็จงตอบทันที ห้ามเปิดปากพูดก่อน นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำในคืนนี้ จำใส่ใจไว้แล้วใช่ไหม” 


 


 


“เจ้าค่ะ” 


 


 


พวกนางคือสาวบริสุทธิ์ที่มารวมตัวกันหลังจากถูกคัดเลือกจากบรรดานางในที่มีรูปร่างหน้าตาดีและส่วนสูงเท่าๆ กันกับรยูฮา จากนั้นถูกตรวจสอบโดยขันทีอีกครั้ง ทั้งยังผ่านการตรวจสอบจากบัณฑิตแห่งควานซังกัม[1]อีกด้วย หลังจากโซฮวากวดขันพวกนางอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสร็จ บานพับประตูเก่าๆ ก็ส่งเสียงโอดครวญออกมาอย่างเศร้าสร้อยดังเอี๊ยด 


 


 


“เจ้า คนที่อยู่ซ้ายสุด อายุเท่าไหร่” 


 


 


“ปีนี้อายุสิบเก้าเจ้าค่ะ” 


 


 


คำตอบของสาวบริสุทธิ์ที่เปล่งออกมาอย่างยากลำบากด้วยความสั่นเครือทำให้โซฮวาพูดเสริมขึ้นมา 


 


 


“จากคำพูดของบัณฑิตแห่งควานซังกัม เขาได้บอกว่านางเป็นเด็กที่มีท้องน้อยอุ่น ดวงตาสดใสจึงเป็นเด็กที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดเพคะ” 


 


 


“ให้เด็กคนนี้ผ่าน” 


 


 


รยูฮาอยู่ที่เรือนแห่งนี้ไม่นานนัก นางทำเพียงแค่ถามคำถามสำคัญและเลือกมาหนึ่งคนอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะหายวับไป ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น นางได้บังเอิญเจอกับฮอนที่เข้ามาที่สวนด้านหน้าวังจานยองพอดี แต่ก็ไม่แสดงอาการตื่นตระหนกใดๆ ออกไป 


 


 


“ออกมาทำอะไรหรือพระมเหสี” 


 


 


“เพราะว่าฝ่าบาทไม่เสด็จมา หม่อมฉันก็เลยออกมาเดินเล่นสักครู่น่ะเพคะ” 


 


 


แม้จะเป็นการโกหกแต่ก็รู้สึกสบายใจ ฮอนกุมมือรยูฮาอย่างอ่อนโยนก่อนจะพากันเดินเข้าไปด้านใน 


 


 


“หม่อมฉันได้สั่งให้ตั้งโต๊ะสุราไว้แล้ว จะทรงดื่มด้วยกันไหมเพคะ” 


 


 


“หากพระมเหสีรินให้ ข้าก็ต้องดื่มอยู่แล้วสิ” 


 


 


สิ้นเสียงประตูสามชั้นที่ถูกเปิดและปิดตามลำดับ ทั้งสองก็นั่งลงกับที่ รยูฮามักจะยกมุมปากขึ้นเสมอเมื่อเห็นโต๊ะเหล้า แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรใจถึงสงบนัก ในระหว่างที่ฮอนพยายามเพ่งพินิจสีหน้าของนางอยู่นั้น รยูฮาก็ยกขวดเหล้าขึ้นและรินลงในแก้วของทั้งสองตามลำดับ 


 


 


“หน้าหม่อมฉันจะทะลุแล้วเพคะ” 


 


 


“ข้าคิดถึงเจ้าตลอดทั้งวัน มองแค่นี้เอง ยอมให้สักหน่อยสิ” 


 


 


“ข้าเองก็คิดถึง” 


 


 


แม้จะเป็นคำตอบที่พึมพำไร้รอยยิ้มแต่ก็ดีมากแล้ว หัวใจของรยูฮาเจ็บจี๊ดเมื่อหางตาที่ยาวเป็นพิเศษของฮอนโค้งลง หนึ่งแก้ว สองแก้ว หลังจากนั้นกับแกล้มที่รยูฮาผลักออกไปโดยไม่ตั้งใจก็หล่นบนตักของฮอน 


 


 


“อ๊ะ ขอประทานอภัยเพคะ” 


 


 


“ถ้าเจ้าอยากขอโทษก็ขอโทษตรงนี้สิ” 


 


 


ฮอนหลับตาพร้อมกับตบปากตัวเองเบาๆ รยูฮายิ้มเล็กน้อย ในขณะที่ริมฝีปากแตะกันเบาๆ ก็มีบางอย่างไหลเข้ามาในแก้วเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง 


 


 


“แค่นี้รึ” 


 


 


“ที่เหลือไว้คราวหน้า” 


 


 


ฮอนยิ้มเบาๆ พลางถือแก้วเหล้าขึ้นมากระดกรวดเดียว ใช้เวลาไม่นานนักกว่ายาจะออกฤทธิ์ รยูฮาย้ายเขาที่คอพับหมดแรงไปที่เตียงนอนและจัดการถอดเสื้อผ้าออกด้วยตัวเอง ขนตาที่หลุบลงมาอย่างสวยงามและสันจมูกที่คมเป็นสง่าทำให้จิตใจที่สงบนิ่งเริ่มสั่นไหว แต่นางก็เปิดประตูห้องนอนโดยไม่ได้แตะต้องอะไรฮอนอีก ตรงนั้นมีสาวบริสุทธิ์คนหนึ่งห่อตัวด้วยผ้าห่มและกำลังแอบซ่อนด้วยสีหน้าหวาดกลัว ตัวสั่นระริก 


 


 


“มีขวดสีขาวอยู่ใต้หัวนอน หากอมมันไว้ในปากและป้อนให้ฝ่าบาท พระองค์ก็จะทรงตื่นขึ้นมา ห้ามเปิดไฟหรือส่งเสียงออกมาเป็นอันขาด พอเสร็จแล้วให้ออกมาหลังจากที่ฝ่าบาทบรรทมไปอีกรอบ” 


 


 


หลังจากสาวบริสุทธิ์เข้าไป ไม่นานนักแสงไฟในตะเกียงสลัวก็หายไป รยูฮาเขย่าขวดเหล้าที่ถืออยู่ในมือไปมาในขณะที่เดินออกไปข้างนอก แม้จะไม่สามารถออกไปข้างนอกวังจานยองได้ แต่ฝีเท้าของนางก็มุ่งตรงไปที่สวนด้านหลังซึ่งห่างไกลจากห้องนอนที่สุดโดยไม่ได้ตั้งใจ นางไม่มีความรู้สึกเสียใจที่ได้ทำลงไปเลย เพราะหากฮอนนอนเหมือนตายอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยาถอนพิษอีกครั้ง นางก็จะทำแบบเดียวกันเหมือนเดิม 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ควานซังกัม หน่วยงานหนึ่งในราชสำนักเกาหลีสมัยโบราณ คอยดูแลเรื่องการสอบควากอและดูแลเรื่องประเพณีต่างๆ ในราชสำนัก 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม