ระบบร้านค้าออนไลน์ 141-153
TB:บทที่ 141 ค่ายทหาร
“คุณป้าครับ ความจริงแล้วเสี่ยวเสวี่ยไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังหรอกครับ ผมแค่รู้เรื่องการแพทย์นิดหน่อยน่ะครับ” เฉินหลงตอบด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ผมขอลองรักษาอาการของคุณป้าได้ไหมครับ?”
“หืม ตอนนี้เลยเหรอจ้ะ?”
ซุนเหมยฟางอึ้ง
“ใช่ครับ ผมรู้วิธีฝังเข็มน่ะครับ” เฉินหลงตอบอีกฝ่ายพร้อมกับหยิบกระเป๋าที่มีเข็มสีเงินอยู่ข้างในออกมา
ถ้าซุนเหมยฟางยินดีให้เขาทำการรักษา เขาก็จะทำการรักษาอาการของเธอให้ แต่ถ้าเธอปฏิเสธ ก็ลืมๆมันไปเสียเถอะ จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ติดหนี้อะไรอีกฝ่าย แต่เพราะเขาอยากให้โอกาสกับเธอ ส่วนเธอจะคว้ามันเอาไว้หรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับเธอเองแล้ว
ซุนเหมยฟางมองหน้าเฉินหลง จากนั้นก็หันไปมองกระเป๋าใส่เข็มสีเงิน คิดๆดูแล้ว ลองตอบตกลงไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะลำพังอาการของเธอก็เกือบจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ดีแต่เป็นภาระของลูกสาวเท่านั้น ถ้าเฉินหลงรักษาเธอจริงๆ ถือว่ามันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่พระเจ้าเป็นคนมอบให้ก็แล้วกัน แต่ถ้าหากเขารักษาไม่สำเร็จ ยังไงซะเธอก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินซุนเหมยฟางตอบตกลง ใบหน้าของเฉินหลงก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “คุณป้าครับ คุณป้าแค่นั่งอยู่เฉยๆแล้วก็ผ่อนคลายนะครับ ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง”
หลังจากที่ซุนเหมยฟางทำตัวสบายๆ เฉินหลงก็หยิบเข็มสีเงินออกมาจากกระเป๋า แล้วจิ้มตรงบริเวณหัวใจของซุนเหมยฟางอย่างรวดเร็ว ทำให้ไอหมอกของยาสายหนึ่งได้เข้าสู่หัวใจของเธอ
ผ่านไปไม่กี่วิ เฉินหลงก็หยิบเข็มเงินที่ฝังอยู่ออก และไอหมอกที่ใช้ไปแล้วจะถูกนำไปกลั่นเป็นยาเม็ดขนาดเล็ก แล้วนำไปใส่ในขวดเล็กๆโดยเฉพาะ เพื่อเก็บรักษายาเม็ดขนาดเล็กเม็ดนั้นเอาไว้
“คุณป้าครับ ต่อไปนี้คุณป้าสามารถทำสิ่งต่างๆเหมือนคนทั่วไปได้แล้วนะครับ แต่ขอให้คุณป้าจำเอาไว้ว่า ห้ามทำอะไรเกินตัวอีกเด็ดขาด” หลังจากเก็บของให้เข้าที่เข้าทาง เฉินหลงจึงหันไปพูดกับซุนเหมยฟางด้วยสีหน้าสบายๆ
หลังจากโรคหัวใจล้มเหลวของซุนเหมยฟางได้รับการรักษาแล้ว เธอก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น เหมือนกับเธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว
ขนาดว่าลืมตาขึ้นมาแล้ว ซุนเหมยฟางก็ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
หลังจากนั้นไม่นาน ซุนเหมยฟางมองหน้าเฉินหลงด้วยความตื่นเต้นแล้วถามว่า “เสี่ยวเฉิน! ฉ-ฉันหายป่วยแล้วใช่ไหม?”
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวที่ดีแต่ทำร้ายตัวเองแล้วก็เป็นภาระของลูกมานาน ขนาดโรงพยาบาลยังรักษาโรคของเธอไม่ได้ แต่เฉินหลงกลับรักษาเธอได้ด้วยเข็มเงินในเวลาไม่กี่วิ โอ้โห นี่มันสุดยอดไปเลยจริงๆ
“ถ้าคุณป้าไม่ทำงานหนักเกินไป ใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน และพักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนะครับ” เฉินหลงส่งยิ้มให้คนที่อยู่ตรงหน้า
“ขอบใจนะจ้ะ ขอบใจจริงๆ” ซุนเหมยฟางรีบกล่าวคำขอบคุณ และตั้งใจจะคุกเข่าลงให้เฉินหลง
เฉินหลงรีบเข้าไปพยุงซุนเหมยฟางให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “คุณป้า เสี่ยวเสวี่ยกับผมเป็นเพื่อนกัน คุณป้าอาวุโสกว่าผม ถ้าคุณป้าทำแบบนั้น ผมคงไม่มีหน้ามาเจอเสี่ยวเสวี่ยอีกแล้วนะครับ!”
ซุนเหมยฟางที่ได้ยินเฉินหลงพูดแบบนั้นออกมา จึงไม่ดึงดันที่จะคุกเข่าให้เขาอีก แต่ในสายตาเธอ ได้เห็นเฉินหลงเป็นพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อมาซุนเหมยฟางก็ได้ทำบัตรเยี่ยมบ้านตลอดชีพให้เฉินหลงเก็บเอาไว้หนึ่งใบ
หลังจากนั้น เฉินหลงก็ได้ทานอาหารที่บ้านตู๋เสวี่ยแล้วขอตัวกลับ
ถึงตู๋เสวี่ยจะไม่อยากให้เขากลับไป แต่เธอก็ไม่สามารถบังคับให้คนอื่นอยู่ที่บ้านได้ตลอด แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัว เธอกล้าทำอย่างนั้นแน่นอน แต่ในตอนนี้ สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือมองดูเฉินหลงเดินจากไปเท่านั้น
ซุนเหมยฟางเดินไปยืนข้างๆตู๋เสวี่ย เธอลูบศีรษะของตู๋เสวี่ยด้วยความอ่อนโยนแล้วพูดว่า “เสี่ยวเสวีย ชีวิตของเขาไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นแค่คนธรรมดานะ ถ้าเป็นไปได้ แม่ไม่อยากให้ลูกชอบเขาเลย”
ตอนที่เฉินหลงยังไม่ได้ทำการฝังเข็มให้เธอ ซุนเหมยฟางคิดว่าเฉินหลงจะได้เป็นลูกเขยตัวเองมาโดยตลอด แต่หลังจากที่เฉินหลงใช้เข็มเงินรักษาเธอแล้ว เธอถึงได้เข้าใจว่าเฉินหลงไม่ใช่คนธรรมดา ที่สำคัญกว่านี้คือ เธอสังเกตได้ว่าเฉินหลงไม่ได้รู้สึกชอบลูกสาวของเธอในเชิงชู้สาวเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้ เธอจึงปลุกลูกสาวให้ตื่นจากฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ เธอได้แต่หวังว่าตู๋เสวี่ยจะเข้าใจความหมายของเธอ และไม่ทำให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดเพราะรักเขาข้างเดียว เธอกับลูกสาวเป็นแค่คนธรรมดา ก็ควรจะมีความรักกับคนธรรมดาอย่างที่ควรจะเป็น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
ตู๋เสวี่ยหันกลับไปมองที่แม่ของตัวเองด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นบนใบหน้า เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเฉินหลงไม่ใช่คนธรรมดา แต่ในเมื่อคนหนึ่งหลงรักอีกคนไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าอีกคนจะต้องรักเราตอบ
บางทีความรักแบบนี้อาจทำร้ายฉัน แต่มันก็เป็นสิ่งที่สวยงามเช่นกัน ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนรักของเขา แต่ฉันสามารถเก็บความรักครั้งนี้เอาไว้ให้เขา ราวกับว่ามันเป็นของขวัญที่สวยงาม เอาไว้ในความทรงจำของฉันได้
“ลูกเอ๋ย ให้แม่บอกข่าวดีกับลูกดีกว่า แม่รักษาโรคของตัวเองได้แล้วนะ ต่อไปนี้ ลูกไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อแม่อีกแล้วนะ ถ้าลูกยังอยากเรียนหนังสืออยู่ ก็ไปสมัครเรียนเลยจ้ะ และคุณแม่สุดสวยของลูกคนนี้จะเป็นคนสนับสนุนลูกเองจ้ะ!” ซุนเหมยฟางโอบกอดตู๋เสวี่ยแล้วบอกข่าวดีกับเธออย่างมีความสุข
“แม่คะ จริงเหรอคะ? แม่หายป่วยแล้วจริงๆเหรอคะ?” คำพูดของซุนเหมยฟางทำให้ตู๋เสวี่ยรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก จนลืมความรู้สึกขมขื่นเมื่อกี้ไปชั่วขณะ
ซุนเหมยฟางพยักหน้าแล้วตอบอย่างมีความสุข “ตอนนี้ แม่รู้สึกดีมากๆเลยจ้ะ รู้สึกดีเหมือนตอนที่แม่ยังไม่ป่วยเลยจ้ะ”
“จริงเหรอคะ? ว้าว ดีจังเลยค่ะแม่ พรุ่งนี้ หนูจะพาแม่ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนะคะ ถ้าผลออกมาว่าเป็นหายดีแล้ว หนูจะได้สบายใจ” ตู๋เสวี่ยเชื่อในคำพูดของแม่ แต่เธอก็ยังอยากพาแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ เธอจะได้หมดห่วงได้จริงๆ
ซุนเหมยฟางพยักหน้าตอบ
หลังจากเฉินออกมาจากบ้านตู๋เสวี่ย เขาได้ติดต่อไปหาหวังฮง จากนั้นก็กลับไปยังเมืองหลวง ด้วยเฮลิคอปเตอร์กับหวังฮงในทันที
หลังจากกลับมาถึงวิลล่าของตัวเอง จี้โม่ซีที่ได้เห็นหน้าเฉินหลง ทำเอาหัวใจของเธอร่วงลงไปถึงตาตุ่ม
ในช่วงเย็น เฉินหลงบอกกับจี้โม่ซีว่า พรุ่งนี้เขาจะไปที่ค่ายทหาร ถ้าจี้โม่ซีต้องการไปกับเขา เขาก็ไปที่นั่นพร้อมกับจี้โม่ซี
ในตอนที่เธอได้ยินว่าเฉินหลงกำลังจะไปที่ค่ายทหาร สิ่งแรกที่เธอคิดได้คือ เฉินหลงจะผันตัวไปเป็นทหารเหรอ? แสดงว่าเธอจะไม่ได้เจอหน้าเฉินหลงอีกปีสองปีเลยน่ะสิ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงคัดค้านและปฏิเสธที่จะให้เฉินหลงไปเป็นทหารในทันที
สุดท้าย หลังจากที่เฉินหลงอธิบายเหตุผลว่า เขาไปค่ายทหารเพื่อไปจึบปืนกับฝึกยิงปืนเท่านั้น จี้โม่ซีก็ค่อยยังชั่ว โธ่ ไอเราก็นึกว่าเขาจะไปเป็นทหารจริงๆซะอีก ตกใจแทบแย่แน่ะ ถ้านายไปแล้วฉันจะอยู่กับใครเล่า! ฮึ่ยยยย!
จี้โม่ซีแสดออกมาชัดเจนว่าเธอไม่ได้สนใจจะไปค่ายทหารเขา เธอบอกเฉินหลงให้รีบไปรีบกลับ แล้วก็ไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับเธออีกเด็ดขาด
จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสมระหว่างชายหญิง ดั่งมัจฉากับวารี
วันรุ่งขึ้น เฉินหลงได้นั่งอยู่ในรถทหารตงฟงกับหวังฮง และเคลื่อนที่ไปยังชานเมือง หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถก็ได้มาจอดอยู่ที่ค่ายทหาร
ในค่ายทหาร เฉินหลงเห็นรถหุ้มเกราะ รถถังและสิ่งต่างๆอีกมากมาย การเห็นอาวุธไฮเทคแบบนี้ในค่ายทหารธรรมดาเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
หลังจากหวังฮงก้าวลงมาจากรถ ได้มีกองทัพชุดหนึ่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายคนหนึ่งในวัยห้าสิบที่มีตำแหน่งเป็นถึงพลโท ได้ท่าเคารพแบบทหารต่อหวังฮงในทันทีแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ! หัวหน้า!”
“อืม ฉันมาที่นี่เพื่อพาเด็กของฉันมาเล่นกับนาย แล้วก็ นายไม่จำเป็นต้องจริงจังมากขนาดนั้นก็ได้นะ” หวังฮงเดินไปหาชายคนนั้นแล้วตบไหล่เขาเบาๆสองสามครั้ง
“เด็ก? หรือว่าคุณหมายถึงลูกศิษย์ของคุณเหรอครับ?” ชายคนนั้นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง เขาชื่อเฉินหลง เขายังไม่เคยได้สัมผัสปืนเลยสักครั้ง ฉันก็เลยพาเขามาที่นี่ เขาจะได้สนุกกับมันให้เต็มที่ยังไงล่ะ” หวังฮงตอบเขาด้วยรอยยิ้ม
ในตอนที่หวังฮงตอบอีกฝ่าย เป็นจังหวะเดียวกับที่เฉินหลงลงมาจากรถพอดิบพอดี เมื่อเห็นว่าตำแหน่งของชายคนนั้นสูงกว่าตำแหน่งของตัวเอง เฉินหลงจึงรีบทำความเคารพเขาในท่ามาตรฐานของทหารในทันที หลังจากที่ได้เป็นนายพลหลักแล้ว เป็นธรรมดาที่ เฉินหลงจะมีมารยาทมาตรฐานในแบบของทหาร
แต่ว่าเฉินหลงไม่รู้ตำแหน่งของชายคนนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดกับเขายังไงดีนี่สิ ทำท่าก่อน อีกฝ่ายคงไม่ถือสาอะไรเขาหรอกมั้ง
TB:บทที่ 142 การฝึกยิงปืน
เมื่อเห็นเฉินหลงทำความเคารพ ทันใดนั้นจิตใต้สำนึกของชายคนนั้นก็ได้สั่งให้เขามีท่าที่เป็นระเบียบอีกครั้ง
“เสี่ยวเฉิน เขาเป็นผู้บัญชาการของที่นี่ เฉินเจียนกั่ว ผู้บัญชาการเฉิน พวกนายทั้งสองคนมีสกุลเฉินเหมือนกัน ไม่แน่ 500 ปีก่อน พวกนายอาจจะมาจากตระกูลเดียวกันก็ได้นะ พวกนายควรจะสนิทๆกันเข้าไว้” หวังฮงแนะนำชายคนนี้ให้เฉินหลง
เมื่อรู้ว่าเฉินเจียนกั่วเป็นถึงผู้บัญชาการของที่นี่ เฉินหลงจึงรีบพูดเสริมว่า “สวัสดีครับ! ผู้บัญชาการ!”
เมื่อเห็นว่าเฉินเจียนกั่วยังคงดูสับสนนิดหน่อย หวังฮงจึงกระซิบข้างหูเขาว่าเฉินหลงเป็นใคร ทันใดนั้นเขาก็ได้เข้าใจทุกอย่างในทันที
“นายพลเฉิน กรุณารอสักครู่ ผมจะส่งคนพาคุณไปที่คลังอาวุธ คุณสามารถเลือกอาวุธอะไรก็ได้ที่คุณต้องการภายในค่ายทหาร คุณสามารถเลือกอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการเลยครับ”
หลังจากพูดออกไปไม่กี่ประโยค นายทหารก็รีบวิ่งไปข้างในค่ายทหารในทันที
เวลาได้ผ่านไปแค่ไม่กี่นาที เจ้าหน้าที่ได้เดินมาพร้อมกับร้อยตรีคนหนึ่ง ดูๆแล้วเขาน่าจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปดปี
หลังจากร้อยตรีมาถึง เขาก็ได้ทำความเคารพเฉินเจียนกั่วในท่าวันทยหัตถ์ทันที “สวัสดีครับ! ผู้บัญชาการ!”
ทันใดนั้นเฉินเจียนกั่วก็ได้ตอบกลับเขาด้วยท่าท่าวันทยหัตถ์เช่นกัน “เทียนเสี่ยวหมิง พาสุภาพบุรุษคนนี้ไปที่คลังอาวุธ แล้วให้เขาได้เลือกอาวุทหนึ่งชิ้น”
เมื่อกล่าวจบ เฉินเจียนกั่วได้พาหวังฮงไปที่สำนักงานของเขา
เทียนเสี่ยวหมิงเป็นคนที่รู้เรื่องปืนมากที่สุดในค่ายทหารของเขา มอบหมายให้เขาพาเฉินหลงไปเลือกปืนที่คลังอาวุธเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ในเมื่อมอบหมายงานให้ลูกน้องแล้ว เขาจึงพาหวังฮงไปที่สำนักงานของตัวเองเพื่อดื่มชาและพูดคุยเรื่องทั่วไปสักหน่อย
“ครั้งนี้ผมคงต้องรบกวนพี่เทียนแล้ว” เฉินหลงกล่าวอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไร สบายมาก ตามฉันมาทางนี้เลย” เทียนเสี่ยวหมิงตอบ พร้อมกับเดินนำเขาไปยังคลังอาวุธ
ในความคิดของเขา เฉินหลงก็เป็นเหมือนกับหลานของเพื่อนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บัญชาการเฉิน เนื่องจากว่าอีกฝ่ายไม่เคยเห็นปืนมาก่อน เห็นทีเขาคงต้องให้ความรู้กับอีกฝ่ายสักหน่อยแล้ว
เมื่อเห็นเทียนเสี่ยวหมิงเดินนำเขาไปแล้ว เฉินหลงก็เดินตามเขาไปที่คลังอาวุธทันที
เมื่อเข้ามาข้างในคลังอาวุธ เฉินหลงได้กลิ่นดินปืน ตามมาด้วยปืนที่วางเรียงกันเป็นแถวตั้งแต่ปืนพกไปจนถึงปืนใหญ่
หลังจากได้เห็นปืนพวกนี้แล้ว เฉินหลงรีบเดินตรงไปทางปืน ทันใดนั้นเขาได้หยิบมันขึ้นมาตรวจดูทั้งซ้ายและขวาด้วยท่าทางตื่นเต้น
หลังจากเห็นท่าทางของเฉินหลงแล้ว เทียนเสี่ยวหมิงก็มั่นใจในตัวเขามากขึ้น
แต่จู่ๆดวงตาของเทียนเสี่ยวหมิงก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ เพราะเขาได้เห็นเฉินหลงทำการแยกส่วนประกอบของปืนพกออกเป็น 54 ส่วนภายในสองวิเท่านั้น
“โอ้โห นายทำได้ยังไงละเนี่ย? ทั้งๆที่นายเป็นแค่รุ่นที่สองที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปืน แต่นายสามารถแยกส่วนประกอบของปืนพกได้เร็วกว่าฉันอีกเนี่ยนะ? หรือว่าผู้บัญชาการหาคนเก่งๆให้มาแข่งกับฉัน?” เมื่อเห็นเฉินหลงใช้เวลาแยกส่วนปืนแค่สองวิ เทียนเสี่ยวหมิงถึงกับอึ้งเป็นไก่ตาแตกไปเลย หรือที่ผู้บัญชาการบอกว่าเอ็งไม่เคยจับปืนมาก่อนจะเป็นเรื่องโกหก? ไม่น่าจะใช่ คนอย่างผู้บัญชาการจะโกหกเขาไปเพื่ออะไรล่ะ เห้ย ไอ้น้อง นายไม่ได้ตั้งใจจะอวดฉันใช่ไหม? เอ๊ะ หรือว่าตั้งใจ..?
หลังจากทำการแยกส่วนปืนเสร็จแล้ว เฉินหลงก็รีบประกอบปืนให้มีสภาพตามเดิม
เฉินหลงได้รับความรู้เกี่ยวกับปืนจากระบบอัจฉริยะ แต่เมื่อได้ลองแยกส่วนปืน เขาถึงได้ตระหนักได้ว่ามันโคตรจะสนุกเลย!
หลังจากได้แยกชิ้นส่วนแล้วก็ประกอบปืน เฉินหลงได้เป็นเหมือนคนเสพติด เขาเริ่มทำการแยกส่วนปืนทุกรูปแบบที่เขาเห็นได้แก่ ปืนพก ปืนกลมือ ปืนกล ปืนซุ่มยิงและปืนใหญ่
เทียนเสี่ยวหมิงลองตรวจสอบปืนต่างๆหลังจากที่เฉินหลงทำการแยกส่วนและประกอบใหม่ เขาพบว่าปืนทุกกระบอกที่เขาประกอบใหม่ไม่มีสิ่งผิดปกติ มิหนำซ้ำยังประกอบได้สมบูรณ์แบบอีกต่างหาก
ในตอนนี้ เทียนเสี่ยวหมิงได้สลัดความคิดที่ว่ารุ่นที่สองคนนี้เป็นใคร ไปเป็นรุ่นที่สองคนนี้เป็นเซียนปืนได้ยังไง แล้วทำไมตอนที่เขาเข้ามาในคลังอาวุทครั้งแรก เขาถึงต้องแกล้งทำตัวเป็นหนุ่มน้อยด้วยล่ะ
“พี่เทียน ตอนนี้เราไปฝึกยิงปืนกันเถอะครับ” หลังจากเสพติดการแยกส่วนปืนแล้ว เฉินหลงก็อยากฝึกยิงปืนต่อ
ในเมื่อเขาได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการเฉินแล้ว เทียนเสี่ยวหมิงก็ต้องปฏิบัติตามคำขอของเฉินหลง
หลังจากนั้น เฉินหลงก็หยิบปืนและกล่องกระสุนจำนวนหนึ่ง แล้วเดินตามเทียนเสี่ยวหมิงไปยังสนามยิงปืน
ในบรรดาปืนที่เฉินหลงเลือกมานั้นคือปืนพก ปืนไรเฟิล และปืนซุ่มยิง นอกจากนี้ ในบรรดาปืนทั้งสามประเภท ถ้าเขาเลือกได้เพียงแค่หนึ่งประเภท เขาจะเลือกปืนซุ่มยิง เพราะเขาชอบมันมากที่สุด
สำหรับปืนกล เฉินหลงชอบปืนที่มีขนาดใหญ่แบบนี้มาก แต่ว่ามันพกไม่ค่อยสะดวก เขาเลยไม่เลือกมัน
ปืนพกของเฉินหลงเป็นปืนพกไทป์ 54 แบบคลาสสิกที่สุดในประเทศจีน ปืนไรเฟิลที่เลือกเป็นปืนไรเฟิลไทป์ 95 และปืนซุ่มยิงเป็นไทป์ 88 ไทป์ 85 และไทป์ 10
ในสนามยิงปืน เฉินหลงได้นำปืนพกมายิงเป้าเป็นอย่างแรก
บางทีเทียนเสี่ยวหมิงอาจถูกเฉินหลงมากระตุกต่อมโดยไม่รู้ เขาถึงได้หยิบปืนพกไทป์ 54 กระบอกหนึ่งมาแล้วเดินเข้าไปในสนาม พร้อมแข่งกับเฉินหลง
ถึงเขาจะแยกส่วนปละประกอบปืนไม่เร็วที่สุดในค่ายทหาร แต่ถ้าพูดถึงสกิลการยิงปืน เขาคิดว่าตัวเองไม่เป็นรองใครแน่นอน เพราะไม่มีใครกล้ามาแข่งกับเขา แถมยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคืออันดับหนึ่ง
ถึงเฉินหลงจะได้เรียนรู้ท่าจับปืนและวิธียิงปืนที่ถูกต้องจากระบบอัจฉริยะ แต่ในเมื่อตอนนี้คนที่เป็นอาจารย์ตัวจริงเสียงจริงอย่างเทียนเสี่ยวหมิงได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะอยากเรียนรู้ประสบการณ์จากอีกฝ่าย
ในตอนที่เทียนเสี่ยวหมิงถือปืนพกและเล็งไปที่เป้า จู่ๆท่าทางของเขาก็ต่างออกไปจากเดิม เขาแผ่ไอเย็นออกมาทั่วร่าง
เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิงกระสุนออกไปแปดนัด
ปัง! ปัง! ปัง! …
เฉินหลงและเทียนเสี่ยวหมิงยืนอยู่ห่างจากเป้าประมาณ 50 เมตร ในสายตาของเฉินหลง กระสุนทั้งแปดนัดของเทียนเสี่ยวหมิงพุ่งไปที่จุดศูนย์กลางของเป้าด้วยความเร็ว นอกจากนี้ระยะห่างระหว่างกระสุนทั้งแปดนัดอยู่ห่างกันไม่เกินสองมิลลิเมตร
หลังจากยิงกระสุนทั้งแปดนัดออกไป เทียนเสี่ยวหมิงวางปืนลง พร้อมกับแสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมา เขารู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ของกระสุดทั้งแปดนัดมาก
แปะ! แปะ! แปะ! …
หลังจากที่ได้เห็นความสำเร็จของเทียนเสี่ยวหมิงแล้ว เฉินหลงอดไม่ได้ที่จะตบมือชื่นชมเทียนเสี่ยวหมิง
“โอ้โห สุดยอด มันทรงพลังมากๆเลยครับ พี่เทียน ผมสามารถเรียกมันว่าร้อยก้าวสู่หยางได้เลยนะครับเนี่ย” เฉินหลงกล่าวชื่นชมเขาจากใจ
ความแข็งแกร่งของเทียนเสี่ยวหมิงอยู่ในระดับ ‘ปรมาจารย์ชั้นสูง’ เขามีทักษะการยิง ที่ได้มาจากการฝึกฝนที่สั่งสมมานานหลายปี ความเพียรของเขาสมควรได้รับคำชมจากเฉินหลง
เฉินหลงเอ่ยชมเทียนเสี่ยวหมิงไม่น้อย เขาจึงหันไปบอกเฉินหลงด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเฉิน คุณลองยิงปืนดูสิครับ”
เฉินหลงพยักหน้ารับ เขาปรับลมหายใจของตัวเองเหมือนกับเทียนเสี่ยวหมิง จากนั้นก็ส่งลูกกระสุนออกไป
กระสุนสองนัดของเฉินหลงเป็นเหมือนกับจังหวะการหายใจของเขา แต่ในตอนนี้ เทียนเสี่ยวหมิงได้ตกใจไปเรียบร้อยแล้ว ตอนที่รู้ว่ากระสุนทุกนัดมีจังหวะตามการหายใจของเขาเมื่อเขายิงมันออกไป ทำให้เขาได้ท่ายิงที่สุดยอดที่สุด
ในความคิดของเทียนเสี่ยวหมิง เฉินหลงนับว่าเป็นปรมจารย์ของจริง เพราะมันสุดยอดตั้งแต่ที่เขาใช้จังหวะการหายใจของตัวเองแล้ว
แต่หลังจากที่เฉินหลงยิงปืนไปแล้ว ในตอนที่เทียนเสี่ยวหมิงได้เห็นเป้าของเฉินหลง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสับสนขึ้นมา
‘อะไรล่ะนั่น? คุณผู้บัญชาการครับ คุณไม่ได้ส่งเขามาเล่นที่นี่จริงๆใช่ไหมครับ?’
ที่เทียนเสี่ยวหมิงไม่เข้าใจเป็นเพราะทั้งๆที่เขายิงกระสุนออกไปแล้ว แต่บนเป้ากลับไม่มีรูกระสุนเลยสักรู ทั้งๆที่เป็นนัดที่สุดยอดของเฉินหลงแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่เข้าเป้าเลยล่ะ?
เทียนเสี่ยวหมิงหันไปมองเฉินหลง ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เฉินหลงค่อยๆส่งยิ้มให้เทียนเสี่ยวหมิง นี่ไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อย นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้ยิงปืนเลยนะ จะยิงไม่เข้าเป้าก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน เขาไม่จำเป็นต้องมองหน้าตัวเองด้วยท่าทางเศร้าๆเลยสักนิด
จากนั้น เฉินหลงก็สูดลมหายใจอีกครั้ง ยกปืนขึ้นมา พร้อมกับเล็งไปตรงกลางเป้าที่อยู่ห่างออกไป 50 เมตร
เฉินหลงเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อกี้ตัวเองถึงยิงไม่เข้าเป้า ครั้งนี้เขาไม่มีทางยิงพลาดเป็นครั้งที่สอง!
TB:บทที่ 143 การฝึกยิงปืน (2)
ปัง! ปัง! ปัง! …
เฉินหลงได้ยิงกระสุนออกไปเจ็ดนัดติดต่อกันเหมือนกับที่เทียนเสี่ยวหมิงทำก่อนหน้านี้
หลังจากยิงกระสุนออกไปครบทุกนัด เฉินวางเลื่อนปืนมาไว้ตรงริมฝีปาก เป่าควันที่ลอยออกมา จากนั้นก็วางปืนลง
เมื่อเห็นความสำเร็จของเฉินหลงในครั้งนี้ เทียนเสี่ยวหมิงก็เกิดความสับสนขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากกลางเป้ามีรูกระสุนหนึ่งรู แต่ประเด็นความสับสนของเขาคือ เฉินหลงไม่ได้เข้าเป้าแค่นัดเดียว แต่เป็นกระสุนทุกนัดได้ลอดผ่านรูนี้แค่รูเดียวต่างหาก!
เป็นช็อตที่อเมซิ่งจิงเกอเบลมาก ทำเอาผมนี่อึ้งไปเลยครบท่านผู้ชม!
เดิมที เทียนเสี่ยวหมิงคิดว่าทักษะการยิงของเขานั้นถือได้ว่าเป็นสุดยอดปรมจารย์ แต่เมื่อเทียบกับเฉินหลงแล้ว มันกลับไม่ใช่หนึ่งฉิบหรือสองฉิบแล้ว (*ฉิบหาย)
และเมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเขาก็ได้แสดงความถาคภูมิใจออกมาต่อหน้าเฉินหลง และทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าว
“ไม่เลวเลยแหะ” เฉินหลงพยักหน้าอย่างพอใจ
“คุณเฉิน สกิลการยิงของคุณนั้นยอดเยี่ยมมาก ผมไม่รู้ว่าก่อนเลยว่าคุณจะเก่งขนาดนี้” เทียนเสี่ยวหมิงจ้องมองเฉินหลงที่ยืนเงียบอยู่ข้างกาย
ถึงวิธียิงของเขาสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นช็อตที่สมบูรณ์ และไม่มีเสถียรภาพมากพอ แต่วิธียิงของเฉินหลงที่สามารถยิงได้ตรงเป้าทุกนัดแบบนี้ เรียกได้ว่าเป็นกระสุนที่หนักแน่นและมั่นคงสุดๆ
“จริงเหรอครับ?” ว้าว เยี่ยมจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมจากเที่ยนเสี่ยวหมิง ทำให้เฉินหลงแสดงความตกใจผ่านใบหน้า
ในฐานะมือใหม่ในบรรดาสมาชิกคนใหม่ เฉินหลงมีความสุขมากที่ได้รับคำชมจากปรมจารย์ด้านการยิงปืนอย่างเทียนเสี่ยวหมิงเป็นครั้งแรก
“นี่นายเพิ่งเคยยิงปืนครั้งแรกจริงๆใช่ไหม?” เดิมทีเทียนเสี่ยวหมิงไม่เชื่อว่าเฉินหลงเพิ่งเคยยิงปืนเป็นครั้งแรก แต่เมื่อนึกถึงท่าทางของเฉินหลงตอนที่อยู่ในคลังอาวุธ กับครั้งการยิงปืนครั้งแรกก่อนหน้านี้แล้ว มันได้แสดงให้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า อีกฝ่ายเพิ่งเคยจับปืนเป็นครั้งแรกจริงๆ
‘แสดงว่าในโลกนี้มีอัจฉริยะอยู่จริงๆสินะ’
เทียนเสี่ยวหมิงจ้องหน้าเฉินหลงด้วยสีหน้าแปลกๆ
เมื่อเห็นเทียนเสี่ยวหมิงจ้องตากับตัวเองแล้ว ทำไมจู่ๆเขาถึงรู้สึกอึดอัดขึ้นมาได้ล่ะ? เขารู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาเป็นสัตว์ประหลาดอยู่ยังไงอย่างนั้น
“พี่เทียน ในเมื่อเราทดสอบปืนพกเสร็จแล้ว ผมขอเปลี่ยนเป็นปืนไรเฟิลเลยได้ไหมครับ?” เฉินหลงที่รู้สึกว่าเทียนเสี่ยวหมิงกำลังทำให้เขารู้สึกอึดอัด จึงได้เปลี่ยนเรื่องคุยและทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้เริ่มดีขึ้น
หลังจากนั้น เทียนเสี่ยวหมิงได้หันไปจ้องหน้าเจ้าปีศาจอย่างเฉินหลงอีกครั้ง อีกครั้งโดยเฉพาะปืนซุ่มยิงกระบอกนั้น ครั้งนี้เป้าอยู่ห่างออกไปถึง 1,500 เมตร แต่เขาสามารถยิงโดนหัวใจได้ในนัดเดียว มันทำให้เทียนเสี่ยวหมิงเข้าใจรู้สึกของคนอื่น ที่เคยรู้สึกเมื่อเห็นเขายิงปืน เขาล่ะทั้งอิจฉา ทั้งหมั่นไส้ ทั้งเกลียดชังอีกฝ่ายเหลือเกิน!
หลังจากได้ฝึกยิงปืนจนหนำใจแล้ว เฉินหลงกับหวังฮงเดินทางกลับจากค่ายไปพร้อมกัน
และหลังจากเฉินหลงได้ออกจากค่ายไปเรียบร้อยแล้ว เทียนเสี่ยวหมิงก็ได้ไปร้องทุกข์กับเฉินเจียนกั่ว
“ผู้บัญชาการเฉิน วันนี้คุณได้มอบหมายภารกิจที่เลวร้ายให้ผมทำ” เทียนเสี่ยวหมิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ขมขื่น
เทียนเสี่ยวหมิงมีความมั่นใจในเรื่องการยิงปืนของตัวเองมาก แต่วันนี้เขากลับถูกเฉินหลงเอาชัยไปต่อหน้าต่อตา ถึงเทียนเสี่ยวหมิงจะไม่ได้เสียใจถึงขั้นที่ต้องร้องห่มร้องไห้ออกมา แต่มันก็กระต่อจิตใจเขาไม่น้อยอยู่ดี
เหตุผลที่ทำไมร้อยตรีตัวน้อยอย่างเทียนเซียวหมิงถึงได้เข้าพบกับผู้บัญชาการ สาเหตุหลักเป็นเพราะความสามารถด้านการยิงปืนที่โดดเด่นของเขา ทหารพวกนี้ถือเป็นสมบัติของทุกกองทัพ ด้วยเหตุนี้สมบัติอย่างเขาสามารถเข้าพบผู้บัญชาการได้
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งในระดับสาม เขาจะสามารถเข้าพบเข้าได้ก็ต่อเมื่อมีการตรวจกองหรือหัวหน้าเรียกตัวไปเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เฉินเจียนกัวถามด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากว่าเขาอารมณ์ดีมากที่ได้พบปะกับผู้บริหารระดับสูงในวันนี้
“คุณไม่คิดว่าผมควรฝึกยิงปืนบ่อยๆเหรอครับ ผมอยากหาผู้เชี่ยวชาญสักคนมาสู้กับผม” เทียนเสี่ยวหมิงกล่าว
เฉินเจียนกั่วขมวดคิ้วและถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “หืม เกิดอะไรขึ้นนะ?”
โดยปกติ เขาจะหาผู้เชี่ยวชาญสักคนมาสอนเขาที่กองทัพ แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญสู้กับเทียนเสี่ยวหมิงได้ นอกจากนี้ ถ้าเขาต้องการเรียนรู้เรื่องอื่นนอกจากเรื่องปืนแล้ว เฉินเจียนกั่วก็ไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญมาสอนบทเรียนให้กับเทียนเสี่ยวหมิงได้
จากนั้น เทียนเสี่ยวหมิงก็ได้เล่าเรื่องของเฉินหลงให้เขาฟังทั้งหมด
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของเทียนเสี่ยวหมิงแล้ว เฉินเจียนกั่วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ในความคิดของเขา เขายังรู้สึกตกใจมากที่ ‘ทุกคนในกลุ่มซีโร่นี้พิลึกคนจริงๆ คนที่ไม่เคยจับปืนมาก่อนสามารถเอาชนะเทียนเสี่ยวหมิงได้ด้วย เทคนิคการยิงหลังจากลองยิงเพียงไม่กี่นัด มันน่าทึ่งจริงๆ’
“แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ? อะไรกัน กับเรื่องแค่นี้นายก็จะยอมรับความพ่ายแพ้แล้วเหรอ? ” หลังจากเฉินเจียนกั่วหัวเราะออกมา เขาก็หาโอกาสพูดปลุกใจเทียนเสี่ยวหมิง
เมื่อได้ยินคำถามพูดเฉินเจียนกั่วแล้ว เทียนเสี่ยวหมิงได้ระบายยิ้มที่สดใสผ่านใบหน้าที่ขมขื่น ‘ยอมรับความพ่ายแพ้?’ เหอะ ฝันไปเถอะ ในพจนานุกรมของฉันไม่มีคำว่า ‘ยอมรับความพ่ายแพ้’ อยู่ในนั้นหรอนะ หลังจากเห็นทักษะการยิงของเขาแล้ว ฉันก็จะหาขอบเขตอื่นต่อ ถึงตอนนี้เขาเก่งกว่าฉัน แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็จะหาวิธีเอาชนะเขาให้ได้เลย คอยดู
สุดยอดผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงปืน นอกจากจะยิงปืนแม่นแล้ว ยังแข็งแกร่ง มุ่งมั่นและอดทนอีกต่างหาก ในการเผชิญกับการต่อสู้ เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรค มุ่งตรงไปข้างหน้า และไม่วิ่งหนีเด็ดขาด
“หึ ในเมื่อตอนนี้นายรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้นนายจำเป็นต้องฝึกให้หนักขึ้นเพื่อตัวเอง ฉันจะรอวันที่นายจะเอาชนะเขาในเรื่องการยิงปืนได้นะ” เฉินเจียนกั่วตบบ่าเทียนเสี่ยวหมิง
เดิมที เฉินเจียนกั่วต้องการจะบอกเทียนเสี่ยวหมิงว่าเฉินหลงคือใคร แต่เมื่อเขาเห็นว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากเฉินหลงได้ เขาจึงได้ไม่บอกเรื่องต่างๆกับเทียนเสี่ยวหมิง ในฐานะผู้บัญชาการ เฉินเจียนกั่วได้เป็นหัวขโมยตัวจริง
หลังจากเฉินหลงกับหวังฮงออกไปจากค่ายทหารแล้ว หวังฮงกลับไปที่อุทยานหลวง เพราะหน้าที่ของเขาคือการปกป้องผู้นำของประเทศ โดยปกติแล้วเขาไม่สามารถอยู่ห่างจากอีกฝ่ายได้นานเท่าไหร่
ส่วนเฉินหลงเดินทางกลับไปที่วิลล่าของตัวเอง เพื่อไปรักษาเนื้อร้ายที่ไตของหวังเฟิง
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับหวังหูและหวังเฟิง เฉินหลงได้แนะนำให้หวังหูพาหวังเฟิงไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
เมื่อหวังหูและหวังเฟิงกลับถึงวิลล่าพร้อมกับความตื่นเต้นบนใบหน้า และเมื่อเขาเห็นเฉินหลง ทั้งสองคนถึงกับคุกเขาตรงหน้าอีกฝ่ายในทันที
เมื่อเห็นพวกเขาคุกเข่า เฉินหลงถึงกับพูดไม่ออก เฉินหลงจำเป็นต้องลงไปคุกเข่าเป็นเพื่อนทั้งสองคน เพื่อไว้หน้าชายคนนี้
เงียบอยู่ไม่นาน เฉินหลงก็จับแขนของทั้งสองคนให้ลุกยืน และไม่ต้องคุกเข่าให้เขาอีก
“บอส ถ้ามันเป็นเรื่องธรรมดา พวกเราคงไม่ทำอย่างนี้ แต่นี่เป็นถึงการช่วยชีวิตคนๆหนึ่ง การตอบแทนด้วยการคุกเข่าทำให้พวกเรารู้สึกดีกว่าการที่ไม่ตอบแทนอะไรเลย” หวังหูกล่าวในขณะที่ร่างของเขาพยายามทำท่าคุกเข่า
“พี่หลง ขอให้ฉันได้คุกเข่าเถอะนะคะ” หวังเฟิงที่อยู่อีกด้านก็กล่าวขึ้นเช่นกัน
ตอนแรก หลังจากรู้ว่าโรคที่ตัวเองเป็นคืออะไรแล้ว หวังเฟิงก็รู้สึกอยากจะตายขึ้นมาในทันที แต่ถ้าเธอตายแล้ว พี่ชายก็คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกนี้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้ตัดสินใจไปตายแล้วทิ้งพี่ชายให้อยู่คนเดียว
ตั้งแต่ที่เธอคิดได้แล้วว่าตัวเองจะไม่ยอมตายเด็ดขาด หวังเฟิงจะต้องมีเข้มแข็งและมีชีวิตอยู่เพื่อพี่ชายสุดที่รัก
ในการรักษาตัวเอง พี่ชายพาเธอไปที่เซียงเจียง ที่ๆหวังหูสามารถหารายได้จากการชกมวย ด้วยสิ่งที่เรียกว่าเงิน หวังเฟิงจึงได้รับการรักษาที่ดีที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม การรักษาพวกนี้ทำได้เพียงแค่บรรเทาอาการป่วยของหวังเฟิงเท่านั้น นอกจากนี้ พี่ชายต้องใช้เงินทั้งหมดที่ได้รับจากการชกมวยไปลงกับการรักษาเธอ เรื่องนี้ทำให้หวังเฟิงรู้สึกผิดต่อหวังหูมาโดยตลอด เธอได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า ถ้าขากเธอไปแล้ว พี่ชายของเธอจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ไหมนะ…
ในเวลาเดียวกัน หวังเฟิงคิดว่าตัวเองควรจะปล่อยพี่ชายไปได้สักที และในตอนที่หวังเฟิงตัดสินใจที่จะหายไปจากหวังหูโดยไม่ได้บอกกล่าว หวังหูก็ได้นำความหวังที่จะรักษาโรคให้หายขาดได้มาให้เธออีกครั้ง
ตอนแรกหวังเฟินยังคงสงสัยว่าเขาจะรักษาอาการป่วยของเธอได้ยัง จนกระทั่งเธอได้รับการรักษาโดยเฉินหลง มันทำให้ชีวิตของเธอถูกเติมเต็มไปด้วยความหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด
บางทีเธออาจเรียกได้ว่า เฉินหลงเป็นนผู้ให้ชีวิตใหม่แก่เธอ ดังนั้นสิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำในตอนนี้คือการคุกเข่าตอบแทนอีกฝ่ายเท่านั้น
TB:บทที่ 144 ลูกศิษย์
เห็นสีหน้าที่กลังบอกให้เขารู้ว่า “ถ้าคุณไม่ให้เราคุกเข่า เราก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งวันเลยคอยดู” เฉินหลงจึงทำแค่ปล่อยให้พวกเขาได้คุกเข่า
หลังจากที่พวกเขาได้นั่งคุกเข่าดั่งสมใจอยากแล้ว พวกเขาก็โข้วโถว*ให้เฉินหลงสามครั้ง
ตั้งแต่ที่เฉินหลงได้รับของขวัญมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจที่รับมันมาจริงๆ
หลังจากได้โข้วโถวให้เฉินหลงสามครั้ง หวังหูและน้องสาวก็ลุกขึ้นยืน เป็นหวังหูที่หันไปพูดกับเฉินหลงอย่างจริงจังว่า “บอสครับ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หวังหูคนนี้ขอเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ที่สุดของคุณครับ จากนี้ไป ไม่ว่าคุณต้องการให้หวังหูทำอะไร หวังหูยินดีทำให้คุณไปชั่วชีวิตเลยครับ!”
ตอนนี้ หวังหูยินดีที่จะเป็นลูกน้องของเฉินหลงเต็มตัวแล้ว
“พี่หลง ถึงฉันจะไม่มีความสามารถเท่ากับพี่ชาย แต่ฉันทำงานบ้านได้ทุกอย่างเลยนะคะ ถ้ามีงานบ้านอะไรให้ฉันทำ พี่บอกฉันมาได้เลยนะคะ ฉันทำได้ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบเลยค่ะ” หวังเฟิงพูดตามพี่ชายมาติดๆ
“โอเคๆ จากนี้ไป พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” เฉินหลงพยักหน้าตอบ
ในวันที่สามหลังจากกลับมาถึงปักกิ่ง ฮัวหมิงเหรินได้มาหาเขาถึงหน้าประตูบ้าน
“อาจารย์! นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าคุณลืมเรื่องที่จะรับผมเป็นศิษย์ไปแล้วรึยังครับ?” ฮัวหมิงเหรินเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ขมขื่นในตอนที่เขาได้พบหน้าเฉินหลง
“หือ ฉันจะไปลืมได้ยังไงล่ะ? ฉันแค่คิดว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ควรจะเริ่มเรียน ตอนแรกฉันคิดว่าจะรับสอนคุณสักวัน แต่ในเมื่อตอนนี้คุณก็มาหาฉันถึงที่แล้ว ถ้างั้นเราไปกันวันนี้เลยก็ได้ ว่าแต่ว่า เราจะไปที่เรียนที่ไหนกันดีล่ะ นายมีสถานที่แนะนำฉันไหม?” เฉินหลงตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ว่ากันตามตรง ถ้าวันนี้ฮัวหมิงเหรินไม่มาหาเขาถึงที่ เฉินหลงคงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ แต่ในเมื่อตอนนี้ฮัวหมิงเหรินหาเขาเจอแล้ว อย่างน้อยพาเขาไปวันนี้เลยดีกว่าผลัดวันประกันพรุ่ง เขาจะพาอีกฝ่ายไปวันนี้เลยก่อนที่ตัวเองจะลืมเรื่องนี้อีกรอบ
เมื่อได้ยินว่าวันนี้ เฉินหลงยินดียอมรับเขาแล้ว ทันได้นั้นฮัวหมิงเรนได้ระบายยิ้มออกมาแล้วหันไปตอบเฉินหลงว่า “อาจารย์! วันนี้คุณจะรับผมเป็นลูกศิษย์จริงๆใช่ไหมครับ? เยส! ศิษย์คนนี้จะรีบไปจองสถานที่และเตรียมพิธีทำความเคารพอาจารย์ให้คุณเองครับ!”
เฉินหลงพยักหน้าตอบ
ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วต่อสายหาใครบางคน
เฉินหลงหยุดฮัวหมิงเหรินเอาไว้อีกครั้ง ถ้าทำได้ นายอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่แล้วก็ยุ่งยากเลยนะ แค่มีพิธีเคารพอาจารย์อย่างเดียวก็พอแล้ว”
ในฐานะที่เป็นคนง่ายๆและไม่ชอบความวุ่นวาย เฉินหลงไม่ต้องการให้ฮัวหมิงเหรินโทรเรียกเพื่อนมาดูพิธีของเขาสักหน่อย เขาเกรงว่าคนอื่นจะคิดว่าตัวเองกำลังดูละครลิงอยู่มากกว่านะสิ
“รับทราบครับ! อาจารย์!” ฮัวหมิงเหรินพยักหน้ารับโดยเร็ว
ตอนแรก ฮัวหมิงเหรินอยากเรียกพวกพ้องมาร่วมงานด้วยทุกคน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เขาจึงได้แต่ทำตามคำขอของอีกฝ่ายเท่านั้น
ไม่นาน ฮัวหมิงเหรินได้จองห้องที่ร้านอาหาร ‘ไชน่าทาวเวอร์’ จากนั้นขับรถพาเฉินหลงไปยังที่หมายในทันที
ที่ฮัวหมิงเหรินเลือกตึกจงหัว เป็นเพราะที่นั่นมีโบราณวัตถุหลายอย่าง ตั้งแต่ของประดับไปจนถึงของตกแต่งและของใช้ มันเป็นสถานที่ที่เหมาะกับพิธีโบราณแบบนี้มาก
นอกจากนี้ตึกจงหัวที่ฮัวหมิงเหรินเป็นคนเลือกเองกับมือยังทำให้เฉินหลงพบปะกับคนรู้จักโดยบังเอิญเสียด้วย
“หลินจื่อ ฉันได้ยินมาว่าเฟอรารี่ 458 ของนายถูกทุบ ใช่ไหม?”
ในห้องห้องหนึ่งของตึกจงหัว ชายหญิงหกถึงเจ็ดคนกำลังทานอาหารและพูดคุยกันอยู่เท่านั้น หนึ่งในนั้นคือฟางเต๋าหลิน ครั้งล่าสุดเขาถูกเฉินหลงทุบ ส่วนชายที่พูดประโยคเมื่อกี้ออกมา เขาอายุ 25 ปี สวมชุดแนวฮิปฮอป
เมื่อได้ยินคำถามของชายคนนั้นแล้ว ทันใดนั้นใบหน้าของฟางเต๋าหลินก็ดูไม่น่ามองขึ้นมาในทันที ครั้งล่าสุดที่รถของเขาถูกทุบไป เขาพยายามสุดความสามารถที่จะลืมเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้าที่สุดตั้งแต่ที่เขาเกิดมาเลย แต่ก็ยังมีคนบางคนดันลื้อฟิ้นมันขึ้นมาให้เขาเจ็บใจเล่นอีกรอบ พูดแบบนี้หมายความว่าอยากมีเรื่องกับผมใช่ไหมครับ
“ลู่เฟิง ทำไมนายถึงหยิบมันขึ้นมาพูดล่ะ? มันจะต้องมีสาเหตุที่ทำให้รถของหลินจื่อถูกทุบแบบนั้นสิ ส่วนคนที่ทุบรถเขาต้องจบไม่สวยแน่ ใช่ป่ะ มู่จือ?” คนที่มีอายุ 25 ปีเท่ากัน สวมเสื้อผ้าแบรนด์ดังและแว่นตาอามานี่ หันไปพูดกับชายที่สวมชุดฮิปฮอป การแต่งตัวของคนๆนี้ ดูจากปากซอยก็รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีรสนิยมคนหนึ่ง
สิ่งที่ชายคนนั้นพูด ฟังดูเหมือนเขากำลังพูดถึงฟางเต๋าหลินอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังยั่วโมโหอีกฝ่ายอยู่
“ลู่เฟิง ต้วนหนาน เราทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน แต่พวกนายไม่จำเป็นต้องมาโชว์โง่ต่อหน้าคุณเตหลีกับคุณลี่แบบนี้ก็ได้นะ” ในเวลาเดียวกัน ชายคนหนึ่งที่นั่งข้างๆฟางเต๋าหลินมองไปที่ชายที่สวมชุดฮิปฮอป ลู่เฟิง กับชายที่สวมแว่นตา ต้วนหนาน
ชายคนนี้ไม่เข้าใจว่าที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมา เป็นเพราะเขาต้องการพูดกับฟางเต๋าหลินจริงๆ หรือว่าอยากจะทำตัวเป็นเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าผู้หญิงสองคนนี้กันแน่
ฟางเต๋าหลินสูดหายใจลึกๆเข้าปอดไปสองเฮือก จากนั้นก็ปั้นยิ้มบนใบหน้า “จริงๆมันก็ไม่เชิงว่าโดนทุบรถอะไรทำนองนั้นหรอก ช่างมันเถอะ เรื่องใหญ่จริงๆคือต้องซื้อรถคันใหม่ต่างหาก ตอนนี้มันเป็นเรื่องสังคมแห่งสันติ**นะ ปล่อยให้เขาทำลายรถนั่นฝ่ายเดียวเถอะ เรื่องแค่นี้เอง พวกเราสู้กลับไม่ได้อยู่แล้ว”
ฟางเต๋าหลินพูดจบ ทุกสายตาในห้องหันไปจับจ้องเขาเป็นตาเดียวกัน อย่างกับคนเห็นผียังไงอย่างนั้น จริงอยู่ที่ฟางเต๋าหลินจะเป็นคนพูดออกมาเองว่า ‘เรื่องแค่นี้เอง’ แต่เพราะ ‘เรื่องแค่นี้’ นี่แหละ เต๋าหลินคนนี้ยังทำตัวเย่อหยิ่งแบบนี้ได้จริงๆเหรอ?
“ทำไมถึงเงียบไปล่ะ? พวกนายไม่คิดเหมือนฉันเหรอ?” ฟางเต๋าหลินอารมณ์ดีที่ได้เห็นผีในชีวิตจริง เพราะสิ่งที่เราต้องการคือปฏิกิริยาแบบนี้ยังไงล่ะ!
ลู่เฟิงกับต้วนหนานล่ะอยากพูดตอกกลับฟางเต๋าหลินจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะพูดยังไงนี่สิ จะให้พวกเขาพูดว่า ‘ถ้าเกิดว่ามีคนมาทุบรถฉัน ฉันก็จะไปทุบรถมันกลับ’ หรือไม่ก็ ‘ใครชนะเราได้ เราก็ต้องเอาชนะมันกลับสิ อย่างนี้ถึงจะถูก’ ต่อหน้าสาวๆได้ยังไงล่ะ? ในตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนทำได้คือนั่งเงียบๆเหมือนคนอมทุกข์ หยิบแก้วตัวเองขึ้นมา แล้วจิบไวน์เข้าไปในปากสักอึก แค่นี้ก็พอแล้ว
“เอ่อ เอาเป็นว่าเราอย่าไปพูดถึงรถกันอีกเลย วันนี้เราเชิญคุณเตหลีคุณลี่ และก็คุณฮัวเทียน หลานชายของแพทย์จีนปาฏิหาริย์แห่งประเทศจีนเชียวนะ ทักษะการแพทย์ของพี่ฮัวได้รับการถ่ายทอดโดยแพทย์ชาวจีน ถ้าพวกนายรู้สึกไม่สบายตัว ก็ลองปรึกษาเขาดูสิ” ชายที่พูดกับฟางเต๋าหลินเมื่อกี้ พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“มา พวกเรามาดื่มอวยพรให้กับพี่ฮัวเทียนเป็นคนแรกกันเถอะ” ฟางเต๋าหลินยกแก้วขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้น
ลู่เฟิงกับต้วนหนานไม่อยากตามน้ำไปกับฟางเต๋าหลินเท่าไหร่ แต่เพราะฮัวเทียนเองก็เป็นแขกของตนเช่นกัน ถ้าพวกเขาไม่ให้เกียรติคนอื่น ถ้าในอนาคตพวกเขาอยากได้ไปเจอหน้าใครสักคน มีหวังพวกเขาคงไม่กล้าเปิดปากกล่าวคำทักทายอีกฝ่ายแน่ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้แต่ทำทำใจแล้วยกแก้วขึ้นมาพร้อมกับฟางเต๋าหลิน
ทำนองเดียวกัน ฮัวเทียนก็ยกแก้วตัวเองขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม
กิริยาของฮัวเทียนนั้นงดงามมาก รอยยิ้มของเขาให้ความรู้สึกอบอุ่น ส่วนรูปร่างและท่าทางของเขาก็ดูสง่าและให้ความรู้สึกหรูหรามาก เขาดูเหมือนนักวิชาการมากกว่าแพทย์แผนจีนเสียอีก
“คุณฮัวคะ ฉันมีคำถามให้คุณหนึ่งคำถามค่ะ” เตหลี คนที่หวานละมุนและไม่เหมือนใคร ส่งยิ้งให้กับเทพบุตรจีนคนนี้ “คือว่าฉันต้องถ่ายหนังเป็นเวลานาน และการคุมอาหารของฉันค่อยไม่ปกติดีเท่าไหร่ ช่วงนี้ บางครั้งฉันก็มีอาการปวดท้อง ฉันไม่รู้ว่าควรจะรักษายังไง คำถามคือฉันควรทำยังไงดีคะ?”
“อันที่จริง ศิลปินหลายคนก็มีอาการเดียวกับคุณครับ ถ้าคุณลองใช้ยาจีนสูตรโบราณดู บางทีคุณอาจ… “
ในขณะที่ฮัวเทียนกำลังอธิบายวิธีการรักษาให้กับเตหลี เฉินหลงกับฮัวหมิงเหรินก็ได้มาถึงที่ตึกจงหัวเป็นที่เรียบร้อย
เขาไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือหรือว่าโคตรจะบังเอิญ เพราะห้องที่ฮัวหมิงเหรินจองไว้อยู่ประตูถัดจากห้องของฟางเต๋าหลิน
แต่ว่าสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว หลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมาบ้าง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เมื่อเข้ามาในห้อง ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินได้เป็นคนขยับเก้าอี้ให้กับเฉินหลง แล้วคอยช่วยให้เฉินหลงได้นั่งบนเก้าอี้แบบสบายๆ ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อแสดงความกตัญญูของการเป็นลูกศิษย์ยังไงล่ะ! ฮ่าฮ่า อึ๋ย นี่เขาไม่ได้อยากจะเอาหน้าหรือซื้อใจอาจารย์หรอกนะ อย่าเข้าใจเขาผิดๆล่ะ!
กลับกัน ฮัวหมิงเหรินได้ทำให้เฉินหลงรู้สึกอึดอัดโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยสักนิด
คุณบอกว่า ถ้าคุณเป็นเหมือนกับเฉินหลง หรือคุณอายุเท่ากับเขา คุณก็ควรจะไปเป็นคุณปู่แล้วดูแลลูกชายในไส้ของตัวเองเถอะ อ่า นี่มันน่าอึดอัดใจเกินไปหน่อยแล้ว
แต่ฮัวหมิงเหรินกล่าวว่าทุกอย่างควรทำตามกฎเดิม เฉินหลงก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้เขาทำไป
หลังจากนี้จะเป็นพิธีโข้วโถวสามครั้ง ตามมาด้วยพิธียกน้ำชา
หลังจากเฉินหลงจิบชา ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินได้แสดงความตื่นเต้นผ่านใบหน้าอย่างมิอาจปกปิด
“อาจารย์!”
นับจากนี้เป็นต้นไป ฮัวหมิงเหรินก็ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเฉินหลงเต็มตัว
*kowtow ที่หมายถึงศิโรราบ คำนี้มาจากคำจีน 叩頭 (ภาษาจีนกลางอ่านว่า โข้วโถว แต่ยืมผ่านจีนกวางตุ้ง อ่านว่า คาวถ่าว) แปลตรงตัวได้ว่า กระแทกศีรษะ
**和谐社会 (hé xié shè huì) = harmonious society / สังคมแห่งสันติ
สังคมที่สมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
สังคมแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ถ้ามีการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน และมีจากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมอีกด้วยTB:บทที่ 145 มือปืน
มองดูฮัวหมิงเหรินที่ดูตื่นเต้นราวกับว่าเขาได้เจอขุมสมบัติขุมใหญ่ เฉินหลงวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะข้างกาย
“วันนี้นายได้เป็นลูกศิษย์ของฉันแล้ว อืมม วันนี้นับว่าเป็นวันครูของนายก็แล้วกัน น่าเสียดายที่ฉันไม่มีของขวัญติดไม้ติดมือมาให้นายเลยสักชิ้น แต่ในเมื่อฉันเป็นอาจารย์ของนายแล้ว เอาเป็นว่า ฉันจะสอนเทคนิคที่จำเป็นกับนายเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน และนายก็ต้องตั้งใจฝึกมันให้ดีๆล่ะ ตกลงไหม?” ในตอนที่เฉินหลงพูดถึงการเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ เขาล่ะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจจริงๆเลย อ่า ให้ตายสิ ชีวิตนี้เขาเคยพูดแบบนี้ที่ไหนล่ะ
เมื่อได้ยินว่าเฉินหลงจะสอนเทคนิคต่างๆให้เขา ฮัวหมิงเหรินรู้สึกดีใจมากจึงกล่าวตอบไปว่า “ขอบคุณครับ! อาจารย์ ผมจะหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเด็ดขาด!”
เฉินหลงเป็นอาจารย์ที่สักวันเขาอยากจะเป็นคนแบบนี้ และตอนนี้เขาก็ได้มีลูกศิษย์ของตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ของเขาแล้ว เขาก็ต้องขานรับอีกฝ่ายอย่างว่าง่ายและเป็นธรรมชาติมากที่สุด
จากนั้น เฉินหลงก็ได้บอกเคล็ดลับฉบับรวบรัดให้ฮัวหมิงเหรินได้รู้
เคล็ดลับฉบับรวบรัดนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ฝังเข็มฟื้นคืนชีพ’ เป็นหนึ่งในเทคนิคการฝังเข็มใน ‘หมื่นวิธีรักษา’ ถ้าวิธีฝังเข็มนี้ถูกใช้อย่างสมบูรณ์ เราก็จะสามารถรักษาคนที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ให้กลับมาหายใจได้อีกครั้ง
เข็มทั้งหมดที่ต้องใช้ในการฝังเข็มคืนชีพมีทั้งหมด 18 เข็ม การใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ คือตอนที่เข็มทั้ง 18 เข็มถูกฝังเข้าไปที่จุดฝังเข็มทั้ง 18 จุดตามร่างกายของผู้ป่วย นอกจากนี้ คนฝังเข็มจะมีเพียงความเข้าใจในจุดฝังเข็มอย่างเดียวไม่ได้ เขายังต้องใช้เข็มและควบคุมเข็มเงินให้ถูกวิธีอีกด้วย ดังนั้นเฉินหลงจึงบอกการฝังเข็มที่ใช้เข็มแค่ 6 เข็มให้กับฮัวหมิงเหรินแทน ถึงจะไม่ใช่ 18 แต่เป็น 6 เข็ม ตราบใดที่เขาศึกษามัน วิธีฝังเข็มนี้ก็จะสามารถรักษาและกำจัดโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้อย่างมะเร็งและโรคอื่นๆอีกได้
ฮัวหมิงเหรินเป็นคนที่รู้เรื่องแพทย์พอตัว ทันทีที่เขาได้ยินคำว่า ‘เคล็ดลับฉบับรวบรัด’ นี้เข้า เขาก็ได้เข้าใจในทันทีว่าการฝังเข็มชุดนี้จะต้องดีมากแน่ๆ ตราบใดที่เขาศึกษามัน ทักษะด้านการแพทย์ของเขาจะสูงขึ้นแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ฮัวหมิงเหรินจึงพยายามอย่างสุดความสามารถในการใช้สมองจดจำทุกคำทุกประโยคที่เฉินหลงอ่านให้เขาฟัง
ถึงฮัวหมิงเหรินจะชอบทำตัวเป็นเด็กแต่เขาก็มีอายุเกือบ 60 ปีแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังยากสำหรับเขาอยู่ดี
หลังจากอ่านเคล็ดลับฉบับรวบรัดเสร็จแล้ว เฉินหลงก็หันไปพูดกับฮัวหมิงเหรินที่กำลังจำวิธีต่างๆอยู่ว่า “ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะออกไปห้องน้ำแล้วจะรีบกลับมาเร็วๆ นายจะอยู่ท่องจำมันที่นี่ก่อนก็ได้นะ ฉันไม่ถือ”
หลังจากใช้เวลาเพื่อทำความคุ้นเคยกับมัน ความรู้สึกอึดอัดของเฉินหลงที่ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์ และเรียกตัวเองว่าอาจารย์ก็เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
“ตามที่อาจารย์ว่าไว้เลยครับ” ฮัวหมิงเหรินตอบ
ถึงเขาจะอ่านเคล็ดลับฉบับรวบรัดอยู่ แต่เมื่ออาจารย์พูด ผู้เป็นศิษย์ก็ต้องตอบรับโดยธรรมชาติ สิ่งนี้เรียกว่าการเคารพอาจารย์และการให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย
จากนั้นเฉินหลงก็ผลักประตูห้องให้เปิดออกและเดินออกไป
ประตูห้องถัดไปที่ถูกผลักให้เปิดเป็นเวลาเดียวกันที่ เฉินหลงหันหน้าไปมองทางนั้นพอดี จังหวะช่างตรงกันเสียเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าคนๆนี้จะเป็นคนที่เขารู้จักอย่างฟางเต๋าหลิน!
“นาย!”
“นาย!”
เฉินหลงกับฟางเต๋าหลินกล่าวออกมาคำเดียวกันเป๊ะ!
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ใบหน้าของเฉินหลงก็ผุดรอยยิ้มออกมา เขากับฟางเต๋าหลินถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าต้องมาเจอหน้ากันที่นี่
และใบหน้าของฟางเต๋าหลินก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาเหมือนกัน แตกต่างกันที่เป็นของเฉินหลงยิ้มเยาะ แต่ของเขายิ้มแห้ง เพราะตั้งแต่จากกันครั้งล่าสุด ในชีวิตนี้ของฟางเต๋าหลินก็ไม่อยากเห็นหน้าเฉินหลงหรือได้ยินชื่อนี้อีกเลย
โอ้สวรรค์ เป็นเรื่องบังเอิญที่ฟ้าลิขิตให้เราสองได้มาเจอกัน ณ ที่แห่งนี้จริงๆ
เฉินหลงหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำ
เมื่อเห็นเฉินหลงเดินไปทางห้องน้ำ ฟางเต๋าหลินก็อยากกลับเข้าไปในห้องตัวเองทันที แต่แล้วก็มีความคิดทีสองผุดขึ้นมา เกรงกว่าถ้าทำอย่างนั้นคงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงเดินไปทางห้องน้ำอีกคน
ชายแซ่เฉินไม่ได้ทำอะไรชายแซ่ฟาง และชายแซ่ฟางก็ไม่ได้หาเรื่องชายแซ่เฉิน ด้วยเหตุนี้ในห้องน้ำจึงไม่มีเรื่องวิวาทใดๆเกิดขึ้นทั้งนั้น
เมื่อเฉินหลงกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ฮัวหมิงเหรินยังคงอ่านเคล็ดลับและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
ฝั่งฟางเต๋าหลินที่กลับเข้าไปในห้อง ได้เอ่ยปากพูดกับทุกคนว่า “นี่ พวกนายรู้ไหม เมื่อกี้ฉันไปเจอใครมา?”
ด้วยรอยยิ้มพิลึกพิลั่นบนใบหน้าของฟางเต๋าหลิน
“นายไปเจอใครมาล่ะ?” ลู่เฟิงกับเตหลีแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาสนใจ
เพราะทั้งชายและหญิงต่างมีหัวใจแห่งการซุปซิบ
“คนที่ทุบรถฉันยังไงล่ะ!” ฟางเต๋าหลินตอบ
“ฮ่าฮ่า! ศัตรูของนายนี่เอง แล้วนายได้สู้กับมันป่ะ?” ลู่เฟิงหันไปมองฟางเต๋าหลินแบบคนที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
“หึ คำตอบของฉันคือ ‘ไม่’ แน่นอน อย่างที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ไง ตอนนี้เป็นสังคมแห่งสันติยังไงล่ะ เราจะไปชกต่อยกันหรือสู้กันได้ยังไงเล่า?” ฟางเต๋าหลินส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปทางลู่เฟิงกับต้วนหนานแล้วกล่าวว่า “แต่เพื่อนลู่กับเพื่อนต้วนเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของฉันก่อนหน้านี้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
ฟางเต๋าหลินเริ่มปฏิบัติการขุดหลุมให้ลู่เฟิงกับต้วนหนาน ตอนนี้เขาแค่รอดูว่าทั้งสองคนจะกระโดดลงไปยังไง
“ถึงตอนนี้จะเป็นสังคมแห่งสันติ ถึงจะไม่ควรไปรังแกคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้คนอื่นมารังแกเราได้นี่ ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะอ่อนแอขนาดนั้นนะ เราควรรู้วิธีสู้กลับสิ” ลู่เฟิงตอบในสิ่งที่เขาคิด
ลู่เฟิงรู้ดีว่าคำพูดของฟางเต๋าลินเป็นกับดัก แต่เขาจำเป็นต้องกระโดดลงไป
“ฉันว่าที่เพื่อนลู่พูดมามันก็ถูกนะ ถ้านายอยากรู้วิธีสู้กลับ ฉันขอแนะนำให้นายไปปรึกษาเพื่อนลู่เลย” ในเมื่อตอนนี้ต้วนหนานกับลู่ฟิงลงเรือลำเดียวกันแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะสนับสนุนลู่เฟิง
เห็นทั้งสองคนรวมถึงลู่เฟิงที่เสนอตัวเข้ามาในฉากด้วย ฟางเต๋าหลินจึงทำเป็นไม่เข้าใจที่ทั้งสองคนพูด “ถ้างั้นก็รอไปก็แล้วกัน แล้วก็อยู่ห่างๆจากฉันด้วยล่ะ บางทีเขาคนนั้นอาจทุบรถนายเหมือนที่ทำกับฉันก็ได้นะ”
“เหอะ ฉันกลัวตายล่ะ ถ้ามันกล้าทุบรถฉันนะ ฉันจะบีบคอมันให้ตายไปเลย!” ตอนนี้ลู่เฟิงเป็นเหมือนกับไก่ที่เกรี้ยวกราดพร้อมจิกทุกคนที่ขวางหน้าเขา
เนื่องจากเขารู้ว่าปาร์ตี้วันนี้มีคุณเตหลีคนโปรด ลู่เฟิงจึงมอบของขวัญสุดพิเศษอย่างแลมโบกินี่ อเวนทาดอร์ที่เขาโปรดปราน มูลค่ามากกว่าเจ็ดล้านหยวนให้กับเธอ ถ้ารถของเขาถูกไอ้หมอนั่นทุบอีกคน มีหวังลู่เฟิงได้สติแตกแน่
“เพื่อนลู่ สามัคคีและปรองดอง” เห็นท่าทางของลู่เฟิงที่อยากจะเขมือบคนแล้ว ฟางเต๋าหลินจึงรีบรีบกล่าวขึ้น แต่ในใจกลับเบ่งบานไปด้วยช่อแห่งความสุข
ลู่เฟิงยังไม่รู้ตัวว่าอเวนทาดอร์สุดที่รัก ที่ลู่เฟิงเอ่ยถึงเมื่อกี้กำลังจะระเบิด
“นายไม่เห็นจะต้องฆ่าแกงเขาหรอก เอาไว้ฉันจะเป็นคนสั่งสอนมันเองก็แล้วกัน!” ต้วนหนานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลู่เฟิง คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากลู่เฟิง เดี๋ยวนี้เพื่อสาวสวยกล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาจริงๆรึนี่? ด้วยเหตุนี้เขาถึงต้องการช่วยอีกฝ่าย
แต่ลู่เฟิงกลับไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากการฆ่าฟันเลยสักนิด “ถ้าเขากล้าแตะรถฉันจริงๆ บทเรียนพรรนั้นกำจัดไฟโทสะของฉันไม่ได้หรอกนะ!”
เห็นท่าทางของลู่เฟิงแล้ว ต้วนหนานก็ยินดีที่จะไม่ปริปากเสนอความคิดเห็นใดๆอีก เหอะ ถ้านายอยากก็บ้า ก็บ้าไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่บ้าไปกับนาสหรอกนะจะบอกให้
ในเวลาเดียวกัน ฟางเต๋าหลินลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องอีกรอบ
เขาเดินออกมาจากห้องตัวเองแล้วเดินเข้าไปในห้องเฉินหลงแทน
ในเวลาดียวกัน เฉินหลงกำลังสอนเคล็ดลับให้กับฮัวหมิงเหรินเหมือนอย่างที่เขาทำก่อนหน้านี้ เพราะว่าอีกฝ่ายอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ จึงไม่สามารถจดจำรายละเอียดและเนื้อหาต่างๆได้ดีเท่าคนหนุ่มสาว เป็นธรรมดาที่เขาจะจำไม่ได้ทั้งหมด
“ทำไมนายถึงต้องมาห้องฉันด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะนายอยากให้ฉันจัดการกับนาย?”
“คุณเฉิน อย่าเข้าใจผมผิดสิ ผมมาหาคุณถึงที่นี่ แต่ว่าผมไม่ได้จะทำอะไรไม่ดีนะ ผมแค่อยากขอโทษคุณกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จริงๆนะ ผมหวังว่าคุณจะไม่ถือโทษและให้อภัย” หลังจากพูดจบ ชายแซ่ฟางได้หันหน้าไปมองหมินเหรินที่อยู่ในห้อง
ถึงฟางเต๋าหลินจะรู้จักชื่อของฮัวหมิงเหริน แต่เขาก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายแบบตัวเป็นๆ เขาจึงไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอีกคนคือฮัวหมิงเหริน
เฉินหลงที่รู้ว่าฟางเต๋าหลินจะพูดอะไรต่อจากนี้ จึงมองหน้าอีกฝ่ายเงียบๆแล้วปล่อยให้เขาพูดต่อให้จบ
“คุณเฉิน วันนี้ผมมาทานอาหารเย็นกับเพื่อนๆ แล้วผมก็เล่าเรื่องเข้าใจผิดระหว่างเราให้พวกเขาฟัง พวกเขาบอกว่าถ้าคุณปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะจัดการคุณให้ถึงตาย ผมลองเกลี้ยกล่อมพวกเขาดูแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ ผมก็เลยมาเตือนคุณ ถ้าเป็นไปได้ ทำไมคุณไม่เป็นฝ่ายลงมือก่อนพวกเขาล่ะครับ?” ฟางเต๋าหลินพูดต่อจนจบ
หลังจากจ้องตากับฟางเต๋าหลินอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหลงคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับถามเขา “หึ แล้วนายล่ะ อยากยิงฉันให้ตายไปเลยไหม?”
ผิดแล้ว ในสายตาของเฉินหลง คนอย่างฟางเต๋าหลินต้องการหลอกใช้เขาต่างหากล่ะ!
TB:บทที่ 146 การยุยง
เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินหลงแล้ว สีหน้าของฟางเต๋าหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณเฉิน เมื่อกี้ที่ผมพูดแบบนั้นออกไป เป็นเพราะผมไม่อยากให้คุณมีปัญหากับใครจริงๆนะครับ”
“เฮ้อ คุณบอกผมมาเถอะว่าคุณต้องการทำอะไรกันแน่ อย่าทำตัวเจ้าเล่ห์ไปหน่อยเลย คุณดูไม่เหมือนคนประเภทนั้นเลยนะ” เฉินหลงมองฟางเต๋าหลินด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
เห็นได้ชัดว่าฟางเต๋าหลินมีน้ำเน่าอยู่ไม่น้อย แถมยังแสร้งทำว่า ‘ฉันเป็นคนดี’ อีก เหอะ เฉินหลงล่ะเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด
“ก็ได้ครับ ถ้าจะให้ผมพูดตามตรงก็คือ เพื่อนๆของผมคุยกันว่า คุณไม่กล้าทุบรถพวกเขาหรอก ถ้าคุณกล้าทำอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาจะฆ่าคุณให้ตาย ผมแค่อยากถามคุณว่า คุณกล้าทุบรถพวกเขาไหมล่ะครับ?” ฟางเต๋าหลินรู้ดีว่าไม่มีทางอ้อมค้อมได้ มีแต่ต้องเล่นไปตามเกมเท่านั้น
“เฮ้ ผมไม่ได้เป็นพวกโรคจิตสักหน่อย ทำไมผมถึงต้องอยากทุบรถพวกเขาด้วยล่ะ คุณไม่กลัวว่าเพื่อนของตัวเองจะร้องเรียนหรือเสียใจเลยรึไง? ครั้งล่าสุดก็เป็นคุณที่หาเรื่องเอง แถมยังบังคับให้ผมทุบอีก สุดท้ายผมก็เลยต้องทุบมัน เฮ้อ…” เฉินหลงกล่าวพรางเว้นจังหวะเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อว่า “แล้วก็ขอบอกเอาไว้อีกอย่าง คุณไม่ต้องหาลูกไม้อะไรมายั่วยุผมเลยนะ เพราะมันใช้กับผมไม่ได้ผลเลย”
จากนั้นเฉินหลงก็จ้องหน้าฟางเต๋าหลินโดยมีคำว่า ‘แค่มองตา เหล่าซือก็มองเห็นไปถึงหัวใจ ตับ ม้าม ปอด ไตของเอ็งแล้วเฟ้ย’ แปะอยู่บนหน้าผากของเขา
“กะแล้วไม่มีผิด คุณนี่เป็นคนจริง จริงๆ แต่ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะน่าผิดหวังเหมือนกับคนอื่นๆ” ฟางเต๋าหลินส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องในทันที
เฉินหลงเหยียดยิ้ม และยังคงสอนเคล็ดลับให้กับฮัวหมิงเหรินที่ตอนนี้ได้หัวหมุนไปแล้วต่อไป
“อาจารย์ ไอ้เด็กบ้านั่นหยาบคายจริงๆ ให้ผมสั่งสอนมันดีไหมครับ?” จู่ๆฮัวหมิงเหรินก็เอ่ยถามขึ้นมา
เดิมที ในตอนที่ฟางเต๋าหลินได้พูดคุยกับเฉินหลงแบบนั้น ฮัวหมิงเหรินล่ะอยากจะสั่งสอนอีกฝ่ายจริงๆ แต่ตอนที่อาจารย์พูดอยู่ ถ้าเขาเข้าไปขัดจังหวะ มันคงจะเป็นการเสียมารยาทต่อเขา ด้วยเหตุนี้ ฮัวหมิงเหรินจึงทำได้แค่อดทนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เท่านั้น
“อย่าเลย เรื่องเล็กน้อยเอง ผมไม่อยากเสียเวลามานั่งเถียงกับเขาหรอกครับ” ท่าทางของเฉินหลงสุดจะเท่และไม่แยแสจริงๆ
ครั้งที่แล้ว เขาได้สั่งสอนฟางเตาหลินและทำให้เขารู้ว่า ถึงนายจะเรียกพ่อมา เขาก็เป็นได้แค่ตัวมีหางข้างหน้าเขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เฉินหลงถึงไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ตัวละครกระจอกๆแบบนี้ เพื่อนๆของเขา ก็คงไม่เก่งไปมากกว่านี้หรอก เขาถึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ความสนใจกับพวกเขาเลยสักนิด
ได้ยินเฉินหลงประกาศออกมาแบบนั้นแล้ว ฮัวหมิงเหรินจึงปิดปากสนิทและไม่เสนอคำแนะนำอะไรออกมาอีก จากนั้นก็นั่งศึกษาเคล็ดลับการฝังเข็มต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
ถึงการศึกษาเคล็ดลับการฝังเข็มจะทำให้ฮัวหมิงเหรินรู้สึกปวดหัวไม่น้อย แต่เขากลับมีความสุขมากที่ได้ศึกษามัน เพราะเคล็ดลับนี้สามารถกินดิบ*ได้ตั้งแต่หูถึงปาก นับว่าเป็นเคล็ดลับของจริง!
ฟางเต๋าหลินเดินกลับเข้ามาในห้องอีกรอบ คิดหาวิธีที่จะสร้างความเกลียดชังระหว่างลู่เฟิงกับเฉินหลง แต่กลับคิดไม่ออก
เมื่อเห็นว่าลู่เฟิงชวนเตหลีไปขับรถเล่น ทันใดนั้นเหมือนกับว่าฟางเต๋าหลินได้มองเห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา
“ว้าว ผู้หญิง แถมยังสวยอีกด้วย”
อย่างที่ลือกันว่า “วีรชนต้องหลั่งน้ำตาเพราะสาวงามไม่ไยดี” ไม่ว่าจะเป็นยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน ผู้หญิงก็มีอิทธิพลมากต่อผู้ชายเสมอ
ในตอนนี้ ฟางเต๋าหลินล่ะอยากใช้งานเตหลีจริงๆ
“คุณเตหลี คุณกับเพื่อนของคุณหน้าตาคล้ายกันเลย ทั้งสันจมูก ดวงตา รวมไปถึงโครงหน้า อืม… คล้ายกันมาก” หลังจากเดินมานั่งประจำตำแหน่งของตัวเอง ฟางเต๋าหลินก็ให้ความสนใจกับคตรงหน้า
ผู้หญิงสวยๆมักจะมีส่วนที่คล้ายกันอยู่เสมอ หน้าตาของเตหลีกับจี้โม่ซีคล้ายคลึงกันมากจริงๆ
ครู่ต่อมา ถึงเขาจะรู้ว่าหน้าตาของทั้งสองคนนี้ไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น แต่ฟางหลินเต๋าหลินก็ขอยืนยันคำเดิมว่าทั้งคู่หน้าตาคล้ายกันมากจริงๆ
คำพูดของฟางเต๋าหลินได้ดึงดูดความสนใจจากเตหลีในทันที “เอ๊ะ ใครเหรอคะ?”
ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มักจะห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับผู้หญิงสวยๆ ในตอนที่เธอได้ยินว่าผู้หญิงคนอื่นหน้าตาคล้ายกับเธอแล้ว เธอรู้สึกตกใจและในความคิดก็มีการเปรียบเทียบระหว่างตัวเองกับคนๆนั้น
“อืม… ฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ช่างมันเถอะ ไม่พูดดีกว่า เนอะ?” ฟางเต๋าหลินทำสีหน้าเหมือนคนที่กำลังสับสนอยู่
“แหมๆๆ หลินจื่อ นายลังเลไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยนะ เป็นเพราะรถของนายถูกทุบรึป่าวน้า” ลู่เฟิงใช้โอกาสนี้หยอกล้อฟางเต๋าหลินอีกรอบ
ดูเหมือนว่าหลังจากมื้อนี้แล้ว เขากับเพื่อนของฟางเต๋าหลินจำเป็นต้องทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาเสียแล้ว
“นี่ ช่างมันเถอะ ถ้านายไม่อยากพูดถึง ก็ไม่เป็นไร”
ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่กลับแสดงสีหน้าความผิดหวังออกมาเล็กน้อย
“หึ ถ้าพวกเธออยากรู้จริงๆว่าเธอคือใครล่ะก็ ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่า คนที่ฉันหมายถึงคือแฟนของไอ้หนุ่มที่ทุบรถฉันยังไงล่ะ พูดตามตรง แฟนสาวของเขาสวยกว่าคุณเตหลีอีก” ฟางเต๋าหลินกล่าว
“คุณเตหลีสวยจะตาย นี่ นายตาบอดไปแล้วเหรอ?” ในเมื่อโอกาสที่จะพูดดีๆกับอีกฝ่ายมาถึงแล้ว ลู่เฟิงจะไม่ยอมพลาดมันไปเด็ดขาด
ถึงเตหลีจะไม่ได้ตอบอะไรออกมาสักคำเดียว และเธอก็ยังปั้นยิ้มบนใบหน้าได้ แต่ถ้าได้มองหน้าเธอดูดีๆแล้ว ในดวงตาคู่นั้นมีความขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย แต่เพราะสถานะของฟางเต๋าหลิน ทำให้เธอไม่กล้าตอบอะไรไม่ดีกับเขาเลย
สำหรับน้ำใจของลู่เฟิง เธอเองก็รู้สึกดีกับเขาเช่นกัน
“คราวนี้ ฉันพิสูจน์อะไรไม่ได้ เพราะพวกเธอไม่เคยเห็นหน้าตาของเธอคนนั้นยังไงล่ะ และถึงฉันจะพูดอะไร พวกเธอไม่มีทางเชื่ออยู่แล้ว ถ้าฉันมีโอกาส ฉันจะแสดงให้พวกเธอได้เห็นว่าสิ่งที่ฉันพูดมันเป็นเรื่องจริง” ฟางเต๋าหลินรู้สึกเสียดายที่ตอนนี้ เขาไม่สามารถพิสูจน์ให้คนพวกนี้เห็นว่าเธอคนนั้นงดงามขนาดไหน
“อ้าว เมื่อกี้นี้นายไม่ได้ไปเจอเขามารึไง? ลองไปดูสิว่าเขายังกินข้าวอยู่ที่นี่รึป่าว บางทีแฟนสาวของเขาก็อาจมาที่นี่ด้วยก็ได้นะ ถ้าเธอยังอยู่ พวกเราจะได้ไปหาเธอได้ไง” พูดจบ ลู่เฟิงก็ดูเหมือนกับอยากทำให้กระจ่าง
ฟางเต๋าหลินขมวดคิ้วขึ้นแล้วตอบว่า “ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยเข้าท่า เขามาที่ร้านอาหารเพื่อมาทานอาหารค่ำ ถ้าเราจะทำแค่เดินไปดูว่าหน้าตาของแฟนเขาเป็นยังไง ถ้าเราทำแบบนั้นมันเสียมารยาทนะแล้วอีกฝ่ายก็คงจะโกรธด้วย เขาเป็นฝ่ายทุบรถฉันก็จริง แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้ว ฉันก็รับประกันไม่ได้หรอกนะว่าพวกเธอจะไม่เดือดร้อน”
ตอนนี้ เกรงว่าฟางเต๋าหลินจะกลัวว่าโลกไม่แตกมากกว่านะสิ คำพูดของเขาดูเหมือนจะเป็นการเกลี้ยกล่อม แต่ความจริงคือ เขากำลังเติมเชื้อเพลิงใส่ไฟอยู่ต่างหากล่ะ!
“อะไรกัน พวกเราแค่ไปดูหน้าตาแฟนเขาเอง มันจะเสียมารยาทได้ยังไง” เตหลีเป็นอีกหนึ่งคนที่อยากเห็นหน้าผู้หญิงที่ฟางเต๋าหลินเป็นคนออกปากชมว่าหน้าตาคล้ายกับเธอ แต่งามกว่าเธอนี่นะ เหอะ คนอย่างฉันไม่ยอมหรอกนะ
“การที่คุณเตหลีอยากไปหาผู้หญิงคนนั้นนับว่าเป็นความสุขรูปแบบหนึ่งยังไงล่ะ ถ้าเขาไม่รู้วิธีรับมือ ฉันก็จะขอโทษเขาให้ก็แล้วกัน” ลู่เฟิงยังพูดเสริมอีกว่า “ถ้านายไม่กล้าไปก็เรื่องของนายสิ บอกมาแค่เขาอยู่ห้องไหนก็พอ พวกเราไปเองก็ได้ ไม่เห็นจะต้องการนายเลย เรื่องแค่นี้สบายมาก”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะอยู่ห้องข้างๆเรานะ”
ฟางเต๋าหลินทำท่าแบบช่วยไม่ได้แล้วชี้นิ้วไปทางห้องของเฉินหลง
“คุณเตหลี ไปที่นั่นกันเถอะครับ” ลู่เฟิงเปิดประตูห้องให้เตหลีด้วยความสุภาพ และให้เตหลีเดินไปคนแรก
เตหลีส่งยิ้มให้ลู่เฟิง แต่รอยยิ้มของเธอทำเอากระดูกของลู่เฟิงเกือบอ่อนไปเลย
หลังจากที่เตหลีเดินออกไปเป็นคนแรกแล้ว หลี่รุ่ยก็เดินตามเธอออกไปติดๆ ตามมาด้วยลู่เฟิง ต้วนหนาน และคนสุดท้ายคือเซียงหมิง คนที่ช่วยฟางเต๋าหลินพูดก่อนหน้านี้
สุดท้าย ในห้องเหลือแค่ฟางเต๋าหลินกับฮัวเทียนสองคนเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าฮัวเทียนยังคงนั่งอยู่กับที่ด้วยท่าทางสงบ ฟางเต๋าหลินจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “คุณฮัว คุณไม่อยากเห็นหน้าคนๆนั้นกับพวกเขาหรอ?”
“ไม่ล่ะ ถึงผู้หญิงที่คุณพูดถึงจะหน้าตาคล้ายกับคุณเตหลี แต่มันก็แค่ความรู้สึกว่ามันคล้ายกันเท่านั้น ถ้าพวกเธอทั้งสองคนได้มายืนใกล้ๆกัน บางทีอาจไม่มีส่วนคล้ายกันเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว คนอย่างฉันจะไปเพื่ออะไรล่ะ” ฮัวเทียนตอบคำถาม พร้อมกับส่งยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย
สำนวน“hands down” / “กินดิบ” ความหมาย อย่างง่ายดาย ไม่อยากลำบากเลย
กินดิบ’’ มาจากกินของดิบ การกินของดิบย่อมสะดวกกว่ากินของสุก เพราะไม่ต้องเสียเวลาทำให้สุก เมื่อใช้เป็นสำนวนจึงหมายถึงที่ทำได้ง่ายๆ ทำได้คล่องๆ ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องออกแรงมากนัก
TB:บทที่ 147 ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!
ฟางเต๋าหลินมองดูที่ฮัวเทียนอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็ตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มว่า “คุณฮัว นอกจากว่าคุณจะมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์แล้ว คุณยังอ่านสถานการณ์ออกอีกด้วย แต่ว่า ในเมื่อคุณรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้ว ทำไมคุณไม่บอกพวกเขาล่ะครับ?”
“บอกเหรอ? ฉันจำเป็นต้องบอกพวกเขารึไง?” ฮัวเทียนยังคงสงบนิ่ง “ถ้าฉันบอกพวกเขาว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ห้องข้างๆเรา พวกเขาจะเชื่อฉันไหม? ฉันเป็นแค่หมอรักษาคน พวกเขาจะฟังฉันก็ต่อเมื่อปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาเท่านั้นแหละ ถ้าฉันบอกว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ห้องข้างๆจริงๆ ก็คงไม่มีใครฟังฉันหรอกนะ “
“ฉันแค่ต้องการตัวทำเป็นเพื่อนที่ดีเท่านั้น” หลังจากได้ฟังคำตอบของฮัวเทียนแล้ว ฟางเต๋าหลินก็รู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนว่าฮัวเทียนเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฮัวเทียนหยิบน้ำขึ้นมาจิบ จากนั้นก็วางแก้วแล้วหันไปถามฟางเต๋าหลินว่า “พี่ฟาง ฉันมีคำถาม แต่ไม่รู้ว่าควรจะถามพี่ดีไหม”
“ถามมาสิ” ฟางเต๋าหลินตอบ
“พี่ฟางกับคนพวกนั้นเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมเราต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ?” ในเมื่ออีกฝ่ายตอบว่าได้ ฮัวเทียนจึงเอ่ยถาม
ในความคิดของฮัวเทียน คนที่เป็นเพื่อนกันก็ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนกับฟางเต๋าหลินที่เล่นกับพวกเขาเหมือนเป็นลิงเป็นค่าง
“ก็… ฉันไม่ค่อยชอบพวกเขาเท่าไหร่ อย่างที่คุณเห็น พี่ฮัว พวกเขาเป็นฝ่ายแกล้งฉันก่อน การที่ฉันสู้กลับแบบนี้มันไม่มากเกินไปหรอก” ฟางเต๋าหลินโมโหจนหน้าแดง
ส่วนฮัวเทียนทำได้แค่ยิ้มตอบเขา และไม่เอ่ยอะไรที่ทำให้เขามีน้ำโหมากกว่าเดิม
อันที่จริง เขายังอยากถามอีกฝ่ายอีกหนึ่งคำถาม แต่ก็คิดว่ามันคงไม่จำเป็น ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ
อีกด้านหนึ่ง ลู่เฟิงและเพื่อนๆได้เดินมาหยุดอยู่หน้าประตู้ห้องของเฉินหลงแล้ว ลู่เฟิงเป็นดั่งผู้กล้าที่กล้าผลักประตูห้องให้เปิดออกและเดินเข้าไปข้างใน
เมื่อเห็นว่ามีผู้คนมากมายกำลังเดินเข้ามาในห้องของพวกเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เฉินหลงกับฮัวหมิงเหรินจึงจ้องลู่เฟิงกับเพื่อนๆด้วยสายตาแปลกๆ แบบว่า สวัสดีครับ เราเคยรู้จักกันรึป่าว?
“ขอโทษนะ แต่ว่า แฟนของคุณอยู่ไหน? รบกวนคุณช่วยเรียกเธอให้ออกมาเจอหน้าพวกเราหน่อยได้ไหม?”
ฝ่ายลู่เฟิงที่จ้องหน้าเฉินหลง ก็ได้เอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้กับเฉินหลง
ถึงเขาจะไม่เคยได้พบกับเฉินหลงมาก่อน แต่ก็พอจะมองออกว่าเฉินหลงคือคนไหน เพราะเธอไม่คิดว่าฮัวหมิงเหรินจะเป็นคนที่ทุบรถของฟางเต๋าหลิน เพราะอายุปูนนี้ไม่น่าจะมีแรงทุบรถคนอื่นหรอก
เมื่อได้ยินคำถามของลู่เฟิง เตหลีกับต้วนหนานถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว ลู่เฟิง ไอ้เบื้อกเอ้ย ใครสั่งใครสอนให้ไปถามอะไรแบบนั้นกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกละเนี่ย เฮ้อ ถ้าเขาเป็นคนถาม ยังจะดีซะกว่า แต่ก็น่าแปลกที่ พวกเราทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับคำถามของเขา เอาเป็นว่า เขาเก่งมากที่ถามได้ตรงประเด็นเป๊ะไม่มีขาดตกบกพร่องเลยจริงๆ
เป็นตามคาด เมื่อได้ยินคำถามของลู่เฟิงแล้ว ทันใดนั้นสีหน้าของเฉินหลงก็เริ่มทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเยือกเย็น
“คุณพูดว่าอะไรนะครับ รบกวนคุณช่วยพูดอีกครั้งได้ไหม ขอแบบช้าๆชัดๆ ผมฟังไม่ทัน” เฉินหลงตอบด้วยน้ำเสือกเยือกเย็น
เมื่อได้ยินคำตอบของเฉินหลง จู่ๆลู่เฟิงก็รู้สึกหนาวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เขาเริ่มรู้สึกกลัวอีกฝ่ายขึ้นมา จนต้องลอบกลืนน้ำลงคอไปหนึ่งอึก จากนั้นก็ตอบเขาไปแบบไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ “ฉ-ฉันได้ยินมาว่าแฟนของคุณ เธอหน้าตาคลายกับคุณเตหลี ด้วยเหตุนี้ ฉันก็เลยพาคุณเตหลีมาพบเธอ…”
พูดจบ ลู่เฟิงก็รับผลักเตหลีให้มายืนบังตัวเขาไหว ส่วนเฉินหลงหลังจากที่ได้เห็นหน้าตาของเตหลี เขาก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆลู่เฟิงถึงได้กลัวเฉินหลงระเบิดลง
“กลับไปเถอะครับ”
เฉินหลงไม่สนว่าเตหลีหรือชายคนนั้นต้องการจะทำอะไร เพราะคำตอบของเขามีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือ กลับไปซะ!
เมื่อได้ยินเฉินหลงตอบแค่ว่า ‘กลับไปเถอะครับ’ ลู่เฟิงก็คงต้องจำใจเดินออกไปจริงๆ เขาคิดว่าตอนนี้เขาจะได้เห้นหน้ากับผู้หญิงสวยๆทั้งที แต่ชายคนนี้กลับ ‘ไล่’ เขาออกมาเนี่ยนะ ถามจริงเถอะ นายไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยรึไง ชายคนนี้กลายเป็นคนไร้หัวใจไปแล้วเหรอไงเนี่ย
ลู่เฟิงที่ทำใจดีสู้เสือจึงพูดกับเขาอีกครั้ง “พวกเราไม่ได้จะทำอะไรเลยนะ พวกเราแค่จะ…”
“ออกไป!”
ลู่เฟิงที่ยังพูดไม่จบประโยค ได้ถูกเฉินหลงพูดตัดบทไปเรียบร้อย
“คราวนี้จะออกไปได้รึยัง? ถ้ายังมาให้ผมเห็นหน้าอยู่อีก มันจะไม่จบแค่พูดแล้วนะ ผมจะส่งตัวพวกคุณทุกคนไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลเลย”
ลู่เฟิงและอีกห้าคนที่เป็นถึง ลูกเศรษฐี ลูกข้าราชกาล ดาราชื่อดังตัวน้อยรู้สึกมีน้ำโหขึ้นมา เตหลีอดไม่ได้ที่จะพูดกับอีกฝ่าย
“เหอะ ตลกแล้ว นายจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ? พวกเราแค่อยากเห็นหน้าแฟนนายเองนะ”
“หยุดพูดได้แล้วครับ เอาเป็นอย่า อย่าคิดว่าเป็นผู้หญิง แล้วผมจะไม่กล้าลงมือนะครับ ถ้าผมอารมณ์เสียขึ้นมาจริงๆ กับผู้หญิงผมก็ไม่เว้น” เฉินหลงตอบด้วยความสุภาพ ถึงเขาจะเคยเห็นเตหลีในทีวีก็ตามแต่
พอเฉินหลงตอบแบบนั้น ดวงตาของเตหลีได้เปลี่ยนเป็นสีแดง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาลขนาดนี้
“ถ้านายพูดกับผู้หญิงแบบนั้น แสดงว่านายไม่ใช่สุภาพบุรุษแล้ว” หลี่ลุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆเตหลีกล่าว
หลี่ลุ่ยเองก็เป็นถึงดาราตัวน้อย เพราะเธอเองก็สวยพอตัว และเธอก็ได้รับความนิยมจากเหล่าแฟนคลับไม่น้อย และตอนนี้เธอกำลังโกรธจัดที่ถูกคนอื่นดูหมิ่นได้ขนาดนี้
“หึ ผมขอถามอะไรหน่อยฉัน ไม่ทราบว่าผมเป็นฝ่ายเชิญชวนพวกคุณให้มาที่นี่เหรอครับ? คุณไม่ได้สิทธินั้น แถมยังทำตัวไม่สุภาพอีกด้วย แล้วคนอย่างผมจำเป็นต้องสุภาพกับพวกคุณที่ทำตัวหยาบคายเหรอครับ? รู้จักไหม คำว่า ‘มารยาท’ น่ะ?” ในเมื่อลู่เฟิงกับผองเพื่อนไม่ได้มาดีแถมยังไม่ให้เกียรติเขาอีก แล้วทำไมเฉินหลงจะต้องปั้นยิ้มพูดดีหรือไว้หน้าพวกเขาด้วยล่ะ “เอาล่ะ ออกไปจากที่นี่สักที!”
หลังจากได้ยินคำตอบของเฉินหลง หญิงสาวทั้งสองคนทำได้แค่เพียงหันกลับและรีบเดินออกไปด้วยความแค้น
หลังจากหญิงสาวได้เดินออกไปจากห้องแล้ว ลู่เฟิงได้ทิ้งประโยคเอาไว้ให้เขาว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” แล้วรีบวิ่งตามพวกเธอไป
เมื่อเห็นว่าลู่เฟิงกับเตหลีกลับมาด้วยท่าทางห่อเหี่ยวทีละคน ฟางเต๋าหลินจึงเอ่ยถามทั้งสองคนว่า “เป็นไง พวกเธอเจอเธอรึป่าว?”
หญิงสาวทั้งสองคนได้แก่เตหลีและหลี่รุ่ยไม่ได้ตอบคำถาม ดังนั้นลู่เฟิงจึงเป็นคนตอบแทนว่า “ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มาที่นี่ แต่ไอ้หมอนั่นอวดดีจริงๆ แสดงว่ามันเป็นคนทุบรถนายจริงๆสินะ”
ฟางเต๋าหลินตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “โชคร้ายจริงๆเลยน้า โอ๊ะ ลืมไปเลย เพราะครอบครัวไม่ได้มาด้วยสินะ ช่างมัน ลืมๆมันไปเถอะ เอาไว้คราวหน้า ถ้ามีโอกาส พวกเราค่อยคุยเรื่องนี้ใหม่ก็แล้วกัน”
จากท่าทางของพวกเขา ฟางเต๋าหลินรู้ดีว่าเป้าหมายของตัวเองสำเร็จแล้ว
“โอ๊ย! ฉันไม่อยากเห็นหน้ามันอีกต่อไปแล้ว ไอ้หมอนั่น น่าโมโหชะมัด มีใครไปสั่งสอนมันได้บ้าง?” เตหลีถามขึ้นทั้งๆที่กำลังของขึ้นสุดๆ
ในตอนที่ถาม ดวงตาของเธอได้สบเข้ากับดวงตาของลู่เฟิงพอดิบพอดี
“ฉันมีแผน!” และใช่ ลู่เฟิงจะเป็นคนลงมือจัดการมันเอง
จากนั้น ลู่เฟิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก
หลังจากวางสายแล้ว ลู่เฟิงได้ชูสองนิ้วเหมือนท่ากรรไกรมือให้เตหลี
ยี่สิบนาทีต่อมา ลูกน้องของลู่เฟิงได้มาถึงที่หมาย
มีเพียงผู้ชายที่อายุประมาณสามสิบคนหนึ่งเท่านั้น แต่ชายนี้สามารถทำให้คนอื่นเจ็บตัวได้
ผู้มาใหม่สูงประมาณ 1.9 เมตร รูปร่างหน้าตาของเขาพอดูได้ ดวงตาเรียวและแคบกระพริบผ่านแสงที่สาดส่องเข้ามาเป็นครั้งคราว แต่เมื่อดวงตาคู่นี้ได้จับจ้องไปยังผู้คน คนที่ถูกดวงตาของเขาจ้องมองมักจะรู้สึกเขินอาย
เมื่อเขาเห็นเตหลีกับหลี่รุ่ย ดวงตาของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย “คุณเตหลี คุณหลี่ ผมเองก็เป็นแฟนคลับของพวกคุณครับ รบกวนคุณช่วยเซ็นชื่อให้ผมภายหลังได้ไหมครับ?”
“ม-ไม่มีปัญหาค่ะ” เมื่อถูกสายตาของผู้ชายคนนั้นจ้องมอง ทำเอาเตหลีพูดติดขัดเลยทีเดียว
หลังจากนั้น ลู่เฟิงก็ได้แนะนำสถานะของเขาให้ทุกคนได้เป็นที่ประจักษ์ ชายคนนี้มีชื่อว่า เหลยเฟิงซิง เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่เฟิงอายุ 30 ปี เขาฝึกเทควันโดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขามาถึงระดับเจ็ดเรียกว่าเข็มขัดดำ นอกจากนี้เขายังมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับศัตรูมานับครั้งไม่ถ้วน และเขาแข็งแกร่งและทรงพลังมาก!
หลังจากนั้น ลู่เฟิงก็ได้เล่าเรื่องของเฉินหลงคนสถุลและหยาบคายให้เหลยเฟิงซิงได้ทราบ เขาจึงตอบกลับด้วยท่าทางที่กำลังเหยียดหยามอีกฝ่ายอยู่ “คุณมั่นใจได้เลยว่าผมจะจัดการผู้ชายคนนี้ให้อยู่หมัด ผมจะทำให้เขารู้ว่าการเป็นสุภาพบุรุษต้องทำตัวยังไง”
“ตามนั้นเลยค่ะ คุณเหลย” ดวงตากลมโตของเตหลีจับจ้องไปที่เหลยเฟิงซิงอย่างอ่อนโยน
“การรับใช้ผู้หญิงสวยๆอย่างคุณคืองานของผมอยู่แล้วครับ” เหลยเฟิงซิงส่งยิ้มให้เตหลี
เห็นว่าเตหลีกับเหลยเฟิงซิงได้สบตากันปิ๊งๆแล้ว จู่ๆลู่เฟิงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ฉันขอให้นายมาแก้แค้นให้ฉัน ไม่ใช่ให้นายมาเต๊าะสาวฉันว้อย ไอ้บ้าเอ้ยยยย
แต่เอาเข้าจริงลู่เฟิงไม่มีทางโกรธอีกฝ่ายได้ลงคอหรอก เพราะเขาอยู่ในจุดที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรไม่ได้ ในเมื่อเหลยเฟิงซิงทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ แล้วคนอย่างลู่เฟิงจะเรียกร้องอะไรได้เล่า
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยากจะโชว์ออฟต่อหน้าสาวสวยนะ คิดเหรอว่าคนอย่างลู่เฟิงคนนี้จะเรียกลูกพี่ลูกน้องหน้าหล่อมากความสามารถอย่างหมอนี่มา เหอะ ไม่มีทางซะหรอก!
TB:บทที่ 148 ผู้ก่อตั้ง
ในที่สุด ตอนนี้ฮัวหมิงเหรินได้จดจำเคล็ดลับฝังเข็มฟื้นคืนชีพได้แล้ว
หลังจากที่ทำการจดจำเคล็ดลับฝังเข็มฟื้นคืนชีพได้ทั้งหมด ฮัวหมิงเหรินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ การศึกษาและท่องจำเคล็ดลับนี้ทำให้เขาถึงกับเหงื่อไหลท่วมหน้าผาก เพราะมันเหนื่อยมากกว่าตอนที่เขาศึกษาตำราการฝังเข็มเล่มอื่นเสียอีก
“ถ้าคุณกลับไปแล้ว ก็อย่าลืมศึกษามันเยอะๆนะครับ” เมื่อเห็นฮัวหมิงเหรินจดจำเคล็ดลับได้แล้ว เฉินหลงเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเช่นกัน เพราะถ้าอีกฝ่ายจำไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ มีหวังเขาต้องอัดคลิปเสียงให้อีกฝ่ายเอากลับบ้านไปนั่งฟังนั่งท่องจนกว่าเขาจะจำได้แหงๆ
ฮัวหมิงเหรินรีบพยักหน้าตอบว่า “เข้าใจแล้วครับ ผมจะฝึกมันแยอะๆ ผมจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังเป็นอันขาด”
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้น พวกเรากลับกันเถอะครับ” เฉินหลงกล่าว
พิธีเคารพครูก็เสร็จแล้วและอาจารย์ได้รับการเคารพแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลากลับบ้านแล้ว เป็นเพราะเฉินหลงไม่ได้อยากนั่งเฝ้าชายชราอยู่อย่างนี้สักหน่อย ระดับเขาถ้าเป็นสาวสวยล่ะก็พอว่าไปอย่าง
“ได้เลยครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะไปส่งคุณที่บ้านนะครับ”
ตอนที่พวกเขามาที่นี่ ฮัวหมิงเหรินเป็นคนขับรถพาเฉินหลงมา และตอนนี้ก็ได้เวลาพาเฉินหลงกลับ
จากนั้น เฉินหลงกับฮัวหมิงเหรินก็เดินออกไปจากห้องพร้อมกัน
“พวกเขาออกไปแล้ว ฉันจะตามพวกเขาไป” เหลยเฟิงซิงเอ่ยขึ้น ขอรอเวลาสักครู่ จากนั้นก็ออกจากห้องและเดินตามทั้งสองคนไป
เหลยเฟิงซิงเป็นถึงจอมยุทธ์ ประสาทหูและประสาทตาของเขานั้นดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป ในตอนที่เขากำลังพูดอยู่ แม้ว่าเขาจะพูด แต่เพราะเสียงเปิดปิดประตูของเฉินหลง ทำให้เขายืนยันได้ว่าพวกเขาทั้งสองคนได้ออกไปจากห้องแล้ว
ในตอนที่เหลยเฟิงซิงเดินออกไปจากห้องแล้ว ลู่เฟิงก็ได้พูดคุยกับเตหลี “คุณเตหลี พวกเราเองก็ตามเข้าไปกันเถอะ ผมอยากเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของผมจะสั่งสอนเขายังไง”
เตหลีทำเพียงแค่พยักหน้าตอบ
กับคนอย่างเฉินหลง ในใจของเตหลีไม่ได้รู้สึกดีกับอีกฝ่ายเลยสักนิด แน่นอนว่าเรื่องนี้เธอจะไม่พลาด
ในไม่ช้า ภายในห้องของฟางเต๋าหลินก็ไม่มีใครเหลืออยู่ในนั้นแม้แต่คนเดียว เพราะตอนนี้ทุกคนต่างเดินตามเหลยเฟิงซิงไปยังลานจอดรถ
ฟางเต๋าหลินกับฮัวเทียนเดินตามมาเป็นกลุ่มสุดท้าย
คนสองคนรวมถึงเฉินหลงเดินมาที่ลานจอดรถ โดยมีเหลยเฟิงซิงเดินตามมาติดๆ
ในตอนนี้ เหลยเฟิงซิงรีบเร่งฝีเท้าของตัวเอง เดินนำเฉินหลงไป เขาเดินไปขวางทางเฉินหลง จากนั้นก็จ้องหน้าเฉินหลงด้วยสายตาเยือกเย็น
“ไม่ทราบว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ครับ?” เห็นเหลยเฟิงซิงเดินมาขวางเฉินหลง ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินได้ขมวดคิ้วขึ้นและเอ่ยปากถาม
ฮัวหมิงเหรินสัมผัสได้ว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับเขาแน่นอน ในตอนที่เขาเห็นเหลยเฟิงซิงเดินมาขวางทางเฉินหลง เขาจึงรีบเอ่ยปากถามอีกฝ่ายทันที
“ตาแก่ ไม่ใช่เรื่องของแก ถอยออกไปก่อนที่จะถูกลูกหลง” เหลยเฟิงซิงอวดเก่งไม่น้อย
เมื่อได้ยินคำพูดคำจาของเหลยเฟิงซิงแล้ว ฮัวหมิงเหรินกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิด เขาเป็นถึงหมอเทวดาแห่งสวรรค์ ถึงจะเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสหรือนักธุรกิจที่ร่ำรวย ที่ไม่ได้เรียกเขาว่า ‘หมอเทวดา’ ตั้งแต่แรกเห็น เขาก็ไม่ได้ถือสาอะไร แต่กับไอ้เด็กนี่มันเป็นใครกัน ถึงกล้าเรียกเขาว่าตาแก่ ดี อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกเป็นใคร ฉันจะฟ้องแกให้ได้เลย เหอะ ไอ้เด็กบ้า คำว่า มารยาท น่ะรู้จักไหม
การที่เหลยเฟิงซงเยาะเย้ยฮัวหมิงเหรินแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขาดูน่าชื่นชมเลยสักนิด กลับกัน มันทำให้เขาต้องกลับบ้านไปพิจารณาตัวเองว่าทำอะไรลงไป เรียกได้ว่ากลับบ้านไปสำนึกผิดซะ ไอ้เด็กปากดี
“ศิษย์เอ๋ย ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันรับมือได้ สบายมาก นายถอยไปเถอะ” เฉินหลงหันมาพูดกับเขา
เฉินหลงได้รับข้อมูลของเหลยเฟิงซิงมาจากเครื่องดักจับ เขาเป็นแค่ชายที่แข็งแกร่งพอที่จะท้าทายเขา ฉันไม่รู้หรอกว่าท้องฟ้ากับพื้นดินหนาเท่าไหร่ แต่ถ้านายอยากจะจัดการฉัน ก็ลงมือเลย จัดมาอย่าให้เสีย ยังไงซะฉันก็ไม่มีทางตายเพราะเงื้อมมือของเขาอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินเฉินหลงเรียกฮัวหมิงเหรินว่า ‘ศิษย์’ และฮัวหมิงเหรินก็ได้ทำหน้าที่ของ ‘ศิษย์’ เป็นอย่างดี เรื่องนี้ทำเอาเหลยเฟิงซิงอึ้งไปชั่วขณะ แต่เขาก็ยังตอบโต้เฉินหลงได้ในทันทีว่า “ฉันได้ยินมาว่านายพูดจาหยาบคายกับผู้หญิงสองคน นายรู้ไหมว่าทำแบบนั้นมันไม่สมกับที่เป็นผู้ชายเลยนะ ฉันคิดว่านายควรไปขอโทษพวกเธอซะ”
“โอ๊ะโอ๋ แล้วถ้าเกิดว่าฉันไม่อยากทำล่ะ?” เฉินหลงปั้นยิ้มบนใบหน้าจากนั้นก็หันไปมองเหลยเฟิงซิง
และใบหน้าของเหลยเฟิงซิงก็ผุดรอยยิ้มเช่นกัน แตกต่างกันที่ของเขาเป็นรอยยิ้มที่น่าสยดสยอง
“โทษที พอดีว่าฉันอยากให้นายขอโทษพวกเธอว่ะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นขาขวาของเหลยเฟิงซิงก็ไดยกขึ้นส่งลูกเตะโดยเล็งไปที่ศีรษะของเฉินหลง
เฉินหลงถอยกลับเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกลูกเตะของเหลยเฟิงซิง แล้วหันไปบอกกับฮัวหมิงเหรินว่า “ศิษย์เอ๋ย จงจดจำและนำไปใช้ ถึงวันนี้ฉันจะไม่ค่อยได้ช่วยให้นายสำเร็จวิชาแพทย์ แต่ฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าฉันจะจัดการคนอย่างเขาได้ยังไงแทนก็แล้วกัน”
พูดจบ ในมือของเฉินหลงก็มีเข็มเงินปรากฏอยู่
เมื่อได้ยินคำสั่งของเฉินหลง ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินก็จ้องเฉินหลงตาไม่กระพริบด้วยความตื่นเต้น
ในเวลาเดียวกัน ลู่เฟิงกับพรรคพวกก็ได้มาถึง
ฮัวเทียนเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นหน้าฮัวหมิงเหรินแล้วถึงกับต้องร้องอุทานว่า “คุณปู่?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮัวเทียนแล้ว ฟางเต๋าหลินก็ได้หันไปมองฮัวเทียนด้วยความตกใจ
ถ้าตาแก่นี่คือฮัวหมิงเหรินตัวจริง แสดงว่าเรื่องนี้ก็ยิ่งสนุกขึ้นไปอีกน่ะสิ
ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาเข้าไปในห้องเฉินหลง เขาเห็นว่าเฉินหลงกับฮัวหมิงเหรินสนิทกันพอตัว ด้วยเหตุนี้เขาเชื่อสนิทใจเลยว่าฮัวหมิงเหรินต้องอยู่ฝั่งเฉินหลงแน่นอน
เมื่อเห็นปู่ของตัวเองแล้ว ฮัวเทียนก็รีบเดินเข้าไปหาปู่ของตัวเองในทันที
“คุณปู่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?” ฮัวเทียนเดินเข้าไปถามฮัวหมิงเหริน
“อาจารย์ปู่ของนายกำลังสู้กับคนอื่นอยู่ยังไงล่ะ แล้วนายคิดว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ในฐานะลูกศิษย์ล่ะ? อ้อ จริงสิ นายเดินมากับคนพวกนั้น แสดงว่านายเองก็ต้องรู้จักกับคนพวกนั้นสินะ?” ฮัวหมิงเหรินหันไปถามฮัวเทียน
เฉินหลงเป็นอาจารย์ของเขา ต่อหน้าเขา เขาก็ต้องเชื่อฟังอีกฝ่ายเท่านั้น แต่สำหรับหลานชายของเขาแล้ว เป็นฮัวหมิงเหรินต่างหากที่เป็นอาจารย์ตัวจริง!
“อาจารย์ปู่?” เมื่อได้ยินว่าเฉินหลงเป็นบรรพบุรุษของตัวเองจริงๆแล้ว ฮัวเทียนก็หันไปมองเฉินหลงด้วยควาสับสนและไม่เข้าใจ ในตอนี้ท่าทางที่สงบนิ่งของเขาก่อนหน้านี้ได้หายไปเรียบร้อยแล้ว
“นายลองตั้งใจดูดีๆสิ อาจารย์ของฉันจะโชว์การฝังเข็มที่สุดยอดให้เราได้ประจักษ์ นับว่าเป็นโชคของนายเลยนะ” ฮัวหมิงเหรินเองก็ได้จ้องมองเฉินหลงตาไม่กระพริบ เพราะกลัวว่าตัวเองจะพลาดฉากเด็ดไป
ในเวลานี้ เฉินหลงหลบหลีกการจู่โจมของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ส่วนเหลยเฟิงซิงก็เริ่มเอาจริงมากขึ้น
แต่ไม่ว่ายังไง ท่าทางของเฉินหลงก็ยังคงดูผ่อนคลาย และไม่ได้ทำท่าป้องกันใดๆ
เมื่อเห็นว่าเฉินหลงไม่ได้ทำท่าป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย เหลยเฟิงซิงใช้ขาทั้งซ้ายและขวาเตะเข้าไปที่ช่วงเอวของเฉินหลง ขาของเขาเต็มไปด้วยความรุนแรง ถ้าเขาถูกอีกฝ่ายเตะขึ้นมา มันคงไม่ดีแหงๆ
เมื่อเท้าขวาของเหลยเฟิงซิงพุ่งออกไปข้างหน้า เฉินหลงก็ถอยกลับมาหนึ่งก้าวแล้วหันกลับไปหาเขาอีกรอบ เข็มที่ถืออยู่ในมือได้ทิ่มเข้าไปที่จุดหวนเที่ยวที่ขาขวาของเหลยเฟิงซิง
เฉินหลงได้โอกาสใช้เข็มเงินฝังเข้าไปที่จุดหวนเที่ยวที่ขาขวาของเหลยเฟิงซิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังเป็นอัมพาตเพราะเข็มพิษ
ในตอนที่ส่งขาขวาออกไป เหลยเฟิงซิงพยายามควบคุมขาขวาของตนให้ก้าวต่อไปและทรงตัวอยู่ได้ ส่วนขาซ้ายของเขายังคงพุ่งตรงไปทางเฉินหลงอย่างต่อเนื่อง
เฉินหลงหมุนกลับแล้วหลบขาของอีกฝ่าย เข็มเงินในมือของเขาก็ได้จิ้มเข้าไปที่จุดหวนเที่ยวตรงขาซ้ายของเหลยเฟิงซิง ทำให้ขาซ้ายของเขาเป็นอัมพาตไปอีกข้าง
เมื่อถูกเข็มทิ่มขาซ้าย ใบหน้าของเหลยเฟิงซิงบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้เพราะขาทั้งสองข้างของตัวเองได้เป็นอัมพาตไปโดยสมบูรณ์ เขาไม่สามารถขยับขาของตัวเองได้เลย
“สุดยอด วิธีฝังเข็มของอาจารย์นั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ” ถึงการฝังเข็มของฮัวหมิงเหรินนั้นไม่ได้ด้วยไปกว่าเฉินหลงแค่แค่หนึ่งหรือสองจุด แต่มันก็ค่อนข้างดีทีเดียว เขาเห็นว่าเฉินหลงเล็งตรงจุดที่ถูกต้องและใช้มือทิ่มเข้าไปที่จุดนั้นได้อย่างแม่นยำ สำหรับเขาแล้ว การที่จะทำแบบนั้นได้นั้นยากมาก
ในตอนนี้ ดวงตาของฮัวเทียนมีดาวดวงดวงเล็กๆเป็นประกายอยู่ข้างใน อาจารย์ปู่คนนี้เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก มือที่ใช้เข็มทิ่มเข้าไปตรงจุดทำให้เขาดูหล่อมากจริงๆ หากเขาได้รับคำแนะนำสักสองประโยคจากอีกฝ่ายคงเป็นเรื่องดีไม่น้อย
ในตอนนี้ การเคลื่อนไหวของเฉินหลง ทำให้ฮัวเทียนนับถือเฉินหลงในฐานะบรรพบุรุษของตัวเองไปเสียแล้ว
หลังจากควบคุมขาทั้งสองข้างของเหลยเฟิงซิงได้แล้ว เฉินหลงจึงเดินเข้าไปหาเขา
“ก่อนหน้านี้ นายได้เป็นคนบอกฉันเองหรอว่าจะทำให้ฉันไปขอโทษเพื่อนของนายให้ได้ เอาเลย เข้ามาจัดการฉันเลยสิ ฉันรออยู่ ฮ่าฮ่าฮ่า”
TB:บทที่ 149 ทุบมันเลย
ในตอนนี้ พายุได้ก่อตัวขึ้นภายในใจของเหลยเฟิงซิงเป็นที่เรียบร้อย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินหลงจะเก่งมากถึงขนาดนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาก็อยากรู้ว่าเมื่อกี้เฉินหลงทำอะไรกับเขากันแน่
“เห้ย นาย นายทำอะไรฉันเนี่ย”
ความแข็งแรงของเหลยเฟิงซิงก็คือขาทั้งสองข้าง ถ้าขาของเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างที่เขามีในตอนนี้ก็จะไม่มีอีกต่อไป เขารู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ
เฉินหลงส่งยิ้มให้เหลยเฟิงซิงที่กำลังกังวลเกี่ยวกับขาตัวเอง “ไม่ต้องเครียด ฉันไม่ได้ทำให้ขาของนายใช้การไม่ได้สักหน่อย เอาล่ะ ไหนบอกฉันมาสิ ใครกันที่ส่งนายมา เป็นหมอนี่หรือว่าหมอนั่นล่ะ?”
เฉินชี้ไปทางลู่เฟิงสลับกับฟางเต๋าหลิน
เมื่อเห็นว่าเฉินหลงกำลังชี้นิ้วมาทางตัวเองแล้ว ลู่เฟิงก็ก้มศีรษะลง ด้วยความร้อนตัวจึงบอกอีกฝ่ายว่าเขากลัวเฉินหลงจริงๆ
ส่วนฟางเต๋าหลินไม่ได้กลัวเขาเลยสักนิด เพราะเขาไม่ได้เป็นคนเรียกหมอนั่นมาที่นี่ เขาจึงไม่จำเป็นต้องร้อนตัว
ส่วนใบหน้าของเหลยเฟิงซิงในตอนนี้ดูน่าเกลียดมาก ถ้าไม่มีลู่เฟิงกับพรรคพวกอยู่ใกล้ๆ เขาก็คงจะขอร้องอีกฝ่ายไปแล้ว แต่เพราะตอนนี้ เขากำลังอยู่ต่อหน้าลู่เฟิงกับเตหลี ทำเอาเขาพูดไม่ออกเลยจริงๆ
ในเมื่อไม่ได้ยินคำตอบจากเหลยเฟิงซิง เฉินหลงจึงเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเขาเบาๆว่า “ถ้านายไม่พูดมันออกมา ฉันก็จะไม่รับปากว่าขานายจะกลับมาเป็นปกติได้นะ”
ในตอนที่เขาเห็นลู่เฟิงกับฟางเต๋าหลินเมื่อกี้นี้ เฉินหลงรู้ตัวในทันทีว่าใครเป็นคนส่งเหลยเฟิงซิงมา แต่เขาอยากให้เหลยเฟิงซิงเป็นคนสารภาพมันออกมาด้วยตัวเอง เพราะความสะใจล้วนๆ
คำตอบของเฉินหลงทำเอาเหลยเฟิงซิงที่ก่อนหน้านี้หน้าตาดูไม่ได้อยู่แล้วยิ่งมีสีซีดมากกว่าเดิม
ในตอนนี้ ความคิดของเหลยเฟิงซิงกำลังตีกันระหว่างสวรรค์และมนุษย์ ถ้าต้องเลือกระหว่างจะเป็นฮีโร่หรือว่าจะเป็นไอ้โง่ แน่นอนว่าทุกคนจะต้องอยากเป็นฮีโร่มากกว่า แต่ว่าราคาของการเป็นฮีโร่ทำให้เขาต้องจ่ายมันด้วยขาทั้งสองข้าง แต่ถ้าเขาเลือกเป็นไอ้โง่ก็คงจะดูน่าเกลียดไปหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็จะได้รักษาขาที่แสนจะสำคัญทั้งสองข้างนี้เอาไว้ได้
เมื่อคิดเรื่องนี้อยู่ซักพัก เหลยเฟิงซิงก็ตัดสินใจแล้วว่าตัวเองเลือกที่จะเป็นไอ้โง่ดีกว่า เอาวะ อย่างน้อยแค่เสียหน้า ก็ไม่ถึงตายหรอก
“ลู่-ลู่เฟิงส่งฉันมา” เหลยเฟิงซิงกระซิบตอบข้างหูเฉินหลง
เฉินหลงก้าวถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “หืม นายว่าอะไรนะ ฉันได้ยินเลย ฉันขออีกรอบดังๆ ช้าๆ ชัดๆ เอาให้คนอื่นได้ยินด้วยสิ”
ในเมื่อนายอยากมาลักไก่ ฉันจะไม่เปิดประตูให้หรอกนะ
เหลยเฟิงซิงรู้ดีว่าไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่ได้ที่เขาพูด ถึงเขาจะพูดไม่ดัง แต่ใกล้ขนาดนี้ทำไมมันจะไม่ได้ยินล่ะ เออ ก็ได้ นายไม่ได้ยินนักใช่ไหม ฉันจะตะโกนออกไปให้นายได้ยินเดี๋ยวนี้แหละ “ฉันบอกว่า ลู่-เฟิง เป็นคนส่งฉันมายังไงละว้อย!”
เมื่อได้ยินคำตอบของเหลยเฟิงซิง ทันใดนั้นหน้าตาของลู่เฟิงก็บูดเบี้ยวจนดูไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าเขาอยากมุดหัวลงดินหนีอีกฝ่ายไปให้ไกลที่สุด
“เฮ้ รถของนายคันไหน?” เฉินหลงเดินตรงไปหาลู่เฟิง จ้องหน้าเขาและเอ่ยถาม
ลู่เฟิงไม่ตอบ เขาจะไม่ตอบเด็ดขาดว่ารถสุดรักสุดหวงของเขาคืออเวนทาดอร์ แต่ก็อย่างว่า สำหรับเฉินหลงแล้ว การที่อีกฝ่ายไม่ปริปากพูดก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เอาเถอะถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ ยังไงเขาก็อ่านใจได้อยู่ดี อย่าคิดว่าไม่พูดแล้วฉันจะไม่รู้นะ ฮ่าฮ่าฮ่า
ด้วยเหตุนี้ ถึงลู่เฟิงไม่ตอบ เขาก็รู้คำตอบอยู่แล้ว เขากวาดสายตามองหาว่าอีกฝ่ายจอดรถเอาไว้ตรงไหน
จู่ๆเฉินหลงก็กระตุกยิ้ม จากนั้นสายตาของเขาก็ได้มาหยุดอยู่ที่ลู่เฟิงอีกครั้ง รถของเขาคือ แลมโบกินี่ อเวนทาดอร์สีน้ำเงิน โอ้โห รถของนายโคตรเท่ห์
“ว้าว รถนายเจ๋งดีนี่”
“เห้ย! อย่ามาแตะรถฉันนะเว้ย!” พอรู้ว่าเฉินหลงเห็นรถของเขาแล้ว ลู่เฟิงถึงกับตกใจจนทำตัวไม่ถูก
ลู่เฟิงตกใจมากจนลืมไปเลยว่าเมื่อกี้เขายังกลัวอีกฝ่ายอยู่ เขากำหมัดหมายจะชกเข้าไปที่หน้าของเฉินหลง
แต่ทันใดนั้น ในมือของเฉินหลงก็มีเข็มสีเงินปรากฏขึ้น เขาใช้เข็มทิ่มไปที่ข้อต่อตรงมือของลูเฟิง ใต้ตำแหน่งสามนิ้วด้านหลัง และตำแหน่งนั้นมีชื่อเรียกว่าจุดฝังเข็มภายนอก
บางครั้งการที่เราพุ่งออกไปซึ่งๆหน้าโดยที่ไม่ทันคิดให้มันรอบคอบก่อน ก็อาจทำให้เราเป็นอัมพาตไปชั่วคราวได้
ในตอนที่เข็มเงินสองเล่มถูกจิ้มเข้าไปที่แขนของลู่เฟิงสองจุด ทันใดนั้นแขนของเขาก็ใช้การไม่ได้ทันที
ในทำนองเดียวกัน เฉินหลงก็เดินไปทางรถของเขา
“เห้ย โทรหาตำรวจสิ โทรหาตำรวจเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้มันทำอะไรรถฉันได้นะเว้ย” ในตอนที่ลู่เฟิงเห็นเฉินหลงเดินไปที่รถของเขา เขาก็รีบพูดขึ้น
ในเวลาเดียวกัน จู่ๆเฉินหลงก็ได้หยุดยืนอยู่ข้างๆเหลยเฟิงซิง เขาใช้เข็มเงินทิ่มลงไปที่จุดเทียนจง*ตรงไหล่ของเขาแล้วพูดกับเขาว่า “ฉันจะปลดจุดที่ขาของนายให้ แต่มีข้อแม้ว่านายต้องไปทุบรถของเขาก่อน ถึงจะไปได้ ไม่อย่างนั้น แขนของนายก็จะใช้การไม่ได้ตลอดชีวิต นายเตรียมใจเอาไว้ได้เลย”
หลังจากนั้น เฉินหลงได้นำเข็มที่อยู่บนขาของเหลยเฟิงซิงออก
เขาก็เดินไปอยู่ข้างๆฮัวหมิงเหริน เตรียมชมการแสดงที่นี่ตื่นตาตื่นใจ
ในตอนที่เฉินหลงกำลังจะทุบรถเขา เขาก็คิดว่าเขากำลังถูกรายล้อมไปด้วยคนที่เหมือนกับลิง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ขอเรียกคนพวกนี้ว่า ‘กุ๊ยขี้ขลาด’ ก็แล้วกัน
เขาเชื่อสนิทใจเลยว่าเหลยเฟิงซิงต้องมาทุบรถเขาตามคำสั่งของมันแน่นอน
เมื่อเข็มที่ฝังอยู่ถูกนำออกไป อาการชาที่ขาของเหลยฟิงซิงก็ได้หายไปในทันที เขาหันไปมองเฉินหลงและพบว่า เฉินหลงไม่สนใจท่าทางของเขาเลยสักนิด ส่วนเขาก็ทำได้แค่กล่าวคำว่า ‘ขอโทษ’ ต่อลู่เฟิงในใจ จากนั้นก็เดินไปทางรถของเขา
“เห้ย! ไอ้ลูกพี่ลูกน้อง นายอย่าทำอย่างนั้นสิ เรามีสายเลือดเดียวกันนะเว้ย อย่าทุบรถฉันนะเว้ย อย่าทำอะไรรถฉันนะ หยุดเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นเหลยเฟิงซิงเดินเข้าไปใกล้รถตัวเองล้ว ลู่เฟิงถึงกับร้องไห้หาพ่อหาแม่ต่อหน้าเหลยเฟิงซิง
ใจจริงเหลยเฟิงซิงก็ไม่อยากทุบรถของลู่เฟิงเลย แต่ถ้าจะให้เลือกระหว่างแขนกับรถ เขาก็ต้องเลือกแขนของตัวเองอยู่แล้ว รอบนี้เขาขอให้รถของลู่เฟิงเป็นผู้เสียสละแทนก็แล้วกัน
เมื่อเดินไปถึงแลมโบกินี่ อเวนทาดอร์สีน้ำเงิน ขาของเหลยเฟิงซิงก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
ถึงต่อหน้าเฉินหลง เหลยเฟิงซิงอาจจะดูเป็นคนอ่อนแอ แต่เมื่อเขาได้อยู่ตรงหน้ารถสปอร์ตที่จอดสนิท พลังขาของเขาก็ได้เป็นที่ประจักษ์
อย่างแรก เหลยเฟิงซิงส่งตัวขึ้นไปอยู่ข้างบนรถ จากนั้นก็กระโดดเข้าใส่ด้วยแรงมหาศาล ทันใดนั้นรถคันนี้เหมือนกับถูกก้อนหินก้อนโตที่อยู่บนฟ้ากระแทกเข้ากับหลังคารถอย่างจังทำให้กระจกทุกบานแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ
ในตอนนี้ เหลยเฟิงซิงได้โชว์พลังขาของตนออกมาให้ทุกคนได้เห็น ขาของเขาเป็นเหมือนกับค้อนที่สามารถทุบรถให้แหลกเป็นชิ้น ๆ
ในตอนที่เหลยเฟิงซิงกำลังทุบรถอยู่นั้น เฉินหลงได้หันไปพูดกับฮัวหมิงเหรินว่า “ศิษย์เอ๋ย นายเห็นแล้วใช่ไหม? การจัดการคนซื่อบื้อย่างเขาให้อยู่หมัดนั้นง่ายนิดเดียว เอาล่ะ จำเอาไว้ให้ดีแล้วก็นำไปใช้ด้วยล่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะจำที่คุณสอนทั้งหมดให้ได้” ฮัวหมิงเหรินพยักหน้าตอบเขาถี่ๆ
“อาจารย์ เขาคนนี้คือหลานชายของผมชื่อ ฮัวเทียน ฮัวเทียนโข้วโถวให้กับผุ้อาวุโสสิ”
ในตอนนั้นเองฮัวหมิงเหรินก็ได้แนะนำฮัวเทียนให้เฉินหลงรู้จัก
ถึงฮัวเทียนจะยินดีที่จะนับถือเฉินหลงในนามอาจารย์ แต่เขาก็ยังรู้สึกลังเลที่จะคุกเข่าและโข้วโถวให้กับเฉินหลงต่อหน้าคนหลายคนอยู่ดี
แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยอมจำนนและคุกเข่าให้เฉินหลงแต่โดยดี
การที่อีกฝ่ายยอมทำแบบนั้นให้เฉินหลง เพราะเฉินหลงเป็นคนที่ช่วยเหลือพวกเขา แต่การที่ครั้งหนึ่งเฉินหลงได้ช่วยเหลือใครสักคน แล้วเขาคนนั้นต้องมาคุกเข่าขอบคุณเขาแบบนี้ เขาละไม่ชอบมันเลยจริงๆ น่าเบื่อชะมัด ทำไมต้องมาคุกเข่าขอบคุณเขาด้วยละ ทั้งๆที่แค่กล่าวคำว่าขอบคุณก็เพียงพอสำหรับเขาแล้วแท้ๆ เฮ้อ เขาละไม่เข้าใจความคิดแบบนี้เลยจริงๆ
“เอ่อ ตอนนี้พวกเราอยู่ในที่สารธารณะ พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นก็ได้” เฉินหลงหันไปพูดกับฮัวหมิงเหริน
“ให้ตายสิ เป็นเพราะปู่ของนายเลอะเลือนจนพูดไม่คิด นายลืมเรื่องคุกเข่าไปเถอะ ไม่ต้องทำแล้ว” เนื่องจากว่าฮัวหมิงเหรินเป็นคนที่นับถืออาจารย์ของตัวเองมาก ในเมื่อเฉินหลงไม่อยากให้ฮัวเทียนคุกเข่า เขาก็คงต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน แล้วค่อยชดเชยให้ครั้งหน้าก็แล้วกัน
“ขอบคุณครับ อาจารย์” ฮัวเทียนรีบกล่าวคำขอบคุณ
การที่เฉินหลงไม่ปล่อยให้เขาต้องคุกเข่าต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้ มันทำให้ฮัวเทียนรู้สึกขอบคุณเฉินหลงจากใจ ในตอนนี้คนอย่างเขาก็จะไม่เสียหน้าแล้ว รอดไปนะเรา
ในตอนที่ฮัวเทียนรักษาหน้าตัวเองเอาไว้ได้ ด้านลู่เฟิงกลับใจสลายเพราะ รถของตัวเองถูกเหลยเฟิงซิงทุบจนมีสภาพเหมือนกับเศษเหล็กไปแล้ว ไอ้เหลยเฟิงซิง ไอ้บ้าเอ้ย
“เยี่ยมมาก!” เฉินหลงพยักหน้าอย่างพอใจ ในตอนที่เห็นอเวนทาดอร์คันสวยกลายเป็นเศษเหล็กไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็เดินไปหยิบเข็มเงินทั้งสองเล่มที่ฝังอยู่ตรงไหล่ของเหลยเฟิงซิงออก
เมื่อเข็มเงินถูกนำออกไปแล้ว เหลยเฟิงซิงก็ไม่กล้าสู้หน้าลู่เฟิงกับพวกพ้องอีกต่อไป เขารีบวิ่งออกไปจากลานจอดรถในทันที
“ว่าแต่ นายมีอะไรจะพูดกับฉันอีกป่ะ?” เฉินหลงหันไปถามลู่เฟิงด้วยความภาคภูมิใจ
ในตอนนี้ต้วนหนานกับคนอื่นๆก็ไม่กล้าพูดออกมาสักคำ ถ้าพวกเขากล้าพูดอวดดีกับเขาอีก มีหวังโดนเขาจัดการแบบลู่เฟิงแหงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วใครหน้าไหนจะไปสู้กับคนอย่างเฉินหลงได้เล่า
*天宗 (tiān zōng)จุดเทียนจง (เทียนจง) The meaning is “จุดฝังเข็มบริเวณแอ่งสะบักล่าง ตรงจุดแบ่งระหว่าง 1/3 บนกับ 2/3 ล่างของเส้นที่เชื่อมระหว่างจุดกึ่งกลางของ spine กับมุมล่างของกระดูกสะบัก ข้อบ่งใช้: ปวดไหล่และยกแขนไม่ขึ้น”
TB:บทที่ 150 คนทั้งแปด
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนล่ะ” เห็นต้วนหนานและพรรคพวกยังคงยืนเงียบไม่พูดไม่จา เฉินหลงจึงหันไปขยิบตาให้ฮัวหมิงเหริน ทันใดนั้นฮัวหมิงเหรินจึงรีบเดินไปที่รถตนและเปิดประตูให้เฉินหลงได้เข้าไปในรถก่อน
เมื่อส่งเฉินหลงขึ้นรถไปแล้ว ฮัวหมิงเหรินจึงเข้าไปนั่งในรถตามอีกฝ่ายไป ส่วนที่นั่งตำแหน่งคนขับรถ ได้ตกเป็นของฮัวเทียนไปแล้ว
เมื่อเห็นรถคันของศัตรูเคลื่อนที่ออกไปแล้ว ต้วนหนานกับเหล่าเพื่อนๆต่างหันมามองหน้ากันแบบทำตัวไม่ถูก
เดิมที พวกเขาแค่ต้องการเห็นเรื่องวุ่นๆเท่านั้น ไหงกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเขาถึงรู้สึกอัปยศเกินกว่าจะเห็นเรื่องตื่นเต้นเสียอีก ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้ทำให้พวกเขาอารมณ์เสียไม่น้อย
“ฉันบอกแล้ว สันติสุขเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คุณไม่เชื่อเองนะ เป็นยังไงล่ะ ตอนนี้จะเชื่อกันได้รึยัง?” ในเวลาเดียวกัน ฟางเต๋าหลินที่กำลังเฝ้าดูเรื่องตื่นเต้น เดินออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำประชดประชัน “อืม ฉันมีเรื่องต้องทำที่บ้าน ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อนก็แล้วกันนะ”
กล่าวจบ อารมณ์ของฟางเต๋าหลินตอนนี้สามารถเรียกได้ว่า มีความสุข
‘หัวเราะฉันได้ตามสบายเลย ยังไงซะ ตอนนี้พวกนายรู้แล้วว่ามันรู้สึกดีขนาดไหน’ ฟางเต๋าหลินคิดในใจ จากนั้นก็เดินไปที่รถออร์ดี้ อาร์8คันใหม่ใหม่ล่าสุดของตัวเอง
ในความคิดของเขา เขาได้รู้จักคนอย่างเฉินหลงเป็นอย่างดี และเฉินหลงก็ได้กลายเป็นคนที่ไม่ใช่ว่านึกจะแหย่ก็แหย่กันได้ง่ายๆอย่างนั้น
“เฮ้ นายจะไปไหน?” ต้วนหนานกล่าวในขณะที่ฟางเต๋าหลินกำลังหันหลังให้เขา
‘ฉันโตเกินกว่าจะยืนเสียหน้าอยู่ตรงนี้โว้ย’ ฟางเต๋าหลินไม่ได้ตอบคำถาม
เขาไม่ตอบ ฟางเต๋าหลินเข้าไปนั่งในรถ หลังจากที่สตาร์ทรถ เขาก็ขับออกไปจากที่ตรงนี้ในทันที
ในตอนที่ฟางเต๋าหลินขับรถออกไปแล้ว ต้วนหนานกับคนอื่นๆต่างก็หันมามองหน้ากัน สิ่งที่ฟางเต๋าหลินได้เตือนพวกเขาเมื่อกี้ ในตอนนี้มันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะยืนรออะไรอยู่ตรงนี้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเดินไปหาลู่เฟิง คนที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างและอาลัยอาวรอย่างกับพ่อและแม่ของเขาได้จากไปแล้ว เห็นท่าทางของเขาแล้ว ทุกคนในที่นี่ก็รีบพาเขาออกไปจากที่ตรงนี้ในทันที
ส่วนเรื่องแขนของลู่เพิ่ง ต้องพาเขากลับไปหาวิธีรักษาก่อนเป็นอันดับแรก
หลังจากที่ฮัวหมิงเหรินไปส่งเฉินหลงที่บ้านเรียบร้อย เขาก็ได้กลับไปที่บ้านของตัวเอง เนื่องจากว่าเขาเพิ่งจะได้เคล็ดลับฝังเข็มฟื้นคืนชีพมาครอบครอง ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปศึกษามันให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
เมื่อกลับมาถึงวิลล่า เฉินหลงก็เรียกหาเกาเฟิงเซียว
“มีเรื่องอะไรที่ฉันพอจะช่วยนายได้ไหม น้องชาย” เกาเฟิงเซียวเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
ทุกครั้งที่เฉินหลงเรียกตัวเขา แสดงว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น และเขาจำเป็นต้องปกป้องเฉินหลงจากเรื่องพวกนั้น
“พี่เกา ตอนนี้ผมก็ได้เป็นถึงพลเอกแล้ว ผมขอปืนสักกระบอกได้ไหมครับ?” เฉินหลงกล่าว
ตั้งแต่ที่เขากลับมาจากค่ายทหาร เฉินหลงก็เอาแต่คิดหาวิธีที่จะได้ครอบครองปืน เขาคิดว่าบางทีมีปืนอยู่ในมือยังมีประโยชน์มากกว่าใบรับรองเสียอีก
“น้องชาย นายคิดว่าตัวเองต้องการปืนเพื่อความแข็งแกร่งอย่างนั้นเหรอ?” เกาเฟิงเซียวได้ยินว่าเฉินหลงต้องการปืนจากเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย นอกจากจะคิดว่ามันแปลกนิดหน่อย
“พี่เกา พี่ไม่คิดเหรอครับว่า ถ้าคนอย่างผมได้จับปืนแล้วมันจะดูเท่ห์ขนาดไหน? ” เฉินหลงตอบแบบติดตลกเล็กน้อย
เมื่อได้ฟังคำตอบของเฉินหลงแล้ว เกาฟางเซียวจึงไม่เอ่ยปากถามอะไรเขาอีก เขาเห็นด้วยกับอีกฝ่าย บางกรณีสมาชิกของกลุ่มซีโร่สามารถพกปืนเอาไว้กับตัวได้ เพราะพวกเขาจะได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ถึงการมีปืนจะไม่ได้หมายความว่าเราสามารถคุกคามศัตรูได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้มันมีบทบาทในการบังคับคนได้อยู่บ้าง
ประสิทธภาพในการทำงานของเกาเฟิงเซียวนั้นดีมาก เฉินหลงเพิ่งขอเขาไปโดยที่เวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ของที่เขาสั่งไป ได้มาส่งถึงหน้าประตูบ้านเขาเสียแล้ว
เมื่อส่งของเสร็จแล้ว เกาเฟิงเซียวก็รีบกลับไปในทันที เพราะเกรงว่าขืนเขายังอยู่ที่นี่ต่อ มีหวังเฉินหลงต้องขอของให้เขาทำอะไรให้อีกแน่นอน
เขาที่เกาเฟิงเซียวส่งมาให้เขาเป็นเป็นกล่องสีดำที่มีขนาดเท่ากับกล่องใส่รองเท้า ภายในกล่องบรรจุปืนพกรุ่น 54 ใหม่เอี่ยม ซองแมกกาซีนสองซองและกระสุนหกนัด
เมื่อทำการตรวจสอบปืนและกระสุนเส็จแล้ว เฉินหลงก็จัดการนำกล่องนี้ใส่เข้าไปในวงแหวนมิติทันที
เมื่อคิดว่าตอนนี้เขามีปืนติดตัวแล้ว ทันใดนั้นเฉินหลงก็รู้สึกพอใจมาก ท่าเดินของเขาพริ้วเหมือนสายลม เขาล่ะอยากจะตะโกนคำว่า ‘ใครกันที่อยู่ตรงนั้น?!’ ออกมาจริงๆ
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และอีกไม่นานก็ถึงเวลาที่น้องสาวของเขาจะต้องไปโรงเรียนแล้ว เฉินหลงและจี้โมซีก็ได้เวลาเดินทางกลับ
เดิมที ระหว่างนี้เฉินหลงอยากจะทดสอบประสิทธิภาพของหินแห่งแสงกับหวังหู แต่หลังจากพิจารณาให้รอบคอบ เฉินหลงก็ได้ล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะเขาไม่รู้ว่าการวิวัฒนาการของหินแห่งแสงจะส่งผลอะไรต่อมนุษย์บ้าง ดังนั้นเขาควรพักการทดลองนี้เอาไว้ก่อนที่จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี
หลังจากนั้น หวังหูกลายเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแห่งเว่ยหลงเทคโนโลยี
ในเวลาเดียวกัน เว่ยหลงเทคโนโลยีได้ย้ายที่ตั้งไปอยู่ในตึก 30 ชั้น และชื่อของตึกถูกตั้งชื่อเป็นเว่ยหลงเทคโนโลยี โดยที่เฉินหลงซื้อจากรัฐบาลในราคาห้าร้อยล้านหยวน
เพราะระบบภาพเสมือนที่พัฒนาโดยเว่ยหลงเทคโนโลยีนั้นเป็นความลับสุดยอด เพื่อผลประโยชน์ด้านความปลอดภัย รัฐบาลจึงขายตึกที่รัฐบาลเป็นเจ้าของให้แก่เฉินหลง
ในทำนองเดียวกัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายใต้คำสั่งของหวังหูล้วนเป็นกองกำลังพิเศษที่ปลดเกษียณจากกองทัพก่อนกำหนดทุกคน พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนมีฝีมือ อย่าได้ประเมินความสามารถพวกเขาต่ำไปเด็ดขาด
บริษัทยังต้องการคัดเลือกศิลปิน นักออกแบบ โปรแกรมเมอร์ และพนักงานในตำแหน่งอื่นอีกเป็นจำนวนมากจากผู้สำเร็จการศึกษาทั้งในตอนนี้และก่อนหน้านี้ อาจกล่าวได้ว่าบริษัทที่เขาวาดฝันเอาไว้ได้ ในที่สุดกลายเป็นบริษัทของจริงสักที
ในตอนที่เฉินหลงกับจี้โม่ซีกลับไปแล้ว คนแปดคนที่ไปเที่ยวต่างประเทศได้กลับมาถึงประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ทำให้ชีวิตของเฉินหลงที่มีสีสันอยู่แล้ว ยิ่งมีสีสันสวยงามมากขึ้นไปอีก
ตั้งแต่สมัยโบราณ วิถีมารเป็นพลังที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในราชวงศ์สวรรค์ ในระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงและช่วงที่สงครามระหว่างรัฐ เนื่องจากเกิดแนวคิดที่แตกต่างกันและการแข่งขันระหว่างสำนักแต่ละสำนัก มีสำนักหลายร้อยแห่งในฉีหมิงรวมถึง
ลัทธิของขงจื๊อ ลัทธิม้อจื๊อ ลัทธิเต๋า ธรรมะหยินและหยาง แนวคิดแนวตั้งและแนวนอน จิปาถะ ทหารและนิกาย
อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปไม่นานนัก ในราชวงศ์ฮั่นฝั่งตะวันตก ลัทธิขงจื้อกลายเป็นฝ่ายธรรม หลังจากนั้นจึงได้ยกเลิกสำนักที่มีแนวคิดที่แตกต่างกันให้มารวมสำนักเข้าด้วยกัน ลัทธิเต๋าดั้งเดิมที่ขึ้นอยู่กับลัทธิเต๋าและการผสมจุดเด่นของ ลัทธิม่อจื๊อ โอสถ คาถาอาคม และของขลังที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และการถือกำเนิดวิถีมารที่คล้ายกับของลัทธิเต๋า
ลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็นหยินกับหยาง และความเป็นกับความตาย ทั้งลัทธิเต๋าและลัทธิม่อขึ้นอยู่กับลัทธิเต๋า แต่การให้ความสำคัญของพวกเขานั้นแตกต่างกัน
บรรพบุรุษได้กล่าวเอาไว้ว่า ‘สวรรค์และโลกไร้เมตตา ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นดั่งสุนัข’ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเดิมทีลัทธิเต๋าถูกแบ่งออกเป็นเมตตากับไร้เมตตา รักใคร่กับเกลียดชัง ในขณะที่แนวคิดเรื่องความไร้เมตตาและความโหดเหี้ยมได้รับการสืบทอดและพัฒนาโดยวิถีมาร
เนื่องจากแนวคิดที่แตกต่างกัน การปะทะกันระหว่างทั้งสองลัทธิจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เนื่องจากการต่อสู้เรื่องความแข็งแกร่ง ทำให้พื้นที่ภายในประเทศได้กลายเป็นสนามรบของพวกเขาอีกด้วย พวกเขาจะเลือกคนที่มีพรสวรรค์ให้มาต่อสู้กันเพื่อการแย่งชิงอำนาจ
ครั้งล่าสุดเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสองลัทธิหลักในประเทศจีน ฝ่ายธรรมเลือกหลันจื่อ ส่วนวิถีมารอยู่เลือกจงเจิ้ง และฝ่ายที่ได้รับชัยชนะคือฝ่ายธรรม
ผลการตัดสินทำให้ผู้ที่เลือกฝ่ายวิถีมารถูกขับไล่ให้ออกไปจากประเทศจีน และต้องไปหลบภัยอยู่ที่ต่างประเทศเพื่อความก้าวหน้า
แต่ก็ยังมีบางคนยกตัวอย่างเช่นอี้หยางที่สกัดเลือดลมและอาศัยอยู่ในประเทศจีน
หลังจากการระเบิดตัวตายของอี้หยาง ทุกลัทธิที่อาศัยอยู่ต่างประเทศต่างก็ได้ทราบข่าวนี้เช่นกัน ในตอนที่พวกเขารู้ว่าคนที่จัดการเขาได้คือหวังฮง พวกเขาก็รู้ถึงตัวตนของเฉินหลงด้วย
เพราะอี้หยางใช้เคล็ดวิชาลับรายงานเรื่องต่างๆต่อครอบครัวของตน ก่อนที่เขาจะทำการระเบิดตัวเองไปในที่สุด
ถึงแม้ว่ากองกำลังของแต่ละลัทธิของวิถีมารอยู่ที่ต่างประเทศทั้งหมด แต่การตรวจสอบข้อมูลของเฉินหลงกลับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หลังจากที่ทราบอายุของเฉินหลงแล้ว แต่ละลัทธิจึงมีความคิดที่จะส่งเยาวชนที่เก่งกาจที่สุดของลัทธิตัวเองไปยังประเทศจีน เพื่อไปเอาชีวิตของเฉินหลงมาให้จงได้
ถึงอี้หยางจะไม่มีความสุขในวิถีมารแต่เขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในวิถีมาร เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของวิถีมาร พวกเขาจำเป็นต้องนำชื่อเสียงกลับมาให้ได้
ประเทศจีนเป็นฐานของเจิ้งเต๋า หากเขาส่งตาแก่ไปฆ่าเฉินหลง เขาอาจทำให้เจิ้งเต๋ามีน้ำโหขึ้นมาได้ ตอนนี้เจิ้งเต๋าแข็งแกร่งมากและฝึกฝนอย่างหนัก คงไม่เป็นผลดีกับวิถีมารแน่ พวกเขาจึงตัดสินใจส่งคนหนุ่มไปแทน จะได้เป็นการแข่งขันของคนรุ่นใหม่ และพวกที่อยู่ฝ่ายธรรมจะได้ไม่กล่าวหาว่าพวกเขาเป็นคนรังแกเด็กอีก
TB:บทที่ 151 ไป๋ ชิงเหวิน
“เสี่ยวยี่ เธอจะเรียนมัธยมปลายในเมืองนี้จริงๆหรือ” เมื่อเฉินหลงกลับมาแล้ว เขาได้ถามเป็นครั้งสุดท้าย
ใจจริงแล้วเฉินหลงยังหวังให้น้องของเขาเข้าโรงเรียนมัธยมซิงเฉิง ด้วยเหตุผลอย่างแรกคือความเป็นอยู่ที่ซิงเฉิงดีกว่า อย่างต่อมาคือการเรียนการสอนที่ก็ดีเช่นกัน
“ไม่ล่ะค่ะ หนู่ว่าเรียนที่เมืองนี้ก็ดีมากๆอยู่แล้ว อีกอย่างหนูสนิทกับเพื่อนแล้วและไม่ต้องไปทำความคุ้นเคยกับที่ใหม่ด้วย แล้วก็นะ พี่คะ ไม่ใช่ว่าพี่ซื้อบ้านใหม่ในเมืองไว้แล้วหรือ หนูจะได้ไม่ต้องอยู่ที่โรงเรียนไง” เฉินยี่ว่าพร้อมรอยยิ้ม
เธอรู้ว่าพี่ของเธอเจตนาดี แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย เฉินยี่รู้สึกว่าดีที่สุดแล้วสำหรับเธอ
ก่อนหน้านี้เมื่อเฉินหลงรู้ว่าน้องสาวของเขาจะเข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองนี้ เขาได้ซื้อบ้านขนาดสี่ห้องนอนไว้แล้ว เพื่อให้เฉินยี่ได้เรียนในเมืองและยังได้อยู่กับพ่อแม่ของเธอด้วย
เพราะปัจจุบันนี้ พวกนักเรียนมัธยมปลายไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงที่ไปเรียนในเมืองหากไม่มีผู้ใหญ่ค่อยดูแลอยู่ต่างก็ก่อปัญหาทั้งนั้น ถึงเฉินหลงจะเชื่อใจน้องสาว แต่ถ้าเกิดมีปัญหาละ
“ถ้าเช่นนั้น ตั้งใจเรียนล่ะ แล้วก็ถ้าสอบเข้ามหาลัยได้ พี่มีรางวัลให้ด้วยนะ เธอเลือกได้เลยว่าอยากได้อะไร” เฉินหลงกล่าวกับเฉินยี่
“จริงๆหรือ สุดยอดไปเลยพี่ ฉันจะไม่ลืมคำนั้นนะ” เมื่อเธอได้ยินเฉินหลงให้คำสัญญา เฉินยี่รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
ระดับของทรัพย์สินของพี่ชายเธอมีอยู่กว่าร้อยล้านหยวน เธอเลือกของขวัญเธอเองได้ขนาดที่ว่าถ้าเธอเลือกรถหรูเขาก็จะซื้อให้เธอ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นใจของเฉินยี่ร้อนผ่าวขึ้นทันที เพื่อของขวัญแล้วเธอคงต้องเรียนหนัก
“ไม่ต้องห่วงหรอก” เฉินหลงยิ้มให้
ตอนนี้มีที่เรียนใหม่ๆหลายที่ให้เลือกสมัคร
“เสี่ยวยี่ เธออยู่นี่ด้วยหรือ เธอได้เรียนห้องไหนหรือ”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
เฉินหลงไม่ได้หันหน้าไปมอง แต่เขาจำได้ว่าเสียงนั้นคือเสียงของเสี่ยวเจี่ย หนึ่งในเด็กสาวสองคนที่ถูกกั่นแกล้งที่เคทีวีครั้งก่อน ซวีเจี่ย
“เสี่ยวเจี่ย เธอมาสมัครด้วยหรือวันนี้ ฉันยังไม่ได้ส่งใบสมัครเลยยังไม่รู้ว่าได้เรียนห้องไหนน่ะ ถ้าเราได้อยู่ห้องเดียวกันต้องดีมากๆเลย” ซวีเจี่ยเดินเข้ามาหา เฉินยี่จับมือเธอและกล่าวออกไป
“ฉันสมัครได้ห้องเรียนที่เก้าสิบแปดน่ะ อ๋อแล้วก็ขอบอกเลยนะว่าที่โรงเรียนเรามีครูที่หล่อมากๆอยู่ด้วย เขาช่วยฉันสมัครเรียนวันนี้ เธอไปสมัครที่นั่นได้เหมือนกันนะ เขาหล่อมากๆเลย” ตาของซวีเจียเต็มไปด้วยอารมณ์คลั่ง เธอหันหน้าเข้าหาเฉินยี่
“จริงหรือ” เฉินยี่ไม่ค่อยจะเชื่อซวีเจีย
“ฉันไม่ได้โกหกนะ ไปดูเองสิ” ซวีเจียมองเฉินยี่ด้วยสีหน้า “ฉันไม่ได้มีเหตุผลอะไรให้โกหกเธอนะ”
“อืม ผู้ชายหล่อเหรอ ก็มีคนหนึ่งอยู่แถวเธอนี่ เธอต้องไปดูคนอื่นอีกหรือ” เฉินหลงตั้งใจเล่นมุกตลก
ซวีเจียมองเฉินหลงอย่างพิจารณาและคิดดูอีกครั้ง คล้ายกับกำลังเทียบเคียงเฉินหลงและครูคนใหม่ว่าใครหล่อกว่ากัน พักหนึ่งเธอจึงได้คำตอบ “พี่หลง ถึงพี่จะหล่อเหมือนกันแต่ก็หล่อน้อยกว่าครูไป๋นิดหนึ่งนะคะ”
“หืม จริงหรือ”
คำของซวีเจี่ยทำให้เฉินหลงอยากรู้อยากเห็นในตัวครูที่ชื่อมีคำว่าขาวนี่
เฉินยี่ที่ดูท่าทางสงสัยเช่นกันกล่าวว่า “พี่คะ เราไปดูกันเถอะ”
จากนั้นเฉินยี่และซวีเจี่ยก็เข้าไปยังโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กสาว พวกเขามองไม่เห็นจุดรับสมัครนักเรียนของครูชื่อไป๋นั่น
หลังจากรอมากกว่ายี่สิบนาที ก็ถึงคราวของเฉินยี่
ในตอนนี้ครูที่ชื่อว่าไป๋กำลังก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างอยู่ ปากเขาพลางเรียกไปด้วยว่า “นักเรียนคนต่อไป”
เสียงของคุณไป๋ช่างดึงดูดและฟังสบาย
“สวัสดีค่ะ ชื่อเฉินยี่ค่ะ”
เมื่อกล่าวไปแล้วเฉินยี่ยื่นใบสมัครของเธอให้ครูที่ชื่อไป๋
ในตอนนั้นเอง เขาเงยหน้าขึ้นมา
เมื่อครูไป๋เงยหน้าขึ้นมาแล้ว หน้าของเขาเป็นใบหน้าของคนหนุ่มที่หล่อเหลา แม้เฉินหลงจะไม่อยากยอมรับ แต่เขาหล่อจริงๆ หล่อยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก
ความหล่อของผู้ชายมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งความหล่อแบบธรรมชาติและความหล่อแบบไม่เป็นธรรมชาติ หรือความหล่อแบบผู้ใหญ่ หรือความหล่อแบบสดใส สำหรับครูไป๋แล้วความหล่อของเขาเป็นแบบไร้กาลเวลา หล่ออย่างมีกลิ่นอายของผู้มีการศึกษา อีกอย่างในตอนนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตขาวที่ยิ่งเพิ่มความหล่อของเขาให้พุ่งขึ้นไปอีก
คุณไป๋ยิ้มและมองเฉินยี่ที่เพิ่งเห็นความหล่อนี้ เขากล่าวว่า “เฉินยี่ ห้องเรียนในชั้นเรียนมัธยมของเธอคือห้องเก้าสิบแปดนะ เกรดของเธอดีมากๆเลย เธอต้องตั้งใจเรียนต่อไปนะ”
เมื่อเธอได้ยินว่าเธอเรียนห้องเรียนที่เก้าสิบแปด เฉินยี่รู้สึกมีความสุขในทันทีที่ได้เรียนห้องเดียวกับเพื่อนสนิทของเธอ “ขอบคุณค่ะ ครูไป๋”
“ไม่เป็นไรครับ” ครูไป๋พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นักเรียนคนต่อไป”
เฉินยี่ เฉินหลง และซวีเจี่ยเดินหลบไปข้างๆ เพื่อให้นักเรียนคนข้างหลังเดิน
“เยี่ยมไปเลย เราเรียนห้องเดียวกันอีกแล้ว” ใบหน้าเฉินยี่มีความตื่นเต้นทันทีที่ซวีเจียว่าซวีเจียกล่าวอย่างตื่นเต้นเช่นกันว่า “ใช่แล้วเราเรียนห้องเดียวกันอีกแล้ว ไม่เลวเลย”
ขณะที่เฉินยี่และซวีเจี่ยกำลังหวานชื่นกัน เฉินหลงเข้าไปสอบสวนครูไป๋ในทันที
เป็นเรื่องน่าแปลกที่คนหนุ่มหน้าตาดีเช่นนี้จะมาสอนในที่เล็กๆ
ดังนั้นเฉินหลงเลยอยากรู้ว่าครูไป๋นี่เป็นใครกันแน่
แต่เมื่อใช้เขาเครื่องตรวจสอบไปแล้ว สีหน้าเฉินหลงกลับไม่ดีเท่าไร ชายคนนี้เหมือนอี้หยางเลย พวกเขาไม่มีข้อมูล
“ปีศาจงั้นหรือ”
ครั้งก่อนตอนอี้หยางก็เป็นเช่นนี้ คนคนนี้มีกลิ่นอายปีศาจ
ปีศาจที่มาปรากฏตัวในโรงเรียนที่น้องสาวเขาเรียนแบบนี้ ไม่มีทางที่มาเพื่อเรื่องของตัวเองแน่นอน
อาจเป็นเพราะเขารู้สึกคล้ายโดนจ้องมอง ไป๋ชิงเหวิน เงยหน้ามองเฉินหลงที่ยืนอยู่ เขาเห็นเฉินหลงมองด้วยสายตาอันเย็นเยือก เขายิ้มและจัดการเอกสารของนักเรียนต่อไป หมอนั่นไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาหรอก แต่เขารู้จักเฉินหลง
“คุณไป๋ เย็นนี้ผมเลี้ยงข้าวคุณได้ไหมครับ” เฉินหลงเข้าหาไป๋ชิงเหวินและถามออกมา
สำหรับคนที่ต้องการรับมือปิศาจในแบบของตัวเอง เฉินหลงมักเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน
ไป๋ชิงเหวิน มองเฉินหลงแล้วเขาก็ตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
“หนึ่งทุ่มนะครับ เจอกันนอกโรงเรียน” เฉินหลงกล่าวจบแล้วเดินออกไป
หลังจากเฉินหลงลับจากไปแล้ว ไป๋ชิงเหวินคิดในใจ “เฉินหลงคนนี้ไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่าเขารู้ตัวจริงของฉัน ช่างน่าสนใจจริงๆ แต่หากอ่อนแอไปก็ไม่สนุกสิ”
หลังจากที่โรงเรียนเลิก สองพี่น้องกลับบ้านที่ซื้อไว้ในเมืองเล็กๆแห่งนี้
ในตอนนี้เฉินหลงติดต่อกู่เฟ่ยที่คอยปกป้องครอบครัวเขาอย่างลับๆมาตลอดหลังไม่ได้ติดต่อมานาน
“เจ้านาย” เมื่อได้เห็นเฉินหลง กู่เฟ่ยจึงรีบกล่าว
“นายทำงานได้ดีมาก ฉันพอใจเหลือเกิน” เฉินหลงพยักหน้า “แต่ตอนนี้ ฉันกลัวว่าพลังของนายจะไม่พอ กลืนนี้ลงไปแล้วอย่าเคี้ยวนะ”
เมื่อกล่าวแล้ว เฉินหลงมองเศษของ “หินแห่งแสง” และมอบให้กู่เฟ่ย
กู่เฟ่ยรับหินแห่งแสงมาและกลืนลงไปโดยไม่คิดอะไร
TB:บทที่ 152 การไปสู่อีกขั้นหนึ่งของกู่เฟ่ย
เมื่อกลืน “หินแห่งแสง” ลงไปแล้ว ร่างทั้งร่างของกู่เฟ่ยพลันเปล่งแสงสีขาวออกมา รังสีสีขาวที่ปล่อยออกมาจากตัวของกู่เฟ่ยเปล่งออกมาเรื่อยๆ มันค่อยๆเคลื่อนมาคลุมตัวของกู่เฟ่ยไว้คล้ายกับเป็นดักแด้
เพราะแสงสีขาวที่ห่อหุ้มตัวกู่เฟ่ย เฉินหลงจึงไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในด้วยตาของเขา เฉินหลงตรวจสอบข้อมูลของกู่เฟ่ยได้ด้วยเครื่องตรวจสอบ
เขาเห็นว่าข้อมูลต่างๆของกู่เฟ่ยว่าค่อยๆพัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ โดยเฉพาะพลังจิตใจเขาที่เริ่มจะพุ่งสูงขึ้น
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป พลังจิตใจของเขาทะยานไปถึงหนึ่งพันแล้วหยุดลง
เฉินหลงคิดว่าพลังที่พัฒนาอยู่นี้จะจบไป ทว่าในขณะนั้นเอง แสงสีขาวที่สว่างรอบตัวกู่เฟ่ยพลันสั่นไหวอย่างผิดสังเกต
ค่าพลังแห่งจิตวิญญาณของกู่เฟ่ยเริ่มที่จะผันแปรเพิ่มลดไปมาระหว่างหนึ่ง หนึ่งพัน หนึ่งร้อย และเก้าสิบเก้า
เมื่อได้เห็นพลังจิตวิญญาณของกู่เฟ่ยแล้วเฉินหลงได้เข้าใจอย่างกระจ่างชัดว่า ค่าหนึ่งพันเป็นเลขสูงสุดของระดับปรมาจารย์ขั้นสูงกับขอบเขตกำเนิด และตราบใดที่ตัวเลขยังเปลี่ยนอย่างฉับพลันได้ก็สามารถไปถึงระดับขอบเขตกำเนิดได้
“กู่เฟ่ย สู้หน่อย ผ่านมันไปให้ได้ ต้องยึดมันไว้นะ”
เฉินหลงเติมน้ำมันให้กับหัวใจของกู่เฟ่ย
แม้เฉินหลงจะมองไม่เห็นตัวกู่เฟ่ยแต่เขารู้ว่าในตอนนั้นกู่เฟ่ยกำลังเจอกับความเจ็บปวดแสนสาหัสและความกดดันอย่างมาก ในท้ายที่สุดแล้วการพัฒนาเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลานาน การพัฒนาในเวลาที่กล่าวได้ว่าสั้นๆเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่จินตนาการถึงได้ยากยิ่ง
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา พลังของกู่เฟ่ยยังคงไม่สามารถก้าวไปถึงขอบเขตกำเนิด
จากนั้นสอง และ สามชั่วโมงผ่านไป
เฉินหลงยังอยู่ตรงนั้นกับกู่่เฟ่ย เขาหวังว่าลูกน้องที่แสนซื่อสัตย์ของเขาจะไปถึงขอบเขตกำเนิดได้ เฉินหลงให้กำลังใจเขามากที่สุดเท่าที่ทำได้
ในตอนเดียวกัน เฉินหลงยังมีแผนสำรองอยู่คือหากกู่เฟ่ยทำไม่สำเร็จเขาจะหยุดการใช้“หินแห่งแสง”กับคนไปชั่วคราวและจะทดลองกับสัตว์ก่อน
เฉินหลงใช้ประโยชน์จากการพัฒนาของกู่เฟ่ย เขาเจอหนังสือเกี่ยวกับสกิลในระบบที่ชื่อว่า “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น” การทำงานของหนังสือนี้คือการควบคุมอสูรหนึ่งหมึ่นตนและปล่อยพวกมันให้ผู้ควบคุมจัดการ ราคาค่าแต้มแลกเปลี่ยนของหนังสือเล่มนี้ต้องการห้าหมื่นแต้ม
จริงๆแล้วเฉินหลงมีแต้มแลกเปลี่ยนห้าหมื่นแต้มให้แลกได้ ทว่าเขาไม่ใช้แต้มพวกนั้นซื้อในทันที
เขาต้องการรอให้กู่เฟ่ยออกมาก่อนเพื่อให้เขารู้ผลและวางแผนได้
เมื่ออีกสามชั่วโมงผ่านไป แสงสีขาวรอบตัวของกู่เฟ่ยสั่นไหวน้อยลง และหลังจากสี่ชั่วโมงผ่านไปในที่สุดแสงได้สั่นไหวต่างไปจากเดิมอีกครั้ง
แสงสีขาวเริ่มต้นที่จะกลายเป็นกระแสวนทีละน้อย และแล้วเฉินหลงก็ได้รู้สึกถึงเส้นทางของมวลอากาศแห่งสรวงสรรค์และแผ่นพสุธาที่ดูดแสงเข้าไปในกระแสอากาศวน ทันใดนั้นแสงสีขาวได้เข้าไปสู่ร่างของกู่เฟ่ย
เมื่อแสงสีขาวผ่านไปแล้ว จิตวิญญาณแห่งสรวงสรรค์และพสุธาก็ถูกแสงสีขาวกลืนไป เมื่อเข้าไปในร่างของกู่เฟ่ยแล้วตัวเขาและแสงสีขาวได้เริ่มพัฒนาระดับพลังในร่างกายกู่เฟ่ยด้วยกัน
การจะก้าวไปสู่ระดับขอบเขตกำเนิดจำเป็นต้องเข้าใจการรับพลังของจิตวิญญาณแห่งสรวงสรรค์และพสุธา
ในตอนแรกการไปสู่ระดับขอบเขตกำเนิดเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้สำหรับพลังของกู่เฟ่ย ดังนั้นเมื่อได้รับ “หินแห่งแสง”เข้าไปจึงยังติดอยู่ที่ค่าพลังสูงสุดและผ่านมันมาไม่ได้
เฉินหลงได้เห็นสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นคือพลังของ “หินแห่งแสง” ที่เปลี่ยนแปลงไปเอง เฉินหลงจึงคิดว่าหากพลังของเขาไม่อาจข้ามขั้นได้ในทันที เฉินหลงจะเพิ่มพลังเพื่อช่วยเสริมเอง
เมื่อเขาแน่ใจแล้วเขาจึงช่วยเพิ่มพลังฉีแห่งสวรรค์และแผ่นดินให้กับจิตวิญญาณของกู่เฟ่ย ในที่สุดค่าพลังของกู่เฟ่ยได้ทะลุผ่านหนึ่งพันไปและเพิ่มขึ้นอีกอย่างช้าๆ
“การผ่านพ้นขอบเขตกำเนิดแล้ว” เมื่อเฉินหลงเห็นค่าพลังจิตวิญญาณของกู่เฟ่ยที่ได้ข้ามหนึ่งพันไปแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้น
ในที่สุดเฉินหลงมีลูกน้องคนแรกที่เป็นระดับขอบเขตกำเนิดแล้ว
แล้วเฉินหลงกครุ่นคิดถึงการไปสู่อีกขั้นของกู่เฟ่ย
เมื่อปรมาจารย์ระดับสูงก้าวข้ามสู่ระดับขอบเขตกำเนิดพวกเขามักต้องเข้าใจการทำงานของฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาก่อน แล้วพวกเขาจึงจะสามารถรับฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาได้ รวมถึงผ่านไปยังระดับกำเนิด
ตัวของผู้มีพลังที่ไม่อาจเข้าใจถึงฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาได้นั้นก็ไม่สามารถก้าวไปสู่ระดับขอบเขตกำเนิดได้ และนี่คือเหตุผลที่กู่เฟ่ยไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่อีกขั้นแม้มีหินแห่งแสงช่วยอยู่แล้วก็ตาม
พลังของ“หินแห่งแสง”รู้ได้เองว่ากู่เฟ่ยข้ามไปอีกขั้นไม่ได้ มันจึงดึงฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาที่จำเป็นต่อการก้าวข้ามไว้ และเมื่อกู่เฟ่ยมีฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาในร่างกายเขาแล้ว ร่างกายเขารู้ได้ทันทีว่ามีฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาจากภายนอกเข้ามาทำให้ระดับของเขาก้าวไปสู่ระดับขอบเขตกำเนิดได้
เมื่อกู่เฟ่ยข้ามไปสู่ระดับกำเนิดแล้ว เขาก็พัฒนาได้สำเร็จ ในขณะนั้นเองแสงสีขาวรอบตัวเขาเริ่มที่จะค่อยๆหริบหรี่ลง
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาแสงสีขาวจึงดับไปทั้งหมด
ดวงตาใสซื่อเปิดขึ้นช้าๆ
“เจ้านาย” แม้กู่เฟ่ยจะไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาเพื่อพัฒนาไปเท่าใด แต่กู่เฟ่ยรีบเหลือบมองเฉินหลงที่ยังอยู่กับเขาในทันที
“ทำดีแล้ว ขั้นแรกต้องคุ้นชินกับพลังก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นไปกับฉัน” เฉินหลงมองกู่เฟ่ยด้วยความพึงพอใจ
เป็นเวลาที่สมควรกับการพัฒนาแล้ว
เจ้าของดวงตาซื่อพยักหน้าและเริ่มต้นใช้พลังของตน
ในตอนนี้การควบคุมพลังของกู่เฟ่ยต้องใช้มากกว่าเดิมถึงสิบเท่าจากที่เคย นั่นคือหนึ่งพันห้าร้อยเมตร
ในส่วนของการควบคุมพลัง กู่เฟ่ยยังไปถึงขั้นหนึ่งของการควบคุมพลังทั้งหมดที่ใช้เพียงจิตของเขา และแม้เมืองนี้จะมีสิ่งแวดล้อมอันเป็นจุดกำเนิดที่แข็งแกร่งแต่มันมีผลกระทบอย่างมากต่อพลังนี้และทำให้ความแข็งแกร่งของพลังลดลงไปถึงสามขั้น
ทว่า ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของกู่เฟ่ยยังได้พัฒนาไปถึงขั้นปรมาจารย์ขั้นสูงแล้วด้วย
ดังนั้นแล้วแม้ความแข็งแกร่งนี้จะพบกับจุดกำเนิดแห่งพลังก็ตามแต่พลังของเขาจะไม่อ่อนแอลง
เมื่อกู่เฟ่ยคุ้นเคยกับพลังแล้ว เฉินหลงได้พาเขาไปยังจุดนัดหมาย
และเมื่อเฉินหลงขับรถไปยังโรงเรียนเขาก็เห็นไป๋ชิงเหวินยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนล้าบนใบหน้า
เด็กผู้หญิงบางคนแอบมองไป๋ชิงเหวินอยู่ไม่ไกล แน่นอนว่าพวกเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและถ่ายรูปเขาไว้เพื่อเมื่อกลับไปแล้วจะได้เลียหน้าจอ
การที่ได้เห็นไป๋ชิงเหวินและแม้จะรู้ดีว่าเขาเป็นปิศาจแต่เฉินหลงก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนที่ดีมากๆอยู่
หลังจากที่เฉินหลงและกู่เฟ่ยลงรถมาแล้ว ไป๋ชิงเหวินยิ้มให้เฉินหลงและกล่าวว่า “คุณเฉิน คุณมาจริงๆ”
“ผมนัดคุณไว้นี่ ผมไม่ผิดนัดแน่นอน นี่ คุณไป๋ อาหารมื้อนี้คุณต้องจริงจังนะ” เฉินหลงว่า
“ถึงเวลานัดของคุณแล้ว คุณเฉินหลง” ไป๋ชิงเหวินว่าด้วยรอยยิ้ม
“ขึ้นรถมาเถอะครับ” เฉินหลงทำท่าเชิญชวนไป๋ชิงเหวิน
เมื่อไป๋ชิงเหวินไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทเฉินหลงจะทำตัวไม่สุภาพก่อนทำไมกัน
เมื่อไป๋ชิงเหวินขึ้นรถมาแล้ว เฉินหลงได้พาเขาไปภัตตาคารเพื่อทานอาหารค่ำ และเพราะเขาเป็นคนชวนเขาจึงจำต้องกินอาหารด้วย
เมื่อขึ้นรถแล้วไป๋ชิงเหวินมองกู่เฟ่ย นั่นเพราะความเงียบของกู่เฟ่ยทำให้เขารู้สึกกลัว
เมื่อพวกเขามาถึงร้านไก่เผ็ดเจ้าดังแล้วเฉินหลงสั่งอาหารให้ทุกคน
ตอนที่อาหารมาเสิร์ฟเฉินหลงได้บอกให้ไป๋ชิงเหวินและกู่เฟ่ยกิน
“คุณไป๋ ทำไมคุณถึงอยากคุยกับเราในที่เล็กๆเช่นนี้” เฉินหลงตักไก่ชิ้นหนึ่งเข้าปากและเคี้ยว เมื่อกลืนแล้วเขาจึงพูดกับไป๋ชิงเหวิน
TB:บทที่ 153 กลุ่มผู้ลวงตา
“หากผมพูดคำแก้ตัวอื่นอีก ผมเกรงว่าพี่เฉินจะดูถูกผมนี่สิ ผมมาที่นี่เพื่อเจอพี่เฉินโดยเฉพาะเลยนะ ผมล่ะอยากเห็นจริงๆว่าคนแบบไหนกันที่ขัดขวางการฆ่าตัวตายของอี้หยางน่ะ” ไป๋ชิงเหวินยิ้มให้เฉินหลง เขาพูดเข้าประเด็นทันที
ในตอนนี้ที่เฉินหลงรู้ตัวตนของเขาแล้ว ไป๋ชิงเหวินไม่ต้องการจะแกล้งเป็นคนโง่ใส่เฉินหลงต่อ
“ผมไม่คิดว่าน้องไป๋มาเพื่อเจอหน้าผมโดยเฉพาะหรอก บางทีน่าจะมาเพราะหมายหัวผมไว้มากกว่า”
เฉินหลงเหลือบมองไป๋ชิงเหวิน
เฉินหลงไม่เชื่อว่าไป๋ชิงเหวินจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพียงเพื่อเจอหน้าเขา
“ใช่สิ ตอนที่ไป๋มา อาจารย์บอกว่าให้เอาหัวคุณกลับไปด้วยนี่ เมื่อได้เจอเขาแล้ว ไป๋รู้ได้เลยว่าการเอาหัวพี่เฉินไปต้องยากมากแน่ๆ ตอนนี้เลยยกเลิกความคิดนั้นไปแล้ว อย่างไรเสียถ้าไป๋มีโอกาส ไป๋คงไม่พลาดที่จะเอาหัวพี่เฉินไปหรอก” แม้ตอนที่ไป๋ชิงเหวินพูดเกี่ยวกับหัวเฉินหลง เขายังดูเป็นอาจารย์หนุ่มที่ดีอยู่เลย
จุดประสงค์ก่อนกลับบ้านของไป๋ชิงเหวินในตอนแรกคือการฆ่าเฉินหลง อย่างไรก็ตามเขาพบว่าเขาไม่สามารถมองเห็นพลังทั้งหมดของเฉินหลงได้ อีกทั้งยังไม่สามารถเห็นพลังของกู่เฟ่ยได้เลยด้วย เขาจึงยกเลิกแผนไปอย่างชาญฉลาด
“จะว่าไป ผมยังไม่รู้เลยว่าน้องไป๋เป็นปิศาจประเภทไหน” ถึงเฉินหลงจะได้ยินเรื่องที่ไป๋ชิงเหวินต้องการนำหัวเขากลับไปด้วยแล้วก็ตามแต่เขายังใจเย็นได้อยู่
“เป็นพวกที่มีเวทมนต์น่ะ พวกที่อยู่ในแดนนางฟ้าและมีคัมภีร์ขาว” แล้วไป๋ชิงเหวินก็แนะนำตัวเขาอย่างเป็นทางการ
พวกปีศาจมีอยู่ด้วยกันแปดพวก แต่ละพวกมีรูปแบบเป็นของตน อย่าง อี้หยางที่เป็นปีศาจที่ไร้ความปราณีเป็นกลุ่มผู้เที่ยงตรง(mieqing) ในขณะที่ไป๋ชิงเหวินมีพลังลวงตาจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่และสูงศักดิ์ในโลกที่ว้าวุ่นนี้
“น้องไป๋ นายมาที่นี่เพื่อเป็นครูจริงๆหรือ” เฉินหลงซักถาม
ในความคิดของเฉินหลง เขามองว่าไป๋ชิงเหวินแทรกซึมเข้ามาในโรงเรียนนี้ด้วยเหตุผลบางประการ แต่ในเมื่อตอนนี้ตัวตนของเขาได้เปิดเผยแล้ว เขาก็ควรที่จะไปเสีย
“แน่สิครับ ผมเป็นนักเรียนชั้นต้นๆจากเอมไอที คุณสมบัติผมมากเกินพอจะเป็นครูสอนฟิสิกส์ในโรงเรียนมัธยมปลายไปไกลเลย” ไป๋ชิงเหวินยกยิ้ม
เฉินหลงใจเย็นลง เขามองไป๋ชิงเหวินและกล่าวต่อไป “แล้วนายต้องการจะทำอะไรละ”
หากจะมีคนประเภทนี้วนเวียนอยู่รอบตัวคนในครอบครัวเขา เฉินหลงไม่มีทางนิ่งนอนใจ หากไป๋ชิงเหวินไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมควร เฉินหลงคงไม่สนใจความมีเสน่ห์ของเขาแล้วฆ่าเขาทิ้งเสียตรงนี้
“แน่นอนว่าผมต้องเป็นครู ผมรู้ว่าคุณกังวลเรื่องอะไร ผมมีคำสั่งให้นำหัวคุณกลับไปนะ ผมน่ะไม่ยุ่งกับครอบครับคุณหรอก อีกอย่างแม้ผมจะเป็นปิศาจแต่ผมไม่ใช่นักฆ่า คุณวางใจได้เลย ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับครอบครัวคุณเด็ดขาด” ไป๋ชิงเหวินว่าอย่างจริงจัง
เฉินหลงเห็นว่าไป๋ชิงเหวินพูดจากใจจริง แถมโอกาสในการฆ่ายังค่อยๆหายไปอีกด้วย
เขามองไป๋ชิงเหวินอย่างเด็ดขาด “การที่นายอยากทำอะไรฉันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก ฉันจะให้นายเห็นพลังของฉันเอง แต่ถ้านายริอาจทำอะไรครอบครัวของฉันล่ะก็ ฉัน เฉินหลงคนนี้ รับประกันได้เลยว่านายจะไม่เหลือร่องรอยอยู่บนโลกนี้”
เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว เฉินหลงและกู่เฟ่ยก็จากไป
หลังจากฟังคำของเฉินหลงแล้ว ไป๋ชิงเหวินได้จมอยู่ในความคิดตนทันที เขาคิดว่าเฉินหลงคงทำอย่างที่พูดได้จริงๆ บางทีการทำให้แม่ทัพรู้เรื่องของศัตรูคงไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดนัก
“เอาล่ะ จะต้องการอะไรให้มากมาย ถ้าตอนนี้ฆ่าเฉินหลงไม่ได้ ก็ปล่อยให้อีกเจ็ดคนทำไปสิ ฉันจะเป็นครูสอนนักเรียนฉันไป” ตอนที่เฉินหลงไปแล้ว ไป๋ชิงเหวินว่า พร้อมยกยิ้มเย้ยหยันให้ตนเอง
จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นและเดินออกไปจากร้าน
เฉินหลงกล่าวว่ามื้อนี้จะเลี้ยงเขาเอง ไป๋ชิงเหวินจึงเชื่อว่าเฉินหลงจ่ายค่าอาหารให้แล้ว
เมื่อกลับถึงบ้านเฉินหลงขอให้กู่เฟ่ยช่วยปกป้องครอบครัวเขาอย่างลับๆต่อไป จากนั้นเขาได้ใช้ “หินแห่งแสง” อีกครั้งครั้งนี้กับ ลั่วเสวี่ย
เฉินหลงรู้จากคำของไป๋ชิงเหวินว่า เขาไม่ใช่ปิศาจตนเดียวที่พวกปิศาจส่งมา
ดังนั้นเฉินหลงจึงรู้สึกว่าพลังที่เขามียังไม่พอ
และหลังจากได้รู้ชื่อและเผ่าบรรพบุรุษของไป๋ชิงเหวินแล้ว พลังของเขาก็ตรวจสอบได้โดยใช้เครื่องตรวจสอบ พลังของเขามีความแข็งแกร่งเท่าๆเฉินหลงเพียงแต่แข็งกล้ามากกว่าเล็กน้อย แต่พลังของพวกของไป๋ชิงเหวินนั้นมีพลังน้อยกว่า เฉินหลงจึงคิดว่าเขาควรเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
ลั่วเสวี่ยที่ได้ใช้“หินแห่งแสง”เช่นเดียวกับกู่เฟ่ยเจอกับปัญหาในตอนพัฒนาเช่นเดียวกับกู่เฟ่ย นั่นคือเธอไม่รู้สึกถึงฉีแห่งสรวงสวรรค์และพสุธา แต่ต่อมาด้วยความช่วยเหลือของ พลัง“แสงภายหลัง” แล้ว เธอก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับกำเนิด
ในขณะเดียวกันนั้น เธอไม่ได้เพียงมีพลังคุมพืชพรรณที่แข็งแกร่งเท่านั้นแต่ยังมีพลังใหม่อีกนั่นคือ การเลียนแบบ หรือการที่ตราบใดที่เห็นของชิ้นใดหรือคนคนไหนแล้วเธอสามารถเปลี่ยนรูปร่างตามได้
ตอนที่ลั่วเสวี่ยเปลี่ยนใบหน้าเป็นเฉินหลงอีกคนที่เหมือนเขาอย่างกับแกะ อีกทั้งยังเหมือนเขาแม้กระทั่งเสียง เฉินหลงอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นเธอเปลี่ยนรูปร่างไปอีกเรื่อยๆ หากกล่าวตามตรงทุกๆอย่างเหมือนเขาไปหมดยกเว้นว่าใส่เสื้อผ้าผู้หญิงอยู่ เฉินหลงรู้สึกจริงจังขึ้นอีกนิดหน่อย
เฉินหลงอยากรู้เหลือเกินว่าจะเหมือนเขาได้แค่ไหนแต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าลั่วเสวี่ยเป็นผู้หญิงเขาก็ล้มเลิกความคิดไป
“นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกกับเสียงแล้ว เธอเลียนแบบพลังของฉันได้หรือไม่” เฉินหลงถาม
หากลั่วเสวี่ยสามารถเลียนแบบพลังเขาได้จริงๆ เธอคงเป็นเหมือนนางฟ้านางสวรรค์สำหรับเขาที่ต้อนฝูงสัตว์ขึ้นไปบนสรวงสวรรค์
“ไม่ได้ค่ะ ฉันทำได้เพียงเลียนแบบรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น” ลั่วเสวี่ยส่ายหน้าให้เฉินหลง
เมื่อเห็นตัวเขาอีกคนส่ายหัวแล้ว เฉินหลงรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขาจึงให้ลั่วเสวี่ยเปลี่ยนร่างกลับเป็นตนเอง
และหลังจากลั่วเสวี่ยเปลี่ยนร่างกลับดั้งเดิมแล้วเฉินหลงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น
จากนั้นเฉินหลงได้ขอให้ลั่วเสวี่ยและกู่เฟ่ยปกป้องครอบครัวเขาอย่างห่างๆต่อไป และเขาก็กลับบ้าน
เฉินหลงกลับไปที่ห้องของเขา เขาเข้าระบบและไปที่ร้านค้าที่ขาย “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น” ที่เขาเห็นในระบบก่อนหน้านี้ ร้านค้านี้ไม่มีชื่อ มีเพียงสัญลักษณ์รูปหัวอสูรเท่านั้น
นอกจาก“สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น”แล้วร้านค้านี้ยังขายไข่ของสัตว์ต่างๆ รวมถึงกระดูก และขนนกและสิ่งต่างๆอีกมากมาย ในส่วนของแต้มแลกเปลี่ยนนั้นช่างน่าสงสัยว่าเจ้าของร้านคิดอย่างไร เพราะมีทั้งราคาที่สูงลิ่วอย่างบางชิ้นที่มากถึงหลายร้อยล้าน ในขณะที่บางชิ้นมีราคาแลกเปลี่ยนเพียงหนึ่งแต้มเท่านั้น แต่ถึงแม้ของชิ้นนั้นจะราคาเพียงหนึ่งแต้มแต่ก็คงไม่มีใครแลกมันหรอก เฉินหลงมองเวลาที่ร้านนี้เริ่มกิจการแล้วพบว่าเปิดมาเพียงแค่สองวันเท่านั้น ดูท่าทางแล้วเขาคงเป็นแขกคนแรกของร้านนี้
หลังจากนั้นเฉินหลงส่งวิดีโอคำร้องเพื่อติดต่อเจ้าของร้าน
ครู่หนึ่งผ่านไปอีกฝ่ายได้เข้าร่วมสายวิดีโอ
ปลายสายปรากฏตัวตนจริงแต่นั่นกลับทำให้เฉินหลงกลัว เพราะว่าใบหน้าของเขามีหน้าตาคล้ายสิงโตมากกว่าจะเป็นมนุษย์
“เจ้าเป็นใคร และต้องการสิ่งใด” อีกฝ่ายพูดขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงที่มีความขู่เข็ญ
“ผมอยากติดต่อธุรกิจด้วยน่ะ” เฉินหลงอธิบายจุดประสงค์ของเขา
“อยากจะซื้อสิ่งใดจากข้ากันหรือ” เมื่อได้ยินเฉินหลงบอกว่าเขาต้องการจะซื้อของปลายสายแสดงสีหน้าตื่นเต้น
“ใช่แล้ว ผมจะซื้อของถ้าราคามันเหมาะสมแล้ว” เฉินหลงพยักหน้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น