ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 140-153

ตอนที่ 140 ฟังหยวนมาส่งสัมภาระ

 

           “ในเมื่อคุณยืนยันว่าจะพาเธอกลับไปด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอตัวไปเก็บของให้เธอก่อนนะคะ” ถังโจวโจวไม่อยากให้ลั่วอิงต้องผิดใจกับลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินพูดกับลั่วอิงถึงขั้นนี้ หรือต้องการจะบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องการเธอแล้ว อีกทั้งแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าอย่างไรลั่วอิงก็สำคัญกับเขามากที่สุด มากกว่าถังโจวโจวด้วย


 


 


           ลั่วอิงหวาดกลัวลั่วเซ่าเชินจนใบหน้าซีดเผือด ลั่วเซ่าเชินรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้เขาทำเกินไปหน่อย แต่ถ้าเขาไม่ทำอย่างนี้ เขาจะพาแม่โจวโจวของลูกสาวกลับมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?


 


 


           ลั่วเซ่าเชินและลั่วอิงนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นพักหนึ่ง คุณแม่ถังและถังโจวโจวเก็บเสื้อผ้าของลั่วอิงอย่างรวดเร็วและลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมา คุณแม่ถังส่งมันให้กับลั่วเซ่าเชิน


 


 


           ทันทีที่ลั่วเซ่าเชินลุกขึ้นยืน ลั่วอิงเองก็รีบลุกตาม มือเล็กๆ ของเธอเกาะกุมมือของลั่วเซ่าเชินเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะทิ้งเธอและจากไปคนเดียว


 


 


           เมื่อมองดูลั่วเซ่าเชินพาลั่วอิงเดินจากไป ถังโจวโจวก็รู้สึกราวกับว่าเธอเป็นคนที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง เธอรู้สึกเศร้าใจแปลกๆ


 


 


           คุณแม่ถังเห็นถังโจวโจวเอาแต่ทอดสายตามองตามแผ่นหลังของพวกเขาไป เธอก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆ นี่มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน คุณแม่ถังได้แต่ส่ายหน้าและเดินกลับเข้าไปในบ้าน เธอปล่อยให้ถังโจวโจวยืนอาลัยอาวรณ์อยู่ตรงนั้นคนเดียว


 


 


           ลั่วเซ่าเชินวางกระเป๋าเดินทางของลั่วอิงไว้ในท้ายรถ ลั่วอิงปีนขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังด้วยตัวเอง เธอเบ้ปากขึ้นสูง อาจเป็นเพราะว่าเธอได้ขึ้นมาบนรถแล้ว เธอจึงมั่นใจว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ทิ้งเธอไปอีก เธอจึงสามารถแสดงอาการแง่งอนออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


           ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอเบือนหน้าหนี ไม่ยอมมองเขา เขาก็ไม่หันกลับไปมองและตั้งใจขับรถต่อไป ลั่วอิงข่มใจเอาไว้ได้จนถึงหน้าบ้าน เธอไม่พูดกับลั่วเซ่าเชินเลยสักคำ


 


 


แล้วเธอก็ไม่อยากให้ลั่วเซ่าเชินอุ้มเธอลงด้วย ทันทีที่เขาจอดรถ ลั่วอิงก็เปิดประตูและบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะลงจากรถไป น้ำเสียงติดตลกของลั่วเซ่าเชินดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ “ลั่วอิง ลูกไม่มาเอากระเป๋าของลูกเหรอ”


 


 


ลั่วอิงชะงักเท้า เธอหันไปลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กด้วยความโมโห ลั่วเซ่าเชินหัวเราะเสียงดัง เมื่อลั่วอิงได้ยินเสียงหัวเราะของเขา ใบหน้าของเธอก็ยิ่งบิดเบี้ยว เธอหันหน้ากลับไปมองลั่วเซ่าเชินด้วยสายตาไม่พอใจ


 


 


ลั่วเซ่าเชินพยายามหยุดหัวเราะ เกรงว่าถ้าเขายังหัวเราะต่อไป เธออาจจะโกรธขึ้นมาจริงๆ ถ้าถังโจวโจวมาเห็นภาพนี้เข้า คงจะต้องมองว่าตลกมากแน่ๆ เมื่อเขาคิดถึงถังโจวโจว เขาก็หัวเราะไม่ออก


 


 


หลังจากเข้ามาในบ้าน เมื่อป้าหลิวเห็นว่าลั่วอิงกลับมาแล้ว เธอก็ออกมาต้อนรับอย่างดีใจ “กลับมาแล้วเหรอคะ คุณหนู แล้วทำไมถึงถือกระเป๋ามาเองล่ะคะ มาค่ะ เดี๋ยวป้าหลิวจะช่วยยกขึ้นไปข้างบนให้”


 


 


บนใบหน้าของลั่วอิงประหนึ่งมีคำว่า ‘ฉันอารมณ์เสีย’ เขียนเอาไว้ เมื่อป้าหลิวมองไปยังลั่วเซ่าเชินที่เดินตามหลังเธอเข้ามา เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น คุณชายหยอกคุณหนูแรงๆ อีกแล้วล่ะสิ ป้าหลิวช่วยไม่ได้จริงๆ เธอรีบทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหนและนำกระเป๋าของลั่วอิงขึ้นไปเก็บข้างบนทันที


 


 


“ลั่วอิง ลูกจะไม่สนใจพ่อจริงๆ เหรอ” ลั่วเซ่าเชินนั่งลงข้างๆ ลั่วอิง เธอเขยิบตัวห่างเขาออกไปอีก ริมฝีปากของเธอยกขึ้นสูง


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่รีบร้อน ก่อนจะพูดต่อ “ลูกไม่อยากคุยกับพ่อจริงๆ แล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ พ่อกะจะบอกลูกสักหน่อยว่าพ่อจะพาแม่โจวโจวกลับมาอยู่กับเราเหมือนเดิมได้ยังไง แต่ในเมื่อลูกไม่อยากฟัง ก็ลืมมันไปนะ” ลั่วเซ่าเชินลุกขึ้นยืนและเดินขึ้นไปชั้นบน


 


 


ลั่วอิงร้อนใจขึ้นมา “คุณพ่อ!”


 


 


“ครับ เรียกพ่อทำไมเหรอ” ลั่วเซ่าเชินแสร้งทำเป็นสับสนและมองไปที่เธอ


 


 


ลั่วอิงย่ำเท้าน้อยๆ อย่างหงุดหงิด เพื่อให้ถังโจวโจวกลับมาเธอจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งที่คุณพ่อเพิ่งได้ทำกับเธอไปในวันนี้ก็ได้ ลั่วอิงคิดแบบนี้ ก่อนจะอธิบายสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจของเธอออกมา


 


 


“คุณพ่อหาวิธีที่จะทำให้แม่โจวโจวกลับมาได้แล้วจริงเหรอคะ คุณพ่อขา หนูไม่อยากให้แม่โจวโจวทิ้งพวกเราไป หนูไม่อยากได้แม่ใหม่นะ!”


 


 


แม้ว่าลั่วอิงจะยังเด็ก แต่เธอก็จับใจความได้จากคำพูดที่คลุมเครือของผู้ใหญ่ เธอแค่กลัวว่าถ้าเธอปล่อยให้ถังโจวโจวคลาดสายตาอีก เธอก็อาจจะไม่ได้ถังโจวโจวกลับมาตลอดไป


 


 


เป็นเพราะเธอมีความเชื่อแบบนี้ เมื่อหวนคิดอีกครั้งก็ทำให้ลั่วอิงร้องไห้ออกมา เธอคิดเองเออเองในใจว่า ถ้าไม่ใช่เพราะแม่โจวโจว เธอก็ไม่ร้องไห้หรอก! ช่างเป็นเจ้าหญิงน้อยผู้หยิ่งผยองจริงๆ


 


 


“พ่อเคยพูดเหรอครับว่าพ่อจะหาแม่ใหม่ให้ลูก?” ลั่วเซ่าเชินไม่เข้าใจ ลั่วอิงกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเคยบอกตอนไหนว่าถังโจวโจวจะทิ้งพวกเราไป เมื่อลั่วเซ่าเชินลองคิดไปว่าในวันข้างหน้าเขาจะไม่มีถังโจวโจวอีกแล้ว จิตใจเขาพลันรู้สึกย่ำแย่ขึ้นมาทันที


 


 


ลั่วอิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แต่แม่โจวโจวอยู่ที่บ้านของคุณยายนี่คะ แล้วก่อนหน้านี้เธอก็เคยหนีไปแล้วด้วย คุณแม่ไม่ต้องการลั่วอิงแล้วแน่ๆ คุณแม่ก็เลยทำแบบนี้”


 


 


ลั่วเซ่าเชินยังไม่ทันได้อธิบายแผนการของเขาให้ลั่วอิงฟัง ลั่วอิงก็สรุปออกมาเป็นฉากๆ เขาจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ก่อน “ลั่วอิง ลูกนั่งลงก่อนนะ พ่อจะอธิบายอะไรให้ฟัง”


 


 


จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็ปลูกฝังแนวคิดที่ว่า ‘แม่โจวโจวจะไม่ทิ้งเราทุกคนไปไหน’ ไว้ในหัวของลั่วอิง ในที่สุดเธอก็วางใจ แต่สุดท้ายเธอก็ถามอีกว่า “คุณพ่อรับรองได้ไหมคะว่าแม่โจวโจวจะไม่หนีไปไหนแล้วจริงๆ”


 


 


“แน่นอนครับ!” ที่จริงแล้วลั่วเซ่าเชินเองก็กังวลใจอยู่ แต่เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีเมื่ออยู่ต่อหน้าลั่วอิง เขาจึงต้องพูดอย่างหนักแน่น


 


 


ลั่วอิงมีความสุขมาก ปัญหาใหญ่ที่อยู่ในใจของเธอช่วงนี้คลี่คลายลงแล้ว แต่เธอก็ยังมีข้อสงสัยอื่นอีกว่า “แล้วทำไมคุณพ่อถึงไม่ให้หนูอยู่ที่บ้านของคุณยายล่ะคะ หนูอยากนอนกับแม่โจวโจว!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกอิจฉามาก พ่อยังไม่ทันได้นอนกอดเธอเลย ลูกก็จะมาตัดหน้าไปเสียนี่ “ถ้าลูกอยู่ที่นั่น แล้วแม่โจวโจวจะกลับมาได้ยังไงล่ะครับ?”


 


 


เมื่อลั่วอิงคิดดูดีๆ ดูเหมือนว่ามันก็เหมาะสมแล้ว แต่ความคิดในส่วนลึกของหัวใจของลั่วเซ่าเชิน เธอก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้เลย ลั่วเซ่าเชินต้องคิดถึงลั่วอิงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเขาก็ค่อยคิดถึงตัวเอง ถ้าให้ลั่วอิงอยู่ที่นั่น แล้วเขาจะมีข้ออ้างไปหาถังโจวโจวได้อย่างไรล่ะ?


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะอยู่ที่บ้านของคุณพ่อคุณแม่ แต่ลั่วเซ่าเชินก็พาลั่วอิงไปหาเธอได้ทุกวัน ในตอนเช้าเมื่อเขามาส่งลั่วอิงที่บ้านตระกูลถัง เขาก็จะถือโอกาสกินมื้อเช้าไปด้วยกันเลย พอตกเย็น หลังจากที่เขาเลิกงาน เขาก็จะขับรถมาที่บ้านตระกูลถัง แล้วก็จะกินมื้อค่ำที่นั่น จากนั้นก็ค่อยพาลั่วอิงกลับบ้าน


 


 


เจตนาของลั่วเซ่าเชิน สมาชิกในบ้านตระกูลถังทั้งสามคนดูออก แต่ถังโจวโจวไม่ได้เอ่ยห้ามปราม คุณพ่อกับคุณแม่ถังก็ไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาทำได้แค่ปล่อยให้ลั่วเซ่าเชินทำหน้าที่ไปรับไปส่งลั่วอิง เพื่อให้เขาได้พบหน้าถังโจวโจวบ้าง


 


 


ต่อมา ฟังหยวนก็เอากระเป๋าสัมภาระของถังโจวโจวมาส่งคืนให้ที่บ้านตระกูลถัง เมื่อคุณแม่ถังเห็นท่าทางของเขา เธอก็รู้เลยว่าถังโจวโจวไปอยู่ที่บ้านของเขามา


 


 


ถังโจวโจวแนะนำฟังหยวนให้คุณแม่ถังได้รู้จัก คุณแม่ถังไม่ค่อยประทับใจในตัวของฟังหยวนมากนัก เพราะเขาเกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ถังโจวโจวหนีออกจากบ้าน แต่การแสดงออกของฟังหยวนก็ทำให้เธอประหลาดใจ


 


 


ในฐานะคนที่ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน แน่นอนว่าคุณแม่ถังดูออกว่าฟังหยวนสนใจลูกสาวของเธอ เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คุณแม่ถังก็พอเดาได้ว่าถังโจวโจวน่าจะรู้ตัวอยู่แล้ว แต่เธอก็ไม่ต้องการตอบสนองอะไร ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่รักษาสถานะเพื่อนเอาไว้


 


 


คุณแม่ถังต้อนรับฟังหยวนอย่างดีตามสมควร แล้วเนื่องจากคุณแม่ถังเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับถังโจวโจวที่สุด ฟังหยวนจึงประจบประแจงคุณแม่ถัง การยกยอปอปั้นของเขากลับส่งผลลัพธ์ในทางที่ดี คุณแม่ถังหลงคารมเขาไปเรียบร้อยแล้ว


 


 


ฟังหยวนมาในขณะที่ลั่วอิงและลั่วเซ่าเชินไม่อยู่พอดี ถังโจวโจวจะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรให้ลั่วอิงฟัง แล้วก็ยังไม่ต้องเพิ่มความขัดแย้งระหว่างเธอและลั่วเซ่าเชินได้อีกด้วย


 


 


หลังจากที่ฟังหยวนมาส่งของและนั่งอยู่ได้ไม่นาน เขาก็ออกมาจากบ้านตระกูลถัง แต่ก็ไม่รู้ว่าสวรรค์ไม่อยากให้ถังโจวโจวได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหรืออย่างไร เมื่อถังโจวโจวลงมาส่งฟังหยวนด้านล่าง ลั่วเซ่าเชินก็ขับรถเข้ามาพอดี


 


 


“อาหยวน นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ลั่วเซ่าเชินอุ้มลั่วอิงลงมาจากรถ เมื่อเขาเห็นถังโจวโจวเดินตามหลังฟังหยวนมา อารมณ์หึงหวงของเขาก็ทะลักล้น “โจวโจว คุณลงมาทำไม”


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าตัวเองยังมีความผิดอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าถามถังโจวโจวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เขาทำได้แค่เพียงพยายามระงับความหึงหวงที่แทบจะเก็บเอาไว้ไม่อยู่เท่านั้น


 


 


ฟังหยวนตอบอย่างตรงไปตรงมา “อาเชิน ฉันแค่มาเยี่ยมโจวโจว นี่ก็กำลังจะกลับแล้ว” ฟังหยวนดูออกว่าถังโจวโจวไม่อยากให้ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมา ดังนั้นเขาจึงช่วยเธอปิดบัง


 


 


ถังโจวโจวยิ้มขอบคุณฟังหยวน ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวหันไปยิ้มให้กับฟังหยวน ทั้งๆ ที่หลายวันที่ผ่านมานี้เธอเอาแต่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกใส่เขา “ที่แท้อาหยวนก็มาเยี่ยมโจวโจวนี่เอง! ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความสัมพันธ์ของพวกนายสองคนจะดีถึงขั้นนี้?”


 


 


ลั่วเซ่าเชินรอให้ถังโจวโจวอธิบายให้เขาฟัง แต่เห็นได้ชัดว่าถังโจวโจวไม่ได้คิดเลยเถิดไปถึงขั้นนั้น “ฟังหยวน คุณยังมีธุระที่ต้องไปทำอีกไม่ใช่หรือคะ คุณรีบไปเถอะค่ะ เอาไว้ครั้งหน้าฉันจะเชิญคุณมากินข้าว”


 


 


“โอเค คุณโทรหาผมก็แล้วกัน” จากนั้นฟังหวนก็หันไปมองอีกทาง “ฉันกลับก่อนล่ะ อาเชิน บ๊ายบายจ้ะ ลั่วอิง!” ฟังหยวนโบกมือให้ลั่วอิง ลั่วอิงจำได้ว่าคุณลุงคนนี้เคยซื้อกิ๊บติดผมสวยๆ ให้เธอ เธอจึงโบกมือให้เขาอย่างเป็นมิตร


 


 


ฟังหยวนเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ ทิ้งให้ลั่วเซ่าเชินจอมหึงหวงยืนอยู่ตรงนั้น ถังโจวโจวขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเขา “มาค่ะ ลั่วอิง แม่โจวโจวจะพาหนูขึ้นไปข้างบน เซ่าเชิน คุณควรไปทำงานได้แล้วนะคะ คุณไม่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่หรอก”


 


 


ถังโจวโจวพาลั่วอิงเดินไปที่บันได น่าเสียดายที่ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินไม่สบอารมณ์ ในเมื่อเขาอารมณ์เสีย เธอก็ต้องอารมณ์เสียด้วยเหมือนกัน “ใครบอกว่าผมจะไปทำงาน วันนี้ผมหยุดพัก”


 


 


ถังโจวโจวมองดูท่าทางหงุดหงิดของเขาและแสร้งทำเป็นไม่สนใจ “เรื่องของคุณสิคะ เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบก้าวเข้าไปหาถังโจวโจว ก่อนจะอุ้มลั่วอิงขึ้นมาและเดินไปพร้อมกับถังโจวโจว “เกี่ยวสิ คุณเป็นภรรยาผมนะ เกิดผมล้มละลายขึ้นมา คุณจะไม่ได้มีเวลาว่างแบบนี้”


 


 


“เซ่าเชิน อย่ามายืนหน้าด้านหน้าทนอยู่ตรงนี้ ไปทำงานได้แล้วค่ะ” ถังโจวโจวหมายจะอุ้มลั่วอิง แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ให้ ลั่วอิงเองก็กอดคอลั่วเซ่าเชินไว้แน่น เธอจำคำของลั่วเซ่าเชินได้ขึ้นใจว่าเธอต้องอยู่ข้างเขา ถังโจวโจวถึงจะกลับมา


 


 


“โจวโจว เมื่อไรคุณจะกลับไปกับผม นี่มันก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ในบ้านมีแต่ความเงียบเหงา ไม่มีสีสันเลยสักนิด คุณไม่คิดถึงผมกับลั่วอิงบ้างเลยเหรอ” ลั่วเซ่าเชินยืนขวางทางอยู่หน้าถังโจวโจว ในที่สุดเขาก็ทำให้ถังโจวโจวหยุดเดินได้


 


 


ลั่วอิงและลั่วเซ่าเชินต่างก็มองตรงมาที่เธออย่างมีความหวัง ถังโจวโจวก้มหน้าและพูดพึมพำว่า “ฉันไม่อยากกลับค่ะ”


 


 


ที่จริงแล้วลั่วเซ่าเชินได้ยินประโยคนั้น แต่เพื่อกลบเกลื่อนความเศร้า เขาจึงแกล้งทำเป็นนิ่งเฉย “โจวโจว ผมรู้ดีว่าตอนนี้คุณยังไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้ ไม่ต้องรีบนะ กว่าจะถึงปีใหม่ ยังพอมีเวลาอยู่ แต่ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องกลับไปกับผมนะ ไปครับลูก เดี๋ยวพ่อพาไปส่งที่บ้านคุณยาย”


 


 


ลั่วเซ่าเชินอุ้มลั่วอิงและก้าวเดินขึ้นบันไดไป ถึงกระนั้นเขาก็ยังหันมาตะโกนเรียกถังโจวโจวที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ช้าจังเลยคุณ! รีบขึ้นมาเร็ว เดี๋ยวลั่วอิงก็หัวเราะเยาะเอาหรอก” แต่เมื่อหันหน้ากลับมา สีหน้าของลั่วเซ่าเชินนั้นก็ซีดจาง ตอนนี้เขากับถังโจวโจวไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย 

 

 


ตอนที่ 141 ถูกวางยา

 

           เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินยังคงยิ้มออก เธอก็รู้สึกว่าเขาดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ นี่มีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างที่เธอไม่ได้อยู่ด้วยใช่ไหม? ถังโจวโจวจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ไม่ว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่พอใจเรื่องอะไร เขาก็มักจะแสดงสีหน้าออกมาให้เธอเห็นทันที


 


 


           บางครั้งที่ถังโจวโจวยังไม่ทันจะเข้าใจ ลั่วเซ่าเชินก็ไม่พอใจแล้วด้วยซ้ำ ถังโจวโจวรู้สึกอยู่หลายครั้งว่าลั่วเซ่าเชินทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ อารมณ์ของเขาแปรปรวนมาก


 


 


           แต่ตอนนี้ท่าทีของเขากลับแตกต่างออกไป เขาไม่ได้ถามถึงฟังหยวนอีก และหลังจากที่เธอบอกว่าเธอยังไม่อยากกลับไป เขาก็ยังคงยิ้มให้เธอได้ ทันใดนั้นถังโจวโจวก็เริ่มไม่แน่ใจว่าลั่วเซ่าเชินกำลังคิดอะไรอยู่


 


 


           เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินเอ่ยเร่งเธออีกครั้ง เธอก็รีบสาวเท้าเดินตามพวกเขาไป วันนี้ลั่วเซ่าเชินทำตามที่เขาพูด เขาไม่เข้าบริษัท และใช้เวลาทั้งวันกับลั่วอิงที่บ้านตระกูลถัง


 


 


 


 


           เมื่อฉินอวิ๋นรู้ว่าถังโจวโจวไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลถัง ซ้ำยังพบว่าถังโจวโจวดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสิ่นหลานอี เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรไปชั่วขณะ แต่เธอรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าเรื่องนี้จะให้เมิ่งไหวเซินรู้ไม่ได้


 


 


           ฉินอวิ๋นไม่รู้ว่าเมิ่งไหวเซินยังมีความรู้สึกที่ดีต่อเสิ่นหลานอีอยู่หรือเปล่า แต่เธอไม่สามารถรับความเสี่ยงนี้ได้ เพื่อชิงซีแล้วเธอจะให้ถังโจวโจวมีตัวตนไม่ได้ ดังนั้นเธอจะต้องทำให้ถังโจวโจวหายตัวไป หากเป็นเช่นที่เธอคาดหวังไว้ ถังโจวโจวก็จะไม่สามารถสั่นคลอนตำแหน่งและสถานะของชิงซีในตระกูลเมิ่งได้


 


 


           ฉินอวิ๋นส่งคนไปตามดูถังโจวโจวเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เธอรู้ว่าช่วงนี้ถังโจวโจวพักอาศัยอยู่ที่บ้านของตระกูลถัง และไม่ได้ออกไปไหนมาไหนสักเท่าไร เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะทำให้ถังโจวโจวออกมาจากบ้านได้อย่างไร และแล้วโอกาสนั้นก็มาถึง…


 


 


           ช่วงนี้จิตใจของหลินเหยาค่อนข้างว้าวุ่น แต่เธอเองก็รู้ว่าถังโจวโจวไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก เธอไม่อยากจะรบกวนเพื่อน แต่เธออยากจะหาคนคุยด้วย ดังนั้นเธอจึงโทรไปหาถังโจวโจว เมื่อถังโจวโจวรับสาย เธอก็หน้านิ่วคิ้วขมวดทันที


 


 


           เสียงจากปลายสายที่ดังออกมา ทำให้ถังโจวโจวรู้ได้ในทันทีว่าหลินเหยาอยู่ที่ไหน “เหยาเหยา เธอไม่ได้อยู่ที่ร้านเหล้าใช่ไหม” ทันทีที่ถังโจวโจวอาบน้ำเสร็จ เธอก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหลินเหยา


 


 


           เสียงของหลินเหยาราวกับล่องลอยแว่วเข้าหูมา “โจวโจว เธอออกมาคุยกับฉันหน่อยสิ”


 


 


           “เหยาเหยา นี่เธออยู่ที่ไหน ฉันจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้”


 


 


           หลินเหยาบอกชื่อร้าน ถังโจวโจวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและตรงไปที่นั่นทันที เมื่อถังโจวโจวไปถึง หลินเหยาก็ยังคงมีสติอยู่ แต่ก็เห็นได้ว่าเธอดื่มไปเยอะมาก และเริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้ว


 


 


           “เหยาเหยา ทำไมเธอดื่มเยอะขนาดนี้ กลับกันเถอะ!” ถังโจวโจวใช้เวลาอยู่นานมากกว่าจะหาหลินเหยาเจอ เธอนั่งอยู่ที่บาร์ ถังโจวโจวสังเกตเห็นว่ามีผู้ชายหลายคนกำลังมองมาทางนี้ และสายตาของพวกเขาก็วาววับเสียจนถังโจวโจวหวาดผวา


 


 


           ถังโจวโจวรู้สึกขนลุกเสียจนรากจะหลุดออกมาจากโคนแล้ว และที่นี่มันก็เสียงดังมากเกินไป ถังโจวโจวรู้สึกว่าเสียงดนตรีที่ดังก้องอยู่รอบๆ มันทำให้เธอหูอื้อ เธอต้องตะโกนคุยกับหลินเหยา แต่ในไม่ช้าเสียงของเธอก็จมหายไปกับความบ้าคลั่งที่อยู่รอบตัว


 


 


           ถังโจวโจวอยากจะดึงหลินเหยาขึ้นและพาเธอกลับ แต่หลินเหยายังคงดื่มไม่หนำใจ “โจวโจว ฉันไม่อยากกลับ ฉันไม่กลับ ที่บ้านนั่นมันหนาวเกินไป หนาวเสียจนเย็นยะเยือกไปหมด” หลินเหยากุมหน้าอกและพูดอย่างขมขื่น


 


 


ถังโจวโจวปล่อยมือจากเธอช้าๆ เธอรู้สาเหตุแล้ว “เหยาเหยา เธอคิดถึงพ่อกับแม่ใช่ไหม”


 


 


“ฉันไม่คิดถึงสองคนนั้นหรอก พวกเขาไม่มีค่าให้ฉันนึกถึงด้วยซ้ำ ทำไมฉันต้องไปคิดถึงพวกเขาด้วย ทำไม!” หลินเหยารีบกระดกวิสกี้ใส่ปาก ถังโจวโจวมองท่าทางของเธอ ราวกับว่าถ้าเธอไม่เมา เธอก็จะไม่เลิกดื่ม


 


 


“เหยาเหยา ใจเย็นๆ ไม่คิดก็ไม่คิด” ถังโจวโจวรู้สึกเจ็บปวด เมื่อมองดูเธอทำร้ายร่างกายตัวเองแบบนี้


 


 


           เธอไม่รู้ว่าทำไมหลินเหยาถึงคิดว่าพ่อแม่ของเธอไม่ดีอีก แต่เธอก็ไม่อยากให้หลินเหยาทำร้ายร่างกายตัวเองเพราะพวกเขา


 


 


           “โจวโจว ทำไมฉันต้องคิดถึงพวกเขาด้วย พวกเขามีครอบครัวเป็นของตัวเองอยู่แล้ว พวกเขามีลูกที่พวกเขารัก มีแค่ฉันคนเดียวที่ถูกทิ้ง ฉันจะคิดถึงพวกเขาทำไม” หลินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


 


 


           ถังโจวโจวรู้สึกว่าตอนนี้อารมณ์ของหลินเหยากำลังกระเจิดกระเจิง เธอจึงทำได้แค่เพียงจับมือของเพื่อนเอาไว้ เพื่อไม่ให้จมดิ่งไปกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์มากกว่านี้ “จ้ะ หลินเหยา ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้คิดถึงพวกเขา เรากลับกันดีกว่าไหม ถ้าเธอไม่อยากกลับบ้าน ฉันจะพาเธอไปที่บ้านของฉัน โอเคไหม”


 


 


           ถังโจวโจวประคองหลินเหยาให้ลุกขึ้น แต่เธอกลับถูกผลักออกมา “โจวโจว ฉันไม่กลับ! โจวโจว เธอต้องอยู่กับฉันที่นี่ เธอต้องดื่มเป็นเพื่อนฉัน”


 


 


           หลินเหยาเดินโซเซกลับไปนั่งที่หน้าบาร์อีกครั้ง แล้วเธอก็ตะโกนสั่งบาร์เทนเดอร์ว่า “เอาเหล้ามาให้ฉันอีกสองแก้ว!”


 


 


           บาร์เทนเดอร์รีบชงเหล้าให้เธออีกสองแก้วทันที หลินเหยาดันแก้วใบหนึ่งไปให้ถังโจวโจว “โจวโจว มา! ขอให้พวกเราห่างไกลจากผู้ชายชั่วๆ หมดแก้ว!” ถังโจวโจวไม่ได้ถือแก้ว ในขณะที่หลินเหยาเองก็ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะดื่มหรือไม่ดื่ม เธอชนแก้วกับแก้วถังโจวโจว จากนั้นเธอก็เทเหล้าเข้าไปในปาก


 


 


           ถังโจวโจวทำได้แค่มองดูหลินเหยาดื่ม เธอเห็นเพื่อนดื่มไปร้องไห้ไป ส่วนเธอก็ไม่ได้เอ่ยโน้มน้าวอะไรอีก เพราะเธอรู้ว่าหลินเหยาไม่ค่อยได้ระบายมันออกมา จึงปล่อยให้ร้องไห้ไป


 


 


           ท้ายที่สุดหลินเหยาก็ดื่มจนมึนงงไปหมด หลังจากจัดการค่าใช้จ่ายแล้ว ถังโจวโจวก็ประคองเธอออกไปด้านนอก แต่เพียงแค่ก้าวออกมาจากร้าน จู่ๆ แขนของหลินเหยาที่พาดอยู่บนไหล่ของถังโจวโจวก็ผลักถังโจวโจวออก เธอคุกเข่าอยู่ริมถนนและอาเจียนออกมา ถังโจวโจวคอยลูบหลังให้เธอ เมื่อเห็นว่าเธออาเจียนหนักขนาดนี้ ถังโจวโจวก็ยิ่งจนปัญญา


 


 


           “ฉันบอกแล้วว่าอย่าดื่มหนัก ทีนี้รู้ซึ้งแล้วหรือยังล่ะ” เมื่อลมเย็นๆ พัดผ่านมา ถังโจวโจวก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอผิดปกติไป ทำไมจู่ๆ เธอถึงได้รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาแบบนี้


 


 


           เธอคิดว่าเป็นเพราะเธอเพิ่งออกมาจากร้านเหล้า อุณหภูมิมันแตกต่างกัน แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ว่า ถึงในร้านจะร้อนกว่า แต่เมื่อด้านนอกก็อากาศเย็นซะขนาดนี้ เธอไม่น่าจะรู้สึกร้อนได้นี่!


 


 


           ตอนนี้สัญชาตญาณของถังโจวโจวสั่งให้เธออยู่นิ่งๆ เธอต้องการจะรับลมเย็นๆ เพื่อที่ตัวเองจะได้รู้สึกดีขึ้น


 


 


           เธอเปิดปกเสื้อออกเล็กน้อย มันก็ได้ผลจริงๆ แต่ถังโจวโจวก็พบว่ามันยังคงผิดปกติอยู่ ลมเย็นพัดใส่เธอแท้ๆ แต่เธอกลับรู้สึกว่าใบหน้าร้อนวูบจนหน้าแดง ถังโจวโจวสัมผัสใบหน้าของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่ามันร้อน เธอจึงรีบตะโกนเรียกหลินเหยาที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ “เหยาเหยา เรารีบกลับกันเถอะ!”


 


 


           เมื่อถังโจวโจวรู้ว่ามันผิดปกติจริงๆ เธอก็รีบดึงหลินเหยาขึ้นมา และเตรียมที่จะเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน แต่เธอดึงหลินเหยาไม่ขึ้น พอเรียกหลินเหยาก็ไม่ตอบแล้ว ถังโจวโจวรู้สึกพะว้าพะวังมากขึ้น และทันทีที่เธอกังวล เธอก็รู้สึกเหมือนมีกองไฟสุมอยู่ในท้องของเธอ


 


 


           ถังโจวโจวอดทนต่อไปไม่ไหว เธอไม่รู้ว่าเธอเผลอกินอะไรที่ไม่ควรกินเข้าไปหรือ? เธอนึกย้อนกลับไปว่าเธอกินอะไรไปเมื่อครู่นี้ เธอก็แค่จิบน้ำนี่ น้ำแก้วนั้นใส่อะไรไว้หรือ? ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ ถังโจวโจวเริ่มตื่นตระหนก


 


 


จิตใต้สำนึกของเธอสั่งให้เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วค้นเบอร์ของลั่วเซ่าเชิน หลังจากที่ต่อสายติดแล้ว ถังโจวโจวก็พูดใส่โทรศัพท์ทันทีว่า “เซ่าเชิน คุณรีบมาช่วยฉันหน่อย ฉันถูกวางยา คุณรีบมาช่วยฉันนะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินดีใจที่ได้รับสายโทรศัพท์จากถังโจวโจว แต่ในขณะที่เขากำลังจะพูด เขาก็ได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของถังโจวโจวที่ขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน “โจวโจว คุณใจเย็นๆ นะ ค่อยๆ พูด ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”


 


 


ถังโจวโจวบอกตำแหน่งปัจจุบันของเธอ ลั่วเซ่าเชินปลอบเธอว่า “คุณหาที่นั่งก่อนนะ ผมจะรีบไป”


 


 


หลังจากที่วางสายไป ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนว่าฤทธิ์ของยามันแรงขึ้น ส่วนหลินเหยากลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ถังโจวโจวก็ไม่กล้าพอที่จะทิ้งหลินเหยาไว้ตรงนี้ เธอพยุงหลินเหยาขึ้นมาและเดินไปทางหนึ่ง


 


 


เธอเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าวก็มีคนมาขวางหน้าเธอไว้ ผู้ชายสองคนนั้นเอ่ยปากแทะโลมทันทีว่า “แหม วันนี้ช่างโชคดีจังเลย ได้เจอสาวสวยตั้งสองคนแน่ะ”


 


 


“ใช่เลย ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะได้มีความสุขกันนะ” อีกคนหนึ่งรีบรับคำ


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกเพียงว่ามีเงาของใครวูบไหวอยู่ตรงหน้า เธอส่ายหัวอย่างหนักและเธอก็รู้สึกดีขึ้น แต่มันก็แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อชายสองคนนั้นเห็นว่าถังโจวโจวและหลินเหยาไม่พูดอะไรเลย พวกเขาก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีก และหมายจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับถังโจวโจว


 


 


ถังโจวโจวยังคงมีสติอยู่ เธอรู้ว่าถ้ามีคนรู้ว่าเธอถูกวางยา และลั่วเซ่าเชินก็ยังมาไม่ถึง เธอกับหลินเหยาวิกฤตแน่แล้ว


 


 


“พวกนายจะทำอะไร!” ถังโจวโจวตะโกนเสียงดัง


 


 


ชายสองคนนั้นสะดุ้งตกใจกับเสียงตะโกนของเธอ แต่พวกเขาก็เรียกสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว “ฉันก็นึกว่าเป็นอะไร ที่ไหนได้ ถูกวางยานี่เอง!”


 


 


พวกเขาสองคนมักจะผ่านมาแถวนี้ สถานการณ์อย่างถังโจวโจวพวกเขาเจอมาเยอะแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนวางยาไว้ แต่ตอนนี้พวกเธอก็เสร็จพวกเขาแล้วแหละ


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าชายสองคนตรงหน้ารู้ความจริงแล้ว เธอก็ยิ่งเผยท่าทีอ่อนแอไม่ได้ เพราะกลัวว่าสองคนนั้นจะทำอะไรเกินเลยขึ้นมา “ฉันบอกพวกนายเอาไว้เลยนะ! ถ้าพวกนายทำอะไรฉันสองคน ฉันไม่ปล่อยพวกนายไว้แน่!”


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะวางมาดตบตา แต่ในใจของเธอก็กังวลมาก ทำไมเซ่าเชินยังไม่มาอีก หลินเหยาก็ไม่ขยับตัวเลย นี่เป็นลมไปแล้วหรือเปล่า? แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะทีนี้


 


 


โชคดีที่หลินเหยาไม่ได้หมดสติเสียทีเดียว “โจวโจว ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกัน” เธอเกาะอยู่บนบ่าของถังโจวโจวและมองดูสภาพแวดล้อมในตอนนี้ เหมือนว่าตรงหน้าเธอจะมีผู้ชายสองคน เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น?


 


 


“เหยาเหยา ในที่สุดเธอก็ตื่นแล้ว!” ถังโจวโจวเกือบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นเธอก็กระซิบเล่าเรื่องการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของชายสองคนนี้ให้หลินเหยาฟัง


 


 


หลินเหยากล้าหาญขึ้นมาทันที “นายสองคนน่ะ คิดจะหาเรื่องพวกฉันเหรอ รนหาที่ตายหรือไง!”


 


 


ชายสองคนนั้นมองหลินเหยาด้วยความสงสัย ผู้หญิงคนนี้มีฝีมือติดตัวหรือยังไง? พวกเขาไม่เคยได้ยินผู้หญิงคนไหนพูดแบบนี้มาก่อนเลย!


 


 


ถังโจวโจวแอบดีใจอยู่ลึกๆ เมื่อเห็นหลินเหยาสามารถหยุดพวกเขาได้ครู่หนึ่ง แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าชายสองคนนั้นกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย “เอาละ อย่ามัวพูดไร้สาระอยู่เลย พาพวกเธอไปจัดการซะ ลากไปในตรอกเล็กใกล้ๆ นี้ก็ได้ ไม่มีใครสนใจพวกเธอหรอก”


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกตกใจกับคำพูดของพวกเขาที่เหมือนทำแบบนี้กันเป็นเรื่องธรรมดา สองคนนี้คงไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ใช่ไหม? ตอนนี้ถังโจวโจวกับหลินเหยาไม่ได้อยู่ติดกับถนนใหญ่ พวกเธอเพิ่งเดินมาได้ไม่ไกลนัก ถังโจวโจวเห็นว่าพวกเขาสองคนค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้พวกเธอมากขึ้น


 


 


“เซ่าเชิน! คุณมาแล้ว คุณต้องจัดการสั่งสอนสองคนนี้นะ!” แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ชายสองคนนั้นหันหลังกลับไปมอง ถังโจวโจวจับมือหลินเหยาและพาเธอออกวิ่งสุดฝีเท้า เมื่อชายสองคนหันหน้ากลับมา พวกเขาก็พบว่าผู้หญิงเจ้าเล่ห์ทั้งสองคนวิ่งหนีไปแล้ว พวกเขาจะปล่อยพวกเธอไปง่ายๆ ได้อย่างไร พวกเขาวิ่งตามพวกเธอไปทันที


 


 


“กล้ามามีลูกเล่นกับพวกฉัน คอยดูก็แล้วกันว่าพวกฉันจะจัดการกับพวกเธอยังไง!”


 


 


ถังโจวโจวถูกวางยาอยู่ เดิมทีร่างกายของเธอก็อ่อนล้าอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าสองคนนั้นตามมาข้างหลังอีก เธอก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น


 


 


เมื่อหลินเหยาเจอเรื่องแบบนี้ เธอก็สร่างเมาในทันที ใจของเธออยากจะเร่งความเร็วกว่านี้ แต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย ในใจของเธอตอนนี้ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น


 


 


“โจวโจว ตกลงว่าเรามีปัญหากับสองคนนั้นได้ยังไงนะ?” หลินเหยารู้สึกว่าในความทรงจำของเธอขาวโพลน เธอนึกออกเพียงว่าเธอดื่มเหล้าอยู่ในร้าน จากนั้นถังโจวโจวก็มา และหลังจากนั้นภาพก็ตัดหายไปเลยกระทั่งตอนนี้ 

 

 


ตอนที่ 142 พาถังโจวโจวกลับบ้าน

 

 


 


 


           ตอนนี้ถังโจวโจวไม่มีเวลาอธิบายให้หลินเหยาฟัง เธอแค่รู้สึกว่าวันนี้เธอกับหลินเหยาอาจจะมีเทพเจ้าแห่งความซวยติดตามมาด้วย “เหยาเหยา อย่ามัวแต่ถามอยู่เลย รีบวิ่งก่อน พวกนั้นจะตามมาทันแล้ว” 


 


 


           ถังโจวโจวและหลินเหยาพากันวิ่งหนีไปข้างหน้า แต่แรงของผู้หญิงหรือจะสู้แรงของผู้ชายได้ ในไม่ช้าอันธพาลสองคนด้านหลังก็ตามมาทัน พวกเขาหอบหายใจอย่างหนักพลางยืนล้อมหลินเหยาและถังโจวโจวเอาไว้ “ดูสิว่าพวกเธอสองคนจะหนีไปไหนได้อีก!” 


 


 


           พวกเขาสองคนไล่ตามพวกเธอมานาน ลำคอก็แห้งผากไปหมด ความคิดลามกอนาจารที่เคยมีก่อนหน้านี้ก็ต้องพับเก็บไปก่อน ตอนนี้พวกเขาแค่อยากจะสั่งสอนถังโจวโจวและหลินเหยา จากนั้นพวกเขาอยากจะทำอะไรต่อก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพวกเขาพาไป 


 


 


           ชายทั้งสองคนถูมือพลางเดินเข้ามาใกล้พวกเธอ ถังโจวโจวและหลินเหยากุมมือกันแน่น “เหยาเหยา เราจะทำยังไงต่อดี” ทำไมเซ่าเชินยังไม่มาอีก? 


 


 


           “โจวโจว ทำไงดีล่ะ” แม้แต่หลินเหยาที่ในเวลาปกติมักจะเข้มแข็ง ตอนนี้เธอก็หมดหนทาง ในแง่ของการต่อสู้ พวกเธอไม่มีอะไรได้เปรียบคนพวกนี้เลย 


 


 


           ถังโจวโจวเองก็มืดแปดด้าน เธอได้แต่ภาวนาให้ลั่วเซ่าเชินรีบมาเร็วๆ เมื่อเธอเห็นชายคนหนึ่งยกมือขึ้น จิตใต้สำนึกของเธอก็สั่งให้เธอหลับตาลง แต่เธอไม่เห็นว่าฝ่ามือของเขาจะกระทบบนใบหน้าของเธอเลย ทันทีที่ลืมตาเธอก็พบว่ามือของชายคนนั้นถูกจับไว้แล้ว 


 


 


           “เซ่าเชิน!” ถังโจวโจวมองลั่วเซ่าเชินที่ยืนอยู่ตรงหน้าราวกับเห็นพระเจ้า เธอดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา 


 


 


           หลินเหยาถอนหายใจยาว ในที่สุดเจ้าชายขี่ม้าขาวก็มาถึง เธอรู้สึกได้ว่าสมองของเธอบวมเป่งไปหมด เธออยากจะหาที่นั่งพักสักหน่อยแล้ว 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินเอาชนะอันธพาลสองคนนั้นได้ด้วยมือเปล่าและใช้เวลาเพียงไม่นาน ลั่วเซ่าเชินจัดการคนพวกนั้นอย่างไรถังโจวโจวและหลินเหยาก็ไม่ทันได้เห็น หลังจากกำจัดคนพวกนั้นไปได้แล้ว ลั่วเซ่าเชินก็รีบกลับมาหาถังโจวโจว 


 


 


           หลินเหยาผ่อนคลายลงมาก แล้วฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ส่วนทางด้านของถังโจวโจว ยาเริ่มออกฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็เริ่มสูญเสียการควบคุมตัวเองแล้ว 


 


 


           เป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอกำลังตกอยู่ในอันตราย สมาธิของถังโจวโจวจึงจดจ่ออยู่กับการเอาตัวรอด ทำให้เธอลืมเรื่องที่เธอถูกวางยาไปชั่วขณะ ตอนนี้เมื่อเธอผ่านสถานการณ์นั้นมาแล้ว และมีลั่วเซ่าเชินอยู่ด้วย จิตใจของถังโจวโจวจึงเริ่มอ่อนแรงจนเกือบจะถูกฤทธิ์ยาครอบงำ 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินกอดถังโจวโจวไว้ เขาพบว่าเธอผิดปกติไปจริงๆ ตัวของเธอร้อนดั่งไฟ “โจวโจว คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” 


 


 


           “เซ่าเชิน ฉันถูกวางยา” เมื่อถังโจวโจวเอ่ยจบ เธอก็รีบงับริมฝีปาก เธออยากจะโถมตัวใส่ลั่วเซ่าเชินเป็นอย่างมาก เธอต้องการให้เขากอดเธอ จูบเธอ แต่ตอนนี้มีหลินเหยาอยู่ด้วย เธอจึงไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ถังโจวโจวกัดปากไว้แน่น 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินมองดูหลินเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็มองไปที่ถังโจวโจวที่ถูกวางยา เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหวังหวา เขาสั่งให้หวังหวาไปรอที่บ้านเพื่อพาหลินเหยาไปส่ง ส่วนเขาก็ช้อนตัวอุ้มถังโจวโจวขึ้น เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาจะทิ้งหลินเหยาไว้ เธอก็รีบพูดว่า “เหยาเหยาล่ะคะ” 


 


 


           “ผมรู้ ผมจะอุ้มคุณไปส่งที่รถก่อน จากนั้นก็ค่อยไปประคองเธอมา คุณทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว” ลั่วเซ่าเชินวางถังโจวโจวไว้ที่เบาะข้างคนขับ ก่อนจะกลับไปประคองหลินเหยามาขึ้นรถ 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินขับรถอย่างรีบเร่ง เมื่อมองดูถังโจวโจวที่นั่งอยู่บนรถด้วยความทรมาน เขาก็ยิ่งขับรถเร็วขึ้นอีก พวกเขามาถึงบ้านในไม่ช้า หวังหวารออยู่ที่หน้าประตูบ้านแล้ว ลั่วเซ่าเชินโยนกุญแจรถให้เขา ก่อนที่เขาจะตรงเข้าไปอุ้มถังโจวโจวและเดินเข้าไปในบ้าน 


 


 


           ถังโจวโจววาดแขนโอบคอลั่วเซ่าเชิน แต่ขณะเดียวกันเธอก็พยายามยับยั้งความปรารถนาของตัวเอง ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าตอนนี้เธออาการไม่ค่อยดี ดังนั้นเขาจึงรีบก้าวขึ้นไปชั้นบน เมื่อเขาอุ้มเธอมาถึงห้องนอน เขาก็วางถังโจวโจวลงบนเตียง ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินกำลังจะยืดตัวขึ้น ถังโจวโจวก็คว้ามือเขาเอาไว้ “เซ่าเชิน อย่าไปค่ะ!” 


 


 


“โอเคๆ ผมไม่ไป” ลั่วเซ่าเชินลูบมือเธอเบาๆ เพื่อยืนยันคำพูด เมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเอง เขาก็รู้เลยว่าเธอใกล้จะหมดความอดทนแล้ว เขาพรมจูบลงไปบนใบหน้าของเธอ 


 


 


ถังโจวโจวรีบหันหน้ามาหาเขาในทันที ลั่วเซ่าเชินมองดูเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข ดูเหมือนว่าเรื่องที่ถังโจวโจวถูกวางยาแบบนี้ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน อย่างน้อยเธอก็ให้ความร่วมมือมากกว่าเดิม 


 


 


ลั่วเซ่าเชินชอบท่าทางที่ถังโจวโจวเป็นอยู่ในตอนนี้ ส่วนสติของถังโจวโจวนั้นก็เริ่มเลือนรางแล้ว เธอรู้แค่เพียงว่าลั่วเซ่าเชินสามารถทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะลดระยะห่างระหว่างเขากับเธอ เธออยากจะแนบลำตัวทั้งหมดลงไปบนตัวของเขา 


 


 


แขนทั้งสองข้างของลั่วเซ่าเชินค้ำยันกับเตียงเพื่อรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวเขาเองเอาไว้ เขาใจไม่แข็งพอที่จะทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไปที่ถังโจวโจว เขาถอยออกมาเล็กน้อย เพื่อจะดูว่าถังโจวโจวสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง เดาว่านี่น่าจะเป็นความคิดที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของชายคนหนึ่งมานาน 


 


 


ถังโจวโจวขัดใจเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่จะทำให้เธอรู้สึกดีมันหายไป เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอก็เห็นลั่วเซ่าเชินคร่อมตัวเธออยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไร เธอเริ่มกระวนกระวาย “เซ่าเชินคะ ฉันร้อน มันอึดอัด!” 


 


 


เธอนึกว่าถ้าเธอบอกแบบนี้แล้วลั่วเซ่าเชินจะเข้าใจเธอ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ขยับตัวสักนิด ถังโจวโจวรู้สึกอัดอั้นและทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ถังโจวโจวพลิกตัวขึ้นมาพร้อมกับกดลั่วเซ่าเชินลงบนเตียงและนั่งทับอยู่บนตัวเขา 


 


 


ในใจของลั่วเซ่าเชินยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข แต่เขากลับตีหน้าซื่อถามด้วยความสงสัย “โจวโจว นี่คุณจะทำอะไร” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาแกล้งทำเป็นโง่ เธอก็บ่นพึมพำว่า “คนนิสัยไม่ดี!” 


 


 


เธอก้มลงไปจูบปากเขา ถังโจวโจวไม่เคยเป็นฝ่ายจู่โจมแบบนี้มาก่อน แม้ว่าภายในใจของเธอจะร้อนรุ่ม แต่ปากของเธอก็แค่แตะอยู่บนริมฝีปากของเขาเท่านั้น ราวกับว่าเธอไม่เคยจูบเขามาก่อนเลย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินจำเป็นต้องกลับมาเป็นฝ่ายรุกแทน เขาพูดออกมาเบาๆ ว่า “ยายบื้อ” ด้วยการชักจูงของลั่วเซ่าเชิน ในที่สุดถังโจวโจวก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีไปไว้ที่เขาคนเดียว 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน ถังโจวโจวก็อิ่มเอมเปรมใจ ส่วนลั่วเซ่าเชินที่ช่วงนี้ไม่ได้ใกล้ชิดกับถังโจวโจวเลย ไหนๆ วันนี้ก็สบโอกาสดี เขานึกอยากจะทำสงครามรักกับเธออีกสักหลายๆ รอบ แต่ก็ต้องหงุดหงิดอยู่บ้างเมื่อเห็นว่าถังโจวโจวดูเหมือนจะไม่ได้สติแล้ว ลั่วเซ่าเชินจึงทำได้แค่หยุดความต้องการของตัวเองเอาไว้ชั่วคราว เขาเดินเข้าไปเปิดน้ำร้อนในห้องน้ำ จากนั้นก็อุ้มถังโจวโจวเข้าไปข้างในอ่างอาบน้ำ เขานั่งลงข้างๆ ถังโจวโจวและช่วยเธอทำความสะอาดร่างกาย จากนั้นก็ให้เธอแช่น้ำร้อนสักพัก 


 


 


“อือ…” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวขยับตัว ความคิดที่เขาหยุดพักเอาไว้ก็ค่อยๆ ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง มือไม้ของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข 


 


 


“โจวโจว คุณชอบไหม” ลั่วเซ่าเชินจงใจถามถังโจวโจวว่ารู้สึกอย่างไรในตอนนี้ เขารู้ว่าถังโจวโจวมักจะเขินอายกับเรื่องแบบนี้ แต่เขาก็อยากให้ถังโจวโจวพูดถึงมัน 


 


 


ถังโจวโจวปิดปากแน่น ไม่ยอมพูด ลั่วเซ่าเชินก็จัดการกับเธอต่อไป “โจวโจว คุณจะยอมกลับมาอยู่บ้านได้หรือยัง” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวได้ยินลั่วเซ่าเชินถามถึงเรื่องนี้ เธอก็ถลึงตามองเขา ก่อนจะหยุดคุยกับเขาไปเสียดื้อๆ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่กลัว ตอนนี้คนที่ถูกวางยาคือหญิงสาวร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา เขามีความอดทนมากพอที่จะเสียเวลากับเธอ วันนี้ลั่วเซ่าเชินจะต้องทำให้ถังโจวโจวเปิดปากพูดออกมาให้ได้ 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวอยากจะฝืนทนเอาไว้ แต่ทำไมร่างกายของเธอถึงไม่เชื่อฟังเลย? ในที่สุดเธอก็เอ่ยขอความเมตตาจากลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชิน ฉันยอมแล้วค่ะ เอาละ คุณอย่าทรมานฉันอีกเลย” 


 


 


ถังโจวโจวคิดในใจว่าเธอก็แค่พูดไปอย่างนั้น เดี๋ยวค่อยกลับคำเอาทีหลัง แค่นี้ลั่วเซ่าเชินก็ทำอะไรเธอไม่ได้แล้ว 


 


 


เห็นได้ชัดว่าถังโจวโจวไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ลั่วเซ่าเชินเหนือชั้นกว่าเธอมาก ลั่วเซ่าเชินเอื้อมมือไปกดโทรศัพท์ที่วางอยู่ด้านข้างพลางลอบยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กลับไปที่ ‘การปราบปราม’ ถังโจวโจวอีกครั้ง ในตอนนี้ถังโจวโจวไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น แค่จะรับมือกับลั่วเซ่าเชินเธอยังทำไม่ได้เลย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหมดที่มีตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาจัดการกับถังโจวโจวเสียจนเธอเหนื่อยอ่อนอย่างมาก เช้าวันรุ่งขึ้น ลั่วเซ่าเชินตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์แจ่มใส ส่วนถังโจวโจวยังคงนอนอุตุอยู่บนเตียง ใบหน้าสีแดงระเรื่อของเธอกำลังพริ้มหลับอย่างสบายใจ เธอดูน่ารักเอามากๆ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินห่มผ้าห่มให้เธอ เมื่อลงมาที่ชั้นล่าง ป้าหลิวก็เตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว ลั่วอิงกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร เมื่อเธอเห็นสีหน้าที่มีความสุขของลั่วเซ่าเชิน เธอก็ถามอย่างประหลาดใจ “คุณพ่อขา วันนี้คุณพ่ออารมณ์ดีเหรอคะ” 


 


 


“ใช่น่ะสิครับ!” ชายหนุ่มที่กินอิ่มนอนหลับก็จะพูดดีแบบนี้แหละ 


 


 


ลั่วอิงไม่รู้หรอกว่าทำไมวันนี้ลั่วเซ่าเชินถึงแตกต่างไปจากทุกวัน ป้าหลิวเองก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน เมื่อวานตอนที่ลั่วเซ่าเชินกลับมา เธอเข้านอนไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นถังโจวโจว เธอก็เลยไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ลั่วเซ่าเชินถึงได้อารมณ์ดีมากขนาดนี้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยังไม่ได้คิดจะบอกใครว่าถังโจวโจวอยู่ที่บ้านแล้ว ถ้าลั่วอิงรู้เข้า เธอจะต้องเข้าไปรบกวนถังโจวโจวอย่างแน่นอน แต่เขาอยากให้ถังโจวโจวนอนหลับพักผ่อนให้มากๆ ก่อน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินตัดสินใจไม่เอาเรื่องคนที่วางยาถังโจวโจว คนผู้นั้นโชคดีจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชินกำลังอารมณ์ดี เรื่องนี้ก็คงจะไม่จบง่ายๆ อย่างนี้แน่ 


 


 


เมื่อลั่วอิงทานข้าวเสร็จ เธอก็เห็นว่าลั่วเซ่าเชินยังไม่มีทีท่าว่าจะไปบ้านคุณพ่อคุณแม่ถัง เธอจึงถามว่า “คุณพ่อคะ วันนี้เราไม่ไปบ้านคุณยายกันเหรอคะ” 


 


 


“ไม่ไปครับ วันนี้เราจะอยู่บ้าน” ถังโจวโจวนอนอยู่ข้างบนแล้ว เขาจะเสียเวลาไปที่บ้านตระกูลถังอีกทำไม! 


 


 


… 


 


 


ฉินอวิ๋นไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรมากนักเมื่อได้ยินว่าเรื่องนั้นล้มเหลว เธอแค่สั่งให้คนคนนั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก่อน เพราะกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะตามหาจนเจอแล้วมาเอาเรื่องถึงบ้าน เมื่อเทียบกับเมิ่งชิงซีแล้ว ฉินอวิ๋นก็ยังคงเหนือชั้นกว่าลูกสาวมาก 


 


 


แต่ฉินอวิ๋นก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วโอกาสดีๆ แบบนี้ก็หลุดลอยไป ครั้งหน้ากว่าเธอจะมีโอกาสแบบนี้อีกก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร แล้วในครั้งนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือเปล่า? 

 

 

 


ตอนที่ 143 หนูเป็นลูกแท้ๆ ของคุณพ่อหรือเปล่า

 

           เมื่อถังโจวโจวตื่นขึ้นมาก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เธอรู้สึกราวกับว่าร่างกายตัวเองถูกรถชนมา แค่ขยับนิดเดียวก็เจ็บแล้ว ถังโจวโจวปรายตามองดูภาพห้องนอนที่คุ้นเคย เหมือนกับว่าเธอแค่ฝันไปที่เธอได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเปิดประตูห้องเข้ามาและเห็นว่าถังโจวโจวตื่นแล้ว เขารีบเข้าไปประคองให้เธอลุกขึ้นนั่ง “คุณเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”


 


 


ถังโจวโจวมองดูสีหน้าที่อิ่มเอมใจของเขา พอมองนานเข้าเธอก็รู้สึกโมโห แต่เธอก็เก็บงำความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่แสดงมันออกมา ลั่วเซ่าเชินกำลังอารมณ์ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจท่าทางไม่พอใจของเธอ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ชายหนุ่มที่กินอิ่มนอนหลับมักจะมองทุกอย่างดีไปหมดแม้ในสถานการณ์แบบนี้


 


 


“คุณน่าจะหิวแล้วแน่ๆ เดี๋ยวผมให้ป้าหลิวยกอาหารขึ้นมาให้” ลั่วเซ่าเชินเกลี่ยผมที่หล่นลงมาให้ถังโจวโจว แต่ถังโจวโจวกลับเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เต็มใจที่จะรับความห่วงใยจากเขา


 


 


“ฉันจะกลับแล้วค่ะ”


 


 


สีหน้าของลั่วเซ่าเชินเรียบตึงในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “คุณจะกลับไปไหน คุณจำไม่ได้หรือว่าเมื่อวานคุณพูดอะไรไว้”


 


 


ถังโจวโจวเสียความมั่นใจ เดิมทีเธอจำเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว แต่เมื่อลั่วเซ่าเชินเอ่ยออกมา เธอก็นึกออกทันที เธอก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร


 


 


“ถ้าคุณจำได้ วันหลังก็อย่าพูดแบบนี้อีก” ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่ได้อยากบีบบังคับถังโจวโจวด้วยวิธีนี้ เพียงแต่ลั่วเซ่าเชินทนรับพฤติกรรมแข็งข้อของเธอไม่ไหวอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ไม้แข็งแบบนี้


 


 


ทันทีที่ถังโจวโจวคิดได้ว่าเขาไม่มีหลักฐาน เธอก็พูดอย่างถือไพ่เหนือกว่า “ฉันเคยพูดแบบนั้นด้วยหรือคะ ทำไมฉันจำไม่ได้ล่ะ?”


 


 


ลั่วเซ่าเชินหยิบโทรศัพท์ออกมา “ผมรู้ว่าคุณจะต้องพูดแบบนี้ ผมก็เลยเตรียมเอาไว้แล้ว”


 


 


เมื่อเขาเปิดไฟล์เสียงที่บันทึกไว้ เสียงแหบพร่าของลั่วเซ่าเชินก็ดังออกมา ‘โจวโจว คุณชอบไหม’


 


 


‘โจวโจว คุณจะยอมกลับมาอยู่บ้านได้หรือยัง’


 


 


หลังจากนั้นน้ำเสียงอันมีเสน่ห์ของถังโจวโจวก็ดังขึ้น ‘เซ่าเชิน ฉันยอมแล้วค่ะ เอาละ คุณอย่าทรมานฉันอีกเลย’


 


 


ถังโจวโจวเขินจนใบหน้าแดงก่ำ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนี้ เขามีไฟล์เสียงเก็บไว้ด้วย! เมื่อเธอนึกถึงวิธีการที่ลั่วเซ่าเชินเลือกใช้กับเธอเมื่อวานนี้ ถังโจวโจวก็อยากจะกัดคอเขาแรงๆ เพื่อเป็นรางวัลแด่ความกำเริบของเขา


 


 


“ชัดเจนนะ? คุณเป็นคนพูดเอง คุณคงไม่คิดจะผิดคำพูดหรอกใช่ไหม” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นสีหน้าเรียบเฉยของถังโจวโจว เขาก็ไม่รู้สึกกังวลใจ อีกเดี๋ยวเธอก็คิดได้เอง


 


 


“ฉันไม่ผิดคำพูดหรอกค่ะ” คำทุกคำที่ถังโจวโจวพูดออกมาและรอยยิ้มที่แสนสวยงามของเธอ ทำให้ลั่วเซ่าเชินรู้สึกหวาดระแวง เธอคงไม่ได้จะทรมานอะไรเขาอีกใช่ไหม? ลั่วเซ่าเชินรู้สึกกังวลอยู่ในใจ


 


 


ลั่วอิงได้รับมอบหมายจากป้าหลิวให้ขึ้นมาเรียกลั่วเซ่าเชินลงไปกินข้าว เมื่อลั่วอิงวิ่งไปที่ห้องหนังสือ เธอก็ไม่พบใครในนั้น เธอแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะบ่นพึมพำว่า “ทำไมคุณพ่อไม่อยู่ที่นี่ล่ะ หรือว่าอยู่ที่ห้องนอน?”


 


 


เมื่อเห็นว่าบานประตูแง้มเปิดอยู่ ลั่วอิงก็ผลักเข้าไปและพูดด้วยเสียงอันดังว่า “คุณพ่อขา ทานข้าวได้แล้วค่ะ!”


 


 


ถังโจวโจวรีบซ่อนตัวเข้าไปในผ้าห่มเมื่อเธอได้ยินเสียงของลั่วอิง ตอนนี้เธอยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย เธอไม่สามารถให้ลั่วอิงเห็นเธอในสภาพนี้ได้


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวคลุมตัวเรียบร้อยแล้ว เขาก็กำลังจะหันไปหยุดลั่วอิง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าลั่วอิงจะไวถึงเพียงนี้ เขายังไม่ทันได้ออกไปห้าม เธอก็เข้ามาถึงข้างในแล้ว “แม่โจวโจว! ทำไมคุณแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ?!”


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงตกใจขนาดนี้ เธอก็หันไปมองลั่วเซ่าเชิน เธอเห็นลั่วเซ่าเชินลูบปลายจมูก เห็นได้ชัดว่าท่าทีเขามีพิรุธ เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าลั่วเซ่าเชินยังไม่ได้บอกลั่วอิงว่าเธออยู่ที่นี่แล้ว เมื่อครู่เธอกำลังคิดอยู่เลยว่า ถ้าลั่วอิงรู้ว่าเธอกลับมาแล้ว มีหรือที่จนป่านนี้จะยังไม่มาหาเธอ? สาเหตุมันอยู่ตรงนี้นี่เอง!


 


 


“ลั่วอิง พอแล้วลูก แม่โจวโจวกำลังพักผ่อน เราลงไปข้างล่างกันก่อนดีกว่านะ”


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นแก้มที่แดงระเรื่อของถังโจวโจว เธอก็ไม่เชื่อคำพูดที่ไร้สาระของลั่วเซ่าเชิน “คุณพ่อนิสัยไม่ดี! คุณพ่อไม่ยอมบอกหนูว่าแม่โจวโจวกลับมาแล้ว”


 


 


‘มิน่าล่ะ วันนี้คุณพ่อถึงไม่ไปบ้านคุณยาย’ เธอนึกว่าแม่โจวโจวทำให้คุณพ่อเสียใจ เขาก็เลยไม่อยากไปแล้ว ‘คุณพ่อนิสัยเสียจริงๆ!’ ลั่วอิงเบ้ปากสูง ราวกับว่าลั่วเซ่าเชินเป็นหนี้เธออยู่ห้าล้านหยวน


 


 


ลั่วเซ่าเชินกระแอมไอ “ถ้าพ่อบอกลูกก่อน ลูกก็จะขึ้นมาหาแม่โจวโจวใช่ไหม แล้วถ้าลูกขึ้นมา รู้ไหมว่าจะยิ่งรบกวนการพักผ่อนของคุณแม่?”


 


 


เมื่อลั่วอิงคิดตาม ที่ลั่วเซ่าเชินพูดมาเธอก็เห็นด้วย แต่เธอก็ไม่สามารถยกโทษให้กับพฤติกรรมของลั่วเซ่าเชินได้ “ถ้าคุณพ่อบอกหนูดีๆ หนูจะขึ้นมากวนแม่โจวโจวทำไมล่ะคะ แต่นี่คุณพ่อไม่ยอมบอกหนู วันหลังมีอะไรหนูจะไม่ช่วยคุณพ่อแล้ว!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่ายิ่งนานวันเข้าเธอยิ่งเอาแต่ใจ มิหนำซ้ำครั้งนี้ยังขู่กรรโชกเขาอีก “โอเค ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าที่พ่อกับแม่โจวโจวออกไปข้างนอก ลูกก็ไม่ต้องไป เพราะไม่ว่ายังไงคนที่ลูกชอบในตอนนี้ก็ไม่ใช่พ่ออยู่ดี” ลั่วเซ่าเชินเงยหน้ามองถังโจวโจวและไม่ได้ปรายตามองไปที่ลั่วอิงอีก


 


 


ลั่วอิงรู้สึกน้อยใจ มือเล็กๆ ของเธอจับชายเสื้อของลั่วเซ่าเชินเอาไว้ แต่เธอก็กลัวว่าเขาจะยังโกรธอยู่ เธอจึงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเธอเปียกชื้น ด้วยกลัวว่าเธอจะเสียของที่ล้ำค่าที่สุดของเธอไป


 


 


ถังโจวโจวกลอกตาเมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่อย่างลั่วเซ่าเชินยังจะทะเลาะกับเด็กตัวเล็กๆ อย่างลั่วอิงได้ “ลั่วอิง ไม่ต้องไปสนใจคุณพ่อนะคะ คุณพ่อเขาพูดเล่น แต่ถ้าคุณพ่อไม่พาหนูไป เดี๋ยวแม่โจวโจวพาหนูออกไปเที่ยวเอง โอเคไหมคะ”


 


 


ลั่วอิงเพียงแค่พยักหน้า เธอไม่กล้าพูดอะไร เธอรู้สึกเศร้าใจไม่น้อยที่ลั่วเซ่าเชินเอาแต่พูดว่าเธอไม่เชื่อฟังเขา หัวใจดวงเล็กๆ ของลั่วอิงรู้สึกเจ็บปวดจนแทบรับไม่ไหวแล้ว


 


 


“ถ้าอย่างนั้นหนูลงไปทานข้าวก่อนนะคะ เดี๋ยวแม่โจวโจวอาบน้ำเสร็จแล้วจะตามลงไป” ถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงเดินออกไปแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินยังคงยืนอยู่ เธอถามเขาอย่างอารมณ์เสียว่า “แล้วคุณไม่ออกไปหรือคะ”


 


 


“ทำไมผมต้องออกไปด้วย” ลั่วเซ่าเชินมองถังโจวโจวอย่างไม่เข้าใจ เขาก็ยืนอยู่ตรงนี้ดีๆ ทำไมเขาถึงต้องออกไปด้วย?


 


 


เมื่อเห็นถังโจวโจวลุกขึ้นนั่ง ทันใดนั้นแววตาของลั่วเซ่าเชินก็ลุกวาว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง “ผมไม่ออกหรอก ถ้าคุณจะเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณก็เปลี่ยนไปสิ ผมเห็นคุณมาทุกซอกทุกมุมแล้ว มีอะไรให้คุณต้องอายอีก?”


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาไม่ยอมออกไป เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอห่อตัวด้วยผ้าห่มและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า จากนั้นเธอก็หยิบเสื้อผ้าของเธอออกมาและเดินเข้าไปในห้องน้ำ


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอทุลักทุเลแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดยื่นมือเข้าไปช่วย ตรงกันข้าม เขากลับยืนดูอยู่อย่างนั้น และเมื่อไรที่ได้จังหวะเขาก็จะแกล้งขวางทางตรงหน้าเธอ ทำให้ถังโจวโจวต้องเดินอ้อมไปอีก


 


 


ถังโจวโจวแอบสาบานอยู่ในใจว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องชดใช้ให้เธอทั้งหมด ตอนนี้เธอจะปล่อยให้เขาได้ใจไปก่อน แล้วสักวันถังโจวโจวก็จะทำอย่างที่เธอตั้งใจไว้จริงๆ เธอจะสร้างความลำบากให้กับลั่วเซ่าเชินนับไม่ถ้วน ลั่วเซ่าเชินก็จะทำได้แค่เพียงคอยเก็บกวาดเรื่องที่เธอก่อไว้ เมื่อเธอทรมานเขาจนหนำใจแล้ว เรื่องในวันนี้ก็จะไม่ถูกยกขึ้นมาพูดในภายหลังอีก


 


 


เมื่อถังโจวโจวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว ถังโจวโจวจัดเสื้อผ้าของเธออีกรอบ ก่อนจะลงไปชั้นล่าง เธอหิวจนท้องร้องเสียงดัง เธออยากจะรีบหาอะไรใส่ท้องเสียเหลือเกิน


 


 


เมื่อเธอลงมาถึงชั้นล่าง เธอก็เห็นลั่วอิงกำลังนั่งกินข้าวอยู่บนเก้าอี้ ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วอิงเงียบผิดปกติ เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่าทัศนคติของลั่วเซ่าเชินที่มีต่อลั่วอิงในช่วงนี้มันเปลี่ยนไป แต่ลั่วอิงยังเด็กคงจะไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงรู้สึกโกรธอยู่ลึกๆ


 


 


ถังโจวโจวยังไม่อยากสนใจเรื่องนี้ในตอนนี้ เธออยากจะหาอะไรใส่ท้องมากกว่า เมื่อครู่นี้ป้าหลิวได้ยินลั่วอิงบอกว่าถังโจวโจวอยู่บ้าน ตอนแรกเธอก็คิดว่าลั่วอิงตาฝาดไป แต่เมื่อได้เจอถังโจวโจวตัวเป็นๆ เธอก็พูดอย่างกระตือรือร้น “คุณผู้หญิงกลับมาแล้วจริงๆ เดี๋ยวฉันไปทำอาหารเพิ่มก่อนนะคะ!”


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ ป้าหลิว แค่นี้ก็พอแล้ว” ถังโจวโจวมองดูอาหารมากมายที่อยู่บนโต๊ะอาหาร มันไม่ขาดเลยสักชนิด และตอนนี้เธอก็หิวมากแล้ว คงจะรออีกไม่ไหว เมื่อป้าหลิวเห็นถังโจวโจวบอกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอก็หยุดความคิดที่จะทำอาหารเพิ่มเอาไว้ก่อน


 


 


หลังจากมื้อกลางวันผ่านไป ถังโจวโจวก็นั่งดูการ์ตูนอยู่กับลั่วอิงในห้องนั่งเล่น ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็ขึ้นไปบนชั้นสอง และน่าจะอยู่ที่ห้องหนังสืออีกตามเคย


 


 


“ลั่วอิง หนูยังโกรธคุณพ่ออยู่หรือเปล่าคะ” ถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงไม่ร่าเริงแจ่มใสเหมือนเคย เธอเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด ถังโจวโจวคิดว่าพอจะเดาความคิดที่อยู่ในใจของเธอได้ เธอน่าจะเก็บคำพูดของลั่วเซ่าเชินเอามาคิด


 


 


“แม่โจวโจวขา คุณแม่ว่าหนูเป็นลูกแท้ๆ ของคุณพ่อหรือเปล่าคะ ช่วงนี้คุณพ่อพูดแบบนี้บ่อยมาก คุณพ่อไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อนเลย คุณพ่อไม่ต้องการหนูแล้วใช่ไหมคะ” ลั่วอิงขมวดคิ้วน้อยๆ ของเธอ และเงยหน้าขึ้นมองถังโจวโจว เธออยากให้ถังโจวโจวให้คำตอบกับเธอ


 


 


ถังโจวโจวแปลกใจว่าทำไมลั่วอิงถึงมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้ แต่ถังโจวโจวก็รีบอธิบายว่า “หนูเป็นลูกแท้ๆ ของคุณพ่อแน่นอนค่ะ! หรือว่ามีใครมาพูดอะไรกับหนูคะ?”


 


 


“ไม่มีค่ะ หนูคิดเอง ช่วงที่แม่โจวโจวไม่อยู่ คุณพ่อก็ไม่เห็นใส่ใจหนูเหมือนปกติเลย ความจริงแล้วก่อนที่แม่โจวโจวจะแต่งงานกับคุณพ่อแล้วมาอยู่กับหนู หนูกับคุณพ่อก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันอยู่แล้ว และหนูก็ไม่เคยพบแม่แท้ๆ ของหนูเลยด้วย คุณพ่อก็ห้ามไม่ให้หนูพูดถึง”


 


 


ลั่วอิงเล่าความในใจทั้งหมดที่มีให้ถังโจวโจวฟัง ถังโจวโจวนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะเก็บเรื่องราวมากมายไว้ในใจอย่างนี้ หากไม่ใช่เพราะคำพูดเหล่านั้นของลั่วเซ่าเชิน ลั่วอิงก็คงจะไม่พูดเรื่องนี้ออกมา


 


 


ถังโจวโจวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือแม่แท้ๆ ของลั่วอิง แล้วปกติลั่วอิงก็ไม่เคยพูดถึงเธอมาก่อน ถังโจวโจวคิดว่าลั่วอิงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจมาตลอด


 


 


ณ ตอนนี้ถังโจวโจวอยากจะต่อว่าลั่วเซ่าเชินเสียเหลือเกิน ทำไมเขาต้องพูดอะไรแปลกๆ กับลูกด้วย ถ้าลั่วอิงคิดมากแล้วเกิดหนีไป อยากจะรู้นักว่าเขาจะไปตามหาเธอได้ที่ไหน!


 


 


“ลั่วอิง หนูฟังแม่โจวโจวนะคะ ที่คุณพ่อไม่ได้บอกหนูว่าแม่แท้ๆ ของหนูเป็นใคร คุณพ่ออาจจะกำลังปกป้องหนูอยู่ คุณแม่ว่าคุณพ่อเขาก็เสียใจมากเหมือนกัน”


 


 


“ไม่ใช่ค่ะ คุณพ่อบอกหนูว่าคุณแม่ไม่อยู่แล้ว แต่หนูได้ยินคุณย่าบอกว่าคุณแม่ยังไม่ตาย คุณแม่แค่ไม่ได้กลับมาหาหนูเท่านั้น”


 


 


ถังโจวโจวนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ คุณแม่ลั่วนี่ก็จริงๆ เลย พูดอะไรไม่ระวังว่าเด็กจะได้ยินหรือเปล่า “ลั่วอิง หนูจำที่แม่โจวโจวเคยบอกได้ไหมคะ ถ้าหนูต้องการแม่ แม่โจวโจวสามารถเป็นแม่ให้หนูได้เสมอเลยนะ ขอแค่หนูต้องการ”


 


 


“แต่แม่โจวโจวก็เพิ่งทิ้งหนูไปนี่คะ แม่โจวโจวเองก็ไม่ได้อยู่กับหนูตลอดเวลา” ลั่วอิงเริ่มร้องไห้ออกมา เมื่อเธอนึกถึงตอนที่ถังโจวโจวหนีไปแบบไม่บอกไม่กล่าว หัวใจของเธอก็ว่างเปล่ามากยิ่งขึ้น เธอกลัวว่าถ้าถังโจวโจวหายไปอีกครั้ง เธออาจจะไม่ได้พบถังโจวโจวอีกเลย


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกับมารดาที่อยู่ในความคิดของเธอ ลั่วอิงรู้สึกรักแม่โจวโจวคนนี้มากกว่า แต่บางครั้งที่ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินทะเลาะกัน ซึ่งนั่นมักจะทำให้ลั่วอิงรู้สึกตกใจและไม่ปลอดภัยอยู่เสมอ


 


 


ถังโจวโจวนึกไม่ถึงว่าการที่เธอกลับมาอย่างกะทันหันจะส่งผลกระทบต่อลั่วอิง เธอรู้สึกเสียใจ “ลั่วอิง แม่ขอโทษนะคะ แม่โจวโจวไม่รู้ว่าหนูจะรู้สึกแบบนี้ แม่โจวโจวสัญญานะคะ ถ้าแม่จะต้องไปอีก แม่จะบอกหนูก่อน”


 


 


“แม่โจวโจวจะไปอีกหรือคะ?” ลั่วอิงไม่เข้าใจ นี่เธอก็กลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วก็คืนดีกับคุณพ่อแล้วด้วย? 

 

 


ตอนที่ 144 แม่แท้ๆ

 

          “ลั่วอิง แม่โจวโจวรับประกันกับหนูไม่ได้ แต่แม่โจวโจวสัญญานะ แม้ว่าวันหนึ่งแม่จะเลิกกับคุณพ่อไป แต่แม่ก็ยังคงเป็นแม่โจวโจวของหนูนะ” ถังโจวโจวเอ่ยคำมั่นสัญญาอย่างเอาจริงเอาจัง 


 


 


           “แม่โจวโจวขา ตอนที่คุณแม่ไม่อยู่ คุณพ่อคิดถึงคุณแม่มากเลยนะคะ” ลั่วอิงแก้ต่างให้ลั่วเซ่าเชิน และหวังให้ถังโจวโจวเห็นแก่ความคิดถึงที่ลั่วเซ่าเชินมีให้เธอ เธอจะได้ไม่จากไปไหนอีก 


 


 


           ถังโจวโจวลูบศีรษะของลั่วอิง ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดเรื่องก่อนหน้านี้ “ลั่วอิงจ๊ะ แม้ว่าคุณพ่ออาจจะเข้มงวดกับหนูไปบ้าง แต่หนูก็ต้องเชื่อนะว่าคุณพ่อเขารักหนู หนูเป็นลูกสาวของเขา ไม่มีพ่อคนไหนไม่รักลูกสาวของตัวเองหรอกนะคะ เหมือนคุณตากับแม่โจวโจวไง หนูเข้าใจใช่ไหม” ถังโจวโจวยกเอาตัวเองและคุณพ่อถังมาเป็นตัวอย่าง ลั่วอิงพยักหน้า เธอรู้ว่าคุณตารักแม่โจวโจวมาก 


 


 


           เมื่อเห็นว่าลั่วอิงเข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อแล้ว ถังโจวโจวก็วางใจ “แม่โจวโจวขา แต่ทำไมสิ่งที่คุณพ่อทำกับหนูถึงไม่เหมือนกับที่คุณตาทำคุณแม่ล่ะคะ” 


 


 


           “เพราะว่าพวกเขาสองคนนิสัยต่างกันค่ะ ตรงจุดนี้หนูต้องเข้าใจคุณพ่อของหนูด้วยนะคะ แล้วตราบใดที่หนูรู้ว่าคุณพ่อรักหนูจริงๆ ต่อให้ถูกเขาดุมากแค่ไหน หนูก็จะไม่รู้สึกน้อยใจเลยค่ะ” 


 


 


           “คุณพ่อไม่ดุค่ะ แม่โจวโจว คุณพ่อดีกับหนูมาก” ลั่วอิงตอบโต้ในทันที 


 


 


           ถังโจวโจวยิ้มขำ เมื่อเห็นเธอรีบออกหน้าช่วยคุณพ่อของเธอ “ค่ะ แม่รู้ว่าคุณพ่อดีกับหนูมาก แม่ก็แค่ยกตัวอย่างเองค่ะ” 


 


 


           เมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็สามารถทำให้ลั่วอิงเข้าใจได้แล้ว ถังโจวโจวก็แอบคิดอยู่เงียบๆ ดูเหมือนว่าเธอคงจะต้องคุยเรื่องนี้กับลั่วเซ่าเชิน มิฉะนั้นแล้ว หากลั่วอิงสับสนขึ้นมาอีก หรือเกิดอะไรขึ้นกับเธอก็คงจะไม่ดี 


 


 


           หลังจากปลอบลั่วอิงแล้ว ถังโจวโจวก็กล่อมให้ลั่วอิงหลับ จากนั้นเธอก็ไปเคาะประตูห้องหนังสือ 


 


 


           “เชิญครับ” 


 


 


“เซ่าเชิน ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ” ถังโจวโจววางกาแฟไว้บนโต๊ะของลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินเงยหน้ามองเธอ และเมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของเธอดูจริงจัง เขาก็รู้ว่าเธอมีธุระสำคัญจะพูด ดังนั้นเขาจึงละมือจากงานของเขา และมองไปที่ถังโจวโจว 


 


 


ถังโจวโจวนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของลั่วเซ่าเชินและเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เธอจัดระเบียบคำพูดในใจก่อนจะเปิดปากพูดว่า “ช่วงนี้คุณทำตัวแปลกๆ กับลั่วอิง คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” 


 


 


“แปลกตรงไหน” เมื่อลั่วเซ่าเชินลองนึกดู เขาก็ไม่เห็นรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป ก็เหมือนเดิมนี่… ถังโจวโจวคิดมากไปหรือเปล่า 


 


 


เมื่อมองดูท่าทางของลั่วเซ่าเชินที่เต็มไปด้วยความสงสัย ถังโจวโจวก็รู้เลยทันทีว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเลย เขาถึงยังไม่เห็นว่าเป็นปัญหา 


 


 


“วันนี้คุณพูดแบบนั้นกับลั่วอิงได้ยังไง แม้แต่ฉันยังทนฟังไม่ได้เลย วันนั้นก็ด้วย แค่คุณบอกเธอว่าคุณไม่ต้องการเธอแล้ว เธอก็ตกใจจนหน้าซีดไปหมด ถ้าคุณจะล้อเล่น คุณก็ต้องมีขีดจำกัดบ้างสิคะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยอมรับว่าวันนั้นเขาพูดแรงไปหน่อย แต่มันก็เป็นเพราะถังโจวโจวนี่! ถ้าเธอยอมกลับมากับเขาดีๆ เขาจะต้องโหดร้ายกับลั่วอิงเหรอ และยิ่งไปกว่านั้น เขาก็อธิบายเหตุผลให้ลั่วอิงฟังไปแล้ว ลูกสาวของเขาก็เข้าใจแล้วนี่? 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้ง เธอก็อยากจะทุบเขาแรงๆ สักทีเพื่อให้เขาได้สติ “คุณรู้ไหมคะว่าลั่วอิงพูดอะไรกับฉัน” 


 


 


“พูดว่าอะไร” 


 


 


“เธอถามฉันว่าเธอใช่ลูกของคุณแน่หรือเปล่า แล้วก็ยังมีเรื่องแม่แท้ๆ ของเธออีก” ถังโจวโจวเห็นว่า เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินในสิ่งที่เธอพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เธอบ่นในใจว่า ‘ในที่สุดคุณก็รู้จักคำว่าร้อนรนใจเสียที นี่ถ้าฉันไม่รู้ ฉันก็คงคิดว่าคุณไม่สนใจแล้วจริงๆ!’ 


 


 


“แล้วคุณตอบเธอว่ายังไง” ลั่วเซ่าเชินนึกไม่ถึงเลยว่าลั่วอิงจะคิดอะไรแบบนี้ มือของเขากำหมัดแน่น และสายตาก็จ้องมองไปที่ถังโจวโจว 


 


 


เขาคิดว่ามีใครพูดอะไรต่อหน้าลั่วอิงหรือเปล่า เธอถึงได้คิดแบบนั้น ลั่วเซ่าเชินไม่อนุญาตให้ใครหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้ง่ายๆ หรอกนะ 


 


 


“คุณอย่ามองฉันแบบนั้นนะ นี่เป็นปัญหาของคุณเอง ใครใช้ให้คุณพูดจารุนแรงแบบนั้นออกมาล่ะ ลั่วอิงยังเด็ก เธอยังไม่พร้อมเข้าใจอะไรยากๆ หรอก เธอย่อมคิดไปในทางอื่นอยู่แล้ว” 


 


 


หลังจากถังโจวโจวพูดออกมา ลั่วเซ่าเชินก็เข้าใจแล้วว่าเขาพูดแรงเกินไปจริงๆ แต่สิ่งที่เขาคิดอยู่คือ อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เพราะ ‘เรื่องนั้น’ แต่เป็นเพราะเขาละเลยเธอไป ไม่ค่อยห่วงใยเธอเหมือนแต่ก่อน ในเมื่อ ‘เรื่องนั้น’ ไม่ใช่ต้นเหตุ เรื่องอื่นก็ไม่เป็นปัญหา 


 


 


ถังโจวโจวไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ลั่วเซ่าเชินถึงได้ผ่อนคลายลง เธอรู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันไม่ได้ตึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว “คุณคิดอะไรอยู่คะ” เมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่พูด ถังโจวโจวก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย 


 


 


เขามีอะไรปิดบังเธออยู่หรือเปล่า จะใช่เรื่องแม่แท้ๆ ของลั่วอิงไหม ถังโจวโจวไม่เคยถามถึงเรื่องของลั่วอิงมาก่อนเลย แล้วเธอก็ไม่เคยหยิบเรื่องแม่ของลั่วอิงขึ้นมาคุยกับลั่วเซ่าเชินด้วย แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินดูผิดปกติไป ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกสนใจเรื่องแม่ของลั่วอิงขึ้นมา 


 


 


‘เธอเป็นผู้หญิงแบบไหน ตอนนี้อยู่ที่ไหน’ ทำไมถึงไม่กลับมาหาลั่วอิง? ส่วนลั่วเซ่าเชิน แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดถึงเธอต่อหน้าใคร แต่ครั้งนี้ที่พูดถึงผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา สีหน้าและแววตาของเขาดูเปลี่ยนไปทันที ‘เขายังลืมเธอไม่ได้เหรอ?’ 


 


 


ถังโจวโจวมีคำถามมากมายในใจ แล้วเธอก็อยากให้ลั่วเซ่าเชินตอบคำถามเธอด้วย แต่สิ่งที่เธอมั่นใจในตอนนี้ก็คือ แม่ของลั่วอิงไม่ใช่หันฮุ่ยซินแน่นอน! 


 


 


ประการแรก การแสดงออกของหันฮุ่ยซินตอนที่ได้เจอลั่วอิงในแต่ละครั้ง มันไม่ได้แตกต่างกัน ประการที่สอง ถ้าเกิดเป็นหันฮุ่ยซินจริงๆ เธอเชื่อว่าลั่วเซ่าเชินก็คงจะคืนดีกับเธอไปแล้ว เพราะว่าเห็นแก่หน้าลูก แล้วก็คงจะไม่มีเรื่องของถังโจวโจวเกิดขึ้น 


 


 


แต่ถ้าไม่ใช่หันฮุ่ยซินแล้วจะเป็นใครล่ะ? หันฮุ่ยซินคือรักแรกของลั่วเซ่าเชิน จนถึงปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่าก็มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ลั่วเซ่าเชินเคยคบเป็นแฟน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วแม่ของลั่วอิงเป็นใคร? ถังโจวโจวยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย เธออยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


“ไม่ได้คิดอะไร ส่วนเรื่องที่คุณพูดมา ผมเข้าใจแล้ว วันหลังผมจะระวังกว่านี้” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดว่าในเมื่อลั่วอิงไม่ได้เอ่ยถึงใครเป็นพิเศษ เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นอย่างที่ถังโจวโจวบอก ลั่วอิงแค่คิดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเด็กก็เท่านั้น ลั่วเซ่าเชินเองก็คิดว่าเขาอาจจะทำผิดไปจริงๆ ซึ่งความผิดนั้นนำไปสู่ความเข้าใจผิดของลั่วอิง 


 


 


“คุณไม่มีอะไรจะพูดกับฉันอีกหรือคะ” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาไม่ได้พูดถึงแม่บังเกิดเกล้าของลั่วอิงเลย เธอก็เกิดความรู้สึกหึงหวงในใจ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะมีตำแหน่งสำคัญในหัวใจของเขา หรือว่าจะเป็นเพราะลั่วอิง? 


 


 


เป็นเพราะความไม่รู้ ถังโจวโจวยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่ และเนื่องจากว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้ให้คำตอบกับเธอ ดังนั้น ความคิดของเธอจึงเตลิดเปิดเปิงมากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


“ผมต้องพูดอะไรอีกเหรอ” ลั่วเซ่าเชินไม่เข้าใจ สิ่งที่เขาควรจะพูด เขาก็พูดออกไปหมดแล้วนี่ จะให้เขาพูดอะไรอีก 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวก็เดินออกจากห้องหนังสือไปด้วยความหงุดหงิด ลั่วเซ่าเชินไม่เข้าใจเมื่อเห็นเธออารมณ์เสีย นี่เธอโกรธอะไรอีกแล้ว? 


 


 


หลังจากออกมาจากห้องหนังสือ ถังโจวโจวก็กลับไปที่ห้องนอนและล้มตัวลงบนเตียง พลางคิดว่าเมื่อครู่นี้ลั่วเซ่าเชินไม่ได้รู้ใจเธอเลยสักนิด เธอทุบหมอนแล้วก็ยังไม่หายโกรธ เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรศัพท์หาหลินเหยา 


 


 


“เหยาเหยา เธอหายเมาหรือยัง” 


 


 


“โจวโจว เมื่อวานเธอไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม ขอโทษนะ ฉันเกือบทำร้ายเธอไปแล้ว!” หลินเหยารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เมื่อวานนี้เธอทำให้ถังโจวโจวต้องลำบากไปด้วย ถ้าเธอไม่ขอให้ถังโจวโจวออกมา เรื่องเมื่อวานนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น 


 


 


“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ เหยาเหยา ฉันสบายดีจ้ะ เราเป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่าเราต้องทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนของเรา!” ถังโจวโจวที่เดิมทีรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่เมื่อได้คุยกับหลินเหยา เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก 


 


 


“ขอบคุณนะ โจวโจว” หลินเหยายังคงรู้สึกละอายใจอยู่เล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชินมาได้ทันเวลา ถังโจวโจวกับเธอก็อาจจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายกว่านี้ไปแล้ว! 


 


 


“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เหยาเหยา เราสองคนเป็นอะไรกัน! ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหรอ ฉันอยากจะชวนเธอออกไปเดินเล่นสักหน่อย อยู่บ้านมันน่าเบื่อ” ถังโจวโจวพูดอย่างเบื่อหน่าย 


 


 


เมื่อหลินเหยาได้ยินเสียงที่ไม่ค่อยสดชื่นตามปกติของถังโจวโจว เธอก็คิดว่าคงไม่ใช่เพราะถังโจวโจวทะเลาะกับลั่วเซ่าเชินอีกแล้วหรอกนะ? หลินเหยารู้สึกได้ว่าช่วงนี้มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินน่าจะยังดูไม่ออกว่าความรู้สึกของถังโจวโจวที่มีต่อเขา มันค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นทุกวัน 


 


 


แน่นอนว่าคนนอกอย่างหลินเหยาก็ยังรู้สึกได้ว่าถังโจวโจวเปลี่ยนไป จากตอนแรกที่เธอห่างกับเขาได้สบายๆ จนตอนนี้เธอทำใจแยกจากเขาไม่ได้เสียแล้ว ความรู้สึกของถังโจวโจวที่มีต่อลั่วเซ่าเชินมันผันผวนเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าลั่วเซ่าเชินคิดอย่างไร 


 


 


“จ้ะ ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” เมื่อวานนี้หลังจากหวังหวามาส่งหลินเหยาที่บ้าน เธอก็หลับไปจนถึงเที่ยง เมื่อเธอตื่นขึ้นมาและได้กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งบนตัวของเธอเอง เธอก็แทบจะอาเจียน เธอจึงรีบลุกไปอาบน้ำ หลังจากที่เธอเพิ่งเป่าผมเสร็จ เธอก็ได้รับสายจากถังโจวโจว พอดีกันกับที่เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย 


 


 


เมื่อถังโจวโจวไปถึงที่นัดหมาย ก็เจอหลินเหยาสั่งบะหมี่เนื้อมากินก่อนแล้ว เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวมาถึงแล้ว หลินเหยาก็ทักทายด้วยน้ำเสียงอู้อี้เนื่องจากอาหารเต็มปาก “มาแล้วเหรอ เธอนั่งสิ!” 


 


 


“แม้แต่ชื่อฉัน เธอก็ลืมไปแล้ว” ถังโจวโจวเห็นเธอก้มหน้าก้มตากินบะหมี่อย่างตั้งใจ “ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ” มิน่าล่ะ หลินเหยาถึงนัดเธอมาที่นี่ ที่แท้ก็จะได้ฉวยโอกาสแก้หิวก่อนนี่เอง 


 


 


“โจวโจว ฉันก็กำลังยัดใส่ปากอยู่นี่ไง ฉันนอนจนถึงเที่ยง พออาบน้ำเสร็จ เธอก็โทรมาพอดี ยังไม่ทันได้หาอะไรกินเลย” หลินเหยายัดเส้นบะหมี่คำใหญ่เข้าไปในปากอีกครั้ง เมื่อเห็นเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย ถังโจวโจวก็รู้สึกหิวขึ้นมา 


 


 


“เหยาเหยา จู่ๆ ฉันก็หิวขึ้นมาแล้ว” ถังโจวโจวน้ำลายสอเมื่อได้กลิ่นของบะหมี่เนื้อ 


 


 


“หิวเหรอ เธอยังไม่ได้กินข้าวหรือไง” เมื่อมองดูท่าทางของถังโจวโจวที่เหมือนจะน้ำลายหก หลินเหยาก็นึกว่าเธอยังไม่ได้กินอะไรมา 


 


 


“เปล่าหรอก ฉันกินมาแล้ว แต่พอฉันเห็นเธอกินได้อร่อยมากขนาดนี้ ฉันก็พานหิวไปด้วย” ถังโจวโจวกัดริมฝีปาก และเมื่อเธอได้กลิ่นหอมของอาหาร เธอก็ยิ่งหิวมากขึ้นไปอีก 


 


 


“เธอนี่นักกินจริงๆ ถ้าหิวก็สั่งมาเพิ่มอีกชามสิ เถ้าแก่คะ เอาบะหมี่เนื้อเพิ่มอีกหนึ่งชาม” 


 


 


“โอเค เดี๋ยวไปเสิร์ฟ!” เถ้าแก่รับคำหลินเหยา 


 


 


ถังโจวโจวนั่งตรงข้ามกับหลินเหยา เป็นเพราะกลิ่นหอมของอาหาร เรื่องที่เธอไม่สบายใจก่อนหน้านี้จึงดูเหมือนหายไปในพริบตา 


 


 


“โจวโจว เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับลั่วเซ่าเชินอีกหรือเปล่า” หลังจากที่กินบะหมี่ไปได้สักพัก กระเพาะของหลินเหยาก็รู้สึกอิ่มไปกว่าครึ่ง ดังนั้นเธอจึงพอหยุดพูดคุยกับถังโจวโจวได้แล้ว 


 


 


“เปล่าหรอก ฉันแค่อยากรู้ว่าแม่แท้ๆ ของลั่วอิงคือใคร แต่เขาไม่ได้บอกฉัน” คำพูดของถังโจวโจวฟังดูคล้ายกับอาการแง่งอนของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเหยาได้เห็นถังโจวโจวเป็นแบบนี้ นี่คือท่าทางของหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักเหรอ? 


 


 


“โจวโจว แล้วเธอจะโกรธเขาทำไมที่ไม่ได้บอกเธอ เธอก็รู้ประวัติของลั่วอิงดีอยู่แล้วนี่” หลินเหยาไม่เข้าใจ แม่แท้ๆ ของลั่วอิงไม่ได้มาปรากฏตัวเสียหน่อย ถังโจวโจวจะโกรธผู้ชายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปทำไม 


 


 


เมื่อถังโจวโจวได้ยินหลินเหยาพูดอย่างนั้น เธอก็พูดอะไรไม่ออก และเมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว นั่นสินะ! เธอจะโกรธเขาทำไม เหมือนกับว่าเพราะความหึงหวงที่มีต่อแม่แท้ๆ ของลั่วอิง ถังโจวโจวจึงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินปฏิบัติกับแม่แท้ๆ ของลั่วอิงแตกต่างออกไป  

 

 


ตอนที่ 145 กลับไปทำงานอีกครั้ง

 

 


 


 


           เถ้าแก่นำบะหมี่ที่หลินเหยาสั่งมาเสิร์ฟให้ เมื่อถังโจวโจวเติมเครื่องปรุงเสร็จ เธอก็คีบใส่ปาก “อื้อ อร่อย!” 


 


 


ณ ตอนนี้มีแขกอยู่ภายในร้านแค่เพียงสองคนคือถังโจวโจวและหลินเหยา เถ้าแก่นั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หน้าร้าน ดูเหมือนว่ากำลังคุยอยู่กับคนรู้จัก 


 


 


           “เหยาเหยา ฉันก็โกรธแค่พักเดียวเท่านั้นแหละ และแน่นอนว่าที่ฉันยอมรับลั่วอิงก็เป็นเพราะความน่ารักของเธอ” ถังโจวโจวไม่ได้ยกเว้นที่เธอเป็นเด็ก และนอกจากนี้เธอก็เข้าใจว่านี่ไม่ใช่ความผิดของลั่วอิง เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากผู้ใหญ่ 


 


 


           เด็กเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสาที่สุดบนโลกใบนี้ การมาถึงของพวกเขาใช่ว่าพวกเขาจะมาได้ด้วยตัวเอง และการจากไปของพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ เมื่อถังโจวโจวคิดถึงเรื่องนี้วนไปวนมา ทันใดนั้นเธอก็ก้มหน้าต่ำลง แล้วน้ำตาก็ร่วงรินลงไปในน้ำซุปที่อยู่ในชาม 


 


 


           เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวเหมือนจะร้องไห้ เธอก็รู้เลยว่าเธอดันไปสะกิดต่อมเศร้าของเพื่อนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอจึงไม่กล้าซักไซ้อะไรจากถังโจวโจวอีก ส่วนถังโจวโจวก็รู้ตัวเองดีว่าเธอแค่โกรธเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น 


 


 


           หลังจากที่พวกเธอกินบะหมี่เสร็จแล้ว ในขณะที่พวกเธอกำลังจะเดินออกจากร้าน พวกเธอก็พบว่าด้านนอกมีฝนตกลงมาปรอยๆ ตอนที่เพิ่งมาถึงฟ้ายังแค่ครึ้มๆ เอง นึกไม่ถึงเลยว่าพอออกมาแล้วมันจะกลายเป็นแบบนี้ ทั้งสองคนไม่ได้พกร่มมาด้วย พวกเธอมองดูพื้นที่ค่อยๆ เปียกชื้น จากนั้นพวกเธอก็เดินออกมา 


 


 


ยังดีที่บนศีรษะของถังโจวโจวมีหมวกอยู่หนึ่งใบ ซึ่งมันสามารถบังลมฝนให้เธอได้เล็กน้อย ส่วนหลินเหยาไม่กลัวกับฝนแค่นี้ เธอย่ำเท้าเดินฝ่าละอองฝนและยังเอ่ยติดตลกกับถังโจวโจวว่า “โจวโจว ถ้าวันนี้มันไม่ได้หนาวขนาดนี้ ฉันก็คงจะสนุกมาก” 


 


 


ถังโจวโจวเองก็เห็นด้วยกับเธอ น่าเสียดายที่วันนี้อากาศหนาวเกินไป ถึงแม้ว่าฝนจะตกพรำๆ เหมือนในบทกวี แต่เธอก็ไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความสวยงามของมัน 


 


 


ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าตามทางของถนน ทางเดินที่อยู่ข้างนอกร้านค้าสามารถปกป้องพวกเธอจากฝนได้ ถังโจวโจวมองดูความพลุกพล่านด้านนอก แม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งหัวใจที่รักการชอปปิงของเหล่าหญิงสาวไว้ได้ 


 


 


ทางที่เธอเดินผ่านมีร้านขายของสำหรับเด็กร้านหนึ่ง ถังโจวโจวอดไม่ได้ที่จะหยุดมอง หลินเหยาที่สาวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า พบว่าถังโจวโจวไม่ได้เดินตามมาด้วย เมื่อเธอหันกลับไปมอง เธอก็เห็นว่าถังโจวโจวยืนมองร้านนั้นอยู่ และเธอก็รู้ว่าถังโจวโจวคิดถึงเด็กคนนั้นอีกแล้ว “โจวโจว มาเถอะ!” 


 


 


“อ๋อ จ้ะ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” ถังโจวโจวไม่อยากปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้าในอดีตอีก เพราะไม่ว่าอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป บางทีเร็วๆ นี้ลูกอาจจะกลับมาหาแบบเงียบๆ ก็เป็นได้ เธอคาดหวังเช่นนั้น 


 


 


พอได้ออกมาเดินเล่นกับหลินเหยา บรรยากาศที่คึกคักจอแจทำให้เธอสบายใจขึ้นเป็นกอง บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ร้านรวงต่างๆ เริ่มจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายก่อนปีใหม่เพื่อดึงดูดใจลูกค้า 


 


 


เมื่อถังโจวโจวกลับมาถึงบ้าน เธอก็คบคิดมาตลอดทางว่า ทำไมช่วงนี้เธอถึงเอาแต่ตั้งแง่กับลั่วเซ่าเชินล่ะ? หลังจากที่คิดมานาน ในที่สุดเธอก็พบสาเหตุ…เธอไม่ได้ไปทำงานมานานแล้ว! 


 


 


เธอไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนร่วมงานของเธอเลย วันๆ เธอถูกห้อมล้อมไปด้วยคนในครอบครัว ดังนั้น เธอจึงคอยจับตามองลั่วเซ่าเชินในทุกๆ วัน มิน่าล่ะช่วงนี้เธอถึงได้ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งภรรยาขี้บ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ถังโจวโจวรู้สึกว่าเธอเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าเธอจะกลับไปทำงาน 


 


 


เธอกดโทรศัพท์ต่อสายหาผู้จัดการเป็นอันดับแรก จากนั้นเธอก็หยิบชุดทำงานของเธอออกมา เธอไม่ได้สวมมันมานานแล้ว เมื่อถังโจวโจวมองดูชุดทำงานสีดำขลับที่อยู่ตรงหน้า เธอก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ 


 


 


วันรุ่งขึ้น ถังโจวโจวตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นเธอสวมชุดทำงาน เขาก็มองเธอด้วยความประหลาดใจ “นี่คุณจะไปไหน ไปทำงานเหรอ” 


 


 


“ค่ะ ทำไมคะ มีปัญหาอะไรเหรอ” ถังโจวโจวจัดปกเสื้อให้เข้าที่ขณะส่องกระจก แล้วเธอก็พบว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว 


 


 


“ปัญหาน่ะไม่มีหรอก เพียงแต่ว่าคุณหยุดงานมานานขนาดนี้ คุณแน่ใจนะว่าคุณยังคุ้น…” ก่อนที่ลั่วเซ่าเชินจะเอ่ยจบ แน่นอนว่าถังโจวโจวก็เข้าใจแล้ว เขาดูถูกเธอมากเกินไปหน่อยมั้ง? แม้ว่าเธอจะไม่ได้ไปทำงาน แต่เธอก็ยังคงติดต่อกับจวิ้นเจี่ยอยู่เป็นครั้งคราว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะไม่คุ้นเคย 


 


 


ถังโจวโจวลงมาที่ชั้นล่างพร้อมกับลั่วเซ่าเชิน ช่วงนี้ลั่วอิงยังไม่ต้องไปโรงเรียน ดังนั้นถังโจวโจวจึงไม่ได้ปลุกเธอ เธอยังเด็กอยู่ ยิ่งนอนมากเท่าไรยิ่งดี 


 


 


ทั้งสองคนนั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะ อาหารเช้าเป็นแบบง่ายๆ มีโจ๊กคนละชาม กินคู่กับผักเคียงอีกสองอย่างและไข่ลวก นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับอาหารเช้า 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมาส่งถังโจวโจวที่บริษัท และเอ่ยนัดแนะกับถังโจวโจวว่าหลังเลิกงานเขาจะมารับเธอ ก่อนขับออกรถไป 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเดินเข้ามาในบริษัท เธอก็ได้รับการต้อนรับที่แสนอบอุ่น คนจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของบริษัท และผู้จัดการก็เป็นคนนำปรบมือด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวประหลาดใจ “พวกคุณ… นี่คือ…” 


 


 


“ยินดีต้อนรับกลับมานะ โจวโจว!” ผู้จัดการเดินมาจับมือของถังโจวโจว ส่วนพนักงานคนอื่นๆ บ้างก็มองมาที่ถังโจวโจวด้วยความอิจฉา บ้างก็ปรบมือให้อย่างตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาดีใจกับการกลับมาของถังโจวโจว 


 


 


จวิ้นเจี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้จัดการ เดินเข้ามาสวมกอดถังโจวโจว ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของถังโจวโจวว่า “วันนี้ผู้จัดการบอกว่าเธอจะกลับมาทำงานแล้ว เราก็เลยเตรียมงานต้อนรับไว้ให้เธอโดยเฉพาะ ดีใจล่ะสิ!” 


 


 


ถังโจวโจวเกือบจะร้องไห้ออกมา เธอนึกไม่ถึงเลยว่าในช่วงเวลาที่เธอไม่มา จะมีคนคิดถึงเธอมากขนาดนี้ “ขอบคุณทุกคนนะคะ!” 


 


 


ถังโจวโจวโค้งตัวลงด้วยความจริงใจ ผู้จัดการรีบเข้ามาประคองเธอให้ยืดตัวขึ้น เขาไม่สามารถรับการนอบน้อมนี้ไว้ได้ ถ้าผอ. ลั่วรู้เข้า เขาคงจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ 


 


 


“เอาน่า โจวโจว! ตอนที่คุณเกิดอุบัติเหตุ เราเองก็ไม่กล้าไปรบกวนคุณ ก็ได้แต่ส่งตัวแทนไปเยี่ยม คุณอย่าคิดมากเลยนะ” แม้ว่าผู้จัดการจะพูดอย่างสุภาพ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังแต้มไปด้วยรอยยิ้ม 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะรู้ว่าที่ผู้จัดการมอบของขวัญชิ้นใหญ่นี้ให้กับเธอ เพราะว่าเขาเห็นแก่ลั่วเซ่าเชิน เธอก็ยังอยากจะขอบคุณเขาจากใจจริง เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องมีความจริงใจอยู่บ้าง ความหวังดีของเขาในครั้งนี้ เธอจะน้อมรับไว้ 


 


 


“ผู้จัดการคะ ฉันรู้ว่าพวกคุณหวังดี ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงฉันนะคะ” 


 


 


“โจวโจว เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันนะ มีอะไรเราก็ต้องช่วยเหลือกันสิ” คนที่อยู่รอบๆ พูดตามๆ กัน 


 


 


ในขณะที่ทุกคนในห้องโถงกำลังมีความสุขและคึกคักกันอยู่ ผู้จัดการก็พูดขึ้นมาว่า “เอาละ โจวโจวกลับมาแล้ว มีอะไรไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ไปทำงานกันก่อน!” 


 


 


ผู้คนที่อยู่โดยรอบไม่มีใครบ่นอะไรออกมา พวกเขาแต่ละคนเดินกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเองอย่างเงียบๆ ถังโจวโจวเองก็เดินตามจวิ้นเจี่ยเข้าไปในออฟฟิศ 


 


 


“โจวโจว ได้ลาหยุดนานแบบนี้เป็นยังไงบ้าง อยู่บ้านสบายดีไหม” จวิ้นเจี่ยถามด้วยความอิจฉา 


 


 


           ช่วงนี้ในบริษัทยุ่งอยู่กับโปรเจกต์ที่ต้องทำร่วมกับลั่วกรุ๊ป และในช่วงเวลาที่ถังโจวโจวลาพัก งานในส่วนที่เธอต้องรับผิดชอบก็ถูกผลักมาให้จวิ้นเจี่ยทำ ดังนั้นมันจึงทำให้จวิ้นเจี่ยถึงกับหมดแรง 


 


 


“แล้วพี่จวิ้นเจี่ยล่ะคะเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม” ถังโจวโจวพูดพลางหัวเราะไปด้วย จวิ้นเจี่ยบ่นกับเธอมาก่อนแล้วว่าผู้จัดการไม่สนใจใครหน้าไหนเลย เขาให้พวกเธอทำงานล่วงเวลาทุกวัน ทำให้เธอไม่มีเวลาใกล้ชิดกับสามีและลูกเลย 


 


 


“นี่เธอกล้าล้อฉันเหรอ!” จวิ้นเจี่ยตีถังโจวโจว ถังโจวโจวรีบหลบไปข้างๆ และเมื่อจวิ้นเจี่ยตีไม่โดน ถังโจวโจวก็ยิ้มอย่างมีความสุข 


 


 


“พี่จวิ้ยเจี่ย ฉันแค่หยอกเล่น ฉันรู้ว่าช่วงนี้พี่ทำงานหนัก มื้อเที่ยงนี้ฉันเลี้ยงเอง โอเคไหมคะ” 


 


 


“แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง!” จวิ้นเจี่ยส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า ‘เธอรู้งาน’ ไปให้ จากนั้นก็ปลีกตัวออกมาจากถังโจวโจว 


 


 


ถังโจวโจวเริ่มทำความสะอาดโต๊ะทำงานก่อนเป็นอันดับแรก เธอไม่ได้ใช้มันมานาน ดังนั้นมันจึงมีสิ่งสกปรกมากน้อยอยู่บนนั้น แต่มันก็ไม่ได้เปื้อนเปรอะมากนัก เนื่องจากในขณะที่ถังโจวโจวไม่อยู่ ยังมีคนคอยมาช่วยทำความสะอาดให้ 


 


 


เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนเที่ยงอย่างรวดเร็ว เมื่อถังโจวโจวจัดข้าวของของเธอเสร็จ เธอก็เดินไปหาจวิ้นเจี่ยเพื่อจะไปกินมื้อกลางวันด้วยกัน พวกเธอไปที่ร้านอาหารยอดนิยมที่อยู่ใกล้ๆ กับบริษัท ราคาของอาหารนั้นอยู่ในระดับเหมาะสม ถังโจวโจวเคยมากินข้าวที่นี่แล้ว ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่ารสชาติถูกปากใช้ได้ ดังนั้นครั้งนี้เธอจึงชวนจวิ้นเจี่ยมากินข้าวที่นี่ 


 


 


เมื่อจวิ้นเจี่ยเห็นถังโจวโจวพาเธอมาที่ร้านนี้ เธอก็รู้สึกพึงพอใจกับถังโจวโจวมาก เธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของถังโจวโจวและเพื่อนร่วมงานนั้นอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม เมื่องานใครมีปัญหาอะไร ถ้าถังโจวโจวพอช่วยได้ก็จะช่วยในทันที 


 


 


ในครั้งนี้ถึงแม้จวิ้นเจี่ยจะบ่น แต่เธอก็ไม่คิดว่าถังโจวโจวจะเลี้ยงข้าวเธอจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะรักษาสัจจะขนาดนี้ พูดจริงทำจริงเสียด้วย 


 


 


“โจวโจว ฉันไม่สมควรได้รับมันหรอก” หลังจากที่พวกเธอสั่งอาหารเสร็จ จวิ้นเจี่ยก็ประสานมือพลางมองไปที่ถังโจวโจว 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าจวิ้นเจี่ยดูจะไม่ค่อยสบายใจ เธอจึงรีบยิ้มออกมา “พี่จวิ้นเจี่ย ปกติแล้วพี่ก็ดูแลฉันมาโดยตลอด ฉันแค่เลี้ยงข้าวพี่เอง ไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


จวิ้นเจี่ยเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบเซ้าซี้อะไรมาก เมื่อเห็นถังโจวโจวพูดอย่างจริงใจ เธอก็ไม่ได้พูดถึงปัญหานี้อีก เธอเปลี่ยนหัวข้อมาคุยเรื่องซุบซิบที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในบริษัท 


 


 


ทั้งสองคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ถังโจวโจวเองก็นึกไม่ถึงเลยว่า ช่วงเวลาที่เธอไม่ได้มาทำงานที่บริษัทแค่ในระยะสั้นๆ มันจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ แฟนหนุ่มของพนักงานต้อนรับที่ชื่อลี่ลี่ เขานอกใจเธอ 


 


 


เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อสำหรับถังโจวโจว ถังโจวโจวยังจำได้ว่าเมื่อก่อนแฟนหนุ่มของลี่ลี่มักจะทำซุปมาให้เธอ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ชายติดบ้าน เขาจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง? 


 


 


จวิ้นเจี่ยเห็นถังโจวโจวไม่เชื่อ เธอจึงอธิบายให้ฟังว่า “พวกเรามองคนผิดไปน่ะสิ ผู้ชายคนนั้นใจร้ายใจดำ เขาแค่บอกว่าเขาไม่รักเธอแล้ว จากนั้นเขาก็ไปหาผู้หญิงคนใหม่เลย แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยังมีหน้ามาอวดตัวที่บริษัทของเราอีก ทำเอาลี่ลี่โมโหเดือดดาลมาก” 


 


 


“เป็นไปไม่ได้มั้งคะ เขาเคยดีกับลี่ลี่มากเลยนะ ตอนที่ฉันยังไม่ได้ลาพัก ฉันยังเห็นเขามารับลี่ลี่หลังเลิกงานอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้” ถังโจวโจวไม่ค่อยเข้าใจ ลี่ลี่เองก็เป็นผู้หญิงที่ดี ทั้งสองคนใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขมาตลอดไม่ใช่เหรอ? 


 


 


“มันเป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกน่ะสิ ถ้าเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น ลี่ลี่จะกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง แล้วลี่ลี่ก็ยังพูดอย่างเด็ดขาดอีกว่าเธอจะทำให้คู่รักคู่นั้นได้เห็นดีกัน! แต่พอได้ฟังแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกเศร้าอยู่เหมือนกันนะ” 


 


 


ถังโจวโจวเข้าใจที่จวิ้นเจี่ยถอนหายใจ แม้ว่าคำพูดของลี่ลี่จะฟังดูโหดร้ายมากเพียงใด แต่หัวใจของเธอก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ แม้ว่าเธอจะแก้แค้นผู้ชายคนนั้นได้จริงๆ แต่หัวใจของเธอก็ไม่ได้มีความสุขหรอก เพราะความเจ็บปวดที่เธอเคยได้รับ มันไม่สามารถลบเลือนไปจากความทรงจำได้ 


 


 


หลังจากคุยกับจวิ้นเจี่ยต่ออีกสักพัก ถังโจวโจวและจวิ้นเจี่ยก็กลับไปที่บริษัท วันนี้ถังโจวโจวไม่ค่อยมีงาน เนื่องจากผู้จัดการไม่ได้จัดงานให้เธอทำมากนัก เขาแค่ขอให้จวิ้นเจี่ยพาเธอไปทำความคุ้นเคยกับงานล่าสุดของบริษัท เพื่อให้ถังโจวโจวมีความเข้าใจก่อนที่จะเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการในพรุ่งนี้  

 

 


ตอนที่ 146 งานเลี้ยงประจำปี

 

           วันส่งท้ายปีเก่าค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ และลั่วกรุ๊ปเองก็กำลังเตรียมจัดงานเลี้ยงประจำปีในช่วงค่ำวันนี้ ลั่วเซ่าเชินบอกถังโจวโจวตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าเธอต้องมาร่วมงานนี้กับเขา


 


 


           หวังหวามารับถังโจวโจวไปส่งที่ร้านเสื้อผ้า จากนั้นเธอก็สวมใส่ชุดที่จะใช้ออกงานในตอนเย็นและแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังหวาก็ไปส่งเธอถึงห้องทำงานของลั่วเซ่าเชิน


 


 


           ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวสวมกี่เพ้าสีขาวปักลายดอกไม้ ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำ เธอดูสวยสง่ามาก ลั่วเซ่าเชินไม่เคยเห็นถังโจวโจวแต่งตัวแบบนี้มาก่อน เขารู้สึกสนใจและมองเธออยู่สักพัก


 


 


           ถังโจวโจวเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าดีไซเนอร์จะแต่งตัวให้เธอแบบนี้ เธอคิดว่าตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับชุดแบบนี้สักเท่าไร เมื่อเธอเห็นลั่วเซ่าเชินเอาแต่จ้องมองเธออยู่ตลอด เธอก็นึกว่ามีอะไรผิดปกติไป “เซ่าเชิน มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าจะให้ฉันเปลี่ยนชุดดี?”


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินเข้าไปหาเธอ เขาจับมือเธอและพูดว่า “ไม่ต้องหรอก แบบนี้ดีแล้ว ผมแค่มองเพลินไปหน่อยน่ะ”


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกไม่เชื่อหู นี่เขาหมายความว่าเขาหลงใหลในตัวเธออย่างนั้นหรือ? ถังโจวโจวมองดูสายตาที่จริงจังของเขา ใบหน้ากลับห้ามสีแดงระเรื่อตรงแก้มเอาไว้ไม่ได้ ลั่วเซ่าเชินเอื้อมไปหยิบกล่องเครื่องประดับมาจากโต๊ะทำงาน


 


 


ลั่วเซ่าเชินไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเธอ เขารวบผมของเธอขึ้น จากนั้นก็สวมสร้อยคอให้กับเธอ เมื่อถังโจวโจวก้มหน้าลงมอง เธอก็พบว่ามันคือสร้อยเพชรสีน้ำเงิน แสงประกายจากเพชรเม็ดงามสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเธอ


 


 


“นี่มันไม่แพงเกินไปหน่อยหรือคะ อย่าให้ฉันใส่เลย เกิดฉันทำหายขึ้นมา ฉันจะชดใช้ไม่ไหว”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางหวาดระแวงของถังโจวโจว ลั่วเซ่าเชินก็ใช้ข้อนิ้วเขกหน้าผากเธอเบาๆ “ถ้ามันหายขึ้นมาจริงๆ คุณก็แค่ชดใช้ให้ผมด้วยตัวของคุณ!”


 


 


“หา?! ฉันไม่เอาด้วยหรอกค่ะ คุณถอดมันออกเลย” ในขณะที่พูด ถังโจวโจวหมายจะปลดสร้อยออกจริงๆ


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบหยุดการกระทำของเธอในทันที “หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้เลยเหรอ”


 


 


“นี่มันใช่เรื่องล้อเล่นที่ไหนกันคะ สร้อยคอเส้นนี้อยู่บนคอของคนธรรมดาๆ อย่างฉันเชียวนะ ชาตินี้ทั้งชาติฉันคงไม่มีวันซื้อสร้อยคอแบบนี้ได้ คุณนี่รวยมากจริงๆ” หากว่าคนทั่วไปได้ครอบครองสร้อยที่ล้ำค่าเส้นนี้ พวกเขาคงจะหวาดระแวงและอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ


 


 


ตามความคิดของถังโจวโจว ถ้าเธอมีสร้อยแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ สิ่งแรกที่เธอจะทำคือการนำมันไปขายและเปลี่ยนมาเป็นเงิน เพราะถ้าเป็นเงินที่อยู่ในมือของเธอ แล้วเธอเผลอทำหล่นหาย เธอก็คงจะรู้สึกเสียดายน้อยกว่านี้


 


 


นอกจากนี้ ถังโจวโจวก็ไม่ค่อยชอบเครื่องประดับเหล่านี้อยู่แล้ว เธอคิดแค่ว่าเธอจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วยเงินมากกว่า ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนหยาบกระด้างอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินได้ฟังความคิดของเธอ เขาก็รู้สึกว่านั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไร เพราะท้ายที่สุดแล้วต่างคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง และในมุมมองของเขา เงินก็เป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ได้จริงมากกว่าเครื่องประดับเหล่านี้


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มันวุ่นวาย เพราะสิ่งที่เขามีคือเงิน หากถังโจวโจวต้องการเครื่องประดับแบบนี้ เธอก็สามารถสวมใส่ได้ทุกวันโดยไม่ซ้ำกันเลย เพียงแต่ถังโจวโจวไม่ค่อยชอบของจำพวกนี้ ลั่วเซ่าเชินเคยเห็นเธอใส่อยู่แค่ไม่กี่ครั้งเอง


 


 


“เอาละๆ ถ้าคุณทำหายก็ไม่เป็นไร คุณใส่ให้สบายใจเถอะ ผมไม่ให้คุณเอาตัวเข้าแลกหรอก เพราะไม่ว่ายังไงตอนนี้คุณก็เป็นของผมแล้ว คุณจะเอาอะไรมาแลกได้อีกล่ะ”


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินพูดอย่างลอยหน้าลอยตา เธอก็อยากจะโต้เถียงในทันที เธอไม่ใช่คนของเขาสักหน่อย แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ตอนนี้เธอคือภรรยาของลั่วเซ่าเชิน ดังนั้นดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนของลั่วเซ่าเชินจริงๆ


 


 


เมื่อเธอไม่สามารถต่อกรกับลั่วเซ่าเชินได้ ถังโจวโจวก็เพียงทำหน้ามุ่ยและเงียบเสียงลง ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวพร้อมแล้ว เขาก็เหยียดแขนออกไป เพื่อส่งสัญญาณให้กับถังโจวโจว


 


 


ถังโจวโจวควงแขนของเขาอย่างว่าง่าย พวกเขาเดินออกมาจากห้องทำงานของผู้อำนวยการพร้อมกัน ลูซี่และหวังหวายืนรอพวกเขาอยู่ด้านนอก “ท่านผอ. คุณผู้หญิง”


 


 


           ลั่วเซ่าเชินพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ส่วนถังโจวโจวก็เพียงยิ้มละไม จากที่เธอเคยมาทำงานที่ลั่วกรุ๊ปอยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้หวังหวาและลูซี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธอ


 


 


เมื่อลูซี่ได้พบหน้าถังโจวโจวอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน เธอก็รู้สึกว่าถังโจวโจวดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเล็กน้อย


 


 


“ไปกันเลยไหมครับ ท่านผอ.” หวังหวาก้มหน้าลงพลางเอ่ยถามเบาๆ


 


 


“อืม ไปกันเถอะ” ลั่วเซ่าเชินควงถังโจวโจวเดินนำหน้าไป ส่วนลูซี่และหวังหวาก็เดินตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง


 


 


สำหรับงานเลี้ยงประจำปีในปีนี้ ลั่วเซ่าเชินสั่งให้คนจองพื้นที่ทั้งชั้นของโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไว้ พนักงานในบริษัททุกคนล้วนมาเข้าร่วมงานนี้ และกิจกรรมที่น่าจับตามองที่สุดในงานเลี้ยงก็คือการจับฉลาก


 


 


รางวัลที่ลั่วเซ่าเชินเตรียมไว้ในแต่ละปีนั้นไม่เคยธรรมดา รางวัลที่หนึ่งคือเงินสดหนึ่งแสนหยวน รางวัลที่สองคือโบนัสสิ้นปีสองเท่า และรางวัลที่สามก็คือกอดจากลั่วเซ่าเชิน


 


 


ในทุกๆ ปี สิ่งที่ผู้คนรอคอยจะได้เห็นกลับไม่ใช่รางวัลที่หนึ่งและที่สอง แต่พวกเขาอยากรู้ว่าใครจะมีโชคได้รับกอดจากลั่วเซ่าเชินไป เป็นที่รู้กันดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เข้าใกล้ลั่วเซ่าเชิน นี่เป็นช่วงเวลาที่จะได้ใกล้ชิดกับท่านผอ. มากที่สุด!


 


 


รางวัลนี้ถูกเสนอขึ้นมาเมื่อปีที่แล้วจึงนับเป็นปีแรก และปรากฏว่าลูซี่เป็นคนจับฉลากได้ ทุกคนรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะลูซี่ทำงานอยู่กับท่านผอ. ทุกวันอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะจับได้รางวัลนี้ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก


 


 


ดังนั้น ในปีนี้พนักงานหญิงภายในบริษัทจึงสวดมนต์อ้อนวอน ดูสิว่าโชคดีจะตกมาถึงพวกเธอไหม


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินพาถังโจวโจวเข้ามาในงาน ผู้คนภายในงานต่างก็ฮือฮากันยกใหญ่ พวกเขาสองคนเหมาะสมกันมาก ร่างสูงใหญ่ของลั่วเซ่าเชินมาพร้อมกับร่างเพรียวบางน่าทะนุถนอมของถังโจวโจว ความจริงแล้วส่วนสูงของถังโจวโจวก็ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง แล้ววันนี้เธอยังสวมรองเท้าส้นสูงที่สูงประมาณสิบเซนติเมตรอีก จึงทำให้ดูสมส่วนมากขึ้น แม้ว่าเมื่อเธอยืนอยู่กับลั่วเซ่าเชินแล้ว เธอก็ยังเตี้ยกว่าเขาอยู่ประมาณหนึ่งก็ตาม


 


 


ภายใต้แสงไฟที่สาดส่อง สิ่งแรกที่พนักงานหญิงสังเกตเห็นก็คือสร้อยเพชรที่อยู่บนคอของถังโจวโจว เสียงฮือฮาดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน “พระเจ้า! ดูสร้อยเส้นนั้นที่อยู่บนคอของคุณผู้หญิงสิ!”


 


 


“ฉันเห็นแล้ว ท่านผอ. ดีกับคุณผู้หญิงมากเหลือเกิน แล้วพวกเขาก็เหมาะสมกันมากๆ ด้วย” ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้แต่มองตาปริบๆ


 


 


เธอเป็นเด็กฝึกงานคนใหม่ของลั่วกรุ๊ปในปีนี้ เธอเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในบริษัทได้ไม่นาน ความรู้สึกแรกของเธอบอกเธอว่าลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเหมาะสมกันมากจริงๆ


 


 


“เธอเหมาะกับท่านผอ. ตรงไหนกัน จริงๆ เลย! ดูคนเป็นหรือเปล่าเนี่ย!” ทันใดนั้น เสียงที่เห็นต่างก็ดังขึ้นมา ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจและหันไปมองเธอเป็นตาเดียว เมื่อเห็นว่าสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา ทุกคนต่างก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอเป็นอีกคนหนึ่งที่แอบปลื้มท่านผอ.


 


 


คำพูดที่หึงหวงแบบนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง พนักงานหญิงในลั่วกรุ๊ปต่างให้ความหมายกับลั่วเซ่าเชินไม่มากก็น้อย สำหรับคนที่มีครอบครัวแล้ว เมื่อพวกเธอมองดูลั่วเซ่าเชิน พวกเธอก็แค่รู้สึกว่าเขาดูหล่อดี พวกเธอแค่ชื่นชมเขาเท่านั้น ไม่มีอะไรแอบแฝง


 


 


ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งมักจะคิดว่า ช่วงเวลาแม้ขณะหนึ่งที่ได้พบหน้าลั่วเซ่าเชินก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้ว แต่น่าเสียดายที่มีแต่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้นที่จะสามารถติดต่อกับลั่วเซ่าเชินได้ พนักงานตัวเล็กๆ อย่างพวกเธอก็ได้แต่แบกความหวังเอาไว้ และตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป


 


 


           นอกจากนี้ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พื้นเพไม่สูงแต่ทะเยอะทะยาน พวกเธอมักจะคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมกับลั่วเซ่าเชินนอกจากตัวของพวกเธอเอง และหลีเหวินก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เธอคือผู้จัดการฝ่ายการเงินของลั่วกรุ๊ป ด้วยเนื้องานของเธอแล้ว เธอจึงมีโอกาสได้พูดคุยกับลั่วเซ่าเชิน


 


 


           หลีเหวินตกหลุมรักลั่วเซ่าเชินตั้งแต่แรกพบ เพียงแต่ในตอนนั้นลั่วเซ่าเชินไม่ได้สนใจใครเลย อีกทั้งเขาก็ไม่เคยมีข่าวลือกับผู้หญิงคนอื่นด้วย แต่จะว่าไปแล้วเขาก็เคยมีข่าวกับเมิ่งชิงซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเมิ่งว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา แต่ข่าวนี้ก็ไม่ได้รับการยืนยันจากลั่วเซ่าเชิน


 


 


           ดังนั้นหลีเหวินจึงยังคงโอบอุ้มความหวังไว้ในใจและรอให้ลั่วเซ่าเชินค้นพบเธอเข้าสักวัน แล้วด้วยความสามารถของเธอเอง เพียงไม่นานเธอก็สามารถปีนขึ้นไปสู่ตำแหน่งผู้จัดการของฝ่ายการเงินได้ และมีโอกาสได้พบเจอกับลั่วเซ่าเชินมากขึ้น แต่หลีเหวินก็คิดวิธีการเรียกร้องความสนใจจากลั่วเซ่าเชินไม่ได้เลย


 


 


           เธอชะล่าใจอยู่อย่างนั้น กระทั่งจู่ๆ เธอก็ได้ยินมาว่าลั่วเซ่าเชินแต่งงานแล้ว และลั่วเซ่าเชินเองก็ยังพาถังโจวโจวมาที่ลั่วกรุ๊ปเพื่อแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักด้วย!


 


 


           หลังจากที่หลีเหวินได้พบถังโจวโจวตัวเป็นๆ เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าถังโจวโจวเป็นภัยต่อเธอเลย ดังนั้น คำสบถหรือถ้อยคำหึงหวงที่พูดออกมาอย่างชัดเจน หรือคำสาปแช่งถังโจวโจวที่ไม่เคยได้ผล หลีเหวินไม่เคยกระทำเรื่องพรรค์นี้เลย


 


 


           สิ่งที่เธอจะทำก็คือการทำให้ลั่วเซ่าเชินโปรดปรานเธอ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ในทุกๆ ปีการประเมินผลงานของเธอก็จะสูงที่สุด ลั่วเซ่าเชินเอ่ยปากชมเธอต่อหน้าที่ประชุมอยู่หลายครั้งหลายครา


 


 


           และทุกครั้งที่ลั่วเซ่าเชินชมเชยเธอ หลีเหวินจะแสดงสีหน้าที่อ่อนน้อมถ่อมตน แม้ภายในใจจะมีความสุขมาก แต่เธอกลับไม่กล้าแสดงมันออกมา เพราะกลัวลั่วเซ่าเชินจะคิดว่าเธอภาคภูมิใจมากเกินไป


 


 


           แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากหลีเหวินมักจะให้ความสนใจกับข่าวที่เกี่ยวข้องกับลั่วเซ่าเชิน เธอจึงค่อยๆ พบว่าลั่วเซ่าเชินปฏิบัติกับถังโจวโจวแตกต่างออกไป หลีเหวินยังแอบได้ยินมาว่าคุณผู้หญิงตั้งครรภ์แล้วด้วย แต่น่าเสียดายที่เพียงไม่นานเธอก็แท้งลูกไป


 


 


           ณ ตอนนั้นที่หลีเหวินได้ยินข่าวนี้ เธอกำหมัดแน่นและแอบดีใจอยู่เงียบๆ แท้งลูกสิดี ดีที่สุด! ถังโจวโจวจะได้ทำให้ท่านผอ. รู้สึกเบื่อหน่าย


 


 


           แต่ต่อมาเธอก็ไม่ค่อยได้ยินข่าวของท่านผอ. และถังโจวโจวอีกเลย แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทุกคนในบริษัทต่างก็บอกต่อกันว่า ช่วงนี้ท่านผอ. ไม่สบอารมณ์ หลีเหวินเองก็เคยเจอมากับตัว และในครั้งนั้นเองลั่วเซ่าเชินก็ได้วิจารณ์เธออย่างรุนแรง ซึ่งนั่นทำให้หลีเหวินทนไม่ได้


 


 


           รู้ไหมว่าตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาอยู่ในลั่วกรุ๊ป ท่านผอ. ไม่เคยพูดแบบนั้นกับเธอมาก่อนเลย ในครั้งนั้นเนื่องจากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เขากลับต่อว่าเธออย่างรุนแรง


 


 


           หลีเหวินสืบข่าวนี้ได้จากโรงอาหาร ที่แท้คุณผู้หญิงก็หนีออกจากบ้าน ดังนั้น ท่านผอ. จึงอารมณ์เสีย หลีเหวินคิดว่าที่เธอต้องถูกต่อว่าในครั้งนั้น ทั้งหมดมันเป็นความผิดของถังโจวโจว นับตั้งแต่นั้นเธอจึงแอบจดหนี้แค้นที่มีต่อถังโจวโจวไว้ในใจ


 


 


           เมื่อเห็นถังโจวโจวเดินควงแขนของลั่วเซ่าเชินเข้ามาในงาน เธอก็ได้ยินถ้อยคำอิจฉาจากผู้คนที่อยู่รอบด้าน หลีเหวินทำได้แค่เพียงขบฟันอยู่เงียบๆ และกำมือแน่น แม้ว่าเล็บของเธอจะทิ้งรอยไว้ที่อุ้งมือ เธอก็ไม่สนใจแล้ว


 


 


           เสียงฮือฮาในขณะที่ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเดินเข้ามาในงานดังเอ็ดอึงอยู่ชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานทุกคนก็กลับสู่ภาวะปกติ ความตื่นเต้นของถังโจวโจวก็ค่อยๆ สงบลง การเป็นจุดสนใจของผู้คนนี่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถรับมือได้ง่ายจริงๆ


 


 


           บางครั้งถังโจวโจวก็รู้สึกนับถือลั่วเซ่าเชินมาก สำหรับการออกงานแบบนี้ เธอไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้ามากกว่าหนึ่งแบบเลย ใบหน้าเขามักจะเคร่งขรึมทุกครั้ง ราวกับว่าคนอื่นเป็นหนี้เขาอยู่สองร้อยห้าสิบเอ็ดหยวน


 


 


พิธีกรกล่าวเปิดงานอยู่บนเวที ต่อจากนั้นลั่วเซ่าเชินก็ขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งนอกจากคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจแล้วก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ 

 

 


ตอนที่ 147 จูบสามนาที

 

           หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินกล่าวสุนทรพจน์จบ พนักงานแต่ละคนก็เดินไปคุยกับคนที่ตัวเองรู้จัก จะเห็นได้ว่าภายในห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ถังโจวโจวที่จำต้องตามติดผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในห้องนี้ จึงทำให้ไม่สามารถปลีกตัวออกไปไหนได้


 


 


           พวกเขาเพิ่งจะทักทายท่านรองผู้อำนวยการไปได้ไม่นาน ผู้จัดการแต่ละแผนกก็เดินปรี่เข้ามาหาอีก ถังโจวโจวไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เธอจึงได้แต่ยืนนิ่งเป็นแจกันดอกไม้อยู่ข้างๆ ลั่วเซ่าเชิน


 


 


           เพียงแต่ท่ามกลางเหล่าผู้จัดการ มีแค่ผู้จัดการหญิงคนเดียวเท่านั้นที่สะดุดตาเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะอำพรางมาอย่างดี แต่ถังโจวโจวก็ยังพบพิรุธ ผู้จัดการหลีคนนี้ดูเหมือนจะสนใจสามีของเธอ


 


 


           เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐาน ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินพูดคุยกับเหล่าผู้จัดการ ถังโจวโจวก็ได้จับตาดูผู้จัดการหลีของฝ่ายการเงินอย่างใกล้ชิด ถังโจวโจวเห็นว่าแม้ว่าคำพูดของเธอจะไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น แต่ดวงตาของเธอมักจะแอบชำเลืองมองลั่วเซ่าเชินเป็นครั้งเป็นคราว


 


 


           ถังโจวโจวโกรธมาก ลั่วเซ่าเชินช่างเป็น ‘ดอกไม้สีช้ำที่ยังล่อตาล่อตาใจเหล่าผีเสื้อได้’[1] จริงๆ ไปถึงไหนก็ได้รับความนิยมถึงนั่น!


 


 


           หลีเหวินตามผู้จัดการท่านอื่นๆ มาคุยกับลั่วเซ่าเชิน เพื่อต้องการมองลั่วเซ่าเชินให้ถนัดตา และเมื่อเธอเห็นภรรยาของเขายืนอยู่ข้างๆ หลีเหวินก็รู้สึกปั่นป่วนไปชั่วขณะ ไม่ว่าจะเป็นหึง หวง โกรธ ฝืนทน เสียใจ ล้วนมีทั้งหมด


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่ได้แสดงความสนิทชิดเชื้อกับใครเป็นพิเศษ ซึ่งหลีเหวินก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องเสียมารยาทอะไร เธอคิดแค่ว่าด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ลั่วเซ่าเชินแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น นี่อาจจะเรียกได้ว่าเพราะความรักบังตา ทำให้โลกของหลีเหวินกลายเป็นสีชมพู


 


 


           ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่ได้ใส่ใจว่าหลีเหวินจะรู้สึกอะไรกับเขาหรือไม่ แม้ว่าหลีเหวินจะเคยดูห่วงเป็นใยเขาอยู่บ้างก็ตาม แต่มันก็เป็นไปภายใต้ข้ออ้างที่เหมาะสม ลั่วเซ่าเชินไม่เคยเอะใจอะไรเลย หรือต่อให้เขารู้ตัว เขาก็ไม่สนใจ กอปรกับในช่วงนั้นเขามัวแต่หงุดหงิดกับความรุ่มร่ามของเมิ่งชิงซี


 


 


           แม้ว่าแต่ก่อนหลีเหวินจะไม่ได้สนใจถังโจวโจว แต่ตอนนี้เธอก็ต้องยอมรับว่า ถังโจวโจวเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของเธอ หลีเหวินสังเกตเห็นว่า แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะกำลังพูดคุยอยู่กับพวกเขา แต่ถ้าถังโจวโจวต้องการอะไร เขาก็จะรู้ได้ในทันที


 


 


           ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทุ่มเทความสนใจไปที่เธอ เขาจะตอบสนองต่อสิ่งที่ถังโจวโจวต้องการได้ไวกว่าถังโจวโจวได้อย่างไร และความรักของลั่วเซ่าเชินที่มีต่อถังโจวโจวอย่างลึกซึ้ง คือสิ่งที่หลีเหวินไม่อยากจะเห็น


 


 


“โจวโจว อย่าดื่มเยอะ เดี๋ยวคุณก็เมาหรอก”


 


 


เหล่าผู้จัดการที่อยู่รอบๆ เอ่ยสมทบ “ท่านผอ. ดีกับคุณผู้หญิงมากเลยนะครับ พวกเรานี่เทียบไม่ติดเลย”


 


 


“ไม่หรอก เวลาเธอดื่มเธอมักจะไม่รู้ตัวน่ะ ถ้าผมไม่จับตาดูเอาไว้ เกิดไม่สบายขึ้นมา เดี๋ยวเธอก็จะมาโทษผมอีก” ลั่วเซ่าเชินพูดอย่างน่าสงสาร ราวกับว่านอกเหนือเวลางานถังโจวโจวกลับเป็นฝ่ายที่ควบคุมเขา


 


 


ถังโจวโจวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ตอนนี้เธออยู่ในที่สาธารณะ ซ้ำยังห้อมล้อมไปด้วยลูกน้องของลั่วเซ่าเชิน เธอจึงไม่กล้าฉีกหน้าเขา จึงได้แต่บ่นในใจว่า ‘กลับบ้านเมื่อไร เดี๋ยวเจอกัน!’


 


 


“คุณผู้หญิงนี่โชคดีจริงๆ ครับ!”


 


 


เมื่อหลีเหวินได้ยินเหล่าผู้จัดการเอ่ยปากชมถังโจวโจว เธอก็รู้สึกได้ว่าในอกของเธอนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น แต่มันไม่มีทางไหนที่จะระบายออกมาได้ เธอจึงทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มทว่าแข็งทื่อ และเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตา หลีเหวินก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยซ่อนความรู้สึกในแววตา


 


 


ในขณะที่เธอไม่ต้องการให้ใครสังเกตเห็นตัวเอง แต่แล้วใครบางคนกลับเอ่ยถึงหลีเหวินขึ้นมา “วันนี้ผู้จัดการหลีดูเงียบๆ นะครับ ไม่สบายหรือเปล่า” ผู้จัดการหวังของฝ่ายขายเอ่ยถามด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่าหลีเหวินไม่ได้ร่าเริงเหมือนปกติ


 


 


ผู้จัดการท่านอื่นๆ อมยิ้มและหันมามองตาม พวกเขาต่างก็ทราบดีว่าหวังหนิง ผู้จัดการฝ่ายขายสนใจหลีเหวิน แต่หลีเหวินไม่เคยหวั่นไหวเลย หวังหนิงจึงได้แต่พยายามต่อไป เผื่อว่าสักวันหนึ่งหลีเหวินจะหันกลับมามองเขาบ้าง


 


 


เมื่อหลีเหวินเห็นว่าดวงตาทุกคู่จับจ้องมาที่เธอ เธอก็กระแอมไอเบาๆ “ฉันไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ ฉันขอตัวก่อน” หลีเหวินยิ้มเจื่อน


 


 


หวังหนิงเห็นเธอเดินออกไปไกลแล้ว แต่แววตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความกังวล คนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มและพูดคุยกันต่อเหมือนเดิม หวังหนิงไม่อาจวางใจลงได้ เขาจึงหันไปพูดกับคนอื่นๆ ว่า “ขอโทษนะครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”


 


 


พวกเขายิ้มตอบอย่างเข้าใจ เมื่อถังโจวโจวเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เธอจึงกระซิบกับลั่วเซ่าเชินว่า “สองคนนี้เขามีอะไรกันหรือเปล่าคะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินจิ้มหน้าผากถังโจวโจวเบาๆ “มัวแต่ห่วงเรื่องของคนอื่น ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ!” ถังโจวโจวยู่ปากใส่ แค่ถามนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้


 


 


เกมระหว่างพักครึ่งของงานเลี้ยงมาถึงแล้ว ดูเหมือนว่าพิธีกรจะขอให้คนยกกล่องขนาดใหญ่ออกมา สายตาของทุกๆ คนจับจ้องไปที่กล่องใบนั้น เวลาตัดสินโชคชะตาได้มาถึงแล้ว


 


 


ก่อนหน้านี้ถังโจวโจวไม่เข้าใจว่าหมายเลขที่เธอได้มามีไว้ทำอะไร ที่แท้มันก็ได้ใช้ตอนนี้เอง!


 


 


ถังโจวโจวไม่คิดว่าเธอจะเป็นผู้โชคดี ดังนั้นเธอจึงแค่ยืนมองเฉยๆ แล้วก็แอบถือโอกาสดูไปด้วยว่ารางวัลใหญ่ของลั่วกรุ๊ปคืออะไร


 


 


เธอยืนฟังพิธีกรที่พูดอยู่บนเวที “ตอนนี้ขอเชิญคุณลั่วเซ่าเชิน ท่านผู้อำนวยการแห่งลั่วกรุ๊ป ขึ้นมาประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ครับ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินพูดอะไรกับถังโจวโจวเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวที เมื่อยืนอยู่บนเวที ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มีแต่พิธีกรข้างกายเท่านั้นที่คอยเอ่ยกระตุ้นคนภายในงาน


 


 


“เชิญท่านผอ. ลั่วหยิบหมายเลขออกมาจากกล่องเลยครับ เรามาดูกันว่าใครจะได้เป็นผู้โชคดีรายแรกของวันนี้!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินเอื้อมมือเข้าไปในกล่องฉลาก สายตาทุกคู่จับจ้องไปบนเวที ถังโจวโจวเองก็มองมือข้างนั้นของลั่วเซ่าเชินเหมือนกัน แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าเธอไม่มีทางได้รางวัล แต่ขอแค่ได้มองก็ยังดี


 


 


ท่ามกลางความสนใจของผู้คน ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็หยิบลูกบอลออกมาและส่งมันให้กับพิธีกร และเมื่อพิธีกรรับมาดู เขาก็ประกาศเสียงดังว่า “หมายเลขสิบแปดครับ! ใครที่ถือหมายเลขสิบแปดอยู่ ขอเชิญออกมาด้านหน้าเลยครับ”


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “อยู่นี่ค่ะ! ฉันอยู่นี่!”


 


 


เมื่อพิธีกรหนุ่มเห็นสาวสวยพราวเสน่ห์เป็นผู้โชคดี น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งปลุกเร้าบรรยากาศ “ขอเชิญผู้โชคดีท่านนี้ขึ้นมารับรางวัลบนเวทีและกล่าวความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ครับ”


 


 


เมื่อหญิงสาวที่ได้รับรางวัลที่หนึ่งเอ่ยความในใจเรียบร้อยแล้ว จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็มอบรางวัลให้เธอกับมือ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ แล้วเธอก็ตื่นเต้นไปหมด ถังโจวโจวมองดูหญิงสาวคนนั้นที่ได้รับรางวัลจากลั่วเซ่าเชิน เธอน่าจะตื่นเต้นกับการที่ได้จับมือลั่วเซ่าเชินมากกว่ารางวัลที่ได้รับเสียอีก


 


 


รางวัลถัดไปคือรางวัลที่สอง ครั้งนี้เป็นสุภาพบุรุษที่ได้ไป ถังโจวโจวมองเขา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพนักงานธรรมดาๆ ที่หน้าตาหล่อเหลา แต่เมื่อยืนอยู่กับลั่วเซ่าเชิน เขาก็ยังดูเทียบไม่ติดอยู่ดี


 


 


           เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนั้นก็ดูตื่นเต้นมากเช่นกัน นี่น่าจะเป็นครั้งแรกของเขาที่ได้ใกล้ชิดกับท่านผู้อำนวยการ ถังโจวโจวสนุกสนานอยู่กับคาดเดาอยู่ด้านล่าง ขณะเดียวกันลั่วเซ่าเชินมองลงไปก็เห็นเธอยิ้มปนหัวเราะจนตาหยีเข้าพอดี เขาก็รู้แล้วว่าเธอกำลังเพลิดเพลินกับงานและหัวเราะท่าทางนิ่งเฉยของเขาอยู่


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดไว้ไม่มีผิด เพราะสิ่งที่ถังโจวโจวอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือใครจะได้รางวัลที่สามไป เธออดเปรยเบาๆ ออกมาไม่ได้ว่า “ไม่รู้ใครเป็นคนเสนอรางวัลนี้ขึ้นมา ลั่วเซ่าเชินหวงเนื้อหวงตัวจะตาย ขอดูหน่อยสิว่าเขาจะรับมือยังไง”


 


 


ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังพึมพำอยู่นั้น มือของลั่วเซ่าเชินก็ล้วงเข้าไปในกล่องอีกครั้ง แสงไฟสาดส่องมาที่ลั่วเซ่าเชิน รูปร่างของเขาเหมือนกับเทพเจ้าก็ไม่ปาน แล้วถังโจวโจวก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในวันนั้น ที่เขาล้มนักเลงสองคนได้ง่ายดายราวกับฮีโร่เลยทีเดียว


 


 


ลั่วเซ่าเชินหยิบลูกบอลออกมาหนึ่งลูก ครั้งนี้เขาไม่ได้ส่งมันให้กับพิธีกร เขาเอ่ยปากขานเลขด้วยตัวเองว่า “หมายเลขสามสิบห้าครับ”


 


 


พิธีกรเอ่ยเสียงดัง “หมายเลขสามสิบห้า! ใครเป็นเจ้าของหมายเลขสามสิบห้าครับ”


 


 


เสียงฮือฮาเริ่มดังไปทั่ว ทุกคนต่างส่งเสียงเรียก “หมายเลขสามสิบห้าอยู่ที่ใครน่ะ”


 


 


“ทำไมไม่ออกมา”


 


 


“ทำไมเรื่องดีๆ แบบนี้ถึงไม่เกิดขึ้นกับฉัน”


 


 


ถังโจวโจวปรายตามองไปรอบๆ เหมือนคนอื่นๆ เธอเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าใครได้หมายเลขสามสิบห้าไป แล้วทำไมถึงไม่ปรากฏตัวสักที


 


 


           หลังจากหากันอยู่นาน ก็ไม่มีใครออกมายอมรับว่าตัวเองคือหมายเลขสามสิบห้า เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวคนเซ่อยังคงมองซ้ายมองขวาตามคนอื่นอยู่ เธอไม่ได้ดูหมายเลขที่อยู่บนข้อมือของตัวเองเลย เขาก็ทำได้แค่ตะโกนบอกเธออย่างจนใจ “โจวโจว ดูที่หมายเลขของคุณสิ”


 


 


           เมื่อถังโจวโจวได้ยินลั่วเซ่าเชินเรียกชื่อของเธอ เธอก็พลิกข้อมือและก้มหน้าดูในทันที แล้วเธอก็พบว่ามีเลขสามสิบห้าขนาดใหญ่เขียนอยู่ เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าผู้โชคดีเลขที่สามสิบห้าคือตัวเธอเอง!


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยังคงยืนนิ่งอยู่ พิธีกรก็รีบพูดแทรกขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าท่านผอ. และคุณผู้หญิงจะเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ นะครับ ผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลที่สามไปในวันนี้ ได้แก่ คุณผู้หญิงครับ! ช่วยกันปรบมือต้อนรับคุณผู้หญิงขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ”


 


 


พิธีกรทำการบ้านมาก่อนแล้ว เขารู้ว่าภรรยาของท่านผอ. ชื่อถังโจวโจว และเธอไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็น เมื่อครู่พอได้ยินลั่วเซ่าเชินเรียก ‘โจวโจว’ เขาจึงเดาได้ว่าภรรยาของท่านผอ. เป็นคนที่ถือหมายเลขสามสิบห้าอยู่ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ขยับ เขาจึงพูดติดตลกเสริมสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงดังเดิม


 


 


ถังโจวโจวตกตะลึง เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้รางวัลจริงๆ นี่มันไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ? ถังโจวโจวคิดว่าต้องเป็นแผนการของลั่วเซ่าเชินแน่นอน แต่ตอนนี้เธอต้องรีบขึ้นไปบนเวทีก่อน ดีกว่าถูกจ้องมองอยู่อย่างนี้


 


 


เมื่อถังโจวโจวขึ้นมาบนเวทีแล้ว พิธีกรก็ขอให้เธอยืนใกล้ๆ กับลั่วเซ่าเชิน ก่อนที่เขาจะเริ่มร่ายคำพูดจำพวกว่า ‘ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินมีวาสนาต่อกันมาก’ ‘เป็นเนื้อคู่กันจริงๆ’ จากนั้นก็ตบท้ายด้วยการพูดถึงบริษัทลั่วกรุ๊ปที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไปในอนาคต


 


 


จนกระทั่งลั่วเซ่าเชินปรายตามองมาที่เขา พิธีกรจึงเปลี่ยนหัวข้อที่กำลังพูดอยู่ไปเป็นเรื่องของผู้ที่ได้รับรางวัลที่สาม เขากำลังสงสัยอยู่ว่าทำไมท่านผอ. ลั่วถึงได้ใจร้อนมากขนาดนี้


 


 


งานเลี้ยงประจำปีของลั่วกรุ๊ปเมื่อปีที่แล้วก็ได้พิธีกรคนนี้เป็นคนดำเนินงานให้ พิธีกรยังจำได้ดีว่า ในตอนนั้นท่านผอ. ไม่ได้แสดงท่าทางหรืออาการอะไรเลย และคนที่เขาจับฉลากให้ได้รางวัลนี้ในตอนนั้นก็คือเลขาฯ ของเขาเอง ลั่วเซ่าเชินก็ยังคงรักษามาดที่เย็นชา ทำให้บรรยากาศที่กำลังคึกคักอยู่นั้นสะดุดไป


 


 


แต่ปีนี้กลับรีบร้อนมาก ดูเหมือนว่าภรรยาของท่านผอ. คนนี้จะเป็นคนสำคัญสำหรับท่านผอ. มาก!


 


 


“เอาละครับ ต่อไปเป็นช่วงเวลาที่พวกเรารอคอย ขอเชิญท่านผอ. กอดคุณผู้หญิงครับ แต่ผมขอพูดอะไรสักเล็กน้อย คุณผู้หญิงน่าจะกอดท่านผอ. บ่อยอยู่แล้ว ผมว่าเราควรจะเพิ่มการจูบเพื่อให้คนด้านล่างได้เห็นเป็นบุญตาสักหน่อย ดีไหมครับ!”


 


 


คนที่อยู่ด้านล่างเริ่มสนุกด้วย “ถูกต้อง! ท่านผอ. ต้องจูบกับคุณผู้หญิงนานหนึ่งนาทีนะ”


 


 


“ไม่ได้ๆ หนึ่งนาทีน้อยเกินไป สามนาทีสิ!”


 


 



 


 


เมื่อถังโจวโจวได้ยินเสียงจากด้านล่างตะโกนบอกให้ลั่วเซ่าเชินจูบเธอเป็นเวลาสามนาที แล้วต้องเป็นการจูบที่ดูดดื่มด้วย เธอก็เครียดขึ้นสมอง เธออยากจะวิ่งหนีหายไปจากงานเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครจับเธอกลับมาหรือเปล่า?


 


 


พิธีกรเห็นว่าด้านล่างเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ แต่ทุกคนดูตื่นเต้นมาก เขาก็เลยส่งไมโครโฟนไปให้ลั่วเซ่าเชินและถามว่า “ท่านผอ. ดูสิครับ พวกเขาเรียกร้องกันขนาดนี้ ท่านจะไม่สนองความต้องการของพวกเขาหน่อยหรือครับ”


 


 


ถังโจวโจวจ้องเขาตาเขม็ง ถ้าลั่วเซ่าเชินตอบว่าเขาจะจูบเธอสามนาที เธอจะกัดเขาให้จมเขี้ยวเลย ดูสิว่าเขาจะยังกล้าทำแบบนั้นอีกหรือเปล่า มิน่าล่ะ วันนี้เธอถึงได้รู้สึกว้าวุ่นใจแปลกๆ เธอไม่ควรก้าวเท้าออกมานอกบ้านแต่แรกเลย!


 


 


 


 


[1] ดอกไม้สีช้ำที่ยังล่อตาล่อตาใจเหล่าผีเสื้อได้ หมายถึง ผู้ชายที่มีเจ้าของแล้วแต่ยังมีเสน่ห์น่าหลงใหล 

 

 


ตอนที่ 148 จูบแค่หนึ่งนาที

 

        ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวส่งสายตาอ้อนวอนมาบอกใบ้ว่า ‘อย่ารับปาก’ เดิมทีลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้อยากตอบรับ แต่เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวมีท่าทีกังวล ทันใดนั้นความชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในสมอง เขาจึงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “เอาเถอะ สามนาทีมันนานเกินไป จูบแค่นาทีเดียวก็แล้วกัน!” 


 


 


           เมื่อถังโจวโจวเห็นเขาตกปากรับคำแล้วจริงๆ เธอก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งลงจากเวที เธอไม่อยากจูบกับลั่วเซ่าเชินในที่สาธารณะแบบนี้ มันน่าอายจะตายไป! 


 


 


           น่าเสียดายที่ลั่วเซ่าเชินคว้าเธอไว้ได้ทัน คนที่อยู่ด้านล่างตะโกนอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านผอ. รีบจูบเร็วครับ! พวกเรารอกันอยู่!” 


 


 


“คุณผู้หญิงไม่ต้องอายนะครับ แค่จูบเท่านั้นเอง” 


 


 


“โจวโจว ดูเหมือนว่าวันนี้คงต้องเลยตามเลยแล้วล่ะ คงมีแค่คุณเท่านั้นที่จะเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้ ผมเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอกนะ” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาผลักภาระมาให้เธอ เธอก็ยิ่งโมโห “ใครบอกให้คุณตอบรับล่ะ คุณต้องแก้ปัญหานี้เองสิ!” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวยกปัญหานี้ให้เขา เขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “โอเค ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ ผมก็จะทำตามวิธีของผมแล้วกันนะ” 


 


 


ถังโจวโจวยังคงสงสัยอยู่ว่าทำไมเขาถึงว่าง่ายขนาดนี้ และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นว่าแสงไฟตรงหน้าเธอถูกบดบังไป และก่อนที่เธอจะตั้งสติได้ เธอก็รู้สึกถึงสัมผัสที่คุ้นเคยตรงริมฝีปากของเธอ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินโอบกอดถังโจวโจวและบดแทรกลิ้นเข้าไปในปาก กว่าถังโจวโจวจะรู้ตัว เธอก็ถูกลั่วเซ่าเชินจูบอย่างหนักหน่วงจนเธอเกือบจะหยุดหายใจ 


 


 


คนที่อยู่ด้านล่างเงียบเสียงลงเพราะกลัวว่าจะทำลายฉากอันแสนสวยงามฉากนี้เข้า หลีเหวินมองดูคู่รักที่ยืนแลกจูบกันอยู่บนเวทีด้วยความอิจฉาตาร้อน ส่วนหวังหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็พูดออกมาจากใจว่า “ท่านผอ. กับภรรยารักกันดีจังเลยนะครับ” 


 


 


หลีเหวินอยากจะตอกกลับไป พวกเขารักกันดีที่ไหนล่ะ นั่นมันก็แค่ภาพลวงตา เหมือนกับว่าถ้าหลีเหวินปลอบใจตัวเองแบบนี้ เธอก็จะมีความกล้าที่สามารถอดทนมองไปยังคนทั้งสองบนเวทีได้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินพูดจริงทำจริง เขาบอกว่าจะจูบเธอหนึ่งนาที เขาก็จูบแบบไม่ขาดไม่เกินเลยสักวินาที ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร เมื่อลั่วเซ่าเชินถอนริมฝีปากออกจากเธอ ถังโจวโจวก็อ้าปากหอบแฮกๆ ก่อนจะจ้องเขาเขม็งด้วยความโกรธเคือง 


 


 


น่าเสียดายที่ลั่วเซ่าเชินไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ยิ่งเขาเห็นว่าถังโจวโจวโกรธ เขาก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข ถังโจวโจวทำได้แค่เก็บคำบ่นไว้ในใจ เดี๋ยวค่อยกลับไปคิดบัญชีกับเขาทีหลัง 


 


 


“เป็นอะไรไป อารมณ์เสียเหรอ” ลั่วเซ่าเชินกระซิบข้างหูถังโจวโจว 


 


 


ถังโจวโจวเมินหน้าหนีไม่สนใจเขา พิธีกรที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “ท่านผอ. สุดยอดไปเลยครับ! ทำไมท่านถึงทำได้ครบกำหนดพอดี ไม่ขาดไม่เกินเลยสักวิ!” พิธีกรอดที่จะยกนิ้วให้กับลั่วเซ่าเชินไม่ได้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเพียงแค่เอื้อมมือไปรับไมโครโฟนมา และแทนที่เขาจะตอบคำถามของพิธีกร เขากลับประกาศอะไรบางอย่าง 


 


 


“วันนี้ผมขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะครับว่า ในปีต่อๆ ไปรางวัลที่สามจะถูกเปลี่ยนเป็นรางวัลอื่นแทน อย่างที่ทราบกันดีว่าผมแต่งงานแล้ว หากยังให้กอดของผมเป็นรางวัลอีก เดี๋ยวภรรยาของผมจะหึงเอาได้” 


 


 


เสียงเอ็ดอึงดังขึ้นจากผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที บางคนก็พูดออกมาอย่างเสียดายว่า ทำไมตัวเองถึงไม่เจอผู้ชายที่เพียบพร้อมแบบนี้บ้าง หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินประกาศการเปลี่ยนรางวัลที่ทำร้ายจิตใจผู้หญิงทุกคนแล้ว เขาก็ลงมาจากเวทีพร้อมกับถังโจวโจว เหลือเพียงพิธีกรคนเดียวที่ถูกทิ้งไว้ให้ปลอบใจพนักงานที่กำลังเจ็บปวดหัวใจ 


 


 


เมื่อเธอและลั่วเซ่าเชินเดินมาถึงมุมห้อง ถังโจวโจวก็เอ่ยถามว่า “ทำไมจู่ๆ คุณถึงประกาศแบบนั้นคะ” ถังโจวโจวไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพูดออกไปแบบนั้น เธอเคยพูดว่าเธอหึงตั้งแต่เมื่อไร? 


 


 


ลั่วเซ่าเชินก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบตรงหน้าผากของถังโจวโจวว่า “ก็ผมกลัวว่าคุณจะหึง ผมไม่อยากนอนบนโซฟานะ” 


 


 


“คุณพูดเกินจริงแล้ว!” เธอเคยให้เขานอนบนโซฟาเมื่อไรกัน นอกจากนี้ พื้นที่บ้านออกจะกว้างขวางใหญ่โต โซฟาก็ไม่ได้เล็กไปกว่าเตียงเลย หากเขาจะต้องไปนอนบนโซฟาบ้าง ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่! 


 


 


แล้วจู่ๆ ถังโจวโจวก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด เขาไม่อยากกอดกับพนักงานของเขานี่เอง “ถ้าพนักงานของคุณรู้ว่าคุณไม่อยากกอดพวกเธอเพราะคุณหวงเนื้อหวงตัว ไม่รู้ว่าพวกเธอจะเสียใจมากแค่ไหนนะคะ” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวเดาทางของเขาออกแล้ว เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาคิดแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ ปีนี้เขาเลือกไว้แล้วว่าจะต้องเป็นถังโจวโจวเท่านั้น ต่อให้จับไม่ได้หมายเลขสามสิบห้า ลั่วเซ่าเชินก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ได้กอดหมายเลขสามสิบห้าให้ได้! 


 


 


ทันใดนั้นถังโจวโจวก็นึกอะไรบางอย่างออก เธอถามด้วยความสงสัย “แล้วปีที่แล้วคุณทำยังไงคะ” ปีที่แล้วเขายังไม่มีเธอ แล้วลั่วเซ่าเชินจัดการเรื่องนี้อย่างไรล่ะ? 


 


 


“ผมก็มีลูซี่ไง!” ถังโจวโจวปิดปากหัวเราะ ลั่วเซ่าเชินนี่ร้ายจริงๆ ให้ความหวังกับลูกน้องเองแท้ๆ แต่เขากลับวางแผนไว้หมดแล้ว แม้ว่าจะจับหมายเลขของลูซี่ไม่ได้ เธอก็มั่นใจว่าเขาจะต้องหาทางเอาตัวรอดได้แน่ 


 


 


หลีเหวินยืนอยู่หลังผ้าม่าน เมื่อเธอได้ยินบทสนทนานี้ เธอก็กำผ้าม่านในมือไว้แน่น ริมฝีปากของเธอถูกกัดจนซีดขาว เมื่อปีก่อนเธอนึกว่าลูซี่โชคดี แต่ที่ไหนได้มันเป็นแผนของลั่วเซ่าเชิน นี่เขาปล่อยให้เธอมีความหวังอย่างนี้ได้อย่างไร ทุกอย่างมันถูกเตรียมไว้หมดแล้ว เธอนี่โง่จริงๆ! 


 


 


หลังจากช่วงเวลาจับฉลากที่น่าจับตามองได้ผ่านพ้นไปแล้ว ลำดับต่อไปก็จะเป็นการประกาศรายชื่อพนักงานดีเด่นของลั่วกรุ๊ป พวกเขาจะได้รับมอบรางวัลในนามของบริษัท และท้ายที่สุดงานเลี้ยงประจำปีก็จบลงไปอย่างสมบูรณ์แบบ 


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน ถังโจวโจวก็โถมตัวลงบนโซฟา “เหนื่อยจังเลย เท้าฉันปวดไปหมดแล้วเนี่ย” ถังโจวโจวรีบถอดรองเท้าออก เธอรู้สึกเจ็บที่ส้นเท้าเล็กน้อย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินประคองเท้าของเธอขึ้นมาพลิกดู “ไม่เป็นไรหรอก มันแค่แดงนิดหน่อยเอง ไม่มีแผลด้วย แต่ช่วงสองสามวันนี้ คุณอย่าเพิ่งใส่ส้นสูงก็แล้วกัน” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรวบรองเท้าไว้ด้านข้างก่อนจะไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา เขาทายาให้ถังโจวโจว เมื่อถังโจวโจวมองเห็นท่าทางที่เอาใจใส่ของเขา ความคิดที่จะคิดบัญชีกับเขาก่อนหน้านี้ก็หายวับไปในทันที ต้องยอมรับเลยว่าในเวลาลั่วเซ่าเชินไม่ได้ยั่วโมโหเธอ เธอสามารถมองเขาได้อย่างสบายตา 


 


 


น่าเสียดายที่เขาใช้เวลาทะเลาะกับเธอไปแล้วครึ่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุด เขาไม่รู้จักถอยให้เธอเลยสักนิด “นี่ ฉันขอถามคุณหน่อยสิ ใครเป็นคนเสนอให้กอดของคุณเป็นรางวัลที่สามเหรอ แล้วทำไมคุณถึงยอมล่ะคะ” 


 


 


ในเมื่อลั่วเซ่าเชินไม่เห็นด้วย แล้วทำไมถึงมีรางวัลแบบนี้ได้ล่ะ นี่กำลังเล่นสนุกอะไรกันอยู่? ถังโจวโจวคิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินกว่าจะเข้าใจ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินก้มหน้าและทายาให้ถังโจวโจวต่อไป “ตอนแรกรางวัลที่สามมันไม่ใช่แบบนี้ แต่ต่อมาก็มีคนเสนอความคิดว่าควรให้ผมกอดพวกเธอเป็นรางวัล แค่ผมกอดพวกเธอ พวกเธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว จากนั้นทุกคนก็ลงคะแนนด้วยการยกมือ ที่สุดแล้วผมก็ปฏิเสธไม่ได้” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินหวนนึกถึงตอนที่รู้ว่าตัวเองต้องไปเป็นรางวัลจับฉลากนี้ ตอนนั้นเขารู้สึกเหนื่อยใจอย่างมาก! แต่ตอนนี้เมื่อคิดว่าในอนาคตเขาจะไม่ต้องเหนื่อยใจอีกต่อไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็จูบลงบนแก้มของถังโจวโจว “โจวโจว คุณคือดาวนำโชคของผม ผมไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นเขามีความสุขมากขนาดนี้ เธอก็เชื่อแล้วว่าก่อนหน้านี้เขาคงพยายามรักษาหน้าอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ตอนนั้นถ้าเขาบอกไม่เห็นด้วยหรือไม่ยอม ก็ไม่น่าจะมีใครบังคับเขาได้นี่ แต่เมื่อถังโจวโจวจินตนาการถึงตอนที่ลั่วเซ่าเชินขมวดคิ้วมุ่นเพราะมติเอกฉันท์ว่าเลือกรางวัลนี้ เธอก็รู้สึกว่ามันน่าขำอยู่ไม่น้อย 


 


 


น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นภาพเหล่านั้นแล้ว เฮ้อ! น่าเสียดายจัง น่าเสียดาย! 


 


 


ตอนอยู่ในงานเลี้ยงถังโจวโจวไม่ได้กินอะไรมาก และเมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน เธอก็ไม่อยากรบกวนป้าหลิวให้ลุกขึ้นมาทำอะไรให้กิน ดังนั้นเธอจึงเดินกระโดดขาเดียว โดยตั้งใจจะไปที่ห้องครัว เพื่อต้มบะหมี่ให้กับตัวเธอเองและลั่วเซ่าเชิน 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นเธอเดินกึ่งกระโดดด้วยขาข้างเดียว เขาก็รู้สึกเหนื่อยใจและอยากจะบ่นเธอสักหน่อย ทำไมเธอถึงไม่เอ่ยปากขอให้เขาอุ้มไปล่ะ ทีเรื่องจำเป็นน่ะไม่รู้จักขอหรอก! 


 


 


ท้ายที่สุด ลั่วเซ่าเชินก็ทนดูต่อไปไม่ไหว เขาตรงเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ จากนั้นถังโจวโจวก็รู้สึกว่าตัวเธอลอยอยู่ในอากาศ เธอรีบโอบไปรอบลำคอของลั่วเซ่าเชินตามสัญชาตญาณ “คุณจะทำอะไรคะ!” 


 


 


“ดูไม่ออกเหรอ ก็จะอุ้มคุณไปที่ครัวไง” ลั่วเซ่าเชินก้าวไปข้างหน้า เพียงครู่เดียวเขาก็ถึงที่หมาย เมื่อเทียบกับการกระโดดของถังโจวโจวแล้ว แบบนี้มันเร็วกว่ากันเยอะ 


 


 


เขาปล่อยถังโจวโจวลงเมื่อถึงห้องครัว เมื่อถังโจวโจวเห็นเขายังยืนอยู่ข้างๆ เธอก็ไม่ปล่อยให้เขาว่างงาน ตอนนี้เธอขยับตัวได้ลำบาก เธอจึงได้แต่ชี้นิ้วสั่งให้ลั่วเซ่าเชินทำงานให้ 


 


 


“หยิบเส้นมาค่ะ” 


 


 


“หยิบไข่ออกมาจากตู้เย็นสองฟองค่ะ ดูด้วยนะคะว่ามีมะเขือเทศไหม ถ้ามีก็หยิบมาด้วยค่ะ” 


 


 


“คุณช่วยฉันตั้งน้ำทีค่ะ” 


 


 


… 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้บ่นอะไร และของที่ถังโจวโจวต้องการก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอทีละอย่าง ถังโจวโจวอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เธอสามารถลงมีดได้อย่างเบามือและรวดเร็ว เธอใส่เส้นลงไปในหม้อ จากนั้นก็ใช้หม้ออีกใบหนึ่งทำน้ำซุป แล้วเธอก็หยิบชามออกมาสองใบ 


 


 


เพียงไม่นาน บะหมี่มะเขือเทศใส่ไข่หอมกรุ่นสองชามก็เสร็จเรียบร้อย เดิมทีถังโจวโจวอยากจะใส่ผักลงไปด้วย แต่น่าเสียดายที่ในตู้เย็นไม่มี แต่แค่นี้ก็ดีมากแล้ว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมีหน้าที่ยกบะหมี่ออกมา ในขณะที่ถังโจวโจวก็กระโดดขาเดียวพลางเกาะกำแพงออกมาถึงโต๊ะอาหารด้วยความยากลำบาก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินส่งตะเกียบให้เธอ ในตอนแรกถังโจวโจวก็ไม่ได้รู้สึกหิวอะไรมาก แต่เมื่อบะหมี่ร้อนๆ กลิ่นหอมกรุ่นเตะจมูกอย่างนี้ก็ทำให้ถังโจวโจวรู้สึกหิวขึ้นมาทันที และเมื่อในโพรงจมูกของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นบะหมี่ ท้องของเธอก็ร้องขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ 


 


 


แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ถังโจวโจวก็ดูออกว่าเขาหิว ท่าทางของเขายังคงสง่างามและน่ามองเช่นเคย แต่จังหวะการเคลื่อนไหวของเขากลับยิ่งเร็วมากขึ้น 


 


 


หลังจากกินบะหมี่จนหมด ถังโจวโจวก็อยากจะล้างจาน แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ยอม เขาอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน “ทิ้งชามไว้ให้ป้าหลิวล้างพรุ่งนี้ก็ได้ ผมจะอุ้มคุณขึ้นไปอาบน้ำก่อน” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอุ้มถังโจวโจวเข้ามาในห้องน้ำเลย “เสื้อผ้าฉันล่ะคะ” เขาจะอุ้มเธอเข้ามาในห้องน้ำทำไม เดี๋ยวเธอก็ต้องออกไปหยิบเสื้อผ้าอยู่ดี จะทำให้ยุ่งยากทำไมนี่? 


 


 


“เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้ คุณจะใส่ตัวไหน” 


 


 


ถังโจวโจวเบิกตามองลั่วเซ่าเชิน “ไม่…ไม่ต้องก็ได้มั้งคะ เดี๋ยวฉันไปหยิบเอง” 


 


 


นี่มันน่ากลัวจริงๆ คุณชายลั่วเซ่าเชินที่คอยชี้นิ้วสั่งเธอมาตลอด ทำไมวันนี้เขาถึงสลับตำแหน่งกับเธอเสียได้ล่ะ? ถึงขั้นบอกว่าจะช่วยหยิบเสื้อผ้าให้เธออีก ถังโจวโจวขนลุกขนพองไปหมด 


 


 


“ทำไม? มันแปลกมากเหรอที่ผมจะช่วยคุณหยิบเสื้อผ้า” ลั่วเซ่าเชินเลิกคิ้วและเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ดูสิว่าถังโจวโจวจะอ้างเหตุผลอะไรได้อีก 


 


 


แน่นอนว่าถังโจวโจวอยากจะตอบกลับว่า ‘ทำไมมันจะไม่แปลกล่ะ’ แต่น่าเสียดายที่ถังโจวโจวไม่กล้าพูดคำเหล่านั้นออกมา เพราะกลัวความเจ้าเล่ห์ของลั่วเซ่าเชิน “ไม่แปลกค่ะ แต่ฉันว่าฉันหยิบเองดีกว่า” ฉันไม่กล้าใช้คุณหรอกค่ะ! ถังโจวโจวแขวะในใจ 


 


 


“ถ้าคุณไม่บอก ผมก็จะหยิบสุ่มมาแล้วกันนะ” ลั่วเซ่าเชินเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและเปิดมันออก เขาสำรวจดูเสื้อผ้าของถังโจวโจว เสื้อผ้าถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย และเมื่อเขาเปิดดูชุดนอนของเธอ ลั่วเซ่าเชินก็พบว่าชุดนอนที่ถังโจวโจวใส่ล้วนมีแต่แบบที่มิดชิด 


 


 


เมื่อหยิบชุดออกมาได้ชุดหนึ่ง ลั่วเซ่าเชินก็เดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ แล้วเขาก็พบว่าถังโจวโจวยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ลั่วเซ่าเชินก้มตัวลงไปเปิดน้ำให้เธอ “โอเค ผมปรับน้ำแล้ว คุณอาบได้เลย”  

 

 


ตอนที่ 149 มื้ออาหารในวันสิ้นปี

 

          เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นเธอยังไม่ขยับตัว ความคิดไม่ดีก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง “โจวโจว คุณไม่สบายหรือเปล่า ผมช่วยอาบให้ก็แล้วกันนะ!” แล้วเขาก็ถือวิสาสะเอาเปรียบเล็กน้อย 


 


 


มือของลั่วเซ่าเชินถูกปัดออกทันทีที่แตะลงบนเสื้อผ้าของถังโจวโจว “คุณจะทำอะไรน่ะ!” 


 


 


           ถังโจวโจวจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง ผู้ชายคนนี้นี่จริงๆ เลย… ถังโจวโจวไม่รู้ว่าจะต่อว่าเขายังไงดี เผลอนิดเดียวก็ออกลายอีกแล้ว 


 


 


“โจวโจว ผมแค่จะช่วยคุณอาบน้ำเอง! ถ้าคุณไม่โอเคก็ไม่เป็นไร อย่าให้เท้าโดนน้ำล่ะ ผมจะออกไปก่อน” เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวจับทางเขาได้แล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ได้แต่เดินลูบจมูกออกไปข้างนอก 


 


 


หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินออกไปแล้ว ถังโจวโจวก็ลุกขึ้นสำรวจประตูห้องน้ำอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่ามันปิดสนิทดีแล้ว เธอก็สบายใจขึ้น เธอถอดเสื้อผ้าและนั่งลงในอ่างอาบน้ำ โดยที่ไม่ลืมคำเตือนของลั่วเซ่าเชิน เธอยกเท้าข้างที่เจ็บขึ้นสูงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มันโดนน้ำ 


 


 


ในวันที่สามสิบของปี ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้พวกเขาต้องกลับไปร่วมมื้ออาหารที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว เธอเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ลั่วอิงเคยเล่าให้ถังโจวโจวฟังว่าคุณแม่ลั่วมีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เธอไม่อยู่ เป็นที่แน่ชัดว่าถ้าคุณแม่ลั่วเจอเธอในวันนี้ ก็จะอารมณ์เสียมากๆ ก็เป็นได้ 


 


 


แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอสามารถควบคุมได้ ที่ผ่านมาผลลัพธ์ที่ถังโจวโจวได้จากการนั่งเงียบๆ ก็คือ เธอสามารถเคารพและให้เกียรติคุณแม่ลั่วได้ แต่เธอไม่อาจทนฟังคำพูดเหน็บแนมของคุณแม่ลั่วได้อีก ถึงอย่างไรตุ๊กตาดินเผาก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกัน 


 


 


เมื่อก่อนเป็นเพราะเธอเห็นแก่หน้าของลั่วเซ่าเชิน ถ้าจะพูดให้ละเอียดกว่านี้อีกก็คือ แม้ว่าที่ผ่านมาคุณแม่ลั่วจะปากร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรกับเธอ ดังนั้นถังโจวโจวจึงพยายามเข้าใจมาตลอดว่าแม่ทุกคนย่อมไม่อยากให้ลูกชายของเธอจากไปไหน 


 


 


แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่คุณแม่ลั่วจะยกมาต่อว่าเธอได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถังโจวโจวตัดสินใจแล้วว่า ถ้าคุณแม่ลั่วพูดอะไรไม่เข้าหูอีก เธอจะทำเป็นหูทวนลมก่อน ให้เป็นเพียงคำพูดที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเท่านั้น แต่ถ้าเธอทนไม่ไหวจริงๆ ถังโจวโจวก็จะตอกกลับไปอย่างไม่เคารพ 


 


 


พวกเขาทั้งสามคนขึ้นมานั่งบนรถที่บรรทุกของไว้เต็มด้านหลังเรียบร้อยแล้ว จากนั้นพวกเขาก็รีบตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว ทางด้านของคฤหาสน์ตระกูลลั่ว แม่นมจ้าวกำลังง่วนอยู่ในครัว ส่วนคุณแม่และคุณพ่อลั่วก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น คุณแม่ลั่วเกิดอาการหมั่นไส้ เมื่อเห็นคุณพ่อลั่วนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยท่าทางสบายๆ 


 


 


เธอใช้มือปัดหนังสือพิมพ์และเอ่ยปากบ่นว่า “คุณยังมีอารมณ์มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่อีก นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมพวกอาเชินถึงยังไม่มา” เธอพูดพลางหันหน้าไปมองที่ประตูบ้าน และเมื่อเธอยังไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เธอก็หันหน้ากลับมาด้วยความเศร้าใจ 


 


 


คุณพ่อลั่วไม่เข้าใจความใจร้อนของเธอเลย “คุณทำอะไรของคุณ ถ้าคุณร้อนใจมากนัก คุณก็โทรไปถามพวกเขาสิ จะมารบกวนผมตอนผมอ่านหนังสือพิมพ์ทำไม” ผู้หญิงนี่ช่างไร้ซึ่งเหตุผลเสียจริง 


 


 


คุณพ่อลั่วย้ายไปนั่งอีกฝั่งหนึ่ง เหลือเพียงคุณแม่ลั่วคนเดียวที่ยังนั่งกังวลใจอยู่ตรงนั้น เธอแค่คิดถึงลั่วเซ่าเชินและลั่วอิง นี่มันใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว แต่จนป่านนี้เธอยังไม่เห็นพวกเขาเลย เธอจึงเป็นกังวล ตาแก่นั่นก็จริงๆ เลย ไม่เป็นห่วงลูกเลยสักนิด! 


 


 


แต่เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าเธอจะต้องเจอหน้าถังโจวโจวด้วย คุณแม่ลั่วก็รู้สึกขัดใจ คุณแม่ลั่วยังรู้สึกโกรธเคืองที่ถังโจวโจวไม่สามารถรักษาหลานชายของตระกูลลั่วเอาไว้ได้ คุณแม่ลั่วยังโทษถังโจวโจวอยู่จนถึงทุกวันนี้ และพอเธอได้ข่าวว่าถังโจวโจวหนีออกจากบ้านไปเมื่อไม่นานมานี้ คุณแม่ลั่วก็อยากจะปรบมือดีใจให้ดังก้องไปทั่วบ้าน 


 


 


แต่น่าเสียดายที่เธอดีใจอยู่ได้ไม่นาน ถังโจวโจวก็กลับมา แล้วถังโจวโจวก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเธอด้วย เธอคิดว่าตั้งแต่ถังโจวโจวกลับมา ความเคยชินที่ว่าพวกเขาจะแวะกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วทุกวันหยุดสุดสัปดาห์มันก็เปลี่ยนไป คุณแม่ลั่วรู้สึกโกรธเคืองมากขึ้นและตำหนิว่ามันเป็นความผิดของถังโจวโจวทั้งหมด 


 


 


ด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองใจเช่นนี้ คุณแม่ลั่วก็ยังคงรอคอยการมาถึงของพวกเขาอยู่ ภายใต้ความเงียบที่ยาวนาน ในที่สุดคุณแม่ลั่วก็ได้ยินเสียงรถยนต์ดังมาจากด้านนอก เธอหายตัวไปจากสายตาของคุณพ่อลั่วทันที แล้วเมื่อเธอออกไปดู เธอก็พบว่าพวกเขามาแล้ว! 


 


 


“คุณย่าคิดถึงลั่วอิงจังเลย” คุณแม่ลั่วคว้าตัวลั่วอิงมากอดเป็นอันดับแรก หลังจากนั้น เธอก็จับตัวลั่วอิงหมุนซ้ายหมุนขวาและกวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอกุมใบหน้าของหลานสาวและพูดว่า “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน หลานรักของย่าผอมลงไปอีกแล้ว!” 


 


 


ในขณะที่พูดประโยคนั้น คุณแม่ลั่วก็ปรายตามองไปที่ถังโจวโจว แน่นอนว่าถังโจวโจวก็เข้าใจในสิ่งที่แววตาคู่นั้นกำลังจะสื่อ คุณแม่ลั่วกำลังตำหนิเธอว่าเธอดูแลลั่วอิงได้ไม่ดี! ในเมื่อคุณแม่ลั่วไม่พูด ถังโจวโจวก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เมื่อเธอเห็นว่าคุณแม่ลั่วมองมา เธอก็เพียงยิ้มให้เล็กน้อย 


 


 


“คุณแม่คะ ช่วงนี้เซ่าเชินค่อนข้างยุ่ง เราก็เลยไม่ได้มาเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” ถังโจวโจวก้าวออกมาด้านหน้าและเอ่ยเรียกคุณแม่ลั่วตามปกติ 


 


 


คุณแม่ลั่วเห็นว่า ทันทีที่พวกเขามาถึง ถังโจวโจวก็เอ่ยปัดความรับผิดชอบเกี่ยวกับที่ไม่ได้มาคฤหาสน์ตระกูลลั่วไปให้ลั่วเซ่าเชิน น่าเสียดายที่ถังโจวโจวไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับเธอ ซ้ำยังพูดเรื่องนี้กับเธอก่อนด้วย คุณแม่ลั่วจึงไม่สามารถกล่าวโทษอะไรได้อีก 


 


 


“แม่ครับ ข้างนอกมันหนาว เราเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ” ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าคุณแม่ลั่วกับถังโจวโจวไม่ลงรอยกัน เขาจึงทำได้แค่เพียงตัดบทของพวกเธอสองคน มีอะไรค่อยเข้าไปคุยกันต่อข้างใน มิเช่นนั้น ลั่วเซ่าเชินกลัวว่าคุณแม่ลั่วจะโกรธจะไม่ให้ถังโจวโจวเข้าบ้าน 


 


 


“คุณย่าขา เราเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ หนูหนาวมากเลย!” ลั่วอิงเองก็เขย่ามือของคุณแม่ลั่ว พลางพูดอย่างออดอ้อน 


 


 


คุณแม่ลั่วที่มีสีหน้าตึงเครียดได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “จ้ะ ในเมื่อหนูหนาว เราก็รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ” 


 


 


ภายในบ้าน เมื่อคุณพ่อลั่วเห็นว่าพวกเขามากันแล้วก็วางหนังสือพิมพ์ลง 


 


 


“คุณพ่อคะ พวกเรามาแล้ว” ถังโจวโจวพูดด้วยความเคารพและนอบน้อม 


 


 


“คุณปู่ขา คุณปู่คิดถึงหนูไหมคะ ลั่วอิงคิดถึงคุณปู่มากๆ เลยค่ะ!” ลั่วอิงโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของคุณพ่อลั่วและส่งเสียงออดอ้อนอย่างน่ารัก 


 


 


“พ่อครับ” ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ลั่วเซ่าเชินกับคุณพ่อลั่วขัดแย้งกันอยู่หลายอย่าง โดยปกติแล้วเขามักจะทักคุณพ่อลั่วแค่คำเดียว นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่เคยคุยอะไรอย่างอื่นกับคุณพ่อลั่วอีก ซึ่งคุณพ่อลั่วเองก็เป็นคนที่เคร่งขรึมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาไม่มีทางเป็นฝ่ายเริ่มคุยกับลั่วเซ่าเชินก่อนแน่นอน ยกเว้นเรื่องในครอบครัวและในบริษัท 


 


 


แม่นมจ้าวเห็นว่าพวกเขามากันแล้ว เธอก็รีบยกผลไม้ออกมาเสิร์ฟให้ทันที เธอลูบศีรษะเล็กๆ ของลั่วอิง และบ่นกับลั่วเซ่าเชินเล็กน้อยว่า “คุณชายหายหน้าไปนานเลยนะคะ พวกคุณไม่ได้กลับมาเยี่ยมคุณท่านกับคุณนายเลย คุณนายคิดถึงพวกคุณมากนะคะ” 


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วได้ยินแม่นมจ้าวช่วยเธอพูด ความน้อยใจของเธอก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น พอเธอคิดว่าที่ลั่วเซ่าเชินไม่ได้กลับบ้านเลยเป็นเพราะถังโจวโจว เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าลูกชายของเธอนั้นได้เมียแล้วลืมแม่ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็รู้ว่าคุณแม่ลั่วคิดอย่างไร ตั้งแต่พี่ใหญ่ของเขาจากไป คุณแม่ก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดมาที่เขา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมทำในสิ่งที่คุณแม่อยากให้ทำ เมื่อก่อนเขายังพอเกลี้ยกล่อมคุณแม่ได้บ้าง โดยให้คุณแม่ไม่ต้องบังคับเขามาก 


 


 


แต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาพจิตใจของคุณแม่ในตอนนี้กับช่วงที่ผ่านมากลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คุณแม่ลั่วในตอนนี้เกือบจะเป็นคนละคนกับในอดีต และท่าทีที่เธอมีต่อเขา มันก็เปลี่ยนไปมาก 


 


 


เขาพูดได้เลยว่า ในช่วงนี้คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดก็คือคุณแม่ลั่ว 


 


 


หลังจากที่เขาแต่งงานกับถังโจวโจว คุณแม่ลั่วก็ไม่รู้ว่าไปรับแรงกระตุ้นอะไรมา ถึงได้พยายามจับคู่เขากับเมิ่งชิงซีอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วไหนจะพยายามก่อปัญหาให้เขากับถังโจวโจวต้องหนักใจอีก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่อยากตั้งตัวเป็นอริกับคุณแม่ลั่ว ขณะเดียวกันก็ไม่อยากทำให้ถังโจวโจวรู้สึกลำบากใจ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้พวกเธออยู่ห่างจากกัน อย่างน้อยแยกกันได้หนึ่งวันก็ยังดี 


 


 


“ช่วงนี้แม่เป็นยังไงบ้างครับ ได้ไปตรวจตามที่หมอนัดหรือเปล่า” ลั่วเซ่าเชินได้แต่เป็นห่วงคุณแม่ลั่วจากทางอื่น เขาไม่สามารถรับปากได้ว่าต่อไปเขาจะกลับมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ แต่เขาสามารถส่งลั่วอิงมาอยู่เป็นเพื่อนกับคุณแม่ลั่วได้ 


 


 


ที่ลั่วเซ่าเชินทำแบบนี้เพราะมีเหตุผล หนึ่งคือเขางานยุ่ง แต่ก่อนเขาก็เป็นแบบนี้ โดยปกติแล้วภายในหนึ่งสัปดาห์ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งที่เขาสามารถอยู่ร่วมมื้ออาหารกับคุณพ่อลั่ว คุณแม่ลั่ว และลั่วอิงได้ แต่หลังจากที่ถังโจวโจวเข้ามา สถานการณ์นี้มันก็ดีขึ้นเล็กน้อย 


 


 


เพียงแต่น่าเสียดายที่คุณพ่อและคุณแม่ลั่วไม่ยอมรับถังโจวโจว ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ไม่อยากทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องลำบากใจ เขาจึงได้แต่ทำตัวเป็นกาวเชื่อมความสัมพันธ์อยู่ตรงกลาง 


 


 


“ก็ปกติดี หมอบอกว่าให้พักผ่อนอยู่บ้าน นี่มันเป็นโรคประจำตัวของแม่ แม่ก็ได้แต่ต้องดูแลมันไป” เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเป็นห่วงเป็นใยเธอ เธอก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที ประหนึ่งว่าที่ลั่วเซ่าเชินถามเธอแบบนี้ ก็สามารถแสดงให้เธอเห็นได้ว่าในใจของลั่วเซ่าเชินนั้น เธอสำคัญกว่าถังโจวโจว 


 


 


ทางด้านของตระกูลเมิ่งเองก็มีนัดกินข้าวกันที่เมือง Z ครอบครัวของเมิ่งไหวเซินรีบบินมาถึงเมือง Z ตั้งแต่เช้าตรู่ เมิ่งซงอวินหรือผู้เฒ่าเมิ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเขตทหารเมือง Z ซึ่งเมิ่งซงอวินนั้นมีลูกชายสองคนคือ เมิ่งไหวเซิน ลูกชายคนโต และเมิ่งไหวหมิน ลูกชายคนเล็ก 


 


 


เป็นเพราะตอนนั้นเมิ่งไหวเซินยืนกรานที่จะแต่งงานกับฉินอวิ๋นให้ได้ ในขณะที่เมิ่งซงอวินไม่เห็นด้วย ดังนั้นเขาจึงพาฉินอวิ๋นย้ายไปอยู่ที่เมือง S ซึ่งเป็นเมืองที่มีตระกูลลั่วอยู่ หลังจากนั้นเมิ่งไหวเซินก็ยุ่งอยู่กับกิจการของบริษัท และไม่ค่อยได้กลับมาที่เมือง Z สักเท่าไร 


 


 


ฉินอวิ๋นเองก็ได้ใช้ชีวิตคุณนายอย่างสงบสุขที่เมือง S และในเมื่อไม่มีใครทำให้เธออับอายขายขี้หน้า เธอก็ค่อยๆ ลืมเมือง Z ไปอย่างช้าๆ กระทั่งลืมไปว่าผู้เฒ่าเมิ่งคนนี้ไม่ลงรอยกับเธอ 


 


 


ส่วนเมิ่งไหวหมินก็เข้ามารับช่วงต่อจากผู้เฒ่าเมิ่ง ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษของเขตทหารเมือง Z ส่วนลูกชายของเขา เมิ่งจวินจิ่น ก็จบมาจากโรงเรียนเตรียมทหารเช่นกัน และอีกไม่นานเขาก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นพันเอกแล้ว 


 


 


เมื่อครอบครัวของเมิ่งไหวเซินลงจากเครื่อง เมิ่งจวินจิ่นก็รออยู่ที่ด้านนอกของสนามบินแล้ว และเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคน เขาก็รีบเดินเข้าไปหา “คุณลุง คุณป้า ชิงซี ในที่สุดก็มาถึงแล้ว คุณปู่กำลังรออยู่ที่บ้านครับ” 


 


 


ฉินอวิ๋นมีภาพจำที่ดีเกี่ยวกับเมิ่งจวินจิ่น เด็กคนนี้สุภาพอ่อนโยน มีสัมมาคารวะ หากยกเว้นเรื่องที่เขาพูดน้อยแล้ว เขาก็เป็นเลิศในทุกๆ ด้าน และที่สำคัญที่สุด เขาเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูลเมิ่ง 


 


 


“รบกวนแย่เลยจวินจิ่น” เมิ่งไหวเซินรู้ดีว่าคุณพ่อของเขาหวังกับเมิ่งจวินจิ่นไว้มาก และเมิ่งไหวเซินเองก็ยอมรับว่าเมิ่งจวินจิ่นนั่นดีพร้อมไปหมดทุกอย่าง เช่นนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจแล้วกับอนาคตของตระกูลเมิ่ง 


 


 


หลังจากนั้นฉินอวิ๋นและเมิ่งชิงซีก็เอ่ยทักทายเมิ่งจวินจิ่น เมิ่งชิงซีไม่ได้เจอญาติผู้พี่คนนี้มาเป็นเวลานานแล้ว และเธอเองก็ไม่ได้สนิทกับเขามากนัก ก็เธอเป็นคุณหนูใหญ่ที่แสนบอบบางอ่อนแอ เธอจะทนรับสีหน้าที่เคร่งขรึมและจริงจังของเมิ่งจวินจิ่นได้อย่างไร 


 


 


เธอไม่ได้ดูผิดไปหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าเมิ่งจวินจิ่นใช้ชีวิตอยู่กับคนในกองทัพมานาน บนใบหน้าของเขาจึงไม่ค่อยมีรอยยิ้ม แต่เขาก็ยังเคารพเมิ่งไหวเซิน และแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้คลุกคลีกับฉินอวิ๋นและเมิ่งชิงซี แต่เขาก็ยังปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทตามสมควร 


 


 


เมิ่งจวินจิ่นขับรถมารับครอบครัวของเมิ่งไหวเซินกลับไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเมิ่ง เมื่อเข้ามาในเขตคฤหาสน์ เมิ่งไหวเซินก็กวาดตามองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยคุ้น พลางคิดว่าเขาไม่ได้กลับมาเจอคุณพ่อนานแล้ว จู่ๆ ความทรงจำครั้งเก่าก็หวนกลับมา 


 


 


เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาในบ้าน ผู้เฒ่าเมิ่งก็นั่งอยู่ในห้องโถง และเมื่อเขาเห็นว่าเมิ่งจวินจิ่นกลับมาแล้ว เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “กลับมาแล้วเหรอจวินจิ่น แกก็ด้วย มาแล้วเหรอ” 


 


 


ท่าทีของผู้เฒ่าเมิ่งเปลี่ยนไปไวมาก ที่เมิ่งไหวเซินออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายปี นั่นก็เป็นเพราะว่าเขารักและเคารพคุณพ่อ และที่เขาไม่อยากกลับมาที่เมือง Z อีก นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้เป็นบิดามักจะเย็นชาใส่เขา 


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าบรรยากาศมันค่อนข้างจะประดักประเดิด เธอก็รีบแทรกตัวขึ้นมาอยู่ด้านหน้า “คุณปู่ขา หลานรักของคุณปู่มาแล้ว หนูคิดถึงคุณปู่จังเลยค่ะ” และเมื่อผู้เฒ่าเมิ่งเห็นหน้าเมิ่งชิงซี สีหน้าที่เหยียดตึงของเขาก็ดีขึ้นหลายเท่าตัว 


 


 


ฉินอวิ๋นยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณพ่อคะ หนูกับไหวเซินกลับมาเยี่ยมคุณพ่อค่ะ หนูได้ยินมาว่าช่วงนี้คุณพ่อกระดูกไม่ค่อยดี หนูก็เลยวานให้เพื่อนหาของบำรุงมาให้จากต่างประเทศ คุณพ่อจะได้เอาไว้บำรุงร่างกายนะคะ” 


 


 


เธอถือกล่องของขวัญด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะคลี่รอยยิ้มออกมาช้าๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นทำให้ภาพลักษณ์ของเธอดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น มีน้อยคนนักที่จะปฏิเสธความอ่อนโยนนี้ได้ลง 


 


 


แต่ความสวยงามและความอ่อนโยนของเธอ ดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้ผลกับผู้เฒ่าเมิ่ง  

 

 


ตอนที่ 150 ไม่ค้างคืน

 

       ผู้เฒ่าเมิ่งไม่ไว้หน้าฉินอวิ๋นแม้แต่น้อย สำหรับลูกสะใภ้คนนี้ เขาไม่เคยยอมรับเธอเลย แต่หลังจากที่เมิ่งชิงซีเกิด ก็ทำให้เขายอมถอยให้ก้าวหนึ่ง แต่ในใจของเขาก็ไม่เคยมองว่าฉินอวิ๋นเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเมิ่ง


 


 


           ฉินอวิ๋นเองก็รู้ดีว่าผู้เฒ่าเมิ่งมีทัศนคติอย่างไรต่อเธอ ตลอดหลายปีที่เธอยังอยู่ที่นี่ เธอเคยบ่นอยู่ในใจตลอดว่าทำไมผู้เฒ่าเมิ่งถึงไม่ตายไปสักที มีชีวิตขัดขวางความสุขเธออยู่ได้


 


 


           แต่หลังจากที่เธอย้ายไปอยู่ที่เมือง S ความคิดเหล่านั้นของฉินอวิ๋นก็ค่อยๆ หายไป เพียงกลับมารองรับอารมณ์โกรธแค่ปีละครั้ง ทนนิดทนหน่อยเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว


 


 


“ฉันแข็งแรงดี เธอไปได้ยินมาจากไหน ถ้าฉันรู้ว่าใครกุเรื่องแช่งฉัน ฉันไม่ปล่อยไว้แน่!” ผู้เฒ่าเมิ่งฉีกหน้าเธอเดี๋ยวนั้น ซึ่งนั่นทำให้ฉินอวิ๋นรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก


 


 


แต่โชคดีที่เธอยังมีลูกสาวที่ดี “คุณปู่ขา คุณแม่ไม่ได้ตั้งใจพูดอย่างนั้นสักหน่อย คุณแม่ก็แค่เป็นห่วงสุขภาพของคุณปู่น่ะค่ะ คุณปู่ยกโทษให้แม่เถอะนะคะ!”


 


 


เมื่อมีเมิ่งชิงซีคอยไกล่เกลี่ยอยู่ข้างๆ ผู้เฒ่าเมิ่งก็ไม่ว่าอะไรอีก และเมื่อฉินอวิ๋นเห็นผู้เฒ่าเมิ่งไม่พูดอะไร เธอก็แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ


 


 


“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ มากันแล้วหรือคะ” สาวงามในชุดกี่เพ้าเดินลงมาจากชั้นบน เธอสวมชุดกี่เพ้าผ้าปักสีน้ำเงินและสวมกำไลหยกที่ข้อมือ ท่วงท่าการเดินของเธอดูพลิ้วไหวงดงาม


 


 


“ป้ารอง หนูกำลังคิดอยู่เลยค่ะว่าป้าหายไปไหน ที่แท้ก็อยู่ข้างบนนี่เอง” เมิ่งชิงซีเอ่ยทักเธอก่อน


 


 


หลีหย่าเหวินพยักหน้าเล็กน้อย “ว่าไงจ๊ะ ชิงซี”


 


 


ทุกคนนั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น เมิ่งไหวเซินยิ่งพูดก็ยิ่งผิด ดังนั้นเขาจึงนั่งนิ่งเป็นตอไม้อยู่ตรงนั้น และเขาจะเปิดปากพูดก็ต่อเมื่อเมิ่งซงอวินเอ่ยถามเขาเท่านั้น


 


 


ผู้เฒ่าเมิ่งถามเมิ่งชิงซีถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ จากนั้นก็หันไปคุยเรื่องความสัมพันธ์ของเธอ “ชิงซี ช่วงนี้มีเพื่อนคู่ใจหรือยังลูก”


 


 


เมิ่งชิงซีเข้าใจได้ในทันทีเมื่อได้ยินคำถามจากผู้เฒ่าเมิ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอ เธอก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกจากทุกคน “คุณปู่ขา หนูไม่ได้รีบสักหน่อย”


 


 


ผู้เฒ่าเมิ่งถลึงตามองลูกชายอย่างโกรธเกรี้ยว “ไหวเซิน ลูกแกโตจนป่านนี้แล้ว แกที่เป็นพ่อไม่รู้หรือยังไงว่าเรื่องแบบนี้มันสำคัญมากแค่ไหน?”


 


 


เมื่อเมิ่งไหวเซินเห็นว่าหัวข้อการสนทนาย้ายมาอยู่ที่เขา เขาก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน “พ่อครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่สนใจชิงซี แต่เธอยังลืมเซ่าเชินไม่ได้ มันเป็นเรื่องของเด็กๆ ผมจะเข้าไปยุ่งได้ยังไง”


 


 


ทันทีที่ผู้เฒ่าเมิ่งได้ยินชื่อของลั่วเซ่าเชิน เขาก็เข้าใจในทันที และเมื่อเขามองไปที่แววตาเจ็บช้ำของเมิ่งชิงซี เขาก็รู้ว่าเธอทุกข์ใจ หรือจะให้เขาถือปืนไปบังคับให้เขาแต่งงานกับเธอดี?


 


 


ผู้เฒ่าเมิ่งรู้ดีว่าเขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเมิ่งชิงซี เขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย การที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อประโยชน์ของหลานสาวเอง ในเมื่อตระกูลลั่วไม่ต้องการเธอ แล้วทำไมตระกูลเราถึงต้องไปง้อพวกเขาด้วย ต้องให้คนเขานินทาว่าหน้าไม่อายก่อนหรือถึงจะหยุดได้?


 


 


“ชิงซี ลืมเรื่องการหมั้นหมายของหนูกับเซ่าเชินไปเถอะ เพราะถึงยังไงตอนนี้เขาก็มีเมียไปแล้ว หนูให้พ่อของหนูแนะนำคนดีๆ ให้หนูใหม่สิ แล้วหนูก็ค่อยๆ เลือกไป เดี๋ยวก็เจอคนที่เหมาะสมเอง” ผู้เฒ่าเมิ่งพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาด้วยความยากลำบาก


 


 


แม้ว่าเขาจะไม่ชอบฉินอวิ๋น แต่กับหลานสาวคนนี้เธอไม่ได้ผิดอะไร ดังนั้น ผู้เฒ่าเมิ่งจึงไม่อาจเอาความโกรธเกลียดมาลงที่เมิ่งชิงซีได้


 


 


“คุณพ่อคะ พอแล้วค่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชิงซีเลย แล้วพวกเด็กๆ ก็โตกันหมดแล้ว คุณพ่ออย่ากังวลไปเลยนะคะ หนูเชื่อว่าพวกเด็กๆ จะจัดการกันเองได้” หลีหย่าเหวินพูดพลางยิ้ม


 


 


ฉินอวิ๋นเองก็ช่วยเสริม “ใช่ค่ะ คุณพ่อ ชิงซีแกไม่ยอม พวกเราก็เลยไม่รู้จะทำยังไง บางทีอาจจะต้องให้เวลาเธออีกสักพัก เดี๋ยวเธอก็จะคิดได้เองค่ะ” ฉินอวิ๋นยิ้มอย่างอ่อนโยน ชั่วขณะหนึ่งเธอบังเอิญหันไปสบตากับหลีหย่าเหวิน ทันใดนั้นพวกเธอก็เมินหน้าหนีกันไปคนละทาง


 


 


“ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นก็เลิกพูดเถอะ” เมื่อผู้เฒ่าเมิ่งเห็นว่าเมิ่งชิงซีเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ ส่วนเขาก็ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องของคนอื่นมากนัก เขาจึงหันไปพูดกับหลีหย่าเหวินว่า “ยายรอง แล้วไหวหมินจะกลับมาตอนไหน”


 


 


เมิ่งจวินจิ่นเอ่ยตอบให้แทนว่า “เมื่อครู่นี้คุณพ่อโทรมาแล้วครับ คุณปู่ คุณพ่อบอกว่าอีกสักพักก็กลับแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะครับ”


 


 


ทันทีที่เขาพูดจบ เมิ่งจวินจิ่นก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ในเขตคฤหาสน์ ผ่านไปสักพัก เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกคนอย่างช้าๆ จากนั้นชายคนหนึ่งในชุดทหารก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบตึง หลีหย่าเหวินเดินเข้าไปต้อนรับเขาทันที “กลับมาแล้วหรือคะ ไหวหมิน”


 


 


เขาส่งหมวกให้หลีหย่าเหวิน สีหน้าเย็นชาของเมิ่งไหวหมินเมื่อครู่นี้ละลายหายไปในทันที “คุณเป็นยังไงบ้าง หายดีแล้วหรือยัง”


 


 


ความจริงแล้วเมื่อวานนี้หลีหย่าเหวินมีไข้ต่ำ แต่ตอนนั้นเมิ่งไหวหมินมีภารกิจเร่งด่วน เขาจึงต้องทิ้งให้หลีหย่าเหวินอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง ดังนั้นเมื่อเขากลับมาถึง เขาจึงรีบเอ่ยถามเธอด้วยความห่วงใย


 


 


เมื่อหลีหย่าเหวินเห็นว่าสายตาของทุกคนจับจ้องมาทางนี้ ใบหูของเธอก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดง “ฉันหายดีแล้วค่ะ คุณรีบเข้าไปทักคุณพ่อเถอะ ท่านรอคุณอยู่นานแล้ว อ้อ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้พาชิงซีมาด้วยนะคะ”


 


 


ฉินอวิ๋นมองดูความสัมพันธ์ระหว่างหลีหย่าเหวินและเมิ่งไหวหมินที่ยังคงดีอยู่เหมือนเดิม พลันหันกลับมามองคนที่อยู่ข้างกายเธออย่างเมิ่งไหวเซิน เธอก็คิดว่าทำไมคนที่เธอเจอในตอนนั้นถึงไม่ใช่เมิ่งไหวหมิน หากเธอมีเมิ่งไหวหมินที่เป็นห่วงเป็นใยเธอแบบนี้ เธอก็คงไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์มานานขนาดนี้


 


 


ความคิดนี้แค่แวบผ่านเข้ามาให้สมอง ฉินอวิ๋นเพียงรู้สึกขัดใจก็เท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ววันนี้ชีวิตของเธอก็ขึ้นอยู่กับเมิ่งไหวเซิน


 


 


“กลับมาแล้วครับ”


 


 


หลังจากทักทายประมุขของบ้าน เขาก็หันมามองที่ครอบครัวของเมิ่งไหวเซิน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ชิงซี มากันแล้วหรือครับ” แม้ว่าคำพูดจะฟังดูเย็นชา แต่เมิ่งไหวเซินก็รู้จักนิสัยของน้องชายคนนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันเสียมารยาทอะไร เขาชินเสียแล้ว


 


 


“ไหวหมิน ช่วงปีใหม่ในกองทัพยังยุ่งอยู่อีกหรือ” เมื่อก่อนเมิ่งไหวเซินไม่ได้สนใจเดินตามรอยที่ผู้เฒ่าเมิ่งต้องการ เพราะเขามุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจ หลังจากนั้นความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเขาก็ห่างเหินกันมาโดยตลอด


 


 


แต่เมิ่งไหวหมินนั้นแตกต่างออกไป เขาเลือกที่จะเข้ากองทัพตามคำแนะนำของเมิ่งซงอวินและเขาก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในใจของเมิ่งซงอวินจึงคิดว่าเขาดีกว่าเมิ่งไหวเซินมาก


 


 


นอกจากนี้เขายังมีหลานชายที่ดีอย่างเมิ่งจวินจิ่นอีกคน ดังนั้นสำหรับผู้เฒ่าเมิ่งแล้ว แม้กระทั่งหลีหย่าเหวินก็ยังสำคัญกว่าฉินอวิ๋นมาก


 


 


เมื่อมีจัดลำดับความสำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าเสิ่นหลานอีก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุทำให้ผู้เฒ่าเมิ่งไม่ชอบฉินอวิ๋น เดิมทีผู้เฒ่าเมิ่งเป็นคนเลือกเสิ่นหลานอีให้มาเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเมิ่งด้วยตัวเอง เขาใช้ความพยายามอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะมิตรภาพระหว่างเขาและพ่อของเสิ่นหลานอีแล้ว การแต่งงานในครั้งนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้


 


 


หลังจากเสิ่นหลานอีและเมิ่งไหวเซินได้พบกันอยู่หลายครั้ง เธอก็เริ่มสนใจในตัวเขา แต่ทางเมิ่งไหวเซินกลับมีอคติต่อเสิ่นหลานอี


 


 


นานวันเข้าเสิ่นหลานอีก็รับเขาเข้าไปอยู่ในหัวใจ ถึงแม้ว่าเมิ่งไหวเซินจะรู้สึกหวั่นไหวไปกับความงามของเสิ่นหลานอีอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องเผชิญกับสภาวะที่ครอบครัวบังคับให้เขาแต่งงานกับเสิ่นหลานอี ความหวั่นไหวเหล่านั้นก็ลดน้อยลงไปโดยปริยาย


 


 


“ครับ สองวันนี้ในหน่วยมีภารกิจเร่งด่วน ผมก็เลยยุ่งจนถึงตอนนี้”


 


 


หลังจากที่เสิ่นหลานอีเกิดอุบัติเหตุ ความสัมพันธ์ระหว่างเมิ่งไหวหมินและพี่ใหญ่อย่างเมิ่งไหวเซินก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเหมือนแต่ก่อน หรือพูดให้ถูกก็คือ พวกเขาห่างเหินกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว


 


 


หลายปีก่อน เพราะความลำเอียงของผู้เฒ่าเมิ่ง ทำให้เมิ่งไหวเซินอดรนทนไม่ไหวที่ถูกเปรียบเทียบกับเมิ่งไหวหมินอยู่บ่อยครั้ง พูดอย่างคับแค้นใจออกมาเสียยกใหญ่ และหลังจากที่เสิ่นหลานอีเกิดอุบัติเหตุ เมิ่งไหวเซินก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกับทางบ้านอีก เขาเพียงกลับมาบ้านแค่ปีละหน เพื่อมาฉลองวันขึ้นปีใหม่เท่านั้น ส่วนช่วงเวลาที่เหลือเขาก็ไม่ได้กลับมาเลย


 


 


เมื่อผู้เฒ่าเมิ่งเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้ว เขาก็หันไปพยักหน้าให้หลีหย่าเหวิน หลีหย่าเหวินเดินไปที่ครัวพลางพูดว่า “พี่อู๋จ๊ะ ยกอาหารกลางวันออกมาได้เลย”


 


 


ผู้เฒ่าเมิ่งนั่งที่หัวโต๊ะ ครอบครัวของเมิ่งไหวหมินและเมิ่งไหวเซินนั่งขนาบอยู่ทั้งสองข้าง มื้ออาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างน่าอึดอัด นอกเหนือจากหลีหย่าเหวินและเมิ่งชิงซีที่คอยชวนคุยเป็นครั้งเป็นคราวแล้ว คนที่เหลือก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารที่อยู่ในชามของตัวเอง


 


 


ทางด้านของคฤหาสน์ตระกูลลั่วก็ไม่ต่างกัน คุณแม่ลั่วไม่คุยกับถังโจวโจวอยู่แล้ว ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็เป็นคนไม่ค่อยพูด ถังโจวโจวเองก็เอาแต่สนใจอาหารที่อยู่ในปาก ราวกับว่าถ้าเธอทำแบบนี้ เธอจะสามารถลดการมีตัวตนอยู่ของตัวเองลงได้


 


 


หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้ว ในช่วงบ่ายทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปอยู่คนละมุม ถังโจวโจวช่วยแม่นมจ้าวเตรียมวัตถุดิบสำหรับมื้อค่ำอยู่ในครัว ในขณะที่คุณพ่อลั่วเรียกตัวลั่วเซ่าเชินให้ไปหาที่ห้องหนังสือ ส่วนลั่วอิงหลังจากที่ออกไปเล่นที่สวนดอกไม้ได้พักหนึ่ง เธอก็วิ่งกลับเข้ามาในครัวเพื่อดูว่าถังโจวโจวกำลังทำอะไรอยู่


 


 


อาหารที่เตรียมไว้สำหรับมื้อค่ำละลานตากว่ามื้อกลางวันอยู่มาก แม่นมจ้าวแสดงฝีมือการทำอาหารทั้งหมดที่มีออกมา ช่วงเวลาตลอดบ่ายคุณแม่ลั่วเองก็ไม่ได้พูดอะไรที่กระทบกระทั่งถังโจวโจว ด้วยเธอรู้สึกไม่กระตือรือร้นสักเท่าไรนัก


 


 


หลังจากมื้อค่ำผ่านไป ลั่วเซ่าเชินก็หยัดตัวขึ้น เขาเตรียมพาถังโจวโจวและลั่วอิงกลับบ้าน คุณแม่ลั่วถามขึ้นมาทันทีว่า “วันนี้ไม่ค้างที่นี่กันสักคืนเหรอ อาเชิน อยู่ต่ออีกสักสองสามวันแล้วค่อยกลับสิ?”


 


 


คุณแม่ลั่วคิดไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะอยู่บ้านแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แม้แต่จะนอนค้างสักคืนเขาก็ไม่ทำ เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ลั่วเอ่ยปากขอให้อยู่ เธอก็ลอบเขย่าแขนของลั่วเซ่าเชินเบาๆ แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ยอมใจอ่อน “วันนี้ผมอยู่ต่อไม่ได้ครับแม่ ผมมีธุระ เราต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินลั่วเซ่าเชินปฏิเสธ คุณแม่ลั่วก็ได้แต่กอดลั่วอิงเอาไว้ “ลั่วอิง หนูอยากอยู่ที่นี่กับคุณปู่คุณย่าไหมคะ”


 


 


คุณพ่อลั่วเห็นว่าคุณแม่ลั่วต้องการจะรั้งให้ครอบครัวของลั่วเซ่าเชินพักอยู่ที่นี่ เขาก็พูดกับลั่วเซ่าเชินขึ้นมาว่า “พวกแกจะรีบกลับกันไปทำไม แม่แกเขาอยากให้แกอยู่ แกจะตามใจแม่แกไม่ได้เลยเหรอ” คุณพ่อลั่วรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินชักจะเกินไปแล้ว ถังโจวโจวเองก็พอกัน เขาคิดว่าถังโจวโจวควรจะพูดโน้มน้าวลั่วเซ่าเชินสักหน่อย ไม่อย่างนั้นแต่งภรรยาอย่างเธอเข้ามาจะมีประโยชน์อะไร


 


 


“ไม่ได้จริงๆ ครับพ่อ โจวโจว ลั่วอิง กลับกันเถอะ!” ลั่วเซ่าเชินก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ถังโจวโจวมองดูคุณพ่อและคุณแม่ลั่วด้วยความกังวลใจ แต่เธอก็ต้องทำตามที่ลั่วเซ่าเชินบอก เธอจับมือลั่วอิงและพากันเดินตามหลังเขาออกไปด้านนอก


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าแม้แต่ลั่วอิงก็ยังไม่ยอมอยู่ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกหนาวจับใจ ทำไมครอบครัวถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? คุณพ่อลั่วเข้ามาจับมือให้กำลังใจคุณแม่ลั่ว “คุณจะเสียใจไปทำไม ลูกมันโตแล้ว คุณไปบังคับอะไรไม่ได้หรอก ยังไงคุณก็ยังมีผมไม่ใช่เหรอ”


 


 


“ฉันเสียใจที่ไหนกัน ฉันไม่ได้เสียใจสักหน่อย” คุณแม่ลั่วไม่ยอมรับ คุณพ่อลั่วก็ไม่ได้พูดขัดอะไร เขาเพียงแต่ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย


 


 


ลั่วเซ่าเชินขับรถมาถึงบ้าน พวกเขาปล่อยให้ลั่วอิงเข้าไปในบ้านก่อน ถังโจวโจวหันหน้ามาถามเขาว่า “ทำไมวันนี้คุณถึงไม่ยอมค้างที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ล่ะคะ”


 


 


“คุณไม่ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วจะอยู่ด้วยกันไปทำไม เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันอีก” ลั่วเซ่าเชินไม่เข้าใจว่าถังโจวโจวกำลังคิดอะไรอยู่ เธอกับแม่ของเขาเข้ากันไม่ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วเธอจะฝืนตัวเองอยู่ที่นั่นทำไม


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินทำเพื่อเธอขนาดนี้ เธอก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “อากาศหนาวขนาดนี้ เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ!” 

 

 


ตอนที่ 151 สวัสดีปีใหม่

 

        วันต่อมา ลั่วเซ่าเชินให้ถังโจวโจวเตรียมตัวตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่พวกเขาทั้งสามคนจะรีบไปที่บ้านตระกูลถัง คุณพ่อและคุณแม่ถังรออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสามคนเดินเข้ามา ท่านทั้งสองก็ยิ้มอย่างมีความสุข “เซ่าเชิน โจวโจว มากันแล้วเหรอลูก ข้างนอกหนาวมากใช่ไหม” 


 


 


           คนสูงวัยสองคนแย้มยิ้มราวกับดอกไม้กำลังจะเบ่งบาน ความรักที่ทั้งคู่มีให้พวกเขาล้วนออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ 


 


 


“ไม่เท่าไรครับ คุณพ่อคุณแม่ ลั่วอิง รีบเข้าไปทักทายคุณตาคุณยายสิลูก” ลั่วเซ่าเชินดึงลั่วอิงออกมาจากด้านหลัง 


 


 


ลั่วอิงรีบคำนับพวกเขาทันที “คุณตาคุณยายขา ลั่วอิงมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ!” 


 


 


คุณพ่อและคุณแม่ถังอ้าปากค้าง “โอ้โฮ วันนี้ลั่วอิงน่ารักจริงๆ เลยลูก เดี๋ยวคุณตากับคุณยายจะให้อั่งเป่าซองใหญ่ๆ เลยนะ เข้ามาสิ เข้ามาเลย!” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินถือกระเป๋าเข้าไปวางไว้ในห้องนั่งเล่น คุณแม่ถังดึงถังโจวโจวไว้ ก่อนจะกระซิบถามว่า “โจวโจว ตกลงลูกกับเซ่าเชินเป็นยังไงบ้าง” 


 


 


พวกเขาสองคนคืนดีกันแบบเงียบๆ แต่คุณแม่ถังก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี หลังจากวันนั้น ถังโจวโจวก็มาขนข้าวขนของกลับไป และสีหน้าของเธอก็ไม่ได้ดูอมทุกข์เหมือนแต่ก่อนด้วย คุณแม่ถังจึงเข้าใจว่าเธอน่าจะคิดได้แล้ว 


 


 


ถังโจวโจวพยักหน้าส่งๆ และพูดอย่างกำกวม “ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ” 


 


 


คุณแม่ถังตีเข้าที่ต้นแขนของเธอ ถังโจวโจวลูบแขนตัวเองพลางร้อง “โอ๊ย แม่ทำอะไรคะเนี่ย” จู่ๆ มาตีเธอทำไม? 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินและคุณพ่อถังได้ยินถังโจวโจวร้องเสียงหลง พวกเขาก็หันกลับไปมอง “เกิดอะไรขึ้นครับ” 


 


 


คุณแม่ถังรีบพูดกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรจ้ะ โจวโจวแค่สะดุดชนแม่น่ะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองไปที่ถังโจวโจว “เดินมองทางบ้างสิคุณ คุณแม่ครับ เธอก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่รู้จักระมัดระวังอะไรสักอย่าง บางทีก็ไม่รู้ว่าใจลอยไปถึงไหน” 


 


 


ถังโจวโจวได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดจาค่อนแคะถึงตัวเองเสียขนาดนี้ ถังโจวโจวก็อดถลึงตาใส่เขาไม่ได้ ลั่วเซ่าเชินแสร้งทำเป็นไม่เห็น ส่วนคุณแม่ถัง เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วเซ่าเชินที่แม้จะเหมือนเหน็บแนมลูกสาว แต่ที่จริงแล้วกลับแฝงไปด้วยความห่วงใย ในที่สุดเธอก็วางใจกับความสัมพันธ์ที่ดีของหนุ่มสาวคู่นี้ได้เสียที 


 


 


เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังเพ่งมองมาทางนี้ คุณแม่ถังจึงพูดกับถังโจวโจวว่า “โจวโจว มาช่วยงานแม่ในครัวหน่อย” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบหยัดตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ให้ผมช่วยดีกว่าครับคุณแม่” เขาพูดพลางจะถกแขนเสื้อขึ้น ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เหมือนว่าตั้งใจจะเข้าไปช่วยจริงๆ 


 


 


คุณแม่ถังให้คุณพ่อถังช่วยหยุดเขาไว้โดยด่วน “ไม่ต้องหรอก เซ่าเชิน จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ให้โจวโจวไปช่วยแม่ก็พอแล้ว” 


 


 


คุณแม่ถังลากถังโจวโจวเข้ามาในครัว จากนั้นคุณแม่ถังก็หยิบชามผักขึ้นมาและมอบหน้าที่เด็ดผักล้างผักให้กับถังโจวโจว ถังโจวโจวหยิบเก้าอี้ตัวเล็กออกมานั่งในครัว คุณแม่ถังล้างทำความสะอาดวัตถุดิบที่จะใช้ในตอนกลางวัน พลางคุยกับถังโจวโจวอย่างเพลิดเพลิน 


 


 


แสงแดดสีทองนวลอุ่นสาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง กระทบลงบนเรือนผมของถังโจวโจวราวกับชุบด้วยทอง ทันใดนั้น คุณแม่ถังก็มองเธออย่างเหม่อลอย เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ลูกสาวของเธอจะโตจนป่านนี้แล้ว ซ้ำยังแต่งงานแล้วด้วย 


 


 


แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับตระกูลของลั่วเซ่าเชิน และเธอก็ไม่คาดหวังว่าลูกของเธอจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น แต่มันสามารถมองเห็นได้จากสีหน้าของถังโจวโจวที่บอกเป็นนัยว่า เวลาที่เธออยู่กับคุณชายเล็กแห่งตระกูลลั่วคนนี้ เธอมีความสุข 


 


 


แค่ลูกสาวมีความสุขก็เพียงพอแล้ว คิดมาถึงตรงนี้คุณแม่ถังก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เธอรีบเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อเพื่อปกปิดมันไว้ 


 


 


แต่เรื่องนั้น…วันนี้เธอจะต้องรู้ให้ได้! 


 


 


“โจวโจว ลูกคนนี้นี่ ทำไมตอนที่แม่ถามถึงไม่พูดออกมาตามตรง ‘ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ’ นี่หมายความว่ายังไง” 


 


 


“แม่จะถามทำไมเยอะแยะ แม่แค่รู้ว่าหนูกับเขาคืนดีกันชั่วคราวก็พอแล้ว” ถังโจวโจวไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไร แต่คุณแม่ถังกลับดูสนใจเป็นอย่างมาก แม้แต่สิ่งต่างๆ ที่กำลังทำอยู่ในมือก็ยังหยุดลง 


 


 


“ชั่วคราวคืออะไร ลูกยังลืมเรื่องนั้นไม่ลงใช่ไหม” คุณแม่ถังเองก็รู้ว่าถังโจวโจวไม่มีทางลืมเรื่องนั้นได้แน่ แต่เมื่อคุณแม่ถังเห็นท่าทางของลั่วเซ่าเชินในตอนนี้ เธอก็ไม่คิดว่าลั่วเซ่าเชินจะทำเรื่องอะไรแบบนั้นได้ โจวโจวเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า? 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังพูดมันออกมา ถังโจวโจวก็โต้กลับในทันที “แม่คะ หนูเคยบอกแม่ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าหนูเห็นมากับตา ได้ยินมากับหู มันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องเท็จไปได้เลย ถ้าแม่ยังถามหนูอีกคำ หนูจะเดินออกจากครัวแล้วนะ!” 


 


 


ถังโจวโจวไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ ทุกวันนี้เธอสู้อุตส่าห์ทำเป็นลืมเรื่องนั้นไปแล้ว ราวกับว่าเธอตั้งใจทิ้งเรื่องนั้นเอาไว้ข้างหลัง 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวไม่พอใจ เธอก็ไม่เอ่ยถามอะไรอีก ทั้งสองคนง่วนอยู่กับงานในครัว ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินกำลังเล่นหมากรุกอยู่กับคุณพ่อถังในห้องนั่งเล่น โดยมีลั่วอิงนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่กระดานโดยไม่ปริปากพูดเลยสักคำ ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจวิธีเล่นหรือไม่ 


 


 


คุณพ่อถังกลัวว่าเธอจะเบื่อ “ลั่วอิง หนูไปดูว่าพวกคุณยายทำอะไรอร่อยๆ ในครัวดีกว่าไหมลูก คุณตากับคุณพ่อกำลังจะโขกหมากรุกกันอยู่ หนูไม่เบื่อหรือ” 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าลั่วอิงก็ยังไม่ยอมไปอยู่ดี “ไม่เป็นไรค่ะ คุณตา หนูอยู่ตรงนี้ดีแล้วค่ะ” 


 


 


ความจริงแล้วลั่วอิงไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคุณพ่อถังกับลั่วเซ่าเชินกำลังทำอะไรกันอยู่ แต่แม้ว่าสายตาของเธอจะจับจ้องอยู่ที่กระดานหมากรุก แต่หูของเธอกลับกำลังฟังเสียงจากโทรทัศน์ นี่เป็นการแยกโสตประสาทอย่างชำนาญเลยทีเดียว 


 


 


เมื่อคุณพ่อถังเห็นเธอทำหน้าตาเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าดูจริงจังมาก นี่ถ้าหากว่าเขาไม่รู้ เขาก็คงคิดว่าเธอกำลังคิดจะทำการใหญ่อยู่! ในเมื่อเธอไม่อยากไป คุณพ่อถังก็ไม่บังคับ เขาหันกลับไปสนใจเกมการต่อสู้ระหว่างเขาและลั่วเซ่าเชินต่อ 


 


 


หลังจากเกมหมากรุกจบลง คุณพ่อถังและลั่วเซ่าเชินเสมอกัน ลั่วเซ่าเชินพูดว่า “ขอบคุณที่ออมมือให้นะครับ คุณพ่อ” 


 


 


คุณพ่อถังรู้ดีว่าเขากำลังถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะ “เซ่าเชิน ทักษะการโขกหมากรุกของคุณนั้นดีมาก พ่อเทียบไม่ติดเลย” คุณพ่อถังแค่เล่นเอาสนุก ทางหมากของลั่วเซ่าเชินนั้นเน้นไปที่การโจมตีเป็นหลัก ส่วนคุณพ่อถังก็เพียงตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ 


 


 


“พ่อคะ เซ่าเชิน เตรียมตัวทานข้าวได้แล้วค่ะ” ถังโจวโจวชะโงกหน้าออกมาจากห้องครัว คุณพ่อถังและลั่วเซ่าเชินช่วยกันเก็บกระดาน 


 


 


“เวลานี่มันเดินเร็วจริงๆ เล่นไปแค่ไม่กี่ตาก็ถึงเวลากินข้าวซะแล้ว” 


 


 


“ถ้าคุณพ่ออยากเล่นอีก เดี๋ยวพอทานข้าวเสร็จ เราค่อยกลับมาต่อกันก็ได้ครับ” ลั่วเซ่าเชินตัดสินใจแล้วว่าวันนี้เขาจะอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อถังจนจบ และการเดินหมากกับคุณพ่อถังนั้นก็นับเป็นความเพลิดเพลินอีกอย่างหนึ่ง คุณพ่อถังไม่เคยคิดเสียใจเลยหลังจากเดินหมากพลาด 


 


 


ลั่วเซ่าเชินช่วยถังโจวโจวยกกับข้าวขึ้นโต๊ะ และช่วยเธอวางอุปกรณ์ทานข้าว เมื่อคุณแม่ถังยกกับข้าวจานสุดท้ายออกมาตั้งโต๊ะ ทั้งครอบครัวก็นั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน 


 


 


หากจะเปรียบเทียบกับคฤหาสน์ตระกูลลั่ว ที่นี่คึกคักมีความสุข ส่วนที่นั่นเยือกเย็นเป็นถ้ำน้ำแข็ง คุณพ่อถังหยิบเหล้าออกมาก่อนจะรินให้ลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชิน วันนี้คุณดื่มเป็นเพื่อนพ่อหน่อยนะ ถ้าเมาก็นอนมันซะที่นี่แหละ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินหมายจะปฏิเสธ แต่พอได้ยินคุณพ่อถังพูดประโยคถัดมา เขาก็รับมาแล้วดื่มมันลงไป 


 


 


คุณแม่ถังคีบกับข้าวให้ลั่วอิง “ลั่วอิง ทานเยอะๆ นะลูก” 


 


 


“ค่ะ คุณยาย กับข้าววันนี้อร่อยมาก คุณยายเก่งที่สุดเลยค่ะ!” ลั่วอิงยกนิ้วโป้งให้คุณแม่ถัง คุณแม่ถังหัวเราะจนกรามค้าง “เด็กคนนี้นี่ ปากหวานจริงเชียว” 


 


 


พวกเขาพูดคุยกันในขณะที่รับประทานอาหาร ทุกคนต่างก็ระบายในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจและสิ่งที่อยากจะพูดมาตลอด ถังโจวโจวไม่ได้รู้สึกกดดันเลยเมื่ออยู่ที่นี่ ซึ่งลั่วเซ่าเชินก็สัมผัสได้ถึงความสบายอกสบายใจที่เธอมี แล้วเขาก็แอบคิดอะไรอยู่เงียบๆ 


 


 


หลังจากรับประทานอาหารกันอย่างอิ่มเอมแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็กลับมาเล่นหมากรุกกับคุณพ่อถังอีกครั้ง เมื่อครู่ที่เขาดื่มเหล้าไป ลั่วเซ่าเชินไม่ได้มีอาการมึนเมาเลยแม้แต่น้อย ส่วนคุณพ่อถังก็ดื่มเหล้าวันละแก้วเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรผิดปกติเช่นกัน 


 


 


คุณแม่ถังกำลังพูดคุยอยู่กับถังโจวโจวและลั่วอิง ทั้งสามคนนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา เป็นเพราะเมื่อวานนี้ครอบครัวของถังโจวโจวไม่ได้อยู่โต้รุ่ง ดังนั้นวันนี้พวกเธอจึงเลือกดูงานชุนหว่าน[1] ที่เมื่อวานไม่ได้ดูกันเลย 


 


 


ถังโจวโจวไล่อ่านและตอบข้อความสวัสดีปีใหม่ของเพื่อนๆ แต่ละคน โดยท่ามกลางข้อความเหล่านั้น มีสองข้อความที่ดึงดูดสายตาของถังโจวโจวได้เป็นอย่างดี หลินเหยาส่งมาว่า [โจวโจว ปีนี้ฉันขอให้เธอมีลูกชาย (หรือลูกสาว) บุญธรรมให้ฉันนะ ช่วยทำให้ฉันได้เป็นแม่บุญธรรมที แล้วก็สวัสดีปีใหม่!] 


 


 


ในขณะที่ข้อความของฟังหยวนนั้นสั้น กระชับ ได้ใจความ [สวัสดีปีใหม่ครับ โจวโจว ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณตลอดไป] 


 


 


ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ถังโจวโจวไปพักที่บ้านของฟังหยวน ต่อมาเธอก็คุยกับฟังหยวนเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม เธอมองว่าเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเธอจะรู้ว่าฟังหยวนแอบคิดอะไรกับเธอ แต่ฟังหยวนก็ไม่ได้แสดงมันออกมา เธอจึงสามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ โดยถือเอาคำพูดของเขาก่อนหน้าเป็นแค่เรื่องตลก 


 


 


ครอบครัวของถังโจวโจวอยู่กินมื้อค่ำที่บ้านตระกูลถังก่อนจะกลับบ้าน และก่อนที่ลั่วอิงจะกลับ คุณแม่ถังก็ยื่นอั่งเป่าซองใหญ่ให้เธอ ทำเอาลั่วอิงดีอกดีใจเสียยกใหญ่ 


 


 


 


 


 


เมิ่งชิงซีพักอยู่ที่เมือง Z สองสามวัน ก่อนจะกลับมาพร้อมกับฉินอวิ๋น และสิ่งแรกที่เธอทำก็คือไปสวัสดีปีใหม่คุณพ่อและคุณแม่ลั่วที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว 


 


 


คุณแม่ลั่วมองดูของขวัญล้ำค่าที่เมิ่งชิงซีถือมาให้ เธอรีบบอกให้แม่นมจ้าวไปหาที่หาทางวางให้ดี เธอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเมิ่งชิงซีในช่วงนี้ และเมื่อได้ยินว่าเธอกลับไปที่เมือง Z คุณแม่ลั่วก็ถามถึงผู้เฒ่าเมิ่ง “ช่วงนี้คุณปู่ของหนูแข็งแรงดีใช่ไหมจ๊ะ” 


 


 


“คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณปู่แข็งแรงดี ท่านเองก็คิดถึงคุณลุงกับคุณป้ามากเหมือนกันค่ะ” เมิ่งชิงซีจับมือของคุณแม่ลั่ว เพื่อแสดงความคิดถึงแทนผู้เฒ่าเมิ่ง 


 


 


คุณแม่ลั่วซาบซึ้งไปชั่วขณะ “ครั้งหน้าป้าจะต้องไปเยี่ยมท่านบ้างแล้วล่ะ” ตั้งแต่ที่ตระกูลลั่วย้ายมาอยู่ที่เมือง S พวกเขาก็ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลเมิ่ง แต่พวกเขาก็ยังอยู่ใกล้กับเมิ่งไหวเซินและฉินอวิ๋น 


 


 


เมิ่งชิงซีใช้เวลาอยู่กับคุณแม่ลั่วตลอดทั้งวันก่อนจะลากลับบ้าน เมื่อเธอเข้ามาในบ้านแล้วเห็นว่าภายในบ้านเงียบเชียบ เธอจึงถามแม่บ้านว่า “แม่บ้านหวัง คุณแม่ล่ะ?” 


 


 


“คุณหนูกลับมาแล้วหรือคะ คุณผู้หญิงอยู่ข้างบนค่ะ เธอบอกว่าอยากจะพักผ่อน” 


 


 


เมิ่งชิงซีพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงขึ้นไปที่ห้องนอนของฉินอวิ๋น เธอเปิดประตูเข้าไปโดยที่ไม่ได้เคาะ ฉินอวิ๋นหันหลังให้เธออยู่ เธอไม่รู้ว่าแม่ของเธอกำลังทำอะไร แต่ท่าทางดูลุกลี้ลุกลนมาก 


 


 


เมิ่งชิงซีเอ่ยถามอย่างสงสัย “แม่ทำอะไรอยู่คะ แม่บ้านหวังบอกว่าแม่กำลังพักผ่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วแม่นั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น” 


 


 


ฉินอวิ๋นซ่อนของที่อยู่ในมือลงไปในลิ้นชักของโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมื่อครู่เมิ่งชิงซีไม่ทันเห็นว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ จึงเอ่ยถึงเรื่องอื่น “ชิงซี ทำไมไม่เคาะประตูก่อนเข้ามา ลูกทำให้แม่ตกใจนะ” 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นเห็นว่าของของเธอถูกซ่อนไว้อย่างดีแล้ว เธอก็ลุกเดินไปที่เตียง เมิ่งชิงซีเห็นว่าไม่มีอะไรวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งเลย แต่เธอก็ยังอดที่จะมองไปทางนั้นไม่ได้ แต่แล้วเธอก็ไม่พบอะไรที่ผิดสังเกต เธอจึงได้แต่ดึงสายตากลับมา 


 


 


“หนูเป็นลูกแม่นะคะ จะเคาะประตูทำไม ก็หนูได้ยินแม่บ้านหวังบอกว่าแม่กำลังหลับอยู่ หนูก็เลยไม่ได้เคาะประตู ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าแม่ตื่นอยู่ แล้วแม่กำลังทำอะไรอยู่คะ ท่าทางลับๆ ล่อๆ” เห็นได้ชัดว่าเมิ่งชิงซียังคงคาใจในเรื่องนี้ 


 


 


“ชิงซี เรานี่ชักจะพูดจาไร้สาระเข้าไปทุกทีแล้ว แม่อยู่ในห้องของแม่นะ แม่จะทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปทำไม ลูกดูผิดไปแล้ว จู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาอย่างนี้ แม่ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดาสิ” เมื่อเห็นฉินอวิ๋นยืนยันหนักแน่น เมิ่งชิงซีก็พยักหน้าอย่างฟังหูไว้หู 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นเอาตัวรอดจากเมิ่งชิงซีได้แล้ว เธอก็เบาใจลงไปครึ่งหนึ่ง “ชิงซี ลูกยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าเข้ามาหาแม่มีธุระอะไร” 


 


 


“อ๋อ ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูแค่จะบอกแม่ว่าวันนี้หนูแวะไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วมา คุณป้าลั่วชอบของขวัญปีใหม่ของหนูมาก แต่ที่น่าหงุดหงิดใจก็คือถังโจวโจวกลับมาหาเซ่าเชินแล้ว ผู้หญิงคนนี้นี่มันสลัดไม่หลุดจริงๆ!” 


 


 


พูดมาถึงประโยคสุดท้าย เมิ่งชิงซีก็ค่อนข้างหงุดหงิดใจ แต่ฉินอวิ๋นกลับไม่เก็บอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ของเธอมาใส่ใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรของถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินก็ล้วนมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเมิ่งชิงซีทุกครั้งไป 


 


 


“ชิงซี ที่ปู่ของลูกพูดมันก็ถูกนะ แม่ว่าลูกน่าจะมองคนอื่นบ้างได้แล้วนะ ทำไมต้องยึดติดอยู่แค่ลั่วเซ่าเชินคนเดียวด้วย แม่รู้จักคนเยอะแยะ ลูกชายของพวกเธอก็ดูดีกันทั้งนั้น ลูกจะลองเก็บเอาไปคิดดูสักหน่อยก็ได้นะ” 


 


 


 


 


 


[1] งานชุนหว่าน หมายถึง งานเฉลิมฉลองปีใหม่ของประเทศจีน ซึ่งโทรทัศน์แต่ละช่องก็จัดงานของตัวเอง และจะถ่ายทอดสดหรือเปิดบันทึกการแสดงสดในวันสิ้นปีย้อนหลังให้ชมอีกครั้ง  

 

 


ตอนที่ 152 เมิ่งชิงซีรู้ความจริงของถังโจวโจว

 

     “แม่คะ หนูเคยบอกแม่ไปแล้วไงว่าหนูต้องการแค่เซ่าเชินคนเดียว แม่อย่าทำให้หนูไขว้เขวสิ” เมิ่งชิงซีไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับฉินอวิ๋นอีกต่อไป เธอจึงเดินออกไปจากห้องทันที 


 


 


           ฉินอวิ๋นได้แต่ทอดถอนใจเมื่อลูกสาวยังคงดื้อรั้น จากนั้นเธอก็นึกถึงสิ่งที่เธอเพิ่งซ่อนเอาไว้ เธอหันไปหยิบมันออกมาแล้วนำไปซ่อนไว้ที่อื่น เมื่อวางมันลงในกล่องที่ปิดมิดชิดแล้ว ฉินอวิ๋นก็รู้สึกโล่งอก 


 


 


           หลายวันต่อมา เมิ่งชิงซีถามหาฉินอวิ๋นกับแม่บ้านหวัง แม่บ้านหวังตอบว่าคุณผู้หญิงยังไม่ได้ลงมาจากชั้นบน เมิ่งชิงซีจึงเดินกระแทกเท้าปึงปังขึ้นไปที่ชั้นบน และเมื่อเธอเคาะประตูห้องนอนของฉินอวิ๋น เธอก็พบว่าไม่มีเสียงตอบรับ เธอลองหมุนลูกบิดดู ประตูไม่ได้ล็อกนี่ เธอจึงเดินเข้าไปด้านใน 


 


 


           เธอบ่นพึมพำว่า “แม่หายไปไหนเนี่ย” ในขณะที่เมิ่งชิงซีหมุนตัวและหมายจะเดินออกไปจากห้อง พลันสายตาของเธอเหลือบไปเห็นโต๊ะเครื่องแป้ง เธอก็หวนคิดถึงเรื่องในวันนั้น ถ้าเธอจำไม่ผิด คุณแม่น่าจะซ่อนอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เธอเห็นเอาไว้แน่ๆ 


 


 


           เธอค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง เธอค้นดูในลิ้นชักหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสงสัย เมิ่งชิงซีอดสบถออกมาไม่ได้ วันนั้นเธอเข้าใจผิดไปจริงๆ เหรอ? 


 


 


           แต่จู่ๆ สายตาของเมิ่งชิงซีก็สะดุดเข้ากับกล่องเหล็กใบหนึ่งซึ่งมันไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรเลย เพียงแต่เมิ่งชิงซีรู้สึกว่ามันไม่ควรจะมาตั้งอยู่ตรงนี้ กล่องใบนี้ดูเหมือนจะแตกเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เมิ่งชิงซีได้รู้ว่าคุณแม่ของเธอก็ชอบเก็บสะสมของแบบนี้ด้วย? 


 


 


           ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอเปิดกล่องนั้นออก เมิ่งชิงซีพบว่าภายในนั้นมีกระดาษเอกสารอยู่หลายแผ่น บนนั้นมีบางสิ่งบางอย่างเขียนอยู่ และเมื่อเมิ่งชิงซีตั้งใจอ่านมันอย่างละเอียด เธอก็ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้เห็นข้อมูลนี้ แม่มีข้อมูลของถังโจวโจวได้ยังไง? 


 


 


           เมิ่งชิงซีดีใจไปชั่วขณะ เธอพยายามอดกลั้นความตื่นเต้นของเธอไว้ และในขณะที่เธอกำลังจะเก็บของคืนที่เดิม ประตูก็ถูกเปิดออก …ตอนที่ฉินอวิ๋นอยู่ชั้นล่าง เธอก็เห็นแม่บ้านหวังมองมาที่เธอด้วยความประหลาดใจ “คุณผู้หญิง ฉันนึกว่าคุณผู้หญิงอยู่บนห้องนอนเสียอีก เมื่อครู่นี้คุณหนูเพิ่งถามหาคุณผู้หญิงเองค่ะ” 


 


 


“แล้วคุณหนูล่ะ?” 


 


 


“อยู่ด้านบนค่ะ ตั้งแต่เธอขึ้นไป เธอก็ยังไม่ได้กลับลงมาเลย” แม่บ้านหวังเห็นว่า หลังจากที่ฉินอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าสีหน้าของเธอจะดูสงบนิ่งเป็นปกติ แต่ฝีเท้าของเธอกลับรีบเร่งอย่างมาก 


 


 


‘คุณผู้หญิงเป็นอะไรไป ทำไมพอได้ยินว่าคุณหนูขึ้นไปหาที่ห้องแล้วต้องรีบร้อนขนาดนั้น?’ แม่บ้านหวังไม่เข้าใจ เธอจึงได้แต่ส่ายหน้าและกลับไปทำงานของตัวเองต่อในครัว 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นเปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นว่าเมิ่งชิงซีนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ในมือของเธอถือกล่องเหล็กใบนั้นเอาไว้ “ชิงซี ทำอะไรน่ะ!” ฉินอวิ๋นก้าวแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถมาดึงกล่องเหล็กกลับคืนมาได้ เธอไม่น่าซ่อนมันไว้ในบ้านเลย นึกไม่ถึงเลยว่าชิงซีจะมาเห็นเข้า 


 


 


เมิ่งชิงซีเห็นว่าฉินอวิ๋นแย่งของไปแล้ว แต่เธอก็ไม่ร้อนรน เธอตั้งคำถามว่า “แม่คะ แม่จะหาข้อมูลของถังโจวโจวไปทำไม แล้วพอแม่ได้ข้อมูลนี้มา ทำไมแม่ถึงไม่บอกหนู” 


 


 


เมิ่งชิงซีมั่นใจว่าฉินอวิ๋นจะต้องมีอะไรบางอย่างปิดบังเธออยู่ ทำไมคุณแม่ถึงไม่ยอมบอกข่าวดีแบบนี้กับเธอล่ะ? หากเธอนำเรื่องที่ถังโจวโจวไม่ใช่ลูกของตระกูลถังไปบอกกับคุณแม่ลั่ว เชื่อได้เลยว่าคุณแม่ลั่วจะต้องคัดค้านและไม่ยอมให้ถังโจวโจวอยู่ในตระกูลลั่วอีกต่อไป 


 


 


คุณแม่ลั่วจะต้องสั่งให้ลั่วเซ่าเชินหย่ากับถังโจวโจว และนั่นก็จะกลายเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเมิ่งชิงซี แต่เมิ่งชิงซีกลับนึกไม่ถึงเลยว่าฉินอวิ๋นจะปิดบังเรื่องนี้กับเธอ ทำไมแม่ของเธอถึงไม่เปิดเผยให้เธอรู้เลยสักนิด 


 


 


ทันทีที่ฉินอวิ๋นเห็นสีหน้าของเมิ่งชิงซี เธอก็รู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ลูกสาวกำลังไม่พอใจเธออย่างมาก เมิ่งชิงซีคงจะกำลังบ่นในใจว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกข่าวนี้ให้รู้ แต่เมื่อเธอนึกถึงผลที่จะตามมาหากเธอบอกข่าวนี้กับเมิ่งชิงซีแล้ว ฉินอวิ๋นก็ยังคงยืนยันตามความคิดของเธอเองอยู่ดี 


 


 


“ชิงซี ในเมื่อลูกเห็นแล้วก็ช่างเถอะ แต่เรื่องของถังโจวโจว ลูกอย่าเพิ่งพูดออกไปนะ” 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่เข้าใจอย่างที่สุด “ทำไมล่ะคะแม่! ทำไมแม่ต้องช่วยปกปิดความจริงของถังโจวโจวด้วย ถ้าเราบอกเรื่องนี้กับคุณป้าลั่ว ถังโจวโจวก็อยู่ในตระกูลลั่วต่อไปอีกไม่ได้ แล้วหนูก็จะได้แต่งงานกับเซ่าเชินสักที!” 


 


 


เมิ่งชิงซีเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อจินตนาการถึงอนาคตอันแสนสวยงามนั้น แต่ฉินอวิ๋นกลับคิดว่าลูกสาวของเธอกำลังฝันกลางวัน ถ้าถังโจวโจวสืบหาต่อล่ะว่าใครคือพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองแล้วจะทำอย่างไร เธอจะไม่มีวันปล่อยให้เมิ่งชิงซีพูดเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาด 


 


 


ฉินอวิ๋นเลือกใช้วิธีประนีประนอม“ชิงซี ลูกฟังแม่ก่อนนะ ลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ แม่จะไม่ช่วยลูกได้ยังไง เพียงแต่ในตอนนี้เรายังบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ไม่ได้” 


 


 


“ทำไมล่ะคะ ทำไมเราถึงพูดมันออกมาไม่ได้ ถ้าแม่ไม่ให้เหตุผลที่ทำให้หนูยอมรับได้ หนูจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณป้าลั่ว ถังโจวโจวจะได้เลิกขวางทางชีวิตหนูสักที!” 


 


 


ฉินอวิ๋นโกรธมากที่เมิ่งชิงซีพูดไม่รู้เรื่อง เธอเงื้อมือฟาดลงไปบนใบหน้าของเมิ่งชิงซี เมิ่งชิงซีกุมหน้าและหันมองฉินอวิ๋นด้วยสายตาตกตะลึง ฉินอวิ๋นเองก็มองมือข้างนั้นที่เธอเพิ่งจะตบเมิ่งชิงซีไป 


 


 


เธอพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ชิงซี คือแม่… แม่ไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้แม่นะ” ฉินอวิ๋นขยับตัวเข้าไปเพื่อจะดูรอยช้ำบนใบหน้าของเมิ่งชิงซีใกล้ๆ 


 


 


แต่เมิ่งชิงซีกลับเบี่ยงตัวหลบมือแห่งความห่วงใยที่ฉินอวิ๋นยื่นเข้ามาใกล้ หยาดน้ำตาของเธอรินไหลลงมาอย่างช้าๆ “แม่ตบหนูเพราะผู้หญิงสารเลวอย่างถังโจวโจว นี่หนูยังเป็นลูกสาวของแม่อยู่หรือเปล่า!” 


 


 


เมิ่งชิงซีผลักประตูและวิ่งออกไป ฉินอวิ๋นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ครู่หนึ่งเธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เพียงแต่เอกสารที่อยู่ในมือของเธอมันไม่สามารถให้ใครเห็นได้ ครั้งนี้ฉินอวิ๋นไม่กล้าซ่อนมันไว้ในกล่องแล้ว เธอเปลี่ยนไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยที่ล็อกแน่นหนา 


 


 


เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเมิ่งชิงซีจะเฝ้ารอโอกาสที่ได้ทำลายถังโจวโจวอยู่ตลอด เธอคิดต่อไปอีกว่าหากเมิ่งชิงซีเอาเรื่องนี้ไปบอกคนในตระกูลลั่ว ถ้าลั่วเซ่าเชินรู้เข้า เขาจะต้องสืบค้นต่อไปอย่างแน่นอน เพื่อลูกสาวของเธอ ฉินอวิ๋นจะไม่มีวันยอมให้ถังโจวโจวรู้เป็นอันขาดว่าพ่อแม่แท้ๆ ของเธอคือใคร! 


 


 


แม้ว่าฉินอวิ๋นจะไม่แน่ใจในการคาดเดาของตัวเอง แต่ก็กันไว้ดีกว่าแก้ ด้วยความคิดแบบนี้ทำให้ฉินอวิ๋นไม่สามารถนิ่งนอนใจกับความคิดในตอนนี้ของเมิ่งชิงซีได้ เธอจำเป็นต้องให้คนช่วยเธอจัดการเรื่องบางเรื่องเสียแล้ว ทันใดนั้นเธอก็กดโทรออกและพูดอะไรบางอย่างกับคนที่อยู่ในสาย 


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีออกมาจากห้องของฉินอวิ๋น เธอก็กลับไปที่ห้องนอนของเธอ เธอล้มตัวลงไปบนเตียงและคลุมโปงร้องไห้ และเมื่อเห็นว่าฉินอวิ๋นไม่ได้ตามเธอมา เมิ่งชิงซีก็ยิ่งเศร้าใจ น้ำตาของเธอพรั่งพรูออกมามากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


เพียงแค่นึกถึงว่าฉินอวิ๋นพยายามจะปกปิดตัวตนของถังโจวโจว เมิ่งชิงซีก็ยิ่งไม่พอใจ เธอเช็ดน้ำตาและแอบสาบานอย่างเงียบๆ ว่าเธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณป้าลั่วให้ได้ แล้วถ้าลั่วเซ่าเชินรู้ เขาจะต้องไม่อยากให้ถังโจวโจวอยู่ด้วยอีกต่อไป 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่ได้วางแผนที่จะไปวันนี้เลย เพราะเธอเพิ่งจะกลับมาจากคฤหาสน์ตระกูลลั่ว หากเธอไปตอนนี้ คุณป้าลั่วอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอพาลจนพูดจาเลอะเทอะ ฉะนั้นเธอจะต้องวางแผนให้ดีก่อน เพื่อให้คุณป้าลั่วเชื่อคำของเธออย่างสนิทใจ 


 


 


ความจริงแล้วเมิ่งชิงซีรู้ดีว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือหลักฐานที่อยู่ในมือของฉินอวิ๋น มันระบุไว้อย่างชัดเจนว่าถังโจวโจวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ถัง และถังโจวโจวก็ถูกรับเลี้ยงมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า 


 


 


แค่เธอคิดว่าถังโจวโจวเป็นเด็กกำพร้า เมิ่งชิงซีก็รู้สึกทันทีว่าเธออยู่เหนือกว่าถังโจวโจวแน่นอน เธอเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเมิ่ง เธอจะด้อยกว่าเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีพ่อไม่มีแม่อย่างถังโจวโจวได้อย่างไร 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่สนแล้วว่าเธอจะเศร้าใจมากแค่ไหน เธอเอาแต่จินตนาการถึงอนาคตที่เธอจะได้เป็นคุณผู้หญิงลั่วอย่างสบายอกสบายใจ แต่ก่อนที่จะด่วนสรุป เธอควรจะส่งคนไปสืบค้นความจริงเพื่อยืนยันข้อมูลนี้สักหน่อย แล้วจากนั้นเธอก็ค่อยไปบอกคุณป้าลั่ว 


 


 


วันรุ่งขึ้น เมิ่งชิงซีตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ในขณะที่กินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร เธอไม่คุยกับฉินอวิ๋นเลยสักคำ เมิ่งไหวเซินมองดูเมิ่งชิงซีที่วันนี้เงียบผิดปกติ ก่อนจะถามว่า “ชิงซี ทำไมวันนี้ถึงไม่คุยกับแม่เลยล่ะ หนูกับแม่ทะเลาะกันหรือ” 


 


 


เมิ่งชิงซีโกรธจนไม่ยอมพูดด้วย แต่เป็นฉินอวิ๋นที่ยื่นมือเข้ามาแก้สถานการณ์เอง “ไหวเซิน ไม่เป็นไรค่ะ ชิงซีแค่งอนฉันนิดหน่อย เมื่อวานฉันพูดกับเธอแรงเกินไป เธอก็เลยโกรธฉันน่ะค่ะ” ฉินอวิ๋นไม่อยากให้เมิ่งไหวเซินรู้เรื่อง ดังนั้นเธอจึงเร่งให้เขากินข้าว มิเช่นนั้นจะไปทำงานสาย 


 


 


เมิ่งไหวเซินไม่ได้เก็บเรื่องที่เมิ่งชิงซีโกรธฉินอวิ๋นมาใส่ใจ เมิ่งชิงซีถูกเขาประคบประหงมมาอย่างดี จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะขี้งอน ตราบใดที่เธอยังเป็นเด็กที่มีจิตใจดี เมิ่งไหวเซินก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหามากสักเท่าไร 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่ได้พูดอะไร เธอปล่อยให้ฉินอวิ๋นพูดอยู่คนเดียว เมื่อเมิ่งไหวเซินลุกออกจากโต๊ะอาหารไปแล้ว เมิ่งชิงซีก็ยืนขึ้นตาม 


 


 


“ชิงซี อิ่มแล้วเหรอ ลูกกินไปไม่เท่าไรเองนะ” ฉินอวิ๋นมองไปที่ชามโจ๊กตรงหน้าเมิ่งชิงซีที่ไม่พร่องลงเลยสักนิด พลางพูดว่า “ชิงซี ลูกกำลังเข้าใจแม่ผิดนะ ลูกอย่าเอาสุขภาพของตัวเองมาประชดแม่อย่างนี้สิ!” 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่พูดและเดินหนีขึ้นไปชั้นบน ฉินอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังเธอขมวดคิ้วมุ่น ดูท่าแล้วเมิ่งชิงซีไม่น่าจะยกโทษให้เธอง่ายๆ เธอควรจะจัดการเรื่องทางนั้นให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยกลับมาง้อเมิ่งชิงซี วันข้างหน้าเธอจะได้รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมดในวันนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของเธอเอง 


 


 


อย่างไรก็ตาม เมิ่งชิงซีไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของฉินอวิ๋นเลย เธอคิดแค่ว่าวันนี้เธอจะต้องเอาเรื่องของถังโจวโจวไปบอกคุณแม่ลั่วให้ได้ ดังนั้นเธอจึงขึ้นมาแต่งตัว แล้วเมิ่งชิงซีก็ขับรถออกจากบ้านไปโดยไม่ได้บอกฉินอวิ๋นเลยสักคำ 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นได้ยินแม่บ้านหวังบอกว่าเมิ่งชิงซีออกไปข้างนอก เธอก็รู้ว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่ลูกสาวของเธอจะไปคฤหาสน์ตระกูลลั่ว แต่เธอก็ไม่กังวลใจอีกแล้ว ตราบใดที่ทางนั้นแสดงได้ดี ไม่ว่าชิงซีจะพูดเรื่องนี้ออกไปหรือไม่มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ฉินอวิ๋นเหยียดยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตามเมิ่งชิงซีออกไปอย่างใจเย็น 


 


 


ภายใต้ความสัมพันธ์ของเมิ่งชิงซีและลั่วเซ่าเชิน ลูกสาวของเธอเจ็บปวดมามากเกินไปแล้ว แม้ว่าฉินอวิ๋นอยากจะช่วยเมิ่งชิงซีมากแค่ไหน แต่เธอก็เดาทางของลั่วเซ่าเชินได้ และรู้ว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนอื่น แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ลั่วก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แล้วคนอื่นจะไปมีผลอะไร 


 


 


น่าเสียดายที่เมิ่งชิงซีเป็นคนดื้อรั้น เธอต้องการแค่ลั่วเซ่าเชินคนเดียวเท่านั้น มีผู้ชายที่ร่ำรวยและดูดีให้เลือกอีกตั้งมากมาย พื้นเพครอบครัวก็อยู่ในระดับเดียวกันกับตระกูลเมิ่ง แต่เมิ่งชิงซีกลับไม่สนใจเลย จนบางครั้งฉินอวิ๋นก็รู้สึกว่าเมื่อชาติที่แล้วเมิ่งชิงซีไปติดค้างอะไรลั่วเซ่าเชินหรือเปล่า ชาตินี้ถึงได้ต้องตามมาชดใช้หนี้ยาวนานถึงเพียงนี้ 


 


 


แต่ต่อให้คิดหาทางช่วยมากแค่ไหน เมิ่งชิงซีก็ไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจเสียที ฉินอวิ๋นก็ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะเมื่อไรที่คุยกันว่าจะให้เมิ่งชิงซีถอดใจจากลั่วเซ่าเชิน เธอก็จะกระฟัดกระเฟียดขึ้นมา ฉินอวิ๋นที่ไม่อยากเห็นเมิ่งชิงซีเศร้าเสียใจ จึงได้แต่ปล่อยให้เธอทำในสิ่งที่เธอต้องการ 


 


 


           เมื่อเมิ่งชิงซีขับรถมาถึงคฤหาสน์ตระกูลลั่ว เธอก็ได้ยินแม่นมจ้าวบอกว่าคุณแม่ลั่วยังไม่ตื่น เมิ่งชิงซีจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าวันนี้เธอมาเร็วเกินไป แต่ไหนๆ มาถึงแล้วก็ช่างเถอะ เมิ่งชิงซีจึงขอนั่งรอจนกว่าคุณแม่ลั่วจะตื่นอยู่ในห้องนั่งเล่น แม่นมจ้าวยกน้ำชาออกมาเสิร์ฟ จากนั้นก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง 


 


 


           เมิ่งชิงซีรออยู่เพียงไม่นาน คุณแม่ลั่วก็เดินลงมาจากชั้นบน เพียงแต่เธอยังคงสวมชุดนอนอยู่ เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นเมิ่งชิงซีมาหาแต่เช้า เธอก็ทั้งดีใจและสงสัยว่า “ชิงซี หนูมาหาป้าแต่เช้าอย่างนี้มีอะไรหรือเปล่าลูก” 


 


 


           ในความคิดของคุณแม่ลั่ว เมิ่งชิงซีเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ เมื่อวานนี้เมิ่งชิงซีก็มาอยู่เป็นเพื่อนตลอดทั้งวันทั้งที่ไม่มีธุระอะไรเป็นพิเศษ แต่วันนี้เธอก็มาหาตั้งแต่เช้าตรู่อีก มันไม่ใช่พฤติกรรมปกติของเมิ่งชิงซีเลย แสดงว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรอย่างแน่นอน เธอถึงทำตัวผิดปกติแบบนี้ 


 


 


คุณแม่ลั่วคิดในใจแต่เท้าของเธอก็ไม่ได้หยุดเดิน จากนั้นเธอก็นั่งลงข้างๆ เมิ่งชิงซี  

 

 


ตอนที่ 153 ไม่ใช่ลูกของตระกูลถัง

 

    เมิ่งชิงซีสะกดกลั้นความตื่นเต้นในใจของเธอเอาไว้ ก่อนจะพูดกับคุณแม่ลั่วหลังจากที่เธอเงียบไปครู่หนึ่ง “คุณป้าคะ ที่หนูรีบมาในวันนี้ เพราะหนูมีเรื่องสำคัญจะมาบอกคุณป้าค่ะ แต่คุณป้าอย่าตกใจไปนะคะ” เมิ่งชิงซีเอ่ยเตือนคุณแม่ลั่วก่อน เพราะเธอมีลางสังหรณ์ว่าคุณแม่ลั่วจะต้องโกรธอย่างแน่นอน


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นเมิ่งชิงซีพูดอย่างจริงจัง เธอก็คิดว่ามันน่าจะไม่ใช่ข่าวดี และนั่นทำให้คุณแม่ลั่วเริ่มเอะใจว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น เมิ่งชิงซีถึงได้ให้ความสนใจแบบนี้


 


 


“ชิงซี หนูนี่จริงๆ เลย ป้าผ่านร้อนผ่านหนาวมาหมดแล้ว หนูพูดมาเถอะจ้ะ ป้ากำลังรอฟังอยู่” คุณแม่ลั่วไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน เธออยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว เจอะเจออะไรก็คงไม่เหมือนกับตอนที่เธอยังเป็นวัยรุ่นอยู่หรอก


 


 


“คุณป้าคะ ถังโจวโจวไม่ใช่ลูกของตระกูลถังค่ะ”


 


 


คุณแม่ลั่วนึกว่าตัวเองหูฝาดไป “ชิงซี หนูว่าอะไรนะ?!”


 


 


นี่เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม แต่เมื่อคุณแม่ลั่วมองไปที่ริมฝีปากของเมิ่งชิงซีที่ขยับอีกสองสามครั้ง เมิ่งชิงซีก็ยังคงพูดประโยคเดิมที่เธอได้ยินเมื่อครู่ ถึงตอนนี้คุณแม่ลั่วแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้ฟังผิดไป


 


 


“หนูบอกว่าถังโจวโจวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบ้านตระกูลถังค่ะ” เมิ่งชิงซีย้ำอีกรอบ หัวใจของเมิ่งชิงซีเต้นระรัว นี่เป็นวิธีที่ดีสุดที่จะกำจัดถังโจวโจวได้ ครั้งนี้เธอจะได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากคุณแม่ลั่วอย่างแน่นอน


 


 


“ชิงซี หนูไปได้ข่าวนี้มาจากไหน นี่เรื่องจริงใช่ไหม” คุณแม่ลั่วเอ่ยถามเธอทันที หากข่าวนี้เป็นจริง ถ้าอย่างนั้นเธอก็มีเหตุผลที่จะไล่ถังโจวโจวออกไปจากตระกูลลั่วได้แล้วน่ะสิ


 


 


“คุณป้าคะ ข่าวนี้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ถังโจวโจวเป็นเด็กที่ตระกูลถังรับเลี้ยงมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าค่ะ” เมิ่งชิงซีดูภาคภูมิใจเป็นอย่างมากในขณะที่พูดประโยคนี้ เมื่อเทียบกับถังโจวโจวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เห็นได้ชัดว่าเธอเหนือกว่าเยอะ!


 


 


คุณแม่ลั่วเชื่อเธอหมดใจ พลางกุมมือของเมิ่งชิงซีแล้วพูดว่า “ชิงซี ป้าจะเรียกพวกเขามา แล้วหนูก็พูดกับพวกเขาแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลยนะ ป้าจะดูสิว่าอาเชินจะหาเหตุผลอะไรมาห้ามไม่ให้ป้าไล่ถังโจวโจวไปอีก”


 


 


ตั้งแต่ที่ถังโจวโจวเสียลูกไป คุณแม่ลั่วก็เฝ้าคิดมาโดยตลอดว่าเธอจะไล่ถังโจวโจวออกไปได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ที่ถังโจวโจวหนีออกไปเอง เธอดีใจเป็นอย่างมาก แต่เธอนึกไม่ถึงเลยว่าถังโจวโจวจะกลับมารวดเร็วอย่างนี้ โดยเฉพาะท่าทางที่ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวของเธอเมื่อครั้งที่แล้วนั้น ยิ่งทำให้คุณแม่ลั่วขุ่นเคืองใจ


 


 


“แบบนั้นจะดีหรือคะคุณป้า แล้วคุณป้าว่าเซ่าเชินจะเห็นด้วยไหมคะ” ใจจริงแล้วเมิ่งชิงซีอยากจะให้คุณแม่ลั่วเรียกพวกเขามาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่เธอก็กลัวคุณแม่ลั่วจะติว่าเธอดูรีบร้อนมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงอดทนเอาไว้ก่อน


 


 


คุณแม่ลั่วเห็นเมิ่งชิงซีมีท่าทีลังเลใจอยู่เล็กน้อย เธอรู้ว่าปกติแล้วลั่วเซ่าเชินไม่ค่อยไว้หน้าเมิ่งชิงซีสักเท่าไรนัก เมิ่งชิงซีจึงดูกระอักกระอ่วนแบบนี้ เธอตบหลังมือของเมิ่งชิงซีเบาๆ “ชิงซี ไม่ต้องเป็นห่วง ป้าจะอยู่ด้วยกันกับหนู ถ้าอาเชินจะให้เธออยู่ในตระกูลลั่วต่อ ป้าก็จะไม่ยอมเหมือนกัน”


 


 


คราวนี้คุณแม่ลั่วตัดสินใจแล้ว เดิมทีเธอก็ยอมรับลูกสะใภ้อย่างถังโจวโจวไม่ได้ เพราะลูกสะใภ้ที่เธอต้องการคือเมิ่งชิงซีเท่านั้น เธอไม่เคยเปลี่ยนความคิดนี้เลยสักวัน เพียงแต่ที่ผ่านมาลั่วเซ่าเชินคอยปกป้องถังโจวโจวอยู่ตลอด ดังนั้นคุณแม่ลั่วจึงไม่อาจทำอะไรถังโจวโจวได้และได้แต่ปล่อยให้มันยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้


 


 


แต่ ณ ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ถังโจวโจวเป็นแค่เด็กกำพร้า แม้แต่ครอบครัวปัจจุบันของเธอก็ไม่คู่ควรกับตระกูลลั่วแล้ว นี่ซ้ำร้ายยังเป็นแค่เด็กกำพร้าอีก ครั้งนี้คุณแม่ลั่วจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด เธอจะต้องทำให้ลั่วเซ่าเชินแต่งงานกับเมิ่งชิงซีที่ดีพร้อมให้ได้ แบบนี้ถึงจะเกื้อกูลตระกูลลั่วได้มากที่สุด


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วคิดว่าลั่วเซ่าเชินจะได้แต่งงานกับเมิ่งชิงซี ตระกูลลั่วก็จะมีแต่ได้กับได้ คิดแล้วเธอก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้ชั่วขณะ และเมื่อเธอหันไปมองเมิ่งชิงซี เธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าลงอย่างเหนียมอาย คุณแม่ลั่วมองไม่เห็นสีหน้าของเมิ่งชิงซี แต่เธอก็มั่นใจว่าเมิ่งชิงซีน่าจะกำลังเขินอยู่


 


 


เมิ่งชิงซีหลุบสายตาแห่งความภาคภูมิใจลง ในไม่ช้าเธอก็จะได้เห็นความตกต่ำขั้นสุดของถังโจวโจวแล้ว และเมื่อไรที่ถังโจวโจวตกต่ำจนไม่เหลือชิ้นดี เมื่อนั้นก็จะเป็นเวลาที่เมิ่งชิงซีมีความสุขมากที่สุด!


 


 


ตามที่คาดไว้ คุณแม่ลั่วพูดจริงทำจริง เธอยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงลั่วเซ่าเชินทันที เมิ่งชิงซีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลั่วเซ่าเชินจะว่าอย่างไร แต่รู้แค่ว่าคุณแม่ลั่วมีความสุขมากหลังจากที่เธอวางสายไป เมิ่งชิงซีเห็นอย่างนั้นก็คิดว่าอีกสักพักลั่วเซ่าเชินก็คงจะมาถึงที่นี่


 


 


เมิ่งชิงซีขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับคุณแม่ลั่วที่ชั้นบน จากนั้นเมิ่งชิงซีก็ร่วมมื้อเช้ากับคุณแม่ลั่วตามคำเชิญ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเธอก็ได้ยินเสียงรถจอดในเขตคฤหาสน์ ร่างกายของเมิ่งชิงซีไม่ได้ขยับ แต่ดวงตาของเธอกลับหมายจะมองทะลุบานประตูออกไปดูว่าใครมา


 


 


ในไม่ช้า เสียงฝีเท้าก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แล้วร่างของลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้เห็นเมิ่งชิงซีที่นี่ คุณแม่ลั่วไม่ได้บอกพวกเขาว่าเมิ่งชิงซีอยู่ที่นี่ด้วย


 


 


“คุณแม่ คุณเมิ่ง”


 


 


“แม่ครับ แม่เรียกพวกเรามาทำไม” ลั่วเซ่าเชินพาถังโจวโจวไปนั่งที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง แม่นมจ้าวยกน้ำชาและผลไม้ออกมาเสิร์ฟ และเมื่อเธอเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นไม่ค่อยสู้ดีนัก เธอก็ปลีกตัวออกไปอย่างเงียบๆ


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวนั่งลงตรงข้ามเธอ เธอก็ยิ้มให้กับลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชินคะ ที่คุณป้าเรียกพวกคุณมาในวันนี้ เพราะท่านมีเรื่องจะบอกพวกคุณค่ะ” หลังจากนั้นเมิ่งชิงซีก็ปรายตามองไปที่ถังโจวโจว เธอมองเสียจนถังโจวโจวรู้สึกหวั่นใจ


 


 


“ผมพูดกับแม่ของผม คุณยุ่งอะไรด้วย” ลั่วเซ่าเชินขมวดคิ้วแน่นพลางมองไปที่เมิ่งชิงซี เมิ่งชิงซีชะงักงัน แล้วรอยยิ้มอันแสนภาคภูมิใจของเธอก็จางหายไปในบัดดล


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นลั่วเซ่าเชินพูดจาหักหาญกับเมิ่งชิงซีแบบนี้ เธอก็ดุเขาในทันที “อาเชิน ลูกพูดกับชิงซีแบบนี้ได้ยังไง ความเป็นสุภาพบุรุษของลูกหายไปไหนหมด”


 


 


ลั่วเซ่าเชินปิดปากเงียบ ถ้าเขาตอบโต้กลับไป รังแต่จะยิ่งต่อความยาวมากขึ้น ดังนั้น เขาเลือกที่จะไม่พูด จึงเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดที่สุด และเมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่ตอบโต้ อีกทั้งสีหน้าของเขาก็ดูเรียบเฉย เธอก็รู้ว่าเขายังคงยืนกรานในความคิดของเขา


 


 


ตอนนี้คุณแม่ลั่วก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอต้องจัดการเรื่องของถังโจวโจวให้เรียบร้อยก่อน เธอถึงจะวางใจ!


 


 


“อาเชิน แม่มีเรื่องสำคัญจะบอกลูก”


 


 


คุณแม่ลั่วกำลังจะเปิดประเด็นขึ้นมา แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ได้รู้สึกสนใจในเรื่องสำคัญที่คุณแม่ลั่วกำลังจะพูดเลย เพราะท้ายที่สุดเรื่องสำคัญของคุณแม่ลั่วมักจะเป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น นี่เป็นประสบการณ์ที่ลั่วเซ่าเชินได้สัมผัสมาตลอดหลายปี


 


 


แต่เขาก็ยังเอ่ยถามด้วยความเคารพ “เรื่องอะไรหรือครับแม่ ที่สำคัญถึงขนาดว่าแม่ต้องเรียกพวกเรามาหากะทันหันแบบนี้” ถังโจวโจวเองก็อยากรู้เหมือนกัน ดูจากแววตาของเมิ่งชิงซีที่มองมาทำให้เธอเอะใจ ถังโจวโจวกล้าพนันได้เลยว่าเรื่องสำคัญเรื่องนั้นจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเธออย่างแน่นอน


 


 


“ให้ชิงซีพูดเถอะ อาเชิน แม่เคยบอกลูกแล้ว ชิงซีน่ะเหมาะแก่การเป็นภรรยาของลูกมากที่สุด…”


 


 


“แม่อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยครับ คุณเมิ่ง อย่ามัวแต่อมพะนำอยู่เลย มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ!” ลั่วเซ่าเชินเริ่มรำคาญใจ จากมุมมองของเขา คนอย่างเมิ่งชิงซีจะพูดเรื่องสำคัญอะไรได้ มีแค่คุณแม่ลั่วเท่านั้นแหละที่เอาแต่เชื่อเรื่องไร้สาระจากผู้หญิงคนนี้


 


 


คุณแม่ลั่วขยิบตาส่งสัญญาณให้เมิ่งชิงซี เมิ่งชิงซีกระแอมเบาๆ ก่อนจะมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน น่าเสียดายที่ลั่วเซ่าเชินไม่ยอมสบตากับเธอ ดังนั้นเธอจึงทอดสายตาของเธอไปที่ถังโจวโจว “โจวโจว ฉันเองก็ได้รับข่าวนี้มาโดยบังเอิญ หวังว่าเธอจะไม่ตกใจหลังจากที่ฟังนะ”


 


 


เมิ่งชิงซีอยากจะเห็นถังโจวโจวตกใจจนอกแตกตาย แววตาของเธอนั้นบ่งบอกว่าเธอกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าเธอพูดมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าประเด็นสักที ลั่วเซ่าเชินที่อยู่ข้างๆ ก็ชักจะอารมณ์เสีย ถังโจวโจวจึงต้องออกปากเตือนเธอว่า “มีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ คุณเมิ่ง”


 


 


ที่ถังโจวโจวพูดออกมาย่อมหมายถึงว่าให้เมิ่งชิงซีหยุดพูดจายืดเยื้อได้แล้ว ทำแบบนี้มันเสียเวลาคนอื่นเขา ความหมายแฝงของถังโจวโจว เมิ่งชิงซีเข้าใจดี เธอได้แต่แอบกัดฟันอยู่เงียบๆ ดูสิว่าอีกเดี๋ยวหล่อนจะยังยิ้มออกอยู่อีกไหม!


 


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน โจวโจว ฉันได้ข่าวมาว่า…เธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลถัง ตระกูลถังรับเธอมาเลี้ยงจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า”


 


 


เมื่อเธอเห็นว่าในที่สุดสีหน้าของถังโจวโจวก็ไม่ได้นิ่งเรียบอีกต่อไป เมิ่งชิงซีก็แอบดีใจอยู่เงียบๆ แม้ว่าเธอจะทำเป็นเมินเฉย แต่เธอก็ยังเป็นคนมีปมด้อยอยู่ดี


 


 


หลังจากที่ถังโจวโจวได้ยินเมิ่งชิงซีพูดแบบนั้น เธอก็เงียบไปพักใหญ่ ส่วนลั่วเซ่าเชิน เมื่อเขาฟังจบ เขาก็รีบหันไปมองที่ถังโจวโจว “โจวโจว คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


 


 


ถังโจวโจวโบกมือน้อยๆ เธอกำลังสับสน แต่จากท่าทางของเมิ่งชิงซีที่ตั้งท่าจะหัวเราะเยาะเธออยู่ตลอดเวลาแล้ว ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเมื่อครู่นี้เธอไม่ได้หูฝาดไป เธอคิดแค่ว่าคุณพ่อคุณแม่ถังเลี้ยงดูเธอมาอย่างดีขนาดนี้ พวกท่านจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ ของเธอได้อย่างไร?


 


 


คุณแม่ลั่วรีบเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก “อาเชิน แม่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า อย่าให้ถังโจวโจวเข้ามาอยู่ในตระกูลของเรา แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร เธอก็เป็นแค่เด็กกำพร้า เธอไม่เหมาะที่จะเป็นสะใภ้ของเราแม้แต่น้อย พวกลูกไปหย่ากันซะ เพื่อเห็นแก่หน้าของทุกคน!”


 


 


“แม่ครับ แม่คิดว่ามันเหมาะสมเหรอ ที่มาพูดอะไรแบบนี้ในตอนนี้?!” ลั่วเซ่าเชินตะคอกใส่คุณแม่ลั่วอย่างอดทนไม่ไหวอีกต่อไป


 


 


คุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินถึงขั้นขึ้นเสียงใส่เธอ ก็รู้สึกเสียใจ “อาเชิน นี่แม่หวังดีกับลูกนะ ลูกพูดอะไรออกมา!”


 


 


คุณแม่ลั่วไม่ได้ตำหนิลั่วเซ่าเชิน เธอผลักความรับผิดชอบไปที่ถังโจวโจว ผู้หญิงคนนี้จะต้องพูดจาว่าร้ายเธอต่อหน้าอาเชินอย่างแน่นอน ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาสองแม่ลูกร้าวฉานเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้


 


 


เมิ่งชิงซีช่วยพูดเสริมอยู่ข้างๆ “เซ่าเชิน คุณตวาดใส่คุณป้าแบบนี้ได้ยังไงคะ คุณป้าหวังดีกับคุณนะ แต่คุณกลับเสียงดังใส่ท่านแบบนี้ ท่านเจ็บปวดมากนะคะ!” เมิ่งชิงซีมองไปที่ลั่วเซ่าเชินด้วยความโมโห นี่ถ้าไม่รู้จักคงคิดว่าคุณแม่ลั่วเป็นแม่แท้ๆ ของเธอเอง


 


 


“หุบปาก!” ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะยุ่งกับผู้หญิงที่ชื่อเมิ่งชิงซีอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นห่วงความรู้สึกของถังโจวโจวมากกว่า เขากลัวว่าเธอจะเจ็บปวด จึงได้แต่ปลอบเธออยู่ข้างๆ “โจวโจว อย่าไปเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้เลย มันจะเป็นจริงไปได้ยังไง”


 


 


ถังโจวโจวเงียบไม่ตอบอะไร ลั่วเซ่าเชินไม่รู้ว่าตอนนี้ถังโจวโจวกำลังคิดอะไรอยู่ ในขณะที่เมิ่งชิงซีนั้นกลัวว่าเรื่องจะไม่ใหญ่พอ เธอจึงเติมหัวเชื้อเข้าไปอีก


 


 


“มันเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ เซ่าเชิน ข้อมูลของถังโจวโจวตอนที่เธออยู่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าก็ยังอยู่ที่นั่น แค่คุณไปที่สถานสงเคราะห์ คุณก็จะได้รู้ความจริงทุกอย่าง”


 


 


“รู้ความจริงแล้วยังไง ถึงแม้ว่าโจวโจวจะไม่ใช่ลูกของตระกูลถังก็ไม่เป็นไรเลย เพราะมันไม่เกี่ยวกัน เธอยังคงเป็นภรรยาของผมเหมือนเดิม คุณอย่าได้คิดฝันกลางวันไปเลย ผมไม่มีวันแต่งงานกับคุณอยู่แล้ว!” นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วเซ่าเชินปฏิเสธเมิ่งชิงซีอย่างชัดเจน


 


 


ทันทีที่ได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดแบบนั้น เมิ่งชิงซีก็น้ำตาร่วงเผาะ“เซ่าเชินคะ นี่ฉันหวังดีกับคุณนะคะ ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้”


 


 


เมิ่งชิงซีก้มศีรษะลง และเมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินทำร้ายจิตใจเมิ่งชิงซี เธอรีบออกโรงปกป้องเมิ่งชิงซี “อาเชิน ชิงซีไม่ได้พูดอะไรผิดเลยนะ เธอหวังดีกับตระกูลของเรามาตลอด แล้วอย่างนี้ชิงซีจะไม่เหมาะที่จะเป็นภรรยาของลูกได้ยังไง เธอไม่เหมาะจะเป็นสะใภ้ของตระกูลลั่วตรงไหน”


 


 


คุณแม่ลั่วกุมมือของเมิ่งชิงซีเอาไว้ ราวกับว่าจะถ่ายทอดพลังให้เธอ เมิ่งชิงซีเองก็กระชับมือของคุณแม่ลั่วไว้แน่น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม