ลิขิตกลกาล 140-146
ตอนที่ 140 มืดสลัว
“พี่ใหญ่ ท่านตามข้ามาด้วยเรื่องใด” อวี่ซางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่กลับไม่ยอมทำความเคารพซูเหลียนอวิ้น เพราะเขาแอบหวังให้ซูเหลียนอวิ้นเหม็นขี้หน้าเขาแล้วไล่เขากลับไป
“ข้าเรียกเจ้ามาประลองฝีมือ” หลานเย่ว์เอ่ย “เอาอาวุธของเจ้าออกมา”
อวี่ซางตะลึงไปครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ประลองกันก็ดี เขาไม่ได้ประลองกับพี่ใหญ่มานานแล้ว!
“พี่ใหญ่รอข้าสักครู่ เดี๋ยวข้าจะกลับมา!”
หลานเย่ว์มองหลังของอวี่ซางที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขากำลังตื่นเต้นก็ไร้คำพูดใด จึงได้แต่ก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า
“คุณหนูใหญ่…อวี่ซางเขา…” เขาเป็นองครักษ์รุ่นเดียวกับตนและเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด ปกติแล้วเวลาที่อวี่ซางฝึกวรยุทธ์จะคล่องแคล่วว่องไวมาก ใบหน้าก็เป็นที่โปรดปราณแก่ผู้พบเห็น ผ่านไปนานวันเข้าก็ถูกพวกเขาตามใจจนนิสัยกลายเป็นเช่นนี้
“ไม่มีปัญหา” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มอย่างมีเลศนัย “อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน”
‘เป็นปรปักษ์กับนางหรือ อย่างนี้ก็ดีน่ะสิ? ‘
เนื่องจากท่านอาจารย์บอกว่า กระบี่เล่มนี้มีจิตวิญญาณอยู่ ซึ่งจิตวิญญาณนั้นจะช่วยปกป้องเจ้าของ หากเป็นหลานเย่ว์เขาต้องไม่กล้าลงมือกับนางอย่างเต็มที่แน่นอน แต่อวี่ซางไม่ค่อยชอบนางเท่าไหร่นัก จึงมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือกับนางอย่างเต็มที่ ไม่มีคู่ต่อสู้คนไหนที่เหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว!
“พี่ใหญ่ ข้ามาแล้ว!” อวี่ซางวิ่งออกมาอย่างสบายอารมณ์ ในมือของเขาถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง
ออกมาด้วย
“อื้ม” หลานเย่ว์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปประลองกับคุณหนูสักสองสามกระบวนท่าเถอะ”
“กับคุณหนู?” อวี่ซางหันหน้าไปมองที่หลานเย่ว์อย่างไม่เชื่อสายตา “แต่ข้า…ข้าลงมือไม่หนักไม่เบา ถ้าเกิด…”
‘เขารับผิดชอบหน้าที่นี้ไม่ไหวแน่’
“หากเจ้าทำร้ายคุณหนูใหญ่แม้เพียงปลายขน!” หลายเย่ว์เอากำปั้นทุบไปที่หน้าอกของตัวเองดัง ตึ้ง
“อย่ามัวแต่พูดไร้สาระ จะลงมือก็ต้องมีขอบเขต ไม่ต้องให้ข้าพูดมากเจ้าก็คงเข้าใจกระมัง ข้าจะไม่พูดอีกเป็นรอบที่สอง เร็วเข้า”
ซูเหลียนอวิ้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากเตรียมตัวพร้อมแล้วก็เริ่มลงมือได้ ข้าพร้อมแล้ว”
สิ้นคำพูดกระบี่ที่อยู่ในมือของซูเหลียนอวิ้นก็หลุดออกจากปลอก
อวี่ซางสูดหายใจเข้าลึก เพื่อข่มความกลัดกลุ้มในอกเอาไว้ เขานึกว่าเขาจะได้ประลองกับพี่ใหญ่สักสนาม สุดท้ายกกลับลายเป็นคุณหนูใหญ่ไปได้?
“อย่างนั้นคุณหนูก็เตรียมรับมือได้เลย!” สิ้นเสียง มีดสั้นก็พุ่งทะยานเข้าใส่ซูเหลียนอวิ้นทันที
“ไม่มีอะไรให้รับมือ” ซูเหลียนอวิ้นใช้กระบี่ที่อยู่ในมือขวารับการโจมตี จากนั้นจึงใช้ปลอกกระบี่ฟาดเข้าไปที่ท้องของอวี่ซางด้วยปฏิกิริยาต่อเนื่องว่องไว ทำเอาอวี่ซางต้องกล้ำกลืนการโจมตีครั้งนี้ลงไป
ทว่าซูเหลียนอวิ้นมิใช่คนที่ฝึกฝนฝีมือทุกวัน ดังนั้นพละกำลังของนางจึงไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับอวี่ซางได้
หลานเย่ว์ยืนอยู่ด้านข้างเฝ้าสังเกตท่าทางและปฏิกิริยาของซูเหลียนอวิ้นจึงถอนใจออกมา “ฝีมือกระบี่ของคุณหนูพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”
ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณหนูว่าไปฝึกฝนมาได้อย่างไร เพราะซูมั่วเยี่ยเองก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก คงไม่มีเวลาสอนวิชากระบี่ให้ซูเหลียนอวิ้นอย่างละเอียดได้
ทว่า…ทันใดนั้นเองหลานเย่ว์ก็เริ่มเข้าใจ ดูท่าแล้วครั้งก่อนที่คุณหนูขึ้นเขาไปเยี่ยมคนผู้นั้น เขาคงจะเป็นผู้ที่มีฝีมือแก่กล้าอย่างหาตัวจับได้ยาก แม้ว่าไม่สามารถสอนคุณหนูทุกวันได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คุณหนูใหญ่เติบโตได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
เมื่ออวี่ซางถูกตีเข้าที่ท้อง เขาก็เกิดความอับอายและรู้สึกขายหน้ามาก! เพราะหลานเย่ว์ยังคงยืนดูอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นเองในหัวของอวี่ซางจึงไม่มีความคิดที่จะออมมืออีกต่อไป พอลงมืออีกครั้งก็ออกแรงอย่างไม่ยั้งมือ
หลานเย่ว์กับอวี่ซางเติบโตขึ้นมาด้วยกัน เมื่อหลานเย่ว์เห็นฝีเท้าของอวี่ซางก็เข้าใจทันทีจึงรีบตะโกนห้ามออกไป “อวี่ซาง! ยั้งมือเดี๋ยวนี้!”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงร้องตกใจของหลานเย่ว์ แววตาของนางจึงดุดันขึ้น จากนั้นจึงยกกระบี่ชี้ไปที่อวี่ซาง พลางเฝ้าดูว่าจะเกิดเรื่องราวแปลกประหลาดขึ้นหรือไม่
‘กระบี่จ๋ากระบี่ จะมีคนมาฟันข้าแล้วนะ! ข้าจะรอดจากภัยครั้งนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ! ‘
ซูเหลียนอวิ้นคิดในใจ หลังจากที่นางขยับฝีเท้าในตอนนั้น นางก็ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายของนางอีก
“อ๊าก!”
ในจังหวะที่อวี่ซางอยู่ห่างจากซูเหลียนอวิ้นไปเพียงไม่กี่ก้าวนั้น ในขณะนั้นเองที่เขารู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่าน ความแรงของลมทำเอาร่างทั้งร่างของเขาพลิกหงายท้องไปด้านหลัง
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลานเย่ว์เองก็ไม่ทันสังเกตเห็นการโจมตีอย่างรวดเร็วนั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากจังหวะความวุ่นวายจบลง ร่างกายของหลานเย่ว์พลันชะงักแล้วมองไปยังซูเหลียนอวิ้นด้วยความตกใจ
“โอ๊ย พี่ใหญ่! คุณหนูใหญ่ นี่ นี่มันเพลงกระบี่ใดกัน!” อวี่ซางเอามือของตัวเองกุมไว้บริเวณท้อง เขานอนตัวงออยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวดพลางร้องเรียก
“คุณหนูใหญ่ คุณหนู…เป็นคมในฝักโดยแท้ คุณหนูใหญ่ บ่าวผิดไปแล้ว!” เขาไม่เคยรู้จักเพลงกระบี่เช่นนี้เลย! เพลงกระบี่ที่มีพละกำลังรุนแรงจนหอบเอาร่างทั้งร่างของเขาหงายท้อง แถมพลังนั้นยังปรากฏออกมาช้าราวสองถึงสามวินาที ทำให้เขาไม่ทันได้รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว!
ซูเหลียนอวิ้นไม่สนใจอวี่ซางที่กำลังตะโกนร้องและนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ความสนใจของนางในตอนนี้ยังคงพุ่งตรงไปที่กระบี่ที่อยู่ในมือของตน
เนื่องจากนางเพิ่งค้นพบว่า ลวดลายบนคมกระบี่มืดสลัวลง
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูไม่เป็นไรใช่หรือไม่!” หลานเย่ว์เพิ่งจะได้สติกลับมาจากจังหวะที่น่าตกตะลึงนั้น
เขาสำรวจซูเหลียนอวิ้นซ้ายทีขวาที และมองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บปรากฏอยู่บนตัวซูเหลียนอวิ้นจึงเบาใจลงแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ คุณหนูเจ็บตรงไหนหรือไม่ บางครั้งการมองด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียวอาจจะมองไม่เห็นความผิดปกติที่อยู่ภายในนะขอรับ”
“เอ่อ ข้าไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าแล้วค่อยๆ นำกระบี่เก็บเข้าปลอก “แต่ดูเหมือนว่าอวี่ซางจะเจ็บหนักนะ หลานเย่ว์เจ้าไปดูเขาหน่อยเถิด…”
“ใช่แล้วท่านพี่…” เมื่อความเจ็บปวดบริเวณท้องทุเลาลงเล็กน้อย อวี่ซางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนระทวย “ศิษย์พี่…ข้าต่างหากที่เจ็บ”
‘การโจมตีเมื่อครู่ของคุณหนูโหดร้ายเกินไปแล้ว! เขาผิดเอง…! ‘
หลานเย่ว์จ้องเขม็งไปยังอวี่ซาง
“สมน้ำหน้าเจ้านัก!” คุณหนูเมตตานักที่โจมตีเขาเพียงครั้งเดียว! นิสัยอย่างอวี่ซางถ้าไม่จัดการให้หนักก็คงจะไม่รู้สำนึก!
“ไปๆๆ!” หลานเย่ว์ดึงคอเสื้อด้านหลังของอวี่ซาง “รีบกลับไปซะ! อย่าทำให้พวกเราต้องขายหน้าอีก!”
แค่คิดจะลงมือจะทำร้ายคุณหนู เขาก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงแล้ว ตอนนี้ยังมาส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างนี้อีก? ดูแล้วการโจมตีเมื่อครู่คงเบามือเกินไปด้วยซ้ำ! ถึงยังมีเรี่ยวแรงร้องโอดครวญได้!
“คุณหนูใหญ่ ข้าขอพาเขากลับก่อน”
“ไปเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นโบกมืออย่างใจลอย “หลานเย่ว์วันหลังข้าจะให้เจ้ามาประลองกับข้าอีกนะ”
“บ่าวพร้อมทุกเมื่อ!” หลานเย่ว์ตอบรับ
“อื้ม” ซูเหลียนอวิ้นรับคำ จากนั้นรีบเดินเข้าไปในเรือนแล้วใส่กลอนประตู
หากมีการประลอง นางก็อยากจะลองดูอีกสักตั้ง โชคดีที่ตอนนี้หลีมู่ไม่อยู่ มิเช่นนั้นหากหลีมู่รู้เข้าจะทำอย่างไร…
ตอนที่ 141 ขวางกั้น
ยาและผ้าพันแผลถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ขาดเพียง…
ซูเหลียนอวิ้นหลับตา มือขวายกกระบี่ขึ้นมาแล้วจิ้มลงไปบนนิ้วชี้ซ้ายเบาๆ
“ซี๊ด..” แค่แผลบนนิ้วๆ เดียวนางก็เจ็บจนถึงหัวใจแล้ว แต่นี่เป็นแผนบริเวณปลายนิ้ว…ดังนั้นนางจึงยิ่งเจ็บมาก!
ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมากนัก ซูเหลียนอวิ้นถือโอกาสตอนที่โลหิตกำลังไหลพรั่งพรูออกมาหยดลงไปบนกระบี่
“จริงด้วย” ซูเหลียนอวิ้นมองโลหิตของตัวเองที่กำลังถูกกระบี่ดูดซึมเข้าไปอย่างช้าๆ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมา ดูท่าแล้ว…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป
ประกายระยิบระยับบนกระบี่ค่อยๆ คืนกลับมาอย่างช้าๆ สุดท้ายแล้วเมื่อกระบี่ส่องประกายระยิบระยับเหมือนอย่างเก่าแล้ว โลหิตก็ไม่ซึมเข้าไปในกระบี่อีกต่อไป แต่ค่อยๆ หยดช้าๆ ลงสู่เบื้องล่างเท่านั้น
“ดูท่าแล้วกระบี่เล่มนี้คงผิดปกติจริงๆ” ซูเหลียนอวิ้นเก็บกระบี่ดังเดิมแล้วรีบใส่ยาบนแผลที่นิ้วมือของตน
ใช้โลหิตเป็นตัวกระตุ้น? มีเพียงโลหิตเท่านั้นที่ช่วยกระตุ้นพลังซ่อนเร้นของมันออกมา?
เรื่องๆ นี้ไม่ปรากฏอยู่ในเรื่องที่ท่านอาจารย์เล่าให้นางฟัง
ทว่าตั้งแต่โบราณมาสิ่งของที่จะใช้งานได้ในยามที่ต้องฆ่าคนเท่านั้น หากไม่ใช่ของของภูตผีก็คงเป็นของปีศาจ แม้ว่ากระบี่เล่มนี้จะยอดเยี่ยม แต่นางเกรงว่า…อาจต้องเก็บมันไว้ก่อนชั่วคราวเสียแล้ว
ไว้ไปถามอาจารย์ให้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยลองใช้ใหม่ก็แล้วกัน
……
“พี่ใหญ่…” อวี่ซางนอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเตียง น้ำเสียงของเขาฟังดูแล้วน่าสงสารจับใจ “พี่ใหญ่ ข้าเจ็บท้องมาก…และทำไมข้าจึงรู้สึกหนาวเช่นนี้”
เขารู้สึกหนาวบริเวณท้องมาก! หรือว่าคุณหนูใหญ่จะฝึกวิชาฝ่ามือเหมันต์ที่ถูกกล่าวถึงในตำนาน? โอ้โห…นี่เขาเตะถูกแผ่นน้ำแข็ง[1]เข้าให้แล้วหรือ
“เจ้าก็น่าสมน้ำหนักแล้วนี่” ผูหลิวดึงหูของเขา “มิต้องโอดครวญอีกแล้ว ดูท่าแล้วเจ้ายังมีแรงคร่ำครวญ เช่นนั้นเจ้าก็คงมิเป็นไรแล้ว” เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นทำการประลองกับอวี่ซาง พวกเขาก็รีบวางงานในมือลงแล้วรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุทันที!
นี่เป็นเรื่องที่ฟังแล้วน่าตื่นเต้นนัก! ผลที่ตามมาก็คือ…ผูหลิวถึงกับกล้าท้าพนันเรื่องนี้!
เมื่อคืนวานนางเริ่มรับรู้แล้วว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างในข่าวลือที่เขาว่ากันเลยแม้แต่น้อย! ดังนั้นนางจึงพนันว่าคุณหนูจะเป็นฝ่ายชนะ มันก็สมเหตุสมผลมิใช่หรือ!
และคุณหนูใหญ่ก็ไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ !
“เฮ้อ อวี่ซาง ข้ามิได้ว่าเจ้านะ” หยาเอ่อร์ส่งน้ำร้อนให้อวี่ซาง “เจ้าทำให้องครักษ์อย่างพวกเราขายหน้ามาก! แพ้ก็ไม่รู้จะว่าว่าอย่างไรแล้ว แต่นี่เจ้ากลับโดนโจมตีจนน่าอนาถถึงขั้นนี้อีก?! น่าขายหน้าจริงๆ!” ตอนนี้หยาเอ่อร์รู้สึกหัวเสียมาก เพราะว่านางต้องเสียเงินไปหนึ่งร้อยตำลึงเต็มๆ! ทั้งหมดเป็นหายนะที่เกิดจากเจ้าอวี่ซางที่ไม่เอาไหนนี่คนเดียว!
“เอาล่ะ ไม่ต้องโวยวายแล้ว” อั้นอิ่งตะโกนขึ้น “ลุกขึ้นสิ ข้าจะดูให้ว่าแผลเป็นอย่างไรบ้าง”
“อืม” อวี่ซางลุกขึ้นยืนแล้วเปิดชุดของตัวเองออก จากนั้นจึงชี้ไปบริเวณท้องของตน “เจ็บตรงนี้ แถมยังรู้สึกหนาวเย็นอีกด้วย!”
อั้นอิ่งพิจารณาอยู่นาน สุดท้ายจึงถอนใจ แสดงให้เห็นว่าเขาก็ดูไม่ออกเช่นกันจึงหันหน้ากลับไปแล้วเอ่ยว่า “ผูหลิว เจ้าดูออกหรือไม่”
ผูหลิวส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นแผลแบบนี้มาก่อน อีกอย่างข้าลองตรวจชีพจรของอวี่ซางดูแล้วก็ปกติดี อย่างน้อยๆ ก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาด แต่เขากลับร้องโอดครวญเช่นนี้…อวี่ซาง ข้าคิดว่าเจ้าต้องดื่มน้ำอุ่นให้มากหน่อย และอีกเรื่องหนึ่งคือ ต่อไปอย่าหาเรื่องคุณหนูอีก” ผูหลิวจับอวี่ซางนอนลงบนเตียงอีกครั้ง แล้วคิดอยู่พักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “หากเจ้าหนาวจริงๆ …จริงสิอวี่ซาง เมื่อเช้าเจ้ากินอะไรเข้าไป”
“กินน้ำแข็งใสที่หยาเอ่อร์ทำ”
“กินไปกี่ถ้วย”
“สาม สามถ้วย”
“เช่นนั้นเจ้ายังไม่รู้สาเหตุอีกหรือ!” ระหว่างที่ผูหลิวพูดก็เอามือฟาดไปที่ศีรษะของเขาทีหนึ่ง “หาเรื่องไม่ดูตาม้าตาเรือ! หยาเอ่อร์ ต่อไปเจ้าห้ามทำให้เขากินอีก! เขาจะได้หลาบจำเสียบ้าง!”
“ตกลง!” หยาเอ่อร์พยักหน้า เพราะหลังจากที่เสียเงินร้อยตำลึงไป นางก็ไม่มีปัญญาทำให้อวี่ซางกินอีกแล้ว!
ณ วังหลวง
เกาอู่เตี๋ยมองจดหมายที่ขันทีส่งให้ในมือ จากนั้นใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“ซิ่งหยวน เจ้าดูนี่สิ เด็กคนนี้…” ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่ผู้อื่นได้รับน้ำใจจากตนแล้วรู้จักให้ความสำคัญตอบ
เมื่อซิ่งหยวนเห็นว่าเกาอู่เตี๋ยดีใจเช่นนี้ก็รีบเอ่ยชื่นชมด้วยความยินดี “คุณหนูซูเป็นเด็กดีจริงๆ รู้จักเข้าอกเข้าใจในน้ำใจของฮองเฮา”
“ใช่แล้ว” เกาอู่เตี๋ยเก็บจดหมาย นางยิ้มแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ทว่าในสายตาคล้ายมีหลายเรื่องราวที่ซิ่งหยวนมองไม่เห็น
“ฮ่องเต้เสด็จ!”
เมื่อได้ยินเสียงเล็กแหลมร้องขานขึ้น เกาอู่เตี๋ยก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความเคยชิน จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วทำความเคารพ “ฝ่าบาทมาแล้วหรือเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด” ลี่หยวนตี้ยื่นพระหัตถ์ออกไปหวังจะพยุงเกาอู่เตี๋ยขึ้นมา “เหตุใดต้องมากพิธีกับข้าด้วย”
เกาอู่เตี๋ยเบี่ยงตัวหลบการพยุงของลี่หยวนตี้แล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงมีอารมณ์ขันแล้ว มารยาทในวัง หม่อมฉันมิอาจลืม”
ในตอนนี้พระหัตถ์ของลี่หยวนตี้จึงยังลอยค้างอยู่กลางอากาศ กลายเป็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ทว่าเพียงชั่วครู่ ลี่หยวนตี้ก็โบกพระหัตถ์แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี จากนั้นจึงหันไปทางขันทีที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลัง “คนอื่นๆ ออกไปก่อนเถิด”
“ขอรับ” คนที่อยู่รอบๆ นี้ไม่กล้ารอช้า พวกเขารีบก้มหน้าแล้วถอยออกไป เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น พวกเขายังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรสักเรื่อง
“เตี๋ยเอ๋อร์” ในขณะที่รอบด้านไม่มีคนเหลืออยู่แล้วนั้น ลี่หยวนตี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น “เจ้ายังโกรธข้าอยู่อีกหรือ?”
“ฝ่าบาททรงมีอารมณ์ขันอีกแล้ว” เกาอู่เตี๋ยนั่งอยู่บนเบาะอีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น “ฝ่าบาททรงเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน เป็นฮ่องเต้ของต้าชั่ว หม่อมฉันจะกล้าโกรธได้อย่างไร? พระองค์ทรงอย่าคิดมากเพคะ”
“อู่เตี๋ย!” เมื่อลี่หยวนตี้ได้ยินคำพูดประชดประชันของเกาอู่เตี๋ยเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาพลันเย็นเฉียบขึ้น “เจ้าจะหาเรื่องข้าไปถึงเมื่อไหร่ เจ้าควรจะหยุดได้แล้ว!”
“ฝ่าบาท พระองค์บอกว่าหม่อมฉันหาเรื่องพระองค์หรือ!” น้ำเสียงของเกาอู่เตี๋ยสูงขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับหม่อมฉันมากเกินไปแล้วเพคะ! หม่อมฉันอายุมากแล้ว ไม่มีความคิดและพละกำลังดั่งเช่นในสมัยยังสาวอีกแล้ว ดังนั้นหม่อมฉันขอแนะนำให้ฝ่าบาทรงพักผ่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน”
นางเหนื่อยมากจริงๆ ในวังหลวงอันใหญ่โตนี้เปรียบดั่งมีดทื่อๆ ที่ลับเหลี่ยมคมของนางจนราบเรียบ นางไม่ใช่พระสนมคนโปรดของของลี่หยวนตี้ที่จะรู้สึกเสียใจและขี้หึงหวงมาตั้งนานแล้ว
ตอนนี้นางอยากจะอยู่อย่างเงียบๆ และหายไปอย่างช้าๆ ณ วังหลังแห่งนี้
เงียบสงบ ไม่มีผู้ใดรบกวน
“อู่เตี๋ย ข้ามิได้หมายความว่าอย่างนั้น” เมื่อลี่หยวนตี้เห็นอากัปกิริยาของเกาอู่เตี๋ยก็รู้สึกผิดที่ตนหลุดปากพูดออกไปเมื่อครู่นี้ เขา…ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เลย
สุดท้ายแล้วมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกันที่เกาอู่เตี๋ยกับเขาไม่เป็นเหมือนอย่างวันวาน ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนคล้ายมีหลายสิ่งขวางกั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะอยากเข้าใกล้มากเท่าไหร่ แต่ผลสุดท้ายกลับยิ่งผลักไสทั้งสองให้ยิ่งห่างไกลออกจากกันมากขึ้นเท่านั้น
ตอนที่ 142 องค์ชายสาม
“ฝ่าบาท” เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นท่าทางของลี่หยวนตี้ นางก็ยิ้มออกมาอย่างไร้สาเหตุ “พระองค์อย่าคิดมากได้หรือไม่เพคะ”
“ไม่มีอะไร” ลี่หยวนตี้ยกมือขึ้นมาคิดอยากจะดึงเกาอู่เตี๋ยไว้ สุดท้ายแล้วกลับวางมือลง “ข้าขอตัวก่อน วันหลังจะมาพบเจ้าใหม่”
“ฝ่าบาทเดินระวังด้วยเพคะ” เกาอู่เตี๋ยหลุบตาต่ำเพื่อปิดบังความหมายอันลึกซึ้งที่อยู่ในดวงตาของนาง
“ฮองเฮาเพคะ!” ซิ่งหยวนเดินเข้ามาด้วยน้ำเสียงร้อนใจ เพราะซิ่งหยวนเห็นว่าลี่หยวนตี้เข้าไปได้ไม่นานก็ออกมาแล้ว นางจึงพอเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แปดถึงเก้าส่วน
“ฮองเฮา เหตุใดถึงปฏิบัติต่อฝ่าบาทเช่นนี้เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นฝ่ายมาหาพระองค์ก่อนแล้ว…พระองค์…”
“แล้วข้าควรทำอย่างไร” เกาอู่เตี๋ยช้อนตาขึ้นแล้วแค่นยิ้ม “ข้าต้องสำนึกบุญคุณงั้นหรือ ข้ามิได้เป็นคนขอให้เขามา”
“ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ต่ำอยู่ดี ซิ่งหยวน เจ้าอย่าคิดมากเลย ตอนนี้ข้ายอมให้เขาเข้ามาก็ถือว่าข้าอดทนมากพอแล้ว หากเจ้ายังพูดมากอีกก็ออกไปซะ”
ในวังหลวงเป็นสถานที่ที่ไม่อาจปิดบังความลับได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความลับใดๆ ก็จะต้องมีผู้ล่วงรู้เรื่องราวเข้าสักวัน
เกาอู่เตี๋ยเอามือนวดไปที่หว่างคิ้วพยายามที่จะสกัดกั้นความว้าวุ่นในใจนั้นและไม่ให้ตัวเองคิดเรื่องราวที่ทำให้จิตใจของตนต้องว้าวุ่น ทว่าในความเป็นจริงเหมือนว่ายิ่งทำเช่นนี้ เรื่องราวนี้ก็ยิ่งกวนใจเกาอู่เตี๋ยหนักขึ้น
ลูกของหยางอวี้หลิง…
“ฮองเฮาเพคะ…” ซิ่งหยวนเอ่ยเรียกเบาๆ “ฮองเฮาเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่เพคะ หากพระองค์เหนื่อยแล้ว ทรงไปนอนพักบนเตียงสักหน่อยดีหรือไม่ ตรงนี้มีลมพัด อย่ามัวตากลมอยู่ตรงนี้เลยเพคะ”
“อืม” ร่างของเกาอู่เตี๋ยสั่นไหว “ข้าขอพักสักหน่อย”
เมื่อหลับตาลง เกาอู่เตี๋ยรู้สึกราวกับตัวเองย้อนกลับไปสู่วัยแรกรุ่นอีกครั้ง ในตอนนั้นนางยังเป็นเพียงคุณหนูแสนดื้อรั้น ส่วนลี่หยวนตี้เองก็มิใช่ฝ่าบาทที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นช่างสวยงาม พวกเขาทั้งสองเป็นคู่รักหญิงชายที่เพียบพร้อมในอุดมคติคู่หนึ่ง ทั้งยังไม่มีเรื่องระแวงกันและกันให้วุ่นวายใจเช่นนี้
แล้วมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ทุกอย่างถึงเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้
กล่าวได้ว่าเรื่องราวการแท้งบุตรของหยางอวี้หลิงทิ่มแทงจิตใจของเกาอู่เตี๋ยอย่างเจ็บปวดสาหัส นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่จิตใจของลี่หยวนตี้โหดเ**้ยมได้ถึงเพียงนี้ ถึงขนาดจัดการลูกแท้ๆ ของตนเองได้ลง?
อีกอย่างหลายปีที่ผ่านมานี้ เหตุใดนางถึงตั้งครรภ์ไม่ได้เสียที ต้นเหตุหลายๆ อย่างใช่ว่านางจะไม่รู้ เพียงแค่นางไม่อยากรับรู้และไม่อยากรับฟังเท่านั้น!
แม้ว่าที่ผ่านมาจะหลีกเลี่ยงความจริงและหลอกตัวเองมาตลอด แต่ก็ต้องมีสักวันที่ตื่นขึ้นมาเผชิญกับความจริง
เกาอู่เตี๋ยพลิกตัว
น้ำตาของนางรื้นออกมาเองทันใด
ยังดี ยังดี…ที่ลูกอยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก ห่างไกลจากสถานที่อันโสมมและน่าสะอิดสะเอียนเช่นที่นี่ โดยรวมแล้วนี่ถือเป็นเรื่องเดียวที่นางตัดสินใจทำได้ถูกต้องที่สุดแล้วกระมัง…
……
“ร้อนยิ่ง…” ซูเหลียนอวิ้นพ่นลมหายใจออกมา นางรู้สึกราวกับว่าคอของนางใกล้จะขาดเต็มที เพราะแม้ว่านางจะก้มหน้าต่ำจนคอของนางแทบจะมุดไปในดิน นางก็ยังรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของพระอาทิตย์ที่แผดเผา
“คุณหนู ใกล้จะถึงแล้วเจ้าค่ะ…” หลีมู่เอ่ยขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่าจากทางด้านหลัง “ใกล้จะถึงแล้ว ใกล้จะถึงแล้ว…”
การพูดซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วนางพูดให้ซูเหลียนอวิ้นฟังหรือว่าพูดให้ตัวเองฟังกันแน่
เนื่องจากเมื่อวานมีฝนตกลงมา พระอาทิตย์ในวันนี้จึงดูดวงใหญ่เป็นพิเศษ! อีกทั้งบนพื้นยังมีหลุมที่มีน้ำขังมากมายที่ยังไม่แห้ง สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้ว วังหลวง ณ ตอนนี้เปรียบเหมือนหม้อนึ่งขนาดยักษ์ใบหนึ่ง!
นางโดนนึ่งจนใกล้จะสุกเต็มทีแล้ว!
“เฮ้อ..” ซูเหลียนอวิ้นยังคงพ่นลมหายใจออกมา
เนื่องจากในวังหลวงแห่งนี้ นางไม่ได้มีตำแหน่งพระสนมหรือจวิ้นจู่ ดังนั้นจึงหมดสิทธิ์ที่จะกางร่ม สิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นสามารถทำได้ในตอนนี้มีเพียงรีบเร่งฝีเท้าของตัวเองเท่านั้น
โอ้โห ทำไมจู่ๆ ถึงร่มได้ล่ะ? สบายตัวจัง…อ้อ มิใช่สิ นางชนเข้ากับเสาๆ หนึ่งได้อย่างไร…
นางเงยหน้าขึ้น เอาล่ะ นี่ไม่ใช่เสาแต่เป็นคนต่างหาก…
“คารวะองค์ชายสาม” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปสองสามก้าวจากนั้นจึงถอนสายบัวด้วยความยุ่งยากใจ เหตุใดยิ่งนางรีบจะจัดการธุระให้เสร็จโดยเร็วเพียงใด สุดท้ายกลับยิ่งต้องเจอผู้คนระหว่างทางด้วย
“คุณหนูซู รีบร้อนเช่นนี้ต้องการจะไปที่ใดหรือ?” องค์ชายสามหรือหนานกงหงลูบท้องตัวเองพลางส่งยิ้มให้
“เอ่อ หม่อมฉัน…จะไปเข้าเฝ้าฮองเฮาเพคะ”
“ที่แท้จะไปหาเสด็จแม่นี่เอง” รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงหงยังคงปรากฏอยู่ สายตาของเขายังคงพินิจพิจารณาซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “แม้ว่าจะรีบร้อน แต่คุณหนูซูก็ควรมองทางเสียหน่อย มิเช่นนั้นแล้ว หากไปชนใครเข้าอีกคงไม่ดีแน่”
“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปเล็กน้อย แล้วถอนสายบัว “หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”
“ไปเถิด อย่าให้เสด็จแม่ต้องรอนาน”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้วรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อนางเลี้ยวตรงทางแยกไปแล้ว จนนางรู้สึกว่าไม่มีสายที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนโดนทิ่มแทงราวกับนั่งอยู่บนเข็มอีกต่อไป นางจึงรู้สึกค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“คุณหนูเจ้าคะ…” หลีมู่สูดหายใจเข้า สุดท้ายจึงถามคำถามที่นางอยากรู้มาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ “คุณหนู เมื่อครู่นี้คือคุณชาย คุณชายสามหรือเจ้าคะ!”
“มิผิด คนผู้นั้นคือองค์ชายสาม!” ซูเหลียนอวิ้นกล่าวเสียงแข็ง “อย่าได้ตัดสินคนจากภายนอก!”
องค์ชายสาม หรือหนานกงหง แม้ว่ารูปร่างจะ…แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะการเลี้ยงดู ดังนั้นจึงมีต้นสายปลายเหตุ! เนื่องจากในตอนที่หนานกงหงยังเด็ก ตอนนั้นเขาถือเป็นเด็กที่ถูกคลอดออกมาก่อนกำหนด
ตัวกระจิดริดคล้ายลูกแมวตัวหนึ่งที่คล้ายว่าเตรียมจะลาโลกไปเต็มที แล้วแม่แท้ๆ ของเขาอย่างหลี่กุ้ยเฟยจะทนได้อย่างไร! ไม่ง่ายเลยกว่าจะคลอดองค์ชายออกมาองค์หนึ่ง จะให้นางเลี้ยงดูแบบทิ้งๆ ขว้างๆ แล้วปล่อยให้ลูกของนางลาโลกไปได้อย่างไร?
นั่นจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่!
ดังนั้นตั้งแต่ตอนเด็กเป็นต้นมา สิ่งของจำพวกใดก็ตามที่สามารถบำรุงร่างกายได้ล้วนต้องถูกนำมาประเคนให้ถึงปากของหนานกงหงทั้งสิ้น
ทว่าโชคดีที่ครอบครัวของหลี่กุ้ยเฟยนั้นไม่ขาดแคลนทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้นจึงแบกรับค่าใช้จ่ายนี้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว หากเป็นสนมทั่วๆ ไปเกรงว่าจะเลี้ยงเด็กผู้นี้ไม่ไหวเสียแล้ว! เพราะอาหารที่ป้อนให้กินทุกวันถือเป็นการผลาญเงินทองไปอย่างเสียเปล่าทั้งสิ้น!
ดังนั้นจากการเลี้ยงดูโดยใช้อาหารล้ำค่าหายากและยาบำรุงวิเศษต่างๆ ร่างกายของหนานกงหงจึงแข็งแรงขึ้นอย่างมาก แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเขาได้รับการบำรุงมากเกินไป!
การมีหุ่นตุ้ยนุ้ยในตอนเด็กนั้นทำให้ผู้ใดที่พบเห็นต่างเอ็นดู แต่พอเติบใหญ่ขึ้นแล้ว…การมีไขมันอยู่ทั่วร่างเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คนรู้สึก…
แต่เนื่องด้วยมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้จึงไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงสักเท่าไหร่ อีกอย่างคนที่เคยพบเห็นองค์ชายสามก็มีไม่มากนัก ดังนั้นรูปร่างขององค์ชายสามเป็นเช่นนี้จึงไม่เป็นที่กล่าวขานแพร่หลายเท่าไหร่นัก
เนื่องจากคนที่กล้าวิจารณ์ สุดท้ายจะกลับกลายเป็นผู้ที่ชะตาเดินมาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต
ดังนั้นจึงไม่อาจตัดสินคนจากภายนอก! แม้ว่าองค์ชายสามจะดูทึ่มทื่อ แต่จิตใจของเขา…ผู้ใดที่ตัดสินว่าเขาทึ่มทื่อ คนผู้นั้นต่างหากที่เป็นคนทึ่มทื่ออย่างแท้จริง!
ตอนที่ 143 จ้องมอง
“องค์ชายสามขอรับ” ขันทีน้อยที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกระตุ้น “องค์ชาย พวกเราควรไปได้แล้วนะขอรับ” พระอาทิตย์ร้อนแรงเช่นนี้ ผู้ใดจะมีอารมณ์เอ้อระเหยตากแดดอยู่เป็นเพื่อนเช่นนี้เล่า รีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วรีบกลับไปที่เรือน นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร!
“เจ้าอวี่” เมื่อองค์ชายสามเห็นว่านางได้เลี้ยวลับตาไปจนไม่เห็นเงาแล้วก็เบนสายตากลับมาแล้วเอ่ยว่า “นี่คือลูกสาวของจวนแม่ทัพใหญ่ซูปั๋วชวนหรือ พอได้มองใกล้ๆ …ฮ่าๆ “
“ใช่ ใช่ขอรับ…” ขันทีผู้ที่มีนามว่า เสียวอวี่จึผู้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “ทำไมหรือขอรับองค์ชาย เมื่อก่อนท่านเคยพบมาบ้างแล้วมิใช่หรือ…” เสียวอวี่จึตะโกนอยู่ในใจว่า องค์ชายคงมิได้สนใจในตัวคุณหนูซูขึ้นมากระมัง! แต่นั่นคือคุณหนูซูเชียวนะ! ไม่ใช่คนที่ท่านจะปั่นหัวเล่นได้เช่นปกติพวกนั้น!
องค์ชายสามหรือหนานกงหงเลียริมฝีปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตาของเขาเดิมทีที่ถูกเนื้อบีบเสียจนแทบจะหายไปนั้น ตอนนี้เมื่อเขายิ่งหรี่ตาลงก็ยิ่งทำให้ตาของเขาแทบหายไปเข้าไปอีก เขาเอ่ยว่า “เจ้าอวี่ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ไปเถิด ตรงนี้อากาศร้อนยิ่ง”
ซูเหลียนอวิ้น? บุตรสาวของซูปั๋วชวน…หากแค่ปั่นหัวนางเล่น นั่นคงจะน่าเสียดายแย่มิใช่หรือ และเท่ากับว่าฐานะของเขาคงจะเสียเปล่าไปเฉยๆ
ณ พระราชวังของฮองเฮา
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ” เกาอู่เตี๋ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “วันนี้อากาศร้อนยิ่ง ลำบากเช่นนี้เจ้ายังอุตส่าห์มาหาข้าถึงที่นี่ น่ารักยิ่ง…” เกาอู่เตี๋ยเอามือตบไปที่บนที่นั่งข้างๆ ตน “มานั่งตรงนี้เร็วเข้า ตรงข้ามีอ่างน้ำแข็งวางไว้มากหน่อย จะช่วยให้เจ้ารู้สึกเย็นขึ้นบ้าง”
ซูเหลียนอวิ้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเองพร้อมเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฮองเฮาสำหรับการต้อนรับขับสู้เพคะ” นางร้อนแทบแย่แล้วจริงๆ ตอนนี้แม้แต่คำพูดตามมารยาทอะไรก็ไม่อยากพูดทั้งนั้น อีกอย่างในเมื่อฮองเฮาเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเองแล้ว นางยังจะต้องกระอักกระอ่วนอยู่ทำไมกัน
หากว่ากันตามจริงแล้ว แน่นอน เจ้าต้องนั่งอยู่ด้านล่าง แต่หากทำอย่างนั้น…เท่ากับนางหาความลำบากใส่ตัวโดยแท้
“องค์ชายเก้าก็อยู่ด้วยเช่นกัน” เมื่อซูเหลียนอวิ้นนั่งลง นางก็รู้สึกถึงไอเย็นรอบๆ เคลื่อนผ่าน ความรู้สึกเย็นสบายนั้นทำให้นางหายร้อนไปได้มากทีเดียว
เมื่อหันไปข้างๆ ซูเหลียนอวิ้นจึงเห็นเจ้าเด็กแสบนั่งเรียบร้อยเป็นเด็กดีอยู่เงียบๆ ข้างๆ ฮองเฮาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกไปว่า “องค์ชายเก้า เหตุใดพระองค์ดูอารมณ์ไม่ดีเลยเล่าเพคะ คงมิได้…ไม่อยากเห็นหน้าหม่อมฉันกระมัง”
เจ้าเด็กแสบ! เรื่องราวในพิธีปักปิ่นเรื่องนั้นยังไม่ได้ทันจัดการเลย! ตอนนี้มีโอกาสดีเช่นนี้หากนางยังไม่ยอมคว้าเอาไว้ นางก็อย่าอยู่ตระกูลซูเลย! เพราะความแค้นของคนตระกูลซูมิอาจปล่อยผ่านได้!
อีกอย่างตอนนี้มีฮองเฮาอยู่ข้างๆ เจ้าเด็กนี่จะต้องทำตัวเป็นเด็กดีตลอดเวลาแน่นอน และไม่กล้าหาเรื่องนางอย่างแน่นอน
“คุณหนูซูคิดมากเกินไปแล้ว” หนานกงเช่อเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาเป็นน้ำเสียงของเด็กที่ใสซื่อและนุ่มนวล “ข้าเพียงคิดว่า คุณหนูซูมาช้าเกินไปหรือไม่ เพราะ…ตั้งแต่ที่คุณหนูซูเข้าวังมาจนถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนูซูหรือ”
เมื่อเกาอู่เตี๋ยได้ยินหนานกงเช่อเอ่ยเช่นนี้ก็มีปฏิกิริยาแล้วเอ่ยว่า “จริงด้วยอวิ้นเอ๋อร์ ด้านนอกร้อนขนาดนั้น เหตุใดเจ้าถึงมาช้าเพียงนี้ ระหว่างทางเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าเสียเวลาหรือ มิต้องกลัว เจ้าพูดออกมาได้เลย ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
“เอ่อ…”
เจ้าเด็กบ้า! ซูเหลียนอวิ้นเหลือบตามองหนานกงเช่อ เนื่องจากเรื่องที่นางเจอองค์ชายสามหรือหนานกงหงระหว่างทางนั้น…ตามจริงแล้วเป็นเรื่องที่นางไม่อยากพูดถึงมากเท่าไหร่นัก
เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก อีกอย่างยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ตอนสุดท้ายที่นางเดินจากมา สายตาของหนานกงเช่อน่าสยดสยองอย่างยิ่ง! ถึงแม้ว่านางจะหันหลังให้ แต่นางยังสามารถรับรู้ได้! ความรู้สึกของนางคล้ายกำลังถูกบางอย่างจับจ้องอยู่จนทำให้นางไม่กล้าปล่อยวางประสาทสัมผัสของตัวเอง! คนเช่นนี้แม้แต่ขนเส้นเดียวนางก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวด้วย!
เพราะหนานกงเช่อไม่ใช่คนประเภทเดียวกับหยางอวี้ฉินผู้นั้น ผู้หนึ่งเป็นองค์ชาย อีกผู้หนึ่งเป็นเพียงลูกอนุภรรยา ลูกอนุภรรยานางยังกล้าลงมือ แต่สำหรับองค์ชาย…หากนางอยู่ห่างได้ก็ขออยู่ห่างให้ไกลจะดีกว่า เพราะนางคงรับมือไม่ไหว…
“ระหว่างทางหม่อมฉันพบองค์ชายสามเพคะ จึงกล่าวทักทายกับองค์ชายสามสองสามคำ” ซูเหลียนอวิ้นเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสนใจเอ่ยออกมาตามจริง
เนื่องจากเส้นทางที่ผ่านมาค่อนข้างโลกกว้าง คงจะมีคนไม่น้อยเห็นนางแล้วกระมัง ดังนั้นพูดความจริงออกไป อย่างน้อยๆ ก็ทำให้นางโล่งใจและไม่รู้สึกผิดกับตัวเอง
“หงเอ๋อร์? ” เกาอู่เตี๋ยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว “เช่นนี้เองหรือ…เช่นนั้นเขาคงไม่ได้พูดอะไรกับเจ้ากระมัง”
หนานกงหงผู้นี้ เกาอู่เตี๋ยไม่ชอบเขามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไม่มีเหตุผลใดนอกเหนือจากนี้ มีแต่ความไม่ชอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะหากพิจารณาในมุมมองที่เขาเป็นด็กผู้ชายคนหนึ่ง เกาอู่เตี๋ยรู้สึกว่า เขาเป็นคนหลายใจเกินไปหน่อย! ไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ ในหัวของเขาคิดอะไรอยู่บ้าง อีกอย่างเวลาที่นางเห็นเขายังรู้สึกถึงความอึมครึมราวกับป่ารกชัฏ ทำให้เกิดความรู้สึกสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง!
แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่น เกาอู่เตี๋ยรู้สึกว่า เด็กผู้นี้…ยิ่งโตก็ยิ่งอัปลักษณ์ขึ้น…
ในวัยที่เขายังเป็นเด็กอ้วนอยู่นั้น นางยังรู้สึกว่าน่าเอ็นดูอยู่บ้าง แต่พอโตขึ้นถึงตอนนี้แล้ว เขากลับยิ่งอ้วนมากขึ้นถึงขนาดนี้? ดวงตาของเขาโดนไขมันบนใบหน้าบีบเสียจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ สำหรับเกาอู่เตี๋ย ผู้ที่มองคนที่หน้าตาก่อนเป็นอย่างแรก คนอย่างหนานกงหงไม่สามารถทำให้นางชอบหน้าได้เลย!
“ไม่ได้พูดอะไรเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “ก็แค่…คำทักทายธรรมดาเท่านั้น” อืม…แค่คำทักทายธรรมดา! ส่วนเรื่องที่นางชนเขานั้น น่าขายหน้าเกินไป…ดังนั้นอย่าพูดถึงจะดีกว่า
“อ้อ ฮองเฮาเพคะ ของขวัญที่พระองค์ทรงมอบให้หม่อมฉันในวันงานพิธีปักปิ่นนั้น มีหลายชิ้นที่หม่อมฉันชอบอย่างยิ่ง! ฮองเฮารู้ได้อย่างไรเพคะว่าหม่อมฉันชอบอะไรบ้าง” เมื่อเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของเกาอู่เตี๋ย ซูเหลียนอวิ้นจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
อย่ามัวแต่พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับหนานกงหงนั่นอีกเลย! นางไม่รู้จักกับคนผู้นี้มากนัก! ไม่รู้จักจริงๆ! ตลอดทั้งชีวิตสองชาติของนางล้วนไม่คุ้นเคยกับเขา!
“จริงหรือ อวิ้นเอ๋อร์ชอบถือเป็นเรื่องดียิ่ง” เกาอู่เตี๋ยยิ้ม “กว่าจะรู้ว่าเจ้าสนใจอะไรนั้นไม่ง่าย ของเหล่านั้นที่ข้าเลือกให้เจ้า ข้าเลือกให้เจ้าโดยยึดตามความชอบของอันเพ่ยอิงในตอนนั้น”
“ในเมื่อเจ้าชอบเช่นนี้ คงบอกได้เพียงว่าพวกเจ้าสองคนแม่ลูกสมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน แม้แต่ของที่ชอบก็ยังชอบเหมือนกัน! “
ซูเหลียนอวิ้นยิ้มตามนาง ในใจพลางบ่นว่า ของที่ฮองเฮาทรงประทานให้ล้วนเป็นของที่มีมูลค่าสูงลิ่ว ต่อให้ไม่ใช่ตนแต่สุ่มเอาไปให้ผู้ใดสักคนหนึ่ง คนผู้นั้นก็ไม่มีทางที่จะไม่ชอบแน่!
“จริงสิ ของที่องค์ชายเก้าให้เจ้าคืออะไรหรือ” เกาอู่เตี๋ยหันไปมองหนานกงเช่อที่นั่งอยู่อีกด้านแล้วเอ่ยว่า “วันนั้นองค์ชายมีท่าทางลึกลับยิ่งนัก แม้แต่ข้าก็ยังไม่ยอมบอก สรุปแล้วในกล่องใบนั้นมีอะไรอยู่กันแน่”
ตอนที่ 144 ลงมือได้ดียิ่ง
“เอ่อ ของที่องค์ชายเก้ามอบให้” ซูเหลียนอวิ้นปรบมือเล็กน้อยแล้วมองไปยังหนานกงเช่อ รอยยิ้มของนางค่อยๆ ปรากฏขึ้น นางหรี่ตาแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันรู้สึกว่า…ของที่องค์ชายเก้ามอบให้หม่อมฉัน…”
คราวนี้ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นอย่างอ้อยอิ่งอย่างมีเจตนาจะลากน้ำเสียงให้ช้าลง เนื่องจากเมื่อนางเห็นหนานกงเช่อที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเกาอู่เตี๋ยทำได้เพียงฟึดฟัดแต่ไม่กล้าต่อปากต่อคำ ราวกับกำลังจะลุกขึ้นเพื่อยับยั้งไม่ให้นางพูดต่อ แต่เนื่องเพราะมีเกาอู่เตี๋ยนั่งอยู่ด้านข้างจึงรู้สึกกระดากใจขึ้นมา เขาจึงทำได้เพียงจ้องนางด้วยสายตาเคียดแค้น
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่า ครั้งนี้ที่นางยอมออกมาที่นี่ทั้งๆ ที่เสี่ยงต่อการโดนแดดเผาแล้วได้เห็นภาพๆ นี้ถือว่าการมาในครั้งนี้ของนางไม่เสียเที่ยวแล้ว
“ทำไมหรือ” เกาอู่เตี๋ยเอ่ยถาม “องค์ชายเก้าคงมิได้ส่งของอะไรที่ไม่ได้เรื่องไปให้เจ้าหรอกกระมัง” นางรู้ดีว่านิสัยขององค์ชายเก้าแปลกประหลาดต่างจากคนอื่นมาตลอด เนื่องจากในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคนไหนสามารถเป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้เลย
ดังนั้นด้วยนิสัยเช่นนี้แล้ว…
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นเขาถูกยั่วเย้าจนย่ำแย่เช่นนี้ จึงถือโอกาสเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรเพคะ ของสิ่งนั้นแปลกใหม่มาก หม่อมฉัน…ชอบมากเพคะ” หนานกงเช่อผู้นี้โลกทัศน์แคบยิ่งนัก หากตอนนี้นางกล้าฟ้องเรื่องราวของเขาต่อหน้าเกาอู่เตี๋ยล่ะก็…ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า หากนางจะเข้ามาในวังหลวงครั้งหน้า ต่อให้พกองครักษ์มาห้าคน ก็คงไม่พออยู่ดี!
แม้ว่าหนานกงเช่อจะเป็นเด็กแสบคนหนึ่ง แต่เจ้าเด็กแสบผู้นี้หากจะจัดการใครสักคนขึ้นมาคงจะไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน! เพราะอายุเขายังน้อย ทุกคนมักจะเอ็นดูผู้ที่อ่อนแอ แถมหากเอ่ยถึงความเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ล่ะก็?
หนานกงเช่อคงจะถูกจัดลำดับไว้เป็นลำดับแรกๆ อย่างแน่นอน! ภาพเหตุการณ์การเอาชนะคะคานกันระหว่างเขากับต้วนเฉินเซวียนเมื่อชาติก่อนล้วนอยู่ในสายตาของนางทั้งสิ้น
นางจำได้ว่าหนานกงเช่อในสมัยที่ยังอายุน้อยนั้นก็พยายามเริ่มแย่งคะแนนจากต้วนเฉินเซวียนได้บ้างแล้ว เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อย แม้แต่จิ้งจอกเฒ่าอย่างต้วนเฉินเซวียนก็ยังต้องคอยรับมือแผนการกลั่นแกล้งต่างๆ ของหนานกงเช่อ…
เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด และสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด
“องค์ชายเก้า หม่อมฉัน…ขอบพระทัยที่พระองค์ทรงมอบของขวัญเหล่านั้นรวมทั้งคำเตือนของพระองค์” รอยยิ้มของซูเหลียนอวิ้นยิ่งหวานหยดย้อยมากขึ้น แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะดูเหมือนว่ากัดฟันพูดอยู่ก็ตาม
“มิต้องเกรงใจ” หนานกงเช่อแยกเขี้ยวยิ้ม ท่าทางของเขาคล้ายเป็นเด็กใสซื่อบริสุทธิ์จริงๆ “นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ หากสามารถช่วยเหลือและชี้แนะเจ้าได้บ้าง ก็ถือว่าข้ามิได้เสียแรงเปล่า”
เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นพวกเขาทั้งสองโต้ตอบกันคนละประโยคสองประโยค และสนทนากันอย่างกินกันไม่ลง นางก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
‘หรือว่านางคิดมากไปเอง’
“อวิ้นเอ๋อร์” เกาอู่เตี๋ยจับมือของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ “องค์ชายเก้าคงมิได้ส่งของจำพวกหนอนหรือคางคกให้เจ้าหรอกกระมัง อวิ้นเอ๋อร์อย่ากลัวไปเลย ข้าอยู่ตรงนี้ องค์ชายเก้ามอบอะไรให้เจ้ากันแน่ เจ้าพูดความจริงออกมาเถิด”
หนอน? คางคก! หรือ ซูเหลียนอวิ้นคิด
อ้อจริงสิ! เมื่อชาติที่แล้วหนานกงเช่อมีประวัติว่าเขาสะสมของพวกนี้! อีกอย่างพอมาถึงช่วงหลังๆ นี้ ของที่เขาสะสมไว้ ยังเป็นของจำพวกที่มีพิษอีกต่างหาก! ยิ่งมีพิษก็ยิ่ง…
เหอะๆ …นางต้องขอบคุณหนานกงเช่อใช่หรือไม่ที่ไม่ได้ส่งของเหล่านั้นมาให้นาง
“เสด็จแม่! ลูกเปล่านะ! ” เมื่อหนานกงเช่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบโผเข้าสู่อกของเกาอู่เตี๋ยแล้วเงยหน้า ดวงตาทั้งสองข้างของเขาสะท้อนประกายวิบวับราวเกล็ดปลาที่ต้องแสง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม “เสด็จแม่ ลูกจะมอบของเช่นนั้นให้คุณหนูซูได้อย่างไร ท่านแม่เคยบอกแล้วว่าเด็กผู้หญิงไม่ชอบของแบบนั้น ลูกจะไม่ฟังคำสอนของท่านแม่ได้อย่างไร”
“ของที่ลูกมอบให้คุณหนูซูคือตำราชุดหนึ่ง ใช่หรือไม่คุณหนูซู” หนานกงเช่อเอียงศีรษะแล้วยิ้มให้ซูเหลียนอวิ้นด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับที่นางยิ้มให้ตนเมื่อครู่
ซูเหลียนอวิ้นฝืนพยักหน้า “เพคะ…” นางคิดว่าตอนนี้นางรีบหุบปากเสียจะดีกว่า อย่าพูดอะไรจะดีที่สุด! หนอน…คิดถึงตรงนี้นางก็รู้สึกได้ถึงความน่าขนลุกขนพอง
ไม่ได้การแล้ว หากนางกลับไปนางจะต้องนำกล่องใบนั้นไปเก็บไว้ไกลๆ หน่อย! หากภายในมีไข่ของตัวอะไรแอบอยู่จะทำอย่างไร
เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นว่าทั้งสองคนแสดงอาการไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน โดยคล้ายว่าไม่มีเรื่องอะไรปิดบังอีก เวลานั้นนางจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจและชวนสนทนาปราศรัยอยู่อีกพักใหญ่กว่าจะปล่อยให้ซูเหลียนอวิ้นกลับไป
“เสด็จแม่ ลูกขอไปส่งคุณหนูซูนะขอรับ” หนานกงเช่อลงจากเก้าอี้แล้วยิ้มให้จนตาแทบปิด
“ไปเถิด” เกาอู่เตี๋ยพยักหน้า “กางร่มไปด้วยก็แล้วกัน ด้านนอกอากาศร้อนมาก”
ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ “ไม่ต้องหรอกเพคะ…หม่อมฉันกลับเองก็ได้…” น้ำใจเล็กน้อยนี้ยิ่งใหญ่เกินไปนัก รับไม่ไหว รับไม่ไหว…
“คุณหนูซู คงมิได้มิชอบข้าหรอกกระมัง” หนานกงเช่อหันตัวมองไปยังซูเหลียนอวิ้นแล้วยิ้มอย่างไม่เห็นฟัน “ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจอยากไปส่งเจ้าก็เท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด”
…อย่าทำเช่นนี้สิ ยิ่งทำเช่นนี้ก็ยิ่งดูออกว่าเจ้าไม่ได้มีจิตบริสุทธิ์! เมื่อชาติก่อนตอนที่เจ้าคิดอยากจะจัดการต้วนเฉินเซวียนทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง! ทำท่าราวกับหวังดีกับนาง แต่เหตุใดเจ้าไม่รับความหวังดีจากข้าเล่า? แถมยังมาบังคับกันอีก
ช่างเถิด ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ หากจะหนีก็คงมิอาจหนีไปได้ตลอดชีวิต มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดออกมาให้จบๆ ก็ดี ทุกครั้งที่นางเข้าวังมาจะได้ไม่ต้องคอยมาระวังเรื่องๆ นี้
“เช่นนั้น รบกวนองค์ชายเก้าแล้ว”
“รบกวนอะไรกัน คุณหนูซูมีอารมณ์ขันแล้ว” รอยยิ้มของหนานกงเช่อคล้ายรอยยิ้มของลูกเสือ
เมื่อกางร่มออกแล้วจึงไม่มีแสงอาทิตย์แผดเผาส่งตรงลงมา นั่นจึงทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาก
ซูเหลียนอวิ้นนับฝีเท้าก้าวไปพลางๆ ตอนนี้เดินมาได้สามร้อยก้าวแล้ว หรือว่านางคิดมากไปเอง บางทีหนานกงเช่ออาจจะมีน้ำใจอยากมาส่งนางเท่านั้น?
“ซูเหลียนอวิ้น” คำพูดในใจเพิ่งจะเงียบลง เสียงของหนานกงเช่อก็ดังขึ้นต่อจากนั้นทันที
ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้จะทำอย่างไรจึงก้มหน้าลงไปเอ่ยว่า “องค์ชายเก้า หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ”
มีอะไรก็รีบพูดออกมาเถิด
“ได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ต้วนเฉินเซวียนได้รับบาดเจ็บรึ” หนานกงเช่อเงยหน้าขึ้นมา เสียงของเขาไม่ดังนักแต่ก็เพียงพอที่คนทั้งสองคนจะได้ยินกันอย่างชัดเจน
“ท่านได้ยินมาจากผู้ใด” ซูเหลียนอวิ้นชะงักฝีเท้า มือของนางกำด้ามร่มเอาไว้แน่น “อีกอย่าง…เหตุใดต้องถามเรื่องนี้กับหม่อมฉันด้วยเพคะ”
หรือว่าเรื่องที่นางให้คนทำร้ายต้วนเฉินเซวียนเรื่องนี้ คนรู้ทั่วกันหมดแล้ว?! ไม่นะ! ข้อหาทำร้ายร่างกายคุณชาย…นาง นางรับชื่อเสียงในเรื่องนี้ไม่ไหว!
“ดูเจ้าตกใจเข้าสิ” หนานกงเช่อมองไปยังซูเหลียนอวิ้นด้วยอารมณ์ขัน “คงยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้หรอก”
“อ้อ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้า นางกลับไปเดินต่อเช่นเดิม ในใจแอบคิดว่า ไม่มีผู้ใดรู้ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร? หรือว่าเจ้าแอบส่งคนไปจับตาดูต้วนเฉินเซวียนเอาไว้?
เด็กคนนี้น่ากลัวยิ่งนัก…
“ทุกๆ เดือน ต้วนเฉินเซวียนจะต้องมาหาเสด็จแม่ที่นี่” หนานกงเช่อเอ่ยปากเรียบๆ “แต่เดือนนี้กลับไม่มา แถมยังมิได้ส่งคนมาแจ้งด้วย ตัวข้าย่อมสงสัย ดังนั้นข้าจึงส่งคนไปสอดส่องที่จวนของเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผลสุดท้ายข้าจึงพบว่าเกิดเรื่องน่าสนใจเรื่องนี้ขึ้น
ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นพร้อมเหงื่อเย็นๆ “แล้วอย่างไรต่อ?”
“ดังนั้น ข้าคิดว่าเจ้าทำได้ดีมาก” หนานกงเช่อเอ่ย “ลงมือได้ดียิ่ง!”
ตอนที่ 145 งานโคมไฟ
เอ่อ…นางคิดมากเกินไปจริงๆ …
ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาอีกครั้งแล้วเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง ก็ใช่ ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนเปรียบดั่งน้ำกับน้ำมันที่เข้ากันไม่ได้ ต้วนเฉินเซวียนโดนทำร้ายหรือ? หนานกงเช่อคงตื่นเต้นจนแทบจะต้องจุดปะทัดฉลองเลยทีเดียว!
ความเสียใจหรือความเป็นห่วงน่ะรึ? คงจะไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่แน่…
“ฮ่าๆๆๆๆ …” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเกร็งๆ “ก็ดี ก็ดี”
“เจ้าจะเกรงใจข้าทำไมกัน” หนานกงเช่อยื่นมือออกมาตบเบาๆ ที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างสบายอารมณ์ “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าลงมือได้ดี วางใจเถิด คราวหน้าหากมีโอกาสเช่นนี้อีก จำไว้ว่าอย่าลืมเรียกข้าด้วยก็แล้วกัน”
ในตอนนี้หนานกงเช่อคิดว่าซูเหลียนอวิ้นกลายเป็นคนของตัวเองไปเสียแล้ว เนื่องจากเมื่อครู่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเกาอู่เตี๋ย ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้พูดเปิดโปงเขา แน่นอนว่าสาเหตุที่สำคัญคือ นางทำร้ายต้วนเฉินเซวียน
มิถูก ควรจะพูดว่า ทำร้ายต้วนเฉินเซวียนบาดเจ็บ
ทำร้ายจนบาดเจ็บ? เมื่อก่อนหนานกงเช่อไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากคุณสมบัติและอายุของต้วนเฉินเซวียนมากถึงขั้นนั้นแล้ว ข้อได้เปรียบเดียวของเขาคือต้องอาศัยใบหน้าที่ดูไร้พิษสงและเห็นอกเห็นใจทำต้วนเฉินเซวียนตายใจ
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าการลงมือของซูเหลียนอวิ้นเพียงครั้งเดียวจะถึงขั้นทำให้เขาเลือดตกยางออก! ลงมือได้ดียิ่ง ลงมือได้ดียิ่ง! คนที่สามารถทำให้ต้วนเฉินเซวียนต้องพบกับความพ่ายแพ้เช่นนี้ หนานกงเช่อคิดว่าตนจะต้องดึงคนเช่นนี้เข้ามาเป็นพวกของตัวเองให้ได้
“ข้าขอส่งเจ้าแค่ตรงนี้” มือเล็กๆ ของหนานกงเช่อไพล่หลังเอาไว้ “คนที่ทำให้ต้วนเฉินเซวียนพ่ายแพ้ได้ถือว่าเป็นเพื่อนของข้า ดังนั้นไม่ว่ามีอะไรหรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เจ้ามาหาข้าก็ได้เสมอ!”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “อ้อ ได้เพคะ แล้วพบกันใหม่เพคะองค์ชายเก้า…”
จะมัวแต่พูดไร้สาระอยู่ทำไมกัน ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกราวกับว่าตนใกล้จะเป็นลมแดดอยู่แล้ว การทำร้ายคนทำให้ได้เพื่อนร่วมต่อสู้เพิ่มขึ้นมาได้ด้วยหรือ…?
เฮ้อ พอคิดถึงตรงนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็อดที่จะบ่นในใจไม่ได้ ต้วนเฉินเซวียน ท่านช่วยมาหาอีกหลายๆ รอบได้หรือไม่
ให้นางได้จัดการเขาหลายๆ รอบหน่อย ข้อที่หนึ่งนางจะได้ระบายอารมณ์ ข้อที่สองเผื่อจะมีเรื่องโชคดีเกิดขึ้นกับนางอีก?
ลงมือเพียงครั้งเดียว…แต่ได้ประโยชน์มากมายนัก!
_
“คุณหนู วันนี้คุณหนูจะไปห้องเรียนหรือไม่เจ้าคะ?” เสียงของหลีมู่ดังมาจากด้านนอกห้อง
“ไม่ไปก็แล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นบิดเนื้อบิดตัว สายตาของนางยังคงเพ่งไปที่ตำราในมือ นางใช้นิ้วมือพลิกตำราโดยที่ไม่เหลือบตาขึ้นมาพลางเอ่ยขึ้น “หลีมู่ ข้าเคยบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าข้าขอลาหนึ่งเดือน? เจ้ามิต้องคอยเทียวมาถามทุกเช้าหรอก เดือนนี้ข้าป่วย…เข้าเรียนไม่ไหว แค่กๆ แค่กๆ” ซูเหลียนอวิ้นกุมหน้าอกตัวเองเอาไว้แล้วส่งเสียงไอ หากฟังเพียงเสียงแต่อย่างเดียวก็ดูคล้ายว่านางป่วยจริงๆ?
“คุณหนู…” หลีมู่ผลักประตูเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยสายตาวิงวอนและปลอบประโลม “เช่นนั้นอาการป่วยนี้ของคุณหนู…เมื่อใดจะหายเจ้าคะ! เมื่อก่อนคุณหนูมิได้ชอบไปเรียนหนังสือหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้…”
เฮ้อ ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ นางเงยหน้าครุ่นคิดสักพักหนึ่ง นี่เป็นครั้งที่เท่าใดแล้วที่หลีมู่ถามคำถามนี้กับนาง? ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกเมื่อยหูแล้วของนาง…
“หลีมู่ อาการป่วยของข้าร้ายแรงมากจริงๆ” ซูเหลียนอวิ้นทำสายตาอ้อนวอน “หากตอนนี้ข้าไปที่ห้องเรียน ข้าต้องตายแน่ๆ …หลีมู่ เจ้าทนได้หรือ?”
คำพูดประโยคนี้ของนางไม่ได้เกินความจริงแต่อย่างใด ไปเรียนที่ห้องหนังสือหรือ ที่นั่นต้วนเฉินเซวียนต้องอยู่ด้วยแน่ๆ … อีกอย่างเวลาผ่านไปหลายวันแล้ว บาดแผลพวกนั้นคงหายนานแล้ว! หากนางกล้าไป นั่นไม่เท่ากับรีบส่งตัวเองไปตายหรอกหรือ?
อย่าไปดีกว่า ตอนนี้นางหลบหน้าเอาไว้ก่อนจะดีกว่า…ตอนนี้นางทำได้เพียงอธิษฐานว่าหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ต้วนเฉินเซวียนจะลืมเรื่องที่นางเคยทำร้ายเขา! แม้ว่านางจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้เท่าไหร่ แต่เกิดเป็นคนก็ต้องมีความหวังเอาไว้ก่อน!
“ดังนั้นนะหลีมู่ เพื่อสุขภาพของข้าและเห็นแก่สุขภาพของปุถุชนทั่วไป หลีมู่เจ้าอย่าได้มาคอยถามอยู่ข้างๆ หูข้าอยู่เลยว่าข้าจะไปเรียนหรือไม่”
หลีมู่เบะปาก “ก็ได้เจ้าค่ะ…แต่คุณหนูจำเอาไว้ว่ามีเรื่องเรื่องนี้อยู่ก็พอ บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ…”
“ไปเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นยกแขนของตนขึ้นโบกมือ “อีกประเดี๋ยวช่วยทำน้ำแข็งใสมาให้ข้าด้วยนะ! เอาที่หยาเอ่อร์ทำ!” วันนั้นหยาเอ่อร์มิได้พูดเหลวไหล ความสามารถในการทำอาหารของนาง…ยอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น
“คุณหนูใหญ่ บ่าวเองเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ตะโกนเรียก
“เข้ามาสิ” ซูเหลียนอวิ้นปิดหนังสือ “เร็วขนาดนี้เชียว?”
“พอสมควรเจ้าค่ะ คิดไว้แต่แรกแล้วว่าอีกประเดี๋ยวคุณหนูต้องอยากทาน ก็เลยเตรียมของทุกอย่างรอไว้แต่แรก” หยาเอ่อร์หัวเราะแล้วยื่นน้ำแข็งใสให้ “คุณหนูรีบทานเถิดเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวหากละลายคงไม่อร่อยแล้ว”
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นรับมาแล้วชิมไปหลายคำ แต่เมื่อเห็นว่าหยาเอ่อร์ยังไม่ยอมออกไป ตอนนั้นจึงนึกบางอย่างขึ้นได้แล้วเอ่ยว่า “มีอะไร มีเรื่องอย่างอื่นอีกหรือ”
“คือว่า…” หยาเอ่อร์เกาศีรษะด้วยความเกรงใจ “คุณหนูใหญ่ คืนนี้บ่าวขอลาพักผ่อนสักคืนได้หรือไม่?”
“เอ๊ะ มีอะไรหรือ เจ้ามีธุระอะไร”
“ก็ไม่เชิงว่ามีธุระเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ตอบ “วันนี้ตอนค่ำๆ บ่าวอยากไปเดินเล่นที่งานเทศกาลโคมไฟ เพราะบ่าวไม่ได้ไปเที่ยวงานนี้มาหลายปีแล้ว คุณหนูใหญ่อนุญาติหรือไม่เจ้าคะ…” หยาเอ่อร์ถูมืออย่างตื่นเต้น เพราะงานเช่นองครักษ์…สิ่งที่ควรทำก็คือคอยแอบซุ่มและเฝ้าระวัง
แม้ว่าตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ใช่องครักษ์อย่างแท้จริงเพราะได้เปิดเผยตัวตนไปแล้ว แต่บางเรื่อง หากเจ้านายยังไม่ได้เอ่ยปาก คนที่เป็นบ่าวอย่างพวกเขาก็ไม่สามารถเอ่ยปากก่อนได้
แต่จากการที่ได้รู้จักกับซูเหลียนอวิ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ หยาเอ่อร์ก็รู้ว่า คุณหนูใหญ่อย่างซูเหลียนอวิ้นปฏิบัติต่อทุกคนอย่างมีเมตตาและใจกว้าง ด้วยเหตุนี้นางจึงกล้าเอ่ยปากขอร้อง
“คืนนี้มีงานเทศกาลโคมไฟหรือ?!” ซูเหลียนอวิ้นตกใจจนวางน้ำแข็งใสในมือลง “ไม่เห็นมีใครบอกข้าเลย ข้าก็อยากไปเหมือนกัน!”
ตอนนี้หลีมู่เก็บกวาดของในครัวเรียบร้อยแล้ว และก็กะเวลาเอาไว้ว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคงกินน้ำแข็งใสเสร็จแล้วจึงวางแผนจะไปเก็บถ้วยน้ำแข็งใส แต่ด้วยความบังเอิญ ตอนที่นางไปถึงประตูก็ได้ยินแผนการของซูเหลียนอวิ้นพอดี
“คุณหนูใหญ่!” หลีมู่รีบซอยเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณหนูใหญ่ หากคุณหนูจะออกไปต้องบอกให้นายท่านกัยฮูหยินทราบก่อนนะเจ้าคะ!” หากไม่ยอมบอกก่อนนางไม่มีทางปล่อยคุณหนูไปเด็ดขาด!
“หลีมู่…” ซูเหลียนอวิ้นอ้อนวอน “ข้าอยากไป…”
“มิได้บอกว่าไม่ให้คุณหนูไปนี่เจ้าคะ” หลีมู่ทำเป็นฟังไม่เข้าใจความหมาย “ขอแค่คุณหนูบอกนายท่านกับฮูหยินไว้ก่อน บ่าวเชื่อว่านายท่านกับฮูหยินต้องยอมให้คุณหนูออกไปเที่ยวแน่เจ้าค่ะ”
“เหลวไหล…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ข้าแค่ออกไปเดินเล่นดูโคมไฟเท่านั้น หากตอนที่ข้าออกไปต้องนำองครักษ์ออกไปด้วยเป็นสิบคน มันจะเป็นการไปชมโคมไฟหรือว่าไปหาเรื่องผู้อื่นกันแน่?!”
อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ว่าพวกอันเพ่ยอิงไม่ได้ เพราะตอนที่ซูเหลียนอวิ้นเด็กๆ ขนาดมีพวกเขาคอยเดินอยู่ตามหลัง ในขบวนโคมไฟนางยังหลงทางได้เลย ดังนั้นหลังจากงานขบวนโคมไฟนั้นเป็นต้นมา หากไม่จัดองครักษ์สักสิบคนขึ้นไปคอยตามติดซูเหลียนอวิ้น อันเพ่ยอิงก็คงไม่อาจวางใจได้
ตอนที่ 146 สาเหตุ
“ข้าโตป่านนี้แล้วนะ!” ซูเหลียนอวิ้นโมโหจนเอามือตบโต๊ะน้ำชาพลางเอ่ยขึ้น “ข้าจะเดินหลงได้อย่างไร!”
อีกอย่างเรื่องตอนนั้นยังเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่นางลืมไปตั้งนานแล้ว หลงทางตอนเด็ก…นั่นเป็นเรื่องปกติมิใช่หรอกหรือ…!
แต่ทุกๆ ครั้งที่นางตอบโต้อันเพ่ยอิงเช่นนี้ อันเพ่ยอิงจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลนองหน้า แล้วเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นว่า “อวิ้นเอ๋อร์ แม่หวังดีกับเจ้านะ! เจ้าไม่เคยรู้หรอก ตอนนั้นที่เจ้าหลงทางยังเจ้าเด็กมาก…”
เรื่องนี้แค่คิดตัวก็สั่นแล้ว ซูเหลียนอวิ้นแอบยกย่องในใจที่ท่านแม่ของนางจำเรื่องที่ผ่านมาแล้วสิบปีได้ราวกับผ่านมาเพียงวันเดียว ทุกครั้งที่นางเอ่ยว่าอยากจะออกไปเที่ยวเล่น บทพูดเหล่านั้นก็จะถูกเอ่ยขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง
‘ตอนนั้นที่เจ้ากลับมาบนเสื้อผ้าของเจ้ามีแต่รอยเปื้อนดินโคลน! อีกอย่างตอนนั้นเครื่องประดับที่แม่ให้เจ้าใส่ไปตอนก่อนออกจากบ้านก็หายไปหมด! เห็นได้ชัดๆ เลยว่าบนโลกนี้มีโจรจอมละโมภอยู่เยอะขนาดไหน! โลกที่วุ่นวายเช่นนี้เจ้าว่าแม่จะยอมให้…’
หยาเอ่อร์เห็นสายตาของซูเหลียนอวิ้นเหม่อลอยไปที่จุดๆ หนึ่งราวกับกำลังหวนรำลึกความทรงจำบางอย่าง นางจึงไม่กล้าเอ่ยปากขึ้นในตอนนั้น แต่เมื่อผ่านไปพักใหญ่แล้วเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นยังคงไม่ยอมเอ่ยปากจึงพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ หากคุณหนูอยากไปจริงๆ บ่าวจะเป็นองครักษ์ให้คุณหนูเอง แค่นี้ก็คงพอแล้วกระมัง?”
ซูเหลียนอวิ้นหลุดจากภวังค์ แล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มที่น่าเกลียดเสียยิ่งกว่าใบหน้าตอนร้องไห้ “หยาเอ่อร์ เจ้าคิดอะไรตื้นๆ !”
ตอนนั้นนางก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน! ให้เอาองครักษ์ไปด้วยก็เอาเถอะ มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนี่!
ทว่าผู้ใดจะคิดเล่าว่าเหล่าองครักษ์ที่อันเพ่ยอิงเลือกให้นางจะมีท่าทางดุร้ายน่าหวาดกลัวทุกคนปานนั้น ทุกครั้งที่นางเดินเข้าไปบริเวณที่ฝูงชนหนาแน่นทีไร องครักษ์ของนางจะต้องรีบกันคนอื่นออกให้อย่างบ้าคลั่ง!
เนื่องจากมีผู้คนรายล้อมมากมายจึงต้องเบียดทุกคนออกไปหมด แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่น่าหวาดกลัว คนพวกนั้นจึงทำได้เพียงโมโหแต่ไม่กล้าต่อปากต่อคำ และใช้เพียงสายตาต่อว่าซูเหลียนอวิ้นราวกับต้องการพูดกับนางว่า แค่มาเดินดูโคมไฟเท่านั้นเหตุใดต้องนำคนมากมายมาคอยคุ้มกันเช่นนี้ด้วย ถ้ากลัวขนาดนี้ก็อย่าออกมาเลยจะดีกว่า!
อีกทั้งด้วยความเอาใจใส่ขององครักษ์ของนาง เวลาที่นางเห็นของที่ต้องตาต้องใจเมื่อใด นางเพียงเหลือบตามองแวบเดียว ไม่ต้องให้นางเอ่ยปากสั่ง ก็จะมีองครักษ์รีบเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าเพื่อจะซื้อของชิ้นนั้นมาให้นาง
แต่ด้วยท่าทีที่ดุร้ายน่าหวาดกลัวเป็นเหตุ ผู้ใดจะกล้ารับเงิน? พวกเขาจึงได้แต่ยื่นของให้ด้วยมืออันสั่นเทา อีกทั้งนอกจากจะไม่อยากรับเงินแล้วยังคิดจะจ่ายเงินให้เพื่อขอร้องให้พวกองครักษ์ปล่อยตนให้ค้าขายได้อย่างสะดวก และอย่าทำร้านพวกเขาพัง!
และเมื่อเดินถึงช่วงท้ายตลาด คนพวกนั้นแค่เห็นนางเดินมาก็รีบเก็บร้านตัวเองเพราะกลัวว่าตนจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
หลังจากที่ได้ร่วมงานที่น่าประทับใจมากครั้งนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็เพิ่งจะมารู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของอันเพ่ยอิงในภายหลัง เนื่องจากในตอนนั้นนางไม่ต้องการคำแนะนำใดๆ และใครก็ตามที่กล้าพูดต่อหน้านางเรื่องการไปเที่ยวงานโคมไฟครั้งนั้น รับประกันได้เลยว่านางจะต้องโมโหปรอทแตกอย่างแน่นอน!
ทว่าเนื่องจากเวลาได้ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ความทรงจำที่น่าอับอายเหล่านั้นก็ได้เจือจางลงไปมาก ดังนั้นงานโคมไฟครั้งนี้…นางจึงอยากจะกลับไปเดินเล่นอีกสักครั้งแล้ว!
“หยาเอ่อร์ คืนนี้พวกเราไปงานโคมไฟด้วยกันเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้น “แต่อย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงหูท่านแม่ก็พอแล้ว” หากความแตกขึ้นมา…ก็ไม่ต้องต่อรองอะไรอีก! นางจะเป็นฝ่ายล้มเลิกเอง และไม่คิดจะไปอีก!
“เจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ยิ้มเนื่องจากนางไม่รู้เรื่องราวในอดีตเหล่านั้น นางคิดเพียงว่าซูเหลียนอวิ้นไม่อยากให้พ่อแม่ของนางก้าวก่ายเรื่องราวของตัวเองมากจนเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ “อย่างนั้นคืนนี้บ่าวจะมาเรียกคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ คุณหนูอย่าห่วงเลย บ่าวกับพี่ผูหลิววางแผนว่าจะไปด้วยกัน คุณหนูไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอะไรเลยเจ้าค่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด” มีพวกผูหลิวอยู่ด้วย ดูท่าแล้วคืนนี้คงไม่มีปัญหาเรื่องการแอบย่องหนีออกไปอย่างแน่นอน ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งไปได้แล้ว แต่ว่า…ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีปัญหาเล็กๆ ปัญหาหนึ่งที่ยังไม่ได้แก้?
“หลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นเอี้ยวตัวไปอีกด้าน “หลีมู่ ช่วงนี้ข้าไม่ได้ออกไปร่วมเทศกาลอย่างนี้มานานมากแล้ว หลีมู่ยอมให้ข้าไปสักครั้งเถิด”
“อีกอย่างเมื่อกี้หยาเอ่อร์ก็พูดแล้วนี่ มีพวกผูหลิวอยู่ ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยอย่างแน่นอน!”
“แต่…” หลีมู่ยังคงลังเล “เช่นนั้น คุณหนูบอกฮูหยินไว้สักหน่อย…”
“มิได้!” ซูเหลียนอวิ้นขัดขึ้นทันที “งานเทศกาลครั้งนั้นผลสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลีมู่เจ้าก็ไปกับข้านี่! เอาอย่างนี้นะหลีมู่ คืนนี้เจ้าอยู่ที่เรือนนี้แทนข้าก็แล้วกัน เผื่อพวกเขาส่งคนมาหาข้า แน่นอนว่าหากมีคนมา เป็นตายอย่างไรเจ้าก็ห้ามออกไปเจอ”
หลีมู่เจ้าเป็นตัวขัดขวางยิ่ง!
การไปเที่ยวงานโคมไฟครั้งนี้…ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า นางไม่เอาหลีมู่ไปด้วยจะดีที่สุด!
หากนางไปครั้งนี้ นางจะต้องได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน เดินเล่นอย่างสบายใจสักครั้ง! หากนำหลีมู่ไปด้วย คนที่ห้ามนางกินทุกอย่าง ซื้ออะไรก็บอกว่าเปลืองตังค์ นางคงมัวแต่ต้องคอยพะวงคิดมากอย่างแน่นอน!
ดังนั้นครั้งนี้อย่าพาไปด้วยจะดีที่สุด! อีกอย่างเดิมทีคนอย่างหลีมู่ก็ไม่มีความสนใจงานเทศกาลอะไรเช่นนี้อยู่แล้ว! ทำให้นางแอบคิดทุกครั้งว่าหลีมู่แท้จริงแล้วใช่หญิงสาวอายุเท่านี้จริงหรือ จะมีคนไม่สนใจเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องมีต่ง มีแต่อะไรแล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมืออกไปห้าม “เรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร โอกาสที่ข้าจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงมีถึงแปดส่วน ดังนั้นหลีมู่…พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้สู้เจ้าเอาเวลาไปนั่งคิดจะดีกว่าว่าจะแต่งตัวอย่างไรให้เหมือนข้าและไม่ให้ถูกจับได้”
หลีมู่….
‘คุณหนูบ่าวยังพูดไม่จบเลย! สิ่งที่บ่าวอยากจะพูดคือ คุณหนูสามารถรับปากกับบ่าวได้หรือไม่ว่าคืนนี้คุณหนูจะปลอมตัวเป็นผู้ชายออกไป? หากแต่งเป็นหญิงออกไปล่ะก็…คุณหนูโดดเด่นเสียขนาดนี้ นางวางใจไม่ลงจริงๆ!’
“เจ้าค่ะคุณหนู…” หลีมู่ถอนใจ “แต่ครั้งนี้ปลอมตัวเป็นชายออกไปได้หรือไม่? หากแต่งเป็นหญิง…”
“ข้าต้องแต่งเป็นชายอยู่แล้วน่า!” ซูเหลียนอวิ้นกรอกตา “หากแต่งเป็นหญิง คงจะวุ่นวายแย่!” เพราะงานอย่างเช่นคืนนี้ คนที่ออกมาเที่ยวเล่นคงไม่น้อยแน่ หากระหว่างทางเจอเรื่องอะไรที่ไม่คาดฝันหรือเจอคนที่ไม่อยากเจอเข้า การปลอมตัวเป็นชายก็ถือว่าเป็นการป้องกันตัวไว้ชั้นหนึ่ง!
“ตกลงเพคะ เช่นนั้นคุณหนู…จะต้องระวังให้มากๆ อย่าหลงทางอีก!” แนะนำไปก็ไร้ประโยชน์ นางคงทำได้เพียงบ่นให้มากหน่อย!
“อ้อ ข้ารู้แล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นกัดฟัน จะให้เรื่องน่าอายติดตัวข้าไปตลอดชีวิตเลยหรือ? ก็แค่เดินหลงครั้งเดียวตอนเด็กเท่านั้นเอง! คนที่รู้เรื่องนี้ทุกคนล้วนคอยเตือนนางทั้งนั้นว่าเวลาออกไปไหนห้ามหลงทางเด็ดขาด และต้องระมัดระวังตัวให้มาก!
ในใจของซูเหลียนอวิ้นรู้สึกขมขื่นมาก นางโตปานนี้แล้ว เขาพิธีปักปิ่นแล้ว! เรื่องราวในอดีตควรเลิกเอ่ยถึงได้แล้วกระมัง…
“ขอให้คุณหนูมีแผนในใจก็พอแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่พยักหน้า “บ่าวขอไปคุยกับพวกผูหลิวสักหน่อย เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ คุณหนูมักจะ…”
“รีบไปเถอะ…” อย่าบ่นให้นางได้ยินอีกก็พอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น