ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ 1394-1401

 ตอนที่ 1394 เผ่าผู้ใช้เวท (6)


 


 


“หัวหน้าเผ่า” ดวงตาของเด็กสาวชุดขาวเป็นประกายขณะแย้มยิ้ม “เมื่อวานนี้ข้าได้ทำนายอนาคตของเผ่าผู้ใช้เวทแล้วเห็นว่าจะมีเด็กสาวที่ชื่ออวิ๋นลั่วเฟิงปรากฏตัวขึ้นและทำลายเผ่าผู้ใช้เวท หัวหน้าเผ่า ท่านส่งคนไปที่แดนลับแลแล้วสังหารอวิ๋นลั่วเฟิงเสีย!”


 


 


เมื่อนางพูดจบ ความเกลียดชังเข้ากระดูกของนางก็สะท้อนอยู่ในนัยน์ตา เห็นได้ชัดว่านางเกลียดอวิ๋นลั่วเฟิงและอยากให้นางตาย หัวหน้าเผ่าไม่ได้สังเกตท่าทางแปลกประหลาดของเด็กสาว เขาขมวดคิ้วถาม “ท่านนักบวชหญิงแน่ใจหรือว่าเด็กสาวที่ชื่ออวิ๋นลั่วเฟิงจะทำลายเผ่าผู้ใช้เวท”


 


 


“ข้าเป็นนักบวชหญิง ในเมื่อข้าพูดเช่นนั้นก็ต้องเป็นแบบนั้นสิ! เจ้าไม่ต้องการปกป้องความสงบสุขของเผ่าผู้ใช้เวทหรือ” เด็กสาวชุดขาวส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้ายังนับถือข้าเป็นนักบวชหญิงอยู่ก็ไปสังหารอวิ๋นลั่วเฟิง! ข้าจะปกป้องความเป็นอยู่ของเผ่าผู้ใช้เวทของเจ้าไปพันปี”


 


 


หลังจากพูดจบ เด็กสาวก็เดินเข้าไปขอบฟ้าแล้วสะบัดเสื้อก่อนหายไปจากสายตาของชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาโกรธจัด เขากำหมัดแน่นแล้วพยายามอย่างมากในการระงับอารมณ์โกรธในใจ “ข้าเป็นหัวหน้าเผ่าผู้ใช้เวทและเป็นผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์! แต่ข้ากลับต้องมารับใช้เด็กสาวธรรมดา ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามีฐานะเป็นนักบวชหญิง ข้าคงไล่ตะเพิดเจ้าออกจากเผ่าผู้ใช้เวทนานแล้ว!”


 


 


นักบวชหญิงคนนี้เพิ่งมาถึงเผ่าผู้ใช้เวทได้ไม่นาน เผ่าผู้ใช้เวทตามหานักบวชหญิงมาหลายปีแต่พวกเขาไม่คิดว่าจะพบนางในแดนลับแล…


 


 



 


 


เด็กสาวชุดขาวไม่ได้จากไปไหนไกล นางเดินเข้าช่องว่างแคบๆ แล้วจ้องภาพที่สะท้อนผิวน้ำขึ้นมา ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ


 


 


ดูความสำเร็จในตอนนี้ของข้าสิ ไม่ว่าเจ้าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม อวิ๋นลั่วเฟิง เจ้าก็เป็นแค่นายหญิงของหอคอยเล็กๆ ในนครอนันต์! แต่ข้า ข้าเป็นถึงนักบวชหญิงที่มีอำนาจไร้ขีดจำกัด! ชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่มีทางอยู่เหนือกว่าข้าได้!


 


 


ถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงอยู่ที่นี่ นางก็จะเดาได้ว่าเด็กสาวคนนี้หลบหนีมาจากตระกูลโอวในนครอนันต์ นางคือโอวหย่า!


 


 


รวมถึงเป็นสตรีที่หนานกงอวิ๋นอี้เคยชื่นชอบอีกด้วย!


 


 


ตอนนั้นตระกูลโอวถูกทำลายโดยอวิ๋นลั่วเฟิง แต่โอวหย่าสาารถหลบหนีเหตุการณ์เลวร้ายนั่นไปไปได้เพราะนางมุ่งหน้าไปที่ตระกูลของคู่หมั้นนาง หลังจากนั้นนางก็กลัวว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะตามมาที่ตระกูลคู่หมั้นนาง นางจึงขโมยปิ่นจากน้องสาวคู่หมั้นแล้ววางแผนหลบหนี


 


 


ใครเล่าจะคิดว่าน้องสาวคู่หมั้นนางจะรู้ว่านางขโมยปิ่น ดังนั้นเพื่อปกป้องไม่ให้คนอื่นรู้ นางจึงแทงคอน้องสาวคู่หมั้นแล้วรีบหนีมา และเพราะถูกตามล่าตลอดการเดินทาง นางจึงไม่กล้าขายปิ่นแล้วเก็บเอาไว้ นางไม่คาดคิดว่าปิ่นนี้จะเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็นนักบวชหญิงของเผ่าผู้ใช้เวท!


 


 


โอวหย่าสัมผัสปิ่นบนศีรษะเบาๆ แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งดูโอ้อวด ประกายเย็นชาพาดผ่านดวงตา


 


 


นอกจากปิ่นแล้ว รอยสักบนร่างนางก็เป็นเหตุผลที่นางมาถึงที่นี่ได้ ตอนนั้นนางเห็นปานรูปพระจันทร์บนหน้าอกของน้องสาวคู่หมั้นแล้วเห็นว่าสวยดีจึงหาคนมาสักลงบนตัวนาง แล้วก็เป็นเพราะรอยสักนี่แหละที่พิสูจน์ว่านางเป็นนักบวชหญิง…


 


 


“อวิ๋นลั่วเฟิง! สถานะของข้าตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเอาชนะได้อีกต่อไป! ความเจ็บปวดที่เจ้าทำกับตระกูลโอว วันหนึ่งข้าจะเอาคืนเจ้า! รวมถึงตระกูลหวงบ้านั่นด้วย! ข้าแค่ขโมยปิ่นของหวงอิงอิง เหตุใดพวกเขาต้องตามล่าข้าเอาเป็นเอาตายด้วย”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1395 เผ่าผู้ใช้เวท (7)


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้น” โอวหย่าหยุดไปชั่วครู่ก่อนพูดต่อพร้อมส่งเสียงขึ้นจมูก “ถ้าหากหวงอิงอิงไม่ล่วงรู้ว่าข้าขโมยปิ่นแล้ววางแผนจะส่งข้าไปที่ตำหนักลงทัณฑ์เพื่อรับโทษ ข้าก็คงไม่บังเอิญสังหารนาง!”


 


 


ตั้งแต่ตั้นจนจบ โอวหย่าไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นผู้ผิดเลยแม้แต่น้อย นางโยนความผิดทุกอย่างให้คนอื่น ปกติแล้วสิ่งนี้จะอยู่ภายในความคิดนางเท่านั้น หากเผ่าผู้ใช้เวทรู้ว่านางขโมยปิ่นมา นางก็จะเสียฐานะนี้ไปและตายอย่างอเนจอนาถแน่นอน!


 


 


“ตอนที่อยู่ในตระกูลโอว ข้าต้องแสร้งทำตัวดีแล้วสวมหน้ากากใส่คนอื่นอยู่ตลอด มีแค่วิธีนี้ ข้าถึงจะขึ้นไปอยู่เหนือผู้อื่นได้ แต่ตอนนี้ ด้วยฐานะนักบวชหญิงของเผ่าผู้ใช้เวท ข้าไม่ต้องทำตัวเสแสร้งอีกต่อไปแล้วตำแหน่งของข้าก็อยู่สูงที่สุด ใครที่ไม่ฟังคำสั่งข้าก็ต้องตาย!”


 


 


ดวงตานางเป็นประกายสังหาร แล้วนางก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ เห็นได้ชัดว่านางมีความสุขกับชีวิตตัวเองตอนนี้มาก


 


 



 


 


หุบเขาผู้ใช้เวท


 


 


มีเมืองเล็กๆ ที่มีชีวิตชีวาตั้งอยู่ที่ตีนเขา ผู้อยู่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นทั้งซื่อสัตย์และเรียบง่าย รวมถึงตัวเมืองก็เห็นได้ชัดว่าเจริญรุ่งเรือง


 


 


“เสี่ยวโม่ พวกเราหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของหุบเขาผู้ใช้เวทอย่างรอบคอบกันเถอะ” อวิ๋นลั่วเฟิงลูบคางเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย


 


 


ต้องขอบคุณที่ชาวเมืองใสซื่อมาก อวิ๋นลั่วเฟิงจึงเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดในหุบเขาผู้ใช้เวทได้อย่างรวดเร็ว ภายในหุบเขาผู้ใช้เวทมีจุดอันตรายหลายแห่ง ถ้าใครก็ตามที่ไม่รู้เรื่องพื้นที่นี้ดีแล้วหลงเข้ามา พวกเขาต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นแน่นอน อีกอย่าง ถึงแม้วิชาปรสิตของเผ่าผู้ใช้เวทจะไม่ทำให้คนตกอยู่ในอันตราย แต่ก็ทำให้พวกเขาติดพิษถึงตายได้! แล้วนี่ก็คือพลังอันแสนน่ากลัวของเผ่าผู้ใช้เวท!


 


 


“เสี่ยวโม่ ดูเหมือนว่าเราต้องเตรียมตัวเต็มที่ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปเผ่าผู้ใช้เวท” ดวงตาอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นประกายก่อนมุมปากนางจะยกขึ้นเผยรอยยิ้มเฉื่อยชา “พวกเราหาที่พักกันก่อนเถอะ”


 


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายชราท่าทางสุภาพที่อยู่ข้างอวิ๋นลั่วเฟิงก็แนะนำอวิ๋นลั่วเฟิงพร้อมหัวเราะเบาๆ “แม่นาง ที่เมืองของพวกเราไม่มีโรงเตี๊ยมหรอกนะดังนั้นถ้าเจ้าอยากพักผ่อน เจ้าก็มาที่บ้านข้าได้ บ้านข้าไม่ได้มีคนเยอะ นอกจากข้าแล้วก็มีแค่คุณหนูตัวน้อยที่ข้าเพิ่งรับมาไม่นาน”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงใคร่ครวญสักครู่แล้วพยักหน้าเบาๆ “รบกวนแล้ว”


 


 


ความแข็งแกร่งของชายชราธรรมดามาก แล้วก็ไม่มีท่าทางคุกคามนาง แต่ถึงอย่างนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็ไม่ได้ผ่อนปรนการเฝ้าระวังและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา


 


 


“แม่นาง ที่นี่คือจวนของข้าเอง” ชายชราหยุดแล้วเปิดประตูไม้เก่าๆ แล้วเชิญอวิ๋นลั่วเฟิงกับเสี่ยวโม่เข้าข้างใน ตอนนั้นก็มีเด็กผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่ในห้องแล้ว ใบหน้าของนางมีผ้าคลุมหน้าปิดไว้ มีแค่ดวงตามืดมัวและไร้ชีวิตของนางที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเท่านั้นที่เห็น


 


 


อาจจะเป็นเพราะได้ยินเสียงเปิดประตู นางจึงเงยหน้าขึ้น และเมื่อนางเห็นสตรีชุดขาวยืนอยู่หน้าประตู นางก็ชะงักไปอย่างงุนงงชั่วครู่ก่อนจะรีบลุกพรวดพราดแล้วพุ่งเข้ามาหาอวิ๋นลั่วเฟิงประหนึ่งสายฟ้า


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงสัมผัสถึงเจตนาสังหารจากตัวเด็กหญิงไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ขยับไปไหนแล้วมองเด็กหญิงสวมผ้าคลุมเงียบๆ ดูเหมือนคอของเด็กสาวจะมีปัญหาบางอย่าง จึงมีแต่เสียงที่เข้าใจไม่ได้ออกมาพร้อมแสดงท่าทางและความรู้สึกผ่านทางดวงตาเหมือนกับว่านางต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงมองนางอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักข้างั้นหรือ”


 


 


เมื่อได้ยินคำถาม เด็กหญิงก็พยักหน้าอย่างแรงแล้วดวงนางก็เป็นประกาย ทันใดนั้นนางก็หยิบเศษกระดาษออกมาจากแล้วเขียนข้อความสั้นๆ ลงไป


 


 


‘อวิ๋นลั่วเฟิง ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า!’


ตอนที่ 1396 นักบุญหญิง (1)


 


 


ตอนแรกอวิ๋นลั่วเฟิงคิดว่าเด็กคนนี้จำนางผิดเป็นคนอื่น จนกระทั่งเด็กคนนี้เขียนชื่อนางแสดงว่าคนที่นางตามหาคือนางจริงๆ “เจ้ารู้ชื่อข้าได้อย่างไร” อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วถาม ดวงตามีเสน่ห์ของนางค่อยๆ สำรวจเด็กหญิง นางมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยเด็กคนนี้มาก่อนจนกระทั่งวันนี้!


 


 


เด็กหญิงเขียนต่อ “ข้ามาจากตระกูลหวง หนานกงอวิ๋นอี้บอกข้าให้ข้ามาหาเจ้าที่นี่ แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้!”


 


 


หนานกงอวิ๋นอี้?


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงสะดุ้ง ครั้งแรกที่นางทำลายล้างพรรคใหญ่ทั้งสาม มีแค่โอวหย่าจากตระกูลโอวที่ไม่ได้อยู่ในนครอนันต์ ดังนั้นนางจึงส่งคนจากหอแพทย์ไปที่ตระกูลหวง นางไม่แน่ใจว่าผลเป็นอย่างไรเพราะนางออกจากแดนลับแลตอนนั้นพอดี ถ้านางเดาไม่ผิด เด็กผู้หญิงคนนี้คงเป็นบุตรสาวของตระกูลหวง หวงอิงอิง แล้วก็เป็นน้องสาวของคู่หมั้นโอวหย่า


 


 


“หวงอิงอิง?” เมื่อนึกชื่อนี้ออก อวิ๋นลั่วเฟิงก็พูดออกไปทันที


 


 


หวงอิงอิงไม่คิดว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะรู้จักนาง ดวงตาเอ่อเต็มไปด้วยความรู้สึก นางรีบเขียนเรื่องทั้งหมดลงในกระดาษ เมื่อเห็นเรื่องราวในกระดาษ อวิ๋นลั่วเฟิงก็เงียบไป


 


 


‘ตอนนั้นโอวหย่ามาหาที่พึ่งพิงที่ตระกูลหวง พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางที่นครอนันต์! ตอนที่ข่าวจากนครอนันต์มาถึง โอวหย่าก็ขโมยปิ่นของข้าแล้ววางแผนแอบหลบหนี


 


 


‘ปิ่นอันนั้นเป็นของดูต่างหน้าของท่านแม่ข้าซึ่งต้องถูกส่งต่อรุ่นต่อรุ่น แต่เดิมท่านแม่ข้ามาจากพรรคหนึ่งในแคว้นเจ็ดเมือง ครั้งหนึ่งพรรคของท่านแม่แข็งแกร่งมากภายในแคว้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ตกต่ำลง! เพื่อปกป้องความสงบสุขของพรรคพวก เขาก็เลยย้ายมาที่แดนลับแล


 


 


‘ตอนที่โอวหย่าขโมยปิ่นข้าไป ข้าโกรธมากและไปเผชิญหน้ากับนางด้วยตัวเอง ในเมื่อโอวหย่าแสดงตัวเป็นคนดีต่อหน้าทุกคน ข้าจึงเข้าใจเรื่องที่นางขโมยปิ่นข้าแล้วตั้งใจจะหนี แต่ข้าไม่คิดว่านางจะสังหารข้าโดยไม่คิดเพื่อปกปิดการกระทำของตัวเอง!


 


 


‘บังเอิญว่าหนานกงอวิ๋นอี้พาคนมาจากหอแพทย์เพื่อจับโอวหย่าในวันนั้นพอดี จึงพบข้าอยู่ที่ปากเหวความตาย คนของหอแพทย์ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้แต่คอของข้าบาดเจ็บสาหัสเกินไป ดังนั้นข้าเลยพูดไม่ได้อีก’


 


 


‘แต่ว่า…’ พู่กันของเด็กสาวหยุดไปชั่วครู่แล้วนางก็เปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ก่อนเขียนต่อ ‘หลังจากโอวหย่าหนีไป คนจากหอแพทย์และตระกูลหวงก็ไล่ตามนาง แต่คาดไม่ถึงว่าไม่ถึงปีต่อมาจะมีคนสองคนมาที่ตระกูลหวงแล้วทำลายตระกูลทิ้ง! ตอนนั้นเองที่ข้ารู้ว่าโอวหย่าหนีไปที่แคว้นเจ็ดเมืองแล้วกลายเป็นนักบุญหญิงของเผ่าผู้ใช้เวท! เพราะว่าโอวหย่าคิดว่าข้าตายแล้ว ข้าเลยหนีรอจากเหตุการณ์เลวร้ายนั่นได้…’


 


 


โอวหย่าเป็นนักบุญหญิงของเผ่าผู้ใชเวทงั้นหรือ


 


 


สีหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงมืดครึ้มทันที “มีอะไรเกิดขึ้นกับหอแพทย์และตระกูลเยี่ยหรือไม่” ถ้าโอวหย่าทำลายตระกูลหวง เป้าหมายต่อไปของนางก็คงไม่พ้นหอแพทย์และตระกูลเยี่ย!


 


 


หวงอิงอิงส่ายหน้า ‘คนพวกนั้นจากไปหลังจากทำลายตระกูลหวงแล้ว ดังนั้นตอนนี้หอแพทย์ยังปลอดภัยอยู่ แต่ข้าคิดว่าถ้าพวกเราไม่กำจัดโอวหย่าก็เป็นไปได้ที่นางจะทำร้ายหอแพทย์’


 


 


ความจริงแล้วหลังจากโอวหย่าส่งคนไปทำลายตระกูลหวงก็ไม่ใช่ว่านางไม่อยากกำจัดหอแพทย์ แต่เป็นเพราะว่านางเพิ่งเป็นนักบุญหญิงของเผ่าผู้ใช้เวทได้ไม่นานแล้วไม่รู้ฐานะของนักบวชหญิงภายในเผ่า นางจึงทำแค่ให้หัวหน้าเผ่าส่งสาวใช้สองคนไปทำลายตระกูลหวงเท่านั้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1397 นักบุญหญิง (2)


 


 


สาวใช้สองคนไม่ได้อ่อนแอ ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นคนของเผ่าผู้ใช้เวท และเป็นถึงผู้ฝึกฌานขั้นปราชญ์ แต่ว่าแดนลับแลมีผู้ฝึกฌานขั้นปราชญ์มากมาย ดังนั้นสาวใช้ทั้งสองจึงยังไม่ได้โจมตีหอแพทย์


 


 


เมื่อโอวหย่ารู้ว่านักบุญหญิงมีสถานะอยู่เหนือกว่าหัวหน้าเผ่า นางก็รีบพุ่งไปหาหัวหน้าเผ่าด้วยความตื่นเต้นแล้วขอให้เขาส่งคนไปกำจัดหอแพทย์ ไม่ว่าหอแพทย์จะแข็งแกร่งขนาดไหนหรืออวิ๋นลั่วเฟิงจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด พวกนางก็ไม่สามารถต่อต้านเผ่าผู้ใช้เวทได้


 


 


‘แม่นางอวิ๋น ได้โปรด ช่วยข้า ข้าต้องการแก้แค้นโอวหย่า เจ้าเป็นคนเดียวในแคว้นเจ็ดเมืองที่ช่วยข้าได้ ถ้าเจ้าช่วยข้า ข้าจะตามรับใช้เจ้าไปทั้งชีวิต’


 


 


หลังจากเขียนเสร็จ หวงอิงอิงก็เงยหน้ามองอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยสายตาอ้อนวอน


 


 


ตอนนี้อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นฟางเส้นสุดท้ายของนาง นางจะเกาะติดและไม่ยอมไป!


 


 


“ข้าจะสังหารโอวหย่า” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดขณะมองหวงอิงอิง “แต่ไม่ใช่เพื่อเจ้า! ข้าต้องปกป้องไม่ให้โอวหย่าทำร้ายครอบครัวข้า”


 


 


จะกำจัดวัชพืชเจ้าต้องถอนราก!


 


 


หลังจากโอวหย่าหนีไป นางรู้ว่าสตรีผู้นี้ต้องเป็นตัวหายนะหากนางไม่จัดการนาง!


 


 


‘ขอบคุณ’


 


 


หวงอิงอิงส่งเสียงอะไรจากลำคอไม่ได้แต่ริมฝีปากนางก็ขยับพูดคำนี้เงียบๆ นางไม่สนว่าทำไมอวิ๋นลั่วเฟิงต้องการสังหารโอวหย่า นางรู้เพียงแค่ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงสามารถแก้แค้นให้นางได้ แค่นี้ก็พอแล้ว!


 


 


“หวงอิงอิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมโอวหย่าถึงได้กลายเป็นนักบุญหญิงของเผ่าผู้ใช้เวท” อวิ๋นลั่วเฟิงถามเสียงเฉื่อยชาพลางเลิกคิ้ว


 


 


หวงอิงอิงส่ายหน้า นี่ก็เป็นเรื่องที่นางไม่เข้าใจ แน่นอนว่านางไม่รู้ว่าโอวหย่ากลายเป็นนักบุญหญิงเพราะนางเอง


 


 


“ลำคอเจ้าบาดเจ็บสาหัสมาก” อวิ๋นลั่วเฟิงมองหวงอิงอิงตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดกับชายชราและเสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านหลัง “ออกไปก่อน ข้าจะรักษานาง”


 


 


ความจริงแล้วหวงอิงอิงเป็นผู้บริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าพี่ชายนางจะเป็นคู่หมั้นของโอวหย่า แต่โอวหย่าเองก็เก่งเรื่องหลอกผู้อื่น เมื่อนางไปถึงนครอนันต์ นางก็สามารถหลอกหนานกงอวิ๋นอี้ได้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องคิดถึงการหลอกคนอื่นเลย! ดังนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงจึงไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อตระกูลหวง


 


 


และที่สำคัญที่สุด ตัวนางก็มีส่วนเกี่ยวกับเหตุการณ์เลวร้ายของหวงอิงอิง เพราะว่านางต้องการสังหารโอวหย่า โอวหย่าก็เลยพยายามหนีและขโมยปิ่นอัญมณีของหวงอิงอิงไปเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทาง


 


 


แต่คาดไม่ถึงว่าหวงอิงอิงจะรู้เสียก่อน นางจึงต้องพบกับความหายนะในท้ายที่สุด ว่ากันตามเหตุผลและความรู้สึกแล้ว อวิ๋นลั่วเฟิงก็ควรรักษานาง


 


 


“แม่นางน้อย เจ้า…” ชายชราหยุดเดินและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกเสี่ยวโม่ดึงออกไป


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงยกมือขึ้นแล้วถอดเสื้อผ้าบางส่วนของหวงอิงอิงออก รอยฟกช้ำและร่องรอยการถูกทำร้ายบนร่างปรากฏสู่สายตาของอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


“คงใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนในการรักษารอบแผลเป็นพวกนี้ ข้าจะรักษาคอเจ้าก่อน”


 


 


ถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงมีสมุนไพรพลังฌาน แผลเป็นพวกนี้ก็หายได้อย่างรวดเร็ว ปัญหาก็คือสมุนไพรพลังฌานภายในมิติคัมภีร์เซียนโดนเสี่ยวซู่กินไปหมดแล้ว ดังนั้นนางจึงต้องใช้สมุนไพรธรรมดารักษา


 


 


หวงอิงอิงหน้าแดง นางยกผ้าคลุมหน้าขึ้นแล้วมองแผลทั่วทั้งร่างด้วยสีหน้ามืดครึ้ม แผลเป็นพวกนี้เกิดระหว่างทางที่นางเดินทางมาที่นี่แล้ว นางที่โดยตามใจมาตั้งแต่เล็กก็ได้รับความเจ็บปวดตอบแทน


ตอนที่ 1398 นักบุญหญิง (3)


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งตระกูลหวงก็เหลือนางคนเดียว นางไม่สามารถเป็นคุณหนูบอบบางเอาแต่ใจได้แล้ว!


 


 


“หวงอิงอิง พวกเราจะอยู่ที่นี่สามวัน สามวันนี้ข้าจะรักษาคอเจ้า ส่วนเรื่องแผลเป็นบนร่างกาย ข้าจะทำให้หายเร็วที่สุด”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หวงอิงอิงก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายซาบซึ้ง นางแค่ต้องการให้อวิ๋นลั่วเฟิงช่วยนางแก้แค้นแต่ไม่คิดว่านางจะรักษาบาดแผลให้ด้วย ทุกคนพูดว่านายหญิงของหอแพทย์อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นคนโหดร้าย ไร้หัวใจ และสังหารศัตรูทิ้งหมดทั้งโคตรเหง้า แต่ตอนนี้หวงอิงอิงพบว่าสตรีสง่างามตรงหน้านางเป็นคนดีมากจริงๆ!


 


 


นางสงสัยว่าทำไมคนอื่นถึงได้กล่าวหานางเช่นนั้น หรือเป็นเพราะอิจฉางั้นหรือ แน่นอนเลยว่าต้องเป็นเพราะอิจฉาแน่ๆ! เพราะอิจฉา พวกเขาก็เลยใส่ความว่าเด็กสาวงดงามแบบนี้เป็นปีศาจสังหาร!


 


 


“มีอะไรหรือเปล่า” อวิ๋นลั่วเฟิงเงยหน้ามองแล้วถามเมื่อรู้สึกได้ว่าหวงอิงอิงตกอยู่ในภวังค์


 


 


หวงอิงอิงรีบส่ายหน้าแต่ในใจรู้สึกอบอุ่น ไม่มีใครดีกับนางแบบนี้ตั้งแต่คนครอบครัวนางเสียชีวิต…


 


 



 


 


พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน


 


 


เช้าวันที่สี่ ขณะที่อวิ๋นลั่วเฟิงจิบชา เด็กสาวในชุดสีส้มก็เปิดผ้าม่านแล้วเดินเข้ามาในห้องช้าๆ


 


 


เสียงของนางยังคงแหบแห้งแต่ก็สาารถพูดได้แล้ว “ขอบคุณ”


 


 


คำแรกที่นางพูดคือ ‘ขอบคุณ’ อวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


“เจ้าเกือบหายสนิทแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดขณะมองหวงอิงอิง “ว่าแต่เจ้ามาที่แคว้นเจ็ดเมืองได้อย่างไร”


 


 


“นายท่านเฉินช่วยพามา” หวงอิงอิงกะพริบตาแล้วพูดด้วยเสียงแหบๆ “นายท่านเฉินบอกว่าเขาเป็นเพื่อนกับท่านและสามารถช่วยข้าได้จากนั้นเขาก็พาข้ามาแคว้นเจ็ดเมือง”


 


 


เฉินอวี้ชิง?


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงแปลกใจ ถ้าหนานกงอวิ๋นอี้ช่วยหวงอิงอิงก็พอเข้าใจได้ เพราะถึงอย่างไรหนานกงอวิ๋นอี้ก็เป็นคนดีที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว! แต่คนแบบเฉินอวี้ชิงนะหรือ คนแบบเขาที่ดูเหมือนว่าจะละทางโลกแต่จริงๆ จิตใจเย็นชาแบบนั้น เขาไม่มีทางยุ่งเรื่องคนอื่นแม้ว่าหวงอิงอิงจะมีศัตรูคนเดียวกับนางก็ตาม!


 


 


“เฉินอวี้ชิงพูดอะไรกับเจ้าอีก” อวิ๋นลั่วเฟิงถามแล้วจิบชา


 


 


หวงอิงอิงมองอวิ๋นลั่วเฟิงอย่างระมัดระวัง “นายท่านเฉินบอกว่าถ้าเจ้าช่วยข้าแก้แค้น ข้าต้องจงรักภักดีกับเจ้าและห้ามทรยศเจ้าเด็ดขาด!”


 


 


ให้หวงอิงอิงภักดีกับข้างั้นหรือ


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงขมวดคิ้ว หวงอิงอิงไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร เป็นแค่คนธรรมดาท่ามกลางคนจำนวนมากในแดนลับแล อย่าพูดถึงแคว้นเจ็ดเมืองเลย! หรือว่า…นางจะมีบางอย่างพิเศษ


 


 


“พวกเราไปกันเถอะ”


 


 


ในเมื่อเฉินอวี้ชิงพูดแบบนั้นก็แสดงว่าเขาต้องมีเหตุผล โชคร้ายที่เขาไม่อยู่ที่นี่ดังนั้นนางเลยไม่มีโอกาสได้ถามเขา


 


 


“ตกลง” หวงอิงอิงยิ้ม ใบหน้าเต็มไปรอยยิ้มเจิดจ้า


 


 


เมื่อรู้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงกำลังจะจากไปคืนนี้ ชายชราก็ถามอย่างเศร้าๆ “สาวๆ เจ้าจะเป็นกันแล้วเหรอ” เขาอยู่คนเดียวมานานจนเด็กสาวทั้งสองมาอยู่ด้วย แต่ตอนนี้พวกนางต้องไปแล้ว


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงครุ่นคิด “ข้ากลับมาครั้งหน้าจะพาบางคนมาอยู่กับท่านด้วย”


 


 


ตอนนั้นเองอวิ๋นลั่วเฟิงคิดถึงคัมภีร์ที่นางได้จากเจวี๋ยเชียน ในนั้นเขียนวิธีการทำให้หุ่นเชิดมีชีวิตไว้ด้วย! แต่นางยังไม่ได้ลองดูสักครั้งแม้จะผ่านมานานแล้วก็ตาม!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1399 นักบุญหญิง (4)


 


 


เพราะว่าการสร้างหุ่นเชิดมีบางอย่างที่ต้องใช้ซึ่งก็คือกระดูกของผู้ใช้เวท! ดังนั้นนางจึงมาที่เผ่าผู้ใช้เวทเพื่อกระดูกผู้ใช้เวทและดอกผู้ใช้เวท!


 


 


หลังจากพูดจบ อวิ๋นลั่วเฟิงก็จากไปพร้อมหวงอิงอิงและเสี่ยวโม่โดยไม่หันหลังกลับมา แต่ว่า…ทันทีที่นางก้าวขาออกนอกประตู ร่างสีแดงคุ้นตาก็ปรากฏสู่สายตานาง ทำให้นางทำหน้าบึ้งตึง


 


 


ชายหนุ่มตรงหน้านางสวมเสื้อคลุมสีแดงหรูหรา ริมฝีปากสีแดงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาดูสง่างามเหมือนไม่ใช่มนุษย์ ความงามของเขาแทบทำให้ลืมหายใจ


 


 


“จีจิ่วเทียน เจ้ามาทำอะไรที่นี่”


 


 


จีจิ่วเทียนยิ้ม “เดินเล่น”


 


 


เดินเล่น? เดินจากเมืองประจิมมาที่เมืองหลวงน่ะหรือ


 


 


นางไม่โง่ขนาดจะเชื่อหรอก!


 


 


“งั้นเชิญเดินเล่นต่อไป หวงอิงอิง เสี่ยวโม่ พวกเราไปกันเถอะ”


 


 


หวงอิงอิงกำลังตะลึงกับหน้าตาของจีจิ่วเทียน ทว่าหลังจากที่อวิ๋นลั่วเฟิงพูดแบบนั้น หวงอิงอิงก็หลุดจากภวังค์แล้วรีบตามนางไป “แม่นางอวิ๋น สตรีผู้นี้เป็นใครหรือ นางงดงามมากๆ เลย”


 


 


สตรี?


 


 


ใบหน้าของจีจิ่วเทียนมืดครึ้มทันทีแล้วส่งสายตาดุร้ายให้หวงอิงอิง หากนางไม่ใช่ผู้ติดตามของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วพูดแบบนี้ เขาคงสังหารนางไปแล้ว!


 


 


เสี่ยวโม่หัวเราะคิกคัก “หวงอิงอิง คนผู้นี้ไม่ใช่สตรี เขาเป็นบุรุษ”


 


 


บุรุษ?


 


 


หวงอิงอิงรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว นางเคยคิดว่ามีแค่สตรีเท่านั้นที่สามารถงดงามได้ขนาดนี้ แล้วหวงอิงอิงก็เพิ่งเยินยอ ‘นาง’ ถึงความงามของ ‘นาง’ แต่กลายเป็นว่า ‘นาง’ กลับเป็นบุรุษ บุรุษที่หน้าตาแบบนี้…ประหลาดจริง!


 


 


“เฟิงเอ๋อร์”


 


 


เมื่อเห็นว่าอวิ๋นลั่วเฟิงกำลังจะไปจริงๆ จีจิ่วเทียนก็ขยับไปขวางหน้าอวิ๋นลั่วเฟิง เขายิ้มอย่างจนปัญญา “ก็ได้ๆ ข้ายอมรับแล้วว่ามาหาเจ้า”


 


 


“ข้าดีใจที่ยอมบอกความจริงเสียที” อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้วแล้วมองเขาพร้อมยิ้มบาง “แล้วเจ้ามาหาข้าทำไม”


 


 


“จักรพรรดิปีศาจมาหาข้า” จีจิ่วเทียนมองอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยสีหน้าปั้นยาก “เขาขอให้ข้าปกป้องเจ้า”


 


 


อวิ๋นเซียว?


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงใจสั่น นางหลุบตาต่ำแล้วยกยิ้มหวาน ผู้ชายคนนั้นเป็นเช่นนี้เสมอ คอยเตรียมทุกอย่างไว้ให้นางเงียบๆ


 


 


แล้วจะไม่ให้นางหัวใจหวั่นไหวได้อย่างไร


 


 


ในฐานะสตรีแล้ว นางยังจะต้องการอะไรอีก


 


 


“อวิ๋นลั่วเฟิง เจ้าคิดว่าข้าเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับจักรพรรดิปีศาจ” จีจิ่วเทียนทำท่าทางกรุ้มกริ่มแล้วยื่นนิ้วไปเชิดคางนางขึ้นแต่ถูกปัดออกเสียก่อน


 


 


“เขาดูสมชายชาตรี”


 


 


เขาดูสมชายชาตรีงั้นหรือ นางหมายความว่าอย่างไร


 


 


ขณะที่จีจิ่วเทียนกำลังคิดอยู่นั้น อวิ๋นลั่วเฟิงก็พูดเสริม “แต่เจ้าไม่! นี่เป็นความแตกต่างระหว่างเจ้ากับเขา”


 


 


จีจิ่วเทียนหน้ามืด เขาพยายามจะระงับความโกรธแล้วท่องในใจว่านางเป็นผู้สืบทอดของเจวี๋ยเชียนอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ระงับความโกรธแล้วฝืนยิ้มออกมาได้ “ไม่แปลกใจที่เจ้าเป็นคนรักกัน เจ้าพูดเหมือนเขาเลย”


 


 


อวิ๋นเซียวบอกว่าเขามีลักษณะเหมือนคนทั้งสองเพศ ตอนนี้อวิ๋นลั่วเฟิงก็ยังพูดเหมือนกัน…


 


 


เขาดูไม่เหมือนบุรุษขนาดนั้นเลยหรือ


 


 


จีจิ่วเทียนถามตัวเองพลางคิดว่าเขามีกล้ามเนื้อเสียจนมีมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทำไมอวิ๋นลั่วเฟิงยังคิดว่าเขาไม่เหมือนบุรุษอีก


 


 


“เจ้าจะตามข้ามาก็ได้ถ้าเจ้าต้องการ แต่…” อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตาแล้วส่งยิ้มให้จีจิ่วเทียน “อย่าเข้ามายุ่งเรื่องของข้าถ้าข้ายังจัดการด้วยตัวเองได้”


ตอนที่ 1400 นักบุญหญิง (5)


 


 


นางไม่อยากได้ความช่วยเหลือในสิ่งที่นางทำเองได้…


 


 


จีจิ่วเทียนหัวเราะ “เจ้าเป็นผู้สืบทอดของเจวี๋ยเชียนจริงๆ แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่แก้ปัญหาให้เจ้าทุกอย่างหรอก ข้ามาเพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าจะปลอดภัย แล้วข้าก็ไม่อยากให้เจ้าถูกสังหารก่อนจะแข็งแกร่งมากพอ!”


 


 



 


 


เผ่าผู้ใช้เวทอาศัยอยู่บนยอดหุบเขาผู้ใช้เวท สามวันที่ผ่านมาตอนที่อวิ๋นลั่วเฟิงอยู่ในเมือง นอกจากจะรักษาหวงอิงอิงแล้ว นางก็ได้รู้เรื่องหุบเขาผู้ใช้เวทโดยละเอียดและเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ทันทีที่นางก้าวเท้าเข้ามาในหุบเขาผู้ใช้เวท นางก็ได้ยินใครบางคนคุยกัน


 


 


“ทำไมหัวหน้าเผ่าต้องส่งพวกเราไปแดนลับแลเพื่อสังหารไอ้บ้าพวกนั้นด้วย ข้าไม่อยากกลับไปที่แบบนั้นอีกแล้ว”


 


 


“ชู่ เบาๆ หน่อย อย่าให้ท่านนักบุญหญิงได้ยิน ข้าได้ยินว่ามีคนจากแดนลับแลหาเรื่องนาง นางก็เลยสั่งให้หัวหน้าเผ่าส่งคนไปแก้แค้น เอาเถอะ อย่างไรก็เป็นแค่ขั้วอำนาจเล็กๆ ไม่นานพวกเราก็ทำภารกิจเสร็จ”


 


 


แดนลับแล? นักบุญหญิง?


 


 


ตูม!


 


 


ทันใดนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็ปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมา ดวงตาร้ายกาจของนางเป็นประกายสังหารและเย็นเยียบ


 


 



 


 


ตอนที่คนพวกนี้ยังสนทนากันอยู่ ร่างสีขาวดุจหิมะก็ร่วงจากฟ้าลงมายืนด้านหน้าพวกเขา เมื่อเห็นสตรีงดงามด้านหน้า พวกเขาก็หยุดคุยกันแล้วเอ่ยถาม “แม่นาง เจ้ากำลังทำอะไร”


 


 


“พวกเจ้ากำลังจะไปแดนลับแลใช่หรือไม่” เด็กสาวดูเย็นชาด้วยกลิ่นอายสังหารเย็นเยียบ “ข้าขอถามไหมว่าพวกเจ้ากำลังจะไปสังหารใคร”


 


 


เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่นางปล่อยออกมา พวกเขาก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะดังลั่น


 


 


“เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกฌานขั้นราชันปราชญ์ระดับต่ำ กล้ามาลองดีกับพวกเราได้อย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร ให้ข้าบอกเจ้าเถอะ นางตัวดีบางคนในแดนลับแลหาเรื่องนักบุญหญิงของพวกเรา แล้วพวกเราก็รู้มาว่านางเป็นนายหญิงของหอแพทย์! ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปทำลายหอแพทย์ตามบัญชาของนักบุญหญิง!”


 


 


ปัง!


 


 


ทันใดนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็ยกมือขึ้นแล้วปล่อยสายลมแรงเย็นเยียบเหมือนค้อนที่ล่องหนไปโจมตีชายที่กำลังพูดอยู่


 


 


ด้วยไม่ทันระวังตัว ชายผู้นั้นเลยถอยหลังไปสองสามก้าว เขาแสดงสีหน้าโกรธจัด “เจ้ากล้าโจมตีข้างั้นหรือ พี่ชายมาเร็ว! สังหารนางนี่กันเถอะ!”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย แล้วเสียงชั่วร้ายของนางก็ดังไปตามสายลมทั่วทั้งตีนเขาผู้ใช้เวท “ขอโทษที ข้าบังเอิญเป็นนายหญิงหอแพทย์ที่เจ้าพึ่งพูดถึงพอดี”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาไม่เสียเวลาพูดอะไรแล้วพุ่งเข้ามาหาอวิ๋นลั่วเฟิงทันที


 


 


สายลมพัดแรงขึ้นจนทำให้ชุดคลุมสีขาวของนางปลิวสะบัด อวิ๋นลั่วฟิงยืนอยู่ด้านหน้ากลุ่มคนด้วยสีหน้าเฉยชา ดวงตาแสดงความบ้าคลั่ง นางดูเย่อหยิ่งเหมือนไม่เห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตา


 


 


เมื่อเห็นฉากอันตรายเบื้องหน้า หวงอิงอิงก็กังวลจนพูดไม่ออก นางกำหมัดเล็กๆ ของนางแล้วจ้องอวิ๋นลั่วเฟิงตาไม่กะพริบ


 


 


เสี่ยวโม่ก็เงียบไปเหมือนกัน สายตาเขาหยุดอยู่อวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


มีแค่จีจิ่วเทียนที่ดูค่อนข้างผ่อนคลาย เขาหยิบเก้าอี้ยาวออกมาจากธำมรงค์มิติแล้วนอนลงก่อนหยิบจานผลไม้ออกมาด้วย เขาใช้นิ้วเรียวยาวงดงามของเขาหยิบองุ่นขึ้นใส่ปากแล้วมองฉากต่อสู้ตรงหน้าอย่างสบายใจ


 


 


ในลานต่อสู้ เด็กสาวปล่อยกลิ่นอายสังหาร กระบี่ยาวในมือนางส่องประกายเย็นเยียบออกมา


 


 


ก่อนที่คนพวกนั้นจะมาถึงตัวนาง นางก็เริ่มลงมือแล้ว…


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1401 นักบุญหญิง (6)


 


 


นางเคลื่อนตัวผ่านพวกเขาด้วยความเร็วดุจสายลม นอกจากเสียงที่หู พวกเขาได้ยินก็ไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของนาง ทุกคนตะลึงและไม่คาดคิดว่าผู้ฝึกฌานขั้นราชันเซียนระดับต่ำอย่างอวิ๋นลั่วเฟิงจะเคลื่อนที่ได้ไวขนาดนี้…


 


 


ก่อนที่พวกเขาจะกลับมามีสติ เด็กสาวก็ปรี่เข้าไปอยู่ที่ข้างหลังพวกเขาเรียบร้อยแล้ว


 


 


กระบี่ในมือนางเป็นประกายเย็นเยียบ นางลงมืออย่างเฉียบขาดและรวดเร็ว ถ้าชายคนนั้นตอบสนองไม่เร็วพอแล้วหันหลังหลบการโจมตีของนาง ศีรษะเขาก็คงหลุดออกจากบ่าโดยกระบี่คมของนางแล้ว


 


 


“บ้าเอ๊ย!” ชายคนนั้นเหงื่อตก ในฐานะผู้ฝึกฌานขั้นราชันปราชญ์ระดับกลาง เขาจะแพ้ให้กับคนที่ยังอยู่ระดับต่ำได้อย่างไร แต่ก่อนที่เขาจะฟื้นจากอาการตกใจ อวิ๋นลั่วเฟิงก็ลงมือโจมตีเหมือนฝนดาวตก นางฟาดฟันเขาไม่หยุดและไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตอบสนอง


 


 


เคร้ง!


 


 


เมื่อกระบี่ทั้งสองปะทะกันพลังร้ายกาจก็พุ่งเข้าร่างเขา ทำให้เขาถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะกระอักเลือดออกมา เขาหน้าซีดแล้วมองเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขาด้วยความตะลึงอีกครั้ง


 


 


หวืด!


 


 


หวืด! หวืด! หวืด!


 


 


คนอื่นก็พุ่งเข้าทางด้านหลังของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วโจมตีนางอย่างเต็มแรง แต่นางเหมือนมีตาหลังเพราะอยู่ๆ เด็กสาวก็หันหลังโบกกระบี่ในมือ! ด้วยไม่ทันตั้วตัว หนึ่งในนั้นจึงถูกกระบี่ฟันที่อก เลือดไหลจากแผลทำให้เขาเจ็บจนตัวสั่น


 


 


“เด็กคนนี้ไม่เหมือนผู้ฝึกฌานขั้นราชันปราชญ์ระดับต่ำเลย ความแข็งแกร่งของนางอย่างน้อยก็ต้องระดับกลางหรือสูงแล้ว ดูสิว่านางเร็วขนาดไหน! ข้าไม่คิดว่าเราจะสู้นางได้”


 


 


อีกคนพยักหน้าแล้วพูด “เร็วเข้า พวกเรารีบกลับไปเรียกกำลังเสริม”


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนั้น คนที่เหลือก็ไม่มีความคิดจะสู้ต่อแล้วหันหลังหนีทันที แต่เมื่อพวกเขาก้าวไปได้แค่ไม่เท่าไหร่ ร่างสีขาวก็มายืนอยู่ข้างหน้าพวกเขาอีกครั้ง


 


 


เด็กสาวปล่อยกลิ่นอายสังหารโดยไม่หุบยิ้ม “เจ้าอยากจะจากไปหรือ ข้าถามได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าคิดจะไปที่ไหน”


 


 


“สาวน้อย พวกเรามาจากเผ่าผู้ใช้เวทมนตร์” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นแล้วพยายามกดความตระหนกในใจไว้ “ถ้าเจ้าสังหารพวกเรา เจ้าจะต้องกลายเป็นศัตรูของเผ่าผู้ใช้เวท เจ้าควรจะคิดให้ดี”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเลิกคิ้ว “เจ้าหมายความว่าถ้าเจ้าปล่อยพวกเจ้าไป หุบเขาผู้ใช้เวทจะหยุดตามล่าข้างั้นสิ”


 


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายคนนั้นก็คิดว่าอวิ๋นลั่วเฟิงตั้งใจจะปล่อยพวกเขาไป จึงรีบพยักหน้า “ใช่แล้ว ถ้าเจ้าปล่อยพวกเราไป หุบเขาผู้ใช้เวทจะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก”


 


 


“ถ้าอย่างนั้น…” อวิ๋นลั่วเฟิงเหลือบมองพวกเขา “พวกเจ้าก็ไปได้แล้ว”


 


 


คนจากหุบเขาผู้ใช้เวทได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อย ในเมื่อครั้งนี้เจ้าปล่อยพวกเราไป หุบเขาใช้เวทก็จะไม่ยุ่งกับเจ้าอีกต่อไป พี่น้อง พวกเราไป”


 


 


เมื่อพวกเขากลับไปถึงหุบเขาผู้ใช้เวท พวกเขาต้องส่งคนที่แข็งแกร่งกว่านี้มาตามล่าสังหารนาง!


 


 


อาจเป็นเพราะคำพูดของอวิ๋นลั่วเฟิงทำให้พวกเขาเลิกระแวงแล้วเดินขึ้นเขาไปเหมือนปกติ ทั้งสนทนากันและหัวเราะไปด้วย พวกเขาเดินผ่านนางโดยไม่หันมามองอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


แต่ทันทีที่พวกเขาเดินผ่านอวิ๋นลั่วเฟิง อยู่ๆ กระบี่ยาวก็แทงหนึ่งในพวกเขาจากด้านหลัง เขาเบิกตากว้างแล้วสิ้นใจทันทีโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว


 


 


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร…


 


 


“นางสารเลว เจ้าทำบ้าอะไร” คนที่เหลือที่เห็นเหตุการณ์ก็หน้าซีดแล้วตะโกน “เจ้าบอกว่าจะปล่อยพวกเราไป ทำไมไม่รักษาคำพูด”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม