ลำนำสตรียอดเซียน 139.1-142.1

ตอนที่ 139-1 เด็กๆ แห่งโถงเหมิงเสวีย

 

ผู้ฝึกตนในโถงเหมิงเสวียไม่ยอมปล่อยให้นางนั่งว่างๆ อยู่ถึงสองชั่วยาม ผู้ฝึกตนคนที่ต้อนรับนางแจ้งเรื่องไปทางผู้จัดการของโถงเหมิงเสวีย เมื่อผู้จัดการซึ่งเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นพบว่านางถูกส่งมาโดยท่านผู้มีอำนาจจิ้งเหอ เขาก็มาทักทายโม่เทียนเกอด้วยตัวเองและให้นางดูงานทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จที่โถงเหมิงเสวีย เพื่อนางจะได้ตัดสินใจว่านางจะรับงานไหนดี 


 


 


เมื่อสำรวจเนื้อหาในหยกบันทึก โม่เทียนเกอถึงได้รู้ว่าผู้ฝึกตนคนที่ต้อนรับนางพูดความจริง ศิษย์ใหม่ทั้งหมดมีครูผู้เชี่ยวชาญคอยสอนพวกเขาอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องได้คำสอนเพิ่มมาอีก ส่วนงานจิปาถะอื่นๆ พวกมันก็ไม่เหมาะที่จะให้นางทำให้เสร็จ 


 


 


หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพัก ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เงยหน้ามองผู้จัดการโถงเหมิงเสวีย “ถ้าเป็นเช่นนั้น ให้ข้าช่วยดูการบ้านของพวกเขาดีไหมล่ะ”  


 


 


เมื่อศิษย์ใหม่ที่ยังอายุน้อยเข้าโรงเรียนมา พวกเขาทุกคนต้องเริ่มเรียนจากคัมภีร์ชาวลัทธิเต๋า และเพื่อศึกษาคัมภีร์แห่งเต๋า อย่างแรกพวกเขาต้องเรียนวิธีการอ่านก่อน คำศัพท์นับไม่ถ้วนที่พอกพูนมาตั้งแต่ยุคอดีตอันไกลโพ้น วิชาการฝึกตนที่แตกต่างหรือทรัพย์สมบัติต่างๆ อาจจำเป็นต้องใช้ประเภทคำที่ต่างกัน ดังนั้นศิษย์ที่ยังใหม่กับการฝึกตนจึงต้องใช้เวลานานในแต่ละวันเพื่อแค่เรียนรู้วิธีการอ่าน 


 


 


ผู้จัดการไม่มีอะไรจะคัดค้าน หลังจากตอบตกลงซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง เขาก็แจ้งศิษย์ผู้ดูแลทันที ในอนาคตเมื่อโม่เทียนเกอมา นางจะมาแค่สอนการบ้านควบคู่ไปกับพวกศิษย์ที่รับผิดชอบเรื่องนี้เท่านั้น 


 


 


จากการสังเกตวิธีการสอนทั้งหมดในโถงเหมิงเสวีย โม่เทียนเกอถอนใจอยู่ภายใน เมื่อนางเริ่มเดินบนเส้นทางการฝึกตนตอนแรก นางรู้จักวิชาการฝึกตนเพียงวิชาเดียว ย้อนกลับไปที่หมู่บ้านตระกูลโม่ แม้แต่ท่านอาจารย์เฒ่าก็ไม่มีความรู้ใดเกี่ยวกับการฝึกตน ดังนั้นนางจึงต้องค่อยๆ งมไปด้วยตัวเองช้าๆ เพียงหลังจากที่นางได้เจอท่านอาที่สองแล้วเท่านั้นนางถึงมีใครสักคนค่อยสอนนางเป็นการส่วนตัว 


 


 


แต่ท่านอาที่สองก็มักจะออกร่อนเร่ไปทั่ว แล้วเขาจะสอนนางทุกอย่างได้อย่างไร อีกอย่างท่านอาที่สองก็ไม่ใช่อาจารย์ที่เชี่ยวชาญในการสอน เรื่องส่วนใหญ่ที่นางรู้และได้เรียนคือสิ่งที่นางเจอมาจังๆ กับตัวเองก่อนที่ท่านอาที่สองจะจำได้ว่าต้องสอนนาง 


 


 


ที่โรงเรียนเสวียนชิง บทเรียนสำหรับแต่ละชั้นเรียนถูกแบ่งอย่างชัดเจนและสอนโดยผู้ฝึกตนแตกต่างกัน หากโม่เทียนเกอได้รับการศึกษาเช่นนี้ในปีนั้น นางคงไม่ต้องมีเวลาที่ยากลำบากบนเส้นทางของนางหรอก 


 


 


ถึงอย่างนั้นนางก็เพียงแค่ถอนใจ นางยังถือว่าโชคดีแล้วที่ได้ก้าวหน้ามาถึงจุดที่นางอยู่ทุกวันนี้ ด้วยท่านอาที่สองคอยสั่งสอนอยู่ข้างกายนาง นางยังทำได้ดีกว่าพวกผู้ฝึกตนเดี่ยวที่ต้องดิ้นรนให้มีชีวิตรอดหลายเท่าตัวนัก 


 


 


หลังจากตามผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ดูแลไปในโถงเรียน โม่เทียนเกอพบว่าโถงนี้เต็มไปด้วยเด็กๆ อายุประมาณหกถึงสิบเจ็ดปีกำลังนั่งอยู่บนเสื่อสวดมนต์ ส่วนระดับการฝึกตนของพวกเขาก็มีตั้งแต่ระดับแรกจนถึงระดับสามของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ 


 


 


นาทีที่นางเข้าไปในโถง สายตาของเด็กๆ ก็มาจับจ้องอยู่ที่ตัวนางทันที นางไม่ได้ซ่อนลมปราณหรือพลังวิญญาณ สำหรับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นต้นพวกนี้ แรงเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังจึงแรงมากเป็นธรรมดา 


 


 


ผู้ฝึกตนผู้ดูแลส่งเสียงกระแอม เด็กพวกนี้รีบยืนขึ้นและทำความเคารพอย่างนอบน้อมทันที “ศิษย์ขอคารวะคุณครู” แม้ว่าผู้ดูแลจะอยู่ในดินแดนเดียวกับพวกเขา แต่เขาก็มีหน้าที่สอนเด็กๆ ดังนั้นจึงไม่ผิดที่จะเรียกเขาว่าคุณครู 


 


 


จากนั้นผู้ฝึกตนผู้ดูแลนำทางโม่เทียนเกอไปยังกลางโถงและกล่าวว่า “ศิษย์ทั้งหลาย นี่คือท่านปรมาจารย์โม่ ศิษย์แห่งผู้มีอำนาจจิ้งเหอแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างของเรา ความสามารถแต่กำเนิดของท่านปรมาจารย์โม่นั้นโดดเด่น นางยังอายุไม่ถึงสามสิบปี แต่ระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางแล้ว ผู้มีอำนาจจิ้งเหอบอกท่านปรมาจารย์โม่อย่างเจาะจงว่าให้มาที่โถงเหมิงเสวีย จากวันนี้เป็นต้นไป ท่านปรมาจารย์โม่และข้าจะสอนพวกเจ้าด้วยกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้เต็มที่ ดูท่านปรมาจารย์โม่เป็นตัวอย่างและฝึกตนให้ดี”  


 


 


โม่เทียนเกอมองดวงตาของเด็กพวกนี้ที่เต็มไปด้วยความทึ่งและความชื่นชม สำหรับพวกเขา ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็แทบจะเหมือนกับเทพเจ้า นอกจากนั้น การได้เห็นโม่เทียนเกอที่ยังอยู่ในช่วงวัยยี่สิบปีมีระดับการฝึกตนที่สูงเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ความเลื่อมใสของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก 


 


 


ภายใต้สายตาพวกเขา จู่ๆ โม่เทียนเกอก็จำได้ว่านางรู้สึกทึ่งแค่ไหนเมื่อตอนที่ได้เจอเยี่ยจิ่งเหวินเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นนางถึงขนาดคิดว่านางคงโชคดีมากถ้าวันหนึ่งนางได้ครอบครองพละกำลังเช่นนั้น โดยไม่คาดคิด บัดนี้นางกลายเป็นต้นแบบที่น่าชื่นชมให้กับศิษย์อายุน้อยเหล่านี้ที่เพิ่งจะเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน 


 


 


“เอาละ พวกเจ้านั่งลงได้ วันนี้เราจะพูดกันต่อเรื่องหนานหวาหฤทัยสูตร [1] วิชาการฝึกจิตนี้คือวิชาการฝึกจิตพื้นฐานที่โรงเรียนเสวียนชิงของเราดังนั้นจึงห้ามลบหลู่ ถ้ามีอะไรผิดเกี่ยวกับการสอนของข้า ข้าหวังว่าท่านปรมาจารย์โม่จะสามารถชี้แนะและแก้ไขให้ถูกต้องได้” ผู้ดูแลคำนับให้โม่เทียนเกอแล้วจึงเชิญนางมานั่งกับเขาบนเสื่อสวดมนต์ข้างบน 


 


 


“ครั้งที่แล้วข้าพูดว่า ‘หากไม่มีพวกเขา ก็จะไม่มี ‘ข้า’ และหากไม่มี ‘ข้า’ ก็จะไม่มีอะไรให้เข้าใจ ที่จริงแล้วใกล้เคียงกับเรื่องนี้มากแต่เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำให้เกิดขึ้นมา’ [2] เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าประโยคเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


เด็กชายอายุประมาณสิบปียกมือทันที 


 


 


ผู้ดูแลยิ้มและพยักหน้า เขากังวลว่าเด็กพวกนี้จะไม่กล้าตอบต่อหน้าปรมาจารย์โม่ ตอนนี้เมื่อมีใครบางคนยินดีจะพูด เขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา 


 


 


หลังจากเด็กคนนั้นยืนขึ้น เขาแอบเหลือบมองโม่เทียนเกอก่อนจะตอบ “หากไม่มีพวกเขา ก็จะไม่มี ‘ข้า’ และหากไม่มี ‘ข้า’ ก็จะไม่มีอะไรให้เข้าใจ ประโยคนี้หมายความว่า ถ้าไม่มีคนอื่นๆ ก็จะไม่มีตัว ‘ข้า’ และถ้าไม่มีตัว ‘ข้า’ ก็จะไม่มีคนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าไม่มีความดีก็จะไม่มีความเลว และถ้าไม่มีความเลว ความดีก็จะไม่สำคัญ สิ่งตรงข้ามสองสิ่งมักจะต้องการอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของตัวเอง”  


 


 


“อืม ดีมาก” ผู้ฝึกตนผู้ดูแลถามต่อไป “ถ้าอย่างนั้นแล้วประโยคหลังล่ะ เจ้าเข้าใจไหมว่ามันหมายความว่าอย่างไร”  


 


 


“ ‘ที่จริงแล้วใกล้เคียงกับเรื่องนี้มาก’ หมายถึงนี่ใกล้เคียงกับต้นกำเนิดของสิ่งต่างๆ ‘แต่เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำให้เกิดขึ้นมา’ หมายความว่าเราไม่รู้ว่ามีอำนาจอะไรขับเคลื่อนมันจากเบื้องหลังหรือไม่”  


 


 


“… การตีความนี้… ค่อนข้างใช้ได้” ผู้ดูแลพยักหน้าพร้อมกับเหลือบมองโม่เทียนเกอ พอเห็นว่านางดูเหมือนไม่มีเจตนาจะพูด เขาจึงอธิบายต่อ “สำหรับเส้นทางแห่งการฝึกตน ประโยคเหล่านี้ยังสามารถหมายความได้ว่าถ้าไม่มีความดีก็จะไม่มีความชั่วร้าย ทุกอย่างมีต้นเหตุของมัน พวกเราคนจากโรงเรียนแห่งเต๋าปฏิบัติตามกฎเต๋าแห่งสวรรค์และมนุษย์ เต๋าที่ว่านี้ดูเหมือนจะเป็นแบบแผนของโลก ดูเหมือนจะเป็นกฎที่มีมาแต่กำเนิด เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ยืนกรานว่าต้องเป็นคนดี แต่เราก็ต้องไม่ทำร้ายคนอื่นตามแต่ใจเราปรารถนาเช่นกัน”  


 


 


เมื่อได้ยินคำอธิบายของผู้ดูแล เด็กคนนั้นพยักหน้าและตอบอย่างเชื่อฟัง “ขอรับ ศิษย์จะศึกษาสิ่งที่คุณครูสอนอย่างตั้งใจ”  


 


 


“เอาล่ะ ต่อกันที่ ‘ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่สิ่งนั้น ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่สิ่งนี้ จากมุมมองของสิ่งนั้น เรามองไม่เห็น เมื่อเรารู้ตัวเอง ถ้าอย่างนั้นเราก็จะรู้’ …” ผู้ดูแลคนนี้อยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับแปดและจากที่โม่เทียนเกอเห็น เขาอายุมากกว่าสี่สิบปี เขาจึงไม่มีปัญหาในการอธิบายวิชาฝึกจิตขั้นพื้นฐาน เพราะเหตุนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้ขัดเขา นางเพียงแค่นั่งอยู่ข้างเขาและคอยฟัง 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้ชายคนที่ตอบคำถามตอนเริ่มบทเรียนนั้นมีความชำนาญในคัมภีร์แห่งเต๋ามาก จากสิบคำถามที่ผู้ดูแลถาม เขาตอบไปแล้วเจ็ดถึงแปดคำถาม อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอยังรู้อีกว่าคนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับเขาเท่าไหร่ ทุกครั้งที่เขาตอบคำถาม หลายคนจะแอบทำหน้าตาล้อเลียนกันลับๆ  


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีปัญหาการกลั่นแกล้งกันที่โรงเรียนนี้เหมือนกัน?  


 


 


สองชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอพบว่าเวลาผ่านไปโดยเร็วเมื่อนางกำลังทำงานนี้ ทั้งหมดที่นางต้องทำก็แค่ตอบไม่กี่คำถามที่ผู้ดูแลมีปัญหาในการตอบ อีกอย่าง คำถามจากศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณก็ง่ายมากสำหรับนาง ดังนั้นนางจึงไม่ต้องคิดมากในคำตอบ นางต้องขอบคุณหลัวเฟิงเสวี่ยจริงๆ สำหรับการหางานที่ดีเช่นนี้ให้นางทำ 


 


 


เมื่อเวลาของนางในโถงเหมิงเสวียสิ้นสุดลง โม่เทียนเกอกลับไปยังตำหนักซ่างชิง ตอนนี้ที่นางทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยสำหรับวันนี้ นางต้องรายงานให้ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอฟัง 


 


 


“ท่านอาจารย์”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอที่กำลังปอกองุ่นด้วยพลังวิญญาณของเขาตวัดสายตาขึ้นมองนาง “โอ้ เจ้ากลับมาแล้ว”  


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเยาะอยู่ในใจ นี่คือผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ที่ไม่ทำอะไรนอกจากปอกองุ่นทั้งวัน! อย่างไรก็ตาม ภายนอกนางยังคงแสดงความเคารพให้เห็น “เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ ข้าทำงานของวันนี้เสร็จหมดแล้ว”  


 


 


“เสร็จแล้ว?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอดันตัวขึ้นมาในท่านั่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสนใจ “เล่าให้ข้าฟังหน่อย”  


 


 


“เอ…” โม่เทียนเกอเตรียมใจและเริ่มพูด “โถงคนงานจัดการให้ข้าไปที่โถงเหมิงเสวีย ข้าจึงไปที่นั่นเจ้าค่ะ ส่วนใหญ่ข้าตอบคำถามจากพวกศิษย์ใหม่และยังอายุน้อย”  


 


 


“โถงเหมิงเสวีย?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าอย่างสบายๆ “พอรับได้ แม่หนูเฟิงซูเสวี่ยนั่นเป็นคนจัดให้เจ้าใช่ไหม”  


 


 


“… เจ้าค่ะ”  


 


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้น นอกเหนือจากเด็กคนนั้นแล้วใครจะคิดปล่อยให้เจ้าไปที่โถงเหมิงเสวียอีกล่ะ แต่นี่ก็เยี่ยมเลย ศิษย์ใหม่จะต้องออกจากโถงเหมิงเสวียไม่ช้าก็เร็ว เมื่อถึงตอนนั้น…”  


 


 


เอ๋? โม่เทียนเกอเงี่ยหูฟัง เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีจุดประสงค์อย่างอื่นอีกในการจัดการพวกนี้?  


 


 


น่าเสียดาย แทนที่จะพูดต่อ ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับดุนางขึ้นมาอย่างโมโหอีกครั้ง “เจ้าจะยืนงงเพื่ออะไรเล่า รีบไปฝึกตนได้แล้ว!”  


 


 


“… เจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอกล้ำกลืนทุกสิ่งที่นางอยากพูดด้วยอารมณ์บึ้งตึง ฮึ่ม! นางไม่จำเป็นต้องเทิดทูนท่านอาจารย์คนนี้! เขาแค่ทิ้งๆ ขว้างๆ นาง!  


 


 


จากวันนั้นเป็นต้นมา โม่เทียนเกอทำกิจวัตรประจำวันของนางซ้ำๆ  


 


 


ทุกวันนางจะเก็บหยดน้ำค้างสวรรค์ ดูแลพืชวิญญาณ เก็บกวาดคอกสัตว์ ไปที่โถงเหมิงเสวีย และฝึกตน 


 


 


ขณะที่แต่ละวันผันผ่านไป นางก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับทุกเรื่องที่ตำหนักซ่างชิง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากไปที่โถงเหมิงเสวียมาระยะหนึ่ง นางก็เริ่มชินกับเรื่องต่างๆ ที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างด้วย ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วนางจึงพอเข้าใจเจตนาของประมุขเต๋าจิ้งเหอเมื่อเขามอบหมายงานพวกนี้ให้กับนาง 


 


 


เป็นเวลาประมาณเจ็ดปีแล้วตั้งแต่นางเข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิง แต่ในเจ็ดปีนั้น นางใช้เวลาสองปีไปกับการสร้างฐานแห่งพลังและอีกสองปีอยู่ห่างไกลจากโรงเรียน ส่วนสามปีที่เหลือ นางก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดนั้นไปกับการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ นางแทบจะไม่เคยเอาตัวเองไปมีส่วนร่วมกับโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่นางต้องจัดการเรื่องต่างๆ ที่ตำหนักซ่างชิงและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากโถงเหมิงเสวียทุกวัน นางค่อยๆ คุ้นเคยกับยอดเขาวสันต์กระจ่างทีละนิด และในขณะเดียวกันนางก็ค่อยๆ กลายเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงอย่างแท้จริง 


 


 


เมื่อนางเข้าใจเรื่องนี้ในที่สุด ความรู้สึกของนางที่มีต่อประมุขเต๋าจิ้งเหอก็เปลี่ยนไป ท่านอาจารย์ผู้นี้แทบจะไม่เคยให้คำแนะนำอะไรนางและไม่ให้ยาวิเศษหรือสมบัติใดๆ แต่เขาใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อปรับปรุงเส้นทางการฝึกตนของนาง 


 


 


ตอนนี้นางอายุเพียงแค่ยี่สิบเจ็ดปี แต่ระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว สิ่งที่นางขาดไปอันที่จริงแล้วไม่ใช่ยาวิเศษหรือทรัพย์สมบัติ สิ่งที่นางขาดไปคือการเติบโตทางด้านจิตใจต่างหาก โดยเฉพาะเมื่อการพัฒนาจากขั้นต้นไปสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังของนางนั้นสำเร็จได้ด้วยการฝืน นางไม่ได้ผ่านความยากลำบากใดเลยและนิสัยของนางก็ไม่แสดงอารมณ์มากพอ เพราะเหตุนั้น ระดับการฝึกตนของนางถึงค่อนข้างไม่มั่นคงและจะอ่อนไหวง่ายต่อการบ่มเพาะปีศาจในจิตใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่น่ากลัวที่สุดบนเส้นทางสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ 


 


 


แม้ว่าเขาจะไม่พูดมันออกมา แต่ท่านอาจารย์ขี้งกท่านนี้ก็มีความคาดหวังกับนางไว้สูงทีเดียว 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] หนานหวาหฤทัยสูตร: (南华心经) หมายถึงพระสูตรอันเป็นหัวใจแห่งจีนทางใต้ 


 


 


[2] ประโยคจากหนังสือของชาวลัทธิเต๋าที่รู้จักกันในนามจวงจื่อ  

 

 


ตอนที่ 139-2 เด็กๆ แห่งโถงเหมิงเสวีย

 

ใต้ต้นไม้ที่โถงเหมิงเสวีย เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบปีกำลังถือคัมภีร์แห่งเต๋าและศึกษาอย่างขยันขันแข็ง


 


 


“เพื่อบรรลุปรัชญาแห่งเต๋า อย่าพยายามกำหนดว่าอะไรจริงแท้ ทุกส่วนของสมองมีความศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ จิตวิญญาณผมสีน้ำเงินเข้มรู้จักกันในนาม ‘ต้นกำเนิดโบราณ’ จิตวิญญาณมันสมองรู้จักกันในนาม ‘ก้อนโคลน’ จิตวิญญาณดวงตาสุกสกาวรู้จักกันในนาม ‘สำรวจความเร้นลับ’ จิตวิญญาณปลายจมูกหยกรู้จักกันในนาม ‘ความสามารถอันแน่วแน่’ จิตวิญญาณหูผ่อนเบารู้จักกันในนาม ‘สนามแห่งความเงียบ’ จิตวิญญาณวิเศษของลิ้นรู้จักกันในนาม ‘ความสอดคล้องที่แท้จริง’ [1] …”


 


 


ระดับการฝึกตนของเขาอยู่เพียงแค่ระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ เขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปว่าหนึ่งในศิษย์ใหม่ทั่วไปของโรงเรียนเสวียนชิงที่ยังอยู่ในขั้นของการศึกษาคัมภีร์แห่งเต๋า แต่ถึงอย่างนั้น ความขยันและความตั้งใจของเขาก็ประจักษ์ให้เห็นแก่ทุกคน เมื่อไม่ได้เข้าร่วมการฟังเทศน์ประจำวันในตอนเช้า เขาจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของเขาในการพินิจพิเคราะห์คัมภีร์แห่งเต๋า ภายในเวลาสองปีสั้นๆ เขาก็นำหน้าศิษย์ที่อายุสิบห้าและสิบหกปีไปหลายคนแล้ว


 


 


ตอนนี้ชั้นเรียนกำลังจะเริ่มขึ้น เขาอยากจะใช้เวลาเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุดโดยการท่องจำวรรคนี้


 


 


“เพื่อบรรลุปรัชญาแห่งเต๋า อย่าพยายามกำหนดว่าอะไรจริงแท้ ทุกส่วนของสมองมีความศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ…” เมื่อเขาอ่านมาถึงส่วนนี้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากด้านหลัง ลูกบ๊วยหล่นลงหลังจากมันกระแทกเขา เด็กชายมองกลับไปและเห็นว่าห่างออกไปหลายฟุต เด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขาประมาณห้าถึงหกคนกำลังถลึงตาใส่เขา


 


 


เด็กชายรูปร่างท้วมในกลุ่มจู่ๆ ก็ตะโกนว่า “เยี่ยเจินจี เจ้าทำกางเกงหลุดน่ะ!” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขาและเด็กคนอื่นๆ ก็ระเบิดหัวเราะออกมา


 


 


เด็กที่ชื่อเยี่ยเจินจีจ้องอย่างโมโหไปที่พวกเขา แต่ไม่นานเขาก็หันเหสายตาและท่องต่อไป “เพื่อบรรลุปรัชญาแห่งเต๋า อย่าพยายามกำหนดว่าอะไรจริงแท้…”


 


 


ลูกบ๊วยอีกลูกถูกโยนมาและกระแทกเขาตรงช่วงตัวพอดี ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังทางจิตวิญญาณ แต่เด็กพวกนั้นก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เมื่อพวกเขาโยนลูกบ๊วยเข้าใส่ พวกเขายังใช้พลังงาานทางจิตวิญญาณของตัวเองด้วย ดังนั้นเมื่อโดนกระแทกจึงรู้สึกเจ็บ


 


 


เยี่ยเจินจีรู้ว่าไม่มีทางที่เขาจะสามารถท่องหนังสือต่อได้ เขาจึงเก็บหนังสือทันที จากนั้นเขาทำสีหน้าดุดันและหันไปเผชิญหน้ากับพวกเขา “พวกเจ้าต้องการอะไร!?”


 


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะทำหน้าตาดุดัน แต่เด็กพวกนั้นก็ไม่กลัว เด็กชายรูปร่างท้วมยังทำหน้าล้อเลียนกับสหายของเขาอีกด้วย “ดูสิ เขาพยายามจะทำให้เรากลัว!”


 


 


ใครบางคนตอบสนองทันที ทั้งล้อเลียนและชี้ไปที่เขา “เยี่ยเจินจี เจ้าไม่กลัวรึว่ากางเกงเจ้าจะหลุดอีกน่ะ”


 


 


พอได้ยินที่เขาพูด สีหน้าของเยี่ยเจินจียิ่งเศร้าหมองลงอีก ถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้ เด็กพวกนั้นหลายคนเป็นครอบครัวเดียวกับพวกอาจารย์ลุงในโรงเรียน ตั้งแต่อายุยังน้อยพวกเขาก็มีคนคอยชี้แนะ ดังนั้นระดับการฝึกตนของพวกนั้นทั้งหมดจึงสูงกว่าเขา เขาไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้แม้แต่คนเดียวในการต่อสู้ตัวต่อตัว ไม่ต้องพูดถึงการสู้กับพวกเขาทั้งกลุ่มเลยด้วยซ้ำ


 


 


พอเห็นว่าเขายังคงนิ่งเงียบ พวกเด็กๆ จึงโยนลูกบ๊วยใส่เขาต่อ “ทำไมเจ้าไม่หลบ เจ้าฉลาดไม่ใช่รึ ไม่ว่าคุณครูจะถามคำถามอะไรเจ้าก็มักจะรีบแจ้นไปตอบนี่ ทำไมตอนนี้ถึงกลัวนักล่ะ”


 


 


“เราจะสุภาพกับเขาไปทำไม จัดการเขาก่อนแล้วค่อยคุยทีหลัง ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาข้ารู้สึกรำคาญจะแย่เวลาเห็นเขา!” เด็กอารมณ์ร้อนคนหนึ่งจู่ๆ ก็กระโดดมาข้างหน้า ตะโกนและชี้หน้าเยี่ยเจินจี


 


 


พร้อมด้วยการยั่วยุนั้น เด็กหลายคนรีบพุ่งเข้ามาอย่างกับฝูงผึ้ง


 


 


เยี่ยเจินจีที่เห็นเช่นนั้นรีบหันหลังและวิ่งหนีทันที เขารู้ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้แต่เขาก็ไม่อยากถูกทุบตีเช่นกัน ถ้าเขาวิ่งไปทางด้านหน้าที่มีคนอื่นอยู่ พวกเด็กๆ ก็จะไม่กล้าทุบตีเขา


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะทำสำเร็จ หลังจากเขาวิ่งมาได้แค่ระยะสั้นๆ เขาก็ล้มลงที่พื้นจากแรงของลูกบ๊วยหลายลูกที่กระแทกเข้ากับร่างเขา เด็กคนหนึ่งดึงแขนเสื้อเขาทันทีในขณะที่คนอื่นๆ ล้อมพวกเขาไว้และเริ่มทุบตีเขาอย่างไม่ปรานี


 


 


เด็กพวกนี้เองก็ฉลาดเช่นกัน เพราะพวกเขารู้ว่าไม่ควรจะทำเป็นเล่น พวกเขาจึงใช้เพียงแค่หมัดกับเท้าและไม่ใช้พลังทางจิตวิญญาณ ถึงอย่างนั้นนี่ก็ยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเดิมสำหรับเยี่ยเจินจี


 


 


เยี่ยเจินจีที่ถูกเด็กพวกนั้นล้อมไว้ ทำได้แค่ป้องกันหัวของเขา กัดฟันและยังคงนิ่งเงียบ การถูกทุบตีนั้นเจ็บปวด แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพักเขาก็จะไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียเขาก็ชินกับมันแล้ว…


 


 


โม่เทียนเกอนิ่วหน้า นางเพิ่งมาถึงที่โถงเหมิงเสวียก่อนเวลา แต่นางกลับต้องบังเอิญมาพบกับภาพนี้เข้าโดยไม่คาดคิด


 


 


นางเหวี่ยงแขนเสื้อเบาๆ ทำให้เกิดลมพัดแรงไปยังกลุ่มของเด็กที่กำลังเตะต่อยเด็กชายที่อยู่ตรงกลาง พวกเขาถูกซัดล้มลงที่พื้น


 


 


“ใคร! ใครกัน!” เด็กรูปร่างท้วมคลานขึ้นมาและตะโกนด้วยความโกรธ “ใครกล้าโจมตีข้า! ข้าจะเรียกพ่อข้ามา…”


 


 


“เรียกพ่อของเจ้าแล้วมันทำไมรึ” โม่เทียนเกอตอบขณะที่จ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา


 


 


ครั้งนี้ในที่สุดพวกเด็กๆ ก็เห็นนาง ทั้งหมดจ้องมองนางและอ้าปากค้าง เกือบไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ “ปะ… ปรมาจารย์โม่”


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าเด็กพวกนี้ส่วนใหญ่คือทายาทของผู้ฝึกตนในโรงเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงมีนิสัยจองหองและดื้อรั้น อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคิดว่าความระห่ำของพวกเขาจะมาถึงจุดนี้ พวกเขายังเด็กมาก แต่กลับเข้าใจแล้วว่าจะรังแกศิษย์ด้วยกันได้อย่างไร!


 


 


“พวกเจ้าจะยืนงงกันอยู่ตรงนั้นทำไม! ไปที่แผนกฝึกอบรมและรับโทษซะ!”


 


 


“ท่านปรมาจารย์โม่…” พอได้ยินสิ่งที่นางพูด เด็กหลายคนจึงร้องเรียก “เรา… เรา…” โชคร้ายที่พวกเขาไม่สามารถสรรหาคำพูดใดมาแก้ตัวได้


 


 


โม่เทียนเกอเองก็ไม่มีความตั้งใจจะฟังพวกเขาอยู่แล้ว นางแค่สนใจกับการช่วยเด็กชายที่ถูกรังแกก่อนที่นางจะหันไปทางพวกเขาอีกครั้งและพูดว่า “ไปได้แล้ว เดี๋ยวนี้เลย!”


 


 


“ขอรับ…” พวกเด็กๆ ออกไปด้วยอารมณ์บูด พวกเขาไม่ได้โง่ ปรมาจารย์โม่เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านผู้มีอำนาจจิ้งเหอ ไม่ว่าพวกเขาจะมีพื้นเพอย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าโต้แย้งนาง ถ้าพวกเขายั่วอารมณ์นางอีกครั้ง โทษของพวกเขาอาจจะยิ่งหนักกว่าเดิมก็เป็นได้


 


 


โม่เทียนเกอมุ่งความสนใจไปที่เด็กชายที่นางเพิ่งพยุงตัวขึ้นมา นางจำเด็กคนนี้ได้เพราะในระหว่างการเทศน์ทุกครั้ง เขาตอบหลายคำถามจึงได้รับคำชมจากผู้ดูแล ครั้งหนึ่งผู้ดูแลเคยบอกนางว่าเด็กคนนี้มาจากโลกมนุษย์ เขาไม่มีรากฐานและความสามารถของเขาก็กลางๆ ดังนั้นโรงเรียนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามากนัก อย่างไรก็ตาม เขาตั้งใจและขยันมาก คนประเภทนี้จึงมีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จได้มาก


 


 


ณ จุดนั้น เด็กคนนั้นเงยหน้ามองและคารวะนาง “ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์โม่อย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตข้าน้อย”


 


 


ด้วยรอยยิ้มบางๆ โม่เทียนเกอเสกคาถาง่ายๆ เพื่อรักษารอยบาดและรอยถลอกบนร่างกายเขา “เกิดอะไรขึ้น พวกเขาทุบตีเจ้าบ่อยหรือ”


 


 


เยี่ยเจินจีเหลือบมองนางอย่างระวังก่อนจะพยักหน้า “อืม”


 


 


“แล้วทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้าง”


 


 


ดูเศร้าใจเล็กน้อย เยี่ยเจินจีตอบว่า “พวกเขา… พวกเขาทุกคนมีครอบครัวคอยสนับสนุนแต่ข้าไม่มี มันไร้ประโยชน์ที่ข้าจะพูดอะไร”


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่โรงเรียนเสวียนชิงก็ไม่สามารถป้องกันปัญหาเช่นนี้ให้เกิดขึ้นได้ ศิษย์ที่ไม่มีรากฐานไม่แคล้วคงต้องถูกรังแกจากคนอื่นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้


 


 


“เจ้าไม่รู้สึกเศร้าหรือที่โดนพวกเขาทำร้าย”


 


 


เด็กชายกัดปากและพยักหน้าอย่างระวังตัว “ข้าไม่กลัว เมื่อข้าประสบความสำเร็จในการฝึกตน พวกเขาก็จะไม่กล้ามารังแกข้าอีกต่อไป”


 


 


เขาฟังดูค่อนข้างทะเยอทะยาน แม้ว่าโม่เทียนเกอจะแอบเห็นด้วยกับเขา แต่นางก็พูดพร้อมหัวเราะน้อยๆ “เมื่อเจ้าประสบความสำเร็จในการฝึกตนรึ ตอนนี้เจ้าอยู่แค่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ความสามารถของเจ้าก็ธรรมดา เจ้าจะรอไปอีกนานแค่ไหน”


 


 


สิ่งที่นางพูดทำให้เยี่ยเจินจีคอตก เขารู้ว่าไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเขาจะสามารถทำตามความปรารถนาได้ แต่นอกเหนือจากมีความหวัง เขาจะทำอะไรได้อีก


 


 


โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเองว่านางเคยเป็นอย่างไร ย้อนไปตอนนั้นนางก็สั่งสมความคิดเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ แม้ว่าต้นทุนของนางจะไม่ดีและเส้นทางไปสู่เซียนของนางก็ดูคลุมเครือ ถึงแม้ว่าบางครั้งนางจะคิดว่าทุกอย่างช่างน่าสิ้นหวัง แต่นางก็ยังเชื่ออย่างหนักแน่นว่านางจะประสบความสำเร็จได้


 


 


นางค่อนข้างสนใจในเด็กคนนี้จึงถามว่า “เจ้าชื่ออะไร”


 


 


“เยี่ยเจินจี เยี่ยหมายถึงใบไม้ เจินหมายถึงจริง จีหมายถึงโอกาส”


 


 


“เยี่ยเจินจี… ปรากฏว่าแซ่ของเจ้าก็คือเยี่ยเหมือนกัน” โม่เทียนเกอกล่าว “ถ้าเช่นนั้น เราก็ถือว่าเป็นญาติห่างๆ กันได้”


 


 


รู้สึกประหลาดใจ เยี่ยเจินจีถามว่า “ท่านปรมาจารย์โม่ แซ่ของท่านคือโม่ไม่ใช่หรือ?”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะ “ข้าใช้แซ่ของแม่ข้าน่ะ ที่จริงแล้วพ่อข้าแซ่เยี่ย”


 


 


“อ้อ…”


 


 


ด้วยรอยยิ้ม โม่เทียนเกอพูด “ถ้าพวกเขารังแกเจ้าอีกในอนาคต เจ้ามาบอกข้าได้”


 


 


“หา?” เยี่ยเจินจีรีบเงยหน้าทันทีและจ้องนางด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกซาบซึ้งที่เขาถูกปรมาจารย์โม่ช่วยเอาไว้แต่เขาไม่ได้มีความหวังอะไรเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ถึงแม้เด็กพวกนั้นจะโดนลงโทษ แต่พวกเขาก็ยังคงจะรังแกเขาต่อไป อีกอย่างปรมาจารย์โม่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตอนนี้ที่ปรมาจารย์โม่พูดอย่างนี้ขึ้นมาโดยไม่คาดคิด…


 


 


“ท่านปรมาจารย์โม่ ท่านหมายความว่า…”


 


 


โม่เทียนเกอพูดซ้ำอย่างใจเย็น “ในอนาคต ถ้าพวกเขายังทำร้ายเจ้าอีก เจ้ามาบอกข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”


 


 


พอได้รับคำยืนยัน เยี่ยเจินจีกระโดดด้วยความตื่นเต้นทันที “จริงหรือขอรับ? ท่านปรมาจารย์โม่จะช่วยข้าหรือ ในอนาคตท่านจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นมารังแกข้าอีกใช่ไหม”


 


 


“อืม”


 


 


ในชั่วพริบตา รอยยิ้มกว้างเบ่งบานขึ้นบนใบหน้าเขาทันที “ท่านปรมาจารย์โม่ ท่านช่างใจดีจริงๆ! ตั้งแต่ข้าจากบ้านมา ไม่มีใครเคยดีกับข้าเหมือนท่านเลย ตั้งแต่ข้ามาที่นี่ คนพวกนั้นก็คอยรังแกข้าตลอด พวกเขาแอบตัดเข็มขัดทำให้กางเกงข้าหลุดต่อหน้าทุกคน…” เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกอาย “ข้าขออภัยขอรับท่านปรมาจารย์โม่ ข้าไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าท่าน”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก” ในเมื่อนางไม่มีอะไรทำและเกียจคร้านอย่างที่สุด โม่เทียนเกอไม่ถือสาที่จะฟังเด็กคนนี้บ่น “ถ้าเจ้ายังมีอะไรอย่างอื่นพูดอีกก็พูดมาตามสบายเถอะ”


 


 


“อืม” บางทีอาจเพราะเขาไม่สามารถแสดงความไม่พอใจให้คนอื่นรู้ได้ เด็กคนนี้กลายเป็นคนช่างพูดทันทีพอตอนนี้ที่เขาได้โอกาส “เมื่อตอนที่ข้ายังอยู่กับตระกูล พ่อข้ามักจะพูดว่าการฝึกตนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เขาบอกว่าตระกูลของเราเคยเป็นตระกูลผู้ฝึกตนแต่เพราะตระกูลตกต่ำลง พวกเขาจึงต้องย้ายลงมาที่โลกมนุษย์ ตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเล็ก ข้าก็มักจะปรารถนาถึงการฝึกตนเสมอ ในภายหลัง อาจารย์ลุงที่ผ่านมาท่านหนึ่งบังเอิญค้นพบว่าข้าครอบครองรากวิญญาณ ดังนั้นข้าจึงมาที่โรงเรียนเสวียนชิงกับเขา แต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่าพวกผู้ฝึกตนนั้นน่ารำคาญยิ่งนัก…”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เป็นประโยคของจวงจื่อจากหนังสือ “The Yellow Court Classic” (“หวงถิงจิง” 黄庭经) เนื้อหาเกี่ยวกับการทำสมาธิของชาวจีนลัทธิเต๋า 

 

 


ตอนที่ 140-1 ผู้สืบสกุลแห่งตระกูลเยี่ย

 

ทันใดนั้นความคิดก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของโม่เทียนเกอ นางถาม “บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน”  


 


 


เยี่ยเจินจีจ้องนางอย่างเหม่อลอย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร “บ้านของข้า?”  


 


 


โม่เทียนเกอพูดซ้ำ “บ้านของเจ้าในโลกมนุษย์น่ะ”  


 


 


ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเจตนาของปรมาจารย์ผู้นี้คืออะไร เขาก็ยังตอบอย่างซื่อตรง “บ้านของข้าอยู่ในเขตถงอันในแคว้นเว่ย ท่านปรมาจารย์เคยได้ยินไหมขอรับ”  


 


 


“เขตถงอัน แคว้นเว่ย…” โม่เทียนเกอพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว นางคิดว่ามันเหมือนจะเป็นที่ที่ท่านอาที่สองเคยพูดถึงมาก่อน ดังนั้นนางจึงลองถามอีกคำถาม “เจ้าเคยได้ยินชื่อเยี่ยเฉิงหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเจินจีดูงุนงง “ชื่อนี้…เหมือนจะเป็นชื่อของอากงหัวหน้าตระกูล แต่ข้าก็ไม่แน่ใจ…”  


 


 


อากงหัวหน้าตระกูล… ท่านอาที่สองย้ายตระกูลเยี่ยลงจากเขาชิงเหมิงประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ในตอนนั้นหัวหน้าของตระกูลเยี่ยในโลกมนุษย์ เยี่ยเฉิงอยู่ในช่วงอายุสี่สิบปีและมีรากวิญญาณห้าธาตุที่อ่อนแอ เขาน่าจะอยู่ในช่วงอายุประมาณหกสิบแล้วในตอนนี้ 


 


 


“ก่อนอื่นเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับตระกูลของเจ้าหน่อย”  


 


 


ความระแวงเล็กน้อยปรากฏขึ้นในสายตาของเยี่ยเจินจี “ท่านปรมาจารย์ ท่านอยากรู้เรื่องอะไรขอรับ”  


 


 


โม่เทียนเกอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้ระแวงนาง นางยิ้มและพูดว่า “เอาน่า อย่างกับว่าข้าจะอยากได้อะไรจากครอบครัวเจ้าอย่างนั้นล่ะ อย่าคิดมากไป ข้าแค่อยากให้เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับพวกเขา”  


 


 


หลังจากไตร่ตรองอยู่พอสมควร เยี่ยเจินจีคิดว่าที่โม่เทียนเกอพูดก็มีเหตุผล ปรมาจารย์ท่านนี้เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่ ตระกูลที่กำลังตกต่ำของเขาจะมีอะไรที่สามารถดึงดูดความสนใจนางได้? ดังนั้นเขาจึงถามต่อ “ท่านปรมาจารย์อยากรู้อะไรขอรับ”  


 


 


“… เจ้าบอกอะไรข้ามาก็ได้ ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ของตระกูลเจ้า ตระกูลเจ้ามาจากคุนอู๋เหมือนกันหรือไม่”  


 


 


“อืม” เพราะพวกเขาพูดกันถึงอดีตของตระกูล รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเจินจี เขาพูดอย่างภูมิใจ “ท่านพ่อข้าบอกว่าตระกูลเราเคยอยู่ในคุนอู๋มาก่อนและมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคนในหมู่บรรพบุรุษของเรา ท้ายที่สุดเรามีพี่ชายของอากงที่ก่อขุมพลังของเขาได้สำเร็จในช่วงอายุร้อยปี ในตอนนั้นชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งคุนอู๋ฝั่งตะวันตก!” หลังจากเขาพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สีหน้าเสียใจของเขาก็ปรากฏขึ้น “โชคร้ายที่พี่ชายของอากงท่านนี้ตายไปเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเราก็ไม่มีคนในตระกูลมากมายขนาดนั้นตั้งแต่แรก คนที่มีรากวิญญาณก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ และเป็นเช่นนั้นเองตระกูลของเราก็เริ่มตกต่ำ”  


 


 


“งั้นก็หมายความว่า… ไม่มีผู้ฝึกตนในตระกูลเจ้า? “ 


 


 


“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น…” เยี่ยเจินจีเอียงหัวอย่างไม่รู้ตัวขณะที่พูด “ที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจนัก ท่านพ่อข้าบอกว่าตอนนั้นเรายังมีพี่ชายของอากงที่เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง พี่ชายอากงคนนั้นส่งเรามาที่โลกมนุษย์แต่หลังจากนั้นก็จากไปในทันที ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายอากงท่านนั้นก็แก่มากแล้ว ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยติดต่อพวกเราเลย ดังนั้นเราจึงไม่มั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” 


 


 


“พี่ชายอากงท่านนั้นของเจ้าไม่ได้ทิ้งเครื่องรางเรียกขานหรืออะไรไว้เลยหรือ” 


 


 


“คือ… ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนข้าจะเกิดและท่านพ่อข้าก็ไม่ได้บอกรายละเอียดให้ข้าฟังมากมาย” 


 


 


เป็นธรรมดาที่เด็กจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ ไม่ว่ากรณีใด โม่เทียนเกอก็ค่อนข้างแน่ใจเกี่ยวกับตระกูลของเด็กคนนี้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก นางเพียงแค่ชูนิ้วขึ้นและบีบหยดเลือดออกมา ด้วยพลังวิญญาณของนาง นางเล็งหยดเลือดให้ไปทางเด็กคนนั้น 


 


 


“ท่านปรมาจารย์ ท่าน…” เยี่ยเจินจีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดจบประโยค หยดเลือดนั้นก็ได้พุ่งเข้าหาเขาและหายไปในช่วงหว่างคิ้วเขา 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกได้ถึงเลือดสกัดที่เข้าสู่หว่างคิ้วเขาได้โดยไม่มีอะไรขัดขวาง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถรวมเข้ากับเลือดของเขาได้อย่างง่ายดาย เด็กคนนี้…เป็นเครือญาติของนางอย่างแท้จริง 


 


 


“ท่านปรมาจารย์…” ทันทีหลังจากที่เขาได้สติ เยี่ยเจินจีจ้องมองนางด้วยความกลัว “นั่นคืออะไร…”  


 


 


โม่เทียนเกอเองก็มองเขาเช่นกัน ที่จริงแล้วตัวนางก็ค่อนข้างประหลาดใจเหมือนกัน คุนอู๋นั้นกว้างใหญ่ แต่เด็กจากตระกูลเยี่ยก็ยังบังเอิญมาอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิงได้อย่างไม่น่าเชื่อ!  


 


 


“หยดเลือดแบบนั้นใช้เพื่อยืนยันญาติของเจ้า”  


 


 


“หา?” เยี่ยเจินจีสับสนอย่างที่สุด หยดเลือดใช้เพื่อยืนยันญาติ?  


 


 


“ความจริงที่เลือดสกัดของข้าเข้ากันได้กับเลือดของเจ้าและไม่ถูกร่างกายของเจ้าต้านทานก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเราเกี่ยวดองกันทางสายเลือด”  


 


 


ครั้งนี้เยี่ยเจินจีตกตะลึงถึงที่สุด 


 


 


โม่เทียนเกอมองเขา “ข้าไม่รู้ว่าเราควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี แต่พี่ชายอากงที่อยู่ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่เจ้าบอกว่าตายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นน่าจะเป็นพ่อของข้า”  


 


 


… 


 


 


“อาจารย์ลุง ท่าน…” เมื่อโม่เทียนเกอเข้าไปที่โถงด้านข้างของตำหนักซ่างชิง ซิ่วฉินถึงกับงุนงงที่เห็นนางพาเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาด้วย 


 


 


ตั้งแต่โม่เทียนเกอให้บทเรียนกับพวกนาง ฉิน ฉี ซู และฮว่าก็ประพฤติตัวดีขึ้นมาทันที หลังจากได้ยินเกี่ยวกับความสามารถของนาง แม้แต่สาวใช้อีกสิบสองคนก็ยังยั้งความยโสของพวกนางเอาไว้ พวกนางไม่ซุบซิบต่อหน้านางและยังพูดกับนางด้วยท่าทีที่มีความเคารพขึ้นมาก 


 


 


โม่เทียนเกอชำเลืองมองนางด้วยหางตา “นี่คือเหลนชายของข้า ข้าตั้งใจพาเขามาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพต่อท่านอาจารย์”  


 


 


“เหลนชาย!?” ซิ่วฉินพูดไม่ออก ปรมาจารย์โม่คนนี้แค่ไปที่โถงเหมิงเสวีย แต่นางกลับพาเหลนชายกลับมาด้วยน่ะรึ? ถึงอย่างนั้นนางก็ยั้งไว้ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดและเพียงแค่โค้งให้โม่เทียนเกอ “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปรมาจารย์อยู่ในโถงหลัก อาจารย์ลุงเชิญไปทำความเคารพเขาได้เจ้าค่ะ”  


 


 


“อืม” ไม่อยากจะเสียเวลาของนางที่นั่น โม่เทียนดึงเยี่ยเจินจีไปด้วยและเดินผ่านซิ่วฉินไปทันที 


 


 


เยี่ยเจินจีเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขามองกลับไปที่ซิ่วฉินและเมื่อพวกเขาเดินห่างออกมาค่อนข้างไกล เขากระซิบกับโม่เทียนเกอ “ท่านปรมาจารย์ ท่านน่าทึ่งจริงๆ! ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นอาจารย์ลุงที่มักจะอยู่ข้างกายท่านผู้มีอำนาจจิ้งเหอที่โถงเหมิงเสวียเพื่อมาส่งข้อความ นางไม่แม้แต่จะมองผู้จัดการของเราด้วยซ้ำ!”  


 


 


โม่เทียนเกอเพียงแค่เผยรอยยิ้มบางๆ ผู้จัดการของโถงเหมิงเสวียเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นธรรมดา เพราะงั้นทำไมผู้หญิงพวกนี้จะต้องให้ความเคารพเขามากมายด้วย พวกนางอยู่ข้างกายผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่มานานเสียจนแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังธรรมดาก็ยังไม่สามารถทำให้พวกนางประทับใจได้ ยิ่งผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาก็ยิ่งแล้วใหญ่ 


 


 


เยี่ยเจินจียังคงมองรอบตัวเขาต่อไป เขารู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก ตั้งแต่เขามาถึงที่โรงเรียนเสวียนชิง เขาเพิ่งเคยมาที่โถงหลักของยอดเขาหลักแค่ครั้งเดียวและใช้เวลาที่เหลือของเขาอยู่ที่โถงเหมิงเสวีย ไม่ต้องพูดถึงถ้ำเซียนของผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่เลย เขายังไม่เคยเห็นถ้ำเซียนของอาจารย์ลุงระดับการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาด้วยซ้ำไป 


 


 


เมื่อมองเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาและร่าเริงเบื้องหน้านาง โม่เทียนเกออดที่จะหัวเราะไม่ได้ ตั้งแต่พวกเขาเริ่มรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นญาติของตน เด็กคนนี้ก็อยู่ในสภาวะตื่นเต้นมาก เดิมเขาคิดว่าเขาไม่มีคนหนุนหลังและถูกคนอื่นรังแกอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ต้องแปลกใจ จู่ๆ เขาก็มีโชคชะตาที่ดีได้เป็นญาติของท่านปรมาจารย์ เมื่อเขาพบว่าผู้สนับสนุนของเขาดีกว่าของพวกเด็กที่รังแกเขามาก เขาก็ยิ่งสุขใจมากจนไม่รู้จะพูดอะไร พอนึกถึงการที่เยี่ยเจินจียืนตัวตรงอย่างภูมิใจเมื่อนางอธิบายเรื่องนี้ให้กับศิษย์ผู้ดูแลที่โถงเหมิงเสวียฟัง โม่เทียนเกอคิดว่ามันค่อนข้างน่าขันและน่าสงสารไปด้วยพร้อมๆ กัน 


 


 


“เจินจี เราไม่สามารถยืนยันตำแหน่งของข้าและความสัมพันธ์ของพวกเราในลำดับชั้นของตระกูลได้ และข้าก็อายุมากกว่าเจ้าสิบกว่าปีเท่านั้น ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าควรเรียกข้าว่าอาดีกว่า เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าปรมาจารย์อีกแล้ว”  


 


 


“โอ้…” เยี่ยเจินจีเงยหน้าจ้องนาง ไม่นานจากนั้น เขาเรียกนางด้วยเสียงเบา “ท่านอา…”  


 


 


โม่เทียนเกอลูบหัวเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่จำเป็นต้องเกร็งนักหรอก ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”  


 


 


พอโม่เทียนเกอพูดเช่นนี้ ในที่สุดเยี่ยเจินจีก็กล้าขึ้นเล็กน้อย “ข้าเข้าใจท่านอา ในอนาคตข้าไปอยู่กับท่านได้ไหม”  


 


 


“… อืม นั่นไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่สำหรับตอนนี้เราต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้มีอำนาจทราบก่อน” อันที่จริงโม่เทียนเกอก็ไม่ค่อยแน่ใจกับเรื่องนี้เช่นกัน ตัวตนของนางตอนนี้แตกต่างไป ว่ากันตามเหตุผล มันไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไรนักหากนางอยากจะดูแลใครสักคนจากรุ่นหลังของตระกูลนาง แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้นางก็อาศัยอยู่ในถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ท่านอาจารย์คนนี้ของนางไม่ใช่คนที่จะทำอะไรตามตำรา ดังนั้นมันจึงยากที่จะบอกได้ 


 


 


“ท่านอา…” เยี่ยเจินจีเงยหน้าอีกครั้ง มองนางและถามด้วยความกังวล “นี่จะทำให้เรื่องต่างๆ มันยากขึ้นสำหรับท่านหรือเปล่า”  


 


 


“เอ๋?” โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ เด็กคนนี้ฉลาดขนาดนี้เลยหรือ ข้าแค่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น… 


 


 


เยี่ยเจินจีพูด “ท่านอา ถ้าท่านมีปัญหาก็ไม่เป็นไรจริงๆ ถ้าท่านจะไม่ดูแลข้า ตอนนี้พวกเขารู้กันหมดแล้วว่าท่านคือผู้อาวุโสของข้า เพราะงั้นพวกเขาไม่กล้ารังแกข้าอีกแน่นอน”  


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขาก็ทำให้โม่เทียนเกอยิ้มได้ จากนั้นนางตอบด้วยท่าทางจริงจังแบบเดียวกัน “เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวเราก็รู้หลังจากเราได้เจอท่านผู้มีอำนาจแล้ว”  


 


 


“อืม”  


 


 


ขณะที่คุยกันไปพวกเขาก็มาถึงที่โถงหลักโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ในตำหนักซ่างชิงทั้งหมด มีเพียงสาวใช้พวกนั้นที่อยู่รอบๆ นอกเหนือจากตัวท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องผ่านคนอื่นๆ อีกถ้าพวกเขาต้องการเข้ามารายงานตัว 


 


 


เมื่อนางเดินนำเยี่ยเจินจีเข้าไปในโถง นางเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงเอนหลังอยู่บนตั่งมังกรของเขา เพลิดเพลินกับการดูแลจากสาวใช้และกำลังอ่านหนังสือที่ไม่รู้จัก พร้อมกับพึมพำบางอย่างไปด้วย 


 


 


“ท่านอาจารย์”  


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ละสายตาจากหนังสือของเขาด้วยซ้ำตอนที่เขาตอบว่า “โอ้ เจ้ากลับมาแล้ว ทำไมเจ้าพาตัวเล็กนั่นกลับมาด้วยล่ะวันนี้”  


 


 


โม่เทียนเกอปล่อยมือเยี่ยเจินจีและบอกใบ้เขาด้วยสายตา เด็กคนนี้ฉลาดมาก เขารีบคุกเข่าและก้มหัวคำนับทันที “เยี่ยเจินจีขอคารวะท่านผู้มีอำนาจ”  


 


 


โม่เทียนเกอกล่าว “ท่านอาจารย์ เด็กคนนี้เป็นญาติของข้า ข้าจึงอยากจะพาเขามาด้วยและสอนเขาด้วยตัวเอง ข้าหวังว่าท่านอาจารย์จะอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้”  


 


 


“เอ๋?” รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ประมุขเต๋าจิ้งเหอละสายตาจากหนังสือของเขาในที่สุดและจ้องมองพวกเขา เขาโบกมือไปที่เยี่ยเจินจีเพื่อส่งสัญญาณให้เขาลุกขึ้นจากนั้นหันมามองโม่เทียนเกอ “เกิดอะไรขึ้น เด็กคนนี้มาจากไหน”  


 


 


โม่เทียนเกอเล่าเรื่องอย่างใจเย็น “ตอนข้าไปที่โถงเหมิงเสวียวันนี้ ข้าบังเอิญเห็นเด็กคนนี้กำลังถูกเด็กคนอื่นรังแก ข้าจึงผ่านไปช่วยเขา หลังจากเราได้คุยกันข้าก็รู้ว่าเด็กคนนี้มาจากตระกูลของข้าในโลกมนุษย์อย่างไม่น่าเชื่อ”  


 


 


“โอ้? บังเอิญจริง” ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้สนใจในรายละเอียดเล็กน้อยไม่สำคัญพวกนี้เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นว่าเยี่ยเจินจียืนขึ้นและไปหลบหลังโม่เทียนเกออย่างเหนียมอายทันที ความสนใจของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา “เด็กน้อย มานี่สิ มาให้ข้าดูหน่อย”  


 


 


เยี่ยเจินจีเงยหน้าขึ้นและมองโม่เทียนเกอ หลังจากที่เขาเห็นนางพยักหน้าเขาจึงเดินไปทางข้างๆ ประมุขเต๋าจิ้งเหออย่างระมัดระวัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่ ช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้… 


 


 


“เจ้าเด็กน้อยคนนี้ดูดีทีเดียว เขาดูค่อนข้างคล้ายเจ้า” ขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด เขาคว้าข้อมือเยี่ยเจินจี “ต้นทุนของเขาด้อยไปหน่อย รากวิญญาณสามธาตุ… อืม โชคดีที่รากวิญญาณแต่ละธาตุมีคุณภาพค่อนข้างดี ดังนั้นการพัฒนาสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก็ไม่น่ามีปัญหา ถ้าเจ้าขยันมากพอ การก่อขุมพลังของเจ้าก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้”  


 


 


ดวงตาของเยี่ยเจินจีเบิกกว้าง เมื่อท่านผู้มีอำนาจพูดว่าต้นทุนของเขาค่อนข้างด้อย เขาไม่ได้เจ็บปวดแม้แต่นิดเดียวเพราะเขารู้ว่าศิษย์ทุกคนที่เข้าโรงเรียนเสวียนชิงล้วนมีต้นทุนที่ยอดเยี่ยม ด้วยรากวิญญาณสามธาตุของเขา เขาเกือบจะไม่มีคุณสมบัติผ่านเข้าโรงเรียนได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ท่านผู้มีอำนาจบอกว่าเขาอาจจะก่อขุมพลังของเขาได้ถ้าขยันมากพอ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยนึกคิดในจิตใจมาก่อนเลยสักครั้งเดียว!  


 


 


“เท่านี้ก็พอล่ะ สำหรับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เจ้าทำได้ตามที่เจ้าเห็นสมควร” ประมุขเต๋าจิ้งเหอปล่อยข้อมือเยี่ยเจินจีและนอนเอนลงบนตั่งอีกครั้ง “เจ้ายังไม่ได้ก่อขุมพลังของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะรับศิษย์ แค่ให้เขาอยู่ข้างๆ เจ้าไปก่อนแล้วกันสำหรับตอนนี้”  


 


 


เมื่อได้รับอนุญาต โม่เทียนเกอรู้สึกมีความสุข “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์”  


 


 


“หึหึ ขอบคุณข้า? แต่เจ้าน่ะก็สบถด่าข้าอยู่ลับหลังเหมือนกันไม่ใช่รึ ลืมมันซะ!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอโบกมือ “กลับไปได้แล้ว”  


 


 


แม้ว่าจะถูกเปิดโปงต่อหน้าทุกคน แต่โม่เทียนเกอก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรืออับอาย อย่างไรเสีย มันก็เป็นความจริงที่ท่านอาจารย์ขี้งกของนางเป็นชายแก่ไร้เหตุผลที่ทำตัวไม่รู้จักโต นางเพียงแค่ทำความเคารพครั้งสุดท้ายและขอตัวออกมาพร้อมกับเยี่ยเจินจี 


 


 


“เจินจี ท่านผู้มีอำนาจตกลงแล้ว ดังนั้นเจ้าอยู่กับอาได้นับแต่นี้ไป ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเจ้า แต่เจ้าก็ต้องขยันด้วยนะ เข้าใจไหม”  


 


 


“อืม!” ใบหน้าของเยี่ยเจินจีแดงจากความตื่นเต้น ผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่! ข้าได้เห็นผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่จริงๆ! ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงบางสิ่งขึ้นมา เขาจึงถามว่า “ท่านอา ในวันข้างหน้าข้ายังต้องไปที่โถงเหมิงเสวียอีกไหม”  


 


 


“แน่นอน ต้องไปสิ” โม่เทียนเกอบอก “เจ้ายังไม่ได้ศึกษาคัมภีร์แห่งเต๋าจนครบเลย เจ้าต้องไปต่อ เป็นอะไร เจ้าไม่อยากไปงั้นหรือ”  


 


 


“ไม่ๆ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เยี่ยเจินจีโบกมือไปมา รอยยิ้มอายๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาพูดอย่างเขินๆ “ท่านอา ความจริงแล้วข้าอยากไป ข้ามีท่านอยู่ด้วยแล้วตอนนี้ เพราะงั้นจี้อันและคนอื่นๆ ก็จะไม่กล้ามารังแกข้าอีกแล้วแน่นอน! ข้าอยากไปเห็นว่าพวกเขาจะทำหน้าอย่างไร!” 


 


 


พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอก็ระเบิดหัวเราะออกมา เป็นไปตามคาด เด็กหนอเด็ก ก่อนหน้านี้เขามักจะถูกรังแกเสมอ เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาจึงอยากจะเดินชูคออย่างผึ่งผายบ้าง 


 


 


นางพยักหน้า “การแก้แค้นไม่ผิดแต่เจ้าต้องไม่หมกมุ่นกับมันเกินไป เข้าใจไหม”  


 


 


“อืม!”  

 

 


ตอนที่ 140-2 ผู้สืบสกุลแห่งตระกูลเยี่ย

 

เมื่อพวกเขามาถึงบ้านพักหมิงซิน โม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคม นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอาแผ่นหยกบันทึกเปล่าออกมา ใส่คำสั่งบางอย่างลงไปในนั้นและมอบให้เยี่ยเจินจี “ในอนาคตแค่ใช้แผ่นนี้เปิดม่านพลังป้องกัน”


 


 


ขณะที่พวกเขาเข้าไปในบ้านพักหมิงซิน สัตว์วิเศษตัวน้อยจู่ๆ ก็กระโจนเข้าใส่พวกเขาและเริ่มร้องเสียงแหลม ทำให้เยี่ยเจินจีตกใจกลัวมากจนเขาเกือบจะกระโดดถอยหลัง


 


 


โม่เทียนเกอพูดกับเยี่ยเจินจี “นี่คือสัตว์วิเศษของอา เจ้าเรียกมันว่าเสี่ยวหัวได้ มันฉลาดมาก ระดับการฝึกตนของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้น ถ้าเจ้าต้องการอะไรเจ้าสามารถเรียกมันได้” จากนั้นนางหมอบลงและลูบหัวเจ้าสัตว์วิเศษไฟนรก “นี่คือเจินจี หลานชายข้า จากนี้ไปเจ้าต้องปฏิบัติกับเขาเหมือนที่ทำกับข้า เข้าใจไหม”


 


 


สัตว์วิเศษไฟนรกส่งเสียงร้องแหลมเล็กน้อยและเริ่มกัดปลายชุดคลุมของเยี่ยเจินจีอย่างเป็นกันเอง จนกระทั่งเยี่ยเจินจีลูบหัวมันบ้างมันถึงยอมปล่อย


 


 


โม่เทียนเกอเอาขวดหยกออกมาพร้อมรอยยิ้มและเทยาวิเศษส่วนหนึ่งออกมา “กินสิ และก็ออกไปเล่นได้ เจ้าจะไปที่ภูเขาด้านหลังก็ได้ถ้าต้องการ”


 


 


สัตว์วิเศษไฟนรกกวาดยาวิเศษพวกนั้นด้วยลิ้นของมันและกลืนยาลงท้อง มันผงกหัวให้นางจากนั้นออกจากบ้านพักหมิงซินไป คาดว่าคงมุ่งหน้าไปที่คอกสัตว์ที่ภูเขาด้านหลัง


 


 


ระดับการฝึกตนของสัตว์วิเศษไฟนรกตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่พวกเขาเริ่มมาอาศัยอยู่ที่ตำหนักซ่างชิงและโม่เทียนเกอปล่อยให้มันเป็นอิสระ มันก็มักจะวิ่งไปเล่นที่ภูเขาด้านหลังบ่อยๆ เพราะในถ้ำเซียนแห่งนี้มีกำแพงอาคม นางจึงไม่ต้องกังวลและปล่อยให้มันวิ่งเล่นไปทั่วได้ตามใจ


 


 


หลังจากพาเยี่ยเจินจีเข้าไปในสนาม โม่เทียนเกออธิบายถึงห้องต่างๆ ทีละห้องให้เขาฟัง “นี่คือถ้ำเซียนของอา ห้องนั้นคือห้องสำหรับปรุงยาวิเศษ ห้องนั้นสำหรับขัดเกลาเครื่องมือ และนั่นสำหรับการฝึกตน ส่วนห้องนี้คือห้องนอน ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าต้องการอะไร เจ้าถามเอาจากพวกอาจารย์ลุงที่อยู่แถวนี้ได้ พวกนางเป็นสาวใช้ของท่านผู้มีอำนาจ ทุกเรื่องที่ตำหนักซ่างชิงจะถูกจัดการโดยพวกนาง”


 


 


“ข้าทราบ ท่านอา” เยี่ยเจินจียืนอยู่ในห้องนอน สัมผัสเตียงที่ทำจากหยกเย็นอย่างระมัดระวัง ภายในห้องไม่ได้มีสิ่งของมากมาย แต่ของไม่กี่อย่างที่อยู่ที่นั่นก็ล้วนแต่ทำขึ้นมาอย่างวิจิตร งดงามมากเสียจนเขาทำได้เพียงจ้องมองและอ้าปากค้างเท่านั้น


 


 


“แล้วกระเป๋าของเจ้าล่ะ”


 


 


เยี่ยเจินจีหยิบกระเป๋าเอกภพใบเก่าโทรมออกมาและเทข้าวของข้างในออกมาด้วยความอาย


 


 


มีชุดเสื้อผ้าหลายชุด คัมภีร์แห่งเต๋าหลายเล่ม เช่นเดียวกับคู่มือการฝึกจิตใจ ของเล่นเด็กบางอย่าง ศิลาวิญญาณสองอัน และขวดหยกเสื่อมสภาพสองสามขวด โม่เทียนเกอเปิดขวดเพื่อตรวจดูของข้างใน มียาวิเศษสำหรับรักษาบาดแผลและยาบำรุงพลังจิตวิญญาณ แต่ก็มีเพียงแค่อย่างละสองหรือสามเม็ดเท่านั้น ในยาพวกนั้นยังมียาบำรุงพลังจิตวิญญาณที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งอีกด้วย!


 


 


ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าข้าวของของเขามอซอเกินไป เขาหน้าแดงและพูดว่า “ท่านอา ตอนข้าจากมามันไม่มีของมีค่าอะไรที่บ้านนอกเหนือจากของไม่กี่อย่างพวกนี้ อากงหัวหน้าตระกูลให้ข้าเอาทั้งหมดมาที่นี่”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม คนพวกนั้นที่มีรากวิญญาณต่ำกว่ามาตรฐานที่ยังเหลืออยู่ในตระกูลเยี่ยคงยังไม่สามารถยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจะย้ายถิ่นลงไปที่โลกมนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงฝึกตนต่อ อีกอย่าง ด้วยของมีค่าส่วนใหญ่อยู่ในมือท่านอาที่สอง พวกเขาจึงไม่มีของสำคัญอะไร การไม่มีของมีค่าอะไรเหลืออยู่หลังจากยี่สิบปีก็เป็นไปตามคาด


 


 


หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอเอาขวดหยกเจ็ดขวดออกมาจากกระเป๋าเอกภพของนาง “สองขวดนี้บรรจุยาบำรุงพลังจิตวิญญาณ ในแต่ละขวดมียาร้อยเม็ด ข้าเดาว่าเจ้าคงเข้าใจประโยชน์ของมันแล้ว ส่วนขวดนี้บรรจุยาผสานพลังวิญญาณซึ่งก็มีฤทธิ์เพิ่มพลังของสารพลังชีวิตและทำให้พลังวิญญาณเริ่มต้นแข็งแรงขึ้นในระหว่างการฝึกตน พวกมันมีประสิทธิภาพมากกว่ายาบำรุงพลังจิตวิญญาณถึงสิบเท่า แต่เจ้าต้องเพิ่มระดับการฝึกตนของเจ้าให้มากกว่านี้หน่อยก่อนที่จะใช้มันได้ ฤทธิ์ของมันแรงเกินไปและระดับการฝึกตนของเจ้าก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือได้”


 


 


“ขวดนี้มียาชำระล้างพลังวิญญาณ หลังจากกินยาบำรุงพลังจิตวิญญาณทุกสิบเม็ด เจ้าต้องกินยานี้หนึ่งเม็ดเพื่อชะล้างสารพิษที่ตกค้างจากยาพวกนั้น ขวดนี้บรรจุยาฟื้นคืนสติซึ่งใช้สำหรับการถอนพิษ ถ้าเจ้าเกิดโดนสารพิษขึ้นมา ยานี้จะทำหน้าที่เป็นยาแก้พิษนั้น ส่วนขวดนี้มียาครอบจักรวาล ถ้าเจ้าใช้พลังวิญญาณไปจนหมดในการต่อสู้ด้วยพลังเวท การกินยานี้จะทำให้เจ้าฟื้นพลังวิญญาณกลับมาได้บางส่วน ขวดนี้มียากระจ่างใจ ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ตั้งสติได้ดีขึ้นและช่วยให้สงบสติอารมณ์ได้ เมื่อไหร่ที่รู้สึกกระวนกระวาย เจ้ากินยานี้ได้”


 


 


พอเห็นว่ามือของเยี่ยเจินจีสั่นขณะเขาถือขวดพวกนั้น โม่เทียนเกอทำได้เพียงแค่ยิ้ม จากนั้นนางหยิบถุงกระเป๋าอีกใบออกมา “มีศิลาวิญญาณสองร้อยอันอยู่ในนี้ ข้ารู้ว่าศิษย์ใหม่ที่ยังไม่จบการศึกษาจากโถงเหมิงเสวียอย่างเจ้ายังไม่ได้รับอนุญาตให้ได้เงินส่วนแบ่งของศิษย์ สำหรับตอนนี้ข้าจะให้ศิลาวิญญาณพวกนี้กับเจ้าไปก่อนเพื่อที่เจ้าจะได้ใช้มันเวลาฝึกตน”


 


 


ก่อนหน้านี้เขามีเพียงแค่ศิลาวิญญาณสองอัน ซึ่งเขามักจะเก็บไว้และไม่เคยยอมใช้ ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ได้ศิลาวิญญาณมาสองร้อยอัน! เยี่ยเจินจีตกตะลึงถึงที่สุด


 


 


แต่ยังไม่จบเท่านั้น หลังจากครุ่นคิด โม่เทียนเกอเอากระบี่ป่าขจีและไข่มุกรวมวิญญาณที่นางไม่ได้ใช้แล้วออกมา นางลูบของทั้งสองอย่างด้วยความรักและถอนใจแผ่วเบา ไข่มุกรวมวิญญาณไม่ได้ดีมากนัก แต่มันก็เป็นของที่พ่อของนางทิ้งไว้ให้และนำพานางมาสู่เส้นทางการฝึกตน พอระลึกได้เช่นนั้น ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เก็บมันเข้ากลับกระเป๋าเอกภพและเอาม่านรวมพลังวิญญาณที่นางทำขึ้นออกมาแทน


 


 


“นี่คือกระบี่ป่าขจีที่ท่านอาของข้าเคยให้ข้าไว้ ตอนนี้ข้าจะมอบให้เจ้า มันคือของที่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ลงคาถาไว้ ดังนั้นมันจึงดีกว่าเครื่องมือวิญญาณธรรมดามากแน่นอน เจ้าต้องใช้มันให้ดีล่ะ ส่วนม่านรวมพลังวิญญาณ ถ้าเจ้าวางมันไว้รอบตัวเมื่อเจ้าฝึกตน เจ้าจะสามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังวิญญาณรอบตัวเจ้าได้”


 


 


เยี่ยเจินจีเกือบจะเหมือนตกอยู่ในภวังค์เมื่อเขารับของเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ใหม่แต่เขาก็มีความรู้และประสบการณ์อยู่บ้างหลังจากเข้าโรงเรียนเสวียนชิง เขาเคยเห็นเครื่องมือวิญญาณที่เป็นของสหายศิษย์มาก่อน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะจบการศึกษาจากโถงเหมิงเสวีย แผนกของพวกเขาจะไม่ให้เครื่องมือวิญญาณอะไร พวกคนที่ครอบครองของเหล่านั้นล้วนมีผู้อุปถัมภ์คอยหนุนอยู่ สำหรับศิษย์ไม่สำคัญที่มาจากโลกมนุษย์อย่างเขาก็ทำได้เพียงมองอย่างอิจฉาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น กระบี่ป่าขจีเล่มนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องมือวิญญาณระดับสูงซึ่งดีกว่าพวกเครื่องมือที่เขาเคยเห็นมาก่อนมาก!


 


 


“ท่านอา นี่มัน… มากเกินไป…”


 


 


“เจ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเจ้าเท่านั้น” หลังจากนางพูดเช่นนั้น โม่เทียนเกอก็แสดงสีหน้าเข้มงวดทันที “แต่เจ้าต้องระลึกไว้ในใจด้วยว่าเจ้าต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้นเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางการฝึกตน ถ้าเจ้าชะล่าใจ ติดขัดและสูญเสียความสามารถในการก้าวหน้า สมบัติที่เจ้ามีจะกลายเป็นของไร้ค่าไม่ว่าเจ้าจะมีมากแค่ไหนก็ตาม!”


 


 


เมื่อได้รับสิ่งของทั้งหมดนี้แต่ก็ยังได้รับการเตือนสติอย่างเข้มงวดจากโม่เทียนเกอ เยี่ยเจินจีรู้สึกตกใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ไม่นานเขาก็ดึงสติกลับมาได้และก้มหัวอย่างจริงจัง “ข้าเข้าใจ ข้าจะตั้งใจในการฝึกตนและทำตัวให้สมกับความคาดหวังของท่านอาอย่างแน่นอนขอรับ”


 


 


ความจริงที่เด็กคนนี้เชื่อฟังและสอนง่ายทำให้โม่เทียนเกอพอใจมาก นางลูบหัวเขาและพูดว่า “เอาล่ะ อาจะไปฝึกตนแล้ว เจ้าจะฝึกตนก็ได้แต่ก็ไม่เป็นไรถ้าเจ้าอยากจะทำความคุ้นเคยกับที่นี่ก่อน ถ้าต้องการอะไร เจ้าเรียกข้าได้จากนอกห้องฝึกตน”


 


 


“ขอรับ”


 


 


“ท่านอา!” โม่เทียนเกอหันกลับไปแล้วและกำลังจะเดินจากไปเมื่อจู่ๆ เยี่ยเจินจีเรียกออกมากะทันหัน


 


 


นางหยุดและหันมามอง เยี่ยเจินจีหน้าแดงจ้องนางและกระซิบว่า “ข้าหิว”


 


 


โม่เทียนเกออึ้งไปและอดไม่ได้ที่จะเคาะหัวตัวเอง จากนั้นนางยิ้มให้เยี่ยเจินจีและบอกว่า “ผ่านมานานมาแล้วตั้งแต่ที่ข้ายังต้องกินอาหาร ข้าจึงลืมไปว่าเจ้ายังต้องกินอะไรบ้าง รอเดี๋ยวนะ ข้าจะบอกใครสักคนให้นำอาหารมาให้เจ้า”


 


 


หลังจากนางกลับไปที่ห้องฝึกตนและส่งเครื่องรางเรียกขานให้ซิ่วฉินเพื่อบอกนางให้หาใครสักคนมาส่งอาหารทุกวัน โม่เทียนเกอวางม่านพลังและเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน


 


 


ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางไม่ได้เข้ากระท่อมหลังเล็กเพื่อฝึกตนทันที นางยืนสัมผัสถึงลมเย็นอ่อนที่พัดอยู่รอบๆ แทนแล้วจึงนั่งลงข้างลำธารเล็กๆ


 


 


ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าข้าจะบังเอิญเจอคนจากตระกูลเยี่ย…


 


 


นางไม่ได้โตมาในตระกูลเยี่ย ดังนั้นตระกูลเยี่ยจึงมีอยู่แค่ในจินตนาการของนางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ท่านอาที่สองจะตายจากไป เขามักบอกนางเสมอว่าถ้านางมีความสามารถมากพอในอนาคต นางควรดูแลตระกูลเยี่ยด้วย ตอนนี้ที่นางเจอเข้ากับเด็กจากตระกูลเยี่ยจริงๆ นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะเพิกเฉยต่อเขา


 


 


ตามคำพูดของเด็กคนนี้ ตระกูลเยี่ยมีชีวิตดีมากในโลกมนุษย์ ถึงขนาดมีผู้ฝึกตนหลายคนอยู่ในตระกูล แม้ว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาจะไม่ดีพอและไม่น่าเอ่ยถึงในคุนอู๋ แต่คนธรรมดาก็ยังมองพวกเขาเป็นดั่งเซียน การใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง ตระกูลเยี่ยสามารถมีรากฐานที่มั่นคงในแคว้นเว่ยได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขามีความร่ำรวย สุขภาพดี และมีเกียรติยศ พวกเขาคนหนึ่งได้เป็นถึงขุนนางเมืองฉางหนิงแห่งแคว้นเว่ย


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนี้ สมัยนั้นตระกูลเยี่ยถูกบีบบังคับให้ย้ายไปยังโลกมนุษย์ เพราะนอกเหนือจากท่านอาที่สองแล้วก็ไม่มีผู้ฝึกตนที่แท้จริงสักคนเดียวในหมู่พวกเขา ถึงแม้ว่าบางคนจะมีรากวิญญาณ แต่รากวิญญาณพวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นรากวิญญาณห้าธาตุที่ปวกเปียก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องพึ่งยาวิเศษมาก่อน แต่พวกเขาก็แทบไม่สามารถฝึกตนได้จนถึงระดับที่สองหรืออาจจะสามของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ถึงอย่างนั้นต้นทุนของพวกเขาก็เพียงพอแล้วให้พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ห่างไกลจากโลกแห่งการฝึกตนที่เต็มไปด้วยการนองเลือด มีความสุขกับตำแหน่งสูงและความมั่งคั่งมหาศาลไป แล้วพวกเขาจะต้องการอะไรอีก? แม้แต่ตระกูลของประมุขเต๋าจิ้งเหอในโลกมนุษย์ซึ่งให้กำเนิดผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่หนึ่งคนและผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหนึ่งคนก็ยังเป็นเพียงตระกูลธรรมดาที่สูงศักดิ์และร่ำรวย


 


 


คนจากตระกูลเยี่ยยอมแพ้ แต่หลังจากนั้นเยี่ยเจินจีก็เกิดมาเมื่อสิบปีก่อน พวกเขาดีใจแทบบ้าเพราะพอตรวจดูก็รู้ว่าเขามีรากวิญญาณสามธาตุอย่างไม่น่าเชื่อ ภายหลังเมื่อศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงคนหนึ่งไปจัดการธุระบางอย่างในโลกมนุษย์ หัวหน้าตระกูลเยี่ยได้ให้การต้อนรับอย่างหรูหราที่บ้านพวกเขา ทำให้เยี่ยเจินจีสามารถกลับมาที่คุนอู๋และถึงกับเข้าโรงเรียนชื่อดังได้


 


 


นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นแม้แต่โถงคนงานของยอดเขาวสันต์กระจ่างก็ยังไม่รับรู้ถึงตัวตนและพื้นเพของเยี่ยเจินจี ฉะนั้นจึงไม่ได้รายงานไปถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอหรืออาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง สำหรับโม่เทียนเกอ นางไม่มีทางรู้เรื่องนี้มาก่อนอย่างแน่นอน อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะนางบังเอิญถูกประมุขเต๋าจิ้งเหอสั่งให้ทำนั่นทำนี่และหลัวเฟิงซูว์บังเอิญแนะนำให้นางไปที่โถงเหมิงเสวีย บางทีนางอาจจะต้องรอจนกว่านางจะก่อขุมพลังของนางได้และกลับไปที่ตระกูลเยี่ยในโลกมนุษย์เพื่อทำตามความปรารถนาของท่านอาที่สอง นางถึงจะได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเยี่ยเจินจี ในตอนนั้นถ้าโชคของเยี่ยเจินจีไม่ดี เขาก็อาจจะอายุมากจนกลายเป็นชายชราไปแล้วก็ได้


 


 


ตระกูลเยี่ยระดมสมองเพื่อส่งเยี่ยเจินจีมาที่โรงเรียนเสวียนชิงเพราะพวกเขาไม่อยากให้ความสามารถของเยี่ยเจินจีต้องสูญเปล่า แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็อาจทำเช่นนั้นเพราะพวกเขายังต้องการชุบชีวิตตระกูลขึ้นมา


 


 


ถึงอย่างนั้น ต้นทุนตามธรรมชาติของเยี่ยเจินจีก็ปานกลาง การเข้าโรงเรียนชื่อดังได้นั้นถือว่าเขาโชคดีมากแล้ว การกระทำของตระกูลเยี่ยเป็นเพียงแค่ความพยายามลมๆ แล้งๆ แต่ที่จริงแล้วพวกเขากลับทำให้โม่เทียนเกอได้คิดพิจารณาถึงบางสิ่ง มันเป็นเวลาไม่กี่ปีตั้งแต่ตระกูลเยี่ยออกจากคุนอู๋และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ยังอยากกลับมา ถ้าพวกเขารับรู้ถึงตัวตนของนาง บางทีพวกเขาอาจจะมีหวังอีกครั้ง


 


 


ดังนั้นโม่เทียนเกอตกลงใจแล้ว สำหรับตอนนี้นางจะยังไม่บอกให้ตระกูลเยี่ยรับรู้ถึงตัวตนของนาง มิเช่นนั้นนางคงไม่สามารถเลี่ยงปัญหาบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้แน่ แน่นอนว่านางจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องมืดบอดไปตลอด เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง นางจะเดินทางกลับไปยังตระกูลเยี่ยและทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของท่านอาที่สองให้ได้


 


 


พอถึงตอนนั้น นางยังต้องเตือนตระกูลเยี่ยด้วยเช่นกัน หากพวกเขาไม่มีผู้ฝึกตนระดับสูงมากพอ พวกเขาก็ไม่ควรวางแผนกลับมาที่คุนอู๋ แค่นี้ยังมีตระกูลผู้ฝึกตนเล็กๆ ที่ต้องตายในคุนอู๋ไม่พออีกหรือ ตระกูลอวี๋จากโรงเรียนตานติ่งมีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังหลายคน แต่เมื่อหายนะเกิดขึ้น พวกเขาก็ตกต่ำลงไปอย่างนั้นเอง แม้แต่ชะตากรรมของพวกเขาโม่เทียนเกอก็ยังไม่รู้ แทนที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนั้น น่าจะดีกว่าสำหรับตระกูลเยี่ยที่จะเพลิดเพลินกับความรุ่งเรืองและความร่ำรวยทั้งหลายที่โลกมนุษย์มีให้ ถ้าผู้สืบสกุลที่มีรากวิญญาณดีมาปรากฏกายเข้าสักวันหนึ่ง นางก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกเขา


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า โยนความคิดเหล่านี้ทิ้งไว้ที่เบื้องลึกของจิตใจ นางยืนขึ้นและเข้ากระท่อมหลังเล็กในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน พร้อมจะฝึกตน


 


 


ทุกวันนี้เยี่ยเจินจียังศึกษาคัมภีร์แห่งเต๋าไม่เสร็จสิ้นด้วยซ้ำ เส้นทางที่เขาต้องเดินยังอีกยาวไกล นางจะให้ยาวิเศษเขาในภายหลังและขอท่านอาจารย์ให้ช่วยเขา คาดว่าการสร้างฐานแห่งพลังของเขาไม่น่าจะมีปัญหา เขาอาจถึงขั้นก่อขุมพลังสำเร็จอีกด้วย แบบนั้นถึงจะถือว่าดูแลตระกูลเยี่ยได้อย่างเป็นธรรม


 


 


ด้วยการตัดสินใจเช่นนั้น โม่เทียนเกอนั่งลง ควบคุมพลังวิญญาณไปที่ตานเถียนและเริ่มการฝึกตนประจำวัน 

 

 


ตอนที่ 141-1 ดอกท้อเน่า

 

“ท่านอา! ท่านอา!”  


 


 


เมื่อได้ยินเสียงตะโกนอย่างร่าเริงของเยี่ยเจินจี โม่เทียนเกอจึงออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและโบกมือเพื่อเปิดกำแพงอาคมที่นางตั้งไว้ที่ห้องฝึกตน 


 


 


เยี่ยเจินจีรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า 


 


 


“มีอะไรหรือ”  


 


 


เขาวิ่งมาหาและเงยหน้าเพื่อมองนาง “ท่านอา ตอนที่ข้าไปที่โถงเหมิงเสวียวันนี้ จี้อันและกลุ่มของเขาหนีไปเมื่อพวกเขาเห็นข้า! พวกนั้นดูตลกสุดๆ เลย!”  


 


 


รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ นางลูบหัวเขาและพูดว่า “เจ้ามีความสุขมากเลยหรือ”  


 


 


“อื้อ!” เยี่ยเจินจีพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ข้าคิดเสมอว่าหลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังได้ ข้าจะเอาชนะพวกนั้นทุกคน พวกเขาจะได้ไม่กล้ามารังแกข้าอีก!”  


 


 


สมัยนั้นเมื่อนางอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลโม่ โม่เทียนเกอเองก็เคยมีความคิดเช่นเดียวกับเยี่ยเจินจี นางคิดว่านางต้องเรียนให้เก่งและเชื่อฟังแม่ เพื่อที่พอนางโตขึ้นนางจะได้ทำให้เทียนจวิ้นและคนอื่นๆ ต้องอาย ในท้ายที่สุดเทียนจวิ้นก็เลิกแกล้งนางและนางเดินบนเส้นทางสายที่แตกต่างจากพวกเขาที่เหลือ 


 


 


“ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้ารังแกเจ้าแล้วตอนนี้ เจ้าก็ยังต้องตั้งใจสร้างฐานแห่งพลังของเจ้า ต้องไม่หวังพึ่งคนอื่นนะ เข้าใจไหม”  


 


 


“อืม! ท่านอา ข้าสัญญาว่าข้าจะฝึกตนอย่างพากเพียร จะไม่ทำให้ท่านต้องขายหน้า” เยี่ยเจินจีพูดอย่างกระตือรือร้น “ข้ารู้ว่าต้นทุนของข้าไม่ดี แต่ก่อนจะมาที่คุนอู๋ อากงหัวหน้าตระกูลได้บอกข้าว่าความขยันคือวิธีที่คนคนหนึ่งใช้ทดแทนพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ขาดไป ตราบใดที่ข้าฝึกตนอย่างขันแข็ง ข้าก็ยังพอมีหวังในการก้าวไปสู่ดินแดนถัดไป”  


 


 


“ดีมากที่เจ้าเข้าใจ” โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ในตอนแรก ต้นทุนของอายิ่งแย่กว่าของเจ้าอีก แต่สุดท้ายอาก็สามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ สรุปก็คือ ถึงแม้ว่าจะเป็นความจริงที่ต้นทุนธรรมชาตินั้นสำคัญ แต่การลงแรงที่เจ้าทำและชะตาลิขิตที่ได้รับก็ไม่ควรถูกมองข้ามเหมือนกัน”  


 


 


เยี่ยเจินจีกะพริบตาด้วยความสับสน เขาเข้าใจตรงส่วนหลังของสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด แต่นางหมายความว่าอะไรที่บอกว่านางมีต้นทุนที่แย่กว่าเขา?  


 


 


“ท่านอา คนเขาพูดกันว่าเหตุผลที่ท่านถูกท่านผู้มีอำนาจรับเข้ามาเป็นศิษย์ของเขาทั้งๆ ที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็เพราะต้นทุนธรรมชาติของท่านยิ่งดีเยี่ยมกว่ารากวิญญาณเดียวเสียอีก ทำไมท่านถึงบอกว่าต้นทุนของท่านแย่ล่ะ ถ้าต้นทุนของท่านแย่ ท่านผู้มีอำนาจก็คงไม่รับท่านเป็นศิษย์ของเขาหรอก จริงไหม”  


 


 


“หืมม… จริงทั้งสอง รากวิญญาณของอาเป็นรากวิญญาณที่แปลกประหลาดมาก ก่อนข้าจะสร้างฐานแห่งพลัง ข้าคิดเสมอว่าต้นทุนของข้าด้อย หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังได้ ในที่สุดข้าก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลยแม้แต่นิด”  


 


 


“โอ้… แต่ในกรณีนั้น หนึ่งในเหตุผลที่ท่านอาเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้สำเร็จก็เป็นเพราะต้นทุนที่ดีของท่านอาไม่ใช่หรือ”  


 


 


คำถามนี้ทำให้โม่เทียนเกอพูดไม่ออก ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อนางสร้างฐานแห่งพลังทำให้นางสงสัยอยู่เป็นเวลานาน นางไม่รู้ว่าความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางมีอะไรเกี่ยวกับรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของนางหรือไม่ และนางก็ยังไม่แน่ใจว่าศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำสำเร็จหรือไม่ ก่อนที่นางจะสร้างฐานแห่งพลัง นางไม่รู้ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดคืออะไรและคิดว่ามันเป็นเพียงรากวิญญาณที่เสียเปล่าเท่านั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่านางอาจได้ประโยชน์จากมันเมื่อนางบรรลุผ่านดินแดนไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง 


 


 


“…ไม่เชิง เมื่อข้าอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ข้าก็พยายามอย่างมากในการฝึกตน ในตอนนั้นท่านอาของข้ามักจะดูแลข้าและใช้ยาวิเศษมากมายเพื่อช่วยเสริมการฝึกตนของข้า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นไปได้ที่ข้าสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้ เพราะเขารับภาระทั้งหมดและเก็บงำไว้กับตัวไม่บอกใคร”  


 


 


เยี่ยเจินจีนิ่งเงียบ ปล่อยให้คำพูดของนางจมลงในจิตใจ สุดท้ายเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ข้าเข้าใจ ท่านอา ท่านมีพี่ชายอากงคอยดูแล และข้ามีท่านคอยดูแล ข้าสัญญาว่าข้าจะฝึกตนอย่างขันแข็งและพัฒนาไปสู่ดินแดนถัดไปให้ได้เหมือนอย่างท่าน”  


 


 


เด็กคนนี้เป็นเด็กฉลาดและมีไหวพริบ เขาไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลตลอดเวลา แค่ให้คำแนะนำเขาบ้างบางครั้งก็เพียงพอแล้ว โม่เทียนเกอยิ้มและลูบหัวเขา “ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ เอาล่ะ เจ้าเถลไถลมานานเกินแล้ว รีบไปฝึกตนได้แล้ว!”  


 


 


“ตกลง ข้าไปล่ะ” เยี่ยเจินจีตอบอย่างว่าง่ายแล้วจึงกลับไปฝึกตน 


 


 


หลังจากนางหลับตา โม่เทียนเกอปล่อยจิตสัมผัสของนางออกมา 


 


 


วิชาการฝึกตนที่เยี่ยเจินจีใช้เป็นเหมือนกับที่ศิษย์ภายในคนอื่นๆ ใช้กัน มันคือวิชาการฝึกตนที่สามัญที่สุดของโรงเรียนเสวียนชิง หนานหวาหฤทัยสูตร 


 


 


ที่จริงแล้วศิษย์ภายในโรงเรียนเสวียนชิงทุกคน ไม่ว่าความสามารถ รากวิญญาณ หรือตัวตนของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ก็ต้องฝึกหนานหวาหฤทัยสูตรเป็นอย่างแรกหลังจากเข้าโรงเรียนมาเพื่อให้มีพื้นฐาน เมื่อโม่เทียนเกอเข้าโรงเรียนมาเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่านางจะไม่ได้เป็นศิษย์อายุน้อยที่ร่วมกลุ่มการฝึกตนเป็นครั้งแรก แต่นางก็ได้ศึกษามันพอสังเขปเช่นกัน 


 


 


คัมภีร์แห่งเต๋าเล่มนี้คือวิชาการฝึกตนเบื้องต้นที่สมบูรณ์แบบ ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีรากวิญญาณที่มีธาตุใดเฉพาะเจาะจง และขณะใช้ ความเร็วในการฝึกตนของคนนั้นก็จะไม่เร็วเกินไปและไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทได้ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์และโลก ฝึกหัวใจที่เรียบง่ายและอบรมบ่มนิสัย ถ้าผู้เรียนฝึกหนานหวาหฤทัยสูตรจนเสร็จสมบูรณ์อย่างเหมาะสม พวกเขาจะเจออุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของพวกเขาแค่น้อยนิดเมื่อไปฝึกกับวิชาการฝึกตนอื่นๆ ต่อไป 


 


 


แม้ว่ารากวิญญาณของเยี่ยเจินจีจะไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่เขาก็มีความเข้าใจคัมภีร์แห่งเต๋าเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์และการรับรู้ของเขาก็ไม่เลวร้าย ดังนั้นหลังจากสังเกตพฤติกรรมของเขามาพักหนึ่งและเห็นว่าเขาฝึกตนโดยไม่มีปัญหา โม่เทียนเกอจึงไม่กังวลกับเขาอีกและเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางเพื่อฝึกตนต่อ 


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนางฝึกตนเสร็จ โม่เทียนเกอก็เริ่มทำภารกิจหลายอย่างที่ตำหนักซ่างชิงตามตารางเวลาเดิมของนางแล้วจึงไปที่โถงเหมิงเสวีย หลังจากนั้นนางได้ให้คำแนะนำเล็กน้อยกับเยี่ยเจินจีแล้วจึงเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเพื่อฝึกตน และทำซ้ำตามตารางเหมือนกันในวันถัดไป 


 


 


หลังจากสองปีของวันอันแสนสงบที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ สองเรื่องสำคัญได้เกิดขึ้นพร้อมกันที่ยอดเขาวสันต์กระจ่าง 


 


 


เรื่องแรกคือท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินกำลังจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อลองบรรลุผ่านดินแดนไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ 


 


 


โม่เทียนเกอยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อนางได้รู้เรื่องนี้ ศิษย์พี่เสวียนอินเป็นศิษย์คนแรกและอาวุโสที่สุดภายใต้ท่านอาจารย์ของนาง ไม่เพียงแต่เขาจะถูกรับเข้ามาเป็นคนแรกๆ แต่ความสามารถของเขายังดีที่สุดในหมู่พวกเขาด้วย ความจริงที่ว่าอายุของเขามากกว่าสี่ร้อยปีแล้วแต่ยังติดอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังล้วนทำให้ทุกคนฉงน บัดนี้ที่เขาตัดสินใจเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิในที่สุด โม่เทียนเกอแอบภาวนาว่าอาจารย์ลุงหรือศิษย์พี่คนนี้ที่คอยดูแลนางมาตลอดจะสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้อย่างราบรื่น 


 


 


ถ้าศิษย์พี่เสวียนอินสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาสำเร็จได้จริง นางต้องเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินอีกครั้ง 


 


 


ตามกฎของโลกแห่งการฝึกตน เมื่อใครสักคนก้าวเข้าไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ พวกเขาจะมีความอาวุโสขั้นสูงสุด ถึงแม้ว่าอาจารย์ของพวกเขาจะยังถือว่าเป็นอาจารย์ แต่ทุกคนนอกเหนือจากกลุ่มการฝึกตนของพวกเขาต้องเปลี่ยนวิธีเรียกพวกเขาไปตามระดับการฝึกตนของแต่ละคน 


 


 


อีกเรื่องหนึ่งคือหลังจากสองปีของการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งได้ผ่านเข้าสู่ขั้นท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้อย่างราบรื่นเรียบร้อยแล้ว 


 


 


พอได้ยินเรื่องนี้ โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อนางบังเอิญเจอหลัวเฟิงเสวี่ยตอนหลัง หลัวเฟิงเสวี่ยมีคำถามซ่อนเร้นเกี่ยวกับความคิดของโม่เทียนเกอในเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็สามารถจะบ่ายเบี่ยงไปได้อย่างสงบนิ่ง 


 


 


พูดถึงเรื่องนี้ นางยังไม่ได้เจอ “ศิษย์พี่โส่วจิ้ง” คนนี้เลย เมื่อนางกลายเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์อย่างเป็นทางการเมื่อสองปีก่อน ศิษย์พี่โส่วจิ้งคนนี้กำลังอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ในวันเวลาส่วนใหญ่ เขาก็ยิ่งชอบปลีกวิเวกมากและไม่เคยออกจากถ้ำเซียนของเขา 


 


 


อันที่จริงสองเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเช่นกัน หลังจากจัดการงานที่ตำหนักซ่างชิงมาตลอดสองปีที่ผ่านมา โม่เทียนเกอก็ค่อยๆ สนิทกับผู้มีอำนาจหลักของโรงเรียนเสวียนชิงและยังได้เข้าใจอะไรบางอย่าง 


 


 


โรงเรียนเสวียนชิงมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ห้าคนด้วยกัน ในหมู่พวกเขา ประมุขผู้อาวุโสสูงสุด ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง อยู่ในขั้นท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ และประมุขเต๋าจิ้งเหออยู่ในขั้นกลางของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ อีกสามคนที่เหลือ ประมุขเต๋าหลิงซวี ประมุขเต๋าเมี่ยวอี และประมุขเต๋าหวาเหยียน ทั้งหมดอยู่ในขั้นต้นของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ 


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเป็นที่ยอมรับว่าคือเสาหลักแห่งโรงเรียนเสวียนชิง แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่คนอื่นๆ ก็เป็นรากฐานของโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน การสูญเสียพวกเขาไปแม้แต่คนเดียวจะทำให้พละกำลังของโรงเรียนลดลงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อายุขัยของประมุขเต๋าหลิงซวีใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ภายในหนึ่งร้อยปีเป็นอย่างมาก ประมุขเต๋าท่านนี้ก็จะต้องตายจากไป 


 


 


นี่เป็นเหตุว่าทำไมในที่สุดอาจารย์เต๋าเสวียนอินจึงตัดสินใจเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิและพยายามสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขา และก็เป็นเหุตว่าทำไมทุกคนถึงดีใจนักที่อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งก้าวไปสู่ขั้นท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ ถ้าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่หนึ่งคนตายไป ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อีกคนจะจำเป็นต้องมาแทนที่ตำแหน่งของเขาเพื่อรักษาพละกำลังและสถานะของโรงเรียนเอาไว้ให้คงอยู่ 


 


 


แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับโม่เทียนเกอ ตอนนี้ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้นางไม่แน่ใจว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี 


 


 


“ศิษย์พี่โม่!” โม่เทียนเกอถูกท่านอาจารย์สั่งให้ไปที่ยอดเขาหลักเพื่อจัดการเรื่องบางอย่าง นางทำตัวรอบคอบมาก แต่สุดท้ายนางก็ยังได้ยินเสียงเรียกที่ฟังดูประหลาดใจและอ่อนโยนมากดังมาจากด้านหลัง ซึ่งกระตุ้นให้นางอยากรีบขึ้นบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวทันทีและบินกลับไปยังถ้ำของนาง 


 


 


กระนั้นนางก็ปรับสีหน้าพร้อมแสร้งรอยยิ้มอ่อนโยนและหันกลับไป “ศิษย์น้องไป๋”  


 


 


ศิษย์น้องไป๋คนนี้ไม่ใช่จ้านไป๋ ถึงแม้จ้านไป๋มักจะถูกเรียกว่าเสี่ยวไป๋ อาจารย์ลุงไป๋ หรือศิษย์น้องไป๋ แต่ชื่อจริงของเขาคือจ้าน ทว่าคนผู้นี้มีแซ่ว่าไป๋โดยแท้จริง ชื่อของเขาคือเยี่ยนเฟย เขาเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ประมุขผู้อาวุโสสูงสุดแห่งโรงเรียนเสวียนชิง เขามีรากวิญญาณเดี่ยวซึ่งถือว่าหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นทันทีหลังจากที่เขาเข้าโรงเรียนมา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็ให้การยกเว้นเขาและรับเขาเข้าเป็นศิษย์ ศิษย์น้องไป๋คนนี้อายุประมาณยี่สิบห้าแล้วตอนนี้และสร้างฐานแห่งพลังของเขาได้เมื่อสามปีก่อน 


 


 


ตั้งแต่โม่เทียนเกอถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหออย่างเป็นทางการ แทบจะทุกเรื่องที่ตำหนักซ่างชิงมักจะถูกส่งมาให้นาง แม้แต่เรื่องบางอย่างระหว่างท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบของนาง ดังนั้นนางจึงค่อยๆ ได้ติดต่อกับพวกคนที่ได้รับพรจากสวรรค์อย่างแท้จริงในโรงเรียนนี้ 


 


 


คนที่ได้รับพรจากสวรรค์ในโรงเรียนนี้จัดได้ว่าเป็นคนชั้นยอดในหมู่ศิษย์ระดับหัวกะทิด้วยกัน ก่อนหน้านี้ในสำนักอวิ๋นอู้ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังก็ได้รับอนุญาตให้รับลูกศิษย์ลูกหาเข้ามาได้แล้ว ดังนั้นศิษย์หัวกะทิที่นั่นจึงดีกว่าศิษย์ธรรมดาเพียงเล็กน้อย สิ่งต่างๆ นั้นแตกต่างไปในกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ อย่างโรงเรียนเสวียนชิง มีเพียงผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะจะรับศิษย์เข้ามา พวกคนที่นับถือผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในฐานะอาจารย์นั้นเก่งกว่าศิษย์ทั่วไปมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือความเข้าใจของพวกเขาก็ห้ามขาดตกบกพร่อง ศิษย์หัวกะทิประเภทนี้นั้นเหนือกว่าศิษย์ธรรมดาเป็นอย่างมาก ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่มีระดับการฝึกตนดีโดดเด่นเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับชื่อว่าได้รับพรจากสวรรค์ 


 


 


ตัวอย่างเช่น ยอดเขาวสันต์กระจ่างของพวกเขามีคนหนึ่งที่มีชื่อเรียกเช่นนี้ นั่นคืออาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง เขาเริ่มฝึกตนเมื่ออายุแปดขวบ นับถือประมุขเต๋าจิ้งเหอในฐานะอาจารย์ทันทีหลังจากเขาเข้าโรงเรียน สร้างฐานแห่งพลังของเขาได้เมื่ออายุยี่สิบปีและก่อขุมพลังเมื่ออายุเจ็ดสิบแปด เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่สูงที่สุด และคนส่วนใหญ่ที่โรงเรียนเสวียนชิงคาดหวังกับเขาไว้สูง 


 


 


หลังจากได้ประมุขเต๋าจิ้งเหอมาเป็นอาจารย์ของนาง โม่เทียนเกอเองก็ถือได้ว่ามีชื่อเรียกเช่นนั้นได้ นางยังอายุน้อยมากแต่ระดับการฝึกตนของนางอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ท่านอาจารย์ของนางใส่ใจนางและตั้งความหวังกับนางไว้สูง การเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังต้องเกิดขึ้นแน่ไม่ช้าก็เร็ว อันที่จริงมีโอกาสสูงมากที่นางจะสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ 


 


 


ไป๋เยี่ยนเฟยคนนี้ก็เหมือนกัน เกี่ยวกับสถานะของเขา เขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของประมุขผู้อาวุโสสูงสุด ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ส่วนระดับการฝึกตนของเขา เขาสร้างฐานแห่งพลังเมื่ออายุยี่สิบสองปี ตอนนี้เขาเพิ่งอายุยี่สิบห้า ดังนั้นอนาคตของเขาจึงสดใสมาก 


 


 


ถ้าเป็นเมื่อก่อน โม่เทียนเกอคงไม่กล้าเชื่อว่านางจะสามารถสมาคมกับคนที่มีสถานะเช่นนี้ได้เแน่ ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม นางมีแต่ความปวดหัว 


 


 


นี่คือเรื่องว่าความปวดหัวของนางเริ่มขึ้นได้อย่างไร ปัจจุบันนางเป็นคนเดียวที่ทำธุระต่างๆ ให้อาจารย์ของนาง วันก่อนนางบังเอิญไปที่ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางเพื่อจัดการบางอย่างแทนในนามท่านอาจารย์ของนาง นางไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติกับศิษย์น้องไป๋ผู้นี้ แต่เมื่อเขาเห็นนาง เขาก็ทำตัวเป็นกันเองเกินเหตุ และจากนั้นเป็นต้นมาเขามักจะชวนนางให้มาเจอกันอยู่บ่อยๆ  


 


 


ตอนแรกโม่เทียนเกอคิดว่าไม่น่ามีอันตรายอะไรในการคบค้ากับคนประเภทนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าหลังจากเดินทางมาไม่กี่ครั้ง โม่เทียนเกอจะรู้สึกได้ว่าเรื่องต่างๆ มันค่อนข้างแปลก? เห็นได้ชัดว่าศิษย์น้องไป๋ผู้นี้ไม่ตั้งใจจะพูดคุยกับนางในแบบศิษย์พี่น้องด้วยกัน เขาคุยกับนางด้วยความตั้งใจจะตามจีบนางแทน 


 


 


หลังจากนางรู้ตัว นางก็ใช้ทุกเหตุผลเพื่อปฏิเสธไป๋เยี่ยนเฟยทุกครั้งที่เขาเชิญนางมาเจอกัน อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้เลยว่านายไป๋เยี่ยนเฟยคนนี้เป็นอะไร ยิ่งนางปฏิเสธเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น เกือบจะทุกครั้งที่นางออกเดินทางไปนอกยอดเขาวสันต์กระจ่าง คนผู้นี้จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รู้ว่านางอยู่ที่ไหน แกล้งทำเป็นว่าเขาบังเอิญเจอนางและเกาะติดนางตลอด มันแย่มากเสียจนโม่เทียนเกอไม่กล้าออกไปข้างนอกในช่วงหลังๆ นี้ 


 


 


แต่ถึงแม้นางจะไม่กล้าออกไปข้างนอก สุดท้ายนางก็ต้องไปอยู่ดี เฮ้อ นางต้องจัดการเรื่องบางอย่างแทนท่านอาจารย์ ดังนั้นถ้านางไม่ระวังตัวและเจอเข้ากับไป๋เยี่ยนเฟย นางก็ทำได้เพียงแค่เสแสร้งว่านางไม่รู้เรื่องอะไรขณะที่หาทางสลัดเขาให้หลุดเท่านั้น  

 

 


ตอนที่ 141-2 ดอกท้อเน่า

 

เรื่องนี้ที่จริงทำให้นางรู้สึกอึดอัดเพราะโม่เทียนเกอเคยปลอมตัวใส่เสื้อผ้าผู้ชายตอนสมัยนางวัยรุ่น ถึงแม้ว่านางจะเปลี่ยนกลับมาใส่เสื้อผ้าผู้หญิงหลังจากนางมาถึงที่โรงเรียนเสวียนชิง แต่นางก็อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของประมุขเต๋าจิ้งเหอตลอดและไม่เคยถูกผู้อื่นตามจีบในเชิงชู้สาว ดังนั้นพอตอนนี้ที่อยู่ๆ ก็มีคนหนึ่งโผล่มาไล่ตามนาง นางจึงเพียงอยากจะหลีกเลี่ยงการบังเอิญเจอเขาเท่านั้น


 


 


พอเห็นว่าไม่มีร่องรอยของความรำคาญบนใบหน้าโม่เทียนเกอ ไป๋เยี่ยนเฟยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ที่จริงเขาดูค่อนข้างสง่างาม หน้าตาของเขาบวกกับการเป็นศิษย์คนสุดท้ายของประมุขเต๋าเจิ้นหยางทำให้เขาเป็นต้นแบบที่ดีที่น่าได้รับการชื่นชม อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่มีความรู้สึกใดใดต่อเขา


 


 


“ศิษย์พี่โม่” ไป๋เยี่ยนเฟยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ได้เจอกันเสียนาน”


 


 


ครั้งนี้โม่เทียนเกอสามารถหลบหน้าเขาได้ค่อนข้างนาน นางถึงขนาดอ้อนวอนประมุขเต๋าจิ้งเหอให้ไม่ต้องให้นางไปโถงเหมิงเสวียเพื่อหลบให้สำเร็จ ทุกวันนางจะหมกตัวอยู่ภายในตำหนักซ่างชิงและไม่ออกไปไหน


 


 


คนเราไม่ควรทำร้ายคนที่ยิ้มแย้ม ไม่ว่าไป๋เยี่ยนเฟยจะมีเจตนาอย่างไรในจิตใจเขา เขาก็มักจะสุภาพและใส่ใจกับมารยาทเสมอเมื่อพวกเขาเจอกัน เพราะอย่างนั้น โม่เทียนเกอจึงต้องแสร้งทำหน้ายิ้มและตอบว่า “ช่วงหลังข้ากำลังร่ำเรียนวิชาลับอยู่น่ะ ข้าเลยไม่มีเวลาได้ออกมาข้างนอก”


 


 


“จริงหรือ” ดวงตาของไป๋เยี่ยนเฟยสดใส “วิชาลับประเภทไหนหรือ ศิษย์พี่บอกข้าได้ไหมเราจะได้เรียนด้วยกัน”


 


 


ถ้ามันสามารถบอกกับใครได้ง่ายๆ มันจะยังเรียกว่าวิชาลับได้อยู่รึ โม่เทียนเกอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะฝืนยิ้ม “ศิษย์น้องไป๋มาทำอะไรที่นี่ล่ะ เจ้ามาเพื่อจัดการอะไรหรือเปล่า”


 


 


“ก็ประมาณนั้น…” ไป๋เยี่ยนเฟยพูดอย่างกำกวม “ศิษย์พี่ เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ในเมื่อเราบังเอิญเจอกัน เราไปที่ไหนสักที่และคุยกันดีไหม”


 


 


“นี่… ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะน่ะ” โม่เทียนเกอบอก “ท่านอาจารย์ให้ข้ามาจัดการหลายเรื่องเลย ศิษย์น้องไป๋ ข้าขอโทษด้วย ข้าคงต้องขอตัวก่อน” นางหันกลับและก้าวขึ้นบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวทันที เหาะไปทางยอดเขาวสันต์กระจ่าง


 


 


“ศิษย์พี่!” ไป๋เยี่ยนเฟยตะโกนไล่หลัง แต่โม่เทียนเกอไม่กล้าหยุด นางไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเขาด้วยซ้ำ


 


 


นางเหาะกลับไปถึงที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างแล้วรีบเข้าตำนักซ่างชิง หลังจากที่นางเห็นว่าไป๋เยี่ยนเฟยไม่ได้ตามนางมาเท่านั้นนางถึงถอนใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด


 


 


นางกลัวศิษย์น้องไป๋ผู้นี้เสียจริง นางไม่อาจเข้าใจได้ ถึงแม้ตัวตนปัจจุบันของนางจะแตกต่างและความสามารถของนางก็ไม่ถือว่าแย่ แต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนหญิงสวยๆ อีกนับไม่ถ้วนที่มีระดับการฝึกตนโดดเด่นที่โรงเรียนเสวียนชิง ทำไมเขาถึงต้องตามนางอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นนี้


 


 


“ทำไมเจ้าวิ่งอย่างกับใครไปจุดไฟที่ก้นอย่างนั้นเล่า” เสียงประมุขเต๋าจิ้งเหอลอยมาเข้าหูนาง


 


 


พอได้สตินึกคิดกลับมา โม่เทียนเกอรีบเดินผ่านทางเข้าหลักทันที ผ่านทางเข้าหลักคือโถงหลักซึ่งประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังทำสมาธิอยู่พอดี นับเป็นโอกาสที่หาได้ยาก พอถูกรบกวนโดยโม่เทียนเกอ เขาก็กำลังจ้องเขม็งและหัวเสียใส่นาง


 


 


“ท่านอาจารย์” นางเรียกด้วยท่าทีนอบน้อม


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงจ้องนางเขม็งสักครู่หนึ่งก่อนจะหยุดทำสมาธิ “เกิดอะไรขึ้น ข้าบอกให้เจ้าไปที่ยอดเขาหลักเพื่อส่งข้อความ ทำไมเจ้าเป็นอย่างนี้ โดนหมาป่าไล่ตามมารึ”


 


 


“ไม่มีหมาป่าที่ไหนไล่ตามข้า เป็นผู้ชายน่ะสิ” โม่เทียนเกอตอบ นางนับถือประมุขเต๋าจิ้งเหอในฐานะอาจารย์มานาน ดังนั้นตอนนี้นางจึงทำตัวได้ตามสบาย นางหาที่นั่งและรินชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง


 


 


“ผู้ชาย?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดด้วยความประหลาดใจ “ใครไล่ตามเจ้า”


 


 


“เอ่อ…” ตาของโม่เทียนเกอหลุกหลิกไปเรื่อยขณะที่นางดื่มชา ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจบอกความจริงตามที่เป็น “ศิษย์น้องไป๋เยี่ยนเฟยแห่งยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณเจ้าค่ะ”


 


 


“ไป๋เยี่ยนเฟย?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยายามจะนึกชื่อนี้ “ศิษย์ของตาเฒ่าเต๋าเจิ้นหยางน่ะรึ”


 


 


พอเห็นนางพยักหน้า ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ยิ่งประหลาดใจ “เขาไล่ตามเจ้าทำไม”


 


 


“ข้าเองก็สับสนเช่นกัน…” โม่เทียนเกอกล่าว “ศิษย์น้องไป๋ทำตัวเป็นมิตรเกินไปเวลาเขาปฏิบัติกับคนอื่น ตั้งแต่ข้าเจอเขา เขาก็มักจะเชิญข้าออกไปคุยกันข้างนอกอยู่บ่อยๆ ถ้าข้าไม่ไป ข้าก็จะรู้สึกไม่ดีเพราะเขามีเจตนาดี แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกทนไม่ไหวที่ต้องไปเหมือนกันเจ้าค่ะ”


 


 


“เจตนาดี?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอที่เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นส่งเสียง “ฮึ่ม!” และพูดว่า “ไอ้เด็กคนนี้มันช่างกล้า! เขาบังอาจหมายตาศิษย์ของข้า!”


 


 


“หมายตา?” โม่เทียนเกอจ้องเขาด้วยสีหน้างุนงง “ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องไป๋ใจดีกับข้ามาก เขาไม่เคยทำอะไรเสียหาย”


 


 


“ฮึ่ม!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งเสียง “ฮึ่ม” ที่รุนแรงกว่าเดิม เม้มปากแน่นและจ้องนาง “เจ้าจะแสร้งทำต่อไปก็ได้! เจ้ากล้าหรือไม่ล่ะที่จะบอกว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจพูดเรื่องนี้ให้ข้าได้ยิน!?”


 


 


“…” ในเมื่อเจตนาของนางถูกเปิดโปง โม่เทียนเกอบอกความจริงทันที “ท่านพูดถูก ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าเด็กคนนี้น่ารำคาญมาก แต่มันคงไม่ดีสำหรับข้าแน่ที่จะปฏิเสธเขาตรงๆ ดังนั้นข้าจึงอยากขอให้ท่านอาจารย์ช่วย”


 


 


หลังจากได้ยินสิ่งที่นางพูด ประมุขเต๋าจิ้งเหอเผยสีหน้าพึงพอใจที่สื่อว่า “แบบนี้ดีกว่าเยอะ” และเชิดหน้าอย่างภูมิใจ “อย่าเล่นเกมต่อหน้าข้า จะมีเรื่องอะไรที่เด็กน้อยผู้ที่เพิ่งใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปีอย่างเจ้าจะสามารถปิดบังจากข้าได้”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มอย่างเจียมตัว “เจ้าค่ะ ข้าจะเทียบกับท่านอาจารย์ผู้ที่มีชีวิตอยู่มามากกว่าแปดร้อยปีและกำลังจะเป็นเทพเจ้าได้อย่างไร”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกสดชื่นที่ได้ยินคำเยินยอของโม่เทียนเกอ อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะหลังจากเขาหัวเราะจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าความหมายเบื้องหลังคำพูดของโม่เทียนเกอดูผิดไป “เจ้าตายแน่สาวน้อย! เจ้าหลอกด่าข้า ท่านอาจารย์ของเจ้า ว่าแก่และยังมีชีวิตอยู่อีกเรอะ!”


 


 


“ข้าเปล่านะ!” โม่เทียนเกอรีบพนมมือเหมือนกำลังสวดอ้อนวอนทันที “ท่านอาจารย์ ข้าแสดงความเคารพต่อท่านอย่างจริงใจและขอร้องท่าน ท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยข้าจัดการเรื่องนี้ที!”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอเป็นคนที่ชอบโอ้อวดและได้รับการเยินยอ ดังนั้นทันทีที่โม่เทียนเกอยอมรับสถานะนี้ ความโกรธของเขาหายไปเกือบจะทันที เขาแค่ “ฮึ่ม” และเหลือบมองนาง แต่น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้นมาก “เล่ามาให้หมด เกิดอะไรขึ้นกับไอ้เด็กแซ่ไป๋คนนี้”


 


 


“ข้าเองก็งงมากเช่นกัน เมื่อข้าไปที่ยอดเขาอาทิตย์รุ่งอรุณเพื่อพบท่านอาจารย์ลุงเจิ้นหยางครั้งก่อน ศิษย์น้องไป๋เป็นคนมาต้อนรับข้า แต่ตั้งแต่นั้นมา เขาก็มักจะเชิญชวนข้าออกไปบ่อยๆ”


 


 


นั่นเป็นความจริง ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ส่วนไหนของข้าที่ทำให้ศิษย์น้องไป๋ผู้นี้ชื่นชอบในตัวข้ากัน เป็นระดับการฝึกตนของข้าหรือ แต่ผู้ฝึกตนหญิงสาวๆ ที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก็มีมากมาย ศิษย์พี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ของอาจารย์ลุงเมี่ยวอีแห่งยอดเขาวิหคอัคคีเขียวก็อายุประมาณสามสิบปีและอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เหมือนโม่เทียนเกอที่ก้าวหน้าขึ้นได้จากชะตาลิขิตล้วนๆ คนคนนั้นก้าวหน้าขึ้นได้เพราะการฝึกตนของนางเอง


 


 


ถ้าอย่างนั้นหรือจะเป็นหน้าตาของข้า? โม่เทียนเกอยอมรับว่านางดูดีใช้ได้ แต่ในโลกแห่งการฝึกตนที่ซึ่งผู้หญิงสวยมีมากเหลือล้น นางก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย สำหรับสถานะ สถานะของนางในฐานะศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ บรรพชนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็จัดว่ามีเกียรติมาก แต่ถึงอย่างนั้น ศิษย์พี่ผู้หญิงคนนั้นจากยอดเขาวิหคอัคคีเขียวก็มีทุกสิ่งที่โม่เทียนเกอมี ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ศิษย์พี่คนนั้นคนเดียว แต่ยังมีศิษย์น้องผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ของอาจารย์ลุงหลิงซวีแห่งยอดเขาล่องเมฆา นางเพิ่งอายุยี่สิบปีได้ไม่นาน ดังนั้นนางจึงเด็กกว่าโม่เทียนเกอแน่นอน


 


 


โม่เทียนเกอพูดทั้งหมดนี้ออกมาดังๆ แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอเพียงแค่คิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า “ไอ้เด็กนั่นยังมีวิสัยทัศน์ที่ดี ศิษย์ของข้าย่อมต้องดีกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา!”


 


 


โม่เทียนเกอกัดฟัน “ท่านอาจารย์!”


 


 


พอเห็นหน้าตาถมึงทึงของนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอระเบิดหัวเราะออกมาทันที “อย่าโกรธน่า อาจารย์กำลังชมเจ้าอยู่! จากเด็กสาวสองคนที่เจ้าพูดถึง คนของเมี่ยวอีไม่สวยเท่าเจ้า และคนของตาแก่หลิงซวีก็ไม่ฉลาดเท่าเจ้า ถ้าเขาต้องเลือกจากพวกเจ้าทั้งสามคน เขาต้องเลือกเจ้าอย่างแน่นอน!”


 


 


“ตามความคิดของข้า หัวใจแห่งเต๋าของไอ้เด็กนั่นต้องไม่มั่นคงแน่ ดังนั้นเขาจึงต้องการหาใครสักคนมาเป็นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ เขาทะนงตนและหยิ่งยโส เพราะฉะนั้นเขาต้องไม่อยากได้ใครที่มีข้อบกพร่องแม้แต่นิดเดียว หลังจากมองหาไปทั่ว เขาอาจจะเจอแค่ไม่กี่คนที่ตรงกับความต้องการของเขา เขารู้จักกับศิษย์สองคนของเมี่ยวอีและตาแก่หลิงซวีตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็ก เขาอาจจะไม่ได้ชอบพวกนั้นมากนัก อย่างไรก็ตาม แล้วเขาก็มาพบเจ้าเข้า ในเมื่อเขาน่าจะคิดว่าเจ้าดีกว่าอีกสองคน เขาจึงตามติดเจ้าเป็นธรรมดา”


 


 


สิ่งที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดก็ค่อนข้างมีเหตุผล โม่เทียนเกอเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนนางจะพูดอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ ได้โปรดช่วยข้าจัดการกับเรื่องนี้ด้วย! ข้ายังไม่อยากจะคิดถึงเรื่องอย่างการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ตอนนี้”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างโอหัง “แน่นอน! ต้องการจะล่อลวงศิษย์ของข้าตามใจชอบ ในโลกนี้มีเรื่องชั้นต่ำอย่างนั้นด้วยหรือ?!” หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องและพูดพร้อมยิ้มกริ่ม “เทียนเกอ เจ้าไม่อยากคิดถึงการฝึกตนร่วมสัมพันธ์จริงๆ รึ? ที่จริงการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ก็มีประโยชน์หลายอย่าง!”


 


 


“ไม่ล่ะ ขอบคุณ!” โม่เทียนเกอปฏิเสธตรงๆ โดยไม่แม้แต่จะต้องคิด


 


 


“เจ้าไม่อยากจริงๆ รึ ข้าจะบอกให้นะ เจ้าสลัดไอ้เด็กแซ่ไป๋คนนั้นทิ้งไปได้เลย อาจารย์จะเลือกตัวเลือกที่ดีกว่าให้เจ้า…”


 


 


“ข้าบอกท่านแล้วไงว่าข้าไม่อยาก!”


 


 


เมื่อเห็นนางปฏิเสธอย่างหนักแน่น ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาทันที “ก็ได้ๆ! เจ้าก็เหมือนกับไอ้เด็กเหลือขอนั่น เจ้าทั้งคู่สอนอะไรไม่ได้เลย!”


 


 


“เรื่องนี้จะสอนกันได้อย่างไร ท่านอาจารย์ อย่าบอกนะว่าท่านเคยทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์มาก่อน”


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกอึดอัดกับคำพูดของนาง เขาหันไปหานางและถลึงตาใส่อย่างโกรธๆ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ”


 


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าข้าจะทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านอาจารย์!” โม่เทียนเกอยืนขึ้นจากที่นั่งของนาง “ข้ากลับไปฝึกตนล่ะ อีกอย่างนะท่านอาจารย์ ท่านต้องช่วยข้าแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วย!” 

 

 


ตอนที่ 142-1 การทะเลาะวิวาทครั้งแรกที...

 

“ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอรีบเข้าไปที่ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางพร้อมกับตะโกนเยี่ยงเขาเป็นศัตรู “ออกมาข้างนอกเดี๋ยวนี้!”  


 


 


ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางนั้นเรียบง่ายเหมือนกับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แต่มีทุกสิ่งที่จำเป็นต้องมี การเป็นหนึ่งในสี่หรือห้าของผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายในดินแดนจิตวิญญาณใหม่ของขั้วแห่งท้องฟ้าและเป็นผู้ที่ครองอำนาจสูงสุดในโรงเรียนเสวียนชิง ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าเจิ้นหยางนั้นได้รับการป้องกันอย่างหนาแน่นด้วยกำแพงอาคมต่างๆ นับไม่ถ้วน ถ้ามีศัตรูปรากฏออกมา พวกเขาจะต้องไม่มีทางที่จะเข้าไปได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คนที่กำลังเข้ามาในตอนนี้คือประมุขเต๋าจิ้งเหอดังนั้นศิษย์ผู้เฝ้าประตูจึงปล่อยให้เขาเข้าไปอย่างไร้ข้อจำกัด 


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางผู้ซึ่งกำลังฝึกตนลืมตาขึ้นมา เพียงแค่การโบกมือ เขาได้เคลื่อนย้ายกำแพงอาคมที่เขาวางไว้บนร่างของเขาออกและอนุญาตให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอเข้ามาด้านใน 


 


 


ในขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอสวมเสื้อผ้าที่แสดงให้เห็นถึงความโอ่อ่าราวกับผู้ควบคุม ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกลับแต่งกายในชุดคลุมแห่งเต๋าแบบเรียบง่ายของโรงเรียนและมวยผมขึ้นในทรงผมแบบลัทธิเต๋า ผมของเขาเป็นสีขาวแต่ยังมีลักษณะของผิวที่อ่อนเยาว์ เขาดูสงบและเยือกเย็น เพียงแค่การมองในครั้งแรก ทุกคนก็รู้ได้ในทันทีว่าท่านเป็นอาจารย์ที่หลุดจากทางโลกโดยแท้ เขาเป็นผู้หนึ่งที่มีพฤติกรรมโดดเด่นดั่งเซียน 


 


 


เมื่อเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอพุ่งพรวดเข้ามาในถ้ำของเขา เขาลืมตาขึ้นแต่ก็หลับลงไปอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาดูสงบและเยือกเย็น “เกิดอะไรขึ้น”  


 


 


“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ!? เจ้ายังมาถามข้าอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกนด้วยเสียงตำหนิ “ข้าพูด… ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง บางทีเจ้าอาจจะบังเอิญทราบว่าข้ารับศิษย์ผู้เป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์ เจ้าก็เลยรู้สึกอิจฉาข้าแต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา”  


 


 


ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงภายในโรงเรียนเสวียนชิง แต่แม้กระทั่งทั่วทั้งขั้วแห่งท้องฟ้า อาจจะมีเพียงประมุขเต๋าจิ้งเหอที่กล้าพูดเช่นนั้นกับประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ที่ผ่านมาประมุขเต๋าเจิ้นหยางนั้นเป็นที่รู้จักว่าเป็นอัจฉริยะ เขาก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ในช่วงอายุสองร้อยปีและเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ในช่วงอายุหกร้อยปี หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็พัฒนาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายร้อยปี น่าจะมีผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เพียงแค่สี่คนที่เทียบเท่ากันกับเขา สาเหตุที่ทำไมถึงไม่แน่ใจว่ามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สามหรือสี่คนเพราะหนึ่งในนั้น ตาเฒ่าป่าเถื่อนผู้ซึ่งระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้เก็บตัวสันโดษอยู่เป็นเวลานานมากแล้ว ไม่มีใครรู้ได้ว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ 


 


 


สำหรับประมุขเต๋าจิ้งเหอ ไม่ว่าจะภายในโรงเรียนเสวียนชิงหรือในขั้วแห่งท้องฟ้า เขาไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นผู้ที่ดีที่สุดเมื่อดูจากประสบการณ์การฝึกตนของเขา อย่างที่ดีสุดเขาก็ถือว่าว่าโดดเด่นเท่านั้น อย่างไรก็ตามประมุขเต๋าจิ้งเหอเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพูดเช่นนั้นโดยที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางไม่ตอบโต้กลับ 


 


 


มันยังคงมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ เหตุผลแรกถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของประมุขเต๋าจิ้งเหอจะอยู่ในขั้นกลางของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ เขาเป็นคนที่อารมณ์รุนแรงและชอบที่จะต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นความเข้าใจในการต่อสู้ด้วยพลังเวทนั้นล้ำลึกและเขายังคงมีสมบัตินับไม่ถ้วนรวมถึงวิชาลับต่างๆ แม้กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ที่ยอดเยี่ยมก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเขาได้ง่ายดาย เหตุผลที่สอง อารมณ์ที่หุนหันพลันแล่นของเขาเป็นเช่นนี้ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดีดังนั้นทำไมเขาจะต้องเสียอารมณ์ไปต่อสู้กับเขาเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ด้วย 


 


 


เพราะฉะนั้นถึงแม้ประมุขเต๋าจิ้งเหอจะโวยวาย ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็ยังคงสงบนิ่ง ความจริงแล้วเขาไม่ได้มองไปยังประมุขเต๋าจิ้งเหอด้วยซ้ำ 


 


 


“เจ้ารับศิษย์เข้ามารึ แต่ข้ามีศิษย์ของข้าอยู่แล้ว ทำไมข้าจะต้องอิจฉาเจ้าด้วย”  


 


 


“เจ้าไม่อิจฉารึ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มอย่างเหน็บแนม “ถ้าเจ้าไม่ได้อิจฉาข้า ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้ศิษย์ของเจ้ามาล่อลวงศิษย์ข้า”  


 


 


คำถามนี้ทำให้ประมุขเต๋าเจิ้นหยางงงเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ลืมตาและมองไปที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอ “ล่อลวง?”  


 


 


ความหมายนั้นหยาบคาย แต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงพล่ามต่อไป “อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้ เจ้ามักจะปฏิบัติต่อศิษย์ที่มีรากวิญญาณเดี่ยวของเจ้าคนนั้นอย่างกับเป็นสมบัติพิเศษของเจ้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ ‘ปัญหาใหญ่นี้’ ศิษย์ของเจ้าล่อลวงศิษย์ของข้า!”  


 


 


ในขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอเจตนาย้ำถึง ‘ปัญหาใหญ่’ เขาเลิกคิ้วพร้อมชำเลืองมองไปยังประมุขเต๋าเจิ้นหยาง ความหมายของเขานั้นหมายถึง อย่าพยายามหลอกข้า!  


 


 


“เจ้าพูดถึงเยี่ยนเฟย?” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางเงยหน้าขึ้น มีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวในโรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นแค่นึกเพียงเล็กน้อยเขาก็รู้ได้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดถึงใคร 


 


 


“ขอบคุณสวรรค์ที่เจ้ายังไม่ชรานัก!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างเยาะเย้ย หลังจากนั้นไม่นานเขาพูดอย่างจริงจัง “ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง ข้าจะบอกเจ้านะ ศิษย์ของข้านั้นเก่งจริงๆ แต่เจ้าจะต้องขอข้าก่อนที่จะให้ศิษย์เจ้ามาล่อลวงนาง หากไม่อย่างนั้นมันจะไม่แย่หรือถ้ามันจะมาทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างเรา”  


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางไม่ได้ถูกหลอกได้โดยง่ายและถามกลับไปว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าควรจะอธิบายให้ชัดเจนหรือไม่ก็หยุดทำให้ข้าเสียเวลาสักที”  


 


 


ทั่วทั้งโรงเรียนเสวียนชิง คนที่สามารถพูดแบบนั้นกับประมุขเต๋าจิ้งเหอได้มีเพียงประมุขเต๋าเจิ้นหยางเท่านั้น 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาเหล่านั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็รู้ว่าประมุขเต๋าเจิ้นหยางกำลังหมดความอดทน ใครคนใดคนหนึ่งต้องหยุดเมื่อมีคนล้ำหน้า ดังนั้นประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงเลิกชักแม่น้ำทั้งห้า “ศิษย์คนนั้นของเจ้า… ข้าไม่รู้ว่าทานยาอะไรเข้าไป แต่เขาพยายามเข้าใกล้ศิษย์ของข้าอย่างไม่หยุดหย่อน ศิษย์ของข้าไม่กล้าแม้แต่จะออกมาข้างนอกตอนนี้ อะไรกัน นี่เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ”  


 


 


“ข้าจะไปรู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร” เมื่อเขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็รู้สึกปวดหัวอย่างช่วยไม่ได้ จิ้งเหอคนนี้ช่างเหลือทน! นี่เขาคิดจริงๆ หรือว่าศิษย์ที่ต้องการเข้าใกล้ผู้หญิงจะต้องรายงานอาจารย์ของตัวเองก่อน มีใครช่างไร้เหตุผลเช่นเขาบ้าง เขาอยู่ในดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่แล้ว แต่เขายังคงมาหาข้าด้วยตัวเองเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยว่าศิษย์ของตัวเองถูกล่อลวง? อย่างไรก็ตามประมุขเต๋าเจิ้นหยางยังคงถามยืนยันเรื่องนี้ด้วยท่าทีที่ไม่รีบร้อนนัก “เจ้ากำลังพูดว่าเยี่ยนเฟยกำลังไล่ตามศิษย์ของเจ้า? อ่า ศิษย์น้อยคนนั้นที่เจ้าเพิ่งรับน่ะหรือ ใช่ไหม”  


 


 


“คนนั้นแหละ!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดพร้อมพยักหน้า หลังจากนั้นเขาตบไหล่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางและพูดอย่างจริงจังอีกครั้ง “ศิษย์พี่เจิ้นหยาง อย่าหาว่าข้าไม่ได้เห็นแก่ท่าน ศิษย์ของข้านั้นเยี่ยมยอดจริงๆ แต่ข้าก็ไม่อาจมอบนางให้กับศิษย์ท่านได้ กรุณาบอกศิษย์ของท่านว่าอย่าได้สร้างปัญหาเลย ตกลงไหม”  


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูดอย่างงงๆ “ศิษย์ของข้ายังไม่ได้แต่งงานและศิษย์ของเจ้าก็เช่นกัน แล้วจะมีปัญหาอะไร เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้เจ้าต้องมาหาข้าที่นี่ด้วยตัวเองเชียวหรือ”  


 


 


เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอได้ยินเช่นนั้น เขาพูดด้วยความขุ่นเคือง “เรื่องเล็กๆ น้อยๆ?! ข้าบอกเจ้าอย่างหนึ่งนะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ!” เขาหันมองทางซ้ายและขวาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ก่อนที่จะขยับเข้าไปใกล้ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง เขากระซิบ “ศิษย์คนนี้ถูกพากลับมาโดยเจ้าเด็กเหลือขอของครอบครัวข้า เจ้าก็รู้ว่าเด็กเหลือขอคนนั้นเป็นอย่างไร นึกภาพว่าหายากขนาดไหนที่เจ้าเด็กเหลือขอนั่นพาเด็กผู้หญิงกลับมา! ตอนนี้เขากำลังกังวลเกี่ยวกับการสร้างจิตวิญญาณใหม่ ดังนั้นเขาก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง ถ้าข้าไม่ดูแลเรื่องนี้ให้เขา เขาจะต้องโกรธข้าแน่เมื่อเขาทำได้สำเร็จผล!”  


 


 


หลังจากที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ เขาก็เสริมต่อ “เจ้าควรบอกศิษย์ของเจ้าให้หยุดมาวุ่นวายรอบๆ ศิษย์ข้าได้แล้ว บอกเขาว่าอย่าแม้แต่จะคิด!”  


 


 


เมื่อได้ยินคำอธิบายส่วนแรกของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางก็เข้าใจในเรื่องนี้ แต่เพราะประมุขเต๋าจิ้งเหอเพิ่มคำเตือนเข้ามา เขาจึงไม่พอใจในทันที “ศิษย์ของเจ้ามีความแข็งแกร่งในตัวเอง แต่ศิษย์ของข้ามีรากวิญญาณเดี่ยวซึ่งหาได้ยากในช่วงศตวรรษ เขายังหนุ่ม มีแวว และเขาจะต้องมีอนาคตที่สดใสในภายหลังแน่นอน เขาจำเป็นที่จะต้องไปวุ่นวายกับศิษย์ของเจ้าด้วยหรือ ข้าคิดว่าเขาคงเบื่อ ดังนั้นเขาจึงอยากคุยกับศิษย์ของเจ้า คนหนุ่มสาวเขาคุยกัน เจ้าไม่น่าจะต้องไปคิดมากนัก”  


 


 


“ข้าคิดมากเกินไป?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกน “ถ้าข้าคิดมากเกินไป แล้วทำไมศิษย์ของเจ้าจึงชวนศิษย์ของข้าออกไปบ่อยนัก ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง เจ้าไม่ควรที่จะทำเป็นตาบอดปกป้องศิษย์ของเจ้า ข้าต้องบอกว่า ถึงแม้ว่าศิษย์ของเจ้าจะครอบครองรากวิญญาณเดี่ยว เขาก็ไม่สามารถเทียบกับศิษย์ของข้าได้แม้แต่น้อย! เจ้าอยากรู้ไหมว่าต้นทุนธรรมชาติของศิษย์ข้าคืออะไร หึๆ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”  


 


 


เมื่อเห็นคำพูดอวดดีและโอ้อวด ประมุขเต๋าเจิ้นหยางท่าทางขึงขังมากขึ้น “อย่างนั้นก็ได้! หยุดทำเหมือนกับว่าศิษย์ของเจ้าเป็นทรัพย์สมบัติเสียที! ถ้าศิษย์ของข้าต้องการที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์ก็มีคนสมัครใจหลายคนที่จะเป็นคู่เขา ทำไมเขาจะต้องพยายามอะไรมากมายเพื่อที่จะเข้าใกล้ศิษย์ของเจ้าด้วย เจ้ากังวลอย่างไร้เหตุผลจริง!”  


 


 


“นี่… ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง ข้าจะบอกให้นะ เจ้าก็แค่อิจฉา! อิจฉา!”  


 


 


“ข้าน่ะรึอิจฉา? ข้ามีศิษย์ที่ครองรากวิญญาณเดี่ยว ข้ายังจำเป็นจะต้องอิจฉาเจ้าด้วยรึ? ด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าถึงกับต้องมาหาข้าด้วยตัวเองเชียวหรือ กลับไปซะ!” การที่ศิษย์ของเขาโดนดูแคลนอย่างต่อเนื่องทำให้ประมุขเต๋าเจิ้นหยางรู้สึกรำคาญอย่างมาก เขาสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ สั่งให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับไปอย่างไม่มีพิธีรีตอง 


 


 


“เจ้าคิดว่ามาบอกให้ข้ากลับ แล้วข้าจะกลับรึ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอโต้ตอบ “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ศิษย์ของข้าครอบครองรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด! เจ้ารู้ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดคืออะไรใช่ไหม นางยังครอบครองศาสตร์แห่งต้นกำเนิดอีกด้วย! นางอายุยังไม่ถึงสามสิบปีเลย แต่นางก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ศิษย์ของเจ้าทำได้อย่างนั้นหรือเปล่า สำหรับคนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวและต้องการขอความรักจากศิษย์ข้า เขายังห่างไกลนัก!”  


 


 


“รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิด?” ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็หยุดครู่หนึ่ง “ศิษย์ของเจ้าครอบครองรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดในสมัยอดีตกาลงั้นหรือ”  


 


 


“ถูกต้อง!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเชิดหน้าขึ้น 


 


 


กระนั้นวินาทีต่อมา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางยิ้มเยาะอีกครั้ง “นางครอบครองรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดแล้วอย่างไร มันหายสาบสูญไปมากกว่าหมื่นปีแล้ว พวกเราก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร! อย่างไรก็ตาม ศิษย์ของข้าครอบครองรากวิญญาณเดี่ยวอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาจะบกพร่องไป แต่เขาก็ไม่ได้บกพร่องมากนัก!”  


 


 


“ผู้เฒ่าเต๋าเจิ้นหยาง!” เมื่อได้ยินสิ่งที่ประมุขเต๋าเจิ้นหยางพูด ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ที่ยังคงรอให้เขายอมรับในความพ่ายแพ้นั้นหัวเสีย “จะมีรากวิญญาณเดี่ยวไปเพื่ออะไร ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อย่างเราที่มีรากวิญญาณเดี่ยวก้าวหน้าไปได้กี่คนกัน ผู้เฒ่าซงเฟิงครอบครองรากวิญญาณสามธาตุ แต่เจ้าก็ยังแพ้เขา!”  


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดขึ้นมา ประมุขเต๋าเจิ้นหยางโกรธอย่างรุนแรง “ข้าแพ้เขาเมื่อไหร่กัน พวกเราเพียงแค่ไม่เคยเห็นผลลัพธ์สุดท้ายในการต่อสู้ของพวกเราเท่านั้น!” ทันทีหลังจากนั้น เขาพูดอย่างเย้ยหยัน “เจ้าไม่ใช่รึที่มักจะรู้สึกขยะแขยงผู้เฒ่าซงเฟิง แล้วทำไมเจ้าถึงพูดแทนเขาในตอนนี้เล่า อีกอย่าง เจ้าก็มีรากวิญาณเดี่ยว รากวิญญาณเดี่ยวนั้นแย่ๆ จริงหรือ แล้วเจ้าเข้าสู่ดินแดนนี้ได้อย่างไร”  


 


 


“นั่นก็เป็นเพราะข้ามีรากวิญญาณเดี่ยวที่ข้าเองก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะมีอะไรดีนัก! รากวิญญาณเดี่ยวนั้นเยี่ยมยอดแค่ไหนกัน มีคนที่ครองรากวิญญาณเดี่ยวกี่คนที่ไม่สามารถฝึกตนจนถึงดินแดนจิตวิญญาณใหม่ได้” ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูจะไร้ซึ่งเหตุผล 


 


 


ประมุขเต๋าเจิ้นหยางโกรธมากจนหัวเราะออกมาในทันที “ฉินจิ้งเหอ สหายเก่า เจ้าคงต้องการความพ่ายแพ้สินะ เจ้าถึงจงใจมาหาข้าที่นี่ ใช่ไหม ชายแก่ผู้นี้จะทำให้เจ้าสมหวังเอง!” ขณะที่เขาพูด เขาคลำไปรอบๆ และหยิบบางสิ่งออกมา เมื่อเขาเปิดมือที่เกี่ยวกันไว้อยู่ บางสิ่งบางอย่างก็พุ่งออกมาด้านหน้า 


 


 


ประมุขเต๋าจิ้งเหอหลบออกไปจากทางที่ยืนอยู่ เพียงเสี้ยววินาทีคลื่นพลังวิญญาณระเบิดกำแพงหินด้านหนึ่งจนเป็นผุยผงส่งผลให้เขาโกรธยิ่งขึ้นไปอีก เขาหยิบผลน้ำเต้าออกมาและยกมือขึ้นไฟแท้จริงพุ่งออกมาจากผลน้ำเต้า เขาตะโกน “ผู้เฒ่าเจิ้นหยาง! ถ้าข้าไม่สั่งสอนเจ้า เจ้าก็คงคิดว่าจะกลั่นแกล้งข้าได้ง่ายๆ สินะ!”  


 


 


แทนที่จะตอบ ประมุขเต๋าเจิ้นหยางกลับเรียกอาวุธเวทออกมาและพุ่งโจมตีอีกครั้ง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม