ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ 1370-1393

 ตอนที่ 1370 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (5)  


 


 


“ท่านผู้นำตระกูล ท่านผู้นำตระกูล!” ทันใดนั้นเสียงวิตกกังวลก็ดังมาจากด้านนอก แล้วผู้คุ้มกันก็เปิดประตูเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต 


 


 


ชายวัยกลางคนทำสีหน้ายโส “เกิดอะไรขึ้น ไยเจ้าทำตัวหุนหันไร้มารยาท!” 


 


 


“ท่านผู้นำตระกูล” ผู้คุ้มกันคุกเข่า “บ่าวได้รับจดหมายจากเจ้าเมืองบูรพาขอรับ มีรายงานว่าหญิงสาวผู้หนึ่งที่เดินทางผ่านเมืองบูรพามีหยกสลักของอดีตผู้นำตระกูลด้วยขอรับ พวกเขาไม่แน่ใจว่านางเป็นคนที่อดีตผู้นำตระกูลตามหาหรือไม่” 


 


 


“อะไรนะ” 


 


 


ชายวัยกลางคนยืนขึ้น สีหน้าเขาแสดงถึงความตื่นเต้นดีใจ “ข่าวนี้มั่นใจหรือไม่ ผู้ที่มีหยกสลักที่เจ้าพูดถึงเป็นหญิงสาว ไม่ใช่สตรีอายุรุ่นเดียวกับน้องสาว หรือว่าจะเป็นบุตรสาวของนาง เร็วเข้าตามหาอดีตผู้นำตระกูล เจ้าต้องรายงานข่าวนี้ให้เขารู้ให้ได้” 


 


 


ถึงแม้เขาจะดูตื่นเต้นเกินจริง แต่ความปีติบนใบหน้าชายวัยกลางคนก็ไม่มีร่องรอยหลอกลวงแม้แต่น้อย 


 


 


ไม่มีใครรู้ว่าหลายปีมานี้ อาจารย์ตามหาบุตรสาวเขามานานแค่ไหนแล้ว ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ถูกสถานการณ์บังคับ อาจารย์ไม่มีทางฝากบุตรสาวไว้กับคนอื่นแน่ หลังจากแก้ปัญหาเรียบร้อยและออกตามหาบุตรสาว เขากลับไม่พบร่องรอยนางแม้แต่ผมสักเส้น… 


 


 


“ท่านผู้นำตระกูล จดหมายจากเมืองบูรพามีภาพหยกสลักมาด้วยขอรับ” ผู้คุ้มกันยื่นจดหมายให้ด้วยท่าทีนอบน้อม 


 


 


หลังจากที่ชายวัยกลางคนกวาดสายตาอ่านเนื้อหา เขาก็กางภาพหยกสลักออกดู 


 


 


เขาใช้นิ้วค่อยๆ ลูบภาพหยกสลัก แล้วความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้าสู่จิตใจ “อักษรตัวจวินบนหยกสลัก อาจารย์เป็นคนทำด้วยตัวเอง ข้าจำลายมือเขาได้ มันดูไม่เหมือนของปลอมเลย อ้อ ใช่ เจ้าเมืองบูรพาส่งรูปเหมือนของหญิงสาวมาด้วยหรือไม่” 


 


 


องครักษ์ส่ายหน้า “เจ้าเมืองบูรพาส่งมาแค่จดหมายและภาพหยกสลักเท่านั้นขอรับ” 


 


 


“ที่จริงแล้วเขาทำถูกแล้วที่ไม่ส่งภาพเหมือนนางมา ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง นางก็อาจจะตกอยู่ในกำมือคนอื่นเพื่อมาใช้ข่มขู่อาจารย์ได้ ตอนนี้รู้แค่ว่าบุตรสาวของอาจารย์อยู่ในแคว้นนี้ก็เพียงพอแล้ว ต้องมีสักวันที่พวกเขาได้พบกันแน่” 


 


 


น้ำเสียงของชายวัยกลางคนปรากฏความตื่นเต้นที่เขาควบคุมไม่ได้ หลังจากเขาพูดจบก็รีบส่งคนออกไปตามหาที่อยู่ของอดีตผู้นำตระกูล 


 


 


… 


 


 


เมืองหลวง 


 


 


ภายในคฤหาสน์ ชายสูงอายุชุดขาวคนหนึ่งกำลังเล่นหมากรุกอยู่กับชายสูงชราคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามเขา ดวงตาเขาเป็นประกายสดใสขณะแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ 


 


 


คนที่ยืนอยู่ข้างชายสูงอายุชุดขาวคือหญิงสาวผู้หนึ่ง นางอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีได้ ความงามของนางไม่ได้ถึงขั้นล่มเมืองแต่กลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกสบายใจเมื่อมอง เพราะดวงตาของนางนั้นราวกับสื่อความรู้สึกออกมาได้และแวววาวสดใสเหมือนหมู่ดาวยามค่ำคืน 


 


 


“ฮ่าๆ ครั้งนี้ข้าก็ชนะอีกแล้ว” 


 


 


ชายชราชุดน้ำเงินหัวเราะออกมาเต็มเสียงแล้ววางหมากลงบนกระดานก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายอาวุโสชุดขาวแล้วพูดว่า “ตาแก่จวิน ช่วงนี้เจ้าดูกระสับกระส่ายนะ ฝีมือการเล่นหมากรุกของเจ้าก็เหมือนจะแย่ลงด้วย เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


“ก็เพราะศิษย์ของข้าไม่ใช่หรือ” ชายชราชุดขาวหัวเราะอย่างขมขื่น “คนของตระกูลจวินกำลังตามหาข้าภายในแคว้น ข้าเดาว่านั่นเป็นเพราะศิษย์ของข้าคงอยากทิ้งตำแหน่ง ดังนั้นข้าก็เลยเอาหลิงเอ๋อร์มาซ่อนที่นี่ด้วย” 


 


 


ชายชราชุดน้ำเงินขมวดคิ้วแล้วถาม “การตามหาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หลายปีมานี้ก็ยังไม่รู้ที่อยู่ของบุตรสาวเจ้าอีกหรือ” 


 


 


ผู้อาวุโสจวินถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ข้าตามหานางมาหลายสิบปีแต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวเลย เจ้าคิดว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” 


 


 


“ท่านปู่” เมื่อได้ยินเสียงเศร้าสร้อยของชายชรา หญิงสาวก็กะพริบดวงตากลมโตสดใสของนางแล้วหัวเราะคิกคัก 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1371 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (6)  


 


 


“ท่านสบายใจเถอะ ท่านป้าต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ เพียงแค่นางซ่อนตัวอยู่และพวกเรายังหานางไม่เจอเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอายุตอนนี้ของท่านป้า นางต้องมีบุตรแล้วแน่นอน ดังนั้นหลิงเอ๋อร์ก็ต้องมีลูกพี่ลูกน้อง!” 


 


 


ผู้อาวุโสจวินหัวเราะอย่างจริงใจ “ลืมเรื่องมีพี่ชายไปได้เลย ข้าอยากมีหลานสาวมากกว่า หวังว่าจวินเอ๋อร์จะมีหลานสาวให้ข้า!” 


 


 


เทียบกับเด็กผู้ชายแล้ว ผู้อาวุโสจวินอยากได้เด็กผู้หญิงมากกว่า ถ้าหลานเขาเป็นผู้ชายแล้วเรียนรู้นิสัยแบบผิดๆ จากศิษย์ของเขาที่ชอบทำให้เขาโมโหอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเขาจะโมโหจนตายหรอกหรือ 


 


 


เด็กผู้หญิงอย่างหลิงเอ๋อร์ต้องดีกว่าอยู่แล้ว เพราะมีไหวพริบกว่าบิดานาง ความน่ารักและเชื่อฟังทำให้คนรอบข้างชื่นชอบนาง 


 


 


“ท่านปู่ ท่านลำเอียงนี่เจ้าคะ!” หลิงเอ๋อร์พูดติดตลกอย่างมีความสุข 


 


 


“ฮึ่ม ข้าหวังว่าข้าจะอยู่ต่อได้อีกสักสองสามปี หากข้ามีหลานชายแล้วเขาทำให้ข้าเดือดดาลเหมือนบิดาเจ้าจะทำอย่างไร” เมื่อชายชราคิดถึงศิษย์ดื้อด้านของเขาก็ตัวสั่นด้วยความโกรธแล้ว ถ้าเขารู้ล่วงหน้า เขาจะรับศิษย์หญิงแทน 


 


 


ชายสูงอายุในชุดน้ำเงินมองหญิงสาวที่ยืนข้างผู้อาวุโสจวินแล้วเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเ**่ยวย่นของเขา 


 


 


หลายปีที่ผ่านมาต้องขอบคุณเด็กสาวคนนี้ที่ติดตามผู้อาวุโสจวินเดินทางไปทั่ว ไม่อย่างนั้นแม้เขาจะไม่ได้โศกเศร้าจากการหาบุตรสาวไม่พบ เขาก็คงซึมเศร้าอยู่ดี 


 


 


“ท่านปู่เจ้าคะ” หลิงเอ๋อร์กลอกตาแล้วเผยรอยยิ้มเจิดจ้า “ท่านคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นหรือไม่ ท่านพ่อถึงได้ส่งคนจำนวนมากมาตามหาท่าน” 


 


 


“จะมีอะไรเกิดขึ้นเล่า ไม่ใช่ว่าเขาอยากยกตระกูลจวินให้ข้าหรอกหรือ ถ้าตระกูลจวินต้องการให้ชายชราอย่างข้าดูแล แล้วข้าจะรับศิษย์ไว้ทำไม” ผู้อาวุโสจวินส่งเสียงขึ้นจมูก “ถ้าแบบนั้นเขาก็ฝันไปเถอะ!” 


 


 


ชายชราชุดน้ำเงินกระแอมแล้วแสดงท่าทีกระอักกระอ่วน “ที่จริงแล้วเจ้าควรอบรมให้หลิงเอ๋อร์เป็นผู้สืบทอดเจ้านะ พรสวรรค์ของนางไม่แย่ แล้วไม่แน่ในอนาคตนางอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าบิดานางก็ได้ 


 


 


“ไม่มีทาง ข้าอยากให้นางติดตามข้าไปอีกสองสามปี ไม่อย่างนั้นเจ้าจะให้ศิษย์มาติดตามแทนหรือ จะเป็นเรื่องน่าขบขันแค่ไหนหากบุรุษสองคนต้องมานั่งจ้องตากันทุกวัน” ผู้อาวุโสจวินปฏิเสธข้อเสนอของเพื่อนสนิททันที เขาไม่เจอหน้าศิษย์เขาทุกวัน 


 


 


“ท่านปู่มู่ หลังจากที่หลิงเอ๋อร์ติดตามท่านปู่จนพบท่านป้าแล้ว หลิงเอ๋อร์จะกลับไปสืบทอดตำแหน่งเอง” หลิงเอ๋อร์พูดอย่างฉลาดขณะยืนอยู่ข้างๆ 


 


 


ชายชราชุดน้ำเงินมองผู้อาวุโสจวินด้วยความอิจฉา “ตาแก่ ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ ที่มีหลานสาวเฉลียวฉลาดแบบนี้ ดูเหมือนว่าข้าคงต้องรับศิษย์เพื่อไม่ให้อิจฉาเจ้าซะแล้ว” 


 


 


ถึงแม้ว่าหลิงเอ๋อร์จะไม่มีสายเลือดของผู้อาวุโสจวิน แต่ในใจเขาก็นับว่านางเป็นหลานสาวแท้ๆ ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รักนางมากขนาดคอยอบรมสั่งสอนให้นางเป็นผู้สืบทอดของเขา 


 


 


“มาๆ พวกเรามาเล่นหมากรุกกันต่อเถอะ” ผู้อาวุโสจวินหัวเราะอย่างมีความสุข “จริงสิ ดูเหมือนว่าช่วงนี้นครเทียนเย่ว์จะคึกคักน่าดู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


ผู้อาวุโสมู่ขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่ามีใครบางคนชื่อจักรพรรดิปีศาจมีสิ่งที่เรียกว่าหัวใจแห่งมันตา ถ้ากินเข้าไปแล้วจะเป็นอมตะถึงสามวัน ดังนั้นผู้ฝึกฌานจำนวนมหาศาลจึงไล่ตามจักรพรรดิปีศาจเพื่อเอาหัวใจแห่งมันตา!” 


 


 


“หัวใจแห่งมันตา?” ผู้อาวุโสจวินเหม่อลอย “ข้าเคยได้ยินเรื่องของชิ้นนี้มาก่อน หรือว่าจักรพรรดิปีศาจอยู่ที่นครเทียนเย่ว์” 


 


 


“เปล่า” มู่ต้งส่ายหน้า “จักรพรรดิปีศาจอยู่ที่มณฑลคูหลงซึ่งต้องผ่านนครเทียนเย่ว์ไปก่อน แต่ว่าจักรพรรดิปีศาจน่ากลัวมากเกินไปแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายโดยเปล่าประโยชน์ ยอดฝีมือจำนวนมากจึงจัดบททดสอบขึ้น มีแค่คนที่ผ่านบททดสอบเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เดินทางไปมณฑลคูหลงนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไป” 



ตอนที่ 1372 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (7)


 


 


“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” ผู้อาวุโสจวินงุนงง “มนุษย์ตายเพราะแสวงหาความมั่งคั่ง นกก็ตายเพราะแสวงหาอาหาร ขณะที่ชายบริสุทธิ์คนหนึ่งโดนไล่ล่าเพราะทรัพย์สมบัติของเขา! แต่ข้าคิดว่าบททดสอบนี้ค่อนข้างน่าสนใจ”


 


 


“โอ้?” มู่ต้งเลิกคิ้ว “เจ้าอยากเข้าร่วมหรือ”


 


 


ผู้อาวุโสจวินส่ายหน้า “จักรพรรดิปีศาจมีความสามารถในการครอบครองหัวใจแห่งมันตาแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าแค่อยากเห็นความแข็งแกร่งของเมืองหลวงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสมู่อยากรับศิษย์หรอกหรือ ไม่แน่นี่อาจจะเป็นโอกาสดีก็ได้แต่ข้าขอแนะนำเจ้าอย่างหนึ่งอย่ารับพวกที่ไม่ยึดมั่นในคุณธรรม!”


 


 


“ฮ่าๆ” มู่ต้งหัวเราะเบาๆ “ถ้าเจ้าสนใจ ข้าพาเจ้าไปชมบททดสอบนี่ได้นะ ส่วนเรื่องรับศิษย์ก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะ…”


 


 


เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสทั้งคู่ต่างดูถูกพวกที่มารวมตัวกันเพื่อทำลายจักรพรรดิปีศาจแต่ความสนใจของพวกเขาอยู่ที่บททดสอบ


 


 



 


 


นครเทียนเย่ว์


 


 


บนถนนที่คึกคัก ทุกคนต่างสนทนากันเรื่องการรวมกลุ่มจำกัดจักรพรรดิปีศาจทำให้ไม่มีใครเห็นหญิงสาวที่สวมชุดขาวใช้สายตาร้ายกาจของนางกวาดมองผู้คนบนถนนอย่างเย็นชา


 


 


“อาจารย์เจ้าคะ” หลินรั่วไป๋กะพริบดวงตาน่าเอ็นดูของนางแล้วถามว่า “จักรพรรดิปีศาจที่พวกเขาพูดถึงคือใครเจ้าคะ”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงก้มหน้าลูบศีษะหลินรั่วไป๋อย่างอ่อนโยนแล้วยกยิ้มบาง “คนรักของอาจารย์ของเจ้า”


 


 


“โอ้ งั้นในเมื่อพวกเขาตั้งใจจะสังหารเขา ข้าควรสังหารพวกเขาหรือไม่เจ้าคะ” หลินรั่วไป๋พูดด้วยความใสซื่อด้วยท่าทีจริงจัง ดูเหมือนว่าในความคิดนาง การสังหารใครสักคนเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนการดื่มน้ำ


 


 


“ไม่จำเป็น สิ่งสำคัญที่สุดคือตามหาเขาให้เจอหลังจากนั้นก็ยังไม่สายที่จะกำจัดพวกเขา” ประกายดุร้ายพาดผ่านดวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิงขณะที่ปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมา


 


 


หงหลวนที่ยืนอยู่ข้างๆ เดาะลิ้น “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่เมืองบูรพา ชายผู้นี้ที่ชื่อจักรพรรดิปีศาจโดนยอดฝีมือจำนวนมากไล่ล่าเพราะต้องการสมบัติของเขา ไม่คิดเลยว่าแม้จะมาที่เมืองหลวงแล้ว เหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิม” หงหลวนยิ้มแล้วกอดอก


 


 


“แต่ว่ายอดฝีมือของเมืองหลวงแข็งแกร่งกว่าที่เมืองบูรพามาก อย่างในป้ายจัดอันดับก็มีคนจากเมืองบูรพาเพียงสองสามคน แต่มียอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนจากเมืองหลวง ดังนั้นแล้ว…” หงหลวนหยุดก่อนพูดต่อ “ให้หูหลีและอู๋อยู่ที่นี่น่าจะปลอดภัยกว่าติดตามพวกเรา”


 


 


ส่วนหลินรั่วไป๋นั้น…


 


 


นางมีพลังไม่ปกติในร่างก็คงไม่มีปัญหาในการปกป้องตัวเอง


 


 


“หงหลวน เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หูหลีเปลี่ยนสีหน้าทันที “อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงผู้ฝึกฌานขั้นราชันปราชญ์แล้วก็สามารถปกป้องตัวเองได้!”


 


 


หงหลวนเหลือบมองเขาแล้วยิ้มเยาะ “เจ้าปกป้องตัวเองได้แล้วเด็กคนนี้ล่ะ”


 


 


เห็นได้ชัดว่าเด็กชายกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วใช้ดวงตากลมโตมองหูหลีอย่างสิ้นหวัง


 


 


หูหลีขมวดคิ้ว ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมากที่เอาเด็กคนนี้มาด้วยมันทำให้เขาอดช่วยอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วต้องมาดูแลเด็กคนนี้ทุกวันแทน


 


 


“หูหลี เจ้า อู๋และเสี่ยวไป๋ควรอยู่ที่นี่”


 


 


“อาจารย์!” หลินรั่วไป๋กัดปากแล้วมองอวิ๋นลั่วเฟิงขณะน้ำตาคลอเบ้า “ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงนะเจ้าคะ”


 


 


“ข้ารู้” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม “แต่วิญญาณของเจ้ายังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ข้าจึงไม่ยอมให้เจ้าออกไปต่อสู้ รอจนกว่าร่างกายเจ้าหายดีค่อยมาเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งเคียงข้างข้าก็แล้วกัน เข้าใจหรือไม่”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1373 มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง (8)


 


 


หลินรั่วไป๋ก้มหน้าผ่านไปสักพักถึงยอมเหลือบตาขึ้นมามองแล้วพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังท่านแต่ว่าอาจารย์เจ้าคะ ท่านต้องรีบหาคนรักให้เจอโดยเร็วที่สุดนะเจ้าคะ ข้าจะ…ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่”


 


 


นางเป็นเด็กดีเชื่อฟัง ถ้าอาจารย์บอกให้นางอยู่ที่นี่ นางก็จะอยู่แล้วรออาจารย์กลับมา เมื่อเทียบกับนิสัยกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน หลินรั่วไป๋ในตอนนี้เชื่อฟังดีมากจนทำให้คนรักและเอ็นดูนางมากขึ้น ถึงแม้ว่านางจะไม่อยากแยกกับอวิ๋นลั่วเฟิงแต่นางก็เชื่อฟังคำสั่งแล้วอยู่ที่นี่


 


 


“หงหลวน พวกเราไปกันเถอะ” อวิ๋นลั่วเฟิงหันหลังเดินไปที่ประตูเมืองแต่สิ่งที่เกิดขึ้นผิดจากที่นางคาดการณ์เอาไว้มาก นางถูกผู้คุ้มกันสองคนหยุดไว้ทันทีที่นางไปถึงหน้าประตู


 


 


“ช่วงนี้ประตูเมืองจะไม่เปิดให้คนทั่วไปผ่าน โปรดกลับไปด้วย”


 


 


“ทำไม” หงหลวนเก็บความโกรธไว้แล้วถามอย่างเย็นชา ผู้คุ้มกันไม่ได้เหลือบมองนาง อีกทั้งไม่ตอบคำถามนางอีกด้วย กลับเป็นคนที่ผ่านทางพวกนางไปที่ตอบ “แม่นาง พวกเจ้าไม่สังเกตหรือว่าถนนในนครเทียนเย่ว์ถูกปิดอยู่ ถ้าพวกเจ้าอยากผ่าน พวกเจ้าต้องเข้าร่วมบททดสอบที่จัดโดยจวนเจ้านครเทียนเย่ว์เสียก่อน”


 


 


“บททดสอบอะไรงั้นหรือ”


 


 


“บททดสอบมีสองประเภท หนึ่งคือพลังฌาน สองคือทักษะแพทย์ มีแค่คนที่ผ่านบททดสอบเท่านั้นถึงจะสามารถติดตามกลุ่มที่จะออกเดินทางพรุ่งนี้ไปได้ ข้าแนะนำว่าพวกเจ้าอย่าใช้กำลังฝืนออกเมือง ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าจะถูกยอดฝีมือของนครเทียนเย่ว์ไล่ตาม”


 


 


หงหลวนขมวดคิ้วแน่นแล้วหันมาพูดกับอวิ๋นลั่วเฟิง “อวิ๋นลั่วเฟิง เจ้าตัดสินใจว่าอย่างไร ข้าจะทำตามที่เจ้าคิด”


 


 


“ถ้าพวกเราใช้กำลังฝ่าไป…ข้ากลัวว่าพวกเราจะไม่ได้เสียเวลาแค่คืนเดียว” นางมั่นใจว่าตัวเองสามารถหนีออกไปได้แต่หูหลีกับคนอื่นๆ ล่ะ แล้วหงหลวนอีก


 


 


นางจะยอมให้หงหลวนและคนอื่นมาเสี่ยงกับนางได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นถ้านางเลือกใช้กำลังฝ่าออกไป ยอดฝีมือจำนวนมากก็จะไล่ล่านาง แล้วตอนนั้นนางก็คงไม่เสียเวลาแค่คืนเดียวแน่นอน…


 


 


“บททดสอบจัดขึ้นที่ไหน” เมื่อคิดถึงตรงนี้อวิ๋นลั่วเฟิงก็ย้ายสายตาไปที่คนที่ผ่านมาที่ดึงความสนใจของพวกนางแล้วเอ่ยถาม


 


 


“แม่นาง พวกเจ้าอยากเข้ารับบททดสอบไหนล่ะ บททดสอบพลังฌานจัดที่สนามประลอง ส่วนบททดสอบแพทย์จัดที่โถงโอสถ”


 


 


“อวิ๋นลั่วเฟิง ข้าไม่รู้วิชาแพทย์ เช่นนั้นข้าขอเลือกไปสนามประลองนะ” หงหลวนเลิกคิ้วแล้วออกตัวเมื่อได้ยินคำอธิบายของคนผ่านทาง


 


 


“ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปโถงโอสถ” พูดจบ อวิ๋นลั่วเฟิงก็หันไปมองคนผ่านทางอีกครั้ง “ข้ารบกวนให้เจ้าช่วยนำทางให้พวกข้าหน่อย”


 


 


คนผ่านทางผู้นี้ดูเหมือนจะยินดีนำทางให้สาวงามทั้งสอง เขาทำท่าเชื้อเชิญอย่างมีความสุขแล้วพาอวิ๋นลั่วเฟิงกับหงหลวนไปส่งที่โถงโอสถและสนามประลอง


 


 


ขณะนั้น ภายในโถงโอสถก็มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวจากผู้คนจำนวนมหาศาลที่ตัวสั่นจากความกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของบททดสอบ มีแต่คนกล้าหาญสองสามคนเท่านั้นที่แก้ปัญหายากๆ นี้ได้


 


 


ผู้อาวุโสจวินและมู่ต้งเดินเข้ามาขณะที่หลิงเอ๋อร์เดินข้างปู่ของนางมาตลอดทาง


 


 


คนในโถงโอสถไม่รู้จักผู้อาวุโสจวินแต่พวกเขารู้จักมู่ต้ง เขาเป็นที่รู้จักดีว่าแม้แต่เจ้านครเทียนเย่ว์ยังต้องประจบเอาใจ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นมู่ต้ง คนในโถงโอสถก็รีบเข้าไปทักทายเขา “ท่านมู่ เหตุใดจึงมาที่นี่ขอรับ”


 


 


สีหน้าของมู่ต้งเฉยชา “ข้าแค่มาดูบททดสอบเฉยๆ อ้อ ใช่ เขาพูดกันว่าเจ้าเอาคำถามเก่าแก่ที่ยากมากมาถาม ข้าสงสัยว่าจะมีคนตอบได้หรือ”


 


 


“ท่านมู่ ท่านต้องล้อข้าเล่นแล้ว จะมีคนตอบคำถามเก่าแก่ที่ยากแบบนั้นได้อย่างไร ตามคำสั่งของเจ้านครถ้ามีคนที่อย่างน้อยตอบได้สักส่วนของคำถามพวกเขาก็ถือว่าผ่านบททดสอบแล้วขอรับ”



ตอนที่ 1374 ทะเลาะเบาะแว้ง (1)


 


 


มู่ต้งพยักหน้าเบาๆ เขาได้ยินมาว่าคำถามโบราณยากมากข้อนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนตอบถูก แต่ถ้าแค่ตอบถูกสักส่วนเดียวไม่แน่ว่าอาจจะมีหวัง


 


 


“หลิงเอ๋อร์” ผู้อาวุโสจวินมองเด็กสาวข้างกายเขาแล้วยกยิ้ม “หลายปีมานี้ข้าสั่งสอนวิชาแพทย์เจ้าตอนนี้ทักษะเจ้าคงถึงจุดสมบูรณ์แบบแล้ว เจ้าควรไปสำรวจรอบห้องโถงโอสถนี้เสียหน่อย”


 


 


หลิงเอ๋อร์เผยรอยยิ้มสดใส “ท่านปู่เจ้าคะ แค่หลิงเอ๋อร์ได้ติดตามท่านก็พอ เกิดท่านปู่ไม่ชอบหลิงเอ๋อร์แล้วไม่อยากให้หลิงเอ๋อร์อยู่ข้างๆ จะทำอย่างไร”


 


 


“ฮ่าๆ” ผู้อาวุโสจวินหัวเราะเต็มเสียง “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะติดตามชายแก่อย่างปู่เจ้าไปทุกวันน่ะ ข้ากลัวว่าเจ้าจะเบื่อเสียก่อน”


 


 


มู่ต้งมองชายชราและเด็กสาว ความอิจฉาปกคลุมดวงตาเขาหนาจนทึบ และตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหน้า


 


 


“สาวน้อย เจ้ามีความรู้ทางการแพทย์จริงหรือ คำตอบง่ายๆ ของเจ้ายังมีข้อผิดพลาด เห็นได้ชัดว่าเจ้าแกล้งทำเป็นรู้ทั้งที่ไม่รู้ อย่าทำให้คนอื่นเสียเวลา ให้พวกเราได้ตอบเสียที!”


 


 


หลังจากผู้จัดการโถงโอสถได้ยินเสียงวุ่นวายเขาก็เผลอปาดเหงื่อ “ท่านมู่ ข้าจะไปดูสถานการณ์ก่อนนะขอรับ”


 


 


“ไม่จำเป็น” ผู้อาวุโสจวินยกมือขึ้นหยุดผู้จัดการโถงโอสถ “พวกเราควรไปดูเหมือนกัน”


 


 


“นี่…” ผู้จัดการโถงโอสถไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจวินเป็นใคร เขาจึงส่งสายตาไปหามู่ต้ง มู่ต้งยิ้มบาง “ฟังเขาเถอะ แล้วพวกเราก็ควรไปดูเหมือนกัน”


 


 



 


 


มีคนมุงกันด้านหน้าและทุกคนก็ล้อมรอบโต๊ะยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขณะชี้นิ้วบ้างบางครั้ง


 


 


ที่หน้าโต๊ะหญิงสาวสวมชุดสีขาวกำลังถือพู่กันด้วยท่าทางใจเย็น นางรีบเขียนคำตอบอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนว่านางไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไร ทว่าคนรอบข้างพากลับกันขมวดคิ้วและหัวเราะเยาะคำตอบที่นางเขียน


 


 


ไม่มีใครสังเกตว่าผู้อาวุโสจวินเดินผ่านฝูงชนแล้วเดินไปอยู่ข้างนาง


 


 


ตอนนั้นเอง เสียงวุ่นวายรอบข้างดูเหมือนว่าจะเงียบลงเมื่อเขาแอบอ่านคำตอบที่นางเขียนลงกระดาษ


 


 


“หือ?”


 


 


ทันใดนั้นผู้อาวุโสจวินก็ส่งเสียงด้วยความแปลกใจ “ผสมเปี๋ยนเชวี่ยต๋านกับหญ้าเห่อซีจะทำให้เกิดอาการชาทั่วทั้งร่างงั้นหรือ” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงพึ่งสังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสจวินมายืนข้างๆ นางก่อนตอบคำถามเขาซึ่งผิดวิสัยปกติของนาง “เปี่ยนเชวี่ยต่านมีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการชา แต่ผลของมันแรงเกินไป ส่วนหญ้าเฮ่อซีก็ทำให้ฤทธิ์ของมันอ่อนลง ทั้งคู่ไม่สามารถใช้แยกกันได้”


 


 


เมื่อขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้จะเสียชีวิตทันทีที่กินเปี่ยนเชวี่ยต่านเข้าไป


 


 


“เป็นแบบนี้นี่เอง” ผู้อาวุโสจวินเหมือนเห็นแสงสว่างก็พยักหน้า “ข้ารู้จักสมุนไพรสองสามชนิดที่ทำให้คนไข้เกิดอาการชาทั้งร่างได้ แต่ละชนิดมีผลข้างเคียงร้ายแรงมากแล้วข้าก็สงสัยว่าผลของเทียบยาเจ้าเป็นอย่างไร”


 


 


“ดังนั้นปิงซวงจือซินจึงสำคัญมาก” มือของอวิ๋นลั่วเฟิงยังไม่หยุดเขียนขณะตอบคำถามของผู้อาวุโสจวินไปด้วย “เมื่อร่างกายของผู้ป่วยชาจนไร้ความรู้สึกแล้วต้องทำให้แน่ใจว่าปิงฉวงจือซินลงไปจะทำให้ลดความดันเลือดของผู้ป่วยป้องกันเลือดไหลย้อนกลับ”


 


 


ผู้อาวุโสจวินที่อยู่ข้างๆ ดูจริงจัง คำตอบของอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ก็เป็นการเปิดประตูสู่โลกใหม่ให้เขาทำให้เขารู้สึกกระจ่างแจ้งทางปัญญา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1375 ทะเละเบาะแว้ง (2)


 


 


“ตาแก่ เจ้าโง่หรือไร เจ้าเชื่ออะไรก็ตามที่เด็กนี้พูดงั้นหรือ” ผู้เห็นเหตุการณ์รอบๆ ทนเงียบต่อไปไม่ได้แล้วส่งเสียงขึ้นจมูก “นางก็แค่เขียนอะไรไร้สาระเท่านั้น แต่เจ้าก็โง่เชื่อนาง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยาเลยนะ ให้คนไข้กินเปี่ยนเชวี่ยต่านงั้นหรือ นั่นไม่ใช่การฆ่าเขาหรอกเหรอ”


 


 


ผู้อาวุโสจวินขมวดคิ้วแล้วมองอย่างเย็นชาไปที่ชายที่หัวเราะเยาะพวกเขา “เปี่ยนเชวี่ยต่านผสมกับหญ้เฮ่อซีอาจจะทำให้เกิดอาการชาจริงๆ ก็ได้ เจ้ายังไม่เคยลองแล้วรู้ได้อย่างไรว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล”


 


 


“ก็จริงที่ข้ายังไม่เคยลอง แต่ทันทีที่ข้าได้ยิน ข้าก็รู้ว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผลแน่ เจ้าเคยลองหรือยัง” เขาหัวเราะเยาะแล้วส่งเสียงขึ้นจมูกอีกครั้ง


 


 


หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว ความโกรธค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ใบหน้านางแต่ท่านปู่ไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นนางจึงไม่ได้ลงมือทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบก่อน เพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ ท่านปู่จวิน


 


 


“สำหรับข้าแล้ว ข้าสามารถคำนวณผลลัพธ์ในความคิดได้โดยไม่ต้องทดลอง”


 


 


นี่เป็นความมั่นใจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ! เขาไม่เหมือนแพทย์ทั่วไป เพราะเขาไม่จำเป็นต้องทดสอบผลลัพธ์ แค่คิดในหัวก็รู้ว่าทำได้หรือไม่ได้แล้ว


 


 


“ฮึ่ม!” เมื่อเห็นคนคนนั้นยังพูดต่อ มู่ต้งก็ส่งเสียงขึ้นจมูก “โถงโอสถนี้อนุญาตให้เข้ามาได้แล้ว เขาก็ยังกล้าแสดงเขาบนหัวของตัวเองอีก เขาไม่เห็นหรือว่าวิธีฝังเข็มของศิษย์ข้าเป็นวิชาเข็มพันเล่มในตำนาน”


 


 


สำหรับแพทย์แล้ว เข็มเงินเป็นของสำคัญรองเพียงสมุนไพร! ถ้าแพทย์ไม่รู้วิธีฝังเข็ม พวกเขาก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่าแพทย์ตัวเต็มได้


 


 


ดังนั้นขณะที่ผู้อาวุโสจวินสนใจเรื่องผสมสมุนไพร มู่ต้งก็มุ่งความสนใจไปที่วิธีฝังเข็มที่อวิ๋นลั่วเฟิงเขียนยิ่งเขาอ่านเขาก็ยิ่งตะลึง


 


 


วิธีการฝังเข็มนี้ยังไม่สมบูรณ์แต่เขาก็เห็นคร่าวๆ แล้วว่าอวิ๋นลั่วเฟิงใช้วิชาเข็มพันเล่มในตำนานในการแก้ปัญหานี้


 


 


แต่ว่า…


 


 


“เดี๋ยวก่อน” อยู่ๆ ผู้อาวุโสจวินก็นึกบางอย่างออกแล้วหันไปมองมู่ต้งด้วยสายตาว่างเปล่า “เจ้าพูดว่าศิษย์เจ้างั้นหรือ ไหนล่ะ”


 


 


“ศิษย์ที่ข้าเพิ่งรับ…” มู่ต้งชี้ไปที่เด็กสาวชุดขาว “คือนาง”


 


 


“บ้าเอ๊ย!” ทันทีที่ผู้อาวุโสได้ยินแบบนี้เขาก็เดือดดาล “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รู้ว่าเจ้าหน้าไม่อายขนาดไหน! นางยอมรับว่าเป็นศิษย์เจ้าตั้งแต่เมื่อไร”


 


 


ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งที่อยู่เหนือกว่าความหน้าไม่อาย!


 


 


มู่ต้งหัวเราะเบาๆ “อย่างไรก็เถอะ ข้าชอบเด็กสาวคนนี้ แค่วิชาเข็มพันเล่มเพียงอย่างเดียว ข้าก็เดาว่าวิชาแพทย์นางคงไม่ธรรมดา”


 


 


“ฮึ่ม!” ผู้อาวุโสส่งเสียงขึ้นจมูก “เจ้าเห็นงั้นหรือ ข้าก็เห็นเหมือนกัน! ไม่ว่าเด็กสาวคนนี้จะแก้ปัญหาโบราณแสนยากนี้ได้หรือไม่ อาศัยแค่ความรู้ทางการแพทย์ที่นางเขียน ข้าก็บอกได้เลยว่าพรสวรรค์ของนางต้องสูงมากแน่!”


 


 


มู่ต้งหรี่ตา “เจ้ามีศิษย์และหลานสาวที่เฉลียวฉลาดอยู่แล้ว ทำไมเจ้าไม่ยกเด็กคนนี้ให้ข้า ว่าอย่างไรเล่า”


 


 


“ใครในโลกนี้จะบ่นเรื่องมีศิษย์อัจฉริยะมากเกินไป เหตุใดต้องยกนางให้เจ้าด้วย”


 


 


ทันใดนั้นเพื่อนเก่าสองคนก็ขยับไปยืนตรงข้ามกันในพริบตา แค่เพราะเด็กสาวคนเดียว!


 


 


“ตาแก่จวิน เจ้าต้องการทะเลาะกับข้างั้นหรือ” มู่ต้งโกรธจนหน้าแดง เขาไม่ใส่ใจมิตรภาพหลายปีของพวกเขาแล้วพูดลอดไรฟันออกมา “อย่าลืมว่าเจ้าสัญญากับข้าว่าเจ้าจะมาช่วยข้าหาศิษย์ แต่ตอนนี้เจ้าต้องการขโมยศิษย์ข้าเสียแล้ว เจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่หรือเปล่า”



ตอนที่ 1376 ทะเลาะเบาะแว้ง (3)


 


 


“มู่ต้ง หยุดเรียกนางว่าเป็นศิษย์เจ้าได้แล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้ยังไม่เป็นศิษย์เจ้าอย่างเป็นทางการเลย! เจ้าอาจจะไม่มีศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่ควรพูดอย่างนั้น!” ผู้อาวุโสจวินอยู่ไปชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นเด็กผู้หญิงคนนี้เข้าตาข้าเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องผิดคาด ทำไมเจ้าไม่ถอยสักก้าวล่ะ ข้าสัญญาว่าข้าะหาศิษย์คนอื่นให้เจ้า”


 


 


คำพูดเขาใกล้จะทำให้มู่ต้งโกรธจนเป็นบ้า เขาหันไปหาหลิงเอ๋อร์แล้วพูดว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าควรคุมปู่เจ้าให้ดี เขากล้าขโมยศิษย์ข้า”


 


 


“ท่านปู่มู่เจ้าคะ” หลิงเอ๋อร์พูดพร้อมยกยิ้มซุกซน “ท่านปู่พูดถูกแล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้ยังไม่ได้เป็นศิษย์ท่านอย่างเป็นทางการ ดังนั้นนางก็ยังไม่ได้เป็นศิษย์ท่าน อีกอย่างข้ารู้สึกว่านางจะเบ่งบานมากกว่าถ้าติดตามท่านปู่ ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”


 


 


เคราของมู่ต้งสั่นอย่างแรง เขาเบิกตากว้าง “เจ้าทั้งคู่รวมหัวกันยั่วโมโหข้า! ให้ข้าบอกเจ้านะ! เด็กผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นของข้าแน่นอน! ใครก็ตามที่กล้าสู้กับข้าเพื่อแย่งนางก็ไม่ใช่สหายกันอีกต่อไป!”


 


 


เมื่อเห็นว่าชายชราทั้งสองกำลังทะเลาะกันก็ไม่มีใครในโถงโอสถกล้าพูดอะไร


 


 


มู่ต้งมีอำนาจในเมืองหลวงพอสมควรและพวกเขาก็ไม่รู้ว่าชายชราชุดขาวคนนั้นเป็นใคร แต่ใครก็ตามที่กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับมู่ต้งได้ต้องเป็นคนที่สำคัญแน่นอน พวกเขาไม่สามารถขัดแย้งกับทั้งคู่ได้ ดังนั้นทุกคนในโถงโอสถถึงถอยหลังอย่างรู้ดี แล้วเว้นพื้นที่เป็นลานกว้างให้ชายชราทั้งสองคน


 


 


ส่วนผู้ที่เมื่อสักครู่ทำให้ผู้อาวุโสจวินอับอาย เมื่อเขารู้สึกถึงกลิ่นอายของชายชราทั้งสอง เขาก็เกือบจะเป็นลมด้วยความกลัว ขอบคุณที่คนที่อยู่ข้างเขาจับไว้ทันทำให้เขาไม่ล้มลงพื้น


 


 


ตอนนั้นเอง อวิ๋นลั่วเฟิงก็เขียนขีดอักษรตัวสุดท้ายเสร็จพอดี นางหันหน้าไปเห็นชายชราที่ถามคำถามนางก่อนหน้านี้เริ่มถกเถียงกับชายชราอีกคนหนึ่ง ใบหน้านางปรากฏความสับสน “เกิดอะไรขึ้น”


 


 


เมื่อสัมผัสได้ว่าเด็กสาวกำลังมองพวกเขา ชายชราทั้งสองก็เดินมาหาอวิ๋นลั่วเฟิงในเวลาเดียวกัน แต่มู่ต้งใช้ร่างเบียดผู้อาวุโสออกไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเองก็เดินเข้ามาหาอวิ๋นลั่วเฟิงเช่นเดียวกับตน “ถอยออกไปอย่ามารบกวนการกลับมาเจอกันอีกครั้งระหว่างข้ากับศิษย์”


 


 


กลับมาเจอกัน? กลับมาเจอกันบ้าออะไร นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน…


 


 


โอ้ ไม่ถูกสิ! นางไม่รู้จักเจ้าด้วยซ้ำไป เช่นนั้นพวกเขาจะกลับมาพบกันอีกครั้งได้อย่างไร


 


 


“สวะ!” ผู้อาวุโสจวินโบกมือแล้วปล่อยพลังลมรูปฝ่ามือไปขวางมู่ต้งเอาไว้ “มู่ต้ง อย่าบังคับให้บิดาทำร้ายเจ้า”


 


 


ครั้งนี้ผู้อาวุโสจวินเปลี่ยนคำเรียกแทนตัวเองจาก ‘ชายแก่คนนี้’ เป็น ‘บิดาผู้นี้’ เห็นได้ชัดว่าในใจเขาโกรธขนาดไหน


 


 


“ทำร้ายข้างั้นหรือ ก็ลองสิ! ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก! เจ้าอาจจะมีพรสวรรค์ด้านวิชาแพทย์มากกว่าข้า แต่พลังของเราก็เสมอกันมาตลอด” มู่ต้งกระแอมแล้วโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงรู้สึกสับสนเพราะว่าช่วงครึ่งหลังนางมีสมาธิมากเกินไปจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นาง…มีอาจารย์อีกคนตั้งแต่เมื่อไร


 


 


“อย่าไปสนใจพวกเขาเลย” ทันใดนั้นก็มีเสียงไพเราะดังระฆังดังขึ้นข้างอวิ๋นลั่วเฟิง นางหันไปก็เจอรอยยิ้มบนใบหน้าน่ารัก รอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันของเด็กสาวเป็นประกาย ดวงตาของนางฉายแววสนุกสนาน


 


 


“ท่านปู่เป็นเช่นนี้ตลอด เมื่อเขาเข้ากับท่านปู่มู่ได้ พวกเขาก็รักกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ แต่เมื่อใดที่เกิดควาามขัดแย้ง พวกเขาก็เปลี่ยนเป็นศัตรูทันที” หลิงเอ๋อร์กะพริบตาอย่างสงสัย “ท่านปู่มู่บอกว่าเจ้ารู้วิชาเข็มพันเล่มจริงหรือเปล่า”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงงุนงง วิชาเข็มพันเล่มงั้นหรือ


 


 


“เจ้าพูดถึงวิธีฝังเข็มที่ข้าเพิ่งวาดงั้นเหรอ” อวิ๋นลั่วเฟิงลูบคางเบาๆ “ถ้าใช่ก็หมายความว่าข้ารู้”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1377 ทะเลาะเบาะแว้ง (4)


 


 


วิธีฝังเข็มถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์เซียน แล้วนางก็บันทึกวิธีการไว้ในความคิดแล้วจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะวาดภาพประกอบ


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหลิงเอ๋อร์ก็เป็นประกาย นางยื่นมือออกไปหาอวิ๋นลั่วเฟิง “ลืมไปเลย ข้าชื่อจวินหลิงเอ๋อร์”


 


 


จวิน? อวิ๋นลั่วเฟิงมีความรู้สึกไวต่อชื่อตระกูลนี้มาก นางจึงหยุดไปชั่วครู่ก่อนจับมือจวินหลิงเอ๋อร์


 


 


“อวิ๋นลั่วเฟิง”


 


 


อีกทางหนึ่งชายชราทั้งสองก็ยุ่งอยู่กับการต่อสู้และไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป


 


 


ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างหน้านาง


 


 


“ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าถึงใช้เวลานานนัก เพราะเจ้าเอาแต่ล่อลวงเด็กสาวใสซื่ออยู่นี่เอง” หงหลวนเดินเข้ามาร่วมกลุ่มอย่างมีชีวิตชีวาแล้วยกแขนโอบไหล่อวิ๋นลั่วเฟิง สายตาของนางหยุดอยู่ที่หลิงเอ๋อร์ก่อนเลิกคิ้ว “เด็กคนนี้ดูสดใสดีจริง ข้าค่อนข้างชอบนางนะ”


 


 


หลิงเอ๋อร์ดูจะไม่เคยพบเจอสตรีที่ห้าวหาญมาก่อน อีกทั้งนางยังล้อเลียนนางทำให้นางรู้สึกตกใจกลัว


 


 


นางตอบเบาๆ “ข้าไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ”


 


 


“ฮ่าๆ!” หงลวนอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “แม่นางน้อย พี่สาวแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าข้าเป็นบุรุษข้าคงอดไม่ที่จะแตะต้องเจ้า”


 


 


ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรี นางก็ยังเป็นเด็กสาวที่สดใสมีชีวิตชีวา ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงถ้าหากนางเป็นบุรุษ!


 


 


หลิงเอ๋อร์หน้าแดง นางไม่เคยถูกแกล้งอย่างชัดเจนขนาดนี้มาก่อนในชีวิตยิ่งอีกฝ่ายเป็นสตรียิ่งไม่เคย


 


 


“อวิ๋นลั่วเฟิง ที่นี่เต็มไปด้วยเรื่องน่าตื่นตามากมาย” หงหลวนยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าผ่านบททดสอบหรือไม่”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้พูดอะไรแล้วหันไปหาผู้จัดการโถงโอสถ


 


 


ผู้จัดการปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วพูดว่า “ผ่าน ผ่าน เจ้าผ่านแล้ว…”


 


 


ดูสิว่าท่านมู่กับสหายเขายังต่อสู้กันแย่งนาง แล้วนางจะไม่ผ่านได้อย่างไร ถึงแม้ว่านางจะเขียนเรื่องไร้สาระแต่นางก็ผ่าน!


 


 


“ในเมื่อเจ้าผ่านแล้วพวกเราก็ไปกันเถอะ” หงหลวนคล้องแขนตัวเองกับอวิ๋นลั่วเฟิง นางไม่ลืมจะหันมาบีบแก้มเนียนนุ่มของหลิงเอ๋อร์ “แม่นางน้อย ไว้เจอกันใหม่”


 


 


ด้านนอกโถงโอสถ อวิ๋นลั่วเฟิงหยุดเดินแล้วเลิกคิ้วมองเด็กสาวชุดแดงที่อยู่ข้างๆ ก่อนพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่รู้จักกัน ข้าไม่เคยเห็นเจ้าสนใจใครมาก่อน”


 


 


ความหมายอีกอย่างก็คือนางต้องการถามว่าทำไมถึงสนใจเด็กสาวคนนั้น


 


 


“ตัวตนของเด็กคนนั้นค่อนข้างพิเศษ” หงหลวนยิ้ม “ถ้าข้าเดาไม่ผิด นางเป็นบุตรสาวของผู้นำตระกูลจวิน”


 


 


คนของตระกูลจวินงั้นหรือ


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงนึกขึ้นได้ว่านางบอกว่าตัวเองชื่อวินหลิงเอ๋อร์ หรือว่านางจะเป็นคนในตระกูลจวินแห่งเมืองวิญญาณ


 


 


“อวิ๋นลั่วเฟิง” หงหลวนหันหน้ามา นางค่อยๆ หุบยิ้มแล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง “เพราะเจ้าเป็นสหายข้า ข้าจะบอกเรื่องนี้ให้เจ้ารู้ ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมีพู่หยกของตระกูลจวินอยู่ในมือ แล้วก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี…”


 


 


“ก่อนที่พวกเราจะรู้ความจริง เจ้าต้องไม่เปิดเผยเรื่องนี้แม้แต่กับคนในตระกูลจวินเอง!” สีหน้าของหงหลวนจริงจังมาก นางไม่รู้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นคนของตระกูลจวินจริงหรือไม่ ถ้าหากว่านาง…เป็นศัตรูของตระกูลจวินล่ะ


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้มบาง ถึงแม้ว่านางมีแผนจะค้นหาความจริงเรื่องจวินเฟิ่งหลิงแต่ก็ไม่ได้มีแผนจะเปิดเผยเรื่องพู่หยกของที่จะรู้ความจริง


 


 


“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนในตระกูลจวินหรือไม่ เจ้าก็ยังเป็นสหายข้าอยู่ดี!” หงหลวนกำมือแล้วทุบหน้าอก “ข้าจะยืนอยู่ข้างเจ้าตลอดไปและจะไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าแน่!”


ตอนที่ 1378 ทะเลาะเบาะแว้ง (5)


 


 


ตัวตนของอวิ๋นลั่วเฟิงมีอะไรเกี่ยวข้องกับนางที่ไหน เป็นนิสัยของนางต่างหากที่หงหลวนยอมรับ


 


 


“พวกเราไปกันเถอะ” อวิ๋นลั่วเฟิงยักไหล่ “พรุ่งนี้พวกเราจะเริ่มออกเดินทางจากนครเทียนเย่ว์”


 


 


หงหลวนไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากหันกลับไปมองโถงโอสถ ดวงตานางเป็นประกายเย็นชา ถ้านางและท่านพ่อคาดผิด อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ใช่คนของตระกูลจวิน นางก็ไม่มีทางยอมให้ตระกูลจวินทำร้ายอวิ๋นลั่วเฟิงอยู่ดี!


 


 



 


 


โถงโอสถ


 


 


ในที่สุดชายชราทั้งสองคนก็หยุดสู้กัน พวกเขาหมดแรงและเหงื่อผุดไหลเต็มหน้าผาก แต่เมื่อพวกเขาหันไปมองรอบๆ พวกเขาก็รู้สึกตัวว่าอวิ๋นลั่วเฟิงหายไปแล้ว


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ข้า” มู่ต้งเดินกลับมา


 


 


“นางไปแล้วเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์เบิกตากลมโตสดใสของนาง “ข้าเห็นพวกท่านจดจ่ออยู่กับการต่อสู้เลยคิดว่าพวกท่านคงกำลังสนุกกันอยู่ จึงไม่ได้แจ้งเจ้าค่ะ”


 


 


“อะไรนะ” มู่ต้งสะดุ้งแล้วรีบถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้ไหมว่านางไปทางตะวันออกหรือตะวันตก”


 


 


“ตะวันตกเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์โกหกโดยตาไม่กะพริบ


 


 


ในความคิดของผู้อาวุโส หลิงเอ๋อร์เป็นเด็กซื่อสัตย์ ดังนั้นมู่ต้งจึงไม่สงสัยอะไรแล้วรีบพุ่งไปทางตะวันตก


 


 


“ท่านปู่ แม่นางอวิ๋นไปทางตะวันออก นางคงยังไปไม่ได้ไกล ท่านควรรีบไปก่อนที่ท่านปู่มู่จะหานางเจอนะเจ้าคะ”


 


 


ผู้อาวุโสมู่หัวเราะลั่นแล้วลูบศีรษะหลิงเอ๋อร์ “เจ้ามันจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ หลังจากปู่รับศิษย์คนนี้แล้ว ปู่จะอนุญาตให้เจ้ากลับบ้านสองสามวัน”


 


 


“ท่านปู่ หลิงเอ๋อร์อยากติดตามท่านปู่เจ้าค่ะ”


 


 


“เด็กน้อย อย่าคิดว่าปู่ไม่รู้ว่าเจ้าคิดถึงครอบครัว ปู่ทำผิดต่อเจ้าแล้ว อีกสองสามวันปู่จะให้เจ้ากลับไปหาพวกเขาสักพักหนึ่ง”


 


 


“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านปู่” รอยยิ้มของนางเจิดจ้าจนส่องเข้าไปในจิตใจของผู้อาวุโสจวิน “แต่หลิงเอ๋อร์ชอบติดตามท่านปู่เดินทางรอบโลกนะเจ้าคะ อ้อ ใช่ เราต้องไล่ตามแม่นางอวิ๋นก่อน ไม่อย่างนั้นตอนที่ท่านปู่มู่รู้ว่าถูกหลอก เขาต้องมุ่งหน้าไปทางตะวันออกแน่เจ้าค่ะ”


 


 


“ตกลง ฮ่าๆ” ผู้อาวุโสจวินหัวเราะเบาๆ แล้วร่างในอาภรณ์ขาวของเขาก็หายไปจากโถงโอสถอย่างรวดเร็ว


 


 


ตอนนั้นเอง ทุกคนภายในโถงโอสถต่างเหงื่อไหลชื้นทั่วร่าง ไม่มีใครคิดว่าเด็กสาวใสซื่อไร้เดียงสาจะรู้วิธีหลอกลวงผู้คนด้วย มู่ต้งน่าสงสาร แต่ก็เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่มีหลานสาวฉลาดเฉลียวและมีพวกมากกว่า


 


 


โชคไม่ดีที่หลิงเอ๋อร์ประเมินความฉลาดของมู่ต้งสูงเกินไป กว่าเขาจะรู้ว่าถูกหลอก เขาก็ค้นหาอวิ๋นลั่วเฟิงจนทั่วเขตตะวันตกของเมืองแล้ว


 


 


ผลก็คือวันนั้นถนนในนครเทียนเย่ว์สั่นไหวจากการตะโกนด้วยความโกรธของชายชรา “จวินหลิงเทียน! จวินหลิงเอ๋อร์! พวกเจ้าทั้งคู่รวมหัวกันหลอกข้า! ดี! ดีมาก! ข้าต้องการตัดขาดกับเจ้า! ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราเป็นศัตรูกัน!”


 


 



 


 


ผู้อาวุโสจวินตามรอยถูกจนเจออวิ๋นลั่วเฟิงและหงหลวนขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าโรงเตี๊ยม เขาขวางทางอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วฉีกยิ้มกว้าง “แม่นางอวิ๋น ทักษะวิชาแพทย์ของเจ้าทำให้ข้าตะลึง ข้าอยากรู้ว่าเจ้ายินดีมาเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตา ประกายบางอย่างพาดผ่านดวงตา “ข้ามีอาจารย์มากพอแล้ว ข้าคงไม่สามารถเป็นศิษย์ท่านได้ แต่หากท่านไม่ถือสา พวกเราสามารถถกกันเรื่องยาได้”


 


 


“ฮ่าๆ” เมื่อเห็นว่าอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้ปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาด ผู้อาวุโสจวินก็หัวเราะเสียงใส “ข้าจะรับโอกาสนี่ไว้ก็แล้วกัน! ข้าเห็นว่าเจ้าอายุเท่าหลานสาวข้า ถ้าเจ้าไม่คิดมากก็เรียกข้าว่าท่านปู่เถอะ ให้ข้าได้มีหลานสาวเพิ่มอีกสักคน”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1379 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (1)


 


 


“ตกลง” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้มแล้วเรียก “ท่านปู่”


 


 


เมื่อได้ยินคำเรียกของนาง อะไรบางอย่างก็ทำให้ผู้อาวุโสจวินของรู้สึกหวั่นไหว ถ้าเด็กคนนี้เป็นหลานสาวของเขาจริงๆ ก็คงดี เขาคงมีความสุขจนเป็นบ้า…


 


 


โชคร้ายที่เขาไม่รู้ว่าจวินเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วก็ไม่รู้ว่านางมีบุตรหรือเปล่า


 


 


หงหลวนยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร นางรู้เป้าหมายของอวิ๋นลั่วเฟิง ชายชราคนนี้เป็นคนของตระกูลจวิน ถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงต้องการหาข่าว นางก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนตระกูลจวิน


 


 


“ฮ่าๆ!” ผู้อาวุโสจวินระเบิดหัวเราะอีกครั้ง “สาวน้อย ถ้าเจ้ายินดี เจ้าไปกับข้าเลยก็ได้นะ”


 


 


“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ” อวิ๋นลั่วเฟิงส่ายหน้าแล้วพูด “ข้ายังมีบางอย่างที่สำคัญมากต้องทำก่อน หากข้าจัดการเสร็จแล้วข้าจะไปหาท่านปู่เจ้าค่ะ”


 


 


“ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น ตาแก่คนนี้ก็คงไม่รบกวนเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็ไปหาข้าที่จวนตระกูลจวินนะ” ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสจวินจะไม่ได้อวิ๋นลั่วเฟิงเป็นศิษย์ แต่เขาก็ได้หลานสาวมาแทน ดังนั้นจึงจากไปอย่างพอใจ ทว่าเมื่อเขากลับไปที่จวนตระกูลมู่ เขาก็ต้องพบกับพายุอารมณ์ลูกใหญ่


 


 


“จวินหลิงเทียน เจ้าบ้าหน้าไม่อาย!” มู่ต้งโมโหจนตาลุกเป็นไฟขณะมองผู้อาวุโสจวิน “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ ข้าหลงผิดมาตลอดหลายปี!”


 


 


ผู้อาวุโสจวินไม่โกรธแล้วยังยิ้มไม่หุบ “มู่ต้ง อย่าโกรธเลย ข้าหาเด็กสาวคนนั้นเจอก็จริง แต่นางบอกว่านางมีอาจารย์เยอะแล้วเลยปฏิเสธข้า”


 


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น มู่ต้งก็รู้สึกดีขึ้น ถึงแม้เขาจะไปช้าแต่ผู้อาวุโสจวินก็รับนางเป็นศิษย์ไม่สำเร็จ


 


 


“แต่ว่า…” ตอนนั้นเอง คำพูดของชายชราก็เปลี่ยนอารมณ์อีกครั้ง “เด็กหญิงตัวน้อยนั่นรับข้าเป็นปู่นางแล้ว”


 


 


“อะไรนะ!” มู่ต้งระเบิดความโกรธ ครั้งนี้เขาไม่ต้องเสียเวลาหาคำพูดอะไรพูดกับผู้อาวุโสจวินแล้วลงมือทันที เขาปล่อยกลิ่นอายหนักแน่นเหมือนกระบี่ที่ชักออกจากฝักแล้วระเบิดพลังออกมา


 


 


ผู้อาวุโสจวินขยับหลบการโจมตีของมู่ต้ง แต่พื้นที่เขาพึ่งยืนอยู่เมื่อครู่ก็เกิดเป็นหลุมลึกอยู่ดี ทำให้รู้เลยว่ามู่ต้งใช้พลังในการโจมตีมากแค่ไหน


 


 


“มู่ต้ง เจ้าเอาจริงหรือ” ผู้อาวุโสจวินไม่คิดว่ามู่ต้งจะจริงจังขนาดนี้ เขาทำได้แค่เบิกตากว้าง “ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้สึกผิดต่อเจ้า ข้าคงตอบโต้ไปแล้ว!”


 


 


“ฮึ่ม!” มู่ต้งส่งเสียงขึ้นจมูก “ไสหัวไป! ตั้งวันนี้เจ้าไม่ใช่สหายข้าอีกต่อไป!” ใครจะรู้ว่าผู้อาวุโสจวินจะขโมยศิษย์ที่เขาชื่นชอบอีกหรือไม่ ถ้าพวกเขายังเป็นสหายที่ดีต่อกันอยู่


 


 


“มู่ต้ง พวกเราทั้งคู่เป็นสหายที่ดีต่อกันมาหลายปีทำไมพวกเราต้องทะเลาะกันเรื่องน่าเบื่อแบบนี้ด้วย” ผู้อาวุโสหน้าไม่อายเดินมาหามู่ต้งด้วยรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าสูงวัยของเขา


 


 


เมื่อเห็นท่าทางยั่วโมโหของเขา มู่ต้งก็ไม่อยากทำอย่างอื่นนอกจากพุ่งไปต่อยเขาสักหมัด เขาได้รางวัลไปแล้วก็ไม่แปลกที่เขาไม่อยากให้พวกเขาทะเลาะกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นมู่ต้งที่ฉวยเด็กผู้หญิงคนนั้นไปได้ ตาแก่ผู้นี้ก็คงประกาศสงครามกับเขาโดยไม่เจรจาสักคำแน่นอน


 


 


“ตอนที่ข้าออกไป ข้าเอาปัญหาที่เด็กอวิ๋นตัวน้อยตอบมากับข้าด้วย พวกเรามาศึกษาด้วยกันดีกว่าว่านางตอบถูกหรือไม่” แน่นอนว่าผู้อาวุโสจวินรู้วิธีดึงความสนใจของมู่ต้งจึงทำตัวหน้าหนาโบกกระดาษคำตอบที่เขาถือไว้ในมือ



ตอนที่ 1380 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (2)


 


 


อย่างที่คิด มู่ต้งอารามณ์เย็นขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานอารมณ์เขาก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง “หลังจากเราศึกษาปัญหานี้แล้ว ข้าจะกลับมาจัดการเจ้าอีกครั้ง!”


 


 


“ไม่ต้องห่วง หลังจากพวกเราแก้ปัญหานี้เสร็จแล้ว ชายแก่คนนี้จะขอโทษแล้วเปลี่ยนตัวเองแน่นอน” ผู้อาวุโสพูดพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือหาคนมาทดลองวิธีการของนาง”


 


 


มีคนเพียงหยิบมือในโลกนี้ที่สามารถตอบคำถามโบราณยากๆ นี้ได้ แต่ถ้าเป็นที่หวาเซี่ย ไม่ว่าศัลยแพทย์คนใดก็ทำได้!


 


 


แน่นอนว่ายังมีคนอย่างหนานกงอวิ๋นอี้ที่ถึงแม้จะมาจากหวาเซี่ยก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามสมุนไพรในโลกนี้ก็ต่างจากที่หวาเซี่ย แม้ว่าสมุนไพรจะมีชื่อเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เกิดผลเหมือนกัน


 


 


สาเหตุที่อวิ๋นลั่วเฟิงสามารถเขียนวิธีการผ่าตัดหัวใจและตอบคำถามเก่าแก่แสนยากนี้ได้ก็เพราะนางฉลาดพอจะใช้ประโยชน์จากความรู้ที่ได้จากคัมภีร์เซียนแล้วนำมาผสมผสานเขากับความรู้ที่เรียนจากหวาเซี่ย


 


 


หลังจากผู้อาวุโสจวินพูดจบ พวกเขาก็รีบส่งคนไปตามหาคนไข้ที่มีอาการเดียวกัน โชคดีที่ถึงแม้มู่ต้งจะเก็บตัวอยู่ที่นี่ เขาก็ยังมียอดฝีมือจำนวนมากภายใต้อำนาจเขา ดังนั้นไม่นานพวกเขาก็พบคนไข้…


 


 


วิธีการรักษาต้องไม่มีข้อผิดพลาด ดังนั้นผู้อาวุโสจวินและมู่ต้งจึงศึกษาคำตอบอย่างละเอียดและพาแพทย์หลายคนจากโถงโอสถมาช่วยก่อนทดสอบวิธีรักษาของอวิ๋นลั่วเฟิง…


 


 


แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าวิธีการนี้จะใช้เวลาถึงสามวันสามคืน


 


 


ด้วยความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสและมู่ต้ง การอดนอนหรือไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลาสามวันขึ้นไปที่อาจทำให้จิตใจตึงเครียดได้กลับดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับพวกเขา ทว่าคนจากโถงโอสถไม่สามารถทนได้และอ่อนแรงจนถึงขีดสุด วินาทีที่พวกเขากำลังจะสลบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นทั่วท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลมู่


 


 


“พวกเราทำสำเร็จ! พวกเราทำสำเร็จจริงๆ! ปัญหาที่ยากจนแก้ไม่ได้นี้ถูกแก้ได้ด้วยมือของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ฮ่าๆๆ!” ผู้อาวุโสจวินระเบิดเสียงหัวเราะ สีหน้าของเขาดีใจเป็นอย่างมาก ดีใจที่เขาตาแหลมและรับอัจฉริยะเป็นหลานสาว มู่ต้งชะงักไปสองสามวินาทีก่อนจะพุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโสจวินทันที ก่อนที่ผู้อาวุโสจวินจะปลดปล่อยความสุข เขาก็โดนบีบคอจนสำลักอย่างโหดร้าย


 


 


“คืนศิษย์ข้ามา! คืนศิษย์ข้ามาเดี๋ยวนี้!”


 


 


แพทย์ทุกคนที่ก่อนหน้านี้งีบหลับก็สะดุ้งตื่น เมื่อพวกเขาเห็นว่าท่าทางควบคุมสติไม่ได้ของมู่ต้งก็รีบวิ่งเข้าไปหาเขาแล้วพยายามจับแขนของเขาเอาไว้


 


 


“ผู้อาวุโสมู่ อย่าทำอะไรหุนหันเลยขอรับ! ท่านต้องใจเย็นก่อน! ปล่อยเขาเถอะขอรับ”


 


 


“แค่กๆ”


 


 


หลังจากมู่ต้งปล่อยมือ ผู้อาวุโสจวินก็ไออยู่สองสามครั้ง เขาไม่ได้โกรธสิ่งที่มู่ต้งทำแล้วยกยิ้มอยู่ “มู่ต้ง หลานสาวข้าไม่ใช่ศิษย์ เจ้าอย่ามาพูดมั่วๆ”


 


 


มู่ต้งค่อยๆ ใจเย็นลงแล้วสูดหายใจลึกๆ ก่อนเอ่ยถาม “หลานสาวเจ้ายังขาดปู่อยู่หรือเปล่า ข้าสามารถยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าให้นางตราบใดที่นางเรียกข้าว่าปู่บ้าง”


 


 


เทียบกับความหายนะของผู้อาวุโสจวิน มู่ต้งให้ความสำคัญกับอัจฉริยะ สำหรับเขา ทรัพย์สมบัติก็มีอยู่ทั่วไปดังนั้นเขาคิดว่าการแลกทรัพย์สินของเขาหลานสาวอัจฉริยะอย่างนางคุ้มค่า


 


 


“เจ้าแน่ใจหรือ” ผู้อาวุโสจวินเลิกคิ้ว “สมบัติที่อยู่ในการครอบครองของเจ้ามีมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่สมุนไพรต้นเดียวก็มีค่ามหาศาลแล้ว! เจ้าต้องการใช้สมบัติทั้งหมดเพื่อแลกกับการมีหลานสาวงั้นหรือ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1381 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (3)


 


 


“ถูกต้อง! ตราบใดที่ได้นางเป็นหลานสาวข้า ข้าจะให้นางทุกอย่าง”


 


 


“ไม่ดี ไม่ดี” ผู้อาวุโสจวินส่ายหน้าด้วยความตื่นตระหนก “ข้ายังไม่ได้เตรียมของขวัญให้หลานสาวข้าเลย ถ้าเจ้าชนะข้าจะทำอย่างไร ข้าได้ยินว่าเขตติดทะเลของเมืองหลวงมีสมุนไพรที่ช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของบุคคลอย่างมาก รอให้ข้าได้สมุนไพรนั่นมาให้หลานสาวที่ข้าเลือกก่อน ข้าถึงจะพาเจ้าไปหานาง”


 


 


“จวินหลิงเทียน ให้ข้าพูดอะไรหน่อย ถ้าเจ้าไม่พาข้าไปหานางวันนี้ ปัญหาของเราก็ยังไม่จบ!” มู่ต้งจ้องหน้าผู้อาวุโสอย่างโมโห


 


 


เห็นได้ชัดว่าถ้าผู้อาวุโสจวินปฏิเสธ เขาไม่มีทางปล่อยชายแก่ผู้นี้ไปง่ายๆ แน่ เมื่อเห็นมู่ต้งใกล้จะบ้าคลั่งแล้วในที่สุด ผู้อาวุโสจวินก็ยอม “อย่าลืมสิ่งที่เจ้าพูดเล่า เจ้าจะยกสมบัติที่มีให้นาง ถ้าเจ้ากลับคำ ข้าจะไม่พาเจ้าไปเจอนาง” ถึงแม้ว่าเขาจะยังให้ของขวัญกับอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้ แต่เขาจะปฏิเสธโอกาสที่จะให้อวิ๋นลั่วเฟิงได้รับทรัพย์สมบัติมากมายได้อย่างไร


 


 


โชคร้ายที่สุดท้ายมู่ต้งก็ยังต้องผิดหวังอยู่ดี…


 


 


ตอนที่พวกเขากำลังจะเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็ได้รู้ว่าเมื่อสองสามวันก่อนอวิ๋นลั่วเฟิงได้ออกไปแล้ว ชายชราทั้งสองทำได้แค่กลับบ้านอย่างผิดหวัง


 


 


ทันทีที่ผู้อาวุโสก้าวเท้าออกจากโรงเตี๊ยม ก็มีร่างร่อนลงมาหยุดคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าเขา คนคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “ท่านอดีตผู้นำตระกูล ในที่สุดบ่าวก็หาท่านเจอ”


 


 


สีหน้าของชายชราเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีแล้วน้ำเสียงเขาก็เย็นเหมือนน้ำแข็ง “ชายแก่คนนี้บอกแล้วว่าเรื่องในตระกูลจวินไม่เกี่ยวกับข้า ทำไมพวกเจ้ายังตามหาข้าอยู่อีก”


 


 


“ท่านอดีตผู้นำตระกูล เรื่องนี้พิเศษขอรับ” ผู้คุ้มกันปาดเหงื่อที่ไม่มีสักหยดบนหน้าผาก “ผู้นำตระกูลได้รับจดหมายว่าครั้งหนึ่งเจ้าเมืองบูรพาได้พบคนที่ห้อยพู่หยกด้วยตัวเขาเอง ดังนั้นเขาเลยส่งจดหมายแจ้งตระกูลจวินโดยเฉพาะขอรับ”


 


 


ผู้คุ้มกันยื่นจดหมายที่มีรูปภาพของหยกสลักให้เขาทันที ร่างของผู้อาวุโสจวินแข็งค้าง เขายื่มมือสั่นๆ ไปรับกระดาษแล้วคลี่ออกอย่างเชื่องช้า


 


 


หลายปีมานี้เขาต้องพบกับความหวังและความสิ้นหวังอยู่ตลอด จนกระทั่งสุดท้ายเขาก็ไม่กล้าหวังอีก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าความหวาดกลัวคืบคลานมาสู่ร่าง เขากลัวว่าหยกสลักชิ้นนี้จะไม่ใช่อันที่เขาวางไว้ที่เสื้อผ้าเด็กทารกของบุตรสาวเขา


 


 


แต่ทันทีที่เขาคลี่กระดาษออก น้ำตาเขาก็ไหล เขาค่อยๆ ลูบตัวอักษร ‘จวิน’ บหยกอย่างอ่อนโยน


 


 


“นี่แหละ นี่คือหยกสลักที่ตอนนั้นข้าให้จวินเอ๋อร์ จวินเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่สินะ นางยังมีชีวิตอยู่!”


 


 


เวลาผ่านไปกี่ปีแล้วนะ เขาใช้เวลากี่ปีอยู่ท่ามกลางความโหยหาและสิ้นหวัง เขาไม่เคยหมดหวังแต่ใครจะคิดว่าเขาจะมีโอกาสได้เห็นหยกสลักตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่


 


 


ผู้อาวุโสจวินเงยหน้าแล้วถามอย่างตื่นเต้น “เจ้าเมืองบูรพาได้ให้ภาพเหมือนวินเอ๋อร์หรือชื่อตอนนี้ของนางบ้างหรือไม่”


 


 


“เขาพูดแค่ว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบปีแล้วไม่ได้บอกอย่างอีกขอรับ”


 


 


“หญิงสาวงั้นหรือ” ผู้อาวุโสจวินสะดุ้งแล้วความปีติบนใบหน้าก็ยิ่งมากขึ้น “หรือว่าจวินเอ๋อร์จะมีบุตรของตัวเองแล้ว เด็กสาวคนนั้นเป็นบุตรของจวินเอ๋อร์ใช่หรือไม่ ดีมาก ชายแก่คนนี้มีหลานสาวอีกคนแล้ว!” ผู้อาวุโสจวินที่น่าสงสารเขาไม่รู้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ใช่บุตรสาวของจวินเฟิ่งหลิง แต่เป็นลูกสะใภ้ต่างหาก


 


 


“ยินดีด้วย” มู่ต้งอาจจะยังโมโหอยู่แต่เวลาแบบนี้เขาก็ยังเดินเข้าไปตบบ่าสหายสนิทของเขา



ตอนที่ 1382 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (4)


 


 


ไม่มีใครรู้หลายปีมานี้ความเจ็บปวดที่เพื่อนเก่าของเขาตั้งเผชิญเท่าเขาอีกแล้ว ถ้าจวินเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เรื่องก็ต้องแสดงความยินดี


 


 


“มู่ต้ง” ผู้อาวุโสจวินหันไปหามู่ต้ง “เจ้าช่วยพาหลิงเอ๋อร์กลับจวนตระกูลจวินหน่อยได้หรือไม่”


 


 


มู่ต้งสะดุ้ง “เจ้าตั้งใจจะทำอะไร”


 


 


“ข้าอยากเดินทางไปเมืองบูรพาหาเจ้าเมืองเพื่อถามเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาและชื่อของนาง!” ผู้อาวุโสจวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนประกาศเสียงแข็ง “ครั้งนี้ข้าจะไม่กลับเมืองวิญญาณจนกว่าจะหานางเจอ!”


 


 


“ได้เลย!” มู่ต้งพยักหน้าเบาๆ “ปล่อยให้ข้าดูแลหลิงเอ๋อร์เอง เจ้าป่วยเพราะความคิดถึงมาหลายปีแล้ว ในที่สุดตอนนี้เจ้าก็ได้รับข่าวของจวินเอ๋อร์ว่ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องไม่ยอมแพ้แน่นอน!”


 


 


ผู้อาวุโสจวินส่งสายตาให้มู่ต้งแล้วตบหลังเขาแต่เขาไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณออกมา ระหว่างพวกเขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำขอบคุณกันหรอก เมื่อไม่มีอะไรแล้ว เขาก็หันหลังแล้วร่างสีขาวของเขาก็หายไปจากถนน


 


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ” มู่ต้งเหลือบมองผู้คุ้มกันตระกูลจวิน “ข้าจะพาหลิงเอ๋อร์กลับบ้านอย่างปลอดภัยเอง”


 


 


“ขอรับ ท่านมู่ต้ง” ผู้คุ้มกันประสานมือเคารพแล้วก็หายไปท่ามกลางฝูงชน


 


 



 


 


ตั้งแต่ผ่านบททดสอบ อวิ๋นลั่วเฟิงและหงหลวนก็ติดตามกลุ่มคนแล้วออกจากนครเทียนเย่ว์ได้สำเร็จ แต่พวกนางไม่ได้อยู่ในกลุ่มต่อหลังจากออกจากนครเทียนเย่ว์ พวกนางแยกตัวออกไปทำภารกิจของตัวเอง พวกนางมุ่งหน้าไปที่มณฑลคูหลงเร็วที่สุดเท่ที่จะทำได้ ขณะเดียวภายในมณฑลคูหลงที่เงียบสงบ ใบไม้ค่อยๆ ร่วงจากต้นแล้วปลิวไปตามสายลมก่อนจะร่อนลงจนปกคลุมเต็มถนน


 


 


อาจเป็นเพราะชาวบ้านรู้ว่าในอนาคตจะเกิดการต่อสู้กันภายในมณฑลคูหลง ทุกคนจึงอพยพออกจากเมือง ทิ้งไว้เพียงถนนร้างผู้คนที่เงียบสงัด ภายในห้องส่วนตัว บุรุษผู้หนึ่งนั่งหลังตรงอยู่บนเตียง ชุดคลุมสีดำของเขาเปิดอ้าออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อบนตัวที่ทรงพลัง แผ่นอกเรียบเนียนกระตุ้นให้คนอยากสัมผัส


 


 


ชายหนุ่มหล่อเหลามากแต่สีหน้าของเขากลับนิ่งสนิทและเฉยชา ดวงตาเย็นชาสีดำสนิทนั้นดูเหมือนใต้พิภพที่ลึกสุดหยั่ง


 


 


“ออกไป” เสียงของชายหนุ่มเย็นเยียบจนถึงกระดูก ทำให้ชายชุดน้ำเงินที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวสั่น


 


 


เขาประสานหมัดเคารพแล้วตอบ “ขอรับ!”


 


 


ชายชุดน้ำเงินเข้าใจว่าหลังจากพยายามสกัดยาอยู่หลายวันหลายคืน น้ำยาจากหัวใจแห่งมันตาก็สำเร็จ ที่เหลือก็แค่ผ่าหัวใจของเขาออกเพื่อเอาแก่นเลือดของไป๋ซู่ออกมา


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายชุดน้ำเงินก็ถอยออกไปเงียบๆ แล้วปิดประตูให้ชายอีกคน ภายในห้องก็เงียบสนิท


 


 


ชายหนุ่มพลิกฝ่ามือแล้วถือกริชสีเงินไว้ในมือ เขาหันปลายกริชเย็นๆ เข้าหาอกแล้วแทงเข้าไปอย่างแรง ความเจ็บปวดมหาศาลทำให้เขาส่งเสียงร้องเบาๆ แต่คิ้วของเขากลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย และตัวเขาเองก็ไม่ได้ดึงกริชออก


 


 


เสียงตกใจดังขึ้นจากนอกห้อง ทำให้มือของชายหนุ่มสั่นจนเกือบจะทำกริชหล่น


 


 


“นายหญิง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


ปัง!


 


 


ทันใดนั้นประตูก็ถูกเตะให้เปิดออก อวิ๋นลั่วเฟิงพุ่งเข้ามาในห้องแล้วสิ่งที่สะท้อนเข้าสู่ตานางคือภาพของอวิ๋นเซียวกำลังใช้กริชกรีดผ่าหน้าอกตัวเอง ฉากน่ากลัวนี้ทำให้หัวใจของอวิ๋นลั่วเฟิงสั่นสะท้าน นางถามอย่างไม่อยากเชื่อ “อวิ๋นเซียว เจ้ากำลังทำบ้าอะไร”


 


 


“เฟิงเอ๋อร์ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” อวิ๋นเซียวสะดุ้งแล้วใช้สายตามองไปที่เด็กสาวราวกับว่าเขาลืมความเจ็บปวดไปแล้ว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1383 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (5)


 


 


“บอกข้ามาว่าเจ้าทำอะไรอยู่” เสียงของอวิ๋นลั่วเฟิงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างควบคุมไม่ได้ “เจ้าบอกว่าต้องจากไปสักพักเพื่อมาทำร้ายตัวเองงั้นหรือ เจ้าตั้งใจจะทำอะไร เหตุใดถึงไม่บอกข้า”


 


 


ตั้งแต่ที่นางรู้ว่าอวิ๋นเซียวมีหัวใจแห่งมันตา นางก็สัมผัสได้ว่าน่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น แต่นางไม่เคยคิดว่าเขาจะผ่าอกตัวเอง ทำไมชายคนนี้ถึงไม่ยอมบอกอะไรนางแล้วทำไมเขาต้องทนเก็บไว้คนเดียว อวิ๋นลั่วเฟิงกำหมัดแน่น หัวใจของนางรู้สึกเหมือนถูกบีบอย่างรุนแรงจนร่างทั้งร่างสั่นด้วยความเจ็บปวด


 


 


“เฟิงเอ๋อร์ออกไป…” อวิ๋นเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย “อย่ามอง”


 


 


นางเดินเข้าไปหาเขาเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด


 


 


“เฟิงเอ๋อร์!” อวิ๋นเซียนกำกริชในมือแน่น “ข้าขอร้องล่ะ…ได้โปรดออกไป”


 


 


“อวิ๋นเซียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะเผชิญมันด้วยกัน บอกข้ามาว่าเจ้าตั้งใจจะทำอะไร ไม่แน่ข้าอาจจะช่วยเจ้าได้” เสียงของอวิ๋นล่วเฟิงสั่นสายตาหยุดอยู่ที่แผ่นออกเปื้อนเลือดของอวิ๋นเซียว นางต้องการทำบางอย่างให้เขาแต่ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร


 


 


“นายหญิง”


 


 


อยู่ๆ เสี่ยวโม่ก็ปรากฏที่ข้างตัวอวิ๋นลั่วเฟิง เขาจ้องอวิ๋นเซียวแล้วพูดว่า “มีแก่นเลือดอยู่ในหัวใจของเขา ข้าเชื่อว่าเขาตั้งใจจะเอาแก่นเลือดออกมา”


 


 


ตอนแรกเสี่ยวโม่สัมผัสถึงแก่นเลือดภายในร่างอวิ๋นเซียวไม่ได้ จนกระทั่งอวิ๋นเซียวผ่าหน้าอกเขาออกเสี่ยวโม่ถึงสัมผัสที่มันได้ชัดเจน


 


 


ความเจ็บปวดพุ่งเข้าสู่หัวใจนาง “เสี่ยวโม่ มีวิธีอื่นหรือไม่”


 


 


ชายชุดน้ำเงินที่ตอนแรกเฝ้าอยู่หน้าห้องเดินเข้ามาข้างในอีกครั้ง เขามองอวิ๋นเซียวก่อนหันมาหาอวิ๋นลั่วเฟิง “ไป๋ซู่เป็นคนฝังแก่นเลือดไว้ในร่างนายท่านจนเกิดเป็นคำสาปเลือดขอรับ คำสาปเลือดนี้ทำให้นายท่านไม่สามารถอยู่กับท่านได้ นายหญิง ทางเดียวที่จะทำลายคำสาปเลือดได้คือต้องมีอะไรกับสตรีอื่น แต่นายท่านไม่ต้องการทรยศนายหญิง ทำให้นายท่านเลือกใช้วิธีนี้ขอรับ”


 


 


“ออกไป!” อวิ๋นเซียวทำสีหน้าจริงจังอย่างเย็นชาถึงแม้น้ำเสียงเขาจะอ่อนแรงแต่ก็ยังแสดงถึงนิสัยเกรี้ยวกราดและยโสของเขา คำพูดของเขาส่งตรงไปที่ชายชุดน้ำเงิน หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดมหาศาลบริเวณอกของอวิ๋นเซียว ชายชุดน้ำเงินคงไม่สามารถพูดจนจบได้


 


 


แต่ชายชุดน้ำเงินไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป ถึงแม้ว่าเขาจะถูกส่งกลับไปรับโทษเหมือนหลินฉงเขาก็ต้องบอกนายหญิงเรื่องการกระทำของนายท่าน ไม่อย่างนั้นนายหญิงก็จะไม่รับรู้ถึงทุกอย่างที่นายท่านเสียไป


 


 


“เฟิงเอ๋อร์ ข้าไม่เป็นอะไร ข้าขอร้องท่าน… อย่ามอง” กริชในมืออวิ๋นเซียวยังคงมีเลือดหยดอยู่แต่เพราะอวิ๋นลั่วเฟิงอยู่ที่นี่ เขาจึงขยับอะไรไม่ได้และทำได้แค่ขอร้องเท่านั้น


 


 


ทว่าเมื่อเขาเลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าของเด็กสาวอีกครั้ง เขาก็ชะงัก “ท่าน…ร้องไห้หรือ”


 


 


ตั้งแต่ที่เขารู้จักนางมา เขาไม่เคยเห็นนางมีน้ำตาสักหยดเดียว แต่ตอนนี้นางกำลังร้องไห้… เพราะเขา?


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้หัวใจของอวิ๋นเซียวก็ถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกผิดและต่อว่าตัวเองมากจนกระทั่งเขาลืมความเจ็บปวดที่อกแล้วเหลือแต่ความเจ็บปวดที่หัวใจ! น้ำตาแต่ละหยดของนางเหมือนลูกธนูที่ทำให้หัวใจเขารู้สึกเหมือนถูกลูกธนูนับพันปักเข้ามา


 


 


“เสี่ยวโม่ ดูเหมือนตอนนี้จะสายเกินไปที่จะใช้สมุนไพรยาชา” อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้ตอบอวิ๋นเซียวแล้วหันไปมองเสี่ยวโม่ “ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าช่วย”


 


 


เสี่ยวโม่สะดุ้ง “ท่านวางแผนจะถ่ายพลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนให้อวิ๋นเซียวหรือ นายหญิง มิติคัมภีร์เซียนเกี่ยวข้องกับความลับของท่านถ้าท่านถ่ายพลังฌานให้คนอื่นจะทำให้มิติคัมภีร์เซียนเสียหายแล้วตอนนั้นท่านก็จะเสียชีวิตไปด้วย!”



ตอนที่ 1384 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (6)


 


 


“ข้าไม่สน!” สายตาของอวิ๋นลั่วเฟิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ครั้งนี้ ข้าต้องช่วยเขา” นางไม่มียอมให้อวิ๋นเซียวเผชิญกับทุกอย่างตามลำพัง! ถ้านางสามารถช่วยเขาได้ อย่าว่าแต่ทำให้มิติคัมภีร์เซียนเสียหาย แม้วิญญาณนางจะถูกทำลาย นางก็ไม่เสียใจ!


 


 


“ก็ได้” เสี่ยวโม่พยักหน้า “ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ข้าก็จะสนับสนุนท่าน!”


 


 


เสี่ยวโม่ไม่ได้บอกอวิ๋นลั่วเฟิงว่าเมื่อมิติคัมภีร์เซียนเสียหาย ตัวเขาในฐานะวิญญาณผู้ปกป้องก็จะหายไปด้วย! แต่ไม่ว่านางต้องการจะทำอะไร เขาก็จะสนับสนุนนาง!


 


 


“เฟิงเอ๋อร์!” ถึงแม้อวิ๋นเซียวจะไม่เข้าใจว่าอวิ๋นลั่วเฟิงตั้งใจจะทำอะไร แต่เขาก็ยังได้ยินประโยคสุดท้ายของเสี่ยวโม่ เขาขมวดคิ้วพูด “ข้าจัดการเรื่องนี้เองได้ ท่าน…”


 


 


“หุบปากนะ!” อวิ๋นลั่วเฟิงจ้องเขาอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าจะลงโทษเจ้าที่ปิดบังเรื่องนี้กับข้าทีหลัง! หั่วหั่วปกป้องข้า เสี่ยวซู่ ช่วยข้ามัดเขา! เสี่ยวโม่รวบรวมพลังฌานของมิติคัมภีร์เซียนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดให้เขา”


 


 


“เฟิงเอ๋อร์ ข้าเป็นบุรุษ ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ทำอะไรข้าไม่ได้ ท่านไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตตัวเอง!” อวิ๋นเซียวฝืนต้องการยืนขึ้นแต่ทันใดนั้นเถาวัลย์จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางอากาศแล้วพันชายหนุ่มไว้กับเตียงทันที


 


 


ถ้าตอนแรกอวิ๋นเซียวไม่ได้ผ่าหน้าอกตัวเองเขาก็คงไม่เสียความสามารถในการต่อต้านไม่ให้เสี่ยวซู่รัดตัวเขาไว้อย่างสมบูรณ์ เพราะว่าเขาไม่คิดว่าอยู่ๆ อวิ๋นลั่วเฟิงจะเจอเขา!


 


 


“เฟิงเอ๋อร์!” อวิ๋นเซียวหมดแรงทันทีดวงตาเขาแดงก่ำ “ปล่อยข้า!”


 


 


“อวิ๋นเซียว ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าเผชิญกับปัญหาคนเดียว” อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้ม รอยยิ้มงดงามของนางทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว “เทียบกับการตายแล้ว ข้ากลัวการเจ็บปวดใจมากกว่า…ถ้าข้าเกิดเสียชีวิตเพื่อช่วยเจ้า เจ้าก็มาตามหาข้าที่โลกหลังความตายก็แล้วกัน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น”


 


 


ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหนบนโลก ข้าก็จะรอเจ้าตลอดไป!


 


 


ทันใดนั้นอวิ๋นเซียวก็เงียบลงแล้วหยุดพยายามต่อสู้ ถ้าอวิ๋นลั่วเฟิงเกิดอุบัติเหตุจริงๆ เขาก็จะไปโลกหลังความตายกับนาง พวกเขาสามารถจับมือกันสร้างโลกของพวกเขาเองได้!


 


 


ที่หน้าประตู หงหลวนมองดูคนทั้งสองในห้องเงียบๆ นางเพิ่งเข้าใจคำว่ารักแท้ก็ตอนนี้ สำหรับนาง ชายคนนี้ยอมผ่าหัวใจแล้วหลั่งเลือด ดีกว่าทรยศคนที่ตัวเองรัก


 


 


หลิงลี่เอาแต่บอกว่าบุตรชายของเขาเป็นบุรุษที่ดีที่สุดในโลก หากเป็นอย่างนั้นสามีของอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นบุรุษที่ดีที่สุดในสวรรค์หรือ คนที่ควบคุมท่อนล่างของตัวเองไม่ได้จะเทียบกับคนที่รักคนรักอย่างจักรพรรดิปีศาจได้อย่างไร


 


 


แต่ว่ารักก็เป็นถนนสองสายคู่กัน เขายินดีสละทุกอย่างเพื่อนาง แต่นางก็ยินดีไปโลกแห่งความตายเพื่อเขาเหมือนกัน


 


 


หงหลวนรู้สึกลึกซึ้งอย่างมาก “คนแบบไหนกันที่ใช้คำสาปเลือดกับจักรพรรดิปีศาจ! ถ้าข้ารู้ว่าใครต้องการทำลายคู่รักสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ข้าไม่มีทางละเว้นพวกเขาแน่!”


 


 


“หืม?” หงหลวนได้ยินเสียงม้าวิ่งอยู่ไม่ไกล นางเลิกคิ้ว “ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะพบเราแล้ว อวิ๋นลั่วเฟิงดูแลสามีเจ้าอยู่ที่นี่ ปล่อยให้ข้าจัดการผู้บุกรุกพวกนี้เอง”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงสะดุ้งแล้วหันหลังไปหาหงหลวน นางเงียบไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้า “ระวังตัวด้วย เจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับมานะ!”


 


 


ตอนนี้หั่วหั่วและเสี่ยวซู่อยู่ข้างนางดีที่สุด แต่คนพวกนั้นก็ไม่สามารถปล่อยไว้เฉยๆ ได้ ดังนั้นยอดฝีมือพวกนั้นก็จำเป็นต้องปล่อยให้หงหลวนจัดการด้วยตัวคนเดียว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1385 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (7)


 


 


“เจ้าก็เหมือนกัน” หงหลวนมองอวิ๋นลั่วเฟิงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหันหลังจากไป ชายชุดน้ำเงินเองก็ตั้งใจจะตามออกไป แต่หงหลวนเพียงส่งสายตาเฉยชามาให้เขาแล้วพูดว่า “เจ้าอ่อนแอเกินไป เจ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า ข้าคนเดียวก็เพียงพอ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดโหดร้ายของนาง ชายหนุ่มก็แสดงสีหน้าอับอาย เขาต้องการจะบอกว่านางก็เป็นแค่ผู้ฝึกฌานขั้นราชันเซียนระดับกลางเท่านั้น แต่หงหลวนก็ปิดประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังไปแล้ว


 


 


บนถนนเต็มไปด้วยเสียงอาชาวิ่งและผู้คนจำนวนมหาศาลบนหลังม้าก็มุ่งหน้ามาทางนี้ ความแข็งแกร่งของคนพวกนี้ทั้งหมดอยู่เหนือกว่าขั้นราชันปราชญ์ อีกทั้งความสามารถของพวกเขาก็สูงส่ง


 


 


“สาวน้อย พวกเรามาหาจักรพรรดิปีศาจ ถ้าเจ้ายอมหลีกทางไป ไม่แน่ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า!” เมื่อยอดฝีมือทั้งหลายเห็นคนขวางทางพวกเขาว่าเป็นเพียงแค่สาวน้อยขั้นราชันปราชญ์ระดับกลาง พวกเขาก็ไม่ลังเลและไม่สนใจในตัวนาง


 


 


หงหลวนยิ้มแล้วย้ายไปยืนหน้าประตู อาภรณ์สีแดงของนางปลิวไสวไปตามลมและท่าทางของนางก็เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและกล้าหาญ


 


 


“วันนี้ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าคิดจะได้ก้าวขาเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว! แน่นอนว่าถ้าพวกเจ้าอยากเข้ามาก็มีทางแต่ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”


 


 


“ฮ่าๆ!” เมื่อได้ยินเสียงเด็ดขาดของเด็กสาวชุดแดง ชายวัยกลางคนก็ระเบิดหัวเราะ “เจ้าคนเดียวน่ะหรือ เด็กสาวขั้นราชันปราชญ์ระดับกลางคนเดียวกล้าอวดดีขนาดนี้เลยหรือนี่ ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็สังหารเจ้าก่อนแล้วค่อยสังหารจักรพรรดิปีศาจ!” ทันใดนั้นกลิ่นอายของผู้ฝึกฌานทั้งหมดก็พุ่งในอากาศจนเกิดเสียงดัง!


 


 


หงหลวนหยิบกล่องสีแดงออกมาจากธำมรงค์มิติอย่างใจเย็น มือบอบบางของนางค่อยๆ เปิดกล่องแล้วหยิบเอาผลไม้ที่ส่องแสงสีแดงออกมา


 


 


“ท่านแม่ ท่านทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ข้าก่อนท่านจะจากไปเหมือนเป็นเครื่องรางคุ้มครอง ข้าไม่คิดว่าข้าต้องใช้มันเร็วขนาดนี้” หงหลวนยิ้มบาง “ตอนนั้นท่านบอกข้าว่าข้าต้องไม่ใช่มันนอกจากจะจำเป็นจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้มัน! ข้ายินดีรับผลที่เกิดขึ้น!”


 


 


หงหลวนหยิบผลไม้เข้าปากแล้วทันใดนั้นผลไม้ก็กลายเป็นแสงหายไปในตัวนาง ตอนนั้นเองพลังฌานขั้นราชันปราชญ์ระดับกลางของนางก็เพิ่มขึ้น


 


 


ขั้นราชันปราชญ์ระดับสูง ขั้นเซียนปราชญ์ระดับต่ำ ขั้นเซียนปราชญ์ระดับกลาง ขั้นเซียนปราชญ์ระดับสูง…จนกระทั่งถึงขึ้นจักรพรรดิปราชญ์! ถูกต้องแล้ว ตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางกระโดดขึ้นไปถึงขั้นจักรพรรดิปราชญ์ทันที!


 


 


“อะไร…เกิดอะไรขึ้น เหตุใดอยู่ๆ นางก็เป็นผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ หรือเป็นเพราะว่านางกินผลไม้นั่นเข้าไป” หนึ่งในยอดฝีมือพูดอย่างตกใจสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความกลัว “ไม่ นี่ไม่ถูกต้อง ความแข็งแกร่งของนางไม่มั่นคง นางต้องใช้วิธีเพิ่มพลังชั่วคราวแน่! ถ้าพวกเรารอจนกระทั่งผลของมันหายไปก็จะสามารถสังหารนางได้!” หนึ่งในนั้นได้สติอย่างรวดเร็วแล้วรีบพูดแทรกขึ้นมา


 


 


หงลหวนยืนถือกระบี่ยาว สีหน้าของนางนิ่งสนิท “สองชั่วโมงก็เกินพอให้ข้าจัดการพวกเจ้าแล้ว!”


 


 


คำพูดนางเป็นการยอมรับว่าผลไม้ที่นางกินเข้าไปมีข้อจำกัด แต่แล้วอย่างไรเล่า นางใช้ความเร็วสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้จัดการคนพวกนี้! ความจริงแล้วผลไม้ที่นางกินเข้าไปเป็นทำขึ้นจากพลังของผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ด้วยการสะสมพลังฌานนับพันปี ดังนั้นนางจึงได้รับพลังขั้นจักรพรรดิปราชญ์มาหลังจากกินผลไม้เข้าไป!


 


 


โชคร้ายที่ผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกสมุนไพรโดยใช้พลังฌาน ดังนั้นผลไม้นี้จึงเป็นของผิดพลาด สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้พลังของคงที่ใช้เพิ่มขึ้นชั่วคราว แต่ผลข้างเคียง…ก็ร้ายแรงมากเหมือนกัน!


 


 


“สังหาร!” หนึ่งในยอดฝีมือโบกมือ


 


 


ทันใดนั้นคนจำนวนมากก็พุ่งเข้าหาหงหลวนแล้วเสียงต่อสู้และสังหารก็ดังไปทั่วถนนร้างแห่งนี้


ตอนที่ 1386 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (8)


 


 


ตอนนี้หงหลวนราวกับนักรบถือกระบี่ยาวในชุดเกราะสีแดง!


 


 


นางสังหารทุกอย่างที่ผ่านหน้าและปลิดชีพคนไปนับไม่ถ้วน!


 


 


ตั้งแต่ที่นางจากเมืองบูรพามากับอวิ๋นลั่วเฟิงเมื่อหลายเดือนก่อน นางก็สังหรณ์ใจว่านางต้องเผชิญหน้ากับศัตรูน่าเกรงขามมากมายในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นเพื่ออวิ๋นลั่วเฟิงแล้ว ถึงแม้นางจะต้องทนกับผลข้างเคียงจากการเพิ่มพลัง นางก็ไม่เสียใจ!


 


 



 


 


ภายในห้อง อวิ๋นลั่วเฟิงมุ่งความสนใจไปที่การเอาแก่นเลือดออกจากหัวใจของอวิ๋นเซียวเพียงอย่างเดียวโดยไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกแม้แต่น้อย แต่นางก็เชื่อในตัวหงหลวน นางเชื่อว่านางต้องขัดขวางคนพวกนั้นได้แน่!


 


 


สายตาของอวิ๋นเซียวจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นลั่วเฟิง อาจเป็นเพราะเสี่ยวโม่ส่งพลังฌานจำนวนมากจากมิติคัมภีร์เซียนให้เขา เขาเลยไม่รู้สึกเจ็บมาก ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความเจ็บอยู่บ้าง ดังนั้นสายตาของอวิ๋นเซียวจึงย้ายไปมองอวิ๋นลั่วเฟิงช้าๆ แล้วเขาก็นึกถึงช่วงเวลาที่เขาได้ใช้เวลาบนเตียงกับเด็กสาวเพื่อหันเหความสนใจ


 


 


“นายหญิง” เหงื่อไหลลงจากหน้าผากของเสี่ยวโม่ ใบหน้าซีดเซียวของเขาหันมาหาอวิ๋นลั่วเฟิง “ถึงแม้ว่าภายในมิติคัมภีร์เซียนจะมีพลังฌานมากมายและข้าก็บอกท่านว่ามิติสามารถให้พลังฌานกับท่านได้ไม่กำจัด แต่ความจริงแล้ว…พลังฌานในมิติคัมภีร์มีจำกัด ตอนนี้ข้าสัมผัสได้ว่าครั้งนี้พวกเราใช้มากเกินไปและมิติคัมภีร์เซียนก็ทนมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ขมวดคิ้วเลยสักนิดเดียว “ทำต่อไป!”


 


 


“เข้าใจแล้ว” เสี่ยวโม่ไม่พูดอะไรอีก เขาใช้มือส่งพลังฌานให้อวิ๋นเซียวเพื่อลดความเจ็บปวดจากการผ่าตัดที่หัวใจของเขา


 


 


“เฟิงเอ๋อร์ พอเถอะ…” อวิ๋นเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่เหลือข้าทนได้ ให้เสี่ยวโม่หยุดเถอะ”


 


 


“ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าใช้พลังมากกว่านี้ก็หยุดพูด!” อวิ๋นลั่วเฟิงตะโกนอย่างหัวเสีย ทันทีที่นางนึกได้ว่าอวิ๋นเซียวปิดบังเรื่องสำคัญกับนาง นางก็ยิ่งไม่พอใจ


 


 


อวิ๋นเซียวมองเสี่ยวโม่ที่ร่างเริ่มสั่นเทิ้ม หัวใจของเขาก็อึดอัด มือที่วางอยู่ข้างๆ กำหมัดแน่น…


 


 


เสี่ยวซู่มองอวิ๋นลั่วเฟิงทีมองเสี่ยวโม่ทีหน้าซีดเผือดที เขายื่นมือไปเกาก้นของตัวเองก่อนจะดึงดอกเบญจมาศออกมา ถูกต้อง เป็นดอกเบญจมาศสีเหลืองจริงๆ


 


 


หั่วหั่วมองเสี่ยวซู่อย่างพูดไม่ออก บั้นท้ายของเด็กคนนี้เป็นกระเป๋าสมบัติหรือ เหตุใดจึงมีทุกอย่างอยู่ในนั้น


 


 


หลังจากที่เสี่ยวซู่ดึงดอกเบญจมาศออกมาแล้ว เขาก็ส่งเถาวัลย์ไปรัดตัวอวิ๋นเซียวให้อยู่กับที่แน่นขึ้นก่อนจะเข้าไปในมิติคัมภีร์เซียน


 


 


แต่เดิมมิติคัมภีร์เซียนมีพลังฌานหนาแน่นมาก ทว่าตอนนี้ที่นี่ช่างดูรกร้าง สมุนไพรที่ถูกปลูกไว้ในแปลงก็เ**่ยวเฉาและปลิวไปตามลม ทันทีที่เขาเห็นว่าแหล่งอาหารเขากลายเป็นแบบนี้ เสี่ยวซู่ก็โกรธจัดจนผมตั้ง ตาแดงก่ำ


 


 


ถ้ามิติคัมภีร์เซียนเป็นคน เสี่ยวซู่ต้องรีบเข้าไปตีเขาแน่นอน! แต่ว่าเสี่ยวซู่ไม่สามารถตีมิติคัมภีร์เซียนได้จึงทำได้แค่คิดวิธีรักษามิติที่ใกล้จะพังทลายเอาไว้ ที่สำคัญที่สุดคือช่วยเหลือแหล่งอาหารของเขา!


 


 


ผลก็คือเสี่ยวซู่หาจุดที่เหมาะสมแล้วปลูกต้นอ่อนของดอกเบญจมาศที่เขาดึงออกมาจากบั้นท้ายลงไป จนกระทั่งเขาเห็นดอกเบญจมาศน้อยๆ ค่อยๆ โต เขาถึงตบมือแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ


 


 


การพังทลายของมิติคัมภีร์เซียนเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่การสูญเสียแหล่งอาหารนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก! เขาจะทนอดอยากได้อย่างไร


 


 


แต่ว่าการเติบโตของดอกเบญจมาศช้าเกินไปหน่อย เสี่ยวซู่รับไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงปลดกางเกงแล้วเริ่มปัสสาวะใส่ดอกเบญจมาศน้อย…


 


 


 


 


 


 


ตอนที่1387 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (9)


 


 


ไม่นานหลังจากนั้นดอกเบญจมาศน้อยก็โตอย่างรวดเร็วแล้วค่อยๆ กลายเป็นดอกเบญจมาศยักษ์ที่ใหญ่กว่าต้นไม้ขนาดใหญ่เสียอีก ความจริงแล้วนี่เป็นเมล็ดพืชที่แค่เลียนแบบดอกเบญจมาศเฉยๆ เสี่ยวซู่ใช้มันช่วยรักษามิติคัมภีร์เซียน อ้อ ใช่ ไม่สิ เพื่อรักษาแหล่งอาหารเขาไว้ต่างหาก ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมรูปร่างถึงเหมือนดอกเบญจมาศ [1] เสี่ยวซู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน…


 


 



 


 


ภายในห้อง ทั้งเสี่ยวโม่และอวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้สังเกตว่าเสี่ยวซู่หายไปและก็ไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมิติคัมภีร์เซียน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าดอกเบญจมาศดอกหนึ่งกำลังเติบโตจนบานสะพรั่งอยู่ในมิติ


 


 


“นายหญิง อีกไม่นานมิติคัมภีร์เซียนจะทนไม่ได้อีกต่อไป” เสี่ยวโม่มองอวิ๋นลั่วเฟิงด้วยใบหน้าซีดเผือด “หากท่านยังรักษาอวิ๋นเซียวไม่เสร็จ อีกไม่นานมิติจะพังทลาย”


 


 


พลังฌานที่อวิ๋นลั่วเฟิงใช้เป็นด้ายแบบพิถีพิถันเหมือนการค่อยๆ คัดเลือกใบชา แต่ตอนนี้ก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นางใช้พลังเป็นน้ำ และไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำที่ใหญ่แค่ไหนก็ทนดื่มมันไม่ได้อยู่ดี


 


 


“เสี่ยวโม่ ข้าเกือบจะเสร็จแล้ว เจ้าทนอีกนิดเดียว”


 


 


พวกเขาผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้ว ดังนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงจึงไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่านางจะต้องเสียสละตัวเอง นางก็ไม่ยอมให้อวิ๋นเซียวต้องทนรับความเจ็บปวดนี้!


 


 


ร่างของเสี่ยวโม่สั่น เขามองอวิ๋นลั่วเฟิง ความแน่วแน่ค่อยๆ ปรากฏบนดวงตาสดใสของเขา


 


 


“นายหญิง ท่านยังจำตัวตนที่ข้าเคยพูดถึงได้หรือไม่” เสี่ยวโม่ยิ้ม “การคงอยู่ของข้าเกิดจากพลังฌานในมิติคัมภีร์เซียน ในเมื่อพลังฌานส่วนใหญ่ในมิติใช้ไปกับข้าแล้ว ถ้าเรายังทำแบบนี้ต่อไป ข้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน”


 


 


“แต่ว่า…” เขาเงยหน้ามองด้วยน้ำตาคลอ “ในเมื่อร่างกายถูกสร้างจากพลังฌานของมิติ ข้าก็สามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็นพลังฌานและช่วยลดความเจ็บปวดของอวิ๋นเซียวได้”


 


 


“เสี่ยวโม่!” หัวใจของอวิ๋นลั่วเฟิงบีบรัด “มิติสามารถทนได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าเคยพูดว่าพลังฌานในมิติคัมภีร์เซียนมีมากมายไม่มีวันหมดหรอกหรือ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ถึงขนาดที่เจ้าพูดแต่ก็ควรจะทนได้อีกสักหน่อย”


 


 


เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “แม้จะมีฐานะผู้ปกป้องมิติคัมภีร์เซียน แต่ก็ไม่มีใครรู้ขอบเขตของพลังฌานในมิติคัมภีร์เซียน ดังนั้นข้าไม่สามารถรวบรวมมันได้อีก อย่างน้อยข้าก็ไม่ยอมให้ท่านตาย!”


 


 


เมื่อมิติพังทลาย พวกเขาทั้งคู่จะต้องตาย ดังนั้นจะดีกว่าถ้าเขาจากไปคนเดียว เขาเป็นแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แต่แรกเขาก็ไม่มีชีวิต แล้วมิติคัมภีร์เซียนก็ให้สติปัญญาเพื่อยอมให้ได้พบนายหญิง…กับเสี่ยวไป๋


 


 


เสี่ยวโม่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดถึงเด็กสาวซื่อบื้อน่าเอ็นดูคนนั้นในช่วงเวลาแบบนี้


 


 


“เสี่ยวโม่!” อวิ๋นลั่วเฟิงหน้าเปลี่ยนสีทันที “ข้าไม่ยอมให้อวิ๋นเซียวทรมานจากความเจ็บปวดแล้วก็ไม่ยอมให้เจ้าจากไปเหมือนกัน! ดังนั้นอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ!”


 


 


“นายหญิง ข้าพอใจแล้วที่ครั้งหนึ่งในชีวิตนี้มีโอกาสได้พบท่าน ใช่แล้ว อย่าลืมบอกเสี่ยวไป๋ด้วยว่าถ้าข้าได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ ชาติหน้าข้าอยากแต่งงานกับนาง”


 


 


เขารู้ดีว่านี่เป็นคำขอธรรมดา แต่สำหรับเขา เขาเป็นแค่ก้อนพลัง เขาไม่มีชีวิตแล้วก็ไม่มีวิญญาณ แล้วเขาจะกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างไร ถ้าเขาหายไป เขาก็ไม่มีทางมีตัวตนอยู่ตนโลกนี้ได้อีกต่อไป…


 


 


“เฟิงเอ๋อร์” เมื่อเห็นเสี่ยวโม่กำลังจะเสียสละตัวเอง อวิ๋นเซียวก็ยกมือขึ้นจับมืออวิ๋นลั่วเฟิง “ท่านทำมามากพอแล้ว แทนที่จะปล่อยให้เขาหายไป ข้ายินดีทนรับความเจ็บปวด”


 


 


อวิ๋นเซียวจะไม่รู้ว่าเสี่ยวโม่สำคัญกับนางได้อย่างไร ถ้าเสี่ยวโม่หายไปเพราะเรื่องนี้จริงๆ นาง…ต้องเจ็บปวดไปทั้งชีวิตแน่นอน


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดอกเบญจมาศเป็นคำแสลงในภาษาจีนแปลว่า ทวารหนัก



ตอนที่ 1388 หัวใจที่เจ็บปวดของนาง (10)


 


 


เพื่ออวิ๋นเซียวอวิ๋นลั่วเฟิงไม่กลัวความตายแต่…นางไม่ยอมให้เสี่ยวโม่เสียสละตัวเอง!


 


 


นอกจากวิธีนี้แล้วก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงหรือ หัวใจของอวิ๋นลั่วเฟิงบีบตัวอย่างแรง นางกำหมัดทุบพื้นอย่างจัง บ้าจริง! มันต้องมีทางอื่นสิ!


 


 


ตอนที่เสี่ยวโม่กำลังยอมรับความตาย สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง สีหน้ายอมจำนนของเขาถูกแทนที่ด้วยสีหน้าประหลาด “นายหญิง ข้ามั่นใจว่าก่อนหน้านี้ข้าใช้พลังฌานในมิติคัมภีร์ไปมาก ทำไมตอนนี้มันฟื้นกลับมาแล้วล่ะ”


 


 


“เดี๋ยวก่อน…” ตอนนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างก่อนที่เสี่ยวโม่จะเบิกตากว้างด้วยความตะลึง “เสี่ยวซู่? เขาเข้าไปอยู่ในมิติคัมภีร์เซียนตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วดอกเบญจมาศสีเหลืองใหญ่ยักษ์นั่นมันอะไร”


 


 


ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรการฟื้นฟูของมิติคัมภีร์เซียนก็ทำให้เสี่ยวโม่ตกใจด้วยความปีติ นี่หมายความว่าเขาไม่ต้องเสียสละตัวเองก็สามารถช่วยอวิ๋นเซียวได้!


 


 


“เสี่ยวโม่ ข้าเกือบเสร็จแล้ว ส่งพลังฌานต่อไป!” อวิ๋นลั่วเฟิงฟื้นสติแล้วรีบสั่งหลังจากกดความปีติในใจเอาไว้


 


 


มีชีวิตย่ำแย่ดีกว่าตายสบาย ถ้าคนสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ใครเล่าจะอยากตาย ดังนั้นการฟื้นฟูของมิติคัมภีร์เซียนก็ถือเป็นเรื่องดีมากแน่นอน! ไม่อย่างนั้นเขาต้องเสียสละตัวเองเพื่อรักษาอวิ๋นเซียว! แต่ว่าทันทีที่เขานึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป เขาก็โกรธจนอยากจะร้องไห้ “นายหญิง ข้าไม่แต่งกับเสี่ยวไป๋ได้หรือไม่”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเหลือบมองเขาอย่างใจเย็น “สายไปแล้ว”


 


 


ตอนนั้นเองหัวใจของเสี่ยวโม่ก็รู้สึกเย็นเยียบทันที เขาโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ปากพาซวย ถ้าเขาตายก็ตายไปสิ ทำไมต้องพูดอะไรอย่างชาติหน้าจะแต่งงานกับเสี่ยวไป๋ด้วย ถึงแม้ว่าเสี่ยวไป๋ที่ความจำเสื่อมจะน่าเอ็นดูมาก แต่ทันทีที่นางได้ความจำกลับมา นางก็ต้องกลับเป็นปีศาจอยู่ดี ดังนั้นเสี่ยวโม่จึงเสียใจอย่างสุดซึ้งแต่ก็สายไปแล้ว


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงไม่สนใจเสี่ยวโม่อีกต่อไปแล้วเพ่งสมาธิไปที่การนำแก่นเลือดออกมาจากหัวใจช้าๆ …


 


 


ภายนอกห้อง อาภรณ์ของหงหลวนปลิวไปตามสายลมขณะที่นางสู้อยู่กลางสมรภูมินองเลือด เท้าของนางไม่เคยก้าวออกจากประตูสักก้าวเดียวแล้วยืนอยู่นอกประตูอย่างมั่นคง ไม่ยอมให้ใครผ่านสักคนเดียว แต่นางก็รู้สึกได้ถึงเวลาที่ผ่านไปช้าๆ ความกังวลก็เริ่มเกาะกุมจิตใจ


 


 


ไม่! นางจะไม่ยอมให้คนพวกนี้ผ่านเข้าไปรบกวนอวิ๋นลั่วเฟิง! ถึงแม้ว่านางจะต้องตาย นางก็ต้องซ่อนพวกเขาให้ได้!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของหงหลวนก็มุ่งมั่นแล้วใบหน้าก็ปกคลุมด้วยความเย็นชา ยอดฝีมือที่เข้ามามีมากเกินไปจนถึงขั้นที่ผลาญพลังหงหลวนจนทำให้นางเหนื่อยอ่อน ทุกคนที่นางสังหารหนึ่งคนก็มีคนจำนวนมากมาแทนที่ ศพบนถนนกองกันสูงเหมือนภูเขาที่สูงจรดฟ้า


 


 


พรูด!


 


 


ทันใดนั้นหงหลวนก็กระอักเลือดออกมา ใบหน้างดงามของนางซีดเผือด เหตุใดถึงจบเร็วนัก ท่านแม่บอกไว้ชัดเจนว่าทนได้หนึ่งชั่วโมงแต่นี่พึ่งผ่านไปเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น!


 


 


เมื่อรู้สึกถึงพลังที่ลดลงเรื่อยๆ สีหน้านางก็แสดงออกถึงความวิตกกังวล หรือเป็นเพราะว่ามันเก่าเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง นี่ไม่ดีแล้ว! ถ้านางไม่สามารถหยุดพวกเขาไว้ อวิ๋นลั่วเฟิงต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน! นางกัดริมฝีปากแน่น ใช้มือกุมหน้าอก ให้เวลาข้าอีกสิบห้านาที! ข้าต้องแค่สิบห้านาทีเพื่อจัดการคนพวกนี้! ขอร้องล่ะ!


 


 


ผลไม้ในร่างนางไม่ฟังเสียงอ้อนวอนของนาง แล้วพลังก็ลดลงอย่างรวดเร็วเหมือนถูกสูบออก…


 


 


เมื่อพลังทั้งหมดหายไปความแข็งแกร่งของหงหลวนก็ไม่มั่นคงจนนางเกือบจะล้มลงพื้นแต่เพื่อไม่ให้คนพวกนี้เห็นอะไรผิดปกตินางจึงฝืนตัวเองไม่ให้ล้มแล้วใช้พลังทั้งหมดพยุงร่างตัวเองเอาไว้


 


 


ถึงแม้ว่านางจะพยายามแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนสังเกตเห็นบางอย่างแล้วพูดอย่างแปลกใจ “ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นถึงขีดจำกัดแล้ว! ไม่นานพลังของนางก็ร่วงลงมาที่ขั้นราชันปราชญ์ระดับกลาง! ถึงตอนนั้นพวกเราก็สังหารนางได้ ฮ่าๆ!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1389 เผ่าผู้ใช้เวท (1)


 


 


หงหลวนมองยอดฝีมือทั้งหลายพุ่งเข้ามาหานางอย่างเย็นชา ใบหน้าของนางซีดไร้สีเลือดแต่นางก็ยังไม่ยอมล้ม กลับยืนตระหง่านอยู่ที่หน้าประตูเหมือนภูเขาสูง


 


 


“บ้าเอ๊ย!” นางกัดฟันแน่นเมื่อรู้สึกได้ว่าพลังของนางค่อยไหลออกจากร่าง “ข้าสงสัยว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะเสร็จหรือยัง ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว…”


 


 


ตราบใดที่นางยังมีลมหายใจ นางไม่มีทางยอมให้คนพวกนี้ก้าวข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว! ดังนั้นเมื่อนางเห็นกลุ่มคนเคลื่อนที่เข้ามาหานาง หงหลวนจึงพุ่งเข้าโจมตีศัตรูโดยไม่เสียเวลาคิด เสื้อคลุมสีแดงของนางปลิวไปตามสายลมขณะที่นางลงมือสังหารคนโดยไม่ลังเล แต่ทุกคนก็เห็นว่าพลังของหงหลวนลดหายไปอย่างรวดเร็วแม้นางจะพยายามไม่แสดงท่าทางอ่อนแรงก็ตาม


 


 


ฉัวะ! แควก!


 


 


นางโดนกระบี่ยาวฟันเขาที่แขนจนแขนเสื้อฉีกขาดและเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ทำให้เกิดภาพคล้ายกับฝนที่มีสีงดงามที่สุดตกลงมาจากฟ้า


 


 


“สาวน้อย เจ้ายังไม่คิดหลบอีกหรือ” ชายชราเดินเข้ามาถามอย่างโอหังแล้วมองหงหลวนที่ยังยืนหยัดไม่ขยับไปไหนอย่างดูถูก


 


 


หงหลวนกุมแขนข้างที่บาดเจ็บแน่น ท่าทางนางปล่อยกลิ่นอายทรงอำนาจที่ดูถูกไม่ได้ออกมา “ข้าไม่เคยกลัวความตาย! ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดไปแล้วว่าถ้าพวกเจ้าอยากเข้าไปด้านในก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”


 


 


การที่ยาหมดฤทธิ์ทำให้ความแข็งแกร่งของหงหลวนลดลงจากจักรพรรดิปราชญ์เป็นเซียนปราชญ์แล้ว จากเซียนปราชญ์เป็นราชันปราชญ์…


 


 


โชคร้ายที่การลดระดับยังไม่ยอมหยุดเมื่อถึงระดับความแข็งแกร่งเดิมของนาง พลังนางยังคงลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นขั้นปราชญ์ ขั้นเซียน…


 


 


เมื่อคนที่มากำจัดจักรพรรดิปีศาจเห็นว่าพลังนางลดลง พวกเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังไปทั่วฟ้า เสียงหัวอย่างโอหังของพวกเขาดังก้องไปทั่วที่ถนนที่เงียบสงัด


 


 


“แม่นางน้อย ข้าไม่คิดเลยว่าผลข้างเคียงจากก็เพิ่มพลังของเจ้าจะร้ายแรงขนาดนี้! ถึงกลับเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นขยะได้!”


 


 


ถ้าพลังของนางยังลดลงเรื่อยๆ แบบนี้ ความแข็งแกร่งของหงหลวนจะหายไปอย่างสิ้นเชิง แล้วนางก็จะกลายเป็นขยะตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวใจของหงหลวนบีบรัด นางกุมแขนที่บาดเจ็บแน่น ถึงแม้นางจะไม่เคยคิดว่าผลข้างเคียงจากกินผลไม้จะร้ายแรงขนาดนี้แต่นางก็ไม่เสียใจ!


 


 


“ข้าค่อนข้างสงสัยทีเดียวว่าจักรพรรดิปีศาจเป็นอะไรกับเจ้า เจ้าถึงได้ปกป้องเขาไม่ถอยขนาดนี้” ชายอาวุโสส่งเสียงขึ้นจมูกแล้วมองหงหลวนอย่างเย้ยหยัน น้ำเสียงของเขาแสดงความดูถูก หงหลวนเงยหน้ามองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างเย็นชา “ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ใครใช้ให้เขาเป็นคนรักของอวิ๋นลั่วเฟิงเล่า ถ้าเขาตาย นางต้องใจสลายแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ข้าทำได้ก็มีแต่ต้องปกป้องเขาด้วยชีวิต!”


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้น…” หงหลวนหยุดก่อนประณามอย่างดูถูก “พวกเจ้าเป็นคนหน้าด้านหน้าไม่อายขนานแท้ หัวใจแห่งมันตาเป็นของจักรพรรดิปีศาจแต่เจ้ากลับไล่ล่าและขัดขวางเขาด้วยเหตุผลชั่วร้าย! ถึงแม้จะไม่มีอวิ๋นลั่วเฟิง หากข้าเห็นคนแบบพวกเจ้า ข้าก็ต้องต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอยู่แล้ว!”


 


 


“ฮึ่ม ไม่ต้องพูดมากอีกแล้ว! สาวน้อย ในเมื่อเจ้าเลือกช่วยจักรพรรดิปีศาจ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าก็จะขอชีวิตของเจ้าเป็นเครื่องสังเวยให้กับชีวิตพี่น้องที่ต้องเสียไปการต่อสู้ครั้งนี้!”


 


 


ตูม!


 


 


ทันใดนั้นยอดฝีมือทุกคนก็ระเบิดกลิ่นอายออกมา หงหลวนกำกระบี่ในมือแน่นแล้วมองผู้คนข้างหน้านางที่ชี้ชะตาสวรรค์และพิภพ…


 


 


“ไม่แน่ ข้า หงหลวน อาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่! ข้ามีเรื่องเสียใจเพียงเรื่องเดียวคือข้าไม่สามารถสลักชื่อไว้บนโลกนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ท่านพ่อเห็น”



ตอนที่ 1390 เผ่าผู้ใช้เวท (2)


 


 


นี่เป็นเรื่องเดียวที่นางเสียดาย


 


 


“แต่ถึงแม้ว่าข้าจะมาตายที่นี่ ข้าก็จะใช้ทุกอย่างเพื่อทวงเวลาให้พวกเขา”


 


 


พลังของหงหลวนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่นางละทิ้งสัญญาณเตือนแล้วปลดปล่อยพลังเฮือกสุดท้ายออกมา พลังของนางกลายเป็นมังกรมากมายบนท้องฟ้าแล้วพุ่งเข้าใส่ยอดฝีมือทั้งหลาย โชคร้ายที่หงหลวนอ่อนแอเกินไป พลังที่เหลืออยู่ของนางเหมือนน้ำในแก้วกับมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล ไม่นานจึงโดนดูดกลืนหายไปทันที


 


 


“ข้าขอโทษ ข้าทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าได้” หงหลวนซวนเซ สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว ศีรษะของนางเอนล้มลงพื้น กระบี่ในมือนางเองก็ร่วงกระทบพื้นจนเกิดเสียงดัง


 


 


ทว่าอยู่ๆ ก็มีมือยื่นมารับตัวนางไว้จากด้านหลังแล้วดึงตัวหงหลวนไว้ หงหลวนตกใจ นางลืมตาขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างในอาภรณ์ขาวดุจเทพเซียนปรากฏขึ้นตรงหน้านาง เส้นผมสีดำขลับของคนตรงหน้าปลิวไปตามสายลม เกิดเป็นภาพอันงดงาม


 


 


“อวิ๋นลั่วเฟิง…” เมื่อเห็นว่าคนที่ดึงนางไว้เป็นใคร รอยยิ้มบางก็ปรากฏบนริมฝีปากของหงหลวน เสียงของนางเบาจนแทบไม่ได้ยินท่ามกลางเสียงดังรอบข้าง “เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ”


 


 


นางทำสำเร็จแล้ว…


 


 


นางรักษาสัญญาไว้ได้!


 


 


“หงหลวน เจ้าทำงานหนักมา นอนเถอะ ตอนที่เจ้าตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยแล้ว”


 


 


“ตกลง” เมื่อได้ยินดังนั้น หงหลวนก็หลับตา นางเหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยจนถึงกระดูก นางจึงหลับไปทันทีแม้จะยังไม่ได้ล้มตัวนอน


 


 


“เสี่ยวโม่ พานางเข้าไปพักข้างใน” อวิ๋นลั่วเฟิงส่งหงหลวนให้เสี่ยวโม่เป็นอย่างแรกก่อนหันไปมองกลุ่มคนด้านหลังนาง


 


 


“เฟิงเอ๋อร์…” ชุดคลุมสีดำของชายหนุ่มสะบัดไปในอากาศ ใบหน้าเขานิ่งสนิทเหมือนปกติ ไม่ปรากฏร่องรอยทางอารมณ์ใดๆ ยกเว้นว่าเขาจะอยู่กับอวิ๋นลั่วเฟิงแม้คนพวกนี้จะมาเพื่อสังหารเขาก็ตาม…


 


 


“พวกเขามาที่นี่เพราะข้า ดังนั้น…ข้าจะสังหารพวกเขาด้วยมือข้าเอง!”


 


 


ตูม!


 


 


พริบตาเดียวกลิ่นอายเคร่งเครียดและฆ่าฟันอันทรงพลังก็ระเบิดออกจากตัวของชายหนุ่ม


 


 


ทุกคนชะงัก “จักรพรรดิปีศาจ…เขาผ่านด่านเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิปราชญ์แล้วหรือนี่”


 


 


เป็นไปไม่ได้!


 


 


ถ้ามีผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ปรากฏขึ้นในแผ่นดิน ท้องฟ้าจะต้องแปรปรวน แล้วจักรพรรดิปีศาจจะผ่านด่านขั้นจักรพรรดิปราชญ์เงียบๆ โดยไม่มีสัญญาณเตือนได้อย่างไร หงหลวนเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิปราชญ์เพราะกินยาบางอย่างเข้าไป ดังนั้นพลังของนางถึงไม่เสถียรแล้วใช้พลังของผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์ได้ไม่เต็มที่ ไม่อย่างนั้นนางคงสามารถจัดการคนพวกนี้ได้ภายในเวลาแค่เจ็ดนาที ไม่ต้องถึงสิบห้านาทีหรอก! แต่ชายหน้าพวกเขาเป็นผู้ฝึกฌานขั้นจักรพรรดิปราชญ์จริงๆ! แล้วคนที่แข็งแกร่งที่สุดใหม่หมู่พวกเขาก็เป็นแค่ผู้ฝึกฌานขั้นเซียนปราชญ์ระดับสูงเท่านั้น!


 


 


“หนี!” ทุกคนมองหน้ากันแล้วหันหลังหนีอย่างไม่ลังเล แต่อวิ๋นเซียวจะปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้อย่างไร


 


 


ตูม!


 


 


พวกเขาก้าวออกไปได้เพียงสองสามก้าวเพลิงรุนแรงก็เกิดขึ้นใต้เท้าพวกเขาจนเกิดเป็นแสงสีชาดทั่วท้องฟ้า เสียงร้องโหยหวนของพวกเขาสั่นสะเทือนไปทั่วอากาศ


 


 


มณฑลคูหลงเคยเป็นมณฑลเล็กๆ ที่เงียบสงบโดยเฉพาะเมื่อชาวบ้านย้ายออกไปหลังจากจักรพรรดิปีศามาถึง แต่ตอนนี้มณฑลคูหลงถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงขนาดใหญ่ที่ลุกอย่างต่อเนื่องโดยไม่ดับไปหลายวัน แล้วเสียงร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นจากที่นี่ ทำให้ผู้คนไม่กล้าย่างเท้าเข้ามาในเมืองแม้แต่ก้าวเดียวไปอีกหลายปี


 


 


“อวิ๋นเซียว!” เมื่อเห็นอวิ๋นเซียวตัวเซ อวิ๋นลั่วเฟิงก็รีบเข้าไปพยุงเขา “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้ต่อเองเถอะ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1391 เผ่าผู้ใช้เวท (3)


 


 


“พวกนี้มีมากเกินไป” อวิ๋นเซียวหันไปมองอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วตอบอย่างหนักแน่น “ข้าไม่อยากให้ท่านบาดเจ็บ”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงเพิ่งผ่านด่านเลื่อนขั้นเป็นราชันปราชญ์ไม่นาน ดังนั้นแม้สุดท้ายนางจะสังหารพวกเขาได้หมดแต่นางก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน แล้วเขาก็ไม่มีทางยอมให้นางบาดเจ็บ


 


 


ทันใดนั้นเด็กสาวก็ส่งตัวเองเข้ามาในอ้อมกอดของเขาโดยไม่ลังเล อาจเป็นเพราะว่านางบังเอิญโดนแผลของเขาพอดี เขาเลยส่งเสียงครางอย่างเจ็บปวดก่อนยกแขนขึ้นกอดนางไว้แน่น


 


 


“อวิ๋นเซียว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้มีความลับกับข้า!” นางไม่กล้าคิดเลยว่าอวิ๋นเซียวจะต้องเจอเรื่องร้ายแรงขนาดไหนหากนางมาไม่ทันเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะกินน้ำยาจากหัวใจแห่งมันตา เขาก็ยังต้องทนรับความเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่ดี การสลบไปในช่วงเวลาแบบนั้นเป็นเรื่องอันตรายมาก ไม่อย่างนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงคงไม่เสี่ยงส่งพลังฌานจากมิติคัมภีร์เซียนให้เขา


 


 


อวิ๋นเซียวเงียบไปชั่วครู่ก่อนตอบ “ตกลง”


 


 


เมื่อได้ยินคำตอบ อวิ๋นลั่วเฟิงก็ขยับตัวออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มแล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้อง “พวกเราไปกันเถอะ ข้าอยากไปตรวจหงหลวนหน่อย”


 


 


ภายในห้อง เสี่ยวโม่คอยเฝ้าหงหลวนอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา เขาจึงหันกลับมามอง ใบหน้าเขามีร่องรอยความวิตกกังวล “นายหญิง สถานการณ์ของหงหลวนค่อนข้างร้ายแรง นางกินบางอย่างที่บังคับให้พลังนางเพิ่มขึ้น ทำให้นางต้องเจอผลข้างเคียงที่ทำให้พลังของนางเสื่อมถอย ถึงแม้ว่าท่านจะรักษานางจนหาย ในชีวิตนี้นางก็ไม่สามารถฝึกพลังฌานได้อีกแล้ว”


 


 


เสี่ยวโม่ขมวดคิ้วแน่น ถ้าไม่ใช่เพื่อนายหญิง หงหลวนก็คงไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลขนาดนี้ดังนั้นพวกเขาจึงควรช่วยนางฟื้นพลังไม่ว่าจะเพราะตรรกะหรืออารมณ์ก็ตาม!


 


 


“ข้าจำได้ว่าคัมภีร์เซียนบันทึกไว้ว่ามีสมุนไพรที่ทำให้ฟื้นความแข็งแกร่งของนางกลับมาได้หากมันลดลงเพราะแรงกระตุ้นจากภายนอก” อวิ๋นลั่วเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเงียบไปชั่วครู่ก่อนพูดขึ้น “สมุนไพรนั้นชื่อดอกผู้ใช้เวท!”


 


 


“ดอกผู้ใช้เวท?” ชายหนุ่มชุดน้ำเงินที่เงียบมาตลอดพูดทวนด้วยความงุนงงเมื่อได้ยินอวิ๋นลั่วเฟิง


 


 


เขาได้สติตอนที่อวิ๋นเซียวส่งสายตามาหาเขา ทำให้เขาได้แต่กระแอมก่อนพูดว่า “นายหญิง ข้าได้ยินเรื่องดอกผู้ใช้เวทมาก่อนขอรับ พวกเขาบอกว่ามันเป็นดอกไม้ที่คอยคุ้มครองเผ่าผู้ใช้เวทขอรับ เผ่าผู้ใช้เวทหลีกเล่ยงการติดต่อกับโลกภายนอก ดังนั้นข้าเกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะหาดอกผู้ใช้เวทนะขอรับ”


 


 


“เผ่าผู้ใช้เวทอยู่ที่ใด” อวิ๋นลั่วเฟิงถามหลังจากมองหงหลวนที่นอนอยู่บนเตียง


 


 


มองปราดเดียวอวิ๋นเซียวก็รู้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเดินไปยืนข้างนาง ดวงตาเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวงดงามตรงหน้า “ข้าจะไปกับท่านด้วย”


 


 


“อวิ๋นเซียว เจ้าบาดเจ็บและยังไม่หายดี แล้วยังใช้พลังแทบจะทันทีที่ข้าเย็บแผลให้เจ้าเสร็จ ตอนนี้แผลเจ้าจึงแย่ลงกว่าเดิมดังนั้น…” อวิ๋นลั่วเฟิงหยุดไปชั่วครู่ “ครั้งนี้ข้าจะเดินทางไปคนเดียว”


 


 


ถึงแม้ว่านางจะรู้ความกังวลในใจของชายหนุ่ม แต่อวิ๋นลั่วเฟิงก็ยิ้ม “อวิ๋นเซียว ไม่ต้องห่วง ข้าจะมีชีวิตกลับมาหาเจ้าแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่เจ้าไม่ได้อยู่ข้างข้า ข้าก็ผ่านมาได้ด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ เชื่อในตัวข้า ข้าไม่ตายหรอก ไม่มีใครสังหารข้าได้ทั้งนั้น!”


 


 


ดวงตาของอวิ๋นเซียวจ้องหน้านางโดยไม่กะพริบ เขายื่นมือออกมาแล้วใช้นิ้วเรียวของเขาสางผมนางอย่างอ่อนโยน ท่าทางเย็นชาของเขาค่อยๆ อ่อนลง “ข้าจะรอท่านกลับมา” พูดจบอวิ๋นซียวก็กระตุกแขนอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดก่อนก้มลงจูบนางแทบจะในทันที



ตอนที่ 1392 เผ่าผู้ใช้เวท (4)


 


 


ชายหนุ่มชุดน้ำเงินหันหน้าหนีด้วยความอาย เสี่ยวโม่และหั่วหั่วรีบยกมือปิดตา แต่ก็ยังแอบดูผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วอยู่ดี…


 


 


ความสมบูรณ์แบบเกินจริงของพวกเขาทำให้พวกเขาดูราวกับเป็นภาพวาด


 


 


เมื่อพวกเขาจูบกันเสร็จแล้ว อวิ๋นเซียวก็ปล่อยเด็กสาวออกจากอ้อมกอดแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไปเถอะ ท่านต้องดูแลความปลอดภัยตัวเองให้ดี”


 


 


อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้าก่อนออกคำสั่ง “เสี่ยวโม่ หั่วหั่ว พวกเราไปกันเถอะ!” นางส่งสายตาให้อวิ๋นเซียวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหันหลังออกเดินทาง


 


 


หลังจากที่นางจากไปไม่นาน อวิ๋นเซียวก็ออกคำสั่งอย่างเย็นชา “เจ้าดูแลผู้หญิงคนนี้ด้วย”


 


 


หงหลวนต้องอยู่ที่นี่ ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องมีคนดูแล ในชีวิตเขา อวิ๋นเซียวยินดีดูแลอวิ๋นลั่วเฟิงคนเดียว! ดังนั้นเขาจึงทิ้งหงหลวนไว้ให้ผู้ติดตามเขาดูแลทันทีก่อนเดินก้าวยาวๆ ออกไป


 


 


เปลวเพลิงยังคงลุกไหม้ปกคลุมทั่วเมืองร้างเล็กๆ นี้ แต่อวิ๋นเซียวไม่ได้สนใจคนพวกนั้นแล้วเดินเข้าป่านอกเมืองไป เมื่อเขาเดินมาไกลพอแล้ว เขาก็หยิบหยกออกมาแล้วขยี้หยกจนกลายเป็นผงในกำมือ หยกนี่เป็นสิ่งที่จีจิ่วเทียนแอบให้เขาไว้! ระหว่างการต่อสู้ พวกเขาได้พูดคุยกัน ดังนั้นจีจิ่วเทียนจึงทิ้งหยกไว้ให้อวิ๋นเซียว ถ้าเขาอยากจะต่อสู้กันอีกเมื่อไหร่ก็ให้อวิ๋นเซียวทำลายหยกล้วเขาจะมาปรากฏตัวทันที!


 


 


ไม่นานหลังจากหยกถูกทำลาย ร่างล่อตาล่อใจในชุดคลุมสีแดงปรากฏตัวบนท้องฟ้าแล้วร่อนลงมา เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและดื้อรั้น ทำให้สีหน้าของอวิ๋นเซียวมืดครึ้ม


 


 


ชายหนุ่มที่ร่อนลงมาจากท้องฟ้ามีผิวพรรณเรียบเนียน ริมฝีปากสีแดงดั่งเลือดรูปร่างเหมือนภาพวาดแล้วอาภรณ์สีแดงของเขาก็โชติช่วงดั่งเพลิง ทำให้เขาดูงดงามจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ โดยเฉพาะจุดไฝสีแดงตรงระหว่างคิ้วยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์เย้ายวน หากผู้หญิงคนใดยืนอยู่ต่อหน้าเขา นางอาจจะไม่สามารถต้านทานการล่อลวงนี้ได้…


 


 


“จักรพรรดิปีศาจ เจ้าต้องการสู้กับข้าต่อหรือ” จีจิ่วเทียนเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วเชิดหน้าขึ้น สีหน้าของเขาดูหยิ่งทระนงและชั่วร้ายเย็นชา


 


 


อวิ๋นเซียวยังมีสีหน้าเฉยชาเหมือนเดิม “เฟิงเอ๋อร์มุ่งหน้าไปหาเผ่าผู้ใช้เวท”


 


 


จีจิ่วเทียนเลิกคิ้ว “แล้วเจ้าบอกข้าทำไม”


 


 


“ข้าหวังว่าเจ้าจะตามไปปกป้องนาง”


 


 


“อ้อ?” รอยยิ้มล่อลวงปรากฏขึ้นที่มุมปากของจีจิ่วเทียน “เจ้าอย่าให้ใต้เท้าตามไปปกป้องเสี่ยวเฟิงเอ๋อร์งั้นหรือ ทำไมเจ้าไม่ไปเองล่ะ”


 


 


“นางไม่อยากให้ข้าไป” อวิ๋นเซียวหยุดไปชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “ข้าไม่อยากทำอะไรที่ทำให้นางไม่มีความสุข”


 


 


ความจริงแล้วอวิ๋นเซียวเองก็รู้สภาพร่างกายของตัวเองดี เขาจึงเข้าใจว่าหากเขาฝืนตามนางไป เขาจะทำให้สตรีที่เขารักกังวล และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น! ความแข็งแกร่งของจีจิ่วเทียนไม่ต่างจากเขา ถ้าเขาตามไปด้วยก็จะทำให้มั่นใจได้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะปลอดภัย


 


 


“เจ้าไม่กลัวว่าใต้เท้าผู้นี้จะขโมยเสี่ยวเฟิงเอ๋อร์ไปตอนที่เจ้าไม่ได้ระวังตัวหรือ” จีจิ่วเทียนยิ้มดวงตามีเสน่ห์ของเขาเป็นประกาย


 


 


อวิ๋นเซียวมองอย่างเย็นชาไปที่ใบหน้าล่อลวงของจีจิ่วเทียน “เฟิงเอ๋อร์ไม่สนใจบุรุษหน้าตาเหมือนสตรีอย่างเจ้าหรอก”


 


 


สีหน้าของจีจิ่วเทียนมืดครึ้มลงทันที ผ่านไปสักพักเลยเขาถึงจะยกยิ้มอีกครา “ถ้าไม่ใช่เพราะใต้เท้ากลัวว่าจะทำให้เสี่ยวเฟิงเอ๋อร์เสียใจ ใต้เท้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่!”


 


 


“เช่นกัน”


 


 


ถ้าจีจิ่วเทียนทำอันตรายอะไรอวิ๋นลั่วเฟิง อวิ๋นเซียวก็ไม่ปล่อยเขาไปเหมือนกัน เขาจะกำจัดศัตรูทุกคนที่อยู่ใกล้นาง แต่ก็จะไม่ทำร้ายคนที่เคยช่วยเหลือนาง


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 1393 เผ่าผู้ใช้เวท (5)


 


 


“ใต้เท้าผู้นี้จะตามไปปกป้องเสี่ยวเฟิงเอ๋อร์เอง” จีจิ่วเทียนยิ้ม “ใต้เท้านับถือเจ้ามากนะ ตอนแรกเจ้าก็ยอมผ่าหัวใจตัวเองเพื่อนาง แล้วตอนนี้เพื่อปกป้องนางยังยอมให้บุรุษอื่นเป็นผู้ปกป้องนางแทนอีก ถ้าใต้เท้าเป็นเจ้า คงทำไม่ได้ขนาดนี้”


 


 


อวิ๋นเซียนเอ่ยเตือนอย่างเย็นชา “ดังนั้นเจ้าไม่มีทางได้นางไป”


 


 


จีจิ่วเทียนมีนิสัยเด็ดขาดและชอบบงการ แต่อวิ๋นลั่วเฟิงเองก็มีส่วนคลับคล้ายกับนิสัยแบบนั้นของเขาเหมือนกัน ถ้าเป็นจีจิ่วเทียนที่อยู่ข้างนางแทนเขา พวกเขาต้องทะเลาะและสู้กันทั้งวันทั้งคืนแน่นอน! นางไม่ต้องการบุรุษที่วางอำนาจ นางต้องการใครสักคนที่ยอมอยู่ในเงามืดเพื่อนาง…


 


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอวิ๋นเซียวก็คือบุรุษผู้นั้นนั่นแหละ!


 


 


ภายนอกเขาฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาและไร้หัวใจ! มีแค่ตอนที่อยู่ต่อหน้าอวิ๋นลั่วเฟิงเท่านั้นที่ทุกอย่างจะกลับกัน ตั้งแต่เริ่มหลงรักนาง เขาก็ละทิ้งศักดิ์ศรีแล้วทำตัวเป็นผู้คุ้มกันนางเพียงอย่างเดียว มีแต่บุรุษที่ยอมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนางในสนามรบเท่านั้นที่สามารถอยู่เคียงข้างนางไปตลอดชีวิต!


 


 


จีจิ่วเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วเผยรอยยิ้มบาง “ทำไมข้าถึงคิดว่าเป็นเพราะเจ้าปรากฏตัวต่อหน้านางก่อน นางก็เลยเลือกเจ้า จักรพรรดิปีศาจ ใต้เท้ายอมรับว่ายุ่งกับเด็กสาวคนนี้ก็เพราะเพื่อนเก่า แต่เมื่อใต้เท้าได้ใกล้ชิดนางมากขึ้นก็ยิ่งชื่นชอบนางมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่เคียงข้างนางแต่ก็มีคนรายงานเรื่องนางให้ข้าอยู่ตลอด”


 


 


เขาเดินช้าๆ เข้ามาหาจักรพรรดิปีศาจ รอยยิ้มเหนือโลกปรากฏบนใบหน้าเขาขณะที่เอ่ยเตือนอย่างเด็ดขาด “เจ้าอย่าทำสิ่งใดให้เสี่ยวเฟิงเอ๋อร์เศร้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นใต้เท้าจะพานางไปและทำให้แน่ใจว่าเจ้าไม่มีทางได้เจอนางอีกตลอดไป!”


 


 


ในความจริงแล้วจีจิ่วเทียนมีความรู้สึกดีๆ ให้อวิ๋นลั่วเฟิง ส่วนเรื่องความรัก…


 


 


เมื่อคิดตรงนี้ จีจิ่วเทียนก็หัวเราะเยาะตัวเอง เขาสงสัยว่าตัวเองสามารถรักใครได้จริงๆ หรือไม่!


 


 


“เจ้าไม่มีโอกาสนั่นหรอก” น้ำเสียงของอวิ๋นเซียวแน่วแน่ เขาไม่มีทางยอมให้จีจิ่วเทียนมีโอกาสนั้นแน่


 


 


“ข้าก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น ฮ่าๆ” จีจิ่วเทียนหัวเราะเบาๆ อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อสีแดงแล้วเริ่มเดินไปที่ตีนเขา เสียงหัวเราะไม่ปกติของเขายังคงดังไปทั่วหุบเขาน่าขนลุกนี้


 


 



 


 


หุบเขาผู้ใช้เวท


 


 


ภายในหุบเขา ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนแท่นหินแล้วพลิกหน้าหนังสือในมือ สมาชิกเผ่าคนหนึ่งรีบเข้ามารายงาน “หัวหน้าเผ่าขอรับ ท่านนักบวชหญิงมาที่นี่ขอรับ”


 


 


“ท่านนักบวชหญิงมาที่นี่หรือ” หัวหน้าเผ่าสะดุ้ง เขารีบยืนขึ้น แล้วทันใดนั้น เขาก็เห็นเด็กสาวที่ใส่เสื้อคลุมสั้นและกระโปรงสีขาวเดินเข้ามาช้าๆ เด็กสาวแต่งตัวค่อนข้างเปิดเผยแต่กลับทำให้นางดูงดงามสะดุดตา บนศีรษะประดับด้วยปิ่นอัญมณีอันเป็นสัญลักษณ์ของนักบวชหญิงในเผ่าผู้ใช้เวท


 


 


นักบวชหญิงมีอำนาจภายในเผ่าผู้ใช้เวทมาก แม้แต่หัวหน้าเผ่ายังต้องมีท่าทีสุภาพต่อนางเพราะบรรพบุรุษของพวกเขาทิ้งคำทำนายไว้ว่านักบวชหญิงเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงเผ่าผู้ใช้เวทได้ ถ้าพวกเขาพบนักบวชหญิงพวกเขาต้องแสดงความเคารพต่อนางอย่างมาก แล้วพลังของนางก็อยู่บนจุดสูงสุดของเผ่า ดังนั้นการมาของนักบวชจึงเป็นสถานการณ์ที่ต้องจัดอย่างเอิกเกริก กลุ่มสาวใช้ที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวแล้วติดตามนางอย่างใกล้ชิดยิ่งขับความงามของนางให้โดดเด่น


 


 


“ท่านนักบวชหญิงมาที่นี่มีเหตุอันใดขอรับ” หัวหน้าเผ่าถามพร้อมขมวดคิ้ว นักบวชหญิงอารมณ์ร้ายมาก แต่บรรพบุรุษได้สร้างกฎไว้ชัดเจน ทำให้พวกเขามีแต่ต้องทำตามนางเท่านั้น นักบวชหญิงกลัวว่าสตรีอื่นในหุบเขาจะงามกว่านางจึงไม่สนใจหญิงสาวที่หน้าตาสะสวย แต่เลือกคนที่หน้าตาธรรมดามาติดตามแทน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม