พันธกานต์ปราณอัคคี 137-155

 ตอนที่ 137

 

 ช่องว่างที่ก้าวข้ามได้ยาก

 


 


 


ใช่แล้ว หากไม่เพราะนางเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ ตนเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ เพราะเหตุใดทุกครั้งที่พบกัน ถึงเกิดพลังดึงดูดที่ประหลาดล่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แต่ก่อนก็มิใช่เข้าใจนางผิดหรอกหรือ?


 


 


เยี่ยเทียนหยวนในชั่วเวลาหนึ่ง บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไรกันแน่


 


 


ทันใดนั้นเสวียนหั่วเจินจวินพบว่าชนรุ่นหลังของเขาผู้นี้ ได้ยินข่าวคราวนี้แล้วคิดไม่ถึงว่าจะมีปฏิกิริยาบ้างแล้ว จึงอดปีติไม่ได้ว่า “เทียนหยวน พอข้าได้ยินข่าวนี้ปุ๊บ ก็รู้สึกทันทีว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นั้น ช่างเป็นคู่สร้างคู่สมกับเจ้าโดยแท้ พวกเจ้าหากเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่ เช่นนั้นความเร็วในการบำเพ็ญเพียรต้องเร็วอย่างเหลือเชื่อแน่นอน นี่ช่างเป็น…”


 


 


“ท่านปู่ทวด!” เสวียนหั่วเจินจวินยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนออกปากพูดแทรกแล้ว


 


 


เห็นท่าทางอับอายและรำคาญของเยี่ยเทียนหยวน เสวียนหั่วเจินจวินหัวเราะคิกคักว่า “เทียนหยวน เจ้าจะไม่ลองคิดดูหรือ ต้องรู้นะว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีร่างหยินบริสุทธิ์จะทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรชายทั้งหมดวิ่งเข้าใส่นะ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ระดับก่อกำเนิดก็จะจ้องตาเป็นมัน หากนางหนูนั่นถูกคนอื่นแย่งไปก่อนก้าวหนึ่ง เจ้าอย่ามาเสียใจภายหลัง…”


 


 


“ท่านปู่ทวด ก่อนเทียนหยวนจะก่อแก่นปราณจะไม่พิจารณาเรื่องบำเพ็ญเพียรคู่ขอรับ! หากไม่มีเรื่องอันใด เทียนหยวนของอำลาแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดจบอย่างรีบร้อน หันหลังเดินไปอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดสานขาดๆ พลางไล่ตามไปข้างหน้าสองก้าว ปากพึมพำว่า “เจ้าเด็กนี่ช่างดื้อดึงเสียจริง ไม่ใช่ยังไม่สร้างรากฐานกลัวสูญเสียความเป็นหยางเสียหน่อย จะรอให้ถึงหลังก่อแก่นปราณให้ได้ทำอะไร! เอ๊ะ ช้าก่อน เจ้าเด็กนั่นบอกว่าก่อนก่อแก่นปราณไม่พิจารณา เช่นนี้แล้ว ที่จริงเขามีใจให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนั่นแล้วหรือ? ไอยา ยังไม่ทันได้บอกเขาว่านางหนูน้อยที่เขาช่วยไว้ในปีนั้นก็สร้างรากฐานแล้ว ทว่าดูเช่นนี้แล้ว ข่าวลือในปีนั้นเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้นแล้ว?”


 


 


เพราะว่ารากวิญญาณหายาก ดังนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรจึงสนับสนุนให้บำเพ็ญเพียรคู่ โดยเฉพาะตระกูลเล็กๆ บางตระกูล เช่นตระกูลมั่วที่มั่วชิงเฉินอยู่เมื่อเยาว์วัย รอให้ลูกหลานในตระกูลสร้างรากฐานไม่ทันเอาเสียเลย ก็ตกลงเรื่องแต่งงานให้พวกเขา สืบวงศ์ตระกูลแล้ว


 


 


ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรสูญเสียความเป็นหยางความเป็นหยินตั้งแต่ระดับหลอมลมปราณ เช่นนั้นยามสร้างรากฐานเนื่องจากความเป็นหยางความเป็นหยินได้สูญเสียไปแล้ว จึงมีผลกระทบกับรากฐาน สุดท้ายก็สู้ผู้ที่มีร่างพรหมจรรย์ไม่ได้


 


 


ดังนั้นสำนักใหญ่มากมายแม้ไม่ออกคำสั่งห้ามศิษย์ในระดับหลอมลมปราณบำเพ็ญเพียรคู่ กลับรักษาท่าทีไม่ยอมรับ มีเพียงรอถึงหลังสร้างรากฐาน ถึงสนับสนุนให้บำเพ็ญเพียรคู่ เพราะอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ก่อแก่นปราณได้ในร้อยคนมีไม่เกินสองสาม หากต่างรอให้หลังก่อแก่นปราณแล้วค่อยบำเพ็ญเพียรคู่จริง เช่นนั้นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ดับสูญไปนานแล้ว


 


 


เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้คำพูดพูดเองเออเองข้างหลังของเสวียนหั่วเจินจวิน หลังจากรีบออกจากเขาหลิวหั่ว ก็เดินไปถึงหุบเขาที่พบกับมั่วชิงเฉินในปีนั้นอย่างไม่รู้ตัว ยืนอยู่หน้าน้ำพุร้อนที่ใสจนเห็นก้นบึงชั่วครู่ จึงถอดเสื้อผ้าจนไม่เหลือแล้วโดดลงไป


 


 


เสียงน้ำกระเพื่อมดังซู่ เยี่ยเทียนหยวนโผล่ศีรษะออกจากน้ำพุ ในใจรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก


 


 


หุบเขานี้ถูกเขาพบด้วยความบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว เป็นสถานที่สงบที่หายากในพรรคเหยากวง เขาจึงข้ามมาแช่น้ำพุร้อนเป็นระยะ ล้างแรงกดดันและความยุ่งยากที่รัศมีต่างๆ นำพามาให้เขาให้หมดไป ใครจะรู้ว่าออกจากสำนักไปหลายปีเมื่อกลับมาอีกครั้ง ดินแดนบริสุทธิ์ในใจกลับถูกนางหนูน้อยคนหนึ่งบุกรุกอย่างคาดไม่ถึง ยัง…ยังเห็นถึง…


 


 


ทุกครั้งที่นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขาก็ทั้งอายทั้งโกรธเกินจะรับได้ ทว่าเฉพาะเจาะจงขอเพียงลงไปในทะเลสาบนี้ ก็จะนึกถึงเหตุการณ์ปีนั้นอย่างไม่รู้ตัวอีก


 


 


การพบครั้งเพียงแวบเดียวที่ไม่มีความสุข หลังจากหลายปีผ่านไป นางหนูน้อยที่ยังอยู่วัยกระเตาะเมื่อแรกพบกลับยิ่งนานยิ่งชัดเจนขึ้นในสมองเขา


 


 


นาง ช่างคิดไม่ถึงนางเป็นร่างหยินบริสุทธิ์เช่นนั้นหรือ?


 


 


เยี่ยเทียนหยวนไม่เข้าใจว่าตนหงุดหงิดอะไรอยู่ จึงผลุบเข้าไปในน้ำอีก


 


 


ผู้คนพูดว่าความคิดชั่วแล่นรักบังเกิด คนมากมายในยามแรก ไม่รักคนคนนั้นทันที ทว่าเป็นเพราะเรื่องบางเรื่องจึงเกิดใส่ใจแล้ว คอยสังเกตแล้ว ความประทับใจลึกซึ้งแล้ว ทันใดนั้นในใจจึงมีปมปมหนึ่ง อาจจะในระหว่างที่ไม่คาดคิด ปมในใจนั้นก็จะกลายเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกที่สุด


 


 


ส่วนอีกด้านหนึ่ง มั่วชิงเฉินตามผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนมาหยุดอยู่ที่หนึ่งในยอดเขารองแห่งเขาชิงมู่


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนว่า “ศิษย์น้องมั่ว เจ้ารอสักครู่ ข้าไปรายงานนักพรตเหอกวงก่อน”


 


 


“ศิษย์พี่เฉียน…” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างลังเลเสียงหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรเฉียนหันมา “อันใดหรือ ศิษย์น้องมั่ว?”


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก “ศิษย์พี่เฉียน นักพรตเหอกวง ท่านรับข้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิจริงหรือ? ข้า ข้าเป็นศิษย์บันทึกชื่อของท่านตั้งแต่เมื่อใดอีก?”


 


 


แม้รู้สึกว่าคำถามนี้น่าขัน มั่วชิงเฉินยังคงทนไม่ไหวถามออกมา จะได้พบอาจารย์ในอนาคตในทันทีแล้ว ในโลกที่วันหนึ่งเป็นครู เป็นบิดาชั่วชีวิตนี้ นางไม่สามารถเลอะเลือนเช่นนี้ได้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนชะงัก จากนั้นยิ้มว่า “ศิษย์น้องถูกนักพรตเหอกวงรับเป็นศิษย์บันทึกชื่อตั้งแต่เมื่อใด นี่ข้ากลับไม่รู้ ทว่าคำพูดนี้กลับเป็นนักพรตเหอกวงที่พูดกับข้าด้วยตนเองนะ”


 


 


เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินสดับตรับฟัง ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ่ยอีกว่า “วันนั้นศิษย์ที่ชื่อเสี่ยวซย่าของเขาต้วนจินคนนั้นวิ่งมานี่บอกว่าเจ้าถูกนักพรตหานจางขังไว้แล้ว ขอร้องข้าพาเจ้ากลับมา ศิษย์น้องมั่ว ไม่ปิดบังเจ้าหรอกนะ ข้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง แม้บอกว่าเป็นศิษย์ผู้ดูแลแห่งเขาชิงมู่ ทว่าให้ไปหาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งทวงคน นั่นไม่ต่างกับเอาไข่กระทบหิน ในระหว่างที่ลำบากใจอยู่ ท่านผู้เฒ่าเหอกวงส่งสารมาบอกว่าเจ้าคือศิษย์บันทึกชื่อของท่าน ให้ข้าไปพาเจ้ากลับมา”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินยังงงงวยเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนยิ้มว่า “นักพรตเหอกวงทำสิ่งใดสง่าผ่าเผยมาตลอด ท่านอาจไม่ได้บอกเจ้าโดยตรง แต่ในใจเห็นเจ้าเป็นศิษย์บันทึกชื่อมานานแล้ว มิเช่นนั้นครั้งนั้นที่ศิษย์น้องหรวนมาหาเรื่องศิษย์น้อง ท่านจะสั่งข้าไปแก้สถานการณ์ได้เช่นไรล่ะ? หึๆ ศิษย์น้องมั่วขยันหมั่นเพียรเข้มแข็งทรหด ตบะโดดเด่นในบรรดาคนอายุคราวเดียวกัน ถูกนักพรตเหอกวงเมตตาก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วใจเกิดซาบซึ้ง ที่แท้อาจารย์ที่ยังไม่เคยพบหน้ากันของตนท่านนั้น ได้ปกปักตนมานานแล้ว ตนเป็นดั่งที่ศิษย์พี่เฉียนพูดเช่นนั้นจริงหรือ เพราะบากบั่นบำเพ็ญเพียร จึงเข้าตานักพรตเหอกวงเช่นนั้นหรือ?


 


 


ไม่ว่าอย่างไร ไมตรีจิตของการส่งถ่านกลางหิมะ[1]ไม่ใช่การเติมดอกไม้ลงบนผ้าแพร[2]จะเทียบได้ ตนสร้างรากฐานด้วยอายุเท่านี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเต็มใจรับตนเป็นศิษย์นั้นไม่แปลก ที่หายากคือนักพรตเหอกวงนั้นไม่รู้เรื่อง เพียงเพื่อต้องการช่วยตนออกจากเขาต้วนจินถึงพูดเช่นนั้น บุญคุณนี้ ก็หนักพันชั่งแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนสั่งมั่วชิงเฉินรออยู่ที่เดิม ตนเลี้ยวเข้ามุมหนึ่งของยอดเขา ก็เป็นป่าไผ่ละลานตา เขาก็ไม่เข้าไป เพียงแต่ยืนอยู่นอกป่าไผ่ส่งสารว่า “ท่านผู้เฒ่าเหอกวง ข้าพามั่วชิงเฉินกลับมาแล้วขอรับ นางกำลังรออยู่ด้านนอก”


 


 


เพียงชั่วครู่ ข้างในส่งเสียงทางจิตออกมานิ่งเรียบ “ข้าบอกแล้ว หลังจากพานางกลับมาอย่างราบรื่นแล้วให้ส่งนางกลับที่เดิม ทุกอย่างทำตามเดิมมิใช่หรือ หากนางมีวันที่สร้างรากฐาน ค่อยพานางมาพบข้า”


 


 


 “ท่านผู้เฒ่าเหอกวง ศิษย์น้องมั่วนาง นางสร้างรากฐานสำเร็จแล้วขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนตอบอย่างนอบน้อม


 


 


ข้างในนิ่งเงียบเนิ่นนาน จึงส่งเสียงทางจิตออกมา “เช่นนั้นก็ให้นางเข้ามาเถอะ”


 


 


“ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนคารวะหนึ่งที หันหลังกลับมาถึงที่มั่วชิงเฉินนั่น “ศิษย์น้องมั่ว เจ้าเข้าไปได้แล้ว”


 


 


“อืม” มั่วชิงเฉินรับเสียงหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจรู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนดูเหมือนผ่านเรื่องราวทางโลกมามาก เห็นดังนั้นยิ้มว่า “ศิษย์น้องไม่ต้องกังวล ท่านผู้เฒ่าเหอกวงเป็นคนใจดียิ่งนัก ใช่แล้ว วันหลังศิษย์น้องเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านอื่น ควรเรียกว่าอาจารย์ลุง นักพรตเหอกวงเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ”


 


 


พวกเขาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ไม่มีอาจารย์พวกนี้ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเพียงเรียกว่าอาจารย์อาธรรมดาก็พอ ส่วนศิษย์ก้นกุฏิเช่นมั่วชิงเฉินเช่นนี้ กลับต้องระวังสิ่งเหล่านี้


 


 


มั่วชิงเฉินย่อตัว “ขอบคุณศิษย์พี่เฉียนที่ชี้แนะ อาจเอื้อมถามศิษย์พี่ชื่ออะไรเจ้าคะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งศิษย์พี่เฉียนที่ช่วยเหลือตนเองหลายครั้ง จึงอยากรู้ชื่อเสียงเรียงนามของเขา โดยไม่ใช่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ร่วมลานบ้านเดียวกันสองคนนั้น ใช้ชีวิตมาหลายปียังไม่รู้ชื่อของพวกนาง


 


 


เมื่อมั่วชิงเฉินถามออกมา ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนที่มีมารยาทเป็นนิจกลับร่างกายแข็งทื่อ เห็นมั่วชิงเฉินยิ้มหวานมีความจริงใจ ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงเบียดออกมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าชื่อ…เฉียนตาเล็ก…”


 


 


ในระหว่างที่มั่วชิงเฉินงงงันอยู่ เฉียนตาเล็กรีบทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วรีบจากไป “ศิษย์น้องมั่ว วันหลัง วันหลังเจ้ายังคงเรียกข้าว่าศิษย์พี่เฉียนดีกว่า…”


 


 


จนกระทั่งเฉียนตาเล็กไม่เห็นเงา มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมา


 


 


เฉียนตาเล็ก…ชื่อนี่ช่างเอาเรื่องจริงๆ!


 


 


ปกติผู้บำเพ็ญเพียรที่สนิทกันเพื่อแสดงความใกล้ชิด ล้วนเรียกกันด้วยชื่อ เช่นต้วนชิงเกอเรียกนางว่าศิษย์น้องชิงเฉินมาตลอด เมื่อครู่นางถึงถามชื่อ ก็คือความหมายนี้


 


 


ทว่าเมื่อคิดว่าวันหลังตนเรียกเขาว่าศิษย์พี่ตาเล็ก…


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณธรรมเกินไปหน่อย ถึงเวลานางต้องหัวเราะแน่นอน ศิษย์พี่เฉียนพูดถูก นางยังคงเรียกตามปกติเช่นนั้นดีกว่า


 


 


มั่วชิงเฉินสงบจิตใจครู่หนึ่ง เดินผ่านหัวมุมยอดเขา ที่เห็นคือทะเลไผ่ละลานตา


 


 


ทันใดนั้น มั่วชิงเฉินดูเหมือนมาถึงป่าไผ่ที่ลานบ้านด้านหลังตระกูลมั่ว ห้องไม้ไผ่ที่อยู่ข้างๆ สง่างาม ชายหนุ่มด้านในสงบอ่อนโยน นั่นคือท่านอาสิบสี่ของนาง


 


 


ทันใดนั้น ทะเลไผ่ตรงหน้าแยกออกเป็นถนนสายเล็ก มั่วชิงเฉินสูดจมูก กดความโศกเศร้าที่มากะทันหันลงไป ยกเท้าเดินเข้าไป


 


 


ไม่รู้อาจารย์ของนาง เป็นคนเช่นไร จะเป็นผู้อาวุโสที่อบอุ่นใจดีเหมือนท่านอาสิบสี่ของนางหรือไม่นะ?


 


 


ไผ่เขียวสองข้าง ใบไผ่ดังซ่าๆ เสียงนกกระเต็นร้องเบาๆ ท่ามกลางลมพัดเฉื่อย แสงแดดลอดผ่านช่องว่างลงมา กลายเป็นจุดแสงใหญ่ๆ น้อยๆ กระโดดโลดเต้นไม่หยุด


 


 


มั่วชิงเฉินที่อยู่ในนั้น ราวกับเดินเข้ามาในดินแดนแห่งความฝันอันสวยงาม เดินต่อไปจนสุดทะเลไผ่ เป็นสวนสมุนไพรผืนใหญ่ บนพื้นหญ้าเขียวขจีข้างๆ มีนกอินทรีขาวดุจหิมะตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังก้าวย่าง ยังมีอสูรวิญญาณหน้าตาเหมือนเสือที่อ้วนมากตัวหนึ่งหมอบงีบอยู่ตรงนั้น


 


 


แสงแดดสดใสสาดส่องลงมาอย่างไม่ตระหนี่ เคลือบแสงทรงกลดชั้นหนึ่งให้ทุกสิ่งที่มั่วชิงเฉินเห็น รวมทั้งผู้ชายชุดเทาที่อยู่กลางแสงทรงกลดคนนั้น


 


 


ในนาทีที่มั่วชิงเฉินยื่นนิ่ง ชายชุดเทาที่ใช้นิ้วมือยาวเรียวสางขนให้เสือตัวใหญ่อย่างตามสบายเงยหน้าขึ้น มองมาที่นางพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน


 


 


มั่วชิงเฉินกลับเหมือนถูกฟ้าผ่า พูดไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว


 


 


คนคนนั้นยังคงคลุมชุดเทาอย่างตามสบาย ดูแล้วผอมบางหลุดจากโลกฆราวาส หน้าตาที่ไม่เปลี่ยนกลับไม่เหมือนยามนั้นที่ให้คนเห็นแล้วก็ลืม ตรงกันข้ามมีความสุกสกาวของพลังที่บอกไม่ถูกเก็บงำภายใน ทำให้สิ่งรอบด้านต้องหมองหม่น


 


 


“ท่านพี่กู้…” มั่วชิงเฉินกลั้นไม่ไหวเรียกออกมา น้ำเสียงสะอึกสะอื้น


 


 


ท่านพี่กู้ จากกันสิบกว่าปี ท่านสบายดีหรือไม่?


 


 


ในชั่วเวลาหนึ่งมั่วชิงเฉินมีหมื่นพันคำพูดติดอยู่ที่คอหอย สุดท้ายกลับคุกเข่ากราบลงกับพื้นท่ามกลางรอยยิ้มอ่อนโยนแต่สงบของชายชุดเทา


 


 


“ศิษย์ชิงเฉิน ขอกราบคารวะอาจารย์”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ส่งถ่านกลางหิมะ หมายถึงการยื่นความช่วยเหลือให้ในขณะที่อีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือนั้นอย่ามาก


 


 


[2] เติมดอกไม้ลงบนผ้าแพร เป็นสำนวน หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่จำเป็น

 

 

 


ตอนที่ 138

 

ย่อมมีเสือร้ายขัดเกลา

 


 


 


เงียบไปชั่วครู่ เสียงทุ้มต่ำกลับไม่ขาดความสง่าของชายชุดเทาดังขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินยืนขึ้นเนิบๆ หลุบตาครึ่งหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ความสงบเยือกเย็นบนใบหน้ากลับเพื่อปิดบังคลื่นลมถาโถมที่อยู่ในใจ


 


 


“ชิงเฉิน เจ้ามานี่” ชายชุดเทาเอ่ยอย่างอ่อนโยน


 


 


มั่วชิงเฉินเดินถึงหน้าเขาทีละก้าวๆ ยังคงไม่กล้าเงยหน้ามองเขา


 


 


ในปีนั้น การปรากฏตัวของเขาช่วยนางแก้เรื่องฉุกเฉินเสมือนไฟไหม้คิ้วให้นาง


 


 


ในปีนั้น การปรากฏตัวของเขาช่วยนางให้พ้นเคราะห์กรรม


 


 


ในยามที่นางลังเลไร้ทางช่วยที่สุด มีเขาอยู่เป็นเพื่อนเช้าเย็นนั่งนกกระเรียนขาวส่งพันลี้ แม้เป็นคนมาสองชาติ นางก็เป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดา จึงใจอ่อนไหวอย่างหักห้ามใจตนเองไม่ได้


 


 


ทว่าพบกันอีกครั้ง เขาได้กลายเป็นอาจารย์ของนางซะแล้ว


 


 


“ข้าชื่อกู้หลี ยามก่อแก่นปราณได้รับสมญานามเหอกวง” ชายชุดเทาอธิบายเนิบๆ จากนั้นยิ้มแผ่วเบา “ชิงเฉิน ไม่คิดว่าผ่านไปแวบเดียวเจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว นั่ง ยื่นมือออกมา”


 


 


สุดท้าย เขาคือท่านพี่กู้ในอดีตจริงๆ


 


 


มั่วชิงเฉินนึกถึงโดยที่ในใจขมขื่น ยื่นมือออกไปตามคำบอก


 


 


ในมือกู้หลีปรากฏจานกลมใบหนึ่ง บอกเป็นนัยให้มั่วชิงเฉินวางมือลงไป


 


 


มั่วชิงเฉินในพริบตานั้นรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ตลอดมา นางไม่เคยดูถูกตนเองเพราะตนมีสี่รากวิญญาณ ทว่าในยามนี้ จู่ๆ กลับมีความคิดหนึ่งแวบผ่าน เขาจะผิดหวังเพราะตนมีรากวิญญาณเทียมหรือไม่?


 


 


แสงวิญญาณสี่สีสว่างขึ้น กู้หลีไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตรงกันข้ามกลับยื่นนิ้วมือที่เรียวยาวแตะบนข้อมือมั่วชิงเฉิน มั่วชิงเฉินหลบอย่างไม่รู้ตัว แก้มร้อนเล็กน้อย


 


 


กู้หลีชะงักแผ่วเบา จากนั้นกลับทำสีหน้าจริงจัง “ชิงเฉิน เจ้าสร้างรากฐานเร่งรีบเกินไป รากฐานไม่นิ่ง อีกทั้งไม่ได้สงบใจลงมาทำให้ตบะมั่นคง หากปล่อยให้พัฒนาต่อไป วันหน้าจะกลายเป็นภัยใหญ่


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกตกใจ ตนเห็นเขาแล้วควบคุมตนเองไม่ได้ปานนี้ หรือว่าเป็นเพราะสร้างรากฐานรีบร้อนเกินไป ใจเต๋าไม่นิ่ง?


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็โล่งอก ใช่ ต้องเป็นเช่นนี้แน่


 


 


“ชิงเฉินขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินคารวะแผ่วเบาหนึ่งที


 


 


“ชิงเฉิน เรือนไม้ไผ่ทางนั้นว่างอยู่ เจ้าจงอยู่ที่นั่นเถอะ หากขาดเหลืออะไร ก็บอกอาจารย์ ระยะนี้เจ้าอย่ารีบร้อนบำเพ็ญเพียร ช่วยข้าดูแลสวนสมุนไพรก่อน นอกจากนี้ห้องเก็บของด้านหลังตุนสมุนไพรไว้ไม่น้อย ก็จำเป็นให้เจ้าแยกประเภทจัดการเสียหน่อย เอ่อ ยังมีอินทรีวิญญาณหยกหิมะกับอสูรเสือพายุทะลุฟ้านี่ ก็รบกวนเจ้าดูแลมากๆ หน่อยแล้ว…” กู้หลีสั่งเป็นพรวน


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจ พยักหน้าอย่างว่าง่าย ในใจอย่างน้ำตานองหน้าคิดว่า อาจารย์ ท่านแน่ใจว่าที่รับคือศิษย์ก้นกุฏิ ไม่ใช่คนทำงานจิปาถะหรือ?


 


 


ไม่ว่าอย่างไร คำพูดนี้ของกู้หลีทำให้ความรู้สึกชายหญิงของมั่วชิงเฉินเมื่อครู่ถูกลืมไปทันที


 


 


กู้หลีพิจารณาศิษย์น้อยปราดหนึ่งเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ตบอสูรเสือพายุทะลุฟ้าว่า “ต้าฮวา เจ้าพาชิงเฉินไปที่พักนาง”


 


 


“โฮก…” อสูรเสือพายุทะลุฟ้าเกิดมาเหมือนเสือมาก เพียงแต่อ้วนกว่าไม่น้อยกว่ารอบหนึ่งคำรามต่ำๆ อย่างไม่เต็มใจเสียงหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนอย่างขี้เกียจ เหล่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง จากนั้นย่ำด้วยก้าวแบบแมวอย่างสง่าเดินไปทางเรือนไม้ไผ่


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก อสูรวิญญาณนี่ทำสีหน้าอะไร เหตุใดดูแล้วเหมือนทำไหน้ำส้มสายชูหก[1]?


 


 


เอาเถอะ นางไม่เพียงแต่กลับมาเป็นคนทำงานจิปาถะใหม่ ยังต้องชิงรักหักสวาทกับเสือตัวหนึ่ง? มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าชีวิตต่อจากนี้ต้องน่าดูชมแน่


 


 


มั่วชิงเฉินถูกอสูรเสือพายุทะลุฟ้าชื่อ ‘ต้าฮวา’ พาเข้าไปในเรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ไม่รอนางมีปฏิกิริยา เสือใหญ่ตัวนั้นก็หมุนตัวหันก้นให้นาง เดินหนีไปแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างจำใจ พิจารณาที่พำนักใหม่ของตนเอง


 


 


เรือนไม้ไผ่แห่งนี้อยู่ติดๆ กัน ห้องแต่ละห้องไม่นับว่าใหญ่ กลับประณีตยิ่งนัก นอกจากห้องนอน ห้องชะล้างและห้องฝึกวิชา ยังมีห้องครัว ห้องโอสถอุปกรณ์ กระทั่งยังมีห้องอสูรวิญญาณ


 


 


เรือนไม้ไผ่พวกนี้ถูกรั้วไผ่เขียวแผงหนึ่งล้อมขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ยังล้อมออกมาเป็นลานบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง


 


 


พูดได้ว่า ที่นี่แม้ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่สร้างที่พำนักของตน ทว่าสิ่งที่ควรมีกลับไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว


 


 


มั่วชิงเฉินยิ่งดูยิ่งพอใจ บัดนี้แม้ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว ทว่าสีเขียวที่เต็มตานี่ทำให้คนมีความสุข ไหนๆ นางก็ไม่กลัวหนาวอีกแล้ว เย็นเสียหน่อยจะเป็นอะไรไป


 


 


ก็เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินจึงปักหลักที่เรือนไม้ไผ่นี้


 


 


แม้มีเพียงศิษย์อาจารย์สองคน บวกอินทรีใหญ่ตัวหนึ่ง เสือตัวหนึ่ง อีกาตัวหนึ่ง มั่วชิงเฉินที่หายากที่จะไม่บำเพ็ญเพียรกลับไม่มีเวลาว่างทุกวันเพราะงานที่กู้หลีสั่งการให้ก่อนหน้านี้


 


 


ทุกวันฟ้าเพิ่งสาง มั่วชิงเฉินก็ลุกขึ้น ไปจัดการสวนสมุนไพรนั่นก่อน


 


 


เพราะว่าสวนสมุนไพรแบ่งตามฤทธิ์ยาของสมุนไพรทิพย์เป็นห้าธาตุ สมุนไพรทิพย์แต่ละชนิดก็มีความต้องการเฉพาะของตัวเองอีก มีบางอย่างกระทั่งบอบบางมาก เช่นสมุนไพรทิพย์ชนิดหนึ่งที่ชื่อ ‘นิทราเคียงจันทร์’ ส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของมันคือดอกที่ผลิออกมา ทว่าดอกไม้นั่นกลับจะเ**่ยวเฉาทันทีที่พระอาทิตย์ออกมา มั่วชิงเฉินจึงจำเป็นต้องเร่งเด็ดดอกไม้นั่นลงมา ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น


 


 


ยังมีหญ้าทิพย์ชนิดหนึ่ง จำเป็นต้องเก็บน้ำค้างด้านบนเข้าในขวดหยก ขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแต่ก็ไม่ขึ้นเช่นกัน น้ำค้างนี้ก็คือน้ำชั้นยอดที่สุดในการชงชา


 


 


สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินยุ่งจนหัวหมุนที่สุด เพราะว่าพวกมันไม่เพียงแต่มีเวลาบังคับ เวลาเด็ดยังต้องการคาถามือพิเศษ และห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณ โดยไม่สามารถติดกลิ่นอายควันไฟแม้แต่น้อย


 


 


ทุกครั้งที่ยุ่งเสร็จ มั่วชิงเฉินมักรู้สึกว่าพลังวิญญาณสูญสิ้นไปครึ่งใหญ่ เหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ


 


 


นี่ยังไม่หมด จัดการสวนสมุนไพรเสร็จ นางจึงเอาน้ำค้างที่เก็บได้ต้มน้ำชงชา


 


 


ไฟที่ใช้ต้มน้ำไม่อาจใช้ไฟธรรมดาได้ แต่ต้องเป็นไฟจริงของผู้บำเพ็ญเพียร ดีที่มั่วชิงเฉินทำเสร็จในห้องครัวเล็กๆ ของตน ถึงสามารถรักษาความลับของเพลิงแก้วใจกระจ่างไว้ได้


 


 


ที่ทำให้นางรู้สึกดีใจก็คือ ไม่คิดว่าอาจารย์ชื่นชมฝีมือการชงชาของนางมาก บอกว่าชาที่นางชงรสสัมผัสยอดเยี่ยมยิ่งนัก มีปราณวิญญาณมาก มั่วชิงเฉินเดาว่า เกรงว่าจะเกี่ยวกับไฟที่ใช้ต้มน้ำนั่น


 


 


หลังจากนั้น มั่วชิงเฉินก็ต้องไปห้องอสูรวิญญาณจูงอินทรีวิญญาณหยกหิมะและอสูรเสือพายุทะลุฟ้าออกมาเดินเล่น อีกาไฟของนางตัวนั้นก็ได้เสพสุขกับประโยชน์ระดับเดียวกันไปด้วย


 


 


นี่ก็ช่างเถอะ ที่ทำให้นางโมโหที่สุดคือ ไม่คิดว่านาง ไม่คิดว่านางยังต้องหวีขนให้เสือใหญ่ตัวนั้นด้วย!


 


 


ทุกครั้งที่นางหยิบหวีไม้เล็กๆ หวีขนให้เสือตัวนั้น ยังต้องทนรับการดูถูกจากมันอีก แต่ใครให้คนเขาพลังร้ายกาจกว่าตัวเองล่ะ แล้วยังมีอาจารย์คอยหนุนหลังด้วยนะ ข้าทนก็ได้!


 


 


ถึงตอนบ่าย มั่วชิงเฉินต้องไปห้องเก็บของตรวจนับยาสมุนไพรที่ไม่รู้ตุนสะสมมากี่ปีแล้ว หลังจากจัดการแยกประเภทเสียใหม่ทีละนิดๆ ยังจำเป็นต้องปิดฉลากประโยชน์ใช้สอยด้วย


 


 


รอทำสิ่งเหล่านี้จนเสร็จ ก็ถึงยามหัวค่ำแล้ว


 


 


ดังนั้น มั่วชิงเฉินเริ่มเข้าห้องครัวไปทำอาหาร


 


 


ที่จริงไม่ว่ามั่วชิงเฉินหรือว่ากู้หลี ต่างสามารถเลี่ยงธัญพืช ทว่าที่ทำให้นางแปลกใจคือ อาจารย์ของนางท่านนี้กลับเรียกร้องว่าตอนเย็นทุกวันให้นางเตรียมอาหารเย็น


 


 


แน่นอน วัตถุดิบที่มีทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ มีบางชนิดอร่อยจนมั่วชิงเฉินเกือบจะกลืนลิ้นเข้าไปด้วย


 


 


ศิษย์อาจารย์สองคนดื่มสุราทิพย์ที่มั่วชิงเฉินหมักเอง ยามนี้กลับเป็นเวลาสบายๆ ที่หายากในหนึ่งวัน แน่นอน หากละเลยอินทรียักษ์และเสือที่ดื่มสุรากินเนื้อตามเหมือนกันละก็


 


 


ส่วนอีกาไฟ…แค่กๆ อย่างไรเสียก็เป็นอสูรวิญญาณของตน ก็ช่างเถอะ


 


 


มั่วชิงเฉินนึกว่าวันหนึ่งไม่บำเพ็ญเพียรละก็ ตนจะไม่สบายไปทั้งตัว ทว่าใครจะรู้ว่าวันหนึ่งผ่านไปทำเรื่องเหล่านี้จนเสร็จค่อยถึงกลับห้อง ก็เหนื่อยจนหัวถึงหมอนก็นอนถึงวันที่สอง แล้วเริ่มงานแบบเดียวกันอีก


 


 


ท่ามกลางสายตาโอดครวญที่หนักขึ้นทุกวัน อาจารย์ที่สงบใจเย็นของนางกลับไม่สะทกสะท้าน ทุกครั้งที่นางอยากคัดค้าน กลับต้องแพ้ท่ามกลางสายตาที่อ่อนโยนของเขา


 


 


ข้า ข้าไม่ได้กลัวเขาไม่พอใจเสียหน่อย ข้าเพียงแต่ เพียงแต่เป็นลูกศิษย์ดีที่เคารพอาจารย์เท่านั้น ทุกครั้งที่มั่วชิงเฉินผุดความคิดอื่นขึ้นมา ก็รีบใช้เหตุผลนี้กดสิ่งรบกวนพวกนั้นลงไปทันที


 


 


รอเวลานานเข้า มั่วชิงเฉินค่อยๆ คุ้นเคยจังหวะการใช้ชีวิตของทุกวัน ความคันคะเยอในใจที่ทนไม่ไหวอยากบำเพ็ญเพียรเช่นนั้นไม่คิดเลยว่าจะจืดจางลงมาจริงๆ ราวกับการทำเรื่องพวกนี้เป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้


 


 


นางกระทั่งรู้สึกไปเองว่า ตนได้ห่างออกจากโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ต้องจิตใจตึงเครียดในการบำเพ็ญเพียรตลอดเวลา แต่เริ่มปลีกวิเวกใช้ชีวิตทำไร่ทำสวนขึ้นมา


 


 


“ปิดประตู จันทร์เย็นกลับถิ่นเก่า


 


 


เพ่งมองไป หญ้าเ**่ยวเฉากลางหมอกควัน


 


 


หมอกควันเปลวไฟหนึ่งอึก ดื่มไม่สิ้น ร้อนรุ่มในคอความทรงจำช่วงใด


 


 



 


 


มองหิมะหมื่นลี้ ซ่อนชุดเขียว


 


 


คนละฟากฟ้า ไม่หวังการพบเจอ


 


 


สาดสุราเซ่นไหว้ เมาถามฟ้าดิน


 


 


…”


 


 


ใต้แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นในวันฤดูหนาว มั่วชิงเฉินนั่งเอียงๆ อยู่ข้างอสูรเสือพายุทะลุฟ้า มือหนึ่งหวีขนให้มันอย่างเบามือคล่องแคล่ว อีกด้านหนึ่งหรี่ตาครึ่งหนึ่ง ฮัมเพลง


 


 


กู้หลีที่ออกจากที่พำนักไปหลายวันเดินออกจากป่าไผ่ สิ่งที่เห็นก็คือภาพตรงหน้า เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ฟังมั่วชิงเฉินฮัมเพลงจนจบ ถึงออกเสียงว่า “ชิงเฉิน”


 


 


มั่วชิงเฉินเงยหน้าโดยพลัน เห็นกู้หลีกลับมาบนใบหน้าแย้มหนึ่งยิ้ม วิ่งเข้ามาว่า “อาจารย์ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”


 


 


“อ๋อ อยู่คนเดียวไม่ชินใช่หรือไม่?” กู้หลีเห็นศิษย์ตัวน้อยค่อยๆ กลับมาร่าเริงเหมือนวัยเด็ก ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว


 


 


ในระยะนี้มั่วชิงเฉินค่อยๆ คิดตกแล้ว ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร วันเวลาเช่นนี้ตรงหน้า กลับเป็นสิ่งที่เมื่อก่อนนางละเมอเพ้อหา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดตนต้องละโมบปานนั้น หาเรื่องกลัดกลุ้มใส่ตนทั้งวันด้วยล่ะ


 


 


มีความตระหนักเช่นนี้แล้ว คำพูดคำจาการกระทำย่อมกลับมาสง่าเช่นแต่ก่อน


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ อาจารย์ ท่านออกไปหลายวันนี้ ชิงเฉินเผชิญหน้ากับพวกมันสามตัวทุกวัน แม้แต่คนคุยด้วยก็ไม่มี” มั่วชิงเฉินอมยิ้มเอ่ย เป็นเพียงการล้อเล่นตามเรื่องตามราวสักหน่อยเท่านั้น


 


 


ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้นางงงเป็นไก่ตาแตก


 


 


ก็ได้ยินอินทรีวิญญาณหยกหิมะและอสูรเสือพายุทะลุฟ้าพูดขึ้นพร้อมกันว่า “เจ้าว่าใครพูดไม่เป็นน่ะ?”


 


 


ชัดเจนทุกถ้อยคำ ได้มาตรฐานจนไม่อาจได้มาตรฐานยิ่งกว่านี้แล้ว


 


 


แม้แต่อีกาไฟก็ร้องแว้ดๆ ร่วมสนุกด้วย


 


 


“เจ้า พวกเจ้า…” มั่วชิงเฉินมองเจ้าสามตัวนั่นพลาง ตกตะลึงอย่างควบคุมตนเองไม่ได้


 


 


ในที่สุดกู้หลีก็ทนไม่ไหวหัวเราะหึๆ ออกมาว่า “ชิงเฉิน พวกมันเป็นอสูรวิญญาณขั้นห้า พูดภาษาคนได้ตั้งนานแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินจ้องพวกมันเขม็ง ก็เห็นเจ้าเสือตัวใหญ่นั่นท่าทางเหยียดหยาม จึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้า เหตุใดเจ้าไม่เคยพูดกับข้าล่ะ?”


 


 


อสูรเสือพายุทะลุฟ้าเหล่นางปราดหนึ่ง จากนั้นย่อตัวนอนลงข้างกายกู้หลี เอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ข้าขี้เกียจพูดกับเจ้าน่ะสิ ตบะเจ้าด้อยปานนั้น ขนาดข้ายังไม่เห็นเจ้าในสายตา เจ้านายยังจะรับเจ้าเป็นศิษย์อีก ฮึ!”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง หันไปทางอินทรีวิญญาณหยกหิมะ ก็เห็นอินทรีวิญญาณหยกหิมะพูดอย่างขอโทษว่า “แหะๆ เพราะต้าฮวาไม่ให้ข้าสนใจเจ้าน่ะสิ…”


 


 


“อาจารย์!” มั่วชิงเฉินโมโหจนหงายหลัง มองกู้หลีอย่างน่าสงสารตาปริบๆ


 


 


กู้หลีตบนางอย่างปลอบประโลม สั่งสอนหนึ่งอินทรีหนึ่งเสือว่า “เสี่ยวอวี้ ต้าฮวา วันหลังพวกเจ้าห้ามแกล้งชิงเฉินอีก ต้องอยู่ด้วยกันดีๆ”


 


 


แรกสุดเห็นนางหนูนี่หุนหันอยู่บ้าง พอดีต้าฮวานิสัยดันทุรัง ขัดเกลานางหน่อยก็ดี บัดนี้ดูแล้วนิสัยนางดีมาก ถึงเวลาจัดการใหม่แล้ว กู้หลีแอบคิด จากนั้นบอกมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เรื่องจิปาถะพวกนี้เจ้าวางลงได้แล้ว”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ทำไหน้ำส้มสายชูหก หรือ กินน้ำส้มสายชู หมายถึง หึง

 

 

 


ตอนที่ 139

 

บุญคุณในการสั่งสอนอย่างอดทน

 


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก “อาจารย์?”


 


 


เห็นศิษย์ท่าทางงงงันนั่น กู้หลีหัวเราะหึๆ ว่า “เป็นอันใด หรือว่าเจ้ายังอาลัยอาวรณ์?”


 


 


“ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่อาลัยอาวรณ์ อาจารย์ ท่านจะถ่ายทอดวิชาใหม่ให้ชิงเฉินใช่หรือไม่เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินรีบเอ่ย


 


 


เห็นท่าทางมั่วชิงเฉินเมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร ก็สองตาเป็นประกาย กู้หลีแอบรู้สึกน่าขัน


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นกู้หลีไม่พูด จึงเอ่ยลองเชิงว่า “หรือว่าเป็นคาถาเจ้าคะ?”


 


 


กู้หลีขยับมือ ปรากฏม้วนคัมภีร์หยกออกมาม้วนหนึ่ง แล้วอมยิ้มยื่นให้มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินรับมา ใช้จิตตระหนักกวาดทีหนึ่งอย่างทนแทบไม่ไหว “เคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่?”


 


 


กู้หลีพยักหน้าว่า “อืม ในเมื่อเจ้าบำเพ็ญเพียรวิชาธาตุไม้เป็นหลัก คิดว่าเข้าพรรคเหยากวงมาแล้วที่บำเพ็ญเพียรก็คือเคล็ดวิชาชิงมู่ เคล็ดวิชาชิงมู่แม้เป็นวิชาทั่วไป ทว่าใช้ในการสร้างพื้นฐานก็ไม่เลว เพียงแต่บัดนี้ในเมื่อเจ้าสร้างรากฐานแล้ว เช่นนั้นเคล็ดวิชาชิงมู่ย่อมไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว เคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่นี่เป็นวิชาที่อาจารย์ฝึกฝนเมื่อเก่าก่อน ยิ่งเน้นการฝึกฝนความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรในการควบคุมพลังวิญญาณอย่างละเอียด ขณะเดียวกันก็มีจุดเด่นในด้านการโจมตี”


 


 


ได้ยินว่าเป็นวิชาที่กู้หลีบำเพ็ญเพียรเมื่อเก่าก่อน มั่วชิงเฉินในใจปีติ ถามว่า “อาจารย์ ได้ยินมาว่า ท่านเป็นรากวิญญาณฟ้าธาตุไม้หรือเจ้าคะ?”


 


 


“ถูกต้อง ชิงเฉิน เจ้ารู้สึกว่ารากวิญญาณสำคัญมากใช่หรือไม่?” กู้หลีนึกถึงยามที่ทดสอบรากวิญญาณของมั่วชิงเฉิน ท่าทางลำบากใจของนาง จึงถามเสียงเบาว่า


 


 


มั่วชิงเฉินผ่านการขัดเกลาในระยะเวลาเหล่านี้ จิตใจสงบลงนานแล้ว จิตใจกลับมากระจ่างเหมือนเมื่อก่อน ยิ้มว่า “ชิงเฉินรู้สึกว่า รากวิญญาณย่อมสำคัญอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเหล่าสำนักและตระกูลนั้น จะทุ่มสุดแรงกล่อมเกลาลูกหลานที่รากวิญญาณดีได้เช่นไร ศิษย์ที่รากวิญญาณดีก็บำเพ็ญเพียรได้เร็วกว่าศิษย์ที่มีรากวิญญาณเทียมส่วนใหญ่จริงเจ้าค่ะ”


 


 


กู้หลีไม่ได้พูดแทรก แต่ฟังความคิดของมั่วชิงเฉินเงียบๆ


 


 


มั่วชิงเฉินค่อยๆ พูดต่อว่า “ทว่าชิงเฉินคิดว่า นอกจากรากวิญญาณแล้ว โอสถ กำลังทรัพย์ สภาพจิตใจ นิสัย กระทั่งโชค จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ รากวิญญาณที่ดีเพียงแต่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรบางส่วนเดินได้เร็วบนหนทางการบำเพ็ญเพียรเท่านั้น ทว่าไม่แน่ว่าจะเดินได้ไกล ในผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณเทียม ก็มักมีคนที่โดดเด่น แม้นั่นเป็นเพียงคนส่วนน้อยนัก ทว่าชิงเฉินมีความมั่นใจว่าจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นได้เจ้าค่ะ”


 


 


ใช่แล้ว นางนอกจากรากวิญญาณด้อยสักหน่อย ในด้านอื่นตนมั่นใจว่าไม่แพ้ผู้อื่นแน่นอน การดูถูกตัวเองจนเกินไปเป็นเพียงการทอดถอนใจทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงเท่านั้น


 


 


กู้หลีฟังคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้ว กวาดสายตาผ่านนางเบาๆ ปราดหนึ่ง ชื่นชมว่า “ชิงเฉิน เจ้าพูดได้ไม่ผิด แม้การรับรู้บางสิ่งเพราะว่าเขตแดนยังไม่ถึงจึงไม่ค่อยแม่นยำ ทว่าใจใฝ่เต๋ากลับไม่ผิดพลาดเลย”


 


 


“อาจารย์ ชิงเฉินตรงไหนพูดไม่ถูกต้อง ขอเชิญท่านชี้แนะด้วย” เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียร มั่วชิงเฉินถือหลักการไม่เข้าใจก็ถามเสมอมา ไม่ต้องพูดถึงว่ายิ่งมีอาจารย์ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่ด้วย


 


 


“รากวิญญาณดีด้อย ในระดับหลอมลมปราณ สร้างรากฐานนั้นสำคัญยิ่งนักจริงๆ นี่ไม่เพียงเพราะความเร็วหรือช้าในการบำเพ็ญเพียร อย่างไรเสียหากโอสถเพียงพอ ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณเทียมบำเพ็ญเพียรขึ้นมา ก็ไม่ด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณคู่” กู้หลีเอ่อเนิบๆ


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า ถูกต้อง ตนก็คือเช่นนี้ มีโอสถที่พอเพียง ยังมีค่ายกลรวมวิญญาณระดับสูง ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรกระทั่งยังจะเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณคู่เสียอีก


 


 


“ความสำคัญของรากวิญญาณ ที่สำคัญอยู่ที่การเลื่อนชั้น ระดับหลอมลมปราณเลื่อนขั้นขึ้นระดับสร้างรากฐาน ระดับสร้างรากฐานเลื่อนชั้นขึ้นระดับก่อแก่นปราณ อันแรกเปลี่ยนพลังวิญญาณในร่างกายจากรูปปราณเป็นรูปของเหลว อันหลังเปลี่ยนพลังวิญญาณในร่างกายจากรูปของเหลวเป็นรูปของแข็ง ภายใต้การช่วยเหลือของโอสถเลื่อนชั้น นอกจากระยะแรกทดสอบความอดทนความมั่นคงของคนต่อความเจ็บปวดในการที่ชีพจรฉีกขาด พลังวิญญาณขยายอย่างรุนแรง ที่สำคัญกว่านั้นคือดูความช้าเร็วของตันเถียนในการดูดซับพลังวิญญาณที่เปลี่ยนรูปแล้ว และความเร็วอันนี้รากวิญญาณเป็นตัวตัดสิน” กู้หลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักในใจ อาจารย์พูดได้ไม่ผิด ตอนนั้นตนทะลวงระดับสร้างรากฐาน ก็เพราะขาดเพียงเล็กน้อยแค่นั้น ถึงกินโอสถสร้างรากฐานติดกันเจ็ดเม็ดนี่ถึงโชคดีสร้างรากฐาน กระทั่งหากไม่มีเพลิงแก้วใจกระจ่าง เกรงว่าตันเถียนจะรับแรงทะลวงจากฤทธิ์ยาไม่ไหวระเบิดตัวตายไปแล้ว


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความเข้าใจแต่ก่อนของตนยังแค่ผิวเผินเท่านั้น เพราะมีโอสถเพียงพอจึงดูถูกความสำคัญของรากวิญญาณโดยไม่รู้ตัว


 


 


คิดถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินแอบกวาดสายตาผ่านกู้หลีปราดหนึ่ง หรือว่า เขากำลังเตือนสติตนว่าอย่ามีใจจองหองเพราะคิดว่าสร้างรากฐานได้ด้วยอายุน้อยปานนี้?


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินท่าทางครุ่นคิด กู้หลียกมุมปากขึ้น เอ่ยต่อว่า “ทว่าทะลวงระดับก่อแก่นปราณ นอกจากรากวิญญาณ ที่สำคัญกว่ายังคงเป็นสภาพจิตใจ เพราะว่าระดับก่อแก่นปราณนอกจากเปลี่ยนของเหลวเป็นของแข็งด่านนั้นแล้ว ยังมีการทดสอบจิตมารที่ตามมาต่อจากนั้นด้วย และเมื่อถึงระดับก่อแก่นปราณ แม้รากวิญญาณยังคงสำคัญ ทว่าสาเหตุอื่นกลับสำคัญเท่ากันแล้ว ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์ แม้มีรากวิญญาณฟ้าที่ใครๆ ก็อิจฉา กลับยังคงติดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานระยะแรกมาหลายสิบปีแล้ว จนถึงบัดนี้ยังไม่อาจทะลวงได้”


 


 


“เพราะเหตุใดเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินฟังจนเคลิบเคลิ้ม ถามติดปากออกมาว่า เมื่อคำพูดหลุดออกมา ถึงรู้สึกบุ่มบ่ามอยู่บ้าง จึงแอบมองเขาปราดหนึ่ง


 


 


กู้หลีเห็นนางเช่นนั้น กลับไม่ได้ไม่พอใจ ตรงกันข้ามกลับเอ่ยนิ่งเรียบว่า “คงเพราะสภาพจิตใจข้ายังบำเพ็ญไม่ถึงขั้นกระมัง”


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางที่เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา เป็นตัวของตัวเองใจกว้าง คิดไม่ออกจริงๆว่า คนเช่นนี้ ตกลงสภาพจิตใจตรงไหนเกิดช่องโหว่แล้ว


 


 


“ส่วนเมื่อถึงระดับก่อกำเนิด ประโยชน์ของรากวิญญาณก็เป็นรอง โอสถ โอกาสวาสนา สภาพจิตใจ การตระหนัก ไม่ว่าจะอันไหนก็กลับกันมาอยู่ข้างหน้ารากวิญญาณแล้ว” กู้หลีเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของมั่วชิงเฉิน จึงเอ่ยต่อว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด อายุขัยมีสองพันกว่าปี ในภาวะที่ไม่มีโอสถอะไร ต่อให้รากวิญญาณด้อยการบำเพ็ญเพียรช้าสักหน่อย แต่ย่อมมีเวลามากมายให้บำเพ็ญเพียรขึ้นไปทีละนิดๆ ทว่าการเลื่อนชั้นของเขตแดนเล็กๆ แต่ละเขต ล้วนยากเย็นแสนสาหัส ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งหลายสิบปีหรือร้อยปีเมื่อบำเพ็ญเพียรไปถึงยอดระดับก่อกำเนิดระยะต้น กลับอาจติดอยู่ตรงนั้นตลอด จะทะลวงเข้าระดับก่อกำเนิดระยะกลางได้เช่นไร นั้นไม่ใช่สิ่งที่รากวิญญาณจะตัดสินได้อีกแล้ว แน่นอน บัดนี้อาจารย์ยังห่างระดับก่อกำเนิดอีกไกลนัก พวกนี้ก็ฟังมาจากอาจารย์ของข้า”


 


 


“อาจารย์ของท่านหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินรู้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแห่งเขาชิงมู่สมญานามเต๋าว่าหลิวซางเจินจวิน คืออาจารย์ของกู้หลี


 


 


กู้หลีอืมเสียงหนึ่ง “อาจารย์ปู่ของเจ้าสมญานามเต๋าหลิวซางเจินจวิน บัดนี้ท่านกำลังกักตนอยู่ วันไหนเจ้าย่อมมีโอกาสได้กราบคารวะท่าน บัดนี้เรามาพูดถึงความสำคัญขอโอสถกัน ชิงเฉิน ไม่รู้ศิษย์ระดับสร้างรากฐานในพรรคเหยากวง เจ้าเคยพบกี่คน?”


 


 


มั่วชิงเฉินเหงื่อตก “อาจารย์ ศิษย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการกักตนบำเพ็ญเพียร เคยพบไม่มากเจ้าค่ะ”


 


 


“พรรคเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเกือบพันคน ทว่าครึ่งหนึ่งของผู้บำเพ็ญเพียรศึกษาทั้งชีวิต ล้วนติดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น กลาง ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักพวกนั้นอัตราส่วนก็ยิ่งมากแล้ว เพราะว่าโอสถที่สามารถเพิ่มตบะของระดับสร้างรากฐานแพงกว่าระดับหลอมลมปราณมาก ไม่ใช่ใครๆ ก็แบกรับไหว และเมื่อถึงระดับก่อแก่นปราณแล้ว โอสถก็ยิ่งแพง บวกกับสาเหตุอื่นๆ อีก ก็ยิ่งสาหัสแล้ว ส่วนระดับก่อกำเนิด ได้ยินว่าโอสถนั้นไม่ใช่ปัญหาของหินวิญญาณอีกแล้ว แต่หาไม่ได้โดยสิ้นเชิง ดังนั้นบอกว่าโอสถทั้งสำคัญ และไม่สำคัญ” กู้หลีเอ่ยอย่างอดทน


 


 


“อาจารย์ เพราะเมื่อถึงระดับสูงแล้ว หากมีโอสถ เช่นนั้นความเร็วในการบำเพ็ญเพียรย่อมไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่มีโอสถจะเทียบได้ ดังนั้นโอสถสำคัญมากใช่หรือไม่เจ้าคะ ทว่าในความเป็นจริงคือเมื่อถึงขั้นของระดับก่อแก่นปราณ ก่อกำเนิด แทบจะส่วนใหญ่ของผู้บำเพ็ญเพียรต่างไม่มีโอสถ ดังนั้นทุกคนก็ถึงระดับเส้นเดียวกันอีกแล้ว โอสถจึงไม่สำคัญอีกแล้ว?” มั่วชิงเฉินถามว่า


 


 


กู้หลีพยักหน้าว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้อง กระทั่งด่านยากเข็ญแสนสาหัสพวกนั้น หากมีโอสถที่สัมพันธ์กัน ก็จะเพิ่มความเป็นไปได้ในการสำเร็จ เพียงแต่โอสถเช่นนั้นย่อมมีเงินก็ซื้อไม่ได้ มีแต่ที่อยู่ในตำนานเท่านั้นแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วรู้สึกดีใจ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ปัญหาของรากวิญญาณยังคงสามารถแก้ไขได้ด้วยโอสถ ตนมีขวดน้ำเต้าสุราในมือ เรื่องจำนวนปีไม่ใช่ปัญหา ที่สำคัญคือเมล็ดของหญ้าทิพย์บางชนิดและเทียบโอสถ และแก้ปัญหาเรื่องจำนวนปีได้ ในด้านนี้ก็ง่ายกว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นมาก


 


 


“สิ่งที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ก็คือเรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงยอมรับตรงกัน ที่จริงโดยส่วนตัวข้า สิ่งที่สำคัญที่สุดในหนทางการบำเพ็ญเพียรกลับเป็น…โอกาสวาสนา!” ทันใดนั้นกู้หลีก็พูดขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก ทว่ากู้หลีกลับไม่ได้พูดต่อไป แต่จ้องนางตาไม่กะพริบ


 


 


อย่างช้าๆ มั่วชิงเฉินยิ่งเห็นด้วยกับคำพูดนี้ขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ถูกต้อง เริ่มแรกตนทะลุมิติมาบนร่างนางหนู คือโอกาสวาสนา ขวดน้ำเต้าสุราที่ซื้อชาติก่อนตามตนเองทะลุมิติมาด้วยกันและมีประสิทธิภาพมหัศจรรย์คือโอกาสวาสนา ท่านอาสิบสี่พาตนเข้าตระกูลมั่วตั้งแต่นั้นก้าวเข้าหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรคือโอกาสวาสนา ลองคิดดูหากเมื่อแรกเริ่มบิดาไม่ได้ประคองตัวจนถึงตระกูลมั่วพูดเรื่องนั้นออกไป บัดนี้เกรงว่าตนคงถูกนางหลิ่วหยางบังคับให้เป็นอนุภรรยาของเจ้าของที่ดินเศรษฐีแก่ไปแล้ว


 


 


นางมีเพลิงแก้วใจกระจ่างก็เป็นโอกาสวาสนาเช่นกัน ขายสุรารู้จักท่านพี่กู้และถูกเขาช่วยไว้จนกระทั่งบัดนี้ถูกเขารับไว้เป็นศิษย์ ยังคงเป็นโอกาสวาสนา


 


 


“ชิงเฉิน เจ้าเข้าใจหรือไม่ โอกาสวาสนาไม่เท่ากับโชค?” กู้หลีถามอีก


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก ไม่ใช่โชคเช่นนั้นหรือ? เมื่อครู่ที่ตนคิดย้อนกลับไปนั้น ทันใดนั้นรู้สึกว่าตนโชคดีมากอย่างไม่คาดคิด


 


 


กู้หลีเอ่ยเบาๆ ว่า “ในโลกบำเพ็ญเพียรตกทอดกันมาประโยคหนึ่ง โชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ ที่พูดนี้ก็คือโอกาสวาสนา ตัวอย่างก็เช่นเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงรับเจ้าเป็นศิษย์?”


 


 


มั่วชิงเฉินดวงตาเบิกโต นี่ก็เป็นคำถามที่นางอยากรู้


 


 


“สิบกว่าปีก่อนข้าได้ดื่มสุราทิพย์ที่เจ้าขายโดยบังเอิญ รู้สึกถูกใจยิ่งนัก จึงไปซื้อสุราบ่อยๆ แน่นอนเพราะสุราที่เจ้าหมักรสชาติไม่เหมือนใคร นี่ถึงมีโอกาสวาสนาให้เรารู้จักกัน หลังจากนั้นข้าไปปราณภูเขาหลิวหั่วโดยบังเอิญ ช่วยเจ้าไว้ตามโอกาส นอกจากเพราะรู้จักกันหลายปี ยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็คือเสียดายที่เจ้าอายุน้อยๆ ตบะกลับไม่ต่ำ นี่ย่อมมาจากผลของการขยันบำเพ็ญเพียรมาตลอดของเจ้า ต่อมาอีก ข้าได้ดื่มสุราทิพย์ที่เจ้าขายในสำนัก จึงรู้ว่าเจ้ามาพรรคเหยากวงแล้ว ยามนั้นยังไม่มีความคิดจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ไม่คิดว่าเจ้าบากบั่นบำเพ็ญเพียรยิ่งนัก บวกกับเรื่องราวต่างๆ ข้าคิดว่า รับเจ้าเป็นศิษย์ก็เป็นเรื่องโชคดีของข้า” กู้หลีพูดอย่างตรงไปตรงมา


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกเสียใจ หากเป็นไปได้ ข้าไม่อยากเป็นศิษย์ของท่านหรอก ข้าต้องบำเพ็ญเพียรให้ถึงระดับก่อแก่นปราณ ยามพบกันอีกครั้งสามารถเรียกท่านว่าศิษย์พี่คำหนึ่ง


 


 


กู้หลีไม่รู้ความคิดของมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็พูดพวกนี้จนหมด แล้วหยิบของออกมาสิ่งหนึ่งว่า “นับจากวันนี้ เวลากลางคืนเจ้าสามารถบำเพ็ญเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่นั่น เวลากลางวันจงเอากระบี่ไม้เล่มนี้ ไปฝึกเคล็ดวิชากระบี่พื้นฐานในม่านน้ำตกหลังเขา”


 


 


“ฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่พื้นฐาน?” มั่วชิงเฉินเบิกตาแผ่วเบา มองดูกระบี่ไม้และคัมภีร์เล่มเล็กที่กู้หลียื่นเข้ามา


 


 


“อืม ยามที่ฝึกฝน ห้ามใช้พลังวิญญาณคุ้มกาย รอเจ้าสามารถออกกระบวนท่าพื้นฐานสิบแปดชนิดนั้นท่าละหนึ่งพันครั้ง ค่อยมาหาข้า” กู้หลีเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


หนึ่งพันครั้ง?


 


 


สิบแปดชนิด?


 


 


ออกกระบวนท่าหนึ่งหมื่นแปดพันครั้งติดต่อกัน?


 


 


ห้ามใช้พลังวิญญาณคุ้มกาย?


 


 


อาจารย์ ท่านแน่ใจว่าไม่ได้หยอกข้าเล่นหรือ? ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรกายหรือกระบี่นะ!


 


 


มั่วชิงเฉินคิดพลางน้ำตานองหน้า

 

 

 


ตอนที่ 140

 

 เคล็ดวิชาบุปผาแปลงไม้

 


 


 


“ต้าฮวา พาชิงเฉินไปน้ำตกหลังเขา” กู้หลีเมินเฉยต่อหน้าตาโอดครวญของศิษย์ตัวน้อย หันหน้าสั่งอสูรเสือพายุทะลุฟ้าว่า มุมปากกลับกระดกขึ้นแผ่วเบา


 


 


“ไปเถอะ” เสือตัวใหญ่ใบหน้าสนุกที่ได้เห็นความทุกข์ของคนอื่น สะบัดหางใหญ่ของมัน


 


 


มั่วชิงเฉินอยากหยิกหน้าเสือของมันจริงๆ ตกลงทำเช่นไรถึงทำสีหน้าเหมือนคนเช่นนี้ออกมาได้ กลับกล้าคิดไม่กล้าทำ ตามไปอย่างว่าง่าย


 


 


ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ก็คือหลังเขา เลี้ยวไปถึงข้างหนึ่ง มีน้ำตกตกลงมาไม่ขาดสาย น้ำกระจายสาดขึ้นมาเหมือนเศษหยก


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองเสือใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ กรงเล็บหน้าสองข้างยันตัวไว้ เห็นชัดๆ ว่ามาคุมงาน จึงแอบกัดฟัน ก้มหน้ากวาดคัมภีร์เล่มเล็กปราดหนึ่ง


 


 


คัมภีร์เล็กง่ายยิ่งนัก ก็คือวาดท่วงท่าของเคล็ดวิชากระบี่พื้นฐานสิบแปดชนิด แล้วทำเครื่องหมายจุดสำคัญไว้ ไม่ว่าดูอย่างไร นางก็รู้สึกว่าเป็นเคล็ดวิชาวรยุทธ์ลับที่กู้หลีซื้อมาจากแผงแบกับดินของโลกฆราวาสสักที่หนึ่ง


 


 


ความจำของผู้บำเพ็ญเพียรดีมาก มั่วชิงเฉินดูรอบหนึ่งก็จำข้อมูลทั้งหมดได้แล้ว กลับเก็บคัมภีร์เล็กเข้าถุงเก็บวัตถุที่เก็บติดตัวที่สุดของตน


 


 


จากนั้นมองน้ำตกที่สาดลงมาคิดๆ ดูแล้ว ถอดชุดคลุมเขียวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ใส่อยู่ออกแล้วเปลี่ยนเสื้อเขียวที่ใส่ยามอยู่ระดับหลอมลมปราณ


 


 


เดิมทีมั่วชิงเฉินคิดว่าเครื่องแต่งกายของสำนักล้วนเหมือนกัน ทว่าจนถึงรับเครื่องแต่งกายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไปถึงพบว่า แม้แบบและสีไม่ต่างกับของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ เนื้อผ้ากลับต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


 


ไม่พูดถึงชุดคลุมเขียวนี้ใส่อยู่บนตัวแล้วสบายตัวยิ่งนัก ยังมีพลังป้องกันประมาณหนึ่ง นับได้ว่าเป็นอาวุธเวทป้องกันระดับต่ำชิ้นหนึ่งแล้ว


 


 


ในเมื่ออาจารย์เรียกร้องให้ตนห้ามใช้พลังวิญญาณคุ้มกาย เช่นนั้นชุดเขียวนี้ถอดออกมาดีกว่า


 


 


ถอดรองเท้าออก มั่วชิงเฉินเหยียบไปบนหินที่ปูอยู่ที่ถูกน้ำตกซัดจนกลมกลึงเป็นเงา หายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงกัดฟันมุดเข้าในน้ำตก


 


 


“ว้าย” มั่วชิงเฉินร้องต่ำๆ เสียงหนึ่ง เคลื่อนพลังวิญญาณโดยไม่รู้ตัวถึงรู้สึกสบายหน่อย


 


 


ที่แท้น้ำตกนี่ไม่ใช่น้ำตกธรรมดา หากแต่หนาวเย็นถึงกระดูก ต่อให้นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ร่างกายแข็งแกร่งกว่านักบำเพ็ญระดับหลอมลมปราณมาก แต่ไม่เคลื่อนพลังวิญญาณต้านไว้ยังคงทนได้ยากนัก


 


 


อาจาร์ นับว่าท่านโหด! มั่วชิงเฉินบ่นในใจ


 


 


กู้หลีที่ใช้จิตตระหนักสังเกตด้านนี้ตลอดแรกสุดเห็นมั่วชิงเฉินเปลี่ยนเสื้อ จึงปิดจิตตระหนักโดยไม่รู้ตัว ยามกวาดมาอีกทีเห็นท่าทางนางย่นหน้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว อดยิ้มแผ่วเบาไม่ได้


 


 


ใต้น้ำตกนั้นมีตาน้ำพุน้ำแข็งอันหนึ่ง ดังนั้นกระแสน้ำหนาวเย็นเข้ากระดูก ทว่าหากใช้ในการฝึกฝนร่างกายเป็นระยะเวลานาน ประโยชน์กลับไม่ต้องพูดถึง


 


 


เดิมทีคิดว่านางหนูนั่นในร่างมีไม้ไฟสองรากวิญญาณเป็นหลัก อีกทั้งยังมีเครื่องแต่งกายสำนักที่มีพลังคุ้มกันพอประมาณคอยต้าน ต่อให้ไม่เคลื่อนพลังวิญญาณก็ไม่ทรมานขนาดนั้น ทว่าใครจะรู้ว่านางหนูนั่นกลับดื้อรั้น ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนเสื้อทั้งเช่นนี้แล้ว


 


 


ยังดี ในร่างนางไฟโหมแรง ไม่ถึงกับทำร้ายร่างกาย แม้กู้หลีคิดเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางมั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากพยายามอดทน สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อยแล้ว ในใจยังคงบีบรัดคราหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าจิตตระหนักของกู้หลีคอยตามติดนางตลอด รอร่างกายปรับตัวได้สักหน่อยแล้ว จึงกระจายพลังวิญญาณที่คุ้มกายไป


 


 


นางเข้าใจ ในเมื่ออาจารย์เรียกร้องให้ตนไม่ใช้พลังวิญญาณคุ้มกาย เช่นนั้นต้องทำเพื่อประโยชน์นางแน่นอน รู้ว่าต้องไม่ทำร้ายร่างกายของนาง


 


 


เพียงแต่…นี่ย่าเจ้าก็หนาวไปหน่อยนะ!


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟันแอบด่าพลาง ยกกระบี่ไม้ขึ้นด้วยมือที่หนาวจนสั่น เริ่มฝึกฝนพื้นฐานกระบี่กระบวนท่าแรกฟันกระบี่ ตามที่แสดงบนคัมภีร์เล่มเล็ก


 


 


กระแสน้ำที่ตกลงมาถาโถมลงบนกระบี่ไม้ ตัวกระบี่อดเอียงไม่ได้ เกือบจะหลุดมือ


 


 


มั่วชิงเฉินพยายามจับกระบี่ไม้ให้นิ่ง ยามที่ฟันออกกลับรู้สึกว่าถูกน้ำขวางไว้ จะก้าวออกข้างหน้าสักก้าวก็ยากลำบากยิ่งนัก


 


 


ที่แท้ ตนที่สูญเสียพลังวิญญาณแล้ว จะอ่อนแอเช่นนี้! ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็ตระหนักถึง


 


 


ตระหนักถึงจุดนี้ กลับกระตุ้นนิสัยดื้อรั้นของนางออกมา อาจารย์บอกว่าข้าต้องฟันกระบี่ทั้งสิบแปดชนิดให้ได้ท่าละหนึ่งพันครั้งติดต่อกันถึงไปพบท่านได้ ข้าไม่เชื่อว่าตนเองแม้แต่ท่าเดียวก็ฟันไม่ออก


 


 


หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…


 


 


ถึงยามอาทิตย์อัสดง ร่างกายของมั่วชิงเฉินก็โอนเอนจะล้มมิล้มแหล่แล้ว กลับฟันได้เพียงไม่ถึงร้อยครั้ง


 


 


ไม่ได้ อย่างน้อย อย่างน้อยก็ต้องฟันถึงหนึ่งร้อยครั้งถึงได้


 


 


มั่วชิงเฉินที่ถึงขีดจำกัดแล้วคิดอย่างไม่เต็มใจ กลับรู้สึกหน้ามืดทันทียามที่กระแสน้ำรุนแรงโถมเข้ามา แล้วหมดสติไป


 


 


เงาสีเทาสายหนึ่งโฉบมา อุ้มมั่วชิงเฉินขึ้นจากสายน้ำใสมาถึงบนพื้นหญ้า


 


 


คนในอ้อมกอดเปียกโชกไปทั้งตัว เส้นผมยาวเหมือนสาหร่ายสยายออกปกคลุมร่างกายไว้ เผยให้เห็นหน้าผากที่อิ่มเอิบ คิ้วดำเรียวยาวหลับตาแน่น ขนตาเหมือนพัดอันเล็กๆ โค้งกำลังดี ด้านบนยังมีหยดน้ำแขวนอยู่เป็นประกายจะตกแหล่มิตกแหล่


 


 


ริมฝีปากของนางหนาวจนซีดขาว สีหน้ายิ่งขาวจนโปร่งใสเล็กน้อย ดูแล้วอ่อนแอมาก ทว่าสีหน้าที่ซีดเซียวเพียงใดก็ปิดบังความงดงามที่น่าตกใจนั้นไม่มิด


 


 


ทันใดนั้นกู้หลีรู้สึกตกใจว่า ที่แท้เด็กผู้หญิงที่อยู่ในใจเขามาตลอด ได้เติบใหญ่เป็นหญิงสาวคนหนึ่งนานแล้ว


 


 


เขากดข้อมือนางไว้ ค่อยๆ ส่งพลังวิญญาณเข้าไป อีกทั้งอบเสื้อผ้าและเส้นผมของนางแห้งในพริบตา นี่ถึงค้อนอสูรเสือพายุทะลุฟ้าควักหนึ่ง “ต้าฮวา เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้นางหมดสติในน้ำ?”


 


 


อสูรเสือพายุทะลุฟ้าฟังแล้ว เผยสีหน้าน้อยใจยิ่งออกมา “เจ้านาย ท่าน ท่านลำเอียง ท่านให้นางมาขัดเกลาร่างกายชัดๆ แค่หมดสติไปเท่านั้น จะเป็นอะไร!”


 


 


กู้หลีถูกเถียงจนสะอึก บังเอิญยามนี้มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นพอดี


 


 


“อาจารย์?” รู้สึกมีพลังวิญญาณอันอ่อนโยนไหลเข้าร่างตนไม่ขาดสาย ร่างกายที่แต่เดิมหนาวเย็นค่อยๆ อุ่นขึ้นมา มั่วชิงเฉินเรียกเสียงหนึ่ง


 


 


ถึงพบว่าตนถูกเขาโอบไว้ในอ้อมกอด ข้อมือยังถูกเขากุมไว้ในมือ จนอดหน้าแดงไม่ได้ ทันใดนั้นรู้สึกว่าน้ำของน้ำตกนั่น ไม่หนาวแล้ว


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินฟื้นมา กู้หลีรีบปล่อยออก แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ชิงเฉิน เจ้าต้องเข้าใจเหตุผลค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เรื่องทุกเรื่องต้องเหมือนเช่นเจ้าสร้างรากฐาน จำเป็นต้องทุบหม้อข้าวจมเรือ การบำเพ็ญเพียรต้องยืดได้หดได้ หากตึงเครียดตลอดเวลา เช่นนั้นผลสุดท้าย ก็คือขาด”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินเบิกตาโต มองเขาตรงๆ กู้หลีชะงัก “เป็นอะไร รู้สึกว่าอาจารย์พูดผิดเช่นนั้นหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ ยิ้มนิ่งเรียบว่า “ไม่เจ้าค่ะ อาจารย์สั่งสอนได้ถูกต้อง”


 


 


ในใจถอนหายใจลึก อยู่ด้วยกันเช้าเย็นเช่นนี้ ฟังคำสอนด้วยใจของเขา ตนควรจะทำเช่นไร?


 


 


ปล่อยให้ความรู้สึกที่ไม่อาจบอกใครได้ในใจโตอย่างบ้าคลั่ง หรือว่า…หรือว่าใช้กำลังฆ่ามันให้ตายตั้งแต่อยู่ในเปล?”


 


 


เป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉิน ไม่มีความมั่นใจในการควบคุมตนเอง


 


 


ในชาติที่แล้ว นางก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาที่ชอบยิ้ม ชาตินี้แม้ผ่านอุปสรรคมามาก แต่อย่างไรเสียก็มีจิตใจของผู้ใหญ่ จึงไม่ได้ทำให้นางมีนิสัยมองโลกในแง่ร้ายเย็นชา


 


 


นางไม่เคยรู้สึกว่า การบำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องหาผู้ชายที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นที่พึ่ง เช่นเดียวกัน นางก็ไม่รู้สึกว่าการบำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องละทิ้งความรัก กระหยิ่มยิ้มย่องในตัวเองเพียงคนเดียว


 


 


หนทางแห่งอายุยืนยาว นางต้องเดินแน่ ส่วนความรัก เดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับการนี้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร ไม่เกี่ยวกับอายุยืนยาว ไม่ว่าเป็นนางหนูที่อาศัยใต้ชายคาคนอื่นก็ดี มั่วชิงเฉินที่เพิ่งเผยพรสวรรค์ออกมาก็ช่าง ล้วนมีสิทธิ์ไปลิ้มลอง


 


 


เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่า คนที่ทำให้นางใจหวั่นไหวเป็นครั้งแรก ดันกลายมาเป็นอาจารย์ของนางแล้ว!


 


 


“ชิงเฉิน วันนี้เจ้ามาลองชิมฝีมือข้าเถอะ” กู้หลีเห็นมั่วชิงเฉินเหม่อลอย นึกว่าใช้พลังกายเกินไป จึงอมยิ้มเอ่ยว่า


 


 


มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงว่า อาจารย์นางที่ดูแล้วสง่าดุจเซียนผู้นี้ ฝีมือการทำอาหารจะดีเช่นนี้ ดีจนแม้แต่อีกาของนางตัวนั้นยังดูถูกนางแล้ว


 


 


ฟังอสูรวิญญาณสามตัวนั้นค่อนขอดไปพลาง มองท่าทางดื่มสุราอมยิ้มของกู้หลีไปพลาง มั่วชิงเฉินเกิดความคิด ใยตนต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องที่ไร้สาระ พวกเขาเป็นศิษย์อาจารย์กัน อนาคตยังต้องอยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ เวลาที่อยู่ด้วยกันกระทั่งจะมากว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่บำเพ็ญเพียรคู่พวกนั้นมาก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมีชีวิตได้แปดร้อยปีล่ะก็ หากก่อกำเนิดแล้ว ยิ่งสามารถอยู่ได้หลายพันปี ตนชินกับการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยกุมไว้ในกำมือเกินไปจริงๆ กลับลืมไปว่าเฉพาะเจาะจงมีเพียงความรักที่ไม่อาจจัดการได้


 


 


เรื่องในอนาคต อนาคตค่อยว่าเถอะ


 


 


เป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉิน เลือกใช้ท่าทีในด้านลบต่อเรื่องบางเรื่อง


 


 


ก็เป็นเช่นนี้ กลางวันมั่วชิงเฉินไปฝึกวิชากระบี่ในน้ำตก กลางคืนบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ทั้งคืน


 


 


เริ่มบำเพ็ญเพียรถึงพบว่า หลังจากระดับสร้างรากฐานแล้วความเร็วในการบำเพ็ญเพียรช่างช้าอย่างน่าสงสารจริงๆ ดีที่ที่นี่มีสวนสมุนไพรผืนใหญ่ โอสถรวมวิญญาณที่ธรรมดาที่สุดในระดับสร้างรากฐาน กู้หลีให้นางมากมายอย่างไม่ตระหนี่ เพียงพอให้ใช้นานมากแล้ว


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็เข้าใจ ตนต้องบำเพ็ญเพียรช้ากว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณดีพวกนั้นแน่นอน ไม่เพราะอะไร นางมีอาจารย์ให้โอสถรวมวิญญาณ คนอื่นย่อมต้องมีเหมือนกัน


 


 


ทว่าหลังจากยุทธวิธีเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่แล้ว มั่วชิงเฉินพบว่าความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าใช้เคล็ดวิชาชิงมู่มาก คิดว่าสาเหตุคงมาจากยุทธวิธี


 


 


เพียงเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินยังไม่พอใจ ตามความเร็วเช่นนี้นางไม่รู้ว่าต้องเดือนใดปีใดถึงบำเพ็ญเพียรไปถึงระดับก่อแก่นปราณได้ ต้องรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรเลื่อนชั้นขณะยิ่งมีอายุน้อย ศักยภาพในวันหน้าก็ยิ่งมาก


 


 


วันเวลานานแล้วมั่วชิงเฉินพบว่ากู้หลีเชี่ยวชาญการหลอมโอสถยิ่ง… ในห้องไม้ไผ่ห้องหนึ่งยังเก็บม้วนคัมภีร์หยกตำราเกี่ยวกับการหลอมโอสถไว้ไม่น้อย


 


 


ใช้ประโยชน์จากเวลาว่างนานๆ ทีมั่วชิงเฉินจะไปพลิกอ่าน พบว่ามีโอสถชนิดหนึ่งเรียกว่าโอสถรวมจิต สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายหรือกระทั่งระยะสมบูรณ์ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งก่อกำเนิดบางคนเพราะหาโอสถที่เหมาะสมไม่ได้ ก็กินโอสถนี้ ถือว่าดีกว่าไม่มี


 


 


ก็ด้วยเหตุนี้ โอสถชนิดนี้หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้น กลางกินเข้าไป ก็จะมีอันตรายถึงตายเพราะร่างระเบิด


 


 


มั่วชิงเฉินจึงสนใจโอสถรวมจิตนี้ขึ้นมา เพราะว่าประสบการณ์การสร้างรากฐานของนางทำให้นางคาดเดารางๆว่า ชีพจรและตันเถียนของตน น่าจะสามารถรับการทะลวงของพลังวิญญาณได้มากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นเดียวกัน


 


 


ทว่าความคิดนี้ถูกนางกดไว้เสมอมา รอวันหน้าค่อยลอง อย่างไรเสียนางตระหนักได้ว่า ในไม่กี่ปีนี้ อาจารย์ไม่ยอมให้นางบำเพ็ญเพียรเร็วเกินไป เกรงว่ายังคงเกี่ยวข้องกับการที่ปีนั้นนางสร้างรากฐานเร่งรีบเกินไป


 


 


พริบตาเดียวสองปีผ่านไป ยามที่ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่กู้หลีตั้งไว้นั้น รับคัมภีร์ประณีตมากมาเล่มหนึ่ง ด้านบนสลักตัวอักษรใหญ่ไว้หลายตัวว่าเคล็ดวิชากระบี่บุปผาแปลงไม้


 


 


“อาจารย์?” มั่วชิงเฉินลูบคัมภีร์ในมือ ถามเสียงใสว่า


 


 


กู้หลียกมุมปากขึ้น “วิชาจู่โจมที่ข้าถนัดที่สุดก็คือเคล็ดวิชากระบี่ หลายปีก่อนได้เคล็ดวิชากระบี่สองชุดโดยบังเอิญในแดนลี้ลับหนึ่ง เคล็ดวิชากระบี่บุปผาแปลงไม้นี้เหมาะจะให้สตรีฝึกมากกว่า”


 


 


“อีกชุดหนึ่งอาจารย์ฝึกหรือเจ้าคะ?” ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจมั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจเล็กน้อย


 


 


กู้หลีชะงัก จากนั้นเพียงแต่อืมเบาๆ เสียงหนึ่ง


 


 


นับแต่นี้มั่วชิงเฉินเริ่มฝึกเคล็ดวิชากระบี่บุปผาแปลงไม้ ทว่ากลับต้องการฝึกเพียงช่วงเช้าทุกวันเท่านั้น เวลาที่เหลือบ้างก็ฝึกยุทธวิธี บ้างก็ศึกษาคาถาที่ติดมากับยุทธวิธี พริบตาเดียวห้าปีก็ผ่านไปอีกแล้ว


 


 


เวลานี้ ห่างจากมั่วชิงเฉินสร้างรากฐานได้ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว


 


 


ในวันนี้ มั่วชิงเฉินฝึกฝนเสร็จกำลังเถียงกับพวกเสือใหญ่สามตัว ทันใดนั้นห้องไม้ไผ่ที่กู้หลีกักตนอยู่ปรากฏแสงวิญญาณ ต่อมาประตูไม้ไผ่ที่ปิดผนึกไว้หลายเดือนค่อยๆ เปิดออก กู้หลีที่ใส่ชุดเทาเดินออกมา


 


 


“อาจารย์ ขอแสดงความยินดีด้วยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพูดจากใจจริง


 


 


นักพรตเหอกวง ในที่สุดก็เข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางในปีที่เจ็ดหลังจากที่รับศิษย์

 

 

 


ตอนที่ 141

 

 คำเล่าลือจากปาก

 


 


 


นักพรตเหอกวงกู้หลี หลังจากความโกลาหลวิกฤตอสูรเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็ติดอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นเสมอมา สาเหตุในนั้นลือกันไปต่างๆ นานา ทว่าที่คนส่วนใหญ่ยอมรับอย่างเป็นทางการ คือการได้รับบาดเจ็บ


 


 


ทว่ามั่วชิงเฉินอยู่ด้วยกันเช้าเย็นกับเขามาเจ็ดปี กลับเดาได้รางๆ ว่าความจริงน่าจะใกล้เคียงกับที่คนหมู่น้อยพูดไว้ พวกเขาว่า นักพรตเหอกวงมีปมในใจ


 


 


มั่วชิงเฉินอยากรู้อยากเห็นมาก อาจารย์ท่านนี้ของนางมีปมอะไรในใจกันแน่ ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างพวกนั้นจะสามารถรู้ได้แล้ว


 


 


เห็นกู้หลีเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางได้สำเร็จ มั่วชิงเฉินแอบดีใจ หรือว่าปมในใจของเขาคลายแล้ว?


 


 


กู้หลีกลับไม่ได้รู้สึกปีติมากเกินไปนัก เห็นท่าทางดีอกดีใจของมั่วชิงเฉินแล้วยิ้มว่า “เป็นอะไร เคล็ดกระบี่ของเจ้าสำเร็จขั้นที่หนึ่งแล้วหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินยักคิ้วยิ้มว่า “นั่นแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้มีทั้งหมดเจ็ดขั้น


 


 


ขั้นที่หนึ่งชื่อว่าบุปผาเกิดแต่ไม้ สามารถเกิดบุปผาจากกระบี่ ดอกไม้สดแต่ละดอกล้วนเกิดจากพลังวิญญาณ กลีบแต่ละกลีบปกคลุมด้วยปราณกระบี่ แฝงการเข่นฆ่า อานุภาพตีเสมอกับอาวุธเวทโจมตีระดับสูงทั่วไป


 


 


ขั้นที่สองชื่อโล่ไม้เขียว ปราณกระบี่ที่ออกจากกระบี่ที่ใช้แปลงเป็นโล่วิญญาณคุ้มกายด้วยตนเอง เทียบกับพลังวิญญาณคุ้มกายหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก เป็นเคล็ดกระบี่ฝ่ายรับ แต่ไม่กระทบการใช้เคล็ดกระบี่จู่โจมอื่นๆ


 


 


ขั้นที่สามชื่อทะเลบุปผามายา ยามที่ฝึกสำเร็จดอกไม้สดนับไม่ถ้วนกลายเป็นทะเลดอกไม้ ซึ่งจะชักนำผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่แดนมายา จริงเท็จยากจะแยกแยะ


 


 


ส่วนหลังจากนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ในเขตแดนของนางจะสามารถเข้าใจได้แล้ว


 


 


“หึๆ เช่นนั้นมาประลองกับอาจารย์สักหน่อยเป็นเช่นไร?” ทันใดนั้นกู้หลีพูดขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นแย้มยิ้มว่า “ได้เจ้าค่ะ เพียงแต่อาจารย์ ท่านตบะสูงกว่าข้ามากเกินไป ต้องยั้งมือไว้ไมตรีด้วยนะเจ้าคะ”


 


 


“ข้าจะกดตบะไว้ที่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น เจ้าสู้ให้เต็มที่ก็แล้วกัน” กู้หลีเอ่ย


 


 


“อาจารย์ รับกระบี่!” มั่วชิงเฉินแทงกระบี่ไม้ไปโดยไม่ลังเล


 


 


กู้หลีเอียงศีรษะแผ่วเบา แทงกระบี่ไม้แบบเดียวกันออกไป ลำแสงแผ่ออก


 


 


มั่วชิงเฉินบินถอยไปสองสามก้าว กระบี่ไม้ในมือกลับบินออกมา ใช้เพียงพลังวิญญาณบังคับ


 


 


กระบี่ไม้นั้นดูแล้วธรรมดาไม่มีสิ่งใดพิเศษ ทว่าเมื่อใกล้มาถึงตรงหน้ากู้หลีกลับมีดอกไม้สดดอกใหญ่ผลิบานเต็มไปหมด สีสันสดใสสวยสดงดงาม กลับแฝงด้วยพลังเข่นฆ่าทุกกลีบ จู่โจมไปที่เขาอย่างเฉียบขาด


 


 


ร่างกู้หลียืนอยู่ที่เดิม กระบี่ไม้ในมือบินขึ้นเช่นกัน กลับเกิดเป็นกิ่งไม้แห้งนับไม่ถ้วน ดอกไม้สดที่บินมาเหล่านั้นเหมือนถูกดึงดูดก็ไม่ปาน หล่นลงบนกิ่งไม้แห้งด้วยตัวเอง


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ยอมแพ้ เร่งพลังวิญญาณอีกครั้ง ทันใดนั้นดอกไม้กลายเป็นเถาวัลย์ยาว พันไปที่กู้หลีตามกิ่งไม้แห้ง


 


 


กู้หลีอมยิ้มที่มุมปาก ระหว่างที่หมุนกระบี่ไม้กิ่งไม้แห้งทั้งหมดนำเถาวัลย์ยาวร่วงลงพร้อมกันไม่ขาดสาย ตามติดด้วยปราณกระบี่สายหนึ่งจู่โจมไปบนกระบี่ไม้ของมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินที่ใช้พลังวิญญาณบังคับกระบี่ไม้รู้สึกเจ็บหน้าอกทันที ถอยหลังไปหลายก้าว


 


 


กู้หลีเก็บกระบี่ไม้ขึ้นมาถึงหน้านางในชั่วอึดใจ “เช่นเช่นไร บาดเจ็บแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม “อาจารย์ ท่านแน่ใจว่ากดตบะไว้ที่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นหรือเจ้าคะ?”


 


 


เห็นนางไม่เป็นไร กู้หลีพยักหน้านิ่งเรียบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ชิงเฉิน เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ลึกล้ำกว่าที่เจ้าคิด เจ้าตั้งใจฝึกฝน วันหน้าย่อมเข้าใจเอง”


 


 


“อืม อาจารย์ รอข้าถึงระดับก่อแก่นปราณ มีพลังในการรับรู้ยุทธวิธีลึกล้ำยิ่งขึ้น เราค่อยมาประลองกันอีกสักที” มั่วชิงเฉินเอ่ย


 


 


กู้หลีมองนางปราดหนึ่ง ยิ้มว่า “ได้”


 


 


กู้หลีเดิมเป็นคนค้อมต่ำ เรื่องที่เขาเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางนั้นไม่มีคนรู้ มั่วชิงเฉินแม้นิสัยสงบแต่กลับไม่ซึมเซา บางทียังล้อเล่นเหลวไหลกับอสูรวิญญาณสามตัว ศิษย์อาจารย์สองคนบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าไผ่เงียบสงบนี้เหมือนปกติ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข


 


 


ทว่ามีวันหนึ่งจู่ๆ กู้หลีกลับเรียกมั่วชิงเฉินมาตรงหน้า บอกเป็นนัยให้นางนั่งลงข้างกาย


 


 


“อาจารย์ ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอันใดเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินนั่งลงข้างกายเขา แล้วก็ได้กลิ่นสุราหอมสดชื่นจางๆ เป็นกลิ่นอายที่ทำให้นางคุ้นเคยอุ่นใจ


 


 


กู้หลีมองดูมั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน เจ้าจำคำพูดที่ข้าพูดกับเจ้าในปีนั้นได้หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินกะพริบตา “อาจารย์พูดกับข้าไว้มากมายเหลือเกิน ไม่ทราบคำพูดไหนเจ้าคะ?”


 


 


“ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือโอกาสวาสนา!” กู้หลีอ่อนโยนเป็นนิจ ในยามนี้กลับสีหน้าจริงจังอย่างหาได้ยาก


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บความคิดที่จะล้อเล่นทันที ก้มหน้าสดับตรับฟังอย่างว่าง่าย


 


 


กู้หลีเห็นท่าทางว่าง่ายของนางแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ชิงเฉิน หลายปีมานี้ สิ่งที่ควรพูดอาจารย์ก็พูดกับเจ้าจนหมดแล้ว หลายปีนี้รากฐานของเจ้าก็ขัดเกลาจนมั่นคงแล้ว กระทั่งยังเหนือชั้นกว่า เป็นเวลาที่ควรออกไปฝึกตนแล้ว”


 


 


“อาจารย์ ความหมายของท่านคือให้ข้าไปจากที่นี่หรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินชะงัก


 


 


เจ็ดปีมานี้ สองคนอยู่เป็นเพื่อนเช้าเย็น ฟังมั่วชิงเฉินถามเช่นนี้ ไม่คิดว่ากู้หลีก็มีความรู้สึกไม่สบายใจแวบหนึ่งผ่านไป แต่กลับรีบไล่ความคิดเช่นนั้นให้หายไปทันที แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เป็นเช่นไร เจ้าจะอยู่ที่นี่ทั้งชีวิตหรืออย่างไร ต้องรู้นะว่าโอกาสวาสนาไม่มาตกที่หน้าบ้านเจ้าหรอกนะ”


 


 


มั่วชิงเฉินถูกพูดจนเหงื่อตก อืมต่ำๆ เสียงหนึ่ง นางย่อมรู้เหตุผลพวกนี้ดี ด้วยนิสัยของนาง ไม่ว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เช่นไร นางก็จะไม่ละทิ้งหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรของตน กลางเป็นเบี้ยล่างที่ต้องคอยอาศัยคนอื่น


 


 


เพียงแต่ใช้ชีวิตบำเพ็ญเพียรอย่างสงบมานานเกินไป คำสั่งที่จู่ๆ ให้นางออกไปฝึกตนค่อนข้างกะทันหันไปสักหน่อยเท่านั้น


 


 


“รอฝึกตนพอแล้วถึงเวลาควรกักตนบำเพ็ญเพียรก็กลับมา หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร การเพียรบำเพ็ญเพียรและออกสู่โลกฝึกตน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้” กู้หลีเห็นมั่วชิงเฉินก้มหน้าไม่พูดจา จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า


 


 


มั่วชิงเฉินยังคงไม่เงยหน้า


 


 


สีหน้ากู้หลีเย็นชาขึ้นอย่างไม่ค่อยได้เห็นนัก ถามว่า “เป็นอันใด หรือว่าเจ้าไม่เต็มใจ?”


 


 


ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมา มองเขาเหมือนอยากร้องไห้


 


 


กู้หลีชะงัก ชั่วเวลาหนึ่งไม่รู้ควรทำสีหน้าเช่นไร สองคนรู้จักกันตั้งแต่นางอายุสิบกว่า เขายังไม่เคยเห็นนางทำสีหน้าอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน


 


 


ความรู้สึกที่นางให้เขาเสมอมา คือเฉลียวฉลาด ขยันหมั่นเพียร ดื้อรั้น กลับเป็นสีหน้าที่หญิงสาวส่วนใหญ่มีเป็นนิจเช่นนี้ ที่ทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง


 


 


เห็นกู้หลีที่ใจเย็นไม่แยแสเป็นนิจมีสีหน้างงงัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวหัวเราะคิกคักขึ้นมา “อาจารย์ ท่านช่างใจแคบจริงๆ หรือว่าจะไล่ศิษย์ลงเขาทั้งที ก็ไม่มอบสมบัติก้น**บอะไรให้สักหน่อย ไล่ข้าไปทั้งอย่างนี้หรือเจ้าคะ ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก”


 


 


กู้หลีขยับมุมปาก สุดท้ายเอ่ยอย่างสงบว่า “ข้าจำได้ว่าสิบกว่าปีก่อนในโรงเตี๊ยมใกล้ปราณภูเขาหลิวหั่ว ได้มอบชามให้เจ้าใบหนึ่ง”


 


 


มั่วชิงเฉินตกตะลึงอ้าปากค้าง “อา…อาจารย์ นั่นก็นับหรือเจ้าคะ?”


 


 


กู้หลีใบหน้ายิ้มแย้มแล้วพยักหน้า


 


 


มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุกทีหนึ่ง แท้ที่จริงอาจารย์นางที่ดูแล้วเหมือนเซียน ที่แท้ก็เป็นพ่อไก่เหล็กขนสักเส้นก็ไม่ถอน[1] หากแต่ยังใจดำด้วย!


 


 


รำพึงรำพันเสร็จ มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ชามกระเบื้องใบใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศทันที นางกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล โบกมือให้กู้หลีว่า”อาจารย์ ไว้พบกันใหม่เจ้าค่ะ”


 


 


พูดจบนั่งขัดสมาธิลงที่ก้นชาม แล้วจากไปอย่างสง่าผ่าเผย


 


 


กลับเป็นกู้หลีที่ชะงักงัน จนกระทั่งลำแสงสีเขียวนั่นหายไปไม่เห็นร่องรอยอีกแล้ว ถึงนั่งลงเงียบๆ จิบสุราทิพย์อึกหนึ่งเบาๆ


 


 


จากนั้นยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ กู้หลียื่นมือรับไว้ กวาดจิตตระหนักปราดหนึ่ง เห็นเพียงข้างบนเขียนว่า “อาจารย์ ‘คลาดโลกีย์’ ที่อยู่บนโต๊ะเป็นไหสุดท้ายแล้ว ชิงเฉินยังไม่ทันได้หมักสุราใหม่ ก็ถูกท่านไล่ลงเขาแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากท่านอยากดื่มก็ได้แต่รอศิษย์กลับมาแล้ว อืม…ศิษย์จะปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์ตั้งใจฝึกตนเจ้าค่ะ เกรงว่าจะไม่ได้กลับมาในเร็ววัน จากศิษย์ชิงเฉิน”


 


 


กู้หลี…


 


 


มั่วชิงเฉินคลำในถุงเก็บวัตถุรอบหนึ่ง ล้วงหมอนอิงออกมาหนึ่งใบ จากนั้นนั่งพิงข้างชามมองเมฆขาวที่ค่อยๆ ลอยผ่านท้องฟ้า แล้วถอนหายใจแผ่นเบา


 


 


เรือนไม้ไผ่ที่นักพรตเหอกวงพำนักอยู่ อยู่ในหุบเขาหนึ่งในยอดเขารอง ทั้งสามด้านล้อมรอบด้วยขุนเขา ทางเข้าเพียงทางเดียวก็คือป่าไผ่ผืนนั้น เพราะมีค่ายกลขวางกั้นอยู่ ต่อให้มีผู้บำเพ็ญเพียรบินผ่านท้องฟ้าด้านบน มองลงไปก็จะเห็นเพียงทิวทัศน์ทั่วไป ยิ่งไม่อาจเข้าจากบนฟ้าได้


 


 


บัดนี้คนที่สามารถอ้อมผ่านป่าไผ่เข้าออกอย่างอิสระจากบนฟ้าได้โดยตรง นอกจากนักพรตเหอกวง ก็มีเพียงมั่วชิงเฉินศิษย์คนนี้เท่านั้น


 


 


มั่วชิงเฉินนั่งชามใหญ่บินสู่เขาโฮ่วเต๋อ ผู้บำเพ็ญเพียรที่จะออกไปฝึกตนเช่นนางนี้ ย่อมต้องไปรายงานตัวสักคราเป็นธรรมดา


 


 


เขาโฮ่วเต๋อตั้งอยู่ตรงกลาง อีกทั้งยังเป็นสถานที่จัดการธุระอย่างเป็นทางการของทั้งสำนัก คนไปมาขวักไขว่ ย่อมครึกครื้นกว่าสี่ยอดเขาที่เหลือหลายส่วน


 


 


ศิษย์ที่แต่งตัวเป็นศิษย์จิปาถะกำลังปัดกวาดอยู่ เห็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินจากขอบฟ้าใกล้เข้ามา


 


 


“ไม่รู้เป็นอาจารย์อาระดับสร้างรากฐานท่านไหนอีก ช่างน่าอิจฉาจริงๆ” เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งเอ่ย


 


 


เด็กหนุ่มที่ดูแล้วล่ำสันมากอีกคนหนึ่งก็ว่า “นั่นสิ นั่นสิ หากข้าสร้างรากฐานได้ก็ดีน่ะสิ เฮ่อ ก็ไม่รู้จะมีวันนั้นหรือไม่”


 


 


ทันใดนั้นได้ยินเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งแทรกขึ้นว่า “เหตุใดจะไม่ได้ ไม่ได้ยินหรือว่าศิษย์จิปาถะรอบที่แล้ว มีไม่น้อยที่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการในการประลองย่อยในสำนักน่ะ ยังมีสองคนกระทั่งได้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณด้วยนะ!”


 


 


เด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินว่าพวกนางล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง บัดนี้เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานนานแล้วนะ”


 


 


เด็กหนุ่มสองสามคนรู้สึกเสียหน้าในทันที มองหน้ากันอย่างอับอายปราดหนึ่ง


 


 


ศิษย์ฆราวาสคนหนึ่งผ่านมามองพวกเขาปราดหนึ่ง “พวกเจ้าไม่กี่คนพึมพำอะไรกัน ยังไม่รีบทำงานอีก”


 


 


ในยามนี้เองลำแสงสายนั้นได้มาถึงตรงหน้าแล้ว เด็กวัยรุ่นไม่กี่คนแหงนหน้าด้วยความตกใจ หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “ชาม…ชามใบใหญ่จังเลย!”


 


 


“ชามอะไร?” ศิษย์ในสำนักคนนั้นพูดพลางเงยหน้ามอง แล้วก็อดชะงักไม่ได้


 


 


ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน ก็เห็นหญิงสาวในชุดคลุมสีเขียว เกล้าผมทรงเต๋าคนหนึ่งกระโดดลงจากชาม กวาดสายตาไปรอบๆ เบาๆ


 


 


พริบตาเดียวไม่ได้มาที่นี่เจ็ดปีแล้ว นอกจากคนใหม่เปลี่ยนคนเก่า สิ่งอื่นไม่ค่อยแตกต่างจากในความทรงจำนางเท่าไร การบำเพ็ญเพียรช่างไร้กาลเวลาจริงๆ


 


 


มั่วชิงเฉินแอบรำพึงรำพันอยู่ เห็นศิษย์ทำงานอยู่รอบๆ และที่ผ่านไปมาหยุดมองนางแล้วชะงัก จึงยิ้มนิ่งเรียบ แล้วเดินตรงไปยังโถงปฏิบัติงาน


 


 


“คารวะ…อาจารย์อา…” จนกระทั่งมั่วชิงเฉินเดินผ่าน ศิษย์ฆราวาสนั่นถึงได้สติกลับมา เอ่ยอย่างติดอ่าง


 


 


“ศิษย์พี่ อาจารย์อาท่านนั้นเป็นใคร สะ…สวยจังเลย!” เด็กหนุ่มอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งเอ่ยด้วยความหลงใหล


 


 


ศิษย์ฆราวาสคนนั้นยื่นนิ้วดีดศีรษะของเด็กหนุ่มนั่นทีหนึ่งว่า “พูดเหลวไหลอะไร เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”


 


 


“ใครขอรับ?” ศิษย์น้อยกลุ่มหนึ่งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


 


ศิษย์ฆราวาสพูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดว่า “นางก็คือหนึ่งในสองศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่พวกเจ้าพูดถึง ชื่อมั่วชิงเฉิน!”


 


 


ในใจรำพึงรำพันว่า นึกถึงปีนั้นยามเข้าร่วมการทดสอบแดนลี้ลับ นางอยู่เพียงระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า ตนอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด พริบตาเดียวสิบกว่าปีผ่านไป นางสร้างรากฐานได้หลายปีแล้ว ตนยังคงหยุดอยู่ที่ระดับหลอมลมปราณดิ้นรนอย่างยากเข็ญ ช่างต่างคนต่างมีชะตาของตัวเองจริงๆ เลย


 


 


“ศิษย์พี่ ที่แท้ท่านรู้จักอาจารย์อาสองท่านนั้นหรือ?”


 


 


เด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นกลับล้อมศิษย์ฆราวาสนั่นขึ้นมา ถามเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด


 


 


มั่วชิงเฉินที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ยิ้มแผ่วเบา พวกนางในอดีต ก็พูดถึง วิจารณ์บุคคลในตำนานเหล่านั้น ตลอดเวลามิใช่หรือ เช่นศิษย์พี่เยี่ยท่านนั้น เช่นอาจารย์…


 


 


ก้าวเข้าประตูใหญ่โถงประชุม พอดีศิษย์พี่อู๋ผู้อ่อนโยนท่านนั้นเป็นเวร มั่วชิงเฉินออกเสียงทักทายว่า “ศิษย์พี่อู๋”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เงยหน้าขึ้นมา เห็นเป็นมั่วชิงเฉินแล้วชะงักแผ่วเบา จากนั้นกลับพูดออกมาประโยคหนึ่งที่มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึง “ศิษย์น้องมั่ว เจ้ามาจนได้ รอก่อน ข้าส่งข่าวก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


พูดจบยกมือขึ้นปล่อยยันต์ส่งสารออกไปแผ่นหนึ่ง


 


 


 


 


——


 


 


[1] พ่อไก่เหล็กขนสักเส้นก็ไม่ถอน หมายถึง ขี้เหนียวเหมือนพ่อไก่ที่ขนเป็นเหล็กทั้งตัว ทำให้จะถอนขนสักเส้นก็ทำไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 142

 

ก้อนอิฐบนใบหน้า

 


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งทันที นางมีเงาในใจต่อการที่ผู้อื่นปล่อยยันต์ส่งสารต่อหน้านางอย่างไร้สาเหตุ


 


 


เพียงแต่ยามนี้อย่างไรก็ไม่เหมือนวันวานแล้ว นางไม่ใช่ศิษย์ฆราวาสที่ไม่มีที่พึ่งพาคนนั้นอีก แต่เป็นศิษย์ของนักพรตระดับก่อแก่นปราณแล้ว สีหน้าจึงกลับมาสงบลง


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่มีคนติดของเจ้ามาตลอด ตลอดมาไม่มีโอกาสคืนให้เท่านั้น” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋รีบอธิบาย


 


 


ไม่นานนักก็มีคนก้าวเท้าเข้ามา คือศิษย์พี่หวังหน้าทารกผู้นั้น


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง หันไปมองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ เหตุใดนางจำไม่ได้ว่าศิษย์พี่หวังผู้นี้ติดอะไรนางแล้ว


 


 


ศิษย์พี่หวังหน้าทารกหน้าตาบึ้งตึง เห็นมั่วชิงเฉินก็ไม่ส่งเสียงสักแอะ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋หัวเราะว่า “ศิษย์น้องหวัง เจ้ารอศิษย์น้องมั่วมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ เหตุใดคนมาแล้วกลับไม่พูดจา หรือว่าคิดจะเบี้ยวหนี้หรืออย่างไร?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังสีหน้ายิ่งบึ้งตึงแล้ว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ใครเบี้ยวหนี้! อ้าว นางหนูน้อย อันนี้ให้เจ้า!” พูดพลางโยนถุงอสูรวิญญาณใบหนึ่งให้มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมาโดยจิตใต้สำนึก กวาดจิตตระหนักดูปราดหนึ่ง ไม่คิดว่าข้างในจะมีผึ้งอยู่หลายตัว เพียงแต่ผึ้งนั้นกลับไม่ใช่สีตามปกติ ทั่วร่างโปร่งใสเหมือนมรกต มีเพียงเส้นเลือดบนปีกที่แดงดั่งเลือด จึงอดมองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังด้วยความสงสัยปราดหนึ่งไม่ได้


 


 


แล้วก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังสีหน้าเสียดายว่า “นี่คือผึ้งวิญญาณเลือดมรกต น้ำผึ้งวิญญาณที่กลั่นออกมามีคุณภาพยอดเยี่ยม หวังว่าเจ้าจะดูแลพวกมันอย่างดี!”


 


 


ทำสีหน้าอย่างกับนางไม่รู้จักของดี


 


 


มั่วชิงเฉินมิใช่คนความรู้แค่หางอึ่ง รู้จักเพียงการบำเพ็ญเพียรเช่นในวันวานตั้งนานแล้ว วันเวลาที่กู้หลีขัดเกลานิสัยนางโดยเฉพาะช่วงนั้น ที่นางไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้เปิดอ่านม้วนคัมภีร์หยกหลากหลายไม่น้อย เมื่อได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังพูดถึง จึงนึกข้อมูลของผึ้งวิญญาณเลือดมรกตนี้ขึ้นได้


 


 


ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเป็นผึ้งพันธุ์ที่ล้ำค่าหายากที่สุดในบรรดาอสูรวิญญาณจำพวกผึ้งที่มีมากมาย ไม่ได้มีพลังโจมตีอะไร แปลกก็แปลกที่น้ำผึ้งวิญญาณที่มันกลั่นออกมา รสชาติเป็นเลิศ และยิ่งมีฤทธิ์ในด้านทำให้ใบหน้าสวยงาม มีประโยชน์ในการหล่อเลี้ยงร่างกายผู้บำเพ็ญเพียรนัก เป็นของบำรุงชั้นเลิศ


 


 


ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตชอบดอกที่ผลิจากต้นไม้ประหลาดที่เรียกว่าต้นสำลีตกสวรรค์ น้ำผึ้งวิญญาณที่กลั่นออกจากดอกสำลีตกสวรรค์ กินแล้วสามารถเพิ่มตบะ อีกทั้งไม่ทำให้รากฐานไม่มั่นคงเหมือนกินโอสถอย่างสม่ำเสมอ เป็นสมุนไพรทิพย์ที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรละเมอเพ้อหา เพียงแต่เสียดายที่ต้นสำลีตกสวรรค์นั้นหายากยิ่งนัก อีกทั้งร้อยปีถึงออกดอกหนึ่งครั้ง น้ำผึ้งดอกสำลีตกสวรรค์นี้จึงเป็นของที่พบได้เมื่อมีโอกาสวาสนาเท่านั้น


 


 


ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเป็นของดีจริงๆ เพียงแต่มั่วชิงเฉินไม่ใช่คนโลภ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังท่าทางไม่เต็มใจ จึงโยนถุงอสูรวิญญาณกลับไปว่า “ศิษย์พี่หวัง สุภาพบุรุษไม่แย่งของรักของคนอื่น ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตล้ำค่าเช่นนี้ ท่านเก็บไว้เองดีกว่า”


 


 


ใครจะคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังฟังแล้วสีหน้ายิ่งน่ากลัวกว่าเดิม เดินไปถึงหน้ามั่วชิงเฉินในสองสามก้าวแล้วใช้กำลังยัดถุงอสูรวิญญาณเข้าไปในมือนาง พูดอย่างดุร้ายว่า “นางหนูเจ้านี่พูดมากจริง ให้เจ้ารับไว้ก็รับไว้สิ!”


 


 


พูดจบไม่คิดว่าจะหันหลังจากไปแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋อย่างจนด้วยคำพูด ในใจแอบว่าหรือว่าคนนั้นจะมีปัญหานะ ยัดผึ้งวิญญาณให้ตนอย่างไร้สาเหตุ ยังดันทำเหมือนตนไปแย่งของเขามาอย่างไรอย่างนั้นแน่ะ


 


 


เอ๊ะ หรือว่าคนนั้นชอบทรมานตัวเอง?


 


 


กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เปิดปากคลายความสงสัยให้นาง “ศิษย์น้องมั่ว เจ้าอย่าตกใจ นั่นเพราะปีนั้นข้าพนันกับศิษย์น้องหวังไว้ หากเขาแพ้แล้ว ต้องมอบผึ้งวิญญาณเลือดมรกตสองสามตัวให้เจ้าเลี้ยงเล่น ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตนี้แม้จะหายาก ทว่าหากไม่มีดอกสำลีตกสวรรค์ล่ะก็ ก็พูดไม่ได้ว่าล้ำค่า น้ำผึ้งวิญญาณที่กลั่นออกมารสชาติดีสักหน่อยเท่านั้น เจ้าก็รับไว้อย่างสบายใจเถอะ”


 


 


ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ไม่อิดออด เก็บถุงอสูรวิญญาณอย่างสบายใจ นี่ถึงพูดเรื่องที่ตนจะลงเขาไปฝึกตนออกมา


 


 


ออกจากโถงประชุม มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว ปล่อยยันต์ส่งสารออกไปสองสามแผ่น


 


 


ไปครั้งนี้ ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะได้กลับมา อย่างไรก็ควรบอกกล่าวสหายสองสามคนที่ความสัมพันธ์ไม่เลวสักคำ


 


 


เมื่อนึกถึงสองสามคนนั้น มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มขึ้นมา


 


 


ประโยชน์ของร่างหยินบริสุทธิ์ของต้วนชิงเกอค่อยๆ ปรากฏออกมา สองปีก่อนได้เลื่อนชั้นสำเร็จ สำเร็จเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในวัยสามสิบปีพอดี ลือกันว่าสองปีนี้ด้านหนึ่งนางทำเขตแดนให้มั่นคง อีกด้านหนึ่งเริ่มศึกษาค้นคว้าวิชาแพทย์ ไม่คิดว่าจะเดินสายผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา ดังนั้นในสองปีนี้สองคนเพียงติดต่อกันด้วยยันต์ส่งสาร ต่างคนต่างยุ่งจนไม่มีโอกาสพบหน้า


 


 


มั่วหลีลั่วหลังจากอยู่ระดับสร้างรากฐานในวัยยี่สิบเก้าปีจนถึงบัดนี้ได้ผ่านไปแปดปีกว่าแล้ว ตบะได้มาถึงสุดยอดระดับสร้างรากฐานระยะต้น ขาดเพียงโอกาสวาสนาสักหน่อยก็สามารถทะลวงได้แล้ว


 


 


ส่วนพี่เสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่ง สองคนบัดนี้คนหนึ่งระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด คนหนึ่งหลอมลมปราณขั้นสิบสอง


 


 


พี่เสี่ยวซย่ายังดี ในการส่งสารกับมั่วชิงเฉินเป็นระยะนั้น การพูดการจาไม่แสดงอาการรีบร้อน ทุกครั้งมักเล่าเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาและเรื่องซุบซิบที่ได้ยินมา ทำให้แม้มั่วชิงเฉินไม่ค่อยได้ออกจากยอดเขารอง กลับได้ยินข่าวคราวมาไม่น้อย


 


 


เฉินเจียวซิ่งไม่รู้เพราะเหตุใดจะทะลวงสร้างรากฐานในยามอยู่ขั้นสิบสองให้ได้ สุดท้ายต้องล้มเหลว บัดนี้กำลังกักตน ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยากให้ถึงระดับหลอมลมปราณโดยสมบูรณ์ในเร็ววัน


 


 


นอกจากสี่คนนี้ กลับไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวคนอื่นแล้ว มั่วชิงเฉินพลางคิดพลางเดินออกไป เขาโฮ่วเต๋อมีถนนทะลุตรงไปยังประตูใหญ่สำนัก ตามระเบียบแล้วหนทางช่วงนี้ห้ามใช้อาวุธเวทเหินหาว


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว!” ทันใดนั้นได้ยินเสียงประหลาดใจเสียงหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินเงยหน้า แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรที่ทักทายคือศิษย์ผู้ดูแลของเขาต้วนจินที่ชื่อจ้าวหมิงเฟิงผู้นั้น เจ็ดปีมานี้นางติดตามอาจารย์บำเพ็ญเพียรตลอดมา น้อยนักที่จะเสวนากับโลกภายนอก แต่ก็ได้รับยันต์ส่งสารที่ส่งมาจากศิษย์พี่จ้าวผู้นี้ทุกเดือนอย่างไม่คาดคิด


 


 


ในยันต์ส่งสารก็ไม่มีเรื่องอะไร ไม่ก็ถามนางช่วงนี้สบายดีไหม ไม่ก็เชิญนางไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน


 


 


เริ่มแรกมั่วชิงเฉินตอบกลับอย่างมีมารยาทไปหลายครั้ง ถึงระยะหลังนางแกล้งทำเป็นไม่เห็นให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยันต์ส่งสารนั้นยังคงมาไม่เคยขาด


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว ในที่สุดเจ้าก็สิ้นสุดการกักตนแล้ว นี่เจ้าจะไปไหนหรือ?” จ้าวหมิงเฟิงถามด้วยสีหน้ายินดี


 


 


มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว นางไม่ใช่แม่นางน้อยที่ไม่รู้เรื่องทางโลกจริงๆ ความหมายของศิษย์พี่จ้าวผู้นี้นางดูออก ก็เพียงแค่อยากตามขอความรักนางเท่านั้น


 


 


ส่วนสาเหตุน่ะหรือ มั่วชิงเฉินแอบยิ้มเยาะในใจ คิดว่าคือในวันที่สร้างรากฐานสำเร็จที่เขาต้วนจิน ถูกเขาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงโดยบังเอิญเท่านั้นเอง


 


 


“ศิษย์พี่จ้าว น้องมีธุระต้องขอตัวก่อน” มั่วชิงเฉินไม่อยากเกี่ยวพันกับคนผู้นี้มากนัก พูดจบอย่างนิ่งเรียบแล้วจึงเดินอ้อมไปข้างๆ


 


 


เมื่อรู้จักความงดงามจึงฝ่ายหาคนงาม เป็นธรรมดาของคน นางไม่รู้สึกเสียความรู้สึกกับคนอื่นเพราะสาเหตุนี้ แน่นอนต้องอยู่ภายใต้ข้อแม้ไม่ขวางทางนาง


 


 


ทว่าศิษย์พี่เจ้าผู้นี้เห็นชัดว่าไม่รู้กาลเทศะ เห็นมั่วชิงเฉินเดินไปด้านข้าง จึงรีบไปขวางด้านนั้นด้วยความเร็วยิ่งอย่างไม่คาดคิด มั่วชิงเฉินเกือบจะชนเข้าบนตัวเขา


 


 


“ศิษย์พี่จ้าว นี่ท่านจะทำอะไร?” มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลงมา


 


 


จ้าวหมิงเฟิงเห็นคนงามพิโรธ พูดจาเกิดติดขัดขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเคยเห็น “ศิษย์น้องมั่ว เจ้า…เจ้าอย่าไปสิ เราไม่ได้พบกันหลายปี ศิษย์พี่มีคำพูดอย่างพูดกับเจ้าด้วยตนเองมาตลอด…”


 


 


มั่วชิงเฉินตะคอกให้หยุดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ศิษย์พี่จ้าว น้องมีธุระด่วนจริงๆ ขอให้ท่านหลีกทางด้วย อีกอย่าง ระหว่างเรา ก็ไม่มีสิ่งใดต้องพูด”


 


 


มั่วชิงเฉินพูดจบก็อ้อมออกห่างจากเขาเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว จ้าวหมิงเฟิงรีบตามขึ้นไป ตามติดไม่เลิกราว่า “ศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องมั่ว เจ้าให้เวลาข้าสักหน่อย ฟังข้าพูดไม่กี่ประโยคก็พอ”


 


 


ศิษย์ที่ไปๆ มาๆ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรชายระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งตามตื๊อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง ต่างแอบนึกขำ สายตาพิจารณาทั้งสองคนไม่หยุด


 


 


มั่วชิงเฉินอับอายยิ่งนัก ตั้งแต่นางมาอยู่พรรคเหยากวงเนื่องจากแต่งตัวเช่นนี้ จึงไม่เคยพบเจอเรื่องทำนองนี้ และก็ไม่เคยคิดว่าคนที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จะกระทำการเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัลได้


 


 


เรื่องนี้มั่วชิงเฉินกลับคาดผิดแล้ว ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเดิมทีก็ชายมากหญิงน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเป็นระดับสูง เหตุการณ์ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ดังนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรชายมากมายเมื่อพบผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เหมาะสมแล้ว การตามขอความรักจึงเปิดกว้างกว่าที่นางคิดมากนัก


 


 


ยิ่งกว่านั้นผู้บำเพ็ญเพียรไม่ถือขนบธรรมเนียมประเพณี จึงไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องขายหน้า อีกทั้งเพราะผลดีของการบำเพ็ญเพียรคู่ ขอเพียงไม่ใช่การใช้กำลังบังคับ แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ต่างมีท่าทีอยากให้เรื่องเช่นนี้สำเร็จ


 


 


นี่อย่างไรศิษย์ที่มุงดูเริ่มมีคนส่งเสียงร้องดี ยุยงส่งเสริมแล้ว


 


 


จัดการเรื่องประเภทนี้ ต้วนชิงเกอก็มีประสบการณ์มากกว่ามั่วชิงเฉินมากแล้ว เป็นเพราะเจอตามขอความรักมามากแล้ว จึงรู้เหตุผลสี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1]มานานแล้ว


 


 


จ้าวหมิงเฟิงเห็นท่าทางอับอายทำอะไรไม่ถูกของมั่วชิงเฉิน ในใจกลับรู้สึกยินดี ปกติหญิงสาวเช่นนี้จะจัดการได้ง่ายกว่า


 


 


นึกถึงความตะลึงในความงามเพียงปราดเดียวในปีนั้น เขาอดตกใจเหมือนเห็นนางฟ้าไม่ได้ เมื่อนึกได้ว่าศิษย์น้องผู้นี้แต่งตัวเช่นนี้ยังไม่ดึงความสนใจจากคนรอบข้าง เขามีโอกาสมาก จึงยิ่งมีกำลังใจขึ้น


 


 


เยี่ยเทียนหยวนสงบใจบำเพ็ญเพียรมาหลายปี ได้เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายสำเร็จแล้ว อีกทั้งใช้ระยะเวลาหนึ่งทำให้เขตแดนมั่นคง คิดจะลงเขาฝึกตนแล้ว จึงมารายงานที่โถงประชุมเขาโฮ่วเต๋อสักหน่อย ใครจะคิดว่าทะยานตัวกระโดดลงจากอาวุธเวทเหินหาว ปกติศิษย์ที่อดแอบมองเขาไม่ได้กลับไม่มีสักคน มองอีกที คนพวกนั้นล้วนยืนอยู่ข้างทางเอะอะโวยวายอะไรกันอยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งกำลังถูกผู้บำเพ็ญเพียรชายระดับเดียวกันตามตื๊ออยู่กลางถนน


 


 


เขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จนชิน กำลังจะก้าวเท้าจากไป ทันใดนั้นร่างกายกลับสะดุดกึก สายตาตกไปทางด้านนั้น สีหน้าเย็นเยียบเล็กน้อย


 


 


เห็นคนมุงดูยิ่งมุงยิ่งมาก ศิษย์พี่จ้าวประหลาดผู้นี้ท่าทางเหมือนจะไล่ตามไม่เลิกรา มั่วชิงเฉินหน้าบึ้ง “ศิษย์พี่จ้าว ตกลงท่านจะหลีกไปหรือไม่?”


 


 


ศิษย์น้องมั่ว เจ้าให้เวลาข้าเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว เราต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน วันหน้ายากจะหลีกเลี่ยงโอกาสการแลกเปลี่ยนฝีมือกัน เหตุใดเจ้าต้องผลักไสคนให้ห่างออกไปพันลี้เช่นนี้ด้วย?” จ้าวหมิงเฟิงเอ่ยอย่างหน้าด้านหน้าทน


 


 


ได้ยิน ‘แลกเปลี่ยนฝีมือ’ สองคำ ไม่รู้เพราะเหตุใดมั่วชิงเฉินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ในใจถุยๆสองที ผีถึงแลกเปลี่ยนผีมือกับเจ้าน่ะสิ!


 


 


มั่วชิงเฉินอ้อมผ่านคนผู้นี้อีกครั้ง บนใบหน้าปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง จ้างหมิงเฟิงกลับบีบคั้นเข้ามาอย่างไม่รู้กาลเทศะ อีกทั้งยังยื่นมือออกคิดจะดึงเสื้อของนางไว้อย่างคาดไม่ถึง


 


 


ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ทันได้สนใจว่านี่อยู่บนหนทางสว่างไสวของเขาโฮ่วเต๋อที่ไปสู่ประตูสำนักอีกแล้ว พลิกมือดึงอาวุธเวทรูปร่างเหมือนก้อนอิฐที่นางได้มาเมื่อหลายปีก่อน ฟาดใส่หน้าจ้างหมิงเฟิงอย่างแรง


 


 


มีชายหนุ่มตามขอความรัก ต่อให้หญิงสาวคนนี้ไม่เต็มใจ ในใจก็อดได้ใจไม่ได้ ต่อให้ปฏิเสธก็จะปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมมีมารยาท ทำให้ชายหนุ่มยังคงไม่อาจลืมได้


 


 


จ้าวหมิงเฟิงเดิมทีนึกว่ามั่วชิงเฉินเพิ่งออกสู่โลกภายนอก ปฏิเสธไม่เป็น จึงยิ่งใจกล้า ไม่คิดเลยว่านางจะกล้าลงมือท่ามกลางสายตาทุกคนที่เขาโฮ่วเต๋อ


 


 


คนหนึ่งลงมืออย่างไร้ความปรานี แม้จะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นกลับฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมาในน้ำตกที่หนาวเย็นทุกวัน ร่างกายที่ดูบอบบางกลับแฝงด้วยพลังอันน่ากลัว


 


 


ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ได้ระวังตัวโดยสิ้นเชิง แม้อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางฝีมือกลับธรรมดาๆ


 


 


ไม่คิดเลยว่ามั่วชิงเฉินจะฟาดก้อนอิฐก้อนนั้นไปบนหน้าศิษย์พี่จ้าวเต็มๆ ทั้งเช่นนี้ และภายใต้การผลักของแรงที่เกินออกมา เขาบินไปข้างหลังทั้งตัว ถูกก้อนอิฐที่ขยายใหญ่ตบลงบนพื้น!


 


 


ทันใดนั้น รอบด้านเงียบเป็นเป่าสากทันที


 


 


 


 


——


 


 


[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง ก็คือการใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า


 

 

 


ตอนที่ 143

 

“ฆ่า…ฆ่าคนแล้ว?” ศิษย์ที่มุงดูอยู่เอ่ยอย่างตกตะลึงตาค้าง


 


 


ศิษย์อีกคนหนึ่งลูกกระเดือกขยับขึ้นลง “ตามขอความรักไม่สำเร็จ ถูกฆ่าซะแล้ว??”


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเงียบๆ ปราดหนึ่ง ศิษย์ระดับหลอมลมปราณเงียบลงทันที กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นว่า “ศิษย์น้องผู้นี้ ข้าเป็นศิษย์ผู้ดูแลแห่งเขาโฮ่วเต๋อ รบกวนเจ้าไปโถงลงทัณฑ์กับข้าสักครั้งเถอะ”


 


 


“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งถามกลับ นางนี่ไม่ใช่ประสบเคราะห์ทั้งที่ไม่รู้ตัวหรือ อยู่ดีๆ ถูกอาจารย์ไล่ลงจากเขาอยู่ก่อน เพียงแต่มารายงานตัวที่เขาโฮ่วเต๋อทีหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดคลื่นลมเช่นนี้ขึ้น คิดว่าไม่ต้องรอให้นางเดินออกประตูสำนัก เรื่องซุบซิบที่นางใช้ก้อนอิฐฟาดคนที่มาขอความรักคงลือไปทั่วแล้วใช่หรือไม่?


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลสีหน้าเย็นชาลง ศิษย์น้องผู้นี้หน้าตาไม่คุ้นเคย เหตุใดจึงโอหังเช่นนี้? จึงอดโมโหไม่ได้ว่า “เพราะเหตุใด กฎสำนักข้อที่หนึ่ง ก็คือห้ามหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ ห้ามเข่นข้าศิษย์ร่วมสำนัก เจ้าใช้อาวุธเวทฆ่าศิษย์พี่ผู้นี้ต่อหน้าธารกำนัล หรือว่าไม่ควรไปโถงลงทัณฑ์สักคราเช่นนั้นหรือ?”


 


 


ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินพบว่า บัดนี้นางก็สามารถพูดประโยคนี้ได้แล้วเช่นกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ข้าเป็นใคร?


 


 


แน่นอนนางก็แค่คิดๆ ดูเท่านั้น ไม่อยากก่อเรื่องวุ่นวายไปกว่านี้อีก จึงยกมือขึ้น


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลนั่นนึกว่านางจะจู่โจม รีบตั้งท่ารับทันที กลับพบว่านางเพียงแต่เก็บก้อนอิฐก้อนนั้นกลับไป ท่ามกลางสายตาจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มของมั่วชิงเฉิน สีหน้าอดกระอักกระอ่วนขึ้นมาไม่ได้


 


 


“ศิษย์พี่ท่านนี้ เชิญวางใจได้ คนคนนั้นเพียงแต่หมดสติไปเท่านั้น ไม่ตาย และไม่พิการ บัดนี้ ข้าไปได้หรือยัง?” มั่วชิงเฉินถามนิ่งเรียบ


 


 


แอบคิดว่าเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ที่อาจารย์ให้มา มีความโดดเด่นในด้านการบังคับพลังวิญญาณตามคาด หากเป็นเมื่อก่อน นางต้องไม่สามารถควบคุมกำลังให้พอดิบพอดีเช่นนี้เป็นแน่


 


 


“ศิษย์น้องจู เจ้าไปดูสภาพของศิษย์พี่ผู้นั้นที” ศิษย์ผู้ดูแลเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้าไป ก้มตัวใช้พลังวิญญาณสำรวจดู แล้วกลับมาเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หลิว ศิษย์น้องผู้นี้พูดไว้ไม่ผิด ศิษย์พี่ผู้นั้นเพียงหมดสติไปเท่านั้นจริงๆ แม้บาดเจ็บภายในก็ไม่มี”


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้นสีหน้าบรรเทาลง เอ่ยต่อมั่วชิงเฉินว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องก็ไม่ควรทำร้ายคนจนหมดสติต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย รอบข้างมีศิษย์ระดับบหลอมลมปราณมากมายเช่นนี้ดูอยู่ หากพวกเขาเอาไปเป็นเยี่ยงอย่าง นี่มิทำให้เสียระเบียบหรอกหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ทำการใดๆ อย่างสง่าผ่าเผย เหตุใดคนผู้นี้จึงคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่สอนสั่งได้ถูกต้อง ต่อไปน้องจะไม่ทำร้ายคนจนสลบต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย เพียงแต่…ผู้ชายคนหนึ่งตามตื๊อหญิงสาวไม่ลดละต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย ก็ไม่ทำให้เสียระเบียบหรือ?”


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลชะงัก นี่จะเอามารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้เช่นไร จากที่เขาเห็น ศิษย์พี่นี้เพียงแต่ตามขอความรักใจร้อนไปหน่อยเท่านั้น อีกทั้งไม่ได้กระทำการอันใดเกินเลยเสียหน่อย


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่หลิว เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะ ไหนๆ ศิษย์พี่ผู้นั้นก็ไม่เป็นอะไรมาก หากศิษย์น้องคนนี้อารมณ์ร้อนขึ้นมาเอาก้อนอิฐตบพวกเรา วันหลังพวกเราจะยังมีชื่อเสียงบารมีต่อหน้าศิษย์มากมายได้เช่นไร?”


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลกวาดสายตาผ่านรอยอิฐที่เห็นแล้วน่าตกใจบนหน้าจ้าวหมิงเฟิงปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวูบในใจ จึงหลุดปากว่า “ในเมื่อศิษย์พี่ผู้นี้ไม่เป็นไร ศิษย์น้องเจ้าก็ไปได้แล้ว เพียงแต่ข้าต้องขอดูป้ายประจำตัวเจ้าปราดหนึ่ง บันทึกเรื่องนี้ไว้สักหน่อย เพื่อป้องกันหากเกิดอันใดขึ้น”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก แล้วยื่นป้ายประจำตัวไป


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลใช้จิตตระหนักหวาดปราดหนึ่ง สีหน้าอดชะงักไม่ได้ แล้วมองมั่วชิงเฉินด้วยความตะลึงปราดหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินรับป้ายประจำตัวแล้วหันหลังจากไปไกลแล้ว ศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้นยังอยู่ในภวังค์


 


 


“เป็นอันใดหรือ ศิษย์พี่หลิว?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งถาม


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลสีหน้ายังกลัวไม่หายว่า “ศิษย์น้องจู เจ้าพูดได้ถูกต้อง ศิษย์น้องผู้นั้นกล้าใช้ก้อนอิฐฟาดพวกเราจริงๆ นาง นางก็คือคนที่สร้างรากฐานตั้งแต่อายุยี่สิบสอง ถูกนักพรตเหอกวงรับเป็นศิษย์ก้นกุฏิหนึ่งในสองโฉมสะคราญชิงชิง มั่วชิงเฉิน!”


 


 


เพราะว่าตกตะลึงเกินไป ศิษย์ผู้ดูแลลืมส่งเสียงทางจิต คำพูดนี้จึงได้ยินไปทั่วในหมู่ศิษย์ที่มุงดูอยู่ จากนั้นได้ยินเสียงสูดหายใจนับไม่ถ้วน


 


 


มั่วชิงเฉินไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องพวกเนี้ นางรีบเร่งฝีเท้าคิดเพียงจะรีบออกจากประตูสำนัก อย่าให้ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก ทันใดนั้นฝีเท้ากลับต้องสะดุดกึก


 


 


ไม่ไกลออกไป ผู้ชายคิ้วเข้มตาเป็นประกายแต่ใบหน้าดันเย็นชาคนหนึ่งกำลังมองนางอยู่ นั่นคือเยี่ยเทียนหยวนที่ไม่ได้พบกันหลายปี


 


 


เมื่อก่อนสองคนอาวุโสต่างกัน อีกทั้งมั่วชิงเฉินเป็นเพียงศิษย์ฆราวาส พบหน้ากันแล้วต่อให้ไม่ยินยอมเพียงใดก็ต้องคารวะทักทาย บัดนี้นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเช่นกันแล้ว จึงเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย ก็เดินตรงผ่านข้างๆ เขาไปแล้ว


 


 


“เจ้าช้าก่อน” ทันใดนั้น เยี่ยเทียนหยวนออกปากเรียก


 


 


มั่วชิงเฉินแอบถอนใจในใจ อาจารย์ ท่านดูปฏิทินมาเป็นพิเศษแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้เลือกไล่ศิษย์สุดที่รักท่านลงเขาวันนี้?


 


 


ข้าไม่ได้ยิน ข้าไม่ได้ยิน


 


 


มั่วชิงเฉินสะกดจิตตนเอง เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าไม่หยุด


 


 


ทันใดนั้นกลับพบว่าคนผู้นั้นได้ยืนอยู่หน้านางแล้ว จากนั้นยังไม่รอให้นางส่งเสียง ก็จับข้อมือนาง พานางบินไปแล้ว


 


 


“ดูเร็ว นั่น นั่นคืออาจารย์อาเยี่ย!” ได้ยินฐานะของมั่วชิงเฉิน เดิมทีศิษย์พวกนั้นก็ยังใช้สายตามองตามนางอยู่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ ศิษย์ไม่น้อยจึงตะโกนออกมา


 


 


“เหตุใดอาจารย์เยี่ยจึงจับอาจารย์อามั่วผู้นั้นล่ะ? หรือว่าพวกเขามีอะไรบาดหมางกันหรือเช่นไร?” ศิษย์ที่มาใหม่บางส่วนสงสัยว่า


 


 


ศิษย์ที่มีคุณสมบัติเก่าแก่บางส่วนจึงเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ไปข้างๆ เลย พวกเจ้ามาใหม่ไม่รู้เรื่อง อาจารย์อาผู้นี้นะ มีอดีตที่ไม่พูดไม่ได้กับอาจารย์อามั่วเรื่องหนึ่ง…”


 


 


“ศิษย์พี่เยี่ย ขอให้ท่านรักษากิริยาด้วย!” สองคนเพิ่งร่อนลงพื้น มั่วชิงเฉินก็ออกแรงดิ้นหลุดจากมือของเขาว่า


 


 


แม้สองคนต่างอยู่ระดับสร้างรากฐาน ทว่าพลังกลับต่างกันลิบลับ ต้องรู้ว่าภายใต้เหตุการณ์ปกติ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งพอที่จะรับมือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นหลายคนทีเดียว


 


 


พลังของมั่วชิงเฉินแม้เทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางทั่วไป ทว่าอย่าลืมว่าเยี่ยเทียนหยวนเดิมทีก็เป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิ


 


 


เห็นเยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบไม่พูดจา มั่วชิงเฉินโกรธจนขบฟัน ตกลงตนไปล่วงเกินเขาที่ใดกันแน่ ทุกครั้งที่พบกันต้องถูกเขาหิ้วเหมือนหิ้วลูกไก่ตะลอนไปทั่วทุกครั้งไป


 


 


นางกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างรีบร้อน กลับต้องชะงักงัน ไม่นึกเลยว่าที่นี่คือหุบเขาแห่งนั้น!


 


 


อย่างบังคับตนเองไม่ได้ มั่วชิงเฉินหน้าร้อนผ่าว ถลึงตาใส่เยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งแล้วหันหลังจากไป


 


 


มองดูแผ่นหลังที่จากไปไกลอย่างไม่ไยดีของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนอ้าปาก เอ่ยเสียงแหบเล็กน้อยว่า “มั่ว…ศิษย์น้องมั่ว ได้โปรดหยุดก่อน…”


 


 


มั่วชิงเฉินหยุดลง มองเขาอย่างสงสัยปราดหนึ่ง หรือว่าเขาจะมีธุระจริงๆ แต่ก่อนเห็นตน มิใช่หลบยังกับหลบอะไรดีเช่นนั้นหรือ?


 


 


เห็นเยี่ยเทียนหยวนเดินเข้ามาใกล้ ความรู้สึกประหลาดนั้นจู่โจมมาอีกแล้ว มั่วชิงเฉินถอยหลังหนึ่งก้าวว่า “ศิษย์พี่เยี่ย มีอันใดท่านก็พูดเถอะ ข้าได้ยิน”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนสายตามืดมนลงเล็กน้อย จากนั้นกลับคืนสู่ความเย็นชาดังปกติว่า “ศิษย์น้องมั่ว วันนี้ข้าเพียงแต่อยากเอ่ยคำขอโทษต่อเจ้า”


 


 


“เอ่อ ขอโทษ?” มั่วชิงเฉินยังไม่ได้สติกลับมา


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากบางว่า “แต่ก่อนนั้นข้าเข้าใจเจ้าผิด ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็น…เป็นร่างหยินบริสุทธิ์…”


 


 


พูดถึงตรงนี่เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้พูดต่อแล้ว มั่วชิงเฉินกลับเข้าใจความหมายของเขาในทันที มิน่าแต่ก่อนมักใช้สายตารังเกียจมองตน มักคิดว่าตนเสกคาถาเสน่ห์ใส่เขาอย่างไรอย่างนั้น วันนี้กลับผิดปกติเช่นนี้ ที่แท้ก็เข้าใจผิดคิดว่าตนมีร่างหยินบริสุทธิ์ คิดไปเองว่ามีคำอธิบายต่อแรงดึงดูดประหลาดที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนแล้ว


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินยิ่งสับสนแล้ว เขาและต้วนชิงเกอคนหนึ่งร่างหยางบริสุทธิ์ คนหนึ่งร่างหยินบริสุทธิ์ ระหว่างทั้งสองคนกลับไม่มีอะไร เหตุใดตนและเขากลับดันผิดปกตินะ?


 


 


ทว่ากลับไม่กล้าคิดลึกต่อไป จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่เยี่ย บัดนี้ท่านก็เข้าใจผิดแล้วเช่นกัน ข้าไม่ใช่ร่างหยินบริสุทธิ์ ทว่าขอให้ท่านวางใจ ข้าไม่เคยคิดจะตามตื๊อท่านจริงๆ เมื่อก่อนไม่คิด ต่อไปยิ่งไม่คิด น้องยังมีธุระ ต้องขอตัวก่อนแล้ว”


 


 


มองดูมั่วชิงเฉินกระโดดเข้าไปในชามกระเบื้องใบใหญ่จากไปอย่างสง่าผ่าเผย เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเย็นชา ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นค่อยๆ สูญเสียสีเลือด จากนั้นกระโดดลงในน้ำพุร้อนโดยพลัน เนิ่นนานไม่โผล่ขึ้นมา


 


 


เขารั่วสุ่ย


 


 


มั่วหลีลั่วได้รับยันต์ส่งสารที่มั่วชิงเฉินส่งมา พอดีว่างจึงรีบไปเขาโฮ่วเต๋อคิดจะส่งนางสักครา ใครจะคิดว่าได้เห็นละครฉากหนึ่ง รอนางดูจบด้วยความเพลิดเพลินยังไม่ทันได้ทักทาย ก็เห็นมั่วชิงเฉินถูกศิษย์พี่เยี่ยที่หลบเลี่ยงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงดังหลบโรคระบาดมาตลอดพาไป จึงรีบย้อนกลับมาพร้อมใจซุบซิบเต้นระทึกดวงหนึ่ง


 


 


“เป็นอันใดหรือ ลั่วเอ๋อร์?” เห็นสีหน้าเช่นนั้นของศิษย์สุดที่รัก นักพรตรั่วซีที่รู้จักศิษย์เป็นอย่างดีถามขึ้น


 


 


มั่วหลีลั่วลังเลครู่หนึ่ง ยังคงทนไม่ไหวบรรยายเหตุการณ์ที่เห็นให้นักพรตรั่วซีฟังรอบหนึ่ง แต่กลับปิดบังส่วนสุดท้ายเรื่องที่มั่วชิงเฉินถูกเยี่ยเทียนหยวนพาไปไม่พูด


 


 


หรวนหลิงซิ่วหญิงบ้าคนนั้นตั้งแต่รู้ว่าศิษย์น้องต้วนมีร่างหยินบริสุทธิ์ ก็เริ่มสงสัยนางและศิษย์พี่เยี่ยอีก มักมาหาเรื่องนางทุกไม่กี่วัน หากให้นางได้ยินเรื่องนี้ คิดว่าศิษย์น้องมั่วคงไม่ได้ใช้ชีวิตสงบสุขอีกต่อไปแล้ว


 


 


นักพรตยั่วซีฟังจบ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหัวเราะร่าขึ้นมา “ลั่วเอ๋อร์ สหายสนิทพวกเจ้าคนนี้ ช่างเป็นคนน่าสนใจจริงๆ ฮ่าๆๆ…ใครๆ ก็บอกว่าผู้หญิงที่เขารั่วสุ่ยเราไม่ควรตอแย ทว่าก็ไม่เคยเห็นใครเอาก้อนอิฐซัดผู้ขอความรักมาก่อน น่าเสียดาย ยามนั้นหากข้าเร็วขึ้นก้าวหนึ่งแย่งรับนางหนูนั่นเป็นศิษย์ก็ดีน่ะสิ”


 


 


พูดถึงตรงนี้นักพรตรั่วซียกมือปล่อยยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งออกมาว่า “ไม่ได้ ข้าต้องเล่าเรื่องนี้ให้ศิษย์น้องเหอกวงผู้นั้นฟัง ไม่รู้จริงๆ ว่าคนลักษณะเช่นเขา เหตุใดจึงรับศิษย์สุดที่รักเช่นนี้ได้”


 


 


“อาจารย์ ท่านกับศิษย์พี่พูดอะไรกันน่ะเจ้าคะ?” ต้วนชิงเกอที่ไม่ได้ออกจากห้องหลายวันเมื่อเปิดประตูออก ก็พบยันต์ส่งสารของมั่วชิงเฉิน ดูเสร็จรีบร้อนออกมา กลับเห็นอาจารย์และศิษย์พี่มั่วกำลังพูดเล่นกันอยู่


 


 


รอมั่วหลีลั่วเล่าเรื่องอีกรอบหนึ่ง ต้วนชิงเกอหัวเราะว่า “เมื่อก่อนข้าคิดมาตลอด ว่าหากมีคนตามขอความรักศิษย์น้องชิงเฉินนางจะรับมือเช่นไร บัดนี้ในที่สุดก็รู้แล้ว หึๆ นี่กลับเป็นวิธีที่เหนื่อยครั้งเดียวแต่สบายไปตลอดชีวิตจริงๆ”


 


 


นักพรตรั่วซีกวาดสายตาใส่นางปราดหนึ่ง “เอาล่ะ พวกเจ้าหากเอาเป็นเยี่ยงอย่างจริง ระวังต่อไปจะแต่งไม่ออก ถูกแล้ว ลั่วเอ๋อร์ บัดนี้เจ้าอยู่สุดยอดระดับสร้างรากฐานแล้ว ก็ควรลงเขาไปเช่นกันใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วหลีลั่วยิ้มว่า “นั่นน่ะสิ ศิษย์กำลังคิดจะขออาจารย์อยู่พอดีเจ้าค่ะ”


 


 


“ขออะไรกัน จุกจิกจู้จี้จริง รีบเก็บข้าวของแล้วไปเถอะ หากเร่งทัน ไม่แน่ยังสามารถไปเป็นเพื่อนศิษย์น้องมั่วคนนั้นของเจ้าได้ วันหลังเกิดเรื่องสนุกอันใดจำไว้ว่าต้องเล่าให้อาจารย์ฟัง” นักพรตรั่วซีโบกแขนเสื้อว่า


 


 


“อาจารย์ หากท่านรู้สึกเบื่อจริงๆ ไม่สู้หาอาจารย์พ่อให้พวกเราคนหนึ่งเถอะ…” มั่วหลีลั่วเอ่ยเสียงเบา กลับหนีเตลิดไปท่ามกลางความโกรธของนักพรตรั่วซี


 


 


ต้วนชิงเกอขอร้องอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์ ชิงเกอก็อยากไปเจ้าค่ะ…”


 


 


อีกด้านหนึ่ง เมื่อนักพรตเหอกวงรับยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่ง เขาขมวดคิ้วก่อน จากนั้นกลับยิ้มขึ้นมาจางๆ

 

 

 


ตอนที่ 144

 

“พวกเจ้าสองคน ตนเองก็มีอาวุธเวทเหินหาวมิใช่หรือ เหตุใดอยู่ดีๆ ต้องมาเบียดอยู่ที่ข้านี่ให้ได้ด้วยล่ะ?” มั่วชิงเฉินมองดูมั่วหลีลั่วที่นอนหงายแยกแขนแยกขาอย่างไม่คำนึงถึงรูปลักษณ์โดยสิ้นเชิงในชามใหญ่ของนางและต้วนชิงเกอที่เอียงข้างพิงข้างชามยิ้มอ่อนๆ แล้วถามอย่างจนด้วยคำพูด


 


 


มั่วหลีลั่วเหล่นางปราดหนึ่ง “อาวุธเวทเหินหาวของเรา เป็นเพียงของธรรมดาเท่านั้น จะสบายเทียบกับอันนี้ของเจ้าได้อย่างไร ขลุกอยู่ในชาม ลมพัดไม่โดนแดดส่องไม่ถึง ถูกไหม ศิษย์น้องต้วน?”


 


 


ต้วนชิงเกอยิ้มว่า “ใช่น่ะสิ ศิษย์น้องชิงเฉิน ไม่ปิดบังเจ้าหรอกนะ ข้ายืนอยู่บนกระบี่บินนั่น มักรู้สึกเวียนศีรษะ กลัวจะตกลงไป”


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก “พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าไม่เชื่อหรอกด้วยฐานะศิษย์คนโปรดของนักพรตรั่วซี จะไม่มีอาวุธเวทที่ออกหน้าออกตาได้”


 


 


มั่วหลีลั่วเศร้าใจว่า “มีสิ ทว่ากลับไม่ใช่อาวุธเวทเหินหาวน่ะสิ ของเจ้าอันนี้สิดี ทั้งบินได้ ยังสามารถป้องกันได้ด้วย คือของขวัญพบหน้าที่นักพรตเหอกวงมอบให้เจ้าใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง ยังคง ‘อืม’ เสียงหนึ่ง แม้ของขวัญพบหน้าชิ้นนี้จะได้รับเร็วไปสักหน่อย


 


 


“เอ๊ะ ไม่ถูกสินะ ศิษย์น้องชิงเฉิน เหตุใดข้าจำได้ว่าปีนั้นยามไปแดนลี้ลับ ก็มีอาวุธเวทนี้ไว้สู้ศัตรูแล้วล่ะ?” ต้วนชิงเกอพูดแทรกขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก ท่ามกลางการซักไซ้ไล่เลียงของทั้งสองคน จึงเล่าเรื่องที่รู้จักกับนักพรตเหอกวงตั้งแต่ก่อนนั้นให้ฟังอย่างคร่าวๆ ทีหนึ่ง


 


 


“มิน่าอยู่ดีๆ นักพรตเหอกวงถึงรับเจ้าเป็นศิษย์ ที่แท้ก็รู้จักกันมานานแล้ว ว่าไปแล้ว พวกเจ้ายังช่างมีวาสนาเสียจริงนะ!” มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


 


มั่วหลีลั่วเดิมทีพูดโดยมิได้คิดอะไร แต่เมื่อมั่วชิงเฉินฟังแล้ว กลับสีหน้าแดงก่ำ


 


 


ทันใดนั้นต้วนชิงเกอที่อมยิ้มฟังอยู่ข้างๆ ตลอดก็ชะงักงัน นางและมั่วชิงเฉินรู้จักกันลึกซึ้ง ไม่เคยเห็นนางเผยท่าทีหญิงสาวเช่นนี้มาก่อน หรือว่า…


 


 


เมื่อนึกถึงฐานะศิษย์อาจารย์ของนางและนักพรตเหอกวง ก็รู้สึกตกใจ


 


 


ทั้งสามคนล้วนออกจากสำนักฝึกตน จึงไม่มีเป้าหมายที่กำหนดตายตัวอะไร ปล่อยให้ชามใหญ่บินส่ายไปส่ายมาบนฟ้า ไหนๆ ปากชามมีฝาปิดป้องกันโปร่งใส สามารถมองเห็นข้างนอกจากข้างใน จากข้างนอกกลับมองไม่เห็นเหตุการณ์ข้างใน


 


 


ฝึกตน สิ่งที่เน้นคือตามใจ ทั้งสามคนนั่งอยู่ในชามแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการบำเพ็ญเพียร คุยเรื่องในใจของหญิงสาวบ้าง นอกจากมั่วชิงเฉินจำเป็นต้องบังคับอาวุธเวทเหินหาว สองคนนั้นไม่คิดเลยว่ายังสามารถนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรได้ พริบตาเดียวสิบกว่าวันผ่านไปแล้ว


 


 


“ศิษย์น้องชิงเฉิน ด้านนั้นมีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกเราไม่สู้ลงไปดูหน่อยเถอะ” ศีรษะต้วนชิงเกอโผล่พ้นขอบชามขึ้นมาว่า


 


 


“ได้” มั่วชิงเฉินพูดพลางบังคับชามกระเบื้องร่อนลงข้างล่าง


 


 


มั่วหลีลั่วรีบเอ่ย “ช้าก่อน พวกเจ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินสองคนก้มหน้ามองชุดคลุมเต๋าที่ใส่อยู่


 


 


“พวกเราแต่งตัวเช่นนี้ ไม่ว่าใครมองปราดหนึ่งก็รู้ว่าเป็นคนพรรคเหยากวงแล้ว ในเมื่อออกจากสำนักฝึกตน ไม่สู้แต่งตัวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักจะสะดวกสักหน่อย” มั่วหลีลั่วเอ่ย


 


 


นางพูดพลางรื้อชุดกระโปรงสีแดงชุดหนึ่งเปลี่ยนชุดคลุมเขียวออก จากนั้นสยายผมเกล้าทรงเต๋าออกแล้วเกล้าเป็นผมทรงสูง ติ่งหูแขวนหินโมราสีแดง ในพริบตาคนทั้งคนก็ดูสดใสขึ้นมา


 


 


เดิมทีมั่วหลีลั่วก็เป็นคนงามที่สวยสดดังดอกท้อเย็นดุจน้ำค้างแข็งอยู่แล้ว ปกติใส่ชุดคลุมเขียวยังไม่รู้สึกเช่นไร บัดนี้แต่งตัวเช่นนี้ปุ๊บ ต่อให้เป็นเพียงกระโปรงแดงเรียบง่าย ทั้งตัวบนล่างนอกจากต่างหูคู่นั้นแล้วไม่มีเครื่องประดับที่เกินมาแม้แต่น้อย กลับเฉพาะเจาะจงให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายไร้ใจแต่ก็เย้ายวนใจ


 


 


ต้วนชิงเห็นดังนั้นก็รื้อชุดกระโปรงสีฟ้าออกมาชุดหนึ่ง แล้วเปลี่ยนผมทรงเต๋าเป็นทรงผมของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั่วไปเช่นกัน


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อนเสียที ทั้งสองคนมองมา


 


 


มั่วชิงเฉินเหงื่อตกว่า “ที่ข้านี่ไม่มีชุดกระโปรงอย่างอื่น”


 


 


มั่วหลีลั่วตกใจว่า “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีเพียงชุดคลุมเต๋า! เจ้า…เป็นผู้หญิงจริงหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือกตาว่า “ข้าไม่มีบุญเหมือนพวกเจ้าหรอกนะ ได้ยินมาว่าฝ่ายเสื้อผ้าจะส่งเสื้อผ้าใหม่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสูงกว่าระดับสร้างรากฐานแห่งเขารั่วสุ่ยทุกปี”


 


 


เห็นนางพูดอย่างอกผายไหล่ผึ่งเช่นนี้ มั่วหลีลั่วส่ายศีรษะอย่างจำใจ พิจารณานางหลายที จากนั้นรื้อชุดกระโปรงชุดหนึ่งจากถุงเก็บวัตถุของตนว่า “รีบเปลี่ยนเข้า”


 


 


นี่คือชุดกระโปรงสีขาวชุดหนึ่ง ชายกระโปรงกลับปักลายไผ่เขียวห่างๆ ทันใดนั้นเพิ่มความสง่างามขึ้นมาเล็กน้อย ลดความเรียบง่ายลงไปหลายส่วน


 


 


มั่วชิงเฉินอยู่กับต้นไผ่ทั้งวัน เห็นแล้วกลับชอบนัก จึงเปลี่ยนโดยตรงแล้ว


 


 


มั่วหลีลั่วยิ้มว่า “ข้าว่าแล้วเสื้อผ้าชุดนี้ให้ข้าใส่จะเซียนเกินไป หัวมังกุท้ายมังกร บัดนี้ดูแล้ว ศิษย์น้องชิงเฉินเจ้าใส่กลับกำลังเหมาะ”


 


 


พูดจบปัดๆ ผมหนาหนักข้างหน้าของมั่วชิงเฉิน กำลังจะเปิดปาก กลับถูกมั่วชิงเฉินแย่งพูดก่อนว่า “ศิษย์พี่มั่ว ก็เอาเช่นนี้แหละ รีบลงไปเถอะ”


 


 


นางรีบหวีผมให้เป็นผมเปีย แล้วกระโดดนำลงไปก่อน ในใจแอบว่า ผู้หญิงไม่ควรรวมอยู่ด้วยกันหลายคนเกินไปจริงๆ มิเช่นนั้นเฉพาะถกกันเรื่องเสื้อผ้าการแต่งตัว ก็เสียเวลาไม่น้อย


 


 


ที่จริงนางกลับปรักปรำมั่วหลีลั่วแล้ว เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงส่วนใหญ่ นางนับว่าไม่ให้ความสำคัญด้านนี้มากแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เปลี่ยนชุดนานเกินไป อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าคนที่นิสัยเข้ากันได้ นี่จึงเกิดอารมณ์หญิงสาวเพิ่มขึ้นมาบ้างเช่นนี้


 


 


นอกเมืองเล็กๆ นี้มีผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคน เห็นชามกระเบื้องใบใหญ่ค่อยๆ ร่อนลงจากฟ้า อดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้ จึงแหงนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกทั้งเคารพยำเกรง


 


 


ต้องรู้ว่าสามารถขี่วัตถุเหินหาวได้อย่างน้อยต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน และผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่รอนแรมอยู่ข้างนอกไม่ได้มีให้เห็นมากนัก


 


 


ต่อจากนั้นคนพวกนี้ก็พบหญิงสาวสามคนกระโดดออกจากชาม อายุน้อยยิ่งนัก หญิงสาวชุดขาวที่ดูแล้วอายุเพียงสิบเจ็บสิบแปดปีในนั้น ยกมือเก็บอาวุธเวทขึ้น


 


 


พวกมั่วชิงเฉินมองไปรอบๆ พลานุภาพอันไร้รูปของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแผ่ออกมา


 


 


ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนทันที ต่างคารวะว่า “ขอคารวะท่านผู้อาวุโส”


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้านิ่งเรียบ ต้วนชิงเกอยิ้มแผ่วเบา ส่วนมั่วหลีลั่วกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าเดินตรงไปข้างหน้า เหมือนไม่ได้ยินคนพวกนั้น


 


 


มั่วชิงเฉินรู้ว่า ศิษย์พี่มั่วผู้นี้ปกติปฏิบัติกับศิษย์พี่น้องหญิงล้วนไม่เลว กลับเฉพาะเจาะจงไม่ไว้หน้าผู้ชาย


 


 


จนกระทั่งทั้งสามคนเข้าไปในเมืองเล็ก คนพวกนั้นก็ยังไม่แยกตัวไป ต่างวิจารณ์กันขึ้นมา


 


 


“หญิงสาวสามคนนั้นเป็นใครมาจากไหน ไม่คิดว่าจะมีตบะระดับสร้างรากฐานทุกคน?” คนหนึ่งในนั้นเอ่ย


 


 


อีกคนหนึ่งเอ่ยตามว่า “นั่นน่ะสิ ยังโฉมงามเยาว์วัยเช่นนี้อีก จิ๊ๆ”


 


 


ทันใดนั้นได้ยินเสียงดุว่า “ยังไม่หุบปากอีก หรือว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”


 


 


“พี่หลี่ อยู่ดีๆ เจ้าอารมณ์เสียอะไร?” คนก่อนหน้าเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ


 


 


คนที่ถูกเรียกว่าพี่หลีด่าว่า “เจ้าช่างไม่มีตาจริงๆ สามท่านนั้นใช่เพียงดูแล้วอายุน้อยที่ไหน พวกนางอายุยังน้อยมากชัดๆ โดยเฉพาะคนชุดขาวนั่น เกรงว่าอายุยังไม่ถึงสามสิบปี!”


 


 


“หา!” คนรอบข้างสูบลมหายใจเย็นเข้าอึดหนึ่ง


 


 


หนึ่งในนั้นว่า “เป็นไปไม่ได้กระมัง ยังไม่ถึงสามสิบปีก็สร้างรากฐาน นั่นมิใช่อัจฉริยะหรอกหรือ? ไม่ใช่บอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรนิยมกินโอสถคงโฉมกันหรอกหรือ?


 


 


คนที่ถูกเรียกว่าพี่หลี่หัวเราะฟู่ว่า “มิเช่นนั้นจะว่าพวกเจ้าวิสัยทัศน์ตื้นเขิน สร้างรากฐานก่อนอายุสามสิบปีในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเช่นพวกเราแม้หมื่นคนยังหาไม่ได้สักคน ทว่าในสำนักใหญ่พวกนั้น ก็มิได้หายากแต่อย่างใด นอกจากนั้น แม้จะบอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรเช่นเราแก่ชราช้า ยังมีโอสถคงโฉมให้กินได้ ทว่าอายุที่แท้จริงก็ใช่ว่าจะปิดบังได้ด้วยลักษณะภายนอกเท่านั้น เอาเป็นว่าหญิงสาวสามคนนั้นไม่ใช่คนที่เราจะตอแยด้วยได้ พวกเจ้าพูดจาต่างระวังหน่อย”


 


 


สองสามคนนั้นยังไม่แยกไป ทันใดนั้นที่ขอบฟ้าก็มีลำแสงต่างๆ หลายสายวาดผ่าน ตามติดด้วยผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองสามคนกระโดดลงมา มองไป ล้วนมีตบะระดับสร้างรากฐานทุกคนอย่างคาดไม่ถึง


 


 


รอผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองสามคนนี้เข้าไปในเมืองเล็ก ทันใดนั้นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “ข้ารู้แล้ว พวกนางต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนิกายเหอฮวนเป็นแน่!”


 


 


คำพูดนี้พูดออกไปปุ๊บ สองสามคนมองหน้ากันปราดหนึ่ง แม้แต่เมืองเล็กก็ไม่เข้า เดินจากไปเงียบๆ แล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คนที่เข้ามาในเมืองเล็กทีหลังต่างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงในนั้นคนหนึ่งว่า “ที่นี่มีจุดติดต่อที่มิดชิดของสำนักเรา พวกเรารีบไปขึ้นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นั่น ขอเพียงกลับถึงสำนักได้ก็หายห่วงแล้ว พวกเจ้าอดทนอีกหน่อย ถูกแล้ว อย่าให้นางหนูนี่หนีล่ะ!”


 


 


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่” ผู้บำเพ็ญเพียรอีกสามคนเอ่ย


 


 


หากสังเกตให้ละเอียดก็จะพบว่า หญิงสาวชุดสีรุ้งที่ไม่ออกเสียงคนนั้นสองมือถูกไขว้มัดไว้ด้านหลังอย่างคาดไม่ถึง


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสามคนเดินอยู่ท่างกลางเมืองเล็ก นี่เป็นเมืองที่มีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร สามารถเห็นผู้บำเพ็ญเพียรไปๆ มาๆ ได้ทั่วไป แต่งตัวต่างๆ กัน ตบะส่วนใหญ่อยู่ระดับหลอมลมปราณระยะกลาง ปลาย นานๆ ทีจะเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง


 


 


ถนนสองข้างทางมีร้านรวงต่างๆ สิ่งที่ขายล้วนเป็นของที่จำเป็นต่อผู้บำเพ็ญเพียร พวกนางสามคนเดินดูตามอารมณ์ พบของบางสิ่งแม้ไม่ล้ำค่าทว่ากลับหายากทางฝั่งพรรคเหยากวงโน่น จึงซื้อติดมือไว้


 


 


เพียงแต่พวกนางสามคนล้วนเป็นผู้หญิง อีกทั้งอยู่ระดับสร้างรากฐานหมด จึงดึงดูดให้คนรอบข้างแอบพิจารณาเงียบๆ ไม่หยุด


 


 


“ศิษย์พี่ทั้งสอง ไม่สู้เราไปจากนี่ดีกว่าเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงต่ำ


 


 


นางใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบำเพ็ญเพียรอย่างสงบ เทียบกับมั่วหลีลั่วที่เป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณตั้งแต่แรกเริ่มไม่ได้ เดินเหินอยู่ในสำนักก็เป็นที่สนใจของผู้คน และก็เทียบกับต้วนชิงเกอไม่ได้เพราะรูปโฉมโดดเด่น ตั้งแต่กลับจากแดนลี้ลับหุบเขาโยวเล่อก็ถูกผู้บำเพ็ญเพียรชายนับไม่ถ้วนตามเอาใจ จึงชินกับการเป็นเป้าสายตาของผู้คนนานแล้ว


 


 


“อืม” สองคนตอบรับ ที่นี่เป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ ธรรมดาแห่งหนึ่ง นอกจากซื้อของท้องถิ่นบางอย่างแล้ว ดูเหมือนก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่แล้ว


 


 


มั่วหลีลั่วกวาดแผนที่ดูรอบหนึ่งว่า “เมืองเล็กนี้อยู่นอกทางใต้ของเทือกเขาฟางจูนับพันลี้ มุ่งหน้าต่อไป ก็คือเขตอิทธิพลของนิกายเหอฮวน แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่ชอบสำนักนั้น ไม่สู้เรามุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ที่นั่นเข้าใกล้ดินแดนแห่งสิบทวีปทางตะวันตก ไม่แน่อาจจะมีของอะไรที่พวกเราต้องการ”


 


 


มั่วชิงเฉินตลอดมาไม่มีความรู้สึกด้านทิศทางอยู่แล้ว ย่อมไม่มีความเห็นเป็นธรรมดา


 


 


เมื่อสามคนตัดสินใจแล้วจึงตั้งใจจากไป มั่วชิงเฉินหรี่ตา มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงห้าคนเดินมาตรงหน้า แต่ละคนมีตบะอยู่ระดับสร้างรากฐาน นี่ก็ช่างเถอะ ทว่าหญิงสาวชุดสีรุ้งที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองสามคนพยุงไว้ในนั้น ไม่คิดเลยว่าจะเป็นหลิวหลิงจือ!


 


 


เมื่อสังเกตปุ๊บ มั่วชิงเฉินก็สังเกตถึงความผิดปกติ ในสีหน้าเย็นยะเยือกของหลิวหลิงจือแฝงไว้ด้วยความสิ้นหวังชินชา คาดไม่ถึงว่าจะถูกพวกนางมัดไว้!


 


 


ผู้หญิงไม่กี่คนที่เดินมาเมื่อเห็นพวกมั่วชิงเฉินสามคนก็ชะงักเช่นกัน อย่างไรเสียในเมืองเล็กๆ เช่นนี้ น้อยครั้งที่จะมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานมากมายเพียงนี้ปรากฏตัว


 


 


หลิวหลิงจือกลับดูเหมือนมองไม่เห็น ใบหน้ายังคงมีสีหน้าเช่นนั้น


 


 


ในยามนี้เองมีพลังวิญญาณหลายสายเคลื่อนไหว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงในนั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที ทันใดนั้นโยนของสิ่งหนึ่งใส่พวกมั่วชิงเฉินสามคนแล้วว่า “ศิษย์น้องทั้งสาม พวกเจ้ารีบนำของไป พวกเรามารับมือศัตรูเอง!”


 


 


พูดจบหญิงสาวไม่กี่คนนั้นก็วิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง มั่วชิงเฉินจิตตระหนักเกินคน กลับสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณที่เคลื่อนไหวอยู่ทีแรกกำลังเข้าใกล้มาทางทิศทางของพวกนาง


 


 


มองดูถุงเก็บวัตถุในมือ สีหน้ามั่วชิงเฉินเย็นชาลง นางไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย ย่อมรู้ว่าถูกป้ายสีแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 145

 

ถูกป้ายสีแล้วทำเช่นไรดี?


 


 


สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินไล่ตามไปตามทิศทางที่หญิงสาวไม่กี่คนนั้นหนีไปอย่างไม่ลังเล


 


 


หญิงสาวชุดม่วงนั่นโยนถุงใส่วัตถุใส่พวกนาง ดูท่าทางกำลังอยู่ในสถานการณ์เจ้าไล่ตามข้าหลบหนีกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ในชั่วเวลาหนึ่งพวกนางสามคนอย่าคิดจะอธิบายได้ชัดเจนเลย พูดไม่ได้แล้วยังต้องกลายเป็นไม้กันหมา ถ่วงเวลาให้พวกนางหนีไป


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้ อย่างมากก็ถูกดึงเข้าการสู้รบครั้งนี้ด้วยกัน อย่างไรก็ดีกว่าถูกคนอื่นใช้เป็นตัวตายตัวแทน


 


 


เมื่อมั่วชิงเฉินวิ่ง มั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอจึงรีบตามไปทันที


 


 


เช่นเมืองผู้บำเพ็ญเพียรที่มีขอบเขตเล็กๆ เช่นนี้ ล้วนไม่สามารถเหาะเหินบนฟ้าได้ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ตกทอดกันมาแต่โบราณ แม้ไม่เห็นมีคนคอยคุม ทุกคนยังคงรักษาธรรมเนียมพวกนี้อย่างรู้ตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองส่วนใหญ่ล้วนตั้งค่ายกลควบคุมไว้ นั่นก็คืออยากไม่รู้ตัวก็ทำไม่ได้แล้ว


 


 


คนสัญจรไปมาบนถนนในเมืองเล็กนับว่าไม่มาก เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกลุ่มหนึ่งวิ่งทะยานอยู่บนถนน ต่างไม่อยากถูกร่างแหไปด้วย จึงต่างหลบออกมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานส่วนมาก หากไม่ใช้อาวุธเวทเหินหาวอยู่กลางอากาศละก็ อยู่บนพื้นยังคงใช้คาถาเหยียบลม ทว่าก็มีผู้บำเพ็ญเพียรที่วิชายุทธ์ค่อนข้างดีบางส่วน มีวิชาตัวเบาพิเศษติดตัว หรือมีอาวุธเวทเพิ่มความเร็วบางอย่าง ซึ่งก็มีอยู่มากมาย


 


 


ในร่างมั่วชิงเฉินมีไม้ไฟสองรากวิญญาณเป็นหลัก ดังคำกล่าวที่ว่าไฟไม้แปรลม แม้นางไม่ใช่รากวิญญาณลมแปรผัน ทว่ากลับเข้าใจและชำนาญคาถาธาตุลมพิเศษวิชาหนึ่งในเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ยิ่งนักวิชาเคลื่อนเงาเลือนราง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรฝึกฝนวิชายุทธ์วิชาหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข้าใจคาถาที่อยู่ในวิชายุทธ์นั้นได้อย่างแน่นอน วิชายุทธ์ระดับยิ่งสูงก็ยิ่งเป็นเช่นนี้


 


 


เคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่เดิมก็คือวิชายุทธ์ระดับสูง คาถาที่ติดมาย่อมไม่ใช่ของสามัญ มั่วชิงเฉินฝึกฝนมากว่าเจ็ดปี ยังคงมีหลายคาถาในระดับขั้นขณะนี้ที่ยังฝึกไม่เป็น


 


 


และบัดนี้ คาถาเคลื่อนเงาเลือนรางนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว


 


 


พลังวิญญาณในร่างมั่วชิงเฉินไหลเวียน ลมเกิดใต้ฝ่าเท้า ปลายเท้าแตะพื้นเบาๆ ก็ดั่งควันบางเบาสายหนึ่งลอยออกไปแสนไกล มองด้วยตาเห็นว่าจะไล่ทันไม่กี่คนตรงหน้าแล้ว


 


 


ที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ ไม่นึกเลยว่าความเร็วของมั่วหลีลั่วก็ไม่ช้า มีเพียงต้วนชิงเกอที่แยกระยะห่างจากทุกคนไปเล็กน้อย


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ แย่แล้ว พวกนางจะตามทันแล้ว!” หญิงสาวชุดเหลืองคนหนึ่งกล่าว


 


 


หญิงสาวชุดม่วงไม่ส่งเสียงสักแอะ ยกมือขึ้นโยนยันต์ไปข้างหลังตั้งหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วปลายเท้าแตะพื้นหลบไปข้างๆ แต่กลับไม่ได้เข้าจู่โจม


 


 


นางจิตตระหนักไม่อ่อน สัมผัสได้นานแล้วว่าศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่คนตรงหน้าไม่กี่คนนี้ หากแต่เป็นคนข้างหลัง บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมคือการไล่คนพวกนี้ให้ทัน


 


 


บัดนี้ทุกคนได้วิ่งเข้ามาในตรอกตรอกหนึ่ง เห็นไม่มีทางออกแล้ว ทันใดนั้นหญิงสาวชุดม่วงโยนของสิ่งหนึ่งซัดใส่กำแพง


 


 


เดิมทีกำแพงที่ปกติไม่มีสิ่งใดประหลาดเปล่งแสงวิญญาณสายหนึ่งออกทันที ต่อจากนั้นปรากฏรอยแยกขึ้นรอยหนึ่ง


 


 


หญิงสาวชุดม่วงนำไม่กี่คนรีบกระโดดเข้าไป แล้วเก็บสิ่งที่ซัดออกไปก่อนหน้ากลับทันที รอยแยกบนกำแพงเริ่มปิดเข้าหากันด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


 


เดิมมั่วชิงเฉินก็ไล่ตามขึ้นมาแล้ว ย่อมต้องกระโดดตามเข้าไป มั่วหลีลั่วที่อยู่ข้างหลังกระโดดตามเข้าไปติดๆ


 


 


ต้วนชิงเกอที่อยู่ด้านหลังเห็นแล้วร้อนรนยิ่งนัก แอบแค้นที่ตนความเร็วช้า ในขณะที่รอยแยกบนกำแพงกำลังหายไป กลับมีแสงทองสายหนึ่งฟาดมา มีเงาดำหลายสายผ่านต้วนชิงเกอไปกระโดดเข้ารอยแยก ต้วนชิงเกอก็ฉวยโอกาสนี้ตามเข้าไปด้วย


 


 


“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์อาทั้งหลาย…” ในลานบ้านมีหญิงสาวสองสามคน ล้วนมีตบะระดับหลอมลมปราณ เห็นไม่กี่คนโดยมีหญิงสาวชุดม่วงเป็นผู้นำเข้ามาโดยตรงจากกำแพง ย่อมรู้ว่าเป็นผู้อาวุโสสำนักเดียวกันมาแล้ว จึงรีบคำนับ


 


 


“อย่าพูดมาก รีบปลุกค่ายกลเคลื่อนย้ายเร็ว!” หญิงสาวชุดม่วงทะยานไปสวนดอกไม้ด้านหลังโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย


 


 


ลานบ้านเล็กๆ และสวนดอกไม้ด้านหลังเชื่อมด้วยประตูจันทราบานหนึ่ง ในสวนดอกไม้ด้านหลังดอกไม้เป็นช่อๆ ส่งกลิ่นหอมยวนใจ ในที่ที่บดบังด้วยดอกไม้ต้นไม้แห่งหนึ่ง ได้ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดไม่ใหญ่ไว้ค่ายหนึ่ง


 


 


พวกหญิงสาวชุดม่วงเข้าสู่ค่ายกล ค่ายกลเคลื่อนย้ายแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้น เห็นมั่วชิงเฉินและมั่วหลีลั่วที่ตามมาข้างหลัง จึงอดยิ้มเยาะไม่ได้ จุดหมายปลายทางของค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้คืออาณาเขตของนิกายเหอฮวน พวกเจ้าตามมาจะได้รนหาที่ตายพอดี


 


 


มั่วชิงเฉินเดาได้นานแล้วว่าปลายทางของค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้เกรงว่าจะเป็นอาณาเขตของคนพวกนี้ ยามนี้เข้ามาในค่ายกลย่อมไม่ใช่คิดจะเคลื่อนย้ายไปพร้อมกัน


 


 


ในมือนางแสงทองระยิบระยับ ก้อนอิฐขยายใหญ่ก้อนหนึ่งบินไป ฟาดไปที่มุมหนึ่งของค่ายกลตรงๆ


 


 


จุดประสงค์ของนาง คือการทำลายค่ายกล!


 


 


หญิงสาวชุดม่วงสีหน้าเปลี่ยนในทันใด อัญเชิญของสิ่งหนึ่งในมือชนไปที่ก้อนอิฐที่ส่องแสงทองระยิบระยับก้อนนั้น


 


 


เฉพาะเจาะจงยามนี้ คนชุดดำสองสามคนที่ตามมาด้านหลัง อัญเชิญอาวุธเวทจู่โจมมาที่ค่ายกลนี้เช่นกัน


 


 


แสงวิญญาณสามสายปะทะกัน แสงสว่างจ้าขึ้นในทันใด ส่วนแสงสีขาวเดิมของค่ายกลมืดลง ค่ายกลสั่นไหวเบาๆ ขึ้นมาทั้งค่าย


 


 


ในชั่วอึดใจ คนข้างหลังตามมาหมดแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงอัญเชิญอาวุธเวทออกมา เข้าโรมรันกับพวกหญิงสาวชุดม่วง พวกมั่วชิงเฉินย่อมถูกเห็นเป็นพวกเดียวกัน กลายเป็นสมาชิกในการต่อสู้


 


 


ใครจะรู้ว่าในยามนี้เอง แสงสีขาวที่มืดมนอยู่เดิมของค่ายกลเคลื่อนย้ายสว่างขึ้นกะทันหัน ส่องจนผู้คนลืมตาไม่ขึ้น ตามติดด้วยทุกคนรู้สึกหัวหมุนวิงเวียน ตรงหน้าดับวูบลง


 


 


หญิงสาวชุดม่วงสีหน้าปีติ ดีเหลือเกิน ไม่คิดว่าจะปลุกค่ายกลสำเร็จแล้ว!


 


 


ทว่าความปีติบนใบหน้านางยังไม่ทันได้หายไป รอลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับต้องชะงักงัน


 


 


เห็นเพียงรอบด้านโล้นเลี่ยนเตียน มองออกไป คือผืนทรายเหลืองสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้แล้วมิมีสิ่งใดอีก มีเพียงพระอาทิตย์แขวนอยู่บนฟ้าอย่างสว่างจ้า ส่องแสงอันร้อนแรงโหดร้าย


 


 


“นี่…นี่ที่ไหน!” หญิงสาวชุดเหลืองกรีดร้อง


 


 


หญิงสาวที่เหลือก็พิจารณารอบด้านอย่างตื่นตระหนก สุดท้ายสายตามองไปที่หญิงสาวชุดม่วง


 


 


มั่วชิงเฉินในใจสะดุดกึก หรือว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายเกิดผิดพลาด?


 


 


“เอะอะโวยวายอะไร ผู้หญิงพวกนี้นี่พวกเจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ตกลงนี่คือที่ใด?” หนึ่งในคนชุดดำถามเสียงเย็นชา


 


 


มั่วชิงเฉินนี่ถึงมีเวลามองไป พบว่าคนที่ไล่ตามมามีทั้งหมดสี่คน คนที่ออกเสียงมีตบะของระดับสร้างรากฐานระยะปลาย นอกนั้นสามคนคนหนึ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง สองคนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น ล้วนแต่งชุดดำทั้งหมด


 


 


คนชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายดูเหมือนรู้ว่าหญิงสาวกลุ่มนี้มีหญิงสาวชุดม่วงเป็นหัวหน้า ก้าวออกก้าวหนึ่ง ยื่นมือจับคางของนางว่า “ทางที่ดีเจ้าจงสารภาพแต่โดยดี มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าโหดร้ายแล้งน้ำใจ!”


 


 


หญิงสาวชุดสีม่วงอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง เป็นผู้ที่มีตบะสูงสุดในบรรดาหญิงสาวรวมทั้งพวกมั่วชิงเฉินสามคนด้วยจริงๆ ทว่าต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย กลับแทบไม่มีกำลังตอบโต้


 


 


ภายใต้สายตาที่ดุดันของคนชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลาย เนิ่นนาน นางเอ่ยเหมือนอยากร้องไห้ว่า “ข้า…ข้าไม่รู้”


 


 


คนชุดดำหรี่ตา “เจ้าไม่รู้? พวกเจ้านางปีศาจกลุ่มนี้ หากไม่พูดให้รู้เรื่อง วันนี้ที่นี่ก็คือที่ฝังศพของพวกเจ้า!”


 


 


พูดพลางเขากวาดสายตาใส่หญิงสาวทุกคนรอบหนึ่ง


 


 


รวมทั้งพวกมั่วชิงเฉินสามคน มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งหมดแปดคน นอกจากหญิงสาวชุดม่วงแล้วคนอื่นล้วนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น ก็ช่วยไม่ได้ที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำจะมั่นใจถึงเพียงนี้แล้ว


 


 


“ข้ารู้สึกว่า แทนที่ท่านพี่เต๋าจะถามว่าที่นี่ที่ไหน กลับไม่สู้ถามนางว่าเดิมทีจะไปที่ไหนดีกว่า” ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็เปิดปาก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายมองมาตามเสียง เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เปิดปากใส่ชุดขาวเรียบง่าย ผมถักเป็นหางเปียข้างหนึ่งอย่างตามใจห้อยอยู่ด้านหน้า ลักษณะเพียงสิบเจ็บสิบแปดปี จึงอดหรี่ตาไม่ได้


 


 


“ศิษย์น้อง เจ้าพูดอะไรออกมา พวกเราเป็นศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก ในเหตุการณ์คับขันเช่นนี้เหตุใดเจ้าจึงช่วยคนนอกล่ะ?” ใบหน้าที่แต่งอย่างดีของหญิงสาวชุดม่วงแฝงด้วยความโกรธว่า


 


 


หญิงสาวไม่กี่คนที่เหลือชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเห็นพ้องต้องกันขึ้นมา


 


 


มั่วหลีลั่วตบพื้นโดยพลัน ทรายสีเหลืองลอยขึ้นมาเป็นระลอก “หุบปาก ใครอยู่สำนักเดียวกับพวกเจ้า พวกเราเดินอยู่ในเมืองอยู่ดีๆ ก็ถูกพวกเจ้าลากเข้ามาพัวพัน เรื่องมาถึงบัดนี้ ไม่คิดเลยว่ายังพูดโกหกออกมาได้หน้าตาเฉย!”


 


 


“ศิษย์น้อง เรานัดกันไว้ตั้งแต่แรกว่าให้พวกเจ้าคอยเป็นกำลังหนุนอยู่ที่นี่มิใช่หรือ มิเช่นนั้น พวกเจ้าล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ปกติจะมีเวลาว่างไปเมืองเล็กๆ นั่นได้เช่นไร?” หญิงสาวชุดม่วงเอ่ยด้วยความน้อยใจเต็มประดา สีหน้าไม่เหมือนโกหกแม้แต่น้อย


 


 


“เจ้า!” มั่วหลีลั่วนิสัยร้อนแรง ทนเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เป็นที่สุด ได้ยินดังนั้นจึงหยิบอาวุธเวทค้อนสะท้านฟ้าออกมา


 


 


มั่วชิงเฉินดึงนางไว้ มองก็ไม่มองหญิงสาวชุดม่วง นางเอ่ยต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายว่า “ท่านพี่เต๋า คำพูดนี้ข้าพูดเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ เราสามคนไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางจริงๆ อีกอย่าง เรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้ยังคงคือการถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดพวกเราจึงถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ ท่านว่าใช่หรือไม่?”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าสงบ สายตากระจ่างใส ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายรู้สึกว่านางไม่ได้โกหก ทว่าทุกสิ่งนี้ก็ช่างบังเอิญเกินไปสักหน่อย บอกว่าพวกนางไม่ใช่กำลังหนุนที่เป็นพวกเดียวกัน ออกจะไม่น่าเชื่อจริงๆ


 


 


ทว่ามีข้อหนึ่งนางกลับพูดได้ไม่ผิด บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดทุกคนถึงอยู่ที่นี่ได้ ส่วนเรื่องอื่น ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้ล้วนไม่ใช่คนโง่ ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง ต่อให้มีแค้นล้นฟ้าก็ต้องวางไว้ก่อน กระทั่งในยามจำเป็น ศัตรูดั้งเดิมก็สามารถร่วมมือกันได้


 


 


มั่วชิงเฉินคาดไว้ว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน ถึงไม่ยอมเปลืองน้ำลายไปอธิบาย เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ยิ่งพูดยิ่งแย่อยู่แล้ว ไหนๆ เรื่องที่พวกเขาอยากรู้ก็เป็นเรื่องที่พวกนางอยากรู้พอดี


 


 


“รีบบอกว่า เดิมทีพวกเจ้าจะไปไหน ที่นี่คือที่ไหนอีก?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายบังคับถาม


 


 


เมื่อหญิงสาวชุดม่วงลังเล ก็รู้สึกได้ถึงรังสีการเข่นฆ่าอันเฉียบขาดถาโถมมา นางเหงื่อเย็นโทรมกาย เอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “เดิมทีที่ที่พวกเราจะไปคือ…คือนิกายเหอฮวน ที่นี่ที่ไหน ข้าไม่รู้จริงๆ…”


 


 


เห็นคนชุดดำสีหน้าเย็นชาขึ้น นางรีบว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ค่ายเคลื่อนย้ายนั่นเดิมทีได้ถูกปลุกขึ้นแล้ว กลับถูกพวกเราใช้คาถาแทรกแซง เกรงว่า เกรงว่าพวกเราจะถูกสุ่มเคลื่อนย้ายมาที่นี่!”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างตกใจ แม้แต่หญิงสาวไม่กี่คนนั้นก็สีหน้าซีดเซียวขึ้นมา


 


 


สิ่งที่คนกลัวที่สุด ไม่ใช่อันตรายที่รู้แล้ว แต่เป็นความไม่รู้!


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วในใจตกตะลึงเช่นกัน แม้จะพูดว่าการฝึกตนขาดการผจญอันตรายไม่ได้ ทว่าก็ต้องอยู่ในขอบเขตความสามารถของตน แดนลี้ลับที่อันตรายในดินแดนเทียนหยวนมีนับไม่ถ้วน การที่พวกเขาถูกสุ่มเคลื่อนย้ายมา หากถึงสถานที่ที่มีเพียงระดับสูงกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถึงสามารถเอาชีวิตรอดได้ เช่นนั้นมิใช่ไม่เป็นธรรมหรือ?


 


 


ทว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เรื่องถึงบัดนี้ ก็ได้แต่แก้ปัญหาไปตามสถานการณ์แล้ว มั่วชิงเฉินคิดอยู่ในใจ ภายนอกกลับสงบราบเรียบ


 


 


คนชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างไม่กระโตกกระตาก พบว่าพวกมั่วชิงเฉินสามคนนั้นสงบกว่าคนอื่นมาก ในใจก็มีความคิดบางอย่างแล้ว ปากก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องก่อนหน้านี้ก็วางไว้ก่อน รอออกไปแล้วค่อยว่ากัน!”


 


 


“ทว่า เราจะไปทางไหนล่ะ?” หญิงสาวชุดม่วงมองทิวทัศน์ที่ไม่เปลี่ยนไปสักนิดรอบด้าน ถามอย่างงงงัน


 


 


มั่วหลีลั่วกวาดสายตาใส่นางอย่างดูแคลนปราดหนึ่ง แล้วล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาว่า “ข้ามีจานคงดารา ไปเถอะ”

 

 

 


ตอนที่ 146

 

“เหตุใดยังไม่เห็นสุดทางล่ะ ตกลงที่นี่เดินออกไปได้หรือไม่กันแน่?” หญิงสาวชุดเหลืองที่มาจากนิกายเหอฮวนมองผืนทรายที่ไร้ขอบเขตพลาง บ่น


 


 


หญิงสาวชุดชมพูอีกคนหนึ่งเอ่ยตามว่า “นั่นนะสิ ตกลงที่นี่ที่ไหนกันแน่นะ พวกเราคงจะไม่เดินเช่นนี้ไปตลอดหรอกนะ?”


 


 


“หุบปาก อยากออกไปทั้งที่มีชีวิต ก็อย่าพูดมาก หรือว่า บัดนี้ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าหลุดพ้น?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายกวาดแสงเย็นชามา


 


 


สองสาวเงียบเสียงทันที ลากฝีเท้าที่ยิ่งเดินยิ่งหนักหน่วงมุ่งไปเข้าหน้า


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก ที่นี่ไม่อาจเหาะเหินเดินอากาศได้เอาเสียเลย ทุกคนเดินอยู่ในทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาผืนนี้มาหลายวันแล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเลี่ยงธัญพืชได้ ทว่ามองไปทิวทัศน์ล้วนเหมือนกันหมด ยิ่งกว่านั้นยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงสุดทาง ความกดดันทางด้านจิตใจเช่นนี้ช่างใหญ่หลวงนัก


 


 


ทว่ายิ่งในเวลาเช่นนี้ ยิ่งสั่นคลอนความมั่นใจไม่ได้ ในเวลามากมายการทำให้คนคนหนึ่งแพ้ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก หากแต่เป็นอำนาจจิตอันเปราะบางของตนเอง


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือบมั่วหลีลั่วปราดหนึ่ง ใบหน้าฉายแววมุ่งมั่นแวบหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไร ความรอบรู้ด้านค่ายกลนางเชื่อใจมั่วหลีลั่วได้ มีจานคงดาราของนางในมือ ทิศทางน่าจะไม่ผิดพลาด เช่นนั้นขอเพียงเดินไปตามทิศทางหนึ่ง ย่อมมีวันที่ออกไปได้


 


 


สายตาของคนชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายเป็นประกาย อยู่ด้วยกันหลายวัน เขายิ่งนานยิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวสามคนนี้อาจไม่ใช่พวกเดียวกับพวกนางจริง


 


 


เขาสังเกตมาแล้ว หลายวันนี้เร่งเดินทางตลอด แม้แต่สหายของเขาใบหน้าต่างก็ฉายแววกระวนกระวาย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คนนั้นยิ่งคร่ำครวญมาตลอดทาง กระทั่งยังมีคนหนึ่งตั้งใจทำเป็นอ่อนแอ ล่อลวงให้สหายของเขาคนหนึ่งเกิดทะนุถนอมขึ้นมา มีเพียงหญิงสาวสามคนนี้ ด้านอื่นไม่เห็นว่าจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นสักเท่าไร ทว่าอารมณ์นั้นหากไม่ใช่แน่วแน่ ก็สงบ หรือสุขุม แสดงออกถึงคุณสมบัติอันดีเยี่ยม


 


 


หากบอกว่าคนคนหนึ่งเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นอาจเป็นนิสัยส่วนตัว ทว่าสามคนเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เขาก็ได้แต่ตัดสินว่า สำนักหรือตระกูลที่พวกนางสังกัดมอบคุณสมบัติเฉพาะที่เหมือนกันให้พวกนาง


 


 


ไม่รู้ว่าความคิดของผู้นำชุดดำแอบเปลี่ยนไปแล้ว มั่วหลีลั่วมองท้องฟ้าเทียบกับจานคงดารา


 


 


“เป็นอันใดหรือ ศิษย์พี่มั่ว?” มั่วชิงเฉินถามเสียงต่ำ คนอื่นๆ ก็มองมาทางนางเช่นกัน


 


 


มั่วหลีลั่วมีสีหน้าลังเล กัดริมฝีปากที่แห้งผาก “ข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกๆ!”


 


 


“แปลกอะไร?” ผู้นำชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายถามอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย


 


 


มั่วหลีลั่วกวาดสายตาใส่เขาปราดหนึ่งอย่างเย็นชา หันหน้าพูดกับพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “ข้าก็บอกไม่ถูก จานคงดารานี้ข้าหลอมเองกับมือ ตามหลักแล้วไม่ควรผิดพลาด ทว่าข้ามักรู้สึกรางๆ ว่ามีปัญหา”


 


 


มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอมองตากันปราดหนึ่ง คนอื่นไม่รู้ พวกนางกลับเข้าใจดี มั่วหลีลั่วมีพรสวรรค์ในด้านนี้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด บัดนี้ความรอบรู้ในด้านค่ายกลของนางแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมากมายก็เทียบไม่ติด


 


 


“เจ้าคงไม่ผิดพลาดหรอกนะ หรือว่าที่พวกเราเดินมาตั้งหลายวันเพียงนี้ต้องเดินเปล่าแล้วเช่นนั้นหรือ?” หญิงสาวชุดเหลืองเต้นเร่าๆ ว่า


 


 


สายตาเย็นชาของมั่วหลีลั่วกวาดมา “หุบปาก ขืนเจ้าพูดมากอีกประโยคเดียว ข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้เจ้าหลุดพ้น ณ บัดนี้เช่นกัน!”


 


 


หญิงสาวชุดเหลืองยื่นมือ “เจ้า เจ้านึกว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าก็เพิ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นเท่านั้น!”


 


 


ใบหน้ามั่วหลีลั่วปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง ทันใดนั้นกลับหัวเราะว่า “ลองดูสักหน่อยไหมล่ะ?”


 


 


หญิงสาวชุดเหลืองโกรธจนหายใจหอบ กำลังจะพูดกลับถูกหญิงสาวชุดม่วงลากไว้ หันหน้าพูดกับมั่วหลีลั่วว่า “ศิษย์น้อง ทุกคนต่างก็เป็นคนกันเอง เหตุใดต้องทำเช่นนี้ให้คนนอกหัวเราะเยาะด้วย เจ้าว่าใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วหลีลั่วเบิ่งตาใส่นางอย่างเย็นชาปราดหนึ่งแล้วไม่ออกเสียง


 


 


พวกนางสามคนคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว ฝ่ายคนชุดดำพลังสูงกว่ามากนัก หากพวกนางสองฝ่ายแยกจากกันล่ะก็ จำต้องตกเป็นเบี้ยล่างเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร พวกนางได้เพียงรักษาความสมดุลนี้ไว้ชั่วคราว


 


 


ในทะเลทรายนี้ไม่เพียงแต่พระอาทิตย์ร้อนแรง ยังมีลมร้อนพัดมาเป็นระลอก ม้วนเอาเม็ดทรายซัดใส่ตัว ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเมื่อเวลานานเข้าก็ทนไม่ไหวเช่นกัน


 


 


เดินไปอีกระยะเวลาหนึ่ง จู่ๆ หลิวหลิงจือก็ล้ม ‘ตึง’ บนพื้น


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ นางหมดสติไปแล้ว ทำเช่นไรดี?” หญิงสาวชุดชมพูก้มตัวสำรวจสภาพของหลิวหลิงจือคราหนึ่งว่า


 


 


มั่วชิงเฉนกำหมัดแผ่วเบา หลายวันมานี้นางแอบสังเกตหลิวหลิงจือมาตลอด เพียงแต่เห็นนางเป็นตายร้ายดีเช่นไรก็ไม่คิดจะยอมรับว่ารู้จักตนเอง สถานการณ์ยามนี้เป็นเช่นไรกันแน่ก็ไม่อาจรู้ได้ นี่ถึงได้แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก


 


 


หญิงสาวชุดม่วงรื้อขวดโอสถออกมาขวดหนึ่งว่า “ป้อนนางกินเข้าไป ไม่อย่าอย่างไร จะให้นางตายไม่ได้!”


 


 


“เจ้าค่ะ” หญิงสาวชุดชมพูรับขวดหยกมา หยิบโอสถเม็ดหนึ่งป้อนให้หลิวหลิงจือ


 


 


ผู้นำชุดดำกวาดสายตามองสีหน้าซีดเซียวของหลิวหลิงจือปราดหนึ่ง แล้วกวาดสายตาใส่หญิงสาวไม่กี่คนนั้นปราดหนึ่ง แสงในตาเป็นประกาย ราวกับเข้าใจอะไรแล้ว


 


 


“แค่กๆ” หลังจากกินโอสถ หลิวหลิงจือค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา สายตาดูเหมือนไม่มีจุดศูนย์รวม ลุกขึ้นยืนอย่างด้านชาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ


 


 


มั่วชิงเฉินแอบตกใจ สาวน้อยจอมแสบเปิดเผยในปีนั้นตกลงผ่านอะไรมากันแน่ ถึงกลายมามีลักษณะเช่นทุกวันนี้ อีกทั้งหญิงสาวแห่งนิกายเหอฮวนและผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำกลุ่มนี้มีความแค้นเคืองอะไรกันอีก ถึงทำให้พวกเขาไล่ล่าไม่ลดละ?


 


 


เมื่อออกจากที่นี่แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำกลุ่มนี้ก็จะฆ่าพวกนางใช่หรือไม่? เช่นนั้นพวกนางสามคนล่ะ หากเป็นพวกจิตใจเ**้ยมโหด จะฆ่าคนปิดปากไปด้วยหรือไม่?


 


 


เดิน อีกหนึ่งวันเต็มๆ ผืนทรายสีเหลืองยังคงมองไม่เห็นขอบเขต หญิงสาวชุดชมพูสะดุดทีหนึ่งล้มลงกับพื้น


 


 


หญิงสาวชุดเหลืองขึ้นไปช่วยพยุง กลับถูกหญิงสาวชุดชมพูสะบัดออก ร้องไห้ฮือๆ ว่า “ข้าไม่เดินแล้ว ไม่เดินแล้ว นี่ไม่มีที่สิ้นสุดชัดๆ แทนที่จะเหนื่อยตาย ไม่สู้ตายเสียที่นี่ก็แล้วกัน!”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้จิตใจพังครืนอย่างคาดไม่ถึงแล้ว


 


 


ในมือผู้นำชุดดำแสงวิญญาณสว่างขึ้นแวบหนึ่ง กำลังจะจัดการผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนี้ กลับได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูร้องอย่างโหยหวนเสียงหนึ่ง


 


 


เดิมทีทุกคนก็มองนางอยู่ ได้ยินนางร้องโหยหวนผ่านไป ก็เห็นนางกลายเป็นศพแห้งที่สูญเสียน้ำไปหมดร่างหนึ่งด้วยความเร็วอันเร็วยิ่ง บนใบหน้ายังมีสีหน้าสิ้นหวังอยู่


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่!” นอกจากหลิวหลิงจือที่ใบหน้าด้านชา สองสาวที่เหลือร้องเรียกอย่างเสียขวัญ


 


 


สีหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงก็ไม่ดี จ้องผู้บำเพ็ญเพียรชุดชมพูที่ตายโดยสิ้นเชิงอย่างผวา


 


 


มองดูสภาพการตายที่น่าสยองเช่นนั้น มั่วชิงเฉินขนหัวลุก ใครจะนึกได้ว่าหญิงสาวที่ยังสวยสดงดงามเมื่อสักครู่ พริบตาเดียวก็กลายสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว


 


 


มั่วหลีลั่วมองศพอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นตะโกนว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว นี่คือแดนมายา สิ่งที่พวกเราเห็นทั้งหมดล้วนเป็นภาพลวงตา!”


 


 


“ภาพลวงตา? เจ้าพูดให้เข้าใจหน่อย!” ผู้นำชุดดำเอ็ดว่า


 


 


ในยามนี้มั่วหลีลั่วกลับไม่ทันได้สนใจท่าทีของเขา พูดต่อว่า “ข้ารู้สึกว่าผิดปกติมาตลอด จานคงดารานี้ชี้ทิศทางออกมา ทว่ากลับมีความรู้สึกขัดกันอย่างประหลาดกับความรู้สึกด้านทิศทางของตัวข้าเอง ที่แท้ พวกเราอยู่ในแดนมายามาตลอด บางทีเดินมาหลายวันเช่นนี้ พวกเราอาจจะเดินวนรอบที่เดิมอยู่ก็เป็นไปได้!”


 


 


“เช่น เช่นนั้นเหตุใดนางถึงกลายสภาพเป็นเช่นนี้?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงถามเสียงสั่น นางไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าจะมีแดนมายาที่สมจริงเช่นนี้


 


 


มั่วหลีลั่วมองศพปราดหนึ่งอย่างไม่แยแสว่า “อันว่าแดนมายา มีน้อยมากที่เกิดจากธรรมชาติ อาจเพราะผู้บำเพ็ญเพียรสูดยาที่ทำให้เกิดภาพลวงตาบางอย่างเข้าไป หรืออาจเพราะค่ายกลมายา จู่ๆ พวกเราปรากฏขึ้นที่นี่ ข้าคิดว่าความเป็นไปได้ที่สุด ก็คือไปปลุกสิ่งต้องห้ามของค่ายกลที่อยู่ที่นี่เข้า นี่ถึงได้ตกเข้าสู่แดนมายา ส่วนนาง คิดว่าเพราะจิตใจพังทลาย คิดว่าตนต้องตายอยู่ที่นี่ จึงเข้าแผนพอดี ค่ายกลมายาจึงอาศัยสิ่งนี้ฆ่าคน”


 


 


ฟังถึงตรงนี้ ทุกคนสูดปราณวิญญาณเข้าอึดหนึ่ง โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คน สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวไม่หาย ตะโกนว่า “เช่นนั้นจะทำเช่นไรดี?”


 


 


“ทำเช่นไร? นอกจากจิตใจแน่วแน่สติมั่นคง ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว” มั่วหลีลั่วเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


“ข้าไม่สนใจว่านางตายอย่างไร ข้าสนใจแต่จะออกไปได้อย่างไร!” ผู้นำชุดดำพูดชัดถ้อยชัดคำ


 


 


มั่วหลีลั่วค้อนเขาทีหนึ่ง “ข้าขอเตือนให้เจ้าท่าทีดีหน่อย อย่าอาศัยว่าตบะสูงก็ตะโกนโหวกเหวกใส่พวกเรา เดิมข้าก็ไม่มีหน้าที่ต้องบอกเจ้าว่าจะออกไปได้อย่างไรอยู่แล้ว!”


 


 


“เจ้า!” ผู้นำชุดดำโมโหยิ่งนัก กลับต้องอดทนไว้ทั้งอย่างนั้น


 


 


ค่ายกล การหลอมโอสถ การหลอมอาวุธหรือสร้างยันต์ต่างๆ ต้องการความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้านปริมาณมาก ยังมีพรสวรรค์ที่ขาดไม่ได้อีก นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มีเวลามากมาย ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนไม่มีเวลาและเงื่อนไขในการศึกษา แดนมายานี้แยบยลเพียงนี้ ไม่ใช่ค่ายกลที่ทำลายได้ง่ายๆ แน่นอน ยามนี้เขาก็ได้แต่อาศัยผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ดูเหมือนค่อนข้างช่ำชองเรื่องค่ายกลผู้นี้แล้ว


 


 


“ว่ากันตามจริง เกรงว่าค่ายกลนี้จะแยบยลยิ่งนัก มิใช่ตบะของข้าในเวลานี้จะสามารถเข้าใจได้ ข้าก็ทำได้เพียงสุดความสามารถเท่านั้น” มั่วหลีลั่วพูดพลางมองจานคงดาราอีกครา ยืนอยู่ที่เดิมมองไปรอบด้าน


 


 


บัดนี้ฟ้าได้มืดลงแล้ว ในม่านกลางคืนที่ดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า นำความเย็นสายหนึ่งมาสู่ทะเลทรายที่ร้อนระอุ


 


 


ทุกสิ่งสมจริงเช่นนี้ ก็ว่าไม่ได้ที่จนถึงบัดนี้ ทุกคนถึงพบว่าเป็นแดนมายาแล้ว


 


 


มั่วหลีลั่วไขว้มือไว้ด้านหลังแหงนมองท้องฟ้า ดวงดาวเต็มท้องฟ้าส่องแสงระยิบระยับ ส่องจนเม็ดทรายสีเหลืองบนพื้นส่องแสงแวววับดุจเม็ดทอง


 


 


“ต่อให้ค่ายกลที่แยบยลเพียงใด ก็ต้องมีช่องโหว่แน่นอน” มั่วหลีลั่วบ่นพึมพำ นี่คือยามที่นางก้าวเข้าสู่หนทางแห่งค่ายกลครั้งแรก คำพูดที่ปรมาจารย์ท่านนั้นบอกนางไว้อย่างจริงจัง


 


 


หลังจากนั้นอีก นางมองหมู่ดาวที่หนึ่งแล้วชะงักงัน ผ่านไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นก็หรี่ตาขึ้น ล้วงค้อนสะท้านฟ้าออกมาโยนใส่กลางอากาศ แล้วก็ได้ยินเสียงโครมเสียงหนึ่ง ท้องฟ้าทั้งผืนเริ่มบิดเบี้ยว ตามติดด้วยทุกคนต่างตาลาย รอลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าที่ที่อยู่ยังคงเต็มไปด้วยเม็ดทรายสีเหลือง สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือจากคืนมืดเมื่อครู่บัดนี้กลายเป็นท้องฟ้าสีครามในเวลากลางวัน


 


 


ยังไม่รอทุกคนพูดจา ทันใดนั้นผืนทรายใต้เท้าก็ขยับ จากนั้นก็เห็นทรายสีเหลืองไหลพุ่งเข้ามาเหมือนสายน้ำ ดูเหมือนจะฝังทุกคนซะ


 


 


“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งกรีดร้อง


 


 


ยามนี้ไม่มีคนตอบนางแล้ว ทุกคนต่างอัญเชิญอาวุธเวทออกมาต้านทรายดูดไว้ ครู่ใหญ่พายุทรายถึงสงบลง


 


 


มั่วชิงเฉินพบว่าแม้หลิวหลิงจือจะท่าทางด้านชา ทว่าความสามารถในการตอบโต้กลับไม่อ่อน ในสถานการณ์ที่นางตั้งใจต้านทรายดูดมากสักหน่อย ก็ปลอดภัยไร้กังวล


 


 


กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวที่เปิดปากก่อนหน้า บัดนี้ทุลักทุเลยิ่งนัก หากไม่ใช่ผู้นำชุดดำไม่อยากสูญเสียกำลังคนไปอีกจึงดึงนางทีหนึ่ง คิดว่าบัดนี้คงฝังกายท่ามกลางทรายดูดแล้วเป็นแน่


 


 


“สหายเต๋ามั่ว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าทำอะไร?” ผู้นำชุดดำถามว่า คำพูดแม้แข็งกระด้าง น้ำเสียงกลับดีขึ้นมากแล้ว


 


 


มั่วหลีลั่วขมวดคิ้ว “ข้าหาช่องโหว่ได้สายหนึ่ง ทำลายค่ายกลมายาแล้ว”


 


 


“ทำลายแล้ว ทำลายแล้วเหตุใดพวกเรายังอยู่ที่นี่อีก?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงถามด้วยความฉงน


 


 


มั่วหลีลั่วมองออกไปไกลพลางถอนหายใจ “เพราะว่า…นี่คือค่ายกลในค่ายกล! ตำแหน่งที่พวกเราอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ค่ายกลมายาแล้ว หากแต่เป็นค่ายกลสังหารอย่างจริงๆ จังๆ!”

 

 

 


ตอนที่ 147

 

ระหว่างที่พูด จู่ๆ ทรายใต้เท้าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนหนึ่งก็ยุบลงไป เขาที่หลบไม่ทันตกลงข้างล่างไปทั้งตัว


 


 


เถาวัลย์ในมือมั่วชิงเฉินบินออกไปด้วยความเร็วยิ่ง พันแขนของเขาไว้ก่อนที่เขาจะถูกทรายสีเหลืองฝังกลบพอดี มือออกแรง ลากเขาขึ้นมา


 


 


“ขอบคุณ” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อเพิ่งจะสงบลง ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น


 


 


ที่แท้พื้นทรายทั้งผืนแกว่งไกวขึ้นมา อีกทั้งในค่ายกลไม่อาจเหอะเหินได้ ทุกคนจึงได้แต่ใช้ความสามารถของตัวเองกระโดดโลดเต้นไปมา


 


 


“ช่วยด้วย!” หญิงสาวชุดเขียวกรีดร้องเสียงหนึ่ง ร่างกายจมลงไปทีละนิดๆ พริบตาเดียวทรายสีเหลืองก็กลบถึงหน้าอกนางแล้ว ที่แท้ตอนที่ลงมาเหยียบถูกผืนทรายที่กำลังเริ่มยุบลงข้างล่างพอดี


 


 


ต้วนชิงเกอที่อยู่ข้างๆ พอดีสะบัดแส้ออก พันผมของนางไว้ดึงนางขึ้นมา


 


 


น่าสงสารผู้บำเพ็ญเพียรหญิงโฉมงามดังบุปผาผู้นี้ ผมถูกดึงทิ้งไปครึ่งใหญ่ แม้แต่หนังศีรษะก็โผล่ออกมา ทว่ายามนี้นางห่วงแต่รักษาชีวิต จึงไม่มีเวลาสนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว


 


 


ทุกคนขยับตัวไม่หยุด หลบการจู่โจมของทรายดูด


 


 


เพราะว่ามั่วชิงเฉินสามารถใช้เคลื่อนเงาเลือนราง จึงรับมือได้อย่างใจเย็นกว่ามาก ทว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมมียามที่พละกำลังใช้สิ้น นึกถึงตรงนี้จึงรีบร้อนว่า “ศิษย์พี่มั่ว นี่คือค่ายกลอันใด มีวิธีทำลายหรือไม่?”


 


 


“ทองซ่อนกลางทราย หากข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นค่ายกลห้าธาตุแปรผันค่ายกลหนึ่ง” พอมั่วหลีลั่วรีบพูดจนจบ สีหน้าก็ซีดลง แล้วพูดเสียงดังว่า “ทุกคนระวัง เกรงว่าที่นี่คงไม่ธรรมดาที่มีเพียงทรายดูดเท่านั้น”


 


 


เพิ่งพูดจบ ทรายสีเหลืองที่เคลื่อนไหวอยู่จู่ๆ ก็ขยับขึ้นขณะที่ไร้ลม กลายเป็นกองทรายที่หมุนไม่หยุด ในพริบตาเดียวกองทรายสูงขึ้นเท่าความสูงของคนหนึ่งคนกว่า กลายเป็นมนุษย์ทรายที่รูปร่างเหมือนคนอย่างไม่คาดคิด!


 


 


ทรายสีเหลืองม้วนขึ้นอีกอย่างตามมาติดๆ กลายเป็นมนุษย์ทรายคนแล้วคนเล่า ไม่รอให้ทุกคนหายใจ มนุษย์ทรายพวกนั้นมือถือกระบี่คมเริ่มจู่โจมมา ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนหนึ่งรับมือด้วยกระบี่บิน กลับถูกกระบี่บินในมือของมนุษย์ทรายคนหนึ่งในนั้นจู่โจมจนบินออกไป แล้วเสียบเข้าในร่างเขา


 


 


ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง ศพของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำล้มลง ถูกทรายดูดกลืนมิดไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงรอยเลือดที่แสบตาผืนหนึ่งทำให้คนอื่นเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน


 


 


“ไม่ต้องใช้อาวุธ ใช้คาถา ใช้คาถาธาตุไฟ คาถาธาตุไม้ก็ได้เช่นกัน!” มั่วหลีลั่วตะโกน


 


 


ภายใต้การเตือนของมั่วหลีลั่ว ทุกคนต่างเสกคาถาธาตุไฟ เข่นฆ่ากับมนุษย์ทรายขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินไม่กล้าเสกคาถาธาตุไฟ จึงใช้เถาวัลย์พันมนุษย์ทรายที่เข้ามาใกล้ รอเถาวัลย์พันมนุษย์ทรายเต็มตัวจนขยับไม่ได้ จึงดึงก้อนอิฐฟาดไปอย่างแรง


 


 


ได้ยินเพียงเสียงโครมเสียงหนึ่ง ทรายสีเหลืองปลิวว่อน มนุษย์ทรายเพียงแต่ส่ายเล็กน้อย ร่างกายไม่ได้รับความเสียหาย


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟัน อัญเชิญกระบี่ชิงมู่ ร่ายรำเงากระบี่ออกมาในอากาศหลายเงา จากนั้นก็มีดอกไม้สดนับไม่ถ้วนที่เกิดจากปราณวิญญาณบินไปที่มนุษย์ทราย


 


 


ยามที่บินถึงหน้ามนุษย์ทราย ดอกไม้สดพวกนี้กระจายออกในทันใด กลีบดอกไม้แต่ละกลีบพร้อมด้วยปราณกระบี่สีเขียวหายเข้าไปในร่างมนุษย์ทราย


 


 


มนุษย์ทรายหยุดดิ้นรน จากนั้นร่างกายระเบิดออกมา กลายเป็นทรายสีเหลืองเป็นเม็ดๆ ตกลงไปในผืนทราย


 


 


เพียงแต่ทุกครั้งที่กำจัดมนุษย์ทรายหนึ่งคน ก็จะมีมนุษย์ทรายคนใหม่เกิดขึ้น ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


มั่วหลีลั่วหรี่ตาลง จิตตระหนักแผ่ออกรอบด้าน จากนั้นตะโกนว่า “เร็ว ทุกคนไปทางทิศตะวันตก อย่าพัวพันกับมนุษย์ทรายพวกนี้อีก”


 


 


ในเวลาเช่นนี้ เดิมทีทุกคนก็รับมือไม่ทันอยู่แล้ว ได้ยินคำพูดของมั่วหลีลั่วจึงพลางสู้รบพลางถอยไปทางทิศตะวันตก


 


 


หลังจากถอยไปทางทิศตะวันตกหลายลี้ มั่วหลีลั่วเห็นถ้ำทรายที่ลึกจนไม่เห็นก้นแห่งหนึ่งตามคาด จึงอดดีใจไม่ได้ “ทุกคน รีบๆ จู่โจมถ้ำทราย หากข้าคาดไม่ผิด นั่นก็คือตาค่ายกล!”


 


 


ผู้นำชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายนั้นเดิมทีก็บำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุไฟเป็นหลักอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นจึงปล่อยกระสุนไฟพวงหนึ่งใส่ถ้ำทรายอย่างไม่ลังเล


 


 


ค่ายกลห้าธาตุแปรผันเช่นนี้ สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาตาค่ายกล เมื่อหาเจอแล้วการทำลายกลับไม่ยาก


 


 


ผู้นำชุดดำเพิ่งซัดกระสุนไฟไปพวงหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงดังโครมเสียงหนึ่ง จากนั้นพื้นทรายทั้งผืนสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรงดุจแผ่นดินไหว


 


 


ยังไม่รอทุกคนได้สติ พื้นทรายแยกเป็นรูยักษ์ออกทันที กลืนกินทุกคนเข้าไป


 


 


“ว้าย ว้าย…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง


 


 


“หุบปาก!” ผู้นำชุดดำดุด่าว่า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวนั้นชะงักงัน แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เรา เรายังมีชีวิตอยู่!”


 


 


ไม่มีคนสนใจนางอีก หากแต่พิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัวกันอย่างตื่นตัว


 


 


มั่วชิงเฉินพบว่า พวกเขาอยู่บนแท่นที่เหมือนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง เพียงแต่สิ่งที่ห้อมล้อมแท่นไว้ไม่ใช่น้ำทะเล หากแต่เป็นหินหลอมเหลวที่เดือดพล่านไหลอยู่!


 


 


รอบๆ ที่ห่างจากแท่นหลายสิบจั้ง จะเห็นภูผาสีแดงลื่นเรียบล้อมรอบหนึ่ง ด้านบนมองไม่เห็นยอด ด้านล่างมองไม่เห็นก้น ระหว่างภูผาและแท่นมีก้อนหินสีแดงลอยอยู่เป็นก้อนๆ นอกนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดอีก


 


 


“ที่นี่คือที่ไหนอีก?” ผู้นำชุดดำสีหน้ายิ่งดูไม่ได้ขึ้นอีก


 


 


มั่วหลีลั่วเม้มปาก “พวกเรายังคงอยู่กลางค่ายกล นี่เป็นค่ายกลอัคคีในค่ายกลห้าธาตุ วิธีทำลายค่ายกลยังคงคือการหาตาค่ายกล”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงรีบถามว่า “ตาค่ายกลอยู่ที่ใดล่ะ?”


 


 


ค่ายกลในค่ายกลนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มั่วหลีลั่วที่อยู่ระดับสร้างรากฐานจะเข้าใจได้อีกแล้ว นางได้เพียงสันนิษฐานโดยอาศัยลักษณะเฉพาะและความเข้าใจของตนที่มีต่อค่ายกล “ที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คือที่ใดที่หนึ่งของภูผานั่น”


 


 


“ทว่า ภูผานี่ดูเช่นไรก็เหมือนกันไปหมดนี่นา!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองสีหน้าตื่นตระหนก จนถึงบัดนี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนได้สังเวยชีวิตแล้ว ใครจะรู้ว่าคนต่อไปจะใช่ตนหรือไม่ล่ะ


 


 


มั่วหลีลั่วเหลือบมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยต่อว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีที่ที่ต่างออกไป สหายเต๋าทุกท่าน ข้าเสนอแนะให้ทุกคนค้นหาด้วยกัน หากพบที่ที่ไม่ปกติจงชี้ให้ข้าดู ข้าค่อยตัดสินตามสถานการณ์”


 


 


“ทำตามที่สหายเต๋ามั่วว่ามา” ผู้นำชุดดำเอ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว คนคนนี้อาศัยที่ตนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ยามที่พูดกับทุกคนมักใช้น้ำเสียงออกคำสั่ง หากถูกกักอยู่ที่นี่ตลอดก็ช่างเถอะ หากออกไป เขาต้องเป็นคนเปลี่ยนหน้าทันทีแน่นอน ท่าทางต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าซะแล้ว


 


 


นึกถึงตรงนี้ จึงส่งเสียงทางจิตให้มั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอ พูดไปสองประโยค


 


 


ทั้งสองคนพยักหน้าแผ่วเบา แล้วเริ่มพิจารณาหน้าผาขึ้นมา


 


 


พลังสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรเกินคนธรรมดามาก โดยเฉพาะหลังสร้างรากฐานถอดร่างเนื้อคนธรรมดาไป จึงสามารถเห็นภาพมากมายที่คนธรรมดามองไม่เห็นเอาเสียเลย


 


 


ส่วนมั่วชิงเฉินเนื่องจากยามฝึกเข็มกล้วยไม้ปัดจุดตั้งแต่เยาว์วัยได้ฝึกพลังสายตาโดยเฉพาะมาก่อน ในด้านนี้จึงแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาสักหน่อย


 


 


ในเมื่อมั่วหลีลั่วบอกว่าภูผ่านี้ต้องมีที่ที่ต่างออกไป เช่นนั้นการค้นหาด้วยความอดทน ย่อมดีกว่าการอยู่เฉยๆ อย่างโง่ๆ


 


 


มั่วชิงเฉินหลับตาก่อน รอในใจสงบจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วหันสายตาไปที่ภูผา กลับไม่ได้มองภูผาไปมาในระดับสายตาเหมือนคนอื่น หากแต่มองด้านบนสุดและด้านล่างสุดโดยเฉพาะ


 


 


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองและชุดเขียวหมดความอดทนขึ้นมาก่อน เพราะอย่างไรเสียการตั้งสมาธิใช้สายตา เป็นเรื่องบั่นทอนกำลังมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มองไปทางไหนล้วนไม่ต่างกันนัก


 


 


ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดก็จะเห็นได้ว่าภูผานี้มีลวดลายตัดกันทุกสารทิศ ดูแล้วสับสนวุ่นวายไม่มีกฎเกณฑ์ ทว่ายามที่มั่วชิงเฉินมองไปด้านบนสุดทางภูผาด้านใต้ ทันใดนั้นสายตาสะดุดกึก ลวดลายตรงนั้นเป็นแฉก สุดท้ายตัดกันบนจุดที่มีขนาดเท่ากำปั้น และสีของจุดนั้นเข้มกว่าที่อื่นเล็กน้อย


 


 


“ศิษย์พี่มั่ว เจ้าดูตรงนั้น!” มั่วชิงเฉินยื่นมือชี้


 


 


“ตรงไหน?” มั่วหลีลั่วมองไปตามทิศทางที่นิ้วมือของมั่วชิงเฉินชี้ กลับมองไม่ออกว่ามีสิ่งผิดปกติ


 


 


“ก็คือตรงนั้น ด้านบนสุดด้านใต้” มั่วชิงเฉินเอ่ย


 


 


มั่วหลีลั่วส่ายศีรษะ “ข้ามองไม่เห็น ตรงนั้นมีอะไรหรือ มีอะไรไม่เหมือนกันหรือ?”


 


 


ทุกคนก็เขยิบเข้ามา แล้วมองไปตามๆ กัน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองโวยวายว่า “มองไม่เห็นอะไรเลยนี่นา” น้ำเสียงกลับสำรวมขึ้นมาก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสองคนก็ส่ายศีรษะ


 


 


มั่วหลีลั่วกลับเชื่อใจมั่วชิงเฉิน ถามว่า “ตรงนั้นมีอะไรไม่เหมือนกัน?”


 


 


มั่วชิงเฉินจึงเล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ฟัง มั่วหลีลั่วครุ่นคิดทีหนึ่งว่า “หากศิษย์น้องดูไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นตาค่ายกลแล้ว”


 


 


ทันใดนั้นผู้นำชุดดำเปิดปากว่า “นางพูดไม่ผิด ตรงนั้นเป็นเช่นนั้นจริงๆ”


 


 


ในใจกลับแอบตระหนก ตนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย อีกทั้งยังฝึกคาถาลับมาโดยเฉพาะ นี่ถึงสามารถมองเห็นได้ นางหนูน้อยที่ดูแล้วไม่มีอะไรโดดเด่นกลับสามารถพบก่อนก้าวหนึ่งได้อย่างไม่คาดคิด


 


 


ในเมื่อยืนยันว่าเป็นที่นั่นแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คือจะทำลายได้อย่างไร


 


 


มั่วหลีลั่วมองดูก้อนหินสีแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ในมือมีเครื่องมือที่รูปร่างเหมือนจานหมากรุกอันหนึ่งเพิ่มมา ด้านบนเต็มไปด้วยตัวหมากรุก


 


 


เห็นเพียงนางสองมือพลิกไปมาปัดหมากรุกอย่างรวดเร็ว เมื่อยามที่เสียงใสกังวานของหมากรุกเสียงสุดท้ายหยุดลง นางยิ้มละไม เอ่ยกับทุกคนว่า “หินลอยพวกนี้ดูแล้วไม่มีกฎเกณฑ์สิ้นดี แท้จริงแล้ววางตามตำแหน่งนพเก้า หากมีคนเดินตามที่ข้าชี้แนะ ก็จะสามารถไปถึงตรงนั้น เพียงแต่คนคนนี้จำเป็นต้องชำนาญคาถาธาตุน้ำ”


 


 


สิ้นเสียงพูดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงมองหญิงสาวชุดเขียวปราดหนึ่ง หญิงสาวชุดเขียวสีหน้าซีดเซียว หดไปอยู่ข้างหลัง


 


 


ผู้นำชุดดำสีหน้าเย็นชา เอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะแรกว่า “ถังซาน เจ้าไป”


 


 


“ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำตอบ


 


 


มั่วหลีลั่วชี้ไปที่แห่งหนึ่งว่า “เจ้าดูให้ดีนะ เริ่มเดินจากตรงนี้ ขอเพียงเดินไปตามที่ข้าบอกน่าจะไม่มีปัญหา ทว่าหากเดินผิดหนึ่งก้าว ก็ไม่รู้ว่าค่ายกลนี้จะขับเคลื่อนเช่นไรแล้ว”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำพยักหน้า ก้าวขึ้นเหยียบจุดเริ่มต้นที่มั่วหลีลั่วชี้ ก็ได้ยินมั่วหลีลั่วว่า “ตำแหน่งขั่น[1]ก้อนที่สามหมุนไปทางขวา ตำแหน่งคุน[2]ก้อนที่สองหมุนไปทางซ้าย ตำแหน่งเจิ้น[3]ก้อนที่ห้าหมุนไปทางขวา…”


 


 


ภายใต้การชี้แนะของมั่วหลีลั่ว ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำยิ่งเดินยิ่งสูง


 


 


“ตำแหน่งตุ้ย[4]ก้อนที่เจ็ดหันขวา…”


 


 


ในยามนี้เองเปลวไฟสายหนึ่งพุ่งขึ้นจากหินหลอมเหลวที่เดือดพล่าน พุ่งมาที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำยืนอยู่


 


 


เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนนั้นรีบกระโดดหลบขึ้น ในระหว่างที่รีบร้อนร่างกายกลับหันไปทางซ้าย


 


 


มั่วหลีลั่วสีหน้าเปลี่ยนทันที ยังไม่ทันได้เตือนก็เห็นหินสีแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ก้อนนั้นตกลงไปในหินหลอมเหลวที่เดือดพล่านตรงๆ ดั่งดาวตก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนนั้นได้เพียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งแล้วก็ไม่มีสุ้มเสียงแล้ว หินหลอมเหลวเดือดปุดๆ เป็นฟองใต้แท่น ท่ามกลางหินหลอมเหลวที่เดือดพล่านยังสามารถเห็นกระดูกขาวเป็นแท่งๆ รางๆ ได้ หลังจากนั้นอีก ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวที่ชำนาญคาถาธาตุน้ำสีหน้าซีดเซียวในพริบตา สีหน้าของคนอื่นก็ดูไม่ได้ถึงที่สุด


 


 


ปกติในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร น้อยนักที่จะเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าระดับก่อแก่นปราณเดินทาง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจึงนับว่ามีหน้ามีตาแล้ว ทว่าตั้งแต่มาถึงสถานที่ประหลาดนี้ ในพริบตาเดียวก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานถึงสามคนต้องทิ้งชีวิตไป ทำให้คนขวัญหนีดีฝ่อ


 


 


เห็นสายตาของทุกคนมองมา ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวส่ายศีรษะอย่างสุดชีวิตว่า “ข้าไม่ไหว ข้าไม่ไหว…”


 


 


เห็นผู้นำชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายบีบคั้นมา ในยามที่กำลังสิ้นหวังนี้เอง ทันใดนั้นได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งว่า “ให้ข้าเถอะ”


 


 


จากนั้นก็มีคนเดินขึ้นหน้ามา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นต้วนชิงเกอ


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตำแหน่งขั่น ในแผนผังแปดทิศ หมายถึง ทิศเหนือ ตำแหน่งแห่งน้ำ


 


 


[2] ตำแหน่งคุน ในแผนผังแปดทิศ หมายถึง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตำแหน่งแห่งดิน


 


 


[3] ตำแหน่งเจิ้น ในแผนผังแปดทิศ หมายถึง ทิศตะวันออก ตำแหน่งแห่งสายฟ้า


 


 


[4] ตำแหน่งตุ้ย ในแผนผังแปดทิศ หมายถึง ทิศตะวันตก ตำแหน่งแห่งทะเลสาบ

 

 

 


ตอนที่ 148

 

“ศิษย์พี่ชิงเกอ!” มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย


 


 


ต้วนชิงเกอยิ้มนิ่งเรียบว่า “อยู่ที่นี่ตลอดก็ไม่มีสิ่งใดดีขึ้น ก็ให้ข้าลองดูเถอะ”


 


 


ตามด้วยส่งเสียงทางจิตว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ตั้งแต่ที่ข้าไปเขารั่วสุ่ย ได้แก้ไขวิชายุทธ์ธาตุน้ำที่ไม่เลวชุดหนึ่ง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย”


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วพยักหน้า รากวิญญาณธาตุน้ำของต้วนชิงเกอแต่เดิมก็โดดเด่นอยู่แล้ว ไปถึงเขารั่วสุ่ยแก้ไขวิชายุทธ์ธาตุน้ำ ก็เป็นเรื่องในความคาดหมาย


 


 


ท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน ต้วนชิงเกอค่อยๆ ยืนที่จุดเริ่มต้นที่มั่วหลีลั่วชี้ให้ จากนั้นยิ่งเดินยิ่งสูงตามการชี้แนะของมั่วหลีลั่ว


 


 


ในระหว่างทาง เจอเหมือนที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเจอ มีมังกรไฟยาวๆ ระเบิดขึ้น แต่กลับถูกต้วนชิงเกอรับมืออย่างใจเย็นหลบพ้นไป แล้วเดินไปถึงก้อนหินสีแดงที่อยู่สูงที่สุดอย่างค่อยๆ


 


 


เดิมทีถึงตรงนี้ ก็ตรงกับจุดตรงกลางขนาดเท่ากำปั้นที่มั่วชิงเฉินเห็น ต้วนชิงเกอเพิ่งเหยียบขึ้นไปสงบจิตใจทีหนึ่ง ทันใดนั้นหินสีแดงใต้เท้าก้อนนั้นหมุนกลับ นางจึงล้มลงไปทั้งตัว


 


 


หินหลอมเหลวเดือดพล่านที่อยู่ข้างล่างราวกับรู้ ทันใดนั้นพ่นเปลวไฟออกมาหลายสาย และยังมีเสียงปูดๆ อันน่ากลัว


 


 


“ศิษย์พี่ชิงเกอ…”


 


 


“ศิษย์น้องต้วน!”


 


 


ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของพวกมั่วชิงเฉินสองคน เห็นเพียงต้วนชิงเกอสะบัดแส้ในมือออก พันหินสีแดงก้อนนั้นอย่างแม่นยำ มือออกแรง ยืมแรงเหวี่ยงสายนี้กระโดดขึ้นไปอีก


 


 


และในยามนี้ ทันใดนั้นก้อนหินที่ลอยอยู่อย่างสงบนิ่งแต่เดิมพวกนั้นชนมาที่ก้อนหินสีแดงใต้เท้าต้วนชิงเกอ


 


 


ทุกครั้งที่ชน ก้อนหินสีแดงใต้เท้านางก็จะแกว่งหนึ่งที ร่างกายของต้วนชิงเกอก็ส่ายไปส่ายมาตาม ท่าทางที่ส่ายไปส่ายมาจะตกลงไปแหล่ไม่แหล่ทำให้ผู้ที่พบเห็นอกสั่นขวัญแขวน


 


 


“ศิษย์น้องต้วน หาโอกาสโจมตีตาค่ายกลนั่น!” มั่วหลีลั่วเตือนเสียงดัง


 


 


ต้วนชิงเกอไม่มีเวลาตอบ พยายามรักษาสมดุลของร่างกาย นิ้วมือเริ่มขยับขึ้นมา


 


 


ในยามนี้เอง ทันใดนั้นเห็นก้อนหินสีแดงยักษ์ก้อนหนึ่งชนมาทางก้อนหินสีแดงที่ต้วนชิงเกออยู่ด้วยความเร็วยิ่ง


 


 


“ระวัง!” ท่ามกลางเสียงร้องของทุกคน ต้วนชิงเกอกัดริมฝีปากแน่น กระโดดขึ้นด้านบนทั้งตัว ในพริบตาที่นางออกห่าง ก้อนหินสีแดงยักษ์ก้อนนั้นชนก้อนหินสีแดงใต้เท้านางจนละเอียด


 


 


ในพริบตาที่ตกลงไป คาถาธาตุน้ำที่เตรียมไว้ฟาดไปที่จุดศูนย์กลางนั่น


 


 


จากนั้นเสียงโครมลอยมา ภูผาเริ่มพังทลาย ก้อนหินภูผาที่แตกออกนับไม่ถ้วนตกลงในสระหินหลอมเหลว หลังจากมืดฟ้ามัวดิน ทุกคนลืมตาขึ้น ก็พบว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไปอีกแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นต้วนชิงเกอปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน ถึงได้โล่งอก เริ่มพิจารณารอบๆ ขึ้นมา


 


 


ที่นี่ดูเหมือนเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม เสียงนกกระซิบ ข้างหนึ่งมีป่าดอกท้อที่บานกำลังงามผืนหนึ่ง อีกข้างหนึ่งน้ำใสไหลลงจากภูเขา ไหลลดเลี้ยวมาตามก้อนหินมันปลาบสีน้ำตาลอมเขียวลงมาถึงเชิงเขา สุดท้ายรวมกันเป็นหนองน้ำแห่งหนึ่ง


 


 


ปราณวิญญาณในหุบเขานี้เข้มข้นยิ่งนัก กระทั่งกลายเป็นหมอกวิญญาณอบอวลอยู่ภายใน ยิ่งทำให้ที่นี่ดูแล้วงดงามดุจดินแดนเซียน


 


 


“ปราณวิญญาณที่เข้มข้นดีจริง!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงถอนหายใจว่า


 


 


ทุกคนผ่านทะเลทรายและดินแดนหินหลอมเหลวมาแล้ว จู่ๆ มาถึงสถานที่ที่งดงามเช่นนี้ อีกทั้งมีปราณวิญญาณที่เข้มข้นเช่นนี้ชำระล้างภายใน จึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันใด


 


 


“สหายเต๋าทุกท่านอย่าชะล่าใจ ดูก่อนว่ามีอันตรายหรือไม่” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายเอ่ย


 


 


ทุกคนพยักหน้า แยกตัวออกสำรวจขึ้นมา ผ่านไปครึ่งชั่วยามรวมตัวกันอีกครั้ง ต่างไม่พบสิ่งใด


 


 


“สหายเต๋ามั่ว เจ้ามีความคิดเช่นไร?” ทันใดนั้นผู้นำชุดดำถามขึ้น


 


 


มั่วหลีลั่วเหลือบมองเขาปราดหนึ่งอย่างประหลาดใจ เอ่ยว่า “ข้าไม่เห็นร่องรอยของค่ายกล”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวสีหน้ายินดี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดพวกเราก็ทำลายค่ายกลออกมาแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วหลีลั่วหัวเราะฟู่ว่า “อย่าคิดง่ายเกินไป สถานการณ์ตอนนี้มีสองชนิด ชนิดหนึ่งคือเดินออกจากค่ายกลแล้วจริงๆ ส่วนอีกชนิดหนึ่ง…”


 


 


พูดถึงตรงนี้นางมองทุกคน เอ่ยต่อว่า “อีกชนิดหนึ่งก็คือพวกเรายังคงอยู่ในค่ายกล เพียงแต่ค่ายกลนี้แยบยลเสียจนความสามารถของข้าในตอนนี้ไม่อาจหาช่องโหว่ได้แม้แต่น้อยแล้ว”


 


 


สิ้นเสียงพูด ทุกคนก็เงียบงันขึ้นมา นอกจากมั่วหลีลั่ว คนอื่นอย่างมากก็รู้ค่ายกลแค่งูๆ ปลาๆ หากยังอยู่ในค่ายกลจริง เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางโดยสิ้นเชิง ได้เพียงแก้ปัญหาไปตามสถานการณ์แล้ว


 


 


ผู้นำชุดดำทำลายความเงียบงันเป็นคนแรกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เราพักผ่อนที่นี่สองสามวันก่อน ไหนๆ ปราณวิญญาณเหลือล้นนี่ไม่ใช่ของปลอม”


 


 


ข้อเสนอแนะนี้ถูกใจทุกคนพอดี บัดนี้ทุกคนต่างเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ต้องการการผ่อนคลายจริงๆ


 


 


ผู้นำชุดดำเปลี่ยนหัวข้อว่า “ทว่าเรายังไม่รู้ความจริงที่นี่ ดังนั้นยังคงไม่อาจชะล่าใจได้ ข้าเสนอแนะให้สหายเต๋าทุกท่านบอกสมญานามและทักษะที่ชำนาญคราหนึ่ง อย่างไรเสียไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่นานเท่าใด หากพบเหตุการณ์กะทันหันอันใด จะได้จัดการได้ถูกต้อง”


 


 


นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชมพูและผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสองคนที่สิ้นชีพแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแห่งนิกายเหอฮวนรวมทั้งหลิวหลิงจือก็เหลือเพียงสี่คนแล้ว


 


 


ส่วนทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำ จึงมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง และผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางคนหนึ่ง


 


 


ภายใต้การบอกเป็นนัยของผู้นำชุดดำ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางคนนั้นว่า “ถังเอ้อร์ ชำนาญคาถาธาตุดิน”


 


 


“ถังอี ชำนาญคาถาธาตุไฟ” ผู้นำชุดดำพูดพลางหันมามองพวกมั่วชิงเฉินสามคน


 


 


ผ่านการไปมาหาสู่ในช่วงนี้ เขาสังเกตนานแล้วว่าหญิงสาวสามคนนี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ย่อมเห็นความสำคัญขึ้นมากเป็นธรรมดา


 


 


มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าแซ่มั่ว ไม่ชำนาญคาถาอันใดเป็นพิเศษ ก็แค่ศึกษาค่ายกลเพียงคร่าวๆ”


 


 


“ข้าแซ่ต้วน ชำนาญคาถาธาตุน้ำ เอ่อ…พอรู้การแพทย์งูๆ ปลาๆ” ต้วนเชิงเกอเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


นี่เป็นสิ่งที่พวกนางสามคนปรึกษากันไว้แล้ว เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด ในด้านพลังการต่อสู้ปิดบังไว้บ้างจะดีกว่า กลับเป็นความสามารถด้านสนับสนุนพวกนี้สามารถเปิดเผยสักหน่อยได้ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่นานเท่าใด ในด้านนี้หากมีสิ่งที่ถนัดกลับจะปลอดภัยเสียหน่อย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายเอ่ยตามคาดว่า “ไม่นึกเลยว่าสหายเต๋าต้วนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา? ช่างนึกไม่ถึงจริงๆ”


 


 


ในใจแอบคิดว่าหญิงสาวคนนี้ยามทำลายค่ายกลเมื่อครู่รับมือได้อย่างใจเย็น ไม่นึกเลยว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยา ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ


 


 


ต้วนชิงเกอยิ้มแผ่วเบาว่า “ไม่อาจรับสมญานามผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาได้ เพียงแต่เพิ่งเริ่มศึกษาเท่านั้น”


 


 


เห็นถังอีมองมาที่ตน มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงใสว่า “ข้าก็แซ่มั่ว แม้ไม่ใช่ตัวอักษรเดียวกับศิษย์พี่มั่ว ทว่าเรียกขึ้นมาจะไม่สะดวก สหายเต๋าทุกท่านเรียกข้าสิบหกแล้วกัน อืม…ข้าชำนาญคาถาธาตุไม้ แล้วก็มีความรู้ด้านหลอมโอสถงูๆ ปลาๆ”


 


 


“อะไรนะ! ไม่นึกเลยว่าสหายเต๋าสิบหกจะหลอมโอสถเป็น?” ไม่กี่คนนี้ถามขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าฉายแววยินดี สำหรับชื่อของนางกลับไม่มีคนสนใจ ใครก็รู้ว่านี่เป็นเพียงสมญานามเท่านั้น ใครจะไปสนใจจริงเท็จล่ะ


 


 


ผู้นำชุดดำรู้สึกดีใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในบรรดาคนเหล่านี้ยังมีนักหลอมโอสถคนหนึ่ง ในหุบเขานี้ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยม หญ้าทิพย์ดอกไม้อัศจรรย์หลากหลายชนิด หากมีนักหลอมโอสถอยู่ ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มปัญหาเรื่องโอสถแล้ว


 


 


นึกถึงตรงนี้ก็เกิดตกใจขึ้นมาอีก ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสามคนนี้ดูแล้วอายุน้อยเช่นนี้ ไม่เพียงยามสู้กันด้วยคาถาแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานนิสัยที่ดีเยี่ยมในทุกแห่งหน ไม่คิดว่ายังต่างมีสิ่งที่ถนัด เกรงว่าประวัติความเป็นมาของพวกนางคงไม่ธรรมดาแน่นอน


 


 


สามสาวแห่งนิกายเหอฮวนมองตากันปราดหนึ่ง ตลอดมาพวกนางได้รับการเอาใจจากผู้บำเพ็ญเพียรชายจนชินแล้ว ไม่คิดว่าบัดนี้ กลับถูกนางหนูสามคนนั้นกดศีรษะไว้ จึงเกิดกลัดกลุ้มในใจ


 


 


“ข้าชื่อหวังเยี่ยนเย่ว์ ชำนาญคาถาธาตุทอง” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงพูดจบ เหลือบมองผู้นำชุดดำปราดหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไร ตนก็ไม่อาจล่วงเกินคนคนนี้ หากสานสัมพันธ์ได้ดี ไม่แน่เมื่อออกไปแล้ว ก็อาจมีทางรอดได้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “ข้าชื่อหลิ่วชุนหยา ชำนาญคาถาธาตุน้ำ”


 


 


กลับลืมแล้วว่าตนผมร่วงไปไม่น้อย บวกกับเสียงอ่อนหวานนี้แล้วช่างน่าสยองนัก


 


 


“ข้าชื่อหวงเจวียน ชำนาญคาถาธาตุไฟ” หญิงสาวชุดเหลืองเอ่ย


 


 


หลิวหลิงจือที่เหลืออยู่ยืนอยู่เงียบๆ เปิดปากท่ามกลางสายตาทุกคนว่า “หลิวหลิงเอ๋อร์ ไม่ชำนาญสิ่งใดเป็นพิเศษ”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบมองนางปราดหนึ่ง แล้วเม้มปาก


 


 


ผ่านการแนะนำตัวอย่างง่ายๆ ทุกคนต่างคนต่างเริ่มปรับลมหายใจขึ้นมา


 


 


เป็นเช่นนี้ผ่านไปหลายวัน ในหุบเขายังคงเงียบสงบไร้คลื่นลม ทุกคนค้นหาทุกวัน ยังคงหาทางออกไม่พบ


 


 


มั่วชิงเฉินพบว่าบำเพ็ญเพียรในสภาพแวดล้อมที่ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมนี้ ความเร็วต้องเร็วกว่าข้างนอกมาก คนอื่นๆ ก็เช่นกัน เป็นเช่นนี้นานวันเข้า ทุกคนจึงสร้างกระท่อมที่นี่ขึ้นเสียเลย แล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรขึ้นมา


 


 


บนตัวมั่วชิงเฉินมีสวนสมุนไพรพกพา จึงแกล้งอาศัยโอกาสการหลอมโอสถให้ทุกคนโดยใช้สมุนไพรทิพย์ในหุบเขา แอบลองหลอมโอสถรวมจิต หลังจากล้มเหลวนับร้อยครั้ง สิ้นเปลืองสมุนไพรทิพย์หายากล้ำค่านับไม่ถ้วน ในที่สุดโอสถรวมจิตก็ถูกนางหลอมออกมาจนได้


 


 


เป็นดังที่นางคาดเดาไว้จริงๆ ตันเถียนของนางสามารถรับปราณวิญญาณที่แฝงอยู่ในโอสถรวมจิต กินโอสถรวมจิต การเพิ่มขึ้นของตบะเร็วกว่ากินโอสถรวมวิญญาณมาก


 


 


ในตัวนางเดิมก็มีค่ายกลรวมวิญญาณชั้นสูงอยู่แล้ว อีกทั้งกินโอสถรวมจิต บวกกับที่สภาพแวดล้อมที่ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมที่นี่ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรหนึ่งวันไปไกลถึงพันลี้ ไม่คิดว่าใช้เวลาเพียงหนึ่งปี ก็บำเพ็ญเพียรถึงยอดของระดับสร้างรากฐานระยะต้น


 


 


ความเร็วเช่นนี้ในสายตาคนอื่น ต่างแอบตกใจ เพียงแต่คนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ ได้แต่แอบเดาว่าพรสวรรค์ของนางต้องโดดเด่นกว่าคนอื่นมากเป็นแน่


 


 


มั่วชิงเฉินกลับไม่แยแส นางอายุยี่สิบสองก็ก้าวเข้าระดับสร้างรากฐานระยะต้น จากนั้นปูรากฐานให้มั่นคงมาตลอด จนบัดนี้พูดไปก็มีแปดปีแล้ว บำเพ็ญเพียรถึงยอดระดับสร้างรากฐานระยะต้น ก็ไม่นับว่าแปลก


 


 


เวลาผ่านไปอีกสองปี ในที่สุดมั่วหลีลั่วก็ทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะกลางได้อย่างราบรื่น ทำให้สายตาของสามสาวแห่งนิกายเหอฮวนที่มองนางมีความยำเกรงและยังแฝงไว้ด้วยความอิจฉา


 


 


อยู่ในหุบเขาสามปี ต่อให้ที่นี่งดงามดุจแดนเซียนปราณวิญญาณเข้มข้น ทุกคนก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา


 


 


สมุนไพรทิพย์ที่สามารถหลอมโอสถรวมวิญญาณได้เด็ดจนเกลี้ยงแล้ว สมุนไพรทิพย์ที่เหลืออยู่ต่อให้ล้ำค่าสักหน่อย ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะใช้ได้ในยามน้ำได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วความเร็วในการบำเพ็ญเพียรจึงจำต้องช้าลงแล้ว


 


 


ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็คือการที่ถูกกักในที่เดียวกันเป็นเวลานาน ไม่เป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรทางสภาพจิตใจยิ่งนัก อย่างไรเสียการถูกบังคับให้กักตนบำเพ็ญเพียรเช่นนี้กับการเลือกด้วยตนเอง นั้นไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน


 


 


มั่วชิงเฉินยิ่งเป็นเช่นนี้ นางถึงยอดระดับสร้างรากฐานระยะต้นเมื่อสองปีก่อน ติดมาได้สองปีแล้ว ไม่เหมือนมั่วหลีลั่วที่เพิ่งทะลวง จะได้ทำให้เขตแดนมั่นคงพอดี และก็ไม่เหมือนต้วนชิงเกอที่แต่เดิมเพียงเพื่อหลบเลี่ยงหรวนหลิงซิ่วที่คอยหาเรื่องนางบ่อยๆ จึงหนีลงเขา ยังห่างจากคอขวดการบำเพ็ญเพียรอีกไกลนัก


 


 


มั่วชิงเฉินที่ไม่ว่าอย่างไรตบะการบำเพ็ญเพียรก็ไม่เพิ่มขึ้นนั่งอยู่ข้างสระน้ำอย่างหมดอาลัยตายอยาก จึงหยิบก้อนหินติดมือขึ้นมาโยนลงสระ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป


 


 


พริบตาเดียวออกจากเขาสามปีกว่า ไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านจะระลึกถึงตนหรือไม่?


 


 


นึกถึงท่าทางสงบเยือกเย็นยามปกติของคนคนนั้น จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็อารมณ์เสียที่ตนคิดเหลวไหลขึ้นมา แล้วโยนหินลงไปในสระอย่างแรง


 


 


ที่นางไม่ได้สังเกตคือ หินก้อนนั้นหล่นลงในน้ำวนในสระที่ไม่รู้ปรากฏขึ้นเมื่อไรพอดี จากนั้นก็ได้ยินเสียงซ่าเสียงหนึ่ง มีอะไรใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งพึ่งขึ้นมาจากสระ อ้าปาก กลืนมั่วชิงเฉินลงไป!


ตอนที่ 149 ภูเขาสมบัติตรงหน้า

 

ตัวมหึมานั้นความเร็วเร็วมากเหลือเกิน น่าสงสารมั่วชิงเฉินแม้แต่เสียงร้องเรียกยังไม่ทันได้เปล่งออก ก็ตกเข้าไปในเหวลึกไม่เห็นก้นแล้ว


 


 


ในอุโมงค์อันมืดมิด นางรู้สึกว่าร่างกายถูกกระแทกไปมา ชนไปชนมาเช่นนี้อยู่พักใหญ่ อุโมงค์ยาวๆ เส้นนั้นขยายขึ้นในทันใด มั่วชิงเฉินที่ชินกับความมืดแล้วพอกล้อมแกล้มมองเห็นได้ ข้างล่างเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ข้างในคือของเหลวสีแดงเข้มถาโถมซัดสาดอยู่


 


 


นางที่นึกไปถึงสระหินหลอมเหลวทันที หยิบกระบี่บินออกมาอย่างว่องไวเสียบเข้าที่ผนังอุโมงค์อย่างแรง


 


 


กระบี่บินผลุบเข้าไป จากนั้นก็เด้งออกมาอีก


 


 


ล้อเล่นน่ะ ไม่นึกเลยว่าผนังอุโมงค์นี้จะมีความยืดหยุ่น!


 


 


ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน มั่วชิงเฉินโยนเถาวัลย์ออกมาเส้นหนึ่ง พันตุ่มที่ยื่นออกมาอันหนึ่งบนผนังอุโมงค์ไว้


 


 


เสียงดัง ‘ชวู่’ เสียงหนึ่ง ปลายรองเท้าที่เลอะของเหลวสีแดงเข้มของมั่วชิงเฉินถูกกัดเปื่อยทันที ความเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกเจาะรูส่งผ่านมาจากใต้ฝ่าเท้า


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ต๋อม’ เสียงหนึ่ง ถุงเก็บวัตถุที่ผูกไว้ที่เอวนางมาตลอดก็ตกลงไปทั้งเช่นนี้อย่างไม่มีวันหวนกลับ


 


 


มั่วชิงเฉินเบิกตาโตทันที จ้องสระน้ำสีแดงเข้มที่มองไม่เห็นก้น รู้สึกอยากร้องไห้โฮอย่างแทบทนไม่ไหว


 


 


ถุงเก็บวัตถุใบนี้แม้ไม่ได้เก็บสมุนไพรทิพย์ล้ำค่าพวกนั้น แต่กลับเก็บหินวิญญาณทั้งหมดของนาง โอสถรวมจิตสองสามขวดที่หลอมใหม่ โอสถต่างๆ ที่ใช้เป็นประจำ ยังมีของเบ็ดเตล็ดเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด


 


 


ยังมีอาวุธเวทก้อนอิฐที่นางยิ่งใช้ยิ่งถนัดมือ อาวุธเวทชามใหญ่ที่นางพอใจมาก กระบี่ชิงมู่ที่อาจารย์มอบให้ ยังมีป้ายประจำตัวนาง…


 


 


มั่วชิงเฉินยิ่งคิดยิ่งเสียดาย มองดูของเหลวน่าสยดสยองใกล้แค่เอื้อมแทบเท้า แล้วมองดูตนที่แขวนอยู่บนผนังอย่างน่าสงสารอีก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ถึงมาอยู่ที่สถานที่ประหลาดนี้ได้


 


 


หรือว่า…คิดถึงใครบางคนสักหน่อยก็ต้องถูกลงโทษหรือ?


 


 


ขณะนี้มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าตนตกเข้าไปในท้องอสูรประหลาด เพียงแต่นึกว่าตนตกเข้าไปในค่ายกลอะไรอีกแล้ว


 


 


แม้เถาวัลย์นี้ปลุกขึ้นจากเมล็ดจริงๆ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองปราณวิญญาณมากนัก ทว่าหากเป็นเช่นนี้ตลอดไปก็ไม่ดี นางเงยหน้ามองดู ด้านบนมืดสนิทมองไปไม่มีที่สิ้นสุด หรือว่าการทำลายค่ายกลคือต้องปีนขึ้นไป?


 


 


นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินตัดสินใจลองสักครา ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่านั่งรอความตาย


 


 


นางมือหนึ่งจับเถาวัลย์ไว้ อีกมือหนึ่งปล่อยเถาวัลย์ออกไปอีกเส้นหนึ่ง พันไปที่ที่ยื่นออกมาที่อยู่ค่อนข้างสูงสักหน่อย จากนั้นลองดึงดูรู้สึกว่าแน่นดีแล้ว จึงปีนขึ้นไปตามเถาวัลย์


 


 


เช่นนี้ทีละก้าวๆ มั่วชิงเฉินค่อยๆ ห่างจากสระน้ำสีแดงเข้มแล้ว


 


 


ทว่าในยามที่นางปีนขึ้นไปตามเถาวัลย์อีกครั้งนั่นเอง ทันใดนั้นผนังอุโมงค์ทั้งอุโมงค์แกว่งไกวขึ้นมาไม่หยุด สระน้ำด้านล่างเนื่องจากแกว่งไกวไปมา ของเหลวสีแดงเข้มกระฉอกไปทั่ว ต่อให้นางห่างออกมาไกลมากแล้ว ยังคงถูกกระฉอกไม่น้อย


 


 


มั่วชิงเฉินที่ไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวดจับเถาวัลย์ไว้แน่น ทว่าหลังจากการแกว่งไกวที่ยิ่งรุนแรงอีกครั้ง ไม่รู้สิ่งที่ยื่นออกมานั้นเพราะเหตุใดจึงแกว่งไกวทีหนึ่งอย่างไม่คาดคิด เถาวัลย์หลุดออกมาในทันใด นางจึงตกลงไปข้างล่างทั้งตัวอีกครั้ง


 


 


เมื่อยามที่ปล่อยเถาวัลย์พันกับสิ่งที่ยื่นออกมานั้น มั่วชิงเฉินพบอย่างจำใจว่าที่นางพันไว้ยังคงเป็นอันที่พันไว้เมื่อแรกสุด นางกลับลงมาถึงสถานที่ที่ห่างจากของเหลวสีแดงเข้มด้านล่างเพียงไม่กี่ฉื่ออีกครั้ง


 


 


สวรรค์ ท่านล้อข้าเล่นหรือเจ้าคะ? มั่วชิงเฉินแหงนหน้าพลาง คิดด้วยน้ำตานองหน้า


 


 


ทว่าเรื่องราวไม่หยุดเพียงเท่านี้ ในเวลาที่นางแหงนหน้ามองด้านบนนั่นเอง ก็เห็นของสิ่งหนึ่งตกลงมาจากข้างบนกับตา ‘ต๋อม’ เสียงหนึ่งตกลงไปกลางสระ น้ำกระเซ็นขึ้นมานับไม่ถ้วน


 


 


โชคดีที่นางเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ดึงพลังวิญญาณออกมาไม่น้อยเพิ่งความแข็งแกร่งให้ม่านวิญญาณคุ้มกาย นี่ถึงเลี่ยงความทุกข์ที่ถูกของเหลวเผาร่างได้


 


 


จากนั้นมั่วชิงเฉินสลายพลังวิญญาณไป อยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ไม่ถึงสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้จริงๆ นางไม่กล้าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณแม้แต่น้อยเด็ดขาด


 


 


ดีที่ผู้บำเพ็ญเพียรเดิมทีก็มีม่านวิญญาณคุ้มกายเกิดขึ้นด้วยตัวเองอยู่แล้ว ต้องการเพียงพลังวิญญาณเพียงน้อยยิ่งในการค้ำจุน แม้ทนการกัดกร่อนของของเหลวนี้ไม่ไหว แต่ก็สามารถลดพิษสงลงบ้าง


 


 


มั่วชิงเฉินจ้องสิ่งที่ตกลงในสระน้ำสีแดงเข้มเขม็ง ถึงพบว่าไม่คิดเลยว่าคือปลาประหลาดรูปร่างใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง


 


 


ปลาประหลาดนั่นชนพล่านไปทั่วด้วยความเจ็บปวด กระโดดขึ้นมาชนไปที่ผนังอุโมงค์อย่างแรง ถูกเด้งกลับมาตกลงไปในน้ำใหม่ตามคาด ทรมานอยู่เช่นนี้สักครู่ แล้วจมลงในสระน้ำไม่เคลื่อนไหวแล้ว


 


 


ศพของปลาประหลาดกร่อนทีละนิดๆ ด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตา เลือดเนื้อค่อยๆ หลุดไปกลายเป็นก้างปลามหึมาทั้งโครง หลังจากนั้นอีก ก้างปลานั้นก็กระจายออกในสระน้ำ ร่องรอยหายไปอย่างช้าๆ


 


 


มั่วชิงเฉินสูดลมเย็นเข้าอึดหนึ่ง จับเถาวัลย์ในมือแน่นขึ้นอีก


 


 


ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม มีสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ น้อยๆ ตกลงมาอีก มั่วชิงเฉินพบว่าพวกนี้ล้วนเป็นปลา ถูกของเหลวกัดกร่อนอย่างไม่มีข้อยกเว้น


 


 


เมื่ออยู่นานเข้า มั่วชิงเฉินค่อยๆ รู้สึกว่าหายใจไม่ออก ของเหลวสีแดงนั้นแม้ไม่ถูกตัวนาง ทว่านางกลับรู้สึกว่ายิ่งนานยิ่งร้อนขึ้น


 


 


รู้สึกได้ว่าพละกำลังค่อยๆ ถดถอย มั่วชิงเฉินแอบร้อนรนในใจ หรือว่าสุดท้ายตนก็ต้องเหมือนปลาประหลาดพวกนั้น ตกลงไปในของเหลวสีแดงเข้มประหลาดนั่น กลายเป็นโครงกระดูกโครงหนึ่ง?


 


 


นึกถึงวิธีการตายที่น่าสยดสยองนั่น มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะอย่างแรง ไม่ได้ นางจะไม่ตายที่นี่เด็ดขาด!


 


 


เลียริมฝีปากที่แห้งผาก มั่วชิงเฉินดื่มสุราในขวดน้ำเต้าสุราอึดหนึ่ง ยังดีของวิเศษนี่ยังอยู่


 


 


เมื่อสุราลงท้อง มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่ามีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย นางกัดฟัน ปล่อยเถาวัลย์ออกอีกครั้ง ปีนขึ้นไปทีละนิดๆ เฉกเช่นก่อนหน้านี้


 


 


ในระหว่างนี้ยังคงมีการแกว่งไกวเป็นระยะ มั่วชิงเฉินที่เตรียมใจไว้แล้วจับเถาวัลย์ไว้สุดชีวิต หากหลุดออกเมื่อใดก็พันเข้าไปใหม่ในชั่วอึดใจ ในที่สุดก็ยิ่งปีนยิ่งสูงขึ้นอย่างช้าๆ และยากลำบาก


 


 


นอกจากการรบกวนจากการแกว่งไกว สิ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินทรมานที่สุดก็คือ ยังมีสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตกลงมาเป็นระยะๆ มาพร้อมความปั่นป่วนเหมือนน้ำป่าไหลหลากก็ไม่ปาน พุ่งผ่านบนร่างนางหรือข้างๆ โดยตรง


 


 


สิ่งมีชีวิตพวกนั้นยิ่งประหลาดพันลึก บางทีเป็นปลายักษ์รูปร่างประหลาด บางทีเป็นกุ้ง กระทั่งนางยังเห็นอสูรปีศาจปูยักษ์อย่างน้อยอยู่ชั้นสองตัวหนึ่งตกลงมากับตา ในพริบตาที่ตกลงไปในสระได้กลายเป็นปูแม่น้ำตัวใหญ่แดงทั่วน่ากิน


 


 


ชิมรสเค็มและคาวในปาก มั่วชิงเฉินเริ่มสงสัยว่าที่นี่คือถ้ำใต้ทะเลบางแห่ง


 


 


ในที่สุดหลังจากการปีนอย่างยากลำบากมาสิบกว่าชั่วยาม นางพบสถานที่ที่ต่างออกไปแล้ว


 


 


ปลายผนังอุโมงค์ข้างหนึ่ง มีบอลกลมขนาดเท่าอ่างน้ำลูกหนึ่ง ส่องรัศมีนุ่มลึก


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกปีติในใจ มีที่ที่ผิดปกติ ไม่แน่ก็อาจมีหวังได้ออกไป


 


 


นางปีนไปถึงบอลกลมนั่นอย่างไม่ลังเล แล้วพิจารณาอย่างละเอียด


 


 


พื้นผิวของบอลกลมเป็นมันเงา ดูเหมือนหุ้มด้วยเมือกใสชั้นหนึ่ง ที่แปลกที่สุดคือ มันหดอย่างไม่หยุดอย่างไม่คาดคิด ทุกครั้งที่หด ก็จะมีของเหลวสีเขียวดำไหลลงไปตามผนังอุโมงค์


 


 


หรือว่า สิ่งนี้จะมีชีวิต?


 


 


แอบระแวงพลาง มั่วชิงเฉินจับกระบี่บินลองแหย่ดู


 


 


เปรียบดั่งแหย่รังผึ้งก็ไม่ปาน มั่วชิงเฉินได้ยินเสียงคำรามโหยหวนเสียงหนึ่ง พร้อมด้วยการกวัดแกว่งอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดินไปทั่วผนังอุโมงค์ทั้งสาย


 


 


เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเพียงแค่แทงบอลกลมนี้ทีหนึ่ง สภาพแวดล้อมทั้งหมดจึงระส่ำระสายขึ้นมา?


 


 


ในชั่วแวบหนึ่ง มั่วชิงเฉินคาดเดาถึงสิ่งที่น่าตกใจ หรือว่า หรือว่าสถานที่ที่ตนอยู่ไม่ใช่ถ้ำใต้ทะเลใดๆ หากแต่อยู่ในร่างกายของอสูรประหลาดบางอย่าง!


 


 


ทว่านางไม่ทันได้คิดมากแล้ว ตามการกวัดแกว่งที่ยิ่งแกว่งยิ่งรุนแรง นางที่ร่างกายอ่อนเพลียอยู่แล้วหลุดออกจากเถาวัลย์ในทันใด แทบจะเป็นปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึก มั่วชิงเฉินจับกระบี่บินในมือแทงไปที่บอลกลมอย่างสุดกำลัง


 


 


พร้อมด้วยเสียงคำรามสะเทือนแก้วหูแทบแตก มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ว่ามีพลังสายหนึ่งเหวี่ยงตนออกไป จากนั้นตกลงมาดัง ‘ผลัวะ’ เสียงหนึ่ง หน้ามืดตามัวหมดสติไป


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด มั่วชิงเฉินค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา นางขยับตัวแผ่วเบาทีหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส พลังวิญญาณในกายโกลาหล อาการสาหัสอย่างคาดไม่ถึง


 


 


นางขยับมือช้าๆ ยื่นไปที่ถุงเก็บวัตถุที่เก็บแนบตัวไว้ ล้วงขวดหยกออกมาใบหนึ่ง ในนั้นเก็บโอสถคงสภาพที่ไม่เคยใช้มาก่อน


 


 


เสียง ‘ผลัวะ’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ขวดหยกที่ใส่โอสถคงสภาพตกลงไป มือของมั่วชิงเฉินก็ห้อยลงไปอย่างหมดแรง


 


 


ยามนี้นางไม่มีแรงแม้แต่จะยิ้มระทม กัดริมฝีปากไว้แน่น เขยิบศีรษะอย่างยากลำบากเข้าไปใกล้ขวดหยก ใช้ปากกัดจุกปิดขวดออก กลืนโอสถคงสภาพลงไปเม็ดหนึ่ง


 


 


โอสถลงท้อง มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าอาการบาดเจ็บเสถียรลง พละกำลังค่อยๆ ฟื้นฟู


 


 


นางลุกขึ้นนั่งทันที หาขวดหยกอีกใบหนึ่งออกจากถุงเก็บวัตถุ สิ่งที่เก็บอยู่ข้างในคือโอสถย้อนอายุระดับสุดยอด


 


 


มั่วชิงเฉินมีนิสัยเก็บของล้ำค่าไว้ในถุงเก็บวัตถุใบนี้เสมอมา ในนี้รวมถึงโอสถระดับสุดยอดที่หลอมออกมาได้เป็นครั้งคราว


 


 


โอสถเช่นโอสถรวมวิญญาณ โอสถย้อนอายุประเภทนี้เดิมทีเป็นโอสถที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร ทว่าเมื่อคุณภาพมาถึงระดับสุดยอดแล้ว ก็จะมีฤทธิ์ยาไม่ธรรมดา


 


 


กินโอสถย้อนอายุลงไป มั่วชิงเฉินเริ่มหลับตารักษาอาการบาดเจ็บ ไม่ใช่นางไม่มีใจระมัดระวัง หากแต่ด้วยสถานการณ์ตรงหน้า ผู้บำเพ็ญเพียรหรืออสูรปีศาจที่ไหนสักคนหนึ่งก็ฆ่านางได้แล้ว นอกจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้วนางไม่มีทางเลือกอื่น


 


 


เป็นเช่นนี้ผ่านไปสามวันติดต่อกัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ลืมตาขึ้นแล้ว


 


 


โอสถคงสภาพมหัศจรรย์ตามคาด อาการบาดเจ็บสาหัสเพียงนั้นไม่คิดว่านางจะฟื้นฟูจนเกือบเป็นปกติแล้ว


 


 


ร่างกายฟื้นฟูแล้ว ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็สามารถพิจารณาสภาพแวดล้อมที่อยู่ได้


 


 


สิ่งที่เห็นคือทะเลสีครามผืนหนึ่ง ใต้เท้าคือหาดทรายสีทองนุ่มละเอียด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางสนใจ มั่วชิงเฉินจ้องเจ้าตัวมหึมาที่หมอบอยู่บนหาดทรายเขม็ง น้ำทะเลซัดขึ้นมาเป็นระลอกๆ แล้วถอยลงไปอีก ซัดร่างกายของมัน ส่วนมันกลับไม่ขยับเขยื้อนไร้ซึ่งสุ้มเสียง  


 


 


อสูรประหลาดที่เหมือนปลานี้ กะด้วยสายตาอย่างน้อยกว้างร้อยสิบจั้ง ความยาวยิ่งยากจะประมาณการได้ เพราะว่าตายไปแล้วหลายวัน ดูแล้วแข็งทื่ออยู่บ้าง ทว่ากลับยังคงแผ่พลานุภาพอันแข็งแกร่งออกมา


 


 


มั่วชิงเฉินเข้าใกล้อย่างช้าๆ สีหน้ายิ่งซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ พลานุภาพของปลาประหลาดนี้แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้นางยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกกดดัน หากคาดไม่ผิด อย่างน้อยมันเป็นอสูรปีศาจชั้นห้า!


 


 


อสูรปีศาจชั้นห้าเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อนแก่นปราณระยะต้น มั่วชิงเฉินไม่กล้าเชื่อเอาเสียเลยว่าอสูรปีศาจเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะตายในมือตน


 


 


หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ วัตถุดิบบนตัวของอสูรปีศาจนี้คงราคาไม่ธรรมดากระมัง?


 


 


นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินถือกระบี่บินแทงไป กลับพบว่าปลาประหลาดตัวนี้ต่อให้สูญเสียพลังวิญญาณคุ้มกาย ผิวด้านนอกกลับยังคงลื่นปรื๊ด แทงไม่ขาดเอาเลย


 


 


กระบี่บินนี้เป็นอาวุธเวทระดับกลาง เป็นเล่มที่ดีที่สุดในจำนวนสิบกว่าเล่มที่ได้จากแดนลี้ลับหุบเขาโยวเล่อเมื่อปีนั้น ส่วนนางนอกจากกระบี่บินเล่มนี้ อาวุธเวทที่ใช้เป็นประจำล้วนตกลงไปในท้องปลาตามถุงเก็บวัตถุใบนั้นแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูถุงเก็บวัตถุอีกสองใบอย่างไม่ตายใจ ใบหนึ่งข้างในเก็บสมุนไพรทิพย์มากมายหลากหลายชนิด ล้วนอายุมากกว่าพันปี อีกใบหนึ่งข้างในเก็บโอสถคงสภาพ วัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถอายุวัฒนะ หุ่นเชิดวั่งชวน กระทั่งยังมีคัมภีร์เคล็ดกระบี่พื้นฐานที่อาจารย์ให้นางไว้ เป็นของต่างๆที่มีค่าที่สุดในใจนาง แต่เฉพาะเจาะจงไม่มีอาวุธเวทที่สามารถใช้ในการโจมตีได้!


 


 


มั่วชิงเฉินอึ้งเสียแล้ว หรือว่าต้องเข้าภูเขาสมบัติแต่กลับออกมามือเปล่าเช่นนั้นหรือ? 

 

 


ตอนที่ 150 ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล

 

มั่วชิงเฉินเดินวนรอบปลาประหลาดตัวนี้ ลองจากทุกตำแหน่ง ทำเช่นไรก็แทงไม่ทะลุหนังชั้นนอกของมัน ถึงท้ายสุดมาถึงตาปลาที่ใหญ่เท่ากะละมังนั่น ใช้พลังมหาศาลในที่สุดก็ควักตาปลาออกมาได้คู่หนึ่ง


 


 


ตาปลามหึมาสองข้างนั้นเมื่อหลุดออกจากตำแหน่งเดิม ส่วนตาขาวเหมือนลูกโป่งลมรั่วแห้งเ**่ยวขึ้นมาทันที สุดท้ายกลายเป็นหนังที่เ**่ยวย่นห่อหุ้มบนลูกแก้วสีดำขนาดเท่ากำปั้น


 


 


มั่วชิงเฉินใช้กระบี่บินกรีดหนังเ**่ยวสีเทาขาวออก แล้วล้วงลูกแก้วสีดำข้างในออกมา


 


 


ลูกแก้วสีดำคู่นี้มีขนาดเท่ากำปั้น จับแล้วเย็นเป็นเงาลื่น ดูแล้วงดงามเหมือนไข่มุกดำที่หายาก


 


 


นี่…กินได้หรือไม่?


 


 


มั่วชิงเฉินวางลูกแก้วสีดำคู่นี้ไว้บนฝ่ามือ ส่งไปถึงใต้จมูกลองดมดู ไม่คิดว่าจะไม่มีกลิ่นเหม็นคาวตามที่คิดไว้ แต่เป็นกลิ่นหอมหวานสายหนึ่ง ราวกับกลิ่นของผลไม้ทิพย์บางอย่าง


 


 


หรือว่าจะกินได้จริง?


 


 


มั่วชิงเฉินดิ้นรนทางจิตใจอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังคงไม่กล้ากลืนลงไป หากแต่หยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาเก็บขึ้น


 


 


จากนั้นนางจึงควักตามเบ้าตาปลาที่ว่างเปล่านั้นขึ้นมาทีละนิดๆ


 


 


หลังจากผ่านความยากเข็ญเมื่อแรกสุด หนังปลาบริเวณเบ้าตาถูกนางเปิดขึ้นมา ยามที่กรีดลงไปอีกครั้ง ก็ง่ายขึ้นแล้ว


 


 


ปลาประหลาดนี้ใหญ่เพียงนี้ เกรงว่าเหนื่อยจนตายก็เก็บกวาดไม่หมด มั่วชิงเฉินจึงกรีดไปตามบริเวณเบ้าตาไปสู่ท้องปลา


 


 


อสูรปีศาจเมื่อถึงชั้นห้าในร่างกายจะเกิดเป็นมุกปีศาจ นั่นถึงเป็นของดีที่มีทองหมื่นชั่งก็หาได้ยาก ตามความรู้พื้นฐาน มุกปีศาจของปลาประหลาดนี้ต้องอยู่ใกล้ๆ นี้เป็นแน่


 


 


ใช้เวลาสี่ชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็กรีดถึงตรงนั้น ฉีกบริเวณท้องปลาให้กว้างขึ้นกว้างขึ้นอย่างช้าๆ แล้วก็พบมุกสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งในบริเวณลึกเข้าไปในท้องปลาตามคาด


 


 


มุกสีฟ้าเม็ดนั้นเปล่งแสงสุกสกาวจางๆ ต่อให้อยู่ในบริเวณไส้ปลาที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ กลับไม่เปรอะเปื้อน มั่วชิงเฉินที่ยื่นศีรษะเข้าไปค้นหาเด็ดออกมาอย่างไม่ลังเลแล้วมุดออกจากท้องปลา


 


 


มั่วชิงเฉินไม่มีโอกาสได้สัมผัสมุกปีศาจ รู้เพียงว่ามุกปีศาจนั้นล้ำค่ามาก มุกปีศาจส่วนใหญ่หลังจากผ่านการหลอมจะกลายเป็นโอสถวิญญาณที่สามารถเพิ่งตบะอย่างยิ่งยวด เป็นโอสถที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณละเมอฝ่าหาถึง


 


 


นางถือมุกปีศาจสีฟ้าของปลาประหลาดไว้ในมือ พ่นลมหายใจที่ขุ่นมัวออกเตรียมจะเก็บขึ้นมาเช่นลูกแก้วสีดำ กลับไม่คิดว่ามุกปีศาจสีฟ้านั้นเมื่อสัมผัสแสงแดดข้างนอก ก็หดเล็กลงรอบหนึ่งอย่างไม่คาดคิด


 


 


เห็นมุกปีศาจสีฟ้ายังคงหดอยู่ มั่วชิงเฉินที่ตกใจหน้าถอดสีรีบยัดมันเข้าไปในปาก


 


 


มุกปีศาจนั่นลื่นยิ่งนัก นางเพิ่งวางเข้าไปในปากมันก็เหมือนว่ายน้ำได้ ลื่นเข้าไปตามคอหอย


 


 


เมื่อมุกปีศาจลงท้อง ปราณวิญญาณมหาศาลแผ่ออกดังพรึบ ทะลวงจนตันเถียนมั่วชิงเฉินเจ็บ เหงื่อเย็นไหลออกมาทันที


 


 


ดีที่ตันเถียนของนางค่อนข้างทนทาน ไม่ได้ถูกปราณวิญญาณมหาศาลนั้นทะลวงจนระเบิด ต่อให้เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ไม่ทันได้ขยับที่แล้ว ทันเพียงตั้งค่ายกลซ่อนวิญญาณและค่ายกลป้องกันแล้วรีบเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรทันที


 


 


พลังวิญญาณในกายหมุนเวียนไม่หยุด เปลี่ยนปราณวิญญาณที่มาจากข้างนอกเป็นของเหลววิญญาณทีละนิดๆ แล้วนำเข้าตันเถียน ทว่าความเร็วในการแปรเปลี่ยนไล่ไม่ทันความเร็วที่ปราณวิญญาณแผ่กระจายออกจากมุกปีศาจเอาเสียเลย


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าตันเถียนหดรัดทีหนึ่งโดยพลัน จากนั้นได้ยินเสียงอันน่าอัศจรรย์เสียงหนึ่งเบาๆ ในร่างกายราวกับมีสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นถูกทะลวงออกก็ไม่ปาน ชีพจรทั่วกายขยายกว้างขึ้นในทันใด ความเร็วในการเปลี่ยนปราณวิญญาณก็เร็วขึ้นมา


 


 


เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว!


 


 


ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองมั่วชิงเฉิน แต่นางกลับไม่ทันได้ยินดี รีบเข้าสู่การสู้รบทำให้ปราณวิญญาณที่มาจากภายนอกศิโรราบ


 


 


หนึ่งรอบอาทิตย์ใหญ่ผ่านไป อีกหนึ่งรอบอาทิตย์ใหญ่ผ่านไป


 


 


ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปฤดูหนาวมาเยือน พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปีกว่าแล้ว


 


 


ในวันนี้อากาศหนาวเป็นพิเศษ หิมะเต็มท้องฟ้าโปรยปรายตกลงมาเหมือนขนห่าน หิมะบนพื้นทับถมจนสูงขนาดเท่าครึ่งตัวคนแล้ว


 


 


และบนพื้นหิมะโล่งโจ้งแห่งหนึ่งทันใดนั้นแสงวิญญาณเคลื่อนไหว เผยให้เห็นเงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่


 


 


ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ตื่นขึ้นจากการบำเพ็ญเพียร นางเก็บค่ายกลซ่อนวิญญาณและค่ายกลป้องกันขึ้น แล้วค่อยๆ ลึกขึ้นมา


 


 


มองไปเห็นแต่หิมะขาวโพลนทั่วทั้งผืน มั่วชิงเฉินตกใจ นี่ตนบำเพ็ญเพียรไปนานเท่าใดแล้ว เกรงว่าอย่างน้อยก็มีหลายเดือนกระมัง


 


 


รู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่แฝงอยู่ในกายไปพลาง มั่วชิงเฉินยิ้มละไม ที่แท้ความรู้สึกของระดับสร้างรากฐานระยะกลางเป็นเช่นนี้เอง มิน่าถึงพูดว่าเมื่อถึงระดับสร้างรากฐานแล้ว เขตแดนต่างกันเพียงเล็กน้อยความสามารถก็จะห่างกันราวฟ้าดิน


 


 


ไม่พูดถึงสิ่งอื่น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นธรรมดา อย่างน้อยต้องร่วมมือกันสองสามคนถึงมีกำลังสู้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย นั่นอย่างน้อยต้องเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นเจ็ดแปดคน


 


 


ไม่เพียงเท่านี้ มุกปีศาจสีฟ้าในกายมั่วชิงเฉินเม็ดนั้นยังดูดซับไม่หมด บัดนี้ได้หดเล็กเท่าขนาดลูกหลี่[1] ถูกเพลิงแก้วใจกระจ่างกลุ่มหนึ่งหุ้มไว้ลอยอยู่เหนือตันเถียน


 


 


หากมุกปีศาจนี้ถูกดูดซับจนหมด เป็นไปได้มากว่านางจะไปถึงยอดระดับสร้างรากฐานระยะกลางในทันที ไม่แน่ยังอาจทะลวงถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลายในทีเดียว


 


 


ปีนั้นมั่วชิงเฉินรีบเร่งเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน กู้หลีทุ่มเทพลังกายพลังใจเพื่อทำรากฐานนางให้มั่นคง มั่วชิงเฉินย่อมเข้าใจแล้วว่าการบำเพ็ญเพียรเร็วเกินไปจะก่อให้เกิดผลร้ายแรงตามมาไม่จบไม่สิ้น


 


 


เห็นตบะเพิ่มขึ้นรวดเร็วมุกปีศาจในกายยังคงมอบปราณวิญญาณมหาศาลอย่างไม่ขาดสาย ระหว่างที่กำลังมีบุญสมองปลอดโปร่งนางจึงลองเคลื่อนย้ายเพลิงแก้วใจกระจ่างไปควบคุมมุกปีศาจ


 


 


เพลิงแก้วใจกระจ่างหุ้มมุกปีศาจได้อย่างราบรื่นปิดกั้นแห่งที่มาของปราณวิญญาณไว้ได้อย่างเด็ดขาด มั่วชิงเฉินถึงได้ใช้เวลาอีกครึ่งเดือนทำให้พลังวิญญาณในร่างมั่นคง แล้วออกจากการบำเพ็ญเพียร


 


 


ทว่านางรู้ว่า หากต่อไปตนต้องการปราณวิญญาณในมุกปีศาจ นั่นก็เพียงแค่สลายเพลิงแก้วใจกระจ่างออกก็ได้แล้ว บางที ในอนาคตหากตนคิดจะทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็จะได้มีหลักประกัน


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ สิ่งที่เห็นล้วนเป็นพื้นหิมะขาวโพลน แม้แต่บนทะเลนั่นก็มีน้ำแข็งลอยเป็นแผ่นๆ


 


 


ส่วนนางเมื่อมองไปที่ตำแหน่งที่ปลาประหลาดอยู่นั้น เห็นส่วนใหญ่ของปลายักษ์ประหลาดนั้นไม่ได้ถูกหิมะปกคลุม ก้างปลามหึมาโครงหนึ่งปรากฏต่อหน้านาง หนังปลาคลุมอยู่ด้านบน เลือดเนื้อตรงกลางได้หายไปแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป นางที่ร่างกายจิตใจล้วนอยู่ในสภาพเยี่ยมยอดเดินอ้อมปลาประหลาดรอบหนึ่งอย่างสบายๆ สุดท้ายหยุดอยู่ที่บริเวณกระเพาะของปลา


 


 


เลือดเนื้อในบริเวณนั้นหายไปนานแล้ว กลับมีสิ่งของตกกระจายอยู่เกลื่อน ในนั้นมีก้อนหินกระจ่างใสเปล่งแสงสีต่างๆ ออกมา นั่นคือหินวิญญาณ


 


 


มั่วชิงเฉินเกิดปีติ รีบเดินเข้าไป


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานธรรมของพรรคเหยากวง ในหนึ่งปีนอกจากโอสถแล้วจะได้รับแจกหินวิญญาณระดับล่างห้าร้อยก้อน หากเป็นศิษย์ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่บางสิ่งเช่นศิษย์ผู้ดูแล เช่นนั้นก็จะให้เพิ่มจากพื้นฐานตามความเหมาะสม


 


 


มั่วชิงเฉินแม้ไม่มีหน้าที่อันใด กลับเป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณ หินวิญญาณที่ได้รับแจกในหนึ่งปีมีถึงแปดร้อยก้อน


 


 


แน่นอนหินวิญญาณสามร้อยก้อนที่เกินมานี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนอื่นอิจฉา หากแต่เป็นการชี้แนะจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ และสิ่งที่ได้รับมอบเป็นระยะ


 


 


ยกตัวอย่างเช่นมั่วชิงเฉิน เจ็ดปีนี้แม้กู้หลีไม่ได้ให้อาวุธเวทอะไรกับนาง โอสถที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียรกลับไม่เคยขาด ของใช้ที่นางได้รับแจกแทบจะเก็บไว้ทั้งหมด


 


 


หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานธรรมดา โอสถและหินวิญญาณที่ทางสำนักแจกจ่ายยังไม่พอให้พวกเขาใช้ในการบำเพ็ญเพียรตามปกติเลย ดังนั้นยังคงขัดสนยิ่งนัก แน่นอนผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักก็ยิ่งน่าสงสารแล้ว ดังนั้นคนส่วนมากถึงติดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นไปทั้งชีวิต


 


 


มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อเก็บหินวิญญาณที่ตกอยู่ขึ้นมาหมด แล้วค้นหาอย่างละเอียดอีก


 


 


ถุงเก็บวัตถุใบนั้นของนางไม่เห็นร่องรอยแล้ว ขวดมากมายก็ไม่เห็นเงาแล้วเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชุดคลุมเต๋าของสำนักสองชุดนั้นเลย


 


 


โชคดีที่อาวุธเวทรูปชามและก้อนอิฐอีกทั้งป้ายประจำตัวยังอยู่ หาของสามสิ่งนี้เจอ ใจของนางถึงนับว่าวางลงมาได้ จากนั้นเริ่มรื้อๆ เก็บๆ ดูว่าในของกองใหญ่นี้มีของดีอะไรหรือไม่


 


 


ใช้จิตตระหนักกวาดอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็รื้อของที่ใช้ได้บางส่วนออกจากกองสิ่งของแตกหักเสียหายที่กองกันเป็นภูเขาเล็กๆ


 


 


เรือลำเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ มองดูก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นประเภทอาวุธเวทเหินหาว กระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ที่มั่วชิงเฉินเก็บมันขึ้นมาจากกองของแตกหัก สาเหตุสำคัญเพราะนี่เป็นกระบี่บินทำจากไม้เล่มหนึ่ง เหมาะกับเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่นางใช้พอดี ทว่านางตระหนกว่าวันหลังควรคอยใส่ใจกระบี่บินไม้เหมาะๆ หรือไม้คุณภาพยอดเยี่ยมแล้ว ใช้กระบี่บินธรรมดาเช่นนี้ ยากจะไม่กระทบถึงอานุภาพของเคล็ดกระบี่


 


 


นอกจากของสองสิ่งนี้ จึงเหลือกำไลหยกสีเขียวใสอันหนึ่ง


 


 


อย่างไรเสียมั่วชิงเฉินก็เป็นหญิงสาว จิตใจก็ไม่ได้วิตถาร เห็นกำไลหยกใสมีน้ำมีนวลเช่นนี้ ย่อมเกิดใจรักใคร่เป็นธรรมดา


 


 


นางยื่นมือหยิบกำไลขึ้นมา ปล่อยจิตตระหนักสายหนึ่งออกไปสำรวจ จากนั้นเกิดความปีติยินดีอย่างยิ่งยวดในใจ


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็นกำไลเก็บวัตถุอันหนึ่ง!


 


 


ต้องรู้ว่าในโลกบำเพ็ญเพียรอุปกรณ์เก็บวัตถุที่ใช้อย่างแพร่หลายล้วนเป็นถุงเก็บวัตถุ ถุงเก็บวัตถุก็แบ่งแยกตามคุณภาพดีเลวได้หลายระดับอีก จากระดับต่ำถึงสูงราคาต่างกันมากโข


 


 


จากนั้นอีกก็คืออาวุธเวทมิติบางอย่างที่ต่างออกไป เช่นสวนสมุนไพรพกพา เรือนพกพาต่างๆ


 


 


พวกนี้ล้วนไม่เท่าไร ในบรรดาอุปกรณ์เก็บวัตถุที่ล้ำค่าที่สุดกลับเป็นกำไลเก็บวัตถุและแหวนเก็บวัตถุ


 


 


สิ่งที่ทำให้พวกมันล้ำค่าไม่ใช่ว่าช่องว่างของมันต้องใหญ่มาก หากแต่เป็นการทำงานสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนใจอ่อนไหวที่สุด นั่นก็คือหยดเลือดรับนาย


 


 


เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรหยดเลือดของตนบนกำไลเก็บวัตถุ กำไลเก็บวัตถุนี้ก็จะสามารถปรากฏหรือล่องหนตามที่ใจเขาปรารถนา ไม่ว่าคนอื่นจะมีตบะสูงสักเพียงไหนก็ไม่อาจพบได้ นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรนี้เสียชีวิต กำไลเก็บวัตถุนี้ถึงปรากฏออกมาให้เห็น


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าตนช่างบุญหล่นทับจริงๆ อย่าพูดถึงประโยชน์ที่ได้รับก่อนหน้านี้ ต่อให้มีเพียงกำไลเก็บวัตถุนี้ การเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งนี้ของตนก็คุ้มค่าแล้ว


 


 


นางเคลื่อนย้ายพลังวิญญาณอย่างไม่ลังเล บีบเลือดออกจากปลายนิ้วกลางมือซ้ายหยดหนึ่ง หยดลงบนกำไล


 


 


สัมผัสถึงจิตและกำไลเชื่อมเข้าด้วยกัน มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตักขึ้นมา กำไลนี้น่าทะนุถนอมเช่นนี้ ไม่รู้ข้างในจะมีของดีเพียงไหนกันนะ!


 


 


ทว่าจากนั้นกลับต้องอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าข้างในจะโล่งโจ้งไม่มีอะไรเลย!


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักชั่วครู่ แล้วก็ยิ้มเยาะตนเอง ตนจะละโมบเกินไปแล้ว เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อสภาพจิตใจในการบำเพ็ญเพียรเลย


 


 


นางปรับปรุงตนเองเสียใหม่อย่างรวดเร็ว แล้วสำรวจกำไลทีหนึ่ง พบว่าช่องว่างข้างในไม่ต่างจากถุงเก็บวัตถุใบเล็กสุดของตนสักเท่าไร แต่กลับไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างไร กลับย้ายสมบัติพวกนั้นของตนเข้าไปในกำไลด้วยความดีใจ จากนั้นเพ่งจิต ก็เห็นกำไลบนข้อมือหายไปแล้ว


 


 


รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเย็นที่ส่งผ่านมาจากกำไลบนข้อมือ แต่กลับเฉพาะเจาะจงมองไม่เห็น มั่วชิงเฉินทอดถอนใจอีกครั้งถึงความมหัศจรรย์ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร


 


 


อาจเพราะผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ที่ปลาประหลาดกลืนเข้าไปมีน้อย นอกจากของสามสิ่งนี้และอาวุธเวทจำนวนไม่มากที่แตกหักแล้ว สิ่งที่เหลือล้วนเป็นวัตถุดิบที่ย่อยได้ยากบนตัวของอสูรปีศาจประเภทปลากุ้ง


 


 


วัตถุดิบเหล่านี้ส่วนใหญ่แตกหักเสียหายจนใช้ไม่ได้แล้ว มั่วชิงเฉินเลือกคัดที่ยังสมบูรณ์อยู่ได้ไม่กี่ชิ้น แม้ยังไม่รู้ประโยชน์ใช้สอยชั่วคราวแต่ยังคงเก็บขึ้นมาไว้


 


 


นอกจากนั้นมีไข่มุกใหญ่บ้างเล็กบ้างนับไม่ถ้วน น่าจะเหลือจากหอยที่ปลาประหลาดกลืนกินเข้าไป มั่วชิงเฉินเก็บไว้บ้างตามอำเภอใจ แล้วจึงค้นหาที่อื่นต่อไป


 


 


 


 


——


 


 


[1] ลูกหลี่ หมายถึง ลูกพลัม

 

 

 


ตอนที่ 151 สองสามีภรรยาเก็บมุก

 

มั่วชิงเฉินหามุกสีฟ้าอ่อนขนาดเท่าผลซิ่งได้สี่เม็ดที่บริเวณครีบปลาของปลาประหลาดอีก ด้านบนมีลายน้ำสีขาวอ่อน แม้นางไม่เคยเห็นของจริงของมุกนี้มาก่อน กลับเคยเห็นในม้วนคัมภีร์หยกบางม้วน นี่ก็คือมุกกันน้ำที่เกิดขึ้นในร่างอสูรปีศาจในน้ำจำนวนมาก


 


 


นี่กลับมิใช่ของหายากอะไร ว่ากันว่าอสูรปีศาจในน้ำจำนวนมากเมื่อถึงชั้นสองก็จะเกิดมุกนี้ขึ้นมา ทว่าเมื่อคิดว่ามุกกันน้ำนี้ได้มาจากในร่างอสูรปีศาจชั้นห้า คุณภาพจึงน่าจะดีกว่ามาก


 


 


แม้ผู้บำเพ็ญเพียรจะเสกคาถากันน้ำในน้ำได้ ทว่าต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ แต่มีมุกกันน้ำนี้อยู่ก็สะดวกขึ้นมากแล้ว มั่วชิงเฉินย่อมเก็บขึ้นอย่างดีใจ


 


 


เสียดายเพียงปลาประหลาดนี้ตายไปหลายเดือน เลือดเนื้อได้สลายไปแล้ว มิเช่นนั้นเนื้อของอสูรปีศาจชั้นห้า ต้องบำรุงอย่างมหาศาลเป็นแน่


 


 


มั่วชิงเฉินค้นหาอีกรอบหนึ่งอย่างไม่ตายใจ ในที่สุดก็ได้แต่ตัดหนังปลาบริเวณท้องปลาที่ยังรักษาไว้อย่างดีอยู่ ใช้กรรมวิธีพิเศษกำจัดกลิ่นคาวแล้วเก็บเข้าในกำไลเก็บวัตถุ


 


 


บัดนี้มั่วชิงเฉินนอกจากกำไลเก็บวัตถุนี้แล้ว ก็เหลือเพียงถุงเก็บวัตถุสองใบ ใบที่ได้รับที่ตระกูลมั่วในยามแรกสุดเพราะว่ามีคุณค่าด้านความทรงจำ นางยังคงเก็บติดตัวไว้ ส่วนอีกใบหนึ่งเป็นของที่ขายทั่วไปเดิมทีซื้อไว้เพื่อเก็บสมุนไพรทิพย์จึงถูกนางแขวนไว้ด้านนอกไว้ประดับ เวลานี้เก็บเพียงหินวิญญาณบางส่วนเข้าไป


 


 


เป็นเวลาควรจากไปแล้ว มั่วชิงเฉินคิดเช่นนี้พลางกลัดกลุ้มขึ้นมา


 


 


ถุงเก็บวัตถุที่หล่นเข้าไปในกระเพาะปลาประหลาดไม่เพียงใส่โอสถ ยันต์ต่างๆ ที่นางใช้บ่อยๆ ยังมีเตาโอสถที่ใช้หลอมโอสถด้วย


 


 


บัดนี้กลับดี นางนอกจากสมุนไพรทิพย์ชั้นเยี่ยม โอสถชั้นเลิศ ก็สองมือว่างเปล่าแล้ว


 


 


ที่นี่เป็นเขตทะเล ยังไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าใดถึงบินออกไปได้ จะให้นางกินโอสถเสริมวิญญาณชั้นเลิศทุกครั้งที่เติมพลังวิญญาณคงไม่ได้กระมัง ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ต้องเจอฟ้าผ่าแน่ๆ!


 


 


ยิ่งกว่านั้น ต่อให้บัดนี้ระดับการหลอมโอสถธรรมดาพวกนี้ของนางสูงส่งยิ่งนัก หลายปีมานี้ จำนวนโอสถชั้นเลิศที่หลอมออกมาได้ก็ไม่มาก สุดท้ายจะประคองนางถึงออกไปได้หรือไม่ก็ยังมิอาจรู้


 


 


นึกวิธีดีๆ ไม่ออก มั่วชิงเฉินเหยียบขึ้นกระบี่บินค่อยๆ บินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อยากดูว่าสถานที่ที่นางอยู่บัดนี้ตกลงลักษณะเป็นเช่นไร ใหญ่เพียงไหน


 


 


รอบินไปถึงที่สูง มั่วชิงเฉินถึงพบว่าสถานที่ที่นางอยู่เป็นเพียงเกาะอันโดดเดี่ยวไม่ใหญ่เกาะหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ล้อมรอบมันล้วนเป็นน้ำทะเลที่มีน้ำแข็งลอยเป็นก้อนๆ


 


 


ต่อให้มั่วชิงเฉินสามารถจัดเข้าประเภทหลงทิศ นางกลับเข้าใจการแบ่งเขตแดนของทวีปแห่งเทพ


 


 


ทั้งทวีปแห่งเทพแบ่งเป็นห้าภาคใหญ่ แยกได้เป็นดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก ทุ่งชื่อเจ่าภาคใต้ แดนไท่เป๋าภาคตะวันตก ดินแดนทุรกันดารภาคเหนือ ดินแดนเทียนหยวนภาคกลาง


 


 


ดินแดนทุรกันดารภาคเหนือในนั้นเป็นสถานที่รวมตัวของผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจ อสูรปีศาจเกลื่อนเมือง ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์น้อยนักที่จะย่างกรายเข้าไป ส่วนแดนไท่เป๋าภาคตะวันตกเป็นอาณาเขตของผู้บำเพ็ญเพียรมาร ผู้บำเพ็ญเพียรมารแห่งแดนไท่เป๋าและผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าแห่งดินแดนเทียนหยวนเปรียบดังน้ำกับไฟมาโดยตลอด ย่อมแบ่งออกจากกันอย่างชัดเจน ทว่าการขับเคี่ยวกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรมารและผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ไม่ใช่ฝ่ายมารและฝ่ายธรรมะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เช่นในโลกฆราวาส ผู้บำเพ็ญเพียรมารและผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า เพียงแต่วิธีการบำเพ็ญเพียรต่างกันเท่านั้น รากฐานการขัดแย้งของพวกเขา พูดให้ชัดเจนแล้วก็ยังเป็นเรื่องผลประโยชน์อยู่ดี


 


 


ส่วนดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก เพราะว่าห่างกันไกลนัก ข่าวคราวที่รู้จึงไม่มาก ทว่ามีความรู้พื้นฐานที่ทุกคนต่างรู้กัน นั่นก็คือทั่วทั้งดินแดนทวีปแห่งเทพ มีเพียงดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออกที่อยู่ในทะเล


 


 


ก็หมายความว่า ในเมื่อสถานที่ที่มั่วชิงเฉินอยู่เป็นน่านน้ำ เช่นนั้นขอเพียงนางมุ่งหน้าบินไปทางตะวันตกตลอด ก็ต้องกลับถึงดินแดนเทียนหยวนจนได้


 


 


ยืนยันทิศทางแล้ว มั่วชิงเฉินตัดสินใจ ข้ามทะเลแม้อันตราย ทว่าจะให้นางถูกกักตายอยู่ที่นี่คงไม่ได้ ฉวยโอกาสที่บัดนี้สภาพร่างกายดีเยี่ยม จึงเป็นโอกาสจากไปพอดี


 


 


สิ่งที่ควรเก็บกวาดก็เก็บกวาดจนหมดแล้ว มั่วชิงเฉินโยนชามใหญ่ออกกำลังจะกระโดดขึ้นไป กลับก้มหน้าดูเสื้อผ้าตนแล้วชะงักอยู่ตรงนั้น


 


 


ชุดกระโปรงขาวที่ใส่อยู่บนร่างที่มั่วหลีลั่วมอบให้ชุดนี้ขาดรุ่งริ่งไม่เหลือชิ้นดีไปนานแล้ว ถูกน้ำย่อยและน้ำดีของปลาประหลาดกัดกร่อนจนแม้แต่ตำแหน่งสำคัญก็ปิดไม่มิดแล้ว


 


 


เดิมทีมั่วชิงเฉินแทงถุงดีของปลาประหลาดขาด ภายใต้ความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดปลาประหลาดพ่นนางออกมา หลังจากฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติก็ห่วงแต่รักษาอาการบาดเจ็บ จากนั้นได้มุกปีศาจปลาประหลาด ก็จำต้องบำเพ็ญเพียรทันทีอีก รอบำเพ็ญเพียรเสร็จก็มัวห่วงแต่หาสมบัติแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะไม่พบว่าตนอยู่ในสภาพเช่นนี้ตลอดมา


 


 


เมื่อสังเกตเห็นแล้ว มั่วชิงเฉินรู้สึกบางตำแหน่งเย็นวาบขึ้นมาทันที จึงอดขวยเขินไม่ได้ มองท้องฟ้าแล้วแอบคิดเงียบๆ ตนนี่นับว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่นะ?


 


 


บอกว่าโชคร้าย ทว่าดันสามารถหนีรอดความตายมาได้ ยังได้ประโยชน์มากมายอีก บอกว่าโชคดี บัดนี้โอสถที่ใช้เสริมเติมพลังวิญญาณไม่มี ของที่ใช้หลอมโอสถไม่มี ไม่นึกว่าแม้แต่เสื้อผ้ารองเท้าก็ไม่มี หรือว่า นางจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเปลือยคนแรก?


 


 


ต่อให้มั่วชิงเฉินเปิดใจกว้างเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นไม่ใส่เสื้อผ้าแล้วยังสงบเยือกเย็นได้ นางเริ่มค้นหาบนเกาะด้วยความหวังอันริบหรี่


 


 


หนึ่งชั่วยามให้หลัง มั่วชิงเฉินที่ไม่ได้อะไรเลยย่นหน้ากลับมา ไม่มีวิธีจริงๆ จึงรื้อเปลือกหอยใหญ่สีสันต่างๆ บางส่วนออกมาจากของแตกหักที่กองเป็นภูเขาย่อมๆ นั่นออกมาอีก แล้วใช้เถาวัลย์ที่เล็กและเหนียวร้อยขึ้นมาล้อมไว้บนร่าง


 


 


ลองส่องดูกับผิวน้ำ มั่วชิงเฉินยิ้มระทมอย่างจำใจ การแต่งตัวเช่นนี้ในยามนี้ เปิดเผยกว่าพวกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแห่งนิกายเหอฮวนเสียอีก ขอภาวนาให้คนแรกที่พบเจอเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงด้วยเถอะ


 


 


มั่วชิงเฉินกระโดดเข้าในชามใหญ่ แล้วบินไปด้านตะวันตกตลอด ทว่านางไม่กล้าพักสายตาอย่างสบายในก้นชาม หากแต่หมอบอยู่บนขอบชามคอยสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอก อย่างไรเสียนี่ก็อยู่บนทะเล ใครจะไปรู้ว่ามีอันตรายอะไรหรือไม่ล่ะ


 


 


บินติดต่อกันเจ็ดแปดวัน มั่วชิงเฉินพบเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง จึงหยุดพักระหว่างทางที่นั่น หลังจากพักจนกระปรี้กระเปร่าดีแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้ง รอบินต่อได้อีกครึ่งเดือนกว่า ยามที่โอสถเสิรมวิญญาณชั้นเลิศของนางหมดไปครึ่งหนึ่งนั้น ในที่สุดก็ใช้จิตตระหนักสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมนุษย์


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ บินอยู่เหนือทะเลเช่นนี้ตลอด ต่อให้นางไม่พบอันตรายอะไร ทว่าด้านจิตใจก็เหนื่อยล้ามากแล้ว ยามนี้ไม่ทันได้สนใจว่าแต่งตัวเช่นไรอีกแล้ว รีบเร่งความเร็วมุ่งบินไปทางนั้น


 


 


เรือลำไม่ใหญ่ลำหนึ่งลอยอยู่กลางทะเล หัวเรือมีที่บัง ท้ายเรือมีหญิงสาวในชุดกระโปรงสีฟ้านั่งอยู่คนหนึ่ง ดูลักษณะอายุยี่สิบกว่าปี ตบะอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสาม


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ ระดับหลอมลมปราณขั้นสาม เพิ่งเสกคาถาเหยียบลมได้หมาดๆ ทว่าร่างกายแข็งแรงคล่องแคล่ว หูตาว่องไวกว่าคนธรรมดาสักหน่อย สามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในยามนี้ แสดงว่าอีกไม่ไกลต้องมีพื้นดินแน่


 


 


ยามนี้นางไม่ลังเลอีกต่อไป บังคับอาวุธเวทรูปชามค่อยๆ ร่อนลง ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหญิงสาว


 


 


หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่ท้ายเรือ เดิมทีจ้องผิวน้ำด้วยท่าทางกระวนกระวายใจทนไม่ไหว ทันใดนั้นเห็นชามกระเบื้องมหึมาใบหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้านาง จึงอดตกใจร้องออกมาไม่ได้


 


 


“ได้โปรดอย่าตกใจ ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาถึงที่นี่อย่างไม่คาดคิด เพียงแต่อยากถามสักหน่อยว่าใกล้ๆ นี้มีที่ให้พักแรมหรือไม่?” เสียงอ่อนโยนดังมาจากในชาม


 


 


ได้ยินเป็นเสียงของหญิงสาว หญิงสาวชุดฟ้าคนนี้สีหน้าดีขึ้นหน่อย ทันใดนั้นนึกอะไรได้ จึงรีบคุกเข่าคารวะว่า “ท่าน…ท่านเป็นผู้อาวุโสระดับสร้างรากฐานหรือเจ้าคะ?”


 


 


ท่าทางความรู้พื้นฐานพวกนี้คนที่นี่ก็รู้ดี มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ถูกต้อง ไม่ทราบสหายมีเสื้อผ้าเหลือใช้หรือไม่?”


 


 


“หา?” หญิงสาวเสื้อฟ้าชะงัก


 


 


“เพราะว่าสู้กับอสูรปีศาจจึงทำเสื้อผ้าขาด…” มั่วชิงเฉินคลื่นเสียงไม่กระโตกกระตาก ที่จริงในใจกลับอับอาย ผู้บำเพ็ญเพียรที่เจอหน้าปุ๊บก็อ้าปากของเสื้อผ้า เกรงว่านางจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์กระมัง


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าก็มีไหวพริบ ไม่รอมั่วชิงเฉินพูดจบก็ได้สติขึ้นมา รีบเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโสท่านรอสักครู่” พูดจบลุกขึ้นเดินเข้าไปในที่กำบัง ไม่นานนักก็หันออกมา ในมือกอบชุดกระโปรงสีชมพูไว้ชุดหนึ่ง


 


 


“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยเตรียมไว้เพียงชุดนี้ชุดเดียว ก็ไม่ทราบว่าจะเหมาะหรือไม่ เนื้อผ้าไม่ค่อยดี…” หญิงสาวชุดฟ้าพูดพลางก็เห็นชุดกระโปรงในมือลองขึ้นฟ้า หล่นลงไปในชามกระเบื้องใบใหญ่ จึงอดเผยสีหน้าชื่นชมเลื่อมใสไม่ได้


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ หญิงสาวชุดชมพูคนหนึ่งกระโดดออกมาจากในชามใหญ่ รูปร่างขนาดกลางและบอบบาง ผมข้างหน้าบดบังหน้าตาไว้ ริมฝีปากแดงโดยไม่ต้องทากระดกขึ้นแผ่วเบา ลักยิ้มข้างปากปรากฏให้เห็นรางๆ ลักษณะดูแล้วไม่น่าเกินสิบเจ็ดสิบแปดปี


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าในชั่วเวลาหนึ่งตกใจจนไม่กล้าพูด แม้นางรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรตบะยิ่งสูงยิ่งแก่ชราช้า ทว่าก็ไม่คาดว่าผู้สูงส่งในใจจะอายุน้อยเพียงนี้


 


 


“สหายเต๋าเกรงใจแล้ว เสื้อชุดนี้พอดีตัวพอดี” มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบา


 


 


ได้ยินเสียง หญิงสาวชุดฟ้าถึงเหมือนตื่นจากฝัน รีบเอ่ยว่า “มิกล้ารับสมญานามว่าสหายเต๋าเจ้าค่ะ ท่านผู้อาวุโสท่านจะทำให้ข้าน้อยอายุสั้นแล้ว สามีของข้าน้อยแซ่หยาง ท่านเรียกข้านางหยางก็พอแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว นางไม่ได้ยินสรรพนามทางโลกฆราวาสเช่นนี้มาหลายปีแล้ว หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่ จะต่างกับทางฝั่งดินแดนเทียนหยวน?


 


 


สิ่งอื่นยังไม่รู้ เกรงว่าสถานะของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทางนี้ ต้องไม่สูงแน่นอน มั่วชิงเฉินคาดใดในใจได้รางๆ


 


 


“เอ่อ…นางหยาง ไม่ทราบที่นี่คือที่ใด เหตุใจเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างไม่ค่อยชิน


 


 


นางหยางรีบตอบว่า “เรียนท่านผู้อาวุโส คนทางนี้ของเราต่างเรียกที่นี่ว่า ‘ทะเลขนาบใจ’ ข้าและสามีมาที่นี่ เพื่อมาเก็บมุกเจ้าค่ะ”


 


 


พูดถึงตรงนี้สีหน้าของนางหยางกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


“ทะเลขนาบใจ?” มั่วชิงเฉินพูดงึมงำ เห็นนางหยางสีหน้าไม่ดี ถามว่า “นางหยาง พวกเจ้ามาเก็บมุกที่นี่ เช่นนั้นสามีของเจ้ายามนี้…”


 


 


“สามีข้าลงทะเลไปได้ชั่วยามกว่าแล้ว ไม่ได้ขึ้นมาเสียที ข้า…” พูดถึงตรงนี้นางหยางน้ำเสียงสะอื้นทีหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าอย่าเพิ่งรน ข้าลงไปดูหน่อย” พูดจบกำมุกกันน้ำไว้ในมือ และกระโดดลงทะเล


 


 


มุกกันน้ำนี้ใช้ดีตามคาด เมื่อมั่วชิงเฉินลงไปในน้ำ น้ำทะเลนั้นก็อย่างกับมีตาก็ไม่ปาน แยกออกสองข้างด้วยตัวมันเอง นางเดินอยู่ข้างใน ราวกับไม่ต่างจากเดินอยู่บนพื้นดิน


 


 


เพียงแต่ยิ่งดำลงข้างล่าง ก็จะเห็นปลาสีสันต่างๆ ว่ายไปว่ายมา อีกทั้งยังมีสาหร่ายชนิดต่างๆ ปะการังที่สวยงาม มั่วชิงเฉินจึงเหมือนเดินเข้าไปในวังใต้บาดาล


 


 


นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้เปิดหูเปิดตาเห็นทิวทัศน์อัศจรรย์ในทะเล ในใจอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่เพราะต้องตามหาคน จึงไม่มีเวลาอยู่นานแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินค่อยๆ แผ่จิตตระหนักออก สามารถสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตมากมายที่มีความเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณ จิตตระหนักแผ่กว้างออกไปอีก ในที่สุดก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์


 


 


นางรีบรุดไปทางนั้น แล้วก็เห็นผู้ชายในชุดเขียวคนหนึ่งขาข้างหนึ่งถูกหอยยักษ์ตัวหนึ่งหนีบไว้ เลือดไหลไม่หยุด รอบตัวมีปลากินเนื้อตัวใหญ่หลายตัวล้อมอยู่ เขาสะบัดกริชในมือ กำลังสู้กับปลายักษ์พวกนี้อยู่ เพียงแต่เท่าที่ดูจะไม่ไหวแล้ว


 


 


คนคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ นอกจากปลาประหลาดตัวหนึ่งที่พอกล้อมแกล้มนับเป็นอสูรปีศาจชั้นหนึ่ง นอกนั้นล้วนไม่เข้าขั้น


 


 


ทว่า นอกจากโชคแล้ว ความมุ่งมั่นของเขาก็น่าชื่นชม นี่ถึงสามารถประคองถึงการมาของตนได้


 


 


นึกถึงตรงนี้จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดเกี่ยวกับ ‘โอกาสวาสนา’ ที่อาจารย์พูดเมื่อหลายปีก่อน จึงอดทอดถอนใจถึงความทุ่มเทของท่านไม่ได้ ในใจกลับบีบรัดคราหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ ยามนี้ไม่คิดมากอีก ดีดเข็มสีเขียวออกมาหลายเล่มฆ่าปลายักษ์จนหมด แล้วมาถึงข้างกายผู้ชาย

 

 

 


ตอนที่ 152 มุกจื่อหวาสงบจิต

 

หอยยักษ์ที่กัดผู้ชายไว้มีสีขาวนวลทั้งตัว ตัวใหญ่ยิ่งนัก มั่วชิงเฉินซัดเข็มสีเขียวเข้าไปตามซอกหลายสิบเล่ม แล้วก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดัง ‘ชู่’ ท่ามกลางความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด หอยยักษ์อ้าเปลือกออกอย่างไม่รู้ตัว


 


 


มั่วชิงเฉินตาไวมือเร็วรีบดึงผู้ชายออกมา ในชั่วแวบหนึ่งเห็นในหอยมีมุกสีม่วงขนาดเท่าลำไยสองเม็ด ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงหยิบติดมือออกมา


 


 


มุกสีม่วงเพิ่งถูกหยิบออก หอยยักษ์นั่นก็ราวกับเป็นบ้าก็ไม่ปาน เปลือกหอยอ้าๆ หุบๆ ไล่ตามพวกเขาสองคนมาอย่างรวดเร็ว


 


 


หอยยักษ์นี่เป็นเพียงอสูรปีศาจชั้นสอง หากมั่วชิงเฉินคิดจะจัดการย่อมไม่คณนามือ ทว่าบัดนี้อาการบาดเจ็บของผู้ชายค่อนข้างสาหัส นางไม่มีใจสู้รบพัวพัน จึงนำผู้ชายว่ายน้ำขึ้นข้างบน


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าที่อยู่หางเรือกำลังจ้องผิวน้ำตาไม่กะพริบ ทันใดนั้นได้ยินเสียงน้ำ มั่วชิงเฉินโผล่ศีรษะออกมา สีหน้าอดปรากฏความยินดีไม่ได้ จากนั้นก็เห็นผู้ชายหลับตาสนิท บนใบหน้ามีแต่เลือด จึงอดตกใจกลัวจนกระทบกระเทือนจิตใจไม่ได้ นางลุกพรึบขึ้นมาทันทีคิดจะถามให้รู้เรื่อง กลับเกิดหน้ามืดหมดสติไป


 


 


มั่วชิงเฉินงงเป็นไก่ตาแตก เป็นครั้งแรกที่พบว่าที่แท้หญิงสาวธรรมดาเปราะบางเช่นนี้นี่เอง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรก็เถอะ


 


 


นางส่ายศีรษะอย่างจำใจ แล้วลากผู้ชายขึ้นเรือ โดยที่ไม่สนใจหญิงสาวชุดฟ้าที่หมดสติอยู่ เริ่มตรวจหาบาดแผลของผู้ชาย


 


 


ผู้ชายสูญเสียพลังวิญญาณในร่างไปมาก แม้เกิดความปั่นป่วนบ้าง ทว่าท่ามกลางการเหนี่ยวนำของพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและอ่อนโยนของมั่วชิงเฉิน ก็กลับสงบลงมา


 


 


ชุดเขียวบนตัวเขามีรอยขาดนับไม่ถ้วน เผยให้เห็นบาดแผลที่ตัดกันเต็มตัว มีบางแผลกระทั่งลึกหลายนิ้ว เนื้อหนังม้วนออกด้านนอกเหมือนปากที่แสยะออก และกลายเป็นสีแดงเข้มแล้ว ก็จะโทษนางหยางไม่ได้หรอกนะที่เห็นสามีเป็นเช่นนี้เพียงปราดหนึ่ง ก็หมดสติไปทันที


 


 


ทว่าที่ร้ายแรงที่สุดกลับเป็นขาขวาของเขา ตรงที่ที่ถูกหอยยักษ์หนีบสามารถเห็นถึงกระดูกแล้ว บนกระดูกมีรอยแตกหลายรอย ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดละก็ขาข้างนี้คงใช้การไม่ได้แล้ว


 


 


ในตามั่วชิงเฉินฉายแววเลื่อมใสแวบหนึ่ง อาการบาดเจ็บร้ายแรงเช่นนี้กลับยังไม่ยอมแพ้ สู้กับปลาใหญ่หลายตัวอย่างยากลำบาก จิตใจนับว่าแน่วแน่มากแล้ว


 


 


นึกถึงตรงนี้นางหยิบโอสถย้อนอายุที่เหลือเพียงชั้นเลิศป้อนผู้ชายกินลงไป แล้วหยิบกล่องหยกประณีตสีเหลืองอ่อนใบหนึ่งออกมาอีก เปิดออกแล้วใช้ปลายนิ้วแตะยาเนื้อข้นสีเหลืองใส ทาลงบนบาดแผลบนขาขวาผู้ชาย


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าเพียงแต่หมดสติไปเพราะตกใจกลัวจนกระทบจิตใจ ยามนี้ในที่สุดก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เห็นมั่วชิงเฉินกำลังใส่ยาให้ผู้ชาย จึงรีบถลาเข้ามา ถามเสียงสั่นว่า “ท่านผู้อาวุโส สามีข้าเขา…เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”


 


 


พูดจบก็ถลาเข้าไปจับแขนเสื้อของผู้ชายไว้แน่น ท่าทางเหมือนจะเป็นลม


 


 


มั่วชิงเฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่า “ย่อมต้องมีชีวิตอยู่แล้ว มิเช่นนั้นข้ายังจะใส่ยาเพื่ออันใด? นางหยาง ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไรแล้ว บาดแผลที่เหลือเจ้าก็มาใส่ยาให้สามีเจ้าเถอะ”


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าเห็นมั่วชิงเฉินยื่นกล่องหยกสีเหลืองอ่อนมาใบหนึ่ง ยาเนื้อข้นข้างในใสเป็นประกาย ดูก็รู้ว่าเป็นยามังกรเหลืองชั้นเลิศ จึงรีบรับมา แล้วโขกศีรษะให้มั่วชิงเฉินทีหนึ่งว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสประทานยาเจ้าค่ะ” พูดจบก็ไม่รอมั่วชิงเฉินตอบ เริ่มทายาให้ผู้ชายอย่างใส่ใจ


 


 


เห็นท่าทางหญิงสาวชุดฟ้าทายาให้ผู้ชายอย่างระมัดระวัง เบามือ ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงร้อนรนเช่นนี้แล้ว ห่วงใยจึงร้อนรน คิดว่าพวกเขาสองสามีภรรยาคงเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันลึกซึ้งเป็นแน่


 


 


ยามังกรเหลืองกล่องนี้ของมั่วชิงเฉินก็เป็นสิ่งที่นางหลอมออกมายามว่าง เพราะเวลาส่วนใหญ่บำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนัก โอกาสที่จะใช้ยานี้มีไม่มาก จึงโยนไว้ในถุงเก็บวัตถุที่เก็บติดตัว ไม่คิดว่าจึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ด้วยเหตุนี้


 


 


ยามังกรเหลืองที่นางหลอมเองกับมือดีกว่าที่ขายทั่วไปมาก บาดแผลบนตัวผู้ชายที่น่าสยดสยองพวกนั้นประกบเข้าด้วยกันด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าหลังจากทางยา แม้แต่บาดแผลที่ร้ายแรงที่สุดบนขา ก็ดูดีขึ้นมากแล้ว


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าทายาบนบาดแผลทั่วตัวผู้ชาย เห็นยามังกรเหลืองเหลือเพียงเล็กน้อย จึงเอ่ยอย่างเจี๋ยมเจี้ยมว่า “ท่านผู้อาวุโส ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ใช้ไปมากถึงเพียงนี้”


 


 


มั่วชิงเฉินโบกมือว่า “ไม่เป็นไร เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกินไป เขาเพียงแต่บาดเจ็บสาหัสภายนอก อาการบาดเจ็บภายในมั่นคงลงนานแล้ว ยามนี้เกรงว่าคงแค่อ่อนเพลีย ผ่านไปอีกไม่นานก็ฟื้นแล้ว”


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าดูสภาพการณ์ตั้งแต่ตอนใส่ยาให้ผู้ชายแล้ว รู้ว่ามั่วชิงเฉินไม่ได้พูดปด ยามนี้กลับมาใจเย็นบ้างแล้ว จึงเอ่ยต่อมั่วชิงเฉินว่า “ครั้งนี้ดีที่ได้ท่านผู้อาวุโสช่วยเหลือจริงๆ บุญคุณใหญ่หลวงของท่านผู้อาวุโส พวกเราสามีภรรยาไม่มีวันลืมเลือน”


 


 


พูดพลางยื่นยามังกรเหลืองในมือเข้ามาว่า “ท่านผู้อาวุโส นี่คืนให้ท่าน ยามังกรเหลืองชั้นเลิศเช่นนี้พวกเราหาไม่ได้ ทว่าที่บ้านยังมีมุกจื่อหวาสงบจิตสองสามเม็ด หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่รังเกียจ”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ได้ยื่นมือรับยามังกรเหลืองมา แต่เลิกคิ้วยิ้มว่า “นางหยาง เจ้าก็รู้เรื่องโอสถด้วยเช่นนั้นหรือ?”


 


 


หญิงสาวเดาความหมายของมั่วชิงเฉินไม่ถูก แต่กลับเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าน้อยสามีภรรยาพึ่งการเก็บมุกเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะสามี เพราะว่าต้องลงทะเลเป็นครั้งคราว ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ โอสถอย่างอื่นซื้อไม่ไหว ทว่ายามังกรเหลืองกลับเป็นของที่จำเป็นต้องเตรียมไว้ เพียงแต่ยามังกรเหลืองที่เราซื้อ กลับเทียบไม่ติดกับกล่องนี้ของท่านผู้อาวุโส”


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางที่นางปวดใจยามที่พูดถึงสามีได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรใจจดจ่อกับการบำเพ็ญเพียรมากกว่า ก็มักมีสามีภรรยาที่รักกันลึกซึ้งเช่นนี้ แต่กลับไม่รู้วัฒนธรรมประเพณีที่นี่แม้แต่น้อย จึงถามต่อว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดถึงมุกจื่อหวาสงบจิตมันคือสิ่งใด?”


 


 


“มุกจื่อหวาสงบจิตเป็นไข่มุกที่มีเฉพาะที่ทะเลขนาบใจของเรา สีม่วงทั่วทั้งเม็ด มีพลังในการสงบจิตใจ” หญิงสาวชุดฟ้าอธิบาย


 


 


“สงบจิตใจ?” มั่วชิงเฉินตกใจ ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียร นางย่อมรู้ถึงประโยชน์ในการนี้ ทันใดนั้นนึกถึงไข่มุกสีม่วงสองเม็ดที่ได้จากในหอยยักษ์ เมื่อเพ่งจิตก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือว่า “มุกจื่อหวาสงบจิตที่เจ้าพูดถึง ใช่สิ่งนี้หรือไม่?”


 


 


หญิงสาวเห็นแล้วใบหน้าปรากฏสีหน้าไม่อยากเชื่อ ร้องด้วยความตกใจว่า “นี่ นี่คือมุกจื่อหวาสงบจิตชั้นเยี่ยม ท่านผู้อาวุโส ท่านมีได้เช่นไร?”


 


 


พูดถึงตรงนี้พบว่าตนเสียกิริยา จึงมองมั่วชิงเฉินอย่างตุ้มๆ ต่อมๆ ปราดหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบาว่า “นี่ก็เพราะเพิ่งบารมีของพวกเจ้า เมื่อครู่ยามที่ข้าลงทะเลพบมันในหอยยักษ์ที่หนีบขาของสามีเจ้าตัวนั้น เพียงแต่ เหตุใดข้าสัมผัสไม่ได้ว่าไข่มุกนี้มีฤทธิ์ในการสงบจิตใจ?”


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าได้ยินว่าพบในหอยที่หนีบสามีของนางไว้ กลับไม่ได้แสดงสีหน้าเสียดาย อธิบายว่า “มุกจื่อหวาสงบจิตนี้หากคิดให้สำแดงฤทธิ์ จำเป็นต้องปลุกคาถาลับ เพียงแต่คาถาลับนี้มีเพียงตระกูลหวังเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ถึงใช้เป็น คนเก็บมุกเช่นพวกเรา ก็ขายมุกจื่อหวาสงบจิตที่เก็บได้ให้ตระกูลหวัง”


 


 


มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “ตระกูลหวังเกาะใจศักดิ์สิทธิ์? นางหยาง รบกวนเจ้าเล่าเหตุการณ์โดยละเอียดของทางทะเลขนาบใจนี้สักหน่อยเถอะ ข้าไม่รู้เรื่องของที่นี่ไม่แต่น้อยจริงๆ”


 


 


หญิงสาวชุดฟ้านี่ถึงได้เล่าเรื่องของทะเลขนาบใจอย่างออกรสชาติ


 


 


ที่แท้ทะเลขนาบใจนี้ ไม่ใช่ดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออกที่มั่วชิงเฉินคิดไว้ในตอนแรก


 


 


ถึงสุดเขตแดนตะวันออกของดินแดนเทียนหยวน ก็คือน่านน้ำตื้นผืนหนึ่ง ไปทางตะวันออกหมื่นลี้ของน่านน้ำตื้นมีหมู่เกาะแห่งหนึ่ง ข้ามหมู่เกาะนี้ไปทางตะวันออกอีกอย่างน้อยยังต้องอีกหลายแสนลี้ ถึงจะเป็นดินแดนแห่งสิบทวีปที่แท้จริง


 


 


ดังนั้นน่านน้ำที่อยู่ตรงกลางระหว่างดินแดนแห่งสิบทวีปและดินแดนเทียนหยวน ก็คือหมู่เกาะแห่งนี้ที่ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่รุ่นต่อรุ่นเรียกกันว่าทะเลขนาบใจ


 


 


ในน่านน้ำที่อยู่ในบริเวณรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรของหมู่เกาะ ถึงจะมีมุกจื่อหวาสงบจิตชนิดนี้ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรในดินแดนเทียนหยวนที่รู้เรื่องจึงมีไม่มาก


 


 


ในหมู่เกาะแถบนี้หมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่าเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเกาะถูกตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหวังกุมอำนาจไว้ ว่ากันว่าก็เพราะบรรพบุรุษของตระกูลหวังนี้พบประโยชน์ของมุกจื่อหวาสงบจิต หลังจากใช้คาถาลับประจำตระกูลปลุกขึ้นมาแล้ว กลายเป็นสมบัติล้ำค่าใช้สงบจิตใจที่ผู้บำเพ็ญเพียรใช้ทองพันชั่งก็มิอาจหาได้


 


 


ที่ยิ่งหายากกว่าก็คือ ไม่ใช่ว่ฤทธิ์การสงบจิตของไข่มุกนี้าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่กลับสามารถใช้ได้กับผู้บำเพ็ญเพียรตั้งแต่ระดับหลอมลมปราณถึงระดับก่อกำเนิด นี่ก็คือจุดที่ล้ำค่าหายากแล้ว โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง บางทีจิตมารเข้าจู่โจม ชนะหรือพ่ายแพ้ห่างกันเพียงปลายก้อย


 


 


มั่วชิงเฉินจึงรู้สึกสนใจมุกจื่อหวาสงบจิตนี้และตระกูลหวังแห่งเกาะใจศักดิ์สิทธิ์นั่นขึ้นมาทันที ฟังคำพูดของหญิงสาวชุดฟ้าไปพลางในใจกลับมีความสงสัยสายหนึ่งแวบผ่าน ถามว่า “นางหยาง ตามที่เจ้าพูดมา คนของทะเลขนาบใจอาศัยอยู่ที่นี่มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากที่อื่นก็ไม่มาก ที่เจ้ารู้กลับไม่น้อย?”


 


 


หากบอกว่าตระกูลหวังที่มีอิทธิพลที่สุดที่นี่รู้เรื่องของดินแดนเทียนหยวนและดินแดนแห่งสิบทวีป กลับไม่ใช่เรื่องแปลก ที่นี่ผลผลิตไม่อุดมสมบูรณ์ ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหนึ่งคิดจะอยู่ที่นี่สืบสกุล อีกทั้งในมือกุมของหายากเช่นมุกจื่อหวาสงบจิตนี้ไว้อีก ต้องมีการไปมาหาสู่กับอิทธิพลบางพวกทางดินแดนเทียนหยวนนั่นเป็นแน่ เพียงแต่หญิงเก็บมุกระดับหลอมลมปราณขั้นสามกระจ้อยร่อยคนหนึ่งตรงหน้าก็กลับรู้ด้วย จะให้นางไม่คิดมากก็ไม่ได้แล้ว


 


 


ได้ยินสิ่งที่มั่วชิงเฉินถาม หญิงสาวชุดฟ้ามองสีหน้านางอย่างไม่ทิ้งร่องรอย แอบคิดว่าท่านผู้อาวุโสท่านนี้ดูลักษณะแล้วเป็นแค่สาวน้อย ความคิดกลับรอบคอบยิ่งนัก นางกัดริมฝีปาก สุดท้ายเอ่ยว่า ไม่กล้าปิดบังท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยไม่ใช่คนพื้นเมืองที่เกิดและโตที่นี่”


 


 


“อะไรนะ?” มั่วชิงเฉินตกใจ นี่ก็ยิ่งประหลาดแล้ว ด้วยตบะของนาง เป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามทะเลมาได้เลย


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ข้าน้อยเดิมเป็นชาวดินแดนเทียนหยวน หลายปีก่อน…ได้ตามผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานท่านหนึ่งมาถึงที่นี้…”


 


 


เห็นหญิงสาวชุดฟ้าสีหน้าแฝงแววลำบากใจ ดูเหมือนไม่ยอมพูดมาก มั่วชิงเฉินไม่ใช่คนทวงบุญคุณ จึงเอ่ยทันทีว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง นางหยาง ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้เรื่องทางนี้แม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าจะขอพักแรมที่บ้านเจ้าสักสองสามวันได้หรือไม่ แน่นอนหากไม่สะดวก ก็ไม่ต้องลำบากใจ…”


 


 


มั่วชิงเฉินยังพูดไม่จบก็ถูกหญิงสาวชุดฟ้าขัดขึ้นอย่างรีบร้อนแล้ว “ท่านผู้อาวุโสพูดอะไรเช่นนี้เจ้าคะ ท่านผู้อาวุโสมีบุญคุณช่วยชีวิตอันใหญ่หลวงต่อข้าสองสามีภรรยา สามารถมาพักแรมที่บ้านข้าได้ เป็นเรื่องขอยังขอไม่ได้ เพียงแต่ห้องหาบเรียบง่ายหยาบโลน เกรงว่าจะต้อนรับท่านอาวุโสได้ไม่ทั่วถึง”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม ที่นางยื่นการขอร้องนี้ ก็เพราะดูออกว่าหญิงสาวคนนี้นิสัยไม่เลว นับว่าเห็นแล้วยังถูกชะตา อีกอย่างอย่างไรเสียตนก็มีบุญคุณกับพวกเขา พักแรมที่บ้านนางก่อน สืบข่าวคราวให้แน่ชัดค่อยออกไป ย่อมดีกว่าการทำอะไรโดยไม่ไตร่ตรอง


 


 


“นางหยาง ไม่รู้ว่าสถานที่ที่พวกเจ้าอยู่พบเห็นคนแปลกหน้าแล้ว จะรู้สึกแปลกประหลาดหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


หญิงสาวชุดฟ้าว่า “ไม่เป็นเจ้าค่ะ ไม่นับหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเรานี่มีหมู่เกาะใหญ่น้อยหลายร้อยแห่ง หมู่เกาะส่วนใหญ่ล้วนมีคนอาศัยอยู่ คนธรรมดาพวกนั้นล้วนใช้ชีวิตอยู่บนเกาะเพียงเกาะเดียวทั้งชีวิต ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ จะไปกลับระหว่างเกาะต่างๆ เพราะอย่างไรเสียผลผลิตของแต่ละเกาะนั้นต่างกัน เพียงแต่…”


 


 


“เพียงแต่อันใด?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


หญิงสาวชุดฟ้ารวบรวมความกล้าว่า “เพียงแต่อายุน้อยเช่นท่านผู้อาวุโสนี้กลับตบะสูงเพียงนี้ กลับพบได้น้อยนัก”


 


 


ได้ยินหญิงสาวชุดฟ้าพูดแล้ว มั่วชิงเฉินถึงรู้สึกโล่งใจ


 


 


คิดว่าคงเพราะปราณวิญญาณและผลผลิตของที่นี่มีจำกัด คนที่เดินทางอยู่ข้างนอก น้อยนักจะได้เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ด้วยฐานะระดับสร้างรากฐานระยะกลางของนาง ขอเพียงเพิ่มความระมัดระวังละก็ อย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยไร้กังวลแล้ว


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง เก็บงำกลิ่นอาย ก็กลายเป็นตบะระดับหลอมลมปราณขั้นเก้าแล้ว นางยิ้มหวานให้หญิงสาวชุดฟ้าว่า “ท่านซ้อหยาง”

 

 

 


ตอนที่ 153 เหยียบเกาะสดับมุกครั้งแรก

 

ที่มั่วชิงเฉินกดตบะไว้ที่ระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า ก็เป็นการผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว


 


 


ในเมื่อนางหยางบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน อย่าพูดถึงว่าตนดูแล้วอายุน้อยเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นแม่นาง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรชายระดับสร้างรากฐานหน้าตาธรรมดามาถึงที่นี่ ในฐานะคนแปลกหน้าก็ต้องเป็นจุดสนใจของคนนับไม่ถ้วน ส่วนระดับหลอมลมปราณก็ไม่สะดุดตากว่ามาก


 


 


ทว่าตบะต่ำเกินไปก็ไม่ได้ แม่นางที่ดูแล้วอายุสิบเจ็ดสิบแปดเช่นนาง เพิ่งมาถึงตามลำพัง หากตบะต่ำต้อย นั่นก็คือการเรียกคราวเคราะห์นะ


 


 


ส่วนระดับหลอมลมปราณขั้นเก้ากำลังดี ลักษณะกำลังก้าวเข้าระดับหลอมลมปราณระยะปลายพอดี


 


 


ระดับหลอมลมปราณระยะปลายกับระดับหลอมลมปราณระยะต้น ระยะกลางนั้นต่างกันมาก นอกจากคาถาแล้วยังสามารถใช้อาวุธเวท เช่นนี้แล้วหากวันหลังมีปัญหา นางก็ไม่ต้องถึงกับกลัวโน่นกลัวนี่จนเกินไป ยิ่งกว่านั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่เดินทางอยู่ข้างนอก หากไม่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ก็ไม่ล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณระยะปลายหรอก เช่นนี้ก็ลดความยุ่งยากไปได้มาก


 


 


นางหยางนั่นก็เป็นคนเข้าใจอะไรดี เพียงแต่ชะงักทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แม่นางช่างทำให้ข้าน้อยอายุสั้นจริงๆ” ได้เปลี่ยนจากท่านผู้อาวุโสเป็นแม่นางอย่างไร้ร่องรอยแล้ว


 


 


“ซ้อหยาง ข้าแซ่มั่ว แม้ตบะสูงสักหน่อย ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ เจ้าก็เรียกข้าว่าน้องมั่วก็แล้วกัน หลายวันนี้ไม่แน่ยังต้องรบกวนพวกเจ้าสามีภรรยา” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยนใจเย็น


 


 


นางหยางพยักหน้าอย่างรู้กาลเทศะ “เช่นนี้ข้าน้อยก็ขอล่วงเกินแล้ว น้องมั่ว สถานที่ที่ข้าและสามีอยู่เรียกว่าเกาะสดับมุก นับว่าเป็นหนึ่งในเกาะใหญ่หลายเกาะนอกเหนือจากเกาะใจศักดิ์สิทธิ์แล้ว จำนวนและคุณภาพของมุกจื่อหวาสงบจิตที่ผลิตใกล้ๆ นี้เป็นของชั้นเลิศ ดังนั้นคนไม่น้อยล้วนยังชีพด้วยการเก็บมุก…”


 


 


มั่วชิงเฉินฟังพลางอมอิ้ม ซ้อหยางด้านหนึ่งเล่าสถานการณ์ของเกาะสดับมุกไปเรื่อยๆ ด้านหนึ่งพายเรือเล็กแล่นไปอย่างคล่องแคล่ว


 


 


ความเร็วของเรือเล็กย่อมเทียบไม่ได้กับอาวุธเวทเหินหาวเป็นธรรมดา ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ มองไปยังเป็นน้ำทะเลทั่วทั้งผืน ทว่ามั่วชิงเฉินสามารถใช้จิตตระหนักสัมผัสได้ถึงตัวเมืองแล้ว


 


 


ส่วนพี่หยางผู้นั้นในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว เห็นบนเรือตนมีสาวน้อยแปลกหน้าเพิ่มมาคนหนึ่ง แม้มีเพียงตบะระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า ก็อดตกใจไม่ได้ สีหน้าระแวงขึ้นมา


 


 


ซ้อหยางเห็นท่าจึงต่อว่าว่า “พี่อู่ ท่านทำท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ยังไม่รีบขอบคุณผู้มีพระคุณอีก โชคดีที่น้องมั่วช่วยท่านไว้ มิเช่นนั้น เราสามีภรรยาก็ต้องแยกกันสองภพแล้ว…”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็พูดต่อไปไม่ไหวแล้ว นึกถึงชีวิตการเก็บมุกเรื่องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ก็เพียงเพื่อสามารถซื้อโอสถวิญญาณกินเป็นครั้งคราว บำเพ็ญเพียรอย่างลำเค็ญเท่านั้น น้ำเสียงจึงสะอื้นขึ้นมา


 


 


เห็นภรรยาน้ำตาตก พี่หยางเกิดลนลานขึ้นมา รีบว่า “น้องหลาน เจ้าอย่าร้องไห้ เพราะข้าไม่เอาไหนแท้ๆ…”


 


 


มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าทางพวกเขาสองสามีภรรยารักกันลึกซึ้ง ในชั่วเวลาหนึ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตนยืนอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนจะเป็นก้างขวางคอนะ


 


 


ซ้อหยางเป็นคนหัวไว เมื่อระงับอารมณ์ตื่นเต้นที่เห็นสามีเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้แล้ว ก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้ผู้ชาย


 


 


พี่หยางผู้นี้ก็ไม่ใช่คนโง่ รีบคารวะมั่วชิงเฉินเป็นการใหญ่ทันทีว่า “แม้พูดกันว่าบุญคุณใหญ่หลวงไม่อาจทดแทนด้วยคำขอบคุณได้ ทว่าข้าหยางปี้อู่อย่างไรก็ต้องเอ่ยขอบคุณต่อแม่นางมั่ว บุญคุณที่ช่วยชีวิตจะจดจำมิลืมเลือน”


 


 


มั่วชิงเฉินเอียงตัวหลบแล้วว่า “พี่หยางเกรงใจไปแล้ว น้องเพียงแต่ช่วยโดยความบังเอิญเท่านั้น หลายวันนี้เกรงว่ายังต้องขอรบกวนพวกเจ้าด้วยนะ”


 


 


เห็นสายตาสงสัยเบาๆ ของสามี ซ้อหยางมองไปที่มั่วชิงเฉิน เห็นมั่วชิงเฉินไม่คัดค้าน จึงเล่าความเป็นไปให้หยางปี้อู่ฟังรอบหนึ่ง แน่นอนปิดบังเรื่องตบะที่แท้จริงของมั่วชิงเฉินไม่พูด


 


 


หยางปี้อู่ครุ่นคิดทีหนึ่งว่า “หากแม่นางมั่วไม่รังเกียจ ไม่สู้ก็บอกคนนอกว่าเป็นญาติผู้น้องห่างๆ ของภรรยาข้า ที่ออกมาฝึกตนจากเกาะอื่น”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “แล้วแต่พี่หยางจัดการ”


 


 


ในใจแอบคิดว่าสามีภรรยาคู่นี้กลับไม่เหมือนคนเก็บมุกธรรมดา แต่คิดอีกทีหนึ่ง ไม่ว่าตบะสูงหรือต่ำ สองคนนี้อย่างไรเสียก็มีรากวิญญาณ หากอยู่ในหมู่คนธรรมดา ก็นับเป็นหนึ่งในหมื่น กลับรู้สึกว่าตนคิดมากเกินไปอีก


 


 


เป็นเช่นนี้เดินทางอีกสองวันเต็มๆ ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เห็นเงาของแผ่นดินแล้ว


 


 


เห็นเพียงขอบฝั่ง มีเรือประมงจอดอยู่ไม่กี่ลำอย่างหงอยเหงา ลักษณะไม่ต่างกับเรือเล็กของสามีภรรยาหยางสักเท่าไร


 


 


มองลึกเข้าไปอีก ก็คือห้องหับติดๆ กัน เพียงแต่ห้องนั้นต่างกับที่มั่วชิงเฉินเคยเห็นเมื่อก่อน ไม่คิดเลยว่าจะสร้างขึ้นจากก้อนหินหลากสี ดูแล้วสวยงามยิ่งนัก


 


 


“น้องหยาง พวกเจ้าสองสามีภรรยากลับมาแล้วหรือ เป็นเช่นไร ผลเก็บเกี่ยวไม่เลวสินะ?” คนบนเรือเล็กลำหนึ่งตะโกนว่า


 


 


คนคนนั้นดูแล้วอายุสี่สิบกว่าปี ตบะระดับหลอมลมปราณขั้นสี่ คำพูดที่ถามแม้เป็นมิตร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดมั่วชิงเฉินกลับรู้สึกได้ว่าในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยการเยาะเย้ย


 


 


จากนั้นก็ได้ยินคนคนนั้นร้องอย่างตกใจเสียงหนึ่ง “อ้าว แม่นางผู้นี้คือ?” พูดพลางตาคู่หนึ่งจ้องมั่วชิงเฉินอย่างหลุกหลิก


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปอย่างเย็นชา พลานุภาพของระดับหลอมลมปราณระยะปลายทำให้คนคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย หดไหล่อย่างไม่รู้ตัว


 


 


“พี่หวังพูดเล่นแล้ว มีผลเก็บเกี่ยวอะไรที่ไหน นี่คือญาติผู้น้องของภรรยาข้าออกมาฝึกตน พอดีมาถึงใกล้ๆ เกาะสดับมุก เราสองสามีภรรยาจึงไปรับเท่านั้น” หยางปี้อู่เอ่ยนิ่งเรียบ จากนั้นพาพวกมั่วชิงเฉินสองคนเดินผ่านไป


 


 


ไกลออกไป ได้ยินเสียงที่แฝงด้วยความสงสัยของคนคนนั้นลอยมา “ญาติผู้น้อง? เหตุใดข้าไม่รู้ว่าภรรยาเขามีญาติผู้น้องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”


 


 


คนมีอายุอีกคนหนึ่งหัวเราะว่า “พี่หวังนี่เจ้าก็พูดเกินไปแล้ว นางหยางนั่นเดิมทีก็ไม่ใช่คนพื้นเมืองอยู่แล้ว มีญาติที่เราไม่รู้จักบ้างจะมีอะไรน่าแปลก?


 


 


“น้องมั่ว เจ้าอย่าใส่ใจ คนคนนั้นอาศัยที่ตนเป็นญาติห่างๆ ที่แทบไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง ปากพล่อยยิ่งนัก ต่อไปหลบให้ห่างๆ ก็แล้วกัน” นางหยางเอ่ยต่ำๆ


 


 


มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว แม้ว่ากันว่ามังกรแกร่งไม่กดขี่งูเจ้าถิ่น[1] ทว่าอย่างไรเสียตนก็ตบะสูงกว่าคนผู้นั้นมาก เหตุใดเขาจึงไม่ยำเกรงเลยแม้แต่น้อย


 


 


ทันใดนั้นรู้สึกว่าสถานที่ไม่คุ้นเคยนี้ยิ่งแปลกแล้ว มักทำให้นางรู้สึกทะแม่งๆ ทว่าก็พูดอะไรไม่ออก จึงถามตามอำเภอใจว่า “ได้ยินพี่สาวบอกว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ต่างเพิ่งการเก็บมุกเลี้ยงชีพ เหตุใดดูริมฝั่ง มีเรือประมงเพียงไม่กี่ลำ?”


 


 


นางหยางตอบว่า “น้องสาวมาได้ไม่ถูกเวลา เดือนสองเดือนนี้เป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของเรา บนทะเลลอยเต็มไปด้วยน้ำแข็ง มีไม่กี่คนที่ทนไหว ผ่านไปอีกระยะ เกรงว่าเรือริมฝั่งจะมากจนเราหาที่ลงไม่ได้แล้ว”


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้ายัง?” มั่วชิงเฉินถามอย่างแปลกใจ


 


 


นางหยางกัดริมฝีปาก ถอนใจเสียงต่ำว่า “ก็เพราะเขาคิดจะหาหินวิญญาณให้มากสักหน่อยซื้อโอสถสองสามเม็ด คิดจะทะลวงระดับหลอมลมปราณขั้นห้าน่ะสิ ไม่ปิดน้องสาว ผู้บำเพ็ญเพียรของเราที่นี่หากถึงระดับหลอมลมปราณขั้นห้า ชีวิตก็จะดีกว่ายามนี้มากเลย”


 


 


“เอ่อ?” มั่วชิงเฉินเบิกตา


 


 


นางหยางเหลือบหยางปี้อู่ปราดหนึ่งเบาๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “ถึงระดับหลอมลมปราณขั้นห้าแล้ว ก็จะมีคุณสมบัติไปเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลหวังแล้ว เช่นนั้นทุกเดือนก็จะมีหินวิญญาณเป็นค่าจ้าง ชีวิตดีกว่าเราเสี่ยงชีวิตเช่นนี้มาก น่าเสียดายครั้งนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีผลเก็บเกี่ยว ยังเกือบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว…”


 


 


ความลำเค็ญของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ปีนั้นที่เมืองเทียนเหยามั่วชิงเฉินก็เคยประจักษ์มาแล้ว และในสถานที่ที่มีอำนาจผูกขาดเพียงตระกูลเดียว เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักจะลำบากยิ่งกว่าลำบาก


 


 


ฟังที่นางหยางพูดแล้ว มั่วชิงเฉินเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลหวังขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว


 


 


ที่แท้นอกจากคนในตระกูล ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักในทะเลขนาบใจแทบจะทั้งหมดล้วนพึ่งพาตระกูลหวังถึงอยู่รอดได้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณไม่มีความสามารถข้ามทะเลได้ จึงไม่อาจนำผลผลิตของทะเลขนาบใจออกไปแลกเป็นหินวิญญาณได้


 


 


และเนื่องจากได้รับการจำกัดจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์โดยธรรมชาติ ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรบางอย่างที่มิอาจขาดได้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรไม่มีที่ทะเลขนาบใจนี้ จึงจำเป็นต้องซื้อจากภายนอกทั้งหมด


 


 


ของเหล่านี้ย่อมควบคุมอยู่ในมือตระกูลหวังเป็นธรรมดา ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นเพื่อแลกกับของที่จำเป็นต้องใช้ในการบำเพ็ญเพียร จึงไม่อาจไม่ไปทำงานต่างๆ เพื่อแลกหินวิญญาณ


 


 


อีกทั้งตระกูลหวังได้ตั้งกฎไว้ ของเพียงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักระดับหลอมลมปราณขั้นห้าก็มีคุณสมบัติกลายเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลหวัง ถึงระดับหลอมลมปราณขั้นเก้าก็สามารถกลายเป็นนักสู้ประจำตระกูล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ให้ความหวังแก่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านั้นอีก ไม่ได้บีบจนพวกเขาไม่มีความหวังเลยเสียทีเดียว แล้วเกิดโกรธแค้นต่อต้าน


 


 


แน่นอน นี่ไม่ใช่คำพูดแต่เดิมของนางหยาง หากแต่เป็นสิ่งที่มั่วชิงเฉินสรุปออกมาตามคำพูดของนาง


 


 


มั่วชิงเฉินพิจารณาช้าๆ พบว่าเกาะนี้ใหญ่มาก หากเดินอยู่ภายในโดยไม่รู้ความก็จะไม่มีทางพบเลยว่านี่เป็นเกาะเกาะหนึ่ง ประหนึ่งไม่ต่างอะไรกับการเดินอยู่บนดินแดนเทียนหยวน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางไปมาก็มากมาย ตบะส่วนใหญ่อยู่ระดับหลอมลมปราณระยะแรกระยะกลาง ระยะปลายก็ไม่นับว่าน้อย เพียงแต่ดูเหมือนหญิงสาวมีไม่มาก ดังนั้นมั่วชิงเฉินยังคงได้รับสายตาพิจารณาไม่น้อย


 


 


รอเดินไปอีกระยะหนึ่ง เลี้ยวเข้าถนนที่แคบสักหน่อยเส้นหนึ่ง พบเจอผู้คนอีก ก็มีคนส่งเสียงทักทายไม่น้อยแล้ว สองสามีภรรยาแซ่หยางแนะนำมั่วชิงเฉินตามที่ได้ปรึกษากันไว้แล้วเช่นกัน


 


 


ในที่สุดทั้งสามคนก็หยุดอยู่หน้าเรือนพักทรุดโทรมหลังหนึ่ง นางหยางหยิบกุญแจเปิดประตูลานบ้านออก พูดกับมั่วชิงเฉินว่า “น้องสาวเชิญเข้ามาเร็ว ในบ้านเรียบง่ายหยาบโลนไปสักหน่อย ขออย่ารังเกียจ”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม แล้วยกเท้าเดินเข้าไป พบว่าข้างในแม้ทรุดโทรม กลับเก็บกวาดได้อย่างสะอาด โดยเฉพาะในลานบ้านเล็กๆ ยังปลูกต้นเหมยไว้ต้นหนึ่ง ส่งกลิ่นหอมจางๆ ในฤดหนาวอันหนาวเหน็บนี้


 


 


“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกลับมาแล้ว” เด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งผลักประตูบ้านออกแล้ววิ่งออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ จึงชะงักอยู่ตรงนั้น แล้วไปแอบหลังนางหยาง


 


 


นางหยางลากเด็กชายออกมาว่า “เสี่ยวไห่ เรียกท่านน้า”


 


 


เด็กชายใบหน้าหมดจด ตาคู่หนึ่งดูแล้วทั้งโตทั้งเป็นประกาย มองมั่วชิงเฉินพลางเรียกท่านน้าเบาๆ มีความอ่อนนุ่มตามแบบฉบับเฉพาะของเด็กๆ


 


 


มั่วชิงเฉินทักทายเด็กชายอย่างอ่อนโยน คิดจะมอบของเล่นให้เป็นของขวัญพบหน้า กลับพบว่ายามนี้สิ่งที่ตนเองมีล้วนเป็นสิ่งที่เอาออกมาไม่ได้ จึงอดเคอะเขินเล็กน้อยไม่ได้ ทันใดนั้นนึกถึงมุกกันน้ำที่ได้มาใหม่ จึงเอาออกมาเม็ดหนึ่งยื่นไปว่า “เสี่ยวไห่ อันนี้เจ้าเอาไปเล่นเถอะ”


 


 


มองดูมุกสีฟ้าอ่อนพร้อมด้วยลายน้ำสีขาวในมือมั่วชิงเฉิน หยางปี้อู่สีหน้าเปลี่ยนทันที รีบว่า “แม่นางมั่วหามิได้ นี่ล้ำค่าเกินไปแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินตบะสูงกว่าสองสามีภรรยานี้มากนัก จากการตั้งใจดูย่อมดูออกว่าสีหน้าของพวกเขาไม่เหมือนแกล้งทำ จึงยิ้มว่า “เป็นเพียงของเล่นที่มอบให้เด็กๆ พวกเจ้าก็อย่าเกี่ยงเลย หากรู้สึกเกรงใจ ก็ให้ข้าลองชิมฝีมือของพี่สาว เปิดหูเปิดตากับของจำเพาะของที่นี่สักหน่อยก็แล้วกัน”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินไม่วางมาดแม้แต่น้อย หยางปี้อู่โล่งใจ แล้วสั่งให้นางหยางไปทำอาหาร


 


 


มั่วชิงเฉินย่อมไม่ยินยอมพูดมากกับผู้ชายที่ไม่นับว่ารู้จักคนหนึ่ง จึงหยอกเล่นอยู่กับเสี่ยวไห่ ใช้หางตาเหลือบเห็นหยางปี้อู่แอบหนีไปห้องครัวเงียบๆ


 


 


จึงยิ้มขึ้นทันที จิตตระหนักแผ่ออกมาเงียบๆ


 


 


 


 


——


 


 


[1] มังกรแกร่งไม่กดขี่งูเจ้าถิ่น หมายถึง แม้จะเป็นบุคคลที่มีอำนาจหรือกำลัง ก็จะไม่ไปกดขี่หรือยุ่งเกี่ยวกับอันธพาลเจ้าถิ่น เพราะอาจทำให้เพลี่ยงพล้ำหรือพ่ายแพ้ได้ 

 

 


ตอนที่ 154 หว่านแหในที่มืด

 

“น้องหลาน แม่นางมั่วผู้นั้นเหตุใดจึงปรากฏตัวที่นี่ได้?” ได้โอกาส ในที่สุดหยางปี้อู่ก็ทนไม่ไหวถามออกมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณทั่วไปไปมาระหว่างเกาะทั้งหลายล้วนนั่งเรือรับส่งแขกโดยเฉพาะ ส่วนมั่วชิงเฉินกลับปรากฏขึ้นตามลำพังในน่านน้ำที่ไม่มีเส้นทางการเดินเรือ ช่างทำให้คนแปลกใจเสียจริงๆ


 


 


นางหยางตู้เหลือบมองหยางปี้อู่ปราดหนึ่งว่า “แม่นางมั่วมียันต์เหินหาว”


 


 


มั่วชิงเฉินที่ใช้จิตตระหนักคอยสังเกตความเคลื่อนไหวทางนี้ตลอดแอบพยักหน้า นางหยางตู้คนนี้สุดท้ายก็เป็นคนรักษาสัจจะ ได้รับการกำชับจากนาง ต่อให้เป็นสามีที่สนิทสนมที่สุดก็ไม่เปิดเผยแม้แต่น้อย จึงเกิดความรู้สึกดีขึ้นมาทันที


 


 


หยางปี้อู่ตกใจว่า “ไม่นึกเลยว่าจะมียันต์เหินหาว เช่นนี้แล้ว แม่นางมั่วต้องความเป็นมาดีมากเป็นแน่ มิน่าล่ะ นางอายุยังน้อยก็มีตบะระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า เทียบกับพวกเราแล้วต้องเก่งกว่ามากเลย”


 


 


นางหยางตู้เหล่หยางปี้อู่ปราดหนึ่ง “เจ้าคิดมากเพียงนั้นทำอะไร ไม่ว่าแม่นางมั่วมีความเป็นมาเช่นไร มีบุญคุณช่วยชีวิตท่านก็เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน อีกทั้งยังมอบของขวัญพบหน้าล้ำค่าเช่นนั้นให้เสี่ยวไห่อีก”


 


 


หยางปี้อู่ยิ้มอย่างเอาใจว่า “น้องหลาน เจ้าอย่าโกรธ มีพวกเจ้าแม่ลูกสองคน ข้าไม่รอบคอบไม่ได้ แม่นางมั่วตบะล้ำลึก บุญคุณใหญ่หลวงของนางเกรงว่าพวกเราคงไม่มีโอกาสตอบแทน หลายวันนี้เจ้าก็ใส่ใจมากสักหน่อย ต้อนรับนางอย่างดีสักครา หวังเพียงนางเดินทางอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ได้อย่างปลอดภัยก็พอแล้ว”


 


 


“นี่ยังต้องให้ท่านบอกหรือ รีบกลับห้องไปพักเถอะ ข้ารู้ว่าอาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดีนะ” ในน้ำเสียงต่อว่าของนางหยางตู้กลับแฝงไว้ด้วยความหวานชื่นสายหนึ่ง


 


 


หยางปี้อู่จับมือของนางไว้ทันที เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ไป ข้าอยากดูเจ้า…”


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บจิตตระหนักกลับมาอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ตัดสินใจว่ารอคุ้นเคยกับสภาพการณ์ก็จะจากไป


 


 


รอถึงเวลาอาหาร มั่วชิงเฉินได้กินอาหารรสเลิศที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตามคาด โดยเฉพาะกุ้งสีเหลืองทองชนิดหนึ่ง เข้าปากแล้วทั้งสดทั้งหอมเนื้อก็ลื่น รสชาติมิอาจลืมเลือน


 


 


สองสามีภรรยาแซ่หยางดันกับข้าวให้ตลอดเวลา แทบจะดันกุ้งจานนั้นไปในชามของนางจนหมด มั่วชิงเฉินกลับพบว่าเสี่ยวไห่แอบมองกุ้งใหญ่สีทองนั่นแล้วกลืนน้ำลาย จึงเข้าใจขึ้นมาทันที ครอบครัวนี้ปกติเกรงว่าจะไม่ได้มีเหลือเฟือ


 


 


คืนนั้นมั่วชิงเฉินพักในห้องชั้นดีที่นางหยางตู้เก็บกวาดจนสะอาด ไม่ได้บำเพ็ญเพียร หากแต่นอนหลับอย่างสบายตื่นหนึ่ง


 


 


วันที่สอง รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามคาด มั่วชิงเฉินตัดสินใจออกไปดูหน่อย จึงบอกกล่าวสองสามีภรรยาแซ่หยาง แล้วเดินไปบนถนน


 


 


บนถนนผู้คนคับคั่งครึกครื้นยิ่งนัก กระทั่งยังมีคนขายพุทราเชื่อม คนขายตุ๊กตาดินถูกเด็กน้อยน้ำมูกไหลกลุ่มหนึ่งล้อมไว้


 


 


มั่วชิงเฉินพบว่าคนธรรมดาที่นี่และผู้บำเพ็ญเพียรไม่ได้แยกแยะกันอย่างชัดเจนนัก นางเห็นกับตาว่าคนขายของหาบเร่ที่มีตบะระดับหลอมลมปราณขั้นสองคนหนึ่ง เพิ่งเอาของละลานตาออกมา ก็มีคนล้อมเข้าไปไม่น้อย มีทั้งคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียร


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที จึงเขยิบเข้าไปดูว่าคนขายของนี้ขายอะไรด้วย


 


 


“ทุกคนเร่เข้ามา สร้อยข้อมือไข่มุกชั้นดี สร้อยคอหอยหลิงหลง ราคายุติธรรม ไม่หลอกลวงทั้งเด็กและคนชรา” คนขายของตะโกนบอก


 


 


มั่วชิงเฉินดูจนงงเป็นไก่ตาแตก คนคนนี้แม้อยู่แค่ระดับหลอมลมปราณขั้นสอง ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ไม่คิดว่าจะทำการค้าเช่นนี้ได้ ส่วนหญิงสาวที่ล้อมเข้ามาบางส่วน ต่อรองราคากันขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน


 


 


ทั้งหมดนี้กระทบมโนคติที่เกิดขึ้นตั้งแต่เก่าก่อนของมั่วชิงเฉิน แต่กลับมีความรู้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตาอีก มิน่าถึงว่าผู้บำเพ็ญเพียรกักตนบำเพ็ญเพียรเพียงอย่างเดียวไม่ได้ หากแต่ต้องท่องเที่ยวไปทั่วหล้า สัมผัสขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างออกไป


 


 


มีเพียงโลกทัศน์เปิดกว้างแล้ว จึงจะค่อยๆ เข้าใจว่าตนเหมาะจะเดินทางสายใดที่สุด สุดท้ายหาเต๋าของตนจนพบ


 


 


ในเวลาที่นางเหม่อลอยนี่เอง คนขายของเผยให้เห็นฟันขาวเต็มปากยิ้มให้นางว่า “แม่นาง เจ้าดูสร้อยข้อมือปะการังสีแดงเส้นนี้เป็นเช่นไร นี่แดงอย่างสะดุดตากระจ่างใส เข้ากับสีผิวของเจ้าไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว”


 


 


เมื่อมั่วชิงเฉินมองดู สร้อยข้อมือเส้นนั้นร้อยขึ้นจากเม็ดปะการังสีแดงสิบเม็ดที่ขัดเรียบเป็นเงา มีแสงวิญญาณเคลื่อนไหวรางๆ ยิ่งขับจนเม็ดมุกนี้กระจ่างใส หากใส่บนข้อมือของแม่นางอายุน้อยย่อมงดงามไม่ธรรมดา จึงแอบคิดว่าคนคนนี้กลับรู้จักทำการค้า คิดว่าสร้อยมุกที่มีปราณวิญญาณ หญิงสาวธรรมดาพวกนั้นคงซื้อไม่ไหว นี่ถึงได้คิดวางแผนขายมาถึงตัวนาง


 


 


นึกถึงมั่วหลีลั่วชอบใส่ชุดแดง มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าสร้อยข้อมือนี้หากนางได้เห็นแล้วต้องชอบแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นเช่นไรบ้างแล้ว ได้ออกจากหุบเขานั่นหรือไม่


 


 


“แม่นาง?” คนขายของตะโกนเสียงหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา จงใจต่อรองราคารอบหนึ่ง เลือกของที่สวยงามน่าสนใจซื้อไว้สองสามชิ้นแล้วก็จากไป


 


 


มั่วชิงเฉินยังไม่ได้ไปไกล ก็มีคนคนหนึ่งพูดกับผู้ชายหนวดเฟิ้มอีกคนหนึ่งว่า “ท่านดูแม่นางคนนั้นเป็นเช่นไร?”


 


 


หากนางหันกลับไป ต้องจำได้ว่าคนที่พูดก็คือชายวัยกลางคนที่ชวนสองสามีภรรยาแซ่หยางคุยที่ท่าเรือเมื่อวานเป็นแน่


 


 


“ไม่เลวทีเดียว ไม่คิดว่าจะมีตบะระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า ดูท่าทาง ต้องยังเป็นสาวพรหมจรรย์แน่…” ผู้ชายหนวดเฟิ้มเอ่ย


 


 


ชายวัยกลางคนนั่นได้ใจขึ้นมาทันที หัวเราะว่า “พี่เฉา ข้าไม่ได้หลอกท่านใช่ไหมล่ะ หากมอบนางขึ้นไป ท่านก็จะ…”


 


 


ผู้ชายหนวดเฟิ้มเบิ่งตาใส่เขาปราดหนึ่งว่า “หวังเสี่ยวลิ่ว เจ้าสืบความเป็นมาของนางแล้วหรือยัง?”


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วพยักหน้าว่า “สืบเรียบร้อยแล้ว นางเป็นญาติผู้น้องห่างๆ ของสะใภ้หยางปี้อู่”


 


 


“หยางปี้อู่?”


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วรีบว่า “คนไม่สำคัญ ท่านต้องไม่รู้จักแน่ ทว่าเจ้าหนุ่มนั่นกลับมีฝีมือดีในการเก็บมุก มีชื่อเสียงอยู่บ้างในหมู่คนเก็บมุก วางใจได้ พ่อแม่ของเจ้าหนุ่มนั่นตายเร็ว และก็ไม่มีคนในตระกูล ภรรยาเขาก็เป็นคนมาจากข้างนอก ไม่มีภัยตามมาหรอก แหะๆ เมื่อวานข้าเห็นแม่นางนั่นปุ๊บ ก็รู้สึกว่าคนที่ท่านตามหาได้เรื่องแล้ว ข้าจ้องไว้ตาไม่กะพริบเลยนะ”


 


 


“นางตบะสูงกว่าเจ้า เจ้าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น!” ผู้ชายหนวดเฟิ้มพูดอย่างไม่พอใจ


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วเอาใจว่า “ที่ไหนกัน ฝีมือข้าท่านยังไม่รู้อีกหรือ อีกอย่างท่านดูถนนใหญ่นี่คนไปมาขวักไขว่ ข้าปนเข้าไปข้างในปุ๊บ ต่อให้นางเป็นเจ้าแม่หวังหมู่ก็ไม่สังเกตเห็น”


 


 


ผู้ชายหนวดเฟิ้มมองทิศทางที่มั่วชิงเฉินจากไปแล้วยิ้ม ส่งสัญญาณทางสายตาให้หวังเสี่ยวลิ่ว


 


 


มั่วชิงเฉินไปร้านเสื้อสำเร็จรูปก่อนซื้อเสื้อผ้ารองเท้าถุงเท้าสองสามชุด แล้วไปร้านอีกหลายร้านซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อยบางส่วนที่อาจได้ใช้ แล้วเริ่มเตร็ดเตร่เดินซื้อของเล่นขึ้นมา


 


 


การเดินซื้อของอาจเป็นนิสัยโดยธรรมชาติของหญิงสาว นางที่กระปรี้กระเปร่าเดินเสร็จร้านแล้วร้านเล่า เห็นของแปลกใหม่น่าสนใจก็ซื้อไว้ บางทีออกมาสองมือว่างเปล่าก็มี รอจนในที่สุดนางหยุดอยู่หน้าร้านที่แขวนป้ายว่าร้านขายของสารพัด สองคนที่สะกดรอยอยู่ข้างหลังก็ตามจนขาจะสั่นแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินกระดกมุมปาก กวาดสายตาผ่านป้ายชื่อร้านที่แผ่แสงวิญญาณห้าสีปราดหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไป


 


 


ร้านที่สำหรับขายผู้บำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะล้วนพิถีพิถัน หากอยู่ในตลาดเฉพาะทางก็ช่างเถอะ หากเหมือนที่นี่เซียนและคนสามัญผสมปนเปอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นป้ายชื่อร้านของร้านรวงประเภทนี้ก็จะผนึกปราณวิญญาณไว้ ใช้ในการเตือนผู้บำเพ็ญเพียร


 


 


“ท่านเซียนรีบเชิญ ไม่ทราบต้องการสิ่งใดบ้าง?” ลูกจ้างเพิ่งเข้าสู่ระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งเดินเข้ามา


 


 


มั่วชิงเฉินกวาดสายตาผ่านชั้นวางสินค้าที่ละลานตาปราดหนึ่ง ยิ้มแผ่วเบาว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าที่นี่มีสิ่งใดบ้าง?”


 


 


ลูกจ้างแสยะมุมปาก พูดน้ำไหลฟังดับว่า “ของที่มีมีมากมายขอรับ ยันต์ โอสถ สมุนไพรทิพย์ ชาทิพย์ วัตถุดิบต่างๆ กระทั่งอาวุธเวท ที่นี่ก็มี ขอเพียงท่านเซียนอยากซื้อ หากที่เรานี่หาไม่ได้ เกรงว่าก็คงมีเพียงไปร้านที่เกาะใจศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินแอบหัวเราะว่าช่างเป็นร้านขายของสารพัดจริงๆ มีไปเสียทุกอย่างจริงๆ ปากพูดว่า “เอ่อ? ครบครันถึงเพียงนี้เชียว?” ท่าทางไม่ค่อยเชื่อ


 


 


ลูกจ้างรีบว่า “แน่นอนขอรับ ร้านของเราเป็นร้านขายของสารพัดที่ใหญ่ที่สุดในเกาะสดับมุกเลยนะ”


 


 


“เช่นนั้น…มีเตาโอสถหรือไม่?” มั่วชิงเฉินดูเหมือนถามโดยไม่ตั้งใจ


 


 


“เตาโอสถ?” ลูกจ้างมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างประหลาดใจยิ่งนัก ทันได้นั้นได้สติคืนมาว่า “ไม่คิดเลยว่าท่านเซียนหลอมโอสถได้?”


 


 


มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลงมา เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เป็นอะไร พวกเจ้าขายของยังต้องถามคนซื้อให้รู้เรื่องว่าจะซื้อไปทำอะไรด้วยหรือ?”


 


 


ลูกจ้างรีบโบกมือว่า “ท่านเซียนอย่าเข้าใจผิด เพียงแต่ข้าน้อยอยู่ในร้านมาหลายปี ท่านเป็นคนแรกที่ถามถึงเตาโอสถจริงๆ”


 


 


“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินถือโอกาสถาม


 


 


ลูกจ้างหัวเราะแหะๆ ว่า “อาจารย์เซียนที่หลอมโอสถเป็น มีเพียงในตระกูลหวัง ทั้งหมดไม่เกินหนึ่งร้อยคน นั่นช่างไม่ต้องห่วงเรื่องกินอยู่เลยจริงๆ!” สีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา


 


 


นักหลอมโอสถหนึ่งร้อยคนฟังแล้วมากมายนัก ทว่าเมื่อนึกถึงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักทั้งทะเลขนาบใจล้วนต้องพึ่งพาตระกูลหวังในการบำเพ็ญเพียร ส่วนโอสถที่หลอมโดยนักหลอมโอสถหนึ่งร้อยคนนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเพียงนี้เกรงว่าแม้ยัดซอกฟันก็ไม่พอ มั่วชิงเฉินจึงเข้าใจคุณค่าของนักหลอมโอสถที่นี่แล้ว


 


 


“ตกลงมีหรือไม่?” มั่วชิงเฉินมองลูกจ้างปราดหนึ่งเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม


 


 


ลูกจ้างที่เพิ่งคุยโวถูกสายตาของมั่วชิงเฉินมองจนหน้าแดง รีบเอ่ยว่า “ท่านเซียนท่านรอก่อน ข้าไปถามเถ้าแก่ดู” พูดจบก็วิ่งเข้าไปในประตูเล็กๆ บานหนึ่งหลังชั้นคิดเงิน


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่รีบร้อน พิจารณาชั้นวางของพวกนั้นตามสบาย เห็นชั้นวางของอันหนึ่งวางขวดหยกแบบต่างๆ แปะชื่อโอสถไว้ ทว่าเป็นพวกโอสถธรรมดา กลับเป็นอาวุธเวทบนชั้นวางของอีกอันหนึ่ง ไม่คิดว่ามีสินค้าชั้นสูงด้วย


 


 


ดูที่อื่นอีก วัตถุดิบมากมายคาดว่าคงได้มาจากในทะเล ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะไม่รู้จักเป็นส่วนใหญ่ แอบคิดว่าวัตถุดิบพวกนี้กลับสามารถซื้อไว้สักหน่อยได้


 


 


กำลังครุ่นคิดอยู่ ลูกจ้างก็กลับมาแล้ว บอกกับมั่วชิงเฉินว่า “ท่านเซียน โชคของท่านช่างไม่เลวจริงๆ ที่เรานี่มีเตาโอสถอันหนึ่งพอดี ทว่าเตาโอสถนั่นคุณภาพชั้นเลิศ ไม่สะดวกเอามาที่นี่ เถ้าแก่บอกว่าหากท่านอยากได้อย่างจริงใจ ก็เข้าข้างในคุยกันสักครา”


 


 


“เจ้านำทางเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


ลูกจ้างโค้งตัว นำมั่วชิงเฉินเข้าไปอย่างนอบน้อม ทะลุผ่านระเบียงแห่งหนึ่งมาถึงหน้าประตูบานหนึ่งว่า “ท่านเซียน เถ้าแก่ของเราก็อยู่ข้างในนี้แหละ”


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือบมองลูกจ้างปราดหนึ่งอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ยื่นมือผลักประตูแล้วเดินเข้าไป


 


 


มั่วชิงเฉินที่เพิ่งก้าวเข้าไปก็เห็นแหใหญ่ปากหนึ่งโถมเข้ามาตรงหน้า นางมุมปากอมยิ้มเย็นชาพลางถอยไปด้านหลัง ซัดก้อนอิฐในมือออกไปด้วยพละกำลังมหาศาล


 


 


คนในห้องเห็นดังนั้นเผยรอยยิ้มมั่นใจว่าต้องชนะ กลับต้องตกตะลึงที่พบว่าก้อนอิฐนั้นแม้ไม่ได้ทะลุแหออกมา แต่กลับพาแหใหญ่บินมุ่งมาพร้อมกันทางที่เขาอยู่


 


 


คนคนนั้นเสกคาถานิ้ว แหใหญ่เปล่งแสงวิญญาณขึ้น เหมือนสิ่งมีชีวิตก็ไม่ปานหดรัดก้อนอิฐไว้แน่นกักไว้ข้างใน ก้อนอิฐชนทางซ้ายแหกวงล้อมทางขวากลับไม่อาจหลุดออกมาได้ แล้วเริ่มหมุนไปๆ มาๆ อยู่ในแห


 


 


“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” มั่วชิงเฉินฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง พลังวิญญาณที่บังคับก้อนอิฐเพิ่มขึ้นอีกสองส่วน ก้อนอิฐที่กระโดดขึ้นในบัดดลซัดเข้าหน้าของคนคนนั้นด้วยความเร็วปานฟ้าผ่า แล้วก็ได้ยินเสียงปึงเสียงหนึ่งตามมาติดๆ รอยยิ้มที่มุมปากของคนคนนั้นยังไม่ทันได้เก็บไป ก็ถูกอิฐซัดจนกองไปกับพื้น


 


 


มองหวังเสี่ยวลิ่วที่ตกใจจนตัวสั่นงันงก มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยว่า “ช่างบังเอิญ พบหน้ากันอีกแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 155 คุณชายหกตระกูลหวัง

 

หวังเสี่ยวลิ่วหน้าถอดสี ยกเท้าก็จะวิ่งออกไปข้างนอก กลับถูกมั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อเกิดลมอันไร้รูปกวาดกลับไป


 


 


เขาที่ล้มนั่งลงบนพื้น รีบโหวกเหวกโวยวายเหมือนหมูถูกเชือดทันทีว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”


 


 


กลับเห็นมั่วชิงเฉินมองเขาอยู่อย่างเยือกเย็นไม่รีบร้อน รอเขาหุบปากถึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่สู้เจ้าออมแรงไว้บอกข้าดีกว่า ว่าเหตุใดเราจึงบังเอิญพบกันอีกแล้ว?”


 


 


“เจ้า…เจ้าอย่าได้ใจไป เถ้าแก่ของเราที่นี่ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเลยนะ!” หวังเสี่ยวลิ่วภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ภายในใจขี้ขลาดตาขาวแล้วพูด เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าหญิงสาวตรงหน้าเหตุใดถึงเอาชนะหวังเฉาที่อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสองได้อย่างง่ายดาย


 


 


“เถ้าแก่ของพวกเจ้าที่นี่?” มั่วชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ ฟังความหมายในนั้นออก ทันใดนั้นยกมือขึ้นตียันต์สีชมพูออกแผ่นหนึ่ง


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วตกใจกระโดดโหยงขึ้นมา เอามือกุมศีรษะหนีหัวซุกหัวซุน กลับได้ยินเสียง ‘ฟู่’ เสียงหนึ่ง ยันต์แผ่นนั้นแปะลงกลางหลังเขาพอดี


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วร่างกายแข็งทื่อ หมุนตัวมาช้าๆ มองมั่วชิงเฉินอย่างกลัวหัวหด


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มทีหนึ่ง “เจ้าฟังให้ดีนะ นับแต่นี้ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบอะไร หากพูดปด ยันต์ถามใจบนหลังเจ้าจะไม่ยอมนะ!”


 


 


ยันต์สีชมพูแผ่นนั้นก็คือยันต์ถามใจ จัดเป็นยันต์สนับสนุน สามารถตัดสินว่าคนพูดปดหรือไม่ ทว่ายันต์ชนิดนี้ค่อนข้างน้อย ราคาไม่ธรรมดา ใช้ขึ้นมาก็มีข้อจำกัดมากมายอีก ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาไม่มีทางซื้อ ยังเพราะครั้งนี้มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงซื้อไว้สองสามใบติดมือมาแล้วเก็บไว้


 


 


“ยันต์ถามใจ?” หวังเสี่ยวลิ่วสีหน้าจะร้องไห้แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินขี้เกียจพูดมากกับเขา จึงถามตรงไปตรงมาว่า “บอกมาเถอะ เหตุใดถึงหมายตาข้าไว้?”


 


 


เห็นหวังเสี่ยวลิ่วกลอกตาล่อกแล่ก มั่วชิงเฉินเตือนว่า “อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนเจ้า ขอเพียงเจ้าพูดปดแค่ประโยคเดียว ยันต์แผ่นนั้นก็จะระเบิดออก ถึงเวลา ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”


 


 


“ท่านย่า ท่านผู้ใหญ่ก็อย่าถือสาข้าน้อยเลยนะ ละเว้นข้าเถอะ ถ้าข้าพูดละก็ต้องตายแน่…” หวังเสี่ยวลิ่วโค้งคำนับติดๆ กัน พูดถึงข้างหลังถึงกับร้องไห้โฮขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยว่า “หากเจ้าไม่พูด บัดนี้ก็ต้องตายแน่แล้ว…” พูดพลางในมือปรากฏกระบี่ออกมาเล่มหนึ่ง หมุนอยู่บนปลายนิ้วอย่างปราดเปรียว แสงเย็นแปลบปลาบ


 


 


มองดูสีหน้าไม่ต้องสงสัยของมั่วชิงเฉิน หวังเสี่ยวลิ่วทรุดลงไปทั้งตัว พึมพำว่า “ข้า…ข้าไม่ได้หมายตาเจ้าเป็นพิเศษ”


 


 


“พูดมาสั้นๆ อย่าคิดถ่วงเวลา ต่อให้กองหนุนที่เจ้ารอมาแล้ว หากไม่ให้ความร่วมมือละก็ ข้ารับรองจะเก็บเจ้าล่วงหน้าก้าวหนึ่งก่อน” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วสีหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่ แอบว่าข้าดูผิดไปจริงๆ เหตุใดถึงไปตอแยนางมารเช่นนี้ จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างว่าง่ายรอบหนึ่งทันที


 


 


ที่แท้หวังเสี่ยวลิ่วนี้ ยังมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหวังแห่งเกาะใจศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรชายที่ถูกมั่วชิงเฉินเอาก้อนอิฐตบจนสลบชื่อหวังเฉา เป็นลูกหลานสายนอกของตระกูลหวัง ส่วนหวังเสี่ยวลิ่วเป็นสายนอกของสายนอกนี้อีกที


 


 


สำหรับตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ สิ่งที่หายากที่สุดก็คือโอสถสร้างรากฐาน ตัวพวกเขาเองไม่มีวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถสร้างรากฐาน ได้แต่ซื้อจากข้างนอกในราคาสูง และต่อให้อยู่ดินแดนเทียนหยวน โอสถสร้างรากฐานที่เกี่ยวข้องกับความพลังและรากฐานของสำนักหนึ่งก็หาได้ยากแม้มีพันตำลึง สำนักเล็กๆ นับไม่ถ้วนก็ได้เพียงพึ่งพาสี่สำนักแปดนิกายแบ่งมาได้บ้างเท่านั้น


 


 


หวังเฉาถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสอง แม้เป็นสายนอกตระกูลหวัง ทนมาหลายปีก็ไม่มีโอกาสได้โอสถสร้างรากฐาน จึงคิดอุบายไปทางอื่น


 


 


สายตรงตระกูลหวังมีคุณชายลำดับสี่คนหนึ่ง พรสวรรค์ไม่เลว อายุน้อยๆ ก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน จึงค่อนข้างได้รับความรักเอ็นดูจากรุ่นอาวุโส พูดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลของตระกูลหวัง


 


 


ทว่าเขากลับค่อนข้างเจ้าชู้ไก่แจ้ แม้ยังไม่แต่งภรรยา หญิงสาวประเภทอนุภรรยาหรูติ่งกลับมีมากมาย


 


 


พูดแล้วก็แปลก หญิงสาวที่มีรากวิญญาณที่ทะเลขนาบใจนี่มีน้อยนัก คนที่มีรากวิญญาณตบะยังสูงอีกก็ยิ่งน้อยแล้ว ที่หวังเฉาวางแผนไว้ก็คือสิ่งนี้ สั่งหวังเสี่ยวลิ่วยามว่างให้อยู่ที่ท่าเรือ ดูว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงลำพังคนเดียวมาจากต่างถิ่นหรือไม่ หากมีที่รูปโฉมงดงามอายุน้อยตบะยังไม่เลว ก็จับขึ้นมามอบให้คุณชายหวังสี่ ไม่แน่เมื่อคุณชายหวังสี่ดีใจ ก็สามารถยื่นมือช่วยเกี่ยวกับโอสถสร้างรากฐานได้


 


 


มั่วชิงเฉินฟังจบแล้วหน้าบึ้ง ถามว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ คงมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่น้อยถูกพวกเจ้าทำลายแล้วสินะ?”


 


 


สัมผัสได้ถึงความโกรธของมั่วชิงเฉิน หวังเสี่ยวลิ่วส่ายศีรษะจนเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่มี ไม่มี ที่เรานี่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเดินทางตัวคนเดียวเดิมทีก็น้อยอยู่แล้ว พี่เฉาบอกเน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับหลอมลมปราณระยะปลายคุณชายหวังสี่ถึงจะเหลียวแล เห็นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็จับส่งเดช จับมากแล้วอย่างไรเสียก็ต้องเกิดปัญหา ดังนั้นจึงรอมานานถึงเพียงนี้ ท่านเป็นคนแรก…”


 


 


มั่วชิงเฉินโมโหจนหัวเราะแล้วจริงๆ “พูดเช่นนี้ ข้ายังค่อนข้างโชคดีแล้วสิ?”


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วหดศีรษะ ไม่พูดจา


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นถามได้พอประมาณแล้ว ดีดนิ้วมือเบาๆ หนึ่งที ยันต์ถามใจระเบิดเองอย่างไร้เสียง จากนั้นสะบัดแขนเสื้อสลายเขตอาคมเก็บเสียงไป พูดเสียงกังวานว่า “สหายเต๋าหากรอพอแล้ว ก็ออกมาเถอะ”


 


 


ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะกังวานเสียงหนึ่งลอยมา “หึๆๆ แม่นางมีฝีมือ”


 


 


จากนั้นชายหนุ่มมัดผมด้วยผ้าเขียว ใส่ชุดยาวสีเขียวอ่อนเดินเข้ามา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง


 


 


“คุณชายหก ในที่สุดท่านก็มาแล้ว” หวังเสี่ยวลิ่วเห็นคนที่มาเหมือนเห็นดาวอารักษ์ก็ไม่ปาน ทั้งกลิ้งทั้งคลานถลาเข้าไป ยามมาถึงข้างเท้าชายหนุ่ม คุกเข่าบนพื้นว่า “คุณชายหก ท่านช่วยผู้น้อยด้วยเถอะ นางปีศาจคนนั้น นาง นางฆ่าพี่เฉาแล้ว ยังจะ…”


 


 


“หุบปาก! เจ้ายังเกี่ยงว่าพูดไม่มากพอหรือ?” ชายหนุ่มตะคอกเสียงเย็นเสียงหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อโยนหวังเสี่ยวลิ่วไปอยู่ริมกำแพง จากนั้นคำนับมั่วชิงเฉินว่า “ทำให้แม่เห็นเรื่องตลกแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้กุหลาบแกะสลักมีพนักพิงตัวหนึ่งอย่างตามสบาย ประหนึ่งกลายเป็นเจ้าของในห้องนี้ก็ไม่ปาน แล้วพูดกับชายหนุ่มว่า “ไม่ถึงกับเห็นเรื่องตลกหรอก เห็นเลือดนี่สิเป็นเรื่องจริง ไม่ทราบว่าสหายเต๋ากะจะลงโทษข้าน้อยเช่นไร?”


 


 


คนหนุ่มเดินเข้ามา นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง ยิ้มว่า “แม่นางกล่าวหนักไปแล้ว แม่นางเดินทางมาไกล ข้าน้อยไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าบ้าน ยังปล่อยให้คนไม่มีตาล่วงเกินแม่นางอีก บาปกรรมจริงๆ ต่อให้ตายกี่ครั้งก็ไม่พอหรอก”


 


 


หวังเสี่ยวลิ่วที่อยู่ที่มุมกำแพงตายิ่งเบิกยิ่งโต เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา


 


 


คนอื่นต่างรู้ว่าร้านขายของสารพัดที่เกาะสดับมุกนี้ตระกูลหวังเป็นผู้เปิด กลับไม่รู้ว่าเถ้าแก่ที่ปกติไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนคือคุณชายอันดับหกทายาทสายตรงของตระกูลหวัง


 


 


ปกติเขาหัวไว อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ดีกับหวังเฉา ไม่เพียงรู้จักคนฐานะนี้ ยังรู้ว่าคุณชายหกผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ทว่าเหตุใดเขาถึงเกรงใจนางหนูน้อยระดับหลอมลมปราณขั้นเก้าเช่นนี้?


 


 


หรือว่า…


 


 


เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!


 


 


ทว่าคำพูดที่คุณชายหกพูดต่อมากลับยืนยันการคาดเดาของเขา ได้ยินเพียงคุณชายหกถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่า แม่นางอำพรางตบะมาถึงเกาะสดับมุก มีความคิดเช่นไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ใช่คนกระมิดกระเมี้ยน เห็นคุณชายหกที่จู่ๆ โผล่ออกมาเดาตบะของนางออก ทันใดนั้นจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป ปลอดปล่อยพลานุภาพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานออกมา


 


 


ทว่านางยังคงควบคุมตบะไว้ในระดับสร้างรากฐานระยะต้น แม้วิธีเก็บงำกลิ่นอายของนางไม่แยบยลนัก ทว่าปิดบังผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันยังไม่เป็นปัญหา


 


 


สาเหตุไม่ใช่อื่นใด ด้วยรูปลักษณ์ของนาง ระดับสร้างรากฐานระยะกลางนั้นน่าตกใจเกินไปจริงๆ


 


 


นึกถึงเยี่ยเทียนหยวนอัจฉริยะที่ผู้คนจับตาคนนั้น เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางด้วยวัยสามสิบปีก็มีชื่อเสียงเล็กน้อยในสี่สำนักแปดนิกายแล้ว ตนเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางในวัยสามสิบสามปี หากลือออกไปก็ต้องก่อให้เกิดความโกลาหลเป็นแน่


 


 


มั่วชิงเฉินฟื้นฟูตบะระดับสร้างรากฐาน พลังอำนาจทั้งตัวย่อมไม่ใช่ระดับหลอมลมปราณจะเทียบได้ แม้รูปโฉมไม่เปลี่ยน กลับยิ่งเปล่งรัศมีสะดุดตา


 


 


คุณชายหกเหม่อลอยไปช่วงสั้นๆ กลับได้สติคืนมาอย่างเร็ว “หากดูไม่ผิดละก็ แม่นางน่าจะอายุยังน้อยมากกระมัง?”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มโดยไม่ออกความเห็น กลับได้ยินคุณชายหกถามอีกว่า “แม่นางไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรของทะเลขนาบใจ?”


 


 


มั่วชิงเฉินถึงได้ทำสีหน้าจริงจัง จ้องตาของคุณชายหกถามว่า “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?”


 


 


คุณชายหกยิ้มว่า “ทะเลขนาบใจหากมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานเช่นแม่นางนี้ ตระกูลหวังของเราก็เชื้อเชิญมาเป็นแขกเหรื่อนานแล้ว ยิ่งกว่านั้น สำเนียงของแม่นางกับคนที่นี่ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่”


 


 


พูดถึงตรงนี้กวาดสายตาผ่านผิวพรรณที่แค่เป่าก็ขาด[1]ของมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย แอบคิดว่านอกจากพวกคนที่มีค่าที่เลี้ยงไว้ในตระกูลหวัง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงธรรมดา เป่าลมทะเลทุกวัน จะมีสักกี่คนที่มีผิวพรรณเช่นนี้ เพียงแต่จุดนี้ กลับไม่สะดวกพูดออกมาแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าเปิดเผยตบะระดับสร้างรากฐาน จะเป็นการเปิดโปงฐานะที่ไม่ใช่คนท้องถิ่นของตนออกมาโดยตรง แอบคิดว่ายังคงประเมินอำนาจควบคุมของตระกูลหวังที่มีต่อทะเลขนาบใจต่ำไป คิดว่าพวกเขาคงรู้เรื่องของผู้บำเพ็ญเพียรระดับตั้งแต่สร้างรากฐานขึ้นไปในทั้งทะเลขนาบใจอย่างทะลุปรุโปร่งกระมัง หากมีคนหน้าแปลก ย่อมต้องมาจากต่างถิ่นแล้ว


 


 


“เจ้าพูดได้ไม่ผิด ข้าไม่ใช่คนที่นี่จริงๆ เดิมทีออกมาเพื่อฝึกตน ด้วยอุบัติเหตุครั้งหนึ่งจึงมาถึงทะเลขนาบใจ กำลังคิดอยู่ว่าจะออกไปได้เช่นไร” มั่วชิงเฉินพูดเปิดอกตรงๆ ในเมื่อถูกคนตระกูลหวังหมายตาไว้แล้ว ขืนปิดบังอีกก็ได้แต่เสียแรงเปล่าเท่านั้น


 


 


คุณชายหกเห็นมั่วชิงเฉินยอมรับอย่างเยือกเย็น แอบชื่นชมนางที่คิดได้ทะลุปรุโปร่ง จึงถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นคนดินแดนเทียนหยวนหรือเป็นคนดินแดนแห่งสิบทวีป?”


 


 


“เป็นอันใดหรือ ต่างกันเช่นนั้นหรือ?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วถามกลับว่า


 


 


คุณชายหกยิ้มว่า “แน่นอนต้องแตกต่างอยู่แล้ว หากเป็นคนดินแดนแห่งสิบทวีป นอกจากแม่นางจะถึงระดับก่อแก่นปราณ จึงจะมีความสามารถข้ามทะเลได้ หากเป็นคนดินแดนเทียนหยวนละก็…”


 


 


“เป็นเช่นใด?” มั่วชิงเฉินหนักใจขึ้น หรือว่าต้องติดอยู่ที่นี่จริงๆ เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาถึงก่อนหน้านี้จากไปได้เช่นไรกัน?”


 


 


คุณชายหกเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง อมยิ้มว่า “เช่นนั้นกลับสามารถจากไปได้ เพียงแต่น่านน้ำที่ไปสู่ดินแดนเทียนหยวนมีสถานที่พิเศษผืนหนึ่ง ที่ไม่อาจใช้อุปกรณ์เวทเหินหาว ได้เพียงนั่งเรือข้ามทะเล ทว่าในน่านน้ำผืนนั้นดันมีอสูรทะเลที่ร้ายกาจมากชนิดหนึ่ง หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานละก็ เกรงว่าจะสู้ไม่ได้”


 


 


“ไม่ทราบว่าผู้บำเพ็ญเพียรแต่ก่อนต่างจ่ายค่าตอบแทนอันใดถึงกลับไปได้?” มั่วชิงเฉินถามนิ่งเรียบ


 


 


คุณชายหกชะงักทีหนึ่ง จากนั้นยิ้มว่า “อสูรทะเลนั่นยำเกรงกลิ่นของหญ้าทิพย์ชนิดหนึ่งมาก ตระกูลหวังเราเพาะปลูกหญ้าทิพย์ชนิดนั้นโดยเฉพาะ นำมันโม่เป็นผงใส่ไว้ในถุงหอม มอบให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่จะข้ามทะเล เช่นนั้นก็ปลอดภัยขึ้นมากแล้ว”


 


 


ในโลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันที่ได้เปล่าจริงๆ มั่วชิงเฉินถามอย่างสงบว่า “ไม่ทราบต้องทำเช่นไรจึงจะโชคดีได้รับถุงหอม?”


 


 


นางมัวแต่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเสนอเงื่อนไข กลับลืมไปว่าระหว่างชายหญิงการมอบถุงหอมเดิมทีก็มีความหมายสองแง่สองง่ามอยู่แล้ว


 


 


คุณชายหกคนนั้นฟังแล้วกระดกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มว่า “แม่นางอยากได้ถุงหอม ข้าน้อยย่อมประเคนให้สองมืออยู่แล้ว”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผิวพรรณที่แค่เป่าก็ขาด หมายถึง ผิวพรรณที่ขาวเนียนละเอียด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม