ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 137-144

 ตอนที่ 137 สามคำ ฉันรักคุณ


 


 


ฟังจือหันนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก่อนที่เสียงเงียบเหงาและเย็นเยียบจะดังขึ้น “ผมแค่บอกถึงความน่าจะเป็นให้คุณฟัง เห็นได้ชัดว่าการหายตัวไปของอาจารย์คุณนั้นไม่ปกติ”


 


 


ฟังจือหันเอ่ยเสียงเรียบ น้ำเสียงเดียวกันกับก่อนหน้านี้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่อวี๋กานกานสัมผัสได้ถึงความน้อยใจของเขาได้อย่างเลือนราง คนเขาอุตส่าห์ช่วยเธอวิเคราะห์ ไม่ว่าจะวิเคราะห์ออกมาได้รูปแบบไหน นั้นคือเขากำลังช่วยเธออยู่ ฟังจือหันปรารถนาดี แต่จู่ๆ เธอกลับเหวี่ยงใส่เขา…แบบนี้มันไม่เหมาะสม


 


 


อวี๋กานกานก้มหน้าลงต่ำ พูดด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษ เมื่อกี้ฉันอารมณ์ร้อนไปหน่อย”


 


 


ฟังจือหันไม่พูดอะไร เขาทำเพียงแค่หลุบสายตาลงต่ำ ร่างกายของอวี๋กานกานโน้มไปทางด้านหน้าเล็กน้อย “นายโกรธฉันเหรอ”


 


 


“น้ำซุปกระเด็นเข้าตาผมน่ะ” ในจังหวะที่เสียงของฟังจือหันดังขึ้น เขาเอื้อมมือขึ้นมาจะขยี้ตา


 


 


อวี๋กานกานรีบห้าม “นายอย่าใช้มือขยี้ แป๊บหนึ่ง…” อวี๋กานกานพูดพลางใช้กระดาษทิชชูชุบน้ำสะอาด “เร็วเข้า ใช้อันนี้เช็ดแป๊บเดียวหาย”


 


 


ฟังจือหันรับมาวางไว้บนดวงตา อวี๋กานกานคอยมองเขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เมื่อเห็นเขาดึงกระดาษทิชชูออกก็รีบถามทันที “เป็นไงบ้าง”


 


 


ฟังจือหันกะพริบตา จ้องมองไปยังด้านหน้า ถามอวี๋กานกาน “ตัวอักษรด้านหน้าตรงนั้นมีกี่ตัว”


 


 


อวี๋กานกานมองไปยังทิศทางที่ฟังจือหันมอง เป็นป้ายไฟบนตึกขนาดใหญ่ “ประเทศจีนฉันรักคุณ นายมองเห็นไม่ชัดเหรอ”


 


 


“ตัวอะไรนะ”


 


 


“ประเทศจีนฉันรักคุณ”


 


 


“สามคำหลัง”


 


 


“ฉันรักคุณ”


 


 


ฟังจือหันส่งเสียง “อือ” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นมีความสุข


 


 


อวี๋กานกานชะงักไปครู่หนึ่ง มองฟังจือหันด้วยสายตางงงวย ผ่านไปแวบหนึ่งหน้าของเธอแดงแจ๋อย่างฉับพลัน “นายนี่มัน…” ร้ายกาจเกินไปแล้ว


 


 


เมื่อกี้นี้ฟังจือหันจงใจแทะโลมเธอแน่ๆ แต่เขากลับทำท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง ไม่มีแววของการหยอกล้อ ร้ายกาจ ทั้งร้ายกาจและเจ้าเล่ห์


 


 


อวี๋กานกานจัดเสื้อผ้าของตนเองให้เข้าที่เข้าทางนั่งอย่างเรียบร้อย จากนั้นถลึงตาใส่ฟังจือหัน พยายามทำเสียงดุอย่างสุดความสามารถ “มองอะไร กินก๋วยเตี๋ยวสิ ห้ามเหลือ”


 


 


ท่าทางแบบนี้ของเธอทำให้ฟังจือหันนึกถึงลูกแมวเหมียวอีกครั้ง เขาคีบเนื้อวัวที่อยู่ในชามของตัวเองให้อวี๋กานกาน “คุณกินเยอะๆ”


 


 


“อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทัน นายกินไม่ลงแล้วละสิถึงได้ยกให้ฉัน” อวี๋กานกานบ่นพึมพำ ก้มหน้าก้มตากิน หัวใจสั่นระรัว


 


 


เมื่อกลับถึงคอนโดมิเนียม อวี๋กานกานวิ่งเข้าไปในห้องนอนของตัวเองจากนั้นทิ้งตัวลงบนเตียง ฟังจือหัน…เป็นคนที่เข้าใจยากจริงๆ เธอรู้สึกว่าตอนที่ตัวเองต้องรับมือกับเขา ตนเองเปรียบเสมือนเป็นลูกแกะตัวน้อย ไม่แน่ว่าวันหนึ่งอาจจะถูกจับลงหม้อเข้าให้จริงๆ


 


 


ทว่าเรื่องการหายตัวไปของอาจารย์และยังมีคดีฆาตกรรมคดีนั้นอีก สองเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกันจริงๆ ไหมนะ ตำรวจไม่ได้สืบสองคดีนี้ควบคู่กัน งั้นแสดงว่าสองคดีนี้ต้องไม่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน


 


 


อวี๋กานกานพลิกตัวไปมาบนเตียงอยู่หลายตลบ กว่าจะหลับก็เลยเที่ยงคืนแล้ว วันที่สองเธอตื่นค่อนข้างสาย ฟังจือหันออกไปข้างนอกแล้ว แต่เขาทิ้งอาหารเช้าไว้ให้เธอซึ่งอุ่นอยู่ในหม้อ


 


 


โจ๊กอร่อยมาก นี่ฟังจือหันเป็นคนทำเหรอ ทำไมถึงรู้สึกว่าเขาทำได้อร่อยกว่าเธอทำเองอีก อวี๋กานกานรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางไปถนนหนานเจิ้นทันที


 


 


บนถนนผู้คนเดินกันอย่างขวักไขว่ รถค่อนข้างติด รถที่เธอนั่งมาติดอยู่ปากทางถนนใหญ่อยู่พักหนึ่งแล้ว การสัญจรก็ยังไม่โล่งโปร่งสักที อวี๋กานกานเห็นว่าคลินิกอยู่ไม่ไกลแล้วจึงลงจากรถเดินไปแทน


 


 


ในตอนที่กำลังจะถึงคลินิก ด้านหน้ามีน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเรียกเธอ “กานกาน…” เป็นหลานสาวของคุณลุงร้านน้ำจับเลี้ยง


 


 


อวี๋กานกานยิ้ม “เสี่ยวหง มีอะไรเหรอ”


 


 


“มีเรื่องเกิดขึ้นที่คลินิกของพี่ค่ะ”


 


 


แววตาของอวี๋กานกานปรากฏความกังวล รีบวิ่งทันที เธอเห็นฝูงคนจากไกลๆ รวมตัวกันอยู่บริเวณหน้าทางเข้าคลินิก พวกเขาล้อมคลินิกไว้อย่างแน่นหนา


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 138 เหตุการณ์วุ่นวายที่คลินิกเป็นการสร้างสถานการณ์หรือเป็นเรื่องจริง?


 


 


หน้าทางเข้าคลินิกถูกล้อมไปด้วยกลุ่มคนที่กำลังตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่าเพื่อเงินแล้วคลินิกยอมงัดกลอุบายเลวๆ ทุกอย่างออกมาใช้ ไร้ซึ่งจรรยาบรรณ ไม่มีสามัญสำนึกของความเป็นคน เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา


 


 


ลุงหวังยืนอยู่หน้าประตูคลินิกกำลังพยายามพูดอธิบายให้พวกเขา “มีเรื่องอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา คลินิกของเราเปิดมาช้านานรักษาคนไข้ทุกคนอย่างมุ่งมั่นตั้งใจและรับผิดชอบเสมอมา”


 


 


ชายวัยกลางคนสวมแจ็กเกตหนังคนหนึ่งตะโกนด่าลุงหวังอย่างเดือดดาล “มุ่งมั่นตั้งใจ รับผิดชอบกับผีนะสิ ถ้าพวกแกมีจรรยาบรรณจริงก็คงไม่จ่ายยาฆ่าคนไข้หรอก พี่เขยฉันก็คงต้องไม่มาตาย ครอบครัวเขามีคนแก่และลูกเล็กเด็กแดงต้องดูแล ตอนนี้ขาดเสาหลักไป แกจะให้พวกเขาอยู่กันได้อย่างไร…”


 


 


ผู้ชายคนนี้ทั้งน้ำเสียงและท่าทางดุร้ายเกรี้ยวกราด เมื่อด่าว่าจบเขาก็ง้างฝ่ามือขึ้นเหวี่ยงใส่ลุงหวังทันที


 


 


ไม่ง่ายเลยกับการที่อวี๋กานกานต้องฝ่าฝูงชนเข้ามา เมื่อเบียดหลุดออกมาได้แล้วเธอเห็นพวกเขากำลังจะลงไม้ลงมือจึงรีบพุ่งเข้าไปผลักชายวัยกลางคนออกทันที “พวกคุณทำอะไรกัน ทำไมต้องลงมือทำร้ายร่างกายคนอื่นด้วย”


 


 


หญิงวัยกลางคนที่เป็นหนึ่งในกลุ่มก่อเหตุความวุ่นวายในมือของเธอถือรูปถ่ายของผู้ตาย เมื่อเห็นอวี๋กานกานเธอก็ดิ้นเร่าทันที เธอเดินออกมายืนอยู่ตรงด้านหน้าสุด ชี้หน้าอวี๋กานกาน “แกนี่เอง ฉันจำแกได้ วันนั้นตอนที่จ่ายยาแกก็อยู่ด้วย พวกแกนั่นแหละที่เป็นฆ่าเสาหลักครอบครัวของพวกฉัน”


 


 


หลังจากที่อวี๋กานกานถามไถ่ลุงหวังว่าไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมเสร็จแล้ว เธอถึงหันมามองหญิงวัยกลางคนที่กำลังพูดปาวๆ อยู่ นี่มันผู้หญิงเมื่อวันนั้นที่มาหาเหอหว่านซิน เรียกเหอหว่านซินว่าหมอเทวดาไม่ใช่เหรอ


 


 


คนในรูปถ่ายงานศพที่เธอถืออยู่นั้นคือสามีของเธอที่มีอาการปวดเอว


 


 


นี่มัน…


 


 


ยาที่เหอหว่านซินจ่ายให้ผสมมอร์ฟินซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ ใช้ในระยะยาวจะทำให้เกิดอาการเสพติด แต่นั่นก็ไม่มีฤทธิ์ถึงขั้นฆ่าคนตายได้ สามีของเขาเสียชีวิตได้อย่างไรกันแน่


 


 


ชายวัยกลางคนที่สวมแจ็กเกตหนังตวาดใส่อวี๋กานกานทันที “ที่แท้เป็นแกนี่เองที่ฆ่าพี่เขยฉัน คืนชีวิตพี่เขยฉันมา”


 


 


ชายหญิงหลายคนที่มาด้วยกันกับพวกเขาต่างพากันโห่ร้องตะโกนด่าอวี๋กานกานอย่างไม่ขาดสาย


 


 


“หมอเทวดาบ้าบออะไร คลินิกกระจอกๆ หมอกำมะลอฆ่าคนนะสิไม่ว่า”


 


 


“วันนี้ถ้าพวกแกไม่มีคำอธิบายดีๆ ให้พวกเรา พวกเราจะถล่มคลินิกของแกให้พังเป็นหน้ากอง!”


 


 


“ใช่ ถล่ม ถล่ม!” เส้นเลือดปูดโปน เสียงหักข้อมือดังกรอบแกรบ ถึงขนาดที่ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งเข้ามาผลักอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานถูกผลักจนเซถอยหลัง ยังดีที่คนข้างๆ ช่วงพยุงเธอไว้ “มีอะไรก็พูดคุยกันด้วยวาจาสิ ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือด้วย”


 


 


ผู้คนที่มามุงดูมีทั้งคนที่เดินผ่านไปผ่านมาและเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านบริเวณรอบๆ พวกเขาทนไม่ไหวที่เห็นกลุ่มคนพวกนี้โมโหเดือดดาลพาลใส่อวี๋กานกาน ราวกับต้องการจะกินเธอเข้าไป พวกเขาจึงยื่นมือเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย


 


 


“ใช่ มีเรื่องอะไรก็พูด การที่พวกคุณกลุ่มใหญ่ตะโกนด่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนเดียวปาวๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีต่อตัวพวกคุณเลย จากที่มีเหตุผลจะกลายเป็นไร้เหตุผลไปเสียเปล่า”


 


 


“แก้ไขปัญหาด้วยสติ อย่าใช้กำลังแก้ไข”


 


 


“คลินิกแห่งนี้เปิดมานานหลายปี มีคนมากมายที่เคยรักษาที่นี่ ไม่เห็นเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในระหว่างกระบวนการรักษา พวกคุณเข้าใจอะไรผิดไปเองหรือเปล่า”


 


 


ชายวัยกลางคนโมโหฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างฉับพลัน คำรามใส่ผู้คนรอบๆ “นี่มันชีวิตคนเลยนะ พี่เขยฉันถูกพวกมันฆ่า พวกแกยังกล้าพูดให้แก้ไขปัญหาด้วยสติ แล้วยังหาว่าพวกฉันเข้าใจผิดอีก คนที่ตายไม่ใช่คนในครอบครัวของพวกแกนี่”


 


 


หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันร้องไห้โฮขึ้นมาทันที “ตาแก่ ทำไมถึงทิ้งฉันไปแบบนี้ ทำไมชีวิตฉันถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ จากนี้ไปลูกของพวกเราจะอยู่อย่างไร ไอหยา ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ฉันอยากตาย…”


 


 


หญิงวัยกลางคนกอดรูปงานศพนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนพื้น เสียงร้องของเธอเรียกได้ว่าโศกเศร้าอาดูร เจ็บปวดสิ้นหวังจนหัวใจแทบแหลกสลาย 


ตอนที่ 139 กางปีกปกป้อง พวกเราไม่ใช่คนยอมคนง่ายๆ 


 


 


ถ้าหากพูดว่าเหตุวุ่นวายครั้งก่อนของหยางเทียนโย่วเป็นการทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเด็กเล่นพ่อแม่ลูก งั้นครั้งนี้ก็คงเป็นเรื่องวุ่นวายเรื่องใหญ่ของจริง กลุ่มคนเหล่านี้ขาดแค่ถือพวงหรีดแห่โลงศพ สวมชุดหมั่วซา[1]ไว้ทุกข์แล้วนั่งร้องห่มร้องไห้ที่หน้าคลินิกเท่านั้น 


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกซาบซึ้งใจในเพื่อนบ้านเหล่านี้มากที่ช่วยทำให้เธอไม่รู้สึกตื่นตกใจจนไร้สติ หลายปีมานี้ ปัญหาฟ้องร้องแพทย์ ไม่พอใจแพทย์แทบจะกลายเป็นเรื่องปกติในวงการการแพทย์ไปแล้ว มีแพทย์หลายคนที่ได้รับบาดเจ็บและเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างหนักจากปัญหานี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคลินิกเอกชนเล็กๆ ของเธอ แม้แต่โรงพยาบาลชั้นนำขนาดใหญ่ที่ได้รับการการันตีมาตรฐานจากรัฐบาลจีนก็ยังเอาตัวเองไม่รอด 


 


 


คนป่วยวางใจมอบชีวิตให้อยู่ในกำมือของแพทย์ ทุกครั้งที่เธอรักษาและจ่ายยาล้วนระมัดระวังและละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมาก ไม่กล้าประมาทเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว 


 


 


อวี๋กานกานสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด มองไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนแล้วกล่าว “วันนั้นที่สามีของคุณมาที่คลินิกเรา ฉันอยู่ก็จริงค่ะแต่ฉันไม่ใช่เป็นคนสั่งจ่ายยา ที่ฉันพูดแบบนี้เพราะฉันต้องการปฏิเสธความรับผิดชอบ ยาเป็นของคลินิกเรา หากเป็นเพราะยาของคลินิกที่ทำให้คุณสูญเสียสามีอันเป็นที่รักไป ทางคลินิกจะรับผิดชอบแน่! แต่เมื่อกี้นี้ฉันก็พูดแล้วว่าฉันไม่ได้เป็นคนเขียนใบสั่งยา ฉะนั้นจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าสามีของคุณเสียชีวิตจากยาของคลินิกจริงหรือเปล่า จำเป็นต้องให้กรมอนามัยและคณะกรรมการองค์กรตัดสินคดีทางการแพทย์[2]เป็นผู้ตัดสิน หากตัดสินว่าทางเราผิดจริง ทางเรายินดีรับผิดชอบ” 


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ยังไงคลินิกก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เนื่องจากเหอหว่านซินใช้ยาของคลินิก ก่อนอื่นไม่ต้องไปสนใจว่าคุณลุงคนนั้นตายด้วยสาเหตุอะไร ในเมื่อพวกเขามาโวยวายถึงที่คลินิกแล้วแสดงว่าต้องรู้เรื่องมอร์ฟินแล้วอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาก่อความวุ่นวายอยู่แบบนี้ 


 


 


“แกจะรับผิดชอบอะไร คนตายไปแล้วทั้งคน แกรู้บ้างไหม” หญิงวัยกลางคนร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ 


 


 


“ไม่ว่าใครจะเป็นคนสั่งยาก็ตาม ยังไงซะยาก็มาจากคลินิกของแก ฉะนั้นพวกแกต้องรับผิดชอบ คลินิกที่ฆ่าคนตายน่ะไม่ต้องปงไม่ต้องเปิดมันแล้ว ถล่มเลย!” ชายวัยกลางคนแผดเสียงดังสนั่นด้วยความโมโหโกรธา 


 


 


“ถล่มเลย ถล่มเลย!” มีคนคล้อยตาม 


 


 


“แกนังสารเลว แกฆ่าพ่อฉัน ฉันจะเอาแกตาย” ลูกสาวของหญิงวัยกลางคนด่าอวี๋กานกานด้วยน้ำตาที่นองหน้า เธอพุ่งตรงเข้าใส่อวี๋กานกาน เห็นได้ชัดว่าต้องการจะเข้ามาตะลุมบอนอวี๋กานกาน เหตุการณ์จึงโกลาหลวุ่นวายไปหมด อวี๋กานกานและลุงหวังไม่เพียงแต่จะถูกรุมซ้อม คลินิกยังจะถูกถล่มด้วย เหตุการณ์เริ่มจะไม่สู้ดีเสียแล้ว 


 


 


ทันใดนั้นคุณป้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยื่นมือออกมาจับแขนลูกสาวของหญิงวัยกลางคนไว้ “หนูจ้ะ หนูอายุยังน้อยอยู่เลย ทำไมถึงได้ทำตัวเหมือนผู้หญิงกร้านโลกแบบนี้ เมื่อกี้หนูอวี๋ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอไม่ใช่เป็นคนจ่ายยา หนูจะไปตบตีเขาให้ได้อะไรขึ้นมา” 


 


 


“ใช่ บอกพวกเธอตั้งแต่แรกแล้วว่ามีอะไรก็ให้ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา พวกคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่” 


 


 


“พวกเราต่างก็รู้กันดีว่าข้อพิพาทระหว่างแพทย์และคนไข้แบ่งออกเป็นสองชนิดคือฟ้องร้องอย่างถูกกฎหมายกับจงใจก่อความวุ่นวายซึ่งผิดกฎหมาย พวกคุณสามารถยื่นเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ แต่ไม่ควรจะรวมตัวกันก่อความวุ่นวายใช้วิธีสกปรกซึ่งผิดกฎหมายแบบนี้” 


 


 


“อย่าคิดว่าเห็นหนูอวี๋เฝ้าคลินิกอยู่คนเดียวแล้วพวกคุณจะกลั่นแกล้งได้ พวกคุณหัดดูซะบ้างว่าที่นี่ที่ไหน” 


 


 


ก่อนหน้านี้บรรดาคุณป้าคุณลุงที่ยืนมุงอยู่มีท่าทีที่นุ่มนวลอ่อนโยน นั่นเป็นเพราะนึกว่าอวี๋กานกานเป็นคนสั่งจ่ายยา เมื่อได้ยินว่าอวี๋กานกานไม่ใช่คนเขียนใบสั่งยา บรรดาคุณลุงคุณป้าก็มีท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นทันที ต่างพากันออกมายืนอยู่แถวหน้าสุด มีผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวายเขาถือไม้หน้าสามไว้ในมือ คุณลุงคนหนึ่งเหมือนร่ายรำมวยไทเก๊กฉกไม้หน้าสามออกมาจากมือของเขา  


 


 


คุณป้าคนหนึ่งเดินออกมายืนอยู่ข้างๆ อวี๋กานกาน กางปีกปกป้องเหมือนกับเป็นลูกของตนเอง กล่าว “หนูอวี๋ ใบสั่งยาหนูไม่ได้เป็นคนเขียนหนูไม่ต้องกลัวนะ เรื่องมันเป็นมายังไงก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย พวกเขาจะทุบตีหนูจะถล่มคลินิกของหนู พวกเราคนถนนหนานเจิ้นไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครรังแกกันง่ายๆ” 


 


 


สมาชิกของคนในครอบครัวนั้นสะดุ้งตกใจกลัว ยืนงงเป็นไก่ตาแตก “…” 


 


 


นี่มันสถานการณ์อะไรกัน คนพวกนี้เป็นอะไรไป ไม่รู้จักเห็นใจผู้อื่นบ้างหรือไง ครอบครัวของพวกเขาต่างหากที่เป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่ว่าพวกคนพวกนี้ควรยืนอยู่ข้างคนไข้หรอกหรือ ทำไมถึงเฮโลกันไปช่วยหมอคนนั้นกันหมด 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ชุดหมั่วซา เป็นชุดไว้อาลัยสำหรับลูกหลานที่จะใส่ในงานกงเต๊ก ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าดิบสีขาว คลุมทับด้วยชุดและหมวกที่ทำจากผ้ากระสอบ  


 


 


[2] ที่ประเทศจีนจะมีหน่วยงานที่ไว้ตรวจสอบคดีทางการแพทย์โดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านแพทยศาสตร์และนิติเวชศาสตร์ มีหน้าที่ตรวจสอบและชันสูตรถึงสาเหตุการเสียชีวิต ตัดสินและสรุปสำนวนคดี 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 140 แผนการชั่วร้าย จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง 


 


 


ในเมื่อทำร้ายร่างกายไม่สำเร็จ จะถล่มคลินิกก็ถล่มไม่ได้ หญิงวัยกลางคนและลูกสาวจึงทำได้เพียงร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อไปเรื่อยๆ อย่างน่าอเนจอนาถใจ ร้องโหยหวนให้อวี๋กานกานชดใช้ด้วยชีวิต ร้องคร่ำครวญไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร  


 


 


รถตู้คันหนึ่งจอดเทียบอยู่บริเวณข้างฟุตบาท นักข่าวสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ ตามมาด้วยช่างกล้องอีกหนึ่งคน เริ่มทำการรายงานข่าวภาคสนามทันที “สวัสดีค่ะ ดิฉันนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไป๋หยาง วันนี้เกิดเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงขึ้นที่คลินิกแห่งนี้ค่ะ สามีภรรยาคู่หนึ่งได้รับยาจากคลินิกนี้ ซึ่งเดิมทีป่วยเป็นเพียงแค่โรคไข้ข้อเท่านั้น ผลปรากฏว่าเมื่อรับประทานยาจีนเหล่านี้เข้าไปกลับทำให้เขาถึงแก่ชีวิต สมาชิกในครอบครัวกอดรูปงานศพของผู้ตายพร้อมกับทำการประท้วงอยู่บริเวณหน้าทางเข้าคลินิกค่ะ…” 


 


 


ข่าวนี้ฉายออกผ่านทางโทรทัศน์พร้อมทั้งกระจายไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เนื้อหาหลักในข่าวคือคลินิกฆ่าคนไข้ คนในครอบครัวผู้ตายโศกเศร้าสิ้นหวัง แต่แพทย์เจ้าของไข้อวี๋กานกานกลับนิ่งเฉย ไม่ชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งยังเรียกพรรคพวกมารุมทำร้ายคนในครอบครัวของผู้ตาย ทำให้อวี๋กานกานกลายเป็นหมอกำมะลอฆ่าคนที่ไร้ศีลธรรม 


 


 


ในโลกอินเทอร์เน็ตเกิดการเคลื่อนไหวทันที ชาวเน็ตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่ได้รู้ข้อเท็จจริงพากันด่าประณามโจมตีอวี๋กานกานและคลินิก เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในโลกอินเทอร์เน็ต 


 


 


“ทุเรศ! น่ากลัว! ทำไมถึงได้มีหมอแบบนี้ นางสมควรไปตายได้แล้ว!” 


 


 


“คนแบบนี้ไม่ใช่หมอแน่ ต้องเป็นพวกสิบแปดมงกุฎแน่นอน มันไม่ควรจะอยู่บนโลกนี้ต่อไปอีก ไม่อย่างงั้นก็ไม่รู้ว่ามันจะทำลายชีวิตผู้คนไปอีกกี่ชีวิต” 


 


 


“สมัยนี้ใบประกอบวิชาชีพแพทย์สอบกันง่ายขนาดนี้แล้วเหรอ สมัยนี้ใครหน้าไหนก็เป็นหมอได้หมด?” 


 


 


“หมอคนนี้สวยอยู่นะเนี่ย นี่มันเป็นแผนโปรโมตหรือเปล่า เดี๋ยวผ่านไปสองสามวันแก้ข่าวว่าเป็นการเข้าใจผิด จากนั้นหมอคนนี้ก็ไปเซ็นสัญญาค่ายหนังเปิดตัวเดบิวต์เป็นดารา” 


 


 


… 


 


 


ในตอนที่นักข่าวทำข่าวนอกจากจะสัมภาษณ์คนในครอบครัวผู้ตายแล้ว ยังมีช่วงหนึ่งของคลิปวิดีโอที่สัมภาษณ์เพื่อนบ้านด้วย เป็นคุณป้าที่มีอายุแล้วคนหนึ่ง เธอมองกล้องแล้วพูดอย่างโมโหเดือดดาล “คลินิกนี่มันหลอกลวงเอาเงินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เคยสนหรอกว่าจะป่วยเป็นโรคอะไร สนแค่จะจ่ายยาที่แพงที่สุด ปีที่แล้วฉันป่วยเป็นไข้หวัดนิดๆ หน่อยๆ แต่กลับเสียเงินให้คลินิกนี้ไปพันกว่าหยวนแถมยังรักษาฉันไม่หายอีก สุดท้ายฉันไปโรงพยาบาลเสียไปแค่สิบกว่าหยวนก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว คุณว่าคลินิกนี้มันใช่มนุษย์เป็นคนเปิดไหมล่ะ สัตว์เดรัจฉานเปิดชัดๆ” 


 


 


นักข่าวมีอาการหวาดผวา กล่าวอย่างโกรธเคือง “นี่มันเกินไปจริงๆ ไม่มีใครคิดจัดการเลยเหรอคะ” 


 


 


คุณป้ากล่าว “เมื่อก่อนก็มีคนเคยโวยวายนะ แต่ยังไม่มีใครตาย ชดใช้นิดๆ หน่อยๆ เรื่องก็เงียบไป แต่ครั้งนี้ถึงขั้นทำคนตาย พวกเขาไม่ยอมให้เรื่องจบง่ายๆ แน่” 


 


 


… 


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันแปลกประหลาดเกินไปหน่อย ต่อให้เหอหว่านซินจ่ายยาผิดก็ไม่มีทางถึงขั้นทำให้คุณลุงคนนั้นเสียชีวิตได้ ตอนแรกอวี๋กานกานคาดเดาว่าอาจเป็นเพราะยาตีกันเองหรือเปล่าถึงทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันนี้ขึ้น แต่ทว่านักข่าวก็มาไวเกินไป ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวจริงๆ เป็นมาเป็นไปอย่างไรกลับรายงานข่าวออกไปทั้งแบบนั้น ผลักเธอและคลินิกให้ตกเป็นขี้ปากของสังคม และยังมีคุณป้าคนนั้นอีก อวี๋กานกานไม่รู้จักป้าคนนั้นเสียด้วยซ้ำ เธอไม่ใช่คนในถนนหนานเจิ้นอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการทำลายชื่อเสียงของเธอให้ป่นปี้ ต้องการให้คลินิกถูกปิด ต้องการประทับตราบาปให้อวี้หมิงถางสามคำนี้  


 


 


แต่จะเป็นใครกัน  


 


 


ลุงใหญ่และเหอหว่านซินคือพวกแรกที่แวบเข้ามาให้หัวของอวี๋กานกาน เพราะพวกเขาจ้องจะขายคลินิกอยู่แล้ว แต่ว่าคนอย่างลุงใหญ่ ถึงแม้จะเป็นคนเห็นแก่ได้ เห็นเงินแล้วตาลุกวาว แต่ตอนที่คุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็กตัญญูต่อคุณปู่มาก ไม่มีทางที่จะทำลายชื่อเสียงของคุณปู่ ถ้าไม่ใช่ลุงใหญ่กับเหอหว่านซิน งั้นก็ต้องเป็นคนที่อยากจะซื้อคลินิกของเธอ คนตระกูลเฉียว! 


ตอนที่ 141 ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ต


 


 


ครอบครัวผู้ตายกลับไปแล้ว นักข่าวเองก็เช่นกัน แต่ทว่าเรื่องกลับยังไม่จบ อวี๋กานกานและอวี้หมิงถางถูกกระแสคลื่นสาดซัดเข้าไปอยู่ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม


 


 


ชาวเน็ตส่วนใหญ่ล้วนด่าทอโจมตีอวี๋กานกานด้วยถ้อยคำหยาบโลน มีแค่ไม่กี่คนที่สงสัยว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ ตั้งข้อสงสัยว่าอวี๋กานกานถูกคนวางแผนใส่ร้าย แต่ความคิดเห็นเหล่านั้นกลับถูกคลื่นน้ำลายกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เรื่องราวใหญ่โตสั่นสะเทือนไปทั้งคนในวงการและคนนอกวงการ อวี๋กานกานได้รับสายจากเพื่อนพ้อง อาจารย์ รุ่นพี่และรุ่นน้องมากมาย พวกเขาถามเธอว่าต้องการความช่วยเหลือไหม บอกขั้นตอนการยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งยังแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้กับเธอ อวี๋กานกานรู้สึกขอบคุณพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ก่อความวุ่นวายธรรมดาทั่วไป แค่ยื่นเรื่องต่อศาลไม่สามารถจัดการปัญหาทั้งหมดได้แน่ ฝ่ายตรงข้ามจงใจทำเรื่องให้ใหญ่โต กระพือข่าวไปทั่วทุกหัวระแหง เพราะฉะนั้นในชั้นศาล พวกเขาต้องแอบเล่นสกปรกแน่ ถึงตอนนั้นพวกเขาคงยัดเยียดทุกอย่างมาไว้เธอและอวี้หมิงถาง ต่อให้เธอมีปากอีกร้อยปากก็คงอธิบายได้ไม่หมด


 


 


เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นคลินิกไม่มีทางสามารถเปิดบริการต่อไปได้ ลุงหวังกลับไปแล้ว อวี๋กานกานยังอยู่ในคลินิก ลุงใหญ่และเหอหว่านซินก็พากันมาที่คลินิก บ้านของลุงใหญ่อยู่ห่างจากคลินิกไม่ไกล เขาได้ยินเพื่อนบ้านพูดกัน อีกทั้งเห็นข่าวในอินเทอร์เน็ต จึงรีบรุดหน้ามาด้วยความร้อนรน เขาถามอวี๋กานกานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เป็นความจริงไหมที่เธอรักษาคนไข้ผิดพลาดจนถึงแก่ชีวิต


 


 


อวี๋กานกานไม่ได้ตอบลุงใหญ่ ข่าวในโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ตต่างก็มีรูปของผู้ตาย เธอไม่เชื่อว่าเหอหว่านซินจะไม่เห็น ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ว่าใครเป็นต้นต่อที่ทำให้เกิดหายนะนี่ขึ้น


 


 


เหอหว่านซินไม่ได้สนใจดูรูปของผู้ตายจริงๆ เธอแค่นเสียงเย็นดังเหอะใส่อวี๋กานกาน “แกคิดจริงๆ สินะว่าตัวเองเป็นหมอเทวดา หมอเทวดาก็มีโรคที่ไม่สามารถรักษาได้เหมือนกัน ฉันบอกไปตั้งนานแล้วว่าให้ขายคลินิกไปซะ ถ้าขายไปตั้งแต่แรกก็คงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ไม่ต้องมาเปิดเว่ยปั๋ว[1]แล้วเจอว่าอวี้หมิงถางติดคำค้นหายอดฮิต แกชอบพูดว่าฉันทำลายชื่อเสียงของอวี้หมิงถาง ดูสิตอนนี้ใครกันแน่ที่…”


 


 


ร่างกายของเหอหว่านซินแข็งค้างไปทั้งตัว พูดประโยคต่อไปไม่ออก อวี๋กานกานยื่นโทรศัพท์มือถือไปตรงหน้าของเหอหว่านซินให้เธอมองให้เต็มสองตาถึงรูปร่างหน้าตาของคนในครอบครัวนั้น เหอหว่านซินตกใจจนดวงตาถลนออกจากเบ้า ทั้งยังสั่นเพราะรู้สึกกลัวในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป


 


 


ลุงใหญ่เห็นท่าทางของเหอหว่านซิน ปะติดปะต่อกับก่อนหน้านี้ที่เหอหว่านซินเคยมาเป็นแพทย์ประจำที่คลินิกอยู่หลายวัน ลุงใหญ่ถามอย่างร้อนรน “ยาพวกนี้ลูกเป็นคนจ่ายเหรอ”


 


 


เหอหว่านซินมองหน้าลุงใหญ่ อธิบายอย่างลนลาน “ยาของคนไข้คนนี้หนูเป็นคนจ่าย เรื่องมอร์ฟินครั้งก่อนไงพ่อ แต่หนูผสมมอร์ฟินลงไปแค่นิดเดียวเองนะคะ ไม่น่าจะถึงขั้นฆ่าคนตายได้”


 


 


ลุงใหญ่ดวงตาเบิกโพลง ถ้อยคำกระจุกอยู่ที่อกพูดออกมาไม่ได้ เขาโกรธจนหน้าเขียว ควันแทบจะทะลุออกมาจากศีรษะ ที่เขารีบมาเดิมทีเป็นเพราะนึกว่าตัวเองจะสามารถใช้โอกาสนี้แย่งชิงสิทธิครอบครองคลินิกมาจากอวี๋กานกานได้ ผลปรากฏว่าใบสั่งยากลับเป็นลูกสาวไร้ประโยชน์ของเขาเองที่เป็นคนเขียน


 


 


ดวงตาของอวี๋กานกานฉายประกายแสงเย็นยะเยือก “ยาที่ห้ามกินคู่กันหากมีฤทธิ์ที่ตีกันอย่างรุนแรงสามารถทำให้ผู้กินถึงแก่ชีวิตได้ เธอไม่รู้เรื่องนี้หรอกเหรอ”


 


 


เหอหว่านซินสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว นึกว่าตัวเองจ่ายยาจนทำให้คนตาย เธอเกาะแขนของลุงใหญ่ พูดอย่างลนลาน “พ่อ หนูไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะร้ายแรงถึงขนาดนั้น หนูไม่ได้ต้องการจะฆ่าเขา พ่อ พ่อต้องช่วยหนูนะคะ พ่อต้องช่วยหนูนะคะ”


 


 


ในขณะนั้นเองประตูคลินิกก็ถูกเปิดออก เป็นผู้ช่วยโหย่วที่เมื่อวานมาพร้อมกับหลินจยาอวี่ เขาหนีบกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งเดินเข้ามา พร้อมทั้งมองสำรวจคลินิกหนึ่งรอบ ก่อนจะเดินมาหาอวี๋กานกานด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม กล่าว “คุณอวี๋ พวกเราเจอกันเมื่อวานแล้วนะ คุณยังจำผมได้ใช่ไหมครับ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เว่ยปั๋ว แอปพลิเคชันของจีนเทียบได้กับ Facebook หรือ Twitter 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 142 เลือกซ้ายหรือขวา


 


 


อวี๋กานกานยกยิ้ม แต่เป็นยิ้มกลวงๆ ที่ไร้เจตนายิ้ม เอ่ยเสียงเย็น “เหมือนว่าเมื่อวานฉันจะพูดกับผู้ช่วยโหย่วชัดเจนแล้วนะคะว่าคลินิกนี้ฉันไม่ขาย”


 


 


ผู้ช่วยโหย่วฉีกยิ้มกว้าง กล่าว “คุณอวี๋ คุณอย่าเพิ่งปิดตายทางหนีรอดของตัวเองปุบปับแบบนี้สิครับ เรื่องบางเรื่องควรจะคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนเสียก่อน…”


 


 


ผู้ช่วยโหย่วยังพูดไม่ทันจบ อวี๋กานกานก็พูดแทรกขึ้นมาทันควัน “ไม่ละค่ะ ไม่เห็นจำเป็นตรงไหน”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ช่วยโหย่วหายวับไปในทันตา ไม่สามารถทนฝืนฉีกยิ้มต่อไปได้อีก “คุณอวี๋ ตอนนี้คลินิกของคุณประสบปัญหาอะไรอยู่คุณรู้ดี ผมขอเตือนคุณหน่อยก็แล้วกันนะครับ คนเราต้องรู้จักหัดดูสถานการณ์ อย่าริอ่านต่อต้านเงินทอง อย่างไรเสียชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์เราก็อยู่เพื่อดิ้นรนให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากมีชีวิตที่ดีสิ่งจำเป็นคือเงินทอง ตอนนี้คลินิกของคุณเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น หากคุณขายคลินิกให้คุณหนูเฉียวซะ คุณหนูเฉียวจะช่วยคุณจัดการปัญหานี้โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของคุณและคลินิก ต่อให้หลังจากนี้คุณจะไม่มีคลินิกนี้แล้ว แต่ก็ยังสามารถเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงในสังคมได้อยู่”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะเหอะๆ อยู่ในใจ ความหมายของเขาคือเธอที่เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งหากต้องรับมือกับครอบครัวนายทุนอย่างตระกูลเฉียว เธอไม่มีทางที่จะต่อต้านหรือโจมตีกลับได้ ตอนนี้มีเพียงแค่สองทางเลือกที่วางอยู่ตรงหน้า หนึ่งคือยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ยินยอมขายคลินิกให้ตระกูลเฉียว จากนั้นตระกูลเฉียวจะช่วยเหลือเธอแก้ไขปัญหานี้โดยที่จะไม่ทำให้ชื่อเสียงของเธอและคลินิกต้องเสื่อมเสีย ต่อให้ไม่เหลือคลินิกแล้ว เธอก็ยังสามารถหางานที่อื่นทำได้อยู่ สองคือต่อต้าน ผลลัพธ์สุดท้ายที่จะได้รับคือชื่อเสียงของเธอและคลินิกจะพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี


 


 


ใบหน้าของอวี๋กานกานประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่สว่างสดใสงดงาม แต่น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็ง “นั้นเป็นเรื่องของฉันค่ะ ไม่ขอรบกวนให้คุณหนูเฉียวต้องมาลำบากใจแทน ขอแค่คุณและคุณหนูเฉียวรู้ไว้ว่าคลินิกนี้ฉันไม่ขายก็พอแล้วค่ะ”


 


 


ผู้ช่วยโหย่วมองแววตาของอวี๋กานกาน เหมือนกับเห็นมนุษย์ประหลาดที่ไม่เข้ากับยุคสมัยนี้ คำถามให้เลือกแบบนี้คนฉลาดย่อมรู้อยู่แล้วว่าควรจะเลือกข้อไหน เขาแค่นหัวเราะ “คุณอวี๋ ตอนที่โอกาสวางไว้อยู่ตรงหน้าก็ควรจะเห็นค่าของมันนะครับ ไม่เช่นนั้นหากรอจนถึงตอนที่คุณนึกเสียดายภายหลัง เมื่อผ่านมาในชุมชนนี้คุณอาจจะไม่เห็นคลินิกนี้อีกแล้วก็เป็นได้”


 


 


อวี๋กานกานไม่สนใจแม้แต่น้อย ผายมือ “กลับดีๆ นะคะ ขออนุญาตไม่ส่ง!”


 


 


เหอหว่านซินฟังมาถึงตอนนี้ก็พอจะเข้าใจความหมายอยู่บ้าง เธอส่งเสียงหวังจะเรียกผู้ช่วยโหย่ว “เดี๋ยว…” แต่กลับถูกสายตาเย็นชาและเสียงตวาดดังลั่นของอวี๋กานกานหยุดไว้ “เธอน่ะหุบปากซะ!”


 


 


เหอหว่านซินจ้องอวี๋กานกานเขม็งด้วยความโกรธเคือง ผู้ช่วยโหย่วที่ถูกเชิญให้กลับสบถออกมาหนึ่งประโยค “ยัยคนไม่รู้จักรับโอกาสที่ผู้อื่นยื่นให้!” จากนั้นเขาก็หนีบกระเป๋าเอกสารเดินปึงปังออกไป


 


 


เมื่อผู้ช่วยโหย่วออกไปแล้ว เหอหว่านซินถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้ เธอลุกขึ้นยืนถามอวี๋กานกานอย่างโกรธเกรี้ยว “เขาเป็นใคร คุณหนูเฉียวนั้นก็ด้วย พวกเขาต้องการซื้อคลินิกทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ทำไมแกไม่ตอบตกลง”


 


 


อวี๋กานกานขึงตาใส่เหอหว่านซิน “เธอมองไม่ออกเหรอ พวกเขาใช้ประโยชน์จากยาที่เธอจ่าย จงใจสร้างเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้น”


 


 


เหอหว่านซินกลัวหนักขึ้นไปอีก ใบสั่งยาเธอเป็นคนเขียน พูดอย่างลนลาน “งั้นก็ขายให้พวกเขาซะสิเรื่องจะได้จบๆ”


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเย็นอย่างเอือมระอา “ที่ฉันเพิ่งพูดไปเธอไม่ได้ยินหรือยังไง คลินิกนี้ไม่ขาย!”


 


 


เหอหว่านซินพูดอย่างโมโหเดือดดาล “นี่มันใช่เวลาที่แกจะใช้อารมณ์มาตัดสินใจไหม ถ้าแกยังไม่ยอมขายชื่อเสียงของแกฉาวโฉ่แน่ ทั้งยังจะเหม็นโฉ่ไปถึงคุณปู่และอวี้หมิงถางด้วย แกลองเข้าไปดูในอินเทอร์เน็ตสิ พวกเขาด่าทั้งแกทั้งคลินิกไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้”


ตอนที่ 143 เจรจา อย่าทำให้วุ่นวายไปมากกว่านี้


 


 


อวี๋กานกานไม่สนใจเหอหว่านซินและไม่อยากจะสนใจ “…”


 


 


เหอหว่านซินร้อนรนเหมือนหัวใจถูกลนไว้ด้วยเปลวเพลิง “แกไม่ขายคลินิก งั้นแกมีวิธีจัดการปัญหานี้งั้นเหรอ ถ้าแกไม่มีปัญญาจัดการปัญหานี้ทางเดียวคือขายคลินิกทิ้งซะ ไม่ใช่ปล่อยให้ชื่อเสียงของคุณปู่ของแกถูกทำลายจนป่นปี้ แกอย่าลืมสิ่งที่ตัวเองยึดถือมาตลอดสิ”


 


 


แววตาของอวี๋กานกานเย็นเยียบ ท่าทีเย็นชาเหมือนกับหิมะและน้ำค้างแข็ง เหอหว่านซินมองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ว่าอย่างไรอวี๋กานกานก็จะไม่ขายและจะไม่มีวันยอมขาย ซึ่งเหอหว่านซินต้องการให้รีบๆ ขายคลินิกไปซะ เรื่องจะได้จบได้สิ้นสักที


 


 


เหอหว่านซินมองลุงใหญ่ “พ่อคะ พ่อว่าตอนนี้จะทำยังไงกับคลินิกดีแล้วเรายังสามารถทำอะไรได้อีก มีแค่ทางเดียวคือขายทิ้งเท่านั้นที่จะไม่ทำให้ส่งผลเสียไปถึงชื่อเสียงและเกียรติยศของคุณปู่” เธอขอความช่วยเหลือจากลุงใหญ่ หวังว่าลุงใหญ่จะช่วยเธอพูดกล่อมอวี๋กานกานให้ยอมขายคลินิก


 


 


ลุงใหญ่นั่งอยู่ตรงโซฟามาโดยตลอดไม่ขยับเขยื้อนไปไหน หากไม่ใช่เป็นเพราะสีหน้าแย่ลงทุกขณะ ก็คงเข้าใจผิดคิดว่ามีรูปปั้นปูนปลาสเตอร์นั่งอยู่บนโซฟา เขามองหน้าอวี๋กานกานแล้วถาม “หนูไม่ขายตอนนี้แต่เห็นได้ชัดว่าพวกมันต้องการจะซื้อให้ได้ หนูจะสู้กับพวกมันด้วยวิธีไหน ทำอย่างไรถึงจะรักษาคลินิกไว้ได้ หนูอย่าลืมว่าพวกเราไม่มีทั้งอำนาจและอิทธิพล ไม่มีทางที่จะสู้ชนะพวกเขาตั้งแต่แรก มั่นใจแล้วเหรอว่าตัวเองไม่ต้องการทั้งชื่อเสียงและเงินทอง ต้องการเลือกเดินไปในทางที่ลำบากยากเข็ญ?”


 


 


“ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอว่าจะรักษาไว้ได้หรือไม่ได้” อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบาง เธอปรายตาไปมองเหอหว่านซินจากนั้นกล่าว “พี่ไม่รู้ แต่ลุงใหญ่น่าจะรู้ดีนะคะ ตอนนี้ถ้าหนูขายคลินิกไปโดยที่พินัยกรรมฉบับเสริมของคุณปู่ยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน ไม่ว่าคลินิกนี้จะขายได้กี่สตางค์ พวกลุงก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรทั้งนั้น”


 


 


เหอหว่านซินช็อก “จริงเหรอพ่อ”


 


 


สีหน้าของลุงใหญ่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จ้องอวี๋กานกานเขม็ง “…”


 


 


เหอหว่านซินเห็นปุ๊บก็รู้คำตอบได้ในทันที เธอขมวดคิ้วแน่นเป็นปม ขายไปตอนนี้ก็ไม่ได้ส่วนแบ่งสักสตางค์แดงเดียว แต่ถ้าไม่ขายแล้วปล่อยให้เรื่องใหญ่โตไปมากกว่านี้ ใบสั่งยาเธอเป็นคนเขียน อวี๋กานกานจะโยนเรื่องทั้งหมดมาให้เธอรับผิดชอบไหมนะ คนตายทั้งคน เธอจะถูกจับเข้าคุกเข้าตารางหรือเปล่า ในระหว่างนั้นเธอลนลานจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี


 


 


ทันใดนั้นประตูคลินิกก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ฟังจือหันสวมชุดสูทสีดำ ย่างเท้าก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม จังหวะการเดินไม่ช้าไม่เร็ว รูปร่างสูงใหญ่บึกบึนแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดที่ทำให้ผู้พบเห็นต่างต้องพากันหวาดหวั่น


 


 


ข้างๆ ยังมีลู่เสวี่ยเฉินที่สูงยาวเข่าดีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กัน สีหน้าชั่วร้ายของเขาดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน ลู่เสวี่ยเฉินปรายตาไปมองลุงใหญ่และเหอหว่านซิน จากนั้นหันกลับมามองอวี๋กานกาน พูดอย่างประหลาดใจ “โอ้ว นี่คุณยังมีคนไข้อีกเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานแค่ฟังจากน้ำเสียงของเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้รีบร้อนอธิบาย ยังคงจ้องไปที่ลุงใหญ่ “ครั้งนี้ลุงใหญ่ควรจะยืนอยู่ข้างหนูนะคะ” เวลาแบบนี้เธอไม่ต้องการให้ลุงใหญ่และเหอหว่านซินมาทำเรื่องให้วุ่นวายไปมากกว่านี้


 


 


เมื่อลุงใหญ่และเหอหว่านซินเห็นฟังจือหันก็มีอาการลุกลี้ลุกลนทันที ตัวหดเล็กลงในทันตา เดิมทีลุงใหญ่อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับอวี๋กานกาน แต่เมื่อเห็นฟังจือหันคำพูดทั้งหมดก็กระจุกอยู่ในลำคอทันที เขาลุกขึ้นพรึบ พูดกับอวี๋กานกาน “แน่นอนอยู่แล้ว” เมื่อพูดจบเขาก็พาเหอหว่านซินเดินออกไปทันที


 


 


ในตอนที่เหอหว่านซินเดินตามหลังลุงใหญ่ เธอเหลือบมองลู่เสวี่ยเฉินอย่างละเอียด ทำไมถึงมีผู้ชายหน้าตาดีเพิ่มมาอีกคน ทำไมยัยอวี๋กานกานพอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ปุ๊บเหมือนกับว่ามีโชคเรื่องความรักขึ้นมาทันที รอบกายมีแต่ผู้ชายเกรดพรีเมียม


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 144 ถ้าเงินแก้ไขไม่ได้ก็เพิ่มไปอีกเท่าตัวซะสิ


 


 


อวี๋กานกานตะลึงกับท่าทีของลุงใหญ่ที่แสดงออกมาจนอ้าปากค้างดวงตาถลนออกจากเบ้า เธอมองฟังจือหัน “ทำไมลุงใหญ่ถึงได้กลัวคุณขนาดนี้ วันนั้นก่อนออกมาคุณพูดอะไรกับลุงใหญ่กันแน่”


 


 


ฟังจือหันมองมาที่เธอ นัยน์ตาลึกล้ำมองไม่เห็นก้นบึ้ง “ตอนนี้สิ่งที่คุณกังวลควรจะเป็นคลินิกของคุณไม่ใช่เหรอ”


 


 


อวี๋กานกานทอดถอนหายใจ “ฉันกังวลไปแล้วได้อะไรขึ้นมา กังวลไปก็ไม่ได้ช่วยทำให้เรื่องจบ”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา กล่าว “ผมสืบข้อมูลได้มานิดหน่อย คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมเรื่องมันถึงได้วุ่นวายใหญ่โตไปได้ถึงขนาดนี้”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า “รู้ เป็นเพราะว่าตระกูลเฉียวต้องการที่จะซื้อคลินิกของฉัน แต่ฉันไม่ยอมขาย พวกเขาจึงเตรียมบีบบังคับให้ฉันยอมขาย เมื่อครู่นี้ก่อนที่พวกนายจะมา เฉียวพั่นเอ๋อร์ก็ส่งคนมาที่นี่บอกให้ฉันรู้จักหัดประเมินสถานการณ์!”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินถามต่อ “งั้นคุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมตระกูลเฉียวถึงได้เจาะจงว่าต้องเป็นคลินิกนี้เท่านั้น”


 


 


“เพราะอะไร” อวี๋กานกานเองก็อยากรู้


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินกล่าว “เมืองไป๋หยางของพวกคุณต้องการที่จะสร้างศูนย์บ้านพักคนชราแบบสมัยใหม่ขึ้นที่หนึ่ง ทั้งเมืองไป๋หยางมีเพียงถนนหนานเจิ้นเท่านั้นที่ยังคงความเป็นเมืองเก่าเอาไว้ นายกเทศมนตรีจึงเลือกให้สร้างศูนย์บ้านพักคนชราที่ถนนหนานเจิ้น หนึ่งเป็นเพราะถนนหนานเจิ้นมีทิวทัศน์ที่งดงามล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ อีกทั้งการจราจรก็ยังโปร่งโล่ง สองคือสามารถปฏิรูปผังเมืองเก่าควบคู่ไปด้วยได้เลย”


 


 


“ปฏิรูปถนนหนานเจิ้น สร้างศูนย์บ้านพักคนชรา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ตระกูลเฉียวต้องการซื้อคลินิกของฉัน” อวี๋กานกานไม่เข้าใจ ในเมื่อถ้าต้องปฏิรูปไม่ช้าหรือเร็วยังไงคลินิกก็ต้องถูกรื้อถอน[1]อยู่ดี


 


 


ฟังจือหันที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเรียบ “เพราะว่าตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์บ้านพักคนชราคืออวี้หมิงถาง”


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินพูดเสริม “โครงการปฏิรูปผังเมืองเก่าถนนหนานเจิ้น ผู้ที่รับผิดชอบโครงการนี้คือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไป๋หยางหลินซื่อคอร์ปอเรชั่น พวกเขาน่าจะบอกข้อมูลเรื่องศูนย์กลางของเขตบ้านพักคนชราคืออวี้หมิงถางให้กับตระกูลเฉียว หากอวี้หมิงถางตกเป็นของตระกูลเฉียว ตระกูลเฉียวก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ร่วมมือกับเบื้องบนสานต่อโครงการศูนย์บ้านพักคนชรา”


 


 


นัยน์ตาของอวี๋กานกานฉายแววความตึงเครียด “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะจู่ๆ พวกเขาถึงต้องการซื้อคลินิกขึ้นมา ดูท่าปัญหาครั้งนี้คงจะจัดการไม่ง่ายแล้วละ…”


 


 


ตระกูลเฉียวเป็นตระกูลที่เห็นแก่ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อเงินทองแล้วพวกเขาไม่สนใจศีลธรรมอะไรทั้งนั้น ทำนาบนหลังคนมาแล้วนับไม่ถ้วน ศูนย์บ้านพักคนชราอะไรนั้นแค่ฟังดูก็เห็นภาพได้ในทันทีว่าต้องยิ่งใหญ่โอ่อ่าแน่นอน โอกาสวางอยู่ตรงหน้าตระกูลเฉียวแล้ว พวกเขาย่อมไม่สนวิธีการไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล


 


 


ลู่เสวี่ยเฉินคลี่ยิ้มบาง กล่าว “จัดการยงจัดการยากอะไร บนโลกนี้ไม่มีปัญหาไหนที่เงินไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้ามีก็ให้เพิ่มไปอีกเท่าหนึ่ง”


 


 


อวี๋กานกานมองลู่เสวี่ยเฉินอย่างเหนื่อยหน่าย จะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก ถ้าเธอมีเงิน ตอนนี้ก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองแบบนี้ “ปัญหาอยู่ที่ฉันไม่มีเงิน ฉันก็แค่หมอจนๆ คนหนึ่ง” อวี๋กานกานแบมือยักไหล่ พูดอยู่ในใจ ถ้าอาจารย์อยู่ก็ดี เขาต้องจัดการปัญหาทั้งหมดนี้ได้แน่


 


 


“หมอจนๆ? คุณ…ถึงแม้คุณจะเป็นหมอจนๆ แต่คนของคุณคนนี้ไม่ใช่นะครับผม คุณต้องปลดปล่อยเสน่ห์ของผู้หญิงออกมา ตอนอยู่บนเตียงก็ออดอ้อนเขาหน่อย ขอให้เขาช่วยคุณ…” ลู่เสวี่ยเฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย


 


 


อวี๋กานกานความรู้สึกช้า ผ่านไปครู่หนึ่งเธอเพิ่งจะเข้าใจความหมายของลู่เสวี่ยเฉิน ทั้งช็อกและเขินอาย ใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสีเล็กน้อย เธอพูดอย่างตะกุกตะกักด้วยความโกรธใส่ฟังจือหัน “นะ นะ นายไม่ได้บอกเขาเหรอ”


 


 


“บอกอะไร” ฟังจือหันมองเธอสีหน้างุนงง


 


 


อวี๋กานกานกัดริมฝีปาก “ก็ ก็ที่นาย…เป็นอะไรกับฉันไง”


 


 


มุมปากของฟังจือหันยกยิ้มขึ้น พูดโดยที่ไม่ต้องคิด “สามีของคุณไง”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ประเทศจีนปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งสิทธิ์ในการถือครองที่ดินเป็นของรัฐบาล ประชาชนมีสิทธิ์ถือครองแค่เพียงตัวอาคารเท่านั้น เมื่อมีคำสั่งให้ปฏิรูปผังเมืองจึงสามารถดำเนินการได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งนี้ทั้งนั้นทางรัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยหรือหาที่อยู่ใหม่ให้กับผู้ถือครองอาคารที่ถูกรื้อถอน  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม