เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 136-142

ตอนที่ 136 ดูเพื่อนเธอสิ

 

หลินเช่อว่า “เธอพลาดเองนั่นแหละนะ โอเคๆ ว่าแต่แล้วทำไมเขาถึงได้มาวุ่นวายกับเธออีกล่ะ ตอนที่เป็นแฟนกันก็ไม่ยักเห็นเขาสนใจแบบนี้นี่นา”


 


 


เฉินโยวหรานว่า “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ฉันเจอเขาที่งานสถาปนาโรงเรียนคราวก่อน แล้วหลังจากนั้น อยู่ๆ เขาก็โผล่มาก่อกวนฉันซะอย่างงั้นแหละ”


 


 


ตอนที่เฉินโยวหรานคบหาอยู่กับโจวหมินฮั่นนั้น ทั้งสองนับว่าเป็นขวัญใจวัยเรียนของกันและกัน แต่แล้วเขาก็ไปนอนกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นช่วงที่ไปทัศนศึกษาของโรงเรียน เฉินโยวหรานจึงขอเลิก


 


 


เมื่อเรียนจบเธอก็เดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และเมื่อเธอกลับมา เขาก็เริ่มกลับมาวอแวกับเธออีกครั้ง


 


 


หลินเช่อหัวเราะ “อย่าบอกนะว่าเขามานึกเสียดายเอาตอนนี้น่ะ”


 


 


“ต่อให้เขาเสียดายอยากจะกลับมา เขาก็ต้องถามความสมัครใจของฉันก่อนมั้ยล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีเขามาคอยสนแบบนี้ก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรคู่ควรกับฉันอีกแล้ว ใครจะไปอยากได้ของใช้แล้วของคนอื่นล่ะ”


 


 


“ถูกต้องที่สุด! ของมีตำหนิแบบนั้นเราไม่ต้องการ”


 


 


“…”


 


 


“เฮ้อ” สองสาวคุยกันไม่หยุดปาก จนดูเหมือนจะลืมผู้ชายอีกสองคนที่ยืนทำหน้าเมื่อยอยู่ด้วย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมหลินเช่อถึงได้เป็นคนพูดจาเสียงดังเอะอะนัก ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทั้งหมดนั้นมาจากบรรดาผู้คนที่เธอคบหานั่นเอง…


 


 


หลินเช่อส่งสายตาให้เพื่อนรักหยุดพูดแล้วหันกลับมา


 


 


เฉินโยวหรานยิ้มอายๆ ก่อนจะบอกว่า “คุณกู้คะ ฉันเป็นเพื่อนสนิทของหลินเช่อ ยินดีที่ได้พบนะคะ แล้วก็ขอโทษด้วย คุณป่วยเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงรักษามารยาทและตอบเธอไปว่า “อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก”


 


 


เฉินโยวหรานคิดว่าเขาเป็นคนพูดจาเป็นงานเป็นการทีเดียว


 


 


หลินเช่อส่งสายตาเป็นการบอกว่า ‘รู้หรือยังล่ะว่าฉันรู้สึกยังไง’


 


 


หญิงสาวถามต่อไปอีก “ตกลงเป็นอะไรเหรอคะ”


 


 


หลินเช่อตอบ “กระเพาะอาหารอักเสบน่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เพื่อนสาวคนสนิทก็รีบแนะนำ “อา กระเพาะอักเสบเหรอ ครั้งก่อนที่ฉันเป็นน่ะ แม่ฉันเอารากบัวบดกับขิงแล้วก็ต้มเข้าด้วยกันให้กิน มันได้ผลดีทีเดียวละ อาการฉันดีขึ้นทันตาเห็นเลยหลังจากที่ได้กิน”


 


 


ที่ด้านข้าง เมื่อคนเป็นหมอได้ยินเช่นนั้นก็อดขัดขึ้นไม่ได้ “นี่เธอจบมาจากโรงเรียนแพทย์ที่ไหนกันน่ะ ใครบอกเธอว่าให้กินรากบัว”


 


 


เฉินโยวหรานเถียง “ทำไมล่ะ ก็ฉันกินแล้วมันได้ผลนี่นา”


 


 


“เธอโชคดีที่ไม่ตายน่ะสิ แล้วก็ได้โปรดอย่าไปแนะนำคนอื่นเขาแบบนี้ล่ะ จากผลการทดสอบ ปริมาณเม็ดเลือดขาวและระดับคีโตนในร่างกายของเขาสูงมาก เขาจำเป็นต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อกำจัดปริมาณคีโตนออกไปจากร่างกายและลดอาการอักเสบ แล้วเธอจะมาพล่ามเรื่องรากบัวอะไรกัน”


 


 


“…” เฉินโยวหรานเถียง “อะไรเล่า นี่คุณจะดูถูกตำรับยาคนรุ่นเก่าเพียงเพราะว่าคุณเป็นหมองั้นเหรอคะ ตำรับยาพวกนี้ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมานานหลายปีแล้วนะ พวกคนตะวันตกไม่มีวันเข้าใจหรอก คุณคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาตัดสินภูมิปัญญาของบรรพบุรุษได้ยังไงมิทราบ”


 


 


“ฮ่า ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพน่ะสิ”


 


 


“แล้วคุณรู้อะไร”


 


 


“ก็รู้ในสิ่งที่เธอไม่รู้ก็แล้วกัน ถึงมันจะเป็นเรื่องที่บอกต่อๆ กันมาตั้งแต่โบราณ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรอกนะ พวกผู้หญิงสมัยก่อนก็เคยรัดเท้า [1] แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงไม่รัดเท้าบ้างล่ะ” สีหน้าเฉินอวี่เฉิงทั้งเหยียดหยามและข่มขู่ เขาจ้องหน้าเฉินโยวหรานไม่ลดละ


 


 


ทางด้านเฉินโยวหรานก็ใช่ว่าจะยอมลดราวาศอก “แล้วท่าสะพานโค้งหรือท่าดอกบัวล่ะ ท่าพวกนี้ก็มีมาตั้งแต่สองสามร้อยปีก่อนแล้วเหมือนกัน ทีแบบนี้คุณไม่เห็นว่าอะไรนี่!”


 


 


“…”


 


 


“เฮ้อ…”


 


 


หน้าของนายแพทย์บึ้งตึง เขายืนนิ่งไม่ไหวติง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกระแอมเสียงดัง “หมอเฉิน ฉันอยากพักแล้ว คุณผู้หญิงเฉินเองก็คงเหนื่อยเหมือนกันหลังจากที่เจอเรื่องมาทั้งวัน ทำไมนายไม่พาเธอกลับไปพักที่บ้านนายล่ะ”


 


 


เฉินอวี่เฉิงรีบลนลานเข้ามาหากู้จิ้งเจ๋อ “แล้วทำไมเธอถึงจะต้องกลับไปพักที่บ้านผมด้วยล่ะครับ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบหน้าตาเฉยว่า “ก็คราวที่แล้วเธอเคยไปพักมาแล้วนี่นา คงจะคุ้นเคยดีกว่า ให้เธอพักกับนายนั่นแหละ”


 


 


“แต่…”


 


 


“หมอเฉิน ยังจะมีข้ออ้างอะไรอีกล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อยิ้มน้อยๆ แต่สายตาเต็มไปด้วยแววคุกคาม


 


 


เฉินอวี่เฉิงอัดอั้นแต่ก็พูดอะไรไม่ได้


 


 


ถึงยังไงกู้จิ้งเจ๋อก็เป็นนายจ้าง


 


 


เขาจึงทำได้แต่เพียงตวัดสายตามองหญิงสาวด้วยความเกลียดชัง


 


 


แต่เฉินโยวหรานหาแคร์ไม่ เธอสนุกด้วยซ้ำที่เห็นเขาหงุดหงิด ยิ่งเขาไม่มีความสุขเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น


 


 


ก็ใครขอให้เขาทำตัวแย่ๆ แบบนี้ล่ะ


 


 


“ท่านประธานกู้ใจดีมากๆ เลย ฮ่าๆ หลินเช่อโชคดีจริงๆ ที่ได้อยู่กับคุณนะคะเนี่ย!”


 


 


ในที่สุดหล่อนก็พูดอะไรเข้าหูเข้าสักที


 


 


เฉินอวี่เฉิงเหลือบมองเธออีกครั้ง และได้แต่เพียงบอกว่า “ไปกันเถอะ อย่ามัวอ้อยอิ่งอยู่เลย”


 


 


เฉินโยวหรานส่งยิ้มให้หลินเช่อ “ไปดูแลสามีของเธอเถอะ เอาไว้เขาหายดีแล้วเราค่อยคุยกันนะ”


 


 


หลินเช่อมองเพื่อนสาวอย่างเป็นห่วงและบอกว่า “ทำตัวดีๆ กับคุณหมอเฉินล่ะ”


 


 


เฉินโยวหรานขยิบตาให้แล้วเดินออกไป


 


 


เมื่อเห็นทั้งสองออกไปแล้ว หลินเช่อก็หันมายิ้ม “ใครจะไปคิดล่ะคะว่าจะมีวันที่คุณหมอเฉินเถียงไม่ชนะกับเขาด้วย ฉันคิดว่าพวกนักจิตวิทยาจะเก่งเรื่องการโต้เถียงเสียอีกนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้า “เอาล่ะ ตอนนี้เพื่อนเธอก็ไม่เป็นไรแล้ว เลิกจุ้นจ้านวุ่นวายได้แล้วนะ”


 


 


เมื่อหลินเช่อเห็นว่าเขายังดูมีอาการปวด เธอจึงนั่งลงข้างเขาอย่างเชื่อฟังเป็นอันดี


 


 


หลังให้น้ำเกลือเสร็จ กู้จิ้งเจ๋อก็อาการดีขึ้นมา เขาสามารถกลับไปทำงานตามปกติได้ในวันถัดมา


 


 


หลินเช่อไปที่บริษัทเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานชิ้นใหม่


 


 


ซีรีส์โทรทัศน์เรื่องใหม่นี้เป็นละครร่วมสมัย มีมุกตลกเจ็บตัวนิดหน่อยสำหรับพล็อตคนเมือง ซึ่งเชื่อได้ว่าจะต้องได้รับความนิยมแน่ ตัวนางเอกของเรื่องนั้นเป็นหมอชันสูตรที่เพิ่งไปเข้าร่วมกับทีมตำรวจสืบสวน เธอต้องเรียนรู้การทำงานจากหมอรุ่นพี่และในที่สุดก็เริ่มที่จะมีใจให้เขา


 


 


นักแสดงชายหน้าใหม่จะมารับบทรุ่นพี่ปากร้ายในเรื่อง


 


 


ด้วยเหตุนี้แม้ว่าการถ่ายทำจะยังไม่เริ่มต้น ซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากไปทั่วแล้ว


 


 


กว่าอวี๋หมินหมิ่นจะคว้าบทนี้มาให้เธอได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้จัดการของเธอรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เข้มแข็ง ซึ่งเหมาะกับภาพลักษณ์ของหลินเช่ออย่างมาก


 


 


ระหว่างที่หลินเช่อกำลังปรึกษาพูดคุยเกี่ยวกับบทและตารางการถ่ายทำ อยู่ๆ เธอก็นึกถึงอาการป่วยของกู้จิ้งเจ๋อขึ้นมา


 


 


เมื่อไม่อาจข่มใจไว้ได้ เธอจึงลุกขึ้นเดินออกมาโทรหาเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกำลังประชุมอยู่ แต่เขาก็รับสายโดยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร เพียงแต่ถามว่า “มีอะไรรึเปล่า เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”


 


 


หลินเช่อตอบ [ไม่มีอะไรค่ะฉันแค่อยากจะถามว่าคุณรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง ทำงานเป็นยังไงบ้างคะ]


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจอย่างโล่งอก และตอบว่า “ฉันไม่เป็นไร รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ”


 


 


[อ้อ นี่ฉันโทรมากวนคุณหรือเปล่าคะ งั้นคุณกลับไปทำงาน…]


 


 


“เปล่า ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก…ทำไม เป็นห่วงฉันเหรอ” เขาทำเสียงรื่นรมย์ ทำให้หลินเช่อค่อยเบาใจ


 


 


[ฉัน…แหม แน่นอนว่าฉันก็ต้องห่วงสิคะ ก็คุณป่วยเพราะฉันนี่นา]


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะหึและพูดต่อไปว่า “อ้อ จริงสิ ฉันกำลังจะบอกเธอว่าคืนนี้ฉันมีงานเลี้ยงนะ แล้วเธอก็ต้องไปกับฉันด้วย เธอควรกลับไปเตรียมตัวได้แล้วล่ะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ประเพณีรัดเท้า ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960 – 1279) ผู้หญิงจีนจะนิยมใช้ผ้ารัดเท้าไว้จนแน่นคล้ายรูปทรงดอกบัว เนื่องจากมีความเชื่อว่าผู้หญิงเท้าเล็กเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดี เพราะหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้เท้าทำงาน จึงสามารถรัดเท้าได้ 

 

 


ตอนที่ 137 พาเธอไปออกงาน

 

หลินเช่อถามอย่างสงสัย “งานเลี้ยงอะไรคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ก็แค่งานเลี้ยงการกุศลกันเป็นการภายในน่ะ ฉันต้องพาคู่ควงไปด้วย”


 


 


หลินเช่อจึงย้อนให้ว่า “งั้นคุณก็พาคู่ควงไปสิคะ”


 


 


“ก็ฉันมีเมีย ยังจะต้องไปหาคู่ควงที่ไหนอีกล่ะ”


 


 


หลินเช่อหัวเราะ “ก็ได้ค่ะ งั้น…ฉันจะไปกับคุณ”


 


 


แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าเธอถูกบังคับ แต่จริงๆ แล้วหลินเช่ออดดีใจไม่ได้


 


 


ได้ไปร่วมงานเลี้ยงกับกู้จิ้งเจ๋อแบบนี้


 


 


เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้ทำมาก่อนเลย…


 


 


ไม่ช้า คนดูแลก็โทรมาหาหลินเช่อและบอกว่าจะส่งรถมารับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าทำผม เพื่อให้เธอไปร่วมงานเลี้ยงได้อย่างไม่ต้องร้อนใจ


 


 


ตกเย็น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมาถึงก่อนล่วงหน้าและเข้ามาหาหลินเช่อในห้องสตูดิโอแต่งหน้าส่วนตัว ปกติแล้วช่างแต่งหน้าฝีมือเยี่ยมคนนี้จะมีคิวจ้างแต่งหน้ายาวเหยียดทีเดียว อวี๋หมินหมิ่นเองก็เคยอยากได้หล่อนมาช่วยแต่งหน้าให้หลินเช่อเมื่อครั้งขึ้นไปรับรางวัล แต่ก็ไม่อาจแทรกคิวยาวที่จองเอาไว้ก่อนแล้วได้ ทว่าวันนี้ เพราะกู้จิ้งเจ๋อ หลินเช่อจึงได้ครอบครองสตูดิโอแต่งหน้าทั้งหมดนี้แต่เพียงผู้เดียว


 


 


ช่างแต่งหน้าไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างกู้จิ้งเจ๋อและหลินเช่อ แต่หล่อนก็มีจรรยาบรรณทางอาชีพมากพอที่จะไม่ถาม หล่อนไม่นินทาใครและปฏิบัติกับหลินเช่อด้วยความสุภาพ


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อมาถึง หล่อนก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้นไปอีก


 


 


ใครที่กล้าเอาเรื่องของเขาไปพูดก็เท่ากับรนหาที่ตายนั่นล่ะ


 


 


หลินเช่อที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วหันกลับมาหาชายหนุ่ม เธออยู่ในชุดสีแดงที่ไม่ได้ทำให้ดูเซ็กซี่ยั่วยวน ทว่าขับให้ดูสดชื่นเหมือนดอกไม้แรกแย้มหลังฝน บริสุทธิ์และสะอาด


 


 


ช่างแต่งหน้าเอ่ยชมว่า “คุณหลินสวยมากและผิวก็ดีมากด้วยค่ะ จากบรรดาทุกคนที่ฉันเคยแต่งหน้าให้ คุณหลินผิวดีที่สุดเลย”


 


 


หลินเช่อหันมายิ้มอายๆ เธอยกชายกระโปรงขึ้นแล้วถามเขาว่า “ฉันดูเป็นยังไงบ้างคะ สวยรึเปล่า”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มให้ก่อนพยักหน้า “อืม ฉันว่าเธอสวมชุดแล้วก็ช่วยทำให้ชุดดูสวยขึ้นดี”


 


 


“…” หลินเช่อบุ้ยปาก เธอรู้อยู่แล้วละว่าเขาคงไม่พูดอะไรดีๆ หรอก!


 


 


แต่จะช่วยชมหน่อยไม่ได้หรือไงนะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อดึงแขนหญิงสาว “ไปกันเถอะ”


 


 


บนรถ หลินเช่อถามเขาว่า “งานเลี้ยงคืนนี้ใหญ่มั้ยคะ ทำไมคุณถึงได้เชิญฉันล่ะ มันจะไม่เป็นไรเหรอคะ”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก ใครๆ ก็พาคู่ควงกันมาทั้งนั้นนั่นแหละ ไม่มีใครถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราหรอก นี่เป็นงานใหญ่ เป็นงานเลี้ยงการกุศลประจำปีน่ะ”


 


 


“อ้อ แต่ฉันไม่เคยไปออกงานเลี้ยงอะไรกับคุณมาก่อนเลยสักงานนะคะ” หลินเช่อถามด้วยความสงสัย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกเรียบๆ ว่า “ก็ใช่น่ะสิ ปกติแล้วฉันจะใช้คนของฉันให้ไปร่วมงานแทนมากกว่าไปเองน่ะ”


 


 


“จริงเหรอคะ ฉันนึกว่ามันจะเหมือนกับที่เคยเห็นในทีวีเสียอีก ที่พวกนายทุนอย่างคุณจะต้องเดินไปรอบๆ งานเลี้ยงแล้วก็เที่ยวคุณเจ๊าะแจ๊ะอวดโน่นนี่กันใหญ่ ดูแล้วน่าสนุกออกค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “นั่นเธอกำลังพูดถึงพวกนายทุนจากบริษัทเล็กๆ น่ะสิ พวกนั้นต้องพยายามไต่เต้าขึ้นไปให้สูงขึ้นอีก ไม่อย่างนั้นก็ต้องคอยออกงานอยู่เรื่อยๆ แบบนี้”


 


 


“…”


 


 


นี่เขาหมายถึงตำแหน่งที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้หรือเปล่านะ ที่ไม่จำเป็นต้องออกไปพบปะหรือสังสรรค์กับใครอีกต่อไปแล้วน่ะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนี่…จะหาทางชมตัวเองทุกครั้งที่เขามีโอกาสเลยหรือยังไงกัน


 


 


หลินเช่อหันมองเขาโดยไม่พูดอะไร พอดีกับที่โชเฟอร์หยุดรถลงตรงหน้าทางเข้าโรงแรมระดับเจ็ดดาว


 


 


หลินเช่อตามเขาลงจากรถ เมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นผู้คนมากมายกำลังรอต้อนรับพวกเธออยู่


 


 


“ท่านประธานกู้มาถึงแล้ว”


 


 


“ยินดีต้อนรับค่ะท่านประธานกู้”


 


 


“ท่านประธานกู้ เชิญด้านในเลยครับ”


 


 


เมื่อตามกู้จิ้งเจ๋อเข้าไป เธอก็เริ่มได้รับความสนใจไม่น้อยเช่นกัน ไม่มีใครกล้าถามว่าเธอป็นใคร แต่ทุกคนเห็นกู้จิ้งเจ๋อเป็นฝ่ายจูงมือเธอเดินเข้างาน ชุดของหลินเช่อนั้นสวยมาก มันเป็นชุดสีไวน์แดง ยาวลากพื้น ดูสวย งามสง่าอย่างยิ่ง


 


 


ผู้คนที่อยู่ด้านหลังเริ่มซุบซิบกัน “ดูสิ! นั่นกู้จิ้งเจ๋อนี่นา”


 


 


“ทั้งปีเราแทบจะไม่เคยเจอหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ”


 


 


“เขามากับใครน่ะ”


 


 


“คงจะเป็นคู่ควงนั่นแหละ เธอดูหน้าคุ้นๆ อยู่นะ เหมือนจะเป็นดารา”


 


 


ทุกคนต่างพากันมองหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเขาด้วยท่าทีริษยา ทั้งสองเดินไป ทิ้งให้บรรดาผู้คนที่เดินผ่านพากันร้องอุทานไม่ขาดปาก ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหน เขาก็เป็นจุดสนใจของทุกคน


 


 


“แต่เห็นมีข่าวว่าเขาคบหาอยู่กับลูกสาวของตระกูลโม่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมากับผู้หญิงคนนี้ได้ล่ะ”


 


 


“แต่ไม่เคยมีใครเห็นกู้จิ้งเจ๋อพาเธอออกงานเลยนะ”


 


 


สองสามคนยังคงถกเถียงกันเรื่องนี้โดยมีโม่ฮุ่ยหลิงนั่งอยู่ข้างหลัง เธอกำลังยกแก้วเครื่องดื่มด้วยสีหน้าเกลียดชัง


 


 


เธอรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่ากู้จิ้งเจ๋อจะมาร่วมงานเลี้ยง ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเพราะนี่เป็นงานเลี้ยงการกุศลประจำปีที่ใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นกู้จิ้งเจ๋อก็น่าจะเดินทางมาร่วมเพื่อบริจาคเงินด้วย


 


 


แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมาพร้อมนังหลินเช่อนั่น


 


 


ที่ทุกคนพูดก็ถูก กู้จิ้งเจ๋อไม่ค่อยพาเธอออกงานต่อหน้าสาธารณชนมากนัก


 


 


เพราะเขาเองก็ไม่ชอบที่จะตกเป็นเป้าสนใจของคนอื่น ด้วยเหตุนี้ในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน เขาจึงเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครมีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตาอย่างจริงจังนัก


 


 


แน่ละว่าโม่ฮุ่ยหลิงก็อยากจะออกงานกับเขา แต่เธอกลัวจิ้งเจ๋อจะมองว่าเธอพยายามพาเขาออกไปเปิดเผยให้ใครต่อใครรู้จัก หญิงสาวจึงพยายามหักห้ามใจตัวเองมาโดยตลอดไม่ให้ทำตามความปรารถนาของตัวเอง


 


 


แต่กลายเป็นว่าเขากลับพาแม่หลินเช่อนั่นออกงาน…


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงกัดฟันขณะมองคนทั้งคู่เดินผ่านไป สายตาของเธอเชยมองตาม


 


 


หลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อได้ที่นั่งที่ชั้นบนของห้องจัดเลี้ยง ทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นงานเลี้ยงได้ทั้งงาน แต่คนที่อยู่ในงานไม่อาจมองเห็นพวกเขาได้


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเช่อมีโอกาสได้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่แบบนี้ เธอจึงควักเอาโทรศัพท์ออกมา “ฉันจะพยายามถ่ายรูปดูสักหน่อยนะคะ ฮิๆ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองโดยไม่พูดอะไร “นี่เธอจะถ่ายเซลฟี่ตัวเองกับทุกอย่างเลยงั้นหรือไง”


 


 


หลินเช่อแย้ง “ก็นานๆ จะมีโอกาสได้มาสักทีนี่คะ เดี๋ยวพอฉันโพสต์ลงเวยป๋อนะ แฟนๆ จะต้องยกย่องฉันแน่ที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานเลี้ยงแบบนี้น่ะ ฉันไม่ได้เอาไม้เซลฟี่มาด้วย คุณช่วยถ่ายให้หน่อยสิคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถึงกับอึ้ง “นี่เธอ…”


 


 


นี่เดี๋ยวนี้เธอไม่กลัวเขาแล้วหรือไงนะ จากที่เคยถ่ายรูปเอง มาตอนนี้กลับใช้เขาถ่ายให้หน้าตาเฉยแบบนี้


 


 


หลินเช่อทำสายตาวิงวอนน่าสงสาร “ช่วยหน่อยนะคะ ได้โปรดเถอะ แค่กดปุ่มเองค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่มีทางเลือก โชคดีที่ไม่มีใครมองเห็นพวกเขา เพราะถ้ามีคนมาเห็นเขาพยายามช่วยเธอถ่ายเซลฟี่แบบนี้ละก็…คงไม่ใช่เรื่องดีแน่


 


 


เขารับโทรศัพท์มาแล้วมองหน้าหลินเช่อ ก่อนจะกดถ่ายให้เธอสองสามภาพ เมื่อหญิงสาวรับโทรศัพท์คืนไป เธอก็มองดูผลงานที่ได้ด้วยท่าทีท้อแท้ใจ เธอจึงขอใหม่อีกรอบ “กู้จิ้งเจ๋อ…นี่คุณไม่เคยถ่ายรูปหรือไงคะ คุณต้องถ่ายให้เห็นแบ็กกราวน์เป็นงานทั้งงานข้างล่างด้วยสิ ที่คุณถ่ายมานี่เหมือนฉันกำลังนั่งดื่มอยู่ที่บาร์มืดๆ ในโรงแรมยังงั้นแหละ ใครจะไปรู้ว่านี่เป็นงานเลี้ยงสุดหรูกันล่ะ”


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องถ่ายรูปให้เธออีกรอบ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจอยู่ดีนั่นเอง


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ ฉันละเชื่อคุณเลยนะเนี่ย นี่คุณไม่มีเซนส์ความงามบ้างเลยหรือไงคะ เซนส์ความงามน่ะค่ะ! ทำไมหน้าฉันถึงเบี้ยวไปหมดแบบนี้ล่ะ” 

 

 


ตอนที่ 138 เธอทำร้ายกู้จิ้งเจ๋อแบบนี้...

 

“กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณเกลียดอะไรฉันคะเนี่ย ยิ่งถ่าย ฉันยิ่งดูน่าเกลียด…” หลินเช่อคว้าโทรศัพท์คืนไปและมองหน้าตายของอีกฝ่าย “กู้จิ้งเจ๋อ ในที่สุดฉันก็ได้รู้แล้วว่าคุณเองก็มีเรื่องที่ไม่เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”


 


 


ชายหนุ่มนึกตกใจ “นี่เธอว่าอะไรนะ”


 


 


หลินเช่อบอก “ก็ไม่เห็นเหรอคะว่าคุณถ่ายอะไรมา คุณกู้คะ ดูแล้วคุณท่าจะไม่มีทักษะการถ่ายรูปเลยสักนิด เฮ้อ แต่ฉันก็เห็นใจหรอกนะคะ ใครจะสมบูรณ์แบบไปหมดได้ล่ะจริงมั้ย”


 


 


หลินเช่อยังคงว่าต่อไปอีก “สงสัยฉันต้องถ่ายเองซะแล้วสิ…”


 


 


ขณะที่พูดเธอก็ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งและถ่ายเซลฟี่โชว์ให้ชายหนุ่มดูเป็นขวัญตา “เห็นมั้ยคะ เนี่ยเขาเรียกว่าเซลฟี่ แล้วดูที่คุณถ่ายนี่สิ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองรูปที่เธอถ่ายแล้วมองหน้าหลินเช่อ “นี่มันไม่ดูดีเกินจริงไปหน่อยเรอะ นั่นเธอจริงๆ เหรอ”


 


 


หลินเช่อร้อง “ตราบใดที่มันสวยก็พอน่า!”


 


 


ชายหนุ่มไม่เข้าใจเอาเลย


 


 


หลินเช่อไม่ยอมง่ายๆ “ทำไมคะ นี่คุณคิดว่าฉันจะยอมโพสต์รูปน่าเกลียดๆ เหรอ แบบนั้นมันดีตรงไหนกัน แน่นอนว่าฉันก็ต้องอยากให้แฟนๆ ได้เห็นรูปสวยๆ สิคะ นี่ฉันทำเพื่อพวกเขานะ”


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อที่ไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไรได้แต่ส่ายหน้า


 


 


หลินเช่อกระหน่ำต่อ “คุณนี่ไม่เข้าใจอะไรเล้ย!”


 


 


“ฉันเองก็ไม่อยากเข้าใจเหมือนกันนั่นแหละ”


 


 


หลินเช่อหัวเราะแล้วมองหน้าเขา เธอดึงเขาเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า “มาเถอะค่ะ มาลองถ่ายรูปด้วยบิวตี้ฟิลเตอร์กันดีกว่า ลองแล้วคุณจะรู้เอง”


 


 


“ฉันไม่อยาก…”


 


 


“ฉันไม่ยอมให้ปฏิเสธหรอกนะคะ…”


 


 


หลินเช่อดึงเขามาแล้วยกคางตัวเองไปทางเขาเล็กน้อย เพื่อให้ทั้งสองคนสามารถอยู่ในกรอบภาพได้พอดี


 


 


แล้วเธอก็นับ “หนึ่ง สอง สาม ชีสสส”


 


 


‘แชะ!’ แล้วภาพของเธอและเขาก็ถูกล็อกเอาไว้บนหน้าจอโทรศัพท์


 


 


หลังจากใส่ฟิลเตอร์เรียบร้อย เธอก็หันให้กู้จิ้งเจ๋อดู “เห็นมั้ยละคะ ดูดีออกจะตาย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเลิกคิ้ว “ถ้าคนจะดูดี ถ่ายรูปแบบไหนก็ดูดีทั้งนั้นนั่นแหละ”


 


 


หลินเช่อยังไม่ยอมแพ้ “ว้าว เห็นมั้ยคะเนี่ย ริ้วรอยบนผิวคุณหายเกลี้ยงหมดเลย ดูท่าทางผิวจะดูนุ่มขึ้นด้วยนะ”


 


 


“หลินเช่อ!” นี่เธอพูดเรื่องอายุเขาอีกแล้วนะ!


 


 


เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าบูด เธอก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ทำไมคุณถึงชอบเป็นแบบนี้ละคะ คุณต้องมีทัศนคติที่ดีกับอายุของตัวเองสิ”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อขยับเข้ามาหา “เอาล่ะๆ อย่าโกรธไปเลยนะคะ ฉันแค่จะบอกว่า…หน้าคุณน่ะดูเด็กกว่าคนอายุเท่ากันอีก!”


 


 


“…” นี่จะไม่ยอมเลิกพูดเรื่องอายุกันใช่มั้ย


 


 


“ฉันพูดจริงนะคะ”


 


 


“พอที ไม่ต้องพูดอีกแล้วนะ เธอจะทำฉันบ้าตาย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่คิดเลยว่าการเถียงกับหลินเช่อจะทำให้เขาเป็นประสาทแบบนี้ได้ เธอทำได้ยังไงนะด้วยไอคิวต่ำเตี้ยขนาดนั้นน่ะ


 


 


แต่เมื่อได้เห็นภาพคู่ที่ถ่ายออกมา เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอและเขาก็ดูสมกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว


 


 


“ส่งมาให้ฉันหน่อยสิ” เขาบอก


 


 


“อา คุณอยากได้เหรอคะ จะเอาไปทำอะไรละคะ” เธอถาม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “ฉันไม่มีรูปเธอเลยนี่นา ถ้าเธอเกิดหายตัวไปวันไหน ฉันจะได้ใช้รูปนี่ทำโปสเตอร์ประกาศคนหายไงล่ะ”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อพูดไม่ออก แต่ก็ยอมส่งรูปให้โดยดี


 


 


เขารับรูปมา มองดูอีกครั้ง ก่อนจะเซฟเก็บไว้ในโทรศัพท์


 


 


การประมูลการกุศลกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า หลินเช่อโพสต์รูปของตัวเองลงในเวยป๋อและหันมาสนใจการประมูลกับกู้จิ้งเจ๋อ


 


 


การประมูลเริ่มต้นที่สิบล้าน ทำเอาหลินเช่อตกตะลึงอย่างมาก


 


 


เมื่อผ่านไปได้สักพัก เขาก็หันมาถามเธอว่า “มีอะไรที่เธออยากได้หรือเปล่า”


 


 


“…” หลินเช่อยังอึ้งอยู่ “ฉันไม่มีเงินซื้อหรอกค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วบอกว่า “ถ้าเธอจะพูดแบบนี้กับทุกอย่าง ฉันคงจะมีความสุขมากกว่านี้อีก”


 


 


“…” หลินเช่อว่า “นี่ฉันยังประหยัดไม่พออีกเหรอคะ เห็นหรือเปล่าว่าฉันเจียมเนื้อเจียมตัวขนาดไหนน่ะ”


 


 


ชายหนุ่มกลอกตา เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก


 


 


แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเกรงอกเกรงใจเขาน้อยลงทุกทีและเริ่มเคยชินกับการมีเขาเสียแล้ว


 


 


หลินเช่อนั่งดูการประมูลอยู่นานก่อนจะขอตัวลุกมาเข้าห้องน้ำ


 


 


ด้านนอกห้องจัดเลี้ยงนั้นตกแต่งอย่างหรูหรา เป็นครั้งแรกที่หลินเช่อได้มีโอกาสร่วมงานสังคมชั้นสูงแบบนี้ เธอจึงอดใจที่จะชะเง้อชะแง้ดูโน่นนี่ไม่ได้ รู้สึกว่าอะไรๆ ก็ช่างน่ามองไปเสียหมด


 


 


เมื่อเดินเข้าห้องน้ำ เธอก็ได้พบว่าในนั้นงามหรูทีเดียวจนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นี่เป็นสถานที่ไฮคลาสชัดๆ


 


 


เธอล้างมือแล้วสำรวจเครื่องสำอางบนหน้าให้เป็นที่เรียบร้อย เมื่อเดินออกมา เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งร้องเรียกขึ้น “หลินเช่อเหรอ”


 


 


เป็นโม่ฮุ่ยหลิงนั่นเอง


 


 


เธอหันมาพบกับโม่ฮุ่ยหลิงในชุดสีชมพูพาสเทลที่กำลังเดินฉับๆ มาบนรองเท้าส้นสูง จมูกเชิดขึ้นไปในอากาศจนรูจมูกแทบจะแหงนขึ้นฟ้า หล่อนเอียงคอ ขยับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเมื่อมองดูหลินเช่อ “ว่าไงล่ะ เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกล่ะสิ”


 


 


หลินเช่อหุบยิ้ม มองดูอีกฝ่ายและตอบรับไปว่า “ใช่ ฉันเพิ่งเคยมาครั้งแรก”


 


 


เธอตอบออกไปตามตรงและไม่คิดว่ามีอะไรที่ต้องอาย


 


 


ทุกคนรู้ดีว่านี่เป็นครั้งแรกของเธอที่มาที่นี่ จะต้องโกหกไปทำไมกันล่ะ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ้ม “จริงสินะ จิ้งเจ๋อน่าจะพาเธอออกงานให้มากกว่านี้นะ ไม่อย่างงั้นถ้าเธอไปร่วมงานรวมญาติของตระกูลกู้ด้วยท่าทีแบบนี้ พวกเขาคงจะตกใจกันแย่ ถึงแม้ว่างานเลี้ยงนี่จะไม่ได้หรูหราเท่างานเลี้ยงตระกูลกู้ แต่ก็ยังเป็นงานกาล่าประจำปีที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเรา”


 


 


หลินเช่อจับได้ถึงสุ้มเสียงล้อเลียนปนดูถูก จึงได้แต่เพียงยิ้มให้เรียบๆ ว่า “ขอบคุณที่อุตส่าห์บอกนะคะ คุณหนูโม่”


 


 


“แน่นอนว่าเธอคงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร อ้อ จริงสิ ฉันเห็นเธอโพสต์รูปงานเลี้ยงนี่ลงในเวยป๋อแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเห็นรูปของเธอและโกรธจัดเสียจนต้องลุกขึ้นออกมาเดินหาตัวหลินเช่อ


 


 


นังผู้หญิงคนนี้ทำเป็นถ่ายรูปการมางานเลี้ยงที่นี่เป็นครั้งแรกของตัวเอง ถึงแม้ว่าในรูปจะมีแค่ตัวหล่อนก็ตามทีเถอะ แต่มันก็เหมือนหล่อนกำลังพยายามทำท่าว่าเป็นสาวสังคมชั้นสูง นี่เป็นเรื่องที่โม่ฮุ่ยหลิงขยะแขยงที่สุด


 


 


เก้าอี้ข้างบนนั่นควรจะเป็นของเธอต่างหากล่ะ!


 


 


ทุกอย่างที่นังหลินเช่อได้ไป มันควรจะเป็นของเธอ!


 


 


หลินเช่อขมวดคิ้วแล้วมองหน้าโม่ฮุ่ยหลิง “มีอะไรเหรอคะ”


 


 


ใบหน้าของอีกฝ่ายเคร่งเครียดอย่างมาก เธอวางท่ายิ่งใหญ่สูงส่งและพร้อมจะพ่นคำตำหนิต่อว่าราวกับเป็นครูใหญ่


 


 


“หลินเช่อ ที่เธออยากดังและทำเป็นโชว์ออฟนั่นมันก็ไม่ผิดหรอกนะ แต่เธอต้องรู้ด้วยสิว่าจิ้งเจ๋อพยายามทำตัวโลว์โปรไฟล์มาโดยตลอด เขาไม่ชอบโอ้อวดอะไรให้ใครเห็น เธอช่วยจำข้อนี้เอาไว้หน่อยได้มั้ยจ๊ะ ต่อให้เธออยากอวดใจจะขาดแค่ไหน เธอก็ควรจะคิดถึงเขาด้วยสิ! เขาจะเอาหน้าไปไว้ไหนถ้าเธอขืนทำตัวแบบนี้น่ะ!”


 


 


หลินเช่ออึ้งไป “คุณหมายความว่ายังไงคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเองก็อยู่ด้วยตอนที่เธอโพสต์รูปลงในเวยป๋อ เธอเองก็ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรสักนิด แล้วโม่ฮุ่ยหลิงจะมาเตือนอะไรเธอล่ะ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยังไม่ยอมหยุด “นี่ฉันต้องพูดกับเธอให้ชัดกว่านี้อีกมั้ย หลินเช่อ เธอควรรู้สถานะตัวเองนะจ๊ะ เธอไม่คู่ควรกับจิ้งเจ๋อ เพราะฉะนั้นเธออาจไม่รู้ว่าพวกคนที่อยู่ในสังคมชั้นสูงแบบนี้เขาใช้ชีวิตกันยังไง ถ้าไม่รู้ ก็มาถามฉันได้นะ เห็นแก่จิ้งเจ๋อ ฉันยินดีจะอธิบายถึงนิสัยแล้วก็การใช้ชีวิตของเขาให้ฟังก็ได้ แต่เธอก็ช่วยเลิกทำตัวไม่มีหัวคิดแบบนี้ทีเถอะนะ” 

 

 


ตอนที่ 139 ส่องประกายด้วยความภาคภูมิ

 

หลินเช่อมองดูอีกฝ่ายอย่างนึกขัน เธอถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อโดนดูถูกจากผู้หญิงที่ชิงชังเธอขนาดนี้


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อรู้ดีว่าฉันโพสต์รูปลงเวยป๋อค่ะ และฉันเชื่อว่าถ้าเขามีปัญหาอะไรละก็ เขาคงจะเตือนฉันด้วยตัวเองไปแล้ว ตามที่คุณพูดมามันก็ถูกอยู่หรอกค่ะ ฉันไม่รู้ว่าพวกชนชั้นสูงเขาอยู่กันยังไง แต่ฉันก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องดีที่จะต้องใช้ชีวิตแบบนั้น ฉันชินกับการใช้ชีวิตแบบเดิมของตัวเอง และฉันก็จะไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อกู้จิ้งเจ๋อ ฉันเชื่อว่าตราบใดที่ฉันจริงใจแล้วก็ซื่อสัตย์ ฉันก็จะได้รับการเคารพนับถืออยู่ดีไม่ว่าจะอยู่ในสังคมแบบไหนก็ตาม!”


 


 


“แก…”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงไม่คิดเลยว่าจะโดนหลินเช่อย้อนกลับเอาแบบนี้


 


 


หล่อนยังถากถางต่อไปอีก “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุลนั่นแหละ!”


 


 


หลินเช่อหัวเราะเสียงเย็น ก่อนที่จะได้ยินเสียงใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาและเห็นโม่ฮุ่ยหลิงพอดี


 


 


“ฮุ่ยหลิงเหรอ”


 


 


ชายหนุ่มรีบเดินมายืนเคียงข้างหลินเช่ออย่างรวดเร็ว เขาดึงเธอไปหลบไว้แล้วเอาตัวขึ้นมาบังด้านหน้าราวกับพยายามปกป้องเธอให้ปลอดภัย


 


 


ทันทีที่โม่ฮุ่ยหลิงเห็นหน้ากู้จิ้งเจ๋อ สีหน้าเธอก็เปลี่ยนในฉับพลัน


 


 


“จิ้งเจ๋อ คุณก็มาร่วมงานกาล่าด้วยเหรอคะ”


 


 


ชายหนุ่มหันไปมองหลินเช่อเพื่อสำรวจดูว่าเธอปลอดภัยดี


 


 


แต่หลินเช่อไม่ได้มีวี่แววว่าได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มีเพียงท่าทีไม่เป็นสุขเท่าไหร่นักแค่นั้น


 


 


เขาหันกลับมาหาโม่ฮุ่ยหลิง “ใช่ ฉันก็มาปีละครั้งเท่านั้น”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพูดต่อ “ฉันก็ด้วยค่ะ พ่อกับแม่ของฉันก็มาด้วยนะคะ พวกท่านอยู่ข้างนอกโน่นแน่ะ”


 


 


“อ้อ งั้นเธอก็น่าจะรีบไปสมทบกับพวกท่านนะ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ”


 


 


หญิงสาวรีบฉีกยิ้ม ใจจริงเธออยากจะแล่นเข้าไปให้ถึงตัวเขา แต่ก็หักห้ามบังคับใจตัวเองให้ยืนอยู่ที่เดิม


 


 


พ่อของเธอพูดถูก เป็นผู้หญิงต้องรู้จักบังคับตัวเอง เธอต้องรักษาระยะห่าง ไม่อาละวาดสร้างเรื่องใดๆ ให้กับเขาอีก


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตอบ “ฉันมาเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ แล้วก็บังเอิญเจอหลินเช่อพอดี เลยหยุดคุยกับเธออยู่ครู่หนึ่ง”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอก “อ้อ ใช่ คราวนี้ฉันต้องพาคู่ควงมาด้วยน่ะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงกัดริมฝีปาก ใช่สิ ก็หล่อนเป็นภรรยาของเขานี่…


 


 


นั่นควรจะเป็นตำแหน่งของเธอต่างหากล่ะ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงฝืนยิ้มอย่างอบอุ่นให้ “จริงเหรอคะนี่ มิน่าล่ะวันนี้หลินเช่อถึงได้ดูสวยนัก อ้อ จริงสิหลินเช่อ เธอเป็นดารานี่นะ พ่อฉันกำลังอยากหาใครสักคนมาเล่นในโฆษณาตัวใหม่อยู่พอดี ภาพลักษณ์ของเธอก็ดีอยู่ไม่น้อย เธอจะช่วยพิจารณารับงานโฆษณาสักหน่อยมั้ยถ้าเป็นไปได้ละก็ แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าของครอบครัวเราน่ะเป็นสินค้าขายดีระดับประเทศ เมื่อถึงเวลา โฆษณาที่ถ่ายทำไว้จะถูกนำไปออกอากาศไปทั่วทุกที่เลย ฉันรู้ว่าคนอย่างเธอคงไม่ได้สนใจเรื่องค่าตัวเท่าไหร่ แต่นั่นก็เป็นโอกาสที่จะให้ใครๆ ได้รู้จักเธอมากขึ้นกว่าเดิมนะ โฆษณาของบริษัทเราน่ะทรงอิทธิพลมากทีเดียว”


 


 


หลินเช่อไม่ได้ใส่ใจฟัง เธอขอเก็บแรงเอาไว้ทำอย่างอื่นจะดีกว่า


 


 


นอกจากนี้เธอยังอดคิดไม่ได้ว่าโม่ฮุ่ยหลิงนั่นแหละที่ควรจะรับเล่นโฆษณาเสียเอง เพราะถึงยังไงฝีมือทางการแสดงของหล่อนก็หาตัวจับยากออกขนาดนี้แล้ว


 


 


ยังจะต้องการเธอไปอีกทำไมกัน


 


 


แต่ถึงอย่างไร หลินเช่อก็ยังฉีกยิ้มออกมาและพูดว่า “นั่นคงต้องแล้วแต่ทางบริษัทจะจัดการน่ะค่ะ ฉันตัดสินใจเองไม่ได้”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงหันไปหากู้จิ้งเจ๋อ “จิ้งเจ๋อคะ ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงเลยนะคะ ฉันแค่อยากจะย้ำว่าฉันตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ ไม่ว่าก่อนหน้านี้เราจะเคยมีเรื่องผิดใจอะไรกันมาก่อน แต่ฉันก็หวังว่าคุณจะให้โอกาสฉันอีกสักครั้งนะคะ ถือซะว่างานนี้เป็นการชดเชยจากฉันก็แล้วกัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองลึกเข้าไปในดวงตาโม่ฮุ่ยหลิง “ฮุ่ยหลิง เธอคิดแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เธอไม่ทำตัวดื้อรั้นแล้วก็รู้จักทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ นั่นก็ดีมากแล้ว”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงรีบพูดต่อไป “งั้นแสดงว่าคุณจะยอมให้หลินเช่อมาเล่นโฆษณาให้ฉันใช่มั้ยคะ ฉันถือว่านั่นเป็นการยอมยกโทษให้กับการทำตัวเป็นเด็กๆ ของฉันนะคะ”


 


 


หลินเช่อมองกู้จิ้งเจ๋อด้วยสายตาที่บอกชัดว่าไม่ยินยอมพร้อมใจ


 


 


ไม่มีทางที่เธอจะยอมถ่ายโฆษณาของหล่อน


 


 


ถ้าต้องทำงานที่ฝืนใจแล้วละก็ หลินเช่อยอมตายเสียดีกว่า


 


 


เห็นได้ชัดว่างานนี้ไม่มีทางทำให้เธอเป็นสุขได้ มีแต่จะทำให้เธอยิ่งหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ อีกอย่าง ใครจะรู้ว่าโม่ฮุ่ยหลิงจะถ่ายโฆษณาออกมาแบบไหน เธอไม่มีวันหลวมตัวก้าวเข้าไปติดกับหรอก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าหลินเช่อก่อนจะหันไปหาโม่ฮุ่ยหลิงและพูดว่า “ฉันไม่อยากบังคับหลินเช่อให้รับงานอะไรที่ไม่อยากทำ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเขานั่นแหละ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงแสร้งทำเป็นหัวเราะ “งั้นเหรอคะ ถ้าอย่างงั้น หลินเช่อ เธอก็ลองเก็บไปคิดดูแล้วกันนะจ๊ะ”


 


 


หลินเช่อระบายลมหายใจด้วยความโล่งอกและตอบไปว่า “ฉันจะลองคิดดูค่ะ”


 


 


แม้โม่ฮุ่ยหลิงจะยังอยากพูดคุยกับกู้จิ้งเจ๋อต่อ แต่เธอก็ทำได้เพียงมองดูเขาแล้วบอกไปว่า “คุณกลับไปที่งานประมูลเถอะค่ะ ฉันเองก็จะกลับไปที่โต๊ะเหมือนกัน”


 


 


“อืม โอเค”


 


 


เมื่อเห็นโม่ฮุ่ยหลิงยอมเดินจากไปแต่โดยดี กู้จิ้งเจ๋อก็หันกลับมาหาหลินเช่อ


 


 


หญิงสาวบอกว่า “ถามจริงๆ เลยนะคะ เขาเป็นอะไรไปหรือเปล่าน่ะ”


 


 


การที่โม่ฮุ่ยหลิงยอมเดินหนีไปง่ายๆ แบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่หลินเช่อคุ้นเคยเลยสักนิด


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออธิบายว่า “บางทีเขาอาจจะได้คิดทบทวนอะไรตอนที่กลับไปอยู่บ้านน่ะ ฉันเตือนเขาเรื่องทำตัวดื้อรั้นทั้งที่อายุก็พ้นวัยที่จะทำตัวแบบนั้นแล้ว เขาควรจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ บางทีอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาฉันยอมเขามากเกินไปจนไม่ได้สนใจจะตักเตือนก็ได้”


 


 


“โอ้” หลินเช่อร้อง


 


 


ชายหนุ่มยังพูดต่อไป “อันที่จริงโม่ฮุ่ยหลิงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกนะ เขาแค่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ถ้าคราวนี้เขายินดีที่จะปรับปรุงตัวเองละก็ ฉันก็ยินดีที่จะให้โอกาสเขากลับตัว”


 


 


หลินเช่อหัวเราะแห้งๆ “คุณพูดถูกค่ะ สิ่งที่เธอทำก็มีสาเหตุมาจากคุณทั้งนั้น”


 


 


หญิงสาวอดคิดอยู่ในใจเงียบๆ ไม่ได้ว่า ถึงยังไงโม่ฮุ่ยหลิงก็ยังเป็นผู้หญิงที่เขาชอบ ต่อให้กำลังโกรธกันอยู่อย่างนี้ก็เถอะ ทุกอย่างจะต้องลงเอยด้วยดีเมื่อเขายอมกลับไปพะเน้าพะนอเอาใจเธอ


 


 


หลินเช่อบอกตัวเองว่าเธอจะต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เธอไม่อยากจะหาเรื่องอะไรใส่ตัวทั้งสิ้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธอ “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การทำตัวน่ารำคาญแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ ต่อให้ต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับเธอ คนอื่นๆ อีกมากมายก็เลือกที่จะรับมือกับมันด้วยวิธีที่แตกต่างออกไป ไม่เหมือนที่ฮุ่ยหลิงทำ ฉันรู้สึกว่าบางทีเขาก็ทำเกินเรื่องไปมาก”


 


 


หลินเช่อตอบ “คุณเป็นคนจริงจังเหลือเกินนะคะ ว่าแต่ว่า…” เธอมองหน้าเขา “โพสต์ในเวยป๋อที่ฉันโพสต์ขึ้นไปวันนี้จะมีผลอะไรกับคุณหรือเปล่าคะ”


 


 


เธอรู้แหละว่าโม่ฮุ่ยหลิงตั้งใจพูดให้เธอจิตตก


 


 


แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว สิ่งที่โม่ฮุ่ยหลิงว่ามาก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่เหมือนกัน


 


 


เพราะใช่ว่าสิ่งที่หล่อนพูดจะผิดเสียทีเดียว


 


 


เธอและกู้จิ้งเจ๋อต่างก็มาจากโลกที่แตกต่างกัน เธอไม่รู้หรอกว่าเธอควรหรือไม่ควรทำอะไรในโลกของเขา


 


 


ชายหนุ่มมองหน้าเธอ “เวยป๋อ…รูปที่เธอเพิ่งโพสต์วันนี้น่ะเหรอ”


 


 


“ใช่ค่ะ ถ้าฉันทำอะไรผิดไป คุณก็อย่าปล่อยให้มันเลยตามเลยนะคะ คุณบอกฉันมาได้เลยตรงๆ” หลินเช่อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ก็ไม่เป็นไรนี่ เธอโพสต์ไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย มีอะไรเหรอ”


 


 


หลินเช่อตอบ “เอ้อ ฉันคิดว่าฉันไม่ควรโพสต์น่ะค่ะ คุณหนูโม่บอกฉันว่าคุณชอบความเป็นส่วนตัว ฉันก็เลยกังวลว่าตัวเองจะทำอะไรที่ไปกระทบกับคุณเข้า”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพูดแบบนั้นงั้นเหรอ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วอีกครั้ง


 


 


เขาคิดว่าการโพสต์ในเวยป๋อก็ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามอะไร ตัวเขามักจะรักษาความเป็นส่วนตัวของตัวเองก็จริง แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดจริงจังอะไรขนาดนั้น


 


 


ปกติแล้วเขาไม่ได้ชอบที่จะมาออกงานและกลายเป็นจุดสนใจแบบนี้เท่าไหร่ แต่น่าแปลกที่เขากลับเพลิดเพลินที่ได้กลายเป็นจุดสนใจร่วมกันกับหลินเช่อ และได้เห็นเธอส่องประกายด้วยความภาคภูมิแบบนี้ 

 

 


ตอนที่ 140 เธออยากทำอะไรก็ตามใจเธอเลย

 

บางทีอาจเป็นเพราะเธอเป็นแบบนี้มาโดยตลอด ไม่เคยทำอะไรที่เป็นการเสแสร้ง ทุกอย่างจึงดูเป็นธรรมชาติ


 


 


เขารู้ดีว่าสิ่งที่เธอเรียกว่าเป็นการแสดงหรือแกล้งทำนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่การแสดงเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่าเธอมีหัวใจที่บริสุทธิ์และทำอะไรซื่อๆ ตามแบบของเธอ แถมเธอยังไม่ได้เป็นพวกวัตถุนิยมด้วย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงไม่ได้นึกรังเกียจอะไรเรื่องนี้ แถมยังชอบที่จะได้เห็นเธอเล่นสนุกไปกับเรื่องต่างๆ


 


 


เขาพูดขึ้นว่า “เรื่องทั้งหมดที่ว่ามานี่ไม่ได้มีอะไรสำคัญหรอก”


 


 


เธอมองหน้าเขา “แต่ถ้ามันสำคัญจริงๆ ละก็ คุณต้องบอกฉันนะคะ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเท่าไหร่นัก ฉันไม่รู้ว่าคนอย่างพวกคุณทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง”


 


 


บางครั้งหลินเช่อก็โทษตัวเอง เธอรู้สึกว่าเธอเป็นภรรยาของกู้จิ้งเจ๋อก็จริง แต่เขากลับกลายเป็นคนที่ต้องมาคอยช่วยเหลือดูแลเธอ ส่วนเธอกลับไม่ค่อยได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเขาสักเท่าไหร่


 


 


หนำซ้ำยังคอยสร้างแต่ปัญหาให้อีกต่างหาก


 


 


เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอจะช่วยเขาได้ยังไงด้วยนั่นแหละ เธอเองก็ไม่เคยมีครอบครัวคอยช่วยเหลือดูแล ไม่มีอำนาจใดๆ แถมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจเลยสักอย่าง นับตั้งแต่เข้าโรงเรียนการแสดง เธอก็ตั้งเป้าที่จะเป็นนักแสดงที่ดีให้ได้ เธอชอบที่จะได้ดูการแสดงของโจดี้ ฟอสเตอร์ ในไซเลนต์ ออฟ เดอะ แลมป์ ซึ่งโจดี้คว้าออสการ์ได้ถึงสองรางวัลและกลายเป็นขวัญใจของเธอมานับตั้งแต่นั้น นอกจากจะเป็นนักแสดงที่ดีแล้ว เธอยังอยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักด้วย


 


 


ทั้งหมดนี้ช่างแตกต่างอย่างมากจากชีวิตของกู้จิ้งเจ๋อ


 


 


หลินเช่อเอียงหน้ามองเขา “ขอโทษด้วยนะคะกู้จิ้งเจ๋อ ฉันไม่ค่อยได้ช่วยอะไรคุณเลย แถมยังสร้างแต่ปัญหาให้คุณอีกต่างหาก แต่ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เอาเลยจริงๆ ถ้าคุณอยากให้ฉันทำอะไรละก็ คุณต้องบอกฉันนะคะ”


 


 


เธอไม่อยากเป็นตัวถ่วงเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเห็นสีหน้าลุแก่โทษของหญิงสาวแล้วก็พูดว่า “ฉันไม่ได้อยากให้เธอทำอะไรสักนิด หลินเช่อ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากให้เธอทำตัวเป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่งหรือทำตัวเป็นเมียเศรษฐีด้วย นี่คือชีวิตของฉันและมันก็เป็นชีวิตของเธอเหมือนกัน ตราบใดที่เธอรู้สึกสบายใจ นั่นก็นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ฉันไม่ได้อยากให้เธอเปลี่ยนอะไรเพื่อฉัน”


 


 


“แต่ฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้คุณ ฉันไม่อยากทำตัวเป็นภาระของคุณด้วย” หลินเช่อว่า


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มน้อยๆ “ผู้ชายก็ต้องมีหน้าที่ดูแลและหาเลี้ยงผู้หญิงสิ อย่ากังวลไปเลย ปัญหาของเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักนิดสำหรับฉัน ต่อให้เธอก่อเรื่องมากกว่านี้ ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่ดี ตระกูลกู้น่ะทำงานหนักมานานหลายปีกว่าที่จะมาอยู่ที่จุดบนสุดแบบนี้ได้ ถ้าฉันพ่ายแพ้กับอะไรง่ายๆ ทั้งหมดที่ทำมาก็เท่ากับสูญเปล่าน่ะสิ ถ้าฉันทำไม่ได้กระทั่งแค่เรื่องดูแลผู้หญิงของตัวเอง แล้วฉันจะมีเงินมีอำนาจมากมายไว้ทำไมล่ะ”


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขา ซาบซึ้งยิ่งนักในคำพูดที่เต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อและปลอบประโลมของชายหนุ่ม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจับแขนเธอไว้ “ฉันไม่ได้อยากยืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้วต้องทนดูผู้หญิงของฉันต้องเสียสละเพื่อฉันหรอกนะ เพราะฉะนั้นเธอทำอะไรก็ได้ที่เธออยากทำ ไม่จำเป็นต้องสนใจด้วยว่าใครจะคิดยังไง”


 


 


หลินเช่อพูดอะไรไม่ออก


 


 


เขาดึงแขนเธอ “ไปกันเถอะ ไปดูซิว่ามีอะไรที่เธอพอจะชอบบ้าง ฉันไม่ได้อยากกลับบ้านมือเปล่า เราต้องช่วยสนับสนุนงานการกุศลครั้งนี้กันสักหน่อยแล้ว”


 


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินเช่อก็ชักจะหูผึ่ง “งั้นแปลว่าอะไรที่ฉันอยากได้ก็จะเป็นของฉันงั้นเหรอคะ”


 


 


“แน่นอน ก็เป้าหมายของการพาคู่ควงมาร่วมงานวันนี้ก็คือเพื่อซื้อของขวัญให้เธอนี่”


 


 


“แหม ดีจังเลย ฮิๆ งั้นฉันจะเอาชิ้นที่แพงๆ เลยค่ะ”


 


 


“ก็ได้ เห็นมั้ยล่ะ แค่แป๊บเดียวเธอก็กลับมาเป็นคนหน้าเงินเหมือนเดิมแล้ว”


 


 


“ก็แหงละสิคะ คุณมีเงินมากไปจนใช้ไม่หมด ฉันก็ต้องช่วยน่ะสิ”


 


 


“ก็ได้ๆ ถ้าเธออยากใช้ก็ตามใจ”


 


 


ถึงแม้จะพูดออกไปแบบนั้นแต่หลินเช่อก็ไม่กล้าพอที่จะเลือกของแพงอยู่ดีนั่นเอง


 


 


เมื่อได้เห็นสร้อยข้อมือที่ราคาไม่สูงนักเส้นหนึ่ง เธอก็ครุ่นคิดอยู่เป็นนานสองนาน ก่อนจะตัดสินใจร่วมประมูลด้วย


 


 


ในขณะเดียวกัน


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงได้ยินเสียงกู้จิ้งเจ๋อร่วมประมูลของชิ้นหนึ่ง เธอก็แหงนหน้าขึ้นไปมองที่บนระเบียง


 


 


บนนั้นเป็นห้องวีไอพีที่จะสามารถมองเห็นทุกอย่างข้างล่างได้ แต่คนอื่นกลับไม่สามารถมองเห็นพวกเขาบนนั้นได้เลย


 


 


ในเมื่อกู้จิ้งเจ๋อมาร่วมงานคืนนี้ ก็แน่นอนว่าเขาจะต้องเลือกที่นั่นบนนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกใครรบกวน


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเขาร่วมประมูล คนอื่นๆ ก็พากันยอมแพ้ ทำให้ชายหนุ่มได้ของที่ต้องการไปครอบครองโดยง่าย


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงได้ยินผู้คนพูดกันว่า


 


 


“คืนนี้กู้จิ้งเจ๋อพาคู่ควงสาวมาด้วย ดูเหมือนว่าเขาจะซื้อของพวกนี้ให้หล่อนกระมัง”


 


 


“ฉันคิดว่าคนที่เขาพามาเป็นนักแสดงนะ เธอชื่อหลินเช่อ”


 


 


“ตอนนี้กู้จิ้งเจ๋อเริ่มเก่งเรื่องนี้แล้วละสินะ”


 


 


คนภายนอกไม่รู้เรื่องความเป็นไปใดๆ ในตระกูลกู้ พวกเขาไม่รู้ถึงอาการป่วยของกู้จิ้งเจ๋อ และรู้เพียงแต่ว่าเขาต้องการความเป็นส่วนตัวอย่างมาก แถมเขาเองไม่ค่อยจะมีข่าวเรื่องผู้หญิง จึงไม่เคยมีใครซุบซิบเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับเขามาก่อน


 


 


แต่พอมาคืนนี้เขาพาคู่ควงมาด้วย ผู้คนจึงเริ่มอยากรู้อยากเห็นกันขึ้นมาเสียถนัด


 


 


ใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ พูดขึ้นอีกว่า “แม่หลินเช่อคนนี้ก็หน้าตาไม่เลวนะ กู้จิ้งเจ๋อรสนิยมดีจริงๆ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงไม่อาจทนได้อีกต่อไป จึงพูดขัดเสียงดังว่า “หมายความว่ายังไงที่ว่าหน้าตาไม่เลวน่ะ ฉันว่าหน้าตาหล่อนออกจะพื้นๆ ธรรมดาๆ แล้วก็เป็นแค่นักแสดงเท่านั้น เรื่องการแสดงของหล่อนก็ห่วยแตกออกจะตาย”


 


 


คนกลุ่มนั้นหันมามองเธอ ก่อนที่ใครบางคนจะค้านขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “คุณหนูโม่ คุณจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะคะ การแสดงของเธอไม่เลวเลยทีเดียว ฉันทำงานในวงการบันเทิง ฉันรู้ดีค่ะว่าเธอได้รับคำชมไม่น้อยทีเดียว”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงทนฟังอะไรที่เป็นเรื่องดีๆ เกี่ยวกับหลินเช่อไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว ในที่สุดเธอก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้และจ้องมองผู้คนเหล่านั้นด้วยความเกลียดชัง ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินหนีไป


 


 


นังหลินเช่อน่ะเหรอหน้าตาดี


 


 


ใครก็ตามที่ได้ใส่เสื้อผ้าแพงๆ ก็ดูดีกันได้ทั้งนั้นนั่นแหละ เป็นเพราะกู้จิ้งเจ๋อรวยน่ะสิ นังนั่นถึงได้มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่


 


 


ตอนที่เจอหลินเช่อแรกๆ สภาพหล่อนโกโรโกโสอย่างที่เธอคาดหวังเอาไว้ว่าจะเป็นเช่นนั้น


 


 


แต่ตอนนี้ในหัวโม่ฮุ่ยหลิงมีแต่ความคิดที่จะช่วงชิงทุกอย่างที่ควรจะเป็นของเธอคืนมา และเมื่อถึงเวลา เธอจะเขี่ยนังหลินเช่อให้กระเด็นไปไกลแสนไกลและต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างแสนทรมาน!


 


 


เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง กู้จิ้งเจ๋อก็ออกจากงานมาพร้อมหลินเช่อ


 


 


หญิงสาวหันกลับมามองห้องจัดงานเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะบอกกับชายหนุ่มว่า “ที่นี่ใหญ่มากเลยนะคะ อา ใครจะรู้ว่าฉันจะมีโอกาสได้มาอีกเมื่อไหร่”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ฉันพาเธอมาได้ทุกเมื่อที่เธอต้องการ”


 


 


“ช่างเถอะค่ะ คุณงานยุ่งออก เอาไว้มีโอกาสเราค่อยมากันอีกครั้งก็ได้ ฉันก็พูดสนุกๆ ไปอย่างงั้นเองค่ะ”


 


 


เขาตอบว่า “ฉันได้ยินมาว่าเตียงที่นี่นุ่มสุดยอดไปเลย เขานำเข้ามาจากฝรั่งเศส อยากลองนอนมั้ยล่ะ”


 


 


“ไปให้พ้นเลยนะ!”


 


 


ทั้งสองกลับมาถึงบ้าน หลังจากที่ต้องสวมรองเท้าส้นสูงมาตลอดทั้งคืน หลินเช่อก็รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เธอรีบอาบน้ำและตรงเข้านอน


 


 


ส่วนกู้จิ้งเจ๋อนั้นได้รับสายจากโม่ฮุ่ยหลิง


 


 


เขารับสาย “ฮุ่ยหลิง”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงถาม [ถึงบ้านแล้วเหรอคะ]


 


 


“อืม ฉันอยู่บ้านแล้ว”


 


 


[ฉันประมูลเข็มกลัดเนกไทมาน่ะค่ะ สำหรับคุณโดยเฉพาะเลย] เธอบอก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ฉันไม่คิดว่ามันจะเหมาะหรอกนะที่จะให้ฉันน่ะ เอาไปให้พ่อเธอน่าจะดีกว่า”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า [ทำไมละคะ ตอนนี้คุณไม่ยอมแม้แต่จะรับของขวัญจากฉันแล้วด้วยซ้ำงั้นเหรอ ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นเลยนะคะ ฉันแค่อยากจะให้ของขวัญคุณในฐานะเพื่อ มันก็เป็นแค่ของขวัญเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้แพงอะไรเลย]


 


 


แม้โม่ฮุ่ยหลิงจะบอกว่าไม่ได้แพงอะไร แต่เข็มกลัดชิ้นนั้นก็มีราคาถึงสองล้าน 

 

 


ตอนที่ 141 ของขวัญที่หล่อนให้เขา

 

กู้จิ้งเจ๋อตอบไปว่า “ก็ได้ งั้นฉันจะส่งคนไปรับของพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” 


 


 


“ค่ะ ดีค่ะ” อันที่จริง โม่ฮุ่ยหลิงอยากให้เขามารับด้วยตัวเองมากกว่า แต่เธอก็คิดว่าไม่ควรทำตัวงี่เง่าเท่าไหร่ ดังนั้นหญิงสาวจึงพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ 


 


 


ถ้าเธออยากได้ดีกว่าหลินเช่อ เธอจะต้องอดทน! 


 


 


ด้วยเหตุนี้เธอจึงชวนคุยเรื่องอื่นแทนว่า “ฉันไม่คิดเลยนะคะว่าคุณจะพาหลินเช่อมาร่วมงานเลี้ยงการกุศลคืนนี้ด้วยน่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่คุณพาใครไปออกงานด้วย รู้ตัวมั้ยคะ ที่ผ่านมาคุณไม่เคยพาฉันไปเลย…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า “ก็ที่ผ่านมาฉันไม่มีใครให้พาไปออกงานด้วยนี่…เธอเองก็ไม่ชอบไปงานเลี้ยงแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“ฉันเนี่ยนะคะ…ใครบอกกันคะว่าฉันไม่ชอบ ฉันคิดว่าเป็นคุณเสียอีกอยากจะทำตัวโลว์เงียบๆ ไม่เป็นที่สนใจ” โม่ฮุ่ยหลิงตัดพ้อด้วยความน้อยใจ 


 


 


ชายหนุ่มว่า “ฉันไม่ชอบเป็นข่าวก็จริง แต่ฉันก็ไม่เคยพูดสักหน่อยว่าเราไปออกงานเลี้ยงแบบนี้ไม่ได้น่ะ เธอควรจะบอกฉันสิว่าเธอชอบออกงาน ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะ” 


 


 


“ฉัน…” โม่ฮุ่ยหลิงนึกเสียใจเป็นที่สุด นี่เธอเข้าใจเขาผิดมาตลอดเลยหรือนี่ เธอคิดว่าเขาไม่ชอบออกงานพบปะใครจึงไม่เคยร้องขอให้เขาพาเธอเป็นคู่ควงไปงานเลี้ยงใดๆ มาก่อนเลย 


 


 


“จิ้งเจ๋อคะ ฉันคิดว่าคุณยอมตามใจหลินเช่อมากเกินไปหน่อยนะคะ อย่าโกรธนะคะที่ฉันต้องพูดแบบนี้ ฉันพูดก็เพราะว่าเห็นแก่คุณเองนั่นแหละค่ะ หลินเช่อน่ะเป็นคุณผู้หญิงตระกูลกู้แล้ว แต่เธอกลับดูไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่เลย เธอไม่รู้จักมารยาทการวางตัวให้ดี แถมยังคุยโม้โอ้อวดต่างๆ นานาในเวยป๋อของตัวเองอีกต่างหาก ฉันว่าแบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อยนะคะ คุณน่าจะบอกเธอว่าควรทำตัวให้สมเป็นคุณผู้หญิงตระกูลกู้” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถามกลับมาว่า “แล้วทำไมเขาถึงโพสต์อะไรในเวยป๋อไม่ได้ล่ะ” 


 


 


“โพสต์คุยโวโอ้อวดเรื่องตัวเองได้มาออกงานเลี้ยงใหญ่แบบนี้มันเป็นเรื่องดีตรงไหนกันคะ” 


 


 


“ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดอะไรนี่” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงนิ่งอึ้ง ชั่วขณะนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่กู้จิ้งเจ๋อที่เธอรู้จักอีกต่อไปแล้ว 


 


 


ชายหนุ่มยังพูดต่อไปอีกว่า “ฉันไม่สนใจเรื่องนี้หรอกนะ อีกอย่างที่เขาโพสต์ก็ไม่ใช่เรื่องคุยโตโอ้อวดอะไร ก็แค่โพสต์สนุกๆ เท่านั้นเอง” 


 


 


“นี่คุณ…” 


 


 


เมื่อไม่อาจโน้มน้าวใจเขาได้ โม่ฮุ่ยหลิงก็สติหลุดกลายเป็นความโกรธเกรี้ยว “ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจมาบอกคุณเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณไม่อยากรับฟังก็ช่างมันเถอะค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าโม่ฮุ่ยหลิงจะเอาใจใส่เรื่องแบบนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมาเขาคิดว่าเธอชอบทำตัวเรียบง่ายและไม่วุ่นวายหรือตกเป็นเป้าสนใจ เขาคิดว่าเธอชอบทำตัวแบบนั้นมาโดยตลอด แต่เมื่อได้มาเห็นเธอตอนนี้ เขาถึงเพิ่งรู้ว่าในใจของโม่ฮุ่ยหลิงมีความรู้สึกนึกคิดอีกมากมายที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อน 


 


 


วันต่อมา เขาส่งคนไปรับเข็มกลัดเนกไทที่บ้านเธอ โดยคราวนี้เขาได้เขียนโน้ตขอบคุณสำหรับของขวัญแนบไปด้วย เมื่อได้รับของชิ้นดังกล่าวมา เขาก็เปิดกล่องออกดู ในอดีตที่ผ่านมา โม่ฮุ่ยหลิงมักให้ของขวัญเขาอยู่เสมอ แต่ของที่เธอให้ก็มักไม่ได้เป็นของสลักสำคัญอะไรนัก ชายหนุ่มจึงค่อนข้างจะชินชาเพราะได้รับมาหลายต่อหลายครั้งจนพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าจะเป็นอะไร และหลังจากนั้นเขาก็จะโยนมันใส่ตู้ที่มุมห้องเอาไว้อย่างไม่สนใจและไม่เคยเปิดออกมาดูอีกเลย 


 


 


หลินเช่อใช้เวลาตลอดทั้งวันอยู่ที่บริษัทเพื่อพบปะกับนักแสดงที่จะร่วมงานกันในงานชิ้นถัดไปของเธอ หลังจากทำความรู้จักกันคร่าวๆ และเตรียมตัวสำหรับการถ่ายทำที่จะมีขึ้นเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาก็กลับไปโดยทิ้งเธอเอาไว้กับอวี๋หมินหมิ่น 


 


 


ผู้จัดการสาวบอกว่า “ฉันเห็นประกาศเปิดกล้องละครที่กู้จิ้ิ้งอวี่ร่วมแสดงด้วยแน่ะ ดารานำฝ่ายหญิงคือฉินหวานหว่าน” 


 


 


“จริงเหรอคะ ฉันได้ยินฉินหวานหว่านพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ว่าเธอกำลังจะได้ร่วมงานกับกู้จิ้ิ้งอวี่น่ะค่ะ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นออกความเห็นว่า “ดูเหมือนงานแสดงเรื่องถัดไปของฉินหวานหว่านน่าจะออกมาดีทีเดียวละ ไม่เคยมีงานแสดงเรื่องไหนของกู้จิ้ิ้งอวี่เรื่องไหนที่กระแสตอบรับไม่ดีมาก่อนเลย ทางทีมงานเองก็มาจากบริษัทใหญ่ทีเดียว” 


 


 


“ใช่ค่ะ” 


 


 


“แต่เราเองก็ใช่ว่าจะด้อยกว่าเขานะ หัวหน้าผู้กำกับของเราก็เคยมีผลงานละครระดับคลาสสิกมาแล้วหลายเรื่อง แถมเรายังมีโอกาสที่ได้เข้าชิงรางวัลละครโทรทัศน์ยอดเยี่ยมด้วยนะ เธอกลับไปเตรียมตัวให้ดีล่ะ” 


 


 


“แน่นอนเลยค่ะพี่อวี๋” 


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินเช่อก็เดินเข้ามาในห้องนอนและได้เห็นกล่องใบน้อยที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง 


 


 


หัวใจเธอสะดุดเล็กน้อย 


 


 


หลินเช่อคิดว่ากู้จิ้งเจ๋อคงจะซื้อของขวัญให้เธอกระมัง แต่เมื่อเปิดกล่องออกดู เธอก็ได้รู้ว่า… 


 


 


ข้างในนั้นคือเข็มกลัดเนกไทชิ้นเล็กบอบบาง เธอจำมันได้เป็นอย่างดีจากงานประมูลเมื่อคืนก่อน เพราะเจ้าเข็มกลัดชิ้นจิ๋วหลิวนี่มีราคาสูงถึงหลักล้านจนทำให้เธออดประทับใจไม่ได้ เธอได้ยินมาว่าผู้ออกออกแบบเข็มกลัดนี้เป็นดีไซเนอร์ชื่อดัง และหลังจากที่นักออกแบบคนนั้นเสียชีวิตลง ผลงานของเขาก็กลายเป็นของล้ำค่าและมีราคาแพงลิบขึ้นมาทันตา 


 


 


แต่ถึงอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเครื่องประดับสำหรับผู้ชาย 


 


 


หลินเช่อมองเห็นการ์ดใบเล็กในกล่อง แม้จะไม่อยากอ่านแต่ลายมือเรียบๆ นั้นก็ทำให้เธออดหยิบขึ้นมาดูไม่ได้ 


 


 


ข้อความนั้นลงท้ายด้วยตัวอักษร ‘M’ ด้านล่าง เห็นได้ชัดว่าคนที่มอบของชิ้นนี้ให้เขาก็คือโม่ฮุ่ยหลิงนั่นเอง 


 


 


หลินเช่อได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้อง เธอจึงรีบปิดกล่องกลับคืนดังเดิม 


 


 


แม้จะไม่อาจซ่อนความประหลาดใจที่ยังคงเต้นระยิบอยู่ในดวงตาได้ แต่หญิงสาวก็พยายามทำท่าทีให้เป็นปกติ ด้วยเธอรู้ดีว่าเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมากที่โม่ฮุ่ยหลิงจะมีของขวัญให้กู้จิ้งเจ๋อแบบนี้ 


 


 


แต่กระนั้นคำพูดของโม่ฮุ่ยหลิงก่อนหน้านี้ก็ยังติดค้างอยู่ในใจไม่คลายจนทำให้เธออดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ 


 


 


ตกกลางคืน เธอปฏิเสธอาหารเย็นและชวนเฉินโยวหรานออกไปเที่ยวข้างนอก 


 


 


หญิงสาวทั้งสองตรงไปยังคลับที่ฉินหวานหว่านพาไปเมื่อวันก่อน 


 


 


เฉินโยวหรานไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เธอจึงรีบคว้าแขนเพื่อนสาวด้วยความไม่แน่ใจ “ที่นี่ดูแพงมากเลยนะ” 


 


 


หลินเช่อตอบ “ฉันได้ยินมาว่าที่นี่เป็นบาร์ลับน่ะ มีแต่คนวงในเท่านั้นที่จะเข้ามาที่นี่ได้” 


 


 


“มิน่าล่ะ ฉันถึงคุ้นหน้าใครหลายคนในนี้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นดาราทั้งนั้นเลย” เฉินโยวหรานว่า 


 


 


หลินเช่อพูดต่อไป “ฉันเองก็เพิ่งเคยมาสองครั้งเอง แต่ที่นี่ก็น่าจะมีดารามาเที่ยวเยอะอยู่หรอก” 


 


 


เฉินโยวหรานเหลียวมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจในขณะที่หลินเช่อมองหาที่นั่ง ความรู้สึกหดหู่หม่นหมองนี้ทำให้เธอนึกอยากดื่มขึ้นมาเสียอย่างนั้น 


 


 


“โยวหราน บอกฉันหน่อยสิ ฉันนี่โง่มากมั้ย ทำไมฉันถึงไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย” หลินเช่อถาม 


 


 


เฉินโยวหรานตอบโดยไม่รอช้า “ไม่นะ เธอไม่โง่หรอก ฉันคิดว่าเธอฉลาดออกจะตายไป” 


 


 


“นั่นเป็นเพราะว่าเธอชอบฉันน่ะสิ” 


 


 


“เดี่ยวเถอะ นี่ฉันกำลังปลอบเธออยู่นะ อย่าชักใบให้เรือเสียสิ” 


 


 


หลินเช่อเล่าให้เพื่อนฟังเรื่องที่กู้จิ้งเจ๋อได้รับของขวัญจากหญิงสาวคนรัก 


 


 


ฝ่ายเฉินโยวหรานเมื่อได้ฟังก็เป็นเดือดเป็นแค้นอย่างยิ่ง “ให้ตายสิ! แบบนี้มันยอมไม่ได้ ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของเขาแล้วนะ!” 


 


 


“ก็ใช่ แต่ผู้หญิงคนนั้นคือรักแท้ของเขานะ ฉันไม่มีทางเทียบหล่อนได้หรอก ที่โม่ฮุ่ยหลิงว่าก็ถูกแล้วล่ะ ฉันไม่คู่ควรกับเขาเลยสักนิด แต่ฉันดันหนังหนาหน้าทนน่ะสิถึงได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเรื่องนี้” 


 


 


“นี่ เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะยะ ถ้าหล่อนให้ของขวัญเขา เธอก็ควรจะให้บ้างซี่” 


 


 


หลินเช่อหันมองหน้าเพื่อน “ฉันจะให้อะไรได้ล่ะ ฉันคิดไม่ออกเลยว่าตัวเองจะมีปัญญาให้อะไรเขา กู้จิ้งเจ๋อไม่เคยขาดอะไร แล้วเขาก็ไม่ต้องการอะไรด้วยเหมือนกัน ส่วนตัวฉันก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังไว้ถลุงเล่นเหมือนโม่ฮุ่ยหลิงที่จะซื้อของขวัญชิ้นละเป็นล้านแบบนั้นด้วย…” 


 


 


เฉินโยวหรานหัวเราะ “เฮ้ๆ พอเป็นเรื่องของการให้แล้วมันไม่เกี่ยวกับราคาหรอกนะ มันเกี่ยวกับความคิดต่างหากล่ะ..ถ้าเธอไม่มีเงินจะซื้อของ…” เพื่อนสาวขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก “ก็ให้ตัวเองแทนไงล่ะ เข้าท่าออกนะ” 


 


 


“จะบ้าเรอะ!” 


 


 


ดวงตาของเฉินโยวหรานเต้นระยับเมื่ออยู่ๆ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว “ก็ทำให้เขาประหลาดใจสิ…แบบนี้เป็นไงล่ะ…เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะส่งของบางอย่างไปให้เธอนะ ฮิๆ เธอจะได้ใช้มันมอบเป็นของขวัญให้กู้จิ้งเจ๋อไงล่ะ รับรองได้ว่าเขาจะต้องชอบมันแน่!” 


 


 


“อะไรนะ” 


 


 


หลินเช่ออยากจะถามต่อ แต่เป็นจังหวะที่เธอได้ยินใครบางคนร้องเรียกขึ้นทางด้านหลังพอดี 


 


 


“คุณนายกู้ มาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ย” คนคนนั้นก็คือเฉินอวี่เฉิงนั่นเอง 


 


 


เมื่อเฉินโยวหรานหันไปเห็นนายแพทย์หนุ่ม หน้าเธอก็พลันเปลี่ยนสีทันที 


 


 


เฉินอวี่เฉิงทำทีเป็นมองไม่เห็นเฉินโยวหรานแล้วเดินเข้ามาทักทายหลินเช่อ เขาถามเธอว่า “แล้วท่านประธานกู้ล่ะครับ” 


 


 


หลินเช่อมองนายแพทย์ประจำตัวของกู้จิ้งเจ๋อด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ละคะ” 


 


 


ที่เดินมาเคียงข้างเฉินอวี่เฉิงคือหญิงสาวหน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตาที่ดูท่าทางจะสนิทสนมกับเขาไม่น้อยเลย “ผมมาสนุกที่นี่อยู่บ่อยๆ น่ะครับ เพราะงั้นผมควรจะเป็นคนถามคำถามนี้กับคุณมากกว่านะ ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”  

 

 


ตอนที่ 142 พาเธอกลับบ้าน

 

หลินเช่อตอบ “นี่เป็นที่สำหรับพวกดาราเท่านั้นไม่ใช่เหรอคะ ฉันได้ยินมาว่าเขาไม่ให้คนนอกเข้ามาเพ่นพ่านที่นี่น่ะ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงหัวเราะและตอบว่า “ผมก็พอจะรู้อยู่เหมือนกันว่าพวกคนในวงการมักจะมาเที่ยวกันที่นี่ เพราะอย่างนี้ผมถึงได้มาที่นี่บ้างยังไงล่ะ” เขาเลิกคิ้วเหมือนจะบอกความนัยอะไรบางอย่าง 


 


 


เขามาที่นี่เพื่อไล่ตามจีบพวกดาราสวยๆ นั่นเอง 


 


 


เฉินโยวหรานกลอกตา หมอนี่เป็นผู้ชายประเภทไหนกันเนี่ย 


 


 


แล้วเฉินโยวหรานพูดขึ้นลอยๆ ว่า “หลินเช่อ เพราะแบบนี้ไงล่ะเขาถึงบอกว่าผู้ชายหน้าไหนก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ทั้งโรคจิตแล้วก็หื่นกาม เชื่อฉันเถอะแล้วจะไม่เสียใจ หึๆ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงหันมองคนพูดแล้วบอกว่า “ที่คุณบอกว่าผู้ชายหน้าไหนก็เหมือนกันหมดนี่หมายความว่ายังไงกันครับ ฟังดูอย่างกับว่าคุณเคยคบผู้ชายมาเพียบแล้วอย่างนั้นล่ะ” 


 


 


เฉินโยวหรานสวนกลับทันที “นี่ แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่เคยคบผู้ชายมาเพียบน่ะ” 


 


 


นายแพทย์หนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประเมิน “ก็จากเท่าที่ดูหน้าตาท่าทางคุณแล้ว อย่าบอกนะว่าคุณเคยมีประสบการณ์ความสัมพันธ์กับเขาด้วยน่ะ” 


 


 


“อีตาบ้า! นี่หาว่าฉันขี้เหร่เหรอยะ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงตอบ “ผมก็แค่โกหกไม่เป็นเท่านั้น” 


 


 


“หนอย… ทำอย่างกับนายหน้าตาดีตายนักล่ะ!” 


 


 


“เอ้า คุณก็ยังดูออกนี่นาว่าใครหน้าตาดีน่ะ” 


 


 


“…” 


 


 


เฉินโยวหรานยังมันเขี้ยวอยากจะโต้ตอบ แต่หลินเช่อรีบดึงเพื่อนสาวเอาไว้เสียก่อน “เขาเป็นหมอที่หาเงินจากการพูดนะ เธอจะไปเถียงชนะเขาได้ยังไงเล่า แล้วนี่พวกเธอสองคนมาทะเลาะกันเพราะอะไรเนี่ย” 


 


 


แล้วสาวสวยที่มากับเฉินอวี่เฉิงก็ดึงแขนเขา นายแพทย์หนุ่มจึงบอกให้เธอเข้าไปรอข้างในก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงข้างหลินเช่อและพูดต่อไปว่า “ดูท่าทางคุณจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ” 


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขาและตอบว่า “อืม ตอนนี้อาการป่วยของกู้จิ้งเจ๋อเป็นยังไงบ้างคะ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงตอบ “อ้อ เขาก็ยังต้องใช้ยาในการควบคุมอาการอยู่นั่นแหละครับ แต่ถึงยังไงก็ดูเหมือนพวกคุณสองคนจะไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ คุณอยู่กับเขามาตั้งพักใหญ่ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย” 


 


 


หลินเช่อถามว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะหายสนิทจากอาการนี้คะ” 


 


 


“หายสนิทเหรอครับ…ผมเชื่อว่า ตราบใดที่เราสามารถควบคุมอาการไว้ได้ มันก็ไม่สำคัญหรอกครับว่าจะหายขาดหรือเปล่า เพราะถึงยังไงตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธีใดๆ ที่จะรักษาโรคนี้ให้หายได้อยู่ดี แม้ว่าเราจะทุ่มเทเงินทองมหาศาลไปกับการวิจัยกันอยู่ทุกปีก็ตามที แต่เราก็ไม่อาจค้นพบวิธีรักษาอยู่ดีครับ” 


 


 


“อ้อค่ะ” หลินเช่อร้องอย่างผิดหวัง หญิงสาวเอาคางเกยเคาน์เตอร์บาร์ 


 


 


“มีอะไรเหรอครับ คุณผู้หญิง” 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันเพียงแต่คิดว่า… เฮ้อ ในเมื่อคุณเป็นจิตแพทย์ของกู้จิ้งเจ๋อ คุณก็ควรจะรู้ทุกอย่างใช่มั้ยคะ เกี่ยวกับ…อ่า ความสัมพันธ์ของเราน่ะค่ะ…” 


 


 


“แน่นอนที่สุด ทุกครั้งที่เขาเข้ามารับการรักษากับผม เขาจะเล่าให้ผมฟังทุกเรื่อง” 


 


 


“ฉันแค่คิดว่า เขากับคุณหนูโม่นั้นต่างก็ใกล้ชิดผูกพันกันมาก มากเสียจนฉันไม่อาจเข้าไปแทรกกลางได้ ถ้าหากว่าอาการป่วยของเขาทุเลาดีแล้วละก็ บางทีทางตระกูลกู้อาจจะเลิกฝืนใจให้เขาต้องแต่งงานกับฉันละมั้งคะ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงแทบสำลักเครื่องดื่ม “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับท่านประธานกู้อย่างนั้นเหรอ” 


 


 


ผู้หญิงคนนี้พิลึกเสียจริง ถ้าเป็นคนอื่นคงยินดีที่ได้เป็นภรรยาของกู้จิ้งเจ๋อแล้ว 


 


 


แล้วทำไมหลินเช่อถึงทำท่าอมทุกข์แบบนี้เล่า 


 


 


หญิงสาวพูดต่อ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันเพียงแต่…เพียงแต่ เจ้าชายทุกคนต่างก็ต้องมีเจ้าหญิงโฉมงามของตัวเองใช่ไหมล่ะคะ ฉันก็อยากให้พวกเขาสมหวังกันในเร็ววันเท่านั้นเอง” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงสัมผัสได้ว่าหลินเช่อไม่ได้พูดล้อเล่น 


 


 


เขาจึงบอกกับเธอว่า “ผมอาจจะไม่รู้เรื่องอื่น แต่ผมรู้อย่างหนึ่งนะครับว่า วิธีที่เขาปฏิบัติต่อคุณนั้นแตกต่างจากที่เขาปฏิบัติกับคุณหนูโม่อย่างสิ้นเชิงเลย คุณไม่คิดบ้างเหรอครับว่าเขาปฏิบัติกับคุณดีมากๆ น่ะ” 


 


 


“แน่นอนค่ะว่าฉันรู้ แต่นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนดีนี่คะ เขาอาจรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องทำดีกับฉัน เพราะฉันเป็นภรรยา” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงถึงกับพูดไม่ออก แม่หลินเช่อคนนี้… 


 


 


เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากู้จิ้งเจ๋อชื่นชอบอะไรในตัวหล่อน หรืออาจจะเป็นเพราะความใสซื่อจนเซ่อของหล่อนกระมัง ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาเลยจริงๆ 


 


 


นี่หล่อนไม่เคยได้ยินที่คนภายนอกเขาพูดถึงกู้จิ้งเจ๋อบ้างเลยหรือยังไงนะ ว่าถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะมีจิตใจดี กิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย แต่ก็เด็ดขาดปราศจากความปรานีด้วยเช่นกัน เพราะความสุภาพเรียบร้อยเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ในเรื่องของธุรกิจ 


 


 


บางทีผู้หญิงคนนี้คงไม่รู้ว่าปกติแล้วคนอย่างกู้จิ้งเจ๋อปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร หล่อนก็เลยคิดไปว่าการที่เขาทำตัวดีต่อเธอเช่นนี้เป็นนิสัยปกติของชายหนุ่ม… 


 


 


เฉินอวี่เฉิงปล่อยให้เธอดื่มต่อ ในระหว่างที่เขาหลบออกมาโทรศัพท์ 


 


 


“ท่านประธานกู้ครับ…” 


 


 


[ฉันยังกินยาอยู่ไม่ขาด เพราะฉะนั้นนายไม่จำเป็นต้องมาให้คำปรึกษาหรอก] 


 


 


“อา ท่านประธานกู้ ช่วงนี้เย็นชากับผมเหลือเกินนะครับ” 


 


 


[ก็ใช่น่ะสิ] 


 


 


“แต่ที่ผมโทรมาคราวนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องของคุณหรอกนะครับ อยากรู้มั้ยครับว่าผมเจอใครที่เพอร์เพิลคลับ” 


 


 


[ฉันไม่อยากรู้] 


 


 


“…” เป็นที่รู้กันว่ากู้จิ้งเจ๋อไม่ใช่คนสุภาพอ่อนโยนกับคนอื่น 


 


 


“อ้อ ถ้าอย่างนั้นผมอยู่สนุกกับคุณผู้หญิงต่อกันเองที่นี่ก็แล้วกัน” 


 


 


[หลินเช่องั้นรึ] 


 


 


“อา…ใช่แล้วละครับ” 


 


 


[ตู๊ด…ตู๊ด…ตู๊ด…] 


 


 


 


 


 


หลินเช่อยังดื่มไม่หยุด เธอดื่มเข้าไปมากมายเสียจนเริ่มรู้สึกเวียนหัว 


 


 


หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเข้ามายืนอยู่ข้างๆ 


 


 


เพียงไม่กี่วินาทีก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์มายืนเรียงแถวปิดกั้นบริเวณนั้นเอาไว้ไม่ให้ใครเข้ามาได้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเห็นหลินเช่อนอนซบอยู่ที่เคาน์เตอร์ เขารีบตรงเข้าไปอุ้มเธอออกมาในทันที 


 


 


เมื่อมองดูใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า คิ้วขมวดมุ่นอย่างเป็นทุกข์ เขาก็ชะงักเล็กน้อยก่อนที่สีหน้านั้นจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นเย็นชาและเฉยเมยตามปกติ เขาอุ้มหลินเช่อออกมาจากบาร์แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว 


 


 


ฝั่งเฉินโยวหรานนั้นได้แต่เฝ้ามองด้วยความผิดหวังเมื่อคนทั้งหมดทยอยกันออกไป เธอกระโดดผึงและร้องเรียกว่า “เฮ้ แล้วนี่ใครจะจ่ายเงิน ฉันไม่ได้ดื่มเท่าไหร่เลยนะ หลินเช่อต่างหากล่ะที่ซัดไม่ยั้งน่ะ พวกนายจะไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะเฟ้ย…” 


 


 


เธอจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายค่าเหล้าที่นี่ได้ล่ะ… 


 


 


เฉินอวี่เฉิงเฝ้ามองหญิงสาวจากทางด้านหลัง 


 


 


ก่อนที่จะค่อยๆ เดินมายืนข้างเธอ 


 


 


“พอที หยุดตะโกนได้แล้วน่า กู้จิ้งเจ๋อจ่ายบิลเรียบร้อยแล้ว” 


 


 


เฉินโยวหรานหันมาเห็นสีหน้าท่าทางดูแคลนของอีกฝ่าย แต่เธอก็หาได้แคร์ไม่ “ก็จะทำไมล่ะ ฉันไม่มีปัญญาจ่ายนี่นา ต่อให้จับฉันกดลงพื้นเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีเงินจ่ายอยู่ดีนั่นแหละ ไม่เหมือนบางคนหรอกที่ทำหน้าที่คอยตามรับใช้คนอื่นแล้วก็เอาเงินมาล่อผู้หญิงน่ะ” 


 


 


“หืม นี่เธอคิดว่าหน้าที่คอยรับใช้นี่มันง่ายนักหรือไง มันต้องใช้ไอคิวมากทีเดียวนะ แต่แน่นอนว่าระดับสติปัญญาอย่างเธอคงไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก” 


 


 


“เฮ้ นี่นาย…” 


 


 


“พอที เลิกตะเบ็งเสียงได้แล้ว นี่จะให้ฉันไปส่งบ้านรึเปล่า” เขาถาม 


 


 


เมื่อเฉินโยวหรานได้ยินอีกฝ่ายเสนอ เธอก็คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเงินได้ ในช่วงที่เธอยังไม่มีงานทำแบบนี้ เธอกำลังต้องการเงิน 


 


 


“ก็ได้ๆ” เธอรีบตอบตกลง 


 


 


เฉินอวี่เฉิงหันมองและพูดว่า “เห็นรึยังล่ะว่างานคนรับใช้ก็มีประโยชน์ มันทำให้มีรถขับแล้วก็มีเงินใช้ เห็นมั้ย” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม