ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 135-141

ตอนที่ 135 ฉันอยู่กับซีซี

 

ตามที่คาดไว้ นักข่าวไล่ตามรถของทั้งคู่ แต่รถเบี่ยงออกจากถนนของโรงเรียน และพุ่งออกไปขณะเฉียวเหลียงเหยียบคันเร่งอย่างแรง ถังซีมองเฉียวเหลียงด้วยรอยยิ้มหวานบนใบหน้า แล้วถามว่า “คุณมาที่นี่ทำไม”


 


 


รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปตอนรักกันใหม่ๆ อีกครั้ง แม้ว่าทั้งคู่จะเรียนวิชาเอกเดียวกัน แต่ก็เลือกวิชาเลือกต่างกัน ทุกครั้งที่เข้าเรียนในวิชาต่างกัน เธอจะออกจากชั้นเรียนก่อนหมดเวลา มารอที่หน้าห้องเรียนของเขา เมื่อเห็นเธอเขาจะแอบย่องออกจากห้องเรียน แล้วทั้งคู่ก็จะจูงมือกันวิ่งไปที่โรงอาหาร


 


 


เฉียวเหลียงจับมือถังซี กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ “ผมทำงานเสร็จแล้ว” เขาไม่อยากบอกเธอว่า ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้ เขาคิดว่าทุกอย่างจนถึงตอนนี้เป็นความฝัน เป็นสาเหตุให้เขามาที่นี่ เพื่อยืนยันว่าเขาแค่ฝันจริงหรือเปล่า


 


 


ถังซีมองใบหน้าด้านข้างของเฉียวเหลียง เขามีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบจริงๆ เกือบจะไร้ที่ติ เพียงแต่ตอนนี้เขาผอมเกินไป คางเรียวแหลม และร่างกายผ่ายผอม เมื่อนึกย้อนกลับไปว่าเขาเป็นอย่างไรในอดีต ถังซีก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอถามว่า “คุณทานอาหารไม่ได้เลยใช่ไหม ในหลายปีที่ผ่านมา”


 


 


เขาเคยเป็นคนทานเก่งเวลาที่อยู่กับเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอไม่ทานเขาทานหมด แต่ตอนนี้เขาไม่อยากทานอะไรเลย เขามีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือเปล่า


 


 


เมื่อได้ยินเธอพูดถึงอาหารเฉียวเหลียงก็ชะงัก แล้วยิ้มออกมาขณะจับมือเธอและถามว่า “คุณอยากทานอะไร เราไปทานกันดีกว่า”


 


 


ถังซีรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่เธอยังคงเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เฉียวเหลียง “แน่นอนค่ะ ว่าต้องเป็นกุ้งก้ามกรามออสเตรเลียกับปูขน! ใช่ ใช่ แล้วก็ต้องทานกับกุ้งในซอสต้นหอมด้วย”


 


 


เฉียวเหลียงหันมามองถังซีและได้เห็นว่าเธอดูเศร้า แม้จะพยายามแสดงท่าทางมีความสุขต่อหน้าเขา แต่เขารู้ว่าเธอไม่มีความสุขเลย เขาไม่อยากเล่าให้เธอฟังว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง เขาทำไม่ได้ เขาไม่อาจทำให้หญิงสาวผู้เป็นที่รักรู้สึกผิด เขาไม่ใจร้ายพอที่จะทำให้เธอวิตกกังวลเรื่องสุขภาพของเขา แม้ว่าการที่เธอใส่ใจเขาจะทำให้เขามีความสุขก็ตาม


 


 


เขารู้ดีว่าหลังเลิกเรียนถังซีต้องกลับบ้านในตอนบ่าย เฉียวเหลียงจึงพาถังซีไปทานบุฟเฟ่ต์อาหารทะเลที่อยู่ห่างจากโรงเรียนเพียงไม่กี่ถนน เฉียวเหลียงสวมหน้ากากและหมวก ถังซีก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามถังซียังสวมชุดนักเรียน ในขณะที่เฉียวเหลียงอยู่ในชุดสูท ดังนั้นทั้งสองจึงดู… ใช่… ดูแปลกๆ ที่ทั้งสองจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ นอกจากนี้ในช่วงเวลาห้า-หกโมงเย็นมีผู้คนมากมายที่ภัตตาคารบุฟเฟ่ต์ พวกเขาจึงได้รับความสนใจอย่างมาก…


 


 


มีคนจำได้ว่าชุดที่ถังซีสวมนั้นเป็นชุดนักเรียนของโรงเรียนมัธยมตี้อี และชี้นิ้วมาที่เธอโดยวิจารณ์ดังๆ ว่า “นักเรียนมัธยมปลายทุกวันนี้ประพฤติตัวแย่จริงๆ ดูสิ ออกมากับผู้ชายตั้งแต่อายุแค่นี้ แถมยังมาทั้งชุดนักเรียนอีกด้วย…”


 


 


บางคนก็อัดคลิปวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือ และจะโพสต์ลงออนไลน์ ถังซีขมวดคิ้วแล้วกล่าวกับเฉียวเหลียง “เราไปที่อื่นกันเถอะ”


 


 


เธอไม่สามารถเปิดใช้งาน 008 ได้ในขณะนี้ เธอจึงไม่มีทางลบคลิปวิดีโอที่คนพวกนี้จะอัปโหลดทางอินเทอร์เน็ตได้ในเวลาอันสั้น เธอตัดสินใจว่าไม่ควรปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้กับเฉียวเหลียง แม้เธอจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ถ้าคนเหล่านี้อัพโหลดวิดีโอลงในโลกออนไลน์ จะส่งผลกระทบทางลบต่อโรงเรียนของเธออย่างแน่นอน


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว ใบหน้าเขาเย็นเยือกขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมองคนเหล่านั้น แม้เขาจะสวมหมวกและหน้ากาก แต่สายตาเย็นยะเยือกก็ทำให้คนพวกนั้นหวั่นเกรง หลายคนรีบลบคลิปวิดีโอในโทรศัพท์ของตน และบางคนก็ถอยห่างออกไปจากคนทั้งสอง


 


 


เมื่อเห็นเฉียวเหลียงโกรธ ถังซีก็รีบจับมือเขาไว้ เอ่ยเสียงดังด้วยท่าทางสนิทสนมว่า “พี่คะ คุณพ่อคุณแม่ยังไม่มาอีกเหรอ ไหนท่านบอกว่าจะมาถึงตอนห้าโมงครึ่งไงล่ะ”


 


 


ทันทีที่เฉียวเหลียงได้ยินเสียงนุ่มๆ รังสีความก้าวร้าวของเขาก็หายไปทันที เขาหันมามองถังซีซึ่งกำลังขยิบตาให้เขา จากนั้นเขาก็เม้มริมฝีปากหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วบอกว่า “พี่จะโทรตามท่านก่อน”


 


 


เมื่อได้ยินการสนทนาของทั้งสอง ทุกคนก็รู้ว่าพวกเขาเข้าใจผิด ปรากฏว่าทั้งสองเป็นพี่ชายกับน้องสาว ไม่แปลกใจที่ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันมาก พวกเขาไม่น่าหยาบคายแบบนี้เลย บางคนถึงกับกล่าวขอโทษ ถังซีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และบอกว่าไม่เป็นไร “เพราะว่าพี่ชายฉันหล่อและฉันก็สวย เวลาที่ฉันออกมาข้างนอกกับพี่ชายโดยไม่ได้สวมเครื่องแบบนักเรียน ใครๆ ก็มักเข้าใจผิดว่าเราเป็นคู่รักกันค่ะ”


 


 


เฉียวเหลียงหันไปหาถังซี ใบหน้าบึ้งตึงขณะพูดโทรศัพท์ “คุณพ่อคุณแม่ยังมาไม่ถึงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นเราจะกลับแล้วนะครับ… ตกลงครับ อธิบายกับน้องสาวผมเองก็แล้วกัน ครับ ผมเข้าใจแล้ว สวัสดีครับ”


 


 


เขาวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า มองหน้าถังซีและกล่าวว่า “คุณพ่อคุณแม่ติดงานนะ พวกท่านมาฉลองวันเกิดน้องไม่ได้”


 


 


ถังซีกะพริบตาปริบๆ มองหน้าเฉียวเหลียง หลังจากนั้นแป๊บหนึ่งจึงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอตอบว่า “คุณพ่อคุณแม่สัญญาว่าจะมาฉลองวันเกิดกับฉัน”


 


 


แม้ถังซีจะสวมหน้ากากและหมวก แต่ดวงตาที่โผล่พ้นหน้ากากนั้นเข้มและเจิดจ้าราวกับพูดได้ เมื่อเห็นดวงตาอันสวยงามแต่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ผู้คนต่างก็รู้สึกเสียใจไปกับเธอ บางคนเดินเข้ามาปลอบเธอ แล้วเสนอว่าจะฉลองวันเกิดให้เธอ


 


 


ถังซียิ้ม ขอบคุณเขา เฉียวเหลียงมองดูผู้คนรอบๆ ตัว ก่อนจะพาถังซีเข้าไปในห้องพิเศษที่เขาให้เลขานุการจองไว้


 


 



 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง ในห้องทำงานรองประธานเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป เซียวจิ่งได้แต่จ้องมองโทรศัพท์มือถือ มีใครบอกเขาได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


เฉียวเหลียงพูดถึงอะไร


 


 


ยังมาไม่ถึงหรือครับ มาที่ไหนเหรอ


 


 


และเขาบอกว่าพวกเขาจะกลับแล้ว เขากับใคร จะกลับมาที่บริษัทหรือ


 


 


อธิบายกับน้องสาวผมเองก็แล้วกัน มีใครบอกเขาได้บ้างว่า เฉียวเหลียงมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่!


 


 


น้องสาว… โอ ไม่!


 


 


โอ พระเจ้า!


 


 


เซียวจิ่งผลุดลุกขึ้นทันที หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดหมายเลข บัดซบที่สุด เฉียวเหลียงแอบย่องออกจากบริษัทไปจีบน้องสาวเขา โดยไม่สนใจเขาเลย! อภัยให้ไม่ได้! เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด!


 


 



 


 


ในห้องพิเศษของภัตตาคาร เฉียวเหลียงมองดูหน้าจอโทรศัพท์ ปิดเสียงเรียกเข้า แล้วหันมาถามถังซี “เมนูสุดคลาสิคทั้งหมดเลยใช่ไหม”


 


 


“ปลาหมึกยักษ์สดๆ …” ถังซีมองเฉียวเหลียงด้วยดวงตาเปล่งประกาย


 


 


เฉียวเหลียงยิ้ม ขณะที่โทรศัพท์ยังคงสั่น เขาหยิบขึ้นมา เมื่อเห็นชื่อผู้โทรเข้าถังซีก็อดถามไม่ได้ “เมื่อกี้คุณโทรหาพี่จิ่งเหรอ”


 


 


เฉียวเหลียงขยิบตาให้เธอก่อนจะรับโทรศัพท์ “ฮื่อ ว่าไง”


 


 


“เฉียวเหลียง นายอยู่กับโหรวโหรวใช่ไหม” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของเซียวจิ่งดังออกมาจากโทรศัพท์


 


 


เฉียวเหลียงนั่งลง รินน้ำจากกาทำความสะอาดช้อนส้อมให้ถังซี “ไม่ใช่” เขาตอบอย่างใจเย็น


 


 


น้ำเสียงเซียวจิ่งฟังดูลังเลเล็กน้อยเมื่อถามว่า “แล้วนายอยู่กับใคร”


 


 


เฉียวเหลียงยื่นตะเกียบ มีด และส้อม ที่ทำความสะอาดแล้วให้ถังซี ขณะตอบว่า “ฉันอยู่กับซีซี” 

 

 


ตอนที่ 136 ความรู้สึกผิด

 

เซียวจิ่ง “… ไอ้บ้าเอ๊ย แล้วนั่นแตกต่างกันยังไง แตกต่างกันตรงไหน!”


 


 


ถังซีอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเซียวจิ่ง เฉียวเหลียงแค่ล้อเขาเล่น


 


 


อย่างไรก็ตามเฉียวเหลียงไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย เขามองหน้าถังซี เขี่ยปลายจมูกเธออย่างสนิทสนม แล้วจึงตอบเซียวจิ่ง “แตกต่างสิ” หากเซียวโหรวไม่ใช่ถังซี แม้แต่หางตาเขาก็จะไม่มองเซียวโหรว ไม่ว่าเธอจะสวยมากแต่ไหนก็ตาม


 


 


ถังซีนั่งเท้าคางด้วยมือเดียว ขณะที่เฉียวเหลียงจับมือเธออีกข้างไว้ เธอกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ “พอได้แล้วค่ะ ฉันหิว ฉันต้องรีบกลับบ้านหลังทานเสร็จ”


 


 


เมื่อได้ยินว่าเธอจะกลับบ้านหลังทานอาหาร เฉียวเหลียงก็ขมวดคิ้ว ถังซีกำลังจะอธิบายเหตุผลให้เขาฟังเมื่อโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เธอมองดูชื่อผู้โทร ยื่นโทรศัพท์ให้เฉียวเหลียงดูหน้าจอแล้วรับโทรศัพท์ “ค่ะ คุณแม่”


 


 


เมื่อได้ยินเสียงถังซี หยางจิ้งเสียนก็รู้สึกโล่งอกและถามว่า “โหรวโหรว ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหนจ๊ะ ทำไมแม่ไม่เห็นหนูเลยที่ประตูโรงเรียน”


 


 


ถังซีเม้มปาก ขณะขยิบตาให้เฉียวเหลียง เธอคว้ากระเป๋านักเรียนเดินออกไปด้านนอก “หนูนั่งแท็กซี่มาค่ะ แต่หนูลืมบอกคุณแม่ คุณแม่กลับบ้านไปก่อนนะคะ”


 


 


เฉียวเหลียงวางสายเซียวจิ่งอย่างหมดความสุข คว้าหมวกและหน้ากากบนโต๊ะมาสวม แล้วตามถังซีออกไปเพื่อส่งเธอกลับบ้าน เมื่อเห็นใบหน้าเขาไร้ความสุขถังซีก็เอ่ยขึ้น “ฉันไม่รู้ว่าคุณจะมารับฉัน และไม่รู้ว่าคุณแม่ก็จะมารับฉันเหมือนกัน”


 


 


ขณะฟังคำอธิบายของถังซี เฉียวเหลียงยังคงหน้าบึ้งตึง ขับรถไปพูดไม่จา ถังซีมองหน้าเขาแล้วอดนึกไม่ได้ว่าสภาพเขาเป็นอย่างไรตอนอยู่ที่ลองบีช เธอเอื้อมมือไปจับมือเขา กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “อย่าโกรธเลยนะคะ…นะ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าคุณแม่จะมารับฉัน”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าถังซี ไม่ได้ปัดมือเธอออกแต่ยังโกรธอยู่ สีหน้าเขาดูราวกับจะบอกว่า ‘ผมอารมณ์ไม่ดี อย่ายุ่งกับผม’ ถังซีถอนหายใจแล้วถามอย่างอ่อนโยน “แล้วคุณอยากให้ฉันทำยังไง”


 


 


“หลังจากกลับถึงบ้านแล้ว คุณต้องหาข้ออ้างแอบออกมา และไปทานอาหารค่ำกับผม” เฉียวเหลียงตอบพร้อมกับมองหน้าเธอ “สัญญากับผมสิ”


 


 


ถังซีกลัวว่าเธอจะทำไม่ได้ตามที่เขาขอ แต่เมื่อมองตาเขา เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าและกล่าวว่า “ตกลงค่ะ ไม่ต้องโกรธแล้วนะ”


 


 


เฉียวเหลียงแอบยิ้ม มองหน้าถังซีจากทางด้านข้างแล้วเลิกคิ้ว “จริงๆ นะ”


 


 


“จริงสิคะ เชื่อฉันสิ!” ถังซีมองเฉียวเหลียงด้วยรอยยิ้ม และพบว่าสีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนเธอเกือบคิดว่าเขาเมื่อกี้นี้เขาแกล้งแสดง น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่ไปเป็นนักแสดง


 


 


เฉียวเหลียงจับมือถังซีแน่นขณะรถจอดที่สี่แยกไฟแดง เขาจ้องมองเธอและกล่าวเสียงต่ำ “ถ้าคุณไม่ได้กลายเป็นเซียวโหรวอยู่ตอนนี้ ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณจากไป เพราะฉะนั้นโปรดเข้าใจผมด้วยนะ ซีซี คุณเข้าใจใช่ไหม”


 


 


ตอนที่เขาได้ยินข่าวการตายของเธอ เขาคิดว่าถ้าได้พบเธออีกครั้งเขาจะไม่มีวันปล่อยเธอจากเขาไป เขาไม่ได้ขโมยเธอมาจากตระกูลเซียว เพราะเขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้วที่จะควบคุมตัวเอง พร้อมกับเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้าเขาทำอย่างนั้นจะเป็นการทำร้ายเธอ เขาจึงไม่รีบร้อนที่จะเหนี่ยวรั้งเธอไว้ให้อยู่ใกล้ตัวเขา


 


 


คำพูดของเฉียวเหลียงทำให้ถังซีนิ่งอึ้ง เธอดึงมือเขามาที่ริมฝีปากแล้วจูบเบาๆ ผ่านหน้ากาก น้ำเสียงเธอสั่นเครือเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “ฉันรู้ค่ะ ฉันรู้ รู้ว่าที่ผ่านมาเป็นเรื่องยากลำบากมากสำหรับคุณ”


 


 


ในช่วงเวลาที่จิตวิญญาณเธออ่อนแอ เธอได้กลับไปยังสถานที่ที่เธอเสียชีวิต และได้เห็นว่าเขาเศร้าแค่ไหน จากนั้นเธอก็ได้เห็นว่าเขาสิ้นหวังที่ลองบีช แล้วทำไมเธอจะไม่เข้าใจเขา แม้จะรู้สึกว่าควรอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา แต่เธอไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ เพราะเธอไม่ได้เป็นเพียงถังซี แต่เธอยังเป็นเซียวโหรวด้วย เธอต้องแบกรับความรับผิดชอบของทั้งสองตัวตน


 


 


นอกจากนี้เธอยังรับ 008 เข้ามาในตัวตน เธอจะล้างแค้นให้ตัวเองด้วยความช่วยเหลือจาก 008 เพราะฉะนั้นเธอต้องกลับไปเมืองหลวง ทำให้พวกคนที่ฆ่าเธอได้รับโทษทัณฑ์ หลังจากนั้นเธอจะอยู่กับเขาได้โดยไม่มีภาระใดๆ


 


 


เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เฉียวเหลียงก็เคลื่อนรถ ไปส่งถังซีกลับถึงบ้านพักครอบครัวเซียว ถังซีมองไปที่ตัวบ้านก่อนจะจูบแก้มเฉียวเหลียงและเอ่ยเบา “รอสักครู่นะคะ อย่าลืมหาอะไรทานรองท้องก่อนนะ”


 


 


เฉียวเหลียงช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัย ถังซีลงจากรถ เดินเข้าไปในบ้านพักของครอบครัวเซียว


 


 


ทันทีที่ถังซีเข้ามาในบ้านเธอก็พบเซียวเหยาตรงทางเข้า ดวงตาเขาเศร้าเล็กน้อยเมื่อมองไปยังรถของเฉียวเหลียงที่จอดอยู่ด้านนอก ร่องรอยความขวยเขินแผ่ซ่านใบหน้าถังซี แต่ในไม่ช้าเธอก็กลบเกลื่อนความรู้สึก เดินเข้ามาทักทายเซียวเหยาด้วยรอยยิ้ม “พี่เหยา ทำไมมายืนอยู่ที่ประตูละคะ”


 


 


เซียวเหยาละสายตา แล้วกะพริบตาเพื่อปกปิดความหม่นหมอง จากนั้นก็ลูบศีรษะถังซี กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “คุณตาโทรมาหาเราบ่ายวันนี้ ขอให้พวกเราไปเยี่ยมที่บ้านตระกูลหยาง คุณแม่ออกไปรับเธอ แต่ไปเกือบชั่วโมงแล้วยังไม่กลับมา พี่เป็นห่วงนิดหน่อยเลยออกมาดู”


 


 


หัวใจถังซีวูบลง เมื่อได้ยินว่าครอบครัวเธอทั้งครอบครัวกำลังจะไปบ้านตระกูลหยาง เธอกะพริบตาถี่ๆ มองเซียวเหยา แล้วถามว่า “ที่บ้านคุณตาเหรอคะ”


 


 


เซียวเหยาพยักหน้า กล่าวเสียงเรียบ “ตอนที่เรายังอยู่ในโรงพยาบาล คุณลุงขอให้เราไปเยี่ยมคุณตาหลังจากออกจากโรงพยาบาล นี่เราก็ออกมาได้สองวันแล้ว และคุณตาโทรหาเรา บอกว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ ท่านอยากชวนเราไปที่บ้านท่าน”


 


 


ถังซีอ้าปากค้าง เธอสัญญากับเฉียวเหลียงว่าจะไปทานอาหารค่ำกับเขา แต่ตอนนี้เธอต้องไปบ้านคุณตา เธอควรทำยังไงดี!


 


 


เท่าที่เธอรู้จักเขามา เขาต้องโกรธแน่นอน เมื่อโกรธเขาจะไม่ยอมทานอาหาร แล้วสุขภาพเขาก็จะ… ถังซีคิดว่าคงไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าจะไม่ได้ทานอาหารสักมื้อหนึ่ง


 


 


แล้วถ้าเขายังไม่ได้ทานอะไรเลยวันนี้ทั้งวันล่ะ


 


 


ถังซีเงยหน้ามองเซียวเหยา เขายิ้มและเดินกลับเข้าไปในบ้าน “สองเดือนกว่าแล้วที่เธอกลับมาอยู่ที่บ้านเรา คุณตาและคุณลุงอยากพบเธอ คุณแม่ก็เห็นด้วย เราทุกคนจะไปทานอาหารค่ำที่บ้านตระกูลหยางกันคืนนี้”


 


 


ถังซีกำลังจะถามพอดีว่าเธอจะอยู่บ้านได้ไหม แต่ต้องกลืนคำพูดกลับไปเมื่อได้ยินคำอธิบายของเซียวเหยา แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตกลงค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะขึ้นไปเตรียมตัวข้างบน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ไปเยี่ยมคุณตาที่บ้านท่าน ฉันต้องสร้างความประทับใจแก่ท่านให้มากที่สุด”


 


 


เซียวเหยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและมองดูถังซีขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะมองออกไปนอกบ้านผ่านหน้าต่างบานสูงจากพื้นจรดเพดาน เขาเห็นรถสีดำจอดอยู่ภายนอก แสงแห่งความหม่นหมองแวบขึ้นในดวงตา เธออยากออกไปกับเขาใช่ไหม แล้วเขาก็อดประณามตัวเองไม่ได้ เซียวเหยานี่นายกลายเป็นคนน่ารังเกียจอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร


 


 


หลังจากถังซีขึ้นไปชั้นบน เธอก็โทรหาเฉียวเหลียง ขอโทษเขา และสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก เฉียวเหลียงส่งเสียงคำรามจากลำคออย่างเฉยเมยเป็นคำตอบ และวางสายโทรศัพท์ไป


 


 


ถังซีมองโทรศัพท์ แล้วหันไปมองรถที่เพิ่งขับออกไปด้วยความรู้สึกผิด… 

 

 


ตอนที่ 137 ตระกูลหยาง

 

ถังซีเลือกเสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน จากนั้นเธอก็รวบผมสูง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบ ซึ่งทำให้เธอดูอ่อนเยาว์และกระฉับกระเฉง เธอดูเหมือนเด็กสาวที่มีชีวิตชีวา แบบที่ผู้สูงอายุมักจะชอบ


 


 


เมื่อเห็นถังซีแต่งตัวแบบนี้เซียวเหยาก็ยิ้มและถามว่า “ทำไมต้องรวบผมด้วยล่ะ”


 


 


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะรวบผมหรือปล่อยผม เธอก็สวยมากเสมอ


 


 


ถังซียิ้ม เดินไปที่ห้องครัวและกล่าวว่า “ฉันคิดว่าคุณตากับคุณลุงน่าจะชอบการแต่งตัวที่ดูสะอาดตาและเรียบร้อยค่ะ” เธอรินน้ำให้ตัวเองดื่มแก้วหนึ่ง


 


 


เซียวเหยาพยักหน้า “ลูกพี่ลูกน้องเธอคนหนึ่งก็เคยแต่งตัวแบบนี้ แต่ตอนนี้เธอผมสั้น”


 


 


ถังซียิ้ม ทหารหญิงส่วนใหญ่ตัดผมแค่เคลียไหล่ หรือไม่ก็ตัดสั้นไปเลย ทำให้พวกเธอดูเรียบร้อยทะมัดทะแมง


 


 


หยางจิ้งเสียนผลักประตูห้องครัวเปิดเข้ามา เมื่อเห็นชุดที่ลูกสาวสวมอยู่ ดวงตาเธอก็เป็นประกาย และรีบเขามาดูใกล้ๆ มองถังซีขึ้นๆ ลงๆ แล้วพยักหน้าซ้ำๆ ขณะกล่าวว่า “ดีจ้ะ ดีมาก คุณตาต้องชอบหนูแน่ๆ”


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ ขยิบตาให้หยางจิ้งเสียน ซึ่งมองดูเวลาและกล่าวว่า “ไปบ้านตระกูลหยางกันเถอะ คุณพ่อกับพี่ๆ น้องๆ ของพวกลูกจะเลยไปที่นั่นหลังเลิกงาน”


 


 


ถังซีกับเซียวเหยาพยักหน้า หยางจิ้งเสียนขึ้นรถนั่งในที่คนขับ เพราะถังซีขับรถไม่ได้เธอยังไม่มีใบขับขี่ ส่วนเซียวเหยายังขับรถไม่ได้เนื่องจากอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ถังซีนั่งอยู่ในที่นั่งข้างคนขับมองออกไปนอกหน้าต่างรถตลอดทาง หยางจิ้งเสียนอดถามไม่ได้ว่าเธอกำลังมองอะไรอยู่


 


 


ถังซีละสายตากลับมาแล้วตอบว่า “หนูรู้สึกเหมือนแถวนี้มีอะไรเปลี่ยนไปค่ะ”


 


 


เซียวเหยาจ้องมองถังซีในกระจกมองหลัง ร่องรอยความหม่นหมองแวบขึ้นมาอีกในดวงตาเขา เขาลดสายตาลง บอกกับตัวเองว่าอย่ามองเธออีก หยางจิ้งเสียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงเหรอจ๊ะ แม่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปเลย”


 


 


ถังซียิ้ม “บางทีหนูอาจมองผิดไปค่ะ”


 


 


ตระกูลหยางพักอยู่ในบริเวณถิ่นที่อยู่ของทหาร ซึ่งค่อนข้างห่างไกลจากบ้านพวกเขา หยางจิ้งเสียนขับรถช้าและการจราจรก็ติดขัดบนถนนวงแหวน ทั้งสามจึงมาถึงบ้านตระกูลหยางเกือบหนึ่งทุ่ม เซียวหงลี่ เซียวส่า และเซียวจิ่งมาถึงที่นั่นเรียบร้อยแล้ว


 


 


เมื่อเห็นถังซี เซียวจิ่งก็รีบตรงดิ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว และกระซิบว่า “เธอไม่ได้อยู่กับเขาใช่ไหม”


 


 


“เราแยกกันตอนที่พี่โทรหาเขา” ถังซีกระซิบตอบ


 


 


เซียวจิ่งกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเมื่อมีเสียงหัวเราะดังขึ้น ชายในวัยเจ็ดสิบกำลังเดินออกมา รายล้อมไปด้วยผู้คนอีกหลายคน ท่านคือนายพลหยาง หรือหยางเว่ยกั่ว แม้จะเข้าวัยชรา แต่ท่านยังคงแข็งแรง เมื่อเห็นเซียวเหยาท่านก็ร้องทักเสียงดัง “เจ้าเด็กเหลือขอ เข้ามาใกล้ๆ ซิ”


 


 


ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังท่านคือหยางจิ้งเชา ลูกชายของท่าน หยวนลี่หวา ลูกสะใภ้ หยางมู่หวา ลูกชายคนโตของหยางจิ้งเชา หยางมู่เฟิง ลูกชายคนที่สอง หยางมู่คุน ลูกชายคนที่สี่ และลูกสาวคนสุดท้อง หยางมู่ซิง เซียวเหยาก้าวออกไปข้างหน้า ทักทายหยางเว่ยกั่วก่อน จากนั้นก็ทักทายคนอื่นๆ ทีละคน


 


 


ส่วนหยางมู่ฉิง ลูกชายคนที่สามของหยางจิ้งเชากับหยวนลี่หวา ติดภารกิจ เขาจึงไม่ได้อยู่ด้วยในคืนนี้


 


 


หยางเว่ยกั่วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ขณะมองหน้าเซียวเหยา ท่านเอื้อมมือมาตบไหล่เขาและกล่าวว่า “เก่ง เก่งมาก! เธอเก่งว่าตาตอนยังหนุ่มๆ เสียอีก เธอได้ติดยศพันโทตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างนี้ ในอีกห้าปีข้างหน้า ตำแหน่งทหารของเธอคงแซงหน้าลุงเธอไปเลยสินะ”


 


 


หยางจิ้งเชาเป็นเพียงนายพลตรี


 


 


ใบหน้าหยางจิ้งเชาแดงก่ำขึ้นด้วยความอับอาย เขาอดร้องเรียกหยางเว่ยกั่วออกมาเบาๆ ไม่ได้


 


 


“ถ้าหากเธอไม่อยากถูกหลานชายแซงหน้า เธอก็ต้องทำงานให้หนัก และไม่ยอมแพ้เด็กๆ พวกนี้” หยางเว่ยกั่วกล่าว


 


 


หยางมู่หวามองหน้าเซียวเหยาด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่า “พี่ไม่คิดมาก่อนเลย จู่ๆ นายก็กลายเป็นพันโทขึ้นมาโดยไม่บอกใคร น่าอายจริงๆ ที่พี่อดอวดใครไปทั่วไม่ได้ ตอนได้ติดยศร้อยเอกเมื่ออายุสามสิบ”


 


 


เซียวเหยาตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ผมทำงานในกองกำลังพิเศษ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง”


 


 


หยางมู่เฟิงโอบไหล่เซียวเหยาแล้วกล่าวเสียงดัง “ไม่เลวเลย ญาติเหยา นายทำให้พวกเราตกใจจริงๆ! นายรู้ไหมว่าคุณพ่อจับน้องชายพี่ขังไว้ในห้องกักตัว เมื่อท่านรู้ว่านายได้เป็นพันโทแล้ว”


 


 


เมื่อมองไปที่หยางมู่คุน ซึ่งหน้าบึ้งด้วยความทุกข์ใจ เซียวเหยาก็พยักหน้า “ผมรู้แล้ว ผมไปดื่มกันกับมู่คุนเมื่อคืนก่อน”


 


 


หยางมู่ซิงไม่ได้พูดคุยต่อในหัวข้อนี้ ขณะมองไปที่ถังซี ซึ่งยืนเงียบอยู่ข้างๆ หยางจิ้งเสียน และฟังการสนทนาด้วยรอยยิ้ม เธอก็ถามว่า “นี่โหรวโหรว น้องสาวคนเล็กของเราใช่ไหมคะ”


 


 


ถังซีก้าวออกมาข้างหน้า ยิ้มให้ทุกคน และก้มศีรษะทำความเคารพหยางเว่ยกั่ว พร้อมกับกล่าวว่า “สวัสดีค่ะ คุณตา สวัสดีค่ะ คุณลุงคุณป้า สวัสดีพี่ๆ ทุกคนค่ะ ฉันเซียวโหรวค่ะ”


 


 


หยวนลี่หวาเดินเข้าไปหาถังซี จับมือเด็กสาวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยงามและเฉลียวฉลาดจริงๆ!”


 


 


หยางเว่ยกั่วก็มองดูถังซีด้วยเช่นกัน แล้วพยักหน้า “หนูดูเหมือนแม่ของหนู ตอนที่เธอยังสาวๆ ไม่น่าแปลกใจที่หนูจะเป็นลูกสาวเธอ”


 


 


ถังซีพูดไม่ออก ท่านนายพลหยางคะ ท่านเห็นภาพลวงตาหรือเปล่า คุณแม่ของฉันยังสาวอยู่เลย และฉันไม่คิดว่าฉันจะหน้าตาเหมือนคุณแม่


 


 


หยวนลี่หวาพยักหน้าและยิ้ม “ใช่ค่ะ เธอหน้าตาคล้ายแม่ของเธอจริงๆ เหมือนตอนที่จิ้งเสียนยังเป็นสาว บางทีโหรวโหรวอาจเป็นลูกสาวตระกูลหยางของเราจริงๆ ก็ได้นะคะ”


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี หยางมู่ซิงกล่าวว่า “อย่ายืนอยู่หน้าประตูอย่างนี้เลยค่ะ เข้าไปข้างในกันดีกว่า”


 


 


“รออีกสักแป๊บหนึ่งจ้ะ” หยวนลี่หวากล่าว “มีแขกอีกคนที่ยังมาไม่ถึง เธอไม่ได้พบกับพวกเรานานมากแล้ว เป็นเรื่องยากมาก กว่าที่เธอจะอยากมาเยี่ยมเราในคราวนี้ เธอกำลังมา รอสักครู่”


 


 


ตระกูลหยางพักอยู่ในบ้านพักหลังในสุดของกองทหาร ทุกคนเดินออกมารับแขกที่ประตูใหญ่ พวกเขาจึงอยากรอแขกคนสุดท้ายตรงนี้ก่อน หยางจิ้งเสียนกับครอบครัวของเธอสนิทกับพวกเขามาก จึงรออยู่ด้วยกัน


 


 


หยางจิ้งเสียนถามว่า “ใครหรือ”


 


 


หยวนลี่หวาหัวเราะและตอบว่า “เดี๋ยวเธอก็รู้”


 


 


ในเวลานั้นนั่นเอง รถอเนกประสงค์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสายตาทุกคน หยวนลี่หวาก้าวออกมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “นั่นไง เธอมาแล้ว”


 


 


ถังซีมองดูรถอเนกประสงค์คันนี้และรู้สึกคุ้นตา ในไม่ช้ารถก็หยุดลง ชายหนุ่มคนหนึ่งลงจากรถ เธอมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ชายหนุ่มกลับเข้าไปในรถเพื่อยกรถเข็นออกมา วางรถเข็นลงบนพื้น หลังจากนั้นก็อุ้มหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งในรถออกมา ให้นั่งลงบนรถเข็น หยวนลี่หวาเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ในที่สุดเธอก็ยอมออกจากบ้าน กี่ปีแล้วที่เธอไม่ได้ติดต่อกับพวกเราเลย”


 


 


เฉียวอวี่ซินยิ้มให้หยวนลี่หวา จากนั้นก็ยิ้มให้ถังซี เธอกล่าวว่า “โหรวโหรว ดีเหลือเกินที่หนูไม่เป็นอะไร ป้าเป็นห่วงหนูมาก รู้ไหมจ๊ะ”


 


 


ทุกคนต่างประหลาดใจ ยกเว้นเฉียวเหลียงและพี่น้องตระกูลเซียว 

 

 


ตอนที่ 138 ใครๆ ก็รักเสี่ยวโหรวโหรว

 

เมื่อเห็นเฉียวอวี่ซินทักทายเธอ ถังซีก็เดินเข้าไปย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเฉียวอวี่ซินและทักทาย “หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะตอนนี้ ขอบคุณมากนะคะที่คุณป้าเฉียวห่วงใยหนู หนูขอโทษด้วยค่ะ ที่ไปทานอาหารค่ำกับคุณป้าไม่ได้เมื่อคราวที่แล้ว”


 


 


เฉียวอวี่ซินยิ้มอย่างใจดี ตบไหล่ถังซีเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ป้าไม่คิดว่าหนูจะยังจำได้ด้วยซ้ำ ได้ยินว่าหนูจะมาที่บ้านตระกูลหยาง ป้าก็เลยตามมาที่นี่”


 


 


เมื่อเห็นว่าทั้งสองสนิทสนมกันมาก หยวนลี่หวาก็อดถามไม่ได้ “นี่ทั้งสองคนไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”


 


 


คนอื่นๆ ก็มองทั้งสองด้วยสายตางุนงงเช่นกัน รวมทั้งหยางจิ้งเสียนด้วย ถึงแม้ว่าเฉียวอวี่ซินจะเป็นคนอารมณ์ดี แต่ในฐานะลูกสาวตระกูลเฉียว เธอไม่ใช่คนที่จะเข้าถึงได้ง่ายๆ และบางครั้งก็เป็นคนแปลกๆ หลังจากประสบอุบัติเหตุรถชน เธอก็ปฏิเสธที่จะพบปะผู้คน รวมถึงเพื่อนเก่าๆ ด้วย แล้วทำไมเฉียวอวี่ซินถึงได้รู้จักลูกสาวเธอ


 


 


นอกจากนี้ เฉียวอวี่ซินไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเยี่ยมตระกูลหยางเลย แต่ดูเหมือนว่าเธออยากมาที่นี่เพื่อปกป้องเซียวโหรว เผื่อว่าเด็กสาวจะถูกคนตระกูลหยางดูหมิ่น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เซียวโหรวมาเยี่ยมพวกเขา


 


 


แม้เฉียวอวี่ซินจะไม่ได้เป็นทายาทตระกูลเฉียวผู้สูงส่งอีกต่อไปแล้ว แต่ลูกชายเธอคือท่านประธานแห่งเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป เธอพาลูกชายมาด้วย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเซียวโหรวในใจเธอ


 


 


เฉียวอวี่ซินยิ้ม ขณะลูบผมถังซีและมองดูเธออย่างอ่อนโยน เฉียวเหลียงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “คุณแม่ผมกับเซียวโหรวเคยพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกันครับ เซียวโหรวไม่รู้ว่าคุณแม่ผมเป็นใครในตอนนั้น และมักจะมาพูดคุยกับท่าน คุณแม่ผมรักเซียวโหรวมาก ท่านขอให้ผมเชิญเธอไปที่บ้านเราบ่อยๆ หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ครั้งล่าสุดเซียวโหรวสัญญาว่าจะไปทานอาหารค่ำกับคุณแม่ผมในวันเสาร์ แต่เธอพลาดนัดเพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากที่คุณแม่ทราบว่าเซียวโหรวออกจากโรงพยาบาลแล้ว ท่านก็ยืนยันว่าผมต้องพาท่านไปเยี่ยมเซียวโหรว” จากนั้นเขาก็เหลือบมองถังซี และยิ้มเมื่อกล่าวต่อจนจบประโยค “ผมได้ยินมาว่าคุณน้าหยางกับครอบครัวจะมาที่นี่ในวันนี้ พวกเราจึงตามมาครับ”


 


 


หยวนลี่หวาพยักหน้า มองถังซีด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนยิ่งขึ้น และกล่าวว่า “โอ โหรวโหรว ใครๆ ก็รักหนู หนูรู้ไหมว่ายากแค่ไหนที่จะเข้าหาคุณป้าเฉียวของหนูได้ เราพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะไปเยี่ยมและพูดคุยกับเธอ แต่เธอปฏิเสธเราทุกครั้ง หนูต้องไปเยี่ยมเธอให้บ่อยขึ้นนะจ๊ะ เพราะเธอน่ะเอาแต่เก็บตัว”


 


 


หยางจิ้งเสียนหัวเราะ ส่งสายตาคล้ายไม่พอใจให้หยวนลี่หวา แม้น้ำเสียงจะฟังดูเหมือนยินดีก็ตาม “พูดอะไรอย่างนั้น โหรวโหรวยังต้องไปเรียนหนังสือนะจ๊ะ”


 


 


เฉียวอวี่ซินไม่สนใจคนอื่นๆ หลังจากคุยกับเซียวโหรวครู่หนึ่ง เธอก็หันไปทักทายนายพลหยางด้วยความเคารพ “คุณลุงคะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณลุงเป็นห่วง ฉันน่าจะมาเยี่ยมคุณลุงก่อนหน้านี้”


 


 


มารดาของเฉียวอวี่ซินคือ หยางหลาน เป็นลูกพี่ลูกน้องของหยางเว่ยกั่ว แม้ว่าเฉียวเหลียงจะไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดใกล้ชิดกับตระกูลหยางโดยตรง แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นเครือญาติกัน


 


 


หยางเว่ยกั่วมองหน้าเฉียวอวี่ซิน แล้วกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เข้าไปในบ้านกันดีกว่า อย่ายืนคุยกันอยู่ตรงนี้เลย”


 


 


แม้ตระกูลหยางจะอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ของทหาร แต่บ้านตระกูลหยางก็สร้างขึ้นใหม่หลังจากได้รับอนุญาต บ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นๆ และมีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ จึงไม่แออัดแม้จะมีคนอยู่ในนั้นจำนวนมา หยางเว่ยกั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมหนังสีดำ มองหน้าเฉียวอวี่ซินและถามอย่างจริงจังว่า “เธอคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไปในอนาคต จะอยู่กับความทุกข์ระทมไปตลอดชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ ลูกหลานตระกูลหยางของเราไม่ควรอ่อนแออย่างนั้น”


 


 


บิดามารดาเฉียวอวี่ซินเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้เธอจึงไม่มีญาติที่ไหน นอกจากเฉียวเหลียงและหยางเว่ยกั่ว…


 


 


เมื่อเฉียวอวี่ซินได้ยินคำพูดของหยางเว่ยกั่ว ร่องรอยความเศร้าก็แวบผ่านดวงตาเธอ หยางจิ้งเสียนจึงกล่าวว่า “คุณพ่อคะ เราไม่เคยสัมผัสสิ่งที่อวี่ซินต้องประสบพบเจอ คุณพ่อจะตัดสินเธออย่างนี้ไม่ได้นะคะ” เฉียวอวี่ซินส่ายศีรษะให้หยางจิ้งเสียน ถังซีตบหลังมือเฉียวอวี่ซินเบาๆ เพื่อปลอบเธอ เฉียวอวี่ซินยิ้มให้ถังซี ก่อนจะหันไปหาหยางเว่ยกั่วและกล่าวว่า “คุณลุงคะ คุณลุงพูดถูก ศัตรูของฉันคงมีความสุขที่ได้เห็นฉันยังคงอยู่ในความทุกข์ระทม ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทำไมฉันจะต้องยอมถูกลงโทษอยู่อย่างนี้”


 


 


“ถ้าอย่างนั้น เธอก็ต้องตัดสินใจลุกขึ้นสู้ จริงไหม” หยางเว่ยกั่วส่งสายตาเป็นคำถามให้เฉียวอวี่ซิน และเธอพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ เหมือนอย่างที่โหรวโหรวเคยบอก ฉันไม่ควรอ่อนแออีกต่อไป ฉันจะเข้าโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จะทำให้ตัวฉันเองลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง และให้คนที่ทำร้ายฉันได้รับการลงโทษ”


 


 


ถังซีกะพริบตาปริบๆ เธอพูดแบบนั้นเมื่อไหร่กัน


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าถังซี เฉียวเหลียงก็อดยิ้มไม่ได้ ทันใดนั้นก็มีบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดเขา เขามองหน้าถังซีอย่างลึกซึ้ง ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงคนทรยศคนนั้น เขาจะเศร้าหมองต่อไปอีกหลายวัน แต่ตอนนี้ เมื่อมีเธออยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป…


 


 


หยางเว่ยกั่วหันไปหาถังซี จ้องมองเธออยู่ประมาณห้านาที ถังซียิ้มให้ท่าน ไม่มีร่องรอยความอึดอัดแต่อย่างใดภายใต้สายตาจ้องมองของท่าน ประกายความประหลาดใจวาววับอยู่ในดวงตาหยางเว่ยกั่ว แม้แต่ลูกชายท่านก็ไม่สามารถสบตาท่านได้นานขนาดนี้ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่หลบตาเลย เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่พิเศษจริงๆ!


 


 


หยางเว่ยกั่วถามถังซีว่า “โหรวโหรว หนูทำให้คุณป้าเฉียวของหนูมั่นใจขึ้นมาแบบนี้ได้อย่างไร”


 


 


ถังซียิ้ม ดวงตาเธอเปล่งประกายสดใสขณะตอบว่า “เราทั้งคู่ถูกคนทรยศหักหลังค่ะ เราจึงเข้าใจซึ่งกันและกันได้ดี แต่ดูเหมือนว่าหนูจะโชคดีกว่าคุณป้าเฉียวค่ะ” หยางเว่ยกั่วเลิกคิ้ว แล้วพยักหน้าขณะนึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเซียวโหรว เซียวโหรวมาอยู่ที่บ้านลูกสาวท่าน ก็เพราะเธอถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด


 


 


หยางจิ้งเสียนนั่งถัดจากถังซี จับมือถังซีไว้แล้วบอกเฉียวอวี่ซินว่า “โหรวโหรวเป็นดวงดาวนำโชคของครอบครัวเรา และดูเหมือนว่าจะเป็นดวงดาวนำโชคของเธอเหมือนกัน”


 


 


ดวงตาของเฉียวอวี่ซินเปล่งประกายอย่างมีเลศนัย เธอกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่นั้น เธอคือดวงดาวนำโชคของครอบครัวฉันด้วย”


 


 


เฉียวอวี่ซินนึกถึงตอนที่ลูกชายกลับบ้านมาในวันนี้ เขาพูดตะกุกตะกักบอกว่าอยากพาเธอไปเยี่ยมตระกูลหยาง เธอปฏิเสธ ลูกชายไม่สามารถโน้มน้าวใจเธอได้ เขาจึงบอกว่าเซียวโหรวก็จะไปที่นั่นด้วย เธอหลอกล่อให้เขาบอกความจริงกับเธอ ดูเหมือนว่าลูกชายเธอจะตกหลุมรักเด็กผู้หญิงคนนี้เสียแล้ว…


 


 


เธอไม่สามารถจับสังเกตในรายละเอียดได้เลยระหว่างทางที่นั่งรถมา เธอจึงตัดสินใจว่าจะซักถามลูกชายหน้าซื่อของเธอเมื่อกลับถึงบ้านในคืนนี้ ว่าเขาตกหลุมรักสาวน้อยคนนี้ได้อย่างไร


 


 


แต่เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ เป็นเด็กที่มีเหตุผล ที่สำคัญที่สุดเธอพบว่าเธอถูกชะตากับเด็กคนนี้มาก ทั้งๆ ที่มีคนจำนวนน้อยนักที่จะให้ความรู้สึกแบบนี้กับเธอ


 


 


คนอื่นๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองจึงสนิทสนมกันมาก เฉียวอวี่ซินไม่ได้อธิบาย แต่พี่น้องตระกูลเซียวทุกคนต่างสีหน้าบึ้งตึง บ้าที่สุด! เฉียวเหลียงใช้แม่ตัวเองเป็นสะพานแบบนี้ได้อย่างไร! เขาเล่นสกปรกจริงๆ!


 


 


อย่างไรก็ตามชายหนุ่มผู้เล่นสกปรกคนนี้ เอาแต่จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ลืมหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง


 


 


“พี่ไม่คิดเลยว่า โหรวโหรวจะเป็นที่รักของใครต่อใครมากขนาดนี้” หยางมู่ซิงกล่าว


 


 


ถังซียิ้มให้หยางมู่ซิงและกล่าวว่า “พี่มู่ซิง ชมฉันเกินไปแล้วค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 139 นายไม่คิดหรือว่าลูกชายฉันเหมาะกับลูกสาวนาย

 

นายพลหยางต้องการคุยกับเซียวเหยาตามลำพัง หลังจากสนทนาแลกเปลี่ยนกับเซียวหงลี่ในเรื่องเบาๆ สองสามเรื่องแล้ว ท่านก็เรียกเซียวเหยาเข้าไปพูดคุยกับท่านในห้องทำงาน


 


 


หยางมู่ซิงเอ่ยขึ้นด้วยความอิจฉา “สำหรับบ้านเรา เป็นเกียรติมากที่ได้เป็นคนที่คุณปู่เรียกเข้าไปในห้องทำงาน พูดคุยกับท่านตามลำพัง ฉันจำได้ว่าพ่อได้รับเกียรตินี้ตอนที่ท่านได้เลื่อนยศเป็นพันโท พันเอก แล้วก็พลตรี” เธอมองหน้าพี่ชายสองคนแล้วหัวเราะ พร้อมกับเสริมว่า “พี่รองกับพี่สามยังไม่เคยได้รับเกียรตินี้เลย”


 


 


หยางมู่หวาและหยางมู่เฟิงพูดไม่ออก จ้องหน้าหยางมู่ซิงเขม็ง หยางมู่เฟิงกล่าวว่า “นี่น้องสาว หยุดพูดให้พี่ๆ ของเธออับอายขายหน้าได้ไหม เวลามีคนอยู่มากมายแบบนี้”


 


 


หยางมู่ซิงเบ้ปาก “มีแต่ครอบครัวเรากับเพื่อนสนิท พี่กลัวอะไร แล้วอีกอย่าง…” หยางมู่ซิงยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อกล่าวต่อไปจนจบ “พวกพี่ก็เคยได้รับความอับอายจากฉันมามากมายแล้วนี่นา”


 


 


เซียวจิ่งหัวเราะชี้หน้าลูกผู้พี่ทั้งสอง และมองพวกเขาอย่างได้ใจ “เฮ้ ญาติผู้พี่ที่รัก ผมขอแนะนำให้พวกพี่ลาออกจากกองทัพโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกพี่ทำงานหนักกันทั้งวัน แต่ได้เป็นแค่ร้อยเอก ในขณะที่พี่ชายผมมีวันหยุดพักผ่อน และได้ออกไปสังสรรค์กับพวกเราเสมอ แต่เขาได้เป็นพันโทแล้ว และเงินเดือนก็สูงอีกต่างหาก ทั้งที่เขาอายุน้อยกว่าพวกพี่ พวกพี่แน่ใจแล้วหรือว่าเลือกสายงานถูกต้องแล้ว”


 


 


หยางมู่หวาและน้องชายส่งสายตาดุดันไปที่เซียวจิ่ง พระเจ้า! ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกอยากลากญาติผู้น้องคนเล็กคนนี้ ที่พวกเขารักใคร่เอ็นดูมาตั้งแต่เด็ก เอาไปซ้อมเสียให้เข็ด! จะซ้อมให้เละ จนแม้แต่พ่อแม่เขาก็ยังจำเขาไม่ได้เลย!


 


 


ในฐานะลูกคนสุดท้องของครอบครัวเซียว เขามีบุคลิกร่าเริงและน่ารักมากๆ ทุกคนจึงรักและเอ็นดู เขาอยากได้อะไรพี่ๆ ทุกคนก็ยอมให้เขาเสมอ นั่นเป็นเหตุให้เขาไม่เคยเกรงกลัวว่าจะสร้างความระคายเคืองแก่คุณลุงและญาติผู้พี่เลย เมื่อเห็นพี่น้องตระกูลหยางโกรธ เขาก็ชี้ไปที่หยางมู่คุนและกล่าวว่า “ดูอย่างพี่มู่คุนสิ เขาฉลาดจะตาย ซื้อหุ้นเฮ่อซิงกรุปไว้ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำงานอะไรเลย แค่มีหุ้นพวกนั้นในมือ เขามีแต่เล่นไปวันๆ เปิดบาร์เล็กๆ สองแห่งหารายได้พิเศษเล็กๆ น้อยๆ ช่างเป็นชีวิตที่แสนสบายจริงๆ! ทำไมพวกพี่ไม่เรียนรู้จากเขา และเปลี่ยนงานของพวกพี่เสีย”


 


 


หยางจิ้งเชากับเซียวหงลี่คุยกันอยู่แถวนั้น ไม่ได้สนใจพวกเขา แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวจิ่ง หยางจิ้งเชาก็เงยหน้าขึ้นมองเซียวหงลี่ และกล่าวอย่างจริงจัง “ทำไมนายไม่ส่งเซียวจิ่งมาเข้ากองทัพ ฉันจะฝึกเขาให้อย่างดีเลย”


 


 


“ฮึ?” เซียวหงลี่มองพี่ภรรยาและถามว่า “จะไม่เป็นการรบกวนพี่หรือครับ”


 


 


หยางจิ้งเชาถอนหายใจและกล่าวว่า “เด็กผู้ชายอะไร พูดจาเหน็บแนมเก่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย ปากไม่หยุดตลอดทั้งวัน ดูลูกชายฉันสิ ยอมแพ้ปากเขาทั้งนั้น”


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้เซียวจิ่งก็ตะโกนว่า “ลุงคุณเป็นอะไรไปครับ ผมมีเหตุผลที่ดีที่จะพูดแบบนี้นะครับ แม้แต่ลูกชายสองคนของคุณลุงยังเถียงไม่ออก เพราะพวกพี่ๆ เขารู้ว่า เขาสองคนรวมกันยังเก่งไม่เท่าพี่ชายผมคนเดียวเลย พวกเขาอายจนไม่กล้าเถียงผม!”


 


 


หยางจิ้งเชาจ้องหน้าเซียวจิ่ง ซึ่งยักไหล่ขณะเอนตัวเข้าไปหาเซียวส่า และถามว่า “พี่ส่า พี่คิดว่างานอะไรจะเหมาะกับพี่ใหญ่กับพี่รองจากตระกูลหยาง ถ้าพวกเขาเปลี่ยนอาชีพควรไปเป็นอะไรดี”


 


 


“เป็น ‘แฟนนาย’ ไง” เซียวส่าเค้นสองคำออกมา แล้ววิ่งหนีทันที


 


 


“เซียวส่า ตายซะเถอะ!” เซียวจิ่งร้องตะโกน


 


 


หยางจิ้งเชามองหน้าน้องเขยด้วยความประหลาดใจ และขมวดคิ้วถามว่า “นี่นายสอนลูกให้เป็นแบบนี้ได้ยังไง”


 


 


เซียวหงลี่กล่าวอย่างใจเย็น “ผมไม่ได้สอน น้องสาวพี่เป็นคนสอน”


 


 


หยางจิ้งเชาพูดไม่ออก ขณะส่งสายตาเข้มให้เซียวหงลี่ “ก็เป็นเพราะนายไม่รับผิดชอบหน้าที่ของนายให้เต็มที่ไงล่ะ น้องสาวฉันถึงต้องสอนเขาเอง จนเขาเป็นแบบนี้ เฮ้อ…ให้ตายเถอะ เขาขาดความเป็นลูกผู้ชายจริงๆ!”


 


 


เซียวหงลี่นิ่งอึ้ง “…” โอเค ทั้งหมดเป็นความผิดของผม!


 


 


ขณะนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น พี่น้องตระกูลหยางมองหน้าหันไปมา ไม่ได้เข้าร่วมการทะเลาะแบบเด็กๆ ระหว่างเซียวจิ่งกับเซียวส่า เซียวจิ่งวิ่งไล่เซียวส่าไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นของตระกูลหยาง แต่จับเขาไม่ได้ ในที่สุดเซียวจิ่งก็ทรุดตัวลงบนโซฟา มองไปที่พี่น้องตระกูลหยางซึ่งนั่งนิ่งเงียบอยู่ที่โซฟา ถามพวกเขาว่า “พวกพี่สองคนนั่งเฉยอยู่ทำไมล่ะ”


 


 


“ก็ส่าไม่ได้กวนอารมณ์เรานี่ ทำไมเราต้องช่วยนายด้วยล่ะ” หยางมู่เฟิงโต้


 


 


หยางมู่หวาพยักหน้า “ใช่ ส่าว่านายเป็นแต๋ว ไม่ได้ว่าเราสักหน่อย ทำไมเราต้องช่วยนายด้วย”


 


 


เซียวส่ายืนอยู่กลางห้องโถงหัวเราะออกมาดังๆ “ใช่ ตอนที่นายยังเป็นเด็ก พี่มู่หวากับพี่มู่เฟิงแค่อยากจะ…”


 


 


“โอ พระเจ้า! ” เซียวจิ่งโกรธจัด “เซียวส่า หุบปาก! “


 


 


“อย่าโกรธเลยน่า น้องเล็ก บอกตรงๆ นะ ตอนที่นายแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงตอนนั้น ฉันรู้สึกหลงรักนายมากๆ เลยแหละ”


 


 


ถังซีมองหน้าหยางจิ้งเสียนด้วยดวงตาเป็นประกาย หยางจิ้งเสียนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันทีกับสายตาลูกสาวที่จ้องมองมา เธอเหลือบมองเซียวส่าอย่างพูดไม่ออก ก่อนจะยิ้มให้ถังซีและเล่าว่า” ตอนที่แม่ตั้งท้องพี่จิ่ง ทุกคนคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง แม่ก็เลยซื้อชุดเจ้าหญิงมาเตรียมไว้ให้เขามากมาย รวมทั้งเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงที่อายุสี่ห้าขวบด้วย แต่แล้วแม่กลับให้กำเนิดลูกชายอีกคน จะทิ้งเสื้อผ้าพวกนั้นก็เสียดาย แม่เลยให้พี่ชายลูกสวมเสื้อผ้าพวกนั้น”


 


 


“คุณแม่! พอแล้วครับ!”


 


 


เฉียวเหลียงเฝ้าดูพวกเขาทะเลาะและถกเถียงกันด้วยความสนใจอย่างมาก แต่เมื่อเห็นว่าคนรักของเขาสนใจชีวิตวัยเด็กของผู้ชายอื่น เขาก็อารมณ์เสียทันที แม้แต่บรรยากาศรอบตัวเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก


 


 


ถังซีไม่ได้เกรงกลัวความโกรธของเขาสักนิด เธอเร่งเร้าหยางจิ้งเสียนให้เล่าต่อไปด้วยดวงตาเป็นประกาย เซียวจิ่งรีบวิ่งไปกอดมารดาแล้วเอามือปิดปากเธอ ไม่ยอมให้เธอพูดอีก จากนั้นเขาก็หันไปมองถังซีและบอกว่า “โหรวโหรว อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของพวกเขา ดูสิ พี่แข็งแรงและเป็นลูกผู้ชายแค่ไหน! พวกเขาจะมาเรียกพี่ว่าแต๋วได้ยังไง”


 


 


ถังซีมองเซียวจิ่งอย่างจริงจัง กำมือชูขึ้นแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “แต่พี่เป็นแต๋ว!”


 


 


“โหรวโหรว นี่เธอยังเป็นน้องสาวพี่อยู่หรือเปล่า!”


 


 


ถังซีขยิบตา ขณะที่หยางมู่หวาหัวเราะ “นี่น้องเล็ก เธอรู้อะไรไหม เพราะว่าจิ่งใส่ชุดเด็กผู้หญิงและผมเขาก็ยาวตอนที่เขาเป็นเด็ก มู่เฟิงกับพี่คิดว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ และเกือบจะตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว เราเสียใจมากเมื่อรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นเด็กผู้ชาย!”


 


 


ประกายตาถังซีสดใสขึ้นอีก “ดูเหมือนพี่จิ่งจะเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจได้ดีกว่าเป็นผู้ชายนะคะ!”


 


 


หยางจิ้งเชามองดูถังซี เมื่อเห็นว่าเธอเข้ากันได้ดีกับลูกชายของเขา และพูดคุยกันอย่างมีความสุขสนุกสนาน เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวกับเซียวหงลี่ว่า “ฉันชอบลูกสาวนายจังเลย”


 


 


เซียวหงลี่ก็หันไปมองถังซีบ้าง พอดีกับที่เธอหันมาสบตาเขา เธอยิ้มให้เขาอย่างร่าเริง เซียวหงลี่ยิ้มตอบและเห็นด้วย “ครับ ผมก็ชอบลูกสาวผมเหมือนกัน”


 


 


หยางจิ้งเชาพยักหน้า และนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “นายไม่คิดบ้างหรือว่าลูกชายฉันเหมาะกับลูกสาวนาย” 

 

 


ตอนที่ 140 เฉียวเหลียงหึง

 

เซียวหงลี่คิดว่าเขาฟังพี่ชายภรรยาผิดไป จึงเงยหน้าขึ้นมองและถามด้วยความสับสน “พี่ครับ เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะ”


 


 


หยางจิ้งเชามองตอบเซียวหงลี่ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าและถามว่า “นายคิดยังไงกับลูกชายทั้งสามของฉัน”


 


 


เซียวหงลี่หัวเราะ ขณะมองดูกระดานหมากรุกบนโต๊ะ พยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่ครับ นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เล่นหมากรุกด้วยกัน มาเล่นกันสักกระดานเถอะ”


 


 


หยางจิ้งเชานั่งลงตรงกันข้ามเซียวหงลี่ หยิบเบี้ยหมากรุกขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า “แล้วมู่คุนล่ะ เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและมีน้ำใจนะ ถ้านายให้เซียวโหรวแต่งงานกับเขา เราจะดูแลเธอเหมือนกับเป็นเจ้าหญิงเลย”


 


 


เซียวหงลี่พูดไม่ออก ยกมือขึ้นปิดปากและไอกระแอม “พี่ครับ พี่ต้องล้อเล่นแน่ๆ โหรวโหรวยังเด็กเกินไปครับ”


 


 


นอกจากนี้ เขาเองไม่สามารถตัดสินใจแทนเธอได้… ลูกสาวเขาเป็นผู้หญิงที่ดีและเก่ง เธอสมควรได้คู่ครองเป็นผู้ชายที่ดีและเก่งกว่าเธอ อย่างเช่น… เซียวหงลี่ละสายตาหันไปด้านข้าง แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจ เฉียวเหลียงยืนอยู่ข้างๆ เขา และดูดุดันน่ากลัวมาก เฉียวเหลียงมองหน้าเซียวหงลี่และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “คุณลุงเซียว ให้ผมเล่นหมากรุกกับนายพลหยางนะครับ”


 


 


ดวงตาเฉียวเหลียงขึงขัง ดุดันแม้แต่ขณะจ้องมองหยางจิ้งเชา เซียวหงลี่เลิกคิ้ว แล้วก้าวออกไปด้านช้าง เฉียวเหลียงยึดที่นั่งของเซียวหงลี่ จ้องมองหยางจิ้งเชาอย่างเย็นชา ขณะจัดวางเบี้ยบนกระดานหมากรุกเฉียวเหลียงกล่าวว่า “ท่านนายพลหยาง ให้ท่านเริ่มก่อน”


 


 


เซียวหงลี่ยืนอยู่ข้างๆ ประหลาดใจว่าทำไมจู่ๆ เฉียวเหลียงถึงมีท่าทางเป็นศัตรูกับพี่ภรรยาเขาไปได้ พี่ชายหยางจิ้งเสียนเป็นคนเปิดเผยเกินไป ทำให้เด็กคนนี้ขุ่นเคืองใช่ไหม โอ ไม่ใช่สิ่งดีเลยที่ชายหนุ่มอย่างเขาจะก้าวร้าวมากขนาดนี้


 


 


หยางจิ้งเชาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉียวเหลียง ทำไมถึงได้ทำตัวเป็นศัตรูกับเขาขึ้นมาทันทีทันใด… และยังเรียกเขาว่านายพลหยางอีกด้วย! ในเมื่อเธอเรียกเซียวหงลี่ว่า ‘คุณลุง’ เธอก็ควรเรียกฉันว่า ‘คุณลุง’ ด้วยเหมือนกัน จริงไหม


 


 


ถังซีได้ยินการสนทนาของพวกเขาและรู้สึกขำ แต่ก็หวั่นไหวไปกับการแสดงออกเหมือนเด็กๆ ของเฉียวเหลียง ครั้งสุดท้ายที่เฉียวเหลียงทำสิ่งไร้สาระแบบนี้โดยมีสาเหตุมาจากเธอนั้นเมื่อไรกันนะ สำหรับเธอดูเหมือนเขาจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน เขามักจะมีเหตุผลทุกอย่างในทุกเรื่อง


 


 


เขาไม่เคยสูญเสียการควบคุมตัวเอง หากเธอกับเขาไม่ได้ประสบกับการพรากจากกันก่อนหน้านี้ เธออาจไม่ได้เห็นความน่ารักของเฉียวเหลียงในชีวิตเลยก็เป็นได้


 


 


สงครามในหมู่พี่น้องตระกูลเซียวกับตระกูลหยางสิ้นสุดลงแล้ว พวกเขาไปเล่นเกมกันต่อที่หน้าโทรทัศน์ หยางมู่ซิงและหยวนลี่หวาไปช่วยเตรียมอาหารที่ห้องครัว ในขณะที่ถังซีคุยกับหยางจิ้งเสียนและ เฉียวอวี่ซินอย่างมีความสุข


 


 


เฉียวเหลียงกับหยางจิ้งเชาเล่นหมากรุกกันอย่างตั้งอกตั้งใจ หยางจิ้งเชาเดินหมาก เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงและกล่าวว่า “ประธานเฉียวนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ เธอไม่ได้เป็นเพียงตำนานในแวดวงธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้เล่นหมากรุกที่เก่งอีกด้วย”


 


 


เฉียวเหลียงสีหน้าเรียบเฉย เดินหมากแล้วเงยหน้าขึ้นมองหยางจิ้งเชา ตอบว่า “ท่านนายพลหยางชมผมเกินไปแล้ว ผมไม่ได้เป็นตำนานหรอกครับ ในระหว่างเราสองคนผู้ที่จะชนะต้องขึ้นอยู่กับทักษะ” หลังจากหยางจิ้งเชาเดินหมาก ก็ถึงตาเขาเดิน


 


 


หยางจิ้งเชาขยับหมากอีกตัวหนึ่ง และกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา เมื่อเฉียวเหลียงขยับเดินและกินหมากตัวหนึ่งของเขา หยางจิ้งเชาชะงักและกล่าวว่า “โอ มนุษย์ล้วนแตกต่างกัน! ประธานเฉียวเป็นคนเก่งรอบด้านจริงๆ” เขาไม่อยากเล่นหมากรุกต่อไปแล้ว เพราะคิดว่าถ้ายังเล่นต่อไป เขาต้องพ่ายแพ้ยับเยินแน่


 


 


อย่างไรก็ตาม เฉียวเหลียงดูเหมือนจะมีเจตนารุกไล่นายพลหยาง เขาวางตัวหมากในมือลงและมองหยางจิ้งเชาอย่างจริงจัง กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ชมผมเกินไปแล้วครับท่านนายพล จริงๆ แล้วผมแค่เคยดูคนอื่นเล่นหมากรุกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเล่นหมากรุก”


 


 


หยางจิ้งเชาหน้าแดง ขณะยิ้มและหันไปกล่าวกับเฉียวอวี่ซิน “ญาติผู้น้อง เธอมีลูกชายที่เก่งจริงๆ เขาคืออัจฉริยะ…”


 


 


เซียวหงลี่เกือบสำลักเพราะกลั้นหัวเราะ พี่ภรรยาเขามักเป็นคนที่ได้เปรียบและอยู่เหนือคนอื่นเสมอ แต่ตอนนี้ที่เขาทำได้คือยอมจำนนเฉียวเหลียงเท่านั้น ช่างน่าขำอะไรเช่นนี้!


 


 


ถังซีก็เกือบระเบิดเสียงหัวเราะเช่นกัน ตอนนี้เธอพบว่าเฉียวเหลียงนั้นร้ายกาจเกินไปแล้ว ไม่ยอมไว้หน้าคุณลุงเลย ดูสิว่าท่านเขินขนาดไหน!


 


 


ด้วยความรู้สึกว่าถังซีจ้องมองเขา เฉียวเหลียงหันไปมองเธออย่างบึ้งตึง ถังซีมองตอบเขาด้วยสายตางุนงง เธอทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองใจเหรอ ทำไมเขาถึงมองเธอแบบนี้


 


 


เธอเห็นเฉียวเหลียงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จากนั้นโทรศัพท์ของเธอก็ส่งสัญญาณ เป็นเสียงเตือนของวีแชท


 


 


ถังซีเดินถือโทรศัพท์มือถือออกไปที่ลานนอกบ้าน หลังจากอ่านข้อความที่เขาส่งมาเธอก็หัวเราะคิกคัก ไม่ใช่ความผิดของเธอที่เธอมีเสน่ห์มากเกินไป


 


 


เธอยิ้ม ส่ายศีรษะแล้วกลับเข้าไปในบ้าน ทันใดนั้นมือเธอก็ถูกคว้าไว้ เธอเกือบกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ เธอยกมือปิดปากตัวเองไว้ ไม่ปล่อยให้ตัวเองกรีดร้อง และหันศีรษะไปมอง พบว่าเป็นเฉียวเหลียง เธอถามเบาๆ “คุณมาทำอะไรที่นี่”


 


 


เฉียวเหลียงจับมือเธอไว้แน่น แต่ไม่พูดอะไร ด้วยกลัวว่าใครจะมาพบเธออยู่กับเขา ถังซีหันมองไปรอบๆ และกล่าวว่า “มีคนอยู่เต็มไปหมด ฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นฉันอยู่กับคุณ ปล่อยฉันเถอะ”


 


 


“คุณผิดคำพูด” น้ำเสียงเฉียวเหลียงฟังดูเจ็บปวดมาก จนถังซีรู้สึกผิด เธอมองตาเขา ขณะที่เขาจ้องตอบเธอ น้ำเสียงเขาแหบห้าวเมื่อกล่าวต่อไป “คุณบอกว่าจะไปทานอาหารค่ำกับผมคืนนี้”


 


 


ถังซีรู้สึกว่ามือเขาที่จับเธอไว้นั้นบีบแน่นขึ้นทุกที เธอถอนหายใจและกระซิบตอบ “คุณก็รู้ว่าฉันทำอะไรไม่ได้”


 


 


“คุณใช้เสน่ห์ดึงดูดใครต่อใคร และเพิ่มศัตรูหัวใจให้ผม” เฉียวเหลียงกล่าวโทษเธออีก


 


 


 


 


ถังซีพูดไม่ออก “นั่นเป็นแค่ความคิดของผู้ใหญ่ที่ต้องการแบบนั้น พวกท่านอาจล้อเล่นก็ได้ อย่าจริงจังกับเรื่องนี้เลยน่า”


 


 


“คุณหัวเราะเยาะผมด้วย” เฉียวเหลียงเสริมอีก


 


 


ถังซีระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เหลือบสายตามองเขา สะบัดมือเธอที่เขาจับไว้แน่นให้เป็นอิสระ “เฉียวเหลียง นี่คุณล้อฉันเล่นหรือเปล่า คุณล้อเล่นใช่ไหม”


 


 


เฉียวเหลียงยังคงสีหน้าขึงขัง และกล่าวอย่างจริงจัง “นั่งข้างๆ ผม ตอนทานอาหารค่ำหลังจากนี้”


 


 


ถังซีชะงัก แล้วปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก มีคนตั้งมากมายมองดูอยู่ ฉันคงนั่งข้างคุณไม่ได้”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว “ทำไมถึงนั่งข้างผมไม่ได้ คุณต้องนั่งข้างผม!”


 


 


ถังซีเห็นคิ้วที่ขมวดแน่นก็อดนึกถึงสภาพเขาที่ลองบีชไม่ได้ เธอรู้สึกโกรธแต่ก็รู้สึกผิด สุดท้ายเธอก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ฉันจะดูอีกทีนะคะ”


 


 


“นั่งข้างๆ แม่ผม และผมจะนั่งข้างคุณเอง” ทันทีที่เฉียวเหลียงพูดจบ หยางจิ้งเสียนก็เรียกถังซีไปทานอาหาร ถังซีร้องตอบเข้าไปข้างใน หยางจิ้งเสียนถามว่าเธอทำอะไรอยู่ข้างนอก ถังซียิ้มแล้วตอบว่า “หนูออกมารับโทรศัพท์ค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งเม้มริมฝีปาก แล้วส่งเสียงคำรามเบาๆ “โกหก” มีเพียงเซียวส่าที่อยู่ข้างๆ เขาเท่านั้นที่ได้ยิน


 


 


เมื่อเห็นเฉียวเหลียงเดินเข้ามา เซียวส่าก็ตะโกนถาม “นายก็ออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกเหมือนกันล่ะสิ”


 


 


เฉียวเหลียงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อ พร้อมกับฮัมเพลงขณะเดินไปที่ห้องรับประทานอาหาร


 


 


เฉียวอวี่ซินโบกมือให้ถังซีและกล่าวว่า “โหรวโหรว มานั่งข้างป้าสิจ๊ะ” 

 

 


ตอนที่ 141 มารยาทบนโต๊ะอาหาร

 

ถังซีมองตาหยางจิ้งเสียน ซึ่งพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มและแสดงท่าทางให้เธอนั่งข้างๆ เฉียวอวี่ซิน ถังซีจึงนั่งลงข้างเฉียวอวี่ซิน และเรียกเธอว่าคุณป้าเฉียวอย่างอ่อนหวาน เฉียวอวี่ซินพยักหน้าให้เธอด้วยรอยยิ้ม แล้วหันไปมองเฉียวเหลียงพร้อมกับบ่นว่า “อย่าเป็นคนบ้างานนักเลย นั่งลงได้แล้ว มานั่งตรงนี้และทานอาหารก่อน ครั้งสุดท้ายที่ลูกทานอาหารเย็นกับแม่นี่เมื่อไหร่กันนะ”


 


 


เฉียวเหลียงส่งเสียงในลำคอเบาๆ เป็นคำตอบ ขณะเดินช้าๆ เข้ามาด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ไม่มีขัดเขิน มานั่งลงข้างถังซีภายใต้สายตาของทุกคน เซียวจิ่งเม้มริมฝีปากแน่น เดินไปนั่งด้วยเช่นกัน


 


 


ในเวลาเดียวกันเซียวเหยาก็ลงมาจากห้องทำงานชั้นบนกับนายพลหยางผู้ชรา เมื่อเห็นถังซีนั่งอยู่ข้างๆ เฉียวเหลียงเขาก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ ช่วยพยุงนายพลหยางเดินลงบันไดมาชั้นล่างโดยกล่าวว่า “ช้าๆ ก็ได้ครับ คุณตา”


 


 


นายพลหยางดูเหมือนจะอารมณ์ดีมาก เขาตบแขนเซียวเหยาแล้วยิ้มขณะกล่าวว่า “ตายังแข็งแรง ไม่ต้องพยุงหรอกน่า”


 


 


เซียวเหยายิ้ม แต่ไม่ได้ปล่อยมือ เขาช่วยพยุงนายพลหยางลงบันไดไปที่โต๊ะอาหาร และนั่งลงข้างๆ ท่าน


 


 


โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะกลม ทุกคนนั่งล้อมรอบ หยวนลี่หวาพูดคุยอย่างร่าเริง “นานแล้วนะคะ ที่พวกเราไม่ได้ทานอาหารค่ำด้วยกัน” จากนั้นเธอมองไปที่ถังซีและเฉียวอวี่ซิน แล้วเสริมว่า “อวี่ซิน โหรวโหรว เฉียวเหลียง ทานเยอะๆ นะจ๊ะ ตามสบายเลย”


 


 


ถังซียิ้มและพยักหน้า ทุกคนดื่มไวน์กันก่อนหนึ่งแก้ว แล้วเริ่มรับประทาน…


 


 


ทุกอย่างเป็นปกติในตอนเริ่มต้น ถังซีคีบอาหารให้เฉียวอวี่ซินด้วยตะเกียบของเธอเป็นครั้งคราว ซึ่งเฉียวอวี่ซินจะตอบรับด้วยคำขอบคุณ ขณะที่เฉียวอวี่ซินก็ทำเช่นเดียวกันให้ถังซี และถังซีก็ตอบรับด้วยคำขอบคุณพร้อมกับยิ้มหวาน บรรยากาศอบอุ่นมาก แต่หลังจากนั้นมือเธอก็ค่อยๆ ถูกอีกมือหนึ่งคืบคลานมาจับไว้ ถังซีขมวดคิ้วมองหน้าเฉียวเหลียง แต่เขายังคงคีบอาหารให้ตัวเอง และทานอย่างสบายอารมณ์ ราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


ถังซีพยายามดึงมือกลับขณะทานอาหารไปด้วย แต่มือที่จับมือเธอไว้นั้นทรงพลังเกินกว่าเธอจะทำได้ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ถังซีขยับนิ้วเขี่ยฝ่ามือเฉียวเหลียงให้เขาจั๊กจี้ แต่เขาไม่สะดุ้งสะเทือน ยังคงจับมือเธอนิ่งอยู่ใต้โต๊ะ


 


 


ถังซีไม่มีทางเลือกนอกจากทานอาหารต่อไป


 


 


พี่น้องตระกูลเซียวที่เฝ้าดูคนทั้งสอง สังเกตเห็นปฏิกิริยาระหว่างถังซีกับเฉียวเหลียงมานานแล้ว เซียวจิ่งกัดฟันแน่น โอ… เขาอยากดึงตัวถังซีออกมาจากเฉียวเหลียงเหลือเกิน แต่ด้วยกลัวว่าเฉียวเหลียงอาจบังคับให้เขาทำงานล่วงเวลา เขาจึงได้แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น เซียวส่าไม่มีอะไรจะไปสู้กับเฉียวเหลียง และกลัวว่าถ้าเขารบกวนจะทำให้น้องสาวขุ่นเคือง พี่ชายทั้งสองจึงนิ่งเงียบ… และสำหรับเซียวเหยา…


 


 


“โหรวโหรว ทานแต่กับข้าวอย่างเดียวไม่ได้นะ ทานข้าวด้วยสิ” เซียวเหยามองหน้าถังซี ก่อนจะหยิบถ้วยของตัวเองขึ้นมาเติมซุป แล้วดื่มราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


ถังซียิ้ม ขณะที่เฉียวเหลียงต้องปล่อยมือเธอในที่สุด เธอหยิบชามขึ้นมาตักข้าวทานแล้วยิ้ม กล่าวว่า “ฉันก็ทานข้าวอยู่นะ แต่ว่ากับข้าวทุกจานอร่อยมากๆ ฉันก็เลยทานกับมากกว่านิดหน่อย”


 


 


“ไม่เป็นไรนี่จ๊ะ ตามใจเลย” หยวนลี่หวากล่าว “ถ้าหนูชอบทานกับข้าวก็ทานให้มากๆ น้ำซุปกีบหมูนี่ดีมากนะจ๊ะ หนูทานเยอะๆ ถ้าไม่อยากทานข้าวก็ไม่ต้องทานก็ได้”


 


 


ถังซีตอบด้วยรอยยิ้มและเติมน้ำซุปลงในถ้วยของเธอ เฉียวเหลียงเลื่อนถ้วยของเขาเข้าไปใกล้เธอ แล้วกล่าวเสียงเรียบ “คุณหนูเซียว ช่วยเติมซุปให้ผมด้วย ขอบคุณครับ” จากนั้นเขาก็หยุดและเสริมว่า “ซุปอยู่ไกลจากผมไปหน่อย”


 


 


ถังซียิ้ม ขณะตอบอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันเติมให้คุณเอง”


 


 


เฉียวอวี่ซินมีความสุขมากจนไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้ และหยางจิ้งเสียนก็อดถามไม่ได้ “คิดอะไรอยู่น่ะ อวี่ซิน ทำไมเธอดูมีความสุขมาก”


 


 


เฉียวอวี่ซินรีบหุบยิ้ม ตบแก้มตัวเองเบาๆ ขณะตอบว่า “ฉันเหรอ อ๋อ… ฉันกำลังนึกถึงเฉียวเหลียงสมัยเด็กๆ ตอนที่เขายังตัวเล็กๆ เขาน่ารักกว่าตอนนี้มาก ขี้อาย น่ารักน่าเอ็นดู”


 


 


หยางจิ้งเสียนนิ่งเงียบลง เป็นความจริงที่เฉียวอวี่ซินเคยใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ก่อนที่พ่อของเฉียวเหลียงจะทรยศต่อเธอ แต่ก็ดีแล้วที่ตอนนี้เธอสามารถลืมความทรงจำอันน่าเศร้าไปได้ และหัวเราะได้อย่างมีความสุข


 


 


ถังซีค่อยๆ ตักน้ำซุปเติมให้เฉียวเหลียงอย่างระมัดระวัง แล้วส่งถ้วยซุปให้เขา กล่าวว่า “คุณเฉียวคะ ซุปของคุณค่ะ”


 


 


“เรียกผมว่าเฉียวเหลียงก็ได้ครับ” แม้น้ำเสียงเขาจะฟังดูเย็นชาเหมือนปกติ แต่ถังซีรู้สึกได้ถึงความร่าเริงเบิกบานในน้ำเสียงเขา


 


 


ผู้ชายคนนี้แค่อยากแกล้งเธอ!


 


 


ในขณะที่ไม่มีใครสนใจ เธอเหลือบมองเขาอย่างโกรธๆ และทำหน้ามุ่ยให้เขารู้ว่าไม่ให้ทำแบบนี้อีกต่อไป


 


 


เห็นได้ชัดว่าเฉียวเหลียงไม่ได้รับรู้ถึงคำเตือนของถังซีเลยสักนิด เขามองจานกุ้งไม้ไผ่ที่วางอยู่ทางขวามือของถังซีและบอกว่า “กุ้งนั่นดูสดจังเลย คุณหนูเซียวช่วยหยิบให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”


 


 


คนอื่นๆ รู้สึกประหลาดใจ และมองดูคนทั้งสอง เฉียวเหลียงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่ถังซีดูขัดเขิน แต่คำขอร้องของเฉียวเหลียงก็สมเหตุสมผล เพราะคืนนี้มีอาหารเยอะมาก หยวนลี่หวาจึงถอดแท่นหมุนตรงกลางโต๊ะออก เพื่อให้มีที่ว่างมากขึ้นสำหรับวางอาหาร ถ้าเฉียวเหลียงต้องการหยิบกุ้งจานนั้นเขาต้องลุกขึ้นยืน ซึ่งจะดูเกะกะ จึงเหมาะสมที่เขาจะขอความช่วยเหลือจากถังซี ในทันทีนั้นดวงตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่ถังซี


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ ขณะคีบกุ้งไม้ไผ่ด้วยตะเกียบของเธอ แล้ววางลงบนจานเฉียวเหลียง พร้อมกับกล่าวว่า “ได้สิคะ ฉันเพิ่งชิมกุ้งไม้ไผ่ไปเมื่อกี้ สดมากจริงๆ ค่ะ”


 


 


จากนั้นเธอก็ส่งสายตาเตือนเฉียวเหลียงอีกครั้ง อย่าให้มากเกินไปนัก!


 


 


ไม่อย่างนั้นจะว่าฉันไม่ได้นะ ถ้าฉันเสียมารยาท!


 


 


อย่างไรก็ตามเฉียวเหลียงดูเหมือนจะติดใจกุ้ง เพราะเขาขอให้เธอหยิบกุ้งให้เขาอีก ในที่สุดเมื่อถังซีทนไม่ไหวอีกต่อไปและกำลังจะเปลี่ยนที่นั่งกับเขา จู่ๆ เฉียวเหลียงก็หันไปมองหยวนลี่หวาและกล่าวว่า “ผมเป็นแผลในกระเพาะอาหารครับ ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการอาหารไม่ย่อยมานานหลายปี ทานอาหารไม่เคยอร่อยเลย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมทานอาหารได้มาก ขอบคุณมากนะครับ สำหรับอาหารแสนวิเศษมื้อนี้ คุณน้าหยาง”


 


 


ทุกคนลืมสิ่งที่เฉียวเหลียงเพิ่งทำไปเมื่อกี้เสียสนิท หยวนลี่หวากล่าวว่า “เธอคงงานยุ่งมากจนทานอาหารไม่เป็นเวลา และอาหารข้างนอกก็ไม่ดีต่อสุขภาพ เธอควรใส่ใจกับอาหารที่ทานให้มากขึ้นนะจ๊ะ ว่างเมื่อไรก็พาแม่เธอมาเยี่ยมเราบ่อยๆ สิ”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและตอบว่า “ขอบคุณครับ”


 


 


ถังซีเองก็ลืมเรื่องจะสลับที่นั่งกับเฉียวเหลียงไปเลยเช่นกัน เขาประสบความยากลำบากมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอควรเอาใจใส่ดูแลเขาให้มากกว่านี้ เพียงแค่เขาขอให้เธอหยิบอาหารให้ เธอจะบ่นได้อย่างไร เธอควรเรียนรู้วิธีปรุงอาหารเพิ่มเติม ปรุงอาหารบำรุงร่างกายให้เขา และช่วยเขาฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง


 


 


เซียวจิ่งกำลังคำรามอยู่ในใจ เมื่อเขาเห็นสายตาสงสารเห็นใจของน้องสาว โหรวโหรว อย่าหลงกลไอ้เสือซ่อนยิ้มคนนี้!


 


 


เขาสุขภาพแข็งแรงมาก!


 


 


แล้วทันใดนั้นเซียวจิ่งก็ได้รับสายตาแจ้งเตือนจากเฉียวเหลียงทันที เซียวจิ่งกัดฟันแน่นขณะจ้องกลับไปที่เฉียวเหลียงด้วยสายตาเชือดเฉือน ราวกับกำลังกล่าวโทษเขาอย่างเงียบๆ ไอ้กะล่อน!


 


 


เฉียวเหลียงคีบซี่โครงเปรี้ยวหวานที่ถังซีตักให้เขาใส่ปากช้าๆ เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม