ลำนำสตรียอดเซียน 135-138.2
ตอนที่ 135 ถ้ำเซียนแห่งใหม่
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่านางแช่อยู่ในบ่อน้ำเวินหย่างนานแค่ไหน แต่สุดท้ายนางก็มีแรงพอจะลืมตาขึ้นได้
นางมองไปรอบๆ และในที่สุดก็ได้เห็นชัดๆ ว่าบ่อน้ำเวินหย่างหน้าตาเป็นอย่างไร
มันคือบ่อน้ำที่ทำจากหยกอุ่นรูปร่างประหลาด ไอน้ำจากน้ำแผ่ขยายไปจนทั่ว น้ำจากบ่อน้ำมีสีขาวอ่อนๆ เหมือนน้ำนมและส่งกลิ่นสมุนไพรหอมที่นางเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว
บ่อน้ำสร้างอยู่บนพื้นยกสูง บันไดด้านล่างทำจากหยกขาวที่เหมือนๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรวมกับงานแกะสลักที่งดงามและการตกแต่งแต้มสีสัน สถานที่แห่งนี้จึงยิ่งดูหรูหรามาก ม่านผ้ามัสลินบางๆ ที่แขวนอยู่โดยรอบบางครั้งบางคราวก็จะปลิวขึ้นและพลิ้วไหวไปกับสายลมอ่อน เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น บางครั้งกลีบดอกไม้ก็จะลอยเข้ามาพร้อมกับลมและร่วงลงอย่างช้าๆ …
ตัวพื้นที่ยกสูงรายล้อมไปด้วยทะเลแห่งเมฆไร้ที่สิ้นสุด ทำให้ดูราวกับว่ามันกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางเมฆ สิ่งที่โม่เทียนเกอเห็นทำให้นางสงสัยว่าบ่อน้ำเวินหย่างนี้สร้างอยู่ในสถานที่แบบไหนกันแน่
ขณะที่นางกำลังดื่มด่ำอยู่กับความคิดโลดโผน ทันใดนั้นสาวใช้ก็ร้องเรียกด้วยความประหลาดใจและดีใจ “อาจารย์ลุงโม่ ท่านตื่นแล้ว!”
โม่เทียนเกอหันไปมอง ข้างหลังนางคือผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน แต่ละคนเป็นหญิงงามและทุกคนล้วนดูอ่อนช้อย คาดว่าสี่คนนี้คือดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ดอกไผ่ และดอกเก๊กฮวย ผู้ที่ดูแลนางพร้อมกับทะเลาะกันเองไปด้วยเมื่อตอนนั้น
จากเสียงของนาง คนที่เพิ่งพูดดูเหมือนจะเป็นเมิ่งจู๋ที่พูดมากที่สุด โม่เทียนเกอเพียงแค่พยักหน้าเป็นคำตอบ “ข้าขึ้นไปได้หรือยัง”
โม่เหมยตอบ “ในเมื่ออาจารย์ลุงสามารถขยับได้แล้ว แน่นอนว่าอาจารย์ลุงขึ้นมาได้เจ้าค่ะ”
หลังจากได้รับการยืนยัน โม่เทียนเกอต้องการลุกขึ้น อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นนางก็เพิ่งรู้ตัวว่านางกำลังเปลือยกายอยู่ รู้สึกค่อนข้างอาย โม่เทียนเกอจึงถามว่า “เสื้อผ้าของข้าอยู่ไหนหรือ?”
ดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ดอกไผ่ และดอกเก๊กฮวย ทั้งสี่คนแยกไปคนละทาง สองคนไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาขณะที่อีกสองคนถือเสื้อผ้าขึ้นมา ท่าทางพวกนางกำลังจะช่วยนางแต่งตัว
โม่เทียนเกอคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจว่ามันคงไม่เป็นไรถ้าพวกนางจะเห็นร่างเปลือยของนาง อย่างไรเสียพวกนางทั้งหมดก็เป็นผู้หญิง ดังนั้นพอไม่รู้สึกอายอีกต่อไป นางจึงขึ้นจากบ่อน้ำ
สาวใช้คนหนึ่งเกล้าผมนางขึ้น อีกคนหนึ่งเช็ดตัวให้ และอีกสองคนช่วยนางใส่เสื้อผ้า
โดยไม่ต้องขยับนิ้วแม้แต่นิ้วเดียว นางก็ใส่เสื้อผ้าบนร่างอย่างเรียบร้อย
ขณะนั้นเอง จู่ๆ โม่เทียนเกอก็จำเรื่องที่ครั้งหนึ่งนางเคยอ่านได้สมัยยังอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ ในอดีตอันไกลโพ้นมีอาณาจักรที่เกือบจะรวมขั้วท้องฟ้าทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันได้ ในอาณาจักรแห่งนั้น หนึ่งในนางสนมหลวงเป็นที่ถูกใจของท่านจักรพรรดิอย่างมาก นางสนมคนนั้นชอบการแช่น้ำพุร้อน ดังนั้นจึงมีนักกวีคนหนึ่งเขียนโคลงยาวเกี่ยวกับเรื่องนั้น ประโยคเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของโคลง
วันอันเหน็บหนาวในวสันตฤดู ท่านให้เกียรตินางร่วมแช่น้ำกับท่านที่บ่อน้ำหัวชิง
น้ำในบ่อน้ำพุร้อนสงบนิ่งและชะล้างผิวขาวซีดของนาง
เหล่าสาวใช้ในตำหนักช่วยนางขึ้นจากบ่อน้ำเพราะนางบอบบางและไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
นี่คือเวลาที่นางเริ่มได้รับการเลื่อนขั้นจากท่านจักรพรรดิ…
เพราะความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวนี้ โม่เทียนเกอขนลุกทั่วร่างขึ้นมาในทันที ต่อให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอจะมีท่าทางของประมุขที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่นางก็เป็นศิษย์ของเขา ไม่ใช่นางสนมโชคร้ายในเรื่องนั้นสักหน่อย พวกนางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
โม่เทียนเกอสะบัดความรู้สึกไม่สบายใจออกไป จากนั้นนางมองกลับไปและถามว่า “ข้าควรไปทำความเคารพท่านอาจารย์หรือไม่”
“ควรเจ้าค่ะ” เมิ่งจู๋ตอบ “อาจารย์ลุง เชิญก้าวขึ้นมาบนเบาะดอกบัวเจ้าค่ะ”
ตอนนี้โม่เทียนเกอถึงเพิ่งเห็นว่ามีเบาะดอกบัวลอยได้อยู่ข้างพื้นยกสูง นางขยับตัวไปทางเบาะดอกบัวและก้าวขึ้นไป ไม่นานหลังจากนั้นเบาะดอกบัวก็เคลื่อนที่ ค่อยๆ จมลงสู่ทะเลแห่งหมู่เมฆอย่างช้าๆ
ครั้งนี้ในที่สุดนางก็ได้มองให้ชัด ปรากฏว่าพื้นที่ยกสูงนี้ตั้งอยู่กลางอากาศ!
เบาะดอกบัวลอยลงช้าๆ ทั้งที่ไม่มีอะไรมาคอยหนุน แต่มันกลับพานางลงมาสู่ยอดเขาวสันต์กระจ่างได้อย่างมั่นคง
หลายวินาทีถัดมา โม่เทียนเกอก้าวลงสู่ยอดเขาวสันต์กระจ่างและเบาะดอกบัวก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่กลางอากาศอีกครั้ง
หลังจากนางมองเบาะดอกบัวออกจากยอดเขาวสันต์กระจ่างไป โม่เทียนเกอจึงหันเหสายตามามองสภาพรอบตัวนาง นี่คือถ้ำเซียนของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งนางเคยแวะมาแล้วครั้งหนึ่ง
พอเห็นนางก้าวลงจากเบาะดอกบัว ศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่เฝ้าประตูอยู่ก็รีบมาทักทายนางทันที เขาพูดอย่างกระตือรือร้น “ท่านใช่อาจารย์ลุงโม่หรือไม่ขอรับ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า คนพวกนี้ฉลาดมาก แค่เมื่อเร็วๆ นี้เองที่นางเปลี่ยนจากศิษย์ลงนามกลายมาเป็นศิษย์ภายในชั้นสูง วิธีที่พวกเขาเรียกนางและปฏิบัติกับนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ศิษย์คนนั้นยิ้มให้และรีบพูด “ท่านปรมาจารย์ได้สั่งไว้ว่าไม่จำเป็นต้องรายงานก่อนถ้าอาจารย์ลุงโม่มาถึง อาจารย์ลุงเชิญเข้าไปทางนี้ได้ขอรับ”
โม่เทียนเกอยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ขอบคุณ”
ขณะที่ศิษย์คนนั้นพูดว่า “เป็นหน้าที่ที่ข้าควรทำขอรับ” นางก็ได้เข้าไปสู่ห้องโถงหลัก
“อาการบาดเจ็บของเจ้าหายเร็วจริงๆ เพิ่งจะไม่กี่วันแต่เจ้าก็สามารถออกจากบ่อน้ำได้แล้ว!”
ก่อนที่นางจะก้าวเข้าไปข้างในต่อ นางก็ได้ยินเสียงใครบางคนแล้ว โม่เทียนเกอปรับสายตามองตรงและเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งตัวตรงอยู่ภายในห้องโถง นางรีบคุกเข่าและทำความเคารพเขา “ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ ศิษย์ยังต้องขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับความเอาใจใส่ของท่าน”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอโบกมืออย่างไม่สนใจและพูดว่า “ไม่เป็นไร ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”
“…” อาจารย์คนใหม่ของนางคนนี้ เขาจะทำให้นางเคารพเขาได้อย่างไรถ้าเขาทำตัวเช่นนี้?
“แค่นั้นก็พอ ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ใช่อาจารย์ประเภทที่ชอบใจร้ายกับศิษย์ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าโดยไม่มีเหตุผลหรอก นั่งสิ!”
พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด ใบหน้าของโม่เทียนเกอกระตุกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นางยังคงยืนขึ้นและตอบอย่างว่าง่าย “เจ้าค่ะ”
ขณะที่เขามองนางเลือกเก้าอี้และนั่งลง สายตาประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงจ้องค้างอยู่ที่นาง กำลังพินิจพิเคราะห์นาง บางครั้งเขาก็จะลูบหนวดสั้นๆ และจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเอง และบางครั้งเขาก็จะจ้องนางและพึมพำกับตัวเอง
การถูกจ้องมองแบบนั้นทำให้โม่เทียนเกอค่อนข้างกระวนกระวาย มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?
จู่ๆ ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ปรบมือขึ้นมาทันที “จริงสิ! ทำไมข้าถึงเพิ่งคิดได้ตอนนี้นะ?!” จากนั้นเขาหันมาทางโม่เทียนเกอ “ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ทางการของประมุขคนนี้ ข้าก็จะมอบถ้ำเซียนใหม่ให้กับเจ้า! ซิวฉิน!”
ศิษย์ผู้หญิงที่รับใช้อยู่ข้างกายเขาตอบ “เจ้าค่ะ”
“พานางไปที่บ้านพักหมิงชิน!”
“เจ้าค่ะ ท่านปรมาจารย์” ผู้ฝึกตนหญิงโค้งคำนับและพูดกับโม่เทียนเกอ “อาจารย์ลุงโม่ เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ”
“อ้อ” โม่เทียนเกอคำนับให้ปรมาจารย์จิ้งเหอและตามผู้ฝึกตนหญิงออกไปทางประตูข้าง
ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอเกือบจะเรียกได้ว่าตำหนักหลวงเลยก็ว่าได้ แต่จริงๆ มันแค่สร้างอยู่ในภูเขา มีหอ ห้องโถง และสวนอยู่นับไม่ถ้วน ข้าวของหายากและแปลกประหลาดมีอยู่ทุกที่ โม่เทียนเกอไม่เคยเห็นถ้ำเซียนที่งดงามและหรูหราเช่นนี้มาก่อน เพราะอย่างนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
ผู้ฝึกตนมีอยู่หลายประเภท มีประเภทที่ฝึกตนอย่างมุมานะ แต่ก็ยังมีคนที่สนุกกับชีวิตอย่างประมุขเต๋าจิ้งเหอ ถ้าคนธรรมดาคนใดมาเห็นถ้ำเซียนแห่งนี้ พวกเขาคงคิดว่ามันคือแดนสวรรค์แน่นอน
พวกเขาผ่านประตูจันทราและเดินไปตามเฉลียงก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะเลี้ยวและเข้าไปสู่สนามเล็กๆ และห่างไกล
สนามเล็กๆ นี้ถูกสร้างขึ้นมาแตกต่างจากที่อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่ามันจะมีโครงสร้างแบบเดียวกัน บันไดทำจากหยกเหมือนกันและผนังก็ทำจากหิน แต่ทุกสิ่งภายในสนามล้วนเรียบง่าย ข้างในนั้นนอกจากเครื่องเรือนที่จำเป็นบางอย่างก็ไม่มีการตกแต่งที่แสนหรูหราเลยแม้แต่น้อย
ห้องเล็กห้าห้องเรียงกันเป็นแถบ สาวใช้นามว่าซิ่วฉินอธิบายทีละห้อง “อาจารย์ลุงโม่ ห้องตรงกลางคือห้องนั่งเล่น ท่านสามารถรับแขกของท่านที่นั่นได้ ห้องนี้สำหรับการฝึกตน ห้องนี้สำหรับปรุงยาวิเศษ ห้องนี้สำหรับขัดเกลาเครื่องมือ ส่วนห้องนี้คือที่พัก… นอกเหนือจากห้องพวกนี้ ถ้าท่านมีสัตว์วิเศษอะไรก็สามารถทำรังให้มันไว้ข้างนอกได้ สำหรับสวนสมุนไพร เดิมทีอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นคนปลูกไว้ แต่จากนี้ไปมันเป็นของท่านแล้วเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกออึ้งไปเมื่อนางได้ยินคำพูดคำหลังๆ ของนาง “ที่นี่คือบ้านพักของใครกัน”
สาวใช้ตอบด้วยรอยยิ้ม “นี่คือบ้านพักสมัยเด็กของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเจ้าค่ะ หลังจากเขาเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ท่านปรมาจารย์ก็ได้มอบถ้ำเซียนอีกแห่งให้กับเขา”
“…”
โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ มีบึงอยู่หน้าห้องขณะที่ด้านหลังเป็นสวนสมุนไพร แสงธรรมชาติก็มีมากพอดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้หินจันทรา
จากนั้นนางเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น โต๊ะและเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีแบบเรียบง่ายถูกจัดวางติดผนัง นอกเหนือจากชุดน้ำชาบนโต๊ะก็ไม่มีอะไรในห้องนี้อีก ไม่มีแม้แต่ของสำหรับให้ความเพลิดเพลิน
ตอนแรกนางคิดว่าข้าวของคงถูกเอาออกไปโดยเจ้าของคนก่อน แต่หลังจากนางเดินไปที่ห้องฝึกตน นางก็เห็นชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือ หยกบันทึก และเอกสารต้นฉบับเก่าแบบอื่นๆ จัดเรียงไว้อยู่บนผนัง
ซิ่วฉินอธิบาย “เมื่อท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งย้ายออกไป เขาไม่ได้เอาของพวกนี้ไปกับเขาด้วย”
“ถ้าอย่างนั้น… ตอนนี้เขาไม่อยากจะเอามันคืนไปหรือ?”
ซิ่วฉินลังเล “คือ… รอจนกว่าข้าจะถามท่านปรมาจารย์ก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ”
เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากห้องฝึกตน พวกเขาเห็นผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งกำลังเดินมุ่งหน้ามาหา นางโค้งให้โม่เทียนเกอและพูดว่า “อาจารย์ลุงโม่ ท่านปรมาจารย์สั่งให้ข้ามาส่งข้อความนี้เจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “เชิญพูดมาได้”
สาวใช้กล่าว “ท่านปรมาจารย์กล่าวว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่นี่เป็นของอาจารย์ลุงโม่ รวมถึงข้าวของข้างในทั้งหมดด้วย ท่านไม่จำเป็นต้องขออนุญาตและใช้มันได้ตามต้องการ นอกจากนี้ หลังจากอาจารย์ลุงย้ายเข้ามา อาจารย์ลุงไม่จำเป็นต้องไปทำความเคารพท่านปรมาจารย์อีก อาจารย์ลุงแค่ต้องฝึกตนอย่างสงบเท่านั้น หากมีปัญหาอะไร ท่านปรมาจารย์สามารถเรียกอาจารย์ลุงให้ไปพบท่านได้เจ้าค่ะ”
ข้อความยาวเช่นนั้นสามารถสรุปได้ในสามคำ ดูแลตัวเอง โม่เทียนเกอไม่เคยคิดเพ้อฝันไปว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจะเห็นค่านางมากมาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้ผิดหวังกับสถานการณ์ปัจจุบันไปเสียทั้งหมด นางเพียงแค่พยักหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าใจ ฝากคำขอบคุณไปยังท่านปรมาจารย์ด้วย”
สาวใช้โค้งอีกครั้งแล้วจึงถอยออกไป
เมื่อนางเห็นทิศทางที่สาวใช้กำลังมุ่งหน้าไป ซิ่วฉินดูค่อนข้างอิจฉา อย่างไรก็ตาม นางยังคงยิ้มให้กับโม่เทียนเกอ “ยินดีด้วยนะเจ้าคะอาจารย์ลุง อาจารย์ลุงโส่วจิ้งทิ้งของดีหลายอย่างไว้ที่นี่ ตอนนี้มันเป็นของท่านแล้ว”
แทนที่จะตอบซิ่วฉิน โม่เทียนเกอกลับถามว่า “ข้าอยากเก็บของจากถ้ำเซียนเดิมของข้า ข้าออกไปได้ไหม?”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” ซิ่วฉินพูด “แต่สำหรับตอนนี้อาจารย์ลุงควรจะตามข้ามาก่อน เราทุกคนต้องผ่านถนนเส้นนี้ถ้าเราต้องการออกไป อาจารย์ลุงควรจำมันให้ได้ ท่านจะได้ไปด้วยตัวเองได้ในอนาคต”
หลังจากเลี้ยวและอ้อมหลายครั้ง ในที่สุดทั้งสองคนก็ออกมาผ่านทางโถงด้านข้าง ซิ่วฉินพูดกับศิษย์ที่เฝ้าประตู “นี่คืออาจารย์ลุงโม่ นางจะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่นี้ไป”
ศิษย์ที่เฝ้าประตูก็เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินที่ซิ่วฉินพูด เขาจึงไม่กล้าทำหยาบคายและรีบทักทายโม่เทียนเกอ “อาจารย์ลุงโม่”
พอถูกเรียกเช่นนี้เข้าหลายๆ วัน ตอนนี้โม่เทียนเกอก็ชินกับมันและไม่ตอบกลับไปอย่างประหม่าเหมือนที่นางทำตอนแรกๆ นางแค่พยักหน้าตามปกติและถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าข้าจะออกไปข้างนอกสักพักหนึ่ง”
ศิษย์เฝ้าประตูพูดตอบ “ในเมื่ออาจารย์ลุงพักอยู่ที่นี่ อาจารย์ลุงจะมาหรือไปก็ได้ตามสบายขอรับ”
“อืม” จากนั้นโม่เทียนเกอหันไปหาซิ่วฉินและพูดว่า “ข้าจะไปเก็บกวาดถ้ำของข้าก่อน เจ้าไม่ต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนข้าก็ได้”
ซิ่วฉินโค้ง “เจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอออกจากถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอและมุ่งหน้าไปยังถ้ำเล็กๆ ที่เก่าของนาง
ขณะเดียวกันนั้น ภายในห้องโถงหลักของประมุขเต๋าจิ้งเหอ
“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าบอกว่าเส้นลมปราณของนางถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยเทพผู้ฝึกตนงั้นรึ?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้
ฉินซีพยักหน้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“รากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดรวมกับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด… เด็กสาวคนนี้… ความสามารถของนางเทียบได้กับผู้ฝึกตนอัจฉริยะพวกนั้น! เราควรจะดีใจที่ข้ารับนางเข้ามาเป็นศิษย์ พอเวลาผ่านไป การก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับนาง พอถึงตอนนั้น ยอดเขาวสันต์กระจ่างของเราก็จะมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่มากกว่าสามคนแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะออกมาอย่างดัง แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าฉินซีไม่ได้ตอบอะไรเลยสักนิด เขาเลิกคิ้ว “อะไร? นี่มันไม่น่าดีใจหรือ?”
ฉินซีขยับตัวในที่สุด เขายืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงมาก “ข้าขอตัวกลับก่อน”
คำตอบของเขาทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอประหลาดใจ “เดี๋ยวสิ! อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายอีกรึ?”
“มันหายตั้งนานแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นสีหน้าตายซากของเจ้าหมายความว่าอะไร?”
“ไม่มีอะไร”
ไม่มีอะไรกะผีสิ! ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่เชื่อเขา “ไอ้เด็กเหลือขอ! ตอนนี้เจ้าคงจะปีกกล้าขาแข็งมากแล้วล่ะสิ ใช่ไหม? เจ้ากล้าโกหกข้า! พูดมาตามตรง! เจ้าคิดอะไรอยู่?!”
“ข้า…” ฉินซีตอบอย่างหมดหนทาง “ผิดมากหรือที่ข้าอยากกลับไปฝึกตน?”
“ฝึกตนอีกแล้ว!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกน “เจ้าเพิ่งออกจากการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ! ยังเหลืออะไรให้ฝึกตนอีก!”
“ข้าแค่ต้องการสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
อีกครั้งหนึ่งที่คำตอบของเขาทำให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอประหลาดใจ “ทำไมเจ้ากระหายอยากจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเจ้านัก? ไหนเจ้าบอกว่าเทพผู้ฝึกตนให้ของดีกับเจ้ามากมาย เพราะอย่างนั้นเจ้าจึงไม่ต้องลำบากมากในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ไม่ใช่รึ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงใจร้อนขนาดนี้”
ฉินซีแสยะยิ้มและส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ “ของดี? เขาทำร้ายข้าเกือบตายก่อนที่จะให้ของดีกับข้า นี่ยังเป็นการมอบให้อีกงั้นเรอะ!? การรู้สึกไร้พลังต่อหน้าคนที่มีอำนาจอย่างเต็มกำลัง ข้าพนันเลยว่าท่านไม่รู้ซึ้งถึงความรู้สึกเช่นนั้นหรอก จริงไหม?”
หลังจากพูดจบ เขาหันกลับและออกไป ทิ้งไว้เพียงแต่ประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้ตกตะลึงซึ่งกำลังพูดพึมพำกับตัวเอง “ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันเก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจจริงๆ เสียด้วย”
ตอนที่ 136-1 พูดไม่ได้
“สุดท้ายแล้ว เจ้าต้องการอะไรถึงซ่อนตัวตนของเจ้ากับนาง ถ้าเจ้าไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจน อย่าโทษข้าที่ปลิดชีวิตเจ้า!”
ฉินซีเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะพูดอย่างแผ่วเบา “ถ้าข้าไม่ปิดบังตัวเองกับนาง นางก็จะไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง”
“อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง?” จงมู่หลิงประหลาดใจเล็กน้อยแต่ถามต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เจ้าคิดจะทำอะไรต่อหลังจากที่นางตัดสินใจอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง”
ถึงแม้ฉินซีจะยิ้มออกมาได้อย่างบิดเบี้ยว แต่เขาก็ยังคงตอบออกมาอย่างขวานผ่าซาก “แล้วจะทำอย่างไรถ้านางไม่อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง”
หัวใจของจงมู่หลิงตกวูบ เขาเข้าใจได้ทันทีถึงความหมายแฝงในคำพูดของฉินซี ผู้ฝึกตนหญิงระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณกับสภาพร่างกายที่พิเศษและไม่มีคนคอยอุปถัมภ์อยู่เบื้องหลัง นางจะมีชีวิตรอดได้นานแค่ไหนกันในโลกแห่งการฝึกตนนี้? ความคิดถัดมา เขายังเข้าใจอีกหนึ่งความหมายจากคำพูดของฉินซี ถ้าโม่เทียนเกอไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ก็จะไม่สามารถช่วยนางได้
น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้ากำลังหมายความว่า เจ้าทำทั้งหมดนี้ด้วยเจตนาดีงั้นรึ?”
ครั้งนี้ฉินซีไม่ได้ตอบในทันที หลังจากครู่หนึ่งเขาก็พูด “ข้าไม่ทราบว่าท่านพี่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับพ่อของนางหรือไม่”
โม่เทียนเกอคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นจงมู่หลิงจึงเปล่งเสียง “ฮึ่ม” และพูด “ข้าได้ยินมาแล้ว”
ฉินซีหัวเราะเบาๆ “มันมีเรื่องบางเรื่องที่นางเข้าใจไม่ชัดเจนนัก คาดว่าท่านพี่ก็คงยังไม่ทราบเช่นกัน” เขาหยุดเว้นระยะหนึ่งก่อนที่จะพูดต่ออย่างช้าๆ “เมื่อยี่สิบปีก่อน ก่อนที่พ่อของนางจะตาย เขาช่วยให้ข้าหนีรอดและบอกให้ข้าดูแลเมียและลูกสาวของเขา ในเวลานั้น เขาให้สัญญากับข้าอย่างหนึ่ง”
ด้วยความประหลาดใจ จงมู่หลิงถาม “สัญญาอะไร”
ฉินซีอธิบายอย่างช้าๆ ทีละคำพูด “ในอนาคต ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของนาง ข้าจะต้องเป็นคนตัดสินใจให้”
เมื่อเขาพูดจบ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ล้วนเงียบสงัดจนน่าขนลุก
ทันใดนั้น ก็เกิดความผันผวนของพลังวิญญาณ จงมู่หลิงมาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของฉินซีอย่างเงียบเชียบ ดูซีดเผือดอย่างที่สุด “ตัดสินใจจากเจ้า?”
ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ แรงกดของพลังวิญญาณถูกปล่อยออก ฉินซีตกลงสู่พื้นอีกครั้ง เพิ่มอาการบาดเจ็บที่มีอยู่มากเข้าไปอีก
ท่าทางของจงมู่หลิงดูเซื่องซึม “นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าพ่อของนางมอบนางให้กับเจ้างั้นรึ”
แม้เขาจะบาดเจ็บสาหัส ฉินซีก็ยังคงยิ้มและตอบด้วยความเด็ดเดี่ยว “ท่านพี่จะแปลความเช่นไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการ”
“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าตีความหมายว่าอย่างไร”
“ข้า?” ฉินซีเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่ตรงมุมปากพร้อมลุกขึ้นนั่ง “ก่อนที่ท่านอาของนางจะตายจากไป ข้าได้ตกลงไว้แล้วว่าจะไม่บังคับหากนางไม่ยินดี”
จงมู่หลิงไม่พูดอะไรอีก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งเขาดูเข้มงวด และบางครั้งเขาดูผ่อนคลาย เขายังคงจ้องมองไปยังใบหน้าของฉินซีซึ่งแทบจะไร้ซึ่งสีเลือดแล้ว
ฉินซีไม่ได้มองที่เขา เขาไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยและมีเพียงท่าทางที่สงบนิ่งบนใบหน้าของเขา
“อาหลิง!” ภายในกระท่อมเกิดการผันผวนของพลังวิญญาณอีกครั้ง หยวนเป่าผู้ซึ่งปรากฏขึ้นทันทีมองไปยังฉินซีด้วยท่าทางที่สนใจและพูดกับจงมู่หลิง “เจ้าไม่คิดหรือว่า… การฝึกตนร่วมสัมพันธ์นั้นเป็นความคิดที่ดี?”
ท่าทางของจงมู่หลิงเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าดู เขาจ้องมองที่หยวนเป่าด้วยความโกรธ
หยวนเป่าเพียงแค่ยักไหล่ไม่สนใจและพูดด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ก็ได้ การฝึกตนร่วมสัมพันธ์ไม่ใช่ความคิดที่ดี อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กคนนี้มีลูกประคำวิญญาณพลังหยางอยู่ในร่างและรากวิญญาณสองธาตุคือทองกับไฟ พลังหยางของเขาช่างน่าเกรงขามนัก ถ้าจะให้เขากลายเป็นมนุษย์ผู้หลอมละลายของเทียนเกอก็ไม่เลวเช่นกัน”
เมื่อได้ยินที่หยวนเป่าพูด ท่าทางของฉินซีเปลี่ยนไปในทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังชายสองคนที่อยู่เบื้องหน้า
ท่าทางของจงมู่หลิงค่อยๆ สงบลง หลังจากพึมพำด้วยความลังเลครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ พยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็ค่อนข้างมีเหตุผล”
หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงมองที่ฉินซีเหมือนกับว่าพวกเขากำลังตัดสินใจว่าเขาจะดีพอตามมาตรฐานของพวกเขาหรือไม่
พลังวิญญาณภายในร่างกายของฉินซีคลุ้มคลั่ง เพราะความโกรธกำลังก่อเกิดอยู่ภายในหัวใจของเขา เขากระอักเลือดออกมาทันที
หยวนเป่าส่งเสียง “จิ๊จ๊ะ” หลังจากนั้นจึงก้มลงจับมือของฉินซี พลังลมปราณจำนวนมากไหลเข้าสู่ร่างกายของฉินซี “มันคงจะไม่เหมาะที่มนุษย์ผู้หลอมละลายจะอ่อนแอเช่นนี้ อาหลิงให้ข้าดูแลเจ้าเด็กนี่เองดีไหม ฮิฮิ เขามีลูกประคำวิญญาณพลังหยางอยู่ในร่างกาย มันไม่ได้แตกต่างนักกับการมีร่างกายที่มีพลังหยางบริสุทธิ์ เขาค่อนข้างเหมาะกับการเรียนไปจากข้า”
จงมู่หลิงส่งเสียง “ฮึ่ม” และสะบัดแขนเสื้อ เขาหายไปในทันใดจากภายในกระท่อมทิ้งไว้เพียงแต่เสียง “ถ้าเจ้าต้องการก็พาเขาไป จะมาขอข้าก่อนเพื่ออะไร”
—
“ร่างเตาหลอม…”
ฉินซีพูดพึมพำคำสองคำนั้นอย่างเงียบๆ และลืมตาขึ้น
เขาไม่เคยผ่านความอัปยศขนาดนี้มาก่อนในชีวิตนี้!
เขารู้ว่าถึงแม้ว่าชายทั้งสองคนนั้นจะทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะอันตราย แต่พวกเขาก็ได้มอบผลประโยชน์ให้กับเขามากมายเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีความซาบซึ้งใจระหว่างพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความเป็นปรปักษ์ศัตรูระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถกล้ำกลืนความอัปยศนั้นไปได้!
มนุษย์ร่างเตาหลอม… พวกเขาต้องการให้เขากลายเป็นร่างเตาหลอมจริงๆ!
ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็ก เขาก็ได้ฝึกปฏิบัติวิถีการฝึกตนด้านจิตใจของโรงเรียนลัทธิเต๋า ดังนั้นความคิดที่จะต้องใช้มนุษย์เตาหลอมนั้นไม่เคยผ่านเข้ามาในความคิดของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันที่ใครบางคนต้องการเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเตาหลอม!
ฉินซีหลับตาลงและพยายามที่จะสงบจิตใจ
ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาที่ภูเขาไท่คังตอนแปดขวบ ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่จิตใจของเขาจะปะทุเดือดดาลได้เท่ากับในตอนนี้ ด้วยการอยู่กับผู้อาวุโสระดับจิตวิญญาณใหม่ ระดับการฝึกตนของเขาพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วและไม่มีใครที่จะกล้าแสดงความเห็นต่อเขา แม้กระทั่งตอนที่เขาออกไปจากโรงเรียนด้วยตัวเอง เขาก็มักจะมีสิ่งของทรัพยากรทุกอย่างเพียงพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้
ในช่วงเวลาไม่กี่วันนั้น เทพผู้ฝึกตนเป็นที่รู้จักในนามหยวนเป่าส่งมอบคาถาและป้อนสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ให้เขามากมาย บางอย่างส่งผลทำให้เขาเจ็บปวดจนเขารู้สึกเหมือนจะตาย ในขณะที่บางอย่างส่งผลให้ระดับการฝึกตนของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเหมือนกับเป็นของเล่นที่จะถูกเล่นจนตาย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาจากมา หยวนเป่าหัวเราะคิกคักอย่างคึกคะนองและบอกเขาอีกว่าให้รีบก่อจิตวิญญาณใหม่เพื่อที่จะได้เป็นเตาหลอมที่ดีได้
การเรียกคืนถึงความทรงจำเหล่านั้น ฉินซีกำหมัดของเขาแน่นอีกครั้ง ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น
เตาหลอมมนุษย์! ความทะนงตนของเขาทำให้เขาไม่สามารถบอกท่านอาจารย์ของเขาได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงแค่ฝังมันเอาไว้ให้ลึกสุดในหัวใจ
คาถาที่หยวนเป่ามอบให้เขาส่งผลให้ร่างกายของเขาเหมือนร่างกายที่มีพลังหยางบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการข้ามผ่านแต่ละดินแดนของเขานั้นก็จะง่ายที่จะต่อกรด้วย สำหรับเขานี่เป็นข้อได้เปรียบมหาศาล หากพวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้เจ็บแค้นใจ เขาคงจะรู้สึกขอบคุณพวกเขาอย่างมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ทำให้เขาอับอาย แต่ทำให้เขาต้องเป็นกังวลด้วย ถ้าทั้งสองคนนั้นต้องการที่จะทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ผู้หลอมละลายหลังจากที่การฝึกตนของเขาพัฒนาขึ้น เขาควรจะทำอย่างไรดี
เขาไม่ได้ไม่ชอบโม่เทียนเกอ และเขาก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาเคยมีความคิดความรู้สึกที่แตกต่างเกี่ยวกับนาง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาอันสั้น ก่อนที่เขาจะบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ เขาไม่สามารถมีจิตใจที่ว่อกแว่กในสิ่งอื่นได้ เรื่องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์นั้นก็อยู่นอกเหนือความคิดเขา แต่เพียงแค่หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาจะต้องรู้สึกเขินอายอย่างที่สุดทุกครั้งที่เขาเจอนาง! ความรู้สึกน่าละอายนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับนาง แต่มันทำให้เขาไม่อยากเจอนาง
เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ถ้าเขาฝึกคาถาต่อ พลังหยางของเขาก็จะพัฒนาจนร่างกายของเขาเข้าใกล้ร่างหยางบริสุทธิ์ และนั่นก็คงหมายถึง… เขาก็จะยิ่งเหมาะกับการเป็นเตาหลอมที่พวกเขาพูดถึง อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาไม่ฝึกมัน ความเร็วในระดับการฝึกตนของเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้นเร็วเท่านี้ เขาอาจจะติดอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่ ไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้ไปตลอดชีวิต…
ดังนั้นในที่สุดเขาจึงตัดสินใจว่าไม่เพียงแต่เขาจะฝึกคาถาต่อ แต่เขาจะรีบทำมันอย่างรวดเร็ว เขาจะก่อจิตวิญญาณใหม่ของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หลังจากนั้นจะต้องเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ มันจะต้องหลังจากที่เขาเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้แล้วและสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองจึงจะลบความละอายใจนี้ไปได้!
ฉินซีหายใจเข้าลึก ยืนขึ้น และเดินออกจากถ้ำไป
บาดแผลของเขาหายดีหมดแล้ว ในสองปีที่ผ่านมา ระดับการฝึกตนของเขาพัฒนาขึ้นมาก หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาสามารถเริ่มเตรียมตัวเพื่อที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เขาเข้าใจในความสามารถของตัวเองดี เขาจะต้องใช้เวลาอีกประมาณยี่สิบถึงสามสิบปีในการเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง หลังจากนั้นเขาจึงจะพยายามก่อจิตวิญญาณใหม่ของตัวเอง ตอนนี้เขาอายุหนึ่งร้อยสี่สิบสามปี ด้วยการคาดคะเนว่าเขาจะใช้เวลาทั้งหมดอีกห้าสิบปี มันมีโอกาสอย่างมากที่เขาจะสามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เมื่อเขาอายุราวๆ สองร้อยปี
จะอีกกี่ปีที่เขาจะต้องใช้หลังจากการเข้าสู่ระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่นั้น เขาเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน
ประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เมื่อเขาอายุสี่ร้อยปี และในตอนนี้เขาอายุมากกว่าแปดร้อยปีแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่มามากกว่าสี่ร้อยปีเขาก็ยังคงอยู่แค่ขั้นกลางของดินแดนจิตวิญญาณใหม่ แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังไม่สามารถเข้าถึงประตูแห่งขั้นสุดท้ายได้เลย
ความสามารถของฉินซีนั้นแย่กว่าอาจารย์ของเขามากนัก เขาสามารถเข้าถึงดินแดนในการฝึกตนระดับปัจจุบันได้เพราะมีลูกประคำวิญญาณพลังหยางในร่างกายของเขาและหัวใจที่มุ่งมั่น แต่หลังจากที่เขาเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ให้ประโยชน์อะไรกับเขาเพิ่มเติม…
เขายังคงเดินอย่างเลื่อนลอยเมื่อได้ยินเสียงดังข้างหน้าเขา เขาตกใจหยุดฝีเท้า ที่นี่คือ…
ตอนที่ 136-2 พูดไม่ได้
“เทียนเกอ ยินดีด้วย! ภายในช่วงเวลาอันสั้น เจ้าก็ได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ทางการจากท่านปรมาจารย์! เจ้าทำให้ข้าอิจฉาแทบตาย! อ้า ไม่สิ ตอนนี้ข้าควรเรียกเจ้าว่า ‘ท่านอาจารย์ลุง’
โม่เทียนเกอเก็บของจากถ้ำของนางก่อนหน้านี้ในขณะที่คุยกับหลัวเฟิงเสวี่ย เมื่อนางได้ยินสิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูด นางก็หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์พี่หลัว ท่านกำลังทำให้ข้าประหม่าที่เรียกข้าว่า ‘ท่านอาจารย์ลุง’ นะ”
“ประหม่าเกี่ยวกับอะไร” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าเป็นศิษย์ทางการของท่านปรมาจารย์ ข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่า ‘อาจารย์ลุง’ เจ้าไม่ควรเรียกข้าว่า ‘ศิษย์พี่’ อีกแล้วนะตอนนี้ ข้ารับไม่ได้ที่จะถูกเรียกแบบนั้น อีกอย่าง มันคงจะไม่ดีถ้าคนอื่นได้ยินเข้า”
“ถ้าอย่างนั้น… ตกลง เฟิงเสวี่ย”
เมื่อได้ยินที่ถูกเรียกเช่นนี้ หลัวเฟิงเสวี่ยก็ยิ้มอย่างเบิกบาน “ไม่คาดคิดเลย แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่ข้าได้ยินท่านเรียกแค่ชื่อของข้า อาจารย์ลุงโม่ ข้าคิดว่าท่านเป็นคนที่ป้องกันตัวเองมากทีเดียว…”
นางพูด “ท่านอาจารย์ลุงโม่” ด้วยน้ำเสียงที่ล้อเลียน แต่มันทำให้โม่เทียนเกอหน้าแดงด้วยความอาย สิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูดไม่ได้ผิดเลย โม่เทียนเกอไม่ชอบที่จะสนิทกับคนอื่น ดังนั้นนางไม่เคยชอบที่จะเรียกแค่ชื่อของหลัวเฟิงเสวี่ย ในทางกลับกัน หลัวเฟิงเสวี่ยมักจะจริงใจต่อโม่เทียนเกอ ด้วยความสัตย์จริง โม่เทียนเกอมองหลัวเฟิงเสวี่ยผิดไปจริงๆ
“เฟิงเสวี่ย ข้า…”
“ลืมมันเสียเถอะ ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก” หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มและพูด “ข้าเข้าใจ เจ้าผ่านชีวิตที่ยากลำบากมา ดังนั้นเจ้าจึงมักจะระแวงคนอื่น ถ้าเจ้าไม่ได้ถูกพากลับมาโดยท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งและได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์จากท่านปรมาจารย์ ข้าก็คงจะไม่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างจริงใจแบบนี้เช่นกัน”
สิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูดทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยและรู้สึกผิดน้อยลง ดังนั้น นางจึงยิ้มและพูด “ตกลงเฟิงเสวี่ย ในเมื่อข้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ข้ายกสวนสมุนไพรให้เจ้า ถ้าในอนาคตมีคนใหม่ที่จะเข้ามาอยู่ที่นี่ เจ้าตัดสินใจได้เลยว่าเจ้าจะย้ายมันไปด้วยหรือไม่”
“เข้าใจแล้ว! ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ทางการของท่านปรมาจารย์ ข้าก็จะขอพูดตรงๆ พืชวิญญาณที่พวกเราซื้อมาจากโรงเรียนต้านติงยังคงอยู่กับข้า ข้าขอพวกมันทั้งหมด เจ้าไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่”
โม่เทียนเกอระเบิดหัวเราะออกมา “แน่นอน! ตอนนี้ข้าเป็นศิษย์พี่แล้ว ดังนั้นแน่นอนเลยข้าไม่สามารถเถียงศิษย์น้องของข้าได้หรอก”
“ฮ่า! เจ้าปรับตัวเข้ากับตัวตนใหม่ของเจ้าได้ค่อนข้างเร็วทีเดียว ตอนนี้เจ้าโอ้อวดตัวตนของเจ้าในฐานะศิษย์พี่ต่อหน้าข้าทีเดียว ฮึ่ม! อย่างไรก็ตาม ข้าจะขอรับผลประโยชน์ที่นี่ตอนนี้ ข้าจะได้ไม่ต้องสู้กับเจ้าต่อไปเกี่ยวกับการเปลี่ยนสถานะนี้”
หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหลัวเฟิงเสวี่ยก็พาโม่เทียนเกอให้เข้าไปพบอาจารย์เต๋าเสวียนอิน
ช่วงการต่อสู้สองปีที่ผ่านมา ทั้งหลัวเฟิงเสวี่ยและเว่ยจยาซือได้รับบาดเจ็บ อาการบาดเจ็บของเว่ยจยาซือนั้นสาหัส ดังนั้นนางยังคงอยู่ในช่วงการพักฟื้น อาการของหลัวเฟิงเสวี่ยดีขึ้นมากแล้วตอนนี้ นางได้ครอบครองยาวิเศษและรางวัลจากทางโรงเรียน สำหรับหันชิงอวี้เพราะนางบาดเจ็บก่อนหน้านี้มานานแล้วตอนนี้นางจึงปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อพักฟื้นอยู่ ดังนั้นเมื่อโม่เทียนเกอกลับไป นางจึงพบแค่หลัวเฟิงเสวี่ย
เมื่อพวกนางไปถึงถ้ำเซียนของอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ศิษย์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบตรงเข้ามาหาพวกนางเพื่อทักทาย “คาราวะท่านอาจารย์ลุงโม่ และศิษย์พี่หลัว”
โม่เทียนเกอแปลกใจและตกใจอย่างมาก นี่ข่าวที่นางได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ทางการได้แพร่ไปทั่วยอดเขาวสันต์กระจ่างแล้วหรือ?
หลัวเฟิงเสวี่ยกระซิบเงียบๆ กับนาง “หลังจากที่ท่านปรมาจารย์กลับมา เขาบอกว่าเจ้ากล้าหาญมากพอในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าด้วยตัวคนเดียวในสงครามครั้งนี้ และช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้กับยอดเขาวสันต์กระจ่าง ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยด้วยตัวของเขาเองว่าได้รับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ทางการ”
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ศิษย์เฝ้าประตูเปลี่ยนวิธีการเรียกนาง
เมื่อพวกนางเข้าไปที่ห้องโถง อาจารย์เต๋าเสวียนอินกำลังหลับตาทำสมาธิอยู่ หลัวเฟิงเสวี่ยเรียก “ท่านอาจารย์!”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินลืมตาขึ้น เขาหันมองมายังทั้งสองก่อนที่จะหยุดอยู่ที่โม่เทียนเกอ “เทียนเกอ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
โม่เทียนเกอก้าวไปด้านหน้าและทักทายเขาด้วยความสุภาพ “ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน ข้าสบายดี อภัยให้ข้าด้วยที่ทำให้ทุกท่านต้องเป็นห่วง”
อาจารย์เต๋าเสวียนอินลูบเครายาวของเขา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ในเมื่อเจ้าได้รับให้เป็นศิษย์ทางการจากท่านอาจารย์แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่า ‘อาจารย์ลุง’ อีกต่อไป เรียกข้าว่า ‘ศิษย์พี่’ คงจะเหมาะสมกว่า”
“ใช่สิ” โม่เทียนเกอแก้คำพูดของนาง “ศิษย์พี่เสวียนอิน คุณงามความดีที่ท่านสอนข้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทียนเกอจะไม่มีวันลืม ข้าจะจากไปในวันนี้ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อมากล่าวขอบคุณท่าน”
“เด็กคนนี้…” อาจารย์เต๋าเสวียนอินมองนางอย่างมีเมตตา นางใช้เวลาสองปีในการสร้างฐานแห่งพลังแต่ก็หายไปสองปีเช่นกัน ถ้าให้มองตามหลักแล้ว เขาไม่ได้สอนนางไปทั้งหมดสามปี อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงเป็นอาจารย์กับศิษย์ทุกเมื่อยกเว้นในนามเท่านั้น
“เทียนเกอ ในเมื่อเจ้าคือศิษย์ของท่านอาจารย์แล้ว เจ้าจะต้องฝึกตนให้หนักขึ้นในอนาคตข้างหน้า เจ้าจะต้องไม่นำความอับอายมาสู่ชื่อของท่านอาจารย์ เข้าใจไหม”
“ข้าจะทำตามที่ศิษย์พี่เสวียนอินได้ชี้แนะไว้อย่างแน่นอน”
“อือ พวกเรายังมีโอกาสอีกมากที่จะได้เจอกันในอนาคต ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องเศร้าเสียใจ ไปเถอะ!”
“ตกลง”
เมื่อได้ถ่ายทอดคำขอบคุณของนางอย่างจริงจังแล้ว โม่เทียนเกอจึงถอยหลังและตามหลัวเฟิงเสวี่ยออกไป
“ตกลงเฟิงเสวี่ย ข้าจะกลับไปที่ถ้ำของข้า เจ้าไปหาข้าได้ทุกเมื่อที่เจ้ามีเวลาว่าง”
ด้วยรอยยิ้ม หลัวเฟิงเสวี่ยก้าวมาด้านหน้าเพื่อกอดนางชั่วครู่ “เข้าใจแล้ว” ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะพูดเช่นนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยก็รู้ดีในหัวใจว่าโอกาสที่พวกนางจะได้พบกันในอนาคตข้างหน้านั้นน้อยนิดและมีอยู่ไม่ได้มากนัก ถ้ำเซียนของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอเป็นสถานที่ที่นางสามารถไปได้บ่อยๆ งั้นหรือ
เมื่อกล่าวลากับหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอจึงหันกลับ นางกำลังจะเดินต่อเมื่อนางเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากนางนักด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่
นั่นคือฉินซี
เป็นเวลามากกว่าสองปีที่พวกเขาได้เจอหน้ากันครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ที่พวกเขาแยกจากกันที่ผาลั่วเยี่ยน ถ้าจะนับให้ถูกต้อง ในปีนั้นเมื่อพวกเขาออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิง ท่าทางของฉินซีในวันนั้นดูไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้สายตาที่เขามองนางนั้นยากเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาได้ มันดูเหมือนความรู้สึกระลึกถึงความหลังแต่ในเวลาเดียวกันมันก็ให้สัมผัสที่ห่างเหิน อีกอย่างเขาดูขัดแย้งและมีท่าทางเย็นชา
โม่เทียนเกอหยุดเดิน เหมือนกับสายตาที่เขาจ้องมอง ความรู้สึกของนางยากเกินที่จะบรรยายได้ นางควรทักทายเขาและถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างดีไหม ชั่วขณะหนึ่งนางรู้สึกไม่ชอบใจหากนางไม่ทักทายเขา ความรู้สึกถัดมานางรู้สึกว่าไม่ต้องใส่ใจเขาก็ได้ อย่างไรก็ตาม นางก็ตัดสินใจเดินต่อไป ไปหาฉินซีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ในวินาทีถัดมา อย่างไรก็ตามฉินซีมองลงต่ำหันหลังกลับและเดินหนีไปโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
นางตกตะลึง
เขา… เขาไม่ได้เดินจากไปเพราะเขาไม่เห็นนาง เขาเดินจากไปเพราะเขาไม่ต้องการคุยกับนาง!
หัวใจของนางรู้สึกเหมือนถูกบีบ นางไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพราะนางโกรธ หรือผิดหวังกันแน่
“เทียนเกอ?”
โม่เทียนเกอหันกลับและเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยกำลังมองนางอย่างสับสน คิดว่านางน่าจะเห็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเช่นกัน
หลังจากที่สูดหายใจลึก โม่เทียนเกอยิ้มให้หลัวเฟิงเสวี่ย “ไม่เป็นไร ข้าขอตัวกลับก่อน”
“…ตกลง” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบอย่างไม่มั่นใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังไม่บอกเทียนเกอเกี่ยวกับเรื่องของศิษย์พี่ชิน”
นางไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ในฐานะของคนนอก อีกอย่างเทียนเกอก็เป็นอาจารย์ลุงของนางในตอนนี้แล้ว
หลังจากที่กลับมาถึงถ้ำเซียนใหม่ของนาง โม่เทียนเกอนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นระยะหนึ่ง
ในถ้ำนี้ เครื่องเรือนต่างๆ รวมถึงของเล็กๆ ทั้งหมดนั่นถูกทิ้งไว้จากคนอื่น มันให้ความรู้สึกราวกับว่ามันเต็มไปด้วยอดีตที่ผ่านมาหลายปีซึ่งไม่ใช่ของนาง
เจ้าของคนก่อนหน้านี้บางทีอาจจะเหมือนนาง นั่งที่ตรงนี้ จิบชา พูดคุยกับใครบางคน หรือบางทีอาจแค่ใคร่ครวญอยู่เงียบๆ บางทีเขาอาจจะนั่งสมาธิในห้องฝึกตนและเปิดดูหนังสือเหล่านั้น ลายมือของเขายังคงอยู่บนหน้ากระดาษ ห้องปรุงยา ห้องขัดเกลา ห้องนอน… ร่องรอยของเขายังคงมีให้พบเห็นอยู่ในทุกห้อง
ท้ายที่สุด รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏบนหน้าของนาง นางยืนขึ้น สูดหายใจลึกและเริ่มเก็บของต่างๆ ในห้องเหล่านั้นลงในกระเป๋าเอกภพที่ว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรือหนังสือ ทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของนาง ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่จะเอาของมาแทนที่ทั้งหมด
“อาจารย์ลุงโม่!” เสียงร้องเรียกประหลาดใจดังเข้ามา
โม่เทียนเกอหันไปมองทางที่มาของเสียง ผู้ฝึกตนหญิงสองคนกำลังยืนอยู่ที่ประตู มองนางด้วยความประหลาดใจ
“อะไรรึ มีอะไรผิดปกติหรือ” นางถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“ท่านกำลังทำอะไร”
“จัดถ้ำของข้าไง”
“หา?”
โม่เทียนเกอมองพวกเขาอย่างเย็นชา “อะไร เจ้าเคยบอกว่าข้าสามารถจัดการสิ่งของเหล่านี้ได้ตามที่ต้องการไม่ใช่หรือ ผิดหรือที่ข้าไม่ได้ต้องการมัน”
“นี่…” ผู้ฝึกตนหญิงสองคนมองนาง รู้สึกหมดหนทาง พวกนางพูดเช่นนั้นจริง แต่พวกนางไม่ได้คิดว่าอาจารย์ลุงท่านนี้จะโยนทิ้งของทุกอย่างที่เป็นของอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง!
ตอนที่ 137-1 สตรีจับกลุ่มนินทา น่ารำคาญ!
ถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอมีชื่อว่าตำหนักซ่างชิง [1]
เมื่อโม่เทียนเกอเห็นชื่อ นางก็ค่อนข้างประหลาดใจ นางคิดว่ามันอาจจะเรียกว่าตำหนักว่านฮวา [2] หรือตำหนักไป่เซียง [3] หรืออะไรทำนองนั้นเสียอีก นางไม่ได้คาดคิดว่ามันจะมีชื่อปกติเช่นนี้
ภายในตำหนัก นอกจากประมุขเต๋าจิ้งเหอ มีเพียงแค่ตัวนางและสาวใช้สิบหกคนของเขา สาวใช้พวกนี้ทั้งหมดเป็นผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังจากโรงเรียน เพราะรากวิญญาณของพวกนางธรรมดาและไม่ดีพอที่จะให้ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังรับเข้ามาเป็นศิษย์ พวกนางจึงสมัครใจมาเป็นสาวใช้ของปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะอะไรบางอย่างจากเขา
ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ใช่คนขี้เหนียว ที่จริงสาวใช้ของเขาก็ได้รับคำแนะนำและรางวัลต่างๆ จากเขา ในตอนแรกบางทีสาวใช้พวกนี้อาจจะมาเพื่อหวังก้าวหน้าในการฝึกตน อย่างไรก็ตาม หลังจากรับใช้ชายคนหนึ่งที่หล่อเหลาและสง่างามพร้อมทั้งระดับการฝึกตนสูงมาเป็นเวลานาน พวกนางก็เริ่มจะมีความคิดเพ้อฝันโดยไม่รู้ตัว การทะเลาะเบาะแว้งและชิงดีชิงเด่นระหว่างพวกนางจึงเพิ่มมากขึ้น
ในตอนที่โม่เทียนเกออยู่ในบ่อน้ำเวินหย่าง นางก็ได้เห็นแม่นางเหมย แม่นางหลาน แม่นางจู๋ และแม่นางจู๋ทะเลาะกันมาแล้ว นางไม่ได้คิดมากกับเรื่องนั้น แต่หลังจากนางไปที่ตำหนักซ่างชิง ในที่สุดนางก็รู้ว่าการทะเลาะกันของพวกนางวันนั้นไม่มีอะไรสมควรจะต้องพูดถึงเลย
ในบรรดาสาวใช้สิบหกคน สี่คนถูกตั้งชื่อตามดอกไม้คือเหมย หลาน จู๋ จู๋ [4] สี่คนถูกตั้งชื่อตามศิลปะคือฉิน ฉี ซู ฮว่า [5] สี่คนถูกตั้งชื่อตามฤดูกาลคือชุน เซี่ย ชิว ตง [6] และอีกสี่คนชื่ออวี่ เสวี่ย เฟิง ซวง [7] แต่ละชื่อถูกเลือกมาเองโดยประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งล้วนเป็นชื่อที่เชยมาก
ตามความคาดหมายที่ตั้งไว้จากชื่อพวกนี้ ความจริงที่ว่าถ้ำเซียนแห่งนี้ถูกเรียกว่าตำหนักซ่างชิงทำให้โม่เทียนเกอประหลาดใจมาก
บ้านพักหมิงซินของโม่เทียนเกออยู่ค่อนข้างใกล้กับที่ฉิน ฉี ซู ฮว่าพักอยู่ ชื่อเต็มของพวกนางคือซิ่วฉิน ชิงฉี เสียนซู และไต้ฮว่า โดยรวมแล้วชื่อพวกนางก็ถือว่าค่อนข้างสละสลวยกว่าชื่อเหมย หลาน จู๋ และจู๋ อย่างไรก็ตามวิธีที่พวกนางพูดคุยและปฏิบัติต่อกันนั้นแย่ยิ่งกว่าที่เหมย หลาน จู๋ จู๋ทะเลาะกันเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะระดับการฝึกตนของนางไม่ได้ต่างจากพวกนางมาก สาวใช้เหล่านี้จึงไม่ได้ปฏิบัติกับนางอย่างจริงใจ ถึงแม้พวกนางจะเรียกนางว่า “อาจารย์ลุง” และไม่เคยแสดงให้เห็นเจตนาว่าจะต่อต้านนาง แต่วิธีที่พวกนางพูดและประพฤติต่อนางก็ยังไม่ค่อยมีความเคารพที่นางควรจะได้รับเท่าใดนัก
ด้วยเหตุผลนั้น โม่เทียนเกอจึงวางม่านพลังห้าวิญญาณรอบถ้ำเล็กๆ ของนาง ถ้านางต้องการอะไร นางจะเรียกพวกนางมาโดยการส่งเครื่องรากเรียกขานจากภายนอกม่านพลัง ทั้งหมดทั้งมวลคือนางพยายามจะลดโอกาสที่ต้องติดต่อกับพวกนางให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะนางปิดกั้นสาวใช้พวกนี้ไม่ให้เข้ามาในถ้ำของนาง และอีกอย่างประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ปล่อยให้นางดูแลตัวเอง ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงสบโอกาสได้เข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางเพื่อฝึกตนต่อ
ด้วยศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด การฝึกตนของนางก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว นางเพียงแค่ต้องฝึกตนหกชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลเทียบเท่ากับการฝึกตนทั้งวัน กระนั้นโม่เทียนเกอไม่ได้รีบร้อนฝึกตน ทุกๆ วันนางจะฝึกตนประมาณหกชั่วโมงและหยุดหลังจากนางได้ผลลัพธ์ตามปกติของนาง
นางรู้ดีว่าระดับการฝึกตนของนางเพิ่มขึ้นมาถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังโดยการฝืน ดังนั้นทั้งอารมณ์และดินแดนของนางจึงยังไม่เสถียรดี ถ้านางใจร้อนอยากเห็นผลลัพธ์ขณะที่จิตใจของนางยังไม่นิ่งพอเมื่อเวลานั้นมาถึง นางอาจจะล้มเหลวในการก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและจะต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่นางจะทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปในตอนนี้และวางรากฐานที่หนักแน่นให้ได้เสียก่อน
การจงใจยั้งความเร็วในการฝึกตนของนางยังส่งผลให้การพัฒนาศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางช้าลงไปด้วย ทุกศาสตร์ที่สามารถใช้ได้ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทต้องใช้วิชาฝึกจิตเป็นพื้นฐานของมัน รวมถึงศาสตร์หลอมจิตวิญญาณด้วย ตอนนี้นางอยู่เพียงแค่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แม้ว่าทั้งจิตวิญญาณเริ่มต้นและเส้นลมปราณของนางจะแตกต่างจากพวกผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาทั่วไป แต่ระดับการฝึกตนของนางก็ไม่ควรถูกมองข้าม ถ้าระดับการฝึกตนของนางไม่เพียงพอจะรองรับศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ มันก็อาจจะจบลงที่การสะท้อนกลับและทำร้ายนางได้
ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงใช้เวลาประมาณห้าถึงหกชั่วยามที่นางเหลืออยู่ในหนึ่งวันเพื่อเรียนรู้ทักษะอื่นๆ
ม่านพลัง การปรุงยา การขัดเกลาเครื่องมือ การวาดเครื่องราง ศาสตร์แห่งการรักษา และการช่าง
ในหมู่ทักษะหลากหลายชนิดนับไม่ถ้วน ศาสตร์แห่งการช่างที่ว่านี้คือสิ่งหนึ่งที่พิเศษ ตามตำนานว่าไว้ ในอดีตที่ห่างไกล ตระกูลที่รู้จักกันในนามตระกูลม่อได้ปรากฏกายขึ้นในโลกมนุษย์ ผู้ก่อตั้งของตระกูลคือม่อจื๊อ [8] มีทักษะมากในงานฝีมือ เขาสามารถใช้ท่อนไม้ เหล็กและของอื่นๆ เพื่อสร้างเครื่องจักรที่ทรงพลังอย่างมาก สิ่งประดิษฐ์ของเขาแต่ละอย่างล้วนทรงพลังมากพอที่จะสู้กับศัตรูนับร้อยและปล้นเมืองได้
แน่นอนว่าในโลกแห่งการฝึกตน ทักษะประเภทนั้นไม่จำเป็นและไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็ตาม โลกแห่งการฝึกตนก็มีศาสตร์แห่งการช่างของตัวเอง วัตถุวิญญาณและไม้ค้ำทุกชนิดจะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างหุ่นเชิดซึ่งสามารถรับพลังได้เหมือนกับมนุษย์ผู้ฝึกตน
โชคไม่ดีที่หลังจากโม่เทียนเกอรื้อค้นหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการช่าง นางก็รู้ว่าหุ่นเชิดพวกนี้ต้องใช้ไม้ค้ำเพื่อให้มันเคลื่อนไหวได้ ทุกวันนี้ไม้ค้ำหาได้ยากจึงไม่น่าแปลกว่าทำไมศาสตร์แห่งการช่างถึงได้สูญหายไปด้วย
ฝึกตน เพาะปลูก ฝึกทักษะอื่นๆ … วันเวลาของนางผ่านไปทีละวันเช่นนั้นเอง ขณะที่โม่เทียนเกอเก็บตัวอยู่ในถ้ำเล็กๆ ของนาง นางหมกมุ่นกับการฝึกฝนและการเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่นางเลิกพบเจอคนอื่น
นางไม่รู้ว่าวันเวลาที่โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดายพวกนี้ผ่านไปนานแค่ไหนก่อนที่ท่านอาจารย์แค่ในนามของนางจะจำนางได้ขึ้นมาในที่สุด
โม่เทียนเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังแสดงหน้าตาของศิษย์ที่เชื่อฟังและปล่อยให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอพินิจพิเคราะห์นางอย่างใจเย็น
หลังจากจ้องนางมาสักพัก ในที่สุดประมุขเต๋าจิ้งเหอก็พูดขึ้นมา “แม่นางน้อย เจ้านี่ฉลาดอย่างคาดไม่ถึง แทนที่จะมุ่งมั่นฝึกตน เจ้ากลับลดจังหวะการฝึกตนของเจ้าให้ช้าลง อืม อืม เจ้านี่ฉลาดกว่าไอ้เด็กเหลือขอนั่นเสียอีก!”
ไอ้เด็กเหลือขอ? กลไกในสมองของโม่เทียนเกอทำงาน เขาหมายถึงใครกัน
หลังจากพูดอย่างนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็เอนหลังนอนอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้าจงใจลดความเร็วในการฝึกตนของเจ้า เจ้าคงขี้เกียจทุกวันเลยสิท่า ใช่ไหม”
“…” ข้าไม่ได้ขี้เกียจ! ไม่เลยแม้แต่น้อย! โม่เทียนเกอไม่กล้าพอจะพูดออกไปดังๆ นางเพียงแค่พยักหน้าและจ้องเขาอย่างระมัดระวัง
ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจ ที่จริงเขาไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ เขาปอกองุ่นต่อไปโดยใช้พลังวิญญาณของเขา “งั้นอาจารย์ให้อะไรเจ้าไปทำสักสองสามอย่างดีไหม”
นี่ถือเป็นงานหรือ โม่เทียนเกอจ้องเขาอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเหลือบมองนางและหัวเราะเบาๆ จากนั้นเขาพูดอย่างเป็นมิตร “ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ทำเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า ลองดูตัวเองสิ เจ้ายังมีเวลาอีกหลายปีข้างหน้า มัวเก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำตลอดเวลามันดูไม่ค่อยดีนะ เจ้าว่าไหม”
“ท่านอาจารย์” โม่เทียนเกอพูดหลังจากไตร่ตรองมาแล้ว “ศิษย์รู้สึกว่าชีวิตตอนนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว ศิษย์ชอบที่จะอยู่แบบนี้เจ้าค่ะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเลิกคิ้ว “ส่วนไหนของการอยู่แบบนี้ที่ดีรึ เจ้าไม่ต้องอายหรอก อาจารย์ได้วางแผนทุกอย่างแทนเจ้ามาดีแล้ว! ตามการคำนวณของข้า เวลาที่เจ้าใช้ฝึกตนต้องไม่เกินห้าชั่วยามในทุกวันใช่ไหม ในวันหนึ่งมีสิบสองชั่วยาม ดังนั้นเวลามากกว่าครึ่งก็ยังไม่ได้ใช้ อีกอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องนอนด้วยซ้ำไป แล้วเจ้าจะขี้เกียจไปเพื่ออะไร เพราะอย่างนั้นอาจารย์หาทางแก้ปัญหาให้เจ้าแล้ว ข้าจะให้เจ้าทำงานบางอย่าง!”
“…”
พอเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้าน ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะคิกคักทันที “นั่นล่ะที่ข้าถือว่าเชื่อฟัง! ข้ามีเหตุผลอะไรต้องทำร้ายเจ้ารึ ข้าจะบอกให้นะ นอกจากการฝึกตน สิ่งอื่นก็สำคัญเช่นกัน อาจารย์จะไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอน…”
โม่เทียนเกอถอนหายใจยาว “ท่านอาจารย์ ถ้าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร โปรดพูดมาเถอะเจ้าค่ะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอาหยกบันทึกออกมาทันที เขากล่าว “เจ้าแค่ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เขียนอยู่ในนี้ทุกวัน ทำให้เสร็จในเวลาที่กำหนดแล้วก็จบกัน”
โม่เทียนเกอใส่จิตสัมผัสลงไปในหยกบันทึกด้วยความสงสัย ไม่นานหลังจากนางทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม นางแทบกระอักเลือดออกมาตรงนั้น
ยามอิ๋น เก็บน้ำค้าง
ยามเหม่า ดูแลพืชวิญญาณ
ยามเฉิน ดูแลสัตว์วิเศษ
ยามซื่อถึงยามอู่ ให้โอวาท เทศนา
จากเวลาว่างเจ็ดชั่วยามที่นางมี ห้าชั่วยามถูกใช้ไปจนหมดกับการแบ่งงานของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่ในนั้นคือสิ่งที่มักจะทำโดยสาวใช้ของเขา!
อาจารย์ท่านนี้กำลังพยายามทำอะไรกัน เขาต้องการให้เรายุ่งทุกวันอย่างนั้นหรือ
“ท่านอาจารย์” สีหน้าของนางหม่นหมองลงเล็กน้อย “พวกนี้… ไม่มากเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ”
“มาก?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด “ย้อนไปสมัยนั้น สิ่งที่เสวียนอิน ชิงหย่วน และไอ้เด็กพวกนั้นต้องทำเมื่อพวกเขาเข้ามาเป็นศิษย์ของข้าตอนแรกนั้นยิ่งกว่านี้เสียอีก สิ่งที่เจ้ากำลังจะทำเทียบไม่ได้เลยกับพวกเขา!”
“ข้า…” ก็ได้! ศิษย์มีพันธะที่ต้องคอยรับใช้ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตาม อาจารย์ก็มีพันธะที่ต้องสอนศิษย์ของพวกเขา อาจารย์ท่านนี้ไม่เคยสอนอะไรนาง แล้วจะเอาอะไรมาเป็นหลักว่านางต้องทำตามหน้าที่ในฐานะศิษย์ด้วยละ
เมื่อเขาเห็นว่านางยังนิ่งเงียบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอร้อนรุ่มด้วยความโกรธ “มีศิษย์คนอื่นแบบเจ้าอีกไหม? ข้าแค่บอกให้เจ้าทำไม่กี่อย่างแต่เจ้ากลับไม่เต็มใจ! ปีนั้นเสวียนอินและคนอื่น…”
“ตกลงๆ” โม่เทียนเกอพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าจะทำทุกอย่างตามที่ท่านอาจารย์บอก”
“ต้องมีทัศนคติแบบนี้สิ…”
นางเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อรับมือกับงานกองโตที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอสั่งให้นางทำ อันที่จริงการไม่ทำตามคำสั่งนั้นตัดไปได้เลย นางกล้าจะขัดคำสั่งของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่งั้นหรือ
ทว่าบางสิ่งที่จะทำให้นางหดหู่ยิ่งกว่าเดิมได้รออยู่แล้ว
นางอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แต่สาวใช้พวกนั้นที่ถูกนางแย่งงานได้แสดงความไม่พอใจให้นางรู้อย่างไม่ลังเล
“เอ้านี่!” สาวใช้คนที่ก่อนหน้านี้รับหน้าที่เก็บน้ำค้างโยนขวดหยกสำหรับใส่น้ำค้างและแท่งหยกสำหรับกลั่นน้ำค้างมาให้นาง ด้วยสีหน้าเฉยเมยและค่อนข้างดูหมิ่น นางพูดว่า “ท่านปรมาจารย์ชอบน้ำค้างที่ควบแน่นในระหว่างสี่สิบห้านาทีแรกของยามขาล [9] ถ้าเวลาไม่พอดีแม้แต่วินาทีเดียว เขาจะไม่ต้องการน้ำค้างนั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันต้องมาจากพืชวิญญาณที่สะอาดและหอม ถ้าน้ำค้างมีกลิ่นแปลกๆ ท่านปรมาจารย์จะโมโหแน่นอน เดี๋ยวท่านก็รู้เอง”
โม่เทียนเกอรับอุปกรณ์จากนั้นหันกลับและเดินหนีไปทันทีเพราะนางขี้เกียจเกินกว่าจะขอบคุณสาวใช้คนนั้น
แต่นางก็ยังได้ยินสาวใช้สองคนข้างหลังนางพูดคุยกันเสียงดัง
“หมิงเซี่ย เจ้าจะทำอะไรต่อไปล่ะในเมื่อตอนนี้งานของเจ้าถูกคนอื่นทำแทนแล้ว”
สาวใช้คนที่คุยกับโม่เทียนเกอก่อนหน้านี้พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ท่านปรมาจารย์สั่งแล้ว ข้าจะทำอะไรได้เล่า ถ้าข้าไม่มีอะไรทำงั้นข้าก็จะไม่ทำอะไร ที่จริงแล้วข้าจะได้มีเวลาฝึกตนมากขึ้น ข้าสับสนมาก นางเป็นศิษย์ในขณะที่เราเป็นสาวใช้ ทำไมนางต้องมาขโมยงานที่เรามีหน้าที่รับผิดชอบไปด้วยนะ”
“ฮึ่ม! เจ้าไม่ได้คิดหรือว่าท่านปรมาจารย์ของเราเป็นคนแบบไหน ไม่ว่าดีหรือร้ายเขาก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง แม้แต่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่คุกเข่าและขอร้องเขายังไม่ถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ของเขา ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่ไม่สำคัญอะไรเลย! ตอนนี้ถ้านางมีสถานะเป็นศิษย์เขาแล้วจะทำไมล่ะ นางก็ยังถูกปฏิบัติเหมือนกับพวกเราอยู่ดี…”
“เจ้าพูดถูก ข้าได้ยินว่าท่านปรมาจารย์รับนางเป็นศิษย์ของเขาก็เพียงเพราะมีความขัดแย้งกันกับกลุ่มการฝึกตนอื่น ก็แค่วิธีจัดการชั่วคราวเท่านั้น ใครบางคน… ไม่ควรหลงผิดไปว่านางได้ขึ้นไปถึงฟากฟ้าขึ้นมาจริงๆ!”
“นี่ เจ้าไม่ควรพูดแบบนั้นนะ! ศิษย์สุดท้ายแล้วก็คือศิษย์ เราเป็นแค่สาวใช้ ถ้าเราทำให้นางไม่พอใจ ท่านปรมาจารย์อาจจะไม่อยากให้คำชี้แนะกับพวกเราอีกแล้วก็ได้ อีกอย่าง ท่านปรมาจารย์บอกว่านางจะมาให้โอวาทกับพวกเราวันนี้ไม่ใช่หรือ”
“ใช่ เราไม่ควรไปสาย…”
โม่เทียนเกอกัดฟัน แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินหรือเห็นอะไร
การซุบซิบนินทาจะสำคัญอะไร มันไม่ได้ทำให้นางเสียแม้แต่เนื้อก้อนหนึ่งด้วยซ้ำ! แต่บางสิ่งที่พวกนางพูดทำให้นางประหลาดใจเข้าจริงๆ อาจารย์คนนั้นของนางให้โอวาทกับสาวใช้ของเขาอย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆ ที่เขาไม่ให้คำชี้แนะนางแม้แต่นิดเดียวและถึงขนาดยอมเลิกพิธีการบูชาของอาจารย์กับศิษย์อีกด้วย!
——
[1] ซ่างชิง (上清) หมายถึงสวรรค์/ท้องฟ้า แต่ยังหมายถึงหลิงเป่าเทียนจุนหรือเหนือวิสุทธิ์ หนึ่งในตรีวิสุทธิเทพ (三清) ในศาสนาเต๋าอีกด้วย
[2] ว่านฮวา (万花) ว่าน หมายถึงหนึ่งหมื่น ฮวา หมายถึงดอกไม้ ตำหนักว่านฮวาจึงหมายถึงตำหนักหมื่นบุปผา
[3] ไป่เซียง (百香) ไป่หมายถึงหนึ่งร้อย และเซียงหมายถึงกลิ่นหอม ดังนั้นตำหนักไป่เซียงจึงหมายถึงตำหนักแห่งกลิ่นหอมนับร้อย
[4] เหมย (梅) , หลาน (兰) , จู๋ (竹) , จู๋ (菊) คือ ดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ดอกไผ่ และดอกเก๊กฮวย
[5] ฉิน (琴) , ฉี (棋) , ซู (书) , ฮว่า (画) คือ พิณ โกะ ตัวอักษร ภาพวาด
[6] ชุน (春) , เซี่ย (夏) , ชิว (秋) , ตง (冬) คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว
[7] อวี่ (雨) , เสวี่ย (雪) , เฟิง (风) , ซวง (霜) คือ ฝน หิมะ ลม น้ำค้างแข็ง
[8] ม่อจื๊อ (墨子) คือนักปราชญ์ชาวจีนในยุคปรัชญาเมธีร้อยสำนัก (ต้นยุครณรัฐ) เขาตั้งสถาบันแห่งลัทธิม่อจื๊อที่เป็นปฏิปักษ์อย่างแรงกับลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า ปรัชญาของเขาเน้นการยับยั้งชั่งใจ ประเมินตนเอง และความชอบธรรมมากกว่าทำตามพิธีกรรม
ตอนที่ 137-2 สตรีจับกลุ่มนินทา น่ารำคาญ!
เมื่อเวลาสามเค่อแรกของยามอิ๋นหมดลงและนางเก็บน้ำค้างเสร็จ โม่เทียนเกอก็รีบกลับไปยังตำหนักซ่างชิงเพื่อดูแลพืชวิญญาณ
ครั้งนี้สาวใช้ที่ส่งต่องานให้นางคือสองคนจากสี่คน อวี่ เสวี่ย เฟิง ซวง นั่นคือเหวยอวี่และชิงเสวี่ย
สองคนนี้ตรงไปตรงมาพอๆ กัน พวกนางแค่โยนหยกบันทึกที่ประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการแบ่งประเภทพืชวิญญาณให้นางและหันกลับไปดื้อๆ เมินนางโดยสิ้นเชิง
โม่เทียนเกอต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าใจหมดว่าจะจัดการกับพืชวิญญาณแต่ละชนิดอย่างไร ขณะนั้นเอง สาวใช้ทั้งสองคนก็มองนางอยู่ด้านข้าง ทั้งล้อเลียนและเยาะเย้ยนาง
“ชิงเสวี่ย ปิ่นปักผมของเจ้าดีใช้ได้ มันคือเครื่องมือเวทรึ?”
“ท่านปรมาจารย์มอบให้ข้าเมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านปรมาจารย์บอกว่าผิวของข้าขาว เพราะอย่างนั้นข้าจะดูสวยมากกับปิ่นปักผมหิมะเขียวอันนี้ ถ้าข้าเจอเข้ากับการต่อสู้ด้วยพลังเวท ข้าสามารถใช้มันปกป้องตัวเองได้”
“ข้าได้รางวัลมาเหมือนกัน ดูเชือกผูกผมนี่สิ! ท่านปรมาจารย์บอกว่าหญิงสาวต้องดูสวยเพื่อจะได้น่ามองและน่าพึงใจ การใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนสีหม่นและไม่มีปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับผมอยู่บนหัวเรา… ช่างไร้รสนิยม!”
“ใครจะไม่เห็นด้วย? ครั้งสุดท้ายเมื่อเราไปที่เขาเทียนหัว ท่านปรมาจารย์ก็ได้มอบเสื้อผ้าให้ศิษย์พี่จ้านแห่งยอดเขาจิตสันโดษทันทีหลังจากที่เขาเห็นนางไม่ใช่หรือ? ในฐานะสาวใช้ เรามีหน้าที่รับใช้ท่านปรมาจารย์เสมอ ดังนั้นเราต้องแต่งตัวให้สวยยิ่งกว่าคนอื่นๆ”
“แต่นี่มันแปลกจริงๆ ไม่ใช่ว่าท่านปรมาจารย์ไม่เคยรับศิษย์ผู้หญิงมาก่อนเสียหน่อย อาจารย์ลุงซู่ซินก็เป็นคนสวยโดดเด่น… ทำไมจู่ๆ ตอนนี้เขาถึงรับคนไม่น่าจดจำเข้ามานะ”
“โอ๊ย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นจะสามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้หรือไม่ ลองคิดดูสิ ด้วยหน้าตาแบบนั้นของนาง ท่านปรมาจารย์จะทำอะไรได้อีก”
“เจ้าพูดถูก” สาวใช้ทั้งสองคนปิดปากหัวเราะคิกคัก
โม่เทียนเกอเล็มกิ่งไม้ จับแมลง และรดน้ำต้นไม้อย่างเฉื่อยๆ จนเสร็จ จากนั้นจึงออกไปทันทีหลังจากตั้งกำแพงอาคมที่สวนสมุนไพรเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดท้องฟ้าก็เริ่มสว่างเพราะขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว นางออกไปทางภูเขาด้านหลังที่อยู่หลังถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอ
ใส่ชุดเครื่องแบบสำนักสีหม่น? ไม่มีปิ่นปักผมหรือเครื่องประดับผม? หน้าตาแบบนั้น? โม่เทียนเกอพ่นเสียง ‘ฮึ่ม’ ออกทางจมูก
ชุดเครื่องแบบสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคือชุดคลุมสีน้ำเงินที่มีแขนเสื้อสีขาว ตรงส่วนไหนหรือที่ดูหม่น? ศิษย์หัวกะทิอย่างหันชิงอวี้ หลัวเฟิงเสวี่ย และเยี่ยจิ่งเหวินก็ล้วนใส่ชุดเครื่องแบบนี้ แม้แต่ศิษย์พี่เสวียนอินและคนอื่นๆ ก็ใส่ชุดเครื่องแบบเช่นนี้เหมือนกัน! ปิ่นปักผมและเครื่องประดับผม? ตอนนี้นางมัดผมเป็นมวยผมแบบชาวลัทธิเต๋า เพราะงั้นนางจะต้องการปิ่นปักผมและเครื่องประดับผมไปเพื่ออะไร? ศิษย์พี่ซู่ซินก็มีลักษณะที่เรียบง่ายและเรียบร้อยเหมือนกัน! พวกนางยังกล้าจะพูดว่านางมีหน้าตาแบบนี้ โม่เทียนเกอไม่ได้คิดว่านางสวยขนาดเทพธิดาอะไร แต่อย่างน้อยนางก็สวยกว่านางพวกนั้นทั้งหมดแล้วกัน!
นางเดินไปทางคอกสัตว์วิเศษที่ภูเขาด้านหลังด้วยความโกรธอย่างรุนแรง ครั้งนี้คนที่รอนางอยู่คือฉิน ฉี ซู ฮว่า
การเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ประมุขเต๋าจิ้งเหอจึงมีสัตว์วิเศษอยู่มากมายเป็นปกติ คอกนี้เต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่ระดับสองถึงหก ตามที่ว่ากันคือมีสัตว์วิเศษในระดับสูงยิ่งกว่านี้ซึ่งเขาดูแลด้วยตัวเอง ถึงอย่างนั้นสัตว์วิเศษระดับห้าก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว พวกนางทั้งหมดอยู่แค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นพวกนางจึงต้องดูแลมันด้วยกันเพื่อป้องกันการเกิดเหตุอะไรขึ้น
“อาจารย์ลุงโม่ ข้าเชื่อว่าท่านปรมาจารย์ได้ให้แผ่นจารึกกับท่านเพื่อผ่านกำแพงอาคมของคอกสัตว์วิเศษแห่งนี้แล้ว ดังนั้นเราจะให้วิธีการใช้ที่เรามีเป็นการอ้างอิง” ซิ่วฉินกล่าวขณะที่นางให้หยกบันทึกกับโม่เทียนเกอ
อารมณ์ของโม่เทียนเกอดีขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็มีกลุ่มที่ไม่ได้ทำให้นางขุ่นเคืองใจ
แต่นางไม่ได้เห็นเสียนซูที่สายตาหลุกหลิกไปมาและไต้ฮว่าที่กำลังเหลือบมองกันอยู่
ด้วยความเข้าใจที่รู้กัน สาวใช้ทั้งสี่แค่มองโม่เทียนเกอโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากรับหยกบันทึก โม่เทียนเกออ่านเนื้อหาให้เสร็จอย่างเร็ว สัตว์วิเศษไม่ใช่พืชวิญญาณ แค่เลี้ยงมันอย่างผิวเผินก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างในคอกนี้ก็มีแค่สัตว์ประมาณสิบกว่าตัวเท่านั้น
เมื่อนางอ่านจบ นางเตรียมอาหารสัตว์และหญ้าแห้งทุกชนิดทันที ไม่นานหลังจากนั้นนางใช้แผ่นจารึกที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอให้นางไว้เพื่อเปิดกำแพงอาคมบนประตูสู่คอกสัตว์วิเศษ
ภายในนั้นมีสัตว์วิเศษระดับสองสามตัว ระดับสามสามตัว ระดับสี่หนึ่งตัว ระดับห้าสองตัว และระดับหกหนึ่งตัว
นางให้อาหารพวกมันเป็นลำดับเรียงตามระดับของมันและสุดท้ายก็ไปถึงที่ที่สัตว์วิเศษระดับห้าอยู่
สิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่คือพฤษภย่ำเวหาระดับห้าที่มีเขามโหฬารซึ่งว่ากันว่าทรงพลังมากขนาดเหยียบขึ้นฟ้าและทำให้พื้นดินแตกแยกได้ ตามที่เขียนไว้ในหยกบันทึก นางเปิดกำแพงอาคมที่อยู่ด้านนอกสุดและวางหญ้าแห้งไว้บนพื้น
ขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับและออกไป กำแพงอาคมด้านในอยู่ดีๆ ก็ส่องประกายวูบวาบ ทันใดนั้นเอง พฤษภย่ำเวหาส่งเสียงคำราม “มอ” ขึ้นฟ้า ขาหลังของมันตะกุยพื้นและในวินาทีถัดมามันก็พุ่งเข้าชนกำแพงอาคม
กำแพงอาคมกะพริบก่อนที่มันจะหายวับไปทั้งหมด
โม่เทียนเกอหันกลับไปและทันทีหลังจากที่นางได้ยินเสียงมออย่างดังของมัน อย่างไรก็ตาม นางเห็นมันพุ่งมาทางนางได้ครึ่งทางแล้ว นางรีบเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง ทำให้กำแพงอิฐตกลงมาข้างหน้านางและสกัดกั้นพลังเขาของมันไว้ได้
หลังจากนั้นนางยื่นมือออกไปคว้าผ้าเช็ดหน้าไหมขาวซึ่งกลับไปเป็นรูปร่างเดิมและดันตัวเองเข้าหามัน จากนั้นนางเหาะหนีไปที่ทางออกขณะที่จ้องอย่างเกรี้ยวกราดไปที่ฉิน ฉี ซู ฮว่าที่กำลังยืนอยู่ข้างคอก
สี่คนนี้ไม่เสียเวลามาเยาะเย้ยนางเพราะพวกนางวางแผนให้บทเรียนสั่งสอนนานเช่นนี้ไว้นานแล้ว!
แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลามาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะพฤษภย่ำเวหากำลังไล่ตามนางอยู่ มันวิ่งคุ้มคลั่งแต่เขาของมันนั้นมุ่งตรงมาหานาง
ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวแสดงศักยภาพความเร็วขั้นสูงสุดของมัน หลังจากใช้มันเพื่อหนีจากการโจมตีของสัตว์ปีศาจระดับห้าเมื่อนานมาแล้ว การควบคุมมันก็ยิ่งแม่นยำและราบรื่น ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายแม้แต่น้อย
พลังของพฤษภย่ำเวหาอยู่ในพละกำลังแบบสัตว์ป่าของมัน แต่ความเร็วของมันไม่ได้ดีนัก เพราะนางควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางอย่างเต็มที่ การหลบหลีกมันจึงไม่ได้ยากเย็น อย่างไรก็ตาม การจับและเอามันกลับเข้าไปในกำแพงอาคมคงจะไม่ง่ายเท่าใดนัก แน่นอนว่านางสามารถล่อวัวตัวนี้ไปทางด้านหน้าและขอให้ประมุขเต๋าจิ้งเหอช่วยชีวิตนาง แต่นั่นก็จะทำให้นางดูไร้ความสามารถไม่ใช่รึ
โม่เทียนเกอถอยอย่างเร็ว ทันใดนั้นตะเกียงก็ปรากฏขึ้นในมือนาง
ตะเกียงนั้นลอยขึ้นสูงเหนือหัวและส่องแสงสว่างจ้า โม่เทียนเกอส่งพลังวิญญาณเข้าไปในนั้น ทำให้แสงของมันส่องไปที่ตัวของพฤษภย่ำเวหา
ทันทีที่พฤษภย่ำเวหาเริ่มช้าลง โม่เทียนเกอขว้างแผ่นม่านพลังและศิลาวิญญาณออกไป
ม่านพลังหลงทิศ!
ตะเกียงเสน่ห์ที่นางไม่เคยใช้มาก่อนรวมกับม่านพลังหลงทิศ ในชั่วพริบตาพฤษภย่ำเวหาก็ถูกมนตร์สะกด พลังวิญญาณของมันแข็งแรงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะอย่างนั้นตะเกียงเสน่ห์และม่านพลังหลงทิศจึงทำได้เพียงสกัดกั้นมันไว้แค่ครู่เดียวสั้นๆ อย่างไรก็ตาม ครู่เดียวสั้นๆ ก็เป็นเวลาที่เพียงพอแล้วสำหรับโม่เทียนเกอ
สัตว์วิเศษก็มีจิตสัมผัสเช่นกัน ภายในม่านพลังหลงทิศ สัตว์วิเศษจะใช้จิตสัมผัสของมันตามสัญชาตญาณเพื่อมองสำรวจสภาพรอบๆ ตัว นี่จะเป็นโอกาสของโม่เทียนเกอ!
นางใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเพื่อควบคุมจิตสัมผัสของนางและลงมืออย่างไม่ปรานี
พฤษภย่ำเวหาร้องมอเสียงดังและกระโดดขึ้นกะทันหัน
ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวแสดงกำลังของมันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้แทนที่จะปกป้องนาง กำแพงอิฐกลับกระแทกเข้าใส่พฤษภย่ำเวหา
พอเห็นพฤษภย่ำเวหาล้มลง โม่เทียนเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้ในที่สุด นางไม่มีเครื่องมือเวทอันไหนที่มีพลังโจมตีมากพออยู่ในครอบครอง มีเพียงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเท่านั้นซึ่งเป็นอาวุธเวทที่สามารถทำให้พฤษภย่ำเวหาบาดเจ็บได้ เมื่อรวมกับการโจมตีแบบเฉพาะตัวและปุบปับของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ สุดท้ายนางก็สามารถทำให้พฤษภย่ำเวหาหยุดนิ่งได้ชั่วคราว
หลังจากเอาพฤษภย่ำเวหากลับไปเข้าที่เดิมของมันในคอกสัตว์วิเศษ โม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคมและเดินออกมาจากคอก นางมองอย่างเยือกเย็นไปที่ฉิน ฉี ซู ฮว่าผู้ที่ยืนดูจากฝั่งข้างมาตั้งแต่ต้น
นางเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อพฤษภย่ำเวหาพุ่งออกมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งสี่คนนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกนางเตรียมแผนเล่นงานนาง! ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีศาสตร์หลอมจิตวิญญาณและสมบัติหลายอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่มีกำแพงอาคมที่จำกัดพลังของพฤษภย่ำเวหาตัวนั้น บางทีนางอาจจะตายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ได้!
เมื่อทั้งสี่คนมองนางในตอนนี้ พวกนางไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอีกต่อไป รอยยิ้มเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยความกลัว
จากชั่วขณะที่พฤษภย่ำเวหาทลายกำแพงอาคมออกมาจนถึงตอนที่โม่เทียนเกอล้มมันได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นแค่ในเวลาไม่กี่วินาที ทุกคนต้องประหลาดใจที่ผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังสามารถปราบสัตว์วิเศษระดับห้าได้! ถึงแม้ว่าเหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลังของพฤษภย่ำเวหาถูกจำกัดไว้โดยกำแพงอาคมของที่นี่ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกนางทุกคนต้องทึ่ง!
พวกนางรู้สึกไม่พอใจจึงอยากจะยืมพลังของสัตว์ระดับห้าเพื่อสั่งสอนอาจารย์ลุงคนนี้ให้ได้บทเรียน ทั้งที่เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหมือนกับพวกนาง แต่นางกลับได้รับความกรุณาจากท่านปรมาจารย์ สถานที่นี้มีกำแพงอาคมและพวกนางก็ยืนเตรียมพร้อมอยู่ด้วย ดังนั้นพวกนางจึงไม่คิดว่านางจะถึงตาย แต่นางก็อาจจะลงเอยด้วยการบาดเจ็บสาหัส พวกนางไม่กลัวทำท่านปรมาจารย์โกรธเพราะเรื่องนี้เนื่องจากท่านปรมาจารย์ไม่ชอบคนไร้ประโยชน์และไร้ความสามารถ ตราบใดที่พวกนางยังรักษาชีวิตนางไว้ได้อยู่ ท่านปรมาจารย์ก็จะไม่โทษพวกนาง
อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่เคยคิดเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาที สัตว์ระดับห้าจะสามารถถูกปราบได้ง่ายดายขนาดนั้น
โม่เทียนเกอเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา นางถือผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไว้ในมือข้างหนึ่งและกระสวยอัปสราในมืออีกข้าง “ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนดูเหมือนจะยังไม่เชื่อ งั้นเราก็ควรจะสู้กันให้รู้เรื่องไป! พวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกันก็ได้ ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าทุกคนเห็นว่าทำไมข้าถึงเป็นศิษย์และพวกเจ้าเป็นสาวใช้!”
ฉิน ฉี ซู และฮว่าตอนแรกยังมีความกลัวอยู่บนใบหน้าบ้าง แต่หลังจากได้ยินคำพูดของนาง พวกนางต่างมองกันขณะที่ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นในใจ ใช่ พวกนางไม่เชื่อ ความสามารถตามธรรมชาติของพวกนางอาจจะด้อยกว่านิดหน่อย แต่ระดับการฝึกตนของพวกนางไม่ได้ต่ำ พวกนางยังมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางอยู่ในกลุ่มด้วย มันเรื่องอะไรกันที่พวกนางต้องเรียกผู้ฝึกตนจากดินแดนเดียวกับตัวเองว่า “อาจารย์ลุง” และต้องแจ้งนางทุกเรื่องที่ตำหนักซ่างชิง?
“สหายศิษย์ ในเมื่ออาจารย์ลุงพูดแล้ว งั้นมาเล่นกันเถอะ!”
ตอนที่ 138-1 ปัญหาที่ต่อเนี่องกับวันท...
ระหว่างกลุ่มสาวใช้ นอกจากซิ่วฉินผู้ซึ่งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ที่เหลือล้วนอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งนั้น ความฉลาดในการเรียนรู้นั้นอยู่ระดับกลางๆ และพวกนางก็ไม่ได้มีผู้อุปถัมภ์คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ความจริงพวกนางนับได้ว่าโชคดีแล้วที่สามารถผ่านเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพวกนางจะได้รับคำชี้แนะจากผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าสู่ขั้นกลางได้
พวกนางคงอยู่ข้างปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่และคอยรับใช้เขาอยู่เป็นเวลานาน พวกนางได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มามากมาย ดังนั้นความหยิ่งทะนงของพวกนางจึงมากเกินไป ตอนนี้โม่เทียนเกอเหยียดหยามพวงนางเป็นอย่างมาก คงเป็นเรื่องปกติที่พวกนางจะโกรธจัด
เมื่อถึงเวลาที่ซิ่วฉินพูดจบ ชิงฉีได้หยิบเครื่องมือเวทของนางออกมาเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เสียนซูและไต้ฮว่าทั้งคู่ต่างขึ้นไปยืนบนเครื่องมือเวทบินได้และกำลังเข้าสู่ตำแหน่งต่อสู้
โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว ด้วยการจัดตำแหน่งของพวกนาง ดูเหมือนว่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับต่อสู้ด้วยพลังเวทบ้าง ดังนั้นพวกนางก็ไม่ได้โง่เง่าเท่าไหร่นัก แต่ถ้าพวกนางไม่ใช่คนโง่แล้วจะทำไมละ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน ล้วนเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่ไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ด้วยพลังเวทมาก่อน ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวลเลย
ถึงแม้ว่าทั้งสี่คนจะยืนประจำตำแหน่งแล้ว พวกนางก็ไม่ได้โจมตีในทันที มันเหมือนกับว่าพวกนางรอให้นางเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
โม่เทียนเกอยิ้มเยาะ และยกมือทั้งสองของตัวเองขึ้น เมื่อกระสวยอัปสราพุ่งตรงเข้าหาซิ่วฉิน โม่เทียนเกอก็ก้าวขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและบินออกไปจากจุดที่นางอยู่ในพริบตา
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอลงมือ ฉิน ฉี ซู และฮว่าต่างหยิบเครื่องมือเวทของตัวเองออกมา บ้างก็เป็นตะกร้าดอกไม้ในขณะที่คนอื่นเป็นเชือกผูกผม พูดสั้นๆ ก็คือของเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นของสวยงามที่ผู้หญิงมักจะชอบทั้งนั้น
โม่เทียนเกอไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่นางก็มีความเคยชินที่ดี คือไม่ว่าคู่ต่อสู้ของนางจะเป็นใคร นางจะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความระมัดระวังเมื่อเริ่มต่อสู้กัน
กระสวยอัปสราเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองเพื่อกักขังซิ่วฉิน ผู้ที่ยกคทาหยกหรูอี้ขึ้นมาในทันที คทาหยกหรูอี้ส่องแสงสว่างวาบและป้องกันการโจมตีของโม่เทียนเกอ ในขณะที่อีกสามคนเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการโจมตีโม่เทียนเกอทีละคน ทีละคน
โม่เทียนเกอไม่แม้แต่จะชำเลืองมองพวกนาง นางเพียงแค่โบกมือเพื่อเรียกกระสวยอัปสรากลับคืนและในวินาทีถัดมานางก็เคลื่อนไหวจากจุดเดิม
เมื่อนางเริ่มโจมตี โม่เทียนเกอได้มีความคิดบางอย่างภายในใจ ทั้งสี่คนนี้มีเครื่องมือเวทที่ค่อนข้างดี แต่พวกนางไม่ได้มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก ที่น่าจะเป็นไปได้คือในเมื่อพวกนางมักอยู่เคียงข้างประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อผู้ฝึกตนหญิงส่วนมากไม่ชอบการต่อสู้ ความรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยพลังเวทก็คงมาจากการอธิบายของประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอ
นี่คงทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายขึ้นมากสำหรับโม่เทียนเกอ ตั้งแต่ที่นางมาที่คุนอู๋ นางได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ที่ร้ายแรงจำนวนมาก ในตอนแรก นางเพียงแค่ติดตามท่านอาที่สอง แต่นางก็ได้มีการต่อสู้ของตัวเองในภายหลัง ทั้งสี่คนนี้ไม่สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์อันตรายอย่างที่นางเคยเผชิญได้เลย สิ่งที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ด้วยพลังเวทไม่ใช่ระดับการฝึกตนหรือเครื่องมือเวท ในช่วงแห่งความเป็นความตายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสัญชาตญาณช่วงเวลาสุดท้ายและนี่เป็นสิ่งที่มาจากการสะสมประสบการณ์ คู่ต่อสู้ที่ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้นั้นจัดการได้ง่ายที่สุด เพราะต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าต้องทำอะไรตรงจุดนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้
หลังจากปล่อยการโจมตีระยะหนึ่งเพื่อทดสอบพวกนาง โม่เทียนเกอจึงหยิบตะเกียงเสน่ห์ออกมา ถ้าผู้ฝึกตนที่มีประสบการณ์ได้เคยเห็นกับตาแล้วว่าพฤษภย่ำเวหามีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากที่นางหยิบตะเกียงนี้ออกมา พวกเขาจะต้องรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเครื่องมือเวทที่ส่งผลต่อสภาวะทางจิตและพวกเขาจะไม่เป็นอะไรหากเว้นระยะห่างออกจากมัน นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมอาวุธเวทประเภทนี้จึงไม่ค่อยถูกใช้ในการต่อสู้กับผู้ฝึกตนผู้ที่เก่งกาจในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตามทั้งสี่คนนี้ไม่ได้รู้ถึงอะไรเลย พวกนางยังคงจดจ่ออยู่กับเครื่องมือเวทของตัวเอง
ตะเกียงเสน่ห์ลอยขึ้นและเปล่งแสงสว่างวาบออกมา โม่เทียนเกอรวบรวมพลังทางจิตวิญญาณของนางและส่งไปยังตะเกียง เพื่อชี้นำให้แสงส่องลงไปยังผู้คนเบื้องล่างอย่างช้าๆ
ฉิน ฉี ซู ฮว่ารู้สึกโดยทันทีว่าการมองเห็นของพวกนางมืดลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าหายไปจากสายตา ทำให้พวกนางตื่นตระหนกในทันที
ทันใดนั้น แสงสีทองก็ปรากฏอยู่บนหัวเสียนซูและในพริบตามันก็ปกคลุมนางทั้งร่าง
“อ่า!”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของสหายสนิท อีกสามคนที่เหลือต่างตื่นกลัว ซิ่วฉินผู้ที่ประหม่ามากกว่าคนอื่นตะโกน “นี่ท่านกล้าฆ่าพวกข้าเชียวหรือ!”
อย่างไรก็ตาม คำตอบที่นางได้รับคือเสียงร้องที่ทุกข์ทรมานของชิงฉี ชิงฉีกำลังต่อสู้กับกระบี่บินได้และตะกร้าดอกไม้ของนางกำลังจะได้เปรียบแต่เพียงแค่ชั่วขณะที่นางกำลังพึงพอใจ เข็มบินได้หลายเล่มก็ปรากฏออกมาด้านข้างและทิ่มแทงไปที่ร่างกายของนาง
ถัดมาก็ไต้ฮว่า สิ่งที่โม่เทียนเกอใช้กับนางคือกระสวยอัปสราแต่ในครั้งนี้นางใช้มันเพื่อวางม่านพลังสี่เหลี่ยมซึ่งกักขังไต้ฮว่าไว้ด้านใน
“ท่านอาจารย์ลุงโม่!” หลังจากที่ได้ยินสหายศิษย์กรีดร้องต่อๆ กันมา ซิ่วฉินไม่สามารถช่วยได้นอกจากตะโกน “ถึงแม้ท่านจะเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์ การฆ่านั้นถือว่าเป็นการฝ่าฝืน!”
หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น ฉากดำมืดก็สว่างขึ้นทันที
โม่เทียนเกอบินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็นบนใบหน้า “ฝ่าฝืนงั้นรึ พวกเจ้าทั้งหลายต่างก็รู้ว่าข้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ แล้วทำไมถึงพยายามจะฆ่าข้า”
รอยยิ้มของโม่เทียนเกอทำให้ซิ่วฉินสั่นเทา แต่นางก็ยังคงให้คำตอบ “พวกข้าไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าท่าน พวกข้าต้องการที่จะ…”
“ให้บทเรียนแก่ข้า ข้าพูดถูกไหม” โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อ สิ่งที่ดูเหมือนพลังทางจิตวิญาณลอยออกมาและพุ่งลงไปสู่ ชิงฉี เสียนซู และไต้ฮว่าผู้ซึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้น แม้พวกนางจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพียงแผ่วเบา แต่พวกนางก็ยังไม่ตาย
ซิ่วฉินตะโกน “ท่านอาจารย์ลุง!” มันมีทั้งความหวาดกลัวและโกรธในน้ำเสียงของนาง นางหวาดกลัวเพราะถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับทั้งสามคน นางในฐานะผู้นำจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบอย่างแน่นอน สำหรับความโกรธ เป็นเพราะโม่เทียนเกอดูเหมือนจะไม่ได้สนใจความจริงที่ว่าพวกนางเป็นสาวใช้ของท่านปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อย!
โม่เทียนเกอไม่สะทกสะท้าน นางเพียงแค่ชำเลืองมองอย่างรังเกียจที่ซิ่วฉินหลังจากนั้นจึงหันกลับและเดินกลับเข้าไปในคอกสัตว์วิเศษ “ข้าไม่สามารถทำตัวสะดีดสะดิ้ง แต่เจ้าก็ไม่สามารถต่อสู้ได้! ถ้าทั้งหมดที่พวกเจ้ามีคือทักษะเพียงน้อยนิดเช่นนี้ อย่ามาทำอุจาดตาต่อหน้าข้า!”
โม่เทียนเกอพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ซิ่วฉินก็ไม่กล้าปฏิเสธแม้แต่น้อย ตั้งแต่ที่นางมาเป็นสาวใช้ให้กับประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอ ไม่มีใครกล้าที่จะทำหยาบคายต่อนาง แม้กระทั่งอาจารย์ลุงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพด้วยความเคารพที่มีต่อท่านปรมาจารย์ การดูแลด้วยความสุภาพเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกว่านางมีสถานะตัวตนอยู่ที่นี่ ตอนนี้อาจารย์ลุงโม่ท่านนี้ได้มอบบทเรียนที่แสนจะหยาบคายแก่พวกนาง นางจึงเข้าใจในท้ายที่สุดว่าสาวใช้ยังไงก็คงเป็นสาวใช้ตลอดไป
หลังจากที่ตรวจดูกำแพงอาคมต่างๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ เติมน้ำ อาหาร และทำความสะอาดคอกของสัตว์วิเศษแต่ละคอกเสร็จ โม่เทียนเกอจึงออกมาจากคอกสัตว์วิเศษนั้น
ฉิน ฉี ซู ฮว่า ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว คาดว่าพวกนางน่าจะได้รับบทเรียน
โม่เทียนเกอแสยะยิ้มและคิดอย่างเย้ยหยัน แน่นอนอยู่แล้วโลกนี้ไม่สามารถอ่อนข้อให้กับคนที่ว่าง่ายและอ่อนข้อ การอดทนจะมีแต่นำพาไปสู่การกลั่นแกล้ง มีเพียงแต่คนที่แข็งแกร่งมากพอที่จะกดดันคนอื่นถึงจะได้รับความเคารพ
ในสำนักอวิ๋นอู้ นางไม่มีทั้งพื้นเพ ผู้อุปถัมภ์ หรือระดับการฝึกตนสูง นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการอยู่อย่างเงียบๆ และอดกลั้น แต่ในตอนนี้ที่โรงเรียนเสวียนชิงนางเป็นถึงศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่และมีความแข็งแกร่ง ทำไมนางจึงจะต้องอดทนและคอยโอนอ่อนผ่อนตามคนอื่นๆ ด้วย
นางมอบบทเรียนให้กับพวกนางในวันนี้ ดังนั้นทั้งสี่คนควรที่จะเรียนรู้จุดยืนของตัวเองแล้ว ถ้าสาวใช้เหล่านั้นคนอื่นยังคงยั่วยุนางต่อไปอีกในอนาคต นางก็จะสั่งสอนพวกนางอีก
ตั้งแต่ยามซื่อจนจลยามจื่อ นางจะต้องเทศนา เมื่อนางอ่านภารกิจต่อไป นางก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
แน่นอนอยู่แล้ว ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลัง นางมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเทศนา อย่างไรก็ตาม นางฝึกลัทธิเต๋าแห่งต้นกำเนิดซึ่งแตกต่างจากลัทธิเต๋าในปัจจุบัน นางจะสอนศิษย์แห่งโรงเรียนเสวียนชิงเรื่องนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่านางจะพูดถึงมัน มันก็จะไม่เป็นประโยชน์สำหรับศิษย์เหล่านั้น จริงไหม
ด้วยความสงสัยในจิตใจ นางรีบวิ่งไปที่ตำหนักซ่างชิง
เมื่อนางเข้าไปยังห้องโถง อย่างไรก็ตามนางก็เห็น ฉิน ฉี ซู ฮว่ากำลังคุกเข่าอยู่หน้าประมุขเต๋าจิ้งเหอ ในทางกลับกัน ประมุขเต๋าจิ้งเหอดูเหมือนกำลังอารมณ์ดีและมีความสุข
นี่คือสถานการณ์บบไหนกัน? โม่เทียนเกอยังคงสับสนในขณะที่ก้าวขึ้นไปและทักทาย “ท่านอาจารย์!”
“ฮ่าๆ! ศิษย์ตัวน้อย รีบมาตรงนี้เร็ว!”
“…” โม่เทียนเกอไม่สนใจต่อรอยยิ้มตื่นเต้นที่เกินไปของประมุขเต๋าจิ้งเหอและเดินไปหาอย่างเงียบๆ
โดยไม่คำนึงถึงที่เรียกนาง ประมุขเต๋าจิ้งเหอทำเป็นเพิกเฉยนางและหันไปทางฉิน ฉี ซู ฮว่า “นางสั่งสอนเจ้าอย่างไร”
เมื่อได้ยินคำถาม โม่เทียนเกอเข้าใจในทันที กลายเป็นว่าหญิงสี่คนนี้มาเพื่อฟ้อง! แต่เมื่อเห็นท่าทางของประมุขเต๋าจิ้งเหอ คำฟ้องของพวกนางน่าจะไร้ประโยชน์
คนที่พูดคือเสียนซู นางชำเลืองมองโม่เทียนเกออย่างระมัดระวังก่อนที่จะตอบ “ท่านอาจารย์ลุงโม่สั่งสอนพวกข้าทุกคนจนหมดสติ ยกเว้นแต่ศิษย์พี่ซิ่วฉินเจ้าค่ะ”
นางไม่ได้เพิ่มเติมเนื้อเรื่อง แต่นางแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ ท่าทางน่าสงสาร หลังจากที่นางพูดจบ นางจ้องมองโม่เทียนเกออย่างเสียใจ
โม่เทียนเกอพูดไม่ออก ข้าไม่ใช่ผู้ชาย การแสดงท่าทางแบบนี้ต่อหน้าข้านั้นจะได้ผลหรือ
โม่เทียนเกอไม่รู้เฃยว่าเสียนซูทำตัวแบบนี้จนเป็นนิสัย อาจเป็นเพราะประมุขเต๋าจิ้งเหอชอบมารยาของผู้หญิงซึ่งสาวใช้พวกนี้ชอบทำเหมือนอ่อนแอเพื่อทำให้เขาพอใจและโปรดปราน
แต่ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่โม่เทียนเกอที่ไม่สนใจนาง แต่แม้กระทั่งประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ไม่ได้สนใจนางด้วยเช่นกัน เขาเพียงแต่หัวเราะอย่างเสียงดังและตบไหล่โม่เทียนเกอ “ไม่เลว! นี่คือสิ่งที่ศิษย์ของฉินจิ้งเหอควรทำ! เราต้องสั่งสอนคนที่กล้าขัดขืนและพวกเขาก็จะกลายเป็นเชื่อฟัง ใช่ไหม เจ้าคิดว่าการยืดเยื้อคร่ำครวญมากเกินไปน่ารำคาญไหม”
ท่าทางของโม่เทียนเกอไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยเมื่อนางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอชื่นชม นางกล้าที่จะสั่งสอนพวกนางเพราะนางมั่นใจว่าอาจารย์ในนามของนางผู้นี้จะไม่ทำเรื่องต่างๆ ให้ยุ่งยากกับนางเพื่อเห็นแก่สาวใช้เหล่านี้ อีกอย่างสาวใช้ก็คือสาวใช้ ในทางตรงกันข้าม นางคือศิษย์ของเขา นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเล่นตัวเพื่อทำให้เขาพอใจอย่างที่สาวใช้เหล่านั้นทำ ถ้านางต้องทำอะไรได้ถูกใจตามรสนิยมของเขา และระดับการฝึกตนของนางพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เขาก็จะปกป้องนางโดยปริยาย ด้วยนิสัยหรูหราและกระหายเลือดของท่านอาจารย์ผู้นี้ แล้วนางในฐานะศิษย์ของเขาจะอ่อนแอได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม สาวใช้เหล่านี้ก็ดูฉลาด ทำไมพวกนางถึงมาเพื่อฟ้องเรื่องที่น่าละอายนี้กัน
นางประเมินสาวใช้เหล่านี้สูงเกินไปจริงๆ
เพราะซิ่วฉินผู้ที่โม่เทียนเกอจงใจยอมอ่อนข้อให้ได้รับรู้ถึงความสามารถของโม่เทียนเกอโดยตรง นางจึงไม่กล้าจะพูดมากนัก แต่ภายใต้การปกป้องของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอทำให้สามคนที่เหลือยโสจองหอง พวกนางกล้ำกลืนความเจ็บปวดเหล่านี้ได้อย่างไร
กระนั้นความจริงก็ทำให้พวกนางรู้สึกผิดหวัง ไม่เพียงแต่ท่านปรมาจารย์จะไม่โทษอาจารย์ลุงโม่คนนี้แล้ว แต่เขายังดูจะพึงพอใจในเรื่องนี้ทั้งหมด!
ตอนที่ 138-2 ปัญหาที่ต่อเนี่องกับวันท...
ด้วยการเมินเฉยต่อความเสียใจและท่าทางน้ำตาคลอเบ้าของสาวใช้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอเงยหน้าขึ้นมองโม่เทียนเกออย่างยินดี “เด็กน้อย เจ้านี่เก่งใช้ได้! ประมุขคนนี้รู้สึกสดชื่นจริงๆ ในวันนี้ ดังนั้นประมุขคนนี้จะมอบของบางอย่างให้แก่เจ้า คิดเสียว่าเป็นของที่ระลึกจากอาจารย์ของเจ้าแล้วกัน จงนำเครื่องมือเวทของเจ้าออกมาทั้งหมด ให้ข้าดูหน่อยซิว่าเจ้าขาดอะไรไปบ้าง”
เมื่อนางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดดังนั้น โม่เทียนเกอรู้สึกปลาบปลื้มยินดียิ่ง มันคงจะไม่ได้มีความหมายมากมายนักหากเขาให้ยาวิเศษหรือวิชาการฝึกตนแก่นาง นางไม่ได้ขาดสิ่งเหล่านั้น แต่ถ้าเขามอบเครื่องมือเวทหรือสิ่งอื่น นั่นคงเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมเพราะนางไม่มีวิธีการมากนักสำหรับการโจมตี! ในเสี้ยววินาที นางหยิบเครื่องมือเวทและอาวุธเวทของนางออกมาทั้งหมด
ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ตะเกียงเสน่ห์ กระสวยอัปสรา ไม้หลบลี้หนีหล้า เข็มบินได้ และเช่นเดียวกันกับกระบี่บินได้ที่ศิษย์พี่เสวียนอินมอบให้เป็นรางวัลแก่นางที่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลัง หลังจากผ่านการพิจารณาอย่างใคร่ครวญ โม่เทียนเกอจึงพูด “ท่านอาจารย์ ข้ายังคงมีเสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์และจี้ซ่อนวิญญาณ ข้าไม่จำเป็นต้องนำสองสิ่งนี้ออกมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
แทนที่จะตอบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอเริ่มพิจารณาของที่นางวางไว้บนโต๊ะ
เขาหยิบกระบี่บินได้ขึ้นมาก่อน มันเป็นเพียงกระบี่มาตรฐานสำหรับศิษย์แห่งการสร้างฐานแห่งพลัง อย่างไรก็ตามเข็มบินได้นั้นเป็นสิ่งที่ควรจะมี มันเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพต่อการซุ่มโจมตี หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มุ่งความสนใจไปที่ไม้หลบลี้หนีหล้าและกระสวยอัปสรา คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าหากัน
ไอ้เด็กเหลือขอนั่น! ถึงแม้ว่าไม้หลบลี้หนีหล้าไม่ใช่สิ่งที่เขาขัดเกลา มันก็มีร่องรอยของการครอบครองจากเขา นอกเหนือจากนั้นยังคงมีกระสวยอัปสราอีก! นี่เป็นสิ่งที่เขามอบให้ไว้กับไอ้เด็กเหลือขอนั่นเมื่อตอนที่เจ้านั่นสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้สำเร็จ กลายเป็นว่าไอ้เด็กเหลือขอมอบให้กับเด็กน้อยคนนี้เอง!
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอเห็นตะเกียงเสน่ห์และผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักมากขึ้นไปอีก ตะเกียงนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไรนักเพราะมันไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้น แต่ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้… เขาไม่อาจบอกได้เลยว่ามันทำมาจากวัสดุอะไร!
ประมุขเต๋าจิ้งเหอวางของกระแทกลง ทีละชิ้นซ้อนกันและตะโกน “เครื่องมือเวทสี่ชิ้น อาวุธเวทสองชิ้น และยังคงมีเสื้อเกราะอะไรบางอย่างอีกที่เจ้าพูดถึง เจ้ายังคิดว่าเจ้ามีไม่พออีกหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังส่วนมากมีเครื่องมือเวทแค่หนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น เจ้ามีอาวุธเวทแล้วแต่เจ้าก็ยังไม่พึงพอใจ! เอาพวกมันกลับไป! ข้าจะไม่ให้อะไรเจ้าทั้งนั้น! คนผู้ที่ไม่เคยพอใจก็เหมือนกับงูที่พยายามกลืนกินช้าง! หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็หันกลับสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ
โม่เทียนเกอมึนงง นางรู้มานานแล้วว่าอาจารย์ท่านนี้แตกต่างจากผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ท่านอื่นผู้ซึ่งชอบแสร้งทำเป็นลึกลับและหยั่งไม่ถึง นางรู้ว่าเขาเป็นคนอารมณ์เสียง่าย แต่การทำเช่นนี้มันไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ เขาเป็นคนที่เสนอจะมอบของแก่นางเอง แล้วทำไมเขาจึงต้องทำเหมือนกับว่านางเป็นคนที่ไม่พอเพียงเสียเองละ นางไม่ได้ขออะไรเขาเสียหน่อย!
ประมุขเต๋าจิ้งเหอชำเลืองมองนางอีกครั้ง “เจ้าจะยืนโง่ทำอะไรอยู่ รีบไปทำภารกิจของเจ้าสิ!”
โม่เทียนเกอกัดฟันแน่นพลางสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ นางหยิบของทุกอย่างกลับคืน หันกลับและเดินจากไป แต่แล้วนางก็หยุดเมื่อเดินมาได้ครึ่งทางหันกลับและเดินกลับมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีคำถาม สำหรับภารกิจที่จะต้องเทศนา คุณสมบัติของศิษย์มีไม่เพียงพอมิใช่หรือเจ้าคะ”
เมื่อเขาได้ยินคำถามเช่นนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอตะโกนอีกครั้ง “คุณสมบัติของเจ้าไม่เพียงพอ? เจ้าเป็นศิษย์ของข้าแต่เจ้ากลับคิดว่าคุณสมบัติเจ้าไม่เพียงพอที่จะเทศนาศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณอย่างนั้นหรือ ไร้สาระ!”
“แต่… สิ่งที่ศิษย์กำลังฝึกอยู่ตอนนี้คือศาสตร์แห่งต้นกำเนิด มันไม่เหมือนกับเต๋าของพวกเขา!”
“แล้วอย่างไร พวกเขาไม่รู้ความแตกต่างหรอก ถ้าข้าบอกให้เจ้าไป เจ้าก็ไป!”
“… ตกลง ศิษย์ขอตัว”
เมื่อไม่สามารถคุยกับเขาได้ด้วยเหตุผลอีกต่อไป โม่เทียนเกอเดินออกมาจากตำหนักซ่างชิงในขณะที่นวดขมับตัวเอง นางเงยหน้าขึ้นเงียบๆ ไถ่ถามสวรรค์ นางทำบาปอะไรไว้จึงได้อาจารย์เช่นนี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่ให้คำชี้แนะหรือสิ่งของใดๆ แถมยังอารมณ์แปรปรวนเสียอีก การมีเขาเป็นอาจารย์ก็เหมือนกับไม่มีอาจารย์เลยนั่นแหละ!
ต้องเทศนา… ต้องเทศนา… โม่เทียนเกอมุ่งตรงไปยังโถงคนงานในขณะที่ท่องคำพวกนี้วนไปมา
“ศิษย์… อาจารย์ลุงโม่” หลัวเฟิงเสวี่ย ผู้ที่ต้อนรับนางให้เข้าไปยังห้องโถง ยังคงไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเรียกนางด้วยตำแหน่งใหม่
เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอเข้าใจว่านางหมายความว่าอะไรและตามนางเข้าไปยังห้องโถง
ในเมื่อไม่มีใครอยู่ด้านใน หลัวเฟิงเสวี่ยจึงเปลี่ยนวิธีที่เรียกนาง “เทียนเกอ มีปัญหาอะไรหรือ”
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนหน้าของโม่เทียนเกอ นางพูด “อาจารย์ให้ข้ามาเทศนา”
“อ้อ…” หลัวเฟิงเสวี่ยเข้าใจปัญหาของนางในทันที “เจ้าอยู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วตอนนี้ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วถ้าเจ้าถูกบอกให้มาเทศนา”
“มันก็เป็นอย่างที่มันควรเป็น ข้าไม่เคยเทศนามาก่อน…”
“ไม่เกี่ยวหรอก” หลัวเฟิงเสวี่ยพูด “ในเมื่อเจ้าสร้างฐานแห่งพลังได้แล้ว เจ้าก็มีข้อมูลเชิงลึกและประสบการณ์มากกว่าศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ เจ้าก็เพียงแค่พูดเกี่ยวกับอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ ท่านปรมาจารย์ชี้แนะเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
“อือ… ท่านอาจารย์บอกให้ข้ามาเทศนาสองชั่วยาม ตอนเก้าโมงเช้าทุกวัน”
“หา?!” การได้ยินเช่นนี้ทำให้หลัวเฟิงเสวี่ยมึนงง “ท่านปรมาจารย์คิดอะไรอยู่ โรงเรียนเสวียนชิงของเราเทศนาศิษย์สามวันครั้ง และนั่นก็ถือได้ว่าถี่มากแล้ว ถึงแม้ว่าท่านจะบอกให้เจ้าเทศนาทุกวัน เราก็ไม่มีช่วงเวลามากขนาดนั้นในตารางเวลาของเรา!”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่โม่เทียนเกอคิดว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจงใจทรมานนาง สองชั่วยามต่อวัน? เขาคงอยากให้นางผูกขาดการเทศนาที่โรงเรียนเสวียนชิงกระมัง
“แต่…” หลัวเฟิงเสวี่ยพูดต่อ “ถ้าเจ้าคิดว่าเรื่องนี้ยากลำบาก ข้าสามารถจัดให้เจ้าสอนศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาได้นะ ด้วยวิธีนี้ก็จะง่ายกับเจ้ามากกว่า และเจ้าก็จะสามารถพูดได้ด้วยว่าเจ้าทำภารกิจสำเร็จแล้ว”
โม่เทียนเกอครุ่นคิดถึงคำแนะนำของนางครู่หนึ่ง คิดว่านี่ก็ฟังดูดีไม่น้อย นางจึงรีบยิ้มและพูด “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าต้องรบกวนเจ้าช่วยจัดการให้ข้าแล้ว ข้าไม่สามารถปฏิเสธภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบให้ได้ ดังนั้นถ้าจะทำให้มันสำเร็จได้คงทำให้ข้าปวดหัวจริงๆ!”
หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปยังโต๊ะก่อนหยิบหยกบันทึกเปล่าที่วางอยู่ด้านบนขึ้นมา หลังจากที่นางบันทึกบางอย่างลงไปที่หยกบันทึก นางก็มอบให้กับโม่เทียนเกอและพูด “ถ้าข้าให้เจ้าเทศนากับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณทั้งหมด เจ้าจะต้องไปที่ยอดเขาหลัก ดังนั้นตัวเลือกเดียวที่เจ้าเหลืออยู่ตอนนี้คือสอนศิษย์ภายใน นำสิ่งนี้ไปที่โถงเหมิงเสวียที่ด้านข้างเขา จะมีคนอธิบายรายละเอียดกับเจ้าที่นั่น”
เพราะความคิดของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอจึงจากมาด้วยความพึงพอใจ นางถอนใจอย่างโล่งอก หยิบหยกบันทึกและมุ่งสู่ด้านข้างเขาที่หลัวเฟิงเสวี่ยบอกนาง
โรงเรียนเสวียนชิงมีสามหลักการในการเลือกศิษย์ หลักการแรกนั้นเหมือนกับกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ กลุ่มอื่น ในทุกๆ สิบปีพวกเขาจะเปิดอารามและรับสมัครผู้คนจากตระกูลผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกตนเดี่ยวผู้ซึ่งครอบครองรากวิญญาณยอดเยี่ยมหรือมีความสามารถที่เก่งกาจ
อีกหลักการหนึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่โม่เทียนเกอได้สมัครเข้า หลังจากที่ได้รับการแนะนำจากผู้ฝึกตนระดับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังหรือสูงกว่า คนที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตามนางถูกพามาที่โรงเรียนโดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นนางจึงไม่ต้องผ่านกระบวนการทดสอบ
หลักการสุดท้ายคือการที่ศิษย์จากโรงเรียนเข้าไปที่โลกมนุษย์ เลือกมนุษย์ผู้ที่ครอบครองรากวิญญาณดีเยี่ยมและพากลับมาที่โรงเรียน
ส่วนมากศิษย์ที่รับเข้ามาจากหลักการสุดท้ายจะมีรากวิญญาณที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นพวกเขาจึงจะได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นศิษย์ทันทีหลังจากเข้ามาที่โรงเรียน นั่นเป็นกรณีของหลัวเฟิงเสวี่ย ย้อนกลับไปตอนนั้น พี่ใหญ่ของนางยกย่องอาจารย์เต๋าเสวียนอินเป็นดั่งอาจารย์ของเขา หลังจากที่เขาล้มเหลวในการที่จะข้ามผ่านดินแดนถัดไปและได้ตายลง อาจารย์เต๋าเสวียนอินได้เดินทางไปยังโลกมนุษย์เพื่อจัดการเรื่องงานศพ ในช่วงเวลานั้นเขาได้บังเอิญพบว่าหลัวเฟิงเสวี่ยนั้นก็ครอบครองรากวิญญาณเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงพานางกลับมาและยอมรับนางเป็นศิษย์ของเขา
นอกเหนือไปจากศิษย์ประเภทที่สามผู้ซึ่งได้รับการยอมรับโดยตรงจากผู้ฝึกตนระดับสูง ศิษย์ประเภทอื่นๆ จะต้องเริ่มที่โถงเหมิงเสวียถ้าระดับชั้นการฝึกตนอยู่ต่ำกว่าระดับห้าของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ
เพราะเหตุนี้จึงมีศิษย์สองประเภทอยู่ที่โถงเหมิงเสวีย ประเภทแรกรวมเด็กที่มีรากวิญญาณสามธาตุหรือดีกว่า พวกเขาได้รับการยอมรับเพราะต้นทุนทางธรรมชาติของพวกเขาดีมากพอดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกำหนดระดับการฝึกตน ศิษย์อีกประเภทเป็นกลุ่มศิษย์ได้รับการมองว่ามีแววแม้จะมีต้นทุนทางธรรมชาติที่ค่อนข้างด้อยกว่า ศิษย์เหล่านี้มักจะเป็นผู้สืบทอดของผู้ฝึกตนในโรงเรียน ดังนั้นโรงเรียนจึงผ่อนปรนคุณสมบัติที่ต้องการในการสมัครเข้า
เมื่อโม่เทียนเกอถึงที่โถงเหมิงเสวียและผู้ฝึกตนที่ดูแลเห็นนาง เขาจึงรีบทักทายนางด้วยความเคารพ “ท่านปรมาจารย์โม่ ข้าไม่คาดคิดว่าท่านจะให้เกียรติมาด้วยตัวเองเช่นนี้ โปรดอภัยในความไร้มารยาทของพวกข้าด้วย”
ปรมาจารย์… ถูกเรียกเช่นนี้ทำให้โม่เทียนขนลุก ผู้จัดการของโถงเหมิงเสวียเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง แต่คนที่ปกติจะดูแลเรื่องต่างๆ ณ สถานที่นี้จะเป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ตอนนี้นางเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด ดังนั้นระดับความอาวุโสของนางจึงเทียบเท่ากับปรมาจารย์การก่อเกิดแก่นขุมพลัง จึงไม่ได้เป็นปัญหานักในการเรียกนางว่าปรมาจารย์ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เป็นเวลานานนักหลังจากที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ก่อนหน้านี้นางเป็นเพียงแค่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่ไม่ได้สำคัญอะไร เหมือนกับคนพวกนี้ แต่ตอนนี้อยู่ๆ นางก็ได้เป็นปรมาจารย์ ความแตกต่างนั้นมากเกินไป! อีกอย่าง คนที่เรียกนางว่าปรมาจารย์เป็นชายชราผมขาว นี่ยิ่งทำให้นางรู้สึกคุ้นชินได้ยากขึ้นไปอีกเมื่อถูกเรียกเช่นนั้น
“ไม่จำเป็นที่จะต้องสุภาพเช่นนี้นักก็ได้ สาเหตุที่ข้ามาที่นี่เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วในหยกบันทึกนี้ ถ้ามีสิ่งใดที่ข้าต้องทำ เจ้าบอกข้าได้เลย”
“แน่นอน แน่นอนขอรับ” ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ผู้ซึ่งอายุขัยเหลือเพียงน้อยนิดแต่ก็ไม่มีทีท่าที่จะพัฒนาเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้เลยนั้นเกรงกลัวที่จะแสดงท่าทางที่ไม่เคารพนางออกไป ดังนั้นเขาจึงค้างอยู่ท่าโค้งคำนับครึ่งหนึ่งอย่างนั้นในขณะที่พูด “ในหยกบันทึก อาจารย์ลุงหลัวบอกว่าท่านปรมาจารย์มาเพื่อสอนศิษย์ใหม่ อย่างไรก็ตาม อาจารย์ลุงหลัวอาจจะไม่ทราบว่าศิษย์ที่โถงเหมิงเสวียมีอาจารย์ที่ดูแลรับผิดชอบสอนพวกเขาหมดแล้ว ข้าเกรงว่าท่านปรมาจารย์…”
เช่นนั้นหรือ โม่เทียนเกอประหลาดใจ หลังจากนั้นนางจึงพูด “ถ้าเช่นนั้นเจ้าหาอะไรให้ข้าทำก็ได้”
“นี่ๆ …”
นางบอกให้เขาหาภารกิจ แต่ชายชราคนนี้ยังคงนิ่งเงียบและลังเล โม่เทียนเกอไม่พอใจ “นี่ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานที่นี่หรือ”
ชายชรารีบส่ายหัว “ข้ามิอาจกล้าคิดเช่นนั้นขอรับ ข้าไม่กล้าขอรับ ท่านปรมาจารย์ ด้วยความสัตย์จริง ผู้ฝึกตนระดับสูงที่สุดที่เรามีที่นี่อยู่แค่ระดับเก้าของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ท่านสอนพวกข้าได้โดยตรงหากท่านต้องการ ทำไมท่านถึงจำเป็นต้องเทศนาศิษย์ใหม่ด้วยขอรับ?”
นี่นางจะสามารถไม่ชอบที่มีระดับการฝึกตนสูงได้ไหม? โม่เทียนเกอพยายามที่จะไม่กลอกตาไปมา นางแค่ต้องการฆ่าเวลา ทำไมชายชราคนนี้ถึงไม่เข้าใจ?
“ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าแค่ให้ภารกิจสุ่มๆ อะไรก็ได้กับข้า เข้าใจไหม? ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ เจ้าก็แค่ให้ข้าถูพื้นก็ได้?”
“นี่… พวกข้าไม่อาจกล้ารบกวนท่านปรมาจารย์ด้วยภารกิจเช่นนั้นหรอกขอรับ…”
โม่เทียนเกอหมดซึ่งหนทาง “งั้นข้าจะไม่ทำอะไร และข้าจะนั่งอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น