วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 13.4-13.10

ตอนที่ 13-4

 

“ยังไม่มีข่าวคราวหรือเจ้าคะ ใต้เท้า” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองเอ่ยถามด้วยความกังวลในขณะที่ร้อยด้ายผ่านรูเข็มอันใหม่ไปด้วย ในวันนี้แค่เข็มที่หักก็ปาไปห้าอันแล้ว 


 


 


“ไม่มีเลย ต้องชมเลยว่าทักษะการซ่อนตัวช่างยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ก็ต้องตำหนิสักหน่อยที่ใช้ทักษะนั้นกับเรื่องเช่นนี้” 


 


 


เสียงทุ้มต่ำทำให้เข็มอันที่หกหักดังเป๊าะ แทนที่จะร้อยด้าย แต่นายหญิงตระกูลจองกลับหยิบเข็มขึ้นมาเล็งไปที่แมลงวันผู้โชคร้ายซึ่งบินเข้ามาเกาะบนกำแพง 


 


 


“รยูฮา…ไม่ใช่สิ พระมเหสีเสด็จไปแล้ว เดี๋ยวก็คงจะเจอตัวในไม่ช้า” 


 


 


“ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับเจ้า” 


 


 


“ไม่ได้เจ้าค่ะ ใต้เท้า” 


 


 


เข็มถูกปักตรงกลางลำตัวของแมลงวันผู้โชคร้ายอย่างแม่นยำ แมลงวันที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกระดิกขาทั้งหกข้างอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่สามารถกลับมาบินได้อีกครั้ง ท่านมหาเสนาบดีพยายามละสายตาจากแมลงวันตัวนั้นและถอนหายใจออกมาเบาๆ 


 


 


“แน่นอนว่าพระองค์คือองค์ชายซึ่งทรงสุภาพอ่อนโยนและทรงมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่หากใต้เท้าเข้าไปยุ่งในตอนนี้จะกลายเป็นเหยื่อสำหรับเหล่าเสนาบดีนะเจ้าคะ” 


 


 


“แต่หากจะคืนตำแหน่งให้กับอดีตองค์ชายและตามหามินอาโดยเปิดเผย มันไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ นะ” 


 


 


“นางเป็นเด็กแข็งแกร่งเจ้าค่ะ แค่ข้าคนเดียวก็จัดการได้เจ้าค่ะ” 


 


 


ด้ายถูกร้อยเข้าไปในรูเข็มอันที่เจ็ด นายหญิงตระกูลจองเริ่มเสียบเข็มเข้าไปในผ้าที่จะเย็บซึ่งถืออยู่ในมือและเริ่มเย็บไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะเชื่องช้าเป็นอย่างมากก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับความพยายามแล้ว ฝีมือของนางกลับแย่เป็นอย่างมาก จนท่านมหาเสนาบดีถึงกับหนักใจอยู่พักใหญ่ว่าที่เย็บอยู่นั้นคืออะไรกันแน่ 


 


 


“ขอโทษที่ต้องพูดเช่นนี้นะ แต่ว่า…เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ” 


 


 


ตาของนายหญิงตระกูลจองที่สงบนิ่งอยู่เสมอเกิดความประหม่าขึ้นเป็นครั้งแรก นางคือนักรบที่มีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาบหรือใช้ธนูก็มั่นใจว่าไม่ด้อยไปกว่ามหาเสนาบดีผู้เป็นสามีอย่างแน่นอน แต่กับการจับเข็มอันเล็กๆ และการเย็บผ้านั้น ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ชินมือสักที 


 


 


“มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ” 


 


 


“ไม่ๆ ข้าตาไม่ถึงเองต่างหาก” 


 


 


พออ่านความประหม่านั้นออก ท่านมหาเสนาบดีก็ประหม่ายิ่งกว่านางเสียอีก เขาจึงเบนสายตาซึ่งไม่รู้ว่าจะไปวางไว้ตรงไหนไปที่แมลงวันผู้โชคร้ายอีกครั้ง ท่าทางการดิ้นรนและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เพราะถูกนายหญิงตระกูลจองจับเป็นไว้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับตนเองทีเดียว มีความแตกต่างอยู่เล็กน้อยคือแมลงวันมีหกขา ส่วนตัวเองมีสองขา และแมลงวันถูกจับเป็นโดยไม่เต็มใจ ส่วนตัวเองถูกจับเป็นด้วยความเต็มใจ 


 


 


“ลองดูดีๆ สิเจ้าคะใต้เท้า ไม่รู้จริงๆ หรือเจ้าคะ” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองวางเข็มลงและยกชิ้นผ้าที่ถือในมือขึ้นมาจ่อตรงหน้าเขา จากการดูของท่านมหาเสนาบดีผู้ซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ ตัวผ้าเองคือของที่มีราคาแพงมาก ไม่ใช่สิ แพงที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งส่วนที่ยื่นออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นแขนเสื้อ และตรงส่วนที่เล็กมากๆ… 


 


 


“อืม เสื้อ…หรือ?” 


 


 


คำพูดที่เปล่งออกไปอย่างลังเลทำให้ใบหน้าของนายหญิงตระกูลจองสดใสขึ้นมา ท่านมหาเสนาบดีจึงสรุปเจ้าของเสื้อในมือนายหญิงจองได้อย่างรวดเร็วด้วยความมั่นใจ 


 


 


“เสื้อผ้าของหลานพวกเราสินะ ช่างสวยงามจริงเชียว” 


 


 


“ใช่ไหมเจ้าคะ” 


 


 


ในตอนนั้นเองนายหญิงตระกูลจองจึงเริ่มเย็บต่อด้วยสีหน้าภาคภูมิใจอีกครั้ง พอคิดว่ามันคือเสื้อผ้าเด็ก มันก็ดูเป็นเสื้อผ้าเด็กโดยไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ท่านมหาเสนาบดีอมยิ้มบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา แล้วจึงเริ่มมองดูด้านข้างของภรรยาและเข็มที่ขยับอย่างช้าๆ 


 


 


“ถ้ากลับมาก่อนที่เสื้อผ้าพวกนี้จะเสร็จก็คงจะดีนะ” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองพึมพำออกมาเหมือนกับพูดคนเดียวด้วยเสียงอันหนักอึ้ง ท่านมหาเสนาบดีถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับยกถ้วยชาซึ่งวางอยู่ด้านหน้าขึ้นมา ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นหอมใดๆ ที่ออกมาจากถ้วยชาที่เริ่มอุ่นนิดๆ แล้วเลย 


 


 


อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน มินอาที่ซ่อนตัวอย่างมิดชินจนท่านมหาเสนาบดีไม่สามารถหาเจอยืมรถม้าเดินทางไปยังเส้นทางอันแสนไกล 


 


 


“พักตรงนี้สักหน่อยแล้วค่อยไปต่อแล้วกัน” 


 


 


มินอาซึ่งนั่งบนรถม้าที่มีเบาะรองนั่งนุ่มๆ และจ้องมองออกไปด้านนอกเรียกคนขับรถม้า ป้ายประจำตัวที่เตรียมไว้เพื่อให้ชานซ่อนตัวนั้นมีประโยชน์อย่างมาก เพราะหากไม่ใช่ตระกูลขุนนางก็คงจะไม่ได้นั่งรถม้าและออกมาจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย ถ้าบอกว่ารู้สึกเหมือนเขาคอยช่วยเหลืออยู่ จะเป็นความคิดที่เกินไปหรือเปล่านะ 


 


 


“จะพักอีกหรือขอรับ” 


 


 


คนขับรถม้าหันกลับมามองนางอย่างหยาบคายราวกับไม่พอใจ ก่อนจะจอดรถม้าไว้ฝั่งหนึ่งด้วยความท้อแท้เพราะสายตาอันแหลมคม เขายินดีที่จะไปส่งคุณชายที่ดูสูงศักดิ์หลังจากได้รับเหรียญเงินเป็นค่าตอบแทนมาแล้ว แต่การที่เคลื่อนที่ไปได้แค่นิดหน่อยก็หยุดพักและไปได้ไม่เท่าไหร่ก็หยุดพักอีก มันทำให้ช้าเป็นอย่างมาก แม้จะบอกว่ารีบ แต่ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้อยู่ ชาติไหนจึงจะไปส่งถึงและได้กลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง 


 


 


“อีกไกลแค่ไหนจึงจะถึงหัวเมืองต่อไปหรือ” 


 


 


“ถ้าไปด้วยความเร็วเช่นนี้…ก็คงจะถึงตอนประมาณพลบค่ำขอรับ” 


 


 


“เหลือเฟือ” 


 


 


ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ขอแค่ไปอย่างปลอดภัยและไม่ให้ถูกจับได้ก็เพียงพอ ตลอดชีวิตที่ผ่านมานางไม่เคยบอกปฏิเสธที่นอนแข็งๆ อาหารที่ไม่น่ากิน รวมถึงการขี่ม้าตลอดทั้งคืนในตอนที่ทำหน้าที่ช่วยรยูฮาเลย แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เพราะคนที่มินอาจะต้องปกป้องในตอนนี้ไม่ใช่รยูฮา แต่เป็นตัวเองและลูกของชานที่ตัวเองอุ้มท้องอยู่ต่างหาก 


 


 


“เจ้าแต่งงานแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“แน่สิขอรับ มีลูกที่เหมือนกับกระต่ายถึงสามคนเลยนะขอรับ” 


 


 


เมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัว ใบหน้าของคนขับรถม้าที่บึ้งตึงจึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นแทน มินอามองดูด้วยความประหลาดใจพร้อมกับหวนนึกถึงชานภายในใจ เขาที่ไม่ค่อยยิ้มจะยิ้มอย่างนั้นตอนที่เห็นลูกไหมนะ 


 


 


“ตั้งสามคนเลยหรือ คงจะแต่งงานเร็วสินะ กี่ขวบแล้วล่ะ” 


 


 


“ลูกชายสอง ลูกสาวคนสุดท้องหนึ่งขอรับ คนโตสุดปีนี้สิบสอง ส่วนน้องเล็กสุดเพิ่งจะสองขวบไปเองขอรับ” 


 


 


“อายุห่างกันขนาดนั้นเลยหรือ” 


 


 


ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเสียจริง ปกติมินอาไม่ค่อยชอบพวกเด็กเล็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยกเว้นงานของครอบครัวรยูฮาและท่านมหาเสนาบดี นางก็แทบจะไม่สนใจอะไรเลย แต่ตอนนี้นางกลับกำลังสงสัยในเรื่องลูกๆ ของคนขับรถม้าซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเสียอย่างนั้น นางจมลงไปในบทสนทนากับคนขับรถม้าโดยไม่รู้ตัว และเงี่ยหูฟังการโอ้อวดลูกของเขา 


 


 


“ตอนที่คลอดลูกครั้งแรก ข้าก็หวังให้เป็นลูกชาย ขอให้เป็นลูกชายอย่างเดียว แต่พอคลอดออกมาและได้เลี้ยงก็คิดขึ้นว่าถ้ามีลูกสาวหนึ่งคนก็น่าจะดีนะ แต่พอคลอดลูกคนต่อมาก็ปรากฏว่าเป็นลูกชายอีกขอรับ ภรรยาของข้าเกือบตายในตอนที่คลอดลูกคนนั้น ดังนั้นจึงตั้งใจจะไม่มีลูกอีก แต่สุดท้าย…ก็เผลอตัวจนความปรารถนาสำเร็จจนได้ขอรับ เจ้าตัวเล็กนั่นยิ้มเก่งมากเลยขอรับ ฮ่าๆ” 


 


 


“ดีจังเลยนะ” 


 


 


“มันก็ดีนะขอรับ แม้ว่าเรื่องที่จะต้องใช้เงินจะมีเยอะแยะมากมาย แต่การขยันทำงานหาเงินหาข้าวให้ลูกๆ ก็เป็นรสชาติของชีวิตไม่ใช่หรือขอรับ” 


 


 


“ภรรยาของเจ้าน่าจะโชคดีมากเลยนะที่มีสามีที่ทำเพื่อพวกเขาขนาดนี้” 


 


 


“ข้าไม่ได้ทำอะไรดีๆ ให้พวกเขาเลยขอรับ อย่างที่ท่านเห็นว่าข้างานยุ่งมากจนไม่ได้อยู่บ้าน แต่ในคราวนี้ข้าได้เหรียญเงินจากท่านมาเยอะพอสมควร จึงว่าจะอยู่ที่บ้านสักวันสองวันน่ะขอรับ” 


 


 


สีหน้าที่ยิ้มแฉ่งพร้อมกับกล่าวเช่นนั้นช่างดูอิ่มอกอิ่มใจเป็นอย่างมาก บางทีถ้าหากฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่ก็อาจจะเป็นพ่อที่ดีเช่นนั้นก็ได้ อาจจะให้ลูกนั่งบนตักและยิ้มอย่างสดใส อาจจะใช้เวลาทั้งวันในการกล่อมลูกก็ได้ อาจจะ… 


 


 


‘ในตอนนั้นเจ้าควรที่จะชนะ ถ้าข้าได้ฝืนหักห้ามใจ พรุ่งนี้ก็คงจะเป็นพิธีราชาภิเษกของฮอน และอาจจะ…’ 


 


 


‘มันไม่มีคำว่า ‘อาจจะ’ หรอกเพคะ’ 


 


 


ในตอนนั้นนางไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำพูดของเขาอย่างเย็นชาขนาดนั้น ‘อาจจะ’ ซึ่งในที่สุดนางเข้าใจแล้วว่าคำนั้นคือคำที่จะถูกใช้เมื่ออยากจะเย็บหัวใจที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างควบคุมไม่ได้ให้กลับมาเหมือนเดิมแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ความเสียใจเมื่อสายเกินไปเข้ามาบีบหัวใจอย่างแรง คนขับรถม้าตื่นเต้นและคุยโวว่าลูกชายทั้งสองเฉลียวฉลาดและซุกซนขนาดไหน และลูกสาวคนสุดท้องน่ารักขนาดไหน ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดโดยฉับพลันหลังจากเห็นสีหน้าของนาง 


 


 


“จากที่ข้าเห็น…ดูเหมือนท่านคงจะมีเรื่องสินะขอรับ” 


 


 


“นิดหน่อยน่ะ พักเยอะแล้ว เราไปกันเถอะ” 


 


 


น้ำเสียงมีพลังของคนขับรถม้าดังขึ้นพร้อมกับฝุ่นดินขมุกขมัวที่พัดไปตามลม มินอาเก็บความคิดถึงที่ทิ่มแทงใจเอาไว้และมุ่งตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อเหยียบเส้นทางที่เคยขี่ม้าด้วยกันกับเขาอีกครั้ง  

 

 


ตอนที่ 13-5

 

“กระหม่อมจะส่งเสด็จไปยังห้องบรรทมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


ในที่สุดฮอนก็ยืนขึ้นและออกมาจากห้องทำงาน จากนั้นขึ้นไปบนเกี้ยวซึ่งมาคอยอยู่แล้วข้างหน้า เดิมทีเขาชอบเดินไปมากกว่าการนั่งเกี้ยว แต่ในตอนนี้เขาไม่เหลือทั้งเวลาและแรงที่จะทำเช่นนั้นได้ เพราะแค่สงครามประสาทกับพวกเสนาบดีซึ่งไม่ใช่ง่ายและงานที่ต้องทำต่างๆ ก็ทำให้เขาที่เพิ่งจะขึ้นครองราชบัลลังก์ได้นานไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้ว 


 


 


“อืม ไม่ ไปวังจานยอง” 


 


 


“ขอรับ? แต่…” 


 


 


“พูดมากจริง สั่งให้ไปก็ไปสิ” 


 


 


หลังจากสะสางงานเร่งด่วนเสร็จคร่าวๆ แล้ว ฮอนจึงเอนกายอันเหนื่อยล้าลงนอนที่วังจานยองซึ่งเจ้าของไม่อยู่แทนห้องบรรทมของตนเอง  


 


 


เขาชอบสมัยที่ยังเป็นองค์รัชทายาท ปล่อยให้เสียงบ่นของอดีตพระราชาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาและหลบหนี พอตะวันตกดินก็ปลอมตัวออกไปดื่มเหล้า ส่วนค่ำคืนในฤดูหนาวที่ย่างเกาลัดบนเตาไฟและกระซิบกระซาบกันสองคนกับรยูฮาในขณะที่อ่านนิยายพื้นบ้านบนเตียงก็ช่างเลือนรางราวกับอดีตเมื่อนานมาแล้ว 


 


 


นี่มันพระราชาหรือทาสกันแน่ เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าาทำไมอดีตพระราชาถึงได้ตั้งตารอคอยการแข่งขันล่าสัตว์ที่จัดขึ้นหนึ่งครั้งต่อปีถึงเพียงนั้น เพราะตัวเขาเองก็นับนิ้วคำนวณเดือนที่เหลือจนกว่าจะถึงการแข่งขันล่าสัตว์ที่จะจัดขึ้นในต้นฤดูหนาวเช่นกัน 


 


 


“รยูฮา รยูฮา” 


 


 


แม้จะมุดหน้าในผ้าห่มที่มีกลิ่นกายของรยูฮาหลงเหลืออยู่และเรียกชื่อนาง แต่ก็ไม่มีวี่แววที่จะมีคำตอบกลับมา ปล่อยนางไปทำไม ไม่น่าให้ไปเลย หัวใจของข้าอยู่เคียงข้างเจ้าเพราะฉะนั้นไม่เป็นไร ที่ไหนกันล่ะ เหลวไหลทั้งเพ 


 


 


“พระมเหสี มันยากเหลือเกิน รยูฮา รีบๆ กลับมาเร็วเข้า” 


 


 


ไม่ได้การแล้ว กอดเสื้อผ้ารยูฮานอนก็ยังดี ฮอนบ่นพึมพำและกลิ้งไปมาคนเดียวเหมือนคนบ้า แต่แล้วจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นไปค้นตู้ เดิมทีแล้วซังกุงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องชุดนอนของพระมเหสี แต่เขาจำได้แม่นว่าคราวที่แล้วนางหยิบชุดนอนออกมาจากในนั้นหนึ่งชุด เป็นไปตามที่คิดไว้ ชุดผ้าฝ้ายนุ่มๆ ชุดหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาจากพื้นด้านล่างสุด รวมถึงของอย่างอื่นเช่นกัน 


 


 


“เลือด…?” 


 


 


คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สิ่งที่ร่วงลงมาจากระหว่างชุดผ้าฝ้ายซึ่งดูเหมือนจะถูกวางไว้นานแล้วนั้นไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นเชือกผูกเสื้อสีขาว ไม่ใช่สิ ไม่ใช่สีขาว เพราะมันเปรอะไปด้วยรอยเปื้อนสีน้ำตาลซึ่งดูเหมือนรอยเลือดเกือบครึ่ง ฮอนหยิบมันพลิกไปพลิกมา จากนั้นก็นึกถึงแหล่งที่มาของสิ่งนี้ขึ้นมาได้จากที่ไหนสักแห่งในความทรงจำอันเลือนราง แล้ว… 


 


 


“ฮึๆ” 


 


 


เสียงหัวเราะราวกับคนโง่ที่รยูฮามักจะบอกว่าอย่าหัวเราะแบบนี้เป็นประจำดังออกมาจากริมฝีปาก นี่มันเชือกผูกเสื้อที่ฮอนแกะออกและผูกให้ด้วยมือของตัวเองในคืนแรกหลังจากเข้าพิธีอภิเษกสมรส ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่านางจะยังเก็บรักษามันไว้อย่างหวนแหนจนถึงตอนนี้ พอนึกถึงคืนนั้นก็ยิ่งคิดถึงรยูฮาขึ้นไปอีก เสียงหัวเราะของคนโง่เปลี่ยนไปเป็นการถอนหายใจราวกับแผ่นดินจะแตกสลาย ฮอนกอดชุดของรยูฮาและเชือกผูกเสื้อนั้นไว้แน่น แล้วจึงกลับไปที่เตียงนอนอันว่างเปล่า ฝังจมูกกับกลิ่นกายที่คิดถึง 


 


 


ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น รยูฮาผู้ซึ่งฮอนคิดถึงเป็นอย่างมากกลับไม่ได้คิดถึงเขาเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“บอกแล้วไงขอรับว่าตอนนี้ไม่ได้! เราจะขี่ม้าในคืนเดือนแรมได้อย่างไรขอรับ!” 


 


 


“เดี๋ยวก็คลาดอีกหรอก! ข้าไม่ฟังเจ้าแล้ว จริงๆ เลย!” 


 


 


โฮจินกับรยูฮาเริ่มเปิดศึกการโต้เถียงที่ดูเหมือนจะไม่จบสิ้นขึ้น ภายในห้องรกรุงรังจนไม่กล้าเปิดตาดูหลังจากการสู้รบครั้งหนึ่งผ่านไปเรียบร้อย ส่วนยอนฮวาที่เงี่ยหูฟังอยู่ข้างนอกด้วยความร้อนใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจผลักประตูเข้าไปด้านใน 


 


 


“คือว่า นายหญิง…ว้าย!” 


 


 


“เอ๋? ท่านยอนฮวา?” 


 


 


โฮจินที่หยิบแจกันดอกไม้มาปาใส่รยูฮาเบิกตาโพลง ทำไมนางถึงอยู่ที่นี่ได้ 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ ไม่ได้เจอกันนาน สวยขึ้นกว่าเดิมอีกนะขอรับ” 


 


 


รยูฮาตะลึงจนพูดไม่ออกกับท่าทีของโฮจินที่กระหยิ่มยิ้มย่องเข้าไปหายอนฮวาพร้อมกับถามว่าไปอยู่ที่ไหนมา หลังจากเพิ่งจะถลึงตาและต่อล้อต่อเถียงว่าอยากตายหรือไงก่อนหน้านี้ ช่างเป็นคนที่เพี้ยนจริงๆ 


 


 


“ท่านโฮจินกรุณาถอยออกไปด้วยเจ้าค่ะ และกรุณาอย่าเข้ามาใกล้ข้าเกินสามก้าวเจ้าค่ะ ข้ามีสามีแล้ว” 


 


 


ใบหน้ายอนฮวาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะรีบเข้าไปแอบข้างหลังรยูฮาอย่างรวดเร็วราวกับกระรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองจะพูด 


 


 


“นายหญิง ข้างนอกนั่นมันมืดมากนะเจ้าคะ อีกไม่กี่ชั่วยาม ตะวันก็จะขึ้นแล้ว รอจนกว่าจะถึงตอนนั้นแล้วค่อยไปเถอะเจ้าค่ะ” 


 


 


“โอ๊ย ให้ตายเถอะ” 


 


 


ขนาดยอนฮวายังบอกแบบนี้ นางจึงเริ่มใจอ่อน รยูฮาใช้เท้าเตะโฮจินที่ไม่ได้มีความผิดใดๆ อย่างแรง แล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง ทำไมนางจะไม่รู้ว่าการขี่ม้าเร็วในยามค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ มันอันตรายจนถึงขั้นเสี่ยงชีวิต ทำไมจะไม่รู้ว่าแม้จะไม่มีตน มินอาก็อยู่อย่างสบายดีได้ด้วยตัวเอง แต่จิตใจอันร้อนรุ่มทำงานต่างกับสมอง ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แค่เรื่องอะไรเล็กน้อยก็ร้องไห้แล้วและคงจะลำบากพอตัวเพราะไม่มีอาหารที่ถูกปากเลย ดังนั้นพอคิดถึงมินอาที่โดดเดี่ยวไม่มีคนคอยดูแล จึงรู้สึกปวดใจจนน้ำตาไหลออกมาทุกที 


 


 


“ข้าจะออกเดินทางทันทีที่ตะวันขึ้น ยอนฮวา ช่วยห่อข้าวไว้กินระหว่างทางให้หน่อยนะ เอาเป็นของง่ายและเนื้อเยอะๆ” 


 


 


“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ นายหญิง” 


 


 


หลังจากโน้มน้าวใจรยูฮาได้สำเร็จ ใบหน้ายอนฮวาจึงเต็มไปด้วยความดีใจก่อนจะออกไปข้างนอก นางอยากห่อข้าวให้ด้วยตนเอง แต่ก็รู้ดีกว่าใครว่าฝีมือตนเองนั้นไม่ได้เรื่อง อย่างไรก็ตามนางว่าจะตื่นแต่เช้ามืดและช่วยเตรียมวัตถุดิบอยู่ข้างๆ สามีก็ยังดี 


 


 


“เจ้าออกไปซะ ข้าอารมณ์ไม่ดี” 


 


 


“แต่นี่ห้องข้านะ” 


 


 


“บอกให้ออกไปไง!” 


 


 


หากไปสะกิดรยูฮาในตอนที่อารมณ์เสียอยู่โดยไม่ระมัดระวังล่ะก็ นางจะระเบิดออกมาแบบนี้ โฮจินบ่นพึมพำในขณะที่เดินออกมาจากห้องพัก แล้วไปเอนตัวลงนอนที่ห้องข้างๆ ซึ่งเดิมทีจองไว้ให้เป็นห้องของรยูฮา แน่นอนว่าเขาก็อยากวิ่งออกไปตามหามินอาเดี๋ยวนี้เช่นกัน หากตัวคนเดียวก็คงจะออกไปตามหามินอาแล้ว ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน มีแสงจันทร์หรือไม่มี แต่ในเมื่อมีรยูฮาอยู่จึงไม่สามารถยินยอมให้ไปเสี่ยงอันตรายที่แม้จะน้อยนิดมากก็ตาม เขามีน้องสาวสองคน ซึ่งอารมณ์พลุ่งพล่านง่ายด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งหนีออกจากบ้าน ส่วนอีกคนก็ดื้อรั้น โฮจินหลับตานอนเพื่อวันพรุ่งนี้ ทั้งที่เขาเองก็เศร้าเสียใจเหมือนกัน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“เหนื่อยหน่อยนะ เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ” 


 


 


เมื่อมินอายื่นเหรียญเงินจำนวนที่มากกว่าที่ตกลงกันไว้ให้ ปากของคนขับรถม้าจึงฉีกไปถึงใบหู 


 


 


“ให้ตายเถอะ นี่มันเยอะ…!” 


 


 


“เจ้าไปใช้เวลากับลูกๆ เถอะ แล้วก็ซื้อเสื้อผ้าสักชุดให้ภรรยาที่ทำงานอย่างหนักด้วย” 


 


 


แค่นี้ก็มาไกลมากแล้ว แม้จะอยากไปอีกนิดจนกระทั่งถึงชายแดนที่เคยไปกับชาน แต่แค่ตรงนี้ก็ไกลมากเกินพอแล้ว ระยะทางที่มินอาสามารถมาได้มีขีดจำกัดถึงแค่ตรงนี้เท่านั้น ไม่สิ นางข้ามผ่านขอบเขตมาแล้วเสียด้วยซ้ำ หัวเมืองในชนบทที่ถูกแยกออกเป็นหมู่บ้านคนจนและหมู่บ้านคนรวย โดยมีลำธารเล็กๆ ซึ่งไหลเอื่อยๆ และแผ่นน้ำแข็งแตกหักด้วยแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิคั่นกลาง หากมองผ่านๆ ก็คงจะคิดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่หากมองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่าเด็กๆ ที่มองนางด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นนั้นไม่ผอมโซอีกต่อไปแล้ว ทั้งที่อยู่ในช่วงขาดแคลนอาหารการกินซึ่งเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของปี 


 


 


“ทรงมองดูอยู่หรือเปล่าเพคะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงช่วยเด็กเหล่านั้นเอาไว้เพคะ” 


 


 


เดินย่ำไปตามทางที่ชานเคยเหยียบพร้อมกับเสียงที่พูดอย่างแผ่วเบา เส้นทางที่เคยตามรยูฮากับมินอาซึ่งมุ่งตรงไปยังหอนางโลมมาโดยไม่เต็มใจ การก้าวเดินหยุดตรงด้านหน้าประตูทางเข้าขนาดใหญ่ที่มีโคมไฟสีแดงซึ่งไฟดับลงแล้วส่ายไปส่ายมาตามลม 

 

 

 


ตอนที่ 13-6

 

‘ดูให้ดี เจ้านี่นิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่หรอก แต่หากถอดชุดเครื่องแบบออกก็เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลย’ 


 


 


นางยืนอยู่ตรงที่ที่ชานเคยพูดเช่นนั้น แล้วย่อตัวลงกำดินขึ้นมา แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ดินที่เย็นเฉียบ แต่ปากของมินอาก็ยิ้มแย้มอย่างอบอุ่น ตั้งแต่เกิดมานั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกว่าสาวสวย แถมยังเป็นผู้ชายที่ตนเองแอบมีใจให้ด้วย ดังนั้นนั่นจึงเป็นครั้งแรกที่นางหน้าแดงต่อหน้าผู้ชายเช่นกัน มินอาหวนนึกถึงความทรงจำสักพัก และในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน 


 


 


“จะเข้าพักใช่ไหมเจ้าคะ” 


 


 


เสียงอันสดใสของหญิงสาวดังขึ้นข้างหู ดูท่าจะเหม่อมากทีเดียวจึงไม่รับรู้แม้กระทั่งเสียงประตูเปิด มินอายิ้มเจื่อนแล้วหมุนตัวไปหาหญิงสาวที่ออกมาจากด้านใน ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะนางว่าจะพักที่นี่สักคืนอยู่แล้ว 


 


 


“ท่านองครักษ์” 


 


 


มินอาขมวดคิ้วเล็กน้อยกับการตอบสนองที่เหมือนกับรู้ว่าตนเองคือใคร รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ใครกันนะ มินอาพินิจมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าสักพัก ในที่สุดก็นึกออกว่าหญิงสาวคนนั้นคือใคร 


 


 


“โซยู?” 


 


 


“ท่านองครักษ์!” 


 


 


เมื่อเห็นว่าจำตัวเองได้ โซยูจึงยิ้มอย่างสดใส แต่ในไม่ช้ารอยยิ้มนั้นก็ปนไปด้วยความสงสัยและความสับสน ผู้ที่ควรจะคอยช่วยเหลือพระมเหสีอยู่ตอนนี้ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง แล้วการแต่งตัวนั่นมันอะไรกัน 


 


 


“คือว่า…ไม่สิ ข้านี่เสียมารยาทจริง เชิญเข้าด้านในก่อนเลยเจ้าค่ะ ให้ท่านผู้สูงศักดิ์มายืนรออยู่แบบนี้ ช่างเป็นการเสียมารยาทจริงๆ เจ้าค่ะ” 


 


 


แม้จะไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ แต่มินอาก็เก็บซ่อนความขมขื่นไว้ใต้ใบหน้าอันเฉยเมยตามความเคยชินก่อนจะเดินตามนางไป ห้องของโซยูที่คราวที่แล้วไม่ได้เข้ามาทั้งใหญ่และหรูหรายิ่งกว่าห้องนอนของรยูฮาในวังหลวงเสียอีก แต่ในทางกลับกันมันค่อนข้างเหมาะกับโซยูพอสมควร จึงไม่รู้สึกถึงความแปลกแยกใดๆ 


 


 


“มาถึงที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ นอกจากนั้นแล้ว…ยัง…” 


 


 


“มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ข้าอยากจะพักที่นี่สักคืนนึง” 


 


 


“ได้เลยเจ้าค่ะ แต่ข้าควรเรียกท่านองครักษ์ว่า…” 


 


 


“เรียกตามที่เคยเรียกเถอะ” 


 


 


มินอาพูดอย่างแข็งกร้าวแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ชากลิ่นดีทีเดียว เบื้องหน้าของนางเริ่มพร่ามัวในเวลาเดียวกับที่คิดเช่นนั้น 


 


 


“ท่านองครักษ์! ท่านองครักษ์!” 


 


 


โซยูตกใจกรีดร้องเสียงดังพร้อมกับรับตัวมินอาเอาไว้ ส่วนถ้วยชาที่ร่วงหล่นก็กลิ้งตกลงไปใต้โต๊ะ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


รยูฮาหน้างอขึ้นนิดหน่อยหลังจากเห็นรถม้าที่วิ่งมาอย่างกระปรี้กระเปร่าจากอีกฝั่ง เพราะว่าถนนแคบลงจนม้าสองตัวแทบจะไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ต้องสลับกันวิ่ง ทว่าฝั่งนั้นเองก็ลำบากเช่นกัน เพราะพวกเขาทั้งสองที่ไม่ว่าจะดูจากม้าที่ขี่อยู่หรือจะดูจากการแต่งตัวก็เป็นผู้สูงศักดิ์แน่นอน คนขับรถม้าจึงเป็นฝ่ายหลบทางให้ เขาลงจากม้าอย่างไม่มีทางเลือกและจับสายบังเ**ยนเพื่อให้ชิดข้างทางมากที่สุด 


 


 


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าหลบให้ เจ้าไปก่อนเลย” 


 


 


แม้กระทั่งโฮจินที่ไม่เคยคิดถึงอะไรก็ยังเดาะลิ้นไม่พอใจให้กับคำพูดของรยูฮาและหลบไปด้านข้าง สายตาของรยูฮาที่มองดูคนขับรถม้าที่โค้งคำนับหลายครั้งพร้อมกับบอกขอบคุณหรี่ลงเล็กน้อย เป็นเพียงรถม้าธรรมดาๆ ที่ดูราคาไม่แพง แต่ภายในนั้นปูด้วยเบาะรองนั่งนุ่มๆ ที่ดูเป็นของคุณภาพสูง 


 


 


“เจ้า หยุดก่อน!” 


 


 


“ว่าอย่างไรขอรับ นายหญิง” 


 


 


คนขับรถม้าตระหนกตกใจเพราะกลัวว่าจะโดนหาเรื่องจับผิดอะไรบางอย่างจึงรีบก้มหัวลงอย่างนอบน้อม แต่รยูฮาไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย นางลงจากม้าแล้วมองเข้าไปด้านในรถม้า ของใหม่ที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน ซึ่งไม่น่าจะใช่สิ่งที่จะอยู่ในรถม้าแบบนี้ แม้จะไม่มีการประดับประดาอย่างหรูหรา แต่สำหรับรยูฮาซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งของดีๆ มาทั้งชีวิต จึงมองออกว่านั่นคือผ้าไหมราคาแพงได้ไม่ยาก 


 


 


“เจ้ามาจากที่ไหนและกำลังจะไปที่ไหนหรือ” 


 


 


“มีลูกค้าที่จะไปที่ไกลๆ ข้าจึงพาไปส่งจากเมืองหลวงจนถึงหัวเมืองทางด้านนู่นน่ะขอรับ” 


 


 


“ใช่คนที่ยังอายุน้อย ส่วนสูงพอๆ กับข้า ไม่ยิ้มแย้ม พูดจาแข็งกระด้างและหน้าตาดีใช่หรือไม่” 


 


 


“โอ๊ะ ท่านรู้จักกับเขาหรือขอรับ” 


 


 


เจอตัวแล้ว มันต้องอย่างนี้สิ ริมฝีปากของรยูฮาเปื้อนยิ้มด้วยความพอใจ โฮจินที่เหลียวหลังมาแวบหนึ่งก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน 


 


 


“ขอบใจนะ เจ้ารีบไปเถอะ” 


 


 


“ขะ ขอรับ ขอบพระคุณขอรับ” 


 


 


หลังจากคลายความกังวลอันใหญ่หลวงได้ คนขับรถม้าก็รีบเร่งเพื่อให้หลุดพ้นจากชายหญิงผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนที่ดูทะแม่งๆ โดยเร็วที่สุด รยูฮาจ้องมองเบื้องหลังของเขาสักพักก็กระโดดขึ้นม้าอีกครั้ง ส่วนโฮจินก็จูงสายบังเ**ยนอยู่ข้างหลัง 


 


 


“พอรู้ว่าจะถูกจับได้ ก็เลยมาไกลถึงขนาดนี้เลยสินะ” 


 


 


พอมั่นใจที่อยู่ของมินอาซึ่งไล่ตามมาจากการคาดเดาล้วนๆ แล้ว รยูฮาจึงกลับมารู้สึกผ่อนคลายได้อีกครั้ง จริงๆ แล้วก็กังวลเหมือนกันว่าหากมาจนถึงที่นี่แล้ว แต่กลับคาดเดาผิดจะทำอย่างไร ถ้านางไปที่ที่คาดไม่ถึงจะทำอย่างไร แต่ความกังวลนั้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“นางมาทางนี้จริงๆ ด้วย” 


 


 


โฮจินที่ตามรยูฮามาด้วยความงงงวยอุทานออกมาในขณะที่ขี่ม้า 


 


 


“ถึงจะวิ่งไปไกลแค่ไหนก็อยู่ในกำมือข้าอยู่ดี” 


 


 


ทั้งสองวิ่งผ่านทุ่งกว้างราวกับสายลมในช่วงพลบค่ำแสนเย็นสบายไปถึงหัวเมืองที่มินอาอยู่ เมื่อเด็กๆ ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์วิ่งกรูกันมาดูม้าสีนิลจึงต้องลงไปจูงม้าแทน แต่ฝีเท้านั้นเบาสบายมากทีเดียว ไปที่ไหนกันนะ รยูฮาคิดว่าควรจะต้องไปพบเจ้าเมืองก่อนจึงเปลี่ยนทิศทางไปยังจวนเจ้าเมือง แต่แล้วก็หยุดอยู่กับที่และหันไปมองเด็กๆ ที่เอียงอายอยู่ข้างๆ 


 


 


“มานี่หน่อยสิ” 


 


 


เสียงอันนุ่มนวลทำให้เด็กคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยจากบรรดาเด็กที่มองตากันและกัน รยูฮาฝากสายบังเ**ยนไว้กับโฮจินและย่อตัวลงไปนั่งในระดับสายตาเดียวกับเด็ก 


 


 


“วันนี้มีแขกคนหนึ่งมาที่หัวเมืองนี้ใช่ไหม” 


 


 


“เอ่อ แขกคืออะไรหรือขอรับ” 


 


 


“หมายถึง มีคนแปลกหน้ามาใช่ไหม” 


 


 


“เอ๋? มาขอรับ ข้าเห็น!” 


 


 


“ข้าก็ด้วย! ข้าก็เห็นเหมือนกันขอรับ!” 


 


 


เมื่อถามว่าใครเห็นผู้สูงศักดิ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในชนบทบ้าง เด็กๆ จึงตื่นเต้นและวิ่งเบียดกันเข้ามากระโดดเหยงๆ ทุกคนต่างต้องการที่จะบอกสิ่งที่ตัวเองเห็นให้รยูฮา 


 


 


“ข้าเห็นนายท่านลงจากรถม้าเมื่อตอนกลางวันขอรับ!” 


 


 


“รูปงามมากเลยเจ้าค่ะ!” 


 


 


“เขาไปที่บ้านที่มีพวกพี่สาวสวยๆ อยู่เจ้าค่ะ!” 


 


 


คำพูดของเด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มทำให้สายตาของรยูฮาหยุดมองที่นาง 


 


 


“พวกพี่สาวสวยๆ?” 


 


 


“ตรงนู้นคือบ้านที่พวกพี่สาวสวยๆ อยู่เจ้าค่ะ!” 


 


 


ยังไม่ทันได้ขอให้นำทางไป แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คว้ามือของรยูฮาหมับและเริ่มออกวิ่งราวกับเต้นระบำ จะถูกหลอกหรือเปล่านะ แต่รยูฮาก็ไม่ได้อารมณ์เสียที่ฝ่ามือซึ่งคล้ายกับใบเมเปิลจับมือของนางไว้แน่น เด็กผู้หญิงหยุดยืนตรงสถานที่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือรยูฮาแล้วชี้บอกว่า “บ้านที่พวกพี่สาวสวยๆ อยู่” ด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ 


 


 


“แต่ว่า แม่บอกข้าว่าห้ามข้ามตรงนี้ไปเจ้าค่ะ” 


 


 


“ยัยโง่ ก็แอบเข้าไปสิ!” 


 


 


“ไม่ได้นะ แม่บอกว่าต้องเชื่อฟังคำพูดของแม่ ถึงจะซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้”  

 

 


ตอนที่ 13-7

 

รยูฮาทิ้งเด็กๆ ที่เริ่มทะเลาะกันและไปยืนตรงหน้าหอนางโลมที่คุ้นตา แต่นางยังไม่ทันได้เคาะประตู ประตูใหญ่ก็ถูกเปิดพรวดออกมาเสียก่อน หมอที่มีหนวดหงอกประปรายคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูโดยมีหญิงสาวตามมาส่งด้วย 


 


 


“กลับดีๆ นะเจ้าคะ โอ๊ะ?” 


 


 


เมื่อโซยูเงยหน้าที่โค้งคำนับท่านหมอขึ้นแล้วทำตาโตเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อที่เห็นรยูฮายืนอยู่ตรงหน้าประตู เท่าที่นางรู้ นางไม่ใช่คนที่จะมาปรากฏตัวอยู่ในชนบทแบบนี้ แต่นั่นคือนางไม่ผิดแน่ 


 


 


“สบายดีไหม” 


 


 


“พระชายา ไม่ใช่สิ พระมเหสี ถวายบังคมเพคะ!” 


 


 


รยูฮามองดูโซยูที่โค้งตัวลงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้แล้วยิ้มแย้มพร้อมกับตบไหล่นางเบาๆ 


 


 


“ข้ามาหาท่านองครักษ์ของเจ้าน่ะ” 


 


 


“หากทรงหมายถึง…ท่านองครักษ์…” 


 


 


หน้าโซยูหมองลงเล็กน้อย แต่เพราะว่ายังโค้งคำนับอยู่ รยูฮาจึงไม่สังเกตเห็น ส่วนโฮจินก็เอาแต่ตามเซ้าซี้โซยูไม่ดูตาม้าตาเรือ จึงถูกรยูฮาฟาดท้ายทอยไปหนึ่งที 


 


 


“เสด็จเข้ามาก่อนเถอะเพคะ อยู่ข้างในเพคะ” 


 


 


รอยยิ้มกลับคืนมาบนใบหน้าของทั้งสองที่เข้ามาด้านในตามการนำทางของโซยู แต่ไม่นานก็มีสีหน้าตึงเครียดเหมือนเดิม เพราะรอยเลือดสีแดงที่เห็นแวบๆ ข้างล่างชายผ้าห่มสีขาวที่ยับยู่ยี่เล็กน้อยและมินอาที่นอนอยู่บนนั้นด้วยใบหน้าซีดเซียว ภาพที่ไม่อยากจะเชื่อแม้จะเห็นด้วยตาตัวเองทำให้มือรยูฮาสั่นเทา แล้วตรงไปหามินอาอย่างรวดเร็ว 


 


 


“มินอา” 


 


 


ลองเรียกเบาๆ แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา โซยูส่ายหน้าเบาๆ แล้วเข้าไปห้ามนางที่พยายามจะเรียกอีกครั้ง 


 


 


“ไม่ได้เพคะ ท่านหมอสั่งว่าต้องให้พักผ่อนอย่างเต็มที่เพคะ” 


 


 


เฮ้อ รยูฮาพยายามปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอและค่อยๆ เอามือออก ตอนนี้ถึงคราวที่จะถามคำถามที่กลัวคำตอบแล้ว แววตาที่ไม่สงบนิ่งเลยสักนิดและเต็มไปด้วยความกังวลหันมามองโซยู แต่โฮจินเป็นคนถามแทนรยูฮาที่ไม่กล้าถามออกไปและเอาแต่ขยับปากขึ้นลง 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกับเด็ก” 


 


 


“ถึงจะรีบรักษาอาการแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก อีกทั้งอาการตกเลือดก็หยุดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้เพคะ และเพราะว่าชีพจรยังคงอ่อนแรงอยู่จึงไม่ควรขยับเขยื้อนจนกว่าท่านหมอจะบอกเพคะ” 


 


 


“เฮ้อ” 


 


 


อย่างน้อยก็เป็นเรื่องโชคดีท่ามกลางข่าวร้าย รยูฮาทรุดลงกับพื้นแล้วซบหน้าลงข้างๆ มือของมินอาพลางถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปมองโฮจิน สายตาที่มีจุดประสงค์อย่างแน่นอนทำให้โฮจินถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง 


 


 


“ข้าขี้เกียจไปพามา…แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” 


 


 


“อย่าบอกนะว่า” 


 


 


“ไปพาหมอหลวงมา ข้าให้เวลาสองวัน” 


 


 


“พูดอะไรเพ้อเจ้อขอรับ เห็นคนเป็นคยอกรังหรือไง” 


 


 


“สามวัน ไปซะ ไม่ต้องใช้เกี้ยวหรือรถม้า ให้ขี่ม้ากลับมา” 


 


 


แผ่นหลังของโฮจินที่ต้องย้อนกลับไปทางเดิมอีกรอบ หลังจากมาถึงจุดหมายได้แค่แป๊บเดียวดูห่อเ**่ยวชอบกล แต่รยูฮาไม่สนใจ นางนั่งลงข้างๆ เตียงอย่างสุภาพเรียบร้อยและค่อยๆ เช็ดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผากมินอาอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ชื่อโซยูใช่ไหม” 


 


 


“เพคะ พระมเหสี” 


 


 


“เรียกว่านายหญิงก็พอ เพราะว่าต้องคอยดูแลมินอาอยู่แบบนี้ คงทำให้เจ้าลำบากแย่เลยสินะ ขอบใจเจ้ามาก” 


 


 


รอยยิ้มที่รยูฮาคลี่ยิ้มให้เล็กน้อย ทำให้โซยูวางตัวไม่ถูก อย่างมากสุดนางก็เป็นแค่นางบำเรอด้อยค่าในหอนางโลมที่ชนบทเท่านั้น แต่ผู้ที่สูงศักดิ์เช่นนั้นกลับนั่งตรงหน้าและพูดขอบคุณนาง 


 


 


“มันเป็นสิ่งที่ควรจะทำเจ้าค่ะ อย่าได้พูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเด็กในท้องนี่เป็นใคร” 


 


 


“อ้า ไม่รู้เจ้าค่ะ” 


 


 


มือของรยูฮาลูบปลายนิ้วมือมินอาที่ห้อยลงด้านล่างอย่างไร้เรี่ยวแรงอย่างเงียบๆ 


 


 


“หลานของพระราชา หลายแท้ๆ ของพระราชาอย่างไรเล่า” 


 


 


หลานของพระราชาอย่างนั้นหรือ แม้แต่โซยูที่เชี่ยวชาญเรื่องซ่อนความรู้สึกยิ่งกว่าใครอื่นยังอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง 


 


 


“หากถึงเวลากลับไปที่วัง ข้าจะมอบรางวัลใหญ่ให้แก่เจ้า คิดไว้เลยนะว่าอยากได้สิ่งใด” 


 


 


คำพูดที่คาดไม่ถึงทำให้หัวใจของโซยูเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ หรือว่าตอนนี้แหละที่จะได้ออกไปจากหอนางโลมอันคับแคบและน่าอึดอัดนี้เสียที ในตอนที่โซยูกำลังจะพูดออกมา เสียงที่เหมือนกับละเมอก็พุ่งตรงไปหารยูฮา 


 


 


“พระ…มเหสี?” 


 


 


“มินอา!” 


 


 


แม้จะเห็นรยูฮา แต่มินอาก็ไม่ฝืนลุกขึ้นมา รยูฮาเองก็ทำแค่เพียงก้มลงไปมองมินอาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเบาใจและความเป็นห่วง โดยที่ยังกุมมืออันเย็นเฉียบของนางไว้แน่น 


 


 


“ลูก…” 


 


 


“ไม่เป็นไรแล้ว แต่หมอสั่งห้ามไม่ให้ลุกขึ้นมาโดยเด็ดขาด โฮจินกำลังไปพาหมอหลวงมา” 


 


 


มินอาลูบท้องเบาๆ และยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เด็กที่อดทนจนผ่านเรื่องยากลำบากทั้งหมดมาได้ไม่มีทางหมดท่าด้วยเรื่องแค่นี้หรอก สีหน้าที่ไม่คุ้นตาทำให้รยูฮายิ้มออกมาพร้อมกับลูบหัวที่ยุ่งเหยิง 


 


 


“เจ้าเก่งกว่าข้าเสมอเลยนะ ตอนนี้ก็เช่นกัน” 


 


 


บทสนทนาที่เริ่มขึ้นจากนี้คือเรื่องราวภายในราชวงศ์ โซยูจึงลุกขึ้นจากที่เงียบๆ แล้วบอกว่าจะไปต้มยาสมุนไพรมาให้ก่อนจะหายออกไปข้างนอก ก่อนที่รยูฮาจะสั่งให้ออกไปเสียอีก 


 


 


“ตอนนี้หม่อมฉันไม่เป็นไรแล้วเพคะ เสด็จกลับวังหลวงไปเถอะเพคะ หากผู้ใดรู้ถึงการมีอยู่ของเด็กคนนี้ล่ะก็…” 


 


 


“นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะเป็นห่วงเรื่องนี้นะ ตอนนี้คิดแค่เรื่องดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดีก็พอ” 


 


 


“แต่เขาคือเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้ก่อกบฏนะเพคะ” 


 


 


“ชู่ว พักผ่อนให้เต็มที่และทำใจให้สงบนะ” 


 


 


รยูฮาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้จนถึงคอของมินอาและจัดเหลี่ยมมุมผ้าห่มให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ขยับเขยื้อนได้ 


 


 


“เขาคือหลานของพระราชา หลานคนแรกของราชวงศ์และตระกูลซอ เดี๋ยวฝ่าบาทจะทรงจัดการแก้ไขเรื่องนี้ให้” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ฝ่าบาท เจ้ากรมกลาโหม ซอโฮจินขอเข้าเฝ้า…” 


 


 


โฮจินเดินเข้ามาในประตูที่ถูกเปิดออกก่อนที่ขันทีจะพูดจบ ดูท่าคงจะโยนชุดขุนนางทิ้งแล้ว จึงอยู่ในชุดคลุมที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินเหมือนเคย ขันทีตกตะลึงหน้าซีด แต่ฮอนลุกพรวดขึ้นและต้อนรับเขาด้วยความยินดี ด้วยเหตุนั้นหนังสือถวายฎีกาที่กองกันอยู่อย่างน่าหวาดเสียวจึงพังครืนลงมาที่พื้น 


 


 


“กระหม่อมจะมาพาหมอหลวงไปพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“กรุณาสำรวมกิริยามารยาทด้วยขอรับ ท่านเจ้ากรมกลาโหม!” 


 


 


“ดุเสียจริง เจ้าไปตามหมอหลวงมาสิ” 


 


 


ขันทีว่ากล่าวตักเตือนโฮจินเสียงดัง ก่อนจะโดนฮอนไล่ออกไป ทำให้เขาต้องรีบไปตามหมอหลวงโดยไม่มีเวลาให้รู้สึกทุกข์ใจ 


 


 


“เจอตัวแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“เจอแล้วตัว สบายดีแต่เจ้าตัวเล็กเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ขอรับ” 


 


 


“เจอที่ไหนล่ะ” 


 


 


“หอนางโลม ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ” 


 


 


“…อ๋อ ที่นั่นเองรึ” 


 


 


ฮอนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ แหงนหน้ามองเพดานและถอนหายใจ วันที่เคยนั่งล้อมกันเป็นวงแล้วดื่มเหล้ากันสี่คนโผล่ขึ้นมาอย่างชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ตอนนี้ไม่มีชานแล้ว ความทรงจำของพี่ชายที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยมักจะลากเขาเข้าไปในความเจ็บปวดเสมอ ไม่ว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ดีหรือความทรงจำอันเลวร้ายก็ตาม 


 


 


“พระมเหสีสบายดีใช่หรือไม่” 


 


 


“แน่นอน” 


 


 


“จะเสด็จกลับมาประมาณเมื่อไหร่เล่า” 


 


 


“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงจะไม่ใช้เวลานานหรอกมั้ง” 


 


 


ฮอนรู้สึกท้อใจกับคำพูดนั้น แต่จู่ๆ ก็รู้สึกถึงอะไรที่แปลกมากๆ จากคำตอบของโฮจิน เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าการพูดจาห้วนๆ ของเขาฟังดูไม่สุภาพขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย 


 


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะพูดจาห้วนขึ้นกว่าเดิมนะ” 


 


 


“เหรอ ก็คงจะอย่างนั้น”  

 

 


ตอนที่ 13-8

 

สายตาของฮอนมองปราดโฮจินตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะจับจ้องไปที่สีหน้าซึ่งไร้มารยาท เขานึกสงสัยว่าทำไมเจ้าบ้านั่นถึงได้ปรากฏตัวออกมาด้วยความบ้าขึ้นไปอีก เขาคิดหาเหตุผลนั้นพลางขมวดคิ้วแน่น 


 


 


“ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้นะ แต่กับความมั่นคงของราชวงศ์ พลังอำนาจที่อหังการนั้น…” 


 


 


ฮ่าๆ โฮจินขัดคำพูดของฮอนด้วยการหัวเราะ ซึ่งไม่ใช่การหัวเราะเพราะตลกหรืออารมณ์ดีอย่างแน่นอน 


 


 


“เรื่องนั้นมันสำคัญถึงขนาดนั้นเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งกว่าชีวิตของเลือดเนื้อเชื้อไขอีกหรือ” 


 


 


“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่” 


 


 


โฮจินดึงเก้าอี้มานั่งอย่างแรง ท่าทางของเขาดูก้าวร้าวมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะเขาก็ไม่ได้มีมารยาทตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 


 


 


“มินอายังไม่ฟื้นและนอนแน่นิ่งเหมือนกับศพทั้งที่เลือดไหลออกมาพลั่กๆ นางเคยเป็นเด็กที่แม้จะมีแผลถูกแทงทั่วทั้งตัวก็ยังตะโกนโหวกเหวกและขว้างปาสิ่งของใส่ข้าได้” 


 


 


“เป็นเพราะข้าอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ลองบอกว่าไม่ใช่ดูสิ เพียงแค่เห็นไอ้พวกที่ทำมาเป็นพูดว่าจะดูแลพระราชบัญชาเฮงซวย ที่ไหนได้กลับฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง ข้าก็โกรธจนกัดฟันกรอดแล้ว” 


 


 


ฮอนกุมขมับและถอนหายใจออกมายาวเหยียด แน่นอนว่าคำพูดของโฮจินนั้นแรงจนเกินขอบเขต แต่เดาว่าพวกคำพูดที่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองน่าจะรุนแรงกว่าเขามาก ความมีเกียรติของราชวงศ์ที่สูญเสียตั้งแต่พระราชา พระมเหสี นางสนม ไปจนถึงองค์ชายร่วงหล่นลงพื้นเหมือนกับหนังสือภวายฎีกาพวกนั้นเช่นกัน 


 


 


“ฝ่าบาท ท่านหมอหลวงมารอพระบัญชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ให้เขาเข้ามา” 


 


 


หมอหลวงเข้ามาในห้องทรงงาน แล้วจึงโค้งคำนับด้วยกิริยาสุภาพนอบน้อมผิดกับโฮจินโดยสิ้นเชิง 


 


 


“ฝ่าบาทเรียกกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เตรียมยาสมุนไพรที่ดีต่อคนท้องและตามเจ้ากรมกลาโหมไปซะ และห้ามหลุดปากออกมาเด็ดขาดว่าเจ้าไปที่ไหนและเห็นอะไรบ้าง เข้าใจหรือไม่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


ยาสมุนไพรที่ดีต่อคนท้องอย่างนั้นหรือ หรือว่าฝ่าบาทจะทรงมีสตรีที่ซุกซ่อนไว้อยู่ หมอหลวงคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีนางสนมเข้ามาอีกหนึ่งคนสินะ ซึ่งมันคือความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิง ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาตระเตรียมยาสมุนไพรและกล่องเข็มที่ใช้ฝังเข็มได้อย่างหวุดหวิด และต้องนั่งบนหลังม้าไปโดยที่ตัวติดกับแผ่นหลังของเจ้ากรมกลาโหม 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“มินอา ดูนี่สิ” 


 


 


รยูฮาเด็ดดอกไม้มาเต็มอ้อมแขนแล้วเข้ามาในห้อง มินอาที่กำลังนั่งลูบคลำอะไรบางอย่างบนเตียงสะดุ้งตกใจและซ่อนมันไว้ข้างหลัง 


 


 


“ช่วยส่งเสียงก่อนเข้ามาด้วยสิเพคะ!” 


 


 


“โอ๊ะ นั่นมันอะไรหรือ อะไรน่ะ” 


 


 


หลังจากกินยาสมุนไพรสามครั้งต่อวันอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ขยับเขยื้อน มินอาก็ลุกขึ้นมานั่งได้ภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ หมอหลวงจึงนั่งเกี้ยวที่ฮอนส่งมากลับเข้าวังไป แต่รยูฮาบอกว่าถ้าไม่ได้กลับพร้อมกันกับมินอาก็จะยังไม่กลับไปเด็ดขาดและดื้อดึงที่จะอยู่หัวเมืองต่อ จึงเป็นหน้าที่ของโฮจินที่ต้องรีบจัดการหาบ้านว่างๆ ในหมู่บ้านเศรษฐี ส่วนรยูฮาก็ยอมลำบากต้มยาสมุนไพรให้มินอากินด้วยตัวเอง 


 


 


“ไม่มีอะไรเพคะ” 


 


 


“เจ้ากำลังซ่อนอะไรบางอย่าง…จากข้าสินะ” 


 


 


รยูฮาทำหน้าเศร้าในทันที จากนั้นจึงวางแจกันดอกไม้และตกแต่งดอกไม้ที่เอามาพร้อมกับบ่นพึมพำว่า ข้าอุตส่าห์ขึ้นไปเด็ดดอกไม้พวกนี้ที่ภูเขาด้านหลังเพื่อที่จะให้เจ้าดูนะ ซึ่งเป็นตอนที่มินอาดูอ่อนแอที่สุด 


 


 


“อย่าตรัสเช่นนั้นสิเพคะ” 


 


 


“ไม่ ถ้าเจ้าไม่ชอบ…ก็ช่วยไม่ได้ ข้าออกไปข้างนอกดีกว่า คิดถึงจังเลยเพคะ ฝ่าบาท…” 


 


 


“เฮ้อ จริงๆ เลย” 


 


 


มินอาทำหน้าบูดเบี้ยวและเอาของที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา ความกังวลจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรยูฮาที่รีบฉวยสิ่งนั้นมากางออกอย่างรวดเร็ว นี่มัน… 


 


 


“เจ้ากำลังฝึกเย็บผ้าอยู่หรือ ทำไม…?” 


 


 


“ไม่ได้ฝึกเพคะ” 


 


 


มินอาลูบหน้าหนึ่งทีก่อนจะแย่งมันคืนมาจากรยูฮา จึงเกิดการทะเลาะกันระหว่างรยูฮาที่ไม่ให้แย่งคืนกับมินอาที่พยายามจะแย่งคืนมาให้ได้ขึ้น และสุดท้าย… 


 


 


แคว้ก! 


 


 


“โอ๊ะ…?” 


 


 


รยูฮากำชิ้นผ้าที่ฉีกขาดไว้ในมือและมองมือตัวเองสลับกับมินอาด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาของมินอาที่สบกับสายตาของนางคลอไปด้วยน้ำตา นางผู้ซึ่งไม่เคยน้ำตาไหลออกมาสักหยดถึงแม้จะถูกดาบแทง ช่วงนี้กลับกลายเป็นว่าร้องไห้บ่อยครั้ง ถ้าให้พูดจริงๆ ก็คือนางร้องไห้บ่อยยิ่งกว่ายอนฮวาเสียอีก 


 


 


“ไม่ คือข้า ไม่ได้ตั้งใจ…” 


 


 


“ออกไปเพคะ!” 


 


 


หลังจากถูกไล่ตะเพิดออกมาข้างนอก รยูฮาจึงต้องออกมาเตะก้อนหินตรงนอกชานอย่างช่วยไม่ได้ ผ้านั่นมันอะไรกัน ถ้าไม่ใช่คนท้องคงผัวะไปแล้ว นางบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่เกิดมาเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลมหาเสนาบดีและเติบโตมาจนได้ขึ้นเป็นพระมเหสี นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่ได้รับการปฏิบัติที่แย่ 


 


 


“นายหญิง มาทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ” 


 


 


โซยูถืออาหารว่างที่สั่งให้หญิงรับใช้ในหอนางโลมจัดเตรียมเข้ามาที่สวนหน้าบ้านแล้วทำตาโต ในตอนแรกคิดว่านางเป็นพระมเหสีที่เจ้ายศเจ้าอย่างและหัวสูง แต่หลังจากได้เข้าๆ ออกๆ ที่นี่เป็นเวลาเดือนกว่าก็สบายใจมากขึ้นแล้ว เพราะนางเป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายที่สุดในบรรดาคนที่โซยูรู้จัก 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่จะไปเอาเหล้าสักขวดน่ะ” 


 


 


“พอได้โอกาสแล้วก็ดื่มแต่เหล้าแทนข้าวเลยนะขอรับ” 


 


 


โฮจินพูดจากระแหนะกระแหน ในขณะที่เหวี่ยงดาบไปมาท่ามกลางหุ่นไล่กา 


 


 


“กลับบ้านไปก็กินไม่ได้แล้ว ก็ต้องกินที่นี่ให้หนำใจสิ” 


 


 


โซยูไม่สนใจทั้งสองคนที่เริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง แล้วถือโต๊ะสำรับเข้าไปในห้อง แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็ออกมาข้างนอกด้วยสีหน้าลำบากใจอย่างยิ่ง ก่อนจะค่อยๆ โค้งให้รยูฮา 


 


 


“คือว่า ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้าค่ะ นายหญิง” 


 


 


ซุบซิบๆ โฮจินเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาจึงเดินมาข้างๆ และเงี่ยหูฟัง แต่ดันถูกรยูฮาถีบออกไปไกลๆ ก่อนที่จะจับใจความได้ พอโซยูพูดจบ รยูฮาก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับโซยู รยูฮาจมอยู่กับความคิดด้วยสีหน้าตึงเครียด จากนั้นก็บอกว่าจะออกไปข้างนอกสักพักและหายตัวออกไปข้างนอกด้วยความรีบเร่งโดยที่ไม่บอกว่าไปไหน 


 


 


“กินข้าวเถอะขอรับ” 


 


 


 


 


 


หลังจากไปตลาดแล้วหอบอะไรบางอย่างกลับมาเต็มอ้อมแขน รยูฮาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกมา นางปฏิเสธสำรับของว่างและเมื่อตะวันคล้อยลง จนในท้ายที่สุดโฮจินไปที่หน้าห้องของนางพร้อมกับเอาอาหารง่ายๆ ไปด้วย แต่นางตอบกลับมาเพียงแค่ให้วางไว้ตรงนั้น เขาจึงบ่นพึมพำและเข้าไปในห้องของมินอา ก่อนจะนั่งพาดขาไว้บนโต๊ะ 


 


 


“ทะเลาะกันรึ” 


 


 


“พูดเรื่องอะไรเจ้าคะ” 


 


 


“ถามว่าเมื่อกี้ทะเลาะกับยัยคนขี้โมโหนั่นมาเหรอ” 


 


 


“พูดอะไรไร้สาระ” 


 


 


มินอาเลิกมองเขาและหันกลับไปดูหนังสือที่กำลังอ่านอยู่อีกครั้ง 


 


 


“ไม่กลับวังหลวงหรือเจ้าคะ” 


 


 


“ยัยขี้โมโหต้องกลับ ข้าจึงจะกลับด้วย” 


 


 


“…ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำงานหรือเจ้าคะ” 


 


 


คำถามอันเฉียบแหลมของมินอาทำให้โฮจินสะดุ้ง เจ้ากรมกลาโหมอย่างนั้นหรือ งานที่ไม่ได้แตะม้า อำนาจทางการทหารหรือดาบใดๆ และต้องพลิกเอกสารไปมาทั้งวันพร้อมกับจัดวางกำลังพลทหาร หรือไม่ก็ตรวจสอบตารางการฝึกกับงบประมาณ เป็นงานที่ไม่มีวันเหมาะกับเขาได้เลย หากส่งเขาไปยังสุดชายแดนที่ซึ่งผู้อื่นคิดว่าเป็นสถานที่เนรเทศและสั่งให้กำจัดพวกคนป่าที่อาจหาญ ตอนนี้เขาก็คงจะได้ท่องไปในสนามรบด้วยความสนุกสนานไปแล้ว 


 


 


“แม่งเอ๊ย นั่นมันไม่ใช่ความผิดข้าเสียหน่อย เพราะว่าพระราชาผู้โง่เขลาใช้คนผิดต่างหาก” 


 


 


“แต่ท่านก็ดูเหมาะสมดีนะ แถมยังมีอำนาจมากขึ้นด้วย ดีจะตายไป” 


 


 


รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากมินอาแวบหนึ่ง เมื่อโฮจินที่ชอบทำอะไรโผงผางพอๆ กับรยูฮาต้องมานั่งในตำแหน่งขุนนาง ท่าทางของเขาที่ทำอะไรไม่ได้จึงดูตลกเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“อำนาจเหรอ เหลวไหลทั้งเพ จะมีอำนาจอะไรในโลกที่ซื่อสัตย์กว่าดาบอีก” 


 


 


“แต่ก็ต้องขอบคุณข้า ท่านถึงได้วันหยุดนะเจ้าคะ” 


 


 


เพราะว่าเป็นคำพูดของมินอาที่ปกติจะไม่พูดเล่น โฮจินจึงอดยิ้มไม่ได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะดีขึ้นแล้วสินะ 


 


 


“พักผ่อนเถอะ ข้าคงจะต้องไปประจันหน้ากับยัยขี้โมโหเสียหน่อย” 


 


 


“ยัยขี้โมโหคนนั้นคงจะไม่ใช่ข้าใช่ไหม”  

 

 


ตอนที่ 13-9

 

รยูฮาโผล่พรวดเข้ามาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงและใช้เท้าเตะขาของโฮจินที่พาดไว้บนโต๊ะอย่างแรง แม้ว่าเป็นการโจมตีที่ทำให้ล้มไปข้างหลังได้แน่ๆ แต่เขากระโดดและลงสู่พื้นโดยปลอดภัยได้สำเร็จ 


 


 


“มีข่าวลือว่าพระมเหสีถูกเลือกจากอารมณ์ฉุนเฉียว เป็นความจริงไหมขอรับ” 


 


 


“ความจริงสิ และอยู่ข้างหน้าเจ้าแล้วด้วย” 


 


 


อยู่ดีๆ เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นในห้องของมินอาที่เคยเงียบสงบ เสียงมินอาที่ตะโกนขอให้ทั้งคู่ออกไปให้หมดทำให้การทะเลาะนั้นหยุดชะงักลง โฮจินจึงหายออกไปข้างนอกพลางบ่นพึมพำ ท่าทางของรยูฮาที่ดึงเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงมานั่งและเหลือบมองผ่านๆ ดูมีพิรุธเป็นอย่างมาก มินอาขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับขยับไปชิดผนังมากขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างกับนาง 


 


 


“อะไรเพคะ” 


 


 


การพูดของมินอาที่ไม่เพราะเหมือนปกติทำให้รยูฮาลังเลนิดหน่อย ในไม่ช้านางก็ยกมุมปากได้รูปขึ้นและหยีตาราวกับจันทร์เสี้ยว สิ่งที่ทั้งพ่อ พี่ชายทั้งสามคนและฮอนต้องการจากนางคือรอยยิ้มที่น่ารักน่าเอ็นดู 


 


 


“ข้าขอโทษ” 


 


 


“ทรงขอโทษผู้อื่นนอกจากฝ่าบาทไม่ได้นะเพคะ” 


 


 


ไม่ได้ผลจริงๆ ด้วย แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างก็ถูกยื่นมาตรงหน้ามินอาที่หันหน้ากลับไปมองหนังสือหลังจากตัดบทคำพูดของรยูฮาฉับราวกับมีด 


 


 


“ข้าทำสิ่งนี้ มาให้เจ้า” 


 


 


พอรับมันมากางออกดูจึงเห็นว่ามันคือถุงที่ทำมาจากผ้าไหมสีขาว ถุงเล็กๆ ที่พอใส่นิ้วลงเข้าไปได้สามสี่นิ้วสองอัน และมีอันที่ใหญ่กว่านั้นเล็กน้อยอีกสองอัน มินอาพลิกถุงนั้นไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาแย้มยิ้ม ผู้ที่ไม่เคยจับเข็มมาตลอดชีวิตคงจะรู้สึกไม่สบายใจที่พลาดทำชุดเด็กที่นางทำเมื่อตอนเช้าขาดจึงนั่งทำสิ่งนี้ทั้งวัน 


 


 


“ทรงไม่มี…ฝีมือทางด้านการเย็บผ้าจริงๆ เพคะ” 


 


 


“เจ้าก็เหมือนกันแหละ” 


 


 


มินอาลองใส่นิ้วเข้าไปในถุงอันเล็ก มันคือถุงเท้าและถุงมือสำหรับเด็กที่รยูฮาทำขึ้นมาให้ด้วยความตั้งใจสุดชีวิตโดยที่ไม่กล้าเสี่ยงทำชุด แม้เส้นตะเข็บจะคดเคี้ยวไปมาเหมือนกับเด็กทำเล่นๆ แต่นางก็ตั้งใจทุ่มเททำอย่างมากจนผูกปมแน่นจนเกินไป ความเสียใจเมื่อตอนเช้าหายไปประหนึ่งหิมะละลายและเกิดเป็นรอยยิ้มสดใสบนริมฝีปากของมินอา นางนำของเหล่านั้นไปเก็บใส่ใน**บไม้เล็กๆ ด้วยความทะนุถนอมอย่างยิ่ง แล้วนำตะกร้าที่สานจากต้นไผ่ออกมาจากหัวเตียง 


 


 


“เสวยสิเพคะ ได้ยินว่าไม่ได้เสวยอะไรเลย” 


 


 


มันคือลูกพลับแห้งที่โซยูเอามาให้เมื่อสักครู่นี้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถหาได้ง่ายในช่วงฤดูหนาวแต่หาได้ยากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นางจึงห่อไว้ให้อย่างดีและไม่แม้แต่จะแตะต้องเพื่อรยูฮาผู้ซึ่งชื่นชอบลูกพลับแห้ง รยูฮาหยิบมันเข้าปากในทันทีและป้อนใส่ปากมินอาด้วยหนึ่งชิ้น 


 


 


“ขอบพระทัยเพคะ” 


 


 


“มันเป็นของกินของเจ้าอยู่แล้ว จะขอบใจทำไม” 


 


 


รยูฮาพูดว่ามันเป็นของกินของเจ้าพร้อมกับหยิบลูกพลับแห้งลูกที่สองขึ้นมาค่อยๆ กินทีละเล็กทีละน้อย 


 


 


“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันแค่อยากจะขอบพระทัยสำหรับทุกอย่าง” 


 


 


ส่วนข้าก็คงทำได้แค่เพียงขอโทษเจ้า รยูฮายิ้มหวานและลูบฝ่ามือมินอาเบาๆ แทนคำตอบนั้น 


 


 


“อยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วกลับบ้านกันเถอะนะ ท่านพ่อท่านแม่รอเราอยู่” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“อ๊ากกก!” 


 


 


หลังจากไปปะทะคารมกับเหล่าเสนาบดีตลอดการว่าราชการกลับมา ฮอนก็ล้มตัวลงบนเตียงและใช้เท้าถีบผ้าห่มอย่างแรงโดยลืมความมีเกียรติไปหมดสิ้น กิจการแผ่นดินไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อย ไม่ใช่สิ ถึงมันยาก แต่พอไม่มีรยูฮาจึงรู้สึกเหมือนใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกที ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างไล่พวกนางในที่กระวนกระวายใจให้ออกไปห่างๆ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย 


 


 


“เจ้า ไปรับตัวพระมเหสีมา” 


 


 


“ฝ่าบาท ข้าน้อยมิบังอาจ…” 


 


 


คำสั่งที่เป็นไปไม่ได้ทำให้จูฮวานรีบโน้มศีรษะลงไปราวกับจะมุดเข้าไปในพื้น จะให้ตนเองออกห่างจากข้างกายของฝ่าบาทได้อย่างไร 


 


 


“ไอ้ขันทีคนนี้นี่ ไม่ได้เรื่อง!” 


 


 


หมอนที่ฮอนหยิบขึ้นมาโยนใส่หัวไหล่ของจูฮวานที่ไม่มีความผิดใดๆ กลิ้งลงไปบนพื้น เขาหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสารและกอดมันไว้ในอ้อมอก เพราะว่ามันเป็นสิ่งของของพระราชา จึงไม่สามารถปล่อยให้หมอนกลิ้งไปมาบนพื้นเหมือนพู่กันแท่งหนึ่งได้ ฮอนถอนหายใจอย่างแรง มองกำแพงและพลิกตัวไปมา เขาเริ่มอยากโยนตำแหน่งกษัตริย์ทิ้งและหนีไปที่ไหนสักแห่งอย่างจริงจัง ฮอนที่เสียสติคิดไปถึงจุดนั้น จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นและมองจูฮวานที่กอดหมอนไว้ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา 


 


 


“ถ้าเจ้าไปไม่ได้ งั้นข้าก็คงต้องไปเองสินะ” 


 


 


“ตรัสว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


สีหน้าของจูฮวานที่ถามกลับด้วยความงุนงงพลันซีดเผือดภายในช่วงเวลาอันสั้น ฮอนถอดชุดนอนของตัวเองออกให้เขาใส่แทน จากนั้นรีบเปลี่ยนเป็นชุดลำลองและออกไปจากวังทันที เขาเหนื่อยที่ต้องทะเลาะถกเถียงกันกับพวกเสนาบดีทุกวัน แถมพอกลับมาแล้วรยูฮาก็ไม่อยู่อีก อย่างไรก็รู้ที่อยู่อยู่แล้วจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องลังเลอีกต่อไป 


 


 


“ฝ่าบาท อย่างน้อยก็ทรงตรัสกับกระหม่อมหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ว่าเสด็จไปที่ใด!” 


 


 


ไม่ได้มีเพียงแต่ขันทีผู้น่าสงสารเท่านั้นที่ร้อนรน บรรดาทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าตำหนักบรรทมของพระราชาอย่างแน่นหนาก็ขี่ม้าไล่ตามหลังเขาไปโดยไม่ทันได้เตรียมอะไรในสถานการณ์ที่กะทันหันนี้เช่นกัน ในตอนแรกที่พูดขึ้นมาก็นึกว่าจะแอบออกไป แต่เขากลับวิ่งผ่ากลางเมืองหลวงโดยไม่สนใจสิ่งใดเลย 


 


 


ฮอนยังคงขี่ม้าต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่พักสักนิด หากม้าหมดแรงก็เปลี่ยนไปขี่ม้าตัวอื่นแทน และไม่ว่าเหล่าทหารองครักษ์ที่ตามมาข้างหลังจะห้ามปรามเท่าไหร่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับไปที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้ผู้ใดสงสัย อย่างที่เขาว่ากันว่าหากหางยาวก็ย่อมถูกเหยียบอยู่แล้วเป็นธรรมดา คณะของพระราชาสามารถเดินทางมาถึงภายในไม่ถึงครึ่งวัน ในระยะทางที่แม้จะรีบขนาดไหนก็ต้องใช้เวลาสามวันเต็มๆ ก็ตาม 


 


 


“ตรงนั้น เปิดประตูซะ” 


 


 


ฮอนมาถึงด้านหน้าหอนางโลมและพยักพเยิดหน้าให้หัวหน้าทหารองครักษ์ลงจากม้าไปเคาะประตู เนื่องจากเป็นตอนที่ตะวันยังโด่งอยู่ เหล่านางบำเรอจึงน่าจะยังนอนหลับกันอยู่ ทว่ามีสตรีนางหนึ่งกอดตะกร้าไว้ในอ้อมแขนออกมาข้างนอกและโค้งคำนับให้ ผิดกับการคาดการณ์ของเขา 


 


 


“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดเจ้าค่ะ” 


 


 


ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ขัดกับการพูดจาอันแข็งกระด้าง โซยูทิ้งคำพูดไว้เท่านั้นก่อนจะเดินผ่านด้านข้างของหัวหน้าทหารองครักษ์ไปอย่างเย็นชา แต่จู่ๆ ฮอนที่ยืนปิดบังใบหน้าของตัวเองอยู่ด้านหลังก็รู้สึกคุ้นหน้านางขึ้นมาจึงเข้าไปขวางข้างหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 


 


 


“เป็นคนที่เคยเห็นบ่อยๆ นี่เอง” 


 


 


นางตั้งใจจะนำของว่างที่ถืออยู่ในอ้อมแขนไปถวายให้พระมเหสีก่อนจะเย็นชืด แต่ดันถูกชายแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้มาขวางทางข้างหน้าจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ภายในดวงตาของโซยูที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความไม่พอใจนั้นมีความสงสัยปนเปอยู่ด้วย แต่แล้วนางก็ต้องเบิกตาโพลงในทันที 


 


 


“ฝะ ฝ่าบาท…!” 


 


 


“ชู่ว” 


 


 


ฮอนเอานิ้วชี้ไปแตะตรงริมฝีปากโซยู ก่อนจะกางพัดออกมาปิดบังใบหน้าอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่มีใครจำได้ แต่ไม่ให้ผู้ใดเห็นก็น่าจะดีกว่า 


 


 


“ได้ยินว่าภรรยากับน้องสะใภ้ของข้ามาที่นี่” 


 


 


“ตะ ตอนนี้หม่อมฉันกำลังจะไปที่นั่นพอดีเลยเพคะ ตามหม่อมฉันมาทางนี้เพคะ” 


 


 


สายตามากมายชำเลืองมองประหนึ่งประหลาดใจกับภาพที่เหล่าผู้ชายซึ่งปิดหน้าปิดตากันทุกคนเดินตามหลังโซยูต้อยๆ ก่อนจะจ้องมองด้านหลังของพวกเขา อย่างไรก็ตามฮอนที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้เจอกับรยูฮาในอีกไม่ช้าก็พยายามทำให้จิตใจอันร้อนรุ่มสงบลง และในตอนที่เข้าประตูใหญ่มานั้นเอง 


 


 


“เจ้าคือใคร” 


 


 


คมมีดอันเย็นเฉียบจ่อเข้ามาใต้คอของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นดาบของพวกทหารก็ถูกชักออกมาและเล็งไปที่เจ้าของดาบนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้โซยูมีสีหน้าซีดเผือด 


 


 


“ข้าเอง” 


 


 


ฮอนขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอาพัดออกไป ส่วนโฮจินก็เก็บดาบลงและยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับโค้งคำนับให้ คล้ายกับถามว่าข้าเล็งดาบมาเมื่อไหร่กัน 


 


 


“อ๋อ กระหม่อมไม่รู้น่ะพ่ะย่ะค่ะ มาได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ไอ้หมอนี่ เห็นได้ชัดว่าเขาชักดาบออกมาทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใคร ฮอนมั่นใจเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้ จึงไม่พูดอะไรต่อและใช้นิ้วสั่งให้ทหารเก็บดาบ เรื่องสำคัญไม่ใช่โฮจิน แต่แล้วเสียงของรยูฮาที่ถีบประตูออกมาข้างนอกอย่างแรงก็ดึงกึกก้องไปทั่วลานหน้าบ้าน ราวกับอ่านใจของเขาออก 


 


 


“เสียงดังเอะอะอะไรกัน โอ๊ะ?”  

 

 


ตอนที่ 13-10

 

ใบหน้าที่กำลังตกใจซบอยู่กับหน้าอกกว้าง กลิ่นกายหอมหวานถูกส่งออกมาจากเส้นผมที่ปล่อยลงด้านล่างไร้การตกแต่งใดๆ ถึงแม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะพัง แต่กลิ่นกายของรยูฮาก็ทำให้เขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง 


 


 


“เสด็จมาถึงที่นี่ได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


“ข้าคิดถึงพระมเหสีจนทนไม่ไหวน่ะ” 


 


 


“ทรงปรับกำหนดการอย่างเป็นทางการแล้วหรือเพคะ” 


 


 


“อ้า ขอร้องล่ะ เรื่องนั้นไว้คุยทีหลังเถอะ” 


 


 


ฮอนทำเสียงงอแงและผ่อนแรงที่แขน แต่มือที่โอบไหล่ของรยูฮาอยู่ก็ยังคงไม่เอาลง โฮจินทำท่าเหมือนจะอาเจียนและเดินหายออกไปไกล ส่วนพวกทหารองครักษ์ก็ยังคงโค้งคำนับและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา 


 


 


“มินอาล่ะ” 


 


 


“อยู่ในห้องเพคะ” 


 


 


“ข้า…ไปหาได้หรือไม่” 


 


 


คำถามที่ระแวดระวังทำให้รยูฮาย่นหน้าผากเล็กน้อยด้วยความลังเล เพราะในตอนที่ฮอนไม่รู้สึกตัว นางเองก็ไม่อยากเจอชานเป็นที่สุด ทั้งที่ก่อนจะรู้ความจริงว่าชานเอายาพิษให้ฮอนกินเสียอีกด้วยซ้ำ 


 


 


“ขอหม่อมฉันไปถามดูก่อนนะเพคะ โซยู ช่วยพาสามีของข้าและผู้ติดตามเข้าไปข้างในด้วย แล้วนำอะไรเย็นๆ ให้พวกเขาดื่ม รวมถึงบอกให้แม่ครัวเตรียมสำรับอาหารไวๆ ด้วย” 


 


 


“เจ้าค่ะ นายหญิง” 


 


 


ฮอนเดินเข้าไปด้านในตามการนำทางของโซยู โดยไม่สามารถละสายตาออกจากรยูฮาได้เลย แต่แล้วนางก็หายตัวไปหามินอาอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางที่มินอาซึ่งมีประสาทสัมผัสว่องไวกว่าตนเองจะไม่สังเกตเห็นความโกลาหลวุ่นวาย แต่นางคงจะคิดว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนักจึงไม่ออกมา หลังจากยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องสักพัก สุดท้ายรยูฮาก็ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปข้างใน 


 


 


“มินอา” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จมาแต่…หากเจ้าไม่อยากพบก็ไม่เป็นไรนะ” 


 


 


แม้ความกังวลของรยูฮาจะดูน่าอาย แต่ก็ได้รับคำตอบที่สงบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันยังขยับตัวได้ลำบาก เพราะฉะนั้นช่วยพาฝ่าบาทมาที่นี่ได้ไหมเพคะ” 


 


 


“ไม่เป็นไรใช่ไหม” 


 


 


“เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นเสด็จอาของเด็กคนนี้ไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


หากสูญเสียฮอนไป เราจะสามารถอดทนและเข้มแข็งได้เหมือนกับมินอาไหมนะ รยูฮารู้สึกประหลาดใจ เห็นใจ และสงสารไปพร้อมๆ กัน แล้วควานหาอะไรบางอย่างในโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบหวีและเครื่องประทินผิวออกมา 


 


 


“เดี๋ยวหม่อมฉันทำเองเพคะ” 


 


 


“แต่ข้าอยากทำให้” 


 


 


มือรวบเส้นผมที่ปล่อยยาวลงด้านล่างไว้เป็นช่อเดียวก่อนจะหวีขึ้นอย่างพิถีพิถัน จากนั้นรยูฮาก็ยึดเส้นผมที่ถูกเกล้าขึ้นด้วยปิ่นปักผมเรียบๆ และปิดท้ายด้วยการตบเครื่องประทินผิวบนใบหน้าของมินเอาเบาๆ ก่อนจะนำชุดใหม่ออกมาให้เปลี่ยน 


 


 


“เปลี่ยนชุดนะ เดี๋ยวข้าจะไปพาฝ่าบาทมา” 


 


 


รยูฮาออกมาพลางจัดผมตัวเองหนึ่งทีและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พระราชาคงจะโยนงานกิจการแผ่นดินทิ้งและหนีออกมาอย่างแน่นอน ต้องตำหนิอย่างเจ็บแสบกลับไปเสียหน่อย แต่ริมฝีปากกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวและเอาแต่อมยิ้มอยู่เรื่อย นางยืนอยู่ตรงนั้นสักพักพร้อมกับคิดว่าควรจะต้องปรับสีหน้าสักหน่อย จากนั้นจึงตรงไปยังเรือนด้านในเพื่อไปพาฮอนมา 


 


 


“หม่อมฉันจะพาไปตรงนู้นเพคะฝ่าบาท” 


 


 


“เราอยู่ข้างนอกนี่ ทำไมไม่เรียกข้าว่าสามีเล่า” 


 


 


เป็นเพราะริมฝีปากที่เอาแต่อมยิ้ม จึงทำให้ปรับสีหน้าได้อย่างยากลำบาก แต่พอได้ยินสิ่งที่ฮอนพูด นางกลับทำมันได้ดีทีเดียว สีหน้าของรยูฮากลับมาเป็นเหมือนปกติภายในพริบตาเดียวและนำทางฮอนออกไปอย่างมีมารยาทไร้ที่ติ เสียงบ่นเบาๆ ตรงเข้าหาฮอนที่กำลังตื่นเต้นไม่ว่านางจะมีสีหน้าแบบใดก็ตาม 


 


 


“ทรงต้องรักษาความมีเกียรติต่อหน้าเหล่าผู้ติดตามด้วยสิเพคะฝ่าบาท” 


 


 


“จะบอกว่าไม่น่ารักงั้นหรือ” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว พระมเหสี” 


 


 


ตบหัวของฮอนที่พูดเน้นคำว่า ‘พระมเหสี’ อย่างประชดประชันสักทีดีไหมนะ ในระหว่างที่ลังเลอยู่นั้นก็มาถึงเรือนที่มินอาพักอาศัยอยู่ ซึ่งนางเปิดประตูรอทั้งสองคนอยู่แล้ว ฮอนหยุดชะงักไปสักพักเหมือนตั้งสติแล้วจึงเข้าไปข้างใน พร้อมทั้งปิดประตูด้วยตัวเอง นี่เป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่หลังจากพิธีราชาภิเษกที่มีการยึดราชบัลลังก์เกิดขึ้น 


 


 


“ถวายบังคับเพคะ พระราชา” 


 


 


“ทำตัวตามสบายเถอะ” 


 


 


เกิดความเงียบขึ้นพักหนึ่ง คิดว่าน่าจะไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่เลย ใบหน้าที่เหมือนจะไม่คล้ายแต่ก็คล้ายกับชาน เสียงที่ทำให้คิดถึงเขานั้นไม่ดีเลยสักนิด มือที่ลังเลค่อยๆ ลูบหัวของมินอาที่ก้มหน้ากัดปากสักพักอย่างช้าๆ 


 


 


“ขอโทษ ข้าอยากจะพูดคำนี้จริงๆ ข้า…ขอโทษ” 


 


 


ในท้ายที่สุดขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าว แต่ยังไม่ร้องไห้ออกมา มินอาหายใจเข้าลึกๆ และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และมองหน้าเค้าโครงของชานบนใบหน้าของฮอนที่จ้องมองนางอยู่ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง ดวงตาที่มากับหางตายาว สันจมูกโด่งเป็นทรง และใบหูที่มีติ่งหูใหญ่เป็นพิเศษ 


 


 


“หม่อมฉันมีเรื่องจะขอร้องเพคะ” 


 


 


“ว่ามาเลย” 


 


 


“ขอหม่อมฉันลองจับพระพักตร์หน่อยได้ไหมเพคะ” 


 


 


ฮอนเลื่อนตัวไปข้างหน้ามินอาเล็กน้อยแทนคำตอบ มินอาค่อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบบนสันจมูกหนึ่งทีและสัมผัสติ่งหูอย่างระมัดระวัง จากนั้นวางมือลงบนแก้มเพื่อสัมผัสไออุ่นเป็นอย่างสุดท้าย เส้นเลือด ไออุ่น และสีของดวงตาที่เหมือนกับชาน ชานมีชิวิตอยู่ข้างในนี้ มินอาเอามือออกและค่อยๆ โค้งศีรษะคำนับ 


 


 


“เสร็จแล้วหรือ” 


 


 


“เพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


เมื่อดวงตามินอาที่สั่นไหวจนน่าสงสารกลับมาสงบเหมือนเดิมอีกครั้ง รยูฮาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งใจ แม้ว่าทุกคนต่างบอกว่านางกับมินอาคล้ายคลึงกัน แต่รยูฮารู้ว่าพวกนางสองคนไม่เหมือนกันสักนิดเดียว มินอาจะต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าอายุเพื่อนางที่มักจะเหยียดหยามคนอื่นด้วยความสะเพร่าบ่อยครั้ง ดังนั้นนางจึงรู้สึกขอโทษและสงสารยิ่งขึ้นกว่าเดิม 


 


 


“คลอดตอนไหนรึ” 


 


 


“ตอนนี้เพิ่งจะเกินสามเดือนมานิดหน่อย ดังนั้นคาดว่าน่าจะประมาณช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงเพคะ” 


 


 


“ฤดูใบไม้ร่วงอย่างนั้นหรือ…” 


 


 


ฮอนลองนับนิ้วคำนวณเดือนที่เหลือและคิดหาแผนที่พอจะเคลื่อนไหวพวกเสนาบดีได้ ยังพอมีเวลา ถึงแม้ว่าจะต้องกำจัดออกไปจากท้องพระโรงที่โหรงเหรงอยู่แล้วอีกจำนวนหนึ่งก็ตาม แต่อย่างไรเสียก็ต้องคืนตำแหน่งมาให้ชานให้จงได้  


 


 


“งั้นก็คงจะต้องเปลี่ยนสถานภาพของเจ้าไปก่อน และข้าจะจัดเตรียมที่พักอาศัยไว้ให้ในที่ที่เจ้าต้องการ หากอยากกลับเข้ามาที่วังก็เข้ามาได้เลย” 


 


 


ที่ที่เจ้าต้องการ จู่ๆ มินอาก็นึกถึงเสียงที่รยูฮากระซิบบอกว่าอยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วกลับบ้านกันเถอะขึ้นมา และนึกถึงแขนของท่านมหาเสนาบดีที่รับตัวนางไว้ได้ทันก่อนที่นางจะล้มลงในตอนที่หมดสติระหว่างทางไปฝังร่างของชานขึ้นมา รวมถึงมือของนายหญิงตระกูลจองที่คอยเช็ดหน้าผากให้อย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะทำให้ตื่น พวกเขาเป็นทั้งครอบครัวและบ้านของนาง 


 


 


“หม่อมฉันไม่อยากไปที่วังหลวงเพคะ ให้หม่อมฉันอยู่ที่บ้านของตระกูลซอเถิดเพคะ” 


 


 


“ตกลง” 


 


 


มินอามักจะไม่มีสิ่งที่ปรารถนา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางขอร้องฮอนเช่นกัน ฮอนถามอีกหลายต่อหลายรอบว่าไม่อยากได้อย่างอื่นแล้วหรือ ก่อนจะออกจากห้องมินอาไปหลังจากได้ยินคำตอบว่าไม่มีสิ่งที่ต้องการแล้วหลายรอบเช่นกัน 


 


 


และในช่วงหัวค่ำวันเดียวกันนั้น 


 


 


“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


“ลดเสียงลงหน่อยสิ! ทำไมจะไม่ได้กันเล่า” 


 


 


พระอาทิตย์ยามอัสดงค่อยๆ คล้อยต่ำลงและแสงสีส้มก็กลืนกินลานหน้าเรือน แต่ข้างหน้าห้องของรยูฮายังห่างไกลกับคำว่าสงบยิ่งนัก เนื่องจากสงครามประสาทที่ยังไม่สิ้นสุดระหว่างฮอนที่สั่งให้ออกไปไกลๆ เสียทีเพราะไม่จำเป็นต้องเฝ้าแล้วกับเหล่าทหารองครักษ์ที่บอกว่าไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


“นี่คือคำสั่ง พวกเจ้าจะขัดคำสั่งข้างั้นรึ! ไปให้พ้นๆ เสียทีเถอะ!” 


 


 


“ทรงฆ่ากระหม่อมเสียเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“แล้วข้าจะไปฆ่าพวกเจ้าทำไมกันเล่า!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม