ลิขิตกลกาล 133-139

ตอนที่ 133 คำแนะนำ

 

“ผูหลิว ออกมา!” ในขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้ามานั้น ซูเหลียนอวิ้นก็ออกคำสั่งอย่างทันท่วงที 


 


 


ผูหลิวเตรียมตัวพร้อมอย่างดีมาตั้งนานแล้ว ด้วยเหตุนี้หลังสิ้นเสียงของซูเหลียนอวิ้น นางก็พุ่งตัวออกมาราวกับลูกธนูที่ถูกยิง 


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่ระแคะระคายว่าในห้องของซูเหลียนอวิ้นมีคนอยู่ข้างในด้วยเลยสักนิด! เนื่องจากคนเป็นองครักษ์ สิ่งที่สำคัญอันดับแรกก็คือการแอบตัวอยู่ในที่ลับตา ดังนั้นสำหรับผูหลิวแล้วไม่มีอะไรจะง่ายไปกว่าการซ่อนตัวเองเช่นนี้อีก 


 


 


ผูหลิวควักแซ่ที่พกติดตัวไว้ออกมา คนยังไม่ทันเข้ามาถึง แต่เสียงแส้กลับมาถึงก่อนแล้ว 


 


 


เสียงแซ่ฟาดไปที่ขอบประตูดัง “พัวะ” ราวกับว่าพลังความรุนแรงนี้สามารถทำให้ประตูบานนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้! 


 


 


ผูหลิวเดินตาขวางออกไปนอกห้องไป คนที่อยู่ด้านนอกผู้นั้นตีลังกาหลบแส้ของนางได้ จากนั้นนางจึงใช้สายตากะเอาคร่าวๆ ถึงระยะห่างของตัวเองกับคนผู้นั้น 


 


 


หากตอนนี้ร่างกายของต้วนเฉินเซวียนสมบูรณ์พร้อม ผูหลิวกล้าพูดได้เลยว่าตัวนางมิอาจสู้เขาได้แน่ ทว่า…ช่วงเวลาเพียงเสี้ยวเดียวที่ต้วนเฉินเซวียนหลบแส้ของนางนั้น ความระแวดระวังบริเวณหัวไหล่ของเขาได้ตกอยู่ในสายตาของผูหลิวเรียบร้อยแล้ว 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกำลังจดจ่อฟังความเคลื่อนไหวที่มาจากด้านนอก หลังจากที่นางได้ยินเสียงนั้นดังขึ้น นางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรตามมาจากนั้นอีก ตอนนั้นนางจึงรู้สึกว่าใจของนางกำลังเต้นระส่ำขึ้นมา! 


 


 


เชอะ! ผูหลิวของนางต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน!  มิฉะนั้นแล้วจากนิสัยของต้วนเฉินเซวียน เมื่อถูกซุ่มโจมตีเช่นนี้ หากเขาเอาชนะไม่ได้ก็คงต้องโวยวายขึ้นมาทันทีแน่ มิเช่นนั้นก็คงจะไม่ใช่ต้วนเฉินเซวียนตัวจริงอย่างแน่นอน! 


 


 


ตอนนั้นนางพลันสวมรองเท้าแล้วหยิบเสื้อคลุมมาหนึ่งตัววิ่งออกไปยังปากประตู เพราะสถานการณ์ที่ต้วนเฉินเซวียนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เช่นนี้ สิบปีอาจจะมีเพียงหนเดียว! จึงไม่ง่ายนักกว่านางจะหาโอกาสเช่นนี้ได้ นางจะต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองให้ได้! 


 


 


จะเอาเรื่องนี้ไปเขียนไว้ในหน้าบันทึกประวัติศาสตร์ยังได้เลย 


 


 


ต้วนเฉินเซวียนอดกลั้นความเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ที่แปลบเข้าไปถึงหัวใจ และยังคงรักษาอาการนิ่งสงบไว้ได้เช่นเดิม 


 


 


แต่ชั่วขณะที่เขาเห็นซูเหลียนอวิ้นตอนนั้น เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอีกพลันโพล่งออกมาว่า “อวิ้นเอ๋อร์ นี่คือองครักษ์ใหม่ของเจ้าหรือ? ลงมือหนักยิ่ง แผลที่ไหล่ของข้าเมื่อวาน เจ้าคงมิได้ตั้งใจจะ…” 


 


 


“ผูหลิว! ลงมือเร็วเข้า จัดการปีศาจตนนี้ซะ! ให้มันกลับสู่ร่างเดิมโดยไว!” ซูเหลียนอวิ้นเบิกตากว้างแล้วชี้ไปที่ต้วนเฉินเซวียนด้วยร่างสั่นเทา  


 


 


การพูดออดอ้อนเช่นนี้? การออเซาะเช่นนี้? ต้วนเฉินเซวียนออดอ้อนเป็นหรือ?! นี่ต้องเป็นปีศาจอย่างแน่นอน! 


 


 


แต่ว่านี่เป็นปีศาจมาจากที่ไหนกัน! ถึงขั้นแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้! อีกอย่างเจ้าแปลงกายเป็นคนอื่นไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดต้องแปลงกายเป็นต้วนเฉินเซวียนด้วย? แถมยังกล้าบุกเข้ามายังเรือนของนางอีก หากไม่เรียกว่าอยากเจ็บตัวแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก? 


 


 


“ซูเหลียนอวิ้น! เจ้า!” ต้วนเฉินเซวียนหลบความรุนแรงของแส้ที่พุ่งเข้าใส่โจมตีอย่างหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ พลางเอามือบังบาดแผลของตัวเองบริเวณหัวไหล่เอาไว้เพื่อไม่ให้แผลปริออก จากนั้นจึงก่นด่าออกมาว่า “นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้ารึ?”  


 


 


แม้ว่าเขาจะเคยเห็นหน้าแม่นางคนนี้เป็นครั้งแรก ทว่าซูเหลียนอวิ้นดูเชื่อใจนางอย่างมาก ต้วนเฉินเซวียนจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ 


 


 


อีกอย่างเจ้านายแสดงความขยะแขยงในตัวเขาชัดเจนขนาดนี้ หากทำให้คนของนางต้องได้รับบาดเจ็บด้วยเล่า? เขาคงซวยมากทีเดียว! 


 


 


เพราะพวกบ่าวรับใช้เหล่านี้ไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ พูดเป่าหูซูเหลียนอวิ้นเกี่ยวกับเขาว่าอะไรบ้าง ต่อให้เมื่อก่อนพูดดี แต่ถึงตอนนี้หากจับเอาเรื่องทุกอย่างมาผสมปนเปกันมั่วๆ คงทำให้ทุกอย่างเละเทะไปหมด! 


 


 


อีกอย่างต่อให้เขาสามารถยื่นมือออกไปยาวได้มากเท่าไหร่ ก็คงไม่สามารถจัดการปากของใครต่อใครได้ 


 


 


เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่าตนใกล้จะจนมุมอยู่ที่มุมกำแพงเต็มที ตอนนั้นเขาจึงไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรมากนัก พลางใช้ฝ่ามือของตัวเองอัดเข้าใส่บริเวณหน้าอกของผูหลิว 


 


 


 


 


 


 


 


 


เขามิได้อยากทำเช่นนี้…แต่เพราะ…กระบวนท่าแต่ละท่าของผูหลิวนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตคิดจะปลิดชีพแต่อย่างเดียว หากเขายังคงยั้งมืออยู่เช่นนี้เกรงว่าคงจะโดนแส้ของผูหลิวตัดร่างออกเป็นท่อนๆ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ใช้ฝ่ามืออัดออกไปเต็มแรง แต่เป็นเพียงการผลักผูหลิวออกไปเท่านั้น นางไม่มีทางบาดเจ็บอย่างแน่นอน 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยืนอยู่บนระเบียงตรงปากประตู เดิมทีนางคิดว่าตนจะแทะเมล็ดทานตะวันไปพลางชมเหตุการณ์ไปอย่างเพลิดเพลินใจ ทว่านางกลับเห็นฝ่ามือพิฆาตอันคุ้นเคยของต้วนเฉินเซวียน ตอนนั้นเองสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นจึงก็ค่อยๆ หมองหม่นลงไป 


 


 


ต้วนเฉินเซวียน ท่านไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด 


 


 


“คุณหนูใหญ่! บ่าวมาช้าไป!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่หลานเย่ว์ปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง 


 


 


“หลานเย่ว์? เจ้ามาได้อย่างไร?” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว พูดตามตรงแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้นางมิได้คาดหวังจะให้คนรู้เยอะนัก 


 


 


“เดิมทีบ่าวแค่สงสัย” เช้าวันนี้หลานเย่ว์บังเอิญค้นพบฝุ่นเล็กๆ บริเวณขอบหน้าต่างของเขา แม้จะบอกว่าการพบฝุ่นบริเวณหน้าต่างถือเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่เมื่อหลานเย่ว์ลองเอามือจิ้มฝุ่นพวกนั้นดู เขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง 


 


 


ดินแบบนั้น…ให้ความรู้สึกละเอียดมากเกินไปหน่อย ราวกับมิใช่ละอองฝุ่นที่ถูกลมพัดมา แต่คล้ายเป็นรอยขี้เถ้าที่เหลือจากการเผาของบางอย่างมากกว่า 


 


 


หลายๆ ครั้งที่การค้นพบความจริงของเรื่องราวบางเรื่อง มิได้ต้องการร่องรอยอะไรมากมาย เพียงแค่มีข้อสังเกตเล็กๆ เพียงข้อเดียวก็เพียงพอแล้ว เมื่อเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจแล้ว หลานเย่ว์จึงนั่งลงตรงหน้าต่างนั้น แล้วลองคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ 


 


 


สุดท้ายหลานเย่ว์จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อคืนวานเขาหลับลึกมาก! เนื่องจากตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่เรือนของซูเหลียนอวิ้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่มีอะไรให้ทำเท่าไหร่นักในแต่ละวัน ดังนั้นเรื่องราวกวนใจต่างๆ จึงลดลงมาก ทำให้เขานอนหลับลึกกว่าเมื่อก่อนมากเป็นเหตุให้เขาจับสังเกตได้ช้าเกินไป 


 


 


ทว่าหากจะตกงานก็ต้องตก เพราะไม่มีเหตุผลใดที่เพียงพอจะใช้มาเป็นข้ออ้างได้  


 


 


ดังนั้นหลานเย่ว์จึงคิดว่า มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองกระมัง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลานเย่ว์จึงปรากฏตัวคนเดียว โดยไม่มีคนอื่นๆ ตามมาด้วย 


 


 


“คุณหนูใหญ่” สีหน้าของหลานเย่ว์ตื่นตระหนก เนื่องจากเขาปรากฏตัวช้าเกินไปหน่อย… 


 


 


“อื้ม” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับด้วยสีหน้าเฉยชา “คนอื่นๆ ไม่มาด้วยใช่หรือไม่” 


 


 


“ไม่มาขอรับ” หลานเย่ว์ส่ายหน้า “มีบ่าวตื่นเพียงคนเดียว” 


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นชี้นิ้วไปยังคนด้านล่างที่กำลังต่อสู้กันอยู่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าจัดการเอาคนผู้นั้นออกไปซะ จะเอาให้บาดเจ็บหรือพิการก็แล้วแต่เจ้า แต่อย่าให้ถึงตายก็พอ เพราะหากเขาตาย พวกเราคงรับผิดชอบไม่ไหว”  


 


 


หลานเย่ว์หรี่ตามองไปตามทิศทางที่นิ้วมือของซูเหลียนอวิ้นชี้ไป “คุณ คุณชายต้วน?” 


 


 


 ทำไมผู้มาเยือนจึงเป็นเขาได้? เมื่อเห็นชัดๆ แล้ว หลานเย่ว์พลันตื่นตะลึง คุณชายต้วนกับคุณหนูใหญ่ของตนมีความสัมพันธ์กันด้วยหรือ 


 


 


หากพิจารณาดูแล้ว… ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองดูไม่ธรรมดาทีเดียว 


 


 


“เจ้ากลัวหรือ” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว “หากกลัวก็กลับไปซะ!” อย่ามายืนเกะกะสายตาของนางอีก เนื่องจากตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าผู้ใดอยู่ในสายตาของนางล้วนต้องกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของนางทั้งสิ้น 


 


 


ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น คำแนะนำนี้ของซูเหลียนอวิ้นจึงออกมาจากใจจริงของนาง หากหลานเย่ว์ไม่กล้าลงมือก็รีบไปให้พ้นๆ สายตาของนางเสีย  

 

 


ตอนที่ 134 แววตา

 

“บ่าวรับคำสั่งคุณหนูใหญ่!” หลานเย่ว์กล่าวจบอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงรีบเข้าร่วมผสมโรงการต่อสู้


 


 


หนึ่งคนต่อสองคน แถมตนยังมีบาดแผลอีกด้วย ไม่นานนัก ต้วนเฉินเซวียนจึงพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้


 


 


หลานเย่ว์ยื่นมืออกไปขวางแส้ของผูหลิวเอาไว้ จากนั้นจึงส่ายหน้า แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของต้วนเฉินเซวียนกับคุณหนูใหญ่เป็นอย่างไรเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ตอนนี้การจะต่อสู้กับคนที่มีสถานะอย่างต้วนเฉินเซวียน พวกเขาจำต้องรั้งมือไว้บ้าง


 


 


“แค่กๆ แค่กๆ” ต้วนเฉินเซวียนกอดหัวไหล่ของตนเอาไว้แล้วกลืนของที่มีรสชาติหวานหอมนั่นลงไป จากนั้นจึงมองไปที่ซูเหลียนอวิ้นพร้อมริมฝีปากที่หยักยิ้มขึ้น “ทำไมรึ ทำร้ายข้าไม่ลงใช่หรือไม่?” คำโบราณว่าไว้มิผิด แสร้งเจ็บเป็นแผนการที่ได้ผลที่สุด


 


 


“ท่านคิดซับซ้อนเกินไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เดินลงมาจากระเบียงช้าๆ น้ำเสียงของนางเย็นเฉียบราวกับมีดคมๆ ด้ามหนึ่ง “จากฐานะของท่านแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มิอาจฆ่าท่านได้ แต่ทำให้บาดเจ็บ?หรือพิการ? คงจะไม่เป็นปัญหาอะไร”


 


 


“อีกอย่าง คำพูดนี้ข้าจะพูดอีกเพียงครั้งเดียว ต้วนเฉินเซวียน หากครั้งหน้าท่านยังกล้าเข้ามาที่เรือนของข้าโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตอีกแม้แต่ก้าวเดียว กระบี่ในมือของหลานเย่ว์เล่มนั้นและแส้ที่อยู่ในมือของผูหลิวจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หากท่านกล้าก็ลองดู”


 


 


เมื่อกล่าวจบซูเหลียนอวิ้นก็ค่อยๆ พยุงผูหลิวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เพื่อดูว่านางได้รับบาดเจ็บรุนแรงอะไรหรือไม่ เพราะในความทรงจำของซูเหลียนตอนนั้น ต้วนเฉินเซวียนลงมือกับนางโดยไม่ยั้งมือ


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเฝ้าสังเกตท่าทางของซูเหลียนอวิ้นที่พยุงผูหลิวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขาจึงบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในใจของเขาพลันรู้สึกถึงความขมขื่น เขา…


 


 


“หลานเย่ว์ ส่งคุณชายกลับจวนจิ้งอันโหวด้วย”


 


 


ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ดังนั้นแม้ว่าหลานเย่ว์จะเป็นผู้เชิญเขาออกไป แต่ระหว่างทางเขากลับไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว


 


 


“คุณหนูใหญ่…” เมื่อผูหลิวเห็นซูเหลียนอวิ้นสำรวจนางซ้ายทีขวาทีเช่นนี้ก็อับจนคำพูด “คุณหนูใหญ่ บ่าวมิได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ” นั่นเป็นเพราะตอนที่คนผู้นั้นประลองกับนาง เขาก็ไม่ได้ออกแรงแต่อย่างใด อีกอย่างแม้ว่าดูจากท่าทางภายนอกแล้วจะดุดัน แต่เมื่อถึงช่วงสำคัญเขากลับออมแรงเอาไว้ ดูแล้วอาจจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่นั้น? ในความเป็นจริงแล้วไม่มีเลยด้วยซ้ำ


 


 


“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เอาล่ะ ตอนนี้ก็นอนได้จริงๆ เสียที กลับไปเถิด กลางดึกกลางดื่นแล้ว”


 


 


“เจ้าค่ะ” ผูหลิวพยักหน้ารับ องครักษ์ที่ดี เจ้านายว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น เรื่องอะไรที่ควรรู้ เรื่องอะไรที่ไม่ควรรู้ ผูหลิวเข้าใจเรื่องราวพวกนี้เป็นอย่างดี


 


 


แต่เข้าใจก็อยู่ส่วนเข้าใจ แต่ในใจของนางยังแอบครุ่นคิด คุณชายต้วน…คุณหนูซู…คงไม่?


 


 


หากเป็นคนที่ชอบข่าวซุบซิบนินทา จะต้องคิดว่ามีอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน


 


 


“นายท่าน!” เดิมทีหลิวจือวางแผนว่ากลางดึกจะออกไปเข้าห้องน้ำ เพื่อไปจัดการเรื่องอย่างว่าให้ตัวเอง แต่ในช่วงที่กำลังจะออกจากเรือนกลับเห็นเจ้านายของตัวเองอยู่ในสภาพเลือดโชกและอิดโรยเป็นอย่างมากจนแทบจะล้มไปกองกับพื้น?


 


 


“นายท่านๆๆ!” หลิวจือพยุงร่างท่อนบนของต้วนเฉินเซวียนขึ้นมาแล้วเขย่า “นายท่าน ตื่นก่อนขอรับ ตื่นก่อน! ท่านอย่าเพิ่งหลับ!”


 


 


เมื่อต้วนเฉินเซวียนถูกหลิวจือจับตัวเขย่าอย่างรุนแรงเช่นนี้จนในรู้สึกสับสนไปหมด จึงพยายามฝืนลืมตาขึ้นแล้วมองตาขวาง “เจ้านายของเจ้า…ไม่มีทางตาย!” เรื่องราวที่เขายังจัดการในชาตินี้ยังมีอีกมากมายนักจะให้รีบตายได้อย่างไร? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำ


 


 


“เช่นนั้นนายท่าน…” เมื่อได้ยินต้วนเฉินเซวียนบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร จิตใจของหลิวจือจึงสงบขึ้น


 


 


เจ้านายของเขาเป็นอะไรคนประเภทใดกัน ทั้งโดนพิษ โดนฟันและยังสามารถกลับไปรบกับผู้อื่นได้อีกสามร้อยรอบ ตอนนี้…ดูเหมือนว่าเลือดของเขาไหลออกมามากเกินไปหน่อยหรือไม่? แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นเพียงแผลภายนอกไม่มีอะไรรุนแรง


 


 


 


 


 


 


ยิ่งเป็นห่วงมากกลับยิ่งวุ่นวาย! ตอนที่เขาเห็นเจ้านายของตัวเองล้มลงตรงขอบประตู ตอนนั้นเขากลับคิดว่าต้วนเฉินเซวียนคงจะ….


 


 


“พยุงข้าเข้าไป” ต้วนเฉินเซวียนคล้องคอของหลิวจือเอาไว้แล้วลุกขึ้น “พาข้าไปใส่ยาก็พอแล้ว”


 


 


“อ้อ ขอรับ” หลิวจือพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นเขาจึงนำต้วนเฉินเซวียนวางลงบนเบาะนุ่มด้านข้าง จากนั้นจึงหันตัวกลับไปเพื่อหายา แต่เมื่อดูจากท่าทางของเขาที่หอบเอายามา…คล้ายว่าเขาจะทายาให้ต้วนเฉินเซวียนทั่วทั้งตัว!


 


 


“หลิวจือ…” เสียงของต้วนเฉินเซวียนคล้ายคนหมดแรง “มีแค่หัวไหล่ของข้าที่ได้รับบาดเจ็บ เอามาแค่ขวดเดียวก็พอแล้ว…” ส่วนอื่นๆ ของร่างกายเขามีเพียงแค่บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แม้ว่าจะมีเลือดออกนิดหน่อยแต่ก็เป็นเพียงแผลถากผิวหนังตื้นๆ เท่านั้น  แทนที่จะทายาให้มันมิสู้ปล่อยให้มันตกสะเก็ดไปเองจะดีกว่าถือว่าเป็นการรักษาอีกแบบเช่นกัน


 


 


“แต่นายท่านขอรับ บาดแผลนี้…เกิดขึ้นได้อย่างไรหรือ?” หลิวจือตัดผ้าพันแผลผืนเดิมที่พันอยู่ที่หัวไหล่ของต้วนเฉินเซวียนออกจนกระทั่งเห็นบาดแผลทั้งหมดจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา


 


 


แผลนี้…คล้ายโดนกระบี่ฟันแต่พอดูอีกทีก็กลับไม่คล้าย? เพราะหลิวจือไม่เคยเห็นกระบี่ทิ้งรอยไว้แบบนี้ แต่หากบอกว่าเป็นพลังกระบี่ล่ะก็ หากว่ากันตามเหตุผลแล้วพลังกระบี่ไม่น่าจะรุนแรงเพียงนี้? เพราะรอยแผลนี้ที่มีความลึกขนาดนี้…เพียงดูปริมาณเลือดที่ไหลออกมาก็รู้แล้วว่าในตอนนั้นมีการลงมืออย่างโหดร้ายมากแค่ไหน!


 


 


“เจ้าจะถามเยอะแยะไปเพื่ออะไร” การทำแผลแบบรุนแรงของหลิวจือทำเอาเหงี่อเม็ดใหญ่ของต้วนเฉินเซวียนหยดลงมา “รีบทายาให้เสร็จๆ ซะ จะได้จบสักที!” นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อวานเขาถึงกัดฟันทนแล้วใส่ยาให้ตัวเอง! เพราะฝีมือเช่นนี้ยังมีหน้าใฝ่ฝันว่าตัวเองจะกลายเป็นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงอีก? ช่างน่า…เฮ้อ


 


 


เนื่องจากในด้านการรักษาหรือช่วยผู้ป่วยนั้นเขาไม่สามารถทำได้เลยสักนิด ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนเพียงทายาและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาเท่านั้น แต่น้ำหนักมือของเขาทำเอาต้วนเฉินเซวียนเจ็บจนแทบทนไม่ได้ หากให้หลิวจือต้องไปจัดการด้านอื่นๆ อีก…ต้วนเฉินเซวียนคิดว่าปล่อยคนไข้พวกนั้นไปจะดีกว่า


 


 


 


 


 


 


 


 


อาการป่วยนั้นไม่ได้เป็นกันได้บ่อยๆ และหากยังต้องมาเจอกับหมออย่างหลิวจืออีก? เกรงว่าคนไข้คงจะก้าวข้ามความเจ็บปวดต่างๆ แล้วกลับบ้านทันที


 


 


“นายท่านเสร็จแล้วขอรับ! หลิวจือมองไปยังผลงานชิ้นเอกของตัวเองอย่างพอใจ “นายท่าน ข้าพันแผลได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?” ที่ด้านบนเขายังผูกหูกระต่ายเอาไว้ด้วย แม้ว่าดูแล้วจะไม่ค่อยเข้ากับนายท่านสักเท่าไหร่แต่ความขัดกันแบบนี้กลับให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามิใช่หรือ?”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนมองไปยังหูกระต่ายอันใหญ่ที่ไหล่ของตัวเอง เขาเกือบจะเอากรรไกรตัดปมทั้งสองนั้นออก แต่เมื่อเห็นสายตาของหลิวจือที่เต็มไปด้วยการรอคอยและมีความหวัง…ต้วนเฉินเซวียนจึงตัดสินใจรั้งมือตัวเองเอาไว้


 


 


“ทำ ทำได้ไม่เลวเลย ข้าไม่มีธุระอื่นแล้ว เจ้าไปได้แล้ว” แม้ว่าจะมิอาจเอามาเปรียบเทียบกันได้ แต่แววตาเมื่อครู่นี้ของหลิวจือคล้ายกับสายตาของซูเหลียนอวิ้นในตอนนั้นไม่มีผิด


 


 


แววตาที่ระแวดระวัง หยั่งเชิงและร้องขอคำชมเชยจากเขา แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะสามารถหักใจปฏิเสธได้ แต่ตอนนี้…ต้วนเฉินเซวียนกลับรู้สึกว่า เขากลัวที่จะไม่ได้เห็นแววตาแบบนั้นอีกแล้วมากกว่า

 

 

 


ตอนที่ 135 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซ...

 

“อาซู่!”


 


 


“จวิ้นจู่ ฝันร้ายอีกแล้วหรือเพคะ?”


 


 


เมื่อลืมตาขึ้น หนานกงมู่เสวี่ยจึงมองไปรอบด้าน เกิดอะไรขึ้นฝันอีกแล้วหรือ…


 


 


“เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” หนานกงมู่เสวี่ยมองไปยังสาวรับใช้ที่มีสีหน้าร้อนใจแล้วส่ายหน้า “ไปเถิด ให้ข้าอยู่คนเดียวสักพัก”


 


 


“เจ้าค่ะ” สาวรับใช้ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยปากอีกแล้วถอยออกจากห้องไป


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงอีกสักพัก แต่หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นจึงดึงลิ้นชักอันเล็กที่อยู่ด้านล่างสุดออกมา เมื่อเปิดออกสิ่งที่อยู่ด้านในคือปิ่นปักผมรูปเกล็ดหิมะอันเล็กๆ อันหนึ่ง


 


 


ทว่าปิ่นอันนั้นได้หักไปแล้ว เครื่องประดับรูปเกล็ดหิมะได้หลุดออกจากตัวด้ามปิ่นเรียบร้อยแล้ว…


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยจ้องมองปิ่นปักผมที่หักอยู่ในกล่องใบนั้นอย่างเย็นชา สักพักหนึ่ง นางก็แค่นหัวเราะออกมา แม้ว่าจะเป็นการหัวเราะทว่าในแววตาของนางคล้ายมีน้ำตาเอ่อล้น


 


 


 ……


 


 


“ท่านอาเสวี่ยเอ๋อร์น่ารักยิ่ง น่าเสียดายที่ลูกของข้าเป็นเด็กชายตัวน้อย เฮ้อ!” อันผิงอ๋องหรือหนานกงชั่วถอนหายใจอย่างรุนแรง แล้วมองไปยังหนานกงมู่เสวี่ยตัวน้อยนุ่มนิ่มที่มีกลิ่นหอมฉุยแล้วไม่ยอมวางมือ “หากเสวี่ยเอ๋อร์เป็นลูกของข้าคงดี ข้าจะได้กอดนางทุกวัน” และไม่ต้องคอยเทียวมาที่นี่ทุกวันเพื่อกอดนาง


 


 


“ให้มันน้อยๆ หน่อย” เหิงชินอ๋องหรือหนานกงเยี่ยนเหล่มองผู้ที่เอ่ยขึ้น แล้วค้อมตัวเพื่อเอาลูกสาวของตนคืนมา “อยากได้ลูกสาวหรือ? เจ้าก็ไปทำเอาเองสิ! มาแย่งลูกสาวข้าทุกวัน ไม่รู้จักอาย!”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยหัวเราะและตบมือน้อยๆ ของตัวเองเบาๆ ราวกับกำลังได้ดูเรื่องราวน่าสนุกเรื่องหนึ่ง แต่ในตอนที่เหิงชินอ๋องอุ้มนางออกไปจากอกของอันผิงอ๋องแล้ว ใบหน้าของนางก็ไร้รอยยิ้มแล้วเบะปากร้องไห้ออกมา


 


 


“กอด กอด!” มือของหนานกงมู่เสวี่ยยื่นออกไปหาอันผิงอ๋อง สายตาของนางเต็มไปด้วยความออดวอน “จะกอด!”


 


 


“ได้ๆๆ มากอด กอดนะ” ตอนนั้นเองใบหน้าของอันผิงอ๋องก็ปรากฏรอยยิ้ม ดูท่าแล้วการมาปรากฏตัวที่นี่ทุกวันนั้นได้ผล! เพราะเด็กน้อยมู่เสวี่ยเรียกหาให้เขามากอดเสียแล้ว!


 


 


เหิงชินอ๋องรู้สึกอย่างกับตัวเองโดนตบหน้า เพราะมันน่าขายหน้ามาก! จึงอดไม่ได้ที่จะหมุนตัวของหนานกงมู่เสวี่ยมาที่ตัวเองอย่างโมโหแล้วเอ่ยสั่งสอนว่า “เสวี่ยเอ๋อร์! ข้าต่างหากที่เป็นพ่อของเจ้า! มองมาที่ข้าตรงนี้ คนอื่นล้วนเป็นพวกต้มตุ๋น! อย่าโดนหลอกสิ!” ข้าต่างหากที่เป็นพ่อของเจ้า คนอื่นล้วนอยากได้ลูกสาวของข้าทั้งนั้น!


 


 


น่าเสียดายที่หนานกงมู่เสวี่ยมีอายุเพียงแค่สามขวบจึงมิสามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่อยู่ในคำพูดนั้นได้ เพราะเด็กส่วนมากล้วนดูเพียงหน้าตาเท่านั้น อันผิงอ๋องเป็นผู้ที่มีหน้าตาอ่อนโยนนุ่มนวล โดยเฉพาะเวลาที่หนานกงมู่เสวี่ยอยู่ด้วยแววตาของเขายิ่งอ่อนโยนมากขึ้นไม่รู้กี่เท่า ดังนั้นหากเปรียบเทียบกับเหิงชินอ๋องตอนนี้ที่ทั้งโมโหทั้งหน้าตาโหดเ**้ยม ต่อให้ไม่ใช่เด็กก็คงจะชอบอันผิงอ๋องมากกว่าอยู่ดี


 


 


“ไม่!” หนานกงมู่เสวี่ยส่ายหน้าแล้วพยายามดิ้นซ้ายทีขวาทีเพื่อให้หลุดจากอกของเหิงชินอ๋องให้ได้


 


 


“ท่านพ่อ! ท่านอยู่ที่นี่จริงด้วย…”


 


 


ในขณะที่หนานกงมู่เสวี่ยกำลังหมุนตัวหนีซ้ายขวาเตรียมจะร้องโวยวายให้คอแตกอยู่นั้น การปรากฏตัวของหนานกงซู่ทำเอานางต้องหยุดความคิดนี้ไปชั่วคราว


 


 


“กอดๆ!” หนานกงมู่เสวี่ยพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรงเพื่อให้ระยะห่างระหว่างตนกับหนานกงซู่ยิ่งใกล้กันมากขึ้น “กอดๆ !”


 


 


หนานกงซู่ที่มีอายุได้เพียงสี่ขวบเมื่อต้องเผชิญกับคำร้องขอที่กะทันหันเช่นนี้ก็ทำเอาเขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี เขาจึงหันไปมองอันผิงอ๋องกับเหิงชินอ๋องด้วยความตระหนก เพราะว่า…บิดาของเขาชอบเด็กหญิงหน้ากลมคนนี้ยิ่งนัก หากเขาเอานางมาอุ้มเลย ตอนกลับไปถึงจวนแล้ว บิดาของเขาจะหึงเขาแล้วจัดการเขาสักทีสองทีหรือไม่?


 


 


หากดูจากนิสัยปกติของบิดาตนเองแล้ว นั่นมีความเป็นไปได้สูงมาก! อีกอย่างเหิงชินอ๋อง…ช่างเถิด เขาจะไม่หันไปมองแล้วเพราะรู้สึกเหมือนว่าเขาอยากจะฆ่าคนอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“โธ่ ท่านอา!” อันผิงอ๋องอาศัยโอกาสที่เขาไม่ทันได้เตรียมตัวแย่งหนานกงมู่เสวี่ยออกมาจากอกของเหิงชินอ๋อง จากนั้นจึงย่อตัวลงแล้วเอาหนานกงมู่เสวี่ยยัดเข้าไปในอกของลูกชายเขา “เร็วเข้า เอาเสวี่ยเอ๋อร์ออกไปเล่นเร็ว! ไม่ต้องอยู่ตรงนี้แล้ว!”


 


 


ลูกชายของตนไม่เลวทีเดียว! ใช้ได้ หากมีการพัฒนาที่ดีเช่นนี้ ภายภาคหน้าคงจะมีโอกาสมั่นหมายมู่เสวี่ยให้มาเป็นสะใภ้ก็เป็นได้? หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าตัวเขาก็จะมีลูกสาวเสียที แถมลูกสาวของเขายังเป็นมู่เสวี่ยอีกต่างหาก! แค่จินตนาการก็สมบูรณ์แบบขนาดไหนแล้ว!


 


 


“ฮ่าๆ” หนานกงมู่เสวี่ยที่อยู่ในอกของหนานกงซู่เงยหน้าขึ้น ในปากของนางคล้ายมีของบางอย่างส่องประกายระยิบระยับ ของสิ่งนั้นก็คือน้ำลาย…ทั้งยังดูเหมือนว่าจะกระเด็นออกมาใส่เสื้อผ้าของหนานกงซู่แล้วเสียด้วย


 


 


หนานกงซู่มองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่เกาะเกี่ยวอยู่ที่เอวของเขาไม่ยอมปล่อยมือ เขาขมวดคิ้ว น่าขยะแขยงนัก…น้ำลายเปื้อนเสื้อผ้าของเขาหมดแล้ว!


 


 


“พี่ชาย เล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย!” หนานกงที่มีอายุสามขวบชี้นิ้วแล้วยิ้มหน้าระรื่นไปที่หนานกงซู่ เป็นเพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คืออันผิงอ๋องแบบย่อขนาด! อีกอย่างเนื่องจากโดนย่อขนาดแล้ว ความสูงจึงไม่แตกต่างจากนางมากเท่าไหร่นัก! ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกสนิทสนมไม่น้อยทีเดียว


 


 


“ข้ามิใช่…” หนานกงซู่เอ่ยปากปฏิเสธอย่างอ่อนแรง “ข้ามิใช่พี่ชายของเจ้า…” แม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่หนานกงซู่ก็เข้าใจดี


 


 


สาวน้อยที่อยู่ในอกของเขาตอนนี้ แม้ว่าจะอายุน้อยกว่าเขา แต่ตามลำดับญาติแล้ว…นอกจากนางจะไม่ได้เป็นน้องสาวของเขาแล้ว แต่เขายังต้องเรียกนางว่าน้าด้วยซ้ำ!


 


 


หนานกงซู่รังเกียจจนหรี่ตามอง จะให้เรียกเด็กหญิงตัวน้อยน้ำลายยืดนี่ว่าน้ารึ? น่าขายหน้ายิ่งนัก!


 


 


“ปัดโธ่ เจ้าจะสนทำไมว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะเรียกเจ้าว่าอะไร” เมื่ออันผิงอ๋องเห็นบุตรชายของตัวเองทำท่าทึ่มทื่อเช่นนี้ก็ทนไม่ได้ จึงตบเขาเข้าให้ป้าบหนึ่งแถมยังตบเข้าไปที่ศีรษะอีกต่างหาก!


 


 


“เสวี่ยเอ๋อร์ยังเด็ก! นางยอมให้เจ้าเรียกว่าอย่างไรก็ให้เรียกอย่างนั้น! นางเรียกเจ้าว่าพี่ชายก็ดีกับเจ้าเท่าไหร่แล้ว! เจ้าจะมาถือสาเรื่องแบบนี้ทำไมกัน” เด็กหน้าเหม็น มีสาวเป็นฝ่ายอยากใกล้ชิดเจ้าก่อน เจ้าจะกล้าไม่มีปฏิกิริยาใดตอบรับเลยหรือ? วันข้างหน้ามิกลัวขอนางทำภรรยามิได้รึ?!


 


 


“อ่อ” หนานกงซู่เอามือลูบบริเวณที่โดนพ่อของเขาตบ “เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน”


 


 


ไปเร็วๆ เข้า!” หากยังไม่ไปอีก พวกเจ้าก็คงจะไปไม่ได้แล้วล่ะ น้องชายมองอย่างกับกินเลือดกินเนื้อเช่นนี้แล้ว!


 


 


“หนานกงซู่! เจ้าเอามา…” เหิงชินอ๋องกระทืบเท้าอย่างร้อนรน เหตุใดเวลาเพียงชั่วขณะเดียวลูกสาวของเขากลับถูกแย่งตัวไปแล้ว? อีกอย่างคนผู้นี้ดูแล้วน่าโมโหและน่ารำคาญตากว่าหนานกงชั่วเสียอีก!


 


 


ได้เชื้อพ่อมาเต็มๆ ! เหิงชินอ๋องแอบก่นด่าในใจ หน้าตาเหมือนกันนั้นช่วยไม่ได้ แต่พฤติกรรมชอบยั่วยุอารมณ์นั้นเหมือนกันไม่มีผิด


 


 


“ท่านอา!” อันผิงอ๋องเอาตัวขวางทางของเหิงชินอ๋องเอาไว้ “เด็กๆ ด้วยกันทั้งนั้นจะเป็นไรไปให้พวกเขาไปเล่นด้วยกันเถิด อีกอย่างที่เรือนของเจ้าก็ไม่มีผู้ใดอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยกระมัง? อย่างนั้นแล้วปกติเสวี่ยเอ๋อร์คงเบื่อและน่าสงสารมาก! โชคดีที่ซู่เอ๋อร์ของข้ามาเล่นเป็นเพื่อน น้องชายก็อย่าทำให้วุ่นวายเลย!” ลูกพ่อสู้ๆ พ่อของเจ้าช่วยเฝ้าคนที่พยายามก่อเรื่องวุ่นวายเอาไว้แล้ว! จากนี้เจ้าจงจำไว้ว่าเจ้าจะต้องรีบเอาเสวี่ยเอ๋อร์มาอยู่กับพวกเราให้ได้!


 


 


ผ่านพ้นเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ มากมาย เวลาหนึ่งปีก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หนานกงซู่โตขึ้นค่อนข้างมาก หนานกงมู่เสวี่ยเองก็มิใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่ทำน้ำลายไหลหกเลอะเสื้อผ้าคนก่อนอีกแล้ว


 


 


“เสี่ยวมู่เสวี่ย”  แม้เวลาจะผ่านไปหนึ่งปีแล้ว หนานกงซู่ก็ยังคงไม่ชอบและเรียกหนานกงมู่เสวี่ยว่าน้าไม่ได้ แต่หากให้เรียกนางว่าน้องสาวเขาก็รู้สึกว่าข้ามหัวและเป็นการไม่เคารพนาง ดังนั้นในทุกๆ ครั้งที่เจอหน้ากันมักจะเรียกหนานกงมู่เสวี่ยว่าเสี่ยวมู่เสวี่ย


 


 


หนานกงซู่ผลักประตูเข้าไปในห้องของหนานกงมู่เสวี่ยเช่นเดิม แต่เมื่อเห็นนางกำลังก้มหน้าสำรวจอะไรบางอย่างอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะหน้าเข้าไปดู


 


 


“เจ้ากำลังอ่านคัมภีร์หมากล้อมอยู่หรือ?” น้ำเสียงของหนานกงซู่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตอนนี้หนานกงมู่เสวี่ยมีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น เด็กอายุเพียงสี่ขวบ…เป็นช่วงวัยที่จะสนใจเรื่องราวเช่นนี้รึ?


 


 


“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่ามันสนุกมาก” หนานกงมู่เสวี่ยเงยหน้ามองหรงซู่แล้วยิ้มออกมาให้เห็นฟันขาวจั๊วะแล้วชี้ไปยังกระดานหมากรุกบนโต๊ะพลางเอ่ยว่า “อาซู่ ไม่รู้สึกว่ามันน่าสนใจบ้างหรือ?” ไม่ดำก็ขาว มีเหตุมีผลแบ่งแยกชัดเจน จะไม่น่าสนใจได้อย่างไร?


 


 


“เอ่อ เจ้าชอบก็ดีแล้ว” หนานกงซู่หยักไหล่ เพราะศาสตร์ที่เกี่ยวกับหมากล้อมนี้ เขาไม่ค่อยมีความสนใจมากนัก ก็แค่สิ่งของที่ใช้เล่นเป็นงานอดิเรกชนิดหนึ่งเท่านั้น เล่นเป็นนิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว แต่พอเห็นหนานกงมู่เสวี่ยมีความสนใจเช่นนี้…


 


 


“หมากเกมนี้ยากมากเลยหรือ?” หนานกงซู่ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเอ่ยถาม “ให้ข้าดูด้วยได้หรือไม่”


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำ


 


 


“ยากมาก…” สุดท้ายหนานกงมู่เสวี่ยจึงเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้วแล้วถอนใจ “ต่อให้พวกเรารวมหัวกันสองคนก็คิดไม่ออก”  ฟังออกได้อย่างไม่ยากเย็นนักว่าน้ำเสียงของนางท้อแท้ขนาดไหน


 


 


หนานกงซู่หัวเราะ “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ตอนนี้คิดไม่ออกก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตนี้จะคิดไม่ออกตลอดไปเสียหน่อย รอข้าประเดี๋ยวเถอะ ข้าจะแก้หมากกระดานนี้ให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยไม่เข้าใจจึงถามว่า “ทำอย่างไร?” เนื่องจากหนานกงซู่ไม่ค่อยมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก การสะสมคัมภีร์หมากล้อมไว้นั้นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่กระมัง?


 


 


“เพราะว่าอีกไม่นานข้าจะเชิญคนผู้หนึ่งที่มีความสามารถมากมากเป็นอาจารย์ของข้าแล้ว!” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ปลายหางตาของหนานกงซู่ก็ยกสูงขึ้นความปลื้มปิติที่เอ่อล้นออกมา


 


 


“พ่อข้าบอกไว้แล้วว่า คนผู้นั้นตอบรับที่จะมาเป็นอาจารย์ของข้าแล้ว! ว่ากันว่าคนผู้นั้นเป็นปรมาจารย์ลัทธิเต๋า ปกติแล้วจะไม่รับผู้ใดเป็นศิษย์! อีกอย่างข้าอยากจะเป็นลูกศิษย์คนแรกของเขามาก? แค่คิดก็ตื้นตันแล้ว!” เพราะในใจของเด็กผู้ชายทุกคนจะต้องมีความคิดอยากจะละทิ้งความวุ่นวายทางโลกแล้วท่องไปในยุทธภพตั้งแต่ยังเด็กอยู่แล้ว


 


 


ดั้งนั้นเมื่อรู้ว่านักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นตบปากรับคำยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์แล้ว หนานกงซู่ดีใจจนไม่รู้ว่าจะดีใจอย่างไร! หนานกงซู่รู้วึกว่าเขาดีใจมากกว่าความรู้สึกตอนที่เขาได้รับคันธนูในวันเกิดเขาเสียอีก


 


 


ความรู้สึกดีๆ เช่นนี้แน่นอนว่าต้องแบ่งปัน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมวันนี้เขาถึงมาหาหนานกงมู่เสวี่ย ข่าวดีเช่นนี้เขาย่อมต้องมาบอกกล่าวด้วยตัวเองอยู่แล้ว


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยวางหมากล้อมในมือลง เม้มปากไม่ยอมพูดอะไร


 


 


หนานกงซู่เข้าใจว่านางโกรธ เพราะนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นเอ่ยวาจาเอาวแล้วว่าครั้งนี้จะรับศิษย์เพียงคนเดียว หนานกงซู่จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “มู่เสวี่ยตัวน้อย เจ้าไม่ดีใจหรือ?”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยยังคงไม่พูดจาอะไร ได้แต่เพียงจ้องไปที่หนานกงซู่เงียบๆ


 


 


ว่ากันตามจริงแล้ว สิ่งที่หนานกงซู่กลัวที่สุดไม่ใช่การที่พ่อของเขายกไม้ขึ้นเตรียมจะเฆี่ยนเขา แต่เขากลับกลัวหนานกงมู่เสวี่ยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแล้วจ้องมาทางเขาแต่เพียงอย่างเดียวมากกว่า อย่างเช่นตอนนี้…เป็นช่วงจังหวะที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี!


 


 


หากไม่พูดอะไรเลยดูเหมือนจะไม่ถูกนัก แต่หากพูดออกมาแล้วพูดผิด…จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่!


 


 


“อย่างนั้นท่านจะยังอยู่ในเมืองหลวงอีกหรือไม่” ผ่านไปครู่ใหญ่ หนานกงมู่เสวี่ยจึงก้มหน้าจับตัวหมากไว้ในมือแล้วเอ่ยถามอย่างสงบ


 


 


“อืม…เรื่องนี้” สุดท้ายเมื่อหนานกงซู่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยยอมพูดกับเขาเสียที เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเป็นอย่างมาก จึงแหงนหน้ามองฟ้าแล้วเอ่ยปากถามพลางครุ่นคิดว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกัน เพราะเรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นกระมัง แต่ข้าคาดว่าคงจะไม่อยู่? เพราะว่ากันว่านักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นค่อนข้างเก็บตัว…


 


 


เมื่อพูดถึงตรงนี้เสียงของหนานกงซู่ก็ลดระดับลงอย่างไม่มีเหตุผล แต่เมื่อเห็นหนานกงมู่เสวี่ยยังคงจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา คำที่เตรียมจะพูดก็มิอาจเก็บเอาไว้ได้อีกจึงเอ่ยต่อออกมาว่า “น่าจะ…พาข้าไปด้วย…ใครจะรู้เล่า อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่!”


 


 


“เฮอะ!” หนานกงมู่เสวี่ยโยนหมากในมือทิ้งแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้พร้อมกอดอก “อ้อ อย่างนี้เองหรือ”


 


 


“ข้ารับรองหากข้ามีเวลา ข้าจะต้องแอบมาเยี่ยมเจ้าอย่างแน่นอน!” เมื่อหนานกงซู่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยเริ่มมีท่าทีโกรธขึ้นแล้วจริงๆ ในตอนนั้นจึงรีบร้อนกระโดดลงมาแล้วเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง…คงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น หากเจ้าอยากจะมาเล่นกับข้า เจ้าก็เป็นฝ่ายมาหาข้าได้ ไม่เห็นมีอะไรยากเลย”


 


 


ในใจของหนานกงมู่เสวี่ยเริ่มเกิดความลังเล เท้าของนางเริ่มขยับเขยื้อน แต่ร่างกายของนางกลับไม่อาจฝืนทนอีกต่อไปจึงหันหลังใส่หนานกงซู่แล้วไม่หันหน้ากลับมาอีก!


 


 


หนานกงซู่ย่อมจับสังเกตปฏิกิริยานี้ได้ ทันใดนั้นเองเขาจึงยิ้มจนตาแทบปิด “วางใจเถิดเสี่ยวมู่เสวี่ย! ข้าเองก็มิได้ออกไปเล่นไร้สาระที่ไหน รอให้ข้ากลับมาก่อน ข้าจะต้องเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งไม่มีสอง!”


 


 


“อย่างนั้นท่านก็มิต้องกลับมาอีก!” หนานกงมู่เสวี่ยเบะปาก “ยอดฝีมือ…คงจะอีกนานกว่าท่านจะทำได้!”


 


 


“อย่างนั้นก็ยังมิต้องเป็นยอดฝีมือ เป็นแค่…เรียนให้พอได้นิดหน่อย ข้าจะต้องกลับมาสอนเจ้าแน่ ดีหรือไม่?”


 


 


“ดี!” หนานกงมู่เสวี่ยเริ่มยิ้ม เห็นได้อย่างชัดเจนว่าค่อนข้างพอใจกับคำตอบนี้ “ท่านพูดแล้ว คำไหนต้องเป็นคำนั้น”


 


 


“คำไหนคำนั้น!”


 


 


“จวิ้นจู่! คุณชาย!” ที่ด้านนอกห้องมีเด็กรับใช้ถือโคมไฟมาอย่างรีบร้อน “คุณชายน้อย นายท่านของพวกเราใกล้จะกลับมาแล้ว! ท่านก็ควรกลับแล้วเช่นกัน!” มิฉะนั้นแล้วอีกประเดี๋ยวคงถูกไล่ออกมา แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนกันไม่ได้


 


 


เนื่องจากว่าไม่ว่าเหิงชินอ๋องจะมองหนานกงซู่อย่างไรก็ไม่ถูกชะตา เห็นชัดๆ ว่าเป็นขโมยแอบมาลักลูกสาวเขาไป! เขาย่อมไม่ต้อนรับอย่างแน่นอน ไม่จับโยนทิ้งออกไปทันทีก็ถือว่าดีมากแล้ว!


 


 


เมื่อหนานกงซู่ได้ยินเช่นนั้นกลับมิได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่กลับเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดว่า เหิงชินอ๋องในครั้งนี้…คงจะอารีอารอบมากขึ้นกว่าเดิมสักหน่อย? เพราะหากเป็นเมื่อก่อน เกรงว่าไม่ถึงตอนบ่าย เขาก็คงจะถูกไล่ออกมาแล้ว!  เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในจวนแห่งนี้ก็มิอาจปิดบังเหิงชินอ๋องได้


 


 


แถมวันนี้ยังคงปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่ถึงตอนนี้? เกรงว่า…อืม  หากรู้ว่าเขากำลังจะไปแล้ว หากจะไปแล้ว หากจะมาอีกก็คงไม่มีโอกาส ดังนั้นจึงทำให้เขายังอยู่ที่นี่นานเช่นนี้!


 


 


“คุณชายน้อน ไปเถิด!” เด็กรับใช้อดที่จะเอ่ยปากเร่งไม่ได้ “ตอนนี้เวลาไม่น้อยแล้ว! นะขอรับ!  ใกล้ถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว! หากท่านไม่ไป อีกครู่หนึ่งอาหารเย็นของอวิ้นจู่ก็คงจะเริ่มตั้งสำหรับแล้ว! อีกประเดี๋ยวท่านก็ต้องหาข้ออ้างอยู่ต่อแน่…อย่าคิดว่าเรื่องแค่นี้พวกเราจะไม่รู้


 


 


“ก็ได้” หนานกงซู่ดึงเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเสียดาย “เสี่ยวมู่เสวี่ย ข้าขอตัวก่อน วันหน้าค่อยมาหาใหม่!” 

 

 


ตอนที่ 136 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซ...

 

“อืม” หนานกงมู่เสวี่ยตอบรับอย่างไร้อารมณ์ “อย่าลืมคำพูดที่ท่านพูดไว้ก็แล้วกัน”


 


 


“ข้าไม่ลืมอย่างแน่นอน เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าไว้ ข้าเคยผิดนัดเสียเมื่อไหร่?”


 


 


“แล้วพบกันพบใหม่!” หนานกงมู่เสวี่ยไล่เขาออกจากห้องของนางด้วยการ ปิดประตูใส่ดัง ‘ปั้ง’


 


 


เช่นนั้นท่านต้องเรียนให้เสร็จเร็วๆ ถึงจะดี..หนานกงมู่เสวี่ยยืนพิงประตู ร่างกายน้อยๆ นั่งขดตัวเป็นก้อนกลมและพูดกับตัวเองในใจว่า หนานกงซู่ ท่านจะต้องรีบเรียนให้จบไวๆ! หากท่านเรียนไม่จบสักที นางคง…เฮอะ คอยดูเถอะ


 


 


หนึ่งเดือนต่อจากนั้น หนานกงซู่ก็เก็บสัมภาระทั้งหมดและแวะมาที่จวนของเหิงชินอ๋องอีกครั้งหนึ่งเพื่อบอกลาหนานกงมู่เสวี่ย


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยซบอยู่ในอกของบิดาตนเอง ให้ร่างน้อยๆ ของนางหันหลังให้กับทุกคนเพื่อไม่ให้เห็นหนานกงซู่อีก


 


 


เมื่อหนานกงซู่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยเป็นเช่นนี้ก็หมดปัญญา เขาเองไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องการบอกลา…จะเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเช่นนี้ แต่หากเขาครั้งนี้เขาไม่มาหานาง เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบนางอีกทีเมื่อไหร่


 


 


“เช่นนั้น…ลาก่อน” หนานกงซู่ถอนหายใจ แล้วหันหลังจากไป


 


 


สุดท้าย ตอนที่หนานกงซู่เดินออกมาจากจวนอ๋องแล้ว หนานกงมู่เสวี่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางร้องไห้โฮออกมา น้ำมูกน้ำตาไหลหลั่งราวกับนางกลับไปเป็นเด็กสามขวบในตอนนั้นอีกครั้ง


 


 


น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่มีเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางให้นางยืมเสื้อผ้าเช็ดน้ำมูกและน้ำลายอีกต่อไปแล้ว


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยร้องไห้อย่างหนัก นางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงเศร้าใจเช่นนี้ เพราะเดี๋ยวหนานกงซู่ก็ต้องกลับมา มิใช่การร่ำลาอย่างถาวรเสียหน่อย แต่อย่างไรแล้วนางก็เสียใจอยู่ดี!


 


 


ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับความรู้สึกตอนที่ปลาคาร์ปที่นางเลี้ยงตายไม่มีผิด! หนานกงมู่เสวี่ยแอบคิดในใจ แต่หนานกงซู่มิใช่ปลาคาร์ปเสียหน่อย เขาไม่มีทางตาย!


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยพยายามให้กำลังใจตัวเอง ช่างเถิด ให้เขาไปตามทางของเขา! ถึงอย่างไรวันหน้าบักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นก็มีโอกาสจะรับลูกศิษย์อีกมิใช่หรือ? เมื่อถึงเวลานั้น…นางก็จะเป็นยอดฝีมือหญิงท่องยุทธภพ!


 


 


“เสวี่ยเอ๋อร์ ไม่ร้องแล้วหรือ?” เหิงชินอ๋องลองเอ่ยปากถาม “เจ้าเด็กนั่นมีอะไรดีถึงทำให้เสี่ยวมู่เสวี่ยของเราเสียใจได้ถึงขนาดต้องเสียน้ำตา! คนที่ทำให้เสี่ยวมู่เสวี่ยต้องร้องไห้ไปแล้วก็ดีเหมือนกัน! อีกอย่างต่อไปพ่อก็จะอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าดีหรือไม่?”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าตัวเอง แล้วฝืนยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านพ่อๆ ลูกหิวแล้วเจ้าค่ะ ลูกอยากกินขนมแป้งทอดน้ำตาล เมื่อกี้นี้ลูกเห็นอาซู่พกขนมแป้งทอดน้ำตาลตั้งมากมายไปกินระหว่างทาง ลูกก็เลยรู้สึกเศร้าเจ้าค่ะ!”


 


 


“ท่านพ่อๆ ลูกก็อยากกินขนมแป้งทอดน้ำตาล!”


 


 


เหิงชินอ๋องทำหน้าเอือมระอามองไปยังลูกสาวของตัวเองที่ร้องไห้โฮเพราะขนมแป้งทอดน้ำตาลชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นเขาพลันไม่รู้ว่าจะเอ่ยว่าอะไรดี เพราะตอนที่นางอ้าปากตะเบ็งเสียงร้องไห้นั้น เขาก็เห็นฟันผุๆ ของนางได้อย่างชัดเจน!


 


 


“มู่เสวี่ย…” เหิงชินอ๋องทำน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้ฟันของเจ้า… หมอหลวงก็บอกเอาไว้แล้วว่าช่วงนี้เจ้าต้องพยายามไม่กินขนมหวาน! ห้ามกินอยากกินของหวานบ่อยๆ อีก!


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยทำหูทวนลม ไม่ยอมหยุดร้องไห้ฟังคำพูดของเหิงชินอ๋อง เนื่องจากตอนนี้นางโศกเศร้าถึงเพียงนี้แล้ว! แต่ท่านพ่อของนางกลับไม่ยอมให้นางกินขนมแป้งทอดน้ำตาลสักชิ้น! นางก็ต้องร้องไห้มากขึ้นกว่าเดิมอยู่แล้ว!


 


 


“เอาล่ะๆๆ” สุดท้ายเมื่อเหิงชินอ๋องเห็นหนานกงมู่เสวี่ยร้องไห้จนเสียงแหบแห้งจนเริ่มไอ แต่กลับยังไม่ยอมหยุดร้อง เขาเลยต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้


 


 


“กินได้แค่ชิ้นเดียวนะ! และเมื่อกินเสร็จแล้วจะต้องรีบไปบ้วนปาดแปรงฟัน เข้าใจหรือไม่?”


 


 


“อืม” หนานกงมู่เสวี่ยหยุดร้องไห้ทันทีแล้วพยักหน้า “ลูกเข้าใจแล้ว”


 


 


เหิงชินอ๋องจึงวางนางลงอย่างเหลืออดแล้วเรียกสาวใช้เข้ามา “เอาเสี่ยวจวิ้นจู่ไปกินข้าวเถิดแล้วจับดูไว้ดีๆ ก็พอ”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยจูงมือสาวใช้คนนั้นอย่างพออกพอใจแล้วเดินไปยังห้องครัวอย่างร่าเริง หากดูจากตอนนี้ การร่ำลาของหนานกงซู่ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะทำให้นางมีโอกาสได้กินขนมแป้งทอดน้ำตาลด้วย!


 


 


 ……


 


 


“จวิ้นจู่ เหนื่อยแล้วหรือเพคะ? สาวใช้ที่เก็บที่นอนให้หนานกงมู่เสวี่ยที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางดังนั้นก็รีบถาม  “หรือว่า จวิ้นจู่หิวแล้ว!” เฮ้อ ช่วงนี้จวิ้นจู่ก็มิรู้เป็นอะไร อาหารมื้อเย็นก็กินไปนิดเดียวเท่านั้น ตอนนี้จวิ้นจู่อยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโตด้วย! หากวันหนึ่งๆ กินน้อยขนาดนี้ ต่อไปร่างกายของนางจะทนไหวได้อย่างไร?


 


 


“อืม เริ่มหิวนิดหน่อยแล้ว” หนานมู่เสวี่ยวางพู่กันที่กำลังวาดรูปเล่นลง “ข้าหิวแล้ว”


 


 


เมื่อสาวใช้ได้ยินคำพูดดังนี้ ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างเบิกบานใจแล้วเอ่ยว่า “บ่าวจะรีบไปยกมาให้จวิ้นจู่เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยรอเป็นเวลานาน ในที่สุดก็หิวจนเริ่มทนไม่ไหว สุดท้ายในขณะที่ท้องของหนานกงมู่เสวี่ยร้องแล้วร้องอีกไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบนั้น นางก็ทนไม่ได้จึงวิ่งไปยังอีกด้านหนึ่งแล้วหยิบผ้าคลุมผืนเล็กของตัวเองขึ้นมาคลุมตัวเองไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก


 


 


“หนาวจัง!” หนานกงมู่เสวี่ยถูมือ แล้ววิ่งไปทางห้องครัว หากรู้แต่แรกว่าด้านนอกหนาวขนาดนี้ นางคงอยู่รอในห้องต่อจะดีกว่า เฮ้อ!


 


 


น่าเสียดายที่นางออกมาแล้ว แถมยังเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว ดังนั้นรีบเดินต่อไปให้ถึงจะดีกว่า


 


 


“กลิ่นอะไรน่ะ?” จมูกของหนานกงมู่เสวี่ยสูดกลิ่นฟุดฟิด ทำไมถึงได้กลิ่นว่ามีของบางอย่างไหม้? หรือว่าอาหารไหม้หมดแล้ว?


 


 


 


 


 


 


“อ๊า!” เสียงกรีดร้องเล็กแหลมทำลายความเงียบสงบยามค่ำคืนสิ้น “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”


 


 


ฝีเท้าของหนานกงมู่เสวี่ยหยุดชะงัก สายตาทั้งคู่ของนางเหม่อลอยไปที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า


 


 


ไฟ ไฟไหม้รุนแรงมาก! เป็นไฟที่ทำให้ท้องฟ้านี้สว่างไสว


 


 


“จวิ้นจู่ตื่นแล้ว  จวิ้นจู่ตื่นแล้ว!”


 


 


“ท่านพ่อ ท่านแม่”  หนานกงมู่เสวี่ยมองไปยังกลุ่มคนด้านหน้าด้วยความสับสน นี่นางกำลังฝันไปหรือ? นางจำได้ว่า…ตอนนี้ยังเป็นตอนกลางคืนอยู่ชัดๆ


 


 


“รีบไปนอนซะ อย่ามาเพ่นพ่าน!” คนที่เอ่ยขึ้นของแม่ของนางแท้ๆ ของนางที่มีแซ่เดิมว่าสวี่ “เจ้าเด็กโง่ ไม่มีธุระอะไรแล้วจะมาวิ่งเล่นอะไรตรงนี้?”


 


 


วิ่งเล่น?


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยพิจารณาคำสองคำนี้ นั่นก็หมายความว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน? เช่นนั้นนางก็จำได้ว่าทิศทางที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่…มาจากจวนอันผิงอ๋อง!


 


 


พวกอันผิงอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง! แล้วอาซู่ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง! แค่กๆ แค่กๆ” เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าจึงรีบเอ่ยปากถามอย่างรีบร้อน คิดไม่ถึงว่าตอนที่เอ่ยปากถามไปเช่นนี้ นางจะรู้สึกเหมือนว่าคอของนางเหือดแห้งราวกับกาน้ำร้อนที่ถูกต้มจนน้ำระเหยไป คอของนางแห้งเสียจนทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดยามจะเอ่ยปาก


 


 


แม่นางแซ่สวี่หลบสายตาหนานกงมู่เสวี่ยที่กำลังไล่ถามนาง แล้วดึงตัวนางซุกไว้ในผ้าคลุม “มู่เสวี่ย ตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่เจ้าจะช่วยได้ ตอนนี้ร่างกายของเจ้าต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หมอหลวงบอกว่าวันนั้นเจ้าตากลมจนเป็นไข้ ตอนนี้เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยไม่เอ่ยอะไร วันนั้นนางเป็นลมล้มฟุบไป ราวกับ…เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นราวกับไม่ใช่เรื่องบังเอิญ


 


 


“ท่านแม่ ลูกเข้าใจแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยนอนอย่างว่าง่ายแล้วยิ้มขึ้นมา เป็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์เช่นเดิมของนาง “เช่นนั้นข้าขอนอนก่อน ท่านกับคนอื่นๆ ออกไปเถิดเพคะ มิเช่นนั้นข้าคงนอนไม่หลับ”

 

 

 


ตอนที่ 137 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซ...

 

 


 


ครั้งนี้เมื่อแม่นางแซ่สวี่เห็นว่านางยอมอย่างว่าง่ายเช่นนี้ ในใจของนางก็เริ่มเกิดความสงสัย เพราะความเฉลียวฉลาดและหัวไวของหนานกงมู่เสวี่ย นางผู้เป็นแม่ย่อมเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ช่างเถิด บางทีนางอาจจะคิดมากเกินไป


 


 


เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยได้ยินเสียงปิดประตูไปแล้ว นางก็รีบยกตัวลุกขึ้นนั่งทันทีแล้วร้องเรียก “เสี่ยวเว่ย ออกมา”


 


 


เสี่ยวเว่ยคือองครักษ์ของนาง เป็นคนที่ติดตามนางมาตั้งแต่นางเกิด


 


 


“จวิ้นจู่” ผู้ใส่ชุดดำนั่งทำหน้าเฉยเมยราวกับตนเป็นอาวุธอันหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเอ่ยขึ้น “จวิ้นจู่มีอะไรให้รับใช้หรือ”


 


 


“เจ้าลองไปสืบดูหน่อยว่า ไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจากสาเหตุอะไร! แล้วตอนนี้คนของจวนอันผิงอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง!” หนานกงมู่เสวี่ยเลิกผ้าห่มเปิดออกแล้วกลืนน้ำลายพลางเอ่ยปากสั่ง เพราะว่า…บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญานอันแหลมคมแบบคนในราชวงศ์กระมัง ที่ทำให้ในใจของนางวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด


 


 


อาซู่ ขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าเลย


 


 


“ขอรับ” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง เพียงชั่วขณะเดียว คนผู้นั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยรออย่างร้อนใจอยู่เป็นเวลาสามวัน ในระยะเวลาสามวันนี้ ผู้คนหมุนเวียนสับเปลี่ยนมาหานาง แต่นางยังคงเก็บอาการทุกอย่างไว้ได้อย่างดี หากมองเผินๆ นางเป็นเพียงเด็กน้อยผู้น่าสงสารที่กำลังป่วยหนักเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝง แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าในใจของนางในตอนนี้เตรียมแผนการไว้มากมายขนาดไหน


 


 


“จวิ้นจู่ เรื่องราวถูกสืบมาอย่างกระจ่างแล้ว”


 


 


“ว่ามา” มือของหนานกงมู่เสวี่ยบีบแน่นอยู่ในแขนเสื้อตัวเอง แล้วฟังการรายงานด้วยเสียงเย็นชาของผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นทุกคำพูด


 


 


“จวิ้นจู่เหตุการณ์ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้”


 


 


 


 


 


 


“อ้อ…ดี” หนานกงมู่เสวี่ยพยักหน้า “เจ้าออกไปเถิด”


 


 


“ขอรับ”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยก้มหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่นางคิดว่าความฉลาดไม่ดีเลยสักนิด ยอมเป็นโง่จะดีกว่า


 


 


สิ่งที่เสี่ยวเว่ยรายงาน ตรงกับที่นางเดาไว้แปดถึงเก้าส่วน เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จวนอันผิงอ๋อง…เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริงๆ!


 


 


พรรคพวกที่เหลือของรัชทายาท ไม่ยอมหมดหวัง…หนานกงมู่เสวี่ยพลิกตัวนอนอยู่บนเตียง


 


 


จวนอันผิงอ๋องกับจวนเหิงชินอ๋องอยู่ห่างกันเพียงครึ่งถนนเท่านั้น! หากบอกว่าไปช่วยไม่ทัน ผู้ใดจะเชื่อเล่า?!


 


 


แต่ในวันนั้นจวนเหิงชินอ๋องกลับไม่ได้ส่งคนไปช่วย เพราะเหตุใดเล่า? เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนมาก นั่นเป็นเพราะเหิงชินอ๋องหวาดกลัว กลัวว่าเรื่องเรื่องนี้จะเข้าตัว พรรคพวกที่เหลือขององค์รัชทายาทมีเหลืออยู่เท่าไหร่ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้


 


 


หากตอนนี้ให้ความช่วยเหลือ…เกรงว่าจะ…


 


 


เฮ้อ หนานกงมู่เสวี่ยแค่นยิ้ม ความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าที่สุดในราชวงศ์ ความรักใคร่กลมเกลียวในอดีตระหว่างอันผิงอ๋องกับบิดาของนาง ภาพความจริงใจที่มีให้แก่กันกลับมาผุดขึ้นตรงหน้านางอีกครั้ง


 


 


ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นนั้น ทว่าเมื่อถึงก้าวสำคัญที่ต้องเผชิญกับความลำบากกลับต้องแยกย้ายกันไป


 


 


……


 


 


“อะไรนะ? เจ้าบอกว่าเจ้าจะไปขอเป็นศิษย์ของนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นงั้นหรือ?!” เสียงไม่อยากจะเชื่อของเหิงชินอ๋องดังขึ้นมาจากด้านในห้องหนังสือ “มู่เสวี่ย! วันหนึ่งๆ ทำไมเจ้าถึงคิดถึงแต่เรื่องไร้สาระ! ร่างกายของเจ้ายังไม่…”


 


 


 


 


 


 


 


 


“ลูกดีขึ้นแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยมองไปที่บิดาของนางอย่างสงบแล้วเอ่ยขัดขึ้น “ข้าดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่าง ข้าจะต้องไปให้ได้!”


 


 


ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใด บางที…อาจแค่เพราะ…


 


 


นางเพียงอยากไปให้เห็นกับตาเท่านั้น อาซู่ ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร!


 


 


สามเดือนต่อมา


 


 


“เสี่ยวมู่เสวี่ย! เจ้ามาได้อย่างไร!” หนานกงซู่มองไปยังแม่นางตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงปากประตูบ้านตัวเอง เขาตกตะลึงจนลืมไปด้วยซ้ำว่าในมือของเขาถือถังน้ำอยู่


 


 


เสียง “ตึ้ง” ลอยดังขึ้น หนานกงซู่ทิ้งสิ่งของที่อยู่ในมือของตัวเองลงแล้ววิ่งไปข้างหน้า “เสี่ยวมู่เสวี่ย เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดจึงไม่พูดไม่จา? เอ๋อไปแล้วรึ?” หนานกงซู่ยื่นมือออกไปโบกตรงหน้าหนานกงมู่เสวี่ย “เห็นหรือไม่ว่าข้ายื่นนิ้วออกมากี่นิ้ว?”


 


 


พวกเขาสองคนไม่ได้เจอหน้ากันไม่นานนัก…เหตุใดเสี่ยวมู่เสวี่ยถึงดูเลื่อนลอยเช่นนี้? หรือว่า…เห็นว่าเขาตื่นเต้นจนเกินไปจนทำให้พูดอะไรไม่ออก?


 


 


“อา อาซู่…”  หนานกงมู่เสวี่ยเหม่อมองไปยังเด็กชายที่มีท่าทางร้อนใจที่อยู่ตรงหน้านาง จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ “อาซู่ เจ้ายังอยู่ ดียิ่ง…”


 


 


สภาพของจวนอันผิงอ๋องเป็นอย่างไร ใช่ว่าหนานกงมู่เสวี่ยจะไม่รู้ เพราะว่านางบังคับองครักษ์ของนางให้พานางไปดูมาแล้ว


 


 


ที่นั่นมีแต่ร่องรอยของเศษขี้เถ้าสีเทา บรรยากาศเงียบสงัดราวกับว่าที่นั่นไม่เคยมีผู้ใดเคยอาศัยอยู่มาก่อน ความเงียบสงัดเช่นนั้น…เงียบเสียจนทำให้ผู้พบเห็นต่างรู้สึกจิตใจปั่นป่วน


 


 


คนของฝั่งรัชทายาทมีจิตใจโหดเ**้ยมเหมือนอย่างเคย ที่นั่นนอกจากจะไม่มีคนหลงเหลืออยู่แล้ว สัตว์เลี้ยงที่บรรดาภรรยาและอนุภรรยาเลี้ยงไว้ก็ไม่เหลือรอด ทั้งหมดถูกสังหารทิ้งอย่างราบคาบ


 


 


ดังนั้นหนานกงมู่เสวี่ยรู้สึกกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะหนานกงซู่เป็นสายเลือดของอันผิงอ๋องที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย ผู้ใดจะรู้ว่าพวกคนบ้านั่นจะไม่สนว่าเป็นภูเขาและบุกขึ้นมาค้นหาที่นี่เพื่อเอาชีวิตของหนานกงซู่ไป?


 


 


 


 


 


 


ทว่ายังดี…ยังดี…


 


 


“อาเสวี่ยมาแล้วหรือ” มีเสียงดังขึ้นหลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกผลักออกและก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีลักษณะราวเทพเซียนเดินออกมา “ในเมื่อมาแล้ว ก็ควรปล่อยวางได้แล้ว”


 


 


นักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นเอ่ยว่า “ที่นี่คือสถานที่สำหรับฝึกปฏิบัติ มิใช่สถานที่สำหรับจัดการปัญหาหัวใจ ในเมื่อเจ้าขอร้องมาตั้งนานกว่าจะได้มาที่นี่ ฉะนั้นก็อย่าทำให้เสียโอกาสเลย มิเช่นนั้นข้าจะไล่เจ้าลงเขาไปเสีย” เมื่อสิ้นเสียงของนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นสายตาของเขาก็เหลือบมามองหนานกงมู่เสวี่ย


 


 


เป็นสายตาที่มองกวาดมาอย่างรวดเร็ว แต่หนานกงมู่เสวี่ยก็สังเกตเห็นได้


 


 


“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” หนานกงมู่เสวี่ยมองไปยังนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋น “คำสั่งสอนของท่านอาจารย์ ศิษย์จะจำเอาไว้เป็นอย่างดี”


 


 


นักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเอามือไพล่หลังแล้วเดินไป แต่สุดท้ายแล้วในขณะที่เขากำลังจะลับสายตาของคนทั้งคู่ไป เขาก็แอบถอนใจ


 


 


การคิดมากทำให้เกิดโทษ ความรู้สึกที่ลึกซึ้งไม่ยืดยาว…


 


 


“เสี่ยวมู่เสวี่ย เจ้าอย่าไปสนใจท่านอาจารย์!” เมื่อหนานกงซู่เห็นว่านักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นไปแล้ว ใบหน้าท่าทางของเขาก็กลับคืนสู่ความสดใสยิ้มแย้มอีกครั้ง “ท่านอาจารย์แสร้งทำต่างหาก! ครั้งแรกที่ข้าพบเขา เขาก็เป็นเช่นนี้ พอเจ้ารู้จักเขาไปนานๆก็จะรู้เอง ภายนอกเขาแสดงออกแบบนั้น แต่อันที่จริงแล้ว…”


 


 


เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเห็นปากของหนานกงซู่ขยับปิดๆ เปิดๆ พูดคุยไม่รู้จบไม่รู้สิ้น สุดท้ายแล้วใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มที่มาจากใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันมานี้


 


 


“เสี่ยวมู่เสวี่ยยิ้มอะไร?” หนานกงซู่ไม่ค่อยพอใจนัก “น่าตลกมาหรือ?”


 


 


“เปล่า” หนานกงมู่เสวี่ยส่ายหน้า “ท่านพูดต่อสิ ข้าจะฟังจนจบ” พูดต่อเถอะ ให้นางได้ฟังเสียงของเขามากกว่านี้หน่อย


 


 


“ช่างเถอะๆ ไม่พูดแล้ว” หนานกงซู่ครุ่นคิดพลางโบกมือปฏิเสธ “จริงสิเสี่ยวมู่เสวี่ย ตอนนี้สถานการณ์ด้านล่างเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านพ่อท่านแม่ของข้า…ช่วงนี้พวกเขาทั้งสองคนเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านแม่คงคิดถึงข้ามากแล้วใช่หรือไม่ ฮ่าๆๆ? ไหนยังมีเสี่ยวไป๋กับเสี่ยวฮวาอีก ตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


“ข้าไม่ได้ลงจากเขานานแล้ว ข้าคิดถึงพวกเขามาก”


 


 


“พวกเขา…” หนานกงมู่เสวี่ยหยุดชะงักไป ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี


 


 


เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้นางควรพูดว่าอย่างไร? ให้บอกว่า…พวกเขาไม่อยู่แล้วหรือ? พวกเขาตายกับหมดแล้ว? อีกอย่างการตายของพวกเขา…กับการเพิกเฉยของพ่อของนาง จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน 

 

 


ตอนที่ 138 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซ...

 

“พวกเขาสบายดี” หนานกงมู่เสวี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ท่านพ่อกับท่านแม่ของท่านบอกว่าอยากให้ท่านตั้งใจเล่าเรียนอยู่ที่นี่ หากไม่มีธุระสำคัญก็มิต้องกลับลงมา มิเช่นนั้นเรียนครึ่งๆ กลางๆ จะไม่ได้เรื่อง ถึงเวลานั้นหากท่านขายหน้าผู้อื่น พวกเขาก็มีส่วนขายหน้าด้วยเช่นกัน!”


 


 


อาซู่ให้อภัยข้าเถิด หนานกงมู่เสวี่ยถอนใจ มือน้อยๆ ของนางกำไว้แน่น ให้อภัยนางเถิด นางรู้สึกหวาดกลัวมากก็เท่านั้น…


 


 


“เช่นนี้เอง” หนานกงซู่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อพูดเช่นนี้แล้วข้าก็ต้องเร่งฝึกซ้อมมากขึ้นหน่อยแล้ว”


 


 


ใบหน้าของหนานกงมู่เสวี่ยยังคงมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ดังเดิม นางไม่เอ่ยอะไร อาซู่ หากท่านสามารถ…ไม่รับรู้ไปตลอดก็คงจะดี


 


 


สิบปีต่อมา


 


 


“ท่านอาจารย์!” หนานกงมู่เสวี่ยขวางทางของนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นเอาไว้ “ท่านอาจารย์ ลูกศิษย์อย่างพวกเรามีเรื่องราวอีกตั้งมากมายที่ยังไม่ได้เรียนนะเจ้าคะ! ท่านอย่าไล่พวกเราไปจากที่นี่อย่างนี้!” นางไม่อยากลงจากภูเขา! นางอุตส่าห์ปิดบังความลับมาตั้งสิบปี นางมิอาจยอมให้เขารู้เรื่องราวนั้นได้!


 


 


“อาเสวี่ย” นักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นถอนใจ “ผ่านมาสิบปีแล้ว เขาควรรู้ได้แล้ว”


 


 


สิบปีมานี้ หนานกงซู่มิเคยลงจากภูเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นออกไปซื้อของหรือว่าอะไรก็ตาม เวลาที่หนานกงซู่จะลงจากเขาทีไรก็มักจะถูกหนานกงมู่เสวี่ยหละนักกบวชเต๋าหลิงอวิ๋นขัดขวางไว้ทุกครั้ง


 


 


เนื่องจากเวลาที่หนานกงซู่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยร้องไห้ เขาก็อับจนหนทาง สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยกมือยอมแพ้แล้วรับปากว่าจะไม่ลงไป


 


 


แม้ว่าเขาจะเคยสงสัยและเอ่ยถามมาก่อน แต่…เพราะนางคือหนานกงมู่เสวี่ย คนที่หนานกงซู่เชื่อถือมากที่สุด นางไม่ให้ไป เขาก็ไม่ไป


 


 


 


 


 


 


“แต่…” ในใจของหนานกงมู่เสวี่ยพยายามขัดขืน “ท่านอาจารย์ ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” เสียงของหนานกงมู่เสวี่ยเบาลง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยการขอร้อง


 


 


และความหวังสุดท้าย


 


 


นางรู้ดีว่านางมิอาจปิดบังไปได้ตลอดชีวิต ทว่า…ช่วยต่อเวลาให้นานมากขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่? นางกลัวอย่างยิ่ง…


 


 


นิสัยของหนานกงซู่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากเขารู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็…


 


 


“อาเสวี่ย เหตุใดเจ้าไม่ทำให้เขาเชื่อเจ้าเล่า? เพราะเรื่องเรื่องนั้น…ก็โทษเจ้ามิได้”


 


 


“ข้า…” หนานกงมู่เสวี่ยไร้คำพูด เวลาผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้…”


 


 


นางยินดีจะพนันสักตั้ง พนันด้วยความสัมพันธ์สิบปีที่ผ่านมา ได้หรือไม่…อาซู่ ท่านจะโทษข้าหรือไม่? หนานกงมู่เสวี่ยแอบถอนใจ ข้าไม่อยากเสียท่านไปจริงๆ


 


 


ด้านล่างเขา หนานกงซู่กลับไปถึงสถานที่เก่าแต่แรกแล้ว แต่กลับเห็นจวนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดรวมทั้งบรรดาคนรับใช้แปลกหน้า…ตอนนั้นเขาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้น


 


 


“พี่ชาย ขอถามท่านสักหน่อย” หนานกงซู่ยื่นมือออกไปดึงคนที่เดินออกมาจากประตูจวน “ข้าขอถามว่า จวนอันผิงอ๋องย้ายไปแล้วหรือ? เมื่อก่อน…ที่นี่คือจวนอันผิงอ๋องมิใช่หรือ?”


 


 


ชายผู้นั้นเดิมทีตอนที่ถูกรั้งเอาไว้ก็รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าซื่อๆ ของหนานกงซู่แล้วแถมยังดูสุภาพนุ่มนวลจึงหันกลับไปตอบอย่างเหลืออด “น้องชาย เจ้าคงเพิ่งจะเข้าเมืองหลวงมาสิท่า? แต่เจ้าก็ไม่ควรจะไม่รู้นี่ เจ้าไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับจวนอันผิงอ๋องเมื่อสิบปีที่แล้วเลยหรือ?”


 


 


“เรื่องใดกัน…?” นิ้วชี้ของหนานกงซู่หดกลับ น้ำเสียงของเขาสั่นเครือออกมาเล็กน้อย


 


 


“ก็เรื่องราวของพรรคพวกของรัชทายาทเมื่อสิบปีก่อนนั่นไง!” คนผู้นั้นเบาเสียงลง “คนของจวนอันผิงอ๋อง…ไม่มีเหลืออีกแล้ว! ว่ากันว่าเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อครั้งนั้นเผาไหม้จนไม่เหลือแม้กระทั่งหมาแมวสักตัว ดังนั้นมิต้องเอ่ยถึงคน! จวนอ๋องของราชสำนักก็หายไปเช่นนี้!”


 


 


 


 


 


 


หนานกงซู่ไม่รู้ว่าตนกลับขึ้นไปบนเขาได้อย่างไร เขารู้เพียงว่าระหว่างทาง คำพูดของคนผู้นั้นดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหูของเขามิอาจหยุดยั้งได้


 


 


“อาซู่…” หนานกงมู่เสวี่ยเห็นเงาของหนานกงซู่สั่นไหวจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปพยุงเขาไว้ “ท่าน…”


 


 


“เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงของหนานกงซู่เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่งไม่มีความโกรธแฝงอยู่แม้แต่น้อย “เจ้ารู้แต่แรกแล้ว แต่เจ้ากลับหลอกข้ามาสิบปี!”


 


 


“ข้า ข้ามิได้ตั้งใจ!” เสียงของหนานกงมู่เสวี่ยสั่นเครือ หนานกงซู่ตอนนี้เหมือนคนที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน สายตาที่เขาใช้มองนาง…ราวกับว่านางเป็นสิ่งของสกปรกอย่างไรอย่างนั้น


 


 


“ข้า ข้าแค่มิรู้ว่า…ควรจะเอ่ยกับท่านเช่นไร” เวลาสิบปี นางคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะสารภาพความจริงกับหนานกงซู่ ทว่าทุกครั้งที่คำพูดมาจ่อที่ปากของนางก็มักจะถูกนางกล้ำกลืนลงไป นางไม่กล้าพนัน นางคิดว่าให้วันเวลาผ่านไปเช่นนี้จะดีกว่า…เพราะกว่าวันนั้นจะมาถึง อย่างก็คง…คงจะอีกนาน


 


 


แต่อันที่จริงแล้วไม่นานนัก เพียงพริบตาเดียว เวลานี้ก็มาถึงแล้ว


 


 


“อันที่จริงพูดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยฟังคำพูดของหนานกงซู่ ในใจของนางจึงอดไม่ได้ที่จะมีความหวังขึ้นมา ความหมายของอาซู่…หรือว่าเขาไม่ต้องการจะไล่ถามอะไรจากนางแล้ว?


 


 


“ถึงอย่างไรพูดตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วมิใช่หรือ” หนานกงซู่ยิ้มเย้ยหยันอย่างเย็นชา “เป็นข้าที่โง่เอง ถึงโดนเจ้าหลอกมาถึงสิบปี”


 


 


“เจ้ากลัวอะไร? กลัวว่าข้าจะโกรธเจ้างั้นรึ? หนานกง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าคิดอะไรอยู่?”


 


 


“บิดามารดาขอข้าที่ตายไปเมื่อสิบปีก่อน ข้าในฐานะที่เป็นลูกชาย ข้ากลับเพิ่งจะรู้ตอนนี้ อีกอย่างข้าในวันนี้ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหลุมศพของพวกเขาอยู่ที่ไหน อีกอย่างเหตุการณ์สุดท้าย…”


 


 


 


 


 


 


“หนานกง หากวันนั้นเจ้าบอกข้าตั้งแต่วันที่ขึ้นเขามาหาข้า ข้าคิดว่าเหตุการณ์ตอนสุดท้าย ข้าจะยังกลับไปทัน เจ้าว่าถูกหรือไม่?”


 


 


น้ำตาของหนานกงมู่เสวี่ยค่อยๆ ไหลออกมาแล้วมองไปยังหนานกงซู่ นางไม่กล้าเอื้อนเอ่ย เพราะตอนนี้นางรู้สึกว่า…นางมิอาจเอ่ยถ้อยคำใดๆ ออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว


 


 


หนานกงซู่กล่าวมิผิด เหตุการณ์ตอนสุดท้าย พิธีฝังศพและส่งวิญญานในตอนนั้น นางล้วนรับรู้ทั้งสิ้น ทว่า…นางกลับเลือกที่จะปิดบังและไม่พูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเขา


 


 


“ให้เจ้า” หนานกงซู่หยิบปิ่นปักผมออกมาจากอก จากนั้นเขาก็โยนมันทิ้งลงกับพื้น


 


 


ฝีมือในการทำปิ่นอันนั้นไม่ค่อยประณีตนักทั้งยังเรียบง่ายไร้การออกแบบ ทว่ากลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ทำมันขึ้นมานั้นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากขนาดไหน


 


 


“ข้ามอบให้เจ้า” หนานกงซู่มองไปยังปิ่นปักผมที่หักเป็นสองท่อนบนพื้น “ถือว่าเป็นของตอบแทนสำหรับการกระทำของเจ้า? และเรื่องราวน่าตื่นตะลึงที่เจ้ามอบให้ข้าแล้วกัน”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยก้มตัวลงไปเก็บปิ่นปักผมสองท่อนนี้ขึ้นมา สุดท้ายจึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮออกมา


 


 


“หนานกงมู่เสวี่ย น้ำตาของเจ้าตอนนี้มันไม่มีค่าอะไรแล้ว” หนานกงซู่เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับลมพัดก็สามารถทำให้มันหายไปในอากาศได้ “อีกเรื่องหนึ่งคือ ต่อจากนี้ไปพวกเราสองคนอย่าได้มาเจอกันอีกเลยจะดีกว่า”


 


 


เพราะหากเจอกันอีกครั้งก็คงกลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว เช่นนั้นจะเจอกันอีกทำไมเล่า? หากให้นับว่าเป็นศัตรูเขาคงทำใจคิดแค้นไม่ได้ เช่นนั้นก็เป็นเพียงแค่…คนสวนทางกันก็พอ


 


 


ต่อจากนี้ไปเจ้ากับข้าไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยว ถือว่าเป็นการชดเชยความสัมพันธ์สิบปีที่ผ่านมานี้ก็แล้วกัน


 


 


    ……


 


 


“หนานกงซู่ เหตุใดท่านถึงใจร้ายนัก” หนานกงมู่เสวี่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วมองไปยังปิ่นปักผมที่อยู่ในมือ แล้วรวบรวมสมาธิพูดกับตัวเอง “อาซู่ ข้าผิดไปแล้ว…ข้ายอมรับผิดยังมิพอหรือ?” นางเพียงแค่…หากย้อนเวลากลับไปได้ อาซู่ข้าไม่มีทางปิดบังท่านอย่างแน่นอน 

 

 


ตอนที่ 139 ร่องรอย

 

“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” หลีมู่ถืออ่างล้างหน้าเข้ามาแล้วมองซูเหลียนอวิ้นที่อาบน้ำเรียบร้อยอย่างไม่แปลกใจ


 


 


“อืม” เรื่องราวกวนใจจบสิ้นไปหมดแล้วจะให้นั่งเศร้าและมัวแต่อมความทุกข์อยู่คงยาก


 


 


“วันนี้อากาศไม่เลวเลยนะ” เมื่อผลักหน้าต่างเปิดออกไป ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงทอดถอนใจเบาๆ “พระอาทิตย์ดวงใหญ่ยิ่ง”


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ” หลีหมู่วางอ่างไว้อีกด้านหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “อากาศดีเช่นนี้ คุณหนูมีแผนจะออกไปไหนหรือไม่เจ้าคะ? ช่วงนี้คุณหนูอยู่เรือนตลอด หากได้ออกไปเดินเล่นบ้างก็คงดีไม่น้อย”


 


 


“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ใช่ ข้าอยากจะออกไป”


 


 


เรื่องนี้จะต้องเร่งมือทำหน่อยเพราะตอนนี้นางไม่อยากเห็นหน้าต้วนเฉินเซวียนอีกต่อไป ดังนั้นต้องถือโอกาสที่แผลของเขายังไม่หายดีแล้วรีบไปจัดการซะ!


 


 


ตอนนี้นางยังไม่ได้เข้าวังไปขอบคุณฮองเฮาหลังจากที่ทรงประทานของขวัญให้นางในงานพิธีปักปิ่นเลย แม้ว่าเรื่องราวเช่นนี้จะไม่มีกฎระเบียบอะไรที่ตายตัว แต่ผู้ที่ให้ของขวัญนางเป็นถึงฮ่องเต้กับฮองเฮาเชียวนะ! ครั้งนี้นางจึงจำเป็นต้องไป


 


 


เฮ้อ


 


 


“เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายถึงฮองเฮาก่อนว่าพวกเราจะไปเข้าเฝ้า” หากว่ากันตามจริง ตนมาเขียนเอาตอนนี้ถือว่าสายเกินไปแล้วหรือไม่ ซูเหลียนอวิ้นคิดในใจ เนื่องจากการจะเขียนจดหมายประเภทนี้ส่วนมากมักจะเขียนกันล่วงหน้า แล้วอีกไม่กี่วันต่อจากนั้นถึงจะมีการตอบจดหมายกลับ


 


 


อีกอย่าง…ฮองเฮาจะเขียนจดหมายตอบนางทันภายในช่วงบ่ายวันนี้หรือ! เรื่องนี้จะช้ามิได้นะ!


 


 


เพราะว่าสถานที่ที่ต้วนเฉินเซวียนชอบไปมากที่สุดก็คือที่ตำหนักของฮองเฮาหรืออาจจะถือว่าเป็นสถานที่ที่สองหรือที่สามก็เป็นได้! นางรู้สึกราวกับว่าครั้งนี้เปรียบเสมือนการถือปืนด้ามเดียวบุกเข้าไปในถ้ำเสือ! และเนื่องจากคนที่ได้รับของขวัญมีนางเพียงคนเดียว ดังนั้นหากพาคนอื่นอย่างเช่นอันเพ่ยอิงเข้าไปด้วย..เกรงว่าจะไม่เหมาะเท่าไหร่นัก!


 


 


“เขียนเสร็จแล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหยิบกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมาเป่าสองสามทีแล้วนำมันใส่ไปในซองจดหมาย จากนั้นจึงหันไปแล้วส่งให้หลีมู่ “นี่คือจดหมายขอเข้าพบฮองเฮา ด่วนจี๋เลยนะ! ดังนั้นตอนเอาจดหมายไปส่งเจ้าต้องรีบวิ่งหน่อย!


 


 


“เอ่อ ได้เจ้าค่ะคุณหนู” หลีมู่รับจดหมายมาแล้วพยักหน้ารับคำ “บ่าวทราบแล้ว”


 


 


“ไปเถิด”


 


 


หลังจากที่หลีมู่ออกไปแล้ว ห้องของซูเหลียนอวิ้นพลันเงียบสงบ วันนี้พระอาทิตย์ดวงใหญ่ ใหญ่มากเสียจนรู้สึกว่ามันเสียดแทงลูกตาเป็นพิเศษ


 


 


สว่างจ้าขนาดนี้…แถมตอนนี้ยังเป็นตอนกลางวันอีกต่างหาก…คงจะไม่มีปัญหาอะไรกระมัง


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเลื่อนลังออกมาอย่างระมัดระวังแล้วปลดกลไกออก จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบกระบี่จิ้งหว่านออกมา


 


 


ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ด้ามกระบี่ยังคงปราดเปรียวและสวยงามเป็นประกายเช่นเดิม ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกทนไม่ไหวจึงดึงกระบี่ออกมาจากปลอก


 


 


ตอนนี้ไม่มีต้วนเฉินเซวียนอยู่แล้วรวมถึงคนอื่นๆ ด้วย กระบี่เล่มนี้…ต่อให้เกเรเหมือนอย่างเคยก็ไม่มีใครรู้!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองไปที่คมกระบี่ที่ยังคงเป็นภาพที่นางคุ้นเคย แต่ว่า…เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เหมือนแต่ก่อน


 


 


ซูเหลียนอวิ้นจึงนำกระบี่ออกมาส่องต้องกับแสง พลางดูซ้ายทีขวาทีอยู่หลายรอบ นางคงมิได้จำผิดไปกระมัง เหตุใดจึงรู้สึกว่า…


 


 


‘ตัวอักษรบนกระบี่หายไปได้อย่างไร! ‘


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะรู้ตัวในตอนนั้น เดิมทีบนด้ามของกระบี่เล่มนี้ทั้งสองด้านได้สลักตัวอักษรคำว่าจิ้งหว่านไว้สองคำ ทว่าตอนนี้ทำไมตัวอักษรนั้นถึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้เล่า ตัวอักษรที่สลักไว้ด้านบนหายไปได้ด้วยหรือ?! ไม่ว่าจะอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้!


 


 


คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงอย่างไรก็เป็นการคิดเรื่อยเปื่อย! เอาไว้ทดสอบตอนเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะดีกว่า!


 


 


นี่คงจะมิได้เกิดขึ้นเพราะว่าวันนั้นเลือดของตนไหลไปโดนกระบี่เล่มนี้จนทำให้ตัวอักษรบนกระบี่นี้หายไปกระมัง เอ่อ…หากวิเคราะห์ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระบี่เล่มนี้ถือว่ากลายเป็นของนางแล้วใช่หรือไม่


 


 


‘ในนิยายต่างว่ากันไว้ว่าอย่างนี้นี่! ‘


 


 


ไม่ว่าจะเป็นในตำนานหรือว่านิยาย ล้วนเขียนไว้เช่นนี้ทั้งนั้น!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น ผลักประตูเข้าไปแล้วตะโกนเรียก “หลานเย่ว์!”


 


 


“อยู่นี่แล้วขอรับคุณหนู” หลานเย่ว์ปรากฏตัวตรงหน้าซูเหลียนอวิ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเหตุการณ์ที่เขาโดนยาสลบเป็นต้นมา หลานเย่ว์ก็เริ่มเข้มงวดกับตัวเองมากยิ่งขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะมีคนกล้าดีบุกเข้ามาในเรือนเสียแล้ว


 


 


“มา มาประลองฝีมือกับข้าดีกว่า” ซูเหลียนอวิ้นกวัดแกว่งกระบี่ที่อยู่ในมือ “ครั้งนี้พวกเราทั้งคู่มาลองใช้กระบี่กัน มา ข้ามีกระบี่แล้ว!”


 


 


นางต้องลองทดสอบดูว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่


 


 


เนื่องจากหลานเย่ว์เป็นบุรุษและไม่เคยมีความแค้นใดๆ กับนาง หากมันไม่ทำร้ายหลานเย่ว์…ซูเหลียนอวิ้นก็จะคิดว่า เรื่องราวในวันนั้นจะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน…เพราะเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับกระบี่เล่มนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น?


 


 


“ขอรับ” หลานเย่ว์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ขอรับคุณหนู แต่เดี๋ยวบ่าวจะเรียกเพื่อนมาอีกคน เพื่อมาเป็นเพื่อนฝึกฝีมือกับคุณหนู”


 


 


“ได้หมด เจ้าเรียกมาเถอะ”


 


 


“อวี่ซาง! ออกมา!” หลานเย่ว์หันไปทางด้านหลังเรือนแล้วตะโกนเรียก


 


 


“อวี่ซางรึ” ซูเหลียนอวิ้นถามอย่างแปลกใจ “คนอีกคนที่เจ้าว่าก็คืออวี่ซางรึ”


 


 


“ขอรับ” หลานเย่ว์พยักหน้า “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ เขารู้จักขอบเขตดี” ความแค้นเคืองและดูถูกดูแคลนของอวี่ซางต่อซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปนั้น หลานเย่ว์รับรู้ทุกอย่าง ดังนั้นการที่หลานเย่ว์เรียกอวี่ซางออกมาโดยใช้ข้ออ้างว่ามาเป็นคู่ซ้อมของซูเหลียนอวิ้น ในความเป็นจริงแล้วเขาเพียงหวังให้อวี่ซางยอมรับความจริง


 


 


ตอนนี้เจ้านายของพวกเขาคือซูเหลียนอวิ้นแล้ว! ไม่ว่าเมื่อก่อนเจ้านายจะเป็นใคร องครักษ์ก็จะปกป้องเจ้านายเพียงคนเดียว หากอวี่ซางไม่สามารถยอมรับความอึดอัดตันใจนี้ได้ ไม่ต้องให้ถึงมือซูเหลียนอวิ้น แต่เป็นเขาที่จะเป็นคนบอกซูมั่วเยี่ยด้วยตัวเองว่าให้นำตัวอวี่ซางกลับไป


 


 


เพราะหากเขามีความในใจอยู่แม้จะเพียงเล็กน้อย แล้ววันหนึ่งถูกผู้มีแผนการหลอกใช้เข้า หากเรื่องเลยเถิดจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ยากจะแก้ไข เขาคิดว่าเขามิอาจปล่อยให้คุณหนูต้องเสี่ยงกับความน่าจะเป็นเช่นนี้


 


 


“พี่ใหญ่เรียกข้าหรือ!” สักพักหนึ่งอวี่ซางก็เดินออกมาช้าๆ ตามเนื้อตัวของเขายังมีดินโคลนติดอยู่ดูแล้วน่าขันระคนสงสาร


 


 


“เหตุใดเจ้าจึงออกมาด้วยสภาพเยี่ยงนี้!” หลานเย่ว์ขมวดคิ้ว ตอนแรกเขาคิดอยู่ว่าที่อวี่ซางออกมาช้าคงเป็นเพราะว่าเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ แต่นึกไม่ถึงว่าขนาดไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้ายังจะออกมาช้าขนาดนี้? น่าขายขี้หน้าต่อคุณหนูยิ่งนัก!


 


 


กล่าวได้ว่า การที่หลีมู่จัดแจงทุกอย่างให้แก่หลานเย่ว์อย่างเรียบร้อยนั้น ทำเอาเขากลายเป็นพ่อบ้านไปเสียแล้ว


 


 


“ข้า…” อวี่ซางคิดอยากจะบ่น เป็นเพราะเจ้านายใหม่ของพวกเรามิใช่หรือ งานที่ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงให้เขาทำนั้น! มีองครักษ์ที่ไหนต้องมานั่งถอนหญ้าเช่นนี้?! เป็นเรื่องที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อน? น่าเสียดายของอย่างยิ่ง!


 


 


อีกอย่างงานที่พี่ใหญ่ทำอยู่ที่นี่มาก่อนหน้านี้ คืองานถอนหญ้าเช่นนั้นหรือ ความไม่พอใจในตัวซูเหลียนอวิ้นของอวี่ซางยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น


 


 


ช่างเป็นแม่นางที่อ่อนต่อโลกเสียจริง องครักษ์มิใช่บ่าวรับใช้! พี่ใหญ่ก็นิสัยดีเสียจริงถึงให้เขามาทำงานเช่นนี้ ตอนนี้ตนขายหน้าไปมากเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว! หากไม่เห็นแก่หน้าของพี่ชายของนาง…เฮอะใครจะอยากรับใช้คุณหนูที่ตาไม่ถึงเช่นนี้!


 


 


ตอนนี้อวี่ซางเข้าใจแล้ว วันนั้นที่ซูเหลียนอวิ้นบอกให้เขาทำงานแทนพี่ใหญ่ นั่นคือหลุมที่นางวางกับดักเอาไว้แต่แรก!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม