รักเล่ห์เร้นใจ 132-150

ตอนที่ 132

 

 


 


“แกไอ้ลูกเลว! แกยังกล้ามาขึ้นเสียงกับฉันอีก ออกไปเลยนะ!” เซียวเฉียงเห็นว่าเซียวจิ่งสือไม่ยอมรับปากแต่งงาน แล้วยังกล้ามาเถียงเขาอีก เซียวเฉียงกวาดเอกสารบนโต๊ะกระจายลงพื้นอย่างฉุนเฉียว แล้วตวาดไล่เซียวจิ่งสือด้วยความโมโห


 


 


“ได้! ผมไปแน่! ” เซียวจิ่งสือก็ไม่ยอมอ่อนข้อลงให้ เขาเชิดหน้ามองตรงไปที่พ่อของเขา “แต่ว่า พ่อครับ ผมยังยืนยันคำเดิม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจะไม่แต่งกับคนบ้านตระกูลอันเด็ดขาด พ่อเลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย!”


 


 


เซียวจิ่งสือพูดจบ สีหน้าโกรธจัดของเซียวเฉียงก็ยิ่งแดงก่ำขึ้น เซียวจิ่งสือไม่สนใจอีก เขาเพิ่งแสดงท่าทีของตัวเองออกไป ว่าจะไม่แต่งงานกับอันซิงอย่างเด็ดขาด ส่วนแผนการจัดซื้อเทียนซิงกรุ๊ปของพ่อเขานั้น เขาก็ไม่ขอมีส่วนร่วมด้วยเด็ดขาด


 


 


เสียงดัง “ปึง” เซียวจิ่งสือกระแทกปิดประตูห้องหนังสือของเซียวเฉียง ก้าวยาวๆ ออกจากคฤหาสน์ตระกูลเซียว


 


 


“คุณชาย! คุณชาย…” พ่อบ้านถือถาดกาแฟสองถ้วยกำลังจะยกไปเสิร์ฟที่ห้องหนังสือ ก็เห็นเซียวจิ่งสือพุ่งออกมาจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าโกรธจัด แล้วออกจากคฤหาสน์ไป เขาคิดจะออกปากห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว


 


 


พอเห็นสภาพเช่นนี้ พ่อบ้านก็รู้เลยว่าเซียวจิ่งสือกับเซียวเฉียงสองพ่อลูกเพิ่งทะเลาะกันมาหมาดๆ ที่ห้องหนังสือ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อลูกคู่นี้ถึงไม่สามารถอยู่ด้วยกันดีๆ แบบปกติได้เลย ทำไมทุกครั้งที่เจอหน้ากันเป็นต้องทะเลาะกันทุกที เซียวจิ่งสือจะยอมตามใจพ่อเขาให้มากหน่อยไม่ได้หรือไงนะ


 


 


ขณะที่พ่อบ้านครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ เซียวเฉียงก็ปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบเชียบที่ข้างกายเขา สีหน้าบอกว่าโกรธจัดเพราะเซียวจิ่งสือ เสียงเย็นเรียบของเขาดังขึ้น “พ่อบ้าน เร็ว! เดี๋ยวนี้เลย! อายัดบัตรธนาคารทุกใบของเซียวจิ่งสือ! แล้วประกาศออกไปว่า เรียกคืนอำนาจบริหารบริษัททั้งหมดของเซียวจิ่งสือ! ฉันจะดูว่า ถ้าไม่มีบ้านตระกูลเซียว มันจะอยู่ได้อย่างไร!”


 


 


“ครับท่าน…” พ่อบ้านได้ยินเสียงตวาดด้วยความโมโหของเซียวเฉียง ก็คิดในใจว่าครั้งนี้พวกเขาสองพ่อลูกดูเหมือนจะขัดแย้งกันรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา เขาจึงรีบตอบรับด้วยอาการหวั่นเกรง แล้วรีบไปดำเนินการตามคำสั่งของเซียวเฉียง


 


 


วันต่อมา เมื่อเซียวจิ่งสือมาถึงบริษัทก็พบว่าพ่อของเขาเรียกคืนอำนาจบริหารในบริษัทของเขาก่อนหน้านี้ไปแล้ว นอกจากนี้บัตรธนาคารของเขาทุกใบยังถูกระงับการใช้แล้วด้วย


 


 


นี่ถือเป็นบทลงโทษที่เมื่อคืนเขาไม่ยอมรับปากแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลอันงั้นเหรอ เซียวจิ่งสือเห็นเช่นนั้นก็นึกหัวเราะเยาะในใจ


 


 


สุดท้าย เซียวจิ่งสือตัดสินใจออกจากบริษัทมาที่บ้านของหลินหว่าน ขอเพียงได้อยู่กับหลินหว่าน ต่อให้ไม่เหลืออะไรเลยเขาก็ไม่สนใจหรอก


 


 


พอดีกับวันนี้หลินหว่านไม่มีนัดหมายงาน เธอมองดูเซียวจิ่งสือที่อยู่นอกประตู นึกถึงการทะเลาะกันของทั้งสองเมื่อคืน เธอขมวดคิ้วถามว่า “เซียวจิ่งสือ คุณยังมานี่อีกทำไมคะ เมื่อคืนพวกเรา…”


 


 


“หว่านหว่าน เมื่อคืนผมผิดเอง ผมไม่ควรทะเลาะกับคุณเลย ผมไม่รู้ว่าบนอินเทอร์เน็ตมีข่าวลือแบบนั้น ผมก็เลยเข้าใจคุณผิดไป คุณยกโทษให้ผมนะครับ!” เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างเว้าวอนขอคืนดี ดวงตาทั้งคู่หยาดรื้นดูน่าสงสารสุดๆ


 


 


“ข่าวลือ?” หลินหว่านฟังแล้ว รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


 


 


“ใช่สิ!” พอเห็นว่าหลินหว่านยอมฟังเขาอธิบาย เซียวจิ่งสือก็รีบพูดขึ้น “หว่านหว่าน คุณฟังผมนะ ที่จริงข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตที่ผมจะแต่งงานกับคนบ้านตระกูลอันน่ะ เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ! ก็แค่ความคิดของพ่อผม ผมไม่รู้เรื่องด้วยเลยสักนิด แล้วก็ไม่ยอมเห็นด้วยเด็ดขาด”


 


 


“อีกอย่าง คนที่ผมจะแต่งงานด้วย มีเพียงคุณเท่านั้น” ไม่รู้ว่าทำไม เซียวจิ่งสือเผลอพูดความในใจประโยคนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


 


พอได้ยินประโยคนี้เข้า หลินหว่านก็นิ่งอึ้งไป เซียวจิ่งสือฉวยโอกาสอันดีนี้ หลบแว่บเข้าบ้านหลินหว่าน


 


 


พอหลินหว่านได้สติ ก็โมโหมากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้


 


 


เซียวจิ่งสือนั่งบนโซฟาที่หลินหว่านเคยนั่ง มองหลินหว่านด้วยสายตาออดอ้อนชวนสงสาร พูดว่า “หว่านหว่าน ผมจริงใจกับคุณจริงๆ นะให้ฟ้าผ่าด้วยเอ้า! เพียงแต่ตอนนี้ผมถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน ไม่เหลืออะไรเลย หว่านหว่าน คุณสงสารผมเถอะนะ รับผมให้อยู่ด้วยสักหลายวันนะๆ ”


 


 


หลินหว่านมองดูสภาพของเซียวจิ่งสือในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเท็จ


 


 


หลายวันต่อมา การยอมรับโดยปริยายของหลินหว่าน ทำให้เซียวจิ่งสือจึงได้พักอยู่ที่บ้านของเธอ


 


 


อันที่จริง เป็นเพราะไม่ว่าหลินหว่านจะไล่อย่างไร เซียวจิ่งสือก็ไม่ยอมไปต่างหาก


 


 


“หว่านหว่าน วันนี้พวกเรากินหม้อไฟกันดีไหม” วันนี้ เซียวจิ่งสือยิ้มกริ่มพูดกับหลินหว่านที่เพิ่งกลับถึงบ้าน


 


 


หลายวันมานี้ เขาอ้างเหตุว่าไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาทจึงขอพักอยู่ที่บ้านของหลินหว่าน แล้วอ้างว่าจะอยู่เปล่าๆ ไม่ได้ ทุกวันเขาจึงอาสาจัดอาหารสามมื้อให้หลินหว่าน


 


 


“ค่ะ” หลายวันมานี้ หลินหว่านเหมือนจะเคยชินกับการคงอยู่ของเซียวจิ่งสือและการดูแลของเขา จึงไม่คิดจะไล่เซียวจิ่งสือออกไปอีก


 


 


ยิ่งน่ากลัวกว่านั้นก็คือ หลินหว่านไม่เพียงไม่ยอมคิดว่าเป็นเพราะอะไร แต่กลับรู้สึกว่าการมีเซียวจิ่งสือมาอยู่ด้วยเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลย


 


 


“แต่ว่าที่บ้านยังขาดวัตถุดิบบางอย่าง พวกเราออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกันก่อนเถอะ!” เซียวจิ่งสือพูดขึ้นอีก ราวกับว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัวที่อยู่ด้วยกันมานานปี


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งกับเซียวจิ่งสือ


 


 


“หว่านหว่าน คุณว่าอันนี้เป็นอย่างไรบ้าง คุณชอบทานไหม” ในซูเปอร์มาร์เก็ต เซียวจิ่งสือกับหลินหว่านเลือกวัตถุดิบมาทำอาหารไปเรื่อยๆ พอซื้อของสำหรับทำหม้อไฟครบ พวกเขาก็เดินเที่ยวเล่นอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นต่อ


 


 


อันซิงบังเอิญอยู่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเห็นเซียวจิ่งสือกับหลินหว่านเข้าพอดี เธอแอบสำรวจรอบข้างแล้วพบว่าหลินหว่านมีทีท่าสนิทสนมกับเซียวจิ่งสือมาก เธอรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก


 


 


หลังจากอันซิงออกจากซูเปอร์มาร์เก็ต เธอนึกถึงท่าทางสนิทสนมกันของเซียวจิ่งสือกับหลินหว่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เธอหยิบมือถือขึ้นมา โทรไปหาเบอร์ของตากล้องคนหนึ่ง ให้เขาติดตามหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือ สืบดูว่าระยะนี้พวกเขาทำอะไรกัน จากนั้นให้รายงานทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาให้เธอทราบตลอดเวลา


 


 


วันต่อมา อันซิงมองดูภาพถ่ายหลายใบที่ตากล้องคนนั้นส่งมาให้ เธอกัดฟันแน่นด้วยความโมโห ในภาพ ยามค่ำคืนเซียวจิ่งสือกับหลินหว่านกลับถึงบ้านของหลินหว่านด้วยกัน


 


 


แม้ว่ารูปถ่ายจะลางเลือนอยู่บ้าง แต่คนที่รู้จักกับเซียวจิ่งสือและหลินหว่านมองดูแป๊ปเดียวก็จำพวกเขาได้ และยังเห็นได้ว่าพวกเขามีกริยาท่าทีที่สนิทสนมกันมาก


 


 


อันซิงรู้ว่าเซียวจิ่งสือถูกพ่อของเขาไล่ออกจากบ้านเพราะไม่ยอมแต่งงานกับเธอ แต่เธอนึกไม่ถึงว่า ตอนนี้เขาพักอยู่กับหลินหว่าน


 


 


อันซิงคาดการณ์ไว้สารพัดแต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เธออยากให้เซียวจิ่งสือแต่งงานกับเธอ จะได้หักหน้าหลินหว่าน แต่คิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือจะยอมสละทุกสิ่งเพื่อให้ได้อยู่ร่วมกับหลินหว่าน เธอกลับกลายเป็นคนที่ทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน!


 


 


อันซิงยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เธอโทรหาตากล้องคนนั้น สั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “แกทำได้ดีมาก ตอนนี้เอารูปพวกนี้อัพโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต แล้วไปจ้างพวกมือโพสต์บนอินเทอร์เน็ตสร้างกระแสเสียหน่อย เอาให้หลินหว่านหลุดออกจากวงการบันเทิงไปเลย”


 


 


“ได้ครับ คุณอัน” ตากล้องคนนั้นได้รับคำสั่งจากอันซิง ก็รีบปฏิบัติการทันทีหลังจากวางสาย

 

 

 


ตอนที่ 133

 

ข่มขู่

 


พอรูปถ่ายที่หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือกลับถึงบ้านด้วยกันในตอนกลางคืนถูกเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ก็สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย ชาวเน็ตพากันพูดถึงอย่างสนใจ จากนั้นมือโพสต์ที่ตากล้องว่าจ้างมาก็เข้าปั่นกระแส ไม่นานนักชาวเน็ตก็เริ่มมีกระแสขับไล่หลินหว่านให้ออกไปจากวงการบันเทิง 


 


 


[หลินหว่านนัดพบกับเซียวจิ่งสือตอนกลางคืน? เซียวจิ่งสือกำลังจะแต่งกับอันซิงไม่ใช่หรือไง? ทำไมอยู่กับหลินหว่านได้ล่ะ? คงไม่ใช่เพราะหลินหว่านอิจฉาอันซิง เลยแทรกเข้ามาเป็นมือที่สามล่ะซิ] 


 


 


[คิดไม่ถึงเลยว่าหลินหว่านจะเป็นผู้หญิงแบบนี้! สวยสู้อันซิงของพวกเราไม่ได้ แล้วยังจะมาแย่งสามีในอนาคตของอันซิงอีก! คนไร้ยางอายแบบนี้หาดูได้ยากจริงๆ ไสหัวออกไปจากวงการเสียทีเถอะ!] 


 


 


[เที่ยวกลางคืนกับหนุ่มไฮโซ หว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายที่มีคู่หมายแล้ว หลินหว่านไสหัวไปจากวงการซะ!] 


 


 


[ใช่! หลินหว่านไสหัวไปจากวงการบันเทิง!] 


 


 


…… 


 


 


เพียงค่ำคืนเดียว ชาวเน็ตทั้งหลายพากันออกมาแสดงความคิดเห็นให้หลินหว่านไสหัวไปจากวงการบันเทิง แฮชแทคบนเวยปั๋วหัวข้อ ‘หลินหว่านไสหัวไปจากวงการบันเทิง’ ถึงกับติดคำค้นหายอดนิยมอยู่นานจนเอาไม่ลง 


 


 


หลินหว่านเห็นข้อความที่กลับดำเป็นขาวในเวยปั๋วของชาวเน็ต ถึงกับไล่ให้เธอไสหัวไปจากวงการบันเทิง เธอรู้สึกสะเทือนใจสุดๆ  


 


 


แต่ยังดีที่เซียวจิ่งสือคอยปลอบโยนอยู่เคียงข้างเธอ เกาะติดอยู่ข้างกายเธอ หันเหความสนใจของเธอ ไม่ให้หลินหว่านใส่ใจกับข้อความพวกนี้ 


 


 


อันที่จริงตอนที่เซียวจิ่งสือเห็นข้อความบนอินเทอร์เน็ตให้หลินหว่านไสหัวไปจากวงการบันเทิงนั้น เขารู้สึกโกรธสุดๆ เขาไม่อยากคิดเลยว่าแรงกดดันขนาดไหนที่หลินหว่านต้องรองรับไว้ ดังนั้นเขาตัดสินใจว่าจะสืบให้ได้ว่าใครเป็นคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลังกันแน่ 


 


 


วันนี้ หลังจากเซียวจิ่งสือออกไปข้างนอกคนเดียว ที่บ้านจึงเหลือเพียงหลินหว่าน เกือบเที่ยงแล้วเซียวจิ่งสือก็ยังไม่กลับมา หลินหว่านจึงตัดสินใจไปซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อกับข้าวเพียงลำพัง จากนั้นกลับมาทำกับข้าวเอง 


 


 


เพิ่งออกจากบ้าน หลินหว่านก็พบกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง 


 


 


“คุณหลิน สวัสดีครับ นายท่านของผมอยากจะคุยกับคุณสักหน่อยครับ” พ่อบ้านตระกูลเซียวพูดพลางมองสำรวจหลินหว่าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับหลินหว่านตัวจริง เธอให้ความรู้สึกกับเขาไม่เหมือนกับในภาพถ่ายสักเท่าไหร่ 


 


 


“คุณคือ…” หลินหว่านถามคนตรงหน้าอย่างสงสัย แต่ก็ดูเหมือนจะคาดเดาความเป็นมาของอีกฝ่ายได้ 


 


 


“คุณหลินครับ ถ้าคุณอยากทราบ ขอเชิญขึ้นรถผมได้เลยครับ” พูดจบ พ่อบ้านก็ดึงประตูรถที่นั่งด้านหลังเปิดออก แล้วพูดอีกว่า “วางใจได้ครับ เราจะไม่ทำร้ายคุณแน่” 


 


 


ท่าทางแบบนี้ ต่อให้หลินหว่านไม่อยากไปก็คงไม่ได้ คิดดูแล้ว หลินหว่านก็ขึ้นนั่งบนรถ พร้อมกับครุ่นคิดไปพลาง ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ต่อไปนี้อย่างไร 


 


 


พ่อบ้านปิดประตูรถให้หลินหว่าน แล้วเดินมาที่นั่งคนขับ ขับรถพาหลินหว่านมาพบเซียวเฉียง 


 


 


นี่เป็นร้านกาแฟแห่งหนึ่ง พอหลินหว่านเข้าประตูมา ก็พบว่าร้านกาแฟว่างเปล่ามีเพียงชายกลางคนท่าทางภูมิฐานอยู่คนหนึ่ง หลินหว่านมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ดูท่าว่าคนที่ต้องการจะคุยกับเธอน่าจะเป็นเขาแล้ว 


 


 


“คุณหลิน มานั่งสิ” เซียวเฉียงเห็นหลินหว่านเข้ามา ก็มองเธออย่างสำรวจพลางพูดขึ้น 


 


 


หลินหว่านนั่งลงตรงหน้าเซียวเฉียง เธอมองสบตาเขา แล้วเอ่ยปากถามไปตรงๆ ว่า “สวัสดีค่ะ คุณเซียว อยากทราบว่าคุณให้ฉันมานี่ ด้วยเรื่องอะไรเหรอคะ” 


 


 


เซียวเฉียงเจอเข้ากับความตรงของหลินหว่าน ก็นิ่งอึ้งอย่างผิดคาดอยู่บ้าง แต่สีหน้ายังเป็นปกติเมื่อพูดว่า “หึหึ คุณหลิน พูดกันตรงๆ นะ วันนี้ที่เชิญคุณมา ก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะพูดน่ะ” 


 


 


“คุณหลินอาจไม่รู้ว่า เจ้าเซียวจิ่งสือนี่ ปกติแล้วตอนอยู่ที่บ้าน จะพยศดื้อรั้นไม่เคยเชื่อฟังเอาเลย ฉันให้มันทำอะไรมันก็จะไม่ทำ ฉันไม่ให้มันทำอะไร มันก็กลับต้องทำซะให้ได้ มันก็เหมือนกับที่ฉันจะให้มันแต่งงานกับคุณหนูบ้านตระกูลอันนั่นไง มันไม่ยอมทำตามที่ฉันจัดการให้ ฉันไม่ให้มันคบหากับพวกเต้นกินรำกินในวงการบันเทิง มันก็โมโหจนหนีออกจากบ้านไป แต่ว่าคุณหลินก็รู้ดีอยู่แล้ว เจ้านี่มันเป็นทายาทผู้สืบทอดกิจการของบ้านตระกูลเซียว…” 


 


 


หลินหว่านฟังคำพูดทั้งหมดทั้งมวลของเซียวเฉียงไปรอบหนึ่ง รู้สึกได้ว่าเขาดูถูกเธอ หลินหว่านสะกดกลั้นความโกรธที่ประทุขึ้นมา ถามเสียงเย็นว่า “คุณเซียว คุณพูดมาตรงๆ เลยเถอะค่ะ! มีเรื่องสำคัญอะไรกันแน่” 


 


 


“คุณหลิน ในเมื่อคุณถามอย่างนี้แล้ว งั้นผมจะพูดตรงๆ แล้วกัน” เซียวเฉียงมองหลินหว่านอย่างดูแคลน “อยู่ให้ห่างจากเซียวจิ่งสือ ยิ่งไกลก็ยิ่งดี แล้วก็…ต่อไปห้ามโผล่มาให้เขาเห็นหน้าอีก!” 


 


 


เป็นอย่างที่คาดจริงๆ  


 


 


ตอนที่เห็นพ่อบ้าน หลินหว่านก็รู้สึกว่า คนที่มาหาเธอในตอนนี้ก็คงมีแต่คนของบ้านตระกูลเซียวเท่านั้น พอเข้าร้านกาแฟมาแล้ว หลินหว่านก็ยิ่งแน่ใจ เนื่องจากเธอเคยเห็นรูปของพ่อเซียวจิ่งสือบนอินเทอร์เน็ตมาก่อน 


 


 


ขณะที่เซียวเฉียงกำลังพูดถึงจุดมุ่งหมายในการมาพบเธอในวันนี้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามความคาดหมายของหลินหว่านทุกประการ 


 


 


“คุณเซียวคะ ความต้องการของคุณ เกรงว่าฉันคงทำไม่ได้” หลินหว่านพูดเสียงเรียบหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง 


 


 


เซียวเฉียงฟังแล้วโมโหมาก ถลึงมองหลินหว่านด้วยสายตากราดเกรี้ยว “คุณหลิน ผมขอให้คุณพิจารณาดูให้ดีอีกครั้ง มิฉะนั้น การบอยคอตดาราสักคนสองคนในวงการบันเทิง สำหรับบ้านตระกูลเซียวแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลยสักนิด!” 


 


 


นี่เข้าข่ายข่มขู่หลินหว่านซึ่งหน้าโดยไม่กลัวเกรงอะไรเลย เมื่อครู่หลังจากคำพูดเหยียดหยามดูแคลนหลินหว่านแล้ว ยังใช้การบอยคอตในวงการบันเทิงมาข่มขู่หลินหว่านอีก พูดได้ว่าเซียวเฉียงได้จุดประกายความโกรธของหลินหว่านให้ลุกโพลงขึ้นจริงๆ โดยไม่ตั้งใจ 


 


 


เดิมที เซียวเฉียงเข้าใจว่าหลังจากหลินหว่านได้ฟังคำข่มขู่จากเขาแล้วจะยอมเชื่อฟังและรับปากเขาไปจากเซียวจิ่งสือแต่โดยดี แต่คิดไม่ถึงว่า หลินหว่านยิ้มเล็กน้อย สบตาเขาแล้วพูดว่า “คุณเซียวคะ ฉันบอกแล้วว่าความต้องการของคุณนั้นฉันทำไม่ได้ เนื่องจากการที่เซียวจิ่งสือออกจากบ้านตระกูลเซียว ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะควบคุมบังคับได้ อีกทั้งเซียวจิ่งสือก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาจะทำอะไร อย่าว่าแต่ฉันเลยค่ะ แม้แต่คุณก็ยังบังคับไม่ได้ ไม่ใช่เหรอคะ อันที่จริง ฉันก็อยากจะอยู่ให้ห่างเซียวจิ่งสือเหมือนกัน แต่เขากลับเป็นฝ่ายมาหาฉันเองเสียนี่ แล้วก็คุณเซียวคะ ก่อนจะพูดคำพูดเมื่อครู่ ฉันคิดว่าคุณน่าจะอบรมสั่งสอนลูกชายที่ ‘ไม่เชื่อฟัง’ ของคุณให้ดีเสียก่อนเถอะค่ะ” 


 


 


ใบหน้าของหลินหว่านแม้จะมีรอยยิ้ม แต่เซียวเฉียงกลับมองเห็นแววเยาะหยันในดวงตาของเธอ 


 


 


“คุณเซียวคะ ถ้าหากคุณไม่มีเรื่องอะไรอื่นอีก ฉันก็ขอตัวกลับก่อนค่ะ” พูดจบ หลินหว่านก็ลุกขึ้นยืน ก้าวยาวๆ ออกจากร้านกาแฟ 


 


 


เซียวเฉียงมองตามเงาหลังที่จากไปของหลินหว่าน เขารู้สึกเหมือนน้ำโหจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว เดิมทีเขาเข้าใจว่าหลินหว่านเป็นพวกหัวอ่อน คิดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าขัดคำสั่งเขา 


 


 


แต่ว่า…ในเมื่อหลินหว่านไม่รู้จักการทำตัวให้ว่าง่าย อย่างนั้นก็อย่าหาว่าเขาไร้น้ำใจ! 


 


 


เซียวเฉียงกลับถึงบริษัท สิ่งแรกที่ทำคือเรียกตัวผู้จัดการของหลินหว่านมาที่ห้องทำงานเขา  


 


 


 “เธอคงเป็นผู้จัดการของหลินหว่าน” เซียวเฉียงสั่งอวิ๋นซีว่า “ตั้งแต่นี้ไป ยกเลิกงานทุกอย่างของหลินหว่านทั้งหมด ยังมีอีก ต่อไปห้ามไม่ให้เธอรับงานอะไรอื่นอีก เข้าใจไหม”  


 


 


“ทร…ทราบแล้วค่ะ…” อวิ๋นซีมาถึงห้องทำงาน คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับคำสั่งบอยคอตหลินหว่านของเซียวเฉียง เธอตอบรับอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรได้ พร้อมกับคิดในใจว่ากลับไปจะต้องตักเตือนหลินหว่านเสียแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 134

 

ปลีกตัวออกห่าง

 


อวิ๋นซีพบว่าแหล่งงานของหลินหว่านหายวับไปกับตา เธอตื่นตระหนกมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จึงรีบร้อนไปหาหลินหว่านโดยด่วน


 


 


ตอนที่อวิ๋นซีเปิดประตูเข้าไปห้องหลินหว่านนั้น ก็พบว่าหลินหว่านกำลังนั่งขมวดคิ้วเหม่อลอยอยู่ อวิ๋นซีคิดว่าหลินหว่านคงรู้เรื่องนี้แล้ว แต่นี่เป็นเพราะอะไรกันนะ ขอแค่รู้สาเหตุก็จะหาทางแก้ไขได้ ตอนนี้ในหัวอวิ๋นซีเต็มไปด้วยคำถามเต็มไปหมด


 


 


อวิ๋นซีเดินเบาๆ เข้ามาหาหลินหว่าน พูดอย่างระวังตัวว่า “หลินหว่าน ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรต่อไปนี้ เธอก็อย่าวู่วามนะ เธอต้องเชื่อมั่นว่าพวกเราจะสามารถผ่านมันไปได้ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไรก็ตาม”


 


 


อวิ๋นซีเองก็รู้สึกว้าวุ่นใจ เธอถามหลินหว่านอย่างระวังคำพูด อวิ๋นซีกลัวหลินหว่านจะรับไม่ได้กับเหตุการณ์เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้ พอปัญหาทุกอย่างระดมเข้ามาพร้อมๆ กัน คนส่วนมากก็มักจะล้มเป๋จนทำอะไรไม่ถูก และตอนนี้หลินหว่านกำลังต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้เอง


 


 


เพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นห่วง หลินหว่านพอได้ฟังคำพูดอวิ๋นซีจึงฝืนยิ้มเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ แต่ที่หลินหว่านไม่รู้คือ ยิ่งเธอทำเป็นเข้มแข็งแบบนี้ อวิ๋นซีก็ยิ่งเป็นกังวล


 


 


อวิ๋นซีกับหลินหว่านนั่งบนโซฟาด้วยกัน เธอพูดเสียงเบาว่า “หลินหว่าน งานของเธอในตอนนี้และก่อนหน้าถูกยกเลิกไปทั้งหมดแล้ว อยู่ดีๆ ก็ยกเลิกเฉยเลย เธอรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ในฐานะที่ฉันเป็นผู้จัดการของเธอ ฉันรู้สึกละอายมากที่ปกป้องงานของเธอไว้ไม่ได้ ฉันยังมึนเอามากๆ แต่ไม่รู้ว่าจะไปหาต้นตอเรื่องนี้จากที่ไหน ขอแค่พวกเราหาสาเหตุเจอก็จะหาวิธีแก้ไขได้เอง ถ้าเธอรู้สาเหตุละก็ บอกฉันได้ไหม”


 


 


คำพูดของอวิ๋นซีทำให้หลินหว่านจมอยู่กับความเงียบงันอีกครั้ง เธอรู้สึกว่าตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว หลินหว่านรู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างมาก


 


 


หลินหว่านสงบใจลง มองอวิ๋นซีแล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าทำไมจู่ๆ งานของฉันก็ถูกยกเลิก คราวที่แล้วตอนฉันออกจากบ้าน เจอเข้ากับพ่อของเซียวจิ่งสือ เขาให้ฉันออกห่างจากเซียวจิ่งสือ บอกว่าถ้าฉันไม่รับปาก เขาจะให้ฉันอยู่ในวงการบันเทิงไม่ได้อีก แต่ฉันไม่ได้ตอบพ่อของเซียวจิ่งสือไปตรงๆ ฉันว่าเซียวจิ่งสือน่าจะมีความคิดของตัวเอง จากนั้นก็เป็นแบบนี้ งานของฉันถูกยกเลิกทั้งหมดน่าจะมาจากฝีมือพ่อของเซียวจิ่งสือล่ะมั้ง!”


 


 


อวิ๋นซีตกใจมาก เธอคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับพ่อของเซียวจิ่งสือ ถ้าหลินหว่านยังคิดงัดข้อกับพ่อของเซียวจิ่งสือต่อไปละก็ บางทีจะเป็นอย่างที่เขาพูด ทำให้หลินหว่านอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปไม่ได้จริงๆ


 


 


หลินหว่านเห็นอวิ๋นซีกำลังหมกมุ่นครุ่นคิด คิ้วขมวดยุ่งไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้นอีกว่า “เซียวเฉียงพ่อของเซียวจิ่งสือน่าจะอยากใช้การแต่งงานของเซียวจิ่งสือมาเสริมอำนาจให้กับวั่นหย่ากรุ๊ปของตัวเอง คราวที่แล้วก็เพราะเรื่องนี้เซียวจิ่งสือทะเลาะกับเขาเสียใหญ่โต จากนั้นเขาก็ตัดแหล่งเงินทั้งหมดของเซียวจิ่งสือ”


 


 


หลินหว่านพูดจบก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ เธอพยายามดิ้นรนอย่างยากลำบากในวงการอยู่ตั้งนานสองนาน แต่กลับเพราะเรื่องนี้ทำให้เธอต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ อีกทั้งระยะนี้ยังมีเรื่องราวมากมายที่กดดันหลินหว่านจนแทบหายใจไม่ออก หลินหว่านอยากจะโยนเรื่องหนักใจพวกนี้ทิ้งไปเอามากๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อดทนอยู่เงียบๆ


 


 


อวิ๋นซีเงยหน้าขึ้นมองหลินหว่านแล้วพูดว่า “หลินหว่าน เมื่อครู่ฉันมาคิดดูแล้ว ฉันว่าพวกเราน่าจะทำใจให้สงบแล้วหันหน้ามาปรึกษากันสักครั้ง ฉันเป็นผู้จัดการของเธอมาระยะหนึ่งแล้ว และฉันก็เข้าใจว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนที่ดีต่อเธอมาก เขามีข้อดีมากมายที่ก่อนหน้านี้ฉันชื่นชมเขาอย่างมาก แต่หลินหว่าน…ฉันหวังว่าเธอจะรู้ถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ เธอไม่สามารถต่อต้านเซียวเฉียงได้หรอก นั่นเป็นการตัดเส้นทางอนาคตของตัวเอง”


 


 


ถ้าไม่ต่อต้านเซียวเฉียงก็คือเชื่อฟังเขาออกห่างจากเซียวจิ่งสืองั้นเหรอ เรื่องนี้หลินหว่านหักใจทำไม่ได้จริงๆ หลินหว่านขมวดคิ้ว ไม่เชื่อว่ามีแค่วิธีนี้เพียงวิธีเดียว


 


 


“ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้เหรอ ฉันไม่อยากขัดแย้งกับใครก็ตามในวงการบันเทิง ฉันพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะอยู่กับคนพวกนี้ให้ได้ แต่ก็ยังไม่วายมีเรื่องกระทบกระทั่งเข้าโดยไม่ตั้งใจอยู่ดี ซึ่งเรื่องพวกนี้ฉันก็ไม่มีทางจะไปคาดเดาได้หรอก ดังนั้นฉันอยากจะถนอมน้ำใจคนที่คอยอยู่เคียงข้างฉัน ดีกับฉันมากๆ ฉันไม่อยากเสียสละน้ำใจไมตรีแบบไหนไปทั้งนั้น อย่างนั้นฉันจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเสียงานไปเป็นร้อยเท่า เธอยังมีวิธีอื่นที่ดีกว่าไหม” เสียงของหลินหว่านสั่นสะท้าน เธอรู้สึกอัดอั้นตันใจยิ่งขึ้นทุกที


 


 


อวิ๋นซีลูบผมหลินหว่านอย่างอ่อนโยน เธอรู้สึกเห็นใจหลินหว่านที่ต้องเจอกับเรื่องเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ทั้งที่เธอยังอายุเพียงเท่านี้เอง แต่ในสังคมนี้เป็นสังคมของปลาใหญ่กินปลาเล็ก เธอจำต้องเสียสละบางอย่างและทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ…บางเรื่องให้เธอรู้ไว้ก็ดี


 


 


“หลินหว่าน ฉันรู้ว่าระยะนี้เธอต้องเจอกับเรื่องกวนใจมากมาย เธอมักจะเก็บซ่อนไว้ ไม่ยอมพูดออกมา ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี ระหว่างทางสู่เป้าหมายของทุกคนล้วนยากลำบากกันทั้งนั้น แต่หลินหว่าน เธอต้องเข้าใจนะว่าบางครั้งเราก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉันอยากจะพูดกับเธอให้ชัดเจนกันไปเลย ฉันไม่สามารถใกล้ชิดสนิทสนมกับเซียวจิ่งสือเกินไป และฉันก็หวังว่าเธอจะออกห่างจากเขา ไม่อย่างนั้นสุดท้ายคนที่บาดเจ็บก็คือเธอ ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องถูกทำร้ายอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแบบนี้อีก แต่เรื่องนี้ฉันก็ทำได้แค่บอกเธอเท่านั้น ฉันไม่สามารถตัดสินแทนเธอได้” อวิ๋นซีพูดโดยคิดแล้วคิดอีก


 


 


หลินหว่านเหมือนจะรู้ว่าตัวเธอเองก็ไม่มีวิธีอื่นใดอีก แต่สำหรับหลินหว่านแล้วเธอไม่อาจออกห่างจากเซียวจิ่งสือ ช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมานี้เซียวจิ่งสือได้กลายเป็นหลักยึดของหลินหว่านไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าเป็นที่พึ่งพิงให้ยึดเกาะ น่าจะบอกว่าเกิดประกายแห่งความรักจะดีกว่า


 


 


หลินหว่านหวนนึกถึงวันคืนที่เธอกับเซียวจิ่งสืออยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอประสบความยากลำบาก หรือว่าเธอเกิดความกดดันในใจ หรือพบเรื่องยุ่งยากในการทำงาน เซียวจิ่งสือมักจะพยายามมาอยู่ข้างกายเธอคอยปลอบโยนเธอในทันทีที่ทำได้ เมื่อมีเซียวจิ่งสือคอยอยู่เคียงข้างทำให้หลินหว่านมักจะสามารถข้ามผ่านอุปสรรคหลายครั้งไปได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งตอนที่เซียวจิ่งสือโกรธเธอก็เป็นเพราะเธอไม่ดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง


 


 


หลินหว่านส่ายหน้าปฏิเสธไม่ยอมรับคำพูดโน้มน้าวของอวิ๋นซี นี่เป็นความคิดในใจที่แท้จริงของเธอ ถ้าหากหลินหว่านไปจากเซียวจิ่งสือจริงๆ เธอจะต้องเจ็บปวดทรมานไปชั่วชีวิต


 


 


หลินหว่านไม่ท้อแท้หมดหวังเหมือนเมื่อครู่อีก สายตามองตรงไปเบื้องหน้า เหมือนกับว่าในใจได้ตัดสินใจเลือกสิ่งหนึ่งไปแล้ว


 


 


“หลินหว่าน เธอต้องคิดให้ดีนะ ถ้าอยู่กับเซียวจิ่งสือ เซียวเฉียงย่อมจะหาเรื่องสร้างความลำบากให้เธอแน่ และธุรกิจของเขานั้น พวกเราไม่มีทางสู้ได้เลย บางทีต่อไปเส้นทางในวงการบันเทิงคงจะไม่ราบรื่นอีกต่อไป อาจถึงกับ…ฉันว่าเธอน่าจะเข้าใจได้ ฉันพูดได้แค่นี้ล่ะ ที่เหลือเธอก็เลือกเองแล้วกัน” อวิ๋นซีหน้าเศร้ามองดูหลินหว่าน เธอนึกลุ้นแทนหลินหว่านอยู่ในใจ

 

 

 


ตอนที่ 135

 

 ลาจาก

 


“อวิ๋นซี ฉันคิดดีแล้ว ฉันจะไม่ไปจากเซียวจิ่งสือเด็ดขาด เธออยู่กับฉันมานานขนาดนี้แล้ว ก็น่าจะรู้ดี ที่ผ่านมาไม่ว่าฉันจะเกิดเหตุอะไร เซียวจิ่งสือก็มักจะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ และฉันก็เคยชินกับการมีเขาอยู่ด้วยอย่างนี้ ฉันไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าฉันไปจากเขาแล้วจะอยู่ได้อย่างไร บางทีฉันอาจหมดกำลังใจที่จะสู้ บางทีฉันอาจรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมายไปเลย” หลินหว่านพูดช้าๆ


 


 


หลินหว่านนึกถึงเซียวจิ่งสือ เขาเคยทำเพื่อเธอมากมายจนนับไม่ถ้วน หลินหว่านจึงตัดสินใจว่า เธอจะอยู่เคียงข้างเซียวจิ่งสือข้ามผ่านอุปสรรคในครั้งนี้


 


 


อวิ๋นซีรู้สึกอ่อนไหวไปกับคำพูดของหลินหว่าน เธออยู่ในวงการบันเทิงมานานขนาดนี้ อวิ๋นซีได้เห็นคนส่วนใหญ่ล้วนเลือกผลประโยชน์ แต่คนที่เป็นคนดีและเห็นแก่น้ำใจไมตรีอย่างหลินหว่านช่างหาได้ยากจริงๆ คำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเธอ ทำให้อวิ๋นซีไม่พูดชักจูงหลินหว่านอีก


 


 


“หลินหว่าน ฉันหวังว่าเธอจะมีชีวิตที่ดี เธอเป็นเด็กดีคนหนึ่ง น่าจะมีอนาคตที่สดใส เธอไม่ควรมาอยู่ในวงการบันเทิงซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้คนร้อยพ่อพันแม่ตั้งแต่แรก” อวิ๋นซีถอนใจพูด เธอคาดเดาไม่ถูกเลยว่าต่อไปนี้หลินหว่านจะต้องเจอกับความยากลำบากอะไรบ้าง


 


 


“ต่อให้ไม่มีความรัก เซียวจิ่งสือเคยช่วยฉันไว้ขนาดนั้น คอยช่วยเหลือให้กำลังใจฉันยามลำบาก ตอนที่ฉันเศร้าเสียใจก็ทำให้ฉันรู้สึกมีความหวัง ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร เขาจะอยู่ข้างหน้าฉันคอยปกป้องฉันเสมอ ครั้งนี้ถึงคราวฉันบ้าง ต่อให้ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ ฉันก็ควรจะอยู่เคียงข้างต่อสู้ร่วมกับเขา อย่าว่าแต่พวกเรายัง…” หลินหว่านพูดถึงประโยคสุดท้ายแล้วชะงักค้าง


 


 


อวิ๋นซีเข้าใจดีว่าหลินหว่านจะพูดอะไร ความรักของพวกเขาสองคน ทั้งบริสุทธิ์และซับซ้อนยุ่งยาก แต่ที่แน่ๆ ทั้งคู่รักกันจริง


 


 


“ไปเถอะ พวกเรากลับบริษัทด้วยกัน ทางบริษัทคงต้องจัดการเรื่องนี้ของเธอแน่ ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอีก เธอต้องเตรียมใจไว้ด้วยล่ะ ในเมื่อเธอเลือกเส้นทางนี้แล้ว ก็ยืนหยัดสู้ต่อไปนะ เธอเลือกที่จะอยู่เคียงข้างเซียวจิ่งสือ ต่อไปคงต้องเจอกับเรื่องมากมาย เธอต้องเรียนรู้ที่จะอดทนรับไว้ให้ได้”


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะ ทั้งสองกลับบริษัทไปด้วยกัน


 


 


เป็นไปตามคาด เมื่อหลินหว่านเพิ่งถึงบริษัท เจ้านายก็เรียกหลินหว่านไปที่ห้องทำงานของเขา เจ้านายของหลินหว่านรู้อยู่แล้วว่าเซียวเฉียงเป็นคนสั่งยกเลิกงานเหล่านี้ของหลินหว่าน เขาตั้งใจจะแช่แข็งหลินหว่าน และเจ้านายของหลินหว่านก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ จึงได้แต่เลือกที่จะคล้อยตาม


 


 


“เจ้านายคะ ฉันรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วค่ะ อาจทำให้บริษัทเสียประโยชน์อย่างมาก ตอนนี้คุณจะจัดการอย่างไรก็ได้ ฉันยอมรับฟังทุกอย่าง ฉันแค่หวังว่าจะลดการสูญเสียของบริษัทให้มากที่สุดค่ะ” หลินหว่านพูดอย่างเกรงใจ


 


 


เจ้านายก็ทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ เขาไม่อยากสูญเสียหลินหว่านที่กำลังไปได้สวยในวงการบันเทิง แต่เมื่อเผชิญกับเซียวเฉียง เขาก็ต้องทำอย่างนี้ อันที่จริงความเสียดายของเจ้านายก็แค่ชั่วครู่ชั่วยาม ในวงการบันเทิงพวกเขาต่างก็เห็นแก่ผลประโยชน์เป็นสำคัญกันทั้งนั้น คนสวยที่แสดงละครได้มีมากมาย พวกที่ยังทำเงินให้บริษัทได้พวกเขาย่อมเห็นค่ามาก แต่จะไม่ยอมมีเรื่องกับเจ้าของธุรกิจเพียงเพื่อศิลปินคนหนึ่งเด็ดขาด


 


 


“หลินหว่าน ตอนนี้ผมหาผู้จัดการฝึกหัดมาให้ดูแลคุณคนหนึ่ง ต่อไปกิจกรรมทุกอย่างของคุณเขาจะเป็นคนรับผิดชอบ อ้อ ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวังว่าคุณจะทำใจได้ และพยายามให้ได้งานล่ะ มีงานจึงจะมีเงินนะ บางเรื่องเราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จนปัญญาเลย” เสียงพูดของเจ้านายฟังดูหมดแรงลงไปเรื่อยๆ


 


 


“อื้อ ขอบคุณค่ะ” หลินหว่านตอบรับเสียงเบา จากนั้นหมุนตัวออกจากห้องทำงานของเจ้านาย


 


 


หลินหว่านนั่งหมดแรงอยู่ในห้องทำงานตัวเองเพียงลำพัง เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าทำไมทางบริษัทให้ผู้จัดการฝึกหัดมาดูแลเธอ หลินหว่านเตรียมตัวเตรียมใจมาตั้งนานแล้ว ระหว่างทางไปห้องทำงานของเจ้านายเธอคิดไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าทางบริษัทจะจัดการอย่างไร เธอก็เตรียมทำใจไว้แล้ว แต่เมื่อเกิดเรื่องจริงๆ เข้าหลินหว่านกลับรู้สึกร้องไห้ไม่ออก หลินหว่านรู้ว่าสมัยนี้ผู้จัดการฝึกหัดโดยทั่วปกติแล้วยังไม่เก่งนักหรอก


 


 


“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นผู้จัดการฝึกหัดคนใหม่ ตอนนี้รับผิดชอบดูแลงานของคุณค่ะ หวังว่าพวกเราจะร่วมงานด้วยดีนะคะ”


 


 


เบื้องหน้าหลินหว่านมีหญิงสาวอายุไม่มากนักยืนอยู่ เธอยิ้มเล็กน้อยมองดูหลินหว่าน แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับให้ความรู้สึกว่าเป็นการเสแสร้ง หลินหว่านไม่รู้ว่าผู้จัดการคนใหม่จะมาเร็วขนาดนี้ จึงนิ่งอึ้งไป


 


 


“อ้อ สวัสดีค่ะ ฉันหลินหว่าน ขอบคุณนะที่มาเป็นผู้จัดการให้ฉัน ต่อไปต้องรบกวนคุณแล้ว หวังว่าพวกเราจะร่วมงานกันด้วยดีนะ” หลินหว่านยิ้มให้กับผู้จัดการคนใหม่ตามมารยาท


 


 


หลินหว่านไม่รู้ว่าทำไมจึงไม่รู้สึกสนิทกับผู้จัดการคนใหม่เอาเสียเลย เธออยากจะคุ้นเคยกับผู้จัดการคนใหม่นี้ให้เร็วที่สุด แต่ไม่มีความรู้สึกแบบว่าอยากจะทำความรู้จักกับเธอเลย กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่รู้มาขวางกั้นอยู่


 


 


เนื่องจากแหล่งงานของหลินหว่านมีน้อยมาก อีกทั้งในระหว่างนี้ยังได้ยินข่าวจากทางบริษัทถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลินหว่าน ทำให้ผู้จัดการฝึกหัดนั้นรู้ว่าหลินหว่านอาจต้องเจอกับสภาพแช่แข็ง จึงรู้สึกโกรธมาก และเปลี่ยนสีหน้าท่าทีที่ปฏิบัติกับหลินหว่าน


 


 


ผู้จัดการฝึกหัดเดินเข้ามาในห้องทำงานของหลินหว่าน เธอขมวดคิ้วจ้องหน้าเธอ


 


 


“เธอมีอะไรเหรอ ทำไมต้องมองฉันอย่างนี้ด้วย” หลินหว่านถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าทำไมฉันต้องมาซวยแบบนี้ ได้เป็นผู้จัดการดาราทั้งทีก็ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ คุณกำลังจะโดนดองอยู่แล้ว พอคุณโดนดองฉันก็เตรียมเจอหายนะน่ะซิ ถึงจะเป็นผู้จัดการดาราแต่ก็ต้องมีความสามารถและต้องมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงนะ! ครั้งแรกก็เจอแบบนี้ เฮ้อ ไม่พูดดีกว่า ซวยชิบเป๋งเลย” ผู้จัดการฝึกหัดขมวดคิ้วพูดออกมา


 


 


ใบหน้าหลินหว่านปรากฏรอยแดงเรื่อขึ้นมา เธอรู้สึกละอายใจมาก ตอนนี้เธอกำลังเรียนรู้ที่จะรับมือกับเรื่องไม่ดีทั้งหลาย เธอพยายามอย่างที่สุดที่จะควบคุมความรู้สึกอึดอัดขัดข้องใจและความโมโหของตัวเอง


 


 


“เธอโชคร้ายอยู่บ้างที่เจอกับฉัน แต่ถ้าเป็นผู้จัดการที่มีความสามารถที่แท้จริง เขาจะไม่มานั่งตัดพ้อต่อว่าแบบนี้ เขาจะใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อทำให้คนอื่นยอมรับให้ได้” หลินหว่านพูดเสียงเรียบ พูดจบก็ก้มหน้าลง ไม่มองดูผู้จัดการฝึกหัดอีกเลย


 


 


ผู้จัดการฝึกหัดเหมือนจะโมโหมาก แต่ไม่พูดอะไร นั่งลงบนโซฟาแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู


 


 


หลินหว่านนึกถึงอวิ๋นซีขึ้นมาทันที ถ้าหากเธอยังอยู่กับหลินหว่าน ก็คงจะเป็นสถานการณ์อีกแบบหนึ่งที่ดีมาก หลินหว่านไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าผู้จัดการฝึกหัดคนนี้ เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือการมาทำงานเพื่อรับเงินค่าจ้าง การที่พวกเขาวางผลประโยชน์ให้สำคัญเป็นอันดับหนึ่งนั้นไม่ผิด ถึงอย่างไรแล้ว หลินหว่านก็ไม่เคยรู้จักมักจี่อะไรกับเธอมาก่อน


 


 


ห้องเงียบมาก เนื่องจากมีงานน้อยมาก หลินหว่านทำได้แค่หาหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน


 


 


“ซวยจริงๆ เลยเรา เฮ้อ ซวยโว้ย” ผู้จัดการฝึกหัดลุกพรวดขึ้นจากโซฟา พูดประโยคนี้แล้วเดินออกไป


 


 


ผู้จัดการพวกนี้เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกงาน จึงเริ่มพยายามมองหาแหล่งงานอื่น


 


 


พอถึงตอนบ่าย หลินหว่านเตรียมตัวจะกลับบ้าน จู่ๆ ผู้จัดการฝึกหัดก็เดินเข้ามา


 


 


“หลินหว่าน เธอไปหาผู้กำกับของานทำสักหน่อยเถอะ! พวกเราจะมานั่งรอความตายแบบนี้ไม่ได้นะ” ผู้จัดการฝึกหัดพูดพลางจ้องหลินหว่าน

 

 

 


ตอนที่ 136

 

ล่อลวง

 


หลินหว่านตกใจมาก เงยหน้าขึ้นมองผู้จัดการคนใหม่ เธออ้าปากเล็กน้อยดวงตามองตรงมาที่หลินหว่าน ดวงตาดำขลับทั้งคู่เต็มไปด้วยความหิวกระหายอยากได้


 


 


แม้ว่าหลินหว่านจะรู้ว่าตอนนี้เธอมีแหล่งงานน้อยมาก หรือจะเรียกว่าไม่มีเลยก็ยังได้ แต่เธอได้เตรียมทำใจที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้แล้ว ก่อนหน้านี้หลินหว่านไม่ได้คิดว่าจะต้องเข้าหาผู้กำกับเพื่อหางานแสดง


 


 


“อย่างนี้ก็ได้เหรอคะ ตอนนี้งานของฉันถูกคนอื่นตัดทางไปหมดแล้ว ถ้าหากฉันไปพบผู้กำกับเอง จะสำเร็จไหมนะ” หลินหว่านพูดอย่างลังเลด้วยไม่มั่นใจ


 


 


ส่วนลึกในจิตใจของหลินหว่านไม่อยากจะเป็นฝ่ายไปพบผู้กำกับ เพราะเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้เธอตกต่ำมากเลย! และความแตกต่างที่มาอย่างกะทันหันนี้ทำให้หลินหว่านยังทำใจไม่ได้


 


 


ผู้จัดการเห็นสีหน้าของหลินหว่านก็รู้ว่าเธอไม่เต็มใจจะไปออกปากขอร้องผู้กำกับ


 


 


ชั่วพริบตานั้นสีหน้าของผู้จัดการคนใหม่ก็เปลี่ยนไปทันที เธอตีหน้ายักษ์ ถลึงตาเข้าใส่พูดว่า “หงส์ปีกหักยังไงก็สู้ไก่ไม่ได้ คุณก็อย่ามัวทำตัวสูงส่งนักเลย ตอนนี้โอกาสเดียวของคุณคือไปหาผู้กำกับซะ ไม่อย่างนั้นงานอะไรก็หาไม่ได้ ฉันไม่อยากจบเห่ไปกับคุณหรอกนะ ต่อให้คุณไม่เห็นแก่คนอื่น อย่างไรก็คิดถึงฉันบ้างสิ”


 


 


หลินหว่านรู้สึกโมโหแล้วก็ผิดหวังอยู่บ้าง แต่พอเธอมาคิดดูแล้ว ผู้จัดการคนใหม่นี้ที่จริงก็ไม่ได้ผิดอะไร เธอแค่ต้องการดิ้นรนเพื่อตัวเอง ใครก็ไม่อยากให้ตัวเองเพิ่งจะเริ่มงานก็ต้องล้มเหลวแบบนี้


 


 


หลินหว่านฟังคำพูดประโยคนั้นของผู้จัดการคนใหม่แล้วก็คิดวนเวียนไปมาอยู่ด้วยความลังเลไม่อาจตัดสินใจได้


 


 


ผู้จัดการคนใหม่อยู่ที่ห้องทำงานคอยจับตามองหลินหว่านอยู่ตลอดเวลา คอยคำตอบจากเธอ


 


 


หลินหว่านยืนขึ้นช้าๆ พูดด้วยรอยยิ้มเต็มฝืน “ได้ค่ะ คุณช่วยนัดให้ฉันก็แล้วกัน ฉันจะไปพบผู้กำกับ ถ้าสามารถหางานได้ก็คงจะดีมากจริงๆ เพียงแต่ฉันเกรงว่าจะมีคนแอบก่อกวนอยู่เบื้องหลังนะสิ เอาเถอะ ไปพบก่อนแล้วค่อยว่ากัน โอกาสต้องออกไปหาเอาเอง หวังว่าเธอจะมีโชคดี อย่าต้องตกงานไปกับฉันล่ะ”


 


 


พอได้ฟังคำพูดนี้ของหลินหว่าน ผู้จัดการคนใหม่ก็ยิ้มออกมาได้ พูดว่า “ดีๆ ไม่เสียทีที่อยู่ในวงการมาตั้งนานขนาดนี้ รู้ตัวเร็วแบบนี้ก็ดีแล้ว เราต้องออกไปคว้าโอกาสด้วยตัวเอง ยังไม่ต้องสนเรื่องจะมีคนก่อกวนหรือเปล่า พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะโต้กลับ งั้นคุณไปแต่งตัวให้สวยเลยนะ อีกเดี๋ยวฉันช่วยจัดการให้คุณเอง ฉันไปทำงานก่อนล่ะ อีกเดี๋ยวฉันจะส่งข้อความบอกคุณนะ”


 


 


ผู้จัดการคนใหม่พูดจบก็วิ่งออกไปอย่างดีอกดีใจ หลินหว่านมองตามหลังเธอไป ยิ่งรู้สึกท้อใจมากขึ้น พอผู้จัดการคนใหม่ออกจากประตูไปหลินหว่านก็ส่ายหน้าถอนใจเฮือกออกมา


 


 


ถึงแม้หลินหว่านจะไม่มีงานหรือกิจกรรมอะไรเลยแต่หลินหว่านกลับรู้สึกเหมือนวันเวลาผ่านไปเร็วมาก เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอก แสงอาทิตย์ยามอัสดงมาถึง เธอคิดอยู่ว่าผู้จัดการคนใหม่คงจะไม่นัดให้เธอไปพบผู้กำกับตอนเย็นหรอกล่ะมั้ง จะยังไงก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้แล้ว หลินหว่านจึงเตรียมตัวจะกลับบ้าน


 


 


เธอเพิ่งเดินมาถึงโรงรถ ก็เห็นข้อความที่ผู้จัดการคนใหม่ส่งมาให้


 


 


“มาเร็ว ฉันรอคุณอยู่หน้าบริษัท เพิ่งติดต่อผู้กำกับคนหนึ่งได้ เย็นนี้พอดีเขามีเวลา พวกเราต้องฉวยโอกาสรีบไปพบเขา”


 


 


หลินหว่านส่ายศีรษะอย่างจนใจ เก็บมือถือลงกระเป๋า แล้วเดินไปทางหน้าบริษัท


 


 


หลินหว่านยังเดินไปไม่ถึงหน้ารถ ก็เห็นผู้จัดการคนใหม่วิ่งมาหาเธออย่างตื่นเต้นดีใจ


 


 


“มาเร็ว หลินหว่าน เวลาไม่ค่อยท่านะ” ผู้จัดการคนใหม่เข้ามาคว้ามือหลินหว่านแล้วเดินไปขึ้นรถ


 


 


ทั้งสองอยู่บนรถ หลินหว่านหน้าตาไม่มีรอยยิ้ม มองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างไม่อยากจะพูดคุยกับใคร


 


 


ทันใดนั้นผู้จัดการคนใหม่ตบบ่าหลินหว่านทีหนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันจะพาเธอไปแต่งหน้าก่อน แล้วแต่งตัวให้สวยเช้ง อีกเดี๋ยวจำไว้ว่าต้องทำตัวดีๆ ล่ะ โอกาสครั้งนี้หาได้ไม่ง่ายนะ ต้องสำเร็จห้ามล้มเหลว พวกเราต้องร่วมหัวจมท้ายด้วยกันแล้ว เธอมีงานแล้ว ฉันก็รักษางานของฉันไว้ได้”


 


 


หลินหว่านได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ ผงกศีรษะเบาๆ


 


 


ก่อนอื่นผู้จัดการคนใหม่พาหลินหว่านไปสถานที่แต่งหน้าของมืออาชีพ แล้วก็ใช่เลย คนสวยพอตกแต่งเข้าหน่อยก็พูดได้ว่างามเลิศในปฐพี พอหลินหว่านแต่งหน้าอย่างประณีต สวมชุดราตรีพวกนั้นแล้ว คนรอบข้างต่างก็พากันชื่นชมไม่หยุด


 


 


“หลินหว่าน เธอนี่สวยจริงๆ เลยนะ เธอเกิดมาสำหรับวงการบันเทิงแท้ๆ เชียว ใบหน้างามขนาดนี้ไม่ได้แสดงหนังมันน่าเสียดายซะจริงเลย บทนี้เราต้องคว้ามาให้ได้นะ ฉันเชื่อว่าเธอทำได้ ตอนนี้รีบไปกันเถอะ” สายตาของผู้จัดการคนใหม่มองสำรวจหลินหว่าน แล้วทอแววชื่นชมออกมา


 


 


สถานที่ที่พวกเขารีบไปพบผู้กำกับนั้นเป็นโรงแรมขนาดใหญ่และหรูหรามากแห่งหนึ่ง หลินหว่านที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนไม่รู้สึกประหลาดใจนัก ส่วนใหญ่เป็นผู้จัดการคนใหม่ที่พูดกับหลินหว่านอย่างตื่นเต้น บอกว่าผู้กำกับที่มากินข้าวในที่แบบนี้ต้องมีงานให้ทำเยอะแน่


 


 


พวกเขาเข้าไปในห้องหนึ่ง นอกจากผู้กำกับแล้วยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ส่วนผู้กำกับนั่งอยู่ตำแหน่งกึ่งกลางพอดี พอหลินหว่านเดินเข้ามา ผู้กำกับก็ใช้สายตาประหลาดมองสำรวจหลินหว่าน ชั่วขณะที่หลินหว่านสบตาผู้กำกับ เธอรู้สึกอึดอัดและอับอายมาก


 


 


ผู้จัดการคนใหม่วิ่งไปหาผู้กำกับอย่างตื่นเต้นแล้วชี้ไปที่หลินหว่าน พูดว่า “ผู้กำกับคะ นี่ไงหลินหว่าน…นักแสดงคนที่ฉันบอกคุณว่าทั้งสวยและแสดงเก่งด้วย เธอดีพร้อมทุกอย่างเลย คุณต้องพอใจแน่ค่ะ”


 


 


หลินหว่านโค้งคำนับให้ผู้กำกับเล็กน้อย ผู้กำกับทางหนึ่งผงกศีรษะยิ้มรับพลางมองดูหลินหว่าน ขณะที่สายตามองสำรวจเรือนร่างของหลินหว่านโดยไม่มีทีท่าจะถอนสายตากลับไป


 


 


หลินหว่านยิ่งรู้สึกอึดอัดขัดเขิน จึงนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างตัวหนึ่ง แล้วยิ้มให้ผู้กำกับเล็กน้อย


 


 


นัดทานข้าวครั้งนี้หลินหว่านรู้สึกขัดเขินไม่เป็นตัวเองอย่างมาก ผู้กำกับเป็นมิตรกับหลินหว่านมาก แต่ความเป็นมิตรแบบนี้ทำให้หลินหว่านรู้สึกไม่สบายใจนัก เธออยู่ในวงการบันเทิงมานาน เรื่องบางอย่างเธอก็เคยได้ยินมาบ้าง


 


 


หลินหว่านทานไปได้ครึ่งหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนอย่างเกรงใจ แล้วเดินไปทางห้องน้ำ เธอเห็นตัวเองในกระจก สวยสะดุดตาแต่ให้ความรู้สึกที่หม่นหมองมาก


 


 


ตอนที่หลินหว่านเดินออกมาจากห้องน้ำนั้น ก็เห็นว่าผู้กำกับกำลังรอเธออยู่ที่หน้าประตู


 


 


“หลินหว่าน ผมพูดตามตรงเลยนะ ผมรู้ว่าคุณต้องการทำงาน และผมก็ต้องการเรือนร่างและหน้าตาของคุณ ตอนนี้ในมือผมมีหนังใหม่อยู่เรื่องหนึ่ง ถ้าคุณรับปากมาอยู่กับผม ไม่เพียงแค่หนังเรื่องนี้เท่านั้น ต่อไปไม่ว่าจะมีงานอะไรผมจะนึกถึงคุณก่อนทันทีเลย” ผู้กำกับพูดพลางยิ้มอารมณ์ดี


 


 


หลอกกินตับเหรอ ก่อนหน้านี้หลินหว่านก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เธอจ้องผู้ชายเสแสร้งจอมหลอกลวงที่เบื้องหน้า รู้สึกสะอิดสะเอียนพุ่งขึ้นมาเป็นระลอกๆ หลินหว่านถึงกับนึกอยากจะตบหน้าผู้กำกับคนนี้ไปสักฉาด

 

 

 


ตอนที่ 137

 

ผูกขาด

 


“ทำไมเงียบไปล่ะ หลินหว่าน แค่เธอยอมเป็นเมียน้อยฉัน ต่อไปไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องไหนก็เลือกได้เลยตามสบาย เข้าใจหรือยังล่ะ เธออย่าเพิ่งมองฉันด้วยสายตาโกรธแค้นแบบนั้น ใครจะปฏิเสธเงินได้ลงใช่ไหมล่ะ วงการบันเทิงก็เป็นแบบนี้แหละ เธอก็คิดดูให้ดีแล้วกัน! อยากจะเด่นจะดังคับฟ้า ก็ต้องมีอะไรมาแลกกันบ้าง” ผู้กำกับยังยิ้มกริ่ม ยกมือขึ้นจะวางลงบนไหล่ของหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านปัดมือผู้กำกับออกอย่างโมโห ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องเขม็งไปที่ผู้กำกับ


 


 


“ฉันไม่มีทางรับปากคุณแน่ คุณก็อย่าฝันไปหน่อยเลย ถ้าหากงานพวกนั้นต้องแลกมาด้วยสิ่งนี้แล้วละก็ ฉันไม่เอาหรอก และฉันก็ดูถูกคนอย่างคุณด้วย” หลินหว่านพูดจบก็เดินจากไป


 


 


หลินหว่านพอกลับถึงห้องทานอาหาร เธอพยายามสงบจิตใจตัวเอง เธอรู้ว่าที่นี่มีคนมากมาย และผู้กำกับนั่นมีอิทธิพลมากกว่าเธอมาก ดังนั้นต่อหน้าผู้คนแล้วยังต้องอดทนเอาไว้บ้าง จะอาละวาดต่อหน้าผู้คนจำนวนมากแบบนี้ไม่ได้ ตอนนี้หลินหว่านกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ ยิ่งไม่ควรเอะอะให้เป็นเรื่อง


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ผู้กำกับก็กลับมาที่ห้องอาหาร ตอนเขาเดินเข้ามายังขึงตาใส่หลินหว่านด้วย หลินหว่านแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นก้มหน้าลงทานอาหาร ส่วนผู้จัดการคนใหม่ยังคอยประเหลาะเอาใจทุกคนที่นั่งอยู่ที่นั่นต่อไป ยกเว้นหลินหว่าน


 


 


ในที่สุดอาหารมื้อนี้ก็สิ้นสุดลงจนได้ หลินหว่านกับผู้จัดการคนใหม่ขึ้นรถกลับไปแล้ว ผู้จัดการคนใหม่ไม่รู้ว่าหลินหว่านได้ปฏิเสธข้อเสนอไร้ยางอายของผู้กำกับนั่นไปแล้ว และยังต่อปากต่อคำกับผู้กำกับมาแล้ว เธอยังเข้าใจว่าหลินหว่านจะได้บทนี้แน่ จึงฮัมเพลงอย่างสบายใจมาตลอดทาง หลินหว่านก็ไม่พูดอะไรอีก นั่งมองวิวนอกหน้าต่างไปเงียบๆ เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าครั้งนี้ไม่มีโอกาสหรอก


 


 


วันรุ่งขึ้น พอหลินหว่านเพิ่งมาถึงบริษัท ผู้จัดการคนใหม่ก็ถลาเข้ามาหาเธออย่างเอาเรื่อง หลินหว่านรู้ทันทีว่าเธอจะพูดอะไร


 


 


ผู้จัดการชี้หน้าหลินหว่าน ด่ากราดเสียงดังลั่น “เธอก็เป็นซะอย่างนี้ โอกาสแบบนี้มันไม่ได้มีกันง่ายๆ นะ ยังจะกล้าปฏิเสธคำขอเขาอีก เข้าใจว่าตัวเองเป็นซุปตาร์มาจากไหนยะ ตอนนี้เป็นไง โอกาสดีๆ หายากแบบนี้ เธอกลับปล่อยมันไปแบบนั้น เก่งนักนะ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงหรือไง”


 


 


หลินหว่านไม่อยากต่อปากกับเธออีกแม้แต่คำเดียว จึงแกล้งทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่คำพูดเยาะเย้ยถากถางพวกนั้นกลับดังก้องอยู่ในหูของหลินหว่าน


 


 


ผู้จัดการคนใหม่ยังปักหลักด่ากราดเธอต่อไปเพื่อระบายความโกรธ หลินหว่านทนฟังต่อไปไม่ไหว และไม่ต้องการจะทะเลาะกับเธอจึงออกไปจากบริษัท


 


 


เมื่อกลับถึงบ้าน หลินหว่านที่อดรนทนไม่ไหวก็ร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นตันใจในที่สุด พอเซียวจิ่งสือมาหา หลินหว่านก็รีบเช็ดน้ำตาไม่ให้เขาเห็นว่าเธอร้องไห้มาก่อน แต่เซียวจิ่งสือก็ยังเห็นว่าหลินหว่านตาแดงก่ำ เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นเพราะอะไร


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านไม่สบายใจ จนไม่อยากจะเอ่ยปากพูด เขาเจ็บปวดใจมาก ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องผู้หญิงที่เขารัก


 


 


ขณะรอให้หลินหว่านสงบใจ เซียวจิ่งสือก็พูดปลอบโยนเบาๆ หลินหว่านสงบอารมณ์ลงได้แล้วก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้เซียวจิ่งสือฟัง


 


 


เซียวจิ่งสือรู้ว่าหลินหว่านตกที่นั่งลำบาก จึงตัดสินใจว่าจะไม่ให้หลินหว่านต้องทนอยู่ที่บริษัทนั้นแล้ว


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านนอนหลับไปแล้ว เขาก็กลับมาที่บริษัทคนเดียว เรื่องแรกที่เขาทำก็คือทุ่มเงินก้อนโตซื้อสัญญาย้ายค่ายให้หลินหว่านมาที่บริษัทของเขา ผู้ช่วยของเซียวจิ่งสือทักท้วงเขาว่าอย่าทุ่มเทให้ถึงขนาดนั้น แต่เซียวจิ่งสือตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาไม่ต้องการเห็นหลินหว่านถูกรังแก


 


 


พอเซียวจิ่งสือจัดการเรื่องทั้งหมดแล้วก็บอกกับหลินหว่าน แน่นอนว่าหลินหว่านค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง อย่างนี้ก็จะได้มีเวลาอยู่กับเซียวจิ่งสือนานๆ และยังไม่ต้องไปแบกหน้าทนอยู่ที่บริษัทนั่นอีก


 


 


แต่ก็ดีใจได้ไม่นานนัก บริษัทของเซียวจิ่งสือก็ต้องเจอกับมรสุมลูกใหญ่


 


 


“ประธานเซียวครับ ตอนนี้เอเจนซี่ที่ป้อนงานให้กับบริษัทพากันหยุดหายกันไปหมด คนทั้งบริษัทพากันใจเสียหมด ต้องรีบคิดหาวิธีมาปลอบใจพวกเขาหน่อยแล้ว จะให้คนทำงานสงสัยในศักยภาพของบริษัทไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ตั้งใจทำงานอีก”


 


 


“ตอนนี้ผมจะไปสืบดูว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ คุณก็พยายามหาเอเจนซี่อื่นมาลองดูนะ” เซียวจิ่งสือขมวดคิ้วพูด


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกได้ว่านี่เป็นฝีมือพ่อเขาเซียวเฉียง เขาจึงตรงดิ่งไปหาพ่อของเขา


 


 


“มาแล้วเหนอ ฉันรู้ว่าแกต้องกลับมาแน่” เซียวเฉียงพูดกับเซียวจิ่งสืออย่างถือไพ่เหนือกว่า


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกโกรธมาก ทำไมพ่อของเขาจึงอยู่ด้วยกันดีๆ ไม่ได้นะ


 


 


“ทำไมต้องดึงงานของบริษัทผมไปหมดด้วย พ่อรู้หรือเปล่าว่าพ่อทำแบบนี้จะกระทบผลประโยชน์ของบริษัทผมอย่างมาก พ่อจะคิดถึงผมบ้างไม่ได้เหรอไง” เซียวจิ่งสือพูดกับพ่อตัวเอง


 


 


“ฉันนึกถึงแกเหรอ แต่คำพูดของฉันแกฟังหรือเปล่า? แกทุ่มเงินก้อนโตเชิญให้หลินหว่านมาที่บริษัทของแก แกมันแน่นักนี่ พอฉันรู้รื่องนี้ก็เลยจัดการซะ แกก็หาทางเอาเองแล้วกัน” เซียวเฉียงพูดเสียงเย็นชา


 


 


เซียวจิ่งสือหมุนตัวพุ่งออกจากห้องทำงานของพ่อเขาอย่างโกรธจัด


 


 


เซียวจิ่งสือไม่ยอมทิ้งหลินหว่านเด็ดขาด แม้ว่าจะทำให้บริษัทต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤต


 


 


เมื่อกลับถึงบริษัท หลินหว่านก็พบเห็นท่าทีผิดปกติของเซียวจิ่งสือ ขณะที่เซียวจิ่งสือเตรียมจะปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้หลินหว่านรู้ ด้วยเกรงว่าหลินหว่านจะเป็นกังวลและโทษตัวเอง แต่คนในบริษัทพูดกันไปต่างๆ นานา เพียงไม่นานหลินหว่านก็รู้ว่าบริษัทของเซียวจิ่งสือกำลังเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ขนาดนี้


 


 


ตอนเย็น เซียวจิ่งสือทานข้าวกับหลินหว่าน เขาตั้งใจว่าจะพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วพูดว่า “เซียวจิ่งสือคะ ให้เราสองคนรับมือกับความยากลำบากด้วยกันได้ไหมคะ คุณอย่าทนสู้อยู่คนเดียว ตอนนี้บริษัทต้องเจอกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจึงไม่บอกฉันคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือหน้าแดงหูแดงขึ้นมาทันควัน หลบสายตาเธอไปมา


 


 


“ผมไม่อยากให้คุณต้องมาลำบากกับผม แล้วก็ไม่อยากให้คุณเป็นกังวลเพราะผมด้วย วางใจเถอะ ผมรับมือคนเดียวได้” เซียวจิ่งสือพูดไม่เต็มเสียง


 


 


“แต่คุณรู้ไหมคะ ฉันเต็มใจที่จะร่วมลำบากกับคุณค่ะ” หลินหว่านพูดโพล่งขึ้นเสียงดัง


 


 


เซียวจิ่งสือตื้นตันใจมาก เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอทำให้พูดไม่ออก เขาจึงผงกศีรษะให้กับหลินหว่านถี่ๆ


 


 


หลินหว่านจึงเสนอตัวไปเจรจาเพื่อเซ็นสัญญาความร่วมมือครั้งต่อไป


 


 


หลินหว่านเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อสัญญาฉบับนี้ เธอคิดว่าจะต้องช่วยให้เซียวจิ่งสือผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปให้ได้ เธอเจรจาความร่วมมือกับอีกฝ่ายด้วยท่าทางเชื่อมั่น ทั้งสองเจรจากันด้วยดี สุดท้ายการเจรจาความร่วมมือครั้งนี้จบลงด้วยดี


 


 


ขณะที่หลินหว่านเข้าใจว่าจะสำเร็จ และรอฟังข่าวดีจากอีกฝ่ายนั้น


 


 


หลินหว่านรอแล้วรอเล่าแต่ไม่มีข่าวกลับมาเสียที จึงกลับบริษัทไปถามเซียวจิ่งสือ เซียวจิ่งสือเห็น


 


 


หลินหว่านดูร้อนใจก็รู้ว่าเธอมาหาคำตอบอะไร


 


 


เซียวจิ่งสือเอ่ยปากช้าๆ ว่า “หลินหว่าน เทียนซิงกรุ๊ปรู้แล้วว่าคุณกำลังเจรจาความร่วมมือนี้ จึงเข้าแทรกแซงระหว่างที่คุณกับพวกเขาเจรจาความร่วมมือกันอยู่ ตอนนี้ฝ่ายนั้นถูกเทียนซิงกรุ๊ปแย่งตัวไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ อย่าโทษตัวเองเลยนะ”


 


 


หลินหว่านโศกเศร้าลง เธอคิดไม่ถึงว่าความร่วมมือที่เธอเจรจาด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจขนาดนั้น ด้วยอยากจะพันฝ่าอุปสรรคร่วมกับเซียวจิ่งสือ ตอนนี้กลับถูกคนอื่นแย่งเอาไป

 

 

 


ตอนที่ 138

 

 โอกาส

 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านก้มหน้าอาการจ๋อยสนิท ก็รู้ว่าหลินหว่านโทษตัวเองที่ช่วยเขาเจรจาความร่วมมือครั้งนี้ไม่สำเร็จ


 


 


“ฉันพยายามมากนะคะ ในการเจรจาความร่วมมือครั้งนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกเทียนซิงกรุ๊ปแทรกเข้ามา ฉันอยากจะช่วยคุณจริงๆ แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้” หลินหว่านพูดงึมงำ


 


 


หลินหว่านรู้สึกอึดอัดใจมาก ครั้งนี้เธอตั้งใจเตรียมตัวมากเกินไป ทำให้มั่นใจมากว่าจะสามารถช่วย


 


 


เซียวจิ่งสือได้ แต่กลับต้องมาพบกับสถานการณ์แบบนี้เข้า ทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างแรง


 


 


เซียวจิ่งสือเองก็อึดอัดใจมากเช่นกัน แต่เขาไม่อยากให้หลินหว่านนึกตำหนิตัวเอง จึงพยายามฝืนยิ้มกับหลินหว่าน แล้วพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณได้พยายามเพื่อช่วยผมแล้ว เรื่องนี้เป็นเพราะเทียนซิงกรุ๊ปก่อกวนไม่เกี่ยวกับคุณซะหน่อย หลินหว่าน คุณอย่าเสียใจไปเลยนะ ผมเชื่อว่าบริษัทจะผ่านเรื่องนี้ไปได้”


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะเบาๆ แม้ว่าเซียวจิ่งสือจะพูดปลอบใจเธอแบบนั้น แต่หลินหว่านยังนึกตำหนิตัวเองอยู่ดี


 


 


เธอคิดว่าถ้าหาตัวเองเก่งจริง ก็คงจะไม่ถูกคนอื่นแทรกกลางเข้ามาได้ อีกฝ่ายคงจะไม่เลือกที่จะร่วมมือกับบริษัทอื่น


 


 


“หลินหว่าน หลายวันมานี้คุณก็เหนื่อยมาก กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ หลายวันนี้ผมอาจจะยุ่งไปบ้าง ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณไม่ได้แล้ว” เซียวจิ่งสือพูดกับหลินหว่านอย่างอ่อนโยน


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะ จากนั้นเดินออกไปช้าๆ


 


 


หลินหว่านกลับถึงบ้านก็ช่วยเซียวจิ่งสือสืบค้นสิ่งที่บริษัทกำลังต้องการ แม้ว่าหลินหว่านจะไม่ถนัดในเรื่องนี้นัก แต่เธอก็พยายามเรียนรู้


 


 


ขณะที่หลินหว่านเตรียมจะเข้านอนนั่นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เบอร์ที่ไม่รู้จักสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินหว่าน เธอรู้สึกแปลกใจมาก ตอนนี้ยังจะมีใครโทรหาเธอกันแน่


 


 


หลินหว่านรับสายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “สวัสดีค่ะ ฉันหลินหว่าน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”


 


 


อีกด้านเป็นเสียงทุ้มนุ่มลึกของชายคนหนึ่ง พูดว่า “สวัสดีครับ คุณหลินหว่าน เรามาจากกลุ่มบริษัทตระกูลเฉียว…เฉียวซื่อกรุ๊ป คืออย่างนี้ครับ ท่านประธานของเราอยากจะคุยกับคุณ หวังว่าพวกเราจะร่วมมือกันได้ แน่นอนว่าต้องจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม หลังจากพวกเราเจรจากันแล้วจึงจะตกลงร่วมมืออย่างเป็นทางการ อีกสักครู่ผมจะส่งข้อความนัดหมาย สถานที่และเวลาพบเพื่อเจรจามาให้คุณทางโทรศัพท์ กรุณารอรับด้วยครับ แล้วก็…ขอบอกก่อนว่า ท่านประธานของเราไม่ชอบคนมาสาย เอาล่ะแค่นี้นะครับ หวังว่าจะโชคดี”


 


 


อีกฝ่ายพูดจบก็วางสายไปเลย หลินหว่านคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ จึงได้แต่นิ่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ยังไม่คลายจากอาการดีใจ


 


 


หลินหว่านหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เธอเริ่มค้นหาข้อมูลบางอย่างที่ต้องการทราบ และเรียนรู้การวางตัวและพูดคุยกับคนอื่นจากทางอินเทอร์เน็ต หลินหว่านต้องการให้การเจรจาเรื่องนี้เป็นไปด้วยดี ไม่ต้องการให้โอกาสที่มาถึงเบื้องหน้าต้องหลุดลอยไป


 


 


หลินหว่านรู้สึกดีใจมาก เธออยากจะรีบบอกข่าวนี้กับเซียวจิ่งสือ แต่พอโทรไปกลับไม่มีคนรับสาย ขณะนั้นหลินหว่านรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่ดียวเท่านั้น โอกาสที่จู่ๆ ก็ลอยมาทำให้หลินหว่านดีใจมากอยู่ดี


 


 


หลินหว่านพอได้รับข้อความนัดหมายสถานที่และเวลาซึ่งคนของเฉียวซื่อกรุ๊ปส่งมา เธอก็เริ่มเตรียมตัว เธออยากจะแต่งตัวให้สวย เพื่อให้มั่นใจที่จะติดต่อเจรจากับคนอื่นได้ อย่างนั้นจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการเจรจาความร่วมมือได้อีกหลายเปอร์เซ็นต์


 


 


หลินหว่านจำสถานที่ที่พนักงานของเฉียวซื่อกรุ๊ปบอกไว้ได้อย่างแม่นยำ ท่านประธานของพวกเขาไม่ชอบคนมาสาย ตอนบ่าย หลินหว่านขับรถไปยังสถานที่นัดหมายแต่หัววัน ระหว่างทางหลินหว่านก็สงบใจลงได้ในที่สุด ไม่เป็นอย่างเมื่อตอนเที่ยงที่ตื่นเต้นดีใจแบบนั้นตอนได้รับข่าว


 


 


ระหว่างทางหลินหว่านฉุกคิดขึ้นมาว่าทำไมเฉียวซื่อกรุ๊ปจึงมาเจรจากับเธอเรื่องนี้ หลินหว่านเป็นเพียงแค่นักแสดงคนหนึ่งเท่านั้น การเจรจาความร่วมมือคราวที่แล้วเธอแข็งใจทำเพื่อเซียวจิ่งสือหรอก อีกอย่างหลินหว่านเองก็ไม่ใช่มืออาชีพมาจากไหน ทำไมเฉียวซื่อกรุ๊ปจึงเป็นฝ่ายติดต่อหาเธอด้วย หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้วต้องคว้าเอาไว้ให้มั่น หลินหว่านตั้งใจว่าจะคว้าเอาความร่วมมือนี้มาให้ได้


 


 


ไม่นานนักหลินหว่านก็มาถึงสถานที่นัดหมายเป็นโรงแรมที่หรูหรามากแห่งหนึ่ง พนักงานต้อนรับมาพาหลินหว่านไปยังห้องที่เฉียวซื่อกรุ๊ปจองไว้ล่วงหน้า และพบว่าในห้องยังไม่มีใครเลย หลินหว่านจึงนั่งรออยู่ที่นั่นเงียบๆ


 


 


หลินหว่านในตอนนี้ตื่นเต้นเอามาก เธอกลัวว่าอีกสักครู่ตัวเองจะตื่นเต้นจนมีอาการเกร็ง หลินหว่านหายใจเข้าลึก พยายามผ่อนคลายจิตใจให้เป็นปกติ


 


 


หลินหว่านรออยู่นานมาก เธอมองดูนาฬิกาแล้วพบว่าอีกห้านาทีจึงจะถึงเวลานัด แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครมาที่นี่เลย หลินหว่านไม่ตื่นเต้นอีกแล้ว แต่กลับรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ตอนนั้นเองมีชายคนหนึ่งท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามา สายตาฉายแววหยิ่งทะนงถือตัว ด้านหลังเขาตามติดด้วยบอดี้การ์ดกับคนของเขาอีกหลายคน หลินหว่านมองครู่เดียวก็รู้ว่าเขาน่าจะเป็นประธานเฉียวซื่อกรุ๊ป ขณะที่เขาเดินเข้าห้องมาพอดีเป็นเวลาก่อนนัดหมายหนึ่งนาที


 


 


หลินหว่านลุกพรวดขึ้นยืน พยายามตั้งสติแล้วเดินเข้าไปหาเขาช้าๆ ยื่นมือออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม พูดกับท่านประธานว่า “สวัสดีค่ะ ฉันหลินหว่านค่ะ”


 


 


ท่านประธานยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือออกมาจับมือหลินหว่านด้วยมารยาทอันดี


 


 


ตอนนี้อาหารเริ่มทยอยขึ้นโต๊ะไม่ขาดสาย ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ท่านประธานเฉียวซื่อกรุ๊ปก็ยังไม่คิดจะพูดถึงเรื่องความร่วมมือ หลินหว่านร้อนใจขึ้นมาบ้าง


 


 


“ท่านประธานเฉียวคะ วันนี้คุณคงไม่ใช่แค่ต้องการเรียกฉันมาทานข้าวละมั้งคะ? เครือบริษัทของคุณมีผลงานยอดเยี่ยมขนาดนั้น คุณคงจะมีธุระยุ่งมากแน่ ตอนนี้กลับยอมสละเวลามาพบฉัน ก็น่าจะมีเรื่องสำคัญล่ะมั้งคะ” หลินหว่านพูดพลางยิ้มน้อยๆ กับประธานเฉียวซื่อกรุ๊ป


 


 


ท่านประธานยิ้มออกมานิดหนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณฉลาดมากอย่างที่คิด วันนั้นผมเห็นคุณเจรจาความร่วมมือกับอีกคน ตอนนั้นผมก็พบว่าคุณฉลาดมาก ท่าทางการพูดจาก็มีความเชื่อมั่นมาก ท่าทางสุขุมนี้ทำให้ผมรู้สึกชื่นชมอย่างมาก คุณรู้ไหม ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่ตื่นเต้นและตึงเครียดจนเสียโอกาสดีๆ ไปมากมาย ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีความสามารถหรอกนะ แต่เพราะพวกเขาไม่สามารถเอาชนะความกดดันแบบนั้นได้”


 


 


หลินหว่านถึงบางอ้อ เธอเพิ่งรู้ว่าทำไมเฉียวซื่อกรุ๊ปจึงเป็นฝ่ายติดต่อหาเธอเพื่อเจรจาความร่วมมือ ที่แท้ในวันนั้นท่านประธานเห็นเข้าแล้วชอบใจนั่นเอง หลินหว่านได้ฟังคำชมก็แอบดีใจ เธอนึกถึงการเจรจาคราวที่แล้วซึ่งไม่สำเร็จ แต่กลับโชคดีในความโชคร้าย ได้โอกาสในคราวนี้อีกครั้ง แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้เจรจาความร่วมมือ แต่หลินหว่านก็เชื่อว่าตัวเองจะทำได้แน่


 


 


อันที่จริงสำหรับหลินหว่านแล้ว เธอเป็นเพียงนักแสดงคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้แม้เธอเคยไปยังสถานที่ใหญ่โตหรูหราหลายแห่ง ทั้งงานแสดงดนตรี งานคอนเสิร์ตมากมายก็เคยแสดงมาแล้ว สำหรับเธอแล้วการพูดคุยวางตัวต่อหน้าสาธารณชนนั้นเป็นความเคยชินเสียแล้ว แต่การเจรจาความร่วมมือนี่ สำหรับเธอมันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นเลย


 

 

 


ตอนที่ 139

 

 อวยพร

 


“ขอบคุณค่ะที่ชม ที่จริงฉันแค่ทำสิ่งในที่ตัวเองควรทำเท่านั้น เพียงแต่คราวที่แล้วต่อให้พยายามอย่างไร สุดท้ายก็ยังเจรจาความร่วมมือกับพวกเขาไม่สำเร็จอยู่ดี บางทีคงเป็นเพราะความสามารถของฉันยังไม่ถึงขั้นล่ะมั้งคะ” หลินหว่านพูดอย่างเสียดาย แต่สีหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้ม


 


 


หลินหว่านอยากจะเจรจาความร่วมมือครั้งนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จะได้บอกข่าวดีนี้กับเซียวจิ่งสือ ในหัวของหลินหว่านตอนนี้มีแต่เซียวจิ่งสือตอนที่ดีใจเมื่อได้ยินข่าวนี้


 


 


ท่านประธานเฉียวพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณหลิน คุณไม่ต้องกังวลว่าจะเสียเวลาเปล่าเหมือนคราวที่แล้ว วันนี้ผมเรียกคุณมาที่นี่ก่อน ก็เพราะอยากให้พวกเราได้ร่วมมือกัน แต่แน่นอนว่าเราก็ต้องมีเหตุผลเช่นกัน ผมชื่นชมคุณมาก แต่ผมก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทด้วยเช่นกัน คุณจะบอกผมได้ไหมว่า ถ้าหากทางเราร่วมมือกับพวกคุณแล้วจะได้รับประโยชน์อะไร?”


 


 


หลินหว่านเห็นว่าท่านประธานเปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันควัน ก็ทราบว่าได้เวลาเจรจาความร่วมมือกันแล้ว เธอจึงรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจขึ้นมา


 


 


“ถึงแม้ว่าบริษัทเราในตอนนี้จะไม่มีบริษัทพันธมิตรเลย และแหล่งงานของบริษัทก็ถูกคนอื่นตัดสายสัมพันธ์ไปแล้ว เรื่องพวกนี้กำลังเป็นปัญหาของบริษัทพวกเราในตอนนี้ ฉันแค่อยากจะพูดความจริงกับคุณ ผู้ก่อตั้งบริษัทของพวกเราเซียวจิ่งสือประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม พวกคุณคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาบ้าง แม้ว่าจะห่างไกลจากความสำเร็จของคุณ แต่สำหรับคนในอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เขาน่าจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้สถานการณ์ที่บริษัทเขากำลังเผชิญอยู่เป็นฝีมือของเซียวเฉียงผู้ก่อตั้งวั่นหย่ากรุ๊ป เขาเป็นพ่อของเซียวจิ่งสือ แต่นี่เป็นแค่ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาสองคนพ่อลูกเท่านั้น คุณก็รู้ว่าคนเป็นพ่อลูกกันจะโกรธขนาดไหนก็ตัดกันไม่ขาดหรอก ขอเพียงการเจรจาความร่วมมือของพวกเราประสบความสำเร็จ พ่อของเขาคงไม่ปฏิเสธผลประโยชน์นี้หรอกมั้งคะ เชื่อว่าคุณเองก็เป็นคนฉลาด ที่ฉันพูดมานี้ทางคุณก็คงจะเข้าใจดีนะคะ” หลินหว่านกล่าวชี้แจงแถลงไขเป็นเรื่องราวยาวเหยียด


 


 


ท่านประธานฟังจบก็ผงกศีรษะถี่ๆ มองหลินหว่านด้วยสายตาชื่นชม


 


 


หลินหว่านพูดจบก็ถอนหายใจเฮือก เธอเองก็พอใจมากกับคำพูดของตัวเอง


 


 


ท่านประธานยิ้มแล้วพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผลดี ผมฟังคำพูดของคุณแล้วยิ่งอยากจะร่วมมือกับพวกคุณเสียแล้วสิ ก็หวังว่าต่อจากนี้ไปพวกเราจะร่วมมือกันด้วยดี และได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย”


 


 


หลังคำพูดเหล่านี้แล้ว ท่านประธานก็ยอมตกลงทำความร่วมมือกับหลินหว่านโดยเร็ว จากนั้นทั้งสองก็เซ็นสัญญาโครงการความร่วมมืออย่างเร่งด่วน


 


 


หลังจากหลินหว่านได้สัญญาความร่วมมือมาแล้วก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัวเองยิ่งขึ้น ตอนนี้เธอเป็นสุขใจมาก เธออยากจะบอกข่าวดีนี้กับเซียวจิ่งสือให้เร็วที่สุด


 


 


หลินหว่านคิดว่าระหว่างนี้ทางบริษัทเกิดเรื่องมากมาย เซียวจิ่งสือก็บอกว่าหลายวันนี้จะอยู่ที่บริษัท หลินหว่านจึงบึ่งรถตรงเข้าบริษัทของเซียวจิ่งสือ


 


 


ตลอดทางหลินหว่านรู้สึกมีความสุขมาก เธอสามารถช่วยให้เซียวจิ่งสือได้สัญญาความร่วมมือนี้มา เรื่องนี้ทำให้หลินหว่านรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองที่สุดในช่วงเวลานี้เลย หลินหว่านคิดว่าก่อนนี้มักจะเป็นเซียวจิ่งสือที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอช่วยเธอให้ข้ามผ่านอุปสรรค คราวนี้ถึงคราวเธอบ้างในที่สุด


 


 


ต่อเมื่อหลินหว่านกลับถึงบริษัท เธอเห็นว่าพวกพนักงานบริษัทไม่ได้กำลังคร่ำเคร่งทำงาน แต่กลับพบว่าพวกเขากำลังถกเถียงกันเรื่องอะไรบางอย่างด้วยท่าทีดีอกดีใจ หลินหว่านไม่มีเวลาจะไปไต่ถามคนพวกนั้น ในใจยังคิดว่าตอนนี้บริษัทตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้ว พวกเขายังมีกะใจจะพูดคุยยิ้มหัวเราะกันอยู่นั่นอีก


 


 


หลินหว่านตรงดิ่งไปที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ


 


 


“เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านเรียกเขาพร้อมกับรอยยิ้ม


 


 


เซียวจิ่งสือสีหน้าปั้นยาก เขายิ้มแข็งทื่อให้หลินหว่าน หลินหว่านกำลังจะบอกเขาเรื่องที่เธอเจรจาความร่วมมือกับเฉียวซื่อกรุ๊ปได้สำเร็จ จะได้เซอร์ไพรส์เซียวจิ่งสือเสียหน่อย แต่กลับพบว่าสีหน้าเซียวจิ่งสือผิดปกติไป เหมือนกับมีเรื่องจะบอกกับเธอ แต่พูดไม่ออกอย่างนั้น


 


 


หลินหว่านไม่สนใจมากความ เธอตัดสินใจว่าจะบอกข่าวดีนั้นกับเซียวจิ่งสือ


 


 


หลินหว่านเดินมาตรงหน้าเซียวจิ่งสือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เซียวจิ่งสือคะ วันนี้ฉันมีข่าวดีที่สำคัญมากๆ จะบอกคุณ บางทีคุณอาจต้องทึ่งกับความสามารถของฉันก็ได้นะ ฉันเชื่อว่าคุณฟังแล้วต้องดีใจมากเลย”


 


 


ใบหน้าของเซียวจิ่งสือเหมือนจะมีรอยยิ้มที่ไม่ใช่ยิ้มค้างเกร็งอยู่ ทำให้หลินหว่านรู้สึกว่าวันนี้ท่าทีเขาแปลกไปอยู่บ้าง ท่าทีของเซียวจิ่งสือทำให้หลินหว่านรู้สึกผิดหวังเล็กๆ เธอคิดว่าเซียวจิ่งสือน่าจะถามเธออย่างดีใจมากๆ ซะอีก


 


 


“มีข่าวดีอะไรจะบอกผมเหรอ” เซียวจิ่งสือพูดเสียงอ้ำอึ้ง


 


 


“การเจรจาความร่วมมือก่อนหน้านี้ที่ฉันไปเจรจาแล้วไม่สำเร็จนะสิ แต่โชคดีมากเลยที่ท่านประธานของเฉียวซื่อเห็นเข้าพอดี เขาบอกว่าชื่นชมในไหวพริบและความเชื่อมั่นของฉัน ฉันรู้สึกได้ว่าที่จริงเขาอยากร่วมมือกับพวกเราล่ะ เพียงแต่กังวลว่าบริษัทเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบตอนนี้ ฉันก็เลยนำเสนอข้อดีกับประโยชน์หลายอย่างที่เขาจะได้รับ เขาก็ยอมตกลงทำความร่วมมือกับพวกเราอย่างเร็วเลย แล้วพวกเราก็เซ็นสัญญาความร่วมมือแล้วด้วย”


 


 


ใบหน้าของหลินหว่านประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้เซียวจิ่งสือฟัง หลินหว่านอยากจะบอกเล่ารายละเอียดทุกอณูของเรื่องให้เซียวจิ่งสือฟัง


 


 


“หลินหว่าน ขอบใจนะ คุณช่วยผมได้มากเลยจริงๆ ผมยังไม่รู้เลยว่าจะขอบคุณคุณยังไงจึงจะทำให้ใจผมสบายขึ้น” เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านยิ้มๆ


 


 


ในที่สุดหลินหว่านก็รู้สึกถึงความผิดปกติอย่างแรง ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าพอบอกข่าวนี้แล้วเขาต้องดีใจมากแน่ แต่เซียวจิ่งสือในตอนนี้กลับพูดขอบคุณหลินหว่านด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วทำไมจึงบอกว่าสบายใจขึ้นด้วย หลินหว่านรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก


 


 


หลินหว่านพูดเสียงแผ่วเบา “เซียวจิ่งสือ คุณมีเรื่องอะไรเก็บซ่อนไว้ใช่ไหม บอกฉันเถอะค่ะ ฉันเข้าใจคุณนะ ฉันดูออกว่าคุณมีเรื่องในใจ อย่าคิดจะปิดฉันอีกนะคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือหน้าแดงหูแดงขึ้นทันตา เขาหันหน้าหนีไม่กล้ามองหลินหว่าน


 


 


ในที่สุดเซียวจิ่งสือก็พูดอึกอักออกมาว่า “ผมตอบตกลงหมั้นกับอันซิงแล้ว ขอโทษนะ ผมอยากจะคอยอยู่เคียงข้างคุณจริงๆ แต่ตอนนี้พูดแบบนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ผมคงต้องขอโทษคุณแล้วล่ะ”


 


 


หลินหว่านพอได้ฟังก็เหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนทันทีว่าในหัวใจเธอรู้สึกได้ถึงจุดหนึ่งของความเศร้าเสียใจ เหมือนถูกเข็มแหลมทิ่มอย่างนั้น ที่แท้เมื่อครู่พนักงานพวกนั้นกำลังถกเถียงกันเรื่องงานมงคลนี้เอง แต่กับหลินหว่านแล้วมันเป็นเรื่องที่ทำให้เธอเจ็บปวดใจต่างหาก


 


 


หลินหว่านก้าวมาข้างหน้าเซียวจิ่งสือช้าๆ แข็งใจยิ้มออกมา พูดว่า “อย่าพูดว่าขอโทษเลยค่ะ ในเมื่อโชคชะตากำหนดมาแบบนี้ พวกเราทำได้ก็แค่ต่อต้านอยู่ในใจ จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เราผ่านอะไรกันมาก็ตั้งเยอะ ฉันปล่อยวางเรื่องราวได้ตั้งมากมาย ฉันขออวยพรด้วยความจริงใจ ให้คุณกับอันซิงมีอนาคตที่ดีร่วมกันนะคะ”


 


 


ตอนหลินหว่านพูดประโยคนี้ออกไปเธอรู้สึกเหมือนเลือดในหัวใจกำลังหยดหยาด เธอแสดงออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผยเพียงเพื่อรักษาศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตัวเองเอาไว้


 


 


เซียวจิ่งสือหันขวับกลับมามองหลินหว่าน ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมายจนสับสน เขามีคำพูดมากมายอยากจะพูดกับหลินหว่าน แต่กลับพบว่าลำคอของเขาเหมือนจะถูกอัดแน่นจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้

 

 

 


ตอนที่ 140

 

อำนาจ

 


หลินหว่านกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะข่มกลั้นความรู้สึกเสียใจลงไป เธอยิ้มกับเซียวจิ่ง


 


 


สือด้วยท่าทางเป็นปกติ พูดว่า “ฉันขออวยพรให้พวกคุณสองคนด้วยความจริงใจนะ ก็แค่รู้สึกว่าอันซิงช่างโชคดีเหลือเกิน น่าเสียดายที่คุณจะคบหากับฉันเหมือนก่อนนี้อีกไม่ได้แล้ว ความอบอุ่นอ่อนโยนของคุณคงต้องมอบให้กับอันซิงเท่านั้นแล้วสินะ”


 


 


ตอนหลินหว่านพูดคำว่า “แค่รู้สึกว่าอันซิงเธอช่างโชคดีเหลือเกิน” น้ำตาแทบจะร่วงพรูลงมา หลินหว่านพยายามสงบอารมณ์ของตัวเอง แต่หัวใจกลับว่างเปล่า เหมือนกับมีคนยัดก้อนน้ำแข็งเย็นเฉียบเข้ามาในหัวใจของเธอ หนาวเย็นจนเสียดกระดูก


 


 


เซียวจิ่งสือมือสั่นระริก เขาไม่อาจมองสบตาทั้งคู่ของหลินหว่านได้อีก กลัวว่าตัวเองจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ เซียวจิ่งสืออยากจะเข้าไปกอดเธอไว้ไม่อยากให้เธอต้องเสียใจขนาดนี้ แต่กลับไม่กล้าพอและเขาก็หมดสิทธิ์จะทำแบบนั้นแล้ว


 


 


“อ้าว หลินหว่านเหรอ เธอมาได้ยังไงน่ะ มาหาจิ่งสือของฉันหรือไง ตอนนี้เขายุ่งมากเลย หวังว่าต่อไปเธอจะอยู่ให้ห่างจากเขาให้มากๆ นะ ไม่ใช่มีอะไรนิดอะไรหน่อยก็มาหาเขาอยู่เรื่อย เขาไม่ใช่ของเธอนะ!” อันซิง


 


 


ส่งเสียงแหลมปรี๊ด เดินส่ายเอวอ้อนแอ้นเข้ามาตรงหน้าหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือ


 


 


หลินหว่านเห็นอันซิงเดินเข้ามา ก็รีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มน้อยๆ หลินหว่านแค่อยากจะทำให้ตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าอันซิงให้เริ่ดเชิดหยิ่งสักหน่อย เธออยากจะเหลือศักดิ์ศรีของตัวเองไว้บ้าง


 


 


อันซิงเดินเข้าไปคล้องแขนเซียวจิ่งสือเอาไว้ แอบอิงอยู่บนร่างของเซียวจิ่งสือ


 


 


“หลินหว่าน ความสัมพันธ์ของพวกเราตอนนี้สนิทแนบชิดกันแบบนี้ก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับคนบางคนหวังว่าจะไม่ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมล่ะ ในเมื่อพวกเราจะหมั้นกันเร็วๆ นี้แล้ว ฉันก็ต้องกันไม่ให้คนอื่นฉวยโอกาสแทรกเข้ามานะสิ และก็หวังว่าบางคนจะรู้ตัวเองบ้าง อย่าหวังสูงเกินตัวล่ะ” อันซิงพูดอย่างลำพอง


 


 


หลินหว่านรู้ว่าความสัมพันธ์ที่อันซิงพูดถึงคือพวกเขากำลังจะหมั้นหมายกันเร็วๆ นี้แล้ว และพวกเขาก็มีสิทธิ์จะใกล้ชิดกันแบบนี้จริงๆ ซะด้วยสิ


 


 


หลินหว่านรู้ว่าคำพูดของอันซิงทั้งหมดนี้พูดให้เธอฟัง เธอเงยหน้าขึ้นมองดูเซียวจิ่งสือ ดวงตาของทั้งคู่ประสานสบเข้าด้วยกัน เปี่ยมด้วยเรื่องราวมากมายที่ยากจะบอกออกมา


 


 


“ไปกันเถอะ อันซิง พวกเรากลับกันเถอะจะค่ำแล้ว” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


“งั้น หลินหว่าน พวกเรากลับก่อนนะ เธอก็รีบกลับบ้านไปคนเดียวล่ะ”


 


 


อันซิงตั้งใจเน้นคำว่า “คนเดียว” ส่วนหลินหว่านก็ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเมื่อได้ยินคำนั้น


 


 


อันซิงจากไปพร้อมกับเซียวจิ่งสือ หลินหว่านมองตามเงาหลังของพวกเขาไปพร้อมกับอาการน้ำตาตกใน ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าควรจะไประบายความเศร้าเสียใจนี้กับใคร เมื่อก่อนมักจะมีเซียวจิ่งสืออยู่ด้วยเสมอ ตอนนี้เซียวจิ่งสือกลับต้องไปอยู่เคียงข้างคนที่เธอเกลียด


 


 


เพื่อไม่ให้อันซิงกับหลินหว่านเกิดเรื่องทะเลาะช่วงชิงกันขึ้น และอันซิงยังอวดดีอาละวาดหึงโหดเอามากๆ อีก เซียวจิ่งสือกลัวว่าอันซิงจะทำร้ายหลินหว่าน จึงพาอันซิงจากมา แต่ตอนที่เขาดึงตัวอันซิงไปนั้นในหัวสมองมีแต่ใบหน้าที่เศร้าเสียใจของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือนึกภาพหลินหว่านอยู่ตัวคนเดียวทั้งเสียใจทั้งโดดเดี่ยว ใจเขาก็เจ็บปวดทรมานไม่ต่างกันเลย


 


 


เซียวจิ่งสือกับอันซิงเดินออกจากบริษัท อันซิงยืนยันจะให้เซียวจิ่งสือส่งเธอกลับบ้าน


 


 


ตอนนี้เซียวจิ่งสือหงุดหงินรำคาญมาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอันซิง


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ เดี๋ยวไปนั่งเล่นที่บ้านฉันนะคะ ตอนนี้ยังไม่ดึกเลย” อันซิงพูดพลางยิ้มกับเซียวจิ่งสือ


 


 


“ขอโทษนะ ผมจะส่งคุณกลับบ้าน แล้วผมต้องรีบไปทำธุระอื่นต่ออีก” เซียวจิ่งสือหน้าบูด


 


 


อันซิงได้ยินคำปฏิเสธของเซียวจิ่งสือแล้วก็หน้าบูดบึ้งมองออกนอกหน้าต่างรถตลอดทาง ขณะที่ในใจก็รอให้เซียวจิ่งสือมาง้อเธอ แต่ว่าจนกระทั่งรถมาถึงชั้นล่างตึกที่พักของอันซิง เซียวจิ่งสือก็ไม่ได้เอ่ยปากกับอันซิงอีกแม้แต่คำเดียว


 


 


อันซิงลงจากรถ ก้าวพรวดๆ จากไปอย่างโมโห การที่เซียวจิ่งสือปฏิบัติต่อเธอแบบนี้ อันซิงโยนความผิดทั้งหมดให้กับหลินหว่าน เธอเดินไปพลางด่าหลินหว่านในใจไปด้วย อันซิงคิดว่าถ้าวันนี้หลินหว่านไม่อยู่ด้วย บางทีเซียวจิ่งสือจะไม่ทำสีหน้าเย็นชาใส่เธอก็ได้


 


 


ขณะที่เซียวจิ่งสือคิดถึงแต่หลินหว่านตลอดเวลา เขาเร่งความเร็วรถ อยากจะไปถึงหน้าประตูบริษัทแอบดูว่าหลินหว่านยังอยู่หรือไม่ เขาอยากแอบตามหลังไปส่งหลินหว่านกลับบ้าน แต่เมื่อเขาบึ่งรถมาถึงบริษัทก็พบว่าหลินหว่านจากไปตั้งนานแล้ว เซียวจิ่งสือจึงออกจากบริษัทไปด้วย


 


 


ส่วนหลินหว่านยิ่งรู้สึกเสียใจมาก เดิมทีวันนี้เป็นวันที่ดีมากวันหนึ่ง เธออยากจะบอกข่าวดีนั้นกับเซียวจิ่งสือ แต่กลับได้รับฟังข่าวร้ายสุดๆ แทน


 


 


ค่ำคืนนี้หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือแม้จะอยู่ต่างสถานที่ แต่ทั้งคู่ต่างหลับไม่ลงเหมือนกัน พวกเขาคิดถึงกันและกัน ได้แต่หวนนึกถึงวันคืนแห่งความสุขก่อนหน้านี้มาปลอบหัวใจที่บอบช้ำเสียใจ


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เซียวจิ่งสือมองดูเงาตัวเองที่ดูหม่นหมองในกระจก ได้แต่ถอนใจ แต่งตัวเสร็จก็ไปบริษัท


 


 


เซียวจิ่งสือเพิ่งเดินเข้าห้องทำงานก็ได้รับข่าวจากพ่อของเขา ให้เซียวจิ่งสือรีบหาเวลาไปพบเขา เซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าพ่อเขาตอนนี้กำลังวางแผนทำอะไรอยู่ แต่ก็ไปพบดูสักที


 


 


ไม่นานนักเซียวจิ่งสือก็มาถึงห้องทำงานของพ่อเขา


 


 


“เซียวจิ่งสือ มาแล้วเหรอ ช่วงนี้บริษัทเป็นยังไงบ้าง รู้หรือยังว่าถ้าไม่ได้ฉันคอยช่วยหนุนอยู่ก็แทบจะอยู่ไม่รอดแล้ว” เซียวเฉียวพูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


เซียวเฉียงมองสำรวจลูกชายหัวดื้อที่ไม่ยอมลงให้เขา ตอนนี้เซียวจิ่งสือตอบรับการหมั้นหมายกับอันซิงแล้ว เซียวเฉียงก็ไม่บีบเซียวจิ่งสืออีก


 


 


เซียวจิ่งสือไม่พูดอะไรอีก แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ก่อนหน้านี้บริษัทเขาตกอยู่ในภาวะวิกฤตจริงๆ


 


 


“เอาล่ะ เซียวจิ่งสือ วันนี้ให้แกมาเพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกแกเรื่องหนึ่ง” เซียวเฉียงพูดเสียงจริงจัง


 


 


เซียวจิ่งสือแม้จะมีสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจนึกอยากรู้มาตั้งแต่แรก


 


 


“เรื่องสำคัญอะไรครับ?” เซียวจิ่งสือถามอย่างตั้งใจฟัง


 


 


“บ้านตระกูลอันตอนนี้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับวั่นหย่ากรุ๊ปแล้ว แกว่าพวกเราจะนั่งรอความตายงั้นเหรอ นี่ไม่ใช่สไตล์ของฉัน ดังนั้นฉันตัดสินใจว่าจะคืนอำนาจบริหารของบริษัทให้แก ฉันหวังว่าแกจะไม่


 


 


ดันทุรังแบบนั้นอีก อย่ามัวคิดแต่เรื่องความรักส่วนตัว ต้องคิดเพื่อบริษัท แกต้องรับผิดชอบทั้งเครือบริษัทที่อยู่ในมือแกนะ ในเมื่อได้อำนาจนี้แล้วก็ต้องตั้งใจทำผลงานที่ยอดเยี่ยมให้ฉันเห็น” เซียวเฉียวพูดกับเซียวจิ่งสือ


 


 


เซียวจิ่งสือพอฟังว่าพ่อเขามอบอำนาจบริหารคืนให้เขาเร็วขนาดนี้ ก็คิดว่าต่อไปจะทำอะไรให้พ่อเขาได้ตื่นตะลึงกับความสามารถของเขา


 


 


“อื้ม ผมทราบแล้วครับ ตอนนี้พ่อมอบอำนาจบริหารของบริษัทคืนให้ผมแล้ว ผมต้องรับผิดชอบได้แน่นอน และจะบริหารจัดการบริษัทให้ดี พ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แน่นอนว่าเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของผมก็ต้องจัดการอย่างดีแน่” เซียวจิ่งสือพูดช้าๆ

 

 

 


ตอนที่ 141

 

 แผนการ

 


เซียวจิ่งสือเชื่อมั่นว่าจะทำให้บริษัทรุ่งเรืองยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก เขาอยากจะเพิ่มศักยภาพและขยายอำนาจของตัวเองให้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อจะไม่ให้เกิดเหตุว่าปกป้องหญิงอันเป็นที่รักของตัวเองไม่ได้ ถึงกับต้องถูกคนอื่นข่มขู่คุกคามเอาอีก


 


 


เซียวเฉียงพอใจมากที่เซียวจิ่งสือยอมรับปากหมั้นหมายกับอันซิง นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่เขายอมมอบอำนาจการบริหารให้อยู่ในมือของเซียวจิ่งสือ ในเมื่อล่อด้วยผลประโยชน์ไม่สำเร็จ ก็ต้องบีบบังคับเอาด้วยกำลังเพื่อให้ได้อย่างที่เขาต้องการ


 


 


“เซียวจิ่งสือ ต่อไปก็จะต้องดูฝีมือแกแล้ว เรื่องของบริษัทอันที่จริงฉันก็เชื่อในความสามารถของแก ตอนนี้ถ้าแกไม่มีอะไรแล้ว ก็ไปทำตามแผนให้สำเร็จ ฉันหวังว่าจะได้รับข่าวดีจากแกนะ ให้ฉันได้เห็นความสามารถของแก” เซียวเฉียงพูดกับเซียวจิ่งสือ


 


 


“งั้น พ่อครับ ผมออกไปก่อนล่ะ ผมจะพยายามให้เต็มที่เพื่อให้บริษัทเจริญเติบโตขึ้น จะทำให้พ่อพอใจ” พูดจบเซียวจิ่งสือก็ออกจากห้องทำงานของพ่อเขา


 


 


เซียวจิ่งสือถอนใจเฮือก คราวนี้ก็ไม่ต้องยุ่งยากใจเรื่องของบริษัทแล้วสิ อย่างน้อยตอนนี้อำนาจในมือเซียวจิ่งสือก็เพียงพอที่จะให้เขาจัดการอะไรได้แน่ เซียวจิ่งสือแอบนึกหมายมั่นในใจว่าจะเสริมกำลังตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น ให้บริษัทของเขาเติบโตเข้มแข็งขึ้น เขารู้ว่าก่อนหน้านี้บริษัทอยู่ในสภาพถดถอย และรู้แล้วว่าแหล่งงานสำคัญต่อบริษัทขนาดไหน ดังนั้นเขาต้องพยายามมากกว่านี้เพื่อจัดการกับเรื่องนี้


 


 


แม้ว่าเซียวจิ่งสือจะคิดถึงหลินหว่านบ้างเป็นครั้งคราว แต่เขามักจะปลอบใจตัวเองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ขอเพียงเขาเข้มแข็งขึ้นแกร่งขึ้น ก็จะสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ ไม่ต้องถูกคนอื่นควบคุมบังคับอีก ไม่ต้องเห็นแก่ผลประโยชน์จนต้องเสียสละความรักอีก


 


 


เซียวจิ่งสือปลอบใจตัวเองตลอดว่าจะไปหาหลินหว่านทีหลัง ตอนนี้สถานการณ์แบบนี้ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย อันที่จริงเซียวจิ่งสือก็ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เขากับอันซิงมีข้อตกลงหมั้นหมายกัน แต่ใจเขากลับคิดถึงแต่หลินหว่าน คิดอยู่แต่ว่ายังมีโอกาสคืนดีกับเธออีก ทั้งหมดนี้ก็แค่ให้เขาสามารถสงบจิตใจจนสามารถไปจัดการกับเรื่องของบริษัทได้ โดยไม่ต้องเอาแต่คิดถึงเธออยู่ตลอด


 


 


เซียวจิ่งสือกลับถึงบริษัทก็รีบให้ผู้อำนวยการบริษัทที่เขาเชื่อถือที่สุดมาพบที่ห้องทำงาน ผู้อำนวยการบริษัทนั้นมีความสามารถมาก ตอนบริษัทวิกฤตก็ไม่ทิ้งไปไหน ที่สำคัญคือเขากับเซียวจิ่งสือมักจะมีมุมมองและความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เซียวจิ่งสือชื่นชมเขาที่สุด


 


 


“ประธานเซียว มีเรื่องสำคัญอะไรเหรอครับ จึงเรียกให้ผมมาตอนนี้” ผู้อำนวยการดึงประตูปิด เขารู้ว่าเซียวจิ่งสือเรียกเขามาต้องมีเรื่องสำคัญมาก และต้องให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังจึงจะพูดได้


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูผู้อำนวยการ รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ความสำเร็จเพียงแค่เอื้อม เขาอยากจะบอกแผนการทั้งหมดของตัวเองให้กับคนที่มีความคิดเหมือนกับเขาได้ฟัง จากนั้นทั้งสองก็จะร่วมกันทำตามแผนของบริษัทให้สำเร็จ


 


 


“วั่นหย่ากรุ๊ปจะเป็นเอเจนซี่ป้อนงานให้กับบริษัทของเรา ดังนั้นเราจะหาทางใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ให้ได้มากที่สุด” เซียวจิ่งสือพูดกับผู้อำนวยการ


 


 


ผู้อำนวยการยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ผมเข้าใจแล้วครับ เรื่องนี้ผมจัดการต่อเองครับ คุณวางใจได้ ผมจะจัดการให้เร็วที่สุด ท่าทางตอนนี้คุณดูมีความมั่นใจขนาดนี้ คงเป็นเพราะเซียวเฉียงได้มอบอำนาจบริหารให้คุณแล้วล่ะมั้งครับ”


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกพอใจมาก เขายังพูดไม่ทันจบ ผู้อำนวยการคนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าเขาต้องการจะทำอะไร เขาแอบนึกดีใจที่ตัวเองมีผู้อำนวยการที่มีความสามารถและเข้าใจเขาขนาดนี้


 


 


“ใช่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรายังต้องพัฒนาบริษัทให้เข้มแข็งก่อน คุณได้รู้ความคิดของผมแล้ว ผมก็เชื่อในความสามารถของคุณ งั้นเราก็มารอดูกันต่อไปเถอะ” เซียวจิ่งสือพูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


“งั้นผมไปก่อนนะครับ เชื่อผม ไม่นานหรอก” พูดจบผู้อำนวยการก็ออกไปจากห้องทำงาน


 


 


ผู้อำนวยการจัดการเรื่องที่เซียวจิ่งสือสั่งให้ทำได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว เขาโอนสัญญาความร่วมมือทั้งหมดมาที่บริษัทซึ่งเซียวจิ่งสือก่อตั้งขึ้น เรื่องนี้ทำได้รวดเร็วจนเซียวจิ่งสือทั้งประหลาดใจและดีใจ ดูท่าว่าบริษัทของเขากำลังจะรุ่งแล้วจริงๆ


 


 


พอเซียวจิ่งสือทราบว่าผู้อำนวยการจัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เริ่มลงมือตามแผนการขั้นต่อไปของเขา


 


 


“มาแล้ว” เซียวจิ่งสือมองดูผู้ช่วยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา


 


 


“อ…เอ่อ ท่านประธานเซียว” ผู้ช่วยตอบรับอย่างนอบน้อม


 


 


“ผมจะพูดตรงๆ นะ ผมจะให้คุณรีบไปสืบหาผู้ถือหุ้นที่ติดหนี้สินจำนวนมากกับบริษัท มาให้ผมรายหนึ่ง ต้องขุดหารายละเอียดข้อมูลทั้งหมดของเขาออกมา ถ้าเป็นไปได้ คุณให้เขามาคุยกับผมด้วยตัวเอง เรื่องนี้ต้องทำให้เร็วที่สุด” เซียวจิ่งสือพูดขึ้น


 


 


“ครับ ผมจะจัดการให้เร็วที่สุด”


 


 


ผู้ช่วยก็ไปจัดการเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว คนทั้งบริษัทต่างพากันเข้าสู่โหมดเร่งรีบทำงานกันเป็นระวิง ภายใต้การนำของเซียวจิ่งสือ คนของบริษัทพากันตั้งใจทำงานกันอย่างกระตือรือร้น


 


 


“ท่านประธานเซียว คนๆ นั้นมาแล้วครับ”


 


 


ผู้ช่วยพาผู้ถือหุ้นที่ติดหนี้บริษัทมาพบเซียวจิ่งสือ เขาเคยมีฐานะสูงส่ง ร่ำรวยมาก สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมชนิดพิเศษ แต่ตอนนี้กลับดูกระเซอะกระเซิงไม่เรียบร้อยนัก ไม่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป


 


 


“สวัสดีครับ ผมเซียวจิ่งสือ ตอนนี้คุณคงเป็นหนี้อยู่มากมายเลยสินะ! แม้ว่าพวกเร่งรัดหนี้คุณ คงจะส่งผลคุกคามชีวิตประจำวันและสร้างความเสียหายให้คุณอย่างมาก แต่ไม่ต้องกังวลใจนะครับ ผมสามารถช่วยคุณชำระล้างหนี้ทั้งหมดให้คุณได้ แต่คุณต้องรับปากผมข้อหนึ่ง โอนหุ้นบริษัทให้ผม” เซียวจิ่งสือจ้องชายคนนี้


 


 


ผู้ถือหุ้นถูกพวกตามทวงหนี้ข่มขู่ จึงเกลียดชังคนพวกนี้มาก


 


 


ผู้ถือหุ้นขึงตามองเซียวจิ่งสือ พูดว่า “ไม่มีทาง ผมยังหลงคิดว่าคุณจะมีเรื่องอะไรดีๆ ซะอีก ที่แท้ก็มีแผนร้ายนี่เอง คิดจะให้ผมโอนหุ้นบริษัทให้น่ะ ไม่มีทางหรอก”


 


 


ผู้ถือหุ้นจากไปอย่างโมโห เขาคิดแค้นในใจ ต่อให้ต้องขายหุ้นทิ้งก็ไม่ให้กับเซียวจิ่งสือ


 


 


ผู้ช่วยพอเห็นผู้ถือหุ้นไปแล้วก็พูดอย่างหวั่นกลัวอยู่บ้าง “ท่านประธานเซียว แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรกันดี ผมควรจะทำอย่างไรจึงจะได้หุ้นนี้กลับมา”


 


 


เซียวจิ่งสือพูดเสียงราบเรียบมาก “ไป ตามเขาไป ตอนนี้เขาก็แค่คนจนตรอกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่น่าจะทำอะไรได้ ผมต้องเอาหุ้นมาให้ได้”


 


 


ผู้ช่วยผงกศีรษะแล้วออกไป เซียวจิ่งสือมั่นใจมาก เขาเห็นการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในหลายวันนี้ของบริษัท รู้สึกพอใจมาก จะมีก็ตอนคิดถึงหลินหว่านขึ้นมาเป็นครั้งคราวที่จะเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็เพราะระยะนี้เขาค่อนข้างงานยุ่ง จึงคิดถึงหลินหว่านในยามเผลอไผลไปบ้าง


 


 


“ท่านประธานเซียว ผู้ถือหุ้นนั่นตอนนี้เริ่มประกาศขายหุ้นในมือของเขาแล้ว” ผู้ช่วยพูดอย่างร้อนใจ เขากลัวว่าเรื่องนี้จะทำไม่สำเร็จ


 


 


“จะยากอะไร หาคนในบริษัทแกล้งทำทีเป็นคนซื้อหุ้น ให้ราคาสูงหน่อยซื้อกลับเข้ามาก็ได้แล้ว เราแค่ต้องการหุ้นพวกนี้ มันสำคัญกว่า” เซียวจิ่งสือพูด


 


 


ไม่นานนักคนของเซียวจิ่งสือก็ทำทีเป็นคนซื้อหุ้น เข้าไปติดต่อขอซื้อกลับมา เซียวจิ่งสือรู้สึกดีมาก ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนของเขาอย่างราบรื่น บริษัทจะต้องดีขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 142

 

 ช่วยเหลือ

 


ในใจของเซียวจิ่งสือคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทเข้มแข็งยิ่งขึ้น ถึงเวลาที่เขาต้องแสดงความสามารถให้เซียวเฉียงได้เห็น


 


 


ตอนนี้เซียวจิ่งสือจำเป็นต้องมีคนที่ทำงานให้เขาในบริษัท และต้องเป็นคนที่มีความตั้งใจ ละเอียดรอบคอบไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น ต้องมีความสามารถที่พร้อมจะร่วมรุกรับไปกับบริษัทได้


 


 


เนื่องจากเซียวจิ่งสือเพิ่งรับช่วงบริษัทนี้มาจากเซียวเฉียง ไม่ทราบว่าคนข้างในเป็นอย่างไรกันแน่ ใครบ้างที่จริงใจทำเพื่อบริษัท และใครบ้างที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดเพื่อหาประโยชน์จากบริษัทนี้


 


 


“ท่านประธานเซียว คุณเรียกผมเหรอครับ” เลขาเดินเข้ามายืนตรงหน้าเซียวจิ่งสือ


 


 


“คุณช่วยผมคิดหาวิธีหน่อย ทำอย่างไรผมจึงจะหาตัวคนที่ผมจะเชื่อถือได้ในบริษัทออกมาสักคนหนึ่ง หรือว่าคุณจะแนะนำก็ได้ว่ามีใครที่เหมาะที่จะทำงานอยู่ข้างผม ซึ่งผมจะพูดคุยปรึกษากับเขาได้ในเรื่องของบริษัทเป็นการส่วนตัว ตอนนี้ผมกำลังต้องการคนที่มีความสามารถและไว้ใจได้สักคนหนึ่ง” เซียวจิ่งสือมองดูเลขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา รอฟังคำตอบอย่างคาดหวังและตั้งใจ


 


 


เลขาก็มีสีหน้ามึนงง เขารู้ว่าเมื่อก่อนท่านประธานแต่ละคนมักจะมีคนสนิทอยู่ข้างกายคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ให้เขาไปหาคนที่น่าเชื่อถือแบบนี้มาให้คนหนึ่ง ทั้งยังต้องมีหน้าตาท่าทาง บุคลิกลักษณะที่ดูดีน่าเชื่อถือด้วย ก็ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่


 


 


“ท่านประธานเซียวครับ ขอเวลาผมสักหน่อยจะได้ไหม ให้ผมมีเวลากลับไปพิจารณาดูคนเหล่านี้ แล้วจึงแนะนำให้คุณอีกทีหนึ่ง ผมเกรงว่าตอนนี้รายชื่อที่ผมบอกคุณไป อาจไม่ถูกใจคุณก็ได้ กลับจะไม่เป็นผลดีต่อบริษัทเสียเปล่าๆ ขอเวลาผมอีกสักหน่อยเพื่อตามดูความประพฤติและความสามารถของพวกเขา แล้วจึงสรุปเป็นข้อเสนอแนะให้คุณได้” เลขาพูดด้วยท่าทีนอบน้อม


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ตอนนี้เขาจำเป็นต้องมีคนที่มุ่งมั่นตั้งใจจะทำงานให้กับเขา และบริษัทต้องอยู่ในช่วงที่ต้องการคนที่มีความสามารถอย่างมาก เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าเขาคงจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว


 


 


เซียวจิ่งสือคิดในใจว่าตอนนี้ในเมื่อยังหาคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อบริษัทแบบนั้นไม่ได้ ก็ต้องคิดหาวิธีให้คนบางคนกลายเป็นคนที่ยอมทำงานถวายชีวิตเพื่อตัวของเขาเอง


 


 


“เสี่ยวจาง คุณไปสืบมาซิว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทเรา มีใครที่ฐานะทางบ้านกำลังประสบปัญหา ที่ต้องการความเชื่อเหลือจากผม” เซียวจิ่งสือพูดขึ้น


 


 


เลขากลับออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อดำเนินการตามที่เซียวจิ่งสือสั่งไว้ เขายังคิดอยู่ว่า บริษัทออกจะใหญ่โตขนาดนี้ คนที่เป็นผู้ถือหุ้นจะมีฐานะทางบ้านลำบากได้อย่างไรกันนะ แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งเซียวจิ่งสือได้จึงได้แต่ไปสืบค้นมาแต่โดยดี


 


 


ไม่นานนัก เลขาก็เจอเข้ากับเป้าหมาย เขารีบไปหาเซียวจิ่งสือทันที


 


 


“ท่านประธานเซียวครับ แม้ว่าจะไม่พบว่าบ้านของใครประสบปัญหาหนักกว่ากัน แต่มีผู้ถือหุ้นแซ่จางคนหนึ่ง ลูกสาวกับภรรยาของเขาป่วยด้วยโรคร้าย ก่อนหน้านี้ได้ไปหาหมอรักษาตัวเป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่หาย และเนื่องจากต้องหาหมอรักษา ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก ช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากคนในครอบครัวล้มป่วย เลยดูทรุดโทรมและอ่อนล้าอย่างมาก ถ้าหากคุณสามารถช่วยให้ครอบครัวเขาผ่านความยากลำบากครั้งนี้ไปได้ ถ้าคนทั่วไปที่มีใจอยู่บ้าง ก็น่าจะตั้งอกตั้งใจอยู่ช่วยงานคุณอย่างจริงใจแน่” คุณเลขาบอกเล่าอย่างภาคภูมิใจ เขาคิดว่าวิธีนี้น่าจะทำได้แน่


 


 


เซียวจิ่งสือคิดดูแล้วผู้ถือหุ้นบริษัทของตัวเองแน่นอนว่าย่อมจะช่วยงานเขาได้อย่างดีที่สุด แม้จะบอกว่าเป้าหมายเพื่อให้เขาตั้งใจทำงานให้กับบริษัทอย่างซื่อสัตย์ แต่เรื่องนี้ถึงยังไงก็สำคัญที่การรักษาอาการป่วย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เซียวจิ่งสืออยากจะช่วยเขาให้สุดกำลัง แน่นอนว่าเซียวจิ่งสือเองก็หวังว่าในวันข้างหน้า ผู้ถือหุ้นคนนั้นจะรู้สึกขอบคุณที่เขาช่วย ทางที่ดีที่สุดคือสามารถอยู่ทำงานให้เขาได้


 


 


“ดี เอาอย่างนี้ เพื่อแสดงความจริงใจ ผมจะไปเยี่ยมผู้ถือหุ้นจางกับครอบครัวด้วยตัวเอง คุณช่วยผมนัดเขาด้วย เป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” เซียวจิ่งสือพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


“ครับ ท่านประธานเซียว” เลขาพูดจบก็ถอยออกไป


 


 


เซียวจิ่งสือเผยรอยยิ้มลึกลับ เขารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องหาเพื่อนรักของเขา…laze เขามีชื่อเสียงอย่างมากในต่างประเทศ เขาฉลาดมากแต่ก็ใช้ว่าคนธรรมดาๆ จะได้รักษากับเขา เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะรวยเอามากๆ


 


 


เซียวจิ่งสือกับ laze เป็นเพื่อนคู่หูที่สนิทกันมาก ถ้าเซียวจิ่งสือเอ่ยปากให้เขาช่วย เขาต้องรีบมาช่วยเซียวจิ่งสือจนสุดความสามารถอย่างแน่นอน เซียวจิ่งสือมั่นใจในความสามารถของเขามาก รู้ว่าโรคบางอย่าง เมื่อถึงมือเขาเป็นต้องหายขาด


 


 


เซียวจิ่งสือโทรหา laze พูดว่า “ฉันมีเรื่องให้แกช่วยหน่อย ลูกเมียของผู้ถือหุ้นบริษัทฉันป่วยเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง หาหมอมานานแต่รักษาไม่หายสักที ตอนนี้ถึงคราวที่แกจะแสดงฝีมือแล้ว ไม่รู้ว่าแกจะรักษาโรคนี้ได้ไหม บางทีแกอาจจนปัญญากับโรคนี้ก็ได้นะ เพราะเจ้าโรคนี้มันหาเจอได้ยากมากเลย” เซียวจิ่งสือพูดพลางแอบยิ้ม


 


 


เซียวจิ่งสือรู้ว่าถ้าใช้น้ำเสียงปกติไปขอให้เขาช่วยรักษาสองคนนั้น laze ต้องตอบกลับด้วยน้ำเสียงถือดี ทั้งยังจะแซะเขาอีกหลายคำด้วย เซียวจิ่งสือพูดแบบนี้เสียอีก ทำให้ laze เกิดความรู้สึกสงสัยอยากรู้ต่อโรคชนิดนี้ และอยากจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองต่อหน้าเซียวจิ่งสือ เช่นนี้แล้วเขาย่อมจะรับปากเซียวจิ่งสือเร็วขึ้น


 


 


แล้วก็เป็นอย่างที่เซียวจิ่งสือคาดไม่ผิด พอlaze ได้ฟังว่าเซียวจิ่งสือสงสัยในความสามารถของเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเสียงกระตือรือร้น “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีโรคประหลาดอะไรที่ฉันรักษาไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจะรีบไปให้เร็วที่สุดเลย ฉันจะช่วยรักษาพวกเขาเอง ให้แกได้เห็นว่า ฮูโต๋กลับชาติมาเกิด [ 1 ] ฝีมือการรักษาขั้นเทพที่แท้จริงเป็นอย่างไร แกเป็นเพื่อนกับฉันมาตั้งนานขนาดนี้ได้ไงวะ ชิ สงสัยความสามารถของฉัน ดูท่าว่าต้องพิสูจน์ให้เห็นกันซะบ้าง”


 


 


ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระกันอีกครู่หนึ่งแล้ววางสายไป ถึงตอนนี้ laze เพิ่งจะรู้สึกตัว ที่แท้เซียวจิ่งสือตั้งใจใช้วิธีนี้ให้เขารีบรับปากรักษา laze หัวเราะออกมา พร้อมกับคิดว่าเซียวจิ่งสือนี่ยังฉลาดหาตัวจับยากเหมือนเดิม


 


 


วันรุ่งขึ้น laze รีบบึ่งมาหาเซียวจิ่งสือ พอเจอกันสองเกลอก็พูดคุยกันอย่างดีใจ


 


 


จากนั้นเซียวจิ่งสือกับผู้ช่วยแล้วก็ laze พากันไปที่บ้านของผู้ถือหุ้นจาง ภรรยากับลูกสาวเขายังอยู่ที่โรงพยาบาล มีผู้ถือหุ้นอยู่บ้านเพียงคนเดียวเดี่ยวโดด แม้แต่แม่บ้านก็ไม่มี เซียวจิ่งสือเห็นเช่นนั้น ก็นึกโทษตัวเองว่าทำไมไม่มาช่วยเขาให้เร็วกว่านี้


 


 


“ท่านประธานเซียว คุณอุตส่าห์มาถึงนี่แต่ผมไม่มีอะไรจะใช้ต้อนรับคุณได้เลย ที่บ้านเข้าออกโรงพยาบาลกันทั้งปี ตอนนี้เลยอยู่ในสภาพนี้ ผมก็เหนื่อยทั้งกายใจอย่างมาก ไม่ใช่ว่าผมจะไม่อยากช่วยงานบริษัทต่อไป แต่พอคิดถึงเรื่องครอบครัวแล้วก็วุ่นวายใจมาก ไม่สามารถสงบจิตใจได้เลย ผมจึงรู้สึกผิดกับบริษัทอย่างมากเช่นกัน” ผู้ถือหุ้นจางพูดพลางก้มศีรษะต่ำลง อาจเป็นเพราะความทุกข์ยากของครอบครัวในระหว่างนี้ทำให้เขาเครียดมากจริงๆ เสียงที่พูดออกมาจึงฟังดูแหบเครือเหมือนจะร้องไห้


 


 


 


 


——


 


 


[ 1 ] ฮูโต๋กลับชาติมาเกิด เป็นคำพังเพยเปรียบว่ามีฝีมือการรักษาที่เก่งกาจ ฮูโต๋ เป็นชื่อหมอจีนสมัยฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25-220) มีฝีมือการรักษาเก่งกาจจนเป็นที่เลื่องลือ ใช้ยาชาในการรักษาผู้ป่วยเป็นครั้งแรก

 

 

 


ตอนที่ 143

 

 ซาบซึ้งในบุญคุณ

 


เซียวจิ่งสือมองดูผู้ถือหุ้นของบริษัทเขา ตอนนี้ครอบครัวเป็นอย่างนี้ย่อมอดที่จะโทษตัวเองและรู้สึกเศร้าเสียใจไม่ได้


 


 


“คุณจาง อย่าเสียใจไปเลย ระหว่างนี้คุณไม่ได้ทำงานอะไรให้กับบริษัท ผมก็ไม่ว่าคุณเลย และตอนนี้คุณก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว คนที่อยู่ข้างผมนี่คือคุณหมอ laze เขามีชื่อเสียงมากในต่างประเทศ ฝีมือการรักษาเขาจะทำให้ภรรยากับลูกสาวคุณกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าฝีมือการรักษาของเขาสุดยอดมากครับ ผมหวังว่าเมื่อถึงที่สุดคุณจะเชื่อมั่นในการรักษาครั้งนี้” เซียวจิ่งสือยิ้มเล็กน้อย


 


 


ผู้ถือหุ้นจางฟังคำของเซียวจิ่งสือจบแล้ว เงยหน้าขึ้นทันควัน มองตรงมาที่ laze ด้วยดวงตาเป็นประกาย


 


 


ต่อเมื่อพวกเขาพูดคุยกันไปได้สองสามนาที เซียวจิ่งสือก็เสนอให้ไปดูผู้ป่วยทั้งสองที่โรงพยาบาลก่อน ผู้ถือหุ้นจางก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ดูท่าจะร้อนใจมาก


 


 


แล้วก็เป็นไปตามคาด ฝีมือการรักษาของ laze เก่งขั้นเทพจริงๆ หลังจากเขาได้ลงมือตรวจอาการแล้วก็บอกเซียวจิ่งสือด้วยท่าทีสบายๆ ว่า เขาจะรักษาอาการป่วยของทั้งสองคนให้หายโดยเร็ว เซียวจิ่งสือโล่งอก แม้ว่าเขาจะเชื่อฝีมือ laze แต่ก่อนหน้านี้เขายังกังวลอยู่บ้าง ด้วยว่านี่เป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่ทราบสาเหตุและรักษาได้ยาก อาจจะรักษาไม่หายขาดก็ได้


 


 


ไม่นานนัก laze ก็เร่งเตรียมการผ่าตัด ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ในที่สุดสองแม่ลูกคู่นั้นก็ได้รับการช่วยชีวิตจนสำเร็จ ตอนนี้ขอเพียงพวกเธอพักฟื้นดูแลตัวเองให้ดีก็สามารถกลับมาแข็งแรงดังเดิมได้


 


 


สุดท้ายเซียวจิ่งสือขอบคุณ laze ไปชุดใหญ่ ด้วยทั้งสองเป็นเพื่อนกัน laze ได้ช่วยเซียวจิ่งสือยังรู้สึกดีใจมากอีกด้วย


 


 


ผ่านไปอีกหลายวัน เซียวจิ่งสือกำลังทำงานยุ่งอยู่ในห้องทำงาน ก็มีคนเคาะประตู คนที่เข้ามาในห้องคือผู้ถือหุ้นจาง เซียวจิ่งสือพอเห็นเขาก็พอจะเดาได้ว่าเขามาที่นี่ทำไม


 


 


“คุณจาง มาแล้วเหรอ นั่งสิ ผมให้เลขาหาน้ำดื่มให้คุณนะ” เซียวจิ่งสือกล่าวทักทาย


 


 


ผู้ถือหุ้นจางนั่งลงด้วยรอยยิ้ม เขามองดูเซียวจิ่งสือไม่วางตา


 


 


ต่อเมื่อเซียวจิ่งสือวางมือจากงาน ผู้ถือหุ้นจางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ประธานเซียว ภรรยากับลูกสาวผมตอนนี้หายดีแล้ว ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ! พอเห็นคนในครอบครัวฟื้นตัวกลับมามีชีวิตชีวา ผมก็มีกำลังใจจะทำงานอีกครั้ง ผมรู้ว่าคุณมีพร้อมทุกอย่าง จึงไม่รู้ว่าจะตอบแทนคุณได้อย่างไรดี” ผู้ถือหุ้นจางพูด


 


 


เซียวจิ่งสือยิ้มน้อยๆ การได้รู้ว่าความช่วยเหลือของเขาได้เปลี่ยนสถานการณ์ในครอบครัวของผู้ถือหุ้นจาง ทำให้เซียวจิ่งสือดีใจมาก


 


 


“อยากจะตอบแทนผมก็ตั้งใจทำงานให้บริษัทก็แล้วกัน ผมหวังว่าจะทำให้บริษัทและพวกคุณทุกคนได้เติบโตแข็งแกร่งขึ้นด้วยกัน” เซียวจิ่งสือพูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


ผู้ถือหุ้นจางคลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจมาหลายปี เขาย่อมจะเข้าใจได้ว่าเซียวจิ่งสือคิดอะไรอยู่


 


 


“ประธานเซียวครับ ผมอยากจะตอบแทนคุณจริงๆ ต่อไปผมจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยคุณทำงานให้กับบริษัทครับ ขอเพียงเป็นเรื่องที่ผมทำได้ ผมจะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ เชื่อใจผมได้เลย ผมจะตั้งใจทำงานให้กับคุณอย่างเต็มที่ครับ” ผู้ถือหุ้นจางยืดอกพูดอย่างตรงไปตรงมา


 


 


เซียวจิ่งสือยิ้มพลางผงกศีรษะ นี่แหล่ะคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องการคนแบบนี้มาช่วยทำงานอยู่ข้างกาย คอยให้คำปรึกษาบางเรื่องของบริษัท ให้บริษัทเติบโตขึ้น และผู้ถือหุ้นจางก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขาในตอนนี้แล้ว


 


 


ถึงตอนนี้เซียวจิ่งสือนำพาบริษัทให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ แผนการบางส่วนของเขาเริ่มสำเร็จเป็นรูปร่าง เซียวเฉียงก็ไม่ได้มีท่าทีจะขัดขวางแผนการเหล่านี้ของเขา


 


 


เซียวเฉียงพอรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเซียวจิ่งสือก็ไม่ได้ขัดขวางหรือต่อต้านเหมือนก่อน แต่กลับคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเงียบๆ ปล่อยให้เขาได้เติบโตขึ้นนี่เป็นสิ่งที่เขาหวังมาตลอด


 


 


เซียวจิ่งสือแม้ว่าจะไม่ได้รับคำชมหรือสนับสนุนเป็นคำพูดจากเซียวเฉียง แต่การที่ไม่ได้ยินเซียวเฉียงวิพากษ์วิจารณ์เขามาเป็นเวลานานขนาดนี้ เซียวจิ่งสือก็รู้ว่าพ่อของเขารู้สึกพอใจในสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ เซียวจิ่งสือยิ่งมีแรงฮึดสู้ขึ้นอีก


 


 


พอถึงยามพลบค่ำ ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดิน เซียวจิ่งสือยังทำงานอยู่ในห้อง เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นผลงานของตัวเองในวันนี้แล้ว รู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จที่เกิดขึ้น แต่แล้วเขานิ่งงันไป เมื่อคิดถึงหลินหว่าน เขากำลังคิดว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้หลินหว่านน่าจะส่งข้อความหรือโทรหาเขาแล้วล่ะมั้ง! จากนั้นพอตกค่ำทั้งสองก็ออกไปเดินเล่นด้วยกัน ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เซียวจิ่งสือนึกถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้า ตอนนี้หลินหว่านไม่โทรมากวนเขาอีกแล้ว ในใจกลับรู้สึกว่างโหวงขึ้นมา


 


 


เซียวจิ่งสือกำลังจะทำงานต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นอันซิงโทรมาก็ถอนใจยาว แต่ยังเลือกที่จะรับสาย


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ คุณมาทานข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิคะ ตอนนี้พวกเราใกล้จะหมั้นกันแล้ว คุณก็น่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนฉันไม่ใช่เหรอคะ ฉันโทรไปจองร้านไว้แล้ว อีกเดี๋ยวจะส่งที่อยู่เข้ามือถือคุณนะคะ” อันซิงพูดเสียงอ่อนหวาน แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกขัดหูเอามากๆ


 


 


เซียวจิ่งสือนึกรำคาญขึ้นมา แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจว่าจะแสดงละครฉากนี้ต่อไป จึงไม่ต่อต้านขัดขืน


 


 


อันซิงอีก


 


 


“ได้ครับ ส่งที่อยู่เข้ามือถือผมแล้วกัน เดี๋ยวผมไป” เซียวจิ่งสือเอ่ยขึ้น


 


 


อันซิงพอฟังว่าเซียวจิ่งสือรับปากมาทานข้าวกับเธอก็ดีใจมาก แต่งองค์ทรงเครื่องให้สวยเริ่ดแล้วออกไป


 


 


ตอนเซียวจิ่งสือมาถึงร้านอาหาร อันซิงยังมาไม่ถึง เขาจึงนั่งโต๊ะที่จองไว้รอเธอมา เซียวจิ่งสือมองเห็นเงาร่างที่ด้านล่างคล้ายกับหลินหว่านมาก รู้สึกสงสัยขึ้นมา แต่เขาคิดดูแล้วรู้สึกว่าหลินหว่านจะมาที่นี่ได้อย่างไร และไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น จึงไม่คิดมากอีก


 


 


ผู้หญิงคนนั้นจู่ๆ ก็หันหน้ามา เซียวจิ่งสือเห็นเข้าก็ตกใจจนสะดุ้งเฮือก เป็นหลินหว่านจริงๆ จากนั้นเขาก็เอาแต่มองสำรวจดูเธอ


 


 


เซียวจิ่งสือพบว่าหลินหว่านมาทานข้าวกับผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้มกัน คนที่ไม่รู้อาจเข้าใจว่าเป็นคู่รักที่กำลังมาเดทกัน เดิมทีเซียวจิ่งสือไม่อยากจะไปรบกวนหลินหว่าน แต่ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห เขาไม่อยากเห็นหลินหว่านยิ้มกับชายอื่นอย่างมีความสุขขนาดนั้น เขานึกในใจอย่างขัดเคืองเอามากๆ


 


 


สายตาของเซียวจิ่งสือไม่เคยละห่างไปจากร่างของหลินหว่าน เขาอดใจไม่อยู่เมื่อเห็นหลินหว่านกับผู้ชายคนนั้นพูดคุยกันอย่างมีความสุขขนาดนั้น จึงเดินเข้าไปหา


 


 


“ไง หลินหว่าน บังเอิญจังนะ คุณก็อยู่นี่เหรอ คนที่อยู่ข้างคุณนี่ใครกันนะ แนะนำให้รู้จักหน่อยได้ไหม” เซียวจิ่งสือพูดจาอย่างสุภาพ ขณะที่ในใจไม่ชอบใจมาก


 


 


เห็นได้ชัดว่าหลินหว่านสะดุ้งอย่างตกใจที่จู่ๆ เห็นเซียวจิ่งสือเดินเข้ามา เธอมองดูเซียวจิ่งสือแล้วนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นนึกถึงคำพูดของอันซิงและเซียวจิ่งสือในวันนั้น ความเศร้าเสียใจผุดขึ้นมาบางๆ


 


 


หลินหว่านพูดตามมารยาทว่า “เขาเป็นเพื่อนฉันค่ะ คุณมีธุระอะไรเหรอคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือโล่งอก เป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ นั่นแหละ


 


 


เซียวจิ่งสือคอยอยู่ด้านข้างของหลินหว่านกับชายคนนั้น ฝ่ายชายดูเหมือนจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ไม่ชวนพูดคุยร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเหมือนก่อนหน้านี้อีก แถมยังคอยมองหน้าเซียวจิ่งสือที่ปั้นหน้านิ่งเป็นระยะๆ อีกด้วย


 


 


พอฝ่ายชายพูดกับหลินหว่าน เซียวจิ่งสือก็แกล้งพูดขัดขึ้นอยู่เรื่อย เขาเห็นหลินหว่านเย็นชากับเขาแต่กลับพูดคุยยิ้มแย้มกับผู้ชายคนนั้น กระปุกน้ำส้มในหัวใจระเบิดโป๊ะ เขาจ้องผู้ชายคนนั้นเขม็ง

 

 

 


ตอนที่ 144

 

 อึดอัด

 


อันซิงเห็นเซียวจิ่งสือที่อยู่ในร้านยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารของหลินหว่าน ก็รู้สึกฉุนกึกขึ้นทันควัน มองดูตัวเองที่แสนสวยอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งไม่ยอมแพ้ ทำไมผู้ชายหล่อๆ แบบนี้ชอบแต่จะอยู่กับหลินหว่าน มันมีอะไรดีนักนะ


 


 


อันซิงก้มลงมองดูตัวเอง มีอะไรที่เธอขาดไปหรือไงนะ เธอชื่นชมร่างตัวเองในกระจก คิ้วเรียวงาม ริมฝีปากแดงฉ่ำเย้ายวนใจ ดวงตากลมโตดำขลับสะดุดตา แต่แล้วอย่างไรอีกล่ะ พอนึกถึงผู้ชายที่เธอหลงใหลชื่นชมคนนี้ ผู้ชายที่มาปรากฏตัวในฝันของเธอนับครั้งไม่ถ้วน ทุกท่าทางความเคลื่อนไหวของเขา ทำให้เธอรู้สึกว่านี่เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลก แต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจตัวเธอเลยแม้แต่น้อย


 


 


อันซิงถอนใจเบาๆ ทันใดนั้นสายตาก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา คนอย่างอันซิงจะยอมแพ้แบบนี้หรือไง ฉันไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ไม่มีทางปล่อยเซียวจิ่งสือให้กับหลินหว่าน ผู้ชายที่ฉันอยากจะได้ทำไมต้องยอมยกให้คนอื่นง่ายๆ ด้วย ไม่ได้เด็ดขาด


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ อันซิงก็เผยอยิ้มน่ากลัวออกมา เธอผลักประตูห้องน้ำเปิดออก แล้วก้าวยาวๆ ออกไป มุ่งตรงไปยังข้างกายของผู้ชายที่สายตาจ้องจับอยู่ที่หลินหว่านตลอดเวลา


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านด้วยสายตาหมกมุ่นครุ่นคิด เขาหวังจะให้หลินหว่านพูดกับเขาบ้าง


 


 


ด้วยสายตาที่เฉียบคม อันซิงเดินตรงเข้ามาหาเซียวจิ่งสือด้วยความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย เธอปั้นรอยยิ้มขึ้นมา ให้ตัวเองดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่ในใจก็ต้องการทำให้หลินหว่านรู้สึกลำบากใจ


 


 


เห็นได้ชัดว่าเซียวจิ่งสือสะดุ้งอย่างตกใจเมื่อเห็นอันซิงจู่ๆ ก็โผล่มา เขาคิดในใจว่าทำไมมันช่างน่าอึดอัดขนาดนี้ ตอนนี้อันซิงเจอกับหลินหว่านอีกแล้ว ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก


 


 


เซียวจิ่งสือถามอันซิงเสียงเย็นว่า “ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ล่ะ ผมมารอตั้งนาน อ้อ เมื่อครู่ผมเห็นหลินหว่าน เลยเข้ามาทักทายหน่อยน่ะ”


 


 


หลินหว่านเงยหน้าขึ้นก็เห็นอันซิงกับเซียวจิ่งสือที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ไม่อยากจะสนใจ จึงก้มศีรษะลงคุยกับผู้ชายคนนั้นต่อไป


 


 


อันซิงไม่ได้ตอบคำเซียวจิ่งสือทันที แค่มองดูหลินหว่าน แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมา จากนั้นเธอรีบคว้าแขนเซียวจิ่งสือไว้ ออดอ้อนเขาว่า “ผู้หญิงนี่น้า ก็ต้องใช้เวลานานหน่อยสิคะ ทำไมคะ คิดถึงฉันขนาดนี้เชียว ฉันแค่เพิ่งจะไปแค่แป๊บเดียวเอง ดูสิคุณนี่ใจร้อนจริง”


 


 


เซียวจิ่งสือสะบัดหลุดจากมืออันซิง แค่นหัวเราะว่า “ขอโทษ ผมแค่ไม่ชอบรอคน ไม่ได้คิดถึงคุณ” พูดจบเซียวจิ่งสือก็ตวัดสายตามองดูสีหน้าหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านฟังคำพูดของอันซิงแล้วรู้สึกเซ็งขึ้นมา แต่เธอไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรอื่นแม้สักคำ


 


 


อันซิงยิ้มอย่างหมายมาด ยกแก้วไวน์ขึ้นอย่างนุ่มนวล มองเซียวจิ่งสือด้วยสายตาหวานเยิ้ม “เอาเถอะค่ะ เพื่อเป็นการขอโทษเราดื่มกันสักแก้วนะคะ เราไม่ได้นั่งคุยกันสบายๆ แบบนี้มาตั้งนานแล้ว หรือว่าพวกเราจะกลับไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวดีล่ะ คุณดูสิหลินหว่านเองก็ไม่ได้อยากจะทานกับพวกเราเลยนี่คะ อย่ารออยู่นี่เลยค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสือยิ้มอย่างขัดเขิน ถือแก้วเหล้าแล้วเดินไปจากโต๊ะของหลินหว่าน กลับไปนั่งโต๊ะอีกตัวหนึ่งกับอันซิง แต่สายตากลับคอยมองมาทางหลินหว่านเป็นระยะ


 


 


อันซิงจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง ผงกศีรษะ “อืม วันนี้ไวน์นี่ไม่เลวเลยนะ จิ่งสือ คุณดูสิ หลินหว่านหาคนมากินข้าวด้วยกันได้เร็วขนาดนี้เชียว เมื่อครู่คุณยังไปรบกวนพวกเขาอีก ถ้าฉันไม่ได้มาพอดี คุณจะแทรกกลางพวกเขาสองคนหรือไง มันดูพิลึกออกนะคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือแค่ยิ้มไม่พูดอะไรอีก


 


 


ท่ามกลางเสียงดนตรีแผ่วเบา ทั้งสองทานสเต็กเนื้อหอมกรุ่นแสนอร่อย แต่ในใจต่างคิดเรื่องของตัวเอง


 


 


อันซิงที่เพิ่งดื่มไปอึกเดียว ยกแก้วเหล้าขึ้น พูดอย่างเหนียมอายว่า “จิ่งสือ วันนี้พวกเราดื่มกันเยอะหน่อย อีกเดี๋ยวออกไปเที่ยวกันนะคะ ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราตอนนี้ น่าจะทำได้นะคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นท่าแล้วรีบออกปากห้าม “อันซิง วันนี้คิดจะมอมเหล้าผมหรือไง อีกเดี๋ยวผมยังมีงานต้องไปทำ คงอยู่เป็นเพื่อนคุณไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วย คุณไปเที่ยวคนเดียวเถอะ”


 


 


เซียวจิ่งสือคิดถึงแต่หลินหว่าน เขาอยากจะดูว่าหลินหว่านยังคุยกับผู้ชายคนนั้นอย่างสนุกสนานหรือเปล่า


 


 


อันซิงสังเกตดูก็รู้ว่าเซียวจิ่งสือคอยแต่จะมองไปทางหลินหว่าน ก็ไม่ชอบใจนัก เธอจึงมองหลินหว่านบ้าง ในตอนนี้ชายหนุ่มหล่อที่สวมเชิ้ตสีฟ้าคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้หลินหว่านด้วยรอยยิ้มกว้าง หลินหว่านดูเหมือนจะชอบเรื่องที่หนุ่มหล่อพูดเอามากๆ จึงหัวเราะเหมือนเป็นดอกไม้แรกผลิอย่างนั้น


 


 


อันซิงฉุกคิดแผนหนึ่งขึ้นมาได้ พูดขึ้นว่า “จิ่งสือคะ คุณดูหลินหว่านสิ ตอนนี้ดูมีความสุขกับหนุ่มหล่อนั่นเอามากๆ เลย คงลืมคุณไปตั้งนานแล้ว คุณก็อย่าไปคิดถึงเธออีกเลย แล้วดูท่าเธอแบบนั้น คงจะไม่ชอบคุณแล้วแน่เลยค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสือหันไปมองหลินหว่าน สมองลั่นเปรี๊ยะขึ้นมา รู้สึกเหมือนเลือดทั้งหมดพุ่งขึ้นมาหมด ชั่วพริบตานั้นความรู้สึกอยากจะอาละวาดแผ่ลามไปทั่วทุกอณูร่างกายของเซียวจิ่งสือ สีหน้าเขาเหมือนมีหิมะเดือนหก [ 1 ] ใบหน้าคมคายหล่อเหลาดูไปแล้วกลับชวนให้น่ากลัวอยู่บ้าง


 


 


อันซิงเห็นเซียวจิ่งสือมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นมาทันควัน ก็เกิดความคิดอยากจะแก้เผ็ดเอาบ้าง เธอคิดในใจว่าเซียวจิ่งสือเป็นผู้ชายที่เธอชอบมากที่สุด วันนี้โอกาสดีขนาดนี้ จะทำให้พวกเขาสองคนแตกหักกันไปเลยเชียว


 


 


อันซิงแกล้งถามอย่างเป็นห่วงว่า “จิ่งสือคุณเป็นอะไรไปคะ เมื่อกี้หลินหว่านก็ไม่ได้สนใจพวกเรา ตอนนี้พวกเราไปทักทายพวกเขาอีก บางทีจะเป็นเพื่อนกับพวกเขาสองคนก็ได้นะ คุณดูสิสองคนนั่นมีความสุขจะแย่แล้ว พวกเราก็ต้องเอาอย่างพวกเขาทำให้บรรยากาศเป็นอย่างนั้นบ้าง”


 


 


เซียวจิ่งสือยิ่งมีสีไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก คิดในใจว่าไม่มีทาง หลินหว่านต้องยังคิดถึงเขาอยู่แน่ เซียวจิ่งสือเห็นว่าท่าทีหลินหว่านอยู่กับชายแปลกหน้านี้แล้วดูมีความสุข ก็อยากจะเข้าไปถามซะให้รู้เรื่องกันไปเลยว่า เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่


 


 


แต่การจะเข้าไปหาด้วยอาการโกรธจัดมันก็ดูไม่ค่อยดีนัก มีสถานการณ์แบบไหนที่เซียวจิ่งสือไม่เคยเจอมาก่อน เวลาแบบนี้หุนหันไม่ได้เด็ดขาด


 


 


เซียวจิ่งสือสงบอารมณ์แล้วส่งยิ้มให้อันซิง แกล้งตอบอย่างสบายๆ ว่า “ก็ดีครับ พวกเราไปหาเธอกันเถอะ เมื่อครู่หลินหว่านอาจยุ่งจนไม่ทันได้สนใจพวกเรา ตอนนี้ไปหาเธออีกครั้ง ผมไม่เชื่อว่าเธอจะไม่พูดกับพวกเราสักคำสองคำ”


 


 


อันซิงยิ้มแล้วพูดว่า “หลินหว่านเขาอาจจะออกมานัดเดทกับแฟนหนุ่มกันสองต่อสองล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก หลินหว่านต้องยินดีจะพูดกับพวกเราอยู่แล้วแน่ๆ”


 


 


อันซิงพูดพลางมองหยั่งสำรวจท่าทีของเซียวจิ่งสือ


 


 


เซียวจิ่งสือลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า รู้สึกเจ็บปวด แต่กลับแกล้งพูดตามสบายว่า “นั่นน่ะไม่มีอะไรมากหรอก บางทีพวกเขาสองคนอาจไม่ใช่คู่รักกันก็ได้ คุณก็อย่าเหมาเอาฝ่ายเดียวสิ คนเขาไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย ต้องไม่ใช่แน่เลย”


 


 


อันซิงย่อมจะยินดีไปดูฉากสนุกๆ แบบนี้อยู่แล้ว เธอรีบตามติดอยู่ด้านหลังเซียวจิ่งสือด้วยท่าทีกระตือรือร้นสนใจ รอดูการแสดงที่จะกำลังเปิดฉากในเวลาอีกไม่นาน


 


 


“ฮัลโหล กำลังคุยกันเลยนะ พวกเรานั่งด้วยได้ไหม” เซียวจิ่งสืออมยิ้มในหน้า พูดกับหนุ่มหล่อที่นั่งตรงหน้าหลินหว่านอย่างเป็นสุภาพบุรุษมากๆ


 


 


เขาเห็นว่าหนุ่มหล่อนี้ มีใบหน้าเนียนใสไร้สิวฝ้า คิ้วเข้มตาโต ริมฝีปากแดงสด แถมยังพูดคุยกับหลินหว่านอย่างออกรสอยู่เลย


 


 


พอเขาเห็นเซียวจิ่งสือเข้ามาทักทาย ขัดจังหวะที่เขาจะได้สำแดงทักษะฝีปากที่เขาถนัดก็ชะงักนิ่งอึ้งไป รู้สึกอึดอัดขัดเขินขึ้นมา ชั่วขณะนั้นทั้งเซียวจิ่งสือและอันซิงรู้สึกเหมือนมีลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดมาเบาๆ [ 2 ] เผยรอยยิ้มอย่างสุภาพออกมา ขณะที่ในใจกลับคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันนะ


 


 


หลินหว่านขึงตากลมโตไปที่ใบหน้าที่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้าของเซียวจิ่งสือ ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มของเธอหุบฉับลงทันที เธอยังไม่อยากจะพูดกับเซียวจิ่งสือ เธอมองดูใบหน้าเย่อหยิ่งอย่างถือดีว่าเหนือกว่าของอันซิงแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมา


 


 


 


 


——


 


 


[ 1 ] หิมะเดือนหก มีนัยหมายถึง มีการเข้าใจผิดหรือถูกใส่ร้ายเกิดขึ้น ที่มาจากวรรณกรรมจีนเรื่อง ‘โต้วเอ๋อร์ยวน’ เรื่องมีอยู่ว่าโต้วเอ๋อร์ถูกใส่ร้ายจนต้องโทษประหาร ก่อนตายสาบานต่อฟ้าว่าเธอไม่ได้ทำผิด หากเป็นดั่งคำสัตย์ขอให้หิมะตกในเดือนหก หลังจากเธอตายไป เกิดปรากฏการณ์ดังคำสัตย์เป็นการพิสูจน์ว่าเธอถูกใส่ร้าย ทั้งนี้เนื่องจากสภาพอากาศเดือนหกของจีนกำลังจะเข้าฤดูร้อน จึงเป็นการยากที่จะมีหิมะตก


 


 


 


 


[ 2 ] ลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัดมาเบาๆ หมายถึง ทำให้รู้สึกสบาย มีความสุข


 

 

 


ตอนที่ 145

 

“พวกคุณคงเป็นเพื่อนหลินหว่านล่ะสิ เชิญนั่งครับ ทานข้าวด้วยกันก็ดีนะ จะได้ครึกครื้นหน่อย” ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย


 


 


อันซิงคลี่ยิ้มกว้างให้หนุ่มหล่อ จากนั้นนั่งลง


 


 


เซียวจิ่งสือก็นั่งลงโดยไม่สนคำเชิญ ไม่ได้ตอบคำถามหรือพูดกับหลินหว่าน แค่จ้องไปที่หลินหว่านโดยไม่ละสายตา หลินหว่านหลบสายตาของเซียวจิ่งสือ


 


 


อันซิงนั่งลงฝั่งตรงข้ามเซียวจิ่งสือ ส่งสายตาหวานฉ่ำให้เซียวจิ่งสือ อันซิงคิดในใจว่าหลินหว่านคู่กับหนุ่มหล่อตรงหน้า เธอก็คู่กับเซียวจิ่งสือ แต่พอเห็นเซียวจิ่งสือเอาแต่มองหลินหว่านตลอด ก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา


 


 


อันซิงตั้งใจพูดว่า “น้องหลินหว่าน ทำไมฉันไม่ได้ข่าวว่าเธอรู้จักหนุ่มหล่อขนาดนี้ด้วย หนุ่มหล่อคู่สาวสวยสมกันจังนะ”


 


 


หลินหว่านตวัดสายตาค้อนอันซิง ในใจคิดว่านางคนนี้รู้จักแต่พูดพล่ามไร้สาระได้ทั้งวัน กลัวคนอื่นเขาจะไม่มีเรื่องกันหรือไง รู้จักเสี้ยมซะจริง


 


 


หลินหว่านนึกโมโหอยู่ในใจ แต่ไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกันที่นี่ เสียบรรยาศดีๆ ยิ่งกว่านั้นเธอไม่อยากอารมณ์เสียเพราะผู้หญิงคนนี้อีก


 


 


หลินหว่านตอบว่า “อันซิง เธอเข้าใจผิดแล้ว เขาเป็นญาติผู้พี่ของฉันเอง ต่อไปถ้าเธอไม่รู้อะไรก็อย่าพูดมั่วซั่ว จะถูกคนเขาหัวเราะเอาได้”


 


 


อันซิงเก้อเขินอยู่บ้าง จึงไม่พูดอะไรอีก


 


 


หลินหว่านมองดูญาติผู้พี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ เห็นสีหน้าเขาก็อัดอั้นตันใจเหมือนกันเลย


 


 


ญาติผู้พี่เห็นว่าบรรยากาศผิดปกติ ก็ฝืนยิ้มพูดว่า “อย่ามัวแต่คุยกันเลย พวกเราสั่งอาหารเพิ่มสักหน่อยเถอะ ในเมื่อเป็นเพื่อนของหลินหว่าน งั้นก็เป็นเพื่อนของผมด้วย วันนี้ผมเลี้ยงเอง พวกคุณสั่งตามสบายเลยนะ เราทานไปคุยไปแล้วกัน”


 


 


จากนั้นญาติผู้พี่ก็ถามหลินหว่านอย่างเอาใจว่า “หลินหว่าน คุณยังจะทานอะไรอีกไหมครับ”


 


 


“งั้นฉันสั่ง….” หลินหว่านกำลังจะบอกชื่ออาหารแต่เซียวจิ่งสือพูดแทรกขึ้น


 


 


“หลินหว่านชอบทานสเต็กเนื้อสุกเจ็ดส่วน ซอสพริกไทยดำ”


 


 


คนอื่นที่เหลือตาค้างกันไปหมด ต่างมองกันเงียบอยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศอึมครึมจนเหมือนฝนจะตกได้เลย อันซิงขึงตาใส่หลินหว่าน คิดในใจว่าเซียวจิ่งสือทำไมถึงอ่อนโยนกับเธอนัก เธอมีอะไรดีนักหนานะ


 


 


เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ญาติผู้พี่หัวเราะเสียงดังออกมา พูดว่า “หลินหว่านเพื่อนคุณนี่มีอารมณ์ขันจังนะ เขารู้จักคุณดีขนาดนี้ได้นี่ ไม่ง่ายเลยนะ ดูท่าคงสนิทกันมากล่ะสิ”


 


 


อันซิงถลึงตาเข้าใส่หลินหว่าน กัดฟันกรอด


 


 


“อื้ม ไม่ค่อยสนิทนักหรอกค่ะ” หลินหว่านพูดเสียงเรียบ


 


 


เซียวจิ่งสือทำเหมือนไม่ได้ยิน เอ่ยปากพูดคุยกับญาติผู้พี่อย่างยิ้มแย้ม เขาคิดว่าในเมื่อนี่เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของหลินหว่าน เขาก็น่าจะต้องสานสัมพันธ์เอาไว้ จะได้ติดต่อกันต่อไปอีก


 


 


“คุณชอบตีกอล์ฟไหมครับ” เซียวจิ่งสือพูดยิ้มๆ


 


 


หลินหว่านยิ้มฝืด เธอนึกในใจว่าคราวนี้คงต้องคุยกันไปแบบตามมีตามเกิดจริงๆ เธอไม่อยากจะคุยอะไรกับเซียวจิ่งสือหรืออันซิงอีกแล้ว


 


 


“แน่นอน ผมชอบมากเลย ไว้นัดกันสักวัน พวกเราไปเล่นด้วยกันสิ ไม่ได้ออกรอบตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะฝีมือตกหรือเปล่า” ญาติผู้พี่พูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ได้สิ วันศุกร์ผมดูพยากรณ์อากาศแล้วไม่มีฝน ผมรู้จักสนามกอล์ฟชั้นดีแห่งหนึ่ง ที่นั่นไม่เลวเลยแล้วยังมีแหล่งบันเทิงหลากหลายแบบอีกด้วย พวกคุณจะได้ผ่อนคลายกันสักหน่อย” เซียวจิ่งสือเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น ตอนท้ายยังเน้นอีกประโยคดึงหลินหว่านเข้าร่วมด้วย


 


 


เซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แค่ไม่อยากให้บรรยากาศอึดอัดจึงพูดมั่วซั่วออกไป


 


 


พอเห็นสภาพเซียวจิ่งสือเป็นแบบนี้ หลินหว่านก็ทนไม่ได้อีก โพล่งอย่างโมโหว่า “เซียวจิ่งสือ คุณอย่าพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันแบบนี้ได้ไหม ฉันแค่อยากจะอยู่นี่กับญาติผู้พี่ทานข้าวกันอย่างสงบสักมื้อ คุณยังจะมาก่อกวนอีก พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว คุณอย่ามาโผล่ให้ฉันเห็นบ่อยๆ แบบนี้จะได้ไหมคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านโมโหก็ไม่สบายใจนัก พอฟังหลินหว่านพูดความในใจก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เขาพูดเสียงเรียบว่า “หลินหว่าน ผมแค่อยากจะคุยกับคุณ ผมไม่ได้มารบกวนคุณ และ…”


 


 


เซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะให้หลินหว่านกลับมาเป็นเหมือนครั้งเก่าก่อนได้อีก เขารู้ว่ามันห่างไกลไปมากแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีก


 


 


อันซิงมองตาหลินหว่านอยู่ตลอด เธออยากเห็นสองคนนี้ทะเลาะกัน อย่างนั้นความสัมพันธ์ก็จะยิ่งร้าวฉานเข้าไปอีก


 


 


ญาติผู้พี่เห็นว่าบรรยากาศรอบข้างผิดปกติไป จึงพูดขึ้นว่า “ผมขอไปห้องน้ำสักครู่ พวกคุณทานกันไปก่อนเลย” ขณะที่หันมาส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับเซียวจิ่งสือ


 


 


เซียวจิ่งสือแอบคิดว่า นี่เขาจะทำอะไรกันแน่ แต่เห็นว่าญาติผู้พี่เรียกเขา จึงขอตัวไปห้องน้ำด้วย


 


 


ในห้องน้ำตอนนี้มีแค่พวกเขาสองคน รอยยิ้มของหนุ่มหล่อค้างแข็งกลายเป็นใบหน้าดุร้าย สายตาดุดันเป็นประกายด้วยความโกรธ


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นเข้าก็สะดุ้งอย่างตกใจ พลางคิดว่าเขาเปลี่ยนสีหน้ายังเร็วกว่าพลิกหน้ากระดาษอีก


 


 


หนุ่มหล่อไม่คิดจะล้อเล่นกับเขาอีก พุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อของเซียวจิ่งสือไว้แล้วพูดเสียงดุดันว่า “เซียวจิ่งสือ นายแน่มากนะ ฉันจะบอกให้ ถ้าแกมีคนที่ชอบแล้วก็อย่ามายุ่งกับน้องสาวฉันอีก อย่าคิดว่าฉันจะดูไม่ออกว่านายคิดอะไรอยู่ ฉันจะเตือนนายให้หลีกห่างจากเธอซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ ฉันไม่ยอมให้นายทำร้ายเธอหรอก นายก็ดูแลอันซิงที่อยู่กับนายให้ดีก็พอแล้ว”


 


 


เซียวจิ่งสือตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าญาติผู้พี่จะดูออกหมดทุกอย่าง


 


 


“อันซิงเป็นแค่เพื่อนของผม มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมมีเรื่องที่อธิบายได้ลำบาก แต่ผมรู้ว่าเรื่องที่ผมทำคงไม่อาจให้หลินหว่านอภัยได้ แต่ผมก็ยังคิดถึงเธอ อยากจะพูดกับเธอ เมื่อก่อนผมกับหลินหว่านเราสนิทกันมาก แต่ตอนนี้…”


 


 


หนุ่มหล่อสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่งเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เค้นเสียงถามว่า “งั้นนายจะอธิบายอย่างไรที่พักนี้เข้าไปทำตัวใกล้ชิดกับอันซิง ในเมื่อนายชอบหลินหว่าน ทำไมยังจับมือกับอันซิงด้วย ฉันก็กำลังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของน้องฉัน ฉันรู้ว่าเธอยังลืมนายไม่ได้ นายก็อย่ามาเล่ห์เหลี่ยมกับเธออีก”


 


 


เซียวจิ่งสือพูดอย่างร้อนใจว่า “ไม่มีทาง คุณดูผิดไปแล้วล่ะมั้ง ผมออกจะระวังตัวนี่ เมื่อไหร่กันที่มีภาพแบบนั้น เข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า”


 


 


เซียวจิ่งสือพยายามหวนนึกดูสภาพตอนที่เขาอยู่กับอันซิงแล้วก็เริ่มไม่แน่ใจ หรือว่ามีช่วงที่เขาไม่ทันระวังตัว อยู่ชิดกันเกินไป เซียวจิ่งสือเห็นว่าเขาระวังตัวอย่างมากแล้ว อย่างนั้นปัญหาก็น่าจะมาจากมุมมองแล้ว


 


 


ญาติผู้พี่มีสีหน้าเหยียดหยาม “พูดกันตามจริง ผู้ชายอย่างนายไม่น่าจะขาดผู้หญิงนะ แล้วทำไมต้องมาตามพัวพันน้องฉันด้วย อย่าทำร้ายเธออีก”


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกเข้าใจผิด จึงคิดจะพูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมา


 


 


“คุณพี่ครับ พูดกันสั้นๆ นะ คุณจะมารู้อะไร ผมชอบหลินหว่านด้วยความจริงใจนะ ระหว่างนี้ที่ต้องทำตัวใกล้ชิดกับอันซิงก็เพราะมีความจำเป็น เพียงเพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้พ่อผมรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหลินหว่าน เขาไม่เห็นด้วยและยังข่มขู่ผมอีก ผมจึงจำใจต้องใช้แผนถ่วงเวลาไปก่อน ตอนนี้ผมแค่อยากจะเข้มแข็งขึ้น ต่อไปจะได้ปกป้องหลินหว่านได้ ไม่ต้องให้เธอต้องเจอกับเรื่องไม่สบายใจแบบนี้อีก ผมชอบหลินหว่านจริงๆ นะ เรื่องนี้คุณมั่นใจได้เลย”


 


 


ญาติผู้พี่จึงเข้าใจเรื่องทั้งหมด ที่แท้ก็มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้ซ่อนอยู่ภายในนี่เอง

 

 

 


ตอนที่ 146

 

พอเฉียวมั่วเฉิน ฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือจนจบ ก็มองเซียวจิ่งสือนิ่งอยู่นาน เซียวจิ่งสือก็ประสานสายตากับเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย เหมือนต้องการพิสูจน์ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหลินหว่านให้เฉียวมั่วเฉินได้รับรู้


 


 


หลังจากที่ทั้งสองหนุ่มฟาดฟันกันทางสายตากันเหมือนไฟแลบ จู่ๆ เฉียวมั่วเฉินก็หัวเราะขึ้นมา เขาตบไหล่เซียวจิ่งสือแล้วพูดว่า “ดูท่าว่าน้องสาวฉันสายตาไม่เลว ต่อไปฉันขอมอบหลินหว่านให้กับนาย นายต้องดูแลเธอให้ดีล่ะ ถ้านายกล้ารังแกเธอละก็ นายโดนอัดแน่ ระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน…”


 


 


เฉียวมั่วเฉิงพูดพลางกำหมัดขึ้น ตวัดควงไปมารอบข้างเซียวจิ่งสืออย่างดุดัน


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นแล้วไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่าเขาผ่านด่านของเฉียวมั่วเฉินมาได้แล้ว เขายิ้มหน้าบานเป็นเด็กดีแสนเชื่อฟัง พูดกับเฉียวมั่วเฉินว่า “ขอบคุณครับคุณพี่ พี่วางใจได้ ผมจะดูแลหว่านหว่านอย่างดีแน่”


 


 


ผู้ชายทั้งสองคน หลังจากบรรลุข้อตกลงเรื่องของหลินหว่านในห้องน้ำได้สำเร็จ ก็ออกจากห้องน้ำมาด้วยกัน กลับไปที่โต๊ะอาหาร


 


 


“หลินหว่าน ฉันบอกให้แกอย่ามายุ่งกับเซียวจิ่งสืออีกอย่างไรล่ะ พ่อเขาต้องการให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลอัน จึงให้เซียวจิ่งสือหมั้นกับฉันแล้ว แกก็ลืมเขาไปได้เลย”


 


 


ขณะที่เฉียวมั่วเฉินกับเซียวจิ่งสือสองคนไปห้องน้ำ อันซิงก็คอยแซะหลินหว่านไม่หยุด


 


 


คำพูดของอันซิงทำให้หลินหว่านเกิดความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกในใจออกมา เธอแค่รับมือกับอันซิงเท่านั้น ให้อันซิงพูดพล่ามไปคนเดียว เหมือนเป็นคนบ้า


 


 


พอเฉียวมั่วเฉินกับเซียวจิ่งสือออกมาจากห้องน้ำ อันซิงก็มองเห็นทันที เธอรีบปรับสีหน้าเหมือนสนิทสนมรักใคร่กับหลินหว่าน อยู่ด้วยกันอย่างสุขสงบและสันติ


 


 


ตอนนั้นเอง พนักงานเข็นรถอาหารมาเสิร์ฟ ทันใดนั้นเธอก็เซถลาทำให้ชามน้ำแกงในมือหกกระฉอก น้ำแกงสาดกระจายมาโดนหลินหว่านทั้งตัว


 


 


“โอ๊ย…” หลินหว่านไม่ทันระวังตัว ร้องออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว


 


 


“หว่านหว่าน คุณเป็นอะไรไหม ไม่เป็นไรนะ” เซียวจิ่งสือได้สติก่อน เขาก้าวพรวดๆ แซงหน้าเฉียวมั่วเฉินมาถึงข้างกายหลินหว่าน ถามว่า “ให้ผมดูซิว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เพราะช่วงฤดูร้อน เสื้อผ้าที่สวมใส่จึงค่อนข้างบาง แขนของหลินหว่านที่เปิดโล่งมีรอยบวมแดงขึ้นเป็นวงกว้าง อีกทั้งบนตัวยังถูกกระเซ็นโดนอีกหลายแห่ง


 


 


“หว่านหว่าน เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บไหม ไปโรงพยาบาลกันไหม” เฉียวมั่วเฉินก็เดินเข้ามา พอเห็นว่าหลินหว่านถูกน้ำร้อนลวก ก็ถามอย่างเป็นห่วง


 


 


หลินหว่านรู้สึกว่าท่อนแขนที่ถูกน้ำแกงราดโดนมีอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา เธอขมวดคิ้วแน่น พูดว่า “เจ็บ…แขนฉันเจ็บมากเลยค่ะ…”


 


 


“ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ คุณผู้หญิง ฉันไม่ได้ตั้งใจ…” พนักงานเสิร์ฟเห็นว่าแขนของหลินหว่านถูกน้ำร้อนลวก ก็ตัวแข็งอย่างตกใจไปครู่หนึ่ง แล้วรีบเข้ามาขอโทษหลินหว่าน


 


 


ทำไมเมื่อครู่เธอสะดุดได้ไงกันนะ ทำไมเธอรู้สึกเหมือนถูกขัดขา…


 


 


“พอแล้ว ไปเรียกเจ้าของร้านของพวกเธอมา ฉันจะถามเขาหน่อยว่า พนักงานร้านของพวกคุณซุ่มซ่ามแบบนี้กันหมดหรือไงกัน”


 


 


เฉียวมั่วเฉินเห็นท่าทางพนักงานที่มือไม้ปั่นป่วนจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว นึกถึงเมื่อครู่ที่เธอเพิ่งจะสาดน้ำแกงร้อนๆ เข้าใส่หลินหว่าน ก็หน้าบูดบึ้งลงทันที ตวาดใส่พนักงานเสริฟอย่างโมโห


 


 


พนักงานรู้ว่าถ้าเรียกเจ้าของร้านมา เธอตกงานแน่ เธอรีบอธิบายกับเฉียวมั่วเฉินอย่างร้อนใจว่า “คุณผู้ชายคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะ เมื่อครู่…เมื่อครู่ฉันเหมือนถูกคนขัดขา ทำให้สะดุด น้ำแกงเลยกระฉอกออกมาโดนคุณผู้หญิงคนนี้เข้าโดยไม่ตั้งใจค่ะ…”


 


 


พนักงานเสิร์ฟยิ่งพูดก็ยิ่งไม่แน่ใจ เหตุผลนี้ของเธอ พูดออกมาแล้วก็เหมือนจะไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ แต่เธอเมื่อครู่รู้สึกว่าถูกคนขัดขาชัดๆ นอกจากนี้ถ้าพวกเขายืนยันว่าจะให้เจ้าของร้านออกมาคุย เธออาจจะถูกไล่ออกได้


 


 


ตอนนั้นเอง อันซิงที่มองดูอยู่ด้านข้างมาตลอดได้ฟังแล้วก็แค่นหัวเราะพูดกับพนักงานว่า “ถูกคนขัดขา? ฉันว่าเธอยกชามไม่ดีเองชัดๆ ยังจะหาข้ออ้างให้ได้อีก ที่นี่จะมีใครตั้งใจแกล้งขัดขาเธอกัน”


 


 


พูดจบ เธอก็มองดูท่อนแขนของหลินหว่านที่ถูกลวก พูดแสดงความสงสารว่า “น่าสงสารหว่านหว่านของฉัน แขนที่ถูกเธอทำให้บาดเจ็บแล้วยังไม่รู้ว่าจะเป็นแผลเป็นหรือเปล่าสิ ทั้งหมดนี้เธอจะรับผิดชอบไหวไหมล่ะ”


 


 


“พอได้แล้ว!” เซียวจิ่งสือฟังอันซิงกับพนักงานเสิร์ฟโต้เถียงกันแล้ว ลุกขึ้นมาห้ามทัพ เขามองดูพนักงานเสิร์ฟแล้วมองอันซิง จากนั้น เขาก็พูดกับพนักงานเสริฟว่า “เธอไปเอาผ้าพันแผล ผ้าขนหนูกับน้ำเย็นมา ผมจะทำแผลให้หลินหว่านก่อน”


 


 


พนักงานเสิร์ฟรีบไปจัดการตามที่เซียวจิ่งสือบอก หยิบของมาหลายอย่าง แล้วยังเอาครีมสำหรับทาแผลน้ำร้อนลวกมาหลอดหนึ่งด้วย


 


 


แผลน้ำร้อนลวกที่แขนของหลินหว่านหลังจากทำแผลเบื้องต้นไปก่อนแล้ว ยังดูบวมแดงเป็นแถบ บางแห่งกลายเป็นแผลพุพองขึ้นมาอีกด้วย ดูแล้วอาการหนักมาก


 


 


“หว่านหว่าน เอาอย่างนี้นะ พวกเราไปโรงพยาบาลกันเถอะ ถ้าเกิดว่าจะเป็นแผลเป็นจริงๆ ล่ะ” เฉียวมั่วเฉินเห็นแล้วพูดกับหลินหว่านอย่างเป็นห่วง แผลเป็นสำหรับดาราผู้หญิงคนหนึ่งแล้วไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย


 


 


“งั้นก็ได้ค่ะ พี่คะ” หลินหว่านสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ แล้วตอบตกลง


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นแล้ว มองมาทางอันซิงด้วยสายตาบอกไม่ถูก เขาหันมาพูดกับเฉียวมั่วเฉินว่า “คุณพี่ครับ คุณพาหว่านหว่านไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ ตอนนี้ผมมีธุระบางอย่างต้องทำน่ะ”


 


 


เฉียวมั่วเฉินมองเซียวจิ่งสืออย่างไม่เข้าใจนัก น้องเขาได้รับบาดเจ็บ เขาไม่รีบพาหลินหว่านไปหาหมอ ยังจะไปทำธุระอะไรนะ


 


 


เฉียวมั่วเฉินหันไปมองอันซิงแวบหนึ่ง หรือว่าใจของเขาจะไม่ได้อยู่กับหลินหว่าน แต่เป็นอันซิง เมื่อครู่ที่เขาพูดก็แค่คำหวานหูเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง งั้นเขาก็คงมองเซียวจิ่งสือผิดไปจริงๆ เมื่อครู่เขายังเข้าใจว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนที่หลินหว่านจะพึ่งพาได้เสียอีก


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นสีหน้าเฉียวมั่วเฉินเปลี่ยนไป ก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิดเสียแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าเมื่อครู่พนักงาน


 


 


เสิร์ฟดูไม่เหมือนกับคนพูดโกหก แต่กลับรู้สึกว่าท่าทีของอันซิงต่ออาการบาดเจ็บของหลินหว่านดูน่าสงสัยเอามากๆ เขาอยากจะอยู่สืบหาความจริง ทวงคืนความยุติธรรมให้กับหลินหว่านต่างหาก


 


 


เซียวจิ่งสือรีบพูดกับเฉียวมั่วเฉิน “คุณพี่ครับ เรื่องนี้อีกเดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้ฟังแล้วกันนะครับ อาการบาดเจ็บของหว่านหว่านดูแล้วน่าจะสาหัสพอดู พี่รีบพาเธอไปหาหมอก่อนเถอะ”


 


 


อันซิงเห็นว่าเซียวจิ่งสือกับหลินหว่านผิดใจกันก็นึกกระหยิ่มใจ รีบผสมโรงพูดขึ้นว่า “ใช่ค่ะ คุณเฉียว คุณรีบพาหว่านหว่านไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ เกิดหว่านหว่านเป็นแผลเป็นขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงล่ะคะ


 


 


จิ่งสืออยู่ทางนี้ยังมีฉันคอยอยู่เป็นเพื่อนเขานะคะ”


 


 


พอเห็นเซียวจิ่งสือกับอันซิงเป็นแบบนี้ เฉียวมั่วเฉินก็โมโหพุ่งปรี๊ด แทบจะอดใจไม่ไหวเข้าไปอัดมันให้สมใจสักรอบ ตอนนี้เอง หลินหว่านเห็นบรรยากาศตึงเครียดของทั้งสามคนแล้ว พูดกับเฉียวมั่วเฉินว่า “เอาละค่ะ คุณพี่ พวกเราไปหาหมอกันก่อนเถอะ โอ๊ย…ข…แขนฉันเจ็บมากเลยค่ะ”


 


 


“ได้ หว่านหว่าน พวกเรารีบไปหาหมอกันเถอะ!” เฉียวมั่วเฉินเห็นว่าหลินหว่านเจ็บปวดขนาดนั้นก็รีบเข้ามาปลอบเธอ

 

 

 


ตอนที่ 147

 

เฉียวมั่วเฉินพยุงหลินหว่านออกจากร้านอาหารด้วยกัน เขายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห กว่าเขาจะได้พบหน้าหลินหว่านสักครั้งยังยาก เจอเซียวจิ่งสือกับอันซิงก่อกวนแล้วยังไม่พอ ถูกพนักงานมือเท้าซุ่มซ่ามทำลายบรรยากาศมื้อเย็นที่ควรจะมีความสุขครั้งนี้ไป ถ้าหากหลินหว่านต้องมีแผลเป็น เขาจะไม่ยอมปล่อยแม่พนักงานนั่นไปแน่!


 


 


เซียวจิ่งสือกับอันซิงมองตามเงาหลังของหลินหว่านไป ในใจคิดกันไปคนละทาง


 


 


อันซิงนึกกระหยิ่มใจอย่างถือดี เธอเล็งโอกาสที่พนักงานยกชามแกงมาเสิร์ฟอย่างแม่นยำ แค่ขัดขาพนักงานนิดเดียว น้ำแกงก็หกลวกหลินหว่าน แต่โชคดีที่ไม่มีใครเห็น และไม่มีใครสงสัยว่าเป็นการกระทำของเธอ


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ อันซิงก็ยิ้มออกมาหันไปทางเซียวจิ่งสือ พูดว่า “จิ่งสือคะ คุณบอกว่ามีธุระต้องทำไม่ใช่เหรอคะ เรื่องอะไรเหรอ ฉันต้องไปกับคุณด้วยไหมคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือฟังแล้วมองอันซิงด้วยสายตานิ่งๆ ดูลึกล้ำ จนอันซิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา


 


 


“คุณหนูอัน ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามคุณ พวกเราออกไปคุยกันข้างนอกได้ไหม” เซียวจิ่งสือถามโพล่งออกมา


 


 


อันซิงฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือแล้ว แม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ตอบรับอย่างดีใจ แล้วออกมานอกร้านกับเซียวจิ่งสือ


 


 


ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านชื่อดังระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง ไม่เพียงได้ชื่อว่าบริการดี สภาพแวดล้อมก็สวยงามมาก เหมาะกับการนัดหมายและเที่ยวพักผ่อนวันหยุดเป็นอย่างมาก พออันซิงตามเซียวจิ่งสือออกมาด้านนอก ก็เห็นว่าตรงหน้าพวกเขาเป็นสระน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง


 


 


อันซิงกับเซียวจิ่งสือยืนอยู่ข้างสระน้ำ เธอถามเซียวจิ่งสืออย่างตื่นเต้นดีใจ “จิ่งสือ คุณ เมื่อครู่คุณบอกว่ามีเรื่องจะถามฉันใช่ไหมคะ เรื่องอะไรเหรอคะ”


 


 


“พนักงานที่ทำน้ำแกงลวกหลินหว่าน เธอเป็นคนขัดขาใช่ไหม” เซียวจิ่งสือจ้องตาอันซิงแล้วถามไปตรงๆ


 


 


อันซิงได้ฟังก็รู้สึกตื่นตกใจขึ้นมา หรือว่าเซียวจิ่งสือเห็นอะไรเข้า?


 


 


เป็นไปไม่ได้! เธอทำอย่างแนบเนียนมาก เซียวจิ่งสือไม่น่าจะดูออก ไม่แน่ว่าเขาแค่พูดดักทางเธอเท่านั้นเอง


 


 


เพียงชั่วขณะนั้น สีหน้าของอันซิงจากตกใจกลายเป็นว้าวุ่นลนลาน เพียงวูบเดียวก็หายวับ เธอพูดว่า “จิ่งสือ คุณพูดอะไรน่ะ ทำไมคุณเชื่อคำพูดของแม่สาวเสิร์ฟนั่นล่ะ แล้วทำไมฉันต้องทำเรื่องแบบนั้นด้วย”


 


 


เซียวจิ่งสือจ้องอันซิงเขม็ง พอเห็นสีหน้าแตกตื่นลนลานของเธอเพียงชั่วครูเดียวนั่น เขาก็แน่ใจได้เลยว่าตัวเองเดาถูก ถึงแม้อันซิงจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่เขารู้สึกว่าคนที่ทำให้หลินหว่านถูกน้ำร้อนลวกคืออันซิง


 


 


“อันซิง ไม่ใช่เธอจริงๆ เหรอ” เซียวจิ่งสือถามเธอเสียงเย็น “หรือว่า…เธอยังไม่ยอมรับอีก”


 


 


อันซิงรีบพูดขึ้นอย่างร้อนตัวว่า “เซียวจิ่งสือ ไม่ใช่ฉันจริงๆ นะ ค…คุณไม่มีหลักฐานก็อย่ามาใส่ร้ายกันแบบนี้นะ!”


 


 


“แต่ว่า ตอนนั้นที่ข้างโต๊ะก็มีแต่เธอ หว่านหว่านกับสาวเสิร์ฟสามคนเท่านั้น พนักงานเสิร์ฟบอกว่าเธอล้มเพราะถูกขัดขา น้ำแกงก็สาดโดนหว่านหว่านพอดี ในสถานการณ์แบบนี้ นอกจากพนักงานพูดโกหก ผมคิดไม่ออกว่านอกจากคุณแล้วจะเป็นฝีมือใครได้ ยังจะมีใครอีกล่ะ!” เซียวจิ่งสือแค่นยิ้มพูดขึ้น


 


 


“ไม่ใช่ฉันจริงๆ นะ เซียวจิ่ง…ว๊าย!” อันซิงสะกดอาการแตกตื่นลงไป ยืนยันปฏิเสธกับเซียวจิ่งสือเสียงแข็ง แต่ว่าเธอยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาผลักเธอลงไปในสระน้ำ


 


 


“อ๊า…อ๊า…ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…” อันซิงไม่ทันตั้งตัว พอถูกผลักตกน้ำ เธอดิ้นรนตะกุยตะกายน้ำจนสาดกระเซ็นไปทั่ว พลางกรีดร้องเสียงดังลั่นเพราะเธอว่ายน้ำไม่เป็น


 


 


“อ้าว! คุณหนูอัน ทำไมคุณตกน้ำไปซะล่ะ” เซียวจิ่งสือยืนอยู่ริมสระ มองดูอันซิงที่ดิ้นรนร้องให้ช่วย เขาแกล้งพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ


 


 


“ช่วยฉันด้วย…ช่วยด้วย…เซียวจิ่งสือ…ช่วยฉัน…”


 


 


อันซิงรู้ว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนผลักเธอลงไป เพราะรอบข้างนอกจากเขากับเธอสองคนแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก


 


 


เธอโกรธมาก แต่พออันซิงได้ยินเสียงของเซียวจิ่งสือ ก็ได้แต่ร้องขอให้เขาช่วย


 


 


“คุณหนูอัน ตกน้ำนี่ความรู้สึกเป็นอย่างไรกันนะ” เซียวจิ่งสือชื่นชมกับสภาพทุลักทุเลของอันซิง ถามด้วยรอยยิ้มยินดีว่า “แต่ผมว่านะคุณหนูอัน ดูเหมือนจะว่ายน้ำไม่เป็น จะให้ผมเรียกคนมาช่วยคุณขึ้นมาไหมล่ะ”


 


 


“เซียวจิ่งสือ…ช่วยฉันด้วย! ขอร้องล่ะ…” อันซิงแผดเสียงแปดหลอดออกมาจากในน้ำอย่างสิ้นหวัง เมื่อครู่เธอใช้แรงตะกายอยู่ในน้ำตลอดเวลา ร่างกายกำลังจะหมดแรงอยู่แล้ว


 


 


“ได้สิ คุณหนูอัน ผมจะไปหาคนมาช่วยคุณเดี๋ยวนี้ล่ะ คุณต้องพยายามเข้านะ” เซียวจิ่งสือพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าอันซิงตะกายในน้ำเบาแรงลงเรื่อยๆ


 


 


เซียวจิ่งสือแค่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้หลินหว่าน เอาคืนกับเธอเรื่องที่ทำให้หลินหว่านถูกน้ำร้อนลวก แต่ไม่ได้ต้องการให้อันซิงเจอกับอุบัติเหตุอะไรจริงๆ


 


 


ผ่านไปไม่นานนัก เซียวจิ่งสือก็พาพนักงานดูแลความปลอดภัยมาคนหนึ่ง เขาให้ยามลงไปงมอันซิงขึ้นมา และพูดกับอันซิงที่อยู่ในน้ำว่า “คุณหนูอัน ผมให้คนลงไปช่วยคุณแล้วนะ คุณต้องสู้ๆ เข้าไว้นะ”


 


 


พูดจบ ยามนั่นก็ลงสระ เซียวจิ่งสือพอเห็นว่าเขาลงน้ำไปแล้วก็จากมา


 


 


“ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย…ช่วยด้วย!” อันซิงดิ้นอยู่ในน้ำ แรงของเธอลดลงเรื่อยๆ ตอนนั้นเอง เธอเห็นเงาร่างหนึ่งว่ายตรงมาทางเธอ จึงร้องตะโกนออกไปสุดชีวิต


 


 


ยามรักษาความปลอดภัยว่ายมาถึงตัวอันซิงก็ดึงร่างเธอเข้าหาเขา อันซิงรู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งลูบไล้ไปมาอยู่บนตัวเธอ ก็โมโหมาก ตวาดใส่ยามว่า “แกเป็นใคร? ปล่อยฉันนะ!”


 


 


ยามได้ฟังดังนั้น ดวงตาเท่าเม็ดถั่วเขียวทั้งคู่ก็กวาดไปมาบนร่างของอันซิง สายตากวาดมาถึงใบหน้าที่เลอะเครื่องสำอางของอันซิง จากนั้นมองไปที่ทรวงอกเปียกน้ำของเธอ พูดว่า “คุณหนูอัน ผมเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของร้านอาหารแห่งนี้ คุณผู้ชายคนหนึ่งให้ผมมาช่วยขึ้นจากสระ ทางที่ดีคุณก็อย่าดิ้นอีกเลยนะครับ ผมจะได้รีบช่วยคุณขึ้นจากสระ”


 


 


“ยามเหรอ? แกเป็นยามยังกล้าลงมือลงไม้ทำรุ่มร่ามกับฉัน แกไม่รู้ว่าฉันเป็นใครใช่ไหม แกปล่อยฉันนะ! ไม่งั้นฉันจะให้แกเห็นดีแน่!” อันซิงทนกับสายตาจาบจ้วงของยาม ขณะที่ตวาดใส่ยามคนนั้นอย่างโกรธจัด


 


 


“งั้นเหรอ ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่าคุณเป็นคุณหนูบ้านตระกูลอัน แต่ว่าต่อให้คุณคือคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลอัน แล้วจะอย่างไร” ยามนั่นฟังแล้วกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว เขารู้ว่าอันซิงว่ายน้ำไม่เป็น จึงกล้าลวนลามเธอแบบนี้ พูดจบเขาก็หรี่ตาลง จ้องเขม็งไปที่หน้าอกของอันซิงอย่างหื่นกระหาย สองมือหยาบกระด้างยังเคลื่อนไหวไปมาบนร่างของอันซิง


 


 


อันซิงเหลืออดกับการดูถูกแบบนี้ เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากสองแขนของยาม และฉวยโอกาสตอนที่เขาดิ้นรนกัดที่ไหล่เขาไปอย่างแรง


 


 


ยามรู้สึกเจ็บปวดก็ปล่อยอันซิง ดึงศีรษะอันซิงให้เธอแหงนหน้าขึ้น หัวเราะเยาะเย้ยอันซิงว่า “คุณหนูอัน คุณก็แค่ผู้หญิงที่ผ่านมือผู้ชายมาแล้ว ยังจะทำเป็นดีดดิ้นอีก”


 


 


จากนั้นแขนข้างหนึ่งของยามก็ล็อกตัวอันซิงเอาไว้ ส่วนแขนอีกข้างก็ลวนลามเธออย่างไม่เกรงกลัว อันซิงสู้แรงเขาไม่ได้ จึงได้แต่โมโหจนพูดไม่ออก ปล่อยให้ยามนั่นหาเศษหาเลยจากตัวเอง

 

 

 


ตอนที่ 148

 

รอจนยามได้กำไรจากอันซิงจนพอใจแล้ว จึงลากตัวอันซิงขึ้นจากสระน้ำ


 


 


อันซิงอยู่ในสระนานเกินไป เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปหมด แนบเนื้อกับร่างของเธอ เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเผยส่วนโค้งส่วนเว้าบนเรือนร่างของอันซิงให้ชัดขึ้น ด้วยเมื่อครู่เธอถูกยามหาเศษหาเลย คอเสื้ออันซิงแหวกกว้างออก เสื้อผ้าก็ยับย่นจนหมดสภาพ ทำให้เธอยิ่งดูทุลักทุเลมากขึ้นกว่าเดิม


 


 


อันซิงพอขึ้นจากสระได้ อย่างแรกคือคว้าเสื้อผ้าตัวเองไว้แน่น จากนั้นตบหน้ายามที่ช่วยเธอขึ้นมาฉาดใหญ่


 


 


“กะอีแค่ยามคนหนึ่ง กล้ามาลวนลามคุณหนูอย่างฉัน!” อันซิงตวาดด้วยความโมโหใส่ยามที่ยังมองเธอด้วยสายตาลามเลีย “แกชื่ออะไร? เชื่อไหมฉันจะให้เจ้าของร้านที่นี่ไล่แกออกได้ทันทีเลย!”


 


 


“คุณหนูอัน คุณก็อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย” ยามมองอันซิงแล้ว ในหัวยังนึกถึงผิวขาวผ่องของอันซิงเมื่อครู่ตอนอยู่ในสระน้ำ หน้าอกอวบอิ่ม และรูปร่างงามของเธอ สายตาฉายแววหื่นกระหายอย่างปิดไม่มิด “ผมเพิ่งจะช่วยคุณขึ้นจากสระน้ำเมื่อครู่ ทำไมคุณต้องใส่ร้ายผมด้วย”


 


 


ต่อให้เขาอยากแค่ไหน พอรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอัน ถึงอย่างไรเขาก็ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว อย่าว่าแต่จะบอกชื่อตัวเองให้เธอรู้เลย


 


 


“อ้าว! คุณหนูใหญ่อันเป็นอะไรไปเหรอ” ตอนนั้นเอง เสียงของเซียวจิ่งสือดังมาจากที่ไม่ไกลนัก


 


 


เซียวจิ่งสือขับรถช้าๆ ผ่านมาจากอีกด้านหนึ่ง พอดีทันเห็นฉากที่อันซิงตบหน้ายามไปฉาดหนึ่ง


 


 


เซียวจิ่งสือหยุดรถอย่างรู้สึกสนใจ เดินเข้ามาหาเธอพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วถามอันซิงว่า “คุณหนูใหญ่อัน ยามคนนี้จะยังไงซะก็ถือว่าเป็นคนช่วยชีวิตคุณเอาไว้นะ แล้วนี่คุณทำอะไร”


 


 


อันซิงหันไปเห็นเซียวจิ่งสือ ความโกรธก็พุ่งปรี๊ด เธอยังไม่ลืมว่าเมื่อครู่เซียวจิ่งสือเป็นคนผลักเธอตกน้ำ


 


 


ดังนั้น ‘ตัวต้นเหตุ’ อย่างเซียวจิ่งสือย่อมจะตกเป็นเป้าระบายความโกรธของอันซิงเช่นกัน


 


 


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ ฉันจะสั่งสอนยามสักคน หรือว่าต้องขออนุญาตคุณชายเซียวด้วย” อันซิงพูดอย่างฉุนเฉียว


 


 


แน่นอนว่าอันซิงย่อมจะไม่พูดเรื่องที่เธอถูกยามคนหนึ่งลวนลามเอา ไม่อย่างนั้นคุณหนูใหญ่อันคงต้องเสียหน้าครั้งใหญ่แน่!


 


 


เซียวจิ่งสือไม่ทราบว่าอันซิงถูกยามลวนลามในสระน้ำ เขาพูดว่า “คุณหนูอัน คุณจะสั่งสอนยามนี่ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผม แต่ว่า ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบ้านตระกูลอันไม่เคยสอนให้คุณหนูอันรู้จักคำว่าทดแทนบุญคุณ”


 


 


“ยามคนนี้ยังไงก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณหนูอันไว้ คุณทำกับคนที่ช่วยชีวิตคุณแบบนี้น่ะเหรอ” เซียวจิ่งสือเห็นท่าทีโกรธจัดขึ้นเรื่อยๆ ของอันซิง ก็พูดเย้ยหยันด้วยเสียงราบเรียบ


 


 


ผู้ช่วยชีวิตอะไรกัน พวกหื่นที่ฉวยโอกาสหากำไรกับเธอชัดๆ!


 


 


“บุญคุณช่วยชีวิตอะไรกัน ก็แค่…แค่ยามต่ำๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง ฉันจะสั่งสอนซะอย่างจะทำไม” อันซิง


 


 


ยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ ทั้งโกรธทั้งอับอายจึงตวาดใส่เซียวจิ่งสือ “คุณนั่นล่ะ เซียวจิ่งสือ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณชายเซียวมีเวลาว่างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร มายุ่งเรื่องคนอื่นเขา ถึงกับยอมพูดแทนให้ยามคนหนึ่ง หายากซะจริงเลยนะ!”


 


 


“คุณคงไม่เคยเจอละสิ ผมน่ะ ปกติทำอะไรเปิดเผยไม่มีลับลมคมใน ไม่เหมือนคนบางคนเสแสร้งแกล้งดัด แอบทำเรื่องลับๆ ล่อๆ ” เซียวจิ่งสือเน้นประโยคสุดท้าย ชี้ไปที่เรื่องอันซิงลอบทำร้ายหลินหว่านเมื่อครู่


 


 


พูดจบ เซียวจิ่งสือก็หมุนตัวจากไป พอกลับขึ้นรถ ก็พูดกับอันซิงที่โกรธจนหน้าเขียวว่า “เอาล่ะ หว่านหว่านยังอยู่ที่โรงพยาบาลรอให้ผมไปเยี่ยมเธออยู่เลย คุณหนูอัน ผมไม่ขอรบกวนเวลาคุณสั่งสอนยามต่อไปแล้วล่ะ”


 


 


หลังจากมองดูเซียวจิ่งสือขับรถจากไปด้วยความโมโหแล้ว อันซิงก็พบว่า ยามคนที่ลวนลามเธอเมื่อครู่หายตัวไปแล้ว ตอนที่เธอโต้เถียงกับเซียวจิ่งสือ ไม่รู้ว่าแอบแวบไปตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


อันซิงโมโหเดือดพล่านแต่ไม่มีทางระบายออก มือถือก็ใช้ไม่ได้แล้วเนื่องจากเมื่อครู่ตกน้ำไป สุดท้าย อันซิงได้แต่กลับมาที่ร้านอาหารในสภาพทุลักทุเล ขอความช่วยเหลือจากพนักงานในร้าน


 


 


แต่ว่าถึงอย่างไรก็เป็นคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลอัน พอกลับถึงบ้านตระกูลอัน สั่งการลงไปไม่นาน ยามคนที่หาเศษหาเลยเธอในสระน้ำก็ตกงาน และยังไม่มีบริษัทไหนกล้าจ้างเขาอีก


 


 


“คุณหมอครับ น้องสาวผมเธอเป็นอย่างไรบ้าง บาดแผลสาหัสไหม จะเป็นแผลเป็นหรือเปล่า?” ภายในโรงพยาบาล เฉียวมั่วเฉินกำลังถามคุณหมอที่ตรวจอาการหลินหว่านอย่างร้อนใจ


 


 


คุณหมอตรวจเสร็จ ทางหนึ่งก็ทายาแก้แผลน้ำร้อนลวกสารพัดชนิดลงบนแขนและลำตัวของหลินหว่าน ทางหนึ่งก็พูดว่า “อาการบาดเจ็บของผู้ป่วยไม่ถึงกับสาหัสมาก แต่ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแผลเป็น สำหรับคนเป็นหมอแล้วผมแนะนำให้พวกคุณนอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการอีกสักระยะหนึ่ง และยังลดโอกาสเกิดอาการอักเสบในภายหลังด้วย”


 


 


“ขอบคุณครับคุณหมอ” เฉียวมั่วเฉินฟังแล้วถอนใจอย่างโล่งอก จากนั้นหันมาพูดกับหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน พี่จะไปทำเรื่องนอนโรงพยาบาลให้เธอก่อนนะ เธออยู่นี่ต้องเชื่อฟังคุณหมอ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมา”


 


 


“คุณพี่ ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ได้…คุณพี่…” หลินหว่านฟังแล้วห้ามเฉียวมั่วเฉินไว้ แต่เฉียวมั่วเฉินไม่ฟังเธอ เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก


 


 


สุดท้าย หลินหว่านถูกเฉียวมั่วเฉินบังคับให้นอนพักที่โรงพยาบาล ในห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง


 


 


หลินหว่านเว้าวอนมาตลอดทางว่าเฉียวมั่วเฉินทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ “คุณพี่คะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ คุณหมอก็บอกแล้วว่าอาการไม่หนักหนาสาหัส ฉันนอนพักที่บ้านสักหลายวันก็ได้แล้ว เราอย่านอนโรงพยาบาลเลยนะ”


 


 


“ไม่ได้ หว่านหว่าน เชื่อฟังคำสั่งคุณหมอนะ นอนพักอยู่ที่นี่ล่ะ รอให้แผลของเธอหายดีแล้วพวกเราค่อยออกจากโรงพยาบาลนะ โอเคมั้ย?” เฉียวมั่วเฉินแย้งกลับอย่างไม่เห็นด้วย แต่ยังพูดปลอบหลินหว่านด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


 


ตั้งแต่เล็กจนโต เฉียวมั่วเฉินเป็นเช่นนี้เสมอ เขาอ่อนโยนกับหลินหว่านแต่ก็รวบรัดตัดสินใจให้เธอเสมอ เขามักจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าว และละเอียดอ่อนไปด้วยกันในการดูแลน้องสาวของเขา นั่นทำให้หลินหว่านรู้สึกซาบซึ้งใจและก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้


 


 


“พี่คะ ฉันไม่อยากอยู่โรงพยาบาลจริงๆ นะ…” หลินหว่านออดอ้อนเฉียวมั่วเฉินอย่างอับจน


 


 


เฉียวมั่วเฉินไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย “เอาล่ะ หว่านหว่าน เธอพักผ่อนก่อนนะ พี่จะไปซื้ออาหารมื้อเย็นมาให้ เมื่อครู่เธอยังไม่อิ่มแน่เลย”


 


 


เฉียวมั่วเฉินยังจำได้ว่าตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารหลินหว่านยังไม่ได้ทานอะไรมากนัก พอเขาจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็นึกได้ว่าต้องซื้ออาหารมื้อค่ำให้เธอ


 


 


“ขอบคุณค่ะพี่…”


 


 


หลินหว่านเห็นว่าเฉียวมั่วเฉินคอยวุ่นวายดูแลเธอ ก็รู้สึกประทับใจมาก ได้แต่ยอมนอนโรงพยาบาลแต่โดยดี


 


 


เฉียวมั่วเฉินเพิ่งออกมาจากห้องพักของหลินหว่าน ก็เจอเข้ากับเซียวจิ่งสือที่หน้าประตู


 


 


“พี่ครับ” เซียวจิ่งสือพอเห็นเฉียวมั่วเฉิน ก็รีบเข้ามาถามเขาด้วยท่าทางเป็นห่วง “หว่านหว่านเป็นอย่างไรบ้างครับ สาหัสไหม ตอนนี้อาการดีขึ้นหรือยัง”


 


 


พอเห็นสีหน้าห่วงใยของเซียวจิ่งสือว่าไม่ได้แกล้งทำ ความรู้สึกไม่พอใจของเฉียวมั่วเฉินก็ลดน้อยลงไปหลายส่วน เขาตอบว่า “หว่านหว่านอยู่ในห้อง คุณเข้าไปดูเธอเองเถอะ ผมไปซื้ออาหารมื้อค่ำให้เธอก่อน”


 


 


“ขอบคุณครับพี่” เซียวจิ่งสือมองดูประตูห้องผู้ป่วย แล้วกล่าวขอบคุณเฉียวมั่วเฉิน

 

 

 


ตอนที่ 149

 

เซียวจิ่งสือผลักประตูห้องเปิดออก เห็นหลินหว่านนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างสงบ 


 


 


หลินหว่านได้ยินเสียงเปิดประตูห้องก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าเป็นเซียวจิ่งสือ 


 


 


“หว่านหว่าน คุณเป็นอย่างไรบ้าง โอเคไหม” เซียวจิ่งสือมาที่ข้างกายหลินหว่าน ถามเธออย่างร้อนใจและเป็นห่วง 


 


 


หลินหว่านไม่ตอบ แต่กลับถามว่า “เซียวจิ่งสือ คุณมาได้ยัอย่างไรคะ” 


 


 


“ผมมาเยี่ยมคุณน่ะ” เซียวจิ่งสือฟังน้ำเสียงเย็นชาของหลินหว่านแล้ว รีบอธิบายกับเธอว่า “แผลน้ำร้อนลวกที่แขนคุณ หมอตรวจดูหรือยัง จะเป็นแผลเป็นหรือเปล่า คุณรู้ไหมตอนผมเพิ่งมาถึงเอาแต่เป็นห่วงคุณมากเลย” 


 


 


หลินหว่านเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเซียวจิ่งสือ เธอนึกถึงภาพที่เขากับอันซิงอยู่ด้วยกันที่ร้านอาหาร เธอไม่รู้ว่าท่าทางของเขาในตอนนี้เป็นแค่การแสดงหรือเปล่า 


 


 


ในเมื่อเขาเลือกอันซิงแล้ว ทำไมยังมายุ่งวุ่นวายกับเธออีก 


 


 


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านตอบกลับเสียงเย็น “แล้วก็ ฉันก็ไม่ต้องการความห่วงใยของคุณ คุณเซียว ถ้าคุณมีเวลาแบบนี้ก็น่าจะไปอยู่เป็นเพื่อนกับคุณหนูอันเธอนะคะ!” 


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นท่าทางเย็นชาของหลินหว่านแล้วนิ่งอึ้งไป เขาขมวดคิ้วถามหลินหว่าน “หว่านหว่าน คุณพูดอะไรนะ” ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดอีกว่า “เรื่องของอันซิง คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมกับเธอไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว หว่านหว่าน” 


 


 


“ไม่มีอะไรกันแต่คุณก็ไปที่ร้านอาหารกับเธอ” หลินหว่านถามเสียงเรียบ สีหน้าไร้ความรู้สึก 


 


 


“หว่านหว่าน คุณคิดมากไปแล้ว ผมกับอันซิงก็แค่เป็นตัวแทนของวั่นหย่ากรุ๊ปกับเทียนซิงกรุ๊ปเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดเลยนะ” เซียวจิ่งสืออธิบาย 


 


 


พอเห็นว่าหลินหว่านไม่ได้มีทีท่าอ่อนลง เซียวจิ่งสือก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามโพล่งออกไป “หว่านหว่าน คุณคงไม่ได้หึงอันซิงหรอกใช่มั้ย” 


 


 


หึงเหรอ? เซียวจิ่งสือกล้าบอกว่าตอนนี้เธอกำลังหึงหวง วีนแตกไร้เหตุผลเพราะผู้หญิงแบบนั้น? นั่นออกจะเข้าใจเธอผิดไปมากเลยจริงๆ 


 


 


หลินหว่านสะกดกลั้นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจากก้นบึ้งของหัวใจ มองสบตาเซียวจิ่งสือไปตรงๆ แล้วพูดช้าชัด ว่า “คุณเซียว คุณเข้าใจผิดแล้ว ความหมายของฉันคือ เพื่อความปลอดภัยของฉัน ไม่ว่าคุณกับอันซิงจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน ฉันคิดว่าต่อไปเราควรจะรักษาระยะห่างกันไว้จะดีกว่าค่ะ ไม่อย่างนั้นถ้าคุณหนูอันเธอเกิดไม่พอใจขึ้นมา ก็ไม่แน่ว่าเธอจะทำอะไรกับฉันอีก” 


 


 


เซียวจิ่งสือรู้ว่าหลินหว่านหมายถึงเรื่องที่อันซิงใส่ร้ายพนักงานเสิร์ฟเรื่องทำน้ำแกงร้อนหกลวกเธอ เรื่องนี้หลินหว่านถือว่าเป็นผู้เสียหายที่ไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ 


 


 


“หว่านหว่าน ผมรับรองเลยนะ ต่อไปผมจะไม่ยอมให้อันซิงมีโอกาสทำร้ายคุณอีกดีไหม แต่ว่าคุณต้องเชื่อว่าความสัมพันธ์ของผมกับอันซิงเป็นแค่ผลประโยชน์ของบ้านตระกูลอันกับตระกูลเซียวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้ว ผมกับเธอไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันเลย ผมหวังว่าคุณจะไม่พูดว่าจะรักษาระยะห่างกับผมอีก ได้ไหม” เซียวจิ่งสือพูดกับหลินหว่านอย่างจริงใจ 


 


 


หลินหว่านฟังแล้วมองสบตาเซียวจิ่งสือนิ่งนาน จากนั้นยิ้มเย้ยหยันพลางถามว่า “ผลประโยชน์? เซียวจิ่งสือ คุณลองบอกมาดูซิ ในโลกนี้ยังมีผลประโยชน์อะไรที่ทำให้คุณชายเซียวต้องยอมเสียสละ ยอมอยู่ร่วมกับผู้หญิงที่คุณพร่ำพูดว่าไม่มีความสัมพันธ์อะไรด้วย” 


 


 


เซียวจิ่งสือนิ่งอึ้งไปอย่างอับจนคำพูด เขาพูดว่า “หว่านหว่าน เรื่องนี้ผมยังไม่สามารถบอกเหตุผลทุกอย่างกับคุณได้ชั่วคราว แต่ว่าคุณต้องเชื่อผมนะ ผม…” 


 


 


“เซียวจิ่งสือ คุณไม่ต้องพูดอีกแล้ว!” หลินหว่านพูดขัดขึ้น “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ฉันเข้าใจแล้ว ในใจของคุณ ผลประโยชน์สำคัญที่สุด จะอยู่กับใครเป็นแค่เรื่องรองลงมา ใช่ไหมละคะ!” 


 


 


หลินหว่านถามตามติดมาเป็นชุด “ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นบ้านตระกูลอันหรือไม่ ขอเพียงเป็นเรื่องผลประโยชน์ของบ้านตระกูลเซียว คุณก็ยอมได้ทั้งนั้น อยู่กับคนที่คุณไม่ชอบก็ได้ ใช่หรือเปล่าละคะ” 


 


 


“ผม…” 


 


 


คำพูดนี้ทำให้เซียวจิ่งสือหมดปัญญาจะตอบ ถ้าเขาบอกว่าใช่ เขาก็จะเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์จริงอย่างที่หลินหว่านพูด ถ้าเขาตอบว่าไม่ใช่ หลินหว่านก็จะคิดว่า อันซิงเป็นคนที่เขา ‘ยินยอมพร้อมใจ’ จะอยู่ด้วย 


 


 


ทิ้งช่วงไปครู่หนึ่ง เซียวจิ่งสือก็พูดขึ้น “ผมกับอันซิงเป็นแค่การแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น หว่านหว่าน คุณเชื่อผมนะ คนที่ผมรักมีแต่คุณเท่านั้น แล้วก็…หว่านหว่าน ผมไม่อยากได้ยินคุณพูดว่าจะรักษาระยะห่างกับผม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจะไม่ยอมให้คุณไปจากผมหรอก” 


 


 


เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านนิ่งอยู่ เธอไม่รู้ว่าทุกครั้งที่เธอบอกว่าจะรักษาระยะห่างกับเขา เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะถูกหลินหว่านสลัดทิ้งไปอย่างนั้น 


 


 


“แสดงละคร? เซียวจิ่งสือ คุณนี่ทำให้ฉันได้เปิดหูเปิดตาเลยจริงๆ นะ เล่นละครกับผู้หญิงที่ตัวเองไม่ชอบ คุณก็ทำได้งั้นสิ?” หลินหว่านพูดเย้ยหยัน 


 


 


เซียวจิ่งสือฟังแล้วคิดจะอธิบาย แต่หลินหว่านพูดต่อว่า “เซียวจิ่งสือ ทางที่ดีคุณอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าคนอย่างคุณอีก ฉันรังเกียจคนที่หลอกลวงความรู้สึกคนอื่นได้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง” 


 


 


เซียวจิ่งสือสีหน้าย่ำแย่ลงไปทุกที ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาส่งเสียงออกมาว่า “หว่านหว่าน ผมเป็นคนของตระกูลเซียว และเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง ผมย่อมต้องทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ผมไม่ใช่คนที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์อย่างที่คุณคิดแน่นอน! เรื่องของอันซิง ผมยังบอกอะไรคุณตอนนี้ไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าคุณจะยังเข้าใจผมกับอันซิงผิดๆ ต่อไป รอให้เรื่องทั้งหมดผ่านไปแล้ว ผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของผมที่มีต่อคุณเอง” 


 


 


เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง เซียวจิ่งสือพูดต่อว่า “แต่…หว่านหว่าน ถ้าคุณคิดจะใช้ข้ออ้างนี้ผละห่างจากผม ผมจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด!” 


 


 


บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองยิ่งร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ หลินหว่านขึงตาเข้าใส่เซียวจิ่งสืออย่างดุดัน กำลังจะพูดบางอย่าง ตอนนั้นเอง ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก เฉียวมั่วเฉินเดินเข้ามา เขายกกล่องอาหารในมือขึ้นแล้วพูดกับหลินหว่าน “หว่านหว่าน อาหารค่ำมาแล้ว เธอรีบกินตอนยังร้อนเถอะ” 


 


 


พูดจบ เฉียวมั่วเฉินเหมือนจะรู้สึกถึงบรรยากาศหนักอึ้งภายในห้อง เขามองไปทางเซียวจิ่งสือกับหลิน 


 


 


หว่านด้วยสายตาประหลาด 


 


 


เมื่อเห็นว่าหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือเหมือนยังมีคำพูดที่ยังคุยไม่จบ เฉียวมั่วเฉินคิดดูแล้วพูดว่า “หว่านหว่าน เธอกินข้าวก่อนเถอะ ฉันจะไปถามคุณหมอว่ามีข้อห้ามอะไรที่ต้องระวังอีกบ้าง” 


 


 


แม้จะแค่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวัน แต่เฉียวมั่วเฉินดูออกแล้วว่า เซียวจิ่งสือซึ่งในความรู้สึกเขาแล้วแค่มีคุณสมบัติพอจะคบหากับน้องเขาได้ ท่าทางเขาก็ดูรักหลินหว่านเอามากๆ ทีเดียว แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนกลับไม่เหมือนคู่รักกันธรรมดาทั่วไป คิดจะอยู่ด้วยกันจริงๆ ยังต้องเจออุปสรรคอีกมาก 


 


 


ถึงอย่างไรก็ให้พวกเขาได้คุยกันให้เข้าใจชัดแจ้งก่อน เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกยังต้องแก้ไขกันเอง ไม่อย่างนั้นเขาที่เป็นคนนอกก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก 


 


 


พอเฉียวมั่วเฉินไปแล้ว ดวงตาของเซียวจิ่งสือเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่หลินหว่านไม่เข้าใจ เขาถามหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน เมื่อครู่ผมพูดชัดเจนพอแล้วนะ คุณยังมีอะไรอยากจะพูดไหม” 

 

 

 


ตอนที่ 150

 

หลินหว่านมองดูคนตรงหน้า ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นทั้งคนคุ้นเคยและคนแปลกหน้า เธอไม่เข้าใจเลย ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งนานขนาดนี้ แต่ในชั่ววูบนี้เธอรู้สึกไม่เข้าใจเซียวจิ่งสือเอาเสียเลย หลินหว่านรู้สึกท้อใจมาก เธอคิดว่าเซียวจิ่งสือคนเดิมจะยังกลับมาอีกไหมนะ?


 


 


หลินหว่านพูดเสียงเย็น “เซียวจิ่งสือ คุณเองก็บอกว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจแล้ว งั้นก็น่าจะทำในสิ่งที่นักธุรกิจเขาทำกัน พวกคุณเห็นแก่ผลประโยชน์มาเป็นอันดับหนึ่งเสมอไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น ฉันอยากจะบอกคุณว่า ตัวฉันไม่มีผลประโยชน์อะไรที่คุณอยากจะได้หรอกนะ”


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกว่างเปล่า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมความรู้สึกของพวกเขาตอนนี้กลายเป็นอย่างนี้ไปได้ เป็นเพราะเขาทำผิดไปแล้วจริงๆ หรือเพียงแค่ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้มแข็งพอ ไม่อาจให้ในสิ่งที่หลินหว่านต้องการ ก่อนหน้านี้เขาแค่อยากจะหาเวลามาทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นเพื่อจะกลับมาหาหลินหว่านทีหลัง แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว หลินหว่านเข้าใจเขาผิดอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ ซะแล้ว


 


 


เซียวจิ่งสือคิดในใจว่าเขายังต้องสงบจิตใจมาพูดกับหลินหว่านให้เข้าใจ เพราะเขาต้องยอมรับกับตัวเองว่าที่ผ่านมาใจเขามีเพียงหลินหว่านเท่านั้น


 


 


เซียวจิ่งสือพูดอ้ำอึ้ง “หลินหว่าน พวกเราอย่าเพิ่งใช้อารมณ์กันได้ไหม ปล่อยวางเรื่องเมื่อก่อนไปเถอะ”


 


 


ยังไม่ทันที่เซียวจิ่งสือจะพูดจบ หลินหว่านก็โพล่งขึ้นอย่างโมโห “อย่ามาเสียเวลาเปล่ากับฉันอีกเลย ฉันไม่มีผลประโยชน์อะไรให้คุณทั้งนั้น ฉันว่าคุณน่าจะไปหาคนที่คุณจะแต่งงานด้วยนะ แทนที่จะมาหาฉัน คนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ”


 


 


อาการหึงหวงของหลินหว่านแสดงออกทางสีหน้า เซียวจิ่งสือเห็นแล้วรู้สึกว่าเธอน่ารักเป็นบ้าเลย


 


 


“เซียวจิ่งสือ อย่าคิดว่าจะได้ผลประโยชน์อะไรจากตัวฉัน เมื่อก่อนฉันมองคุณผิดไป ปล่อยให้ความรู้สึกในตอนนั้นผ่านไปเถอะ พวกเราจะได้มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ฉันไม่อยากได้ความรักที่เจือปนกับอะไรอย่างอื่น ฉันแค่อยากจะได้ความรักที่บริสุทธิ์สะอาดเท่านั้น” หลินหว่านพูดสีหน้าจริงจัง


 


 


คราวนี้เซียวจิ่งสือรู้สึกอับจนของจริง เขาคิดไม่ถึงว่าหลินหว่านเข้าใจเขาผิดไปมากมายใหญ่โต แต่ตอนนี้จะอธิบายอย่างไรจึงจะให้หลินหว่านรู้ว่าเขามีความจำเป็นจริงๆ


 


 


เซียวจิ่งสือลูบศีรษะตัวเอง มองดูหลินหว่าน เขาอยากจะบอกหลินหว่านมากมายหลายเรื่อง แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เซียวจิ่งสือรู้ว่าเรื่องที่เขาทำก่อนหน้านี้จะทำให้หลินหว่านเข้าใจเขาผิดอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าจะมากไปขนาดนี้


 


 


“หลินหว่าน คุณฟังผมอธิบายหน่อยได้ไหม ผมไม่ได้ต้องการผลประโยชน์อะไรจากคุณเลยจริงๆ นะ แล้วผมก็หวังว่าคุณจะไม่เห็นผมเป็นคนแปลกหน้าด้วยเหตุนี้ ผมกับเซียวจิ่งสือคนก่อนเป็นเหมือนกัน แค่ผมมีเหตุให้พูดออกมาไม่ได้ ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจผมนะ” เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างคาดหวัง


 


 


หลินหว่านไม่ได้พูดอะไร ยังหันมองไปทางอื่นอย่างดื้อดึง ใจเธอพลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกที่อยากจะกอดเซียวจิ่งสือไว้ แต่ส่วนลึกของเธอรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะทำตัวเฉยชา หลินหว่านรู้สึกได้ว่าเซียวจิ่งสือคนนี้กับคนก่อนมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่กลับพูดไม่ออกว่าเปลี่ยนไปตรงไหน ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ส่วนลึกในใจของหลินหว่านก็ยังคิดถึงเซียวจิ่งสืออยู่ดี หลินหว่านอยากจะควบคุมความคิดแบบนี้ของเธอ แต่ก็ทำไม่ได้


 


 


“คุณไปซะเถอะ แล้วอย่ามาหาฉันอีก ตอนนี้ฉันไม่มีสิทธิ์จะได้รับความดูแลเอาใจใส่จากคุณ พวกเราจะกลับไปเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว คืนดีกันแม้จะง่ายแต่จะให้เหมือนเมื่อก่อนนั้นยากเกิน ต่อไปคุณก็อย่าพูดอะไรแบบนี้อีก ให้เราสองจากกันด้วยดีเถอะ”


 


 


หลินหว่านพูดความในใจจนจบแล้วกลับรู้สึกโดดเดี่ยวมาก เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงพูดออกไปแบบนั้น บางทีมีแต่ทำแบบนี้หลินหว่านจึงจะรู้สึกหลุดพ้น แต่พอพูดจบกลับรู้สึกเครียดยิ่งกว่าเดิม หลินหว่านว้าวุ่นใจขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าเซียวจิ่งสือจะทำอะไรต่อไป


 


 


เซียวจิ่งสือฟังคำพูดของหลินหว่านจนจบแล้วรู้สึกช็อกไปเลย ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะชดเชยอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ แม้แต่คำอธิบายยังไม่มีโอกาสพูดออกจากปากด้วยซ้ำ หลินหว่านในตอนนี้เข้าใจเขาผิดอย่างมาก แต่ที่ทำให้เซียวจิ่งสือรู้สึกเสียดายอยู่บ้างก็คือ หลินหว่านไม่ให้โอกาสเขาอธิบายเลยด้วยซ้ำ เซียวจิ่งสือคิดว่าน่าจะให้หลินหว่านสงบจิตใจก่อนสักระยะ และให้เวลาตัวเขาได้ตั้งสติระยะหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจว่าจะไปจากหลินหว่านชั่วคราวก่อน เขาคิดว่าอีกสักระยะก็ยังมีโอกาสอีก ขอเพียงเขาไม่ยอมปล่อยเธอไป จะไม่ยอมไปจากเธอเด็ดขาด


 


 


เซียวจิ่งสือดูเหมือนเดินออกไปจากห้องเงียบๆ หลินหว่านได้ยินเสียงประตูปิด จึงหันไปมองออกนอกหน้าต่าง เธออยากจะเห็นเงาหลังของเซียวจิ่งสือ แต่พบว่าไม่มีโอกาสนั้น หลินหว่านคิดในใจว่าทำไมเธอต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย เธอรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจตัวเองมาก ในส่วนลึกของจิตใจหลินหว่านเธอยังชอบเซียวจิ่งสือ แต่ศักดิ์ศรีทำให้เธอต้องเลือกที่จะจากไป


 


 


หลินหว่านคิดถึงว่าเซียวจิ่งสือยังต้องเติบโตขึ้นอีก บางทีเขาในตอนนี้จำเป็นต้องให้ตัวเองเติบโตขึ้น หลินหว่านไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่างน้อยการตัดสินใจของเธอในตอนนี้ทำให้เซียวจิ่งสือไปจากเธอก่อน


 


 


เซียวจิ่งสือจากไปแล้วแต่ใจยังคิดถึงแต่คำพูดของหลินหว่านอยู่ตลอด ส่วนลึกของจิตใจเขารู้ว่าเขาขาดหลินหว่านไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเป็นคนที่รักกันขนาดนั้น แต่ทำไมตอนนี้จึงเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า


 


 


เซียวจิ่งสือกลับถึงบริษัท เขาไม่สามารถสงบใจได้ ในหัวของเขายังหวนนึกถึงแต่เรื่องดีๆ ของเขากับหลินหว่านตลอด สุดท้ายกลับกลายเป็นอย่างในตอนนี้ เขาก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นใจ


 


 


วันรุ่งขึ้น เซียวจิ่งสือมาถึงที่บริษัท เขายังสงบใจไม่ได้ และเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ ทำให้ดูแล้วเหนื่อยล้ามากๆ


 


 


“ท่านประธานเซียว หลายวันมานี้คุณดูเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงเอาเลย ทั้งยังดูไม่พร้อมจะทำงานเลย กลางคืนคงจะไม่ได้พักผ่อนละสิ! เรื่องนี้น่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าท่านประธานเซียวครับ เมื่อครู่ที่ให้ท่านเซ็นชื่อ ท่านเซ็นเป็นชื่อของคุณหลินหว่าน ท่านประธานเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ” ผู้ช่วยจางพูดอย่างนอบน้อม ในมือยังถือเอกสารที่เมื่อครู่ให้เซียวจิ่งสือเซ็นชื่ออยู่เลย


 


 


เซียวจิ่งสือนิ่งอึ้งไป แล้วจึงเห็นว่าเขาเซ็นเป็นชื่อของหลินหว่าน


 


 


“อ้อ ขอโทษ เมื่อครู่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่เลยเขียนผิดไปน่ะ คุณไปพิมพ์มาให้ผมเซ็นใหม่ก็แล้วกัน” เซียวจิ่งสือยิ้มแล้วพูดขึ้น


 


 


ผู้ช่วยจางยิ้มเล็กน้อยแล้วออกไปจัดการตามสั่ง


 


 


เซียวจิ่งสือยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ เขาหยิบเสื้อนอกมาพาดบ่าแล้วเดินออกไป


 


 


เซียวจิ่งสือเดินอยู่ข้างนอกเป็นครู่ใหญ่ สุดท้ายตัดสินใจว่าจะไปหาหลินหว่าน เขาปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้ คอยแต่จะคิดถึงหลินหว่านโดยไม่รู้ตัว


 


 


เซียวจิ่งสือเดินมาถึงหน้าห้องหลินหว่าน เขาเคาะประตู แต่ข้างในห้องไม่มีเสียงตอบรับอะไรเลย เซียวจิ่งสือโทรหาหลินหว่าน ได้ยินเสียงโทรศัพท์จากมือถือของเธอดังขึ้น เซียวจิ่งสือรู้ว่าหลินหว่านตั้งใจจะหลบหน้าเขา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม