วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 13.11-14.2

ตอนที่ 13-11

 

 


เวลาที่เขามีนั้นมีเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น ฮอนจะต้องรีบกลับพระราชวังไปก่อนที่จะถูกพวกเสนาบดีจับได้ แต่เจ้าพวกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี้กลับบอกว่าต้องเข้มงวดเรื่องการคุ้มกันมากกว่าเดิมเพราะออกมาด้านนอกพระราชวัง แถมยังไม่ยอมขยับออกจากหน้าประตูห้องแม้แต่ก้าวเดียวอีกต่างหาก 


 


 


ทำงานได้เต็มที่สมกับค่าจ้างเสียจริง ฮอนนึกชื่นชมในขณะที่รู้สึกหงุดหงิดไปด้วย จากนั้นกุมขมับพร้อมกับนั่งยองๆ 


 


 


“ได้โปรด…ข้าขอร้องล่ะ ตอนนี้พวกเจ้ากำลังตัดเชื้อสายของราชวงศ์อยู่นะ” 


 


 


“เสด็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


“หากเสด็จพระราชดำเนินกลับ! โอ๊ย!” 


 


 


บรรดาทหารองครักษ์คงจะได้กินไม้เรียวแทนข้าวอย่างแน่นอน รยูฮาที่รู้สึกสนุกในตอนแรกเริ่มรับรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ขึ้นทีละนิด แม้ของที่อร่อยจะอยู่ตรงหน้า แต่เพียงแค่เห็นสายตาของเหล่าทหารองครักษ์นางก็กินไม่ลงแล้ว และในขณะที่ทำเช่นนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเช่นกัน สุดท้ายรยูฮาจึงลุกขึ้นไปยืนตรงข้างๆ ฮอนและเริ่มกดดันเหล่าทหารองครักษ์ 


 


 


“ฝ่าบาท ทรงรับสั่งให้เจ้ากรมกลาโหมเป็นผู้เฝ้าประตูด้วยเถิดเพคะ” 


 


 


“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ การคุ้มกันฝ่าบาทคือหน้าทีของพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


รยูฮาก้าวออกมาด้วยความไม่พอใจและทอดสายตามองทหารองครักษ์ที่โค้งคำนับจนหน้าแทบจะติดพื้น 


 


 


“ราษฎรทุกคนในแผ่นดินนี้จะต้องเชื่อฟังและสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาทผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ ที่ข้าพูดผิดไหม” 


 


 


“ตรัสได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…” 


 


 


“เขาคือนักดาบมือหนึ่ง และเป็นมือขวาที่ฝ่าบาททรงเลือกด้วยตัวเอง ดังนั้นการไม่เชื่อใจเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่ไว้วางใจฝ่าบาท” 


 


 


เหล่าทหารที่ไม่ขยับไปไหนแม้จะได้ยินพระราชบัญชากลับเชื่อฟังและทำตามคำพูดของรยูฮา นางทาอะไรไว้บนลิ้นหรือไม่นะ ถึงได้พูดเก่งเช่นนี้ ในระหว่างที่ฮอนรู้สึกประทับใจอยู่นั้น เหล่าทหารองครักษ์ก็ค่อยๆ ออกไปข้างนอกและไปออกันอยู่ที่ลานหน้าเรือน แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้เรียกโฮจินมา พวกเขาทำแค่เพียงปิดประตูและมุดเข้าไปในเตียง 


 


 


“ข้าคิดถึงเจ้ามาจนกินข้าวไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ…” 


 


 


“โธ่ๆ ฮอนของพวกเราเป็นถึงขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ” 


 


 


แม้กระทั่งระหว่างที่พูด ริมฝีปากทั้งสองก็ดูดดึงกันและกันไม่ปล่อยแม้แต่วินาทีเดียว มือของฮอนขยับเขยื้อนด้วยความรีบร้อนท่ามกลางคำหวาน สัมผัสนี้ กลิ่นนี้ เสียงนี้ ใช่แล้ว เขาวิ่งมาถึงที่นี่โดยไม่ได้หลับได้นอนเพื่อสิ่งเหล่านี้ ส่วนความเหน็ดเหนื่อยนั้นบินออกไปไกลตั้งนานแล้ว 


 


 


“พอไม่มีเจ้า พระราชวังก็ว่างเปล่า” 


 


 


“ข้าก็เหมือนกัน พอไม่ได้เห็นใบหน้าอันงดงามนี้ก็ไม่มีความสุขเลย” 


 


 


เมื่อรยูฮาตอบโต้กลับด้วยคำพูดสั้นๆ ฮอนที่กำลังขบเม้มริมฝีปากล่างของนางเบาๆ ก็หลุดหัวเราะออกมา ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดีนะ 


 


 


“อ้า ไม่ได้การแล้ว พูดจาสุภาพหน่อยเถิดพระมเหสี” 


 


 


“ทำไมเล่า ข้าเป็นพี่สาวนี่นา” 


 


 


รยูฮาลงท้ายคำอย่างน่ารักน่าเอ็นดูพร้อมกับขบเม้มติ่งหูฮอนเบาๆ เสียงและสัมผัส ความเจ็บแสบและความรู้สึกขนลุกต่างถาโถมเข้ามาพร้อมกันทีเดียว จนฮอนครางออกมาเบาๆ 


 


 


“ข้าจะบ้าแล้วจริงๆ นะ” 


 


 


ริมฝีปากที่รุ่มร้อนด้วยความปรารถนาประทับรอยแดงบนผิวขาวเป็นจุดๆ ราวกับเป็นสัญลักษณ์ว่านี่คืออาณาเขตของข้า รยูฮาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พลางดิ้นไปมาเพราะจั๊กจี้ ใครๆ ก็รู้ว่าทำไมนางถึงดิ้นไปมาเหมือนลูกแมวเบบนั้น ทั้งที่ถ้าไม่ชอบก็หักแขนหรือผลักออกก็ได้ แต่มีแค่ฮอนที่ไม่เข้าใจ 


 


 


“อยู่นิ่งๆ หน่อยสิ” 


 


 


รยูฮายกมือขึ้นมาลูบต้นแขนที่กดตัวเองลงแบบไม่ให้เจ็บ แขนที่เคยผอมแห้งในช่วงที่นอนอยู่เฉยๆ อย่างเดียวเริ่มมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนร่างกายอยู่เป็นประจำไม่ขาดแม้งานราชการจะยุ่งก็ตาม เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี ขยันและงานยุ่ง ซึ่งผู้ชายที่มีเสน่ห์ที่สุดในหนังสือนิยายพื้นบ้านมากมายที่รยูฮาอ่านก็คือผู้ชายแบบนั้นนั่นเอง ฮอนหลับตารับสัมผัสของนางและหายใจออกมาด้วยความกระวนกระวายใจ จากนั้นดึงรยูฮาเข้ามากอดไว้แน่นพร้อมกับสอดเข้าไปลึก ฮ้า ลมหายใจยาวของรยูฮายั่วยวนยิ่งกว่าเสียงออดอ้อนของสตรีใดๆ 


 


 


“ดีมากเลย” 


 


 


ฮอนหยุดการกระทำสักครู่และกระซิบอย่างอ่อนหวานข้างหูรยูฮา 


 


 


“อยู่อีกวันแล้วค่อยไปไม่ได้หรือ” 


 


 


“ไม่ได้เพคะ หากทรงจัดการเรื่องคืนตำแหน่งของอดีตองค์ชายเรียบร้อยแล้ว หม่อมฉันจะกลับไปทันทีเพคะ” 


 


 


เอวที่ถอนออกมาได้โดยง่ายขยับขึ้นลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างเสียดาย พอบังเอิญเจอกับโฮจินที่เดินผ่านลานหน้าเรือนไป เหล่าทหารองครักษ์จึงรู้ตัวว่าโดนหลอกและไปรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าประตูอีกครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ต้องใช้เวลายามค่ำคืนไปกับการจ้องมองฉากนั้นอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ดูแลสุขภาพ ดูแลหลานของพวกเรา แล้วก็คิดถึงข้าให้มากๆ และส่งข้อความ…” 


 


 


“เข้าใจแล้ว รีบเสด็จไปเถอะเพคะ ผู้ติดตามรออยู่ไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


ไม่รู้ว่านางรู้ถึงความเศร้าโศกของฮอนไหม รยูฮาจึงทำตัวเย็นชาผิดกับเมื่อคืน ฮอนมองดูเหล่าทหารองครักษ์ที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังนาง ก่อนจะทำตัวเคร่งขรึมพร้อมกับกำชับเป็นครั้งสุดท้าย 


 


 


“พวกเจ้า จงดูแลพระมเหสีให้ดี ห้ามละเลยแม้แต่นิดเดียว” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องไปจริงๆ แล้ว ฮอนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อขึ้นไปบนหลังม้า แต่เขาก็ทำไม่ได้และหันหลังกลับไปสวมกอดรยูฮา ถึงแม้จะปฏิเสธที่จะอาบน้ำเพราะไม่อยากชำระล้างกลิ่นหอมของรยูฮาที่ติดอยู่ทั่วตัวออกไป แต่เขาก็มีกลิ่นที่สดชื่นและละมุนอยู่เสมอ ซึ่งเป็นกลิ่นที่เหมาะกับพระราชาเป็นอย่างมาก 


 


 


“ข้าไม่น่ามาเลย พอได้เจอแล้วคิดถึงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก” 


 


 


“หม่อมฉันจะกลับไปในอีกไม่ช้าเพคะ อีกหนึ่งเดือนก็จะเข้าสู่ระยะปลอดภัยแล้ว ในตอนนั้นโปรดส่งเกี้ยวมาด้วยเพคะ ขออันที่ดีมากๆ เลยนะเพคะ” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะส่งเกี้ยวของข้ามาให้เลย” 


 


 


“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพคะ” 


 


 


คำตอบที่ล้ำหน้าไปหนึ่งก้าวเสมอไม่ว่าจะขออะไรทำให้รยูฮายิ้มกว้างอย่างสดใส ริมฝีปากที่แย้มยิ้มนั้นน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนอดใจไม่ไหวที่จะสัมผัสและดูดกลืนลงไปอีกรอบ เหล่าทหารองครักษ์จึงก้มหน้าลงด้วยสีหน้าตกตะลึง ส่วนโฮจินก็ทำท่าจะอาเจียนอีกครั้ง 


 


 


หลังจากการบอกลาอันแสนยาวนานสิ้นสุดลง ในที่สุดฮอนก็ออกเดินทางมุ่งตรงไปยังพระราชวังโดยมีเพียงทหารองครักษ์แค่ห้านายเท่านั้นที่ประกบทั้งสองข้างตามหลังมา ต่างกับตอนที่เดินทางมา ส่วนอีกห้านายที่เหลือจะต้องอยู่ที่นี่ หลังจากได้รับพระราชบัญชาให้คุ้มกันพระมเหสี 


 


 


รยูฮาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าทำไมถึงต้องให้ทหารมาคุ้มกันบ้านที่มีทั้งนาง โฮจินและมินอาอยู่ด้วย แต่ก็คิดขึ้นเองว่ามันน่าจะเป็นการแสดงความรักของฮอน แม้ว่าจะเป็นความคิดที่ไร้สาระก็ตาม 


 


 


“พวกเจ้าคงจะเหนื่อยกันมามากสินะ” 


 


 


“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี!” 


 


 


“เลิกเรียกข้าว่าพระมเหสีเถอะ เรียกว่านายหญิงก็พอ” 


 


 


“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“นี่คือคำสั่ง” 


 


 


ไม่มีสิ่งใดที่สะดวกสบายเท่ากับคำสี่คำที่ว่า ‘นี่คือคำสั่ง’ อีกแล้ว เพราะมันทำให้ปากของพวกองครักษ์ที่ตะโกนออกมาว่า ‘ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ’ จนเป็นนิสัยเย็บติดกันได้ 


 


 


รยูฮาพึงพอใจที่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วจัดแบ่งห้องพวกเขาแต่ละคนให้ที่เรือนเล็กและเรือนด้านในก่อนจะไปหาโซยู เนื่องจากมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นและที่นี่ก็มีแม่ครัวแค่คนเดียว จึงเห็นว่าน่าจะมีคนรับใช้เพิ่มอีกสักคนสองคน แต่กลับมีคำพูดที่คาดไม่ถึงออกมาจากปากของโซยูที่วิ่งออกมาด้วยความดีใจ 


 


 


“ข้าจะปรนนิบัติรับใช้เองเจ้าค่ะ นายหญิง ข้าเองก็มีคนใช้อยู่อีกสองคน เพราะงั้นเดี๋ยวข้าจะพาพวกนางมาด้วยกันเจ้าค่ะ” 


 


 


“แต่เจ้าต้องดูแลงานที่หอนางโลมด้วยนี่” 


 


 


“คือว่า…เรื่องนั้น นายหญิง ท่านช่วยรับฟังคำขอของข้าอย่างหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ” 


 


 


เป็นเรื่องที่นางรอโอกาสที่จะได้พูดออกไปอยู่เสมอ นัยน์ตาของโซยูเป็นประกายด้วยความคาดหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมากก่อน 


 


 


“ตกลง ว่ามาสิ” 


 


 


“ช่วยให้ข้าออกมาจากหอนางโลมได้ไหมเจ้าคะ จะให้เป็นชนชั้นต่ำหรือสามัญชนก็ได้เจ้าค่ะ” 


 


 


แค่คำขอเพียงอย่างเดียว แต่พอมองรยูฮา นางก็เอาแต่ทำปากพะงาบๆ ยากที่จะเอ่ยออกไป รยูฮารู้สึกว่าโซยูทั้งใสซื่อและน่ารักมากทีเดียว จึงยิ้มเล็กน้อยและลูบหัวเบาๆ เหมือนกับที่เคยทำกับยอนฮวา 


 


 


“ไปกันเถอะ ตามข้ามา” 


 


 


หากคิดตื้นๆ ว่าเพียงแค่จ่ายเหรียญทองให้เจ้าของหอนางโลมเรื่องก็น่าจะจบ แต่ทว่าทองคำคงจะไม่พอสำหรับนางบำเรอผู้เลื่องชื่อในบริเวณนี้ รยูฮาจึงลากโซยูออกมาและตรงไปยังจวนเจ้าเมือง แทนที่จะไปหาเจ้าของหอนางโลม 


 


 


“ไปเรียกเจ้าเมืองมา”  

 

 


ตอนที่ 13-12

 

จู่ๆ ก็มีหญิงสาวแปลกหน้ามาบอกว่า ไปเรียกเจ้าเมืองมา ไม่ใช่ ช่วยไปเรียกเจ้าเมืองมาให้หน่อยเจ้าค่ะ คนเฝ้าประตูจึงมองปราดตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความประหลาดใจ ทั้งยังย่นหน้าผากประหนึ่งมองคนบ้า นางมาในชุดสีขาวราวกับหิมะพร้อมกับผมที่ปักด้วยปิ่นปักผมเรียบๆ ซึ่งสิ่งที่สะดุดตาก็มีเพียงแค่แหวนฝังอัญมณีสีแดงเท่านั้น แต่ที่ไม่ไล่ออกไป เพราะนอกจากจะเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นดูสูงส่งอย่างไรไม่รู้ แล้วยังรู้สึกถึงบางอย่างในน้ำเสียงที่ทรงพลังจนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกด้วย 


 


 


“ต้องบอกมาก่อนว่าเป็นใครมาจากไหน…ขอรับ” 


 


 


เป็นเรื่องที่แปลกมากจริงๆ ปกติแล้วจะพูดจาห้วนๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงเติมคำสุภาพไปที่ท้ายประโยคด้วย คนเฝ้าประตูค้นพบว่าตัวเองรู้สึกสับสนและค่อยๆ เสียศูนย์ทีละน้อย 


 


 


“ข้าจะไม่พูดเป็นครั้งที่สาม ไปเรียกเจ้าเมืองมา” 


 


 


“ไม่ ท่านเจ้าเมืองเป็นขี้หมาบ้านไหนรึ…แต่ข้าจะลองไปคุยกับท่านดูก่อน…ขอรับ” 


 


 


นี่มันไม่ใช่แล้ว คนเฝ้าประตูเข้าไปด้านในเหมือนกับถูกสะกดจิต โดยที่ไม่รู้เลยว่าสัญชาตญาณในการมองผู้มีอำนาจออกได้ช่วยชีวิตตัวเองไว้ อย่างน้อยก็จนกระทั่งก่อนที่จะไปแจ้งเจ้าเมืองว่า “มีผู้หญิงสวมชุดสีขาวมาพบใต้เท้าขอรับ” 


 


 


“ชุดสีขาว?” 


 


 


ชุดสีขาวอย่างนั้นหรือ ชุดขาวคือชุดที่ดูแลรักษายากมาก พวกสามัญชนคนธรรมดาที่ต้องทำงานจึงไม่สามารถใส่ได้ ทั้งยังเป็นชุดที่ดูไม่เป็นชนชั้นสูงด้วยจึงไม่มีใครเหลียวแล แม้จะได้ยินว่ามันค่อนข้างได้รับความนิยมในเมืองหลวงเพราะพระมเหสีทรงชอบใส่ แต่ในเขตชนบทแบบนี้น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้น จู่ๆ ในหัวของเจ้าเมืองที่ขมวดคิ้วก็นึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา จะลืมได้อย่างไรกันเล่า 


 


 


“ผู้หญิงคนนั้น เอ๊ย ท่านผู้นั้น หะ…หางตาชี้ขึ้นนิดหน่อยและดูเป็นชนชั้นสูงใช่หรือไม่” 


 


 


“เอ่อ ถูกต้องขอรับ ท่านรู้จักหรือขอรับ” 


 


 


“ไอ้บ้านี่! ปล่อยให้ท่านผู้นั้นยืนอยู่ข้างนอกหรือไง รีบพาเข้ามาข้างในเดี๋ยวนี้! ไม่สิ เดี๋ยวข้าไปเอง!” 


 


 


เจ้าเมืองรีบร้อนวิ่งออกไปข้างนอกโดยที่ยังไม่ทันได้ใส่รองเท้าให้ดีๆ แล้วหมอบกราบลงกับพื้นในทันที ส่วนคนเฝ้าประตูก็ทำตามเขาโดยที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นกัน คำพูดที่ออกมาจากปากเจ้าเมืองต่อจากนั้นจึงทำให้เขารู้ว่าเมื่อสักครู่นี้ตัวเองได้ก้าวเข้าไปในปรโลกจนถึงก้นแล้วและก้าวออกมา 


 


 


“ถะ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี!” 


 


 


รยูฮาผงกศีรษะให้และเดินตามเจ้าเมืองเข้าไปในข้างใน ในไม่ช้าโต๊ะชาก็ถูกนำออกมา แต่ใบชาไม่ใช่ของชั้นเลิศ ดูท่าว่าตอนนี้เขาคงจะไม่กล้าแตะเงินภาษีสินะ 


 


 


“เจ้าขี้หมา” 


 


 


รยูฮานั่งตรงที่นั่งสำหรับผู้ทรงเกียรติ จิบชาที่เตรียมมาด้วยความเร่งรีบและพูดขึ้นเบาๆ 


 


 


“พะ พ่ะย่ะค่ะ? ทรงหมายถึงกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“คนเฝ้าประตูพูดเช่นนั้นน่ะ เขาถามว่าเจ้าเมืองเป็นขี้หมาบ้านไหนหรืออย่างไร” 


 


 


ไอ้บ้านั่น พระมเหสีคือผู้ที่เคยลากตัวลูกชายซึ่งถูกตัดขาข้างหนึ่งมาและให้เลือกว่าจะให้ตัดอะไรจากแขนขาที่เหลืออยู่ แต่ถึงจะเป็นลิ้นหรือนิ้วมือสักนิ้วหนึ่งก็ไม่ดีแล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นผู้น้อยที่มีความคุ้นเคยกันพอสมควร เจ้าเมืองจึงรวบรวมความกล้าอันน้อยนิดและโน้มศีรษะลงตรงหน้ารยูฮา 


 


 


“กระหม่อมไม่มีอะไรจะแก้ตัวพ่ะย่ะค่ะพระมเหสี ลูกน้องของกระหม่อมไม่เคยทราบมาก่อนจึงได้กระทำเช่นนั้นลงไป โปรดทรงอย่าได้ถือสาหาความเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ว่าจะมาพูดแค่เรื่องเดียว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ในเมื่อรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องตอบรยูฮาจึงยักคิ้วและจิบชาอีกครั้ง นั่นทำให้เขาสิ้นหวังและสะพรึงกลัว ถ้าหากให้เลือกก็คงจะต้องเลือกนิ้วมากกว่าลิ้น แต่คำตอบที่ลอยมาหาเจ้าเมืองซึ่งกำลังคิดในใจอยู่กลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเป็นอย่างมาก 


 


 


“ช่างเถอะ ให้เด็กคนนี้ออกจากหอนางโลมด้วย เจ้าดูแลเรื่องนี้อยู่ใช่หรือไม่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ? ทรงหมายถึงโซยูหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เหตุผลที่พระมเหสีเสด็จมาหาด้วยตนเองก็เพียงแค่เพื่อให้นางบำเรอคนหนึ่งออกจากหอนางโลมเท่านั้นเองน่ะหรือ เป็นเรื่องที่แม้จะเห็นด้วยตาและได้ยินด้วยหูตัวเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่คำพูดต่อมาของนางกำชับอย่างชัดเจน 


 


 


“เดี๋ยวนี้เลย อ่อ เห็นว่าลูกชายของเจ้าตามหาโซยูอยู่นี่…งั้นก็จำไว้ด้วยแล้วกันว่าข้าอยู่ข้างหลังเด็กคนนี้” 


 


 


“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเรียกเจ้าของหอนางโลมมาให้ละเว้นนางออกจากหอนางโลมเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“และหากในอนาคตมีเรื่องที่คนเฝ้าประตูขัดขวางราษฎรอีกครั้งนึงล่ะก็ ถึงข้าจะไม่บอกแต่ก็เชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว” 


 


 


“กระหม่อมจะตักเตือนเขาเป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากเข้าใจแล้วข้าขอตัวก่อน ทำให้ดีล่ะขี้หมา” 


 


 


โซยูเก็บความฝันนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่มันกลับใช้เวลาชั่วพริบตาเท่านั้นที่จะเป็นจริง โซยูกลับไปเก็บของที่หอนางโลมด้วยความภาคภูมิ ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงทั้งหลายถูกแบ่งไปให้พวกพ้อง ส่วนพวกของล้ำค่าและทองคำที่สามารถเอาไปได้ก็ให้คนรับใช้ส่วนตัวถือไป จากนั้นจึงกอดพิณซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่นางชอบในหอนางโลมและยิ้มออกมาหลังจากก้าวออกมาจากประตูใหญ่แล้ว  


 


 


ผ่านไปสามวันแล้วนับตั้งแต่ที่โซยูพาเหล่าคนใช้เข้ามา โฮจินนั่งลงตรงข้ามรยูฮาด้วยสีหน้าจริงจังที่พบเห็นได้ยาก ซึ่งต่างกับนางซึ่งนั่งเอียงตัวและขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความรำคาญ 


 


 


“ต้องไปตอนนี้เลยหรือ” 


 


 


“สัญญาแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แต่ข้าเป็นห่วงมินอา” 


 


 


“โซยูก็คอยดูแลอยู่อย่างดีนี่พ่ะย่ะค่ะ แถมยังมีทหารองครักษ์อีกตั้งห้าคน ขนาดพระราชาที่อยู่ในวังยังแอบหนีออกมาเลย แล้วเวรกรรมอะไรของข้าถึงต้องอยู่ที่นี่และไม่ได้สัมผัสก้นของภรรยาเลยสักครั้งเดียวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“งั้นก็ไปคนเดียวสิ ทำไมข้าต้องลำบากไปรับภรรยาของเจ้าด้วยล่ะ” 


 


 


“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ กรุณารักษาสัญญาที่ให้ไว้ด้วย” 


 


 


ทำไมถึงไปสัญญาอะไรอย่างนั้นไว้นะ รยูฮาตำหนิตัวเองในอดีตที่พยักหน้าตอบตกลงเพราะความมุ่งมั่นที่มาจากอาการเมาเหล้า แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ถ้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไป สู้ไปตอนนี้ที่มินอาเข้าสู่ระยะปลอดภัยน่าจะดีกว่า และถ้าหากกลับเข้าวังไปแล้วก็อาจจะไม่ได้ออกมาอีกสักพักหนึ่งเลย ดังนั้นการได้ไปเที่ยวชมประเทศอื่นก็ไม่เลวเช่นกัน 


 


 


“เก็บของซะ เรือ? ม้า?” 


 


 


“ม้า” 


 


 


“ไปกันเถอะ ตอนนี้เลย” 


 


 


โฮจินได้รับหน้าที่ในการเก็บสัมภาระ ส่วนรยูฮาก็ไปหามินอาในระหว่างนั้น ผิวพรรณดูดีขึ้นมากแล้วและวางใจมากขึ้นหลังจากเห็นที่นางออกไปเดินเล่นในยามที่แดดดี อีกหน่อยก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว 


 


 


“ข้าจะไปฮเยกุกนะ เดี๋ยวกลับมา” 


 


 


“เพคะ เดินทางโดยปลอดภัยอย่าให้เกิดอุบัติเหตุนะเพคะ” 


 


 


โซยูที่กำลังนวดขามินอาอย่างตั้งใจอยู่ข้างๆ หยุดชะงักทันที ไม่ใช่ว่านางได้ยินประโยคที่บอกว่าจะไปดื่มเหล้าข้างบ้านผิดไปใช่ไหม 


 


 


“ฮเยกุก…หรือเจ้าคะ” 


 


 


“อาจจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนั้นเจ้าต้องดูแลมินอาให้ดีนะ ข้าเชื่อใจเพียงแต่เจ้า” 


 


 


ไม่ได้ยินผิดไปจริงๆ ด้วย แต่ทำไมทั้งคนพูดและคนฟังถึงได้ดูนิ่งเฉยกันแบบนั้น สำหรับโซยูแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย ถึงแม้ว่าเรื่องที่พระมเหสีของทั้งประเทศออกจากพระราชวังและเสด็จลงมายังแถบชนบทจะไม่น่าเชื่อ แต่ออกจากพื้นที่ชนบทไปยังประเทศอื่นเนี่ยนะ แถมยังกะทันหันแบบนี้ด้วย 


 


 


“หมายถึงฮเยกุกที่อยู่ข้างๆ อาณาจักรของเราใช่ไหมเจ้าคะ บอกว่าจะออกเดินทางไปตอนไหนนะเจ้าคะ” 


 


 


“หลังจากเก็บของเสร็จก็น่าจะหลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม เก็บเป็นความลับจากพวกทหารองครักษ์ด้วยนะ ไม่ต้องออกมาร่ำลาล่ะ” 


 


 


นางไม่อยากให้พวกน่ารำคาญติดสอยห้อยตามมาแม้แต่นิดเดียว รยูฮาทิ้งมินอาที่ยังคงนั่งอย่างสงบนิ่งและโซยูที่ขยับไม่ได้เพราะตกตะลึงเป็นอย่างมากไว้ข้างหลัง ก่อนจะออกมาหยิบชุดคลุมกับดาบสีนิล หลังจากนั้นก็เมินเฉยกับคำถามของพวกทหารองครักษ์ที่ถามว่าโฮจินไปที่ไหน และจูงม้าออกไปข้างนอกสองตัว 


 


 


เกิดเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นพักหนึ่งท่ามกลางเหล่าทหารที่เพิ่งรู้ว่าพระมเหสีหายตัวไปหลังจากผ่านไปแล้วสักพักใหญ่ แต่ก็สายไปเสียแล้ว รยูฮาที่ยังใจดีทิ้งข้อความฉบับหนึ่งไว้ให้ออกเดินทางตรงไปยังชายแดนด้วยกันกับโฮจิน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“…เดี๋ยว” 


 


 


รยูฮาดึงสายบังเ**ยนด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย เมื่อมองแวบแรกมันก็เป็นแค่ศูนย์กลางของกลุ่มการค้าต่างๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากสิ่งที่มีขนาดใหญ่เป็นเท่าตัวของบ้านเรือนเท่านั้น แต่สัญชาตญาณของนักรบย่อมสัมผัสได้แม้แต่อันตรายเพียงน้อยนิด แม้โฮจินซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มจะไม่ได้กลับมาเป็นเวลานานก็ตาม แต่ประตูหน้ากลับเงียบเชียบไร้ผู้คน ทั้งยังมีความรู้สึกแปลกๆ ออกมาจากด้านในอีกด้วย พอหันไปมองข้างๆ โฮจินเองก็หยุดม้าอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน 


 


 


“แม่งเอ๊ย” 


 


 


แต่ที่ต่างจากรยูฮาคือเขาได้กลิ่นแล้วว่าความผิดแปลกนี้เริ่มต้นมาจากที่ใด ทั้งสองจึงมุ่งตรงไปยังย่านที่พลุกพล่านวุ่นวายแทนที่จะเข้าไปด้านใน เนื่องจากในการพูดคุยเรื่องที่เป็นความลับ สถานที่ที่พลุกพล่านย่อมดีกว่าสถานที่ที่เงียบสงบอยู่แล้ว สายตาจำนวนหนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขาซึ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยมที่เสียงดังอึกทึกครึกโครม แต่ก็หายไปหลังจากที่พวกเขานั่งลงตรงในหลืบหนึ่งของโรงเตี๊ยม รยูฮาสั่งเหล้าทั้งที่บอกว่าจะไม่ดื่มกับอาหารที่กินง่ายๆ จากนั้นนั่งเท้าคางมองปราดโฮจินตั้งแต่หัวจรดเท้า 


 


 


“ตอนนี้บอกได้หรือยัง ทำไมถึงต้องพาข้ามารับภรรยาของเจ้าด้วย แล้วเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มของเจ้า” 


 


 


“สัญญาก่อนขอรับว่าจะไม่ทุบตี และจะช่วยข้าไปจนถึงที่สุด” 


 


 


อะไรกัน หรือว่าตอนที่อยู่ที่ฮเยกุกจะไปก่อเรื่องอะไรไว้อีก ทว่าเรื่องราวของโฮจินที่ถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ หลังจากดื่มน้ำเย็นเข้าไปหนึ่งแก้วนั้นไม่ใช่เรื่องประเภทที่จะรับฟังได้อย่างสบายใจนัก หลังจากเขาพูดจบ รยูฮาจึงเหวี่ยงหมัดใส่เขาโดยที่ลืมเรื่องที่สัญญาว่าจะไม่ทุบตีไปเสียสนิท  

 

 


ตอนที่ 14-1

 

 


 


 


“แฮ่ก แฮ่ก…” 


 


 


ในยามค่ำคืนที่มีเพียงจันทร์เสี้ยวส่องสว่างหนทางข้างหน้าเพียงแค่สลัวๆ ซึ่งเป็นค่ำคืนที่เยื้องย่างแต่ละก้าวได้อย่างยากลำบาก หากสายตาไม่ดีในความมืดและประสาทสัมผัสไม่ดี แต่ทหารทั้งสองคนวิ่งฝ่าความมืดไปอย่างไม่รู้จบ พวกเขาไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจน นั่นคือการให้เด็กชายที่อยู่ในอ้อมอกหลบภัยไปยังด้านนอกของฮเยกุกได้โดยสวัสดิภาพ แม้จำนวนทหารที่เคยมีสิบคนในตอนออกมาจากพระราชวังจะเหลือเพียงสองคน แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ 


 


 


“อึ่ก!” 


 


 


ทหารที่วิ่งอุ้มเด็กชายส่งเสียงครวญครางออกมาเบาๆ พร้อมกับหยุดยืนกับที่ ทหารที่อยู่ข้างๆ จึงอุ้มเด็กชายขึ้นมาทันทีราวกับได้สัญญากันไว้ จากนั้นทหารที่หยุดยืนก็หักลูกธนูตรงไหล่ออกและดึงดาบออกมา โดยไม่มีแม้แต่เวลาให้มาพูดคุยสื่อสารกัน ส่วนหทารคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ยังคงอุ้มเด็กชายแล้ววิ่งต่อไป 


 


 


อีกนิดเดียว อีกเพียงนิดเดียว หากลงเขาลูกนี้ไปก็จะมีหมู่บ้านแล้ว และหมู่บ้านนั้นคืออาณาเขตของแทซากุก ในไม่ช้าเสียงดาบที่กระทบกันอยู่ด้านหลังก็ดังกึกก้องไปทั่วภูเขาอันเงียบสงบ ทางฝั่งนั้นมีจำนวนมาก ส่วนทางฝั่งเรามีแค่คนเดียว ทั้งยังเหนื่อยมากและถูกลูกธนูยิงอีก คงจะอดทนอีกได้ไม่นาน ส่วนเด็กชายก็ยังคงตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของทหารที่กัดปากแน่นและวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มี เมื่อเดินทางมาถึงชายแดน ในท้ายที่สุดทหารก็ต้องได้ลิ้มรสกับความสิ้นหวังอันโหดร้าย 


 


 


“สายไปแล้วสินะ ระหว่างทางที่มาก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องตายแน่ๆ” 


 


 


จากการนับคร่าวๆ ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมีประมาณสิบหกคน ซึ่งไม่ว่าทหารเพียงคนเดียวที่หมดแรงแล้วจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้ แต่เขาก็ซ่อนตัวเด็กชายไว้ข้างหลังและกระซิบเบาๆ 


 


 


“หนีไปพ่ะย่ะค่ะ ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องรอดชีวิตไปให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าทำไม่ได้หรอก” 


 


 


ทหารที่พาเด็กชายมาจนถึงที่นี่คือหัวหน้าทหารองครักษ์ขององค์รัชทายาทผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสามารถอันโดดเด่ดแม้แต่ที่ฮเยกุก แม้จะเป็นการต่อสู้ที่ไร้หนทางชนะ แต่เขาก็สามารถอดทนมาได้สักพักใหญ่ทีเดียว ทว่ามันก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ก่อนที่เด็กชายจะพ้นสายตาของพวกเขาไป คมดาบอันแหลมคมก็แทงตรงเข้ามาที่แผ่นหลังพร้อมกับเลือดที่ไหลรินลงมา ความโหดเ**้ยมอำมหิตอันน่าขนลุกทำให้เด็กชายรู้สึกถึงจุดจบของชีวิตอันแสนสั้น ทว่าสิ่งที่สัมผัสตัวเด็กชายซึ่งหลับตาพร้อมรับความตายนั้นกลับไม่ใช่คมดาบ หากแต่เป็น… 


 


 


“ไล่ฆ่าพวกผู้ใหญ่ทั้งหมด ก็เพื่อจับตัวไอ้หนูน้อยนี่คนเดียวน่ะหรือ” 


 


 


เสียงผู้ชายที่ฟังดูกระแทกกระทั้นอย่างไรก็ไม่รู้ ภาษาเหมือนกันแต่สำเนียงการพูดต่างกัน สายตาของเด็กชายที่เหลียวหลังมองอย่างช้าๆ ด้วยดวงตาสีน้ำตาลซึ่งเต็มไปด้วยความกลัว มองเห็นเหล่าทหารที่นอนกระจัดกระจายกันราวกับใบไม้ร่วง อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนี้ฆ่าหมดเลยคนเดียว ในพริบตาเดียวแบบนี้เลยหรือ เด็กชายมองรอบๆ อย่างกระวนกระวายใจ ก่อนจะพบผู้ชายที่คุ้นหน้ายืนอยู่ท่ามกลางบรรดาทหารที่หมดสติไปและรีบวิ่งไปทางฝั่งนั้น 


 


 


“จินชอน! จินชอน!” 


 


 


“ฝ่าบาท โปรด…ชีวิต…” 


 


 


หัวหน้าทหารองครักษ์ผู้ซึ่งเลี้ยงดูเด็กชายมาตั้งแต่ก่อนเริ่มหัดเดินหลับตาลง โดยที่ยังไม่ทันได้พูดคำสั่งเสียสุดท้าย ชายหนุ่มทอดสายตามองดูพวกเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เขาเช็ดคมดาบที่เปื้อนเลือดกับเสื้อของทหารที่นอนกระจัดกระจายอยู่ข้างๆ แล้วเสียบกลับไปไว้ตรงเอวเหมือนเดิม มันคือดาบสีนิลที่มีสีดำสนิทราวกับยามกลางคืน เขาทิ้งเด็กชายที่น้ำตาไหลพรากเพราะสายตาของหัวหน้าทหารองครักษ์ไว้ข้างหลัง ก่อนจะเดินออกไปอย่างเนิบนาบ 


 


 


“ดะ เดี๋ยวก่อน! จะไปไหนน่ะ!” 


 


 


แม้จะเป็นชายแปลกหน้าซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เด็กชายก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นช่วยตนเพราะสัญชาตญาณ ทั้งยังรู้ด้วยว่าชายผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจจะช่วยตนเองเช่นกัน 


 


 


“เด็กตัวเท่าถั่วอย่างเจ้ามาพูดจาห้วนๆ กับผู้ใหญ่ได้ที่ไหนกัน” 


 


 


ชายหนุ่มบ่นงึมงำโดยที่ยังไม่หยุดเดิน แม้ในตอนที่เด็กชายรีบลุกพรวดวิ่งไปจับชายเสื้อของเขาไว้ก็ตาม นอกจากนั้นยังเขย่าชายเสื้อและเกาะแกะจนเขาน่าจะรำคาญด้วย 


 


 


“ช่วยข้าด้วย แล้ววันหลังข้าจะตอบแทนให้อย่างงาม” 


 


 


“ดูท่าคงจะเกิดเรื่องขึ้นสินะ ก่อนอื่นเลย ข้าช่วยเจ้าไว้เพราะนึกถึงลูกชายขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้อีก หากลงไปอีกนิดหน่อยก็จะมีหมู่บ้าน อยู่รอดด้วยตัวเองไปเถอะ” 


 


 


เด็กชายปล่อยชายเสื้อแล้วทรุดนั่งลงไปกับพื้น มึนงงไปพักหนึ่งขณะที่จ้องมองแผ่นหลังของเขา ความไม่เป็นสองรองใครและดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ชีวิตของเด็กชายเป็นเช่นนั้น เพราะเขาคือผู้แซงหน้าเหล่าพี่ชายและได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาททันที หลังจากเกิดมาเป็นโอรสของพระมเหสีเอก จนกระทั่งหนึ่งในบรรดาพี่ชายของเขาไปจับมือกับพระมเหสีองค์ที่สามผู้ซึ่งเข้ามาใหม่หลังจากการตายของแม่บังเกิดเกล้า ไม่ใช่สิ จนกระทั่งเขาร่วมมือกับพระมเหสีองค์นั้นเพื่อฆ่าพี่น้องทั้งหมดและขึ้นครองราชบัลลังก์ด้วยตัวเองทันทีที่อดีตพระราชาเสด็จสวรรคต แต่ตอนนี้เด็กชายตระหนักถึงสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ได้ดีกว่าครั้งไหนๆ 


 


 


“ได้โปรด…ช่วยข้าด้วยเถิด” 


 


 


ชายหนุ่มที่เดินออกไปไกลหยุดฝีเท้าราวกับได้ยินเสียงอันแผ่วเบานั้น แผ่นหลังนั้นขยับใกล้เข้ามาหาจิน 


 


 


“ได้โปรดช่วยข้าด้วย แล้วข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่าน” 


 


 


ชักจะน่ารำคาญแล้วสิ ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองพลางเกาหลังคออย่างไม่พอใจ หลังจากกลับมาจากการตรวจตราเขตชายแดนก็ว่าจะเก็บสมุนไพรหายากเสียหน่อยจึงขึ้นเขามาจนลึก และดันมาพบเด็กน้อยที่ถูกไล่ตามมาพอดี แต่เพราะว่าบุตรชายคนที่สามจากในบรรดาบุตรทั้งสี่คนของเขาที่อยู่ที่บ้านมีรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าหนูน้อยนี่ เขาจึงไม่สามารถเมินเฉยต่อเด็กชายที่น่าจะตายในอีกไม่ช้าหากปล่อยทิ้งไว้ไปได้ 


 


 


หลังจากกวัดแกว่งดาบไปตามเรื่องตามราวและโค่นพวกทหารทั้งหมดได้ จึงได้รู้ว่าชุดที่เด็กคนนั้นสวมใส่อยู่คือชุดที่พวกราชวงศ์ของฮเยกุกสวมใส่กัน และเห็นว่าเด็กชายคนนั้นนอนอยู่ที่พื้นโดยสูญเสียความมีเกียรติไปหมดสิ้น ได้ยินมาว่าบรรดาองค์ชายของฮเยกุกถูกสังหารหมู่ไปหมดแล้วหลังจากเกิดการก่อกบฏขึ้น หรือว่าเขาจะเป็นองค์ชายที่มีชีวิตเหลือรอดด้วยความโชคดี ภายในหัวของเขาคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของแทซากุกกับฮเยกุกในตอนนี้ พระราชาผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ของตนและใบหน้าของภรรยาซึ่งน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพระราชาขึ้นมาตามลำดับก่อนจะเลือนหายไป แต่ความกังวลของเขาไม่ได้มากมายถึงเพียงนั้น 


 


 


“เจ้าชื่ออะไรล่ะ” 


 


 


“…จิน” 


 


 


ไม่บอกแซ่ของราชวงศ์สินะ ฉลาดไม่น้อยทีเดียว ชายหนุ่มหันหลังกลับมาและจู่ๆ ก็ถอดชุดผ้าไหมและรองเท้าหรูหราที่เด็กชายสวมใส่อยู่แล้วโยนออกไปอย่างไม่แยแส แต่เก็บตุ้มหูทองขนาดเล็กที่ติดอยู่ที่หูข้างหนึ่งไว้ในหน้าอก 


 


 


“โฮจิน นี่คือชื่อของเจ้า มีชุมชนแออัดอยู่แถวๆ นี้พอดี เอาเป็นว่าข้าเก็บเจ้ามาจากที่นั่นแล้วกัน จงลืมชีวิตที่ผ่านมาไปซะ” 


 


 


ในยามค่ำคืนที่มีเพียงพระจันทร์เสี้ยวเรืองรองเฝ้ามองพวกเขา นั่นคือการพบกันครั้งแรกของยูจิน องค์ชายแห่งฮเยกุกที่ถูกขับไล่มาจากการยึดอำนาจและซอดู รองเจ้ากรมกลางโหมวัยหนุ่มซึ่งในภายหลังได้มาเป็นมหาเสนาบดีของแทซากุกซึ่งมีอำนาจเป็นรองจากพระราชา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หลังจากฟาดโฮจินไปหลายรอบ รยูฮาก็พยายามสงบจิตสงบใจพร้อมกับลดเสียงต่ำลง 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คือองค์ชาย?” 


 


 


“ใช่แล้วขอรับ” 


 


 


โฮจินยักไหล่อย่างขี้เล่นและยังคงเป็นโฮจินที่รยูฮารู้จักเหมือนเดิม แม้จะเปิดเผยตัวตนแล้วก็ตาม ท่านพ่อที่มักจะออกจากบ้านไปเป็นเวลานานในสมัยที่นางยังเล็กๆ เคยกลับบ้านมาพร้อมกับมีเด็กชายที่ไหนไม่รู้คนหนึ่งติดสอยห้อยตามมาด้วย เด็กคนนั้นที่ท่านพ่อเห็นว่ากำพร้าพ่อแม่และเดินเร่ร่อนอยู่จึงเก็บมา ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน แต่หลังจากเข้ามาในบ้านของตระกูลขุนนาง นอกจากจะไม่เศร้าซึมแล้ว ยังอ่านหนังสือออกแถมยังหยิ่งยโสมากอีกด้วย แต่ในระหว่างที่ได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน นางก็เริ่มชินกับท่าทางของเขาและไม่ได้คิดอะไรอีก 


 


 


“แล้วทำไมต้องหลบหนีไปที่ฮเยกุกด้วยล่ะ” 


 


 


“เพราะท่านอาจารย์สั่งว่าอย่างนั้น” 


 


 


มันคือคำสั่งที่ท่านมหาเสนาบดีมอบให้โฮจินซึ่งเป็นผู้ร้ายพร้อมกับป้ายประจำตัวกับกลุ่มพล จงพากลุ่มไปยังฮเยกุกและสอดแนมการเคลื่อนไหวซะ เป็นไปตามที่คาดไว้ พระราชาซึ่งได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แต่ไร้ทายาทสืบสกุลเริ่มตามหาพี่น้องที่ยังรอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียวในตอนที่สายเกินไป แต่โฮจินรู้สึกได้ว่าอันตรายกำลังเข้ามาใกล้จึงว่าจะรีบถอยทัพออก แต่เพราะได้รับการเรียกตัวอย่างเร่งด่วนของรยูฮาพอดี การพาแชยอนไปด้วยค่อนข้างจะเสี่ยงอันตราย เขาจึงกลับมายังแทซากุกด้วยตัวคนเดียว 


 


 


“แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


“หลังจากต้องไปติดอยู่ในหุบเขาในระยะหนึ่ง ข้าก็เลยไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกนั่นเป็นอย่างไรบ้าง แต่ดูเหมือนว่าไอ้หมอนั่นหรือท่านพี่ของข้าน่าจะหากลุ่มเจอแล้วอย่างแน่นอน แต่ในคราวนี้เพราะว่าข้าต้องออกตามหามินอา จึงส่งหน่วยข่าวกรอกออกไปแทน แต่ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆ มานานแล้วขอรับ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะไม่ได้ตามหาเพื่อจะฆ่าเจ้าสินะ” 


 


 


“ขอรับ เขาตามหาเพื่อให้ข้าเป็นรัชทายาทขอรับ ในคราวนี้น่ะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็บอกไปสิว่าจะทำ” 


 


 


“พูดอะไรน่าขนลุก”  

 

 


ตอนที่ 14-2

 

โฮจินขมวดคิ้วพลางรู้สึกขนลุก 


 


 


“อีกเดี๋ยวข้าก็จะออกจากตำแหน่งขุนนางและแค่ออกไปใช้ชีวิตพร้อมกับขยำก้นของแชยอนไปด้วยขอรับ มันก็มีช่วงหนึ่งที่ข้าเคยคิดจ้องหาโอกาสในการแก้แค้นอยู่เหมือนกัน นั่นทำให้ข้ามุ่งมั่นในการเรียนรู้วิชาดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดอะไรแล้วขอรับ มิหนำซ้ำยังคิดอีกด้วยว่าแบบนี้ก็น่าจะดีเสียกว่า” 


 


 


“ไหนบอกว่าผู้ที่ดูแลเจ้าตั้งแต่ยังเล็กถูกสังหารหมดทุกคนไง” 


 


 


“ตอนนี้ข้ามีคนที่สำคัญกว่าพวกเขาแล้วขอรับ นอกจากนั้นแล้วแม่นมกับพวกทหารองครักษ์ก็คงไม่ได้อยากให้ข้าใช้ชีวิตไปกับการแก้แค้นไร้สาระหรอก” 


 


 


การคิดเองเออเองแบบนั้นคือลักษณะพิเศษเฉพาะของพวกราชวงศ์ทุกประเทศเลยหรือเปล่านะ รยูฮายิ้มเล็กน้อยพลางถือช้อนขึ้นมาตักอาหารที่เย็นชืดแล้ว 


 


 


“แล้วจะทำอย่างไรต่อล่ะ” 


 


 


“อย่างแรกคือต้องแอบเข้าไปในกลุ่มอย่างลับๆ แล้วแอบพาแชยอนข้ามกำแพงหลบหนีออกมา วิธีนี้ดูดีที่สุดแล้วขอรับ” 


 


 


“แล้วคนที่เหลืออยู่ในกลุ่มล่ะ” 


 


 


“เป็นกลุ่มของแทซากุกขอรับ ถ้าเผลอไปสะกิดเพียงนิดเดียวก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาทางการทูตได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถลงมืออย่างผลีผลามได้ ส่วนปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือในกรณีที่แชยอนไม่ได้อยู่ในนั้นและกลายเป็นเหยื่อล่อให้ข้าเข้าไปในพระราชวัง ซึ่งหากเกิดกรณีแบบนี้ขึ้น คุณหนูจะต้องช่วยข้าด้วย เพราะลำพังข้าเพียงเดียวไม่สามารถลอบเข้าไปในวังได้ขอรับ” 


 


 


“…เจ้าจะบอกให้ข้าลอบเข้าไปด้วยกันใช่หรือไม่” 


 


 


“ถ้ารู้ว่านางอยู่ที่ไหนก็คงจะต้องทำเช่นนั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ขอรับ เพราะฉะนั้นช่วยแสดงความภาคภูมิของพระมเหสีให้ดูหน่อยเถิดขอรับ” 


 


 


รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไรไม่รู้ รยูฮาไม่สามารถเรียบเรียงความคิดได้จึงกุมหัวพร้อมกับคิดถึงเรื่องราวในราชวงศ์แทซากุกอันยุ่งเหยิง ใบหน้าของฮอนและพ่อแม่ โฮจินกับแชยอน ทำไมคู่นี้ถึงเป็นตัวก่อปัญหาทุกเรื่องและสร้างความวุ่นวายในชีวิตอันสงบสุขของเราอยู่เรื่อย 


 


 


อย่างไรก็ตาม เขาก็คือโฮจินซึ่งถูกรับเข้ามาเป็นพี่ชายคนเล็กสุดและเติบโตด้วยกันมาเหมือนพี่น้องแท้ๆ รยูฮากับโฮจินเริ่มรวมหัวกันและแบ่งหน้าที่ของแต่ละคนตามที่ถนัด และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฮอนซึ่งได้รับข่าวคราวล่าช้าก็กำลังนึกเสียดายอยู่ว่าทำไมตนถึงไม่ลากรยูฮากลับมา 


 


 


 


 


 


“นี่มันเรื่องจริงรึ” 


 


 


ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องถามเลย เพราะข้อความที่เขาตรวจดูหลายต่อหลายรอบคือลายมือของรยูฮาอย่างแน่นอนไม่ผิดเพี้ยน ฮอนอ่านข้อความซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบและขอให้มีจุดที่ผิดแปลกไปบ้าง แต่มันไม่มีทางที่จะมีอะไรอย่างนั้นได้อย่างแน่นอน 


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ตรวจสอบแล้วว่าทรงประทับอยู่ด้านในจึงเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมพระองค์ถึงเสด็จออกไปได้…” 


 


 


“พวกเจ้าคุ้มกันพระมเหสีกันประสาอะไร!” 


 


 


ฮอนตะคอกเสียงดังใส่ทหารองครักษ์ที่นำข้อความกลับมาให้แล้วถอนหายใจอย่างแรง เขารู้อยู่แล้วว่าถึงจะตะคอกใส่แบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของทหารองครักษ์ หากเป็นรยูฮา การหลบหนีทหารแค่คนสองคนคือเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่มันก็เกินไปหน่อยที่นางเดินทางออกนอกประเทศไปโดยไม่บอกกันสักคำ และทิ้งจดหมายไว้ให้เพียงฉบับเดียว 


 


 


“ไปพาท่านมหาเสนาบดีมา” 


 


 


“ท่านอยู่ข้างนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ประตูถูกเปิดออกด้วยมือของฮอน จากนั้นท่านมหาเสนาบดีจึงเข้ามาข้างในด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ถ้ามีจุดที่ต่างกับปกติก็คงจะเป็นการที่เขาเข้ามาแล้วคุกเข่าก้มหมอบตรงหน้าพระราชาในทันที เมื่อท่านเสนาบดีเข้ามาแบบนี้ในระหว่างที่เขากำลังทำตัวไม่ถูก ฮอนจึงรู้สึกสับสนพร้อมกับเข้าไปห้ามปราม 


 


 


“ทำเช่นนี้ทำไมขอรับ ยืนขึ้นก่อนเถิดท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


“ฝ่าบาท โปรดโยนความผิดทั้งหมดให้กระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่สิ ไม่ ทุกคนถอยออกไปก่อน ห้ามให้ใครเข้ามาใกล้ภายในระยะสามสิบก้าว” 


 


 


หลังจากไล่ข้าราชบริพารทั้งหมดออกไป เขาจึงให้ท่านมหาเสนาบดีลุกขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ศีรษะของท่านมหาเสนาบดีก็ยังคงก้มลงไปที่พื้นราวกับยังไม่ล้มเลิกที่จะขอให้ยกความผิดให้แก่ตัวเอง 


 


 


“ไม่เป็นไร การที่พระมเหสีหายตัวไปจะเป็นความผิดของท่านมหาเสนาบดีได้อย่างไรกัน” 


 


 


“มันเป็นความผิดของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


คิดไว้แล้วว่าเขาคงจะพูดประมาณว่าความผิดที่เลี้ยงลูกสาวมาผิดๆ อะไรแบบนั้น แต่สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ นั้นไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“น่าจะทรงทราบอยู่แล้วว่าพระมเหสีและโฮจินไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ” 


 


 


“ข้ารู้อย่างดีเชียวแหละ ได้ยินมาว่าเจ้ากรมกลาโหมถูกเก็บมาจากชุมชนแออัดตั้งแต่ยังเล็ก” 


 


 


ถุงผ้าสีขาวถุงหนึ่งติดออกมากับมือของท่านมหาเสนาบดีที่ล้วงเข้าไปในหน้าอก ซึ่งสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในนั้นคือตุ้มหูทองขนาดเล็ก แม้จะมีลักษณะเรียบๆ แต่ด้วยสีสันและความประณีต ฮอนจึงมองออกทันทีว่ามันไม่ใช่สิ่งของล้ำค่าธรรมดาทั่วไป 


 


 


“สิ่งนี้คืออะไรหรือ” 


 


 


“ทรงลองดูอย่างละเอียดสิพ่ะย่ะค่ะ มันคือสิ่งที่ติดมากับเด็กคนนั้น ในตอนที่กระหม่อมได้เจอโฮจินครั้งแรกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


มันไม่น่าจะใช่สิ่งของที่ติดตัวมากับเด็กในชุมชนแออัดอย่างแน่นอน ฮอนรับตุ้มหูนั้นมาพลิกดูไปมา แต่แล้วสายตาของเขาก็ไปติดอยู่ตรงลวดลายที่ไม่สะดุดตานัก ในเครื่องประดับของราชวงศ์ของแทบทุกอาณาจักรรวมถึงแทซากุกจะมีลวดลายนั้นประดับอยู่ และการที่มีลวดลายนั้นบนตุ้มหูนี้… 


 


 


“นี่มันสัญลักษณ์ของฮเยกุกไม่ใช่หรือ” 


 


 


ในขณะที่ท่านมหาเสนาบดีไม่ได้ให้คำตอบอะไรเพิ่มเติม ฮอนจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพยายามเรียบเรียงสถานการณ์นี้ ตอนนี้รยูฮาไปฮเยกุกด้วยกันกับโฮจิน เพื่อไปรับแชยอนที่ถูกทิ้งไว้อยู่ที่นั่น อะไรคือเหตุผลที่ต้องให้รยูฮาไปทั้งที่จะไปคนเดียวก็ได้ ไม่สิ จะส่งคนให้ไปรับมาก็ได้ 


 


 


โฮจินดูเป็นผู้ดีเกินไปที่จะมีพื้นเพมาจากชุมชนแออัด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาภายนอกและอากัปกิริยาที่มีความหยิ่งยโส ดวงตาสีน้ำตาลที่พบได้ยาก สัญลักษณ์ของฮเยกุกที่ถูกสลักอยู่บนตุ้มหู บทสรุปที่อนุมานออกมาได้จากหลักฐานมากมายนั้นสลับซับซ้อนมากทีเดียว แม้จะเห็นด้วยก็ตาม 


 


 


“โฮจิน…คือองค์ชายผู้มีชีวิตรอดของฮเยกุกงั้นหรือ” 


 


 


 


 


 


ศูนย์บัญชาการของกลุ่มเงียบสงบราวกับป่าช้าเสียจนสงสัยว่ามีคนอาศัยอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่า แต่ทั้งสองคนก็สามารถรู้ได้ว่ามีคนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ้าง รยูฮาจะคอยดูอยู่ด้านนอกกำแพงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอันตรายที่ไม่คาดคิด ส่วนโฮจินก็แอบเข้าไปทางกำแพงด้านหลัง ก่อนจะตรงไปยังเรือนหลังในที่แชยอนควรจะต้องอยู่ 


 


 


แน่นอนว่าในขั้นตอนนี้จะต้องมีคนโชคร้ายจำนวนหนึ่งที่จะต้องล้มลงกับพื้นแต่ไม่ตาย ทว่าเขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านั้นแทนที่จะเข้าไปในห้องแชยอน จำนวนคนที่สัมผัสได้ในห้องนั้นไม่ใช่แค่คนสองคน 


 


 


“ออกมาให้หมด เลิกซ่อนตัวเหมือนหนูได้แล้ว” 


 


 


โฮจินล้มเลิกที่จะเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ และเปิดประตูออกกว้าง แทนที่จะเป็นแชยอนลุกขึ้นมาต้อนรับเขา ภายในนั้นแน่นขนัดไปด้วยเหล่าทหารที่ดูแล้วน่าจะเกินสิบคน แต่แทนที่จะพุ่งเข้ามาฆ่า พวกเขากลับมองโฮจินและออกมาหมอบกราบตรงพื้นโดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


“ถวายบังคมองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อย่าได้เรียกข้าด้วยคำเรียกประเภทนั้น ภรรยาของข้าอยู่ที่ไหน” 


 


 


ดาบสีนิลที่โฮจินชักออกมาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด ต่างจากเหล่าทหารที่มารวมตัวกันเพียงเพื่อพาเขากลับไป เตียงนอนที่ไม่ได้สัมผัสมานานเป็นเครื่องบอกอย่างดีว่าแชยอนได้หายตัวไปสักพักหนึ่งแล้ว 


 


 


“หากหมายถึงสตรีที่เคยอยู่ที่ห้องนี้ นางไปที่พระราชวังแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หากทรงเสด็จกลับพระราชวังแต่โดยดี นางผู้นั้นก็จะไม่เป็นอันตรายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไร้สาระสิ้นดี” 


 


 


ดาบสีนิลส่องประกายอย่างมืดมน กำแพงสีขาวถูกย้อมสีด้วยเลือดภายในพริบตา ทั้งสองคนตายคาที่โดยยังไม่ทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ใบหน้าของเหล่าทหารที่ไม่คาดคิดว่าจะมีการฆ่ากันเกิดขึ้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่โฮจินชี้ปลายดาบไปยังผู้ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มและพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการจะบอกอย่างแข็งกร้าว 


 


 


“ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่กันหมดก็ไปพานางมาซะ เดี๋ยวนี้” 


 


 


“องค์ชาย” 


 


 


เขาไม่ได้อยากตอบสนองต่อเสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลัง แต่ที่โฮจินหันศีรษะไปตรงนั้น ไม่ใช่เพราะเขาสองจิตสองใจ ทว่าเป็นเพราะเสียงนั้นมันฟังดูคุ้นหูอย่างมากต่างหาก เสียงที่คล้ายกับใครบางคนซึ่งเขาเคยเชื่อใจและชื่นชอบเหมือนกับเสด็จพี่และเสด็จพ่อ 


 


 


“จินชอน?” 


 


 


“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ที่กระหม่อมมาช้า กระหม่อมไม่มีคำแก้ตัวใดๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม