ลำนำสตรียอดเซียน 131-134.2
ตอนที่ 131 ความโกลาหล
ภายในความเงียบของห้องโถงหลัก ได้ยินเพียงแต่เสียงกระแทกกันของขวดและเหยือกจากการปรุงยาขี้ผึ้งของค่วงจู๋
โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินยืนอยู่ด้านหน้าของจ้านไป๋ มองดูผู้ฝึกตนของสำนักกู่เจี้ยนด้านหน้าพวกเขา ทั้งสองคนดูสงบนิ่งแต่เป็นความนิ่งเงียบที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจอย่างแน่นอน
วั่นหงอันเป็นประจักษ์พยานในความสามารถของทั้งสองคนด้วยตัวเอง นอกเหนือไปจากนั้นยังคงมีค่วงจู๋ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังในหมู่พวกเขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกกังวลอย่างช่วยไม่ได้
เขาหันกลับไปมองที่สหายศิษย์แห่งสำนักกู่เจี้ยน แววตาของความก้าวร้าวฉายออกมาทันที หลังจากนั้นเขาจึงก้าวออกมาด้านหน้าและพูดด้วยเสียงอันดัง “ศิษย์พี่ค่วง สองคนนี้คือคนที่ซุ่มโจมตีและฆ่าสหายศิษย์ของข้า! โปรดให้คำอธิบายแก่พวกเราศิษย์สำนักกู่เจี้ยนด้วย!”
เมื่อค่วงจู๋ได้ยินเสียงเขา ค่วงจู๋จ้องไปที่เขาและในทันทีเขาก็ก้มลงและทำการปรุงส่วนผสมของยาต่ออีกครั้ง
เมื่อเห็นการตอบสนองนั้น ในที่สุดวั่นหงอันก็ไม่สามารถเสแสร้งทำเป็นสงบนิ่งบนสีหน้าของเขาได้อีกต่อไป เขาตะโกนด้วยความโกรธ “ค่วงจู๋! นี่เจ้าหมายความว่าอะไร!?”
“พวกเราหมายความว่าอะไร?” คนที่พูดคือจ้านไป๋ผู้ที่ปกติมักเงียบขรึม เขากวาดสายตามองกลุ่มศิษย์แห่งสำนักกู่เจี้ยนอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของเขานั้นชัดเจนและไร้ซึ่งอารมณ์ “เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้าต้องการให้พวกข้าตะโกนอธิบายทุกอย่างเพื่อให้พวกเจ้าขายหน้าน่ะหรือ”
จ้านไป๋ขวานผ่าซากอย่างที่สุด โดยไร้ความละอาย วั่นหงอันหงุดหงิดขึ้นมาในทันที “เจ้า!!!”
โม่เทียนเกอมองขึ้นมาอย่างนุ่มนวลด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของนาง นี่มันช่างงี่เง่าสิ้นดี ทุกคนต่างรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขาเลิกพูดจาอ้อมค้อม สุดท้ายแล้วก็ต้องจบด้วยการต่อสู้กันอยู่ดี พวกเขาจะต้องการเสแสร้งไปเพื่ออะไร! ”
วั่นหงอันมองกลับไปยังสหายศิษย์สำนักกู่เจี้ยน ความโหดเ**้ยมเผยออกมาที่ใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เพียงเสี้ยววินาที ผู้ฝึกตนในชุดคลุมดำแห่งสำนักกู่เจี้ยนทั้งห้าชักกระบี่ของตัวเองออกมาและเปลี่ยนตำแหน่งยืน เตรียมตัวที่จะวางม่านพลัง
จังหวะที่พวกเขาเห็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินใช้เครื่องมือเวทของตัวเองในการขัดขวางไม่ให้พวกเขายืนในตำแหน่งที่ต้องการ
โม่เทียนเกอควบคุมกระสวยอัปสราของนางอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งพุ่งตรงไปยังหนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นต้นของระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ในขณะเดียวกัน นางก็ขว้างเข็มบินได้ไปข้างหน้า อีกฝั่งหนึ่ง กระบี่บินของเยี่ยจิ่งเหวินก็พุ่งตรงเข้าไปหาวั่นหงอัน
ภายใต้การโจมตีของสองคนนี้ ตำแหน่งการยืนของผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนทั้งห้านั้นก็สับสนวุ่นวาย เมื่อเห็นเช่นนั้นโม่เทียนเกอแกว่งมือของนางอีกครั้ง ส่งเข็มบินได้หลายเล่มไปสู่คู่ต่อสู้ของนาง
น่าเสียดายที่สถานที่นั้นเล็กไปหน่อย พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เครื่องรางได้ ปัญหานี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อผู้ฝึกตนสายกระบี่นัก แต่สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปเช่นพวกนาง ข้อเสียนี้ทำให้ความสามารถของพวกนางลดน้อยลง
“ประจำตำแหน่งให้เรียบร้อย! ข้าจะสกัดพวกมันเอง!” วั่นหงอันตะโกน
เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มเยาะ “เจ้ามีอะไรที่จะมาสกัดพวกข้าได้”
ศิษย์ของสำนักเสวียนชิงไม่มีใครที่เป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่อย่างเดียว รวมถึงเยี่ยจิ่งเหวินด้วย ขณะที่เขาควบคุมกระบี่บินได้ ในอีกมือเขาก็ถือเครื่องมือเวทอีกอย่างหนึ่งซึ่งพุ่งตรงเข้าหาวั่นหงอันด้วยเช่นกัน
เขาถูกซุ่มโจมตีจากวั่นหงอันก่อน แต่ตอนนี้โจรก็ยังคงเป็นโจร เยี่ยจิ่งเหวินแค้นใจต่อวั่นหงอันนัก ดังนั้นทุกการโจมตีของเขาจึงมุ่งไปที่วั่นหงอันโดยตรง
โม่เทียนเกอจ้องมองที่เขา นางเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงรวบรวมพลังวิญญาณของนางและขัดขวางการยืนของคนอื่นๆ ต่อไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่สามารถวางม่านพลังดาวพันร่างได้
การต่อสู้ของพวกเขานั้นวุ่นวายไปทั่ว จ้านไป๋ยืนอยู่ด้านหน้าเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ย ทำหน้าที่ปกป้องพวกเขาจากการโจมตีที่อาจบังเอิญพุ่งมาทางพวกเขา ค่วงจู๋ยังคงวุ่นวายอยู่กับสิ่งต่างๆ บนโต๊ะ จัดการกับขวดและเหยือกต่างๆ เหมือนกับเขาไม่เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้านหน้าของเขา
โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินต่างแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นกลางแห่งการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กับคนห้าคน พวกเขาก็ไม่ได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย ไม่ช้าผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนก็เริ่มสูญเสียอารณ์ที่สงบนิ่ง เมื่อเห็นว่าเสี่ยวกูจือและเสี่ยวจุ้ยได้ล่าถอยไปจนมุม หนึ่งในนั้นตะโกน “จัดการเด็กการหลอมรวมพลังวิญญาณเหลือขอสองคนนั้นก่อน!”
ทั้งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินต่างขมวดคิ้ว จ้านไป๋เงยหน้าและมองไปที่ค่วงจู๋ผู้ซึ่งหยุดจัดการกับขี้ผึ้งของเขา
เยี่ยจิ่งเหวินถอนกระบี่บินได้ของเขาและใส่พลังวิญญาณลงไปที่ใบมีด พลังวิญญาณมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอยอยู่บนผิวของใบมีดในทันที ทีละเล็กทีละน้อย พลังวิญญาณก็ครอบคลุมใบมีดทั้งสองด้านอย่างช้าๆ มันแทบจะดูเหมือนกับกระแสน้ำวน ตั้งแต่ที่พลังวิญญาณเคลื่อนที่ออกมาจนถึงเสร็จสิ้นการคงรูป ทั้งกระบวนการใช้เวลาเพียงครู่เดียว เยี่ยจิ่งเหวินเหวี่ยงแขนของเขาอีกครั้ง ส่งผลให้กระแสน้ำวนของพลังวิญญาณขยายออกเป็นขนาดสิบฟุต แผ่ปกคลุมพวกเขาทั้งหมด
ทุกการโจมตีที่มาจากผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนนั้นถูกดูดกลืนโดยกระแสน้ำวน พลังวิญญาณของพวกเขาก็ถูกสะท้อนกลับด้วยเช่นกัน เมื่อกระแสน้ำวนหายไป การโจมตีนับไม่ถ้วนนั้นล้มเหลวอย่างไม่เป็นผล
ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนหน้าซีดเผือด อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เรียกกระบี่บินได้ของตัวเองกลับมาและเริ่มโจมตีต่อ
โม่เทียนเกอเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง ทันใดนั้น ก้อนอิฐนับไม่ถ้วนก็ตกลงมาจากอากาศ ต่อกันขึ้นจนเป็นกำแพงอิฐอยู่ด้านหน้าของโม่เทียนเกอและคนอื่นๆ อีกครั้งที่ทุกการโจมตีถูกสกัดกั้นไว้
จนถึงตอนนี้ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนต่างแตกตื่น ถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนสายกระบี่ผู้ซึ่งควรที่จะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปที่ต่อสู้ด้วยพลังเวท พวกเขาคงจะพ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
วั่นหงอันตะโกน “พลังกระบี่! ใช้พลังกระบี่ของพวกเจ้า!”
หลังจากที่เขาตะโกนเสร็จ ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเปลี่ยนพลังกระบี่ของพวกเขา ทีละคน ทีละคน พลังกระบี่นั้นท่วมท้นโถงอาคารหลักทันที
พลังกระบี่เหล่านี้ไม่ได้อยู่ใกล้ตัวพวกเขา แต่สามารถรับรู้ความน่ากลัวที่ลอยอยู่ในอากาศ เพียงแค่พลังกระบี่เหล่านี้เฉียดผ่าน ก้อนหินและก้อนอิฐหยกภายในโถงหลักก็มีรอยแตกมากมายเกิดขึ้นทันที
โม่เทียนเกอใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพลังกระบี่นั้นท่วมไปทั้งห้องโถง ไม่ว่านางจะกั้นทางไหน พลังก็ยังคงแทรกซึมผ่านมาได้
เยี่ยจิ่งเหวินก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน สำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเช่นพวกเขา พลังกระบี่เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเกรงกลัว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญซึ่งๆ หน้า พลังกระบี่เหล่านี้ก็ไม่สามารถผ่านพลังวิญญาณป้องกันเข้าสู่ร่างกายพวกเขาได้ แต่สำหรับศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณ พลังกระบี่เหล่านั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถึงแม้ว่าจ้านไป๋จะพยายามปกป้องพวกเขาอย่างเต็มที่แล้ว รอยแผลบากก็ยังเกิดขึ้นบนร่างกายของเสี่ยวกูจือและเสี่ยวจุ้ย
โม่เทียนเกอเจ็บแค้นอย่างช่วยไม่ได้ นางถอนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและกระสวยอัปสราและปลดปล่อยจิตสัมผัสของนาง นางพร้อมที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ของนางแล้ว!
ในเวลานี้ ชุดคลุมกระพือผ่านตานาง แวบเดียวค่วงจู๋ก็กำลังยืนอยู่ด้านหน้าพวกนาง สลัดแขนเสื้อ ผงแป้งจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากแขนเสื้อของเขาและค่อยๆ สานเข้าด้วยกันจนมีรูปร่างของตาข่าย มันดูเหมือนกับหมอกบางเบาสีขาว แต่มันสามารถขัดขวางกระบี่บินได้ของคู่ต่อสู้สำเร็จ
เมื่อหมอกขาวจางลง วั่นหงอันผู้ที่ร่างกายเต็มไปด้วยผงแป้งสีขาวตะโกนออกมาด้วยความโกรธจัด “ค่วงจู๋!”
ค่วงจู๋เพียงแค่ยิ้มอย่างเฉยเมย ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธ แต่เขาก็ยังคงวางท่าอย่างอ่อนช้อย “เจ้าควรที่จะรีบไปซะ! ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างพวกเจ้า!”
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่วั่นหงอันแต่ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนคนอื่นต่างโกรธไปด้วย บางคนตะโกน “ค่วงจู๋! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาไล่พวกข้าออกไป!?”
ค่วงจู๋ “ฮึ่ม” ไม่พยายามที่จะปกปิดความรู้สึกรังเกียจของเขา “เพียงเพราะข้าสามารถเอาชีวิตพวกเจ้าได้! มันคงไม่เป็นอะไรถ้าเจ้าต่อสู้กันเอง ข้าก็แค่ทำเป็นตาบอดซะ! แต่นี่เจ้าทำให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมอย่างโจ่งแจ้งวุ่นวาย! กรณีนี้ก็เลิกเสแสร้งทำตัวเป็นมิตรได้แล้ว! พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องมาเล่นเกมเช่นนี้ต่อไปอีก!”
“เจ้า!!!” หน้าของวั่นหงอันบูดเบี้ยว “เลิกหยิ่งผยองในตัวเองที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังเสียที! มีคนอยู่ฝั่งพวกข้ามากมาย พวกข้าไม่มีวันแพ้พวกเจ้าแน่นอน!”
ค่วงจู๋หัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้าเจ้าพูดอีกเพียงแค่ประโยคเดียว ข้าจะปลิดชีพเจ้าซะ!”
นี่ฟังเหมือนเป็นคำขู่ง่ายๆ ซึ่งผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนก็มองเช่นนั้น อย่างไรก็ตามความมุ่งมั่นในการที่จะสังหารที่แสดงออกมาจากท่าทางแสนเย็นชาของค่วงจู๋ทำให้พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก
คนที่ทำลายความเงียบคือเยี่ยจิ่งเหวิน เขาก้าวไปด้านหน้าและพูด “ศิษย์พี่ค่วงจู๋ ท่านมีเจตนาที่ดี และด้วยเหตุนั้นข้าควรที่จะฟังท่าน อย่างไรก็ตามข้าอยากให้พวกนั้นทั้งหมดอยู่ที่นี่”
สีหน้าของวั่นหงอันโกรธจัดอีกครั้งแต่ก็เต็มไปด้วยความตื่นกลัวซ่อนอยู่ ความจริงแล้วเขารู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่าเขาสามารถเหนือกว่าด้วยความแข็งแกร่งของสำนักกู่เจี้ยนในการต่อสู้ด้วยพลังเวทแล้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดคิดว่าคนเหล่านี้จะกล้าแข็งเช่นนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าค่วงจู๋และเยี่ยจิ่งเหวินนั้นแข็งแรงน่ากลัวขนาดไหน แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าหญิงที่มาใหม่ของสำนักเสวียนชิงจะต่อกรได้ยากขนาดนี้ อีกอย่างทั้งสามคนต่างอยู่ในดินแดนที่สูงกว่าพวกเขา ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนสายกระบี่จะเก่งมากในการต่อสู้ด้วยพลังเวท แต่ความเป็นไปได้ที่จะชนะของพวกเขานั้นยังคงน้อยจนน่าสงสาร
ค่วงจู๋ชำเลืองมองที่เยี่ยจิ่งเหวิน “ฆ่าพวกมันซะถ้าเจ้าต้องการ เผื่อเจ้าจะช่วยพวกเราให้ไม่ต้องรู้สึกรำคาญเวลาที่เจอพวกมัน!”
เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มและประกบมือให้เขา หลังจากนั้นจึงหันกลับมามองที่โม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอยิ้มกลับ ทั้งสองคนเรียกกระบี่บินได้และเครื่องมือเวทกลับคืน พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องซ่อนเจตนาฆ่าอีกต่อไป
ตอนที่ 132-1 การเผชิญหน้า
เมื่อค่วงจู๋เห็นว่าเจตนาฆ่าของพวกเขานั้นแรงกล้าขนาดไหน จึงถอยกลับอย่างง่ายดาย และไปยืนควบคู่กับจ้านไป๋ด้านหน้าเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยเพื่อปกป้องพวกเขา อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเขาเคลื่อนที่ไวดั่งแสงพาผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสองคนหายวับไปกับเขาและพาไปยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า
เมื่อเห็นดังนั้น เยี่ยจิ่งเหวินและโม่เทียนเกอยิ้มกว้างขึ้นอีก ด้วยการพาเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ย ศิษย์พี่ค่วงจู๋ได้ทำให้พวกนางคลายกังวลและให้อิสระในการต่อสู้ของพวกนาง อีกอย่าง เขาก็ได้ขัดขวางทางออกของคู่ต่อสู้ไปด้วย พวกนางไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว
ในทางตรงกันข้าม ปฏิกิริยาของผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเริ่มไม่น่าดูยิ่งขึ้นไปอีก
ถึงอย่างไรก็ตามในทั้งหมดนี้ ค่วงจู๋ยังคิดว่าเขาไม่ได้ทำลายกำลังใจของคู่ต่อสู้มากนักจึงพูดอีกประโยคหนึ่ง “ในเมื่อการส่งพวกเขาให้ไปตามทางต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว พวกเจ้าก็จัดการให้เร็วขึ้นหน่อยแล้วกัน” คำพูดของเขาควรจะเต็มไปด้วยเจตนาแห่งการฆ่า แต่เขากลับพูดอย่างไร้กังวลด้วยท่าทางนุ่มนวล
ก่อนที่เขาจะลงมือ ผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังของสำนักกู่เจี้ยนผู้ซึ่งไม่สามารถสงบจิตใจของตัวเองได้อีกต่อไป ร้องโวยวายออกมา “อย่าให้มันมากนัก!” ด้วยดวงตาที่แดงก่ำในขณะที่พุ่งเข้าหาค่วงจู๋
เมื่อผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังรีบพุ่งเข้าไป วั่นหงอันตะโกน “วางม่านพลัง!” อย่างไรก็ตามเสียงตะโกนของเขานั้นช้าไปก้าวเดียว
ผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายแห่งการสร้างฐานแห่งพลัง ผู้ฝึกตนคนนั้นไม่มีโอกาสที่จะชนะแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตอนนี้ที่ลำแสงของกระบี่ [1] ซึ่งดูแข็งแกร่งกำลังจะถึงตัวค่วงจู๋ ค่วงจู๋เพียงแค่แกว่งแขนเสื้อของเขา ปล่อยวัตถุที่คล้ายผงแป้งให้ปกคลุมมันโดยรอบและหยุดมัน
ความจริงที่หมอกบางเบาสีขาวของเขานั้นสามารถสกัดกั้นกระบี่บินได้ราวกับมันเป็นของแข็งนั้นมากเกินพอที่จะทำให้ผู้คนประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม หมอกขาวนั้นยังสามารถพันรอบตัวผู้ฝึกตนสายกระบี่คนนั้นและจิตสัมผัสของเขาราวกับว่ามันคือขดเถาวัลย์และรัดมันเข้าไว้ด้วยกัน! แม้กระทั่งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวิน ที่นอกเหนือไปจากกลุ่มผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนยังต้องประหลาดใจ
โดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะที่โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินกำลังตกใจในสิ่งที่เห็น ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเกือบที่จะวางม่านพลังกระบี่ได้สำเร็จ
พวกนางได้ยินค่วงจู๋พูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลสงบนิ่ง “ข้าจะช่วยพวกเจ้าวางม่านพลังเอง”
ก่อนที่จะสิ้นเสียงของเขา ผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังคนนั้นตกลงไปในม่านพลังกระบี่ที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในระยะเวลาที่รวดเร็วมากจนน่าตกใจเหมือนกับเขาเป็นว่าวที่ชำรุด มีหมอกขาวก้อนบางๆ เกาะติดอยู่ด้านหลังเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าสหายผู้ฝึกตนล้มลงในม่านพลัง หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังสำนักกู่เจี้ยนจึงยื่นมือออกไปช่วยเหลือโดยสัญชาตญาณ เขาดึงตัวสหายขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องพยายามมากนักแต่ไม่ทันมีใครสังเกตถึงหมอกขาวที่ติดตัวผู้ฝึกตนคนนั้น
การเคลื่อนไหวของค่วงจู๋นั้นทำให้โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินหลุดจากสภาวะที่กำลังไม่มีสมาธิ โม่เทียนเกอรีบควบคุมกระสวยอัปสราให้พุ่งตรงไปยังผู้ฝึกตนขั้นต้นแห่งการสร้างฐานแห่งพลังผู้ซึ่งยืนอยู่ ณ จุดแกนกลางของม่านพลังกระบี่ ผู้ฝึกตนคนนั้นไม่กล้าที่จะต่อกรกับการโจมตีนี้อย่างจัง ดังนั้นเขาจึงต้องหนีออกจากจุดที่ยืนอย่างไม่มีทางเลือก ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงนี้ โม่เทียนเกอทำให้เขาบาดเจ็บด้วยเข็มบินได้ที่นางโยนออกไปอย่างลับๆ
วั่นหงอันกัดฟันแน่นด้วยความเดือดดาลในสถานการณ์ที่พลิกผัน ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถวางม่านพลังได้ พวกเขาทำได้เพียงเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทีละคนเท่านั้น เขามองว่าในเมื่อพวกนั้นเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมด ผู้ฝึกตนหญิงน่าจะต่อกรได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเขาใช้ทั้งนิ้วชี้แล้วนิ้วกลางของเขาลูบไปบนใบมีดกระบี่ เมื่อเลือดสีแดงเข้มข้นซึมเข้าไปในกระบี่ของเขา วั่นหงอันย้ายกระบี่ของเขาจากมือขวาไปยังมือซ้ายที่บาดเจ็บอยู่ หลังจากนั้นไม่นานพลังกระบี่ของเขาได้เปลี่ยนเป็นใบมีดเลือดบินได้สีแดงเข้มหลายเล่มซึ่งพุ่งตรงเข้าหาโม่เทียนเกอเพื่อกระหน่ำแทงนางในทันที
“ศิษย์พี่วั่น นี่ท่าน…?” ผู้ฝึกตนขั้นต้นของการสร้างฐานแห่งพลังที่อายุน้อยที่สุดจากสำนักกู่เจี้ยนตกใจ
โม่เทียนเกอคอยระมัดระวังในใบมีดเลือดเหล่านี้ที่ไม่คุ้นเคย ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวที่ลอยอยู่ด้านบนสร้างกำแพงอิฐด้านหน้าของนางอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเมื่อใบมีดเลือดเหล่านั้นกำลังจะสัมผัสกำแพงอิฐ มันก็พุ่งอ้อมและยังคงมุ่งตรงไปทางโม่เทียนเกอ
นางรีบถอยกลับและเพิ่มพลังวิญญาณป้องกันตัวเองให้แข็งแรงขึ้นไปด้วย แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้ทุกคนประหลาดใจ พลังป้องกันร่างกายของนางเพียงแค่ช่วยทำให้ใบมีดเลือดเหล่านั้นช้าลงเพียงเล็กน้อย ใบมีดเลือดสองเล่มสามารถหลบเลี่ยงได้ “ฉึก ฉึก” เสียงแห่งความสำเร็จดังขึ้นเมื่อใบมีดสองใบแทงเข้าถูกโม่เทียนเกอบริเวณหัวไหล่ซ้ายและขาช่วงล่าง
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขาสำเร็จผล วั่นหงอันยิ้มอย่างชั่วร้าย “เซียวก่ายจือ ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตรอด เจ้าต้องยอมเสี่ยงชีวิตของเจ้าก่อน เจ้าอยากจะหนีออกไปอย่างมีชีวิตรอดหรือไม่”
เมื่อได้ยินในสิ่งที่วั่นหงอันพูด ชายหนุ่มผู้ฝึกตนที่มีชื่อว่าเซียวก่ายจือจึงทำตามวั่นหงอัน เขาปาดนิ้วและทาเลือดตัวเองลงไปที่กระบี่
อีกทางด้านหนึ่งเมื่อผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนสามคนที่กำลังต่อสู้กับเยี่ยจิ่งเหวินเห็นดังนั้นจึงปฏิบัติตามเช่นกัน
พริบตาเดียวใบมีดเลือดบินได้หลายเล่มก็ปรากฏขึ้นและร่อนไปทั่วทั้งบริเวณ เยี่ยจิ่งเหวินและโม่เทียนเกอรู้สึกพ่ายแพ้ต่อสถานการณ์ที่ยากจะควบคุมได้เช่นนี้ ในระหว่างนั้นเหล่าผู้ฝึกตนห้าคนแห่งสำนักกู่เจี้ยนต่างพึ่งพาให้ใบมีดกระบี่เลือดของตนเองเปิดทางเพื่อทำการวางม่านพลังอีกครั้ง
ค่วงจู๋ผู้ซึ่งยังไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใดใดยิ้มเยาะออกมา ภายในชุดคลุมของเขา เขาหยิบขวดยาวิเศษที่เขาเสียเวลาทำอยู่ในขณะที่ทุกคนกำลังเริ่มต่อสู้กัน เขาเทยาเม็ดสีเขียวจำนวนหนึ่งลงบนฝ่ามือของเขาและโยนออกไปด้านหน้า
กลุ่มคนจากสำนักกู่เจี้ยนรีบกระโดดหลบ แต่โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินผู้ซึ่งกำลังอยู่ภายใต้การโจมตีโชคไม่ดีนัก สายเกินไปที่ทั้งสองคนจะหลบหลีกดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ยืนหยัดต่อการโจมตีนี้เท่านั้น
โดยไม่คาดคิด ทันทีที่ยาเหล่านั้นสัมผัสเข้ากับพลังป้องกันร่างกายของพวกเขามันก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นหมอกขาว ลอยตามกลิ่นเลือดของบาดแผลที่โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินได้รับจากการต่อสู้และซึมผ่านเข้าไปในบาดแผลเหล่านั้น
ทั้งสองคนตกใจกับความเย็นที่เข้าสู่ร่างกายทันที เมื่อพวกเขามองดูบาดแผลใกล้ๆ พวกเขาก็พบว่าบาดแผลเหล่านั้นเริ่มสมานรักษาตัวเองด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ค่วงจู๋ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ทุกคนเห็นหมอกสีเขียวโผล่ขึ้นมาบริเวณตรงกลางของการต่อสู้ ส่งผลให้ใบมีดกระบี่เลือดหายไปในทันใด ในทางกลับกัน ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนกำลังมองบาดแผลที่นิ้วที่กำลังถูกรักษาด้วยความประหลาดใจ แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขากลับลดลง
โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินไม่รู้ว่าควรที่จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบว่าศาสตร์แห่งการรักษาสามารถนำมาโจมตีได้
รอยยิ้มที่อ่อนโยนและสง่างามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของศิษย์พี่ค่วงจู๋ “ข้าคิดว่าวันนี้ข้ายกระดับความสามารถของตัวเองขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว”
วั่นหงอันยังคงมีรอยยิ้มที่ผูกพยาบาทเช่นเดิม “มันถึงเวลาที่เลือดจะต้องหยุดไหลอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะไม่ขอบคุณเจ้าหรอก”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปบริเวณหน้าอกตัวเอง กระอักออกมาเป็นเลือดตรงกลางของห้องโถง ทันใดนั้นรอยบากต่างๆ บนพื้นที่เกิดขึ้นจากใบมีดเลือดเริ่มที่จะกระดิกตัวไปมาเหมือนมีชีวิต วั่นหงอันหัวเราะออกมาเหมือนกับคนสิ้นสติ “ในเมื่อไม่สามารถวางม่านพลังดาวพันร่างได้ มันก็คงไม่แย่ที่จะให้พวกเจ้าได้สัมผัสถึงม่านพลังอสูรพันร่างของสำนักกู่เจี้ยน ฮ่าๆๆ!”
หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังแห่งสำนักกู่เจี้ยนท่าทางเปลี่ยนไปในทันที “วั่นหงอัน นี่เจ้าบ้าไปแล้ว! นี่เจ้ากล้าเรียนม่านพลังต้องห้ามของสำนักและยังกล้าพาพวกข้าเข้าไปข้องเกี่ยวในแผนการของเจ้าอีกรึ!”
ใบมีดเลือดบนพื้นไม่สามารถสร้างโดยวั่นหงอันเพียงคนเดียวได้ ในการที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ของเขา ไม่เพียงแต่เขาต้องเสียสละตัวเองซึ่งไม่ได้มีทางออกอยู่แล้ว แต่เขากลับทำให้สหายศิษย์ต้องกลายเป็นเลือดสื่อกลางสำหรับม่านพลังอสูรพันร่างด้วย
มองคราบเลือดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในห้องโถง วั่นหงอันหัวเราะจนเกือบไร้เรี่ยวแรง “ในเมื่อข้าจะต้องตายอยู่ดี พวกเจ้าก็ควรที่จะต้องตามข้าลงไปในนรกด้วย! ฮ่าๆๆ!”
ผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่โม่เทียนเกอจะทันเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น นางได้ยินเสียงชัดเจนของค่วงจู๋จากทางประตู “เสี่ยวไป๋ ม่านพลังป้องกัน”
ภายในเสี้ยววินาที คราบเลือดที่อยู่ภายใต้วั่นหงอันเริ่มก่อรูปร่างเป็นวงกลมโดยมีเขาอยู่ตรงกลาง จากตรงกลางของวงกลมนั้น ตัวอักษรที่เต็มไปด้วยเลือดนับไม่ถ้วนที่มีกลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นและมืดมนแพร่กระจายออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ค่วงจู๋ผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นรีบทำท่าเหมือนกำลังผลักออกไปด้านหน้าด้วยมือทั้งสอง หมอกสีขาวกระจายด้วยความเร็วแสงจากจุดที่เขานั่งอยู่ไปยังโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวิน ทันเวลาพอดีกับการหยุดไม่ให้ตัวอักษรเลือดเหล่านั้นแผ่เข้าหาทั้งสองคน
เมื่อผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเห็นหมอกขาว มันเหมือนกับมีผู้ช่วยชีวิตเข้ามาหาและพวกเขาอยากที่จะพุ่งไป อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปถึง ร่างกายของพวกเขาก็ถูกดูดกลืนไปด้วยกระแสตัวอักษรเลือดที่แผ่ขยายออกไปและทำให้ติดตรึงอยู่กับพื้นดิน
โม่เทียนเกอตกตะลึงกับภาพที่เห็น ในขณะที่สีหน้าของผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนเริ่มขาดสี ตัวอักษรเลือดเหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงมากขึ้น มันกระจายไปทั่วกำแพงของห้องโถงเช่นเดียวกับพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกขาวของค่วงจู๋
เมื่อเห็นเช่นนั้น หน้าผากของค่วงจู๋ผู้ซึ่งกำลังควบคุมหมอกขาวเพื่อต่อต้านตัวอักษรเลือดเหล่านั้นก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินมองหน้ากัน พวกเขาเข้าใจได้ว่าวั่นหงอันคือกุญแจหลัก ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงควบคุมเครื่องมือเวทพร้อมที่จะฆ่าวางฮงอันผู้ซึ่งหัวเราะจนเสียงแหบแห้ง อย่างไรก็ตาม พวกนางได้ยินเสียงตะโกนของเสี่ยวไป๋ “อย่าทำเช่นนั้น!”
โม่เทียนเกอมองไปที่เขา สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย ภายในม่านพลังป้องกัน เสี่ยวกู่จื่อโผล่หัวออกมาจากด้านหลังของศิษย์พี่ไป๋และพูดว่า “ม่านพลังอสูรพันร่างนี้จะถูกควบคุมได้ด้วยสิ่งของที่ไร้รูปร่างอย่างเช่นของศิษย์พี่เท่านั้น ถ้าม่านพลังนี้สัมผัสกับวัตถุที่มีรูปร่าง มันจะใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง…” เสี่ยวกู่จื่อหยุดในขณะที่พยายามหาคำพูดเพื่ออธิบาย สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงแค่ชี้นิ้วไปทางผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนที่ถูกวั่นหงอันเลือกให้เป็นสื่อกลางของเลือด “วัตถุที่มีรูปร่างจะกลายเป็นเช่นนั้น”
เยี่ยจิ่งเหวินอธิบาย “วงแหวนเลือดที่อยู่ใต้เขาดูเหมือนจะอยู่บนพื้น แต่ถ้ามีใครบางคนโจมตีมัน มันก็จะพุ่งขึ้นมาจากพื้น รวมกันเป็นแนวรอบเขาเพื่อสกัดกั้นการโจมตี ในขณะเดียวกันมันก็จะเปลี่ยนผู้ที่โจมตีให้กลายเป็นสื่อกลางไปด้วย”
เยี่ยจิ่งเหวินพูดต่อ “ม่านพลังอสูรพันร่างเป็นม่านพลังหลอมรวมเลือดที่ร้ายแรง ม่านพลังนี้เป็นม่านพลังที่ได้รับความสนใจในชั่วข้ามคืนในการจลาจลของสัตว์ปีศาจเมื่อหลายร้อยปีก่อน อย่างไรก็ตาม เพราะพลังทำลายล้างของมันยิ่งใหญ่เกินไปและเพราะเจ้าของม่านพลังหลอมรวมเลือดจะสามารถกลายเป็นปีศาจได้ง่าย ดังนั้นมันถึงถูกจัดให้เป็นม่านพลังต้องห้ามโดยสำนักกู่เจี้ยน แต่เทียนเกอเจ้าไม่ได้เติบโตในย่านคุณอู๋ตะวันตก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ที่เจ้าไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับมัน”
——
[1] ลำแสงของกระบี่: แสงที่เกิดขึ้นบริเวณปลายกระบี่ สร้างขึ้นจากพลังภายในร่างกายของผู้ถือกระบี่ Cr: Baidu
ตอนที่ 132-2 การเผชิญหน้า
ความคิดในหัวของโม่เทียนเกอวิ่งวนเร็วดังแสง นางได้ยินเยี่ยจิ่งเหวินพูด “เทียนเกอ เจ้าเชี่ยวชาญด้านม่านพลัง ถ้าเจ้ารู้จักม่านพลังที่สามารถสร้างภาพปีศาจลวงตา พวกเราอาจจะสามารถทำลายม่านพลังนี้ได้ น่าเสียดายพื้นที่บริเวณนี้เล็กเกินไป ดังนั้นแผ่นม่านพลังและสิ่งของที่คล้ายกันจึงเป็นวัตถุที่ไม่สามารถใช้ได้… น่าเสียดาย…”
โม่เทียนเกอรู้สึกยินดีเมื่อนางได้ยินเยี่ยจิ่งเหวินพูด “พวกเราสามารถใช้ภาพปีศาจลวงตาได้?”
เยี่ยจิ่งเหวินพยักหน้า “พวกเราสามารถใช้อะไรก็ได้ที่ไม่มีตัวตน”
โม่เทียนเกอถามอีกหนึ่งคำถาม “แล้วจิตสัมผัสล่ะ?”
เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มและพูด “จริงสิ มันน่าจะใช้ได้ แต่ถ้าพวกเรากำลังพูดถึงจิตสัมผัส นอกเหนือไปจากการฝึกศาสตรแห่งกระบี่ ผู้ฝึกตนสายกระบี่ก็ฝึกจิตสัมผัสเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังอย่างศิษย์พี่ค่วงจู๋ก็ไม่สามารถต่อกรกับจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนสายกระบี่ระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางได้”
โม่เทียนเกอคิดอยู่ภายในจิตใจ ด้วยศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ข้าไม่ใช้ผู้ฝึกตนทั่วไปอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม นางเก็บศาสตร์หลอมจิตวิญญาณไว้ลึกสุด นางไม่ต้องการที่จะเผยถึงความทรงพลังของจิตสัมผัสของนางต่อหน้าคนมากมาย ดังนั้นนางจึงใช้ข้อได้เปรียบจากสิ่งที่เยี่ยจิ่งเหวินพูดก่อนหน้านี้ว่านางเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านม่านพลังก่อนที่จะพูดว่า “ม่านพลังมีขนาดแตกต่างกัน มีทั้งเล็กและใหญ่ พวกเราน่าจะลองสักอย่างหนึ่งก่อน”
เยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับม่านพลังนัก ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยความยินดี “งั้นเจ้ารีบลองเลย”
เขาไม่ได้รู้ว่าม่านพลังที่สามารถสร้างภาพปีศาจลวงตานั้นยุ่งยากและค่อนข้างใหญ่ เพียงแค่ตาของม่านพลังก็ต้องควบคุมด้วยคนหลายคนแล้ว
เมื่อโม่เทียนเกอเห็นท่าทางของค่วงจู๋ นางรู้ได้ทันทีว่าเขาและเสี่ยวไป๋น่าจะทนได้อีกไม่นาน ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไป นางหยิบศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกภพและวางมันในม่านพลังธาตุทองซึ่งจะทำให้พวกมันรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณ หลังจากนั้นนางจึงพูดกับเยี่ยจิ่งเหวิน “ศิษย์พี่เยี่ย คอยป้องกันข้าด้วย”
เพราะเยี่ยจิ่งเหวินเป็นกังวล เขาจึงไม่ได้คิดว่าทำไมคนที่กำลังจะวางม่านพลังจึงต้องการการป้องกันด้วยและรีบพยักหน้าตอบรับ
โม่เทียนเกอรีบปล่อยจิตสัมผัสของนางซึ่งฝึกจากศาสตร์หลอมจิตวิญญาณส่งตรงไปยังจิตวิญญาณเริ่มต้นที่ไร้การป้องกันของวางฮงอันหมายที่จะฆ่าเขา โดยปกติแล้วความเปราะบางของจิตวิญญาณเริ่มต้นนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับร่างกาย จิตวิญญาณเริ่มต้นที่ไร้การป้องกันนั้นยิ่งแย่กว่า เมื่อศาสตร์หลอมจิตวิญญาณถูกใช้โดยปกติแล้วผลที่ได้คือการโจมตีเพื่อฆ่าในครั้งเดียว
เมื่อค่วงจู๋รู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังผ่อนแรงลง เขาลืมตาขึ้นและเห็นว่าวั่นหงอันได้ล้มลงบนพื้นไปแล้ว ตัวอักษรเลือดที่อยู่รอบๆ พวกเขาเดือดดาลอย่างบ้าคลั่งและรีบกลับเข้าไปในร่างของวั่นหงอัน
ค่วงจู๋รีบปรบมือหลังจากนั้นจึงผายมือออก หมอกขาวปกป้องพวกเขาไว้ได้ทันอีกครั้งตอนที่ร่างของวั่นหงอันระเบิดออก
พลังที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นมหาศาล โถงหลักของศูนย์สันเขาเฉียนเหมินถูกทำลายราบจนไม่มีเหลือ เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนแห่งสำนักกู่เจี้ยนที่อยู่นอกหมอกขาวของค่วงจู๋ แทนที่จะตายอยู่ภายในม่านพลังอสูรพันร่าง กลับต้องมาตายภายใต้พลังสนองกลับของม่านพลังอสูรพันร่างแทน
เมื่อผลของการระเบิดค่อยๆ เบาบางลง ค่วงจู๋ยืนอยู่เหนือซากที่พังทลาย แขนเสื้อของเขาปลิวไปตามสายลม เขาชำเลืองมองไปยังผู้ฝึกตนจากกลุ่มอื่นที่รีบวิ่งมาทางเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินไม่มีวันที่จะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้พวกเขาฟังอย่างแน่นอน แต่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังเหล่านี้ไม่ได้โง่เขลานัก พวกเขาใช้จิตสัมผัสในการติดตามการต่อสู้อยู่ ดังนั้นพวกเขาน่าจะเข้าใจโดยคร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ม่านพลังอสูรพันร่าง! มันคือม่านพลังอสูรพันร่าง!” บางคนกระซิบ
อย่างไรก็ตามถึงแม้เขาจะพูดพึมพำกับตัวเอง แต่ด้วยความสามารถในการได้ยินของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง พวกเขาต่างได้ยินในสิ่งที่พูดอย่างชัดเจนด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด
ตอนนี้พวกเขายังคงสัมผัสได้ถึงผลที่ตามมาของม่านพลังอสูรพันร่างได้อยู่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นผลที่กระตุ้นให้ใช้ม่านพลังอสูรพันร่าง แต่ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนทางด้านการรักษาผู้สันโดษได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงว่าเขาสามารถมีชีวิตรอดออกมาจากม่านพลังอสูรพันร่างได้
กลุ่มผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ที่เป็นมิตรกับสำนักกู่เจี้ยนภายในศูนย์สันเขาเฉียนเหมินไม่กล้าที่จะก้าวก่าย เช่นเดียวกันกับสำนักกู่เจี้ยนซึ่งไม่มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหลืออีกต่อไปแล้วในตอนนี้ พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก
เพียงครู่เดียวผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังห้าคนได้ตายลงภายในศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน แม้ในช่วงเวลาปกติสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่สามารถจัดการให้เรียบร้อยได้เพียงแค่คำอธิบาย ไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลานี้เลย เมื่อสำนักกู่เจี้ยนได้ผ่านการจลาจลของสัตว์ปีศาจที่เกิดขึ้นและต้องเสียผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไปมากมาย เมื่อรวมถึงที่โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินได้ฆ่าตายไปด้านนอกศูนย์สันเขาเฉียนเหมินอีกนั้น สำนักกู่เจี้ยนได้สูญเสียผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไปแล้วทั้งหมดเจ็ดคนในครั้งนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้รายงานกลับไปยังสำนัก สร้างความเจ็บแค้นให้แก่เจ้าสำนักแห่งสำนักกู่เจี้ยนเป็นอย่างมาก เขาถึงขนาดรีบเดินทางหลายพันไมล์อย่างไม่ลังเลมาที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินเพื่อหวังตัดหัวค่วงจู๋และคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
ในห้องหนึ่ง ทั้งหกคนรวมกันอยู่ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน และผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสองคน
“พวกเราควรจะรีบหนีให้เร็ว เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนจะต้องรีบมาที่นี่แน่ๆ และเมื่อถึงจุดนั้น พวกเราจะต้องมีปัญหาใหญ่หลวงทีเดียว”
“ไม่ได้หรอกท่านพี่! ตอนนี้ข่าวได้ยินไปถึงหูของท่านปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว พวกเราจะหนีได้อย่างไร”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราควรทำอย่างไรดี พวกเราจะนั่งรอให้พวกเขามาฆ่าเราเฉยๆ ไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
“ก็… ไม่ว่าอย่างไร ถึงแม้พวกเราต้องการที่จะหนี พวกเราก็ไม่สามารถหนีได้ไม่ถูกหรือ!”
…
ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คนยังคงนิ่งเงียบในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสองคนกำลังโวยวาย เสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยเถียงกันเป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครสามารถโน้มมน้าวใจกันได้ สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็ได้แต่หมอบลงอยู่ข้างห้อง จ้องมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
ค่วงจู๋ชำเลืองมองพวกเขาแล้วพูด “เรื่องนี้ได้รายงานไปที่หัวหน้าของโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องปวดหัวไปกับมันหรอก”
เสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยหันไปจ้องมองทางค่วงจู๋อย่างพร้อมเพรียงกัน “ทำไมท่านไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ!” เขาทำผิดต่อทั้งคู่จริงๆ พวกเขาเถียงกันเป็นเวลานานโดยที่ไม่ได้อะไร แม้กระทั่งริมฝีปากพวกเขาก็แห้งไปจากการเถียงนั้น!
ค่วงจู๋ตอบอย่างเบาๆ “ก็เจ้าไม่ได้ถาม”
ทั้งสองคนไม่สามารถเถียงอะไรกลับได้อีก พวกเขาเพียงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างหงุดหงิด
จ้านไป๋รู้สึกช่วยไม่ได้ในขณะที่เขามองเด็กสองคนได้แต่ปิดปากไปด้วยความโกรธ หลังจากนั้นเขาจึงหันไปทางค่วงจู๋และถาม “ศิษย์พี่ ท่านหัวหน้าโรงเรียนจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้”
ค่วงจู๋ยกแก้วน้ำชาของตัวเองขึ้นมาและพูด “ข้าเรียกพวกเจ้ามาก็เพื่อคุยเรื่องนี้ล่ะ”
ณ จุดนั้น เยี่ยจิ่งเหวินวางถ้วยชาของเขาลงและพูด “ศิษย์พี่ค่วง ศิษย์น้องจ้าน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะข้า ดังนั้นทั้งสองไม่จำเป็นที่จะต้องอ้อมค้อม พวกท่านพูดไปตามความจริงได้เลย” ก่อนที่เขาจะฆ่าคนเหล่านั้น เขาได้พิจารณาถึงผลที่จะตามมาแล้ว หัวหน้าโรงเรียนจะต้องปกป้องศิษย์ของเขาไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดังนั้นสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็จะยังคงเป็นการแข่งขันระหว่างสองกลุ่มผู้ฝึกตนอยู่ดี
ในช่วงเวลาการจลาจลของสัตว์ปีศาจครั้งนี้ แต่ละกลุ่มผู้ฝึกตนต่างทุกข์ทรมานจากความสูญเสียรุนแรง ความแข็งแกร่งของสำนักกู่เจี้ยนนั้นด้อยลงอย่างมาก อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะสูญเสียศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังไปมากมาย แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งรากฐานความแข็งแกร่งได้ เพราะได้ปิดผนึกภูเขาไว้ ดังนั้นระหว่างกลุ่มผู้ฝึกตนสองกลุ่ม โรงเรียนเสวียนชิงก็จะยังคงเป็นผู้ชนะในตอนจบอยู่ดี
อีกอย่างท่านปรมาจารย์จิ้งเหอเป็นคนที่มีอารมณ์กระหายเลือดและชอบปกป้องอยู่แล้ว ถ้าเขาพบว่าศิษย์จากยอดเขาวสันต์กระจ่างเป็นคนทำเรื่องนี้ เขาจะต้องปรบมือและระเบิดหัวเราะมากกว่าที่จะตำหนิพวกเขาเสียอีก ด้วยการปกป้องจากท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ แล้วจะมีอะไรที่ต้องกลัวด้วย?
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาพูดจบ ค่วงจู๋พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ ข้าคิดว่ามันคงเป็นการดีกว่าที่เจ้าไม่พูดความจริง”
เยี่ยจิ่งเหวินประหลาดใจ “ทำไม”
ค่วงจู๋หันมองไปทางทุกคนที่อยู่ที่นั่นก่อนที่จะหยุดอยู่ที่โม่เทียนเกอ ผู้ซึ่งดื่มชาของนางอย่างสงบ “เรื่องนี้… พวกเราควรที่จะโทษไปที่ศิษย์น้องโม่”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น ไม่เพียงแต่โม่เทียนเกอ แต่เยี่ยจิ่งเหวินและจ้านไป๋ต่างตะลึงงัน แม้กระทั้งเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยที่กำลังก้มหน้าหมอบอย่างไม่พูดไม่จายังคงเงยหน้าขึ้นมา
เยี่ยจิ่งเหวินถามออกมาอีกครั้ง “ทำไม”
แทนที่จะตอบ ค่วงจู๋ค่อยๆ ก้มหัวของเขาเพื่อจิบชา อย่างไรก็ตามโม่เทียนเกอสงบจิตใจได้เร็วและพยักหน้าพร้อมพูด “ตกลง”
เยี่ยจิ่งเหวินยิ่งรู้สึกตกตะลึงขึ้นไปอีก เขาหันไปมองยังโม่เทียนเกอ
โม่เทียนเกอยิ้มและพูดอย่างเบาๆ “พี่ใหญ่เยี่ย ท่านลืมเกี่ยวกับตัวตนของข้าที่มีในโรงเรียนไปแล้วหรือ”
หลังจากมึนงงครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจในทันที “เจ้าหมายถึง…”
“ศิษย์น้องโม่เป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ” ค่วงจู๋พูดต่ออีกครั้ง “สิ่งที่ศิษย์น้องเยี่ยพูดก่อนหน้านี้นั้นมีเหตุผล แต่มันก็มีเหตุผลเช่นกันที่ศิษย์น้องโม่จะเป็นคนที่รับแทน”
ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอเป็นคนที่มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเขาและเยี่ยจิ่งเหวินนั้นก็ต่างถูกแบ่งแยกกันรุ่นหนึ่ง ในทางกลับกันโม่เทียนเกอเป็นศิษย์ลงนามของท่าน ถ้านางทำผิดในเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์หรือหลักการต่างๆ ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอจะต้องเข้ามาก้าวก่าย ถึงแม้เขาจะไม่ได้มาด้วยตัวเองเขาก็คงจะให้ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในยอดเขาวสันต์กระจ่างเข้ามาจัดการแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงศิษย์คนอื่นเลย แม้แต่โม่เทียนเกอเองก็จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น เยี่ยจิ่งเหวินได้แต่เสียใจในทางแก้ปัญหาอย่างช่วยไม่ได้อยู่ภายใน ศิษย์พี่ค่วงจู๋ถึงแม้จะดูเย็นชา เฉยเมยและสันโดษ แต่จิตใจของเขาได้คิดคำนวณอย่างลึกซึ้ง อีกอย่างวิสัยทัศน์ของเขานั้นช่างโหดร้ายนัก…
ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ สิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ นี่พวกเขากำลังทำให้ท่านปรมาจารย์แห่งจิตวิญญาณใหม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการนี้หรือ?
ถึงแม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่จ้องมองมาจากเยี่ยจิ่งเหวิน ค่วงจู๋ก็ยังคงดูใจเย็นเช่นเดิม ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่กับตัวเองครู่หนึ่งก่อนที่จะพูด “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็คงจะรู้สึกผิดกันไปตลอดจนตาย ก็แค่บอกไปว่าพวกนั้นต้องการที่จะฆ่าข้าเพื่อปล้นทรัพย์ข้าและแม้กระทั่งมีความคิดที่ไม่เหมาะสม และพวกเขาก็ไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลว ศิษย์พี่ค่วง ถ้าเราพูดเช่นนี้ท่านคิดว่าข้าจะได้รางวัลจากท่านปรมาจารย์จิ้งเหอหรือไม่”
เยี่ยจิ่งเหวินรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่สันหลังยิ่งกว่าเดิม ด้วยอารมณ์ของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ ถ้าศิษย์ของเขาเผชิญเข้ากับคนที่วางแผนจะทำร้าย และสามารถฆ่าคนเหล่านั้นได้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ตำหนินางเท่านั้น แต่เขาอาจจะยกย่องและตบรางวัลให้มากมายทีเดียว
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ นางหันไปมองทางเยี่ยจิ่งเหวินและพูด “พี่ใหญ่เยี่ย ถ้าข้าได้ประโยชน์จากเรื่องนี้จริงๆ ข้าจะไม่มีทางเก็บไว้คนเดียวอย่างแน่นอน”
ก่อนที่เยี่ยจิ่งเหวินจะทันได้ตอบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงของค่วงจู๋ “แล้วพวกข้าเล่า”
โม่เทียนเกอจ้องไปทางดวงตาใสๆ ของเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยผู้ซึ่งยังคงนั่งหมอบลงอยู่ที่มุมห้อง นางยิ้มและพูด “แน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนย่อมได้ส่วนแบ่งจากข้า”
เยี่ยจิ่งเหวินตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาคิดว่าเขาโหดร้ายและไร้ความปรานีมากแล้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนพวกนี้จะใจกล้ามากกว่าเขานัก ไม่เพียงแต่พวกเขาจะทำให้ท่านปรมาจารย์แห่งจิตวิญญาณใหม่ต้องเข้ามาอยู่ในแผนการ แต่พวกเขายังคงวางแผนว่าจะแบ่งของรางวัลกันอย่างไรล่วงหน้าอีกด้วย…
หลังจากที่ได้รับการยินยอมจากโม่เทียนเกอ ค่วงจู๋จึงหยิบเครื่องรางเรียกขานออกมา ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “งั้นเราก็ต้องขอบคุณความมีน้ำใจของศิษย์น้องโม่เสียก่อน ท่านหัวหน้าโรงเรียนได้ตอบกลับมาแล้ว เขาบอกว่าท่านปรมาจารย์จิ้งเหอกำลังเดินทางมา”
ตอนที่ 133-1 ศิษย์คนสุดท้าย
โม่เทียนเกอถอนพลังวิญญาณและควบคุมลมปราณ ตอนนี้เมื่อนางฝึกตนเสร็จสิ้น โม่เทียนเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ
จิตสัมผัสของคนเกิดมาจากจิตวิญญาณเริ่มต้นของคนนั้น ถ้าคนผู้นั้นไม่ได้จงใจฝึกจิตวิญญาณเริ่มต้นของตัวเอง มันจะเพียงแค่แข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ ตามความก้าวหน้าของการฝึกตน คนที่มีระดับการฝึกตนสูงมักจะมีจิตสัมผัสที่มีอำนาจเป็นธรรมดา ถ้าระดับการฝึกตนของคนนั้นไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือดินแดนจิตวิญญาณใหม่ จิตสัมผัสของพวกเขาจะสามารถใช้ทำร้ายให้คนอื่นบาดเจ็บได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความบาดเจ็บประเภทนี้ที่จริงแล้วไม่ได้เกิดขึ้นโดยจิตสัมผัสเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีแรงกดดันของพลังวิญญาณด้วย เพราะฉะนั้นแม้ว่าการโจมตีเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพมากกับผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนต่ำกว่า แต่ก็ไม่ได้มีผลมากนักกับผู้ฝึกตนที่อยู่ในดินแดนเดียวกัน
ถึงอย่างนั้น ระดับแรกของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณก็สามารถทำให้โม่เทียนเกอทำร้ายผู้ฝึกตนในดินแดนเดียวกับนางถึงตายได้แล้ว ระดับสองของมันจะยิ่งทำให้นางมีพลังกดดันเหนือผู้ฝึกตนดินแดนเดียวกันกับนาง ถ้าเป็นเช่นนั้น ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท นางสามารถใช้มันเพื่อกดดันคู่ต่อสู้ได้ระยะหนึ่ง ต่อให้คู่ต่อสู้ของนางเก่งกาจมาก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะใช้พละกำลังได้อย่างเต็มแรงแน่
หลังจากได้เจอกับพลังอันน่าเกรงขามของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ลำดับความสำคัญในการฝึกตนของโม่เทียนเกอจึงเปลี่ยนไปเป็นพัฒนาศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ในเมื่อร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นร่างที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ เส้นลมปราณของนางจึงทนทานขึ้นและพลังวิญญาณของนางก็มั่นคง นางจะไม่มีทางถูกมารครอบงำ ความก้าวหน้าในการฝึกวิชานี้ของนางยังเร็วกว่าคนอื่นอีกหลายเท่า คงจะน่าเสียดายถ้านางมีเวลาว่างแต่ไม่ใช้ไปกับการฝึก
ในช่วงสองปีที่นางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางเสร็จสิ้นจากระดับแรกของศาสตร์นี้โดยสมบูรณ์และสามารถใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อโจมตีได้แล้วในตอนนี้ บัดนี้นางกำลังเริ่มเรียนรู้ระดับที่สอง ถ้านางบรรลุระดับที่สอง นางก็จะสามารถใช้แรงกดดันกับจิตสัมผัสของคนอื่นได้โดยตรง ซึ่งทำให้นางได้เปรียบกว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ในขณะเดียวกัน ระดับสองของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณนี้ยังช่วยให้นางต้านทานแรงกดดันของพลังวิญญาณจากผู้ฝึกตนระดับสูงได้อีกด้วย
โชคร้ายที่คนจากสำนักกู่เจี้ยนน่าจะมาถึงในอีกไม่ช้า นางเพิ่งจะเริ่มฝึกระดับสองของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ดังนั้นมันคงยังไม่มีผลกระทบที่เห็นเด่นชัดอะไรในการต่อสู้นี้
ทันทีที่ความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในจิตใจ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกถึงแรงกดดันของพลังวิญญาณที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งท้องฟ้าเหนือสันเขาเฉียนเหมิน
ทั้งร่างของนางสั่นไปด้วยความหวาดหวั่น นี่ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นกลางของระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นอย่างน้อย คนของสำนักกู่เจี้ยนมาถึงแล้วหรือ?
หลังจากเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาว นางหลบออกไปจากห้องและบินไปสู่ท้องฟ้า
ภายนอก นางเห็นผู้ฝึกตนสายกระบี่วัยกลางคนที่กำลังโกรธอยู่ในชุดเครื่องแบบสำนักกู่เจี้ยนยืนอยู่เหนือประตูศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน แบกกระบี่ไว้ที่หลังของเขา ในขณะเดียวกัน นางยังเห็นศิษย์พี่ค่วงจู๋เหาะไปทางประตูด้วยก้อนเมฆขาว
เมื่อเห็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางตามไป
นอกจากเยี่ยจิ่งเหวินและจ้านไป๋ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นจากโรงเรียนเสวียนชิงก็กำลังเข้าไปหาค่วงจู๋
ส่วนผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเพียงแค่รอและดูอยู่ห่างๆ
ค่วงจู๋หยุดอยู่หน้าประตูศูนย์สันเขาเฉียนเหมินและประสานมือ “ท่านอาจารย์เต๋าหลิวเฟิงมาตั้งไกล ข้าขออภัยด้วยที่ไม่ได้ทำความเคารพท่านให้เร็วกว่านี้”
ด้วยความเดือดดาลที่อดกลั้นไว้ อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงพูดว่า “เจ้าคือค่วงจู๋รึ”
ถึงแม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับคำถามที่น่าอึดอัดและโกรธแค้นของอาจารย์เต๋าหลิวเฟิง แต่ค่วงจู๋ก็ยังคงใจเย็นและพูดว่า “ข้าเองขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้น เรียกพวกผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าที่รวมหัวกันฆ่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังเจ็ดคนของสำนักกู่เจี้ยนของข้าออกมาซะ!”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าค่วงจู๋ ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักของสำนักกู่เจี้ยน อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงจะมาเพื่อจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาจึงพูดว่า “ไม่มีเรื่องอย่างการสมคบคิดวางแผนฆ่าที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินหรอกขอรับ ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านเจ้าสำนักตู้พูดถึงใครที่ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของข้า?”
โม่เทียนเกอตกใจอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าสำนักของสำนักกู่เจี้ยนถึงกับต้องมาด้วยตัวเอง! ดูเหมือนว่าไม่มีทางที่เรื่องนี้จะตกลงกันได้อย่างสันติแน่
อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงโกรธจัด “สำนักกู่เจี้ยนของข้ามีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดเจ็ดคนในศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน ศิษย์สำนักข้าเห็นกับตาตัวเองว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังห้าคนรวมทั้งวั่นหงอันได้เข้าไปในโถงหลักและตายอยู่ข้างในนั้น ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังอีกสองคนอยู่ที่ไหนก็ยังไม่มีใครรู้ ขอโทษเถอะผู้จัดการกวง แต่เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้กับสำนักกู่เจี้ยนของข้าฟังอย่างไร?”
ด้วยสีหน้าสง่างามและสงบนิ่งดังเช่นก่อนหน้านี้ ค่วงจู๋กล่าว “คาดว่าศิษย์สำนักกู่เจี้ยนของท่านไม่ได้รายงานเรื่องนี้ทั้งหมดให้ท่านฟังสินะขอรับ มิเช่นนั้นข้าคงไม่ต้องอธิบายกันอีก”
ทันทีหลังจากนั้น ค่วงจู๋ชี้ไปที่โถงหลักที่ราบเป็นหน้ากลอง “เดิมทีนั่นคือโถงหลัก ข้าขออนุญาตถามท่านอาจารย์เต๋าหลิวเฟิง ท่านพอจะเดาได้หรือไม่ขอรับว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
พลังวิญญาณที่กลั่นออกมาจากเลือดในม่านพลังอสูรพันร่างยังคงตกค้างอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงสามถึงห้าเดือนหลังจากวางม่านพลังนั้น เพราะเหตุนั้น เมื่ออาจารย์เต๋าหลิวเฟิงมองบริเวณนี้ผ่านๆ ด้วยจิตสัมผัสของเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
รอยยิ้มบนใบหน้าของค่วงจู๋จางลงขณะที่เขาถาม “ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องมือเวทของข้าโชคดีสามารถป้องกันการว่างม่านพลังอสูรพันร่างสำเร็จได้ ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์น้องของข้าเก่งในด้านม่านพลังและใช้ม่านพลังเพื่อสร้างปีศาจภาพหลอนมาฆ่าคนบงการ วั่นหงอัน ที่อยู่ในม่านพลังนั้น ท่านเจ้าสำนักตู้คงจะไม่มีโอกาสตามตัวข้ามาเพื่อให้รับผิดชอบอาชญากรรมครั้งนี้แน่ ไม่ต้องพูดถึงการเอาศพของศิษย์สำนักกู่เจี้ยนที่ตายกลับไปเลยด้วยซ้ำ”
ก่อนที่อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงจะตอบ ค่วงจู๋ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าข้าจำไม่ผิด พวกศิษย์ที่ปล่อยม่านพลังอสูรพันร่างนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์เกเรของสำนักกู่เจี้ยน ท่านเจ้าสำนักตู้ ศิษย์เกเรของเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในศูนย์ของพันธมิตรคุนอู๋ควรจะถูกส่งไปอยู่ที่ไหนหรือในเวลาวุ่นวายจากสงครามเช่นนี้?”
การปล่อยม่านพลังอสูรพันร่างจำเป็นต้องใช้สื่อกลางเลือดสามคนเป็นอย่างต่ำ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหลังจากปล่อยม่านพลังอสูรพันร่างแล้วผู้ควบคุมม่านพลังโชคดีพอที่จะมีชีวิตรอดมาได้ เขาก็ยังจะกลายเป็นมารผู้ฝึกตนอยู่ดีและระดับการฝึกตนของเขาจะลดลงอย่างมาก ม่านพลังนี้เป็นม่านพลังที่จะจบลงด้วยการทำลายล้างทั้งสองฝ่าย ถึงอย่างนั้น ค่วงจู๋ก็หลีกเลี่ยงการพูดถึงว่าทำไมศิษย์สำนักกู่เจี้ยนถึงใช้ม่านพลังอสูรพันร่างตั้งแต่แรก ความขัดแย้งชี้ไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการใช้ม่านพลังอสูรพันร่างนี้โดยตรง
แม้ว่าอาจารย์เต๋าหลิวเฟิงจะยังมีคำติเตียนอีกมากมายที่ต้องการพูด แต่ค่วงจู๋ได้ทำให้ศิษย์สำนักกู่เจี้ยนที่ตายไปเป็นปรปักษ์กับทุกคนที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินแล้ว อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงจึงไม่สามารถทำอะไรที่จะทำให้เขาต้องลำบากได้
พวกเขาเห็นใบหน้าของอาจารย์เต๋าหลิวเฟิงเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นเปลี่ยนเป็นซีดและซีดจนเขียวในที่สุด เขาพูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าฆ่าศิษย์สำนักกู่เจี้ยนทั้งหมดที่มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เจตนาของเจ้าก็เพื่อปิดปากพวกเขา! ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าใช้วิธีเลวทรามอะไรในการล่อให้ศิษย์สำนักกู่เจี้ยนของข้าต้องใช้ม่านพลังอสูรพันร่าง แต่ไม่ว่ากรณีใด เทพคนนี้ก็จะไม่หลงเชื่อคำโกหกของเจ้า! ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ชัดเจน เราต้องตามหาความจริงที่เห็นกันชัดๆ!”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของโรงเรียนเสวียนชิงทุกคนเรียกเครื่องมือเวทของตัวเองออกมา มีเพียงค่วงจู๋ที่ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม “ที่จริงแล้วเป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนักตู้ต่างหากที่ฝ่าฝืนกฎ หรือว่าบางทีท่านเจ้าสำนักตู้อาจจะวางแผนทำลายล้างศิษย์ทุกคนของเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สันเขาเฉียนเหมินให้สิ้นซากไปหมดเลยงั้นหรือ?”
อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงกำลังจะอธิบายแต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่นราวฟ้าร้องตามมาด้วยแรงกดดันของพลังวิญญาณที่น่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากที่ไกล “ท่านเจ้าสำนักตู้อาจจะต้องฆ่าท่านประมุขท่านนี้ไปด้วยเสียเลย!”
ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงที่ก่อนหน้านี้ดูประหม่ากลายเป็นลิงโลดกันขึ้นมาทันที ศิษย์บางคนถึงกับตะโกนออกมาดังๆ “ท่านปรมาจารย์จิ้งเหอมาแล้ว!”
ก่อนที่เสียงตะโกนของพวกเขาจะหยุดลง พวกเขาก็เห็นรถเมฆปรากฏขึ้นจากภูเขาเบื้องหน้า รายล้อมไปด้วยผู้ฝึกตนหญิงระดับการสร้างฐานแห่งพลังแปดคนในเสื้อผ้างดงามพริ้วไหวกำลังถือโคมตำหนัก รถเมฆลอยอย่างเร็วมาทางศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน
รูปแบบที่ช่างหลงตัวเองและขี้อวดสุดขั้วเช่นนี้เป็นของคนหนึ่งคนเดียวเท่านั้น ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอแห่งโรงเรียนเสวียนชิง
หลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างส่งเครื่องรางกระจายเสียงพันลี้ออกไปทันที เมื่อเปรียบเทียกับระยะห่างระหว่างสันเขาเฉียนเหมินและโรงเรียนเสวียนชิง ระยะห่างของสันเขาเฉียนเหมินกับสำนักกู่เจี้ยนค่อนข้างจะไกลกว่าหน่อย ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอคงจะเริ่มออกเดินทางทันทีหลังจากเขาได้รับเครื่องรางเรียกขาน แต่กระนั้นเขาเพิ่งจะมาถึงเอาตอนนี้ คาดว่าเป็นเพราะความเร็วของรถเมฆควบคุมโดยผู้ฝึกตนหญิงเหล่านั้น
การมองรถเมฆรายล้อมไปด้วยกลุ่มของผู้ฝึกตนหญิงมุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าที่มักจะสงบนิ่งของค่วงจู๋ดูค่อนข้างเศร้าหมองลง
ถึงอย่างนั้น รถเมฆที่แสนหรูหรานี้ก็ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาที่จับจ้องมาสักนิด ผู้ฝึกตนหญิงแปดคนรอบๆ คงจะชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ที่จริงแล้วพวกนางถึงกับเก็บโคมตำหนักและเอาตะกร้าดอกไม้ที่เหมือนกันออกมาจากกระเป๋าเอกภพของตัวเองด้วยซ้ำ จากนั้นภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน พวกนางเริ่มโยนกลีบดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมขึ้นไปในอากาศราวกับว่าพวกนางกำลังทำการแสดงสักอย่าง จนกระทั่งกลีบดอกไม้ปกคลุมทั่วพื้นข้างใต้ทั้งหมด รถเมฆจึงค่อยๆ ลงจอดช้าๆ
จากนั้นทุกคนจ้องมองสาวใช้สองคนดึงม่านสีทองขึ้น เผยให้เห็นชายวัยกลางคนที่ดูสูงศักดิ์อย่างมากแต่งตัวสง่างามและใส่มงกุฎสีทองกำลังนั่งอยู่ภายใน ชายคนนั้นกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ที่นั่นอย่างสบายๆ
ถ้าจะมีใครที่ก่อนหน้านี้คิดว่ารถเมฆนี้ฟุ้งเฟ้อเกินไป หลังจากเห็นเจ้าของรถเมฆ ตอนนี้พวกเขาคงรู้สึกว่าความฟุ้งเฟ้อนั้นไม่ได้เกินเรื่องเกินราวไปเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายแล้วสายตาของประมุขเต๋าจิ้งเหอก็มาหยุดอยู่ที่อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงที่ดูจนมุม รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรอย่างมากปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา “สำนักกู่เจี้ยนของท่านมักจะบูชาพละกำลังการต่อสู้เหนืออย่างอื่นทั้งหมด แต่โรงเรียนเสวียนชิงของเราเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า และขึ้นชื่อว่าโรงเรียนแห่งเต๋าก็ต้องพูดกันถึงหลักเหตุและผลเป็นธรรมดา”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ กลุ่มศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที ลัทธิเต๋าของเราคือเต๋าที่เป็นหนึ่งเดียวกับกฎแห่งสวรรค์และคือเต๋าแห่งความสมดุล แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหลักเหตุและผล…?
อีกอย่าง ปรมาจารย์จิ้งเหอท่านนี้ก็เป็นคนที่กระหายเลือดมาโดยตลอด เขาเคยพูดถึงหลักเหตุและผลเมื่อไหร่กัน…
ตอนที่ 133-2 ศิษย์คนสุดท้าย
โดยไม่รอให้อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงตอบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันไปพูดกับเยี่ยจิ่งเหวิน “เจ้าเด็กจิ่งเหวิน คงจะดีถ้าเจ้าบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เริ่มแรก เช่นนั้นข้าจะได้พูดคุยเหตุผลกับเจ้าสำนักตู้ได้อย่างเหมาะสม”
เยี่ยจิ่งเหวินเหลือบมองที่ค่วงจู๋ก่อนซึ่งเขาก็พยักหน้าให้ จากนั้นสายตาของเขาหันไปมองโม่เทียนเกอ โม่เทียนเกอจึงพูดว่า “พี่ใหญ่เยี่ยแค่ต้องพูดความจริง”
เยี่ยจิ่งเหวินไม่โง่ขนาดที่จะรายงานไปตามความจริง ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ใช้เรื่องที่พวกเขาแต่งเรื่องกันไว้ก่อนหน้านี้ เขาประสานมือและเริ่มพูด “ท่านปรมาจารย์ ถ้าเราจะพูดกันถึงเรื่องนี้ เราต้องย้อนกลับไปยังตอนที่ศิษย์น้องโม่มาถึงที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินขอรับ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างง่ายๆ “ไม่มีปัญหา บอกข้ามาให้ละเอียด”
“หลายวันก่อน ศิษย์น้องโม่ผู้ที่หายตัวไประหว่างการต่อสู้ที่โรงเรียนต้านติงเมื่อสองปีก่อน ในที่สุดก็ฟื้นตัวจากอาการบาดจ็บของนางและมาเจอศูนย์สันเขาเฉียนเหมินเข้า ศิษย์พี่ค่วงส่งคนออกไปจัดหาสถานที่พักให้กับศิษย์น้องโม่ จากนั้นสั่งงานที่จำเป็นต้องให้นางออกไปจากศูนย์”
“เพราะศิษย์น้องโม่เป็นผู้มาใหม่และเพราะมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างสงครามจลาจลสัตว์ปีศาจสองปีนี้ หลังจากได้รับภารกิจ ศิษย์น้องโม่จึงวางแผนที่จะไปดูรอบๆ ก่อน เพราะเหตุการณ์ในปีนั้น หลายคนในศูนย์นี้จึงไม่รู้จักศิษย์น้องโม่ ในขณะนั้นตัวข้าก็ออกไปทำภารกิจและยังไม่ได้กลับเข้ามา ดังนั้นศิษย์น้องโม่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากศูนย์ไปคนเดียว และเป็นเพราะเหตุนี้เอง วั่นหงอันและศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางอีกสองคนจากสำนักกู่เจี้ยนมีเจตนาร้ายและตามศิษย์น้องโม่ออกจากศูนย์ไป”
“วันนั้นข้าบังเอิญเพิ่งทำภารกิจเสร็จและกำลังจะกลับมาที่ศูนย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อข้ากำลังจะมาถึงศูนย์ จู่ๆ ข้าก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังรุมผู้ฝึกตนจากโรงเรียนเสวียนชิง เมื่อข้ามาถึง กลุ่มของวั่นหงอันก็ล้อมรอบและรังแกศิษย์น้องโม่แล้ว…”
ตอนแรกเยี่ยจิ่งเหวินยังค่อนข้างรู้สึกผิดในการพูดโกหกเช่นนี้ แต่ ณ ตอนนี้ ขณะที่บทบาทของเขาในเรื่องถูกแทนที่โดยโม่เทียนเกอ เขาก็ยังเป็นคนที่เกี่ยวข้องอยู่ดี ดังนั้นความโกรธที่อุบัติขึ้นในใจของเขานั้นเป็นของจริง ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอารมณ์ร้อนและขมขื่นมากขึ้นเท่านั้น เขาบรรยายด้วยวิธีที่แจ่มแจ้งและสมจริงว่าคนพวกนั้นน่ารังเกียจแค่ไหนเมื่อพวกมันข่มเหงและพยายามจะฆ่าคนอื่นเพื่อปล้นทรัพย์ของพวกเขา
ข้างกายเขา โม่เทียนเกอที่นั่งก้มหัวดูเหมือนจะยิ่งก้มต่ำลงและต่ำลงกำลังโอดครวญอยู่ในใจ พี่ใหญ่เยี่ยคนที่ถูกรุม ถูกทุบตี และอื่นๆ อีกมากมายไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเราเลยแม้แต่นิดเดียว
พอเขาเห็นว่าทุกคนในที่นั้นเริ่มจะดูโมโห เยี่ยจิ่งเหวินรีบพูดต่อทันทีว่าโม่เทียนเกอขัดขืนและสู้กลับอย่างไร และด้วยความช่วยเหลือของเขา นางสู้สุดชีวิตกับผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนหลายคนได้อย่างไร เรื่องที่วั่นหงอันยอมสังเวยสหายศิษย์ของเขาและหนีกลับมาที่ศูนย์ก็ถูกอธิบายอย่างชัดเจน
พอถึงเวลาที่เขาเล่ามาถึงตรงนี้ ใบหน้าของประมุขเต๋าจิ้งเหอก็มีความโกรธสุดขีด
จากวิธีที่เยี่ยจิ่งเหวินเล่าเรื่อง บางทีพวกผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนที่ตายอยู่ในโถงหลักอาจถูกเล่าจนลดทอนให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มคนชั่วร้ายไป ดังนั้นค่วงจู๋ที่กังวลว่าปรมาจารย์ท่านนี้จะเริ่มสังหารหมู่จึงขัดเขาขึ้นมาทันที “ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ขอให้ข้าได้เป็นคนพูดถึงแล้วกันนะขอรับ”
จากนั้นทุกคนได้ยินค่วงจู๋เล่าเรื่องต่อด้วยเสียงนิ่งและสุภาพของเขา “หลังจากสหายสองคนของเขาตาย วั่นหงอันกลับมาและปลุกปั่นศิษย์สำนักกู่เจี้ยนคนอื่นๆ ให้มาที่โถงหลัก ใส่ร้ายและประณามศิษย์น้องโม่ เขาถึงขนาดเสนอแนะว่าถ้าศิษย์น้องโม่ยอมแต่งงานกับเขา เขาจะรับผิดชอบความตายของสหายทั้งสองของเขาต่อหน้าผู้อาวุโสสำนักกู่เจี้ยน ก่อนหน้านี้เมื่อศิษย์น้องโม่ถูกซุ่มโจมตีนอกศูนย์ นางก็พอจะเข้าใจถึงความมุ่งร้ายของคนคนนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เชื่อเขา”
“ข้าเชื่อว่าในทุกคนที่ศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน บางคนคงรู้แล้วว่าวั่นหงอันไม่ใช่คนมีศีลธรรมอันดี หลังจากสันดานดิบของเขาถูกเผยออกมาว่าเป็นคนที่ทอดทิ้งสหายศิษย์ของเขา ศิษย์พี่คนอื่นจากสำนักกู่เจี้ยนจึงหยุดช่วยเหลือเขา อย่างไรก็ตาม พอเห็นว่าเรื่องถูกเปิดเผยและเขาถูกกล่าวโทษเรื่องความตายของศิษย์ทั้งสองคน เขาจึงใช้ม่านพลังอสูรพันร่างตั้งใจจะฆ่าพวกเราและศิษย์พี่จากสำนักกู่เจี้ยนอีกหลายคนที่อยู่ในโถงหลัก”
“เมื่อพวกเขาเข้ามาในโถงหลัก ศิษย์พี่พวกนั้นวู่วามเกินไปและลงเอยด้วยการเริ่มต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ กับเรา เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกดึงเข้าไปในแผนของวั่นหงอันและถูกเลือกให้เป็นสื่อกลางเลือด ถ้าไม่ใช่เพราะเมฆบำบัดของข้าบังเอิญช่วยป้องกันม่านพลังอสูรพันร่างที่เสร็จสมบูรณ์ไว้ได้ ข้าเกรงว่าตอนนี้ศูนย์สันเขาเฉียนเหมินคงจะต้องกลายเป็นแดนที่เต็มไปด้วยผีที่มีความแค้นแน่นอน น่าเสียดายจริงที่ศิษย์พี่พวกนั้นจากสำนักกู่เจี้ยนต้องตายไปพร้อมกับข้อกล่าวหาผิดๆ ที่ใส่ร้ายพวกเขา” ค่วงจู๋ถอนหายใจยาวที่ฟังดูราวกับว่าเขาเสียใจ
เพราะเยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้วางแผนจะปล่อยวั่นหงอันไป และค่วงจู๋ก็ไม่ได้ใจอ่อน พวกเขาจงใจยั่วให้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังของสำนักกู่เจี้ยนโกรธจริง อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังของสำนักกู่เจี้ยนคนอื่นที่ตายในโถงหลัก ที่จริงพวกเขาก็ตายอย่างค่อนข้างไม่ยุติธรรม เพราะอย่างนั้นคำพูดของค่วงจู๋ถือได้ว่าช่วยคืนความเป็นผู้บริสุทธิ์ให้กับพวกเขา
เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอที่มักโกรธง่ายอยู่เสมอได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างเย็นชาและยกมือขึ้น ก่อให้เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้ง เกิดหลุมขนาดใหญ่ตรงที่ซึ่งเคยเป็นโถงหลักก่อนที่มันจะถูกทำลายราบจากการระเบิดของวั่นหงอัน
แรงที่ยังหลงเหลืออยู่จากการระเบิดนั้นทำให้ทุกคนตัวสั่นงันงก ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณบางคนที่ระดับการฝึกตนค่อนข้างต่ำถึงขนาดเลือดไหลออกจากมุมปากด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกันนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดด้วยความโกรธที่พ่นออกมา “ศิษย์คนสุดท้าย [1] ของข้า ประมุขเต๋าจิ้งเหอ คือคนที่พวกเจ้าจะล่วงเกินได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ!?”
คำพูดของเขาทำให้โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ หลังจากที่นางมองประมุขเต๋าจิ้งเหอสั้นๆ นางก็รีบตวัดสายตาไปทางเยี่ยจิ่งเหวิน
เยี่ยจิ่งเหวินที่ดูตกใจอย่างที่สุดก็หันหน้ามามองโม่เทียนเกอเช่นกัน เขารู้มานานแล้วว่าโม่เทียนเกอคือศิษย์ลงนามของท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอ แต่ความแตกต่างระหว่างศิษย์คนสุดท้ายกับศิษย์ลงนามนั้นเหมือนกับความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับโลกเลยก็ไม่ปาน
ศิษย์ลงนามจะได้รับความสนใจบ้างอย่างดีที่สุดก็เมื่อพวกเขาบังเอิญเป็นที่จดจำ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีข้อได้เปรียบบางอย่างเมื่อเทียบกับศิษย์ทั่วไป แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังขาดการแนะนำจากท่านอาจารย์ พวกเขาต้องพัฒนาตัวเองหนักมากบนเส้นทางแห่งการฝึกตน
การได้เป็นศิษย์คนสุดท้ายไม่ง่ายเหมือนการเป็นศิษย์ทางการ เพราะท่านอาจารย์รู้สึกว่าการรับศิษย์คนสุดท้ายเพียงพอแล้ว ศิษย์คนสุดท้ายส่วนใหญ่จึงเป็นศิษย์โดยตรงด้วยเช่นกัน ในการดูแลศิษย์คนสุดท้ายของเขา ท่านอาจารย์มักจะใส่ใจกับการสั่งสอนมากเป็นพิเศษ โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกสิ่งที่มอบให้กับศิษย์คนสุดท้ายนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติลับทั้งนั้น หลังจากได้ยินเช่นนั้นจากประมุขเต๋าจิ้งเหอ การพูดว่าโม่เทียนเกอโชคดีเหมือนได้รับรางวัลก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงแต่อย่างใด
ขณะนั้นเอง ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักของสำนักกู่เจี้ยน ขณะที่ปล่อยแรงกดดันของพลังวิญญาณขนาดมหึมา เขาพูดด้วยความโกรธว่า “เขาต้องการใช้ชีวิตคนเพื่อขู่กรรโชกศิษย์ผู้หญิงจากโรงเรียนข้าเพื่อให้แต่งงานกับเขา! ต่อให้เขาตายอีกหลายครั้งก็ไม่เพียงพอกับการลงโทษเขา! ในเมื่อเขาตายไปแล้ว ข้าจะไม่ฆ่าใครอีกในวันนี้ แต่ท้ายที่สุด เป็นเพราะมาตรฐานทางศีลธรรมของสำนักกู่เจี้ยนของเจ้าไม่เข้มงวดพอ ตู้หลิวเฟิง จงกลับไปและบอกชาวเต๋าเฒ่าฝูหลิงด้วย ถ้าเขาไม่ต้องการให้ข้าฆ่าใครในอารามของเจ้า พวกเจ้าทุกคนต้องมีคำแถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ข้า!”
เมื่อพูดจบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันกลับและเหลือบมองอย่างเข้มงวดมาที่โม่เทียนเกอ “เทียนเกอ!”
แม้ว่าโม่เทียนเกอจะยังไม่ตื่นจากความตกใจ นางไม่มีทางขอให้ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหออธิบายว่าเขาหมายความว่าอะไรต่อหน้าทุกคนเด็ดขาด ดังนั้นนางจึงรีบก้มหน้าและตอบว่า “ศิษย์อยู่นี่เจ้าค่ะ”
“การเผชิญกับคนไร้ยางอายและไร้ศีลธรรมเช่นนี้ เจ้าควรจะฆ่ามันให้มันตายไปโดยเร็ว! เมื่อสองปีก่อนเจ้ากล้าล่อสัตว์ปีศาจระดับห้าออกไปด้วยตัวเอง แต่เจ้ากลับไม่กล้าจะฆ่าไอ้คนชั่วช้าอย่างนี้ทันที! ในฐานะศิษย์ของข้า เจ้าทำให้ข้าอับอายยิ่งนัก! วันนี้เจ้าต้องตามข้ากลับไปที่ภูเขาและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ!”
แม้ว่าคำพูดของเขาจะฟังดูรุนแรง แต่เขาบิดเบือนความจริงที่ว่านางทำไม่ได้ไปเป็นนางไม่กล้าทำ เขาพูดถึงสัตว์ปีศาจระดับห้าอย่างโจ่งแจ้งเพื่อทำให้คนเชื่อว่าโรงเรียนเสวียนชิงออมมือให้ขณะที่สำนักกู่เจี้ยนนั้นก้าวร้าว เมื่อเทียบกับเรื่องเล่ายืดยาวของเยี่ยจิ่งเหวิน คำพูดตรงเข้าประเด็นของประมุขเต๋าจิ้งเหอนั้นน่าเชื่อถือกว่ามาก
จากนั้นนางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอย่างตำหนิอีกครั้ง “เยี่ยจิ่งเหวิน เจ้าออกจากภูเขามาตั้งนาน แต่เจ้าไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย ข้าคิดว่ามันถึงเวลาสำหรับเจ้าแล้วที่จะกลับไปและฟังคำแนะนำของท่านอาจารย์เจ้า”
ทันทีที่เขาพูดจบ มือซ้ายของเขาคว้าผู้ฝึกตนคนหนึ่งและมือขวาของเขาคว้าอีกคน ทั้งสองคนถูกเขาจับตัวและพาขึ้นรถเมฆไป
ขณะที่รถเมฆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าช้าๆ พวกเขาได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอเยาะเย้ย “เจ้าสำนักตู้ เรื่องนี้ได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว แต่ศิษย์พี่น้องของเจ้าก็ยังไม่มา พอคิดอีกที พวกเขาอาจจะไม่สามารถมาได้ เจ้าสำนักตู้ ถ้าเจ้าไม่อยากเก็บศพพวกเขา เจ้าควรจะกลับไปช่วยชีวิตพวกเขาซะ”
สีหน้าของอาจารย์เต๋าหลิวเฟิงเปลี่ยนไป เดิมเขาเคยคิดว่าคำพูดที่คาดไม่ถึงว่า “วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าใคร” ของประมุขเต๋าจิ้งเหอผู้กระหายเลือดนั้นแปลก แต่อย่างไรเสียมันก็คือพรจากสวรรค์ บัดนี้กลับกลายเป็นว่าเขาพูดเช่นนั้นเพราะเขาได้ระบายอารมณ์ตอนขาไปที่นั่นเรียบร้อยแล้ว
ตอนแรกเขามาเพื่อจัดการเรื่องผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไม่กี่คน ถ้าเพราะเรื่องนี้สำนักกู่เจี้ยนต้องจบลงด้วยการสูญเสียผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคนไป บางทีโชคชะตาของพวกเขาอาจจะน่าสังเวชเหมือนกับโรงเรียนต้านติงที่สูญเสียคนของพวกเขาไปเนื่องจากสัตว์ปีศาจก็เป็นได้
อาจารย์เต๋าหลิวเฟิงไม่กล้าจะอ้อยอิ่งอยู่ที่นั่นต่อไป พอถึงเวลาที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดจบ เงาของเขาก็หายลับไปไม่เหลือให้เห็นแล้ว
เมื่อรถเมฆอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนของประมุขเต๋าจิ้งเหออีกครั้ง “ค่วงจู๋”
ค่วงจู๋รีบตอบ “ศิษย์อยู่นี่ขอรับ”
“นี่คือของขวัญสำหรับเจ้า ถ้าพวกหน้าด้านจากสำนักกู่เจี้ยนมาที่นี่อีก ทำร้ายมันแล้วโยนมันออกไป เจ้าห้ามปรานีเด็ดขาด!” ทุกคนเห็นหนึ่งในผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างรถเอาของที่เหมือนโกร่งออกมาจากภายในรถ จากนั้นนางก้าวขึ้นไปบนตระกร้าดอกไม้และลอยลงมาอยู่ข้างค่วงจู๋ นางมอบโกร่งให้กับเขาก่อนจะลอยอย่างอ่อนช้อยกลับขึ้นไปที่ข้างรถเมฆ
เสียงของประมุขเต๋าจิ้งเหอซึ่งตอนนี้ไม่มีความโกรธเคืองเจือปนอยู่แม้แต่น้อยแผ่ออกมาจากภายในรถ “โกร่งนี้รู้จักกันว่าเป็นโกร่งบดสวรรค์ ส่วนสากในนั้นเรียกว่าสากกะเทาะโลก สิ่งหนึ่งใช้สำหรับโจมตีและอีกสิ่งใช้สำหรับป้องกัน พวกมันเติมเต็มซึ่งกันและกัน มันยังมีผลในการเพิ่มคุณสมบัติทางยาในยาครอบจักรวาลทางจิตวิญญาณด้วย พวกมันเหมาะกับเจ้ามากกว่า”
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาเห็นผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างรถหยิบกระโปรงออกมาจากภายในรถ ประมุขเต๋าจิ้งเหอกล่าว “กระโปรงร้อยกรุ่นกลิ่นบุปผานี้สำหรับเสี่ยวไป๋จากครอบครัวของเจ้า เด็กผู้หญิงต้องมีรูปลักษณ์แบบผู้หญิงสิ ใส่เสื้อผ้าผู้ชายทั้งวันทั้งคืนจะไปสนุกอะไรล่ะ? ประมุขคนนี้ไม่ชอบการที่ไข่มุกต้องถูกฝุ่นบดบังอย่างนี้ที่สุด”
ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงทั้งหมดเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ในชั่วพริบตา ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่จ้านไป๋
ครั้งนี้ทุกคนเห็นสีหน้าที่มักจะเฉยเมยเสมอของศิษย์พี่ค่วงจู๋หม่นหมองลง
ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างรถเมฆส่งกระโปรงร้อยกรุ่นกลิ่นบุปผาให้กับจ้านไป๋แล้วจึงออกจากศูนย์สันเขาเฉียนเหมินไปพร้อมกับรถเมฆของประมุขเต๋าจิ้งเหอ
ขณะที่พวกเขาจ้องมองปรมาจารย์จิ้งเหอจากไป ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงหันมาและมองสำรวจจ้านไป๋ตามสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตาม จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินศิษย์พี่ค่วงจู๋ผู้ที่ไม่เคยเป็นคนเอะอะเสียงดังคำรามลั่น “มองอะไรกัน!? กลับไปได้แล้ว!”
จากนั้นเขาก็ออกไปพร้อมกับดึงจ้านไป๋ไปกับเขาด้วย
——
[1] ศิษย์คนสุดท้าย: ความหมายตรงตัวว่าศิษย์คนสุดท้ายที่รับเข้ามาโดยท่านอาจารย์ ดังนั้นท่านอาจารย์จึงพิถีพิถันมากในการเลือกศิษย์พวกนี้ โดยทั่วไปพอเวลาผ่านไปพวกเขาจะกลายเป็นศิษย์คนโปรดของท่านอาจารย์ ดังนั้นสถานะของพวกเขาในหมู่ศิษย์ด้วยกันจึงค่อนข้างพิเศษ
ตอนที่ 134-1 หายนะที่ไม่ได้ตั้งใจ
โม่เทียนเกอได้ยินเสียงลมจากภายในรถ นางยืนนิ่งไม่ไหวติงและก้มหัวในท่าทางที่สำรวม
มารยาทที่ใช้สำหรับพบปะผู้อาวุโสเช่นนี้ เยี่ยจิ่งเหวินเองก็ฝึกมาอย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน เพราะอย่างนั้นเขาจึงแสดงท่าทางออกมาได้ดีกว่าโม่เทียนเกอเสียอีก
ทั้งสองคนเกือบจะเหมือนรูปปั้นที่แสดงท่าทางให้เห็นว่า “ศิษย์ที่ดีและเชื่อฟัง” ควรจะเป็นอย่างไรได้อย่างไร้ที่ติ
ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองพวกเขาอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้มีทีท่าว่าจะเริ่มสารภาพ เขาจึงแค่หยิบถ้วยชาร้อนออกมาช้าๆ อย่างยั่วโมโห อีกอย่าง มันน่าแปลกใจเสียจริงว่าเขาไปเอาชามาจากไหนในรถเมฆบินได้นี้
โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินเงียบสนิท ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ยิ่งเงียบกว่า ภายในรถเมฆไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยินนอกจากเสียงประมุขเต๋าจิ้งเหอดื่มชาร้อนจี๋ถ้วยนั้น
เมื่อเขาดื่มชาจนเสร็จในที่สุด ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอนหายใจอย่างพอใจและโยนถ้วยออกจากรถไป
ความคิดวาบผ่านจิตใจของโม่เทียนเกอในทันใด ถ้าเกิดมีผู้ฝึกตนอยู่ด้านล่างพวกเขา กะโหลกของเขาจะไม่แตกรึเมื่อเขาโดนถ้วยนั้นตกใส่? อย่างไรก็ตาม นางได้ยินเสียงประมุขเต๋าจิ้งเหอในวินาทีต่อมา ดังนั้นนางจึงรีบดึงสติกลับมาจากภวังค์ทันที
“ข้าสงสัย—” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอนหลังอยู่ในเก้าอี้ของเขา จ้องมองทั้งสองคนด้วยสายตาที่ไม่ได้อบอุ่นและก็ไม่ได้เย็นชา “เจ้าคิดว่าประมุขคนนี้เป็นคนที่พวกเจ้าสามารถหลอกได้ตามใจชอบจริงๆ อย่างนั้นรึ?”
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ปล่อยแรงกดดันพลังวิญญาณของเขาออกมา แต่หยดเหงื่อเย็นเยียบก็ยังไหลลงมาจากหน้าผากของเยี่ยจิ่งเหวิน เขาลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น “ศิษย์มันไร้ค่า ท่านปรมาจารย์โปรดอภัยให้ศิษย์ด้วย”
จิตใจของโม่เทียนเกอยังคงเต็มไปด้วยคำพูด “ศิษย์คนสุดท้าย” ตอนก่อนหน้านี้ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ นางยังคงจัดระเบียบความคิดบ้าคลั่งอย่างวุ่นวาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อนางเห็นการตอบสนองของเยี่ยจิ่งเหวิน นางก็รีบดึงสติทันที กัดฟันและคุกเข่าลงกับพื้นตามเขา
ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ ไม่นานหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม จู่ๆ เขาก็ตะคอกใส่คนทั้งสองที่นั่งคุกเข่าอยู่ “ไอ้พวกสารเลว! พวกแกคิดว่าประมุขคนนี้ไม่รู้อะไรเลยงั้นรึ?! พวกแกช่างกล้านัก! ลืมเรื่องฆ่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดในคราวเดียวไปก่อนเลย พวกแกถึงขนาดหวังพึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดของโรงเรียนให้ช่วยแก้ปัญหานี้แล้วยังวางแผนจะได้ผลประโยชน์จากข้า ปรมาจารย์ของพวกแกอีกงั้นเรอะ!”
ขณะที่เขาคำรามอย่างเดือดดาล แรงกดดันพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ได้เล็ดลอดออกมา ทันทีที่แรงกดดันพลังวิญญาณนั้นมาถึงตัวนาง โม่เทียนเกอผู้ที่ยังคงรู้สึกค่อนข้างลังเลในใจ กลับรู้สึกเหมือนกับนางไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่นิดเดียวทันที ราวกับร่างกายของนางถูกตรึงอยู่ที่พื้นอย่างแน่นหนา หน้าผากของนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ นางรู้สึกพลังวิญญาณในร่างกายของนางกำลังเคลื่อนไปอย่างคลุ้มคลั่ง ควบคุมไม่ได้โดยสิ้นเชิง ชั่วขณะต่อมา อย่างไรก็ตาม นางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอีกครั้งในเสียงที่อ่อนโยนลง “แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ยังเป็นศิษย์ของข้า เจ้าปล่อยให้คนอื่นมารังแกตามอำเภอใจได้อย่างไร?” น้ำเสียงที่เขาใช้ที่จริงแล้วมีความพึงพอใจและภูมิใจ
โม่เทียนเกอตะลึงงัน นี่มัน… เรื่องตลกอะไรเนี่ย? ถึงแม้ว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอจะเป็นคนทะนงตน แต่นางก็คาดว่าเขายังจะตำหนิพวกเขาต่อหน้าสาธารณชนก่อนที่จะให้รางวัลกับพวกเขา นางไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้
เยี่ยจิ่งเหวินได้สติกลับมาก่อน เขารีบพูดทันที “ท่านปรมาจารย์พูดถูกแล้วขอรับ! ศิษย์เห็นด้วย ผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนพวกนั้นมันหน้าด้านจริงๆ! เราจะปล่อยให้มันเหยียบย่ำเราได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม เพราะเราไม่อาจปล่อยให้ตาแก่พวกนั้นจากสำนักกู่เจี้ยนมาทำลายชื่อเสียงของท่านปรมาจารย์ได้ เราจึงต้องเป็นฝ่ายเริ่มและแต่งเรื่องขอรับ”
คำพูดของเขาทำให้โม่เทียนเกอเหงื่อแตกอีกรอบ นางเพิ่งตระหนักว่าพี่ใหญ่เยี่ยของนางค่อนข้างพูดมาก แต่นางไม่รู้เลยว่าเขายังสามารถพ่นคำหวานจอมปลอมพวกนี้ออกมาได้ ไม่เพียงแต่เขาจะซุกซ่อนความผิดพลาดของพวกเขา แต่เขายังทำให้มันฟังดูเหมือนว่าพวกเขาทำไปเพื่อเห็นแก่ท่านปรมาจารย์!
ถึงอย่างนั้น ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ดูเหมือนเขาจะกำลังเพลิดเพลิน เขาหัวเราะพร้อมกับลูบหนวดสั้นๆ ของเขา “ไม่เลว! ไม่เลวเลย! ไอ้หนู เจ้าฉลาดใช้ได้! ปรมาจารย์รู้ว่าคำพูดของเจ้าไม่จริงใจ แต่ในเมื่อเจ้าดูน่ามอง ข้าก็จะไม่ต่อความยาวสาวความยืดเรื่องนี้อีก!”
เยี่ยจิ่งเหวินถอนหายใจโล่งอกและโม่เทียนเกอก็รู้สึกร่างกายของนางผ่อนคลายขึ้นในทันที ตอนนี้พวกเขาถือว่าได้จัดการกับเรื่องนี้แล้ว
“แต่…”
ทั้งสองคนตัวสั่นขึ้นมาทันที พวกเขามองประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่ยากจะหยั่งถึง “ถึงแม้ว่าการกระทำของเจ้าจะถูกจริตข้ามาก แต่พวกเจ้ากล้าบ้าบิ่นเกินไป! เพื่อกันไม่ให้คนอื่นๆ เอาไปพูดกัน เจ้าทั้งสองจะต้องอยู่ที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิสิบปีนับจากวันนี้เป็นต้นไป ภายในสิบปีนั้น เจ้าห้ามออกมานอกเสียจากว่ามีคำสั่ง! เข้าใจไหม?!”
ห้ามออกจากเขาในอีกสิบปีข้างหน้า… หมายความว่าพวกเขาถูกรับมาอยู่ใต้ปีกของปรมาจารย์จิ้งเหอ ดังนั้นจะไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา ปรมาจารย์จิ้งเหอกำลังจงใจไม่เอาผิดพวกเขา! ทั้งโม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินดีใจ พวกเขาเหลือบมองกันจากนั้นก้มหัวลงที่พื้นพร้อมกันด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์มากเจ้าค่ะ/ขอรับ”
“อือ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหลับตา แต่ไม่ช้าเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกและมองโม่เทียนเกอ “เจ้ายังเรียกข้าว่า ‘ปรมาจารย์’ ไปเพื่ออะไรเล่า?”
โม่เทียนเกอตะลึง ชั่วครู่หนึ่งที่นางพูดไม่ออก เรียกเขาว่า “ปรมาจารย์” แล้วผิดตรงไหน?
ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งเสียงฮึ่ม “เจ้าคิดว่าคำที่ข้าพูดเป็นเพียงผายลมหรือไร ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าเช่นนั้น”
“หา?” ครั้งนี้จิตใจของโม่เทียนเกอว่างเปล่า นางคาดว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอเพียงพูดแบบนั้นไปเพื่อให้คนที่ยืนมองเหตุการณ์ได้ยินเฉยๆ ที่จริงแล้วเขามองนางในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของเขาอย่างแท้จริงงั้นหรือ
“เจ้าจะ ‘หา’ อะไรกัน?!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจ้องนาง น้ำเสียงของเขาน่ากลัว “หรือเจ้าไม่อยากเป็นศิษย์ของประมุขผู้นี้!”
โม่เทียนเกอทำได้เพียงกะพริบตา ก่อนที่นางจะรู้ตัว เยี่ยจิ่งเหวินเอาศอกกระทุ้งนางและกระซิบบอก “เจ้าจะมึนงงอะไรเล่า รีบคุกเข่าคำนับสิ!”
โม่เทียนเกอคุกเข่าคำนับอย่างตื่นตระหนก “ศิษย์… ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์!” เกิดอะไรขึ้นกับนางกันนะ? ตามหลักเหตุผลแล้ว นางที่เคยเจอเทพผู้ฝึกตนมาก่อนก็ไม่ควรจะกลัวท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ แต่อนิจจา มันยังคงยากสำหรับนางอยู่ดีที่จะชินกับวิธีรับมือเรื่องต่างๆ ของปรมาจารย์ท่านนี้…
“อืม…” ประมุขเต๋าจิ้งเหอพยักหน้าด้วยความพอใจ “ต้องอย่างนี้สิ! วันนี้อาจารย์ไม่มีอารมณ์ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีพิธีบูชาอาจารย์กัน เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ…” นางกล้าค้านงั้นรึ สำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังที่ไม่มีพื้นเพอะไรถูกรับเข้ามาโดยผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของเขา นั่นถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยังต้องแย่งชิงและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับเกียรติเช่นนั้น แล้วนางจะอาจหาญไปคัดค้านอะไร? นางแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อย ท้ายที่สุดแล้วปรมาจารย์ท่านนี้ก็มีอารมณ์แปลกๆ และไม่ง่ายนักที่จะเข้ากับเขาได้
จิตใจของโม่เทียนเกอยังว้าวุ่น แต่ก่อนที่นางจะเข้าใจได้ถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น นางได้ยินประมุขเต๋าจิ้งเหอที่ยังคงหลับตาอยู่ส่งเสียงฮึ่มออกมาอย่างเย็นชา โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินตัวสั่นเทิ้นทันที ทั้งคู่รู้สึกถึงแรงกดดันของพลังวิญญาณที่น่ากลัว
โม่เทียนเกอเป็นผู้ฝึกตนที่มีประสบการณ์ เมื่อแรงกดดันพลังวิญญาณนี้ปรากฏขึ้น นางรู้ว่ามันเป็นแรงกดดันพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ มีผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่อีกคนโผล่มางั้นหรือ?
ขณะนั้นเอง มุมปากของประมุขเต๋าจิ้งเหอเผยอขึ้น เขายิ้มเยาะและพูดว่า “เจ้าอยากกดดันข้าด้วยทักษะแค่นี้น่ะรึ”
ด้วยการโบกแขนเสื้อพริ้วไหวของเขา มนตร์เบาบางปรากฏขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ปกคลุมและปกป้องรถเมฆอย่างแน่นหนา จากนั้นเขาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดแรงเคลื่อนไหวที่น่าพิศวง
ภายในรถ โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินผู้ที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งคู่อยู่ใกล้กับประมุขเต๋าจิ้งเหอมาก เมื่อประมุขเต๋าจิ้งเหอทำท่านั้น ทั้งสองคนก็กระอักเลือดออกมาทันทีและหมดสติไป
ประมุขเต๋าจิ้งเหอนิ่วหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอศัตรูขณะที่เขาอยู่ในรถเมฆกับคนอื่น เขาจึงมองข้ามมุมนี้ไป
เขาบ่นอย่างอารมณ์เสีย “ไร้ประโยชน์จริงๆ”
ทันทีหลังจากนั้นเขาหยุดรถเมฆ ยกม่านสีทองขึ้นและก้าวออกจากรถ
ตอนที่ 134-2 หายนะที่ไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อโม่เทียนเกอได้สติอีกครั้ง นางรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของนางติดอยู่ระหว่างก้อนเมฆ ไม่มีพละกำลังเหลืออยู่ในตัวเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางลืมไม่ขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเส้นลมปราณของนางก็ปวดไปหมด
ขณะที่นางกำลังพยายามขยับตัว นางได้ยินเสียงผู้หญิงพูดอย่างนุ่มนวลกับนาง “อาจารย์ลุงโม่ ที่นี่คือบ่อน้ำเวินหย่างของท่านปรมาจารย์ ตอนทางขากลับนั้นเราเจอเข้ากับศัตรูและท่านปรมาจารย์ทำให้ท่านบาดเจ็บโดยบังเอิญ ท่านปรมาจารย์ส่งท่านมาที่สถานที่แห่งนี้ทันทีหลังจากเรามาถึงและบอกให้เราดูแลท่านให้ดี อาจารย์ลุง ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
โม่เทียนเกอพึมพำอยู่ในใจ ทั้งร่างของข้าไม่สบาย แม้แต่การพูดยังยากเลยตอนนี้
ในไม่ช้า โม่เทียนเกอได้ยินเสียงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง “เมิ่งจู๋ ในเมื่ออาจารย์ลุงตื่นแล้ว เจ้าควรจะช่วยให้นางทานยาวิเศษที่ท่านปรมาจารย์ทิ้งไว้ให้สิ”
จากนั้นโม่เทียนเกอรู้สึกใครบางคนกำลังดันยาวิเศษมาเข้าปากนาง นางต้องออกแรงอย่างมากก่อนที่นางจะอ้าปากได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อยาวิเศษเข้าไปอยู่ในปากของนางแล้ว นางถึงได้รู้ตัวว่านางไม่มีแม้แต่แรงจะกลืนมันด้วยซ้ำ
หญิงคนแรกพูด “อาจารย์ลุง อภัยในความไร้มารยาทของข้าด้วย”
หลังจากนั้นใครบางคนจับกรามล่างของนางและดันมันขึ้น ดันให้ยาวิเศษในปากนางไหลลงคอไป
วินาทีที่ยาวิเศษเข้าสู่ร่างกายนาง พลังของยาวิเศษแพร่กระจายไปตามเส้นลมปราณของนาง ความเจ็บปวดที่นางรู้สึกก่อนหน้านี้ในเส้นลมปราณลดลงทันที ถึงอย่างนั้น ประสิทธิภาพของมันก็เทียบไม่ได้กับพืชสมุนไพรที่สัตว์วิเศษไฟนรกเก็บรวบรวมไว้ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
โม่เทียนเกอนิ่วหน้า นางกำลังพยายามอย่างมากที่จะซึมซับพลังของยาวิเศษ แต่ขณะเดียวกัน นางก็กำลังเสียใจกับความโชคร้ายอันเด่นชัดของตัวเองอยู่
ในสงครามกับสัตว์ปีศาจ สิ่งเดียวที่นางต่อสู้ด้วยบังเอิญเป็นสัตว์ปีศาจระดับห้า ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ และถ้าไม่ใช่เพราะโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง นางคงจากโลกนี้ไปนานแล้ว
หลังจากใช้ความพยายามอย่างมากอาการบาดเจ็บของนางก็หายดี อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นางเจอกับสหายศิษย์ของนาง นางก็บังเอิญพบกับพี่ใหญ่เยี่ยที่ถูกซุ่มโจมตี เพราะหลายปัจจัยที่เกิดจากเรื่องนี้ นางจึงถูกรับเข้ามาเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ ใครจะไปคิดล่ะว่าก่อนที่สถานะศิษย์ภายในชั้นสูงนี้จะหมดความสดใหม่ นางจะถูกทำร้ายโดยท่านอาจารย์ของตัวเองถึงขนาดบาดเจ็บหนักได้?
คนอาจจะถามว่าในโลกใบนี้ ศิษย์ภายในชั้นสูงกี่คนกันที่ถูกทำร้ายจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสโดยท่านอาจารย์ของตัวเองทันทีหลังจากที่พวกเขาบูชาท่านอาจารย์คนเดียวกันนั้น
ในฝั่งตะวันตกของคุนอู๋ทั้งหมด นางคนบ้าคนนี้ อาจจะเป็นคนเดียวที่ผ่านเรื่องเช่นนั้น นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอย่างไรดีเกี่ยวกับโชคชะตาของนาง
เมื่อนางคร่ำครวญในจิตใจเสร็จสิ้น ในที่สุดโม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงพละกำลังที่กลับมา นางพยายามอย่างหนักที่จะอ้าปากและถามออกมาได้ “พี่ใหญ่เยี่ย… เขาเป็นอะไรไหม?”
“ถ้าจะตอบคำถามของอาจารย์ลุง ศิษย์พี่เยี่ยถูกพากลับไปที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างโดยอาจารย์ลุงชิงหยวนและกำลังพักฟื้นอยู่เจ้าค่ะ ท่านปรมาจารย์ยังได้มอบยาวิเศษบางส่วนให้เขา คาดว่าสถานการณ์ของเขาตอนนี้ไม่น่าจะรุนแรงมากนัก”
มอบ… เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นคนที่ทำให้เราบาดเจ็บ แต่ท่านยัง “มอบ” …
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลุ่มคนที่วนเวียนอยู่ข้างนาง โม่เทียนเกอรู้สึกทำตัวไม่ถูก ถ้านางยังเป็นศิษย์ลงนาม พวกเขาคงปล่อยให้นางดูแลตัวเองแน่นอน ในกรณีนั้น นางคงจะสามารถตรงเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางและฟื้นตัวได้ ทั้งพืชสมุนไพรและพลังวิญญาณในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางดีกว่าที่ท่านอาจารย์ท่านนี้จัดหามาให้หลายเท่าตัวนัก
ด้วยความคิดเช่นนั้น จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกดีขึ้นมาก ในฝั่งตะวันตกของคุนอู๋ทั้งหมด นางคงเป็นคนเดียวที่กล้าจะไม่พอใจกับสิ่งที่ท่านอาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางของตัวเองมอบให้
ถึงอย่างนั้น สถานการณ์ของพี่ใหญ่เยี่ยครั้งนี้ก็อาจจะเลวร้ายลง นอกเหนือจากเส้นลมปราณที่เสียหายหนัก ระดับการฝึกตนของเขาอาจจะจบที่การถดถอยลงก็ได้
นางสงสัยอย่างจริงจังว่านางทำอันตรายต่อเขาหรือเขาแพร่โชคร้ายของเขามาให้นางกันแน่
ทันใดนั้นโม่เทียนเกอก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมา “ทำไมพวกเจ้าทุกคนถึงไม่เป็นอะไรล่ะ”
จากความทรงจำของนาง ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนนอกรถเมฆก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเหมือนกับนาง นางและเยี่ยจิ่งเหวินบาดเจ็บสาหัส เพราะงั้นทำไมคนพวกนี้ถึงยังมีแรงมาดูแลนางได้
“เพื่อตอบคำถามของอาจารย์ลุง จุดที่เราศิษย์พี่น้องทั้งแปดคนยืนอยู่ถูกปกคลุมด้วยเกราะป้องกันจากม่านพลังบนรถเมฆ ด้วยเหตุนั้น ไม่ว่าการต่อสู้ของท่านปรมาจารย์จะสะเทือนโลกแค่ไหนก็ไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่างไรก็ตาม เพราะโดยปกติท่านปรมาจารย์เป็นคนเดียวที่อยู่ในรถและอาจารย์ลุงกับศิษย์พี่เยี่ยอยู่ไม่ไกลจากท่านปรมาจารย์ ท่านทั้งคู่จึงถูกทำให้บาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ”
ก่อนที่โม่เทียนเกอจะสามารถค้านได้ หญิงคนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง “การนั่งอยู่ในรถคันเดียวกับท่านปรมาจารย์เป็นเกียรติที่ทำให้ศิษย์นับไม่ถ้วนต้องอิจฉาถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้ อีกอย่าง ท่านปรมาจารย์ก็ไม่ได้ทำไปเพราะความตั้งใจ ข้าหวังว่าอาจารย์ลุงจะไม่ถือโทษนะเจ้าคะ”
โม่เทียนเกอบ่นพึมพำในใจ พวกสาวๆ อย่างเจ้านั่งรถคันเดียวกับเขาทุกวัน ทำไมข้าไม่เห็นมีใครรู้สึกอิจฉาเลย
จู่ๆ หญิงอีกคนก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “ศิษย์พี่เมิ่งจู๋ ข้าเกรงว่าไม่ว่าอาจารย์ลุงจะถือโทษหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ท่านมีสิทธิ์จะไปกังวลนะ ใช่ไหม”
เอ๋? น้ำเสียงห้วนๆ แบบนั้นทำให้โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน
ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนหญิงที่ชื่อเมิ่งจู๋เปลี่ยนน้ำเสียงนุ่มนวลของนางเป็นเสียงเยาะเย้ยอย่างเยือกเย็น “ข้ากำลังพูดกับอาจารย์ลุงโม่ ทำไมเจ้าต้องสอดด้วย?”
พอได้ยินคำตอบเช่นนี้ ผู้ฝึกตนหญิงที่เหน็บแนมเมิ่งจู๋ก็โมโหยิ่งขึ้น นางหัวเราะหึอย่างเย็นชา “ท่านปรมาจารย์ให้เรารออาจารย์ลุงโม่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่ศิษย์พี่คนเดียว ทำไมข้าจะพูดไม่ได้?”
“ศิษย์น้องรั่วหลาน!” น้ำเสียงเมิ่งจู๋เด็ดขาดขึ้นมาทันที “เจ้าหรือว่าข้ากันแน่ที่เป็นศิษย์พี่!?”
“ท่าน—” รั่วหลานหยุดครู่หนึ่งจากนั้นพูดอย่างอิจฉา “แน่นอนว่าท่านคือศิษย์พี่”
น้ำเสียงเมิ่งจู๋เปลี่ยนกลับไปเป็นจองหองเล็กน้อยเหมือนก่อนหน้านี้ “ในเมื่อข้าเป็นศิษย์พี่ เจ้าต้องทำตามสิ่งที่ข้าพูด”
หลังจากนางพูด ทั้งบริเวณกลับไปเงียบชั่วครู่ อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น หญิงที่ชื่อรั่วหลานพูดขึ้นมาอย่างโมโหอีกครั้ง “ตอนนี้ท่านเป็นศิษย์พี่แล้วมันจะทำไม คนที่ท่านปรมาจารย์ชอบไม่เคยตัดสินกันที่ความอาวุโส!”
ตอนที่โม่เทียนเกอได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดนางก็เข้าใจแจ่มแจ้ง หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าการแก่งแย่งความรักที่พูดถึงกันในตำนาน?
โม่เทียนเกอคิดเกี่ยวกับปรมาจารย์จิ้งเหอที่ไร้การควบคุม อ้อ เขาเป็นอาจารย์ของนางแล้วตอนนี้ จากนั้นคิดเกี่ยวกับผู้ฝึกตนหญิงที่สดใส อ่อนวัย และสวยงามเหล่านี้ผู้ที่ดูเหมือนอายุน้อยกว่าร้อยปี จู่ๆ นางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบและขนลุกซู่ โรงเรียนแห่งเต๋ามุ่งเน้นที่การมีใจบริสุทธิ์และความปรารถนาเพียงน้อยนิด ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เกี่ยวกับการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ แต่ก็มีคนน้อยมากที่ชอบมีนางสนม ท่านอาจารย์คนใหม่ของนางที่เพิ่งบูชานี้คงไม่บังเอิญเป็นคนที่ถูกยกเว้นใช่ไหม
เมิ่งจู๋ [1] รั่วหลาน [2] ชื่อพวกนี้มันช่าง… สัปดน! ปรมาจารย์จิ้งเหอผู้ที่หยิ่งยโส สูงศักดิ์ สง่างามกลับชอบชื่อคล้องจองกันพวกนี้อย่างไม่น่าเชื่อ คงไม่มีอะไรเหมย [3] หรือจู๋ [4] หลังจากนี้ใช่ไหม?
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในจิตใจ นางก็ได้ยินเมิ่งจู๋ตะโกน “ซวงจู๋! [5] สีหน้าของเจ้ามันหมายความว่าอย่างไร?!”
โม่เทียนเกอแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด! โชคร้ายที่นางไม่มีแรงเหลืออยู่ในร่างกายนางและทำได้เพียงเบ้หน้า ขณะที่นางพยายามอย่างหนักในการซึมซับฤทธิ์ยาเพื่อที่นางจะได้กลับมาควบคุมร่างกายของนางได้อย่างเร็วที่สุด นางก็ยังคงฟังผู้ฝึกตนหญิงเหล่านี้ต่างพูดเสียดสีกันไปอย่างต่อเนื่อง
“ศิษย์พี่เมิ่งจู๋ ข้าไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย!” ซวงจู๋ผู้นี้ฟังดูเย็นชา เหมือนกับว่านางไม่อยากจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งของพวกนาง
เมิ่งจู๋พูดเย้ย “เจ้าไม่ได้พูดอะไรแต่ทุกอย่างมันแสดงออกมาหมดบนหน้าเจ้า!”
แทนที่จะตอบ ซวงจู๋กลับนิ่งเงียบ
จากนั้นโม่เทียนเกอได้ยินรั่วหลานหัวเราะอย่างดูถูก “ศิษย์พี่เมิ่งจู๋ ถ้าเราจะพูดกันถึงเรื่องความอาวุโส ท่านเองก็ไม่ใช่คนที่อาวุโสที่สุดในหมู่พวกเรา ทำไมท่านต้องแกล้งซวงจู๋ด้วยเล่า?”
“ข้าไปแกล้งนางตอนไหน?” เมิ่งจู๋โต้กลับอย่างไม่พอใจ “ข้าแค่ถามดู แต่นางกลับทำเป็นเมินข้า! เพราะงั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“นาง…”
“พอแล้ว!” ครั้งนี้ขณะที่รั่วหลานกำลังเปิดปากจะพูด ผู้ฝึกตนหญิงคนที่ไม่ได้พูดอะไรจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาในท่าทางน่าเกรงขาม “แค่เพราะข้าไม่พูด เจ้าคิดว่าข้าเป็นแค่ไม้ประดับอย่างนั้นเรอะ ฮึ! จะเถียงกันเรื่องพวกนี้ไปเพื่อประโยชน์อะไร? ท่านปรมาจารย์บอกให้เราดูแลอาจารย์ลุงโม่ เจ้าไม่กลัวว่าอาจารย์ลุงโม่จะโกรธเพราะสิ่งที่พวกเจ้าพูดกันรึ!?”
เมื่อนางพูด ทุกคนจึงนิ่งเงียบ จากนั้นซวงจู๋พูดขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่โม่เหมย [6] อย่าโกรธไปเลย เราจะหยุดพูดแล้ว”
แต่ทันทีที่นางพูดจบ รั่วหลานก็พูดว่า “ศิษย์พี่โม่เหมย ท่านดูแลอาจารย์ลุงโม่อย่างตั้งใจ ท่านไม่ได้พยายามใช้อาจารย์ลุงโม่เพื่อเอาชนะใจท่านปรมาจารย์ใช่ไหม? ข้าแค่กลัวว่าการคาดคะเนของท่านจะผิดไป!”
เมื่อนางได้ยินดังนั้น โม่เทียนเกอยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูก คนพวกนี้กำลังเถียงกันต่อหน้านางโดยไม่ยั้ง พวกนางอาจจะเรียกนางว่า “อาจารย์ลุง” แต่เห็นได้ชัดว่าพวกนางไม่มีความเคารพต่อนางเลยสักนิด การทำตัวเยี่ยงนี้หมายความว่าพวกนางกำลังเอาเปรียบจากความจริงที่ว่านางเป็นแค่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ไม่ใช่หรือ วิธีการของประมุขเต๋าจิ้งเหอในการจัดการบริวารของเขาช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ!
——
[1] เมิ่ง: ความฝัน; จู๋: ไผ่
[2] รั่ว: ดูเหมือน, เหมือน, ราวกับ; หลาน: ดอกกล้วยไม้
[3] เหมย: ดอกเหมย
[4] จู๋: ดอกเก๊กฮวย
[5] ซวง: น้ำค้างแข็ง; จู๋: ดอกเก๊กฮวย
[6] โม่: หมึก; เหมย: ดอกเหมย; คร่าวๆ หมายถึงดอกเหมยที่วาดด้วยหมึก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น