จอมใจจ้าวพิษ 130-151

 ตอนที่ 130 ฐานะถูกเปิดเผย


 


 


ถังเฉียนเพิ่งฟื้น แล้วให้อาห่าวพยุงจะออกจากห้องซูซินเหลียนกลับไปห้องของตน ได้ยินว่าเทพมังกรบาดเจ็บสาหัส แต่อาจารย์รู้ว่านางพยายามเต็มที่แล้วจึงไม่ได้ตำหนินาง


 


 


ได้ยินว่าครั้งนี้นิกายเทพมังกรต้องการชิงเทพมังกรจึงลงมือจึงทำให้เกิดความเสียหายรุนแรง ถังเฉียนสังหารอินทรีดำ ทำให้แผนของคนพวกนี้ล้มเหลว ใต้เท้าหลี่เคียดแค้นมาก จึงเลือกที่จะฆ่าถังเฉียนเพื่อโอกาสรอดชีวิต


 


 


คนพวกนี้ใช้ฐานะของหมอปราบผีเพื่อเข้าหาซูซินเหลียน จากนั้นจึงใส่แมลงพิษไว้ในห้องนาง จนถึงเวลาที่แน่นอนก็เอาดวงวิญญาณนางถวายแก่เทพมังกรของนิกายเทพมังกร หวังให้เทพมังกรมาปรากฏตัว แล้วสิงร่างใต้เท้าหลี่ กลายเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ถังเฉียนได้รู้ว่าเดิมทีนิกายเทพมังกรเป็นสาขาหนึ่งของเผ่าหมอผี แต่คนพวกนี้ใช้คาถาอาคมที่โหดเ**้ยม เผ่าหมอผีไม่อาจรับได้ จึงถูกขับออกจากเผ่า ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงต้องการชิงมารดาแห่งเทพมังกรซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหมอผี หากแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีการอารักขาอย่างเข้มงวด คนเหล่านี้จึงไม่มีโอกาส แต่ครั้งนี้พวกเขารู้ว่าเทพมังกรมาปรากฏตัวที่หล่งชวนจึงระดมกำลังมาทำเรื่องเหล่านี้


 


 


เถิงเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะดำเนินมาถึงขั้นนี้ ยังดีที่ขณะนั้นถังเฉียนอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นเทพมังกรคงถูกชิงไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นสิ่งที่พวกตนเตรียมการอย่างยากลำบากก็จะสูญเปล่า


 


 


“ยังดีที่คราวนี้ไม่มีอะไรเสียหาย”


 


 


ถังเฉียนฟังอาห่าวอธิบาย ทำให้คลายความกังวลลง นับว่านางไม่ได้ทำผิดพลาด แม้ว่าเทพมังกรจะได้รับบาดเจ็บ แต่อาจารย์บอกว่าถ้าดูแลอย่างดีระยะหนึ่งก็สามารถฟื้นฟูได้ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ถังเฉียนจึงตั้งชื่อให้เทพมังกร เมื่อเผชิญเคราะห์กรรมครั้งใหญ่แล้วไม่ตายย่อมจะมีโชคลาภในภายหลัง ถังเฉียนจึงเรียกมันว่า “ต้าฝู”


 


 


“เจ้านาย ท่านคงไม่รู้ พอเจ้านายเก่ารู้ว่าท่านบาดเจ็บ ก็เกือบจะจับอินทรีเงินของเผ่าอินทรีเงินบินมาช่วยท่านให้ได้ น่าเสียดายที่ครั้งนี้เขาทำไม่สำเร็จ ถูกหัวหน้าเผ่าจับได้ ขังไว้ในกรงเหล็กเพื่อให้สำนึกผิด ลำบากแทบแย่กว่าจะติดสินบนคนเฝ้าประตู เขาจึงส่งข่าวมาให้ท่าน บอกให้ท่านพักฟื้นให้ดี”


 


 


ครั้งนี้ถังเฉียนป่วยหลายวัน สีหน้าซูบเซียวมาก เวลานี้เสียเลือดมากไป ไม่อาจถ่ายเลือดได้แล้ว อาจารย์เห็นผิวนางเหลืองซีดมาก วิตกว่าถ้าถ่ายเลือดอีกก็อาจเสียชีวิต จึงเพียงกำชับให้นางกินอาหารบำรุงยกใหญ่ ยังบอกให้ต้องตากแดดมากหน่อย หน้ากากอันนั้นเสียหายแล้ว พอดีเปลี่ยนเป็นหน้ากากบุปผาทองสองดอกให้นาง เพราะนางสามารถควบคุมถาดดาวได้แล้ว เป็นการเลื่อนขั้นขึ้น


 


 


สองวันนี้ถังเฉียนจึอาบแดดอยู่ในสวนดอกไม้ของเรือนฮั่นต้าน พร้อมกับรอให้แผลที่อกทุเลาลงบ้างแล้วค่อยเคลื่อนไหว อาห่าวไปส่งของให้ฮวาหวน จึงกำชับให้หวังหลงเฝ้าอยู่ข้างนอก บังเอิญคนไม่พอ จึงย้ายผู้คุมที่ครั้งนั้นควบคุมถังเฉียนมาที่เรือนฮั่นต้าน


 


 


ผู้คุมผู้นี้ได้รับคำสั่งจากเจิ้งจยาเฉิงก่อนแล้ว อยากเปิดเผยฐานะของถังเฉียน จึงคอยหาโอกาสเพื่อเข้าใกล้ตัวถังเฉียน ถึงตอนนี้นับว่าเจอโอกาสแล้ว


 


 


“ท่านหมอ น้ำแกงไก่ของท่านขอรับ”


 


 


ถังเฉียนฟังเสียงแล้วรู้สึกไม่คุ้น แต่ไม่พูดอะไร เพียงแต่โบกมือ ยังคงนั่งหลับตาอยู่ในสวน ผู้คุมเห็นถังเฉียนนิ่งเฉยก็ใจกล้าขึ้น เดินอ้อมมาข้างหน้านาง แล้วเพ่งดูใบหน้านางอย่างละเอียด


 


 


“ถังเฉียน?”


 


 


ถังเฉียนได้ยินคนร้องเรียกชื่อนาง นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนอ๋องที่มีคนเรียกนางเช่นนี้ นางลืมตาขึ้น เห็นคนตรงหน้า เป็นใบหน้าที่นางไม่อาจลืมชั่วชีวิต


 


 


“แย่แล้ว…”


 


 


คำพูดนี้ผุดขึ้นในใจถังเฉียน ความลับทั้งหมดของนางจะถูกเปิดโปงแล้ว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 131 ผู้คุมตายแล้ว


 


 


ถังเฉียนคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว เสี่ยวจินเหมือนรู้สึกถึงอารมณ์ปรวนแปรอย่างรุนแรงของนาง จึงบินออกมาจากกล่องหยก จ้องมองผู้คุมคนนี้อย่างมุ่งร้าย ผู้คุมอยู่ในจวนอ๋องมาระยะหนึ่งแล้ว ย่อมรู้ถึงความร้ายกาจของเสี่ยวจินดี จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบชักเท้าวิ่งหนีไปทันที


 


 


ไม่เปิดโอกาสให้ถังเฉียนอธิบายหรือแสดงตัวแม้แต่น้อย


 


 


เสี่ยวจินทำท่าจะตามไปฆ่าปิดปาก ถังเฉียนจึงรีบขังมันไว้ในกล่องทันที


 


 


“ช่างเถอะ ถ้าถูกเปิดเผยจริงๆ ก็ถือว่าเป็นโชคชะตาของข้า”


 


 


ถังเฉียนบอกเสี่ยวจินเช่นนี้ แต่นางไม่สามารถทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อยได้ ที่นางต้องโกหกท่านอ๋องทุกวันก็เหนื่อยมากแล้ว สู้ยอมแพ้แต่โดยดี อย่างมากก็ถูกโยนกลับไปที่ค่ายกักกันทาสต้องโทษเท่านั้นเอง


 


 


แต่ถังเฉียนไม่อยากกลับไปที่นั่น


 


 


ถังเฉียนปวดร้าวในใจเป็นระลอก พอคิดถึงตรงนี้นางก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องเป็นต่อไปเช่นนี้ได้ จะอย่างไรนางก็ไม่คิดว่าจะง่ายดายเช่นนั้น ถังเฉียนเริ่มเก็บข้าวของ เตรียมออกเดินทาง เตรียมไปจากที่นี่ก่อนที่ท่านอ๋องจะรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวนาง หน้ากากบุปผาทองสองดอกหรือห้าดอกอะไรนั่น ไม่สำคัญอีกแล้ว นางเพียงแต่ไม่อยากกลับไปยังค่ายกักกันทาสต้องโทษที่แสนมืดมน


 


 


ขณะที่ถังเฉียนกำลังเก็บข้าวของ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ฮว่าเหยียนเข้ามาในห้องแล้วถอดหน้ากากออก มองดูถังเฉียนแล้วพูดว่า


 


 


“ที่แท้ก็เป็นบ่าวไพร่ชั้นต่ำ พอเกิดเรื่องก็คิดแต่จะหนี”


 


 


ถังเฉียนฟังน้ำเสียงนางแล้วก็รู้ว่านางน่าจะรู้เรื่องแล้ว มุมปากถังเฉียนเชิดขึ้น ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าน่าหัวเราะ แต่เพราะรู้สึกว่าถูกโชคชะตาล้อเล่น ฮว่าเหยียนรู้ดีไปเสียหมดไม่ว่าเรื่องอะไร


 


 


“ฐานะของข้าถูกเปิดเผย เจ้าก็คิดว่าเจ้ากลายเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าก็เป็นแค่คนหลอกลวงเหมือนข้า! ข้าขอเตือนเจ้า รีบไปเตรียมตัวเถอะ ไม่เช่นนั้นครอบครัวใหญ่และความละโมบที่ใหญ่ด้วยของเจ้าจะเดือดร้อน อย่าให้พอถึงเวลาแล้วจะลืมเอาของติดตัวไปแล้วกัน”


 


 


ฮว่าเหยียนวางหน้ากากตัวเองลงบนโต๊ะ แล้วพูดว่า


 


 


“เก่งนี่ วางใจเถอะ ผู้คุมนั่นคิดจะไปหาเจิ้งจยาเฉิงเพื่อเอาหน้า แต่ข้าเจอเขาก่อน ตอนนี้ถูกข้าจัดการไปแล้ว เจ้าไม่ต้องหนีหรอก”


 


 


ถังเฉียนตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ แล้วอดถามไม่ได้


 


 


“จัดการ หมายความว่าอย่างไร เจ้าทำอะไรลงไป”


 


 


ฮว่าเหยียนเหยียดยิ้มอย่างเ**้ยมเกรียม เลิกคิ้วขึ้นพลางพูดว่า


 


 


“ทางที่ดีเจ้าไม่ต้องรู้หรอก เพราะข้าใช้วิธีของหมอผี ง่ายและตรง”


 


 


ถังเฉียนฟังที่นางพูด เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของฮว่าเหยียนก็เข้าใจทันทีว่านางหมายถึงอะไร เมื่อครู่ผู้คุมรู้ความลับของถังเฉียนแล้ว นางตกตะลึง แต่ฮว่าเหยียนไม่ นางซ่อนอยู่ในสวนดอกไม้นอกเรือน แล้วขวางผู้คุมไว้ แกล้งบอกว่าจะให้เงินติดสินบนเขา แล้วพาไปที่ลับตาคน ใช้น้ำพุถังหมิงฆ่าเขาทำให้ร่างสลายไป ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้แม้แต่น้อย


 


 


ถังเฉียนจ้องมองฮว่าเหยียน ได้กลิ่นเหม็นเน่าเฉพาะตัวของน้ำพุถังหมิงบนตัวนาง รู้สึกเหมือนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ถังเฉียนทนไม่ไหวต้องหลบมาข้างๆ แล้วอาเจียน


 


 


“ขี้ขลาดจริงนะ เจ้าเป็นอย่างนี้ยังคิดจะคลุกคลีในแวดวงหมอผี ไม่แปลกที่ถูกรังแกอยู่เรื่อยไป”


 


 


ถังเฉียนเช็ดปากแล้วพูดว่า


 


 


“เจ้าไม่ต้องมาสั่งสอนข้า ข้าไม่อยากเรียนวิชาหมอผีโสโครกของเจ้าหรอก”


 


 


“โสโครก? ต่อให้โสโครกอย่างไร ถ้าใช้ได้ก็ดีไม่ใช่หรือ ดูเจ้าสิ ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน ถ้าไม่ใช่เพราะข้าช่วยแก้ไขแทนเจ้า ไม่รู้ตอนนี้เจ้าจะพบจุดจบอย่างไร อย่ามาแสร้งทำตัวเป็นแม่พระเลย คงแอบดีใจใช่หรือไม่ล่ะ”


 


 


ถังเฉียนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี บางทีนางคงจะไม่ใช่คนดีอะไร มีแวบหนึ่งที่นางแอบดีใจจริง ผู้คุมที่ข่มเหงนางตายแล้ว นางไม่ต้องกังวลเรื่องตัวตนของตนเองอีกแล้ว



ตอนที่ 132 ซูซินเหลียนฟื้นชีพ 


 


 


โลกนี้ไม่มีความลับอะไรที่ปกปิดได้ ต้องมีสักวันที่ทุกคนจะล่วงรู้ความลับ แต่ถังเฉียนยิ่งเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่งมากขึ้น ความแตกต่างระหว่างการพูดความจริง ณ เวลานี้กับการพูดความจริงในวันหน้า อยู่ที่นางจะแบกรับได้หรือไม่ 


 


 


ถังเฉียนก้มหน้าลง ตอนนี้นางไม่สามารถพูดอะไรได้ ในเมื่อนางไม่สามารถที่จะรับการถูกเปิดเผยตัวตน ก็จำเป็นต้องพยายามประกันว่าความลับจะไม่ถูกเปิดเผย 


 


 


“ท่านหมอ ซูซินเหลียนฟื้นแล้วขอรับ” 


 


 


ถังเฉียนยังไม่ทันได้สติขึ้นจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็ได้ยินหวังหลงมาแจ้งข่าวที่น่าตกใจ แต่คนที่ตื่นตระหนกกว่านางนั้นกลับเป็นฮว่าเหยียน 


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ เป็นไปได้อย่างไร” 


 


 


ฮว่าเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วออกไปเป็นคนแรก หวังหลงกับถังเฉียนมองหน้ากันอยู่ในห้อง 


 


 


“ไปเถอะ ตามไปดูกัน” 


 


 


ถังเฉียนคว้าหน้ากากขึ้นมา เวลานี้นางคุ้นกับการสวมหน้ากากแล้วถ้าไม่สวมกลับรู้สึกแปลก จึงหยิบหน้าหน้ากากบุปผาทองสองดอกที่อาจารย์ให้มุ่งไปยังเรือนเซียงหาน พอถังเฉียนเข้ามาใกล้ก็พบว่าซูซินเหลียนฟื้นขึ้นแล้วจริงๆ แต่นางนอนอยู่บนพื้น หายใจออกมากกว่าหายใจเข้า หายใจหอบอย่างผิดปกติ 


 


 


วันนั้นทั้งท่านอ๋องและเถิงเสวี่ยต่างยืนยันแล้วว่าคนในเรือนเซียงหานรวมทั้งซูซินเหลียนเสียชีวิตทั้งหมด คนที่ติดตามซูซินเหลียนมาพากันร้องไห้จะกลับไปฟ้องร้องที่เจาหยาง ฉู่จิ่งเหยาปล่อยให้พวกนางกลับไป คนเหล่านั้นกลับไปแล้ว ตั้งศพซูซินเหลียนไว้สองวันจำเป็นต้องฝัง ขณะที่กำลังฝังจู่ๆ ซูซินเหลียนก็ฟื้นขึ้นแล้วลุกนั่ง ทำให้พวกสาวใช้ตกใจจนหมดสติ 


 


 


แต่หลังจากฟื้นขึ้นครั้งนี้นางก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มองดูทุกอย่างรอบตัวแล้วร้องเอะอะโวยวาย พูดถ้อยคำมากมายที่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ สุดท้ายนางหัวเราะแล้วร้องให้เสียงดัง จากนั้นก็หมดสติไป ดังนั้นเมื่อคนทั้งหมดมาดู จึงพบนางนอนหายใจหอบอยู่บนพื้น 


 


 


“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด นางจะฟื้นชีวิตขึ้นมาได้อย่างไร” 


 


 


ฮว่าเหยียนพูดด้วยความกังขา สายตาหันไปทางจื่อเย่ว์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียด ถังเฉียนดูออกว่าต้องมีความลับบางอย่างระหว่างสองคนนี้แน่ แต่นางรู้สึกสงสารซูซินเหลียน จึงกวักมือพลางพูดว่า 


 


 


“พวกเจ้าสองสามคน ช่วยกันประคองพระชายารองกลับที่ห้อง นอนอยู่กับพื้นจะโดนความเย็น พวกเจ้ารับผิดชอบได้หรือ” 


 


 


ถังเฉียนพูดจบ สาวใช้หลายคนต่างช่วยกันประคองซูซินเหลียนขึ้นมา แต่พอแตะถูกตัวนาง นางก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง มองดูผู้คนมากมายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ถังเฉียนมองดูนาง ท่าทางนางเหมือนกำลังมองดูคนเสียสติ 


 


 


“ข้าไม่ได้บ้าใช่หรือไม่ เหตุใดข้าเห็นคนโบราณกลุ่มหนึ่ง หรือว่าพวกเจ้าในนรกยังคงใส่เสื้อผ้าแบบโบราณ ใส่เสื้อผ้าแปลกประหลาดกันทั้งนั้น” 


 


 


ถังเฉียนมองดูนางซึ่งนั่งอยู่บนพื้น ดวงตานางที่จ้องมองผู้คนราวกับเห็นทุกคนเป็นคนบ้า 


 


 


“พระชายารอง ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ กลับไปพักผ่อนดีกว่า ให้ข้าช่วยตรวจดูได้หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนจะเข้ามาพยุงนาง แต่ซูซินเหลียนกลับผลักถังเฉียนออกไป แล้วตะโกนว่า 


 


 


“อย่าแตะต้องข้า ใครหน้าไหนก็อย่ามาแตะข้า” 


 


 


“ได้ ได้ เราไม่แตะตัวเจ้าก็ได้ แต่พื้นเย็นมาก” 


 


 


ถังเฉียนยังคิดจะพูดเกลี้ยกล่อมนาง แต่ฮว่าเหยียนดึงถังเฉียนถอยหลังมาสองก้าว แล้วพูดว่า 


 


 


“พระชายารองเสียสติไปแล้ว รีบจับนางไว้ นางถูกวิญญาณร้ายเล่นงาน เวลานี้นางไม่ใช่พระชายารองแล้ว นี่เป็นแผนชั่วของนิกายเทพมังกร” 


 


 


ถังเฉียนจะเอ่ยปากพูด แต่ฮว่าเหยียนกวาดสายตาที่ดุร้ายกลับมา ถังเฉียนรู้สึกเหมือนถูกบีบคอ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว จากนั้นก็ได้ยินจื่อเย่ว์ซึ่งอยู่ด้านตรงข้ามพูดว่า 


 


 


“ท่านหมอฮว่าเหยียนพูดถูกแล้ว ยังไม่รีบจับตัวพระชายารองใส่โลงศพ ฝังซะ คนตายไม่สามารถฟื้นขึ้นได้ นี่เป็นอุบายของนิกายเทพมังกร” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 133 โลกที่ต่างออกไป 


 


 


ถังเฉียนได้ยินว่าจื่อเย่ว์ต้องการฝังคนทั้งเป็น ไม่โหดเ**้ยมเกินไปหรือ ถ้าเกิด ถ้าเกิดนางยังมีชีวิตจริงๆ ล่ะ 


 


 


“ข้ายังไม่ตาย อย่านะ อย่าแตะต้องตัวข้า” 


 


 


ซูซินเหลียนวิ่งหนีไปจากกลุ่มคน เมื่อครู่นางเห็นจื่อเย่ว์ร้องสั่งให้จับตัวนาง จึงพุ่งเข้าใส่จื่อเย่ว์ราวกับลูกวัว แต่จื่อเย่ว์มีวรยุทธ์ นางเอี้ยวตัวหลบ พอซูซินเหลียนเข้ามาใกล้ก็คว้าข้อมือนาง บิดแล้วจับแขนของนางไว้ แล้วเตะใส่ที่เอวนาง ยกมือขึ้นหวังจะหักแขนซูซินเหลียน 


 


 


“หยุดนะ!” 


 


 


ถังเฉียนกับคนข้างหลังร้องออกมาพร้อมกัน ถังเฉียนหันไปมอง เป็นเขานั่นเอง 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาเดินมาจากด้านนอกเรือนเซียงหาน ทุกคนคุกเข่าลง มีเพียงถังเฉียนกับพวกที่ยืนคารวะ ฉู่จิ่งเหยาบอกตั้งแต่ในพิธีเคารพหมอผีในดินแดนเหมียวเจียงแล้วว่าเมื่อพบเขาไม่ต้องคุกเข่า 


 


 


“ท่านอ๋อง พอพระชายารองฟื้นก็พูดเพ้อเจ้อ ต้องเป็นแผนร้ายของนิกายเทพมังกรเป็นแน่เพคะ จะปล่อยไว้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นภัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ท่านลืมไปแล้วหรือว่านางเกือบทำร้ายท่านหมออาหรูน่าถึงชีวิตนะเพคะ” 


 


 


จื่อเย่ว์ยกถังเฉียนมาอ้างตรงๆ กลับทำให้ถังเฉียนไม่สะดวกจะพูด ฉู่จิ่งเหยามองดูซูซินเหลียนซึ่งนั่งอยู่บนพื้น แล้วพูดกับนางอย่างอ่อนโยนว่า 


 


 


“เจ้ายังไม่ลุกขึ้นอีกหรือ จะรอให้คนจับเจ้าฝังเพราะหาว่าเจ้าเป็นบ้าหรือ” 


 


 


ถังเฉียนประหลาดใจมากเมื่อเห็นซูซินเหลียนลุกขึ้นยืนทันที ตบตามตัวเบาๆ แล้วมายืนอยู่ข้างๆ ฉู่จิ่งเหยา ถังเฉียนเห็นท่าทางของนาง จึงเอ่ยว่า 


 


 


“ดูแล้วพระชายารองคงไม่เป็นไรแล้ว เมื่อครู่คงถูกพวกเราทำให้ตกใจ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาหันมามองถังเฉียนแล้วยิ้มให้นาง บางทีเมื่อครู่นางอาจจะไม่สะดวกที่จะพูด แต่คำพูดนางมีน้ำหนักมาก ฉู่จิ่งเหยาจึงสั่งให้พาซูซินเหลียนกลับไปพักผ่อน เขาขยิบตากับถังเฉียน ให้นางตามตนเองไป 


 


 


เมื่อกลับมาถึงห้องหนังสือ ฉู่จิ่งเหยาจึงถอนหายใจแล้วพูดว่า 


 


 


“นางเกือบฆ่าเจ้า เหตุใดเจ้าถึงช่วยนาง บางครั้งข้าก็ไม่เข้าใจเด็กสาวอย่างเจ้าจริงๆ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยากดเบาๆ ที่ชั้นหนังสือ ตรงกลางชั้นหนังสือแยกออกจากกันทันที เผยให้เห็นอุโมงค์สายหนึ่ง ถังเฉียนชี้ที่จมูกตัวเอง ฉู่จิ่งเหยาพยักหน้าเป็นการบอกให้นางตามเข้าไป 


 


 


“เรียนท่านอ๋อง อาหรูน่าเองไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแต่รู้สึกแปลก ซูซินเหลียนคนนี้เป็นเหมือนปริศนา เมื่อยังไขปริศนาไม่ได้ ก็ไม่อยากให้นางตายเช่นนี้” 


 


 


พอถังเฉียนพูดจบ ฉู่จิ่งเหยาซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้าก็ยิ้ม 


 


 


“ยังคิดว่าเจ้าจะบอกว่าหมอต้องมีจิตใจเมตตา” 


 


 


“ไม่ถือว่านางเป็นคนป่วยของข้า” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาเดินนำนางไปข้างหน้าต่อ แล้วจู่ๆ ข้างหน้าก็มีแสงสว่าง ถังเฉียนยกมือขึ้นป้องตา ฉู่จิ่งเหยากลับคว้าแขนนางไว้ ถังเฉียนรู้สึกทันทีว่าร่างตนถลาไปข้างหน้า แล้วลมตีใส่จนต้องหรี่ตา 


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านจะทำสิ่งใด” 


 


 


ทันใดนั้นถึงเฉียนก็รู้เหมือนกำลังเหินบิน จวนอ๋องของฉู่จิ่งเหยามีสถานที่เช่นนี้ด้วยหรือ จากห้องหนังสือเดินลดเลี้ยวตามทางแนวเขาออกมา ก็เจอกับที่ที่มีนกร้องและกลิ่นดอกไม้หอมอบอวล ฉู่จิ่งเหยาพาถังเฉียนร่อนลงมา พอลงถึงพื้นก็เดินไปข้างหน้าสองก้าวจนเห็นบ้านเล็กหลังหนึ่ง หลังบ้านมีต้นท้อขนาดใหญ่ ใต้ต้นไม้กลับเป็นกิ่งไม้ทองใบไม้หยกของนาง 


 


 


“กิ่งไม้ทองของข้า!” 


 


 


พอร่างแตะพื้นถังเฉียนก็ผละออกจากฉู่จิ่งเหยา วิ่งปรี่ไปยังต้นไม้ใหญ่อย่างตื่นเต้นดีใจ ย่อตัวลงมองกิ่งไม้ทองที่นางไม่เห็นมานานแล้ว 


 


 


“วันนี้ใบของมันจะร่วงแล้ว ข้าจึงพาเจ้ามาดู กลัวว่าเจ้าจะพลาดโอกาส” 


 


 


ถังเฉียนนึกขึ้นทันทีว่าอยากเรียกเสี่ยวจินออกมา อยากดูเสบียงของมันพร้อมกัน แล้วนางก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าเสี่ยวจินยังถูกขังอยู่ในกล่องหยกเวินเซียงหน่วน 



ตอนที่ 134 ใบร่วงแล้ว 


 


 


นับจากที่รู้ว่ากล่องหยกใบนั้นใช้ขังเสี่ยวจินได้ ถังเฉียนก็คลายความกังวลลงมาก บางครั้งยังใช้ขู่มันได้ด้วย แต่หลังจากถูกซูซินเหลียนจับขังในกล่องใบนี้ เสี่ยวจินก็เกิดความรู้สึกต่อต้าน ไม่ยอมบินเข้าไปง่ายๆ วันนี้เป็นเพราะถังเฉียนใจร้อนกลัวว่าเสี่ยวจินจะถูกกระทบจากความรู้สึกของนางแล้วพลั้งทำเรื่องอะไรขึ้น จนลืมพามันมาด้วย 


 


 


“ท่านอ๋อง จะเอาของสิ่งนี้ลงมาได้อย่างไร ถ้าเกิดตกลงบนพื้น จะแตกเสียหายหรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนยังถามไม่จบ ฉู่จิ่งเหยาก็หยิบกล่องเล็กใบหนึ่งออกมา ในนั้นมีกลีบดอกไม้วางไว้ ส่งกลิ่นหอมจางๆ คล้ายกลิ่นหอมของมะลิ 


 


 


“นี่คือดอกโสม ใช้เก็บรักษาใบไม้หยกได้” 


 


 


ถังเฉียนมองดูฉู่จิ่งเหยา แล้วถามว่า 


 


 


“ท่านอ๋องไม่กลัวหรือว่าซูซินเหลียนจะเป็นไส้ศึกของนิกายเทพมังกร เหตุใดท่านจึงไว้ชีวิตนาง” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยายิ้มแล้วว่า 


 


 


“ข้ากรำศึกมาหลายปี เคยกลัวข้าศึก เคยขยาดการสู้รบหรือ หากนางเป็นศัตรูจริง สักวันก็ต้องเผยพิรุธออกมา หากนางไม่ใช่ ไม่ถือว่าข้าสังหารนางอย่างเปล่าประโยชน์หรือ แม้จะพูดว่าข้าสังหารคนมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีวิญญาณที่ถูกปรักปรำภายใต้กระบี่ข้า” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็ตื้นตันใจมาก วีรบุรุษใหญ่ที่ตนเคารพยกย่อง เป็นผู้ที่คู่ควรแก่การเชิดชูอย่างแท้จริง ดวงตาถังเฉียนเปล่งประกายแวววาวเมื่อมองดูท่าทางที่เคร่งขรึมของฉู่จิ่งเหยา 


 


 


“เจิ้งจยาเฉิงพบลานที่ด้านหลัง วันหน้าเกรงว่าคงจะไปที่นั่นไม่ได้แล้ว เขาห่วงอาการบาดเจ็บของข้า ไม่ยอมให้ข้าฝึกกระบี่ ลำบากแทบแย่กว่าจะเจอที่นั่น ต่อไปเจ้ายินดีมาฝึกกระบี่กับข้าที่นี่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ นางบอกว่า 


 


 


“อาหรูน่าไม่รู้วิชากระบี่ หากท่านอ๋องไม่รังเกียจ โปรดช่วยสอนข้าด้วย วันหน้าจะได้ไม่ถูกคนข่มเหงรังแกเช่นนี้” 


 


 


“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ก่อนนี้สอนจื่อเย่ว์ไม่กี่ท่าไว้ป้องกันตัว เวลานี้ดูแล้วนางจะชักเจ้าอารมณ์แล้ว เฮ้อ…” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่เขาพูด ดูเหมือนจะเป็นการตำหนิจื่อเย่ว์ นางจึงช่วยพูดแทนจื่อเย่ว์ 


 


 


“แม่นางจื่อเย่ว์ทุ่มเทหัวใจทั้งหมดเพื่อท่านอ๋อง นางไม่กลัวตาย ไม่กลัวถูกลงโทษ แต่กลัวว่าท่านอ๋องจะได้รับบาดเจ็บอีก น้ำใจเช่นนี้เกรงว่าไม่มีใครเทียบได้ ท่านอ๋องควรจะยินดี” 


 


 


พอถังเฉียนพูดจบ ฉู่จิ่งเหยาเพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“ข้าบอกแล้วว่าจิตใจเจ้าบริสุทธิ์ คนรอบข้างใครจะกล้าโต้แย้งอ๋องอย่างข้า หมอผีน้อยใจกล้าจริงๆ” 


 


 


ถังเฉียนมองดูใบไม้หยก สีเขียวโปร่งแสงใส เรืองแสงราวกับหยกเขียว มันค่อยๆ เปลี่ยนสี จากสีเขียวอ่อนเป็นสีเขียวสดแล้วกลายเป็นสีเขียวเข้ม สุดท้ายยังเปล่งแสงสีเหลืองเข้มออกมาเล็กน้อย 


 


 


“ดูท่า น่าจะร่วงแล้วจริงๆ” 


 


 


ถังเฉียนมองดูมันเปลี่ยนแปลงสี่ฤดูในวันเดียว ต่างจากเดิม ฉู่จิ่งเหยานั่งลงข้างๆ กิ่งไม้ทองใบไม้หยก แล้วเป่าใบที่ใกล้แก่แล้วเบาๆ ถังเฉียนเห็นใบไม้ร่วงจากกิ่งทองลงในกล่องของนาง แล้วค่อยๆ กลายเป็นโปร่งใส ฉู่จิ่งเหยาช่วยปิดกล่องแล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้าต้องเก็บรักษาให้ดี ถ้าไม่ได้ใช้กิน ก็อย่าเปิดกล่อง ป้องกันไม่ให้ไอทิพย์ระเหยไป” 


 


 


ถังเฉียนแปลกใจมาก เขารู้เรื่องไอทิพย์ด้วยหรือ หรือว่าเขาเองก็ฝึกไอทิพย์ ฉู่จิ่งเหยาชักกระบี่ทะลุตะวันในมือออกมา ครั้งนี้พอถังเฉียนเห็น ดวงตานางเปล่งประกายแวววาวทันที ก่อนหน้านี้ล้วนได้ยินเสียงเล่าขานถึงความร้ายกาจของกระบี่ทะลุตะวัน วันนั้นฉู่จิ่งเหยาใช้กระบี่ทะลุตะวันแทงแขนคนชั่ว ดึงนางกลับมาจากขอบนรก 


 


 


ถังเฉียนมองฉู่จิ่งเหยาแล้วพูดว่า 


 


 


“ท่านอ๋อง โปรดปฏิบัติต่ออาหรูน่าอย่างเข้มงวด ข้าอยากฝึกวิชากระบี่ให้เก่ง อย่างน้อยเมื่อถูกคนอื่นรังแก ข้าจะได้มีสิทธิ์และโอกาสตอบโต้” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 135 กลายเป็นมนุษย์แมลงปีศาจ 


 


 


ถังเฉียนผละออกไปกับฉู่จิ่งเหยา แต่ฮว่าเหยียนมาพบจื่อเย่ว์ 


 


 


“เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่ายาเจ้าได้ผลแน่นอน เวลานี้นางรอดชีวิตแล้ว ถ้าหากนางรู้เรื่องที่พวกเราทำ เจ้ากับข้าคงได้เดือดร้อนเป็นแน่” 


 


 


จื่อเย่ว์อดพูดแข็งกร้าวใส่ฮว่าเหยียนไม่ได้ แต่นางกลับร้องหึแล้วพูดว่า 


 


 


“แม่นางจื่อเย่ว์ เจ้าอย่าลืมสิ หมอผีอย่างข้าไม่ใช่เด็กสามขวบอย่างอาหรูน่า เจ้าอยากให้ซูซินเหลียนตาย เพราะเจ้าอิจฉาที่นางเป็นพระชายารอง ส่วนเจ้าเป็นเพียงสาวใช้ หมอผีอย่างข้าก็แค่ช่วยทำยาให้เจ้าเท่านั้น” 


 


 


“เจ้า!” 


 


 


จื่อเย่ว์คับแค้นใจแต่ก็พูดไม่ออก นางยื่นมือออกไปแต่กลับทำให้ฮว่าเหยียนฉวยโอกาส นางปัดมือจื่อเย่ว์แล้วพูดว่า 


 


 


“อย่างไรก็เป็นแค่เด็ก จะใจร้อนไปไย” 


 


 


จื่อเย่ว์รู้ตัวว่าที่ตนเค้นถามเมื่อครู่ทำให้ฮว่าเหยียนโกรธ เมื่อเห็นนางหันมาก็เปลี่ยนสีหน้าทันที 


 


 


“ท่านหมอ ยังมีวิธีอื่นใช่หรือไม่” 


 


 


ฮว่าเหยียนกระซิบบางอย่างที่ข้างหูจื่อเย่ว์จากนั้นนางจึงพาฮว่าเหยียนเข้าไปในห้อง ซูซินเหลียนถูกป้อนยาระงับประสาทแล้ว กำลังนอนหลับสนิท ไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาในห้องตน 


 


 


ก่อนหน้านี้ฮว่าเหยียนทำแมลงพิษขึ้นมา แมลงพิษของนางไปสะกดแมลงพิษในร่างซูซินเหลียน แต่แมลงพิษที่คนกลุ่มนั้นใส่ในร่างซูซินเหลียนเกิดพิษกำเริบขึ้น ทำให้ซูซินเหลียนเสียชีวิต แต่ด้วยฤทธิ์ของแมลงพิษยังคงทำให้หลังจากที่ซูซินเหลียนตายแล้วผู้คนยังรู้สึกว่าร่างนางยังอุ่นอยู่ 


 


 


แต่เวลานี้เมื่อพวกนางตรวจดูก็พบว่าซูซินเหลียนไม่มีลมหายใจแล้ว แต่ว่า… 


 


 


“เจ้าดูสิ เมื่อครู่พวกสาวใช้พวกนั้นตกใจแทบตาย บอกว่านางตายอีกแล้ว” 


 


 


จื่อเย่ว์ก็ชักระวังตัวยิ่งขึ้น วิชาคุณไสยของหมอผีพวกนี้น่ากลัวจริงๆ ทำให้นางรู้สึกเคารพยำเกรง 


 


 


“ข้าบอกแล้วว่ายาที่ข้าทำไม่ผิดพลาด นางตายแล้ว เวลานี้ตกอยู่ในสภาพมนุษย์แมลง แต่เหตุใดนางถึงมีท่าทางเสียสติเช่นนี้ แล้วใครกันที่ควบคุมแมลงพิษในตัวนาง” 


 


 


“อะไรนะ มนุษย์แมลงอะไร” 


 


 


จื่อเย่ว์ไม่รู้ว่าฮว่าเหยียนพูดอะไรอยู่ นางรู้เพียงว่าที่ซูซินเหลียนไม่หายใจ แต่กลับสามารถเคลื่อนไหวได้นั้น มันช่างน่ากลัวจริงๆ คนพวกนี้เป็นปีศาจหรือ เรื่องแบบนี้เกินความสามารถที่จื่อเย่ว์จะจัดการได้ 


 


 


“ท่านหมอ ถ้าเช่นนั้นควรจะจัดการกับนางอย่างไรดี” 


 


 


ฮว่าเหยียนบอกว่า 


 


 


“ก็แค่มนุษย์แมลง ไม่ได้มีบทบาทอะไรแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้านายนาง ใครกันที่กล้าแย่งคนไปจากมือข้า น่าแปลกจริงๆ”  


 


 


ทางนี้ฮว่าเหยียนกำลังนึกสงสัย ส่วนข่าวการฟื้นของซูซินเหลียนทำให้เถิงเสวี่ยตกใจ แต่คราวนี้เถิงเสวี่ยไม่ได้มาด้วยตนเอง ให้หงหลิงเอ๋อร์มาจัดการแทน ไหนเลยนางจะมีใจมาจัดการเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่น พอรู้ว่าซูซินเหลียนกลายเป็นมนุษย์แมลงกลับไม่รู้สึกแปลกใจ ทั้งยังคร้านที่จะไปยุ่งว่าใครเป็นเจ้านายของนาง เพียงแต่กำชับว่าวันที่สิบห้าเดือนนี้ก็จะทราบแล้ว 


 


 


“ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์แมลงของผู้ใด รอให้ถึงวันที่สิบห้าก็จะรู้ หมอผีอย่างข้าขึ้นไปไม่กี่วัน ดูสิว่าใครกันที่มีฝีมือขนาดนี้” 


 


 


เวลานี้ถังเฉียนไม่ผ่อนคลายเลย เพราะฉู่จิ่งเหยาเป็นอาจารย์ที่เข้มงวด ไม่ว่านางจะชูกระบี่ขึ้นหรือลดกระบี่ลง ล้วนเรียกร้องให้ทำท่าที่แม่นยำไม่ผิดพลาด แม้จะเป็นเพียงวันแรก แต่ฉู่จิ่งเหยายังคงเรียกร้องมาตรฐานที่สูงมาก 


 


 


“ท่านอ๋อง ข้ายังป่วยอยู่นะ” 


 


 


นางยืนไม่ไหวแล้วจริงๆ มีคำกล่าวว่าบนเวทีประลองหนึ่งนาทีแต่ผ่านการฝึกสิบปี นางยืนท่านี้กว่าชั่วครึ่งก้านธูปแล้ว ปวดเมื่อยแขนไปหมด 



ตอนที่ 136 เขากลับมาแล้ว 


 


 


ถังเฉียนอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะได้ใบไม้หยก เมื่อฝึกวรยุทธ์ จึงรู้สึกเจ็บปวดทั่วทุกกระเบียดนิ้วบนร่างกาย แต่ในใจกลับรู้สึกสะใจ ดีใจราวกับได้ของล้ำค่า กอดกระบี่ไม้ที่ฉู่จิ่งเหยาให้นางอย่างรู้สึกปลาบปลื้มใจ 


 


 


 “ยิ้มระรื่นอะไรหรือ” 


 


 


ถังเฉียนนอนบนเตียงหวนนึกถึงเรื่องในวันนี้ ทันใดนั้นก็มีคนลงมาจากฟ้า กระพรวนแดงส่งเสียงเบาๆ 


 


 


“เจ้ากลับมาแล้ว” 


 


 


“ว่าอย่างไรกำลังคิดถึงข้าอยู่หรือ อาจารย์บอกว่าเจ้าคิดถึงคุณชายอย่างข้าจนกินอะไรไม่ลงใช่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนร้องหึ 


 


 


“ไม่สักนิด เจ้าคิดไปเองทั้งนั้น” 


 


 


ถังเฉียนกลับมานั่งที่ของตัวเอง ใช้หวีไม้หวีผม แล้วเห็นกล่องเล็กใบหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง จึงถาม 


 


 


“นี่อะไร” 


 


 


เถิงเฟิงขยับเข้าใกล้ ลูบศีรษะนางเบาๆ แล้วว่า 


 


 


“ยังเจ็บหรือไม่ ขอโทษด้วยที่พ่อข้ารั้งตัวไว้ ปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ ลำบากแทบแย่กว่าจะมาเยี่ยมเจ้าได้ นี่เป็นยาวิเศษของเผ่าพีส่าเรา จะทำให้ไม่เหลือรอยแผลเป็น” 


 


 


เถิงเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า 


 


 


“จริงนะ ถ้าเจ้าทายานี้จะหายปวด ให้ข้าดูหน่อยสิ แผลอยู่ไหน” 


 


 


เขาพูดจบก็เปิดกล่องยาหมายจะช่วยทาให้นาง นางผลักมือเขาออกแล้วบอกว่าเขาเป็นอันธพาลชอบฉวยโอกาส เขาหัวเราะแล้วพูดว่า 


 


 


“ได้ยินว่าซูซินเหลียนกลายเป็นผีดิบ เล็บยาวขนาดนี้ เจ้ายังต้านทานนางได้ถึงชั่วครึ่งก้านธูป อาหรูน่าของข้าเก่งจริงๆ ข้านับถือเจ้าเป็นผู้กล้า” 


 


 


เถิงเฟิงประสานมือคารวะถังเฉียน นางได้ฟังคำยกย่องเช่นนี้ก็รู้สึกตัวเบาหวิว ยิ้มปากไม่หุบ ท่าทางกระหยิ่มใจ 


 


 


“แน่นอน…” 


 


 


“นั่นเป็นเรื่องร้ายสำหรับเจ้าต่างหาก ก่อนไปข้ากำชับเจ้าอย่างไร บอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับซูซินเหลียน ไปยุ่งกับคนอย่างนั้นได้หรือ เจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว คราวหน้าถ้าเจ้ากล้าไม่เชื่อฟังข้า ข้าจะตีเจ้า…” 


 


 


เถิงเฟิงตีหน้าผากถังเฉียน ตีไม่ออมมือ ท่าทางเหมือนจะตีให้นางรู้สำนึกจึงจะพอใจ ถังเฉียนกัดริมฝีปาก จ้องเขาด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง เขาเห็นทรวงอกนางกระเพื่อมขึ้นเบาๆ ถัดมาก็ยกมือขึ้นกุมอกตนเอง เมื่อครู่นางฝึกวรยุทธ์กับฉู่จิ่งเหยาทำให้บาดแผลถูกดึงรั้ง พอเกิดโมโหเถิงเฟิงเลยรู้สึกเจ็บแผล 


 


 


“ข้าดูหน่อย เจ็บที่ใด” 


 


 


“ไปให้พ้น คนเลว ข้าไม่ใส่ใจเจ้าแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนผลักเถิงเฟิงออกไปนอกห้อง แล้วลงกลอนประตู แต่พอนางมองที่เพดานห้องก็รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงรีบยกเก้าอี้มายันประตูไว้ จากนั้นก็ไปที่ห้องน้ำ เห็นน้ำกำลังอุ่นดี จึงถอดเสื้อผ้าออกเช็ดตัวทำความสะอาดตนเอง 


 


 


ครั้งนี้นานแล้วแต่แผลยังไม่หาย หรือว่าเลือดยาของตัวเองพร่องลง ไม่อย่างนั้นก็คงเพราะเลือดยาใช้ไม่ได้ผลกับแผลนี้ 


 


 


ถังเฉียนคิดทบทวนหลายตลบ แล้วมองยาที่เถิงเฟิงให้มา แล้วหยิบมาทาโดยไม่ต้องคิด 


 


 


ตอนแตะถูกยาจะรู้สึกว่าเย็น แต่พอทาลงบนแผลกลับรู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกควักออกมา ปากแผลที่สมานไปแล้วกลับฉีกออกใหม่ เลือดปนหนองสีดำไหลทะลักออกมา กลิ่นรุนแรงจนนางแทบจะอาเจียน 


 


 


“นี่ นี่อะไร” 


 


 


ถังเฉียนยืนอยู่ข้างถังอาบน้ำ มองเห็นแมลงปีศาจสีดำอยู่ในเลือดปนหนอง นางตกใจมาก 


 


 


“นั่นคือแมลงปีศาจสีดำ ถ้าไม่กำจัดให้หมด ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องตายเพราะมัน” 


 


 


เถิงเฟิงยืนอยู่ข้างหลังฉากกั้น ได้ยินเสียงด้านในก็อดพูดไม่ได้ แต่ครั้งนี้เขาไม่มีน้ำเสียงล้อเล่นแม้แต่น้อย ถังเฉียนรู้สึกเจ็บหน้าอก นางหยิบเสื้อผ้ามาคลุมร่างไว้ 


 


 


“ใส่เสื้อผ้าหรือยัง” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 137 ต้องไว้ใจเขา 


 


 


ถังเฉียนถามด้วยความแปลกใจว่าเขาจะทำอะไร แม้เถิงเฟิงจะซุกซนบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรนอกลู่นอกทาง สำหรับข้อนี้แล้วถังเฉียนจึงรู้สึกไว้ใจเขามาก 


 


 


“ยายังไม่ได้เข้าไปในร่างเจ้าทั้งหมด เจ้าใส่เสื้อตัวในก่อน ข้าค่อยเข้าไปช่วยเจ้ากำจัดให้สิ้นซาก อย่าลืมสิ เราเผ่าพีส่าคอยรับมือกับหมอผีดำโดยเฉพาะ” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่เขาพูดแล้วรู้สึกว่าเป็นเพียงคำพูดล้อเล่น นึกอยากจะหัวเราะ แต่พอหัวเราะเลือดปนหนองก็ไหลออกมาจากแผลอีก แสดงว่าแผลนางไม่เคยหายเลย 


 


 


“รอข้าเดี๋ยว” 


 


 


ถังเฉียนฝืนยืนขึ้น เกาะถังอาบน้ำพร้อมกับเอาเสื้อห่มให้ตัวเอง แต่นางเจ็บแขนมาก ทำอย่างไรก็สวมเสื้อผ้าเองไม่ได้ นางลองดูหลายครั้ง แต่ทำไม่สำเร็จ เถิงเฟิงยืนติดกับฉากกั้น แล้วถามว่า 


 


 


“ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ ข้าช่วยเจ้าได้นะ” 


 


 


“ไม่ต้อง…ข้าทำได้” 


 


 


เถิงเฟิงอยู่ข้างนอกได้ยินเช่นนี้ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่หายไปจากฉากกั้นแล้ว ถังเฉียนยังคงพยายามใส่เสื้อผ้า แต่ทำอย่างไรก็ใส่ไม่ได้ราวกับเสื้อผ้าไม่พอใจนาง 


 


 


“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” 


 


 


เถิงเฟิงมีผ้าดำผูกตาไว้ ยืนอยู่ข้างๆ ฉากกั้น มือข้างหนึ่งยันผนังห้องไว้ แล้วแกล้งพูดแหย่ว่า 


 


 


“หากข้าไม่เข้ามา ดูซิว่าแม่ตัวยุ่งอย่างเจ้าจะทำอย่างไร ช่วยบอกทางให้ข้าไปหาเจ้าดีกว่า” 


 


 


ถังเฉียนร้องหึ แล้วพูดว่า 


 


 


“มาทางซ้าย!” 


 


 


เถิงเฟิงยืนอยู่กับที่แล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ ข้างซ้ายเป็นผนังห้อง” 


 


 


ถังเฉียนบอกว่า 


 


 


“อย่างนั้นถ้าข้าบอกให้เจ้าหันไปมุดผนังทางซ้ายเจ้าจะทำหรือไม่” 


 


 


เถิงเฟิงไม่พูดอะไร เพียงแต่ขยับตัวแนบกับผนังห้อง โดยเฉพาะศีรษะแทบจะมุดผนังห้องจนกลายเป็นโพรง 


 


 


“ฮ่าๆ โง่จัง มาทางขวาแล้ว” 


 


 


เถิงเฟิงได้ยินก็ยืดตัวขึ้น คลำผนังห้อง ค่อยๆ ขยับเข้าหาถังเฉียน เขาประคองนาง ให้นางนั่งลงไปในถังอาบน้ำ แล้วค่อยๆ วางมือลงบนไหล่นาง 


 


 


“ข้าใส่ยาลงไปในถังอาบน้ำนี้ไม่น้อย เพื่อดึงดูดแมลงพวกนี้ พอพวกมันออกมาก็จะว่ายเล่น แต่เจ้าไม่ต้องกังวล พอพวกมันออกมาก็จะตาย ไม่กลับเข้าไปอีกเด็ดขาด เจ้าไม่ต้องกลัว” 


 


 


ถังเฉียนคิดว่าตนอยู่กับเสี่ยวจินทุกวัน ไม่เคยรู้สึกกลัว หรือเขาลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นหมอผี แม้ในใจนางจะคิดมากมาย แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่ร้อง “อืม” 


 


 


นางรู้สึกว่าระดับน้ำกำลังพอดีไม่ได้สูงเกินแผลตน ในน้ำเหมือนมีพลังที่อบอุ่น ทำให้นางรู้สึกคันแผล 


 


 


“เจ้าลองโคจรพลังทิพย์ของเจ้า ให้ป้องกันชีพจรหัวใจไว้ ส่วนเรื่องอื่นปล่อยให้ข้าจัดการ” 


 


 


ถังเฉียนฟังแล้วก็หลับตาทำสมาธิ ส่วนเถิงเฟิงล้วงด้ายแดงเส้นเล็กออกมาจากอกเสื้อ เขาดึงผมเส้นหนึ่งของนาง ผูกกับด้ายแดง จากนั้นวางลงบนน้ำ ถัดมาก็ขยับนิ้วมือทำท่าพลิกแพลงไปมา นางมองไม่ออกว่าเขากำลังทำอะไร แต่มีความรู้สึกว่าตนเองถูกตรึงไว้ 


 


 


“เถิงเฟิง ข้าขยับตัวไม่ได้แล้ว” 


 


 


เขาตบไหล่นางเบาๆ แล้วพูดว่า 


 


 


“ไม่ต้องกลัว ข้าจะใช้เข็ม เจ้าอย่าขยับตัว” 


 


 


พูดจบก็ปักเข็มเงินเล่มหนึ่งลงในแผลถังเฉียนโดยตรง แสงสีแดงบนนั้นเดี๋ยวก็สว่างวาบเดี๋ยวก็ดับลง นางเกือบจะหมดสติไปเพราะความเจ็บปวดที่รุนแรง 


 


 


เพราะความทรมานจากความเจ็บปวดทำให้สตินางเลื่อนลอย เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกเคลิบเคลิ้ม กระทั่งอยากตะโกนออกมาว่าอย่า ข้าไม่ต้องการ เถิงเฟิง เจ้าจะทำร้ายข้าให้ตายหรือ 


 


 


แต่…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นฉากกั้น เห็นผนังห้อง ก็จะนึกถึงท่าทางเปิ่นๆ เมื่อครู่ของเขา เขาอาจทำเรื่องโง่เขลาเหล่านั้น ก็เพื่อยั่วให้นางหัวเราะ แต่นั่นเพราะนางพูดเอง เพราะอะไรนางถึงจะไม่ไว้ใจเขาเล่า 


 


 


“มา ทำต่อ!” 



ตอนที่ 138 มาหาถึงที่ 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนรู้สึกว่าพอตนเองคิดเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เจ็บแผลแล้ว รู้สึกเหมือนเข็มที่เถิงเฟิงแทงเข้ามาที่ร่างนางนั้นไม่ได้แหลมคม พอนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเหงื่อหยดลงจากหน้าผากเถิงเฟิง เขาคงเหนื่อยมาก 


 


 


“อย่าขยับ อย่าขยับ ใกล้เสร็จแล้ว” 


 


 


พอนางได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ค่อยๆ หลับตาลง ทนรับความเจ็บปวดอย่างเงียบๆ น้ำรอบๆ ตัวเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำ ค่อยๆ แห้งเหือดลง นางมองดู หายใจหอบ ค่อยๆ ลืมเลือนไปทีละน้อย 


 


 


เมื่อถังเฉียนตื่นขึ้น นางยังคงนอนอยู่บนเตียง พอตื่นจิตใจก็รู้สึกปลอดโปร่ง ไม่มีส่วนไหนที่นางรู้สึกไม่สบาย ราวกับภายในร่างกายได้ผ่านการชำระล้างจนสะอาด แม้แต่วิญญาณก็พลอยใสบริสุทธิ์ไปด้วย 


 


 


ถังเฉียนลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ แล้วโคจรพลังทิพย์ในร่าง รู้สึกว่าต่างจากที่ผ่านมา ราวกับไม่เพียงได้ขับพิษแมลงปีศาจออกไปจากร่างกาย แต่ยังทำให้ทั้งร่างพัฒนาขึ้น 


 


 


ถังเฉียนอดประหลาดใจไม่ได้ วิชาเร้นลับและยาของเผ่าพีส่าช่างล้ำเลิศจริงๆ 


 


 


“โครม!” 


 


 


ถังเฉียนไม่ทันได้พูดขอบใจเถิงเฟิง ประตูก็ถูกผลักเปิดออกจากข้างนอก นางเห็นหมอผีหญิงสวมหน้ากากบุปผาทองสามดอกในชุดสีแดงยืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วฉุกคิดขึ้นได้ว่าคือคนที่นางเห็นก่อนจะหมดสติในวันนั้นนั่นเอง 


 


 


“เจ้าเป็นใคร” 


 


 


ถังเฉียนไม่โง่ถึงขั้นที่ดูไม่ออกว่านางไม่ใช่ศิษย์พี่ถงถงเอ๋อร์ 


 


 


“อาหรูน่า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงชื่ออาหรูน่า รู้หรือไม่เจ้าทำร้ายเถิงเฟิงขนาดไหน เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากเขา” 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงโกรธเคือง แต่นางตวัดแส้ในมือฟาดใส่ใบหน้าถังเฉียน นางว่องไว เอี้ยวตัวหลบแส้ในชั่วพริบตา แต่เรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าเกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนนางจะรู้สึกได้ล่วงหน้าถึงทิศทางของแส้ ทำให้หลบหลีกได้อย่างแม่นยำ 


 


 


“บัดซบ บัดซบ!” 


 


 


ถังเฉียนมองดูแส้ของนาง จะปล่อยให้นางอาละวาดในห้องของตนเช่นนี้ไม่ได้ จึงจับแส้สีแดงเลือดไว้ กำไว้แน่น สองฝ่ายประจันหน้ากัน ถัดจากนั้นหงหลิงเอ๋อร์ก็ดีดนิ้ว ในห้องมีหมอกสีดำหนาทึบแผ่กระจายออกทันที ถังเฉียนมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึกร้อนใจ นางรู้ว่าหมอกของหมอผีนั้นส่วนใหญ่ใช้เพื่อกำบังตัว มักจะมีพิษร้ายแรง หรืออาจจะพิษแมลงปีศาจที่ร้ายแรงโผล่ออกมา 


 


 


“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงต้องคอยจ้องทำร้ายข้า ข้าไม่เคยทำผิดอะไรต่อเจ้า” 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหงหลิงเอ๋อร์จริงๆ ตั้งแต่แรกหงหลิงเอ๋อร์ก็คร้านที่จะพูดกับนาง จงใจทำตัวลึกลับ 


 


 


“เจ้ามันต่ำช้า ก็แค่บ่าวไพร่ ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใครหรอก ขอเพียงเจ้าตายก็พอ” 


 


 


ทันใดนั้นแส้ในมือหงหลิงเอ๋อร์ก็อ่อนนุ่มลื่นไหลเปลี่ยนเป็นเหมือนงูตัวหนึ่ง เดิมที่ถูกถังเฉียนคว้าจับไว้ในมือ ชั่วพริบตาแส้ก็ย้อนกลับมาทิ่มใส่นาง มันแทงไปที่แขนถังเฉียนอย่างแรง จากนั้นก็หลุดออกจากมือนางและเลื้อยหนีไป แล้วมุดเข้าไปในแขนเสื้อของหงหลิงเอ๋อร์ 


 


 


“บังอาจ!” 


 


 


มีอีกคนมาที่หน้าประตู ถังเฉียนรู้สึกชาที่แขน ชุดเสื้อคลุมหมอผีขอบขลิบสีทองและดำ ช่างคุ้นตาอย่างยิ่ง  


 


 


“อาจารย์ นางเป็นใครกัน แส้ของนางกัดคนได้” 


 


 


ถังเฉียนมองแขนตัวเอง รู้สึกปวดแสบ เถิงเสวี่ยเดินเข้ามา เหลือบมองหงหลิงเอ๋อร์แล้วพูดว่า 


 


 


“หลิงเอ๋อร์ ยังไม่เอายาถอนพิษออกมาอีกหรือ จะรอให้อาจารย์ลงมือหรืออย่างไร” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 139 เขาได้รับบาดเจ็บ 


 


 


 


 


 


พอหงหลิงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นดวงตานางแดงก่ำขึ้นทันที 


 


 


“นางเกือบทำให้เถิงเฟิงตาย นางเป็นปีศาจ เป็นนางจิ้งจอก อาจารย์ เถิงเฟิงเป็นหลานท่าน ท่านไม่เอ็นดูเขาหรือ ถึงได้ปล่อยให้เขาทุกข์ทรมาน” 


 


 


คำพูดหงหลิงเอ๋อร์ทุกคำเข้าหูถังเฉียนหมด ที่แท้นางโผล่มาก็เพราะเถิงเฟิง แต่เขาแค่ช่วยรักษานาง เหตุใดนางต้องโกรธเกรี้ยวเช่นนี้” 


 


 


“นั่นเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจเอง เจ้ากับข้าไม่มีสิทธิ์แทรกแซง ในเมื่อเขามอบพรให้อาหรูน่าแล้ว เท่ากับยอมรับฐานะของนางแล้ว เวลานี้นางมีฐานะสูงส่งกว่าเจ้า ถงเอ๋อร์ เอายาถอนพิษออกมาจากตัวนาง เอาให้อาหรูน่า และพานางกลับไป ลงโทษตามกฎสำนัก” 


 


 


“ลงโทษตามกฎสำนัก? อาจารย์ การทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก ต้องถูกขับออกจากสำนัก อาจารย์ ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ชอบคุณชายเถิงเฟิงมาตั้งแต่เล็ก ครั้งนี้คงเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อาจารย์โปรดเมตตาด้วยเถอะ” 


 


 


ถังเฉียนรู้สึกทั้งร้อนและคันที่มือ ยังเจ็บปวดลึกถึงกระดูก ดูเหมือนในร่างกายมีพลังสายหนึ่งกำลังต่อต้านกับมัน 


 


 


“เจ้าเตือนได้ทันเวลา” 


 


 


เถิงเสวี่ยร้องอืม แล้วหันมามองถงถงเอ๋อร์พลางพูดว่า 


 


 


“เช่นนั้นส่งนางกลับไปสำนึกผิดที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาเซิง เจ้าพานางไปส่ง หากข้าไม่อนุญาต ห้ามนางออกจากห้องแม้แต่ครึ่งก้าว” 


 


 


“เจ้าค่ะ!” 


 


 


อาเซิงคว้ามือหงหลิงเอ๋อร์อย่างไม่ลังเล แต่นางขัดขืนเล็กน้อย เล็บมือของอาเซิงงอกยาวขึ้นทันที ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หงหลิงเอ๋อร์มองดูอาจารย์ ดูจะโกรธจริงๆ แล้วหันมามองถงถงเอ๋อร์พลางพูดว่า 


 


 


“ศิษย์พี่ ช่วยข้าฆ่านางด้วย ฆ่านางซะ!” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์นิ่งเงียบ ไม่กล้าพูดอะไร หงหลิงเอ๋อร์ถูกคุมตัวออกไป ในห้องเหลือเพียงถังเฉียนซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว ถงถงเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น รวมทั้งเถิงเสวี่ยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ  


 


 


“อาจารย์ ที่นางพูดหมายความว่าอย่างไร เถิงเฟิงล่ะ” 


 


 


เถิงเสวี่ยยื่นมือออกไป วางลงบนบ่าถังเฉียนเบาๆ ถังเฉียนเหมือนรู้สึกได้ว่าพลังทิพย์รอบๆ สั่นไหว 


 


 


“พรแห่งผู้บวงสรวงแห่งเผ่าพีส่าชั่วชีวิตมีเพียงครั้งเดียว เป็นการมอบให้คู่ชีวิตแห่งดวงวิญญาณของเขา ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกเขาเลือก พลังทิพย์จะสูงขึ้น พรสวรรค์ก็สูงขึ้น จะมีแรงต้านทานและป้องกันตัวเองต่อหมอผีดำ เด็กอย่างเขาวู่วามเกินไป แต่ว่า สำหรับเจ้าแล้วกลับเป็นเรื่องที่ดีมาก ไม่ได้มีข้อเสียใดๆ” 


 


 


เถิงเสวี่ยพูดจบก็ถอนหายใจแล้วเตรียมผละจากไป แต่ถังเฉียนกลับรู้สึกว่าอาจารย์ยังมีคำพูดที่ยังพูดไม่หมด 


 


 


“อาจารย์ แล้วเถิงเฟิงจะเป็นอย่างไรบ้าง ผู้บวงสรวงอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ เขาเป็นอย่างไรกันแน่ เขาแค่รักษาโรคให้ข้าไม่ใช่หรือ”  


 


 


“เด็กโง่เอ๋ย เจ้าควรรู้เพียงว่าเวลานี้เขาจำเป็นต้องกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อพักฟื้น เมื่อคืนข้าจัดคนส่งเขาไปแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านเขาก็จะไม่เป็นไรแล้ว” 


 


 


พอถังเฉียนได้ยินว่ากลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็รู้สึกหวั่นใจทันที 


 


 


“เขาบาดเจ็บใช่หรือไม่ แล้วข้าจะไปเยี่ยมเขาได้หรือไม่” 


 


 


ขณะที่ถังเฉียนถาม สายตานางมองไปที่ถงถงเอ๋อร์ที่พื้น ขณะที่สายตาของทั้งคู่ประสานกัน นางรู้สึกว่าคุ้นเคย ส่วนดวงตาถงถงเอ๋อร์ฉายแววประหลาดใจออกมา 


 


 


“ถ้าเจ้าอยากไปก็รอหลังพิธีอัญเชิญเทพก่อนแล้วตามข้าไป แต่สิ่งที่เจ้าอยากได้ ข้าสามารถใจกว้างต่อเจ้าได้ แต่เผ่าพีส่าไม่ได้ใจกว้างอย่างเช่นที่เจ้าคิดหรอก” 


 


 


ถังเฉียนก้มหน้าลง นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากได้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า บาดแผลนางจะค่อยๆ ดีขึ้นใช่หรือไม่ เถิงเสวี่ยไปแล้ว ถงถงเอ๋อร์ตามออกไปทันที ก่อนจากไปนางหันมามองถังเฉียนแว่บหนึ่ง สายตานั้นดูซับซ้อนมาก 


 


 


เมื่อเหลือเพียงถังเฉียนคนเดียวในห้อง อาห่าวมาอยู่ตรงหน้านาง ท่าทางลึกลับ 


 


 


“เจ้านาย ท่านอ๋องเชิญไปที่ห้องหนังสือ” 



ตอนที่ 140 โดนหลอกแล้ว 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนมาถึงสถานที่ลึกลับแห่งนั้น นางโหนเถาวัลย์ที่ฉู่จิ่งเหยาเตรียมไว้ให้ ร่อนถลาลงมาจากข้างบน พอลงถึงพื้นก็เห็นฉู่จิ่งเหยากำลังฝึกกระบี่ แต่นางไม่มีใจอยากจะฝึก 


 


 


แต่เมื่อเห็นฉู่จิ่งเหยา นางจึงทำตามที่ตกลงไว้เมื่อวานจนเสร็จสิ้น 


 


 


“เจ้ามีเรื่องกลุ้มใจหรือ เพราะเขาเพิ่งจะมา แต่ก็ไปแล้ว” 


 


 


ถ้าคนอื่นฟังที่เขาพูดขึ้นลอยๆ ก็คงแปลกใจ แต่ถังเฉียนเข้าใจความหมายที่ฉู่จิ่งเหยาพูด 


 


 


“ใช่และก็ไม่ใช่…” 


 


 


นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เขาฟัง ฉู่จิ่งเหยาถอนหายใจแล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้าหนูนี่ร้ายกาจขึ้นทุกที ทิ้งปริศนาข้อใหญ่ให้เจ้า มิน่าเจ้าถึงจิตใจว้าวุ่น แม้ท่ากระบี่จะถูกต้อง แต่ก็ยังขาดอารมณ์” 


 


 


ถังเฉียนแสดงการคารวะเป็นการขออภัย นางไม่มีสมาธิฝึกจริงๆ ในใจมัวแต่คอยคิดว่าเหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาเห็นนางก้มศีรษะก็ใช้กระบี่ทะลุตะวันดันหน้ากากนางขึ้นเบาๆ 


 


 


“อาหรูน่า จงจำไว้ วิชาเวทย์ที่ยิ่งแข็งกล้าก็ยิ่งทำร้ายผู้ใช้รุนแรงขึ้น” 


 


 


คำพูดฉู่จิ่งเหยาทิ่มแทงใจถังเฉียนทันที นางอดถามไม่ได้ 


 


 


“แล้วเหตุใเขาจึงต้องทำเช่นนั้น เขาแค่บอกว่าช่วยข้ารักษาบาดแผลคราวก่อนเท่านั้น ยาตำรับลับของเผ่าพีส่าต้องใช้คู่กับคาถาลับของพวกเขาจึงจะได้ผล เขาบอกให้ข้าไว้ใจเขา ทั้งๆ ที่เจ็บปวดมาก แต่เขาบอกว่าเป็นผลดีต่อข้า ข้าจึงเชื่อ เหตุใดข้าถึงโง่นัก ถ้าแค่รักษาการบาดเจ็บ เหตุใดถึงเจ็บปวดขนาดนั้น เขาต้องทำเรื่องอื่นแน่นอน ข้าช่างโง่จริงๆ” 


 


 


ถังเฉียนอดตำหนิตัวเองไม่ได้ ถ้าหากนางปฏิเสธ บางทีเขาคงไม่ต้องเจ็บปวด 


 


 


“เป็นเด็กโง่จริงๆ พรศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าพีส่านั่น ไม่ใช่บอกว่าจะมอบให้เจ้าก็มอบได้ ผู้ที่ร่ายคาถากับผู้รับต้องมีการเชื่อมโยงกัน นี่คือความผูกพัน หมายความว่าเจ้าไว้ใจเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข มีเพียงเจ้าเชื่อมั่นเขา จึงจะรับพรนี้ได้ เขาก็แค่อ่อนแรงไปชั่วเวลาหนึ่ง ต่อไปนี้เจ้าจะมีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างหนึ่ง” 


 


 


“ความสามารถ?” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยายิ้มแล้วว่า 


 


 


“รออีกระยะหนึ่ง เมื่อร่างกายเขาฟื้นขึ้น เจ้าก็จะรู้ ที่เรียกว่าพรศักดิ์สิทธิ์นั้น นั่นก็คือการมอบตราประทับของเขาไว้ในตัวเจ้า ทันทีที่เขาได้รับบาดเจ็บหรือทรมาน เจ้าจะรับรู้และแบ่งปันความเจ็บปวดกับเขา สภาพเดียวกันนี้ก็จะใช้กับเจ้าได้ นี่เรียกว่าใช้ชีวิตร่วมกัน” 


 


 


ถังเฉียนฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้อง จึงถามว่า 


 


 


“ถ้าเขาเกิดป่วย ข้าจะรู้สึกเจ็บปวดด้วยใช่หรือไม่ หากเขาเกิดตาย ข้าก็ต้องตายตามไปด้วยหรือ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาครุ่นคิดแล้วบอกว่า 


 


 


“เท่าที่รู้ น่าจะเป็นเช่นนั้น ถ้าเกิดเขาได้รับพิษ เป็นไปได้ว่าสองคนจะแบ่งรับพิษเท่าๆ กัน อาจจะไม่ตายทั้งคู่ กึ่งเป็นกึ่งตาย แต่ข้าไม่รู้รายละเอียด” 


 


 


ถังเฉียนได้ฟังเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจแล้ว นี่เป็นแผนเล่นงานอย่างร้ายกาจ รู้สึกโกรธแค้นทันที 


 


 


“เหตุใดข้าต้องถูกผูกไว้กับเขา เขาเป็นคนป่วย เป็นคนสารเลว ข้าอุตส่าห์ห่วงใยเขา ที่แท้เขาตั้งใจเล่นงานข้า” 


 


 


ถังเฉียนโกรธ ในแบบที่โกรธมาก แบบที่พูดปลอบก็ไม่หายโกรธ 


 


 


ขณะนี้เถิงเฟิงซึ่งถูกบิดาจับตัวกลับบ้าน นอนกินองุ่นฟังบิดาอบรม เกิดจามขึ้นมาทันที 


 


 


“โธ่เอ๊ย คงเพราะฉู่จิ่งเหยาเอาคำพูดข้าบอกให้นางรู้ นางเด็กโง่คงกำลังด่าข้าแน่ๆ” 


 


 


เถิงเฟิงกินอย่างเอร็ดอร่อย มองไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย กลับมีท่าทางสุขสบายดี มารดาเขาผลักประตูเดินเข้ามา พอเห็นเขายิ้มระรื่นก็อดพูดไม่ได้ว่า 


 


 


“ย่ารองเจ้าเขียนจดหมายมา เล่าให้แม่ฟังถึงเรื่องชั่วที่เจ้าทำไว้ เหตุใดเจ้าไม่บอกฝ่ายหญิงว่าพรศักดิ์สิทธิ์คืออะไร ก็เอาใส่ให้นางแล้ว เจ้าจะเป็นผู้บวงสรวงของเผ่าพีส่าในวันหน้า…” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 141 ฮูหยินหัวหน้าผู้บวงสรวง 


 


 


 


 


 


เถิงเฟิงลุกพรวดขึ้นนั่ง แล้วลงจากเตียงมากอดมารดา นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้าสด บนเสื้อปักเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าของเผ่าอินทรีเงินและเผ่าพีส่า 


 


 


“ท่านแม่ ท่านอ่อนโยนและมีเมตตาเช่นนี้ อย่าตำหนิลูกเลยนะ ลำบากแทบแย่กว่าจะได้เจอลูก ยังไม่รีบไปทำอะไรอร่อยๆ มาบำรุงลูกอีก โธ่เอ๊ย มิน่าพรศักดิ์สิทธิ์จึงทำได้ครั้งเดียว เหนื่อยและเสียเลือดทิพย์มากจริงๆ ลูกอ่อนเพลียมาก แม่ แม่จ๋า แม่อย่าเอาอย่างพ่อเลย พูดตำหนิจนหูชา” 


 


 


ผู้เป็นแม่ผลักศีรษะลูกชายออกไปแล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้าร้ายนัก แม่จะพูดเป็นเรี่องเป็นราวกับเจ้า เมื่อไรจะพาแม่นางคนนั้นมาให้แม่ดูตัว ถึงพ่อเจ้าจะโกรธ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าบอกให้เด็กคนนั้นอ่อนน้อมหน่อย พ่อเจ้าย่อมชอบ” 


 


 


เถิงเฟิงดึงแม่นั่งลง พูดด้วยความดีใจว่า 


 


 


“อย่างนั้นดีเลย แม่รีบไปขอร้องท่านพ่อ ให้ปล่อยข้ากลับไป แล้วบอกท่านลุงให้ข้ายืมเจ้าพายุเงิน ข้าจะพานางมาให้แม่ดูตัวทันที” 


 


 


อิ๋นซานมารดาเถิงเฟิงเป็นบุตรีของหัวหน้าเผ่าอินทรีเงินคนก่อน อิ๋นจ้านหัวหน้าเผ่าอินทรีเงินคนปัจจุบันเป็นพี่ชายนาง ส่วนเจ้าพายุเงินเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอินทรีเงิน ที่เถิงเฟิงพูดเช่นนี้ เพราะเขาคงไม่ถูกปล่อยออกไปแน่นอน 


 


 


“เจ้าฝันเฟื่องอยู่ที่นี่เถอะ ส่วนนาง เมื่อย่ารองเจ้ากลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะพามาด้วย เจ้าทำตัวดีๆ รออยู่ที่นี่ ได้ยินว่านางเพิ่งอายุสิบสี่ รอให้อายุสิบหกก่อนค่อยแต่งงานเถอะ” 


 


 


เถิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างเริงร่า 


 


 


“ข้าเชื่อแม่ แม่ใจดีที่สุด” 


 


 


อิ๋นซานส่ายหน้า ตบศีรษะลูกชายเบาๆ พลางพูดว่า 


 


 


“พี่ใหญ่เจ้า จะยี่สิบห้าแล้ว ยังหาผู้หญิงที่เขาจะมอบพรศักดิ์สิทธิ์ให้ไม่ได้ กลับเป็นเจ้าที่อายุเพียงสิบเจ็ด เหตุใดถึงมอบออกไปแล้ว” 


 


 


อิ๋นซานพูดแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ เถิงเฟิงหนอนหนุนตักมารดา กินองุ่นแล้วแอบยิ้ม 


 


 


ร่างกายเถิงเฟิงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพียงแต่หลังจากการมอบพรศักดิ์สิทธิ์แล้วร่างกายอ่อนเพลียมาก ใช้คาถาหลายอย่างไม่ได้ เขาจึงถูกส่งกลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อดูแลเป็นพิเศษ เถิงเสวี่ยไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้เพราะคร้านที่จะยุ่งเกี่ยวด้วย ส่วนฉู่จิ่งเหยาพูดก็เพื่อเปิดโปงเถิงเฟิง 


 


 


ถังเฉียนกลับมายังห้องของตนอย่างโกรธขึ้ง ขณะนี้นางจะจัดสัมภาระเพื่อเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจะให้เถิงเฟิงเอาพรศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นในตัวนางออกไป นางอยู่ด้วยตัวเองก็ดีมากแล้ว ไม่ได้อยากจะร่วมใช้ชีวิตกับใคร 


 


 


“เจ้ากำลังทำอะไร ได้ข่าวว่าเถิงเฟิงมอบพรศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้า เด็กอย่างเจ้าถึงจะโง่ไปหน่อย แต่กลับเก่งในเรื่องล่อลวงผู้ชาย” 


 


 


ถังเฉียนหันมามองฮว่าเหยียนซึ่งพูดจาแดกดัน แม้จะไม่อยากข้องแวะกับนาง แต่ในใจยังโกรธไม่หาย จึงอดเอ่ยปากพูดไม่ได้ 


 


 


“ถึงข้าอาจจะโง่บ้าง ถูกคนอย่างเถิงเฟิงหลอกอย่างไม่รู้ตัว เขาวางแผนไว้ล่วงหน้า ข้าจะไปหาเขาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไปคิดบัญชีกับเขา” 


 


 


พอถังเฉียนพูดจบ ฮว่าเหยียนกลับประหลาดใจ 


 


 


“เจ้าพูดพล่ามอะไร เจ้าไม่รู้หรือว่าพรศักดิ์สิทธิ์คืออะไร” 


 


 


“ก็แค่จะให้ข้าร่วมใช้ชีวิตกับเขาไม่ใช่หรือ คนหลอกลวง!” 


 


 


ฮว่าเหยียนได้ยินเช่นนั้นจึงพูดว่า 


 


 


“เจ้าฟังใครพูดเหลวไหล คงไม่ใช่ศิษย์พี่เจ้าคนนั้นจงใจทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่เรื่องดี หงหลิงเอ๋อร์นั่นจะคลั่งหรือ” 


 


 


ถังเฉียนสงบใจลงบ้าง นั่งลงบนม้านั่งแล้วพูดว่า 


 


 


“นั่นเพราะนางไม่รู้ว่าเถิงเฟิงเป็นคนขี้โรค ยังคอยก่อเรื่องเดือดร้อน ใครจะรู้ว่าเขาจะตายเมื่อไหร่” 


 


 


ฮว่าเหยียนฟังแล้วก็ร้องหึ 


 


 


“อย่างนั้นก็แปลกละ ไม่รู้ว่าเจ้าพูดเหลวไหลอะไร เถิงเฟิงอนาคตเขาก็คือหัวหน้าผู้บวงสรวงแห่งเผ่าพีส่า เขาอยู่ได้ถึงร้อยปี จะเป็นคนขี้โรคได้อย่างไร เจ้าอย่าทำตัวพอได้ดีแล้วแกล้งอำพรางจะดีกว่า ฮูหยินหัวหน้าผู้บวงสรวงในวันหน้า” 



ตอนที่ 142 ตัวเลือกสำหรับหัวหน้าผู้บวงสรวง 


 


 


 


 


 


เมื่อถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ เดิมที่คิดจะพูดก็ชะงักไป 


 


 


“ฮูหยินหัวหน้าผู้บวงสรวงอะไรกัน” 


 


 


มีรอยยิ้มประจบประแจงผุดขึ้นบนใบหน้าฮว่าเหยียน นางพูดว่า 


 


 


“ฮูหยินหัวหน้าผู้บวงสรวงก็ไม่ต่างกับพระแม่ของชาวเผ่าม้ง ฐานะของเจ้าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เจ้าไม่รู้หรือ ความหมายพื้นฐานที่สุดของพรศักดิ์สิทธิ์คือการกำหนดว่าเจ้าเป็นฮูหยินของเถิงเฟิง เป็นการแจ้งต่อสวรรค์ ประกาศต่อเทพมังกร เทพแมลงปีศาจรวมทั้งพี่น้องชาวเผ่าม้งว่า ในดินแดนเผ่าม้งนี้ มีเขาเท่านั้นที่แต่งงานกับเจ้าได้ จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่น้อย ไม่ว่าคนหรือปีศาจ” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่นางพูดจึงเริ่มเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเหตุใดหงหลิงเอ๋อร์จึงโกรธ นางรู้ฐานะของนางแล้ว รู้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขา เขาทำอย่างนี้เพราะอะไรกันแน่ แม้ว่าในใจจะรู้สึกอบอุ่นหวานชื่น แต่ก็ยังแปลกใจ 


 


 


“เหตุใดเขาตัดสินใจเรื่องใหญ่เช่นนี้โดยไม่ถามข้าก่อน” 


 


 


ฮว่าเหยียนร้องหึ แล้วพูดว่า 


 


 


“นับแต่โบราณการแต่งงานของชายหญิง เป็นไปตามคำสั่งพ่อแม่และคำพูดแม่สื่อ ก็ตกลงเรื่องแต่งงานแล้ว จำไว้นะ ไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องทำตัวดีๆ อย่าทำให้เสียเรื่อง ฐานะของเจ้าคือลูกสาวคนโตของสกุลฮว่าแห่งหมอผีสมุนไพรที่สืบทอดมานับร้อยปี หมอผีศักดิ์สิทธิ์มอบนามว่าอาหรูน่า ความหมายก็คือดวงจันทร์กระจ่างใสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เถิงเฟิงยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าน่าเหริน ก็คือดวงตะวันผู้เปี่ยมเมตตาแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเข้าใจความหมายของชื่อเจ้าแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนตะลึงงัน ชื่อนางเถิงเฟิงเป็นคนตั้งให้ เขาเคยบอกว่าเมื่อนางรู้ทุกคำในพจนานุกรมก็จะรู้ความหมายของชื่อนี้ นางยังเรียนรู้ไม่หมดก็มีคนบอกนางแล้ว 


 


 


“ตะวันกับจันทรา…” 


 


 


ในใจนางรู้สึกวาบหวาม มุมปากมีรอยยิ้ม แล้วพูดว่า 


 


 


“ข้าไม่เชื่อที่เขาพูดหรอก” 


 


 


ฮว่าเหยียนดูท่าทางของสาวน้อย ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้าได้ดิบได้ดีย่อมดีกว่า ผู้ชายเผ่าพีส่า ชั่วชีวิตมีคู่ครองได้เพียงคนเดียว ความหมายของการมอบพรศักดิ์สิทธิ์ก็คือ จะร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้า นี่คือคำสัญญาแต่งงานที่สวยที่สุดในโลก เจ้าเสียใจเขาก็เสียใจ เจ้าทุกข์ร้อนเขาก็ทุกข์ร้อน ต่างรับรู้ความรู้สึกของกันและกัน เป็นความรักที่สวยที่สุดบนโลกใบนี้” 


 


 


ฮว่าเหยียนพูด สีหน้านางอิจฉา ถังเฉียนฟังแล้วก็รู้สึกแปลกใจ นางเกิดที่เซวียนกั๋ว ผู้ชายที่นั่น ถ้าเป็นขุนนางหรือชนชั้นสูง ใครบ้างที่ไม่มีเมียสามสี่คน เพื่อจะได้มีลูกหลานเต็มบ้าน นางเองนับว่าเป็นหญิงสาวในตระกูลสูง แต่นางไม่อิจฉาชีวิตอย่างนั้น แต่กลับเป็นด้ายเส้นหนึ่งแบบนี้ ที่ผูกพันนางและเขาไว้ 


 


 


“ข้าไม่อยากได้หรอก” 


 


 


ถังเฉียนหันไป แต่ไม่เก็บข้าวของแล้ว ในใจพลางคิดถึงคำพูดเถิงเสวี่ยและฉู่จิ่งเหยา กลัวว่าเวลานี้ไม่รู้เขายังรู้สึกทรมานหรือไม่ เขากลับบ้านแล้วไม่รู้ที่บ้านจะได้กินไก่อร่อยๆ หรือไม่ ไม่รู้ว่าจะนึกถึงแม่ไก่ตุ๋นต่างเซินหวงฉีของที่นี่หรือไม่ 


 


 


ถังเฉียนคิดแล้วก็รู้สึกกังวล นางคงคาดไม่ถึงเป็นแน่ว่าขณะนี้เถิงเฟิงอยู่ในสภาพที่พออาหารมาก็อ้าปากกิน พอเสื้อผ้ามาก็กางแขนใส่ ก่อนหน้านี้ยังต้องมีฝึกวิชา แต่ระยะนี้ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น แค่นอนเล่น พักผ่อนฟื้นฟูพละกำลังเท่านั้น 


 


 


หงหลิงเอ๋อร์ถูกอาเซิงคุมตัวไป ระหว่างทางก็ไม่ได้พักเลย เหลือเพียงถงถงร์เอ๋อเพียงคนเดียวที่อยู่กับเถิงเสวี่ย คอยมองสีหน้าที่เย็นชาของอาจารย์ 


 


 


“ในเมื่อเจ้าไม่อยากอยู่กับหลิงเอ๋อร์แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็คอยช่วยเหลืออาหรูน่าเถอะ นางมีนิสัยอ่อนโยน ไม่ข่มเหงเจ้าแน่นอน นางจะเป็นฮูหยินหัวหน้าผู้บวงสรวงในอนาคต เจ้าติดตามนาง รับรองว่าวันหน้าไม่ลำบากหรอก” ถงถงเอ๋อร์ฟังที่เถิงเสวี่ยพูดก็ยิ้ม แล้วตอบว่า 


 


 


“อาจารย์ ถงเอ๋อร์ยอมปฏิบัติตามที่ท่านสั่ง แต่ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณชายเถิงเฟิงจะเป็นผู้บวงสรวงคนต่อไป เขายังมีพี่ชายอีกคน อายุมากกว่าเขาไม่น้อย ทั้งยังโดดเด่นอีกด้วย” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 143 กัดคนได้ 


 


 


 


 


 


เถิงเสวี่ยจ้องมองถงถงเอ๋อร์ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า 


 


 


“โดดเด่น เจ้าดูออกอย่างไรว่าเขาโดดเด่น หน้าตาดีก็เท่ากับโดดเด่นแล้วหรือ หัวหน้าผู้บวงสรวงแห่งเผ่าพีส่านั้นถูกตัดสินตั้งแต่แรกเกิด การแข่งขันของพวกเขาเริ่มตั้งแต่ในท้องแม่แล้ว เด็กอย่างเถิงเฟิงเกิดมาก็เพื่อเป็นหัวหน้าผู้บวงสรวง เด็กอย่างพวกเจ้าจะรู้อะไร” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ฟังที่อาจารย์พูดก็นึกสงสัย อย่างไรนางก็ไม่ได้เกิดที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีเรื่องมากมายที่นางไม่รู้ ดังนั้นสำหรับความจริงที่แทบทุกคนยอมรับอย่างเงียบๆ นี้ จึงน่าแปลกมาก นางจึงอดถามไม่ได้ 


 


 


“ถงเอ๋อร์ได้ยินว่า ตอนที่คุณชายเถิงเฟิงเกิด มีเมฆมงคลปกคลุมทั่วท้องฟ้า นกกะเรียนเทพแห่งเขาศักดิ์สิทธิ์พากันร่ายรำถึงสามวัน อินทรีเงินของเผ่าอินทรีเงินพากันร่อนลงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเหล่านี้จริงหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


ตอนที่ถงถงเอ๋อร์ยังไม่ได้มายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เถิงเฟิงก็เกิดแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้เห็นปรากฏการณ์ล้ำเลิศดังกล่าว อุตส่าห์มีโอกาสแล้ว ต้องถามให้กระจ่าง 


 


 


“ไม่ได้อัศจรรย์เช่นนั้นหรอก แต่เขาก็นำเรื่องมงคลมาจริงๆ เป็นสิ่งมงคลของชาวเผ่าพีส่า แต่ไม่ใช่อย่างที่พวกเจ้าคิด” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ร้อง “อืม” แล้วเห็นเถิงเสวี่ยพูดถึงตรงนี้ดูเหมือนจะมีท่าทางไม่สบายใจ นางไม่เข้าใจว่าในเมื่ออนาคตจะเป็นหัวหน้าผู้บวงสรวง แล้วเหตุใดจึงเลือกลูกสาวของหมอผีสมุนไพรมาเป็นว่าที่ฮูหยินของหัวหน้าผู้บวงสรวง หงหลิงเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นคนที่คู่ควรกับเถิงเฟิงที่สุด 


 


 


เถิงเสวี่ยมองออกถึงความสงสัยในแววตาถงถงเอ๋อร์ แต่นางย่อมไม่เผยความจริงให้นางรู้ ต้องการให้นางนึกแปลกใจต่อไป 


 


 


ถังเฉียนกลับรู้สึกไม่คุ้นกับการที่จู่ๆ ถงถงเอ๋อร์ก็มาทำตัวใกล้ชิดด้วย นางไม่มีความเคยชินที่จะเรียกใช้ใคร ดังนั้นจึงรู้สึกเพียงว่านางเป็นคนรู้จักเอาใจคนอื่น ไม่รู้สึกขัดใจอะไร แต่มีปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ นั่นคือซูซินเหลียน 


 


 


ขณะนี้นางยังคงถูกมัดติดกับเตียง ร้องเอะอะโววายทุกวัน จื่อเย่ว์ให้นางกินยากล่อมประสาท เพื่อให้สงบลง ทำอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับมองว่านางเป็นคนบ้า ถังเฉียนเคยไปเยี่ยมนางครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าการปฏิบัติต่อนางแบบนั้นโหดร้ายเกินไป 


 


 


“พวกเจ้าควรคิดให้ดีว่าจะจัดการซูซินเหลียนอย่างไร จะอย่างไรนางก็ยังเป็นพระชายารอง จะมัดนางไว้อย่างนี้ตลอดไปหรือ” 


 


 


แม้จะบอกว่าซูซินเหลียนเกือบจะฆ่าถังเฉียนแล้ว แต่คนที่อยากสังหารนางคือใต้เท้าหลี่แห่งนิกายเทพมังกรต่างหาก ไม่ใช่ซูซินเหลียน ส่วนนางเป็นเพียงหญิงที่น่าสงสาร เหตุใดต้องปฏิบัติต่อนางเยี่ยงนี้ด้วย 


 


 


“ถ้าอยู่ในวัง คนบ้าอย่างนาง ก็จะไม่มีจุดจบที่ดี มีข้าวให้นางกิน มีที่ให้อาศัย ถือว่าเป็นพระเมตตาแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนได้ฟังเช่นนี้ก็บอกว่า 


 


 


“แต่ท่านอ๋องสามารถหย่ากับนางได้ ให้นางกลับไปพักฟื้นที่บ้าน อาจจะหายดีก็เป็นได้” 


 


 


จื่อเย่ว์ฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี ระหว่างเดินทาง ถ้าหากนางหนีไปแล้วเกิดเสียความบริสุทธิ์ ก็มีเหตุผลที่จะกำจัดนางได้ นับว่าเป็นความคิดที่ดี 


 


 


“เช่นนั้นตกลงตามนี้ ข้าจะไปขออนุญาตต่อท่านอ๋อง ท่านหมอรออยู่ที่นี่สักครู่ อย่าเกิดใจอ่อนแล้วแก้มัดให้นางเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกเราจะเดือดร้อน” 


 


 


“รู้แล้ว” 


 


 


ถังเฉียนนั่งข้างๆ ซูซินเหลียน มองดูนางนอนตาขวางอยู่บนเตียง พยายามขยับปากพูด 


 


 


“เจ้าอยากพูดกับข้าหรือ” 


 


 


ถังเฉียนดึงผ้าในปากนางออก แต่นางเพิ่งดึงผ้าออก ซูซินเหลียนก็เกือบกัดมือนางแล้ว 


 


 


“เจ้าเป็นคนบ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจะมากัดข้าเล่า” 


 


 


ถังเฉียนถอยห่างออกมา จ้องมองซูซินเหลียน แววตานางราวกับสัตว์ประหลาด แฝงด้วยความระแวงและหวาดกลัว ซูซินเหลียนขยับปากเล็กน้อย พอเอ่ยปากพูดเสียงก็ค่อนข้างแหบแห้ง 


 


 


“ข้า ข้าหิว…” 



ตอนที่ 144 ต่อรองผลประโยชน์ 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนเอาอาหารมาให้นางกิน ป้อนให้ทีกินละคำ เห็นท่าทางน่าเวทนาของนาง ก็อดสงสารไม่ได้ 


 


 


“พระชายารองไม่ต้องกลัว ช่วงนี้ข้าจะขอร้องท่านอ๋องให้ส่งท่านกลับบ้าน ท่านบอกว่าคิดถึงแม่ไม่ใช่หรือ พอกลับไปแล้วก็จะได้อยู่กับแม่ ถึงตอนนั้นก็อย่าพูดอะไรเหลวไหล แม้เวลานี้จะดูแลผู้หญิงที่กลับบ้านอย่างดี แต่จิตใจผู้คนที่เจาหยางก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตก็ยังคงยากลำบาก แต่ท่านอ๋องไม่ปฏิบัติต่อท่านเลวร้ายหรอก แต่วันหน้าท่านต้องพึ่งตัวเองแล้ว” 


 


 


วันนั้นถังเฉียนพูดเรื่องซูซินเหลียนกับฉู่จิ่งเหยาแล้ว ส่วนอาจารย์บอกว่ารอดูวันที่สิบห้าแล้วค่อยว่ากัน ถังเฉียนไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ท่านอ๋องรับปากแล้วว่าหลังวันที่สิบห้าจะส่งนางกลับเจาหยาง 


 


 


“เจ้าจะส่งข้ากลับบ้าน แล้วที่นี่คือที่ไหน เจ้าเป็นใคร ข้าจำอะไรไม่ได้จริงๆ” 


 


 


ถังเฉียนเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็พยุงให้นางนั่งขึ้น ยังคงป้อนอาหาร แล้วเล่าเรื่องต่างๆ ให้นางฟัง อะไรที่ถังเฉียนเล่าให้นางฟังได้ก็บอกนางหมด ยังเล่าไม่ถึงครึ่ง จื่อเย่ว์ก็กลับมา 


 


 


“ท่านหมอช่างมีใจกรุณาจริงๆ สามารถคุยกับคนบ้าได้นานเช่นนี้” 


 


 


ถังเฉียนไม่โต้แย้งที่จื่อเย่ว์พูด เพียงแต่ถามว่า 


 


 


“ดูสิ นางจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้เป็นบ้า แล้วท่านอ๋องว่าอย่างไร” 


 


 


จื่อเย่ว์เหลือบมองซูซินเหลียน แววตาฉายแววอำมหิต นางบอกว่า 


 


 


“ท่านอ๋องสงสารนาง หากนางอยากกลับบ้าน ก็ส่งนางกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ในเมื่อเกิดเจ็บป่วยที่จวนอ๋อง ก็แสดงว่าท่านอ๋องดูแลนางบกพร่องให้นางกลับไปแต่ย่อมไม่หย่ากับนาง ให้นางพักรักษาตัวด้วยความสบายใจ” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็คลายความกังวล หันมาพูดกับซูซินเหลียน 


 


 


“ข้าบอกแล้วอย่างไร ท่านอ๋องเป็นคนดี เจ้าพักฟื้นให้ดีเถอะ อีกสองสามวัน ถ้าเจ้าคิดถึงบ้านค่อยให้พวกเขาส่งเจ้ากลับไปสักครึ่งปีหรือหนึ่งปี” 


 


 


“ไม่ ข้าไม่กลับไป!” 


 


 


ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าซูซินเหลียนจะพูดเฉียบขาดเช่นนี้ คิดอยากถามนางว่าก่อนหน้านี้นางบอกเองไม่ใช่หรือว่าคิดถึงบ้าน ตอนนี้มีโอกาสแล้ว เหตุใดจึงไม่ยอมกลับไป แต่นางยังไม่ทันถาม จื่อเย่ว์ชิงตัดหน้าก่อน หยิบผ้าสกปรกผืนนั้นยัดใส่ปากซูซินเหลียน  


 


 


“ท่านหมอ นี่เป็นเรื่องภายในของจวนอ๋อง นางเป็นคนบ้า ท่านอยู่ห่างๆ จากนางเถอะ” 


 


 


ถังเฉียนเข้าใจดีว่าเป็นการบอกให้นางไปจากตรงนี้ ซูซินเหลียนดูน่าสงสาร แต่สิ่งที่นางสามารถทำได้ก็คงมีเพียงเท่านี้ ขณะที่ผละมา ถังเฉียนไม่อาจเอ่ยปากบอกให้จื่อเย่ว์ดูแลนางให้มากหน่อย ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของจื่อเย่ว์แล้ว อาจจะทรมานนางหนักขึ้น เวลานี้ซูซินเหลียนยังรักษาชีวิตไว้ได้ก็น่าจะพอใจแล้ว 


 


 


ระยะนี้ถังเฉียนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น นับจากที่นางได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ พลังทิพย์ก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยนอกจากสลายแล้วยังสามารถหลงเหลือส่วนหนึ่ง ขณะที่พลังทิพย์ได้รับการฟื้นฟูเกือบจะสมบูรณ์แล้ว อาจารย์ก็กำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ก่อนวันเพ็ญเดือนสิบสองเดือนนี้จะอัญเชิญให้เทพมังกรลงมา เป็นวันฤกษ์ดีที่งูโบราณจะออกมาจากโพรง 


 


 


ช่วงนี้เห็นแท่นบวงสรวงตระเตรียมเสร็จแล้ว ยังมีหมอผีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีชื่อเสียงบารมีหลายท่านจากที่ต่างๆ มายังที่นี่ หลังจากที่ได้ข่าวว่าเถิงเสวี่ยมีวิธีรับมือกับไอพิษที่รุนแรงครั้งนี้ หมอผีเหล่านี้จึงตัดสินใจมาศึกษาดู อาจมีประโยชน์ในการจัดการกับเขตที่คนเหล่านี้ดูแลอยู่ 


 


 


ที่ที่มีผู้คนมากมาย ย่อมเกิดการต่อสู้ ก่อนออกเดินทาง จีหมิงซึ่งเป็นหมอผีศักดิ์สิทธิ์บุปผาทองห้าดอกได้แสดงให้ถังเฉียนดูว่าอะไรที่เรียกว่าการต่อรองผลประโยชน์ 


 


 


“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ ครั้งนี้พวกเรามาจากที่ห่างไกลเพื่อช่วยท่าน หวังว่าท่านจะไม่ปล่อยให้พวกเรากลับไปมือเปล่า หากครั้งนี้พวกเราทำสำเร็จ แน่นอนว่าท่านมีผลงานสูงสุด แต่หากเกิดไม่สำเร็จ พวกเราล้วนทิ้งชีวิตผู้คนหลายพันตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ ท่านผู้อาวุโสใหญ่คงจะไม่ให้พวกเรามาเสียเปล่าใช่หรือไม่” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 145 ฟันต่อฟัน 


 


 


 


 


 


สำหรับเรื่องนี้นั้นไม่มีใครรู้ได้ว่าพิธีบวงสรวงจะสำเร็จหรือไม่ การที่แต่ละคนมีความคิดต่างกันเป็นเรื่องที่สมควร แต่ในความคิดของถังเฉียนการต่อรองผลประโยชน์เช่นนี้นั้น เป็นการขัดศีลธรรมแห่งหมอผี 


 


 


ถังเฉียนรู้สึกร้อนใจเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของจีหมิง แต่นางไม่สามารถพูดอะไรได้ เพียงแต่รู้สึกอึดอัดใจจุกอกจนเจ็บแปลบไปหมด  


 


 


“จีหมิงเป็นผู้อาวุโส ท่านคิดว่าเถิงเสวี่ยต้องให้สิ่งใดแก่ท่านจึงจะรู้สึกว่าครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยว” 


 


 


พอจีหมิงได้ฟังเช่นนี้ก็ลูบหัวแมวดำที่อุ้มอยู่เบาๆ ยกยิ้มอย่างประหลาด แล้วพูดว่า 


 


 


“แม้จะบอกว่าเราต่างเป็นหมอผีศักดิ์สิทธิ์ แต่มีหมอผีบางคนได้เกิดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่หมอผีอย่างเรากลับถูกส่งไปยังดินแดนห่างไกล ที่เต็มไปด้วยงูพิษและสัตว์ร้าย ใช้ชีวิติอย่างยากลำบาก ข้าก็อายุมากแล้ว ไม่สามารถแบกรับงานหมอในเขตที่สังกัดได้อีกต่อไป ท่านผู้อาวุโสใหญ่คิดว่าจะจัดการอย่างไรดี” 


 


 


เถิงเสวี่ยฟังที่นางพูด แล้วมองดูหมอผีอีกสองคนที่มากับนาง พวกนางก็มีความคิดแบบเดียวกัน ช่างเลือกเวลาได้เหมาะยิ่งนัก 


 


 


“ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่กฎของเผ่าหมอผีเรา หากไม่ตายก็ไม่กลับ นับจากที่เราเลือกเซียมซีบนเขาศักดิ์สิทธิก็ถูกกำหนดไว้แล้ว นี่เป็นกฎครอบครัวของเผ่าเรา ข้าเป็นเพียงผู้อาวุโสเล็กๆ จนปัญญาจริงๆ ท่านผู้อาวุโสจีหมิง เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นที่เถิงเสวี่ยสามารถตัดสินใจได้เถอะ” 


 


 


พอจีหมิงได้ฟังเช่นนี้ก็โบกมือแล้วพูดว่า 


 


 


“ในเมื่อทำเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็เปลี่ยนคนเถอะ หลานสาวข้าคนนี้ อายุสิบหกแล้ว เพิ่งเปิดพลังทิพย์ไม่นาน ก็ได้สี่วงแล้ว แม้จะเทียบกับศิษย์คนอื่นของท่านไม่ได้ แต่ก็ย่อมเหนือกว่านางกระมัง” 


 


 


จีหมิงชี้ตรงไปที่ถังเฉียน นางเป็นเพียงหมอผีสมุนไพรที่มีเพียงสามวง ข้อมูลนี้ย่อมมีคนเผยออกไป นางไม่ใช่คนแรกและย่อมไม่ใช่คนสุดท้าย 


 


 


เถิงเสวี่ยหันไปมองเด็กสาวคนนั้น แล้วกวักมือเรียก เด็กสาวมีท่าทางตื่นกลัว มองดูจีหมิงซึ่งอยู่ข้างๆ แล้วจึงก้าวอย่างระมัดระวังมาอยู่ข้างเถิงเสวี่ย แสดงการคารวะแล้วยืนอย่างเรียบร้อย 


 


 


เถิงเสวี่ยมองเห็นว่าเป็นเด็กที่รู้จักแบบแผน จึงถามว่า 


 


 


“สิบหกแล้ว มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือไม่” 


 


 


“เรียนท่านผู้อาวุโสใหญ่ ยังไม่มีเจ้าค่ะ” 


 


 


เถิงเสวี่ยยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


 “ญาติผู้พี่ของเถิงเฟิง ปีนี้อายุครบสิบเก้า เจ้าหนุ่มนั่นนิสัยดื้อรั้นไปบ้าง ข้าว่าแม่หนูคนนี้ก็ไม่เลว ส่งไปให้เผ่าอินทรีเงินดูตัวดีหรือไม่ ถึงตอนนั้นข้าต้องบอกกล่าวล่วงหน้า เผ่าอินทรีเงินต้องเห็นแก่หน้าข้าบ้างล่ะ” 


 


 


จีหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ยอมรามือ สีหน้าไม่เกรงใจอย่างเมื่อครู่แล้ว นางกระแทกไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แรงๆแล้วว่า 


 


 


“เด็กสาวหมอผีสมุนไพรสามวง ท่านผู้อาวุโสใหญ่กลับรับง่ายๆ หลานข้าเทียบนางไม่ได้หรืออย่างไร” 


 


 


ฮว่าเหยียนฟังด้วยความอดกลั้น ในที่สุดเมื่อนางเอ่ยถึงหมอผีสมุนไพรด้วยแววตาดูหมิ่น นั่นทำให้นางโกรธแล้ว 


 


 


“ฮว่าเหยียนกับอาหรูน่าเป็นหมอผีสมุนไพรจริง แต่บรรพชนเจ็ดรุ่นล้วนเป็นหมอที่ดี มีเกียรติเทียบไม่ได้กับครอบครัวผู้อาวุโสจีหมิงที่เคยมีหมอผีดำ” 


 


 


“เจ้า!” 


 


 


จีหมิงถูกยั่วโมโหจนมือไม้สั่น หากแต่ฮว่าเหยียนไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้ นางกล่าวถึงสองครั้ง ในเมื่อดูหมิ่นนางถึงสองครั้ง นางก็ต้องตอบแทนอย่างสาสม 


 


 


“ดูหลานสาวเจ้าสิ ท่าทางอ่อนแอ เป็นหมอผีเคยสร้างคุณูปการอะไรหรือไม่ ลูกสาวข้าเป็นหมอผีสมุนไพรตั้งแต่เด็ก ยังเคยช่วยรักษาไข้ป่าให้หมู่บ้านเทียนอี เทียบไม่ได้กับผู้อาวุโสจีหมิงที่เผาหนึ่งหมู่บ้านมีผลงานยิ่งใหญ่ให้แก่อีกหนึ่งหมู่บ้าน” 


 


 


“เจ้า สามหาว!” 


 


 


จีหมิงโกรธจนลุกขึ้นยืน ฮว่าเหยียนยังคงนั่งอยู่ที่แถวหลังสุด มองดูนางเดินมาอย่างโกรธเกรี้ยว ชี้หน้าฮว่าเหยียนแล้วว่า 


 


 


“จะพูดอย่างไรนางก็แค่พวกไม่เอาไหนที่มีแค่สามวง ไม่อาจเหนือกว่าระดับหมอผีขั้นสูงตลอดไป นี่เป็นข้อด้อยของนางตั้งแต่เกิด ไม่อาจแก้ไขได้ กฎของเผ่าหมอผีเรา ท่านผู้อาวุโสใหญ่ลืมแล้วหรือ อย่าคิดว่าจะหลอกพวกเราได้” 



ตอนที่ 146 ข้าต่างจากเจ้า 


 


 


 


 


 


เมื่อฮว่าเหยียนได้ฟังเช่นนี้ก็ยืนขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า 


 


 


“หลานสาวเจ้าสี่วง แล้วจะอย่างไร ลูกสาวข้าได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากผู้บวงสรวง เวลานี้ก็มีพลังทิพย์สี่วงแล้ว โลกนี้ไม่ใช่มีแต่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด การเสริมหลังจากเกิดก็ไม่ได้ด้อยอะไร…หลานสาวเจ้าเป็นชายาเผ่าอินทรีก็ดีมากแล้ว อย่าโลภเกินไปนัก นางกับท่านไม่ได้มีวาสนาเช่นนั้น” 


 


 


คำพูดฮว่าเหยียนเกือบทำให้จีหมิงเป็นลม ส่วนคนอื่นต่างแปลกใจกับเรื่องพรศักดิ์สิทธิ์ 


 


 


“บังอาจถามหมอผีฮว่าเหยียน เป็นผู้บวงสรวงท่านใดของเผ่าพีส่า” 


 


 


ฮว่าเหยียนยิ้ม 


 


 


“จะเป็นใครไปอย่างนั้นหรือ ลูกสาวข้าอายุสิบสี่ ย่อมเป็นผู้ที่เยาว์วัยที่สุด” 


 


 


คำพูดฮว่าเหยียนเหมือนฟ้าผ่าลงกลางวันแสกๆ ทำให้ทุกคนตกตะลึง เถิงเสวี่ยมีสีหน้าลำบากใจ แต่เมื่อถังเฉียนมองดูผู้คนรอบๆ สายตาที่มองดูตนดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิมแล้ว 


 


 


“นางมีอะไรพิเศษหรือ ท่าทางก็ดูธรรมดา เหตุใดจึงเข้าตาของคุณชายเถิงเฟิงเล่า” 


 


 


“ใครจะรู้ นางอาจรู้จักวิชายั่วยวน น่าเสียดายจริงๆ” 


 


 


“อย่างนางน่ะหรือ” 


 


 


เสียงพูดทำนองนี้ดังก้องไปทั่วห้อง แต่ทุกคนยังคงรอให้เถิงเสวี่ยยืนยัน ไม่มีการเอะอะโวยวายใดๆ แต่คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ก็เข้าหูถังเฉียน นางมองฮว่าเหยียนด้วยสายตาที่ซับซ้อน 


 


 


“การประชุมที่ไร้สาระเช่นนี้ ปล่อยให้คนพวกนี้ค่อยๆ ประชุมไปเถอะ ท่านผู้อาวุโสใหญ่ เราสกุลฮว่ายังมีหมอผีบุปผาดำห้าดอกอีกเจ็ดคนรอให้ท่านเรียกใช้ หากคนพวกนี้ไม่ยินดีจะเข้าร่วม พวกเรายินดีรับงานทั้งหมด ฮว่าเหยียนขอกลับไปที่ห้องก่อน ข้าจะรอข่าวจากท่าน” 


 


 


เมื่อเถิงเสวี่ยฟังที่ฮว่าเหยียนพูด ในที่สุดก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วเพียงผงกศีรษะเล็กน้อยให้ ฮว่าเหยียน มองส่งนางจากไป ฮว่าเหยียนเดินไปสองก้าว แล้วหยุดมองถังเฉียนพลางพูดว่า 


 


 


“ลูกแม่ ยังไม่ไปอีกหรือ แม่ไม่อยู่ เจ้าไม่กลัวถูกยายแก่พวกนี้รุมทึ้งหรือ แม่จะกลับไปต้มยาให้เจ้ากิน ยังไม่ได้กินใช่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่นางพูด ก้มหน้ามองไปที่ฮว่าเหยียนว่าหมายความว่าอย่างไร ที่จริงการที่นางยืนอยู่ที่นี่ก็เพื่อหาประสบการณ์ แต่เมื่อพูดคุยกันมาถึงตรงนี้ ขืนอยู่ต่อนางก็จะตกเป็นเป้าของคนกลุ่มนี้ เถิงเสวี่ยพยักหน้าให้นาง ถังเฉียนจึงตามฮว่าเหยียนไปทันที 


 


 


ถังเฉียนกับฮว่าเหยียนจึงเดินตามกันไปในสภาพเช่นนี้ เมื่อเดินมาถึงมุมของสวนดอกไม้ จู่ๆ ฮว่าเหยียนก็หยุด ใช้ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือเคาะศีรษะนางแล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้าอ่อนแอเยี่ยงนี้ วันหลังหากไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่ถูกคนรังแกตายหรือ เวลานี้ต่อหน้าคนพวกนั้นหากเจ้าไม่อวดอำนาจออกมา วันนี้พวกเขาข่มเหงเจ้าได้ครั้งหนึ่ง วันหน้าใครจะยอมนับถือเจ้า ถ้าเจ้าต้องการให้พวกนั้นทำสิ่งใด คงต้องอ้อนวอน เจ้าต้องแสดงอำนาจเยี่ยงนายหญิงออกมา” 


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งฮว่าเหยียนจะพูดเช่นนี้กับนาง ราวกับว่าได้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนจะต่างออกไปตั้งแต่ที่รู้ว่านางได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ 


 


 


“ข้าต่างจากเจ้า” 


 


 


ถังเฉียนยังคงเชิดมุมปากขึ้น ไม่ยอมยืนอยู่กับนาง แต่ฮว่าเหยียนไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ แล้วพูดเปิดโปงการแสแสร้งของนางอย่างรุนแรง 


 


 


“เมื่อครู่ตอนที่เจ้าแอบยิ้ม ข้าไม่รู้สึกว่าเจ้าแตกต่างจากข้าตรงไหน ล้วนอยากสั่งสอนยายแก่พวกนั้นที่ต่อรองเอาประโยชน์ใส่ตัว ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งถอยหลัง บังอาจต่อรองผลประโยชน์ซึ่งหน้า ทำให้หมอผีอย่างข้าต้องเสียเวลาเถียงกับคนพวกนั้น” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่ฮว่าเหยียนพูด สีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจก็เห็นพ้องด้วย เป็นอย่างนั้นจริงและที่นางพูดก็ช่วยระบายความอึดอัดใจได้  


 


 


ฮว่าเหยียนวางมือข้างหนึ่งบนแขนถังเฉียน ถอนหายใจแล้วพูดว่า 


 


 


“แม้เจ้าจะไม่ยอมรับข้า แต่ข้าถือเจ้าเป็นลูกจริงๆ อย่าคอยแต่ทำตัวเซ่อซ่าให้คนอื่นมารังแก หากเรื่องแพร่ออกไปจะทำให้หมอผีสมุนไพรอย่างเราขายหน้า เจ้าจะไม่ทำเพื่อหมอผีสมุนไพรอย่างเราบ้างหรือ เป็นผู้อาวุโสใหญ่ ทำให้พวกนั้นไม่กล้าดูถูกหมอผีสมุนไพรอีกต่อไป” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 147 ต้องมีสติตลอดเวลา 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนยังคิดไม่ออกว่าเพราะเหตุใด จู่ๆฮว่าเหยียนถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ น้ำเสียงที่พูดกับนางก็พลอยอ่อนโยนไปด้วย แม้นางจะไม่สามารถให้อภัยฮว่าเหยียนได้ แต่สุดท้ายจีหมิงกับหมอผีศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็ตกลงยอมร่วมมือ เงื่อนเหล่านั้นจึงเป็นโมฆะ 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดพวกนางต้องก่อเรื่องขึ้นในเวลาเช่นนี้ ในที่สุดพิธีอัญเชิญเทพจะเริ่มขึ้นในยามไฮ่สือ[1] คืนนี้ บนเขามีไฟสว่างไสว ถังเฉียนและถงถงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างหลังเถิงเสวี่ย วันนี้พวกนางสวมชุดที่ต่างไปจากเดิม เป็นชุดพิธีที่เตรียมสำหรับพิธีบวงสรวงโดยเฉพาะ 


 


 


หน้าที่ของถังเฉียนคือการอยู่กับเครื่องสังเวย หนึ่งคือฉู่จิ่งเหยา อีกหนึ่งคือต้าฝู ขณะนี้ขบวนพิธีค่อยๆ กระจายออก ขณะนี้ที่ตีนเขามีทหารองครักษ์แห่งจวนจินซิวอ๋อง แน่นอนว่ารวมทั้งยอดฝีมือจากเผ่าหมอผี เผ่าพีส่าและเผ่าอินทรีเงินรักษาการณ์อยู่ 


 


 


“ต้าฝูจ๋า คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายของพวกเราแล้ว อย่าเสียใจนักล่ะ หลังจากนี้เจ้าคงจำข้าไม่ได้แล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหากเจ้ายังเกิดใหม่เป็นงูมังกรต้องจำไว้นะ มาเล่นกับข้าอีก เจ้าดื่มเลือดข้าไปมากขนาดนั้น ข้าไม่จับเจ้าตุ๋นก็ถือว่าเมตตามากแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนกับฉู่จิ่งเหยานั่งบนจานกลมข้างหลังแท่นพิธี อาจารย์สั่งว่าคืนนี้ทั้งสองคนต้องอยู่ในห้องเล็กที่ทั้งมืดและแคบนี้ จะออกไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว 


 


 


“อาหรูน่า เจ้าทำเช่นนี้จะทำให้มันตกใจกลัว ที่นี่มีแค่คนสองคนกับงูหนึ่งตัว ถ้าเจ้าทำให้มันตกใจกลัว เราสองคนคงอยู่ไม่สงบแน่” 


 


 


นางอยากออกไปดูว่าอาจารย์กับพวกทำอะไรอยู่ แต่นางไปไหนไม่ได้ เพราะนางเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องสังเวย 


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าข้างนอกกำลังทำสิ่งใดอยู่” 


 


 


พอนางถามจบ ฉู่จิ่งเหยาก็ย้ายเทียนไขที่อยู่ข้างหน้าไปไว้ข้างหลัง มองดูนางด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพูดว่า 


 


 


“น้อยมากที่จะมีโอกาสเช่นนี้ นอนไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ ทำได้เพียงพูดคุยกับคนข้างๆ เจ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่เขาพูดแล้วมองดูซ้ายขวา ค่ำคืนที่ยาวนาน มีกันเพียงสองคนกับงูหนึ่งตัว ความรู้สึกเช่นนี้และโอกาสแบบนี้คงหายาก ถังเฉียนครุ่นคิด แล้วมองดู คำพูดมากมายมาถึงปากแต่กลับกลืนลงไป 


 


 


“หากมีสุราสักกาก็ดีหรอก บางทีข้าอาจใจกล้าขึ้นบ้าง แล้วพูดทั้งที่ควรพูดและที่ไม่ควรพูดออกมาให้หมด น่าเสียดายที่ไม่มีสุรา เพราะฉะนั้นก็ปล่อยให้ความลับยังคงเป็นความลับต่อไปเถอะ ข้าเองไม่มั่นใจว่าพูดออกไปแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาชูแขนขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายตนแข็งเกร็ง เขาพยายามเหยียดตัว จึงฝืนนั่งขึ้นมาได้  


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรไป” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยารู้สึกเหมือนร่างตนเองถูกดูดจนว่างเปล่า จากนั้นก็ล้มลงนอนบนพื้น ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานราวกับกลับไปสู่สนามรบ ฆ่าฟันและหลั่งเลือด โดยเฉพาะความรู้สึกที่ถูกแทงทะลุทรวงอก ราวกับปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง ถังเฉียนรีบถอดหน้ากากตัวเองออกแล้วร้องเรียกฉู่จิ่งเหยา 


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ฟื้นสิ อาจารย์บอกว่า ท่านคือเทพสงครามย่อมเอาชนะตัวเองได้ ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนร้อนใจมากเมื่อเห็นฉู่จิ่งเหยาล้มลงบนพื้น อาจารย์เคยบอกว่าพิธีบวงสรวงครั้งนี้ฉู่จิ่งเหยาจึงจะเป็นตัวหลัก พวกเขาเพียงชักนำพลังเทพ ให้ลงมาบนร่างเทพมังกรและฉู่จิ่งเหยา ส่วนเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากผลร้ายที่เกิดจากคาถา สงครามและการฆ่าฟันจะปรากฏตรงหน้าเขา ที่ถังเฉียนต้องทำคือช่วยให้เขามีสติตลอดเวลา 


 


 


 


 


 


——  


 


 


[1] ยามไฮ่สือ ช่วงเวลาระหว่างสามทุ่มถึงห้าทุ่ม 


ตอนที่ 148 ไม่เหมือนแล้ว 


 


 


 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าจึงค่อยๆ ฟื้นกลับมาเป็นปกติ เขานอนบนตักถังเฉียน มองดูสีหน้าที่เคร่งเครียดของนาง เขารู้สึกว่าฉากนี้เหมือนเคยเกิดขึ้น เขายื่นมือออกไปจะเขี่ยเส้นผมนางออก แต่พอเขายื่นมือมาถังเฉียนก็เบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้ตัว ฉู่จิ่งเหยามองมือตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน ยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“หมอผีน้อย ร้องไห้แล้ว” 


 


 


ถังเฉียนเช็ดใบหน้าตัวเอง ไม่รู้ว่าตามองไปที่ใด นางหยิบหน้ากากจากข้างตัวขึ้นมาใส่ ฉู่จิ่งเหยายังคงนอนมองดูนาง จนได้ยินเสียงสวดข้างนอกที่ดังขึ้น ท่วงทำนองถี่ขึ้น ฉู่จิ่งเหยากำหมัดแน่น ความเจ็บปวดบนร่างเกิดขึ้นเป็นระลอก ราวกับต้องสู้รบครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


“ท่านอ๋อง เป็นอะไรไป”  


 


 


ถังเฉียนเห็นท่าทางฉู่จิ่งเหยาทรมานมาก จึงถามด้วยความเป็นห่วง อาจารย์บอกแล้วว่าเพียงครู่เดียว เพียงครู่เดียวก็จะหาย แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจ็บปวดขนาดนี้ ฉู่จิ่งเหยาดึงชายแขนเสื้อถังเฉียนกำไว้แน่น 


 


 


“อาหรูน่า ข้าปวดหน้าอก” 


 


 


ถังเฉียนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ทำได้เพียงกุมมือเขาไว้ พูดอย่างตึงเครียดว่า 


 


 


“ท่านอ๋อง อาจารย์บอกว่าท่านจะรู้สึกเจ็บปวดบ้าง แต่ต้องอดทน อดทนอีกเดี๋ยวก็จะผ่านไปท่านอ๋องต้องยืนหยัด” 


 


 


ถังเฉียนเห็นใบหน้าเขาเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง ทั้งร่างเข้าหากัน ตัวแข็งทื่อ ยิ่งถังเฉียนร้องเรียกเขาก็พบว่าใบหน้าที่แดงกลับเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดแล้ว 


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง…” 


 


 


ถังเฉียนร้องเรียกอีกสองครั้ง แต่ฉู่จิ่งเหยาไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดใด ร่างของเขาเย็นเฉียบ ถังเฉียนดึงเสื้อเขาออก แผลที่อกซึ่งสมานแล้วกลับมีคราบเลือดปื้นใหญ่ ถังเฉียนไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ เหตุใดเขาถึงกลับมาบาดเจ็บสาหัสอีก ไม่รู้ว่าที่จู่ๆ เขาบาดเจ็บหนักสาเหตุเกิดจากการบวงสรวงหรือไม่ ถังเฉียนไม่ลังเลเลย ล้วงมีดสั้นเรียวยาวออกมาจากอกเสื้อ กรีดที่แขนตัวเอง 


 


 


“ฟื้นเถอะ ท่านอ๋อง”  


 


 


ถังเฉียนตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ แต่ฉู่จิ่งเหยาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ บาดแผลยังมีเลือดออก นางนึกกลัว นางมองดูรอบๆ ฉุกคิดว่าจะใช้พลังทิพย์ของตนมารักษาร่างเขา แล้วก็ยืนขึ้นทันที หยิบไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์มา กรีดฝ่ามือใช้เลือดทาลงบนไม้เท้า แล้วถ่ายทอดพลังทิพย์ลงไปในนั้น มังกรแดงบนร่างนางเลื้อยพันขึ้นทันที 


 


 


“อาหรูน่า จิตใจที่อ่อนไหวของเจ้าส่งผลต่อพิธี หยุดใช้พลังทิพย์เดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดเหตุร้ายกับท่านอ๋อง รอให้ศิษย์พี่เจ้าไปจัดการ” 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้ว่าเพราะอะไร จึงได้ยินเสียงอาจารย์ดังขึ้นในสมอง ฟังดูเคร่งเครียดแต่อาจารย์เดาสาเหตุที่ถังเฉียนทำเช่นนี้ออก ถังเฉียนเก็บพลังทิพย์ของตน ประคองศีรษะฉู่จิ่งเหยาไว้ ยิ่งร้อนใจมากยิ่งขึ้น 


 


 


“ท่านอ๋อง ฟื้นเถอะ” 


 


 


ถังเฉียนวิตกมาก แต่ไม่ช้าถงถงเอ๋อร์ก็มาถึง นางก้มมองร่างฉู่จิ่งเหยา แล้วเหลือบมองแขนถังเฉียน จากนั้นจึงถามว่า 


 


 


“เขาทำร้ายเจ้าหรือ” 


 


 


ถังเฉียนสั่นศีรษะ 


 


 


“ไม่ใช่ ข้าเลี้ยงต้าฝู” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ร้องอืม แล้วพูดว่า 


 


 


“อาจารย์กำลังดูดเลือดทิพย์แห่งเทพสงครามของเขา อดทนสักชั่วหนึ่งก้านธูป เขาจะไม่ตายเพียงแต่จะเจ็บป่วยระยะหนึ่ง” 


 


 


ถังเฉียนดึงแขนนาง รู้สึกไม่อยากเชื่อ แล้วจึงถามว่า 


 


 


“ตอนที่อาจารย์บอกท่านอ๋อง ไม่ได้บอกว่าจะดูดเลือดทิพย์ เขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว หากยังดูดเลือดทิพย์ต่อไป ไม่เท่ากับฆ่าเขาหรอกหรือ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 149 สังเวยอีกครั้ง 


 


 


 


 


 


ถงถงเอ๋อร์พลิกฝ่ามือมาคว้าตัวถังเฉียนไว้ แล้วพูดเสียงกร้าว 


 


 


“อย่าโง่ไปหน่อยเลย เจ้าเป็นชาวเผ่าหมอผี หาใช่ชาวเซวียนกั๋วไม่ เขาเป็นเทพสงครามแห่งเซวียนกั๋ว เป็นศัตรูสำคัญของเผ่าม้งเรา อีกอย่างเขายอมเป็นเครื่องสังเวยเอง พิธีบวงสรวงครั้งนี้ใช้อายุขัยของหมอผีศักดิ์สิทธิ์รวมกันถึงร้อยปี โลกนี้ไม่เคยมีทางลัดหรอกนะ อาจารย์ย่อมไว้ชีวิตเขา” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์มองดูแววตาถังเฉียน แล้วน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง 


 


 


“ท่านอ๋องเป็นเทพสงคราม วันหลังคุณชายเถิงเฟิงก็จะเป็นเทพสงครามของเรา หากเขาไม่กลายเป็นคนธรรมดาสามัญ แล้วคุณชายเถิงเฟิงจะนำเผ่าม้งเราไปสู่ความรุ่งเรืองได้อย่างไร” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่ถงถงเอ๋อร์พูด แล้วคิดในใจว่าถ้านางเป็นชาวเผ่าม้งจริงจะดีใจหรือไม่ 


 


 


การเอาชนะผู้ชายคนหนึ่งด้วยวิธีที่ต่ำช้าเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เถิงเฟิงจะทำ เขาไม่ยินดีแน่นอน นางเองก็ไม่ยินดี ไม่มีใครยกย่องสรรเสริญอุบายครั้งนี้ พวกเขาไม่เคยเป็นผู้ปกครองที่เลวร้าย 


 


 


ถังเฉียนมองดูฉู่จิ่งเหยาซึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้น นางฟังที่ถงถงเอ๋อร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ นางใช้ชีวิตตนเองเพื่อช่วยให้เทพสงครามกลับมา เพื่อให้เขามีชีวิตเยี่ยงคนทั่วไปเท่านั้นหรือ 


 


 


เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เขามีชีวิตก็เพื่อใช้กระบี่ในมือพิทักษ์ความสงบสุขของดินแดนนี้ เขาไม่ใช่นักยุทธศาสตร์ที่ปราดเปรื่อง เพียงหวังที่จะให้ผู้คนที่นี่อยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น ไม่ต้องมีภัยสงครามและการสูญเสียอีก 


 


 


ถังเฉียนนึกถึงฉู่จิ่งเหยาเช่นนี้ แล้วฟังที่ถงถงเอ๋อร์พูดก็รู้สึกบาดหู 


 


 


“ศิษย์พี่ ไปช่วยอาจารย์เถอะ ข้ารู้ว่าควรจะทำเช่นไร” 


 


 


ในสายตาถงถงเอ๋อร์นั้น ถังเฉียนคือผู้หญิงที่เถิงเฟิงกำหนดไว้แล้ว ย่อมต้องทำเพื่อเถิงเฟิง แต่ถังเฉียนกลับไม่ได้ทำตามที่นางคิดไว้ 


 


 


“ท่านอ๋อง ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่าพวกนั้นจะทำกับท่านเช่นนี้ สิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้คือช่วยให้ท่านเจ็บปวดลดลง วันหน้าจะอยู่ช่วยท่านฟื้นฟู ข้าจะคิดหาวิธี พออาจารย์เริ่มพิธีแล้วก็ไม่อาจหยุดกลางคันได้ หวังว่าเราจะสามารถฟื้นกลับมาได้” 


 


 


ถังเฉียนถอดเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ ใช้เมื่อเลิกเสื้อด้านในออก ถือมีดสั้นที่ยังเปื้อนเลือดนางอยู่  


 


 


“ท่านอ๋อง ขอให้ข้าสังเวยให้ท่านอีกครั้ง ครั้งก่อนยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ ครั้งนี้หวังว่าเทพแมลงปีศาจและเทพมังกรจะคุ้มครองให้ข้ามีชีวิตรอดได้” 


 


 


ถังเฉียนพูดจบก็ใช้มีดสั้นจ่อที่หน้าอกเตรียมแทงอีกครั้ง  


 


 


“เด็กโง่” 


 


 


ความรู้สึกเจ็บปวดที่คิดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น แม้มีดจะจ่อที่อกตัวเอง แต่ไม่สามารถรุกคืบไปข้างหน้าได้ ฉู่จิ่งเหยาลืมตาที่เจิดจ้าขึ้น สองมือที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกดมือนางไว้ ถังเฉียนเห็นเขาฟื้นขึ้นก็น้ำตาไหล 


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านไม่ตาย” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยามองดูนาง แล้วค่อยๆ ผลักมือนางออกไป มีดสั้นเรียวยาวเล่มนั้นร่วงลงบนพื้น ส่วนนางโผเข้าสู่อ้อมกอดเขา น้ำตาทำให้เสื้อฉู่จิ่งเหยาเปียก 


 


 


“วันหลังเปลี่ยนชื่อหมอผีน้อยเป็นเด็กโง่ดีหรือไม่” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาเกาะตัวนางแล้วหยัดตัวลุกนั่ง ใบหน้าเขายังคงซีดเผือด เขาซ่อนบาดแผลของตนไว้ แล้วล้วงผ้าแพรออกมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้านาง 


 


 


“ท่านอ๋อง ข้า ข้า…” 


 


 


ถังเฉียนอยากอธิบายเรื่อที่เกิดขึ้นทั้งหมดครู่นี้ แต่นางไม่มีโอกาสพูดให้ชัดเจน เพราะเทพมังกรข้างหลังฉู่จิ่งเหยาได้กลิ่นเลือดของถังเฉียนจึงเลื้อยขึ้นมาบนแขนนาง ดูดกินเลือดนางอย่างตะกละตะกลาม 


 


 


“ต้าฝู เจ้าแอบกินอีกแล้ว” 



ตอนที่ 150 เทพมังกรปรากฏกาย 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนอดตำหนิไม่ได้ แต่ครั้งนี้ต้าฝูไม่หยุด มันงับแขนถังเฉียนแล้วเลียกินเลือดอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


“ต้าฝู จะฆ่าข้าหรือ…” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาเห็นสภาพเช่นนี้ ก็ยื่นมือไปคว้าจุดเจ็ดนิ้วบนตัวต้าฝู มันถูกบีบตรงจุดชีพจรชีวิต มันจึงอ้าปากออกทันที แล้วหันมาจะโจมตีฉู่จิ่งเหยา แต่เขาขว้างต้าฝูออกไปแล้ว 


 


 


ระยะนี้สุขภาพถังเฉียนยังไม่ถือว่าดีนัก ครั้งนี้กรีดแขนยังไม่เป็นไร แต่เมื่อครู่ถูกต้าฝูกัดทำให้นางรู้สึกเวียนหัว ร่างโงนเงนเล็กน้อย แล้วมองเห็นตัวต้าฝูเปล่งแสงออกมา จากนั้นก็มุดเข้าไปในพงหญ้า 


 


 


“แย่แล้ว ต้าฝูหนีไปแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนและฉู่จิ่งเหยาจึงลุกขึ้นยืนทันที ถังเฉียนวิ่งออกมาตะโกนบอกอาจารย์ซึ่งอยู่บนแท่นบวงสรวง อาจารย์บอกให้นางตามไปทันที จากนั้นคนชุดขาวซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ปล่อยอินทรีเงินออกไป อินทรีเงินบินวนบนท้องฟ้าแล้วตามต้าฝูเข้าไปในป่าทึบ 


 


 


เมื่อครู่ถังเฉียนเห็นสภาพที่แท่นบวงสรวงบนเขา นอกจากอาจารย์แล้ว หมอผีอื่นๆ ที่มาร่วมพิธีล้วนนอนหมดสติอยู่บนพื้น 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นหรือ” 


 


 


ถังเฉียนไม่กล้าเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า แล้วเห็นถงถงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ข้างๆ รีบวิ่งผละไปจากนางทันที พลางร้องบอกว่า 


 


 


“ตามไปเร็ว เป็นผลงานของเผ่าหมอผีเรา จะปล่อยให้เผ่าอินทรีชิงไปไม่ได้” 


 


 


ถังเฉียนเห็นเจิ้งจยาเฉิงรวมทั้งคนชุดแดงแห่งเผ่าพีส่าวิ่งออกมาจากจุดต่างๆ แล้ววิ่งตามต้าฝูไป นางหันไปมองแท่นพิธีแวบหนึ่ง แล้วตามคนเหล่านั้นไป ต้าฝูนั้นเคลื่อนไหวเร็วมาก หากไม่มีอินทรีเงินพวกเขาคงตามไม่ทันแน่ มันเลื้อยคดเคี้ยวไปมาในป่า แล้วมุ่งไปยังป่าทึบที่เขาด้านหลัง จนเจอบ่อน้ำพุใสใต้ต้นไม้ใบสีเขียวแซมแดง แล้วเลื้อยลงไป 


 


 


“ที่นี่เป็นสระน้ำ ไม่ใช่ทั้งสมุนไพรและไม่ใช่ต้นไม้ แล้วเป็นอะไร เป็นอะไรกันแน่” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์มองสำรวจรอบๆ แล้วพูดขึ้น คนอื่นเริ่มขุดคุ้ยเปลือกไม้และรากหญ้าบริเวณรอบๆ ถังเฉียนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด จึงรู้แล้วว่าเดิมทีล้วนแต่เป็นการเตรียมการกันอย่างลับๆ ไว้แล้ว เพียงแต่นางนึกไปเองว่าทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี 


 


 


“เผ่าหมอผีเราเป็นผู้ค้นพบ พวกเจ้าห้ามวุ่นวายเด็ดขาด” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์กับถังเฉียนมีกันเพียงสองคน คนที่เหลืออยู่บนแท่นบวงสรวง ถังเฉียนเห็นรอบๆ มีคนล้อมวงเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งจยาเฉิงร้องหึแล้วพูดว่า 


 


 


“ตกลงกันล่วงหน้าแล้วว่าเมื่อพบสิ่งที่พวกเจ้าได้มา จวนจินซิงอ๋องก็สามารถใช้ได้ ท่านหมอจะฮุบไว้เองหรือ” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์มองดูเผ่าอินทรีข้างๆ คนพวกนี้สวมชุดขาว สวมเกราะที่ทำจากโซ่เหล็ก เขาคืออิ๋นหลานผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่าอินทรีเงิน เขามองดูสายตาถงถงเอ๋อร์ เดินเข้ามาใกล้ แล้วพูดว่า 


 


 


“เรื่องของเผ่าม้ง เราตัดสินใจกันด้วยตนเอง จวนจินซิวอ๋อง…” 


 


 


“ทุกคนไม่ต้องพูดแล้ว เวลานี้ยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่เทพประทานมาให้เพื่อรักษาไข้ป่า พวกเจ้าแย่งชิงกันจะมีประโยชน์อันใด” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงกับอิ๋นหลานต่างผงะ ข้างหลังมีกลุ่มคนเคลื่อนไหวอยู่ 


 


 


“เวลานี้เราต้องร่วมกันต่อต้านภายนอก ใต้เท้าอิ๋นหลาน ใต้เท้าเจิ้ง เผ่าหมอผีเราวางตัวเป็นกลางตลอดมา อาจารย์กับเหล่าผู้อาวุโสยังอยู่บนแท่นบวงสรวง ทุกอย่างที่นี่ ทางที่ดีรักษาให้คงสภาพเดิมไว้ ท่านอ๋องกับผู้อาวุโสของทุกฝ่ายคงตกลงกันไว้แล้ว เราก็แค่เฝ้าที่นี้ไว้ ทุกท่านมีความเห็นอย่างไร” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 151 สามฝ่ายรักษาสมดุล 


 


 


 


 


 


ถงถงเอ๋อร์คิดอยากจะช่วงชิง แต่ถังเฉียนไม่ยอมให้นางมายืนข้างหน้าได้ 


 


 


“ดี อาหรูน่าเจ้าเป็นฮูหยินผู้บวงสรวงแห่งเผ่าพีส่าในอนาคต เราเผ่าอินทรีเชื่อคำพูดเจ้า” 


 


 


“ใต้เท้าเจิ้งล่ะ” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงมองดูข้างหลังแล้วบอกว่า 


 


 


“ท่านอ๋องสั่งไว้ ทุกอย่างให้ฟังท่านหมอ สิ่งที่ยกเอามาพูดเปิดเผยไม่ได้ เดี๋ยวไม่นานก็จะถูกสะสางจนหมดสิ้น” 


 


 


ถังเฉียนพยักหน้ากับคนทั้งสอง จากนั้นก็หันไปมองดูรอบๆ ถงถงเอ๋อร์พูดว่า 


 


 


“เมื่อครู่หากเราชิงลงมือเลย ต้องเขี่ยคนของจินซิวอ๋องออกไปได้แน่” 


 


 


ถังเฉียนไม่เห็นด้วยกับความคิดของถงถงเอ๋อร์ ที่นี่เผ่าหมอผีไม่ได้อยู่ในสถานะได้เปรียบอย่างชัดเจน หากพวกเขาเป็นฝ่ายทำลายข้อตกลงก่อน ต่อให้พวกเขาเอาชนะเจิ้งจยาเฉิงได้ แต่เผ่าอินทรีเงินก็สามารถทำลายข้อตกลงแล้วหันมาเล่นงานทั้งสองคนได้ แค่หระทบเพียงจุดหนึ่งก็ส่งสามารถผลต่อสถานการณ์ทั้งหมด แรกเริ่มอาจารย์เลือกให้ทั้งสามฝ่ายเข้าร่วม จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำให้เวลานี้มั่นคง ทั้งให้เผ่าอินทรีเงินกับจวนจินซิวอ๋องต่างควบคุมกันเอง 


 


 


ก่อนหน้านี้ถังเฉียนไม่เข้าใจ จนกระทั่งเมื่อครู่นางจึงเข้าใจแล้ว เจตนาที่อาจารย์ให้นางตามมา เพราะที่นี่นอกจากอาจารย์แล้ว มีเพียงนางที่คุมสามฝ่ายไว้ก่อนได้ 


 


 


นางรู้สึกว่าอันตรายมาก ถ้าหากนางไม่ได้ตามมา ถ้านางไม่เข้าใจเจตนาของอาจารย์ บางทีที่นี่อาจกลายเป็นสนามรบไปแล้วก็เป็นได้ 


 


 


“ข้าลองตักน้ำก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์เตรียมลงน้ำ ถังเฉียนคิดว่าไม่ค่อยเหมาะ แต่ถงถงเอ๋อร์รู้สึกว่าเมื่อครู่นางจงใจแย่งการเป็นผู้นำและผลงานไปจากนาง เวลานี้ถ้าถังเฉียนขวางนาง เกรงว่าจะทำให้นางโกรธขึ้นมาจริงๆ 


 


 


“โอ๊ย ไอ้เดรัจฉานตัวนี้บังอาจกัดข้า อยากตายหรืออย่างไร” 


 


 


เสียงหวีดร้องของถงถงเอ๋อร์ทำให้คนรอบข้างหันมา ถังเฉียนรีบยื่นมือออกไปช่วยดึงนาง 


 


 


“ศิษย์พี่ กินยาก่อน พิษของเทพมังกรไม่ใช่เรื่องล้อเล่น” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ผลักมือถังเฉียนออกไป เดินขึ้นมาบนฝั่งเองแล้วพูดว่า 


 


 


“หึ เจ้าไม่ต้องพูดข้าก็รู้ เจ้าไปเอาน้ำมา เดรัจฉานตัวนี้มันคุ้นเคยกับเจ้า” 


 


 


ถังเฉียนเข้าใจความหมายในคำพูดนาง นางพบว่าตนเองดูเหมือนจะฉลาดขึ้นบ้าง มองออกแล้วว่าใครจริงใจ ใครมีเจตนาดี ย่อมแยะแยะความรู้สึกอื่นได้ เช่นความเกลียดชัง 


 


 


“ได้ ศิษย์พี่” 


 


 


ถังเฉียนตักน้ำขึ้นมา แล้วให้คนป่วยไข้ป่าที่พวกเขาเตรียมไว้ดื่มกิน ถงถงเอ๋อร์มองดูการกระทำของนางแล้วมีสายตาดูแคลน 


 


 


“หลายปีมานี้ที่เผ่าม้งเคยมีการใช้น้ำรักษาโรคหรือ นอกจากที่เจ้าใช้เลือดตัวเองกับเลือดของเทพธิดาแล้ว ไม่เคยได้ผล เจ้านี่ช่างไม่ประสีประสาเอาเสียเลย” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์เห็นที่ถังเฉียนทำก็อดตำหนิไม่ได้ แต่นางคิดว่าในเมื่อต้าฝูเลื้อยลงไปในน้ำ น้ำในสระเป็นสิ่งที่เห็นได้โดยตรง เหตุใดจึงไม่ลองดูเล่า 


 


 


ถังเฉียนได้ยินที่นางพูดแต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นางกรีดปลายนิ้วแล้วจุ่มลงไปในสระน้ำ กวนน้ำเบาๆ มีคลื่นน้ำกระเพื่อมขึ้น ริ้วคลื่นกระจายออกไป ห่างออกไปดูเหมือนมีบางอย่างกำลังเคลื่อนเข้ามา 


 


 


“ต้าฝู?” ถังเฉียนเห็นต้าฝูค่อยๆ เลื้อยมาหานาง นางลูบหัวมันเบาๆ ต้าฝูขยับเข้ามาใกล้มือถังเฉียนอย่างเชื่อง แล้วเลื้อยขึ้นพันแขนนาง ผละไปจากสระน้ำพร้อมนาง 


 


 


“มันสนิทกับเจ้าจริงนะ” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์นึกอิจฉา แต่ก็ไม่ได้กระทบที่ต้าฝูใกล้ชิดกับนาง 


 


 


เถิงเสวี่ยมาจากแท่นบวงสรวง แล้วออกคำสั่งทันทีให้นำน้ำในบ่อไปให้คนป่วยไข้ป่าเจ็ดคนลองดื่ม ถังเฉียนยังไม่ทันพูด ถงถงเอ๋อร์พูดขึ้นว่า 


 


 


“อาจารย์ ข้ารวบรวมสมุนไพรแถวนี้ทั้งหมดแล้ว ท่านลองดูว่าชนิดไหนที่เราใช้ประโยชน์ได้ ผู้อาวุโสเผ่าอินทรีเงินบอกว่านี่เป็นสมุนไพรที่เทพมังกรผ่านเป็นที่แรกสุดและหยุดอยู่นาน…” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม