สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 13-19
บทที่ 13 พวกเราต่างอ่อนแอเหมือนกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
นิคิตะรู้จักอันทอนก็เมื่อไม่กี่วันนี้เอง แต่อาจด้วยผ่านอันตรายมาด้วยกัน และยิ่งตอนนี้มาลงเรือลำเดียวกันแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างว่า อันทอนทำให้เขารู้สึกว่าระบายความในใจบางอย่างออกมาได้
ใครจะรู้ล่ะ?
บางทีเขาก็แค่มีเรื่องในใจอยากพูดออกมาเท่านั้น ตอนนี้ก็คล้ายๆ กับเมื่อสิบสองปีก่อน
“โอเล็กเป็นคนแข็งแกร่งมาตั้งนานแล้ว ต้องบอกว่าเขาเป็นลูกรักของพระเจ้าเลยละ เขาฉลาด เขาแข็งแกร่ง และเขาได้รับความรักจากคามาลาผู้งดงามที่สุด… หึๆ” พอนิคิตะพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ความจริงแล้วผมก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่อิจฉาโอเล็ก แต่สิ่งที่ผมไม่เหมือนกับคนอื่นก็คือผมอวยพรพวกเขาทั้งสองจากใจจริง”
อย่างน้อยอันทอน…อันโตนิโอที่อยู่อีกด้านของประตูซึ่งเคยฟังเรื่องคามาลาแม่ของเขาจากปากของโอเล็กมาบ้าง ก็รู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
สงบเหมือนช่วงก่อนนอน ท่าทางเหมือนกำลังฟังเรื่องราวของญาติพี่น้องอยู่บนเตียงแล้วค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
“ทำไมแม่…คุณคามาลาถึงได้ชอบคุณโอเล็กล่ะครับ?” อันทอนถามเบาๆ
นิคิตะคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “น่าจะเป็นคุณธรรมของเขาที่มีมาตั้งแต่เกิด เชื่อผมเถอะ ความจริงแล้วสมัยนั้นโอเล็กเป็นคนที่ทำให้ทุกคนรู้สึกละอายใจได้ มีครั้งหนึ่งนี่แหละมั้ง? เพื่อนบ้านของเราถูกอันธพาลสามสี่คนก่อกวน ตอนที่เรากำลังปรึกษากันว่าควรจะเลี่ยงความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นอย่างไรกันดี โอเล็กกลับชกอันธพาลสามสี่คนนี้จนเละ… ตอนนี้ลองนึกดูแล้ว โอเล็กดูแลคนในหมู่บ้านจำนวนนับไม่ถ้วนเลยจริงๆ …เพียงแต่ จำนวนที่ไม่อาจประมาณได้นี้แหละกลับเป็นเรื่องน่าตลกขบขัน”
“เพราะอะไรล่ะครับ?”
“ท้ายที่สุดแล้ว พอคนพวกนั้นที่คุณเคยช่วยเหลือแว้งมากัดคุณ คุณจะยังรู้สึกภูมิใจที่เคยช่วยพวกนั้นอีกไหม?” นิคิตะพูดเสียงเย็นชาปนเคียดแค้นว่า “ทั้งที่คนพวกนั้นเคยพูดขอบคุณต่อหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับมาบอกขอโทษคุณ แล้วก็ทำร้ายคุณโดยไม่ลังเล…โอ้ อันทอนที่รัก เชื่อผมเถอะ นั่นเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดและน่ารังเกียจที่สุดมากว่าที่คุณจะจิตนาการได้เลย แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจเลี่ยงได้เหมือนกัน”
อันโตนิโอขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจสิ่งที่นิคิตะพูดเลยจริงๆ เขาได้แต่ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ?”
นิคิตะถอนหายใจแล้วบอกว่า “หมู่บ้านของเรา ส่วนใหญ่แล้วทำเหมืองแร่เลี้ยงชีพ…รู้หรือเปล่า ในบริเวณเขตเหมืองแร่นั่น คุณไม่มีทางจินตนาการความอยุติธรรมและความโหดร้ายที่เกิดขึ้นได้เลย การขูดรีดจากเบื้องบน ยังมีการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคนงานในเหมืองอีก หลายปีมานี้ เรื่องพวกนี้กลายเป็นเหตุการณ์ปกติธรรมดา ส่วนโลกภายนอกจะเป็นยังไง สำหรับพวกเราที่เติบโตอยู่ที่นั่นตั้งแต่เด็กๆ ไม่อาจรู้ได้เลย สิ่งเดียวที่พวกเรารู้ก็มีแค่หมู่บ้านในเหมืองแห่งนี้ หมัดของใครใหญ่สุด คนนั้นก็เป็นผู้กุมชะตา เป็นผู้ปกครอง”
นิคิตะส่ายหน้า ถอนหายใจพลางพูดว่า “แต่โอเล็กเป็นคนมีคุณธรรมมาตั้งแต่เกิด เขาต่อต้านการใช้ชีวิตที่เสื่อมโทรมไปถึงจิตวิญญาณแบบนี้ เขารังเกียจการขูดรีดในเหมืองเข้ากระดูกดำ เขาคิดจะปกป้องผู้คน กระทั่งคิดว่าขอเพียงทุกคนสามัคคีกัน ก็จะไม่มีใครรังแกพวกเราได้อีก เขาก็เลยเริ่มลงมือ”
“ตอนแรก เพราะความช่วยเหลือที่มีมาตลอดของโอเล็ก รวมทั้งชื่อเสียงและความนิยมของเขาที่อยู่ในใจของผู้คน ก็ปลุกระดมผู้คนที่ยินดีจะต่อต้านได้ไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเราต่อต้านการทำงานนอกเวลาโดยไร้เหตุผล พวกเราเรียกร้องวันหยุดพักผ่อนที่มากขึ้น พวกเราเรียกร้องอาหารที่ดีขึ้นกว่าเดิม พวกเราถึงกับเริ่มหยุดงานประท้วง ตอนสุดท้าย โอเล็กก็ซัดพวกหัวโจกน่วมไปหลายคน”
นิคิตะพูดนึกย้อนอดีตว่า “นึกแล้วหลายสิบปีมานี้ ตอนนั้นหมู่บ้านอยู่ในช่วงมีความหวังมากที่สุด และพวกเราก็มองโอเล็กเป็นฮีโร่ แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวเหลิงได้ใจเลย แต่กลับรักษาความหวังที่ได้มายากนี้สุดความสามารถ เพียงแต่…”
เสียงของนิคิตะพลันเศร้ารันทด “โอเล็กลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะแข็งแกร่งและกล้าหาญ รวมทั้งคุณธรรมที่สำคัญยิ่งเหมือนอย่างเขาได้น่ะรู้ไหม? แต่ไหนแต่ไรความมืดมิดในเหมืองไม่เคยถูกกำจัดให้จางหายไปเลย มันแค่ซ่อนตัวอยู่เท่านั้น ใช่แล้ว ก็เหมือนงูพิษนั่นแหละ นอนจำศีลอย่างระมัดระวังในความมืดที่แสงสว่างส่องไม่ถึง รอคอยจังหวะและโอกาสลงมืออยู่เงียบๆ”
“ทีแรกเป็นใครกันแน่ ผมก็ลืมไปแล้ว ผมจำได้แค่ว่าตอนฟ้าสางวันนั้น ขณะที่พวกเราเตรียมตัวไปทำงานตามปกติ มีคนพบคนงานเหมืองคนหนึ่งล้มอยู่บนพื้นในบ้านตนเอง มือซ้ายของเขาถูกตัดขาดอย่างโหดร้าย ตอนที่พวกเราเจอตัวเขา มือซ้ายของเขาก็ไม่มีเลือดออกแล้ว…เพราะว่ามือซ้ายของเขาถูกความร้อนจี้ปิดแผลบริเวณที่เลือดไหลไว้แล้ว และมือที่เขาถูกตัดกลับถูกโยนทิ้งไว้ริมกำแพง ส่วนบนกำแพงนั้นกลับใช้เลือดจากมือนั่นเขียนบางอย่าง ‘ห้ามต่อต้าน’ ”
นิคิตะฝืนยิ้มพลางพูดว่า “การตอบโต้ของคนพวกนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้พวกเราตอบโต้อะไรไม่ได้เลย รู้อะไรไหม พวกเรากับพวกเขามีสิ่งที่ไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นอันธพาล เป็นเหมือนปีศาจร้ายอย่างแท้จริง อันธพาลที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น! ทุกๆ วันพวกเราจะได้ยินว่าบ้านในหมู่บ้านถูกก่อกวนตอนกลางคืน และยังมีบ้านของครอบครัวไหนถูกลอบวางเพลิงอีก หรือบางทีใครถูกทำร้ายบนถนนจนเนื้อตัวมีบาดแผลเต็มไปหมด”
นิคิตะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่ว่าโอเล็กจะพูดเกลี้ยกล่อมทุกคนยังไงก็ไม่อาจหยุดความหวาดกลัวที่ลุกลามนี้ได้ แต่พวกเรายังมีคนจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนอยู่ตลอด แต่จนกระทั่งถึงวันนั้น…”
“คนพวกนั้นบอกว่า ขอเพียงส่งตัวโอเล็กมา ขอเพียงทุกคนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ก็จะไม่มีการทำร้ายอีก พวกเขาถึงขนาดให้คำมั่นว่า ขอเพียงนำตัวก่อเรื่องอย่างโอเล็กออกมาก็จะเปลี่ยนการทำงานให้ดีขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะทำให้เรื่องร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม”
“หา!” อันทอนเผลอร้องตกใจเบาๆ เขาพลันรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบ “แล้ว แล้วหลังจากนั้น…”
“ขอโทษนะ พวกเราก็ไม่อยากทำ แต่ในบ้านของผมยังมีคนแก่และเด็กที่ต้องดูแล”
“ขอโทษนะ…พวกเขาบอกว่า ขอแค่ ขอแค่คุณยอมจำนนก็จะปล่อยพวกเราไปน่ะ”
“ขอโทษนะ…โอเล็ก ขอร้องคุณล่ะ ตลอดเวลามานี้ คุณช่วยพวกเรามาตลอด ครั้งนี้ ครั้งนี้ก็ขอให้คุณช่วยพวกเราด้วยเถอะ พวกเขาบอกว่าจะยกเลิกหนี้พนันให้ผม ไม่อย่างนั้น…ผมคงได้แต่ตายสถานเดียว”
“ขอโทษนะ โอเล็ก ขอโทษจริงๆ… แต่ว่า แต่ว่าพวกเราไม่มีทางเลือก”
“พวกเรา…พวกเราไม่เคยขอร้องให้คุณทำเรื่องพวกนี้ หรือทำมากมายขนาดนี้ นี่…นี่ก็เพื่อความพอใจของตัวคุณเองเท่านั้น!”
นิคิตะยิ้มเย้ยหยันพลางพูดว่า “นั่นเป็นคำขอโทษที่เยอะที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาชั่วชีวิตเลย ผมรู้ว่าพวกเขาเองก็เข้าใจดีว่าตัวเองทำไปเพื่ออะไรกันแน่! ถ้าโอเล็กเป็นเหมือนธงแห่งความหวัง ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็กำลังทำลายมันด้วยน้ำมือตนเอง! หลังจากนั้นก็แสดงว่าพวกเขายินดีถูกรังแกต่อไป แต่พวกเขากลับจำต้องทำแบบนี้ ใครไม่เห็นแก่ตัวบ้างล่ะ? ใครไม่อยากปกป้องครอบครัวตตัวเองบ้างล่ะ? ที่จริงคนพวกนั้นรู้จักจุดอ่อนของพวกเราเป็นอย่างดีเลยล่ะ!”
“พวกเขา…ทำเกินไปแล้วนะ!” อันทอนกัดฟันกรอด
นิคิตะไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้ต่อ แต่กลับพูดอย่างรวดเร็วว่า “โอเล็กถูกยั่วโมโหถึงขีดสุด เขาพุ่งออกมาจากวงล้อมของพวกชาวบ้าน แล้วออกจากหมู่บ้านมา ตอนที่เขาออกมา สิ่งที่พวกเรามองเห็นก็แค่ร่างกายที่อาบด้วยเลือดทั้งตัว…หลังจากเขาเห็นชาวบ้านยืนขวางเขาพร้อมอาวุธในมือ หัวใจของเขาคงตายด้านไปแล้ว”
นิคิตะเปิดประตูแล้ว กำลังดึงกางเกงเดินออกมา “หลังจากวันนั้น โอเล็กก็พาคามาลาหนีไป ผมคิดว่าไม่มีอะไรน่าสนุก ก็เลยออกมาพร้อมกับโอเล็ก ไปใช้ชีวิตที่อื่น พวกเราใช้ชีวิตสงบสุขมาหลายปีเลยล่ะมั้ง? โอเล็กกับคามาลาก็มีลูกด้วยกัน”
“แต่คามาลายังมาตายไปอีก” นิคิตะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดว่า “ดูเหมือนจะตายจากอุบัติเหตุรถยนต์ แต่ความเป็นจริงแล้วเธอตายเพราะมีคนตามมาแก้แค้น ถึงแม้ว่าพวกเราหนีออกมาจากหมู่บ้านแล้ว แต่คนพวกนั้นไม่เคยคิดจะปล่อยพวกเราไปเลย”
นิคิตะส่ายหน้า ล้างหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลังจากคามาลาตายไป โอเล็กก็เปลี่ยนไปไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิม เขาก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเขาหวาดกลัว หวาดกลัวว่าการต่อต้านในวันนั้นจะส่งผลมาถึงลูกชายคนเดียวของเขากับคามาลา ก็เหมือนกับชาวบ้านพวกนั้นที่เคยขอโทษเขา และลงมือจัดการกับเขาด้วยน้ำมือตนเอง”
นิคิตะพูดด้วยความจงเกลียดจงชังว่า “หลังจากคนพวกนี้ฆ่าคามาลาแล้วก็ไม่ได้ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับโอเล็กอีกต่อไป ผมเข้าใจความคิดของพวกเขา!พวกเขาต้องการให้โอเล็กใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต ให้เขาเลิกคิดต่อต้านอีก เพราะการจะฆ่าสักคนหนึ่งให้ตายเป็นเรื่องง่ายดายมากจริงๆ แต่การฆ่าจิตใจคนหนึ่งให้ตายไป…ถึงจะเป็นการแก้แค้นที่ดีที่สุด”
เขาหันกลับไปมองอันทอนที่นั่งอยู่บนพื้น เขาอยากรู้อะไรบางอย่างแต่ไม่ได้ถามอะไร แล้วก็ถอนหายใจพูดว่า “อันทอน จำไว้นะ ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ถึงยังไงพละกำลังของคนคนเดียวก็เป็นแค่พละกำลังของคนคนเดียวเท่านั้น คุณธรรมของคนคนเดียวก็เป็นแค่ของคนคนเดียว พวกมันอ่อนแอเกินไปและพึ่งพิงไม่ได้ เพราะพึ่งพิงไม่ได้และอ่อนแอแบบนี้ ชายกล้าหาญดุจสิงโตจึงยินยอมกลายเป็นแมวป่วยๆ ตัวหนึ่งเพื่อลูกชายของเขา สำหรับการรังแกก็เป็นแค่การเลือกเผชิญสภาพที่เลวร้ายเท่านั้น”
“นี่ก็คือสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับโอเล็ก” นิคิตะยิ้มแล้วพูดกับตนเอง “นี่ดูเป็นเรื่องของใครหลายคนเลยสินะ? พวกเราอ่อนแอเหมือนกันทั้งนั้น ก็เลยได้แต่เลือกเมินเฉย พวกเราคาดหวังการปรากฏตัวของฮีโร่ แต่ก็ทำลายฮีโร่ด้วยน้ำมือตนเองเหมือนกัน พวกเราจิตนาการว่าตัวเองเป็นฮีโร่ ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม กำจัดคนชั่วทั้งหลาย และทำเรื่องที่ผู้คนทำไม่ได้…แต่กลับไม่เคยคิดจะยอมรับความเศร้าโศกของฮีโร่บ้างเลย”
บทที่ 14 แค่ตอนนั้นยังเด็กอยู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เตรียมพร้อมหรือยัง? ถ้าเตรียมพร้อมแล้ว ตอนนี้ฉันจะส่งพวกนายไปสถานีขนส่งก่อน”
โอเล็กมองนิคิตะกับอันทอนเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาเดินมาตรงหน้าคนทั้งสอง แล้วยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือนิคิตะ “หลังจากนายอยู่ดีมีสุขแล้วก็บอกฉันด้วย ถ้ามีเวลาฉันจะกลับไปหานาย”
“รู้แล้ว!แต่ว่านายก็ต้องระวังตัวเหมือนกันนะ” นิคิตะเป็นคนตรงไปตรงมามากคนหนึ่ง เขารู้ว่าตนเองอยู่ไปก็เป็นภาระ ไม่สู้ไปเสียดีกว่า จะได้ทำให้โอเล็กหายห่วงไปบ้าง
“งั้นก็รีบไปเถอะ อย่ามัวเสียเวลาเลย” โอเล็กชี้นำ หลังจากนั้นก็มองอันทอนแวบหนึ่ง พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ขอโทษนะ ครั้งนี้นิคิตะทำให้คุณลำบากแล้ว แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่โลภไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“เฮ้! พี่ชาย!นี่คือกำลังชมฉันอยู่ใช่ไหม?”
โอเล็กยิ้มไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กอดนิคิตะครั้งหนึ่งเท่านั้น
อันทอนกลับพูดว่า “ผมไม่ไป”
สองคนขมวดคิ้วมองเจ้าเด็กหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีคนนี้พร้อมกัน โอเล็กมองดวงตาใสซื่อของเด็กหนุ่มคนนี้ ใสบริสุทธิ์จนอ่านความคิดของเขาได้ง่ายดายมาก
เขาอดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “คุณไม่ไป? หรือว่าคุณคิดจะกลับไปจัดการแอนดริว?”
อันทอนสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ พูดเสียงเข้มว่า “ผมไม่อยากเป็นคนขี้ขลาด! แล้วก็ไม่อยากถูกรังแกแบบนี้!พวกนี้เป็นคนเลว ทำไมพวกเราต้องกลัวพวกเขาด้วย!พวกเราจะต่อต้าน! มีเพียงการต่อต้านเท่านั้นถึงจะไม่โดนรังแก!”
โอเล็กขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้หลบสายตาใสซื่ออันคุ้นเคยคู่นี้ แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “เรื่องพวกนี้ รอให้คุณโตอีกหน่อย ค่อยมาคิดทบทวนดูอีกทีแล้วกัน”
“ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
โอเล็กส่ายหน้า “ไม่ คุณยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง”
ช่วงวินาทีที่อันทอนกำลังคิดจะโต้เถียง ประตูของบริษัทขนส่งแห่งนี้กลับถูกอะไรบางอย่างกระแทกเปิดออกอย่างแรง ตอนที่บานประตูกระแทกไปบนกำแพงอย่างจังก็เผยให้เห็นคนคนหนึ่ง
คนที่เคยเห็นในห้องหนังสือของแอนดริว…ผู้ช่วยของแอนดริว
“โอ้! ทุกท่าน ไม่นึกว่าพวกเราจะได้พบกันอีก เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ!”
…
“บอส! พวกเราจับตัวพวกนิคิตะกลับมาแล้วครับ”
แอนดริวผู้มีแววตาข่มขวัญ นิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่ในห้องทำงาน เขาอดตะลึงงันไม่ได้ แน่นอนว่าที่ที่พวกเขาอยู่ไม่ใช่ห้องหนังสือที่ถูกทำลายไปแล้ว แต่อยู่ห้องข้างๆ ที่ใช้ชั่วคราว
“โอ้? ไวขนาดนี้เลย?”
“ครับ บอส” ผู้ช่วยตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “อาจด้วยลูกน้องกระจายข่าวเพื่อหาเบาะแส ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้ผล แต่กลับใช้ได้ผลครับ ไม่ทันไรก็มีคนแจ้งข่าวให้รู้ พวกเราจึงรีบพาคนไปทันที พี่น้องเราหลายคนถูกทำร้ายบาดเจ็บ แต่สุดท้ายก็ยังจับตัวพวกเขามาได้ครับ”
ใบหน้าของผู้ช่วยยังมีรอยเลือดรอยฟกช้ำ ริมฝีปากก็ซีดขาว “ที่น่าพอใจก็คือ นิคิตะที่พวกเขาพามาเป็นแค่ภาระเท่านั้น ด้วยมีภาระเพิ่มมาคนหนึ่ง โอเล็กและอันทอนจึงเลิกขัดขืนครับ”
ตอนนี้ผู้ช่วยเดินมาข้างๆ แอนดริว แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “พวกเรายิงไปสามสี่นัด…เจ้าสองคนนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ครับ”
แอนดริวพยักหน้า “นั่นมันแค่เรื่องเล็ก ยัดเงินให้พวกโง่นั่นก็เรียบร้อย สิ่งสำคัญคือจับตัวสองคนนั้นมาอยู่ในกำมือได้แล้ว…ดูโอเล็กและอันทอนไว้ให้ดี โดยเฉพาะอันทอน หมอนี่มีพลังเทพมาแต่เกิด!”
“ผมฉีดยาสลบให้พวกมันไปแล้วครับ ต่อให้เป็นช้างก็ยืนขึ้นไม่ไหว!”
“ทำดีมาก” แอนดริวยิ้มอย่างพอใจ
ต้องดีใจแน่นอนอยู่แล้ว หลังจากผ่านสงครามในห้องหนังสือมา เขาก็หวาดหวั่นกับความแข็งแกร่งของอันทอนเหลือเกิน!
สิ่งที่ต้องคิดในลำดับต่อไปก็คือจะสั่งสอนให้อันทอนอยู่ในอำนาจตนเองอย่างไรดี แน่นอนว่าโอเล็กซึ่งอายุค่อนข้างมากก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ถ้าฝึกฝนเจ้าดีๆ คงเทียบได้กับสุดยอดนักมวยเลยทีเดียว
แอนดริวที่โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก พลันจุดซิการ์มวนหนึ่งอย่างสบายใจ แล้วหรี่ตาพูดว่า “จริงสิ เรื่องที่ฉันให้แกตรวจสอบคุณเค ได้อะไรบ้างไหม?”
ฉับพลันนั้นผู้ช่วยก็พูดด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยว่า “บอสครับ ขอโทษด้วยครับ พวกเราหาข้อมูลของคุณเคไม่ได้เลยสักนิดเดียวครับ…อีกอย่าง ตอนที่เขาเล่นไพ่แบล็กแจ็กยี่สิบเอ็ดแต้ม ภาพในกล้องวงจรปิดทั้งหมดที่พวกเรามีไม่อาจจับภาพลักษณะคุณเคคนนี้ไว้ได้เลยครับ”
“อะไรนะ?” แอนดริวอึ้งตะลึง “จับภาพไม่ได้หมายความว่ายังไง?”
ผู้ช่วยรีบพูดว่า “ตอนที่เขาอยู่ที่บ่อน พวกเรามองเห็นลักษณะของคุณเคได้ชัดเจนมากผ่านวิดีโอกล้องวงจรปิด และผมก็รับประกันได้เลยว่า ไม่มีใครแตะต้องกล้องวงจรปิดเลยสักนิดเดียว แต่ที่น่าแปลกก็คือ พอเปิดดูอีกครั้ง ภาพคุณเคในจอก็กลายเป็นภาพมัวๆ ไม่ชัดเจน…”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” แอนดริวขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
จู่ๆ เขาก็นึกถึงชิปอันนั้น…หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้ว แอนดริวถึงได้พูดช้าๆ ว่า “หยุดสืบเรื่องหมอนั่นก่อน ถ้าเขาอยากจะซื้อนักมวยจากฉันจริงๆ เขาจะต้องมาปรากฏตัวอีกแน่”
…
…
หลังจากจัดวางโซฟาที่ถูกพลิกคว่ำใหม่แล้ว ลั่วชิวก็นั่งลง
ที่นี่เป็นอะพาร์ตเมนต์ที่เช่าได้ด้วยเงินชนะการแข่งมวยของอันทอน ซึ่งของส่วนใหญ่ได้ติดมากับอะพาร์ตเมนต์นี้อยู่แล้ว
คุณสาวใช้มองไปนอกหน้าต่าง แล้วกลับมาอยู่ข้างๆ ลั่วชิว พูดเสียงแผ่วเบาว่า “นายท่านคะ หมากที่ใช้มาส่งข่าวกลับมาแล้วค่ะ ดูท่าทางดีใจมากเลยนะคะ น่าจะได้รางวัลมาล่ะมั้งคะ”
“งั้นก็แปลว่า พวกโอเล็กถูกจับกลับมาแล้วสินะ” ลั่วชิวเปิดสมุดปกอ่อนเล่มหนึ่ง อ่านไปพลางพูดว่า “ตอนที่อยู่ในบ่อน สองพ่อลูกนี่ถูกจับมาพร้อมกันก็ดี…แต่ในเมื่อหนีออกมาแล้วก็ช่างเถอะ ไม่ได้เสียเวลาอะไร”
“ฉันจะไปเตรียมการสักครู่ค่ะ เรื่องที่จะพบแอนดริวพรุ่งนี้ ให้เขาเตรียมตัวสักหน่อยแล้วกันค่ะ”
ลั่วชิวกลับส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่ต้องหรอก รออีกสักวันเถอะ…ผมหวังว่า พ่อของผมจะเป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง”
โยวเย่เอียงหัว เส้นผมยาวสลวยย้อยตกที่แก้มข้างซ้ายของลั่วชิว
“ตอนที่อันโตนิโอหนีออกจากบ้าน เขาก็พกบันทึกประจำวันติดกระเป๋าเป้มาอย่างดี” ลั่วชิวเปิดหน้าแรก อ่านเสียงเบาไปเรื่อยๆ
อ่านเปล่งเสียงออกมา
“แต่พ่อเป็นคนไม่ดี! เขาลืมไปแล้วจริงๆ ด้วยว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม!”
“วันนี้ ผมทะเลาะกับแคชมา แคชไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม แต่เขาเรียกพ่อของเขามา แล้วพ่อก็มาด้วย พ่อไม่ได้ถามผมว่าทำไมถึงทะเลาะกัน แล้วพ่อก็เอาแต่ขอโทษแคชกับพ่อของเขา! เห็นชัดๆ ว่าแคชหาเรื่องผมก่อน เห็นชัดๆ ว่าพ่อตัวสูงใหญ่กว่าพ่อของแคช ทำไมต้องขอโทษด้วย? ผมไม่เข้าใจเลย หรือว่าที่เพื่อนร่วมห้องบอกว่าพ่อเป็นคนขี้ขลาด เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?”
“วันนี้อานิคิตะบอกกับผมว่า พ่อเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากคนหนึ่ง ผมถามคุณอาว่ายิ่งใหญ่ตรงไหน คุณอายิ้มมองผมแล้วพูดว่า พ่อยอมโดดงานมาดูแลผม หรือว่ายังไม่ถือว่ายิ่งใหญ่พอเหรอ?”
“ผมเห็นแล้ว! วันนี้ผมเห็นแล้ว! ผมจำได้แม่น! ผมเห็นพ่อคุกเข่าให้เขา! ผมเห็นคนนั้นเทเหล้ารดหัวพ่อด้วย! ผมรู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นอันธพาล เพราะเคยได้ยินพวกน้าแคทเธอรีนพูดไว้! โอ้ว! สวรรค์ พ่อของผมกำลังคุกเข่าให้อันธพาล! ผมดูผิดไปงั้นเหรอ? ผมไม่เชื่อ! นี่ไม่ใช่ความจริง! พ่อของผมเป็นคนขี้ขลาดจริงๆ เหรอ?”
“ผมไม่อยากถูกรังแก! ผมอยากเป็นผู้ใหญ่!ผมจะจัดการเก็บกวาดคนที่รังแกผมให้หมด!”
“ปีใหม่ พ่อยังทำงานนอกเวลา ผมกินข้าวอยู่บ้านคนเดียว ไม่อร่อยเลย”
“ผมคิดถึงแม่ แต่ผมลืมไปแล้วว่าแม่หน้าตาเป็นยังไง ผมได้แต่ดูรูปของแม่เท่านั้น”
“ผมเห็นอันธพาลคนนั้นที่รังแกพ่อ! ครั้งนี้เขากำลังรังแกคุณปู่ของแคลคาเช่! น่ารังเกียจเหลือเกิน ผมก็เลยปั้นดินเหนียวมาก้อนหนึ่งแล้วเขวี้ยงไปที่เขา!แต่ผมวิ่งหนีไม่พ้น ผมก็เลยถูกจับมาฟาดไปชุดหนึ่ง ตอนเย็นพ่อเรียกผมกินข้าว ผมได้แต่บอกว่าไม่หิว เจ็บชะมัดเลย! ผมอยากจะรีบโตไวๆ!”
…
“ผมอยากเป็นผู้ใหญ่! ผมอยากเป็นผู้ใหญ่! ผมอยากปกป้องพ่อผม ผมอยากปกป้องอานิคิตะ! ผมอยากตัวโต! ผมอยากไปจากบ้านหลังนี้ พิสูจน์ว่าผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว! พ่อครับ ลาก่อน! ผมจะสร้างฐานทัพที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง ฝึกฝนอย่างหนักที่นั่น แล้วจะกลับมา!”
…
ลั่วชิวพลิกอ่านบันทึกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว
เขาอ่านจนกระทั่งจบถึงได้หยุด แล้วคุณสาวใช้ก็วางน้ำแก้วหนึ่งตรงหน้าลั่วชิว
ตอนนี้จู่ๆ ลั่วชิวก็พูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “น่าจะเป็นตอนอายุเจ็ดแปดขวบล่ะมั้ง? ฉันก็เคยคิดอยากโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน ต่อมาพอโตขึ้นจริงๆ แล้ว ตอนอายุสิบหกสิบเจ็ดได้มั้ง ก็รู้สึกว่าความคิดตอนนั้นช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน จนถึงขนาดเคยเกลียดเด็กไปช่วงหนึ่งเลย”
ลั่วชิวกะพริบตาพูดว่า “โดยเฉพาะเด็กดื้อ…แต่เห็นชัดๆ ว่าเทียบกับเด็กดื้อแล้ว เด็กอายุสิบหกสิบเจ็ดปี หรือโตกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ที่เรียกว่าโตเป็นผู้ใหญ่ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นกันสักเท่าไรหรอก”
ลั่วชิวส่ายหน้า ยิ้มเยาะตนเองพลางพูดว่า “นึกว่าอ่านหนังสือมากแล้ว ฟังเหตุผลที่เหมือนจะถูกต้องมาเยอะ บางทีผ่านเรื่องที่ไม่เคยเจอในช่วงวัยนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว แต่พอเผชิญหน้ากับปัญหาก็เหมือนเด็กนั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี พอคิดว่าตัวเองจัดการปัญหาดีมากแล้ว ก็จะพบช่องโหว่นับร้อยเสมอ ต่อมาฉันถึงได้เข้าใจ นั่นไม่ได้เรียกว่าโตแล้ว แต่แค่รู้เรื่องเท่านั้น…ที่เกลียดความไร้เดียงสาของเด็กดื้อ น่าจะเป็นเพราะฉันเกลียดความไร้เดียงสาของตนเอง”
ลั่วชิวมองดูน้ำใสๆ ไร้ระลอกคลื่นในแก้ว พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แต่เห็นชัดๆ ว่า สิ่งที่ตัวเองต้องการในวัยเด็ก ถึงโตแล้วก็ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้เลย”
สำหรับลั่วชิวแล้ว คุณสาวใช้เป็นผู้ฟังที่ดีมากคนหนึ่ง
เธอจะไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ และจะไม่พูดจาโน้มน้าวอะไร… บางทีด้วยเธอเป็นผู้คอยติดตามแบบนี้ถึงรู้สึกอิสระยิ่งขึ้น
ถึงกับรู้สึกชอบเลยล่ะมั้ง?
ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “คืนนี้ฉันขอหัวสิงห์ซอสน้ำแดง* ได้ไหม?”
“ได้ค่ะ ฉันจะรีบไปเตรียมวัตถุดิบ”
…
…
“บอส!คุณเคมาแล้วครับ! และยังอยู่ที่โต๊ะไพ่แบล็กแจ็กวันนั้นด้วยครับ!” ผู้ช่วยวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อนพร้อมพูดไม่ขาดปาก “แต่คราวนี้ คุณเคลงเล่นตาแรกด้วยเงินยี่สิบล้านรูเบิล…”
แอนดริวตกใจจนสะดุ้งโหยงทันที
เขาหวนนึกถึงความน่ากลัวและความอัปยศอดสูที่อีกฝ่ายชนะติดต่อกันหลายสิบตา!
เขาอดปลอบใจตนเองไม่ได้ ยังดีที่วันนั้นแค่เล่นๆ
แต่วันนี้ตาแรกก็ลงยี่สิบล้านรูเบิล… นี่ทำให้เขาล้มละลายได้ในเสี้ยววินาทีเลย!
“เร็ว! รีบเชิญเขามาที่ห้องวีไอพี! เร็ว!!!!”
*หัวสิงห์ซอสน้ำแดง เป็นอาหารจีนที่ปั้นหมูสับผสมขิงสับ ต้นหอมสับ พริกไทย ซีอิ๋วเป็นก้อนกลม ทอดจนเหลือง แล้วนำไปผัดกับซอสน้ำแดง
บทที่ 15 พ่อลูกและการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
โดย
Ink Stone_Fantasy
แน่นอนว่า เมื่อกี้นี้แอนดริวไม่ได้กลัวว่าจะมีคนมาสร้างความวุ่นวายที่บ่อนพนันของตัวเองเลยจริงๆ เพราะอีกฝ่ายมีแค่สองคนเท่านั้น!
ถ้าคุณเคกล้าทำแบบนี้จริงๆ ล่ะก็ ถึงแม้จะเป็นคนใหญ่คนโตค้ำฟ้า แอนดริวก็ไม่คิดจะให้เขาเดินเข้าประตูบ่อนพนันแห่งนี้ได้ง่ายดายแบบนี้หรอก
แต่เขาค่อนข้างหวาดกลัวไปบ้างเท่านั้นเอง
ทั้งกลัวคุณเคที่ลึกลับคนนี้ ทั้งกลัวเรื่องที่เขามีตั๋วเข้าสนามการแข่ง ‘โกลด์รัช’ ถ้าบอกว่าสองคนนั้นเดินเข้ามาด้วยท่าทางโอ้อวดโดยที่ไม่มีทักษะพิเศษก็คงไม่มีใครเชื่อ
“คุณแอนดริวครับ นี่คือนักมวยที่ดีที่สุดในสังเวียนมวยคุณแล้วเหรอครับ?”
ลั่วชิวมองดูนักมวยคนหนึ่งที่มีกล้ามเนื้อกำยำล่ำสันอยู่หลังกระจกบานใหญ่ที่กั้นแบ่งเป็นห้อง เขาส่ายหน้าอย่างไม่คิดปิดบังเลย แม้ว่านักมวยที่อยู่ด้านในจะกำลังแสดงความเก่งกาจของเขาอย่างสุดความสามารถก็ตาม
“ทำไมครับ หรือว่าคุณเคไม่พอใจเหรอครับ?” แอนดริวยิ้มแล้วพูดว่า “เขาเคยรับราชการในกองทัพมาก่อน ในนักมวยที่ฝึกฝนด้วยเงื่อนไขระดับเดียวกัน ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจะต้องเหนือชั้นกว่าคนอื่นแน่นอน”
ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้านี่คือนักมวยดีที่สุดที่คุณแอนดริวหาได้แล้วล่ะก็ ผมว่าพวกเราก็ไม่ต้องคุยกันแล้วครับ”
เจ้าของสมาคมหันตัวกลับมาพยักหน้าเล็กน้อยอย่างสุภาพให้แอนดริว “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“กรุณารอสักครู่ครับ” แอนดริวกางแขนห้ามไว้ทันที แล้วให้คนข้างๆ เขาถอยออกไป
ภายในห้องที่ใช้คัดเลือกนักมวยนี้ เหลือแค่เขาและพวกลั่วชิวเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะทำเพื่อแสดงความจริงใจของตัวเอง และหวังว่าจะได้รู้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณเคจะพิสูจน์ว่าตัวเองมีบัตรเข้าสนาม ‘โกลด์รัช’ ได้อย่างไรครับ?”
“ไม่ต้องพิสูจน์หรอกครับ” ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่ตอนนี้ ทางคุณแอนดริวไม่มีนักมวยที่ผมต้องการ นี่ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
แอนดริวเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ความจริงแล้วเขาไม่ชอบสุงสิงกับคนที่มีที่มาไม่ชัดเจน และไม่เชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆ แบบนี้
แต่เขากลับคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่หาได้ยากครั้งหนึ่ง ยิ่งเข้าใกล้เรื่องของคุณเคเท่าไร หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ แอนดริวถึงขนาดแยกแยะไม่ออกว่านี่คือความกังวลหรือความตื่นเต้นกันแน่ แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่าการคบค้าสมาคมกับคุณเคคนนี้เป็นเรื่องที่อันตราย
ยิ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ผลตอบแทนที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้นด้วย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีตั๋วเข้าสนามแข่งเลย แต่ถ้าคิดอยากจะได้นักมวยในมือของเขาโดยไม่จ่ายอะไรเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน
หลังจากไตร่ตรองไปแล้ว แอนดริวก็พูดช้าๆ ว่า “คุณเค ในมือผมมีนักมวยชั้นดีคนหนึ่ง และมีคนที่มากประสบการณ์เหนือชั้นอีกคนหนึ่ง แต่ว่าอายุออกจะมากไปหน่อย อีกทั้งสองคนนี้ยังไม่เชื่อง ไม่ทราบว่าคุณเคสนใจหรือเปล่าครับ?”
“แน่นอนครับ” เจ้าของร้านลั่วสวมบทเป็นคุณเค พูดพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “ยิ่งเป็นสัตว์ดุร้ายยากจะทำให้เชื่องเท่าไร ก็แสดงว่าพวกมันทรงพลังมาก ผมจะตั้งหน้าตั้งตาคอยนะครับ”
“เอาตัวสองคนนั้นมา”แอนดริวเปิดประตูแล้วพูดสั่งลูกน้อง
ผ่านไปไม่นานนัก อันทอนและโอเล็กก็ถูกคนพามากลางห้องที่มีกระจกด้านเดียวกั้นเอาไว้ สีหน้าทั้งสองคนไม่สู้ดีนัก แต่แววตาของโอเล็กยังมีความดุดันอยู่ แต่อันทอนกลับดูไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด
แอนดริวมองดูแววตาพิจารณาของพวกคุณเค เขายิ้มแล้วพูดว่า “คุณเคครับ เจ้าของนักมวยที่ดีย่อมมองคุณค่าของนักมวยออก ผมคิดว่าคุณเคคงมองเห็นจุดที่ไม่ธรรมดาของทั้งสองคนนี้ได้นะครับ”
ลั่วชิวกลับพูดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ต่อให้สัตว์จะดุร้ายแค่ไหน หากถูกถอนเขี้ยวเล็บออกแล้ว ก็แค่ดุร้ายน่ากลัวกว่าละมั่งนิดหน่อย ไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งอะไร”
แอนดริวพูดเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าสองคนนี่แค่ถูกผมฉีดยาชาไปเท่านั้น ผมเคยบอกไว้แล้วว่าผมยังไม่ได้ทำให้พวกเขาเชื่องอย่างเต็มที่ ผมก็ไม่ได้อยากใช้วิธีทุบตีแบบนี้มาทำให้พวกเขาเชื่อฟัง นักมวยที่โดดเด่นไม่ควรได้รับบาดเจ็บแม้เพียงน้อยนิด นอกเสียจากอยู่ในสังเวียนมวย”
ลั่วชิวพูดขึ้นทันที “เจ้าสองคนนี้ คนไหนร้ายกาจกว่ากัน?”
แอนดริวชะงักไป นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาเคยคิดเหมือนกัน
ลำพังจากพลังที่สังเกตเห็นได้โดยตรงล่ะก็ อันทอนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่ทำแบบขอไปทีอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งเขายังหนุ่มมากพอ แน่นอนว่าย่อมแข็งแกร่งกว่าโอเล็กที่อายุเลยสามสิบปีไปแล้วอยู่มาก
แต่ทว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ในห้องหนังสือไปแล้ว ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าอันทอนเป็นเพียงคนมีพลังเยอะคนหนึ่งเท่านั้น แต่โอเล็กกลับเก่งเรื่องการสังเกต อีกทั้งยังสงบเยือกเย็นมากพอ
“สองคนนี้…” แอนดริวคิดสักพักแล้วพูดว่า “ผมว่าแต่ละคนก็มีข้อดีในตัวเอง ผมให้คำตอบที่ถูกต้องกับคุณไม่ได้หรอกครับ”
“งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ นะครับ พวกเขาใช้ได้เลย” ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่ผมต้องการนักมวยแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ถ้าคุณแอนดริวแนะนำให้ไม่ได้ งั้นก็น่าปวดหัวจริงๆ เลยครับ…”
ลั่วชิวเลิกคิ้วขึ้นทันที พร้อมแสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่คนร้ายในละครเท่านั้นถึงจะทำ “งั้นก็ให้ทั้งสองคนนี้แข่งสังเวียนชี้เป็นชี้ตายกันสักรอบ คนไหนชนะก็เอาคนนั้น…แน่นอนว่าคนที่แพ้ ผมก็จะชดเชยให้คุณแอนดริว ไม่ให้คุณเสียเปรียบแน่นอน”
“คุณจะให้พวกเขาสู้ชี้เป็นชี้ตายกันเหรอครับ?” แอนดริวขมวดคิ้วทันที
“แน่นอนครับ!” ลั่วชิวพูดพร้อมยิ้มเล็กน้อย “คุณแอนดริว ที่ผมจะเข้าร่วมคือการแข่ง ‘โกลด์รัช’มันคืออะไรคุณคงรู้ดี ถ้าไม่ลองปรับตัวให้เข้ากับการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย และไม่กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับกฎที่มีแต่ต้องตายเท่านั้น แล้วผมจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ล่ะครับ?”
เขาพูดไม่ผิดเลยจริงๆ แต่แอนดริวกลับไม่ได้ตอบรับอีกฝ่ายไปตรงๆ ทว่ากลับหรี่ตาลง
ลั่วชิวนั่งลง แล้วคุณสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาก็เดินไปข้างหน้าแอนดริวอย่างเย็นชา ระหว่างนิ้วหนีบเช็คเอาไว้ใบหนึ่ง “นี่ถือว่าเป็นเงินวางมัดจำ ถ้าทำให้บอสของพวกเราพอใจได้ล่ะก็ ราคาไม่ใช่ปัญหาเลย”
ถ้าเช็คใบนี้เป็นของจริงล่ะก็ แอนดริวก็ต้องยอมรับเลยว่า ตัวเลขด้านบนทำให้เขาใจเต้นมากจริงๆ
แล้วยัง…เป็นแค่เงินวางมัดจำเท่านั้น!
พูดตามความจริง ถึงแม้ว่าอันทอนและโอเล็กเป็นสินค้าที่ดีมากจริงๆ แต่พวกเขาไม่ใช่คนที่แอนดริวทุ่มเทฝึกฝนปั้นออกมา!
พูดตรงๆ สักหน่อย สองคนนี้แทบไม่ต่างกับการเก็บกลับมา เพียงแค่เงินวางมัดจำอย่างเดียว ก็ทำให้เขากอบโกยได้เยอะแล้ว
“คุณเคเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ด้วยนะครับ”
แอนดริวกลับส่งเช็คคืน พูดอย่างใสซื่อว่า “ผมไม่เอาเงินมัดจำก็ได้ครับ คุณไม่ต้องจ่ายเงินค่านักมวยหรอกครับ ผมต้องการแค่…พอจบการเปิดการแข่ง ‘โกลด์รัช’ ปีนี้ คุณเคช่วยแนะนำผมเป็นผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมก่อนการแข่งขันครั้งต่อไปก็พอครับ”
ลั่วชิวพูดอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “คุณแอนดริวคิดว่าผมจะให้ตัวเองมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกคนในอนาคตเหรอครับ?”
แอนดริวพูดอย่างสุขุมเยือกเย็นราวกับคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว “หรือว่าคุณเคไม่อยากมีพันธมิตรหลังการแข่งขัน ‘โกลด์รัช’ ครั้งนี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน?แม้ว่าสุดท้ายจะมีผู้ชนะเพียงแค่คนเดียว แต่อุปสรรคระหว่างทางยังคงมีอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบนะครับ”
ลั่วชิวถือโอกาสลุกขึ้นมา แล้วมองอันทอนกับโอเล็กทั้งสองคนหลังกระจกบานนั้นแวบหนึ่ง “พวกเขาจะฟื้นตัวได้ไวสุดเมื่อไหร่ครับ? ผมอยากจะเห็นการดวลชี้เป็นชี้ตายนี้ด้วยตาตัวเอง”
“ขอแค่ยาชาหมดก็ใช้ได้แล้วครับ” แอนดริวพูดอย่างเฉยเมยว่า “ด้วยร่างกายของเขา แค่เสริมสารอาหารบางอย่างเข้าไป ผมว่าพอถึงเที่ยงคืนวันนี้ คุณเคก็ชมการประลองสนุกๆ เร้าใจได้รอบหนึ่งแล้ว ผมจะเตรียมที่นั่งวีไอพีในสังเวียนมวยของผมให้คุณเคเลยครับ”
“งั้นรบกวนคุณด้วยแล้วกันนะครับ คุณแอนดริว” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย “หวังว่านี่จะเป็นการร่วมมือที่ดีนะครับ”
แอนดริวก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมก็หวังว่านี่จะเป็นการร่วมมือที่ดีเช่นกันครับ”
…
…
แอนดริวชอบขังคนไม่เชื่อฟังไว้ในกรงเหล็กที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนล่าสัตว์ป่ามาได้
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ เขากำลังมองอันทอนกับโอเล็กถูกขังในกรงเหล็กด้วยความพึงพอใจ
เขานั่งอยู่ที่นี่เป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และกำลังมองดูสีหน้าของทั้งสองคนอยู่ตลอด แม้กระทั่งแววตาของพวกเขา นี่ถึงจะเป็นอาหารจานหลักที่แอนดริวคิดว่าคุ้มค่าให้นึกถึงที่สุด
“คืนวันนี้ รอให้พวกแกหายชาก่อน ฉันจะให้พวกแกชกกันสักยก” แอนดริวใช้ฟันกัดซิการ์จนปริออก ก่อนจุดไฟ สูบควันและพ่นควันออกมา เย็นชาเหมือนกำลังควบคุมชะตาชีวิตของทั้งสองเอาไว้ “แต่ระหว่างพวกแก จะมีคนรอดชีวิตได้แค่คนเดียว”
อันทอนกับโอเล็กเงยหน้ามองแอนดริวพร้อมกัน
โอเล็กจำต้องแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณครับ สมองของคุณอุดตันเพราะสารเสพติดในบุหรี่มากเกินไปหรือไง?”
แอนดริวพูดอย่างเฉยเมยว่า “พวกแกจะเลือกไม่ชกก็ได้ แต่ทางที่ดีพวกแกอย่าลืมว่ายังมีนิคิตะอยู่ในกำมือของฉันอีกคนหนึ่ง รู้ไหม? ในคฤหาสน์ชานเมืองของฉัน เลี้ยงหมีไซบีเรียสายพันธุ์แท้ไว้หลายตัว ฉันคิดว่าพวกมันจะต้องดีใจมากๆ ที่ได้มาร่วมวงกันสักมื้อ”
“แก!”
แอนดริวมองดูดวงตาเบิกโพลงของโอเล็ก แล้วพูดปนหัวเราะเบาๆ ว่า “โอเล็ก ฉันจะเช็กเบื้องหลังใครสักคนในมอสโกเป็นเรื่องง่ายมาก…แกชื่อโอเล็ก แกมีลูกชายสิบขวบคนหนึ่ง เหมือนว่าหลายวันมานี้จะหนีออกจากบ้านไปแล้วนี่?ไม่รู้ว่าแกจะออกไปจากที่นี่ได้ไหม? เพราะถ้าแกเลือกไม่ชกล่ะก็ ฉันก็จำเป็นต้องกำจัดแกทิ้ง”
โอเล็กจับกรงเหล็กขนาดใหญ่เอาไว้ เพียงแต่ความชาในตัวยังไม่หายไป จึงโยกซี่กรงเหล็กที่ใหญ่โตแข็งแรงพวกนี้ไม่ได้
เขาต้องนั่งอย่างหมดกำลังใจบนพื้น เผลอมองไปทางอันทอนที่อยู่ข้างๆ
เขามองเห็นความกลัวในดวงตาของเด็กหนุ่มคนนี้ได้อย่างชัดเจน ราวกับกำลังวิงวอนเขา ว่าอย่าตอบรับคำขอของแอนดริวอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าแอนดริวออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
กรงเหล็กที่นี่มีอยู่มาก แต่ที่ขังเอาไว้กลับมีแค่อันทอนและโอเล็กสองคน
หลังจากเงียบมาเป็นเวลานานมากแล้ว โอเล็กก็ค่อยๆ หลับตาลง แล้วหันไปพูดเสียงเบาว่า “ขอโทษนะ ฉันปล่อยให้นิคิตะตายไม่ได้ แล้วฉันก็อยากรอดออกไปจากที่แห่งนี้ ฉันต้องไปตามหาลูกของฉัน…เพราะฉะนั้น ขอโทษนะ”
คิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ ที่ฉันก็พูดอะไรแบบนี้ได้เหมือนกัน
พ่อ…ผม ก็อยู่ตรงนี้ไง
บทที่ 16 ตกที่นั่งลำบาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“กินข้าวสิ เดี๋ยวก็ไม่มีแรงชกพอดี บอสจะไม่พอใจเอานะ”
ผู้ช่วยพาคนมาวางอาหารที่หลากหลายด้านหน้ากรงเหล็ก แถมยิ้มเยาะพลางพูดว่า “แน่นอนว่าพวกคุณไม่กินก็ได้ ยังไงก็แค่พลาดอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตไปเท่านั้นเอง…หนึ่งในพวกคุณน่ะนะ”
ผู้ช่วยมองดูท่าทางโกรธแค้นของอันทอนและแววตาไร้ความรู้สึกของโอเล็ก แล้วก็มองดูเวลา ก่อนพูดว่า “ยังมีเวลาอีกสี่ชั่วโมง ดื่มด่ำกับความเงียบสงบช่วงสุดท้ายให้เต็มที่หน่อยแล้วกัน”
ผู้ช่วยกำลังเดินนำคนออกไปแล้ว
โอเล็กยื่นมือออกไปนอกกรงขังทันที คว้าอาหารในจานใส่ปากตนเอง แล้วก็เริ่มกินเงียบๆ
“…คุณโอเล็ก คุณคิดจะต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกับผมจริงๆ เหรอ?” อันทอนก้มหน้า ถามขึ้นเบาๆ
แต่ทว่าโอเล็กก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่ฉีกเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็เคี้ยวช้าๆ
“พวกเราฉวยโอกาสนี้พังกรงขังก็ได้นี่!” อันทอนเงยหน้าขึ้นมา “ขอเพียงพวกเราช่วยนิคิตะออกไปได้ พวกเราก็ไม่ต้องถูกพวกมันข่มขู่อีกต่อไป!”
“หลังจากนั้นล่ะ?” โอเล็กมองอันทอนแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ “คุณฆ่าแอนดริวได้เหรอ? คุณหนีออกไปจากที่นี่ได้เหรอ? พอพวกเขาถือปืน แล้วหมัดของคุณจะไปทำอะไรได้ล่ะ”
“ต่อให้ทำอะไรไม่ได้! แต่จะยอมถูกรังแกงั้นเหรอ?!” อันทอนถามเสียงดัง “หรือว่าคุณไม่โกรธ หรือไม่พอใจบ้างเหรอ?”
โอเล็กพูดขึ้นทันที “คุณอาจมีครอบครัวที่ดีมาก อาจนึกว่าขอเพียงต่อต้านก็จะแก้ปัญหาได้ จนถึงกับเคยแก้ปัญหาได้ด้วยการต่อต้าน…แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่า มีบางเรื่องที่คุณต่อต้านแล้ว จะมีแต่นำภัยอันตรายมาสู่ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายคุณจะหัวเราะเยาะให้กับความไร้เดียงสาของตัวเอง คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวมาก ผมเองก็เห็นแก่ตัวมากเหมือนกัน ผมฆ่าคุณได้ ถ้าคุณไม่อยากถูกฆ่าตายไปเปล่าๆ ถ้าคิดจะต่อต้านก็กินให้อิ่มซะ จะได้มีแรงบ้าง”
“เพราะงั้นคุณก็เลยยอมถูกรังแกมาโดยตลอด เลิกคิดต่อต้านแล้ว เลือกเป็นคนขี้ขลาดเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายงั้นเหรอครับ!? แล้วถ้าเหตุการณ์มันเลวร้ายลง และเกิดอันตรายกับตัวคุณเอง พัวพันไปถึงคนในครอบครัวของคุณ คนรักของคุณด้วยก็จะไม่เป็นไรเหมือนกันใช่ไหม!!?”
“ถึงแม้คุณฆ่าผมแล้ว หนีออกไปจากสังเวียนมวยได้สำเร็จ คุณคิดว่าแอนดริวก็จะปล่อยคุณไปงั้นเหรอ?! เขาข่มขู่คุณได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ย่อมมีครั้งที่สอง! คุณประนีประนอมแล้ว คุณก็ได้แต่ถูกแอนดริวข่มขู่ไปตลอดชีวิต! ทุกสิ่งที่ผมทำทั้งหมด ทั้งหมดก็แค่เพื่อครอบครัวของผมเท่านั้น! ไม่ต้องมาพูดอุดมการณ์สวยหรูอะไรหรอก! หัดมองความจริงให้ชัดๆ ซะบ้าง! ความจริงก็คือตอนนี้คุณและผมทำให้มันเป็นแบบนี้! เป็นเหมือนหมาจนตรอก!”
“คุณไม่อยากถูกข่มขู่ คุณก็ต้องต่อต้านสิ! ไม่มีใครช่วยตัวคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง! นิคิตะเคยบอกว่า โอเล็กในตอนนั้นถึงจะเป็นโอเล็กที่ควรค่าแก่การเคารพที่สุด ดังนั้น ผมจำเป็นต้องหนีไปจากที่นี่!ผมไม่สนว่าผมจะมีชีวิตต่อไปด้วยรูปแบบไหน!ผมแค่ต้องการมีชีวิตต่อไป!”
“ลองดูคุณในตอนนี้สิ เหมือนอะไรกันแน่! คุณเคยคิดบ้างไหม ถ้าลูกคุณเห็นความขี้ขลาดแบบนี้ของคุณ เขาจะมองคุณยังไง!!คุณเคยคิดไหมว่าตอนที่ลูกของคุณเห็นคุณคุกเข่าต่อหน้าอันธพาล เขาจะมีความรู้สึกยังไง!”
“ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ผมเสียลูกชายของผมไปไม่ได้อีก! คุณไม่ใช่พ่อคนจะไปรู้อะไรล่ะ! แล้วคนที่ไม่รู้จักใช้หัวคิดเอาแต่มุทะลุ แม้แต่สภาพสังคมแท้จริงเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วจะไปรู้อะไรได้ล่ะ!!คุณคิดว่าคุณตัวโตสูงใหญ่แข็งแกร่งกว่าคนอื่น คุณก็ถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วงั้นเหรอ! เพ้อเจ้อ!”
“****! คุณพูดบ้าอะไร?!”
เสียงคำรามหยุดลงในชั่วพริบตา ในระหว่างการตะคอกต่อปากต่อคำโดยไม่มีหยุดพักนี้ ทั้งคู่ก็ไม่ได้หลบตาอีกฝ่ายเลย
มันดูราวกับว่าไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป บางทีรอจนสองคนต่างเหน็ดเหนื่อยหมดแรงแล้วถึงได้หยุดไปเอง แต่กลับเป็นเพราะการกล่าวหาของอันทอน จู่ๆ บรรยากาศก็เข้าสู่ความเงียบ
“ผมว่าอันโตนิโอคงจะไม่อยากเห็นสภาพคุณในตอนนี้” อันทอนมองโอเล็ก เขาไม่เคยสบตาโอเล็กอย่างเสมอภาคแบบนี้มาก่อน ถึงขนาดพูดความคิดในใจออกมา
โอเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “คุณไม่ใช่เขา คุณไม่รู้หรอก”
เขาหันหลังให้อันทอนแล้วนั่งลง พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทานมื้อสุดท้ายของคุณเถอะ”
“ผมไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!”
อันทอนก็นั่งหันหลังให้โอเล็ก ยื่นมือออกไปหยิบอาหารมาแล้วยัดลงท้องไปคำโตๆ
สองคนซึ่งถูกกรงขังแยกไว้ หันหลังให้กัน มองไม่เห็นกัน และไม่แตะต้องกัน แยกออกเป็นโลกสองใบ
…
“ได้เวลาแล้ว”
ตอนที่เปิดประตู หลังจากนั้นไม่นานกรงขังก็เปิดออก และในชั่วพริบตานี้เอง อันทอนก็เริ่มต่อต้านทันที ฤทธิ์ยาชาหมดไปแล้ว ขณะนี้เขาเป็นดั่งเสือร้ายที่ออกมาจากกรง จู่โจมชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่ว่าตอนที่เขาคิดจะต่อต้าน กลับได้ยินเสียงปรบมือดังมาจากผู้ช่วย “คุณอันทอน ตอนเห็นคุณอาละวาดได้แบบนี้ ผมก็สบายใจแล้ว แต่ว่า…หากคุณยังโชว์ออฟต่อไปล่ะก็ ผมไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างนะ”
เขาก้าวหลบไปหนึ่งก้าว
ด้านหลังของเขา นิคิตะผู้ที่ถูกมัดอยู่เดินออกมา สีหน้านิคิตะซีดขาว เหงื่อออกท่วมหัว สองขาถึงกับสั่นเทา
เขาจำต้องเป็นเช่นนี้
เพราะเขาในตอนนี้ บนตัวพาดเข็มขัดเส้นหนาใหญ่มากเอาไว้เส้นหนึ่ง ในตอนนี้เองผู้ช่วยก็ยิ้มเยาะพลางพูดว่า “รู้ไหมนี่คืออะไร? เข็มขัดนี้ยิงเข็มเงินอาบยาพิษได้ในชั่วพริบตา แค่ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้าวินาที คุณนิคิตะคนนี้ก็จะหัวใจหยุดเต้น บางทีอาจจะขึ้นสวรรค์ หรืออาจจะลงนรก ใครจะรู้ล่ะ? รีโมทควบคุมก็อยู่ในมือบอส ถ้าคุณอันทอนหนีออกไปจากที่นี่ ของเล่นเล็กๆ นี้บนตัวคุณนิคิตะก็จะทำงาน”
“พวกแก…ต่ำช้า!!”
“ยังคิดจะต่อต้านอยู่อีกไหม?”
…
…
“คุณเค คุณคิดว่าสังเวียนมวยแห่งนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”
ด้วยไม่มีการพนันมวยที่จัดขึ้นทุกสัปดาห์ ดังนั้นรอบๆ สังเวียนที่ใหญ่โตก็ดูกว้างขวางขึ้นถนัดตา แอนดริวกำลังโชว์ผลงานของตนเองอย่างภาคภูมิใจ
“นี่เป็นสังเวียนมวยที่พิเศษที่สุด ตอนแรกผมวางแผนจะเปิดตัวปีหน้า แต่ตอนนี้จะให้คุณเคได้เห็นก่อนเพื่อความสบายใจ!” แอนดริวชี้ไปรอบๆ ตรงสังเวียนมวยใหญ่โตด้านล่าง
บริเวณรอบๆ มันถูกเชื่อมด้วยเส้นเหล็ก และยังปิดตายอีกต่างหาก
“หลังจากเริ่มแข่ง เหล็กพวกนี้จะมีกระแสไฟฟ้าปริมาณมากไหลผ่าน” แอนดริวหรี่ตาพูด “มีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะตามเงื่อนไขแล้ว สังเวียนมวยถึงจะเปิดออก ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครออกมาได้เลยล่ะครับ”
“คุณแอนดริวช่างใส่ใจจังนะครับ” ลั่วชิวยิ้ม…สายตาของเขามองลงไปจากห้องวีไอพีแห่งนี้ทันที มองด้านข้างประตูที่เป็นทางเข้าสังเวียนมวย “ดูท่าตัวละครหลักคืนนี้จะมาถึงแล้วนะครับ”
…
วินาที่ประตูเหล็กบนสังเวียนมวยปิดลง เสียงโลหะกระแทกกันดังสนั่น ด้านล่างสังเวียนก็มีชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งถือกระบองเหล็กแท่งหนึ่ง โยนเข้าไปในกรงขัง
นี่มันบ้ามาก!
ชั่วพริบตา แสงไฟก็ส่องมาจากทั่วทุกสารทิศ สองคนบนสังเวียนมองหน้ากันไม่พูดจา
ทันใดนั้นโอเล็กก็ออกหมัดชกไปที่ศีรษะของอันทอนอย่างแรงหนึ่งหมัด หมัดช่างดุดันอะไรเช่นนี้ ขนาดร่างกายที่แข็งแกร่งของอันทอนก็ยังต้องถลาถอยหลังไปหลายก้าว
ผลจากการรับหมัดไปหนึ่งหมัดทำให้มุมปากเขามีเลือดสดไหลออกมา อันทอนกลับเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองตรงไปที่โอเล็ก พูดอย่างช้าๆ ว่า “ผมจะไม่ตอบโต้”
“แต่ผมจะไม่หยุดมือ!”
โอเล็กพูดคำรามอย่างดุร้าย สองมือคว้าตัวอันทอน แล้วลากไปยังตะแกรงไฟฟ้าริมขอบสังเวียน…
บทที่ 17 ออกจากกรง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่ลากอันทอนไปเกือบจะถึงตะแกรงเหล็ก โอเล็กกลับขบกรามอย่างแรง พร้อมคำรามเสียงดังลั่น แล้วยกตัวอันทอนขึ้นมา ก่อนโยนลงไปตรงกลางสังเวียนมวยอย่างสุดแรง
สังเวียนมวยซึ่งมีความยืดหยุ่น ทำให้ตัวอันทอนกระเด้งกระดอนอยู่ครู่หนึ่ง เขาถึงลุกขึ้นมาบนสังเวียนได้
ตอนนี้โอเล็กเดินไปตรงหน้าอันทอน ยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อเขา พูดเสียงเข้มว่า “คุณจะรนหาที่ตายจริงๆ ใช่ไหม?”
อันทอนก้มหน้าพูดว่า “ไม่ใช่ว่าคุณคิดจะฆ่าผมแล้วกลายเป็นผู้ชนะหรอกเหรอ? เมื่อกี้นี้ได้โอกาสแล้วแท้ๆ”
“คุณไม่คิดจะตอบโต้จริงๆ เหรอ?” โอเล็กเดินเข้ามาใกล้อีกก้าวพลางถามย้ำ
“คุณโอเล็ก ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะไม่โต้ตอบคุณ”
“คุณคิดว่าตัวเองทำแบบนี้แล้วดูยิ่งใหญ่มากสินะ?” โอเล็กสีหน้าเคร่งขรึม “คุณรู้หรือเปล่า ผมอาจจะไม่รู้สึกขอบคุณ และอาจจะไม่รู้สึกผิดด้วย! ผมอาจจะลืมเรื่องทั้งหมดนี่! เหมือนการสละชีพของคุณไม่เคยเกิดขึ้นเลย! คุณได้แต่ตายเปล่าอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครจำคุณได้! ถึงแม้ว่าจะลงเอยแบบนี้ คุณก็ยินดีงั้นเหรอ?”
อันทอนกลับนิ่งเงียบไม่พูดจา
โอเล็กดึงแขนอันทอนทันที พร้อมกระแทกเข่าใส่ท้องอันทอนอย่างสุดแรง จนอันทอนถ่มน้ำลายปนเลือดออกมาทันที!
โอเล็กเองก็เป็นคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าอันทอนจะมีร่างกายแข็งแกร่งมาก แต่เจอการจู่โจมโดยไม่ทันป้องกันตัวแบบนี้ ก็ไม่ต่างกับถูกค้อนเหล็กทุบ ความเจ็บปวดที่โดนเข่ากระทุ้งใส่ ทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออกเลย
“ตอบโต้สิ!”
“ตอบโต้สิ!!”
“ตอบโต้สิ!!!”
หมัดแล้วหมัดเล่า โอเล็กก็ไม่ได้ออมแรงแม้แต่น้อย กลับระบายอารมณ์ของตนเองทั้งหมดลงไปบนตัวอันทอนอย่างบ้าคลั่ง
หมัดตรง หมัดเสย หยาดเหงื่อจากบนตัวอันทอนกระเซ็นออกมา เปลือกตาที่บวมแดงก็ทำให้การมองเห็นของเขาพร่ามัวในชั่วพริบตา
การจู่โจมอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ เกิดต่อเนื่องไปเกือบจะเป็นเวลาหนึ่งนาทีแล้ว ในที่สุดอันทอนก็ไร้เรี่ยวแรงล้มลงไปบนสังเวียนมวย เขากำลังหอบหายใจ สปอตไลต์ข้างสังเวียนส่องสว่าง
เขามองสปอตไลต์ที่แยงตา พบว่าสายตาของตนเองขาวโพลน และใบหน้าของโอเล็กก็โผล่มาใกล้ๆ
“คุณคิดจะไม่ตอบโต้จริงๆ ใช่ไหม?! คุณนึกว่าทำแบบนี้แล้วก็เป็นวีรบุรุษได้แล้วงั้นเหรอ? งี่เง่า!!”
“ผม…ผมไม่รู้…” อันทอนพยายามฝืนยิ้ม “ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมนึกว่าผมโตแล้ว โตแล้วจริงๆ แต่ว่า…แต่ว่าผมพบว่าโลกของผู้ใหญ่มันซับซ้อนมาก ผมไม่เข้าใจ…และยิ่งไม่อยากเข้าใจ ผมยอมให้ตัวเองเป็นเด็กตลอดไปยังดีกว่า…โลกของผู้ใหญ่มันซับซ้อนขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้า…มีโอกาสล่ะก็ ผมจะต้องขัดขืนจนถึงที่สุดแน่ๆ …ผมจะไม่พูดอะไร แต่จะใช้วิธีแบบนี้แหละ ถ้าฆ่าคุณเพื่อให้ออกไปจากที่นี่ได้ล่ะก็ ผมคงไม่สบายใจ…ผมยอมตายดีกว่า”
“อย่ามองชีวิตตัวเองไร้ค่าแบบนั้น!!” โอเล็กคว้าคอเสื้ออันทอนยกขึ้นอย่างดุดัน และพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ผู้ใหญ่ก็ซับซ้อนแบบนี้แหละ! ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณเพียงแต่มีชีวิตต่อไปด้วยเหตุผลของตัวเอง ไม่มีอะไรสำคัญทั้งนั้น! จำไว้ให้ดี!!”
“ผมไม่เข้าใจ แค่กๆ …” อันทอนปัดมือสองข้างของโอเล็กออก แล้วก็ลุกขี้นยืน “และก็ไม่อยากเข้าใจด้วย ผมรู้แค่ว่า ผมจะไม่ตอบโต้ และไม่มีทางฆ่าคุณ…”
อันทอนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง โอเล็กก็มองเห็นบางสิ่งในแววตาของเด็กหนุ่มคนนี้
อันทอนเดินเข้าไปหาตะแกรงเหล็กทีละก้าวทีละก้าว
“คุณ…” โอเล็กแทบไม่อยากเชื่อ เขาตกใจ รีบพูดแทบจะเสียสติว่า “คุณคิดจะทำอะไร!”
“คุณไม่ลงมือ งั้นผมทำเองแล้วกัน…”
“พวกเราไม่ได้สนิทกันแล้วก็ไม่ใช่ศัตรูกัน ทำไมคุณต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย?”
ไม่รู้ด้วยเหตุใดความหวาดกลัวบางอย่างทำให้โอเล็กปวดร้าวราวกับมีเข็มทิ่มแทงในทันที…เด็กหนุ่มคนนี้สูงเลยหัวเขาครึ่งหนึ่ง ร่างที่ใหญ่โตมหึมานี้…ใกล้จะก้าวเท้าไปสู่ความตายแล้ว
“เพราะผมคือ…” อันทอนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เพราะผมคิดว่า ลูกของคุณโอเล็ก คงไม่อยากเห็นพ่อของตัวเองกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนเพื่อเอาชีวิตรอดแน่”
อันทอนเหยียดขาไปข้างหนึ่งในทันที แล้วกระโจนพุ่งตรงไปตรงตะแกรงเหล็ก เหมือนแมลงเม่าตัวโตบินเข้ากองไฟ ตาข่ายเหล็กซึ่งเต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าแรงสูง วินาทีต่อมาก็จะทำร้ายร่างกายเขาไปเสียสิ้น
“อันทอน!!!!!!”
ดวงตาทั้งคู่ของโอเล็กแทบจะถลนออกมา เขาไม่รู้ว่าเพราะโกรธแค้นหรือเพราะเศร้าสลดกันแน่ บนสังเวียนแห่งนี้ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิดเดียว แต่วินาทีนี้กลับรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกซ้อมนานหลายชั่วโมงเสียอีก
อันทอนโถมตัวไปทางตะแกรงเหล็ก เขาหลับตาทั้งสองข้างลง สัมผัสความเจ็บปวดจากกระแสไฟฟ้าแรงสูง
“อ๊า!!! ”
…
…
ความเจ็บปวดซึมลึกไปถึงกระดูก เพียงแค่ในชั่วพริบตาอันทอนก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับเข็มนับหมื่นทิ่มแทงไปทั่วทั้งตัว
เขาส่งเสียงร้องเจ็บปวดน่าเวทนา แต่ทว่าความเจ็บปวดอย่างสุดขีดนี้ กลับหายไปในชั่วพริบตา
แล้วอันทอนก็ร่วงลงบนสังเวียนทันที ตัวเขายังคงพิงตะแกรงเหล็กอยู่ แต่ดูเหมือนว่ากระแสไฟฟ้าได้หายไปแล้ว
ทันใดนั้นบริเวณรอบๆ สังเวียนมวยก็มีเสียงปรบมือดังกังวาน เป็นเสียงปรบมือดังผ่านลำโพง และเสียงปรบมือจากคนคนเดียว
แอนดริว!
หลังจากเสียงปรบมือดังขึ้นไม่หยุด แอนดริวถึงพูดใส่ไมโครโฟนว่า “เป็นการแสดงที่กินใจเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่การแสดงที่ฉันต้องการ…”
ทันใดนั้นเสียงของแอนดริวก็เปลี่ยนไปราวกับสัตว์ป่า “ฉันไม่สนว่าใครในพวกแกอยากตาย! แต่ก่อนไปตาย ช่วยออกแรงชกคู่ต่อสู้ตรงหน้าพวกแกให้เต็มที่หน่อยสิวะ! พวกแกสองคนอย่าใช้วิธีนี้มายั่วโทสะฉัน! เพราะว่าพวกแกไม่มีสิทธิ์! ถ้าพวกแกยังไม่ยอมจู่โจมอีกฝ่ายด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีล่ะก็ หลังจากสิบวินาที ฉันจะกดปุ่มในมือฉัน! แล้วพวกแกจะได้ฟังเสียงกรีดร้องน่าเวทนาก่อนตายของนิคิตะ โดยที่พวกแกไม่ทันได้โกรธแค้นซะอีก!”
ขณะที่กำลังพูด แอนดริวก็สังเกตสีหน้าคุณเคที่อยู่ข้างๆ คนนี้ตลอด
นับตั้งแต่อันทอนเลิกต่อต้าน เขาก็อ่านความคิดบนสีหน้าของคุณเคผู้นี้ไม่ได้เลย…ราวกับว่าหมดความสนใจต่อการต่อสู้บนสังเวียนมวยแห่งนี้ไปแล้ว
อย่าว่าแต่คุณเคคนนี้เลย สถานการณ์ที่ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้าแบบนี้ แอนดริวเองก็ไม่ชอบเป็นที่สุดเหมือนกัน อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ถ้าเป็นเขาเอง เขาก็คงไม่อยากได้นักมวยที่ชนะด้วยวิธีแบบนี้เหมือนกัน
หลังจากคำพูดของแอนดริว ประตูด้านข้างสังเวียนการดวลต่อสู้ก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง ชายร่างสูงใหญ่สองคนคุมตัวนิคิตะออกมา และเดินไปตรงหน้าสังเวียนมวย
ได้ยินแต่เสียงพูดเย็นชาของแอนดริว “ถ้าพวกแกยังไม่ยอมชกอีกฝ่ายให้ตายบนสังเวียน…พวกแกสามคนก็กลายเป็นหมูย่างพร้อมกันไปเลยแล้วกัน! ฉันให้เวลาพวกแกคิดทบทวนหนึ่งนาที! ปล่อยกระแสไฟอีกรอบ!”
โอเล็กมือไวรีบดึงอันทอนกลับมาได้ทัน เพราะอันทอนยังพิงอยู่บนตะแกรงเหล็ก
แอนดริวพูดจบก็ปิดไมโครโฟน แล้วมองคุณเคที่อยู่ข้างๆ พร้อมพูดว่า “ผมคิดว่าหลังจากหนึ่งนาที คุณเคน่าจะได้เห็นสิ่งที่อยากเห็นนะครับ”
“ไม่ครับ…คุณแอนดริว” ลั่วชิวหันหน้ามา ยิ้มน้อยๆ มองแอนดริว พลางพูดว่า “ผมคิดว่าผมเห็นมาพอแล้วครับ”
“เห็นอะไรครับ?” แอนดริวเผลอถามไป
แต่ในตอนนี้เอง บนสังเวียนมวยก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมา ในที่สุดนิคิตะก็ชนกระแทกชายร่างสูงใหญ่สองคนกระเด็นไปทันที หัวชนไปที่ตะแกรงเหล็ก
“เฮ้! พี่ชาย! ครั้งหน้าตอนที่แนะนำฉันกับคนอื่น จำไว้นะ อย่าบอกว่าฉันเป็นพวกมักง่ายโลภมากล่ะ!”
เขาเกร็งท้องของตนเอง แล้วพุ่งชนไปบนตะแกรงเหล็กอย่างแรง!
ปัง!
ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น ได้ยินแต่เสียงระเบิดดังสนั่น ยังมีเสียงร้องเจ็บปวดของนิคิตะ…รวมทั้งร่างของเขาที่ร่วงลงไปบนพื้น
“นิคิตะ!!”
…
…
ด้านบนและด้านล่างสังเวียนมวย บริเวณรอบๆ หลังจากสิ้นเสียงตะโกนร้องบ้าคลั่งด้วยความโกรธแค้นของโอเล็ก ก็กลายเป็นความเงียบ แอนดริวในห้องวีไอพีตบโต๊ะลุกขึ้นทันที คนที่เฝ้าอยู่ด้านล่างสังเวียนมวยก็อ้าปากตื่นตกใจ
โอเล็กกลับทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง แทบไม่มีเสียงพูด “นิคิตะ…นายมันงี่เง่า!!”
“แค่กๆ …”
“และ…และอย่าว่าฉัน…ฉันเป็นไอ้งี่เง่าด้วย…แค่กๆ!”
ตอนนั้นเอง นิคิตะที่ล้มลงอยู่บนพื้นก็หันตัวมา สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน ริมฝีปากก็ชักกระตุกเหมือนกัน แต่ยังไม่ตาย!
“นิคิตะ!” โอเล็กตะโกนร้องเสียงดังด้วยความดีใจ
นิคิตะหัวเราะฮาเสียงดังลั่นพลางพูดว่า “ดูท่าพุงที่ได้จากการดื่มเบียร์หลายปีมานี้ของฉันจะมี…แค่กๆ มีประโยชน์อยู่บ้างนะ!”
เข็มขัดที่รัดรอบเอวนิคิตะฉีกขาดแล้ว!
เมื่อกี้เจ้านี่ไม่ได้คิดฆ่าตัวตาย แต่แค่คิดจะทำลายวงจรอะไหล่ในสายเข็มขัดนี้โดยใช้กระแสไฟฟ้าในตะแกรงเหล็กเท่านั้น!
“นาย ไอ้หมอนี่! บ้าชะมัดเลย!!” โอเล็กทั้งตกใจทั้งดีใจ
นิคิตะจะลุกก็ลุกไม่ไหว แต่ยังพูดแบบมองโลกในแง่ดีมากว่า “ดูท่าที่เคยเป็นคนงานไฟฟ้ามาเมื่อหลายปีก่อนนี่ไม่เสียแรงเปล่าเลยนะ…โอเล็ก ออกมาเถอะ! อย่าให้ตัวเองไปติดอยู่ในกรงขังอีกล่ะ! นายแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา นายไม่น่ามาติดกรงขังได้เลยนี่ หลายปีมานี้ฉันตามนายออกมาจากหมู่บ้าน ไม่ได้ตามมาเพื่อเห็นโอเล็กถูกถอดเขี้ยวเล็บ แต่ตามมาเพื่อเห็นโอเล็กลุกขึ้นยืนดั่งราชสีห์อีกครั้ง!”
โอเล็ก
เขากำหมัดแน่น
“ยังมัวนิ่งอึ้งทำอะไรกันอยู่! จับตัวไอ้บ้านี้มาให้ฉัน! ตายยากนักใช่ไหม ฉันจะให้แกได้ตายอีกรอบ!” แอนดริวถูกยั่วให้โมโหสุดขีดก็ส่งเสียงดังคำรามใส่
โอเล็กมองเห็นนิคิตะกำลังตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง เขาจึงฉีกเสื้อและขากางเกงบนตัวขาด แล้วพันมือทั้งสองข้างของตนเองอย่างรวดเร็ว ส่วนมืออีกข้างก็คว้าเสาบนตะแกรงเหล็กไว้แน่น
กล้ามเนื้อบนมือทั้งสองของเขานูนเกร็งอย่างน่ากลัว เส้นเลือดบนแขนของเขาโผล่ให้เห็นชัดเจนราวกับรากต้นไม้ อีกทั้งใบหน้าของเขายังแดงปรี๊ด
เขากำลังตะเบ็งเสียง ตะโกนเสียงดัง “อ๊ากกกก!!!!!!!”
แอนดริวอดหัวเราะเยาะไม่ได้ เขาตัดสินใจยกเลิกข้อตกลงระหว่างคุณเคชั่วคราวก่อน!
เจ้าพวกนี้สั่งสอนไม่รู้จักจำเลยจริงๆ! เขารีบร้อนเตรียมพร้อมมากเกินไป ขณะที่แอนดริวกำลังคิดอยู่ว่าควรจะรับมือกับคุณเคคนนี้อย่างไร เขาก็กำลังรอคอยวินาทีที่โอเล็กหมดเรี่ยวแรงไป
“งี่เง่า! คนจะไปหักแท่งเหล็กหนาขนาดนี้ได้ยังไงกัน!”
“คนเดียวอาจจะไม่ได้ สองคนก็ไม่แน่หรอกครับ” ลั่วชิวลุกขึ้นยืน แววตาของเขาดูสนใจมากเป็นพิเศษ เขาเขยิบเข้าไปใกล้ริมหน้าต่างห้องวีไอพี สองมือวางลงบนกระจกหน้าต่าง ราวกับอยากจะมองดูทุกอย่างด้านล่างนั่นให้ใกล้ที่สุด
อันทอนลุกขึ้นมาอย่างห้าวหาญ ฉีกเสื้อและขากางเกงบนตัวออกเลียนแบบโอเล็ก พันไปบนมือตนเอง คำรามเสียงดัง “มา ผมช่วย!!”
โอเล็กไม่ได้พูดอะไรสักคำ แค่พยักหน้าให้เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้เล็กน้อย
แขนสองคู่ มือสี่ข้าง วินาทีที่เสียงคำรามดังลั่นราวกับคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง สองคนนี้ก็เหมือนเหมือนราชาแห่งสรรพสัตว์
ใกล้จะออกจากกรงขังได้แล้ว
“อ๊า!!!!!!!!!!”
ในชั่วพริบตานั้นเสือสองตัวก็…ออกจากกรงขัง!!
…
“แอนดริว!!”
วินาทีที่กระโดดลงมาจากบนสังเวียนมวย ดวงตาของโอเล็กดูคมกริบมาก เขาเงยหน้ามองตรงไปที่ห้องวีไอพีด้านบน! ภายใต้แสงสปอตไลต์เจิดจ้า เขาเห็นเพียงเงาสองคนรางๆ เท่านั้น
อีกคนหนึ่งเป็นใครกันแน่นั้น โอเล็กก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่เขามั่นใจว่า อีกคนก็คือแอนดริว!
“ฉันไม่สนว่าพวกแกจะใช้วิธีอะไร! จับตัวสองคนนี้ไว้! ฉันต้องการตัวเป็นๆ!” แอนดริวพูดเสียงเข้ม มาถึงตอนนี้ เขายังเสียดายหากต้องทำลายอันทอนและโอเล็กไป
เจ้าสองคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ! เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดโดยแท้เลย!
“คุณเค ต้องขอโทษนะครับ ทำให้คุณหมดสนุกเลย” แอนดริวพูดอย่างสุขุมว่า “แต่คุณวางใจได้ ผมจะจัดการปัญหาพวกนี้ให้เรียบร้อยในเวลาไม่นาน กรุณารอตรงนี้สักครู่นะครับ!”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ แอนดริวก็ผลักประตูบานใหญ่ของห้องรับวีไอพีออกอย่างรีบร้อน
…
“อันทอน! ถึงคุณมีพละกำลังมหาศาล แต่คุณไม่รู้เทคนิคการใช้แรง! ดูผมเอาไว้ ซัดคน มันต้องซัดแบบนี้!”
เสียงคำรามดังของโอเล็กดังอยู่ข้างหูของอันทอน
เด็กหนุ่มซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ไม่รู้ว่าการเติบโตคืออะไรกันแน่ แต่ถึงบัดนี้จะยังไม่เข้าใจอยู่ก็ตาม ทว่ากลับเผยรอยยิ้มเบิกบานใจหลังจากอึ้งชะงักไป
เขาไม่มีเวลาสนใจว่าที่นี่มันที่ไหนกันแน่ เขาแค่รู้ว่าต้องฟังคำแนะนำของโอเล็กอยู่ที่นี่ ใช้หมัดซัดไปบนตัวศัตรูอย่างดุเดือด รู้สึกสดชื่นจนยากจะบรรยายออกมาได้!
…
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงคำรามดังลั่นและเสียงต่อสู้ที่ดังมาจากด้านล่างได้ก็ส่งมาถึงห้องวีไอพีอย่างชัดเจน…การต่อสู้ตะลุมบอนระหว่างสัตว์ดุร้ายกับสิงโต
แต่เวลานี้เจ้าของสมาคมที่ไม่ได้สังเกตดูกลับนั่งลงไปอีกครั้งหนึ่ง
ลั่วชิวแบมือออก แล้วสร้อยคอสีเงินเส้นหนึ่งก็ร่วงลงไปจากมือของเขา
ส่วนปลายสุดของสร้อยสีเงินที่ตกลงไป ดูเหมือนจี้รูปไม้กางเขนอันหนึ่ง
เปล่งแสงสะท้อนสีชมพูใสบริสุทธิ์ออกมาจางๆ ระยิบระยับราวกับอยากระบายความในใจบางอย่างออกมา
ลั่วชิวพูดเสียงแผ่วเบาว่า “คุณคามาลา คุณโอเล็กที่อยู่ด้านล่างคือคนที่คุณรู้จักใช่ไหมครับ?”
จี้ไม้กางเขนเปล่งประกายระยิบระยับหยุดกะพริบในชั่วพริบตา แล้วกลุ่มแสงเล็กๆ ก็เริ่มออกมาจากจี้ หลังจากนั้นก็ปรากฏเงาร่างคนหนึ่งตรงหน้าลั่วชิว
บทที่ 18 วันแรกที่มอสโก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว เสียงดังกึกก้องของเครื่องบินบนรันเวย์ยังคงก้องอยู่ในหู ถึงแม้ว่าเขาจะออกจากอาคารในสนามบินมาแล้วก็ตาม
“อืม ผมลงเครื่องแล้ว กำลังรับกระเป๋า” ลั่วชิวกำลังพูดกับปลายสายอย่างเนิบช้า
แต่ที่ปลายสายโทรศัพท์กลับพูดไม่หยุด “รอเดี๋ยว อากาศทางนั้นเป็นยังไงบ้าง? เธอเอาเสื้อไปพอแน่นะ? จะให้ฉันส่งไปให้อีกหรือเปล่า? กางเกงในล่ะ? กางเกงในพอไหม…นี่! อย่าตัดสายใส่ฉันนะ!!”
ตู๊ด!!
คุณสาวใช้หิ้วกระเป๋าถือใบหนึ่งยืนอยู่ข้างเจ้าของร้านลั่ว ก่อนยิ้มพูดว่า “คุณเริ่นเป็นห่วงนายท่านมากจริงๆ นะคะ”
ลั่วชิวเพ่งมองโยวเย่อยู่แวบหนึ่ง พูดเหมือนกำลังคิดอะไรว่า “ฉันรู้สึกว่า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเธอ ตอนที่อยู่หมู่บ้านตระกูลหลี่ว์เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
คุณสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์จริงใจกับเจ้าของสมาคมยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ความจริงก็ไม่ได้มีอะไรค่ะ คุณเริ่นแค่สอนเรื่องสนุกๆ บางอย่างให้ฉันเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเอง”
ลั่วชิวพูดอย่างแปลกใจว่า “หืม? ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแย่ก็ต้องพูดอะไรแย่ๆ ออกมาสินะ จะสอนอะไรให้เธอได้?”
โยวเย่มองลั่วชิวแป๊บหนึ่ง ยิ้มตาหยีพร้อมพูดว่า “หญิงอยู่บนชายอยู่ล่าง เจ้าแม่กวนอิมนั่งดอกบัว อืม…ฉันขอคิดดูหน่อย…”
เจ้าของร้านลั่วสังหรณ์ใจอยู่แล้วว่าคงไม่ใช่เรื่องดี สีหน้าเขาตอนนี้ก็บ่งบอกอย่างนั้น
เขากุมขมับตัวเอง ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “จองรถแท็กซี่เอาไว้ที่ไหน?”
“ข้างหน้านี้เองค่ะ”
ลั่วชิวมองด้านหลังของโยวเย่ที่เดินนำทางไป แล้วหัวเราะเบาๆ…เมื่อกี้เธอคงจะล้อเล่นสินะ?
ตั้งแต่เขาเป็นเจ้าของสมาคม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นโยวเย่หยอกล้อ
ลั่วชิวกำลังมองดูท้องฟ้าของมอสโก และคิดว่า…บางทีอาจเพราะได้กลับมายังสถานที่คุ้นเคยเช่นนี้
เดี๋ยวก่อน ทำไมโยวเย่ถึงเอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่น…
เรื่องสนุกๆ ล่ะ???
เจ้าของร้านลั่วผู้นิ่งขรึมเสมอมา บัดนี้มีสีหน้ากระวนกระวายใจอยู่ที่สนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโวนอกมอสโก
…
“พวกคุณมาที่นี่ครั้งแรกหรือครับ?”
คนขับรถแท็กซี่เป็นคนคุยสนุกคนหนึ่ง…โดยทั่วไปแล้วคนขับรถแท็กซี่วัยชราคงถูกตั้งค่ามาแบบนี้ล่ะมั้ง? ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้ว่าคนขับสูงวัยคนนี้มองเห็นท่าทางของเขาผ่านทางกระจกมองหลังได้
“มาทำงานหรือท่องเที่ยวครับ?”คนขับสูงวัยถามต่อ
โยวเย่ตอบส่งๆ ว่า “มาเที่ยวค่ะ…แล้วก็โชเฟอร์ ไม่ไปถนนสายนี้ได้ไหมคะ?ถ้าอ้อมโรงละครเพโทฟไป ฉันว่าน่าจะไวกว่าหน่อยนะคะ”
คนขับสูงวัยชะงักไป แต่ก็ไม่ได้อาย กลับหัวเราะฮาลั่น แล้วก็เปลี่ยนทิศทางไปขับอีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังรู้จักหาจังหวะโอกาสพูดคุยอีกว่า “พูดถึงโรงละครเพโทฟ พวกคุณลองหาเวลาไปดูบัลเล่ต์แบบดั้งเดิมของพวกเราสิ!ในถุงด้านหลังมีนามบัตรของผม ถ้าพวกคุณอยากได้บัตร ผมช่วยหาที่นั่งเจ๋งๆ ให้พวกคุณได้นะครับ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ จอดหน้าโรงละครได้ไหมครับ?” ลั่วชิวพูดขึ้นทันที “ผมอยากเดินเล่นสักหน่อย”
“ไม่มีปัญหาครับ!”
หลังจากผ่านไปไม่นาน คนขับรถก็บอกลา ด้วยหาลูกค้าที่นี่ยาก จึงขับรถตะบึงกลับไปสนามบิน เห็นได้ชัดว่าเขามองชีวิตในแง่บวกมาก
“นายท่าน อยากเข้าไปดูข้างในหน่อยไหมคะ?” โยวเย่ถามเบาๆ
ลั่วชิวมองวิวทิวทัศน์รอบๆ ก่อนส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เป็นไร แค่อยากหาที่ถ่ายรูปสักหน่อย ไว้ปิดปากคนพูดมากบางคน แล้วก็อยากจะแวะที่นี่ด้วย”
คุณสาวใช้เอียงหัวเล็กน้อย ไม่เข้าใจนิดหน่อย…แต่เธอก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว
ลั่วชิวมองไปทั่วลานเล็กๆ ด้านหน้าของโรงละครเพโทฟแห่งนี้ตามอำเภอใจ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินมุ่งตรงไปทางม้านั่งตัวหนึ่งที่อยู่รอบๆ ลาน
ม้านั่งตั้งอยู่รอบบ่อน้ำพุเล็กๆ แห่งหนึ่งเอาไว้ เตรียมไว้สำหรับให้คนที่เดินผ่านได้นั่งพักผ่อนช่วงที่คนไม่เยอะถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีทีเดียว อีกทั้งยังมีร่มเงาต้นไม้ด้วย
ลั่วชิวหยุดฝีเท้าที่ด้านหน้าม้านั่งตัวหนึ่ง
ตรงนี้มีผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสีขาว และผมยาวสีน้ำตาลแดงคนหนึ่งนั่งอยู่ หญิงสาวนั่งเงียบสงบบนม้านั่งยาวตัวนี้ ราวกับไม่เห็นคนที่เข้ามาใกล้เลย
“ผมนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ?”
หญิงสาวนิ่งอึ้งไป เงยหน้าขึ้นมาอย่างเผลอไผล เธอมองชายหนุ่มชาวตะวันออกคนหนึ่งที่ปรากฏตัวตรงหน้าเธอ แล้วยังมีหญิงสาวข้างๆ เขาอีก
“พวกคุณ…”
“พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวครับ” ลั่วชิวนั่งลงมา พูดเสียงเบาๆ ว่า “พวกเรามาตามที่ผู้มีปรารถนาเรียกหาครับ”
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ส่ายหน้าพลางพูดว่า “แต่ว่าฉันไม่ใช่คน บางทีฉันอาจไม่สมควรจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพียงแต่ว่า…”
เธอมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ที่ข้างหน้าบ่อน้ำพุนั้น ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังมองดูบ่อน้ำพุนี้เงียบๆ เช่นกัน…เหมือนเขาจะยืนอยู่ตรงนี้มานานมากๆ แล้ว
“เป็นห่วงเขาเหรอครับ?”
ผู้หญิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็ส่ายหน้า เธอมองดูลั่วชิว แล้วถามเสียงเบาๆ ว่า “พวกคุณช่วยฉันได้จริงๆ เหรอ?”
ลั่วชิวยื่นมือออกมา ผู้หญิงอึ้งไป หลังจากเธอลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็ยื่นมือของตัวเองออกมาช้าๆ นิ้วมือของหญิงสาวแตะกลางฝ่ามือของลั่วชิวเบาๆ
เหมือนกับสัมผัสไฟฟ้าไม่มีผิด หญิงสาวชักมือกลับมาทันที มีแววตาตกใจ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง…บนโลกยังมีการค้าขายแบบนี้อยู่อีกเหรอ?”
เธอส่ายหน้าอีกครั้ง “แต่ว่า ถ้าขนาดฉันก็ยังมีตัวตนอยู่ได้ล่ะก็…”
และในตอนนี้เอง ชายร่างสูงใหญ่ข้างๆ บ่อน้ำพุก็โยนอะไรบางอย่างลงในบ่อน้ำพุนี้ นั่นเป็นของที่ส่องแสงประกายสีเงินใต้แสงอาทิตย์
วินาทีที่เห็นผู้ชายโยนของสิ่งนี้ทิ้งไป ใบหน้าของผู้หญิงก็ฉายแววร้อนรนทันที ดูเหมือนกระวนกระวายใจ
เธอถึงขนาดลุกยืนขึ้น
แต่ทว่าชายร่างสูงใหญ่คนนั้นกลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหมุนตัวจากไป หญิงสาวก้มหน้า ใช้ทั้งสองมือกอดอกของตัวเองแล้วนั่งลง ใบหน้าแสดงความระทมทุกข์
“นั่นคงเป็นของที่คุณฝากฝังไว้ล่ะสิ” ลั่วชิวพูดเสียงแผ่วเบา
ผู้หญิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นั่นเป็นของขวัญที่เขามอบให้ฉันตอนแต่งงาน เพราะฉันเป็นคริสเตียนตั้งแต่เด็ก เขาเลยซื้อสร้อยนั่นให้ฉัน”
ใบหน้าของเธอราวกับอยู่ในห้วงคำนึง “ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เขาบอกกับฉันว่าจะพาฉันมาที่โรงโอเปร่านี้ ความจริงแล้วก็มีหลายครั้งที่พวกเราเฉียดมาที่นี่แล้วผ่านไป มักจะเป็นเพราะเหตุผลต่างๆ นานาที่ไม่ได้ทำสัญญานี้ให้เป็นจริง แล้วต่อมาฉันก็มาไม่ได้แล้ว”
เสียงของเธอเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนแผ่วเบาอย่างประหลาด สีหน้าดูเศร้าเล็กน้อย “แต่เจ้าโง่คนนั้นกลับมาที่นี่ทุกปี”
“แต่ปีหน้าเขาอาจจะไม่กลับมาแล้วใช่ไหม?”ลั่วชิวพยักหน้าพูด
ผู้หญิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่โทษเขาเลย เพราะฉันรู้ว่าเขาทำแบบนี้ก็เพื่อฉัน เพียงแต่…”
เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างแน่วแน่ แล้วจ้องมอง ‘นักท่องเที่ยว’ คนนี้ “ได้โปรด ช่วยเขาหน่อยได้ไหม?สิ่งที่เขาแบกรับมันมากเกินไป เขาใช้ชีวิตอยู่ในกรงที่ตัวเองสร้างขึ้น และติดอยู่ในนั้นมาโดยตลอด แล้วไหนจะลูกของเราอีก พวกเขาดูไม่ค่อยสนิทกันเลย”
ลั่วชิวเงียบไปสักพักแล้วพูดว่า “คุณคิดให้ดีนะครับ นอกจากตัวคุณเองแล้ว คุณไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนได้เลย…บางทีคุณอาจจะอยากเลือกอยู่แบบนี้ต่อไปก็ได้”
ผู้หญิงลุกขึ้นยืน ยื่นมือของตัวเองออกมา ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ทำให้พวกเขามีความสุขได้ไหมคะ?”
…
…
ลั่วชิวพับแขนเสื้อขึ้นมา เก็บสร้อยคอขึ้นมาจากกลางบ่อน้ำพุด้วยมือตัวเอง เขาชูขึ้นกระทบกับแสงพระอาทิตย์ สร้อยคอที่เต็มไปด้วยหยดน้ำส่องแสงระยิบระยับยิ่งกว่าเดิม จนถึงกับตาลายเล็กน้อย
“ไม้กางเขนเหรอครับ”
ลั่วชิวใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆ เช็ด แล้วหันมามองโยวเย่ ก่อนพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าเพิ่งลงจากเครื่องก็ได้ลูกค้าแล้ว”
คุณสาวใช้ดูพอใจ พร้อมพูดอย่างมีความสุขว่า “นายท่าน นายท่านโชคดีมากจริงๆ ค่ะ วิญญาณดวงนี้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าที่นายท่านเคยรับมาเลยค่ะ”
“หรือเกี่ยวกับความเชื่อ?” ลั่วชิวพูดเหมือนกำลังใช้ความคิด
โยวเย่รับสร้อยคอมาจากมือลั่วชิว พินิจพิจารณาอย่างละเอียดแล้วถึงตอบเบาๆ “บางทีรอให้แลกเปลี่ยนสำเร็จแล้ว ถึงจะรู้ได้ล่ะมั้งคะ”
ฉับพลันนั้นเอง ชายอายุราวสามสี่สิบปีที่ถือกระเป๋าเอกสารก็เดินเข้ามา
ผู้ชายที่มีใบหน้าของชาวตะวันออก
อากาศร้อนมากทำให้ผมที่ปรกหน้าของผู้ชายคนนี้เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ฉับพลันชายคนนั้นก็พูดว่า “ทั้งสองท่านครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นคนที่ไหนครับ?”
ใช้ภาษาจีนกลางที่สำเนียงชัดเจน
ไม่ว่าผู้ชายคนนี้มีแผนจะทำอะไร เจ้าของร้านลั่วก็มีแผนของตนแล้วเช่นกัน
ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “คุณครับ พวกเราอยากจะได้รูปสักใบ รบกวนคุณสักหน่อยได้ไหมครับ?”
“แน่นอนครับ! เรื่องเล็กแค่นี้เอง!”
ผู้ชายคนนี้…ยิ้มเหมือนคุณลุงอัธยาศัยดี รับมือถือไปแล้วเดินห่างออกไปหลายก้าว ขยับมือให้สัญญาณตะโกนว่า “อืม เขยิบใกล้กันอีกนิดครับ…อืม ใช้ได้แล้ว ชีส!”
บทที่ 19 วันถัดมาที่รัสเซีย บาทหลวง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แสงตะวันยามฟ้าสางเพิ่งสาดแสงลงมาได้ไม่นานเท่าไร แต่ก็ส่งให้ต้นหญ้าเล็กๆ บนสนามดูสดใสมีชีวิตชีวาได้เหมือนกัน และบนสนามหญ้าก็มีเงาเล็กๆ ของคนหนึ่งกำลังปีนข้ามรั้วอย่างงุ่มง่าม
คุณผู้หญิงซึ่งกำลังเตรียมพาลูกสาวไปโรงเรียนยังตะโกนชื่อของเงาร่างเล็กๆ คนนี้อย่างรวดเร็ว
เจ้าของสมาคมมองดูภาพตรงหน้าด้วยความสนใจยิ่ง ก่อนยิ้มด้วยเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย คิดว่าการแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาแบบเมื่อครู่นี้สุดยอดมากเลย
แม้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ดูจะเป็นเรื่องปกติของประเทศนี้ก็ตาม
ลั่วชิวส่ายหน้า มือไพล่หลังแล้วเดินตามร่างเล็กๆ คนนี้ไปพร้อมกับคุณสาวใช้ และถือโอกาสชื่นชมวิวข้างทางไปด้วย
ผ่านไปไม่นานนัก เจ้าของร้านลั่วกลับต้องหยุดฝีเท้าของตนเอง
บนทางเดินเล็กๆ ที่ปลูกต้นไม้ไว้สองข้างทางสายนี้ อันโตนิโอเพิ่งจะเดินผ่านไป บังเอิญมีชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำพิงอยู่ตรงต้นไม้ข้างทางเดินเล็กๆ นั่น
ชายชุดดำมือข้างหนึ่งถือหนังสือปกหนังสีดำหนาๆ เล่มหนึ่ง ท่าทางกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ
น่าจะอายุไม่ต่างจากลั่วชิวมากนัก ใบหน้ารูปไข่งดงาม ถ้าไม่ดูรูปร่างล่ะก็ คงนึกว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งเลยล่ะมั้ง?
ขณะที่เจ้าของร้านลั่วกำลังเดินไปเรื่อยๆ สายตาของเขาก็ทอดมองไปที่ชายผู้นี้…จนกระทั่งเขาใกล้จะเดินผ่านตรงที่ชายคนนี้พิงอยู่ ชายคนนี้ถึงได้ปิดหนังสือปกหนังสีดำในมือลง แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “สวรรค์คือดินแดนที่มีความสุขที่สุด ดวงวิญญาณที่เชื่อในพระเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือ ทุกคนสามารถขึ้นสวรรค์ได้ ผู้กระทำความผิดลบหลู่พระเจ้า ไม่สำนึกผิดปรับปรุงตัว หลังจากตายไปดวงวิญญาณจะได้รับโทษและตกนรก”
ลั่วชิวหยุดก้าวเดิน มองโยวเย่แวบหนึ่งด้วยความสนใจ แล้วเขาถึงได้มองชายหนุ่มคนนี้ มองสังเกตอย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง ถึงได้เห็นชัดๆ ว่า ตรงข้อมือสวมสร้อยข้อมือสีเงินไว้เส้นหนึ่ง และมีจี้ห้อยลงมา เป็นไม้กางเขนเหมือนกัน
การแต่งกายแบบนี้บ่งบอกสถานะของชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน พอนึกได้ว่าที่นี่คือมอสโก ลั่วชิวถึงได้เอ่ยปากพูด “นิกายออร์โธดอกซ์?”
ชายหนุ่มออกมาจากต้นไม้ที่พิง สองมือไพล่หลังเดินมาด้วยความมั่นใจในทุกฝีก้าว แล้วพูดขึ้นอีกว่า “สวรรค์คือที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้า หน้าบัลลังก์มีบรรดาทูตสวรรค์คอยรับใช้ พระเยซูนั่งด้านขวาของพระผู้เป็นเจ้า ในนั้น ‘ทองเหลืองอร่าม ฝังประดับเพชรพลอย’ ‘ทอดสายตามองดูทิวทัศน์งดงาม สดับฟังเสียงดนตรี ในทุกโสตสัมผัสรับรู้ได้ถึงความสุข’…”
ในที่สุดเขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลั่วชิวและโยวเย่ “ในนรกมีเปลวเพลิงที่ไม่มอดไหม้ไปทั่วทุกแห่ง มีงูใจทมิฬเหี้ยมโหดคอยกัดกินคน สำหรับผู้ที่ไม่อาจขึ้นสวรรค์ก็ได้ จะตกไปรับความทุกข์ยากในนรกชั่วระยะหนึ่งก่อน เพื่อฝึกฝนชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ หลังจากนั้นถึงได้ไปสวรรค์”
ชายหนุ่มพูดจบก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
ลั่วชิวกลับส่ายหน้าพูดว่า “ทุกโสตสัมผัสต่างรับรู้ถึงความสุขเหรอ? อืม…อันที่จริงสวรรค์เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนผมก็ไปไม่ได้เลย”
“พระผู้เป็นเจ้ายินดียกโทษให้ผู้ทำความผิดทุกคน” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ผมไม่เคยปฏิเสธผู้อยากล้างบาปด้วยใจจริง”
“อ้อ? งั้นก่อนอื่นผมคงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนสินะ?” ลั่วชิวถามด้วยความอยากรู้
ชายหนุ่มพูดอย่างเฉยเมยว่า “กรุณาส่งดวงวิญญาณของคามาลามา เธอเป็นศาสนิกชนผู้บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ขอเพียงปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในโลกมนุษย์นี้เสีย เธอก็จะได้ขึ้นสวรรค์ คุณไม่น่าตัดสิทธิ์เธอเลย”
“ผมก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์เธอ” ลั่วชิวยังคงส่ายหน้าตอบ “พวกเราแค่ช่วยให้เธอสมหวังเท่านั้น”
แต่ผมแค่ยังคิดไม่ออกว่าควรทำยังไงดี…เจ้าของร้านลั่วพูดต่อในใจ
ชายคนนี้กลับพูดว่า “ดวงวิญญาณของคามาลาวนเวียนอยู่ตลอด ไม่ยอมจากไปไหน ผมซึ่งเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้บังคับเธอ เพราะการอยู่อย่างอิสระของเธอมีเป้าหมายเพียงเพื่อรอคอยวันที่เธอจะสำนึกตัว เมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะได้ขึ้นสู่สวรรค์”
ลั่วชิวกลับเดินมาบอกว่า “ซึ่งก็หมายความว่า นับตั้งแต่กลายเป็นดวงวิญญาณ พวกคุณก็คอยเฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆ มาโดยตลอดเลยเหรอ?”
“ขอแค่ในใจของศาสนิกชนเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า เราก็จะปรากฏตัว” ชายหนุ่มพูดอย่างเรียบเฉย
“พวกเราก็คล้ายๆ กันนะ”
ลั่วชิวยิ้ม
ฉับพลันเขาก็นึกได้ว่าเมื่อก่อนเคยถือโอกาสอ่านข้อมูลในสมุดบัญชีเก่าๆ ที่ชั้นใต้ดินของสมาคมมาบ้าง
หลังจากออกจากอียิปต์…โมเสสใช้ดวงวิญญาณคนสองหมื่นดวง ทำให้น้ำในมหาสมุทรลดลงไปในคืนเดียว จนทะเลกลายเป็นพื้นดินแห้งๆ
…
“ดวงวิญญาณบริสุทธิ์ในสวรรค์คงมีมากมายเลยใช่ไหม” ลั่วชิวถามขึ้นทันที
เขามองชายชุดดำคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า นี่เป็นการสังเกตครั้งที่สามแล้ว เขาและโยวเย่กำลังเดินผ่านไปแบบ ‘ไร้ความรู้สึก’ ดังนั้นคนที่พอจะมองเห็นได้ หากไม่ใช่คนที่มีความปรารถนา งั้นก็คงเป็นพวกลึกลับซับซ้อนกว่าคนธรรมดาทั่วไปสักหน่อย
“พระเจ้ารักมนุษย์ และเปิดประตูสวรรค์ให้แก่คนที่ถวายตัวเป็นสาวกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดวงวิญญาณที่ได้รับความสุขย่อมมีมากมาย” บาทหลวงชุดดำพูดเสริมลอยๆ แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจคำถามก่อนหน้านี้ แต่คำตอบก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
จู่ๆ ลั่วชิวก็พูดขึ้นอีกว่า “คุณคิดว่าตัวเองก็จะได้ขึ้นสวรรค์ใช่ไหม?”
บาทหลวงหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “มีเพียงที่นั่นเท่านั้นถึงจะเป็นที่อยู่สุดท้ายของผม”
ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อยพลางพูดว่า “แบบนี้…เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะลองสวดภาวนาถึงพระเจ้าของคุณดูสักหน่อย หวังว่าท่านจะมีวิธีอำนวยความสะดวกนี้ให้กับผมได้ แต่เรื่องคุณคามาลา โปรดอภัยที่ผมไม่อาจส่งเธอให้ได้ ประการแรก เธอยังไม่ได้เป็นของผม แล้วระหว่างเราก็ยังมีข้อตกลงที่ยังทำไม่สำเร็จ”
“สำหรับคนที่ไม่รู้สำนึกปรับปรุงตัว คงได้แต่ให้แสงแห่งพระเจ้าสาดส่องไปทั่วหล้า ชำระความชั่วร้ายในจิตใจ” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางพูดว่า “ผมจะไม่สนับสนุนการใช้กำลัง”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็โบกสะบัดมือเบาๆ ในฝ่ามือกุมไม้กางเขนที่ห้อยอยู่ตรงข้อมือนั่น ไม้กางเขนกลายเป็นดาบรูปไม้กางเขนแสงสีทองเล่มหนึ่ง
ลั่วชิวพูดชื่นชมมากว่า “ผมก็ไม่ใช่พวกนิยมใช้กำลังเหมือนกัน”
ในชั่วพริบตานั้น เจ้าของร้านลั่วซึ่งมีรอยยิ้มน้อยๆ ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นฉับพลันทันที ราวกับเคลื่อนไหวในชั่วพริบตา
จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาประชิดตัวบาทหลวงโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้รูม่านตาของบาทหลวงชุดดำคนนี้หดลงทันที
แล้วเขาก็ใช้แค่นิ้วแตะไปบนดาบไม้กางเขนแสงสีทองในมือเบาๆ
“เพราะงั้น ไม่ใช้กำลังได้ก็อย่าใช้กำลังเลยแล้วกันนะ”
แล้วดาบไม้กางเขนสีทองก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตก ชิ้นส่วนแตกที่มีแสงสีทองยังไม่ทันที่จะได้ร่วงลงพื้นก็ปลิวหายไป
ระหว่างที่บาทหลวงชุดดำมัวตื่นตะลึงทำตัวไม่ถูก และถอยหลังไปหลายก้าว เขาก็แบมือข้างที่กำไม้กางเขนไว้ จี้รูปไม้กางเขนในมือแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว
“ถ้าวันนั้นคุณหวนนึกถึงเรื่องราวในวันนี้ ตอนที่คุณสวดภาวนาโปรดบอกพระเจ้าของคุณด้วยว่า อีกไม่กี่ปีพวกเราจะไปสวรรค์ เพราะใกล้จะถึงเวลาที่สวรรค์ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแล้ว…”
“ว่าไงนะ…”
ตอนที่ชายหนุ่มชาวตะวันออกตรงหน้าคนนี้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่าหน้าผากถูกแตะเบาๆ
ก่อนที่เขาจะสูญเสียการรับรู้ไป สิ่งที่เขาพอจะได้ยินก็คือคำพูดแบบนี้ ซึ่งสำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว…ช่างเป็นคำพูดที่ดูหมิ่นเหยียดหยามเหลือเกิน!!
…
เขาพาตัวบาทหลวงหนุ่มคนนี้กลับไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่พิงอยู่เมื่อครู่ ให้เขานั่งลงไปคล้ายนอนกลางวันอยู่
ลั่วชิวถึงได้มองคุณสาวใช้ด้วยความสงสัยพลางถามว่า “จะว่าไปแล้ว เมื่อก่อนตอนที่สมาคมเปิดร้านอยู่ที่นี่ ไม่เคยเจอการขัดขวางก่อกวนจากคนพวกนี้เลยเหรอ?”
โยวเย่ตอบว่า “นายท่านคนก่อนไม่ออกไปข้างนอกค่ะ ไม่เหมือนอย่างนายท่านคนนี้ที่ชอบเดินทางไปข้างนอก และทำข้อตกลงเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเวลาสั้นๆ ด้วย…เอ่อ แน่นอนว่านายท่านคนก่อนจงใจซ่อนตัวค่ะ เลยมีเจตนาปล่อยพวกเขาไว้เสมอมา…”
โยวเย่มองดูบาทหลวงหนุ่มที่หลับผล็อยไปคนนี้ แล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ยิ่งไปกว่านั้น คงเพราะว่าคุณบาทหลวงท่านนี้ยังหนุ่มเกินไปล่ะมั้งคะ คงยังเข้าไม่ถึงบางอย่างอยู่”
ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “เธอก็แค่พูดตรงๆ ว่าคนที่ชอบเตร็ดเตร่ไปเรื่อยอย่างฉันจะไปเหยียบกับระเบิดได้ง่ายมากก็จบแล้ว ฉันไม่ใช่พวกเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่สักหน่อย”
คุณสาวใช้ยิ้มอ่อนหวาน
พวกเขาทำเหมือนมาเดินเล่นกัน ระหว่างเดินก็พูดคุยกันไปด้วย แล้วก็เดินออกจากทางเดินเล็กๆ ที่มีต้นไม้ล้อมรอบสายนี้ ตอนที่เดินผ่านร้านสะดวกซื้อริมทางแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านลั่วก็เกิดอยากซื้อช็อกโกแลตมาแท่งหนึ่ง
…
ตอนที่อนาโตลี่ตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว เขารีบมองดูสถานที่ที่เขาอยู่ แล้วนวดระหว่างคิ้วของตนเอง
แต่ว่าในตอนนี้เองจู่ๆ ก็รู้สึกถึงสัมผัสแปลกๆ บางอย่างจากกลางฝ่ามือ ทำให้อนาโตลี่ถึงกับตกใจทันที
ตอนที่แบมือออก สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นเศษชิ้นส่วนที่แตกชิ้นหนึ่ง…ของจี้รูปไม้กางเขนที่เขาพกติดตัวมาโดยตลอด
บาทหลวงหนุ่มตกใจจนหน้าถอดสีทันที ถึงขนาดเหงื่อแตกท่วมตัว เขาไม่มีเวลาไปคิดว่าตนเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ เพราะอะไรถึงหลับไป แต่กลับรีบคุกเข่าสวดภาวนาอย่างไว
เพราะความเชื่อของเขาแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แล้วจริงๆ !
ในความเลือนรางนั้น อนาโตลี่รู้สึกว่าตนเองอาจจะลืมเรื่องราวบางอย่างไป
…
…
“คุณอยู่ที่ไหน?”
“คุณอยู่ที่ไหน?”
“เอาช็อกโกแลตไหม?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น