ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 129-136

 ตอนที่ 129 เธอเหมือนหญิงสาวแสนอ่อนโยนที่ถูกกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ เหรอ


 


 


หลินจยาอวี่เห็นว่าอวี๋กานกานมีสีหน้าหวาดผวา ใบหน้าเย็นชาของเธอฉายประกายความอบอุ่นออกมาเล็กน้อยพลางพูดปลอบ “คุณไม่ต้องกังวลเกินเหตุ มีฉันอยู่ทั้งคน ขอแค่คุณไม่ยอม พวกตระกูลเฉียวก็ไม่มีทางซื้อคลินิกของคุณไปได้”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ที่หลินจยาอวี่รู้จัก แต่ไหนแต่ไรเป็นพวกชอบทำตัวยิ่งใหญ่สูงส่ง หยิ่งผยอง ใช้อำนาจรังแกผู้อื่น เธอรู้จักเฉียวพั่นเอ๋อร์มาหลายปี ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นเธอไปหาเรื่องระรานผู้อื่น กิริยาท่าทางที่แสดงออกเต็มไปด้วยด้วยความดูถูกเหยียดยาม ส่วนอวี๋กานกานที่หลินจยาอวี่รู้จัก เธอเป็นคนอ่อนโยน เป็นหญิงสาวไร้เดียงสาที่มุ่งแต่จะรักษาผู้คน หากต้องรับมือกับเฉียวพั่นเอ๋อร์ อวี๋กานกานต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน


 


 


อวี๋กานกานไม่รู้เลยว่าตัวเธอที่อยู่ในความคิดของหลินจยาอวี่เป็นเพียงหญิงสาวแสนอ่อนโยนที่ถูกกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ เธอตกใจกลัวจนเย็นสะท้านไปทั่วแผ่นหลังก็จริง แต่เธอไม่ได้ตกใจกลัวตระกูลเฉียว เธอตกใจเรื่องแสวงหาผลประโยชน์โดยที่ไม่สนใจวิธีการต่างหาก เธอรู้สึกขอบคุณหลินจยาอวี่เป็นอย่างมาก อวี๋กานกานคลี่ยิ้มออกมาบางๆ กล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณนะ จยาอวี่”


 


 


เธอไม่เพียงแต่ต้องขอบคุณหลินจยาอวี่ยังต้องขอบคุณซูจือจิ่งด้วยที่อุคส่าห์แจ้งข่าวเรื่องนี้กับเธอก่อนล่วงหน้า เธอจะได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม


 


 


ตระกูลเฉียวอยากจะเปิดโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนทางด้านหย่างเซิง เปิดตรงไหนไม่เปิด ทำไมถึงต้องเลือกอวี่หมิงถางด้วย ทั้งยังมาในจังหวะที่อาจารย์หายตัวไป จังหวะที่ลุงใหญ่สรรหาทุกวิถีทางเพื่อจะขายคลินิก ทำไมจังหวะที่เกิดเรื่องพวกนี้มันถึงบังเอิญได้ขนาดนี้?


 


 


วันถัดมาเฉียวพั่นเอ๋อร์มาที่คลินิก อวี๋กานกานนึกไม่ถึงว่าการที่ตระกูลเฉียวต้องการจะซื้ออวี่หมิงถางถึงขั้นต้องให้เฉียวพั่นเอ๋อร์มาด้วยตัวเอง


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์กวาดตามองไปรอบๆ คลินิกหนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าในคลินิกมีคนไข้แค่คนเดียวพลันแสยะยิ้มเหยียด จากนั้นเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีตรงจุดรับรอง เธอไม่ได้มาเพียงคนเดียว ยังมีผู้ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปีตามมาด้วยหนึ่งคน สวมชุดสูท ถือกระเป๋าใส่เอกสาร เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ช่วยของเฉียวพั่นเอ๋อร์


 


 


“ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของที่นี่?” ผู้ช่วยของเฉียวพั่นเอ๋อร์ตะโกนถามเสียงดัง


 


 


อวี๋กานกานกำลังตรวจคนไข้อยู่จึงไม่ได้สนใจพวกเขา


 


 


ลุงหวังออกมาจากเคาน์เตอร์ยา เดินเข้ามาถาม “สองท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ”


 


 


“สวัสดี ผมแซ่โหยว เป็นผู้ช่วยของคุณหนูเฉียว นี่เป็นหนังสือแสดงเจตจำนงการซื้อขายของพวกเรา” ผู้ช่วยโหยวพูดกับลุงหวังพลางหยิบเอกสารชุดหนึ่งออกมาจากกระเป๋ายื่นมาตรงหน้า “ตอนนี้ช่องราคายังเว้นว่างไว้อยู่”


 


 


ลุงหวังสับสนงุนงง “หนังสือแสดงเจตจำนงการซื้อขาย คลินิกของเราไปประกาศขายตอนไหน” ลุงหวังหันไปมองอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานตรวจให้คนไข้เสร็จพอดี “หลังจากที่ฝังเข็มและรับประทานยาไปแล้วสองวัน ต่อมทอนซิลที่เป็นหนองตอนนี้เล็กลงสองในสามส่วนแล้ว ไข้ก็ลดแล้ว แต่ยังมีเสมหะอยู่ค่อนข้างเยอะ ฉันจะจ่ายยาให้คุณอีกห้าชุด หลังจากที่รับประทานครบแล้วก็จะหายดีกลับมาเป็นปกติ”


 


 


เธอพูดพลางหยิบปากกาเขียนใบสั่งยา ก่อนจะกล่าวต่อพร้อมกับเขียนไปด้วย “ห้ามกินอาหารที่จะกระตุ้นให้เกิดการระคายเคือง เช่น พริก กินผักผลไม้และอาหารที่มีวิตามินซีสูงให้เยอะๆ นะคะ”


 


 


อวี๋กานกานเซ็นลงบนใบสั่งยา จากนั้นยื่นให้กับคนไข้ พร้อมกับพูดกับลุงหวัง “ลุงหวังคะ จัดยาค่ะ”


 


 


ลุงหวังโยนหนังสือแสดงเจตจำนงกลับไปทางผู้ช่วยโหยว ลุกขึ้นยืนเดินไปยังเคาน์เตอร์ยา รับใบสั่งยาจากคนไข้จากนั้นเริ่มจัดแจงยาสมุนไพร


 


 


อวี๋กานกานเดิมมานั่งตรงข้ามเฉียวพั่นเอ๋อร์ เมื่อเฉียวพั่นเอ๋อร์เห็นว่าเป็นอวี๋กานกานแววตาของเธอฉายแววประหลาดใจ “เป็นเธอนี่เอง”


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้ม “สวัสดีค่ะ คุณหนูเฉียว”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์มองอวี๋กานกานตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เชิ่ดคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยอง “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะเป็นเพื่อนของจยาอวี่ นี่เป็นพรหมลิขิตอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 130 บังคับขาย


 


 


“ฉันก็คิดไม่ถึงเช่นกันค่ะว่าจะได้เจอคุณหนูเฉียวอีกครั้งเร็วขนาดนี้” อวี๋กานกานตอบพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ แม้ว่าเธอจะนั่งในอยู่ท่วงท่าสบายๆ ทว่าออร่ารอบๆ ตัว เมื่อเทียบกับเฉียวพั่นเอ๋อร์แล้วถือว่าสูสีใกล้เคียง


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์พูดอย่างวางอำนาจ “ในเมื่อเธอเป็นเพื่อนของจยาอวี่ งั้นก็คุยกันง่ายหน่อย ในส่วนของราคาขายฉันยินดีให้ราคาที่เธอพึงพอใจมากที่สุด”


 


 


อวี๋กานกานมองเฉียวพั่นเอ๋อร์อย่างขบขัน “คุณหนูเฉียว เหมือนว่าฉันจะไม่เคยบอกนะคะว่าจะขายคลินิกนี้”


 


 


เมื่อวันก่อนตอนที่รับประทานอาหารกับหลินจยาอวี่ ตอนที่เฉียวพั่นเอ๋อร์พูดถึงเรื่องแพทย์แผนจีนกับหลินจยาอวี่ เธอมีสีหน้าท่าทางดูหมิ่นดูแคลนสุดขีด แล้วทำไมจู่ๆ ถึงอยากเปิดคลินิกแพทย์แผนจีนขึ้นมา


 


 


“คลินิกของเธอฉันดูๆ แล้วกิจการไม่ค่อยดีเท่าไรนะ แทนที่ต้องมาเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน เป็นกังวลว่าจะเปิดต่อไม่รอด ไม่สู้ขายต่อให้คนอื่นจะได้หายใจให้คล่องคอขึ้นสักหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ” เฉียวพั่นเอ๋อร์ยิ้มแล้วกล่าว จากนั้นโยนหนังสือแสดงเจตจำนงการซื้อขายไปตรงหน้าอวี๋กานกาน


 


 


นิ้วมือของอวี๋กานกานวางลงบนหนังสือแสดงเจตจำนง จากนั้นดันออกไปเบาๆ “ขอโทษนะคะ คลินิกนี้ไม่ขาย”


 


 


“ไม่ขาย?” รอยยิ้มบนใบหน้าเฉียวพั่นเอ๋อร์หายวับไปในทันตาแทนที่ด้วยสีหน้าเย็นชาจองหอง จากนั้นค่อยๆ เอี้ยวขาขึ้นมาไขว่ห้างอย่างดัดจริต “ไม่ขายจริงๆ หรือว่าอยากได้ราคาที่สูงกว่านี้? ฉันบอกแล้วไงในเมื่อเธอรู้จักกับจยาอวี่ เรื่องราคาขายฉันย่อมไม่ทำให้เธอต้องผิดหวังแน่”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มอ่อน “คลินิกนี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันขายไม่ได้”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์มองอวี๋กานกานด้วยสายตาเย็นชา แค่นเสียงขึ้นจมูกดังเหอะ พูดถากถาง “บางครั้งการที่ลีลาท่าเยอะมากจนเกินไปก็อาจจะเสียมากกว่าคุ้มนะ”


 


 


“ฉันบอกว่าไม่ขายก็คือไม่ขาย ขายไม่ได้ก็คือขายไม่ได้ ถ้าคุณยังเข้าใจความหมายของฉันผิดอีก ฉันก็จนปัญญา” อวี๋กานกานเอียงศีรษะเล็กน้อย พร้อมกับแบมือทั้งสองออกไปด้านข้างเชิงว่าเอาที่คุณสบายใจเถอะค่ะ


 


 


 ครั้งนี้เฉียวพั่นเอ๋อร์เชื่อแล้วจริงๆ ว่าอวี๋กานกานไม่ขาย เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ ถาม “ไม่ขาย คลินิกของเธอทำเงินได้เท่าไรกันเชียว”


 


 


อวี๋กานกานตอบ “ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ทำเงินได้มากหรือน้อย”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์เบ้ปากดูถูก “คุณอวี๋ ฉันขอพูดด้วยความหวังดีนะ คลินิกแพทย์แผนจีนของพวกคุณทั้งเก่าและคร่ำครึสุดๆ เดิมทีก็ทำเงินอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แทนที่จะต้องมาทำงานหนักทั้งวันจนตัวเป็นเกลียว ทำไมไม่รู้จักปรับเปลี่ยนพลิกแพลงสักหน่อยดูล่ะ”


 


 


อวี๋กานกานไขว้แขนเป็นรูปกากบาทนิ้วชี้ทั้งสองส่ายไปมา สีหน้าไม่ใส่ใจ “ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะคะ แต่ว่า…ฉันไม่ต้องการ”


 


 


อวี๋กานกานแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะทนเสวนาต่อแล้ว เฉียวพั่นเอ๋อร์ประชันสายตากับอวี๋กานกาน แววตาของเฉียวพั่นเอ๋อร์ทั้งเย็นเยียบและแหลมคมราวกับใบมีดที่คมกริบ


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอแค่นเสียงดัง “เหอะ” ออกมา จากนั้นลุกขึ้นยืนปรายตาจากที่สูงลงมามอง กล่าว “คุณอวี๋ คำบางคำไม่ควรจะรีบพูดออกมานะคะ ฉันจะทิ้งหนังสือแสดงเจตนาซื้อขายฉบับนี้ไว้ที่นี่ คุณอวี๋ลองคิดให้ดี คิดถึงอนาคตของตัวเองให้มากๆ ในหนังสือแสดงเจตนาซื้อขายนี้มีเบอร์โทรศัพท์ของฉันอยู่ หากเปลี่ยนใจก็โทรติดต่อมาที่ฉันได้เลย”


 


 


เมื่อพูดทิ้งท้ายจบเฉียวพั่นเอ๋อร์หยิบกระเป๋า หมุนตัวบิดสะโพก กระแทกส้นสูงเดินนำผู้ช่วยออกไป ในวินาทีถัดมาอวี๋กานกานหยิบหนังสือแสดงเจตนาซื้อขายทิ้งลงถังขยะที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่ลังเล หางตาของเฉียวพั่นเอ๋อร์เหลือบไปเห็นเข้า เธอหยุดฝีเท้าลงทันที มือทั้งสองกำหมัดแน่น แววตาฉาบไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว เดินกระทืบเท้าเสียงดังปึงปังจากไป


 


 


ลุงหวังเดินเข้ามาหาอวี๋กานกาน มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปของเฉียวพั่นเอ๋อร์ แววตาปรากฏความกังวล “ดูทีท่าของพวกเขาแล้วเหมือนจะไม่ใช่พวกยอมรามือง่ายๆ”


 


 


อวี๋กานกานกล่าว “เมื่อมีข้าศึกใช้ขุนพลรับมือ เมื่อเกิดอุทกภัยใช้ดินป้องกัน[1]”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เมื่อมีข้าศึกใช้ขุนพลรับมือ เมื่อเกิดอุทกภัยใช้ดินป้องกัน หมายถึง เลือกใช้วิธีรับมือที่สามารถต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามได้



ตอนที่ 131 คนไข้พิลึก


 


 


“ลุงหวังไม่ต้องเป็นกังวลไป คลินิกไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” อวี๋กานกานยิ้มมุมปากออกมาบางๆ


 


 


“หนูเนี่ยนะ…” ลุงหวังส่ายศีรษะเบาๆ สีหน้าไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี เขาทำงานอยู่ที่คลินิกนี้มาหลายปี มีหรือจะไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนใจใหญ่ หลังจากเรียนจบก็มาประจำอยู่ที่คลินิก วันๆ เอาแต่ก้มหน้างกๆ รักษาคนไข้ ไม่รู้ว่าจิตใจมนุษย์นั้นแสนจะเ**้ยมโหด


 


 


“ลุงหวังคะ ไม่มีคนไข้แล้วอีกทั้งอากาศก็หนาวมาก วันนี้ลุงเลิกงานไวหน่อยก็ได้นะคะ” อวี๋กานกานรู้ว่าลุงหวังเป็นห่วงเธอ ที่จริงไม่ใช่ว่าเธอไม่เป็นกังวล เพียงแต่ว่าการที่ร้อนใจและเป็นกังวลจนเกินเหตุมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่วันยังค่ำ


 


 


ตอนยังเด็กเธอร้องไห้งอแงบ่อยมาก เนื่องจากเด็กคนอื่นมีทั้งพ่อและแม่แต่เธอกลับไม่มี ตอนนั้นคุณปู่มักจะเล่าเรื่องของเด็กกำพร้า เด็กที่ถูกหลอกไปขาย เด็กที่ยากจนแร้นแค้นว่าพวกเข้าต้องใช้ชีวิตอย่างตกระกำลำบากถึงเพียงใด เด็กเหล่านั้นไม่มีอะไรเลย แต่เธอยังมีคุณปู่ มีอาจารย์ มีครอบครัวของลุงใหญ่และเพื่อนบ้านใกล้เคียงในถนนหนานเจิ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย อย่างไรเสียเธอก็ยังมีครอบครัว คลินิกนี้คือบ้านของเธอ เธอไม่มีทางยอมขาย…เธอจะรักษามันไว้ให้ถึงที่สุด


 


 


ลุงหวังกล่าว “หนูยังมีคนไข้ที่นัดไว้อีกคนนี่”


 


 


อวี๋กานกานยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูจัดยาแทนเอง”


 


 


ลุงหวังเองก็ไม่ขัดอวี๋กานกานอีก เก็บข้าวเก็บของเลิกงาน เวลาเดินไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำ นี่ก็เลยเวลาที่นัดไว้แล้วทว่าคนไข้กลับยังไม่มา ผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง อวี๋กานกานคาดว่าคนไข้คนนั้นคงไม่มาแล้ว เพราะถ้าจะมาเขาต้องโทรศัพท์มาแจ้งก่อนแน่


 


 


เธอถอดชุดกาวน์สีขาวแขวนไว้ ในตอนที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมจะเลิกงาน ประตูคลินิกก็ถูกเปิดออก คนที่เดินนำเข้ามาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ แม้ว่าจะสวมใส่เสื้อแจ็กเกตกับกางเกงสแล็ก ทว่าท่าทางดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม เสียงเดินจากรองเท้าคอมแบทกระทบพื้นดังทึกทึก เขาเปิดประตูออกกว้างจากนั้นยืนตรงอยู่ตรงข้างประตู ตามมาด้วยผู้สูงอายุผมขาวโพลนคนหนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดถังจวง[1] รองเท้าผ้าแบบโบราณ ในมือถือไปป์หนึ่งตัว ค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า


 


 


อวี๋กานกานหยิบเสื้อกาวน์ที่เพิ่งถอดขึ้นมาสวมอีกครั้ง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ถามอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ ใช่คุณเฉินเจิ้งเหอที่นัดไว้หรือเปล่าคะ”


 


 


ผู้ชายคนที่สวมรองเท้าคอมแบทก้าวเท้าออกมา “ผมชื่อเฉินเจิ้งเหอ ผมเป็นคนนัดแต่คนที่จะให้คุณตรวจคือท่านผู้เฒ่าท่านนี้”


 


 


อวี๋กานกานนั่งลงผายมือไปยังเก้าอี้ตรงหน้าเชิญท่านผู้เฒ่านั่ง ท่านผู้เฒ่าไม่ได้นั่งลงในทันที เขายืนเอามือไขว้หลังมองสำรวจไปทั่วทั้งคลินิกหนึ่งรอบ จากนั้นถึงจะนั่งลงตรงหน้าอวี๋กานกาน


 


 


แม้ว่าผู้เฒ่าท่านนี้จะมีอายุมากกว่าหกสิบปี แต่แววตายังคงดุดันและเฉียบแหลม ร่างกายล้อมรอบไปด้วยรัศมีอันองอาจผ่าเผย ดูๆ แล้วไม่เหมือนเป็นพ่อหรือปู่ของคุณเฉินเจิ้งเหอ เหมือนลูกน้องกับเจ้านายมากกว่า


 


 


อวี๋กานกานถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ารู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอคะ”


 


 


ผู้เฒ่าชักสีหน้าเล็กน้อย ตอกกลับด้วยสีหน้าถมึงทึง “ถ้าฉันรู้ว่าไม่สบายตรงไหน ฉันจะมาหาเธอทำไม”


 


 


อวี๋กานกาน “…” คนคนนี้ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าร่างกายไม่สบายถึงได้มาหาหมอหรอกเหรอ มีคนที่สุขภาพแข็งแรงไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยตรงไหนมาหาหมอด้วยเหรอ คนไข้คนนี้ค่อนข้างพิลึกคน


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้ม ยื่นมือออกไปขยับเบาะรองแขนสำหรับตรวจชีพจรเชิงว่าให้ผู้เฒ่าวางมือลงมา “ฉันขอตรวจชีพจรดูสักหน่อยนะคะ”


 


 


ผู้เฒ่าวางแขนลงมา อวี๋กานกานตรวจชีพจรอย่างละเอียด ในตอนที่เธอจับชีพจรอยู่นั้น สายตาของเธอจ้องไปที่ใบหน้าของผู้เฒ่าตลอดเวลา ในระหว่างนั้นยังสั่งให้ผู้เฒ่าแลบลิ้นออกมาเพื่อที่เธอจะได้ตรวจดู  


 


 


 


 


——


 


 


[1] ชุดถังจวง ชุดในสมัยราชวงศ์ถัง เสื้อแขนยาว ปกตั้งตรงแบบคอจีน กระดุมใช้ผ้าถักเป็นปมร้อยเข้ากับรังดุม ผ้าที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นผ้าแพร


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 132 นอนไม่หลับก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง


 


 


หลังจากที่อวี๋กานกานตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว เธอชักแขนที่ตรวจชีพจรอยู่กลับ พูดอย่างนุ่มนวล “ผู้เฒ่าคะ อาการป่วยของคุณค่อนข้างรุนแรง…”


 


 


ผู้เฒ่าค่อนข้างแปลกใจ แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยนแต่แววตากลับปรากฏความประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง แต่ชายสวมคอมแบทที่ชื่อเฉินเจิ้งเหอ คิ้วดกดำราวกับขวานทั้งสองข้างของเขาเลิกขึ้นสูงทันที พูดแทรกอวี๋กานกานอย่างเดือดดาลเสียงดัง “เป็นไปได้ยังไง พูดจาเหลวไหล”


 


 


อวี๋กานกานมองเขาด้วยสีหน้าที่แปลกใจระคนตกใจ “…” เธอก็แค่พูดอาการที่เธอตรวจออกมาได้ อีกอย่างเธอยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ ทำไมถึงต้องด่าว่าเธอพูดจาเหลวไหลด้วย ถ้าพวกเขาไม่ได้ป่วยเป็นอะไรแล้วจะมาคลินิกของเธอทำไม หรือกินอิ่มพุงกางแล้วไม่มีอะไรทำเลยมาทัวร์แวะชมคลินิกสักหน่อย?


 


 


ผู้เฒ่าปรายตาไปมองเฉินเจิ้งเหอแวบหนึ่ง เขาไม่ได้กล่าวอะไรแต่กลับมีพลังอย่างน่าประหลาด ร่างกายของเฉินเจิ้งเหอยืนตรงโดยอัตโนมัติ ราวกับอยู่ในท่ายืนตรงของทหาร อกผายไหล่ผึ่ง เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อกี้ตนเองพูดจากระโชกโฮกฮากจนเกินไปจึงรีบขอโทษอวี๋กานกานทันที “ขอโทษครับ คุณหมออวี๋”


 


 


มุมปากของอวี๋กานกานยกยิ้มขึ้น อยากจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ค่อยออก “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงผู้เฒ่า ทำใจเชื่อไม่ลงว่าผู้เฒ่าป่วย แต่ว่าอาการป่วยของผู้เฒ่าค่อนข้างร้ายแรงเลยทีเดียว…”


 


 


เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ยอมรอให้อวี๋กานกานพูดจนจบ เฉินเจิ้งเหอกล่าว “ผู้เฒ่าเข้านอนเร็วตื่นแต่เช้าทุกวัน ทั้งยังหมั่นออกกำลังกาย ร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ขนาดหวัดยังไม่ค่อยเป็นเลย เมื่อสัปดาห์ก่อนไปตรวจสุขภาพมาก็ไม่พบปัญหาอะไร ทำไมคุณหมออวี๋ถึงบอกว่าอาการป่วยของผู้เฒ่าร้ายแรง”


 


 


ผู้เฒ่านั่งฟังพร้อมกับพยักหน้าอย่างช้าๆ ทั้งยังมองหน้าอวี๋กานกานต้องการคำตอบ “…”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


 ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยแต่กลับนัดให้เธอตรวจ? เธอแบมือทั้งสองออกไปทางข้างอย่างเหนื่อยหน่าย ย้อนถาม “ในเมื่อพวกคุณทั้งคู่คิดว่าไม่ป่วยแล้วพวกคุณมาหาฉันทำไม ฉันเป็นหมอนะคะ”


 


 


มองแวบเดียวก็รู้ว่าเฉินเจิ้งเหอเป็นชายชาตรีตัวใหญ่ที่ใสซื่อ นิสัยมุทะลุตรงไปตรงมา เขาแสดงอาการเลิ่กลั่กออกมาทันที


 


 


ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ใครเคยบอกหรือว่าไม่ป่วยหาหมอไม่ได้? อีกอย่างเมื่อครู่เธอตรวจเสร็จแล้วยังบอกอยู่หยกๆ ว่าฉันป่วย? แต่ว่าทุกวันนี้ฉันกินอิ่มนอนหลับ สีหน้าสดใส สุขภาพจิตปลอดโปร่งทั้งยังเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่เหมือนคนป่วยเกินเยียวยาสักนิด”


 


 


อวี๋กานกานปรับแก้ประโยคที่ผู้เฒ่าพูด “ผู้เฒ่าคะ ฉันไม่ได้พูดว่าคุณป่วยเกินเยียวยา ฉันพูดแค่ว่าอาการป่วยของคุณค่อนข้างรุนแรง”


 


 


ผู้เฒ่าถาม “แล้วมันต่างกันตรงไหน”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มเอือมๆ “ต่างกันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ป่วยเกินเยียวยาหมายถึงอาการป่วยนั้นร้ายแรงถึงขั้นหมดหนทางรักษา แต่อาการป่วยของผู้เฒ่าค่อนข้างรุนแรงซึ่งหมายถึงสามารถรักษาให้หายขาดได้” เธอเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “อีกอย่าง ผู้เฒ่านอนหลับเต็มอิ่มจริงๆ เหรอคะ”


 


 


สีหน้าของผู้เฒ่าตะลึงไปเล็กน้อย กล่าวอย่างช้าๆ “’งั้นเธอก็พูดมาสิว่าตกลงฉันป่วยเป็นโรคอะไร”


 


 


อวี๋กานกานมองตาของผู้เฒ่า กล่าวช้าๆ “ดวงตาของผู้เฒ่าแดงก่ำในปากมีรสขม ลิ้นแดงมีฝ้าสีเหลือง ชีพจรตึงและเต้นเร็ว เป็นอาการของคนที่นอนหลับไม่สนิทมาเป็นระยะเวลานาน”


 


 


ประโยคสำบัดสำนวนเช่นนี้ คนสมองทื่ออย่างเฉินเจิ้งเหอฟังเข้าไม่ใจ “หมายความว่าอะไร นี่มันโรคอะไร”


 


 


“ความหมายก็คือผู้เฒ่ามีอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรง ไม่ได้นอนหลับอย่างสนิทมานานหลายปีแล้ว ดูเหมือนคุณจะสนิทกับผู้เฒ่ามาก ต้องรู้อยู่แล้วว่าเขามีอาการนอนไม่หลับ ฉุนเฉียวโกรธง่ายมักจะควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง”


 


 


อวี๋กานกานใช้คำศัพท์ง่ายๆ อธิบายใหม่อีกรอบ ครั้งนี้เมื่อเฉินเจิ้งเหอได้ฟังก็เข้าใจในทันที ขมับของเขาเต้นตุบๆ ระรัวอยู่หลายครั้ง มองอวี๋กานกานอย่างตกตะลึง


ตอนที่ 133 รายงานโสวจั่ง[1]เป็นคุณชายหันครับ


 


 


อวี๋กานกานพูดถูก ผู้เฒ่าเป็นอย่างที่เธอกล่าวมาจริงๆ แต่พวกเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทั้งยังไม่คิดว่าอาการนอนไม่หลับ ฉุนเฉียวโกรธง่ายเป็นโรคชนิดหนึ่ง คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าแค่จับชีพจรเธอจะสามารถตรวจอาการออกมาได้มากถึงขนาดนี้ เด็กสาวคนนี้อายุยังน้อย จากภายนอกดูไม่ออกเลยว่าวิชาแพทย์จะยอดเยี่ยมถึงขั้นนี้แล้ว


 


 


ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “คนแก่หลับยาก ส่วนคนหนุ่มสาวตื่นยาก อายุมากแล้วนอนไม่ค่อยหลับก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ”


 


 


อวี๋กานกานกล่าว “ผู้เฒ่าคะ ความเครียดสะสมเป็นระยะเวลานาน วิตกกังวลมากเกินไปจะก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูงฯลฯ คุณอย่าคิดว่าตอนนี้ร่างกายแข็งแรงดีแล้วจะไม่เป็นอะไร คุณลองใช้มือกดลงบริเวณด้านหน้าของหัวใจ หรือก็คือบริเวณด้านซ้ายเยื้องเข้ามาด้านในของกระดูกอ่อนซี่โครงซี่ที่สอง ลองกดดูค่ะว่ามีความรู้สึกเจ็บหรือเปล่า”


 


 


ผู้เฒ่ามองอวี๋กานกานด้วยสายตาไม่เชื่อถือ จากนั้นยกมือขึ้นออกแรงกดลงไปเพียงเบาๆ พลันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทันที “โอ๊ย”


 


 


เฉินเจิ้งเหอตกใจ เผลอตะโกนเรียกตามสัญชาตญาณ “โสวจั่ง”


 


 


ผู้เฒ่ายกมือขึ้นมาปราม แสดงออกว่าไม่เป็นอะไร เขามองอวี๋กานกานแล้วถาม “นี่มันคืออะไร”


 


 


อวี๋กานกานเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อครู่นี้ถ้าเธอได้ยินไม่ผิดเฉินเจิ้งเหอเรียกผู้เฒ่าคนนี้ว่า ‘โสวจั่ง’ โสวจั่งเป็นคำใช้เรียกหัวหน้าด้วยความเคารพที่คนกองทัพใช่กันไม่ใช่เหรอ ผู้เฒ่าคนนี้หรือว่าจะเป็นทหารเก่าปลดเกษียณ?


 


 


ในอดีตคุณปู่เองก็เป็นทหารเหมือนกัน จู่ๆ อวี๋กานกานก็รู้สึกดีกับผู้เฒ่าคนนี้ขึ้นมา แววตาที่ใช้มองก็มีความรู้สึกเคารพและเลื่อมใสเพิ่มขึ้นมา เธอยิ้มแล้วกล่าว “ในตอนนี้ยังไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ เพียงแค่เลือดและพลังชี่ติดขัด แต่ถ้าหากสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคนี้ยังไม่ได้รับการรักษา อาการก็จะแย่ลงค่ะ”


 


 


เฉินเจิ้งเหอถาม “สาเหตุของโรคคือนอนไม่หลับ”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า เขียนใบสั่งยาไปด้วยพูดไปด้วย “นอนไม่หลับแบ่งออกเป็นหลายประเภท หัวใจและไตทำงานไม่สอดประสานกัน[2] เลือดและพลังชี่ติดขัด…แต่สาเหตุที่ผู้เฒ่านอนไม่หลับเกิดจากชี่ตับติดขัดก่อให้เกิดไฟ[3] มักจะมีสาเหตุมาจากความโกรธและความเครียด แม้ว่าจะจ่ายยาให้ได้ แต่ทว่ายาก็ไม่ได้ช่วยรักษาได้ทั้งหมด ผู้เฒ่าต้องเปิดใจและปล่อยวางเสียบ้าง…”


 


 


เมื่อผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที จากนั้นยืนขึ้นแล้วเดินจากไป


 


 


อวี๋กานกานชูใบสั่งยาที่เพิ่งเขียนเสร็จค้างอยู่กลางอากาศ เธอถูกผู้เฒ่าหัวเราะใส่จนจับต้นชนปลายไม่ถูก พิลึกคนจริงๆ


 


 


เฉินเจิ้งเหอที่กำลังเดินตามผู้เฒ่าออกไป จู่ๆ เขาก็วกกลับมาหยิบใบสั่งยาจากอวี๋กานกาน จากนั้นวางเงินไว้สองร้อยหยวน “ขอบคุณครับ คุณหมออวี๋”


 


 


“เดี๋ยวก่อนค่ะ” อวี๋กานกานหยิบธนบัตรร้อยหยวนหนึ่งในนั้นขึ้นมาเขียนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไป “ร้อยหยวนก็พอแล้วค่ะ ใบนี้ฉันคืนให้คุณ มีเบอร์โทรศัพท์ของฉันเขียนไว้อยู่ ถ้าผู้เฒ่าไม่สบายตรงไหนก็โทรมาปรึกษาฉันได้ค่ะ”


 


 


พวกเขาไม่ได้จ่ายยาให้ ความจริงไม่ต้องจ่ายแพงขนาดนั้น เฉินเจิ้งเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รับเงินมาแล้วกล่าว “ขอบคุณครับ คุณหมออวี๋” จากนั้นทำท่าวันทยหัตถ์ขอบคุณอวี๋กานกานก่อนจะถือเงินเดินจากไป


 


 


ด้านนอกคลินิกมีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ เฉินเจิ้งเหอขึ้นรถยื่นธนบัตรให้ผู้เฒ่า “นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของคุณหมออวี๋ครับ”


 


 


ผู้เฒ่าประเมิน “เป็นเด็กดีที่มีความละเอียดรอบคอบและมีความรับผิดชอบสูงคนหนึ่ง”


 


 


“แต่ทะนงตนใช้ได้เลยนะครับ…” เฉินเจิ้งเหอหัวเราะอย่างใสซื่อ เขาเหลือบสายตาขึ้นมองไปด้านหน้า ร่างกายแข็งทื่อไปเล็กน้อย “รายงานโสวจั่ง คุณชายหันครับ”


 


 


เมื่อผู้เฒ่าได้ยินจึงมองไปยังทิศทางดังกล่าวเห็นชายหนุ่มรูปงามท่าทางเย็นชา เขาแค่นเสียงขึ้นจมูกดังหึ “ออกรถ”


 


 


รถเก๋งเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ฟังจือหันที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าคลินิกหันมองไปตามสัญชาตญาณ นัยน์ตาลึกล้ำฉายแววความสงสัย


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] โสวจั่ง ชื่อเรียกผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งทางกองทัพที่อยู่ในระดับสูง แต่ไม่ระบุแน่ชัดว่าเป็นตำแหน่งอะไร


 


 


[2] หัวใจและไตทำงานไม่สอดประสานกัน เป็นอาการที่พลังหยินจากไตพร่องไม่สามารถขึ้นไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้เพียงพอ ทำให้พลังหยางที่หัวใจมีมากเกินไป ก่อให้เกิดอาการจิตใจไม่สงบ อารมณ์ร้อน


 


 


[3] ชี่ตับติดขัดก่อให้เกิดไฟ จะมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย ตึงแน่นและรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ลิ้นแดงและเป็นฝ้าเหลือง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 134 หนุ่มหล่อสาวสวย กิ่งทองใบหยก


 


 


อวี๋กานกานจ้องมองไปยังรูปร่างสูงใหญ่กำยำที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่คลินิก เธอส่งเสียงแปลกใจ “เอ๋ นายมาได้ไง”


 


 


 “คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าจะให้คุณตรวจก็ให้มาหาที่คลินิก?” น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยของฟังจือหันทำให้อวี๋กานกานนึกถึงคำพูดแสนคลุมเครือ ‘ดับไฟ’ เมื่อวันนั้นขึ้นมา


 


 


เธอตอบอย่างอึดอัดใจ “เอ่อคือ…ฉันเลิกงานแล้ว”


 


 


ฟังจือหันเห็นสีหน้าที่เคอะเขินของอวี๋กานกานเขารู้ได้อย่างทันทีว่าเธอคิดลามก มุมปากยกขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เขาใช้ท้องนิ้วมือลูบที่ปลายจมูกของเธอเบาๆ เรียกฉายาเดิมของเธอด้วยน้ำเสียงแฝงความนัยระคนเย้าหยอก “โรคจิตน้อย”   


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


อีกละ เอาแต่เรียกเธอแบบนี้อยู่ได้ เกินไปแล้วนะ


 


 


เกิดเส้นขีดสีดำพาดขึ้นทั่วบริเวณศีรษะของอวี๋กานกาน เธอฟาดฝ่ามือลงไปที่แขนของฟังจือหัน เตือนอย่างเดือดดาล “ทำไมนายเรียกฉันแบบนี้อีกแล้ว บอกแล้วไงว่าห้ามเรียก ฉันไม่ได้ไม่มีชื่อสักหน่อย”


 


 


เธอถลึงตาใส่ฟังจือหัน จากนั้นสะพายกระเป๋า สาวเท้าเดินไปด้านหน้าทันที


 


 


ฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเธอในหัวข้อนี้ต่อ แต่กลับถามออกมาหนึ่งประโยค “ก่อนที่ผมจะมา คุณเพิ่งส่งคนไข้คนหนึ่งใช่ไหม”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า “ใช่ เป็นผู้สูงอายุคนหนึ่ง ตอนที่เข้ามานายเจอเขาเหรอ”


 


 


ฟังจือหันถาม “ป่วยเป็นอะไร อาการหนักหรือเปล่า”


 


 


อวี๋กานกานเอ่ยเสียงเรียบ “โรคทั่วไปน่ะแต่อาการค่อนข้างรุนแรง สำหรับใครหลายๆ คนอาจจะไม่นับว่าโรคนี้เป็นโรคด้วยซ้ำ ผู้สูงอายุคนนั้นนอนหลับไม่สนิทมาเป็นระยะเวลานาน ฉันคิดว่านิสัยอันแปลกประหลาดน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เขานอนไม่หลับ”


 


 


 “นิสัยแปลกประหลาด?” ฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้น แค่นหัวเราะ


 


 


“ก็ใช่นะสิ เขามาให้ฉันตรวจแต่กลับบอกว่าตัวเองไม่ป่วย พอฉันตรวจพบอาการป่วยผู้ชายตัวโตข้างเขายังทำหน้าโกรธใส่ฉันอีก ตอนหลังจู่ๆ ชายชราคนนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วก็เดินออกไปเฉยเลย ส่วนผู้ชายตัวโตคนนั้นหยิบเอาใบสั่งยาฉันไปแต่ไม่ได้ให้ฉันจ่ายยาให้ สงสัยพวกเขาไม่เชื่อถือในวิชาแพทย์ของฉัน เลยจะเอาใบสั่งยาไปให้หมอคนอื่นตรวจสอบอีกทีถึงค่อยกล้าซื้อยา”


 


 


 ทั้งสองคนคุยไปพลางลงกลอนประตูคลินิกไปพลาง ทั้งคู่เดินกลับคอนโดมิเนียมไปพร้อมกัน ครั้งก่อนฟังจือหันขับรถยนต์มาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่คลินิก แต่ครั้งนี้เขานั่งรถแท็กซี่มากะจะเดินกลับพร้อมกับอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานเติบโตในถนนหนานเจิ้น มีเถ้าแก่ร้านค้าบริเวณรอบๆ หลายคนที่สนิทสนมกับอวี๋กานกาน โดยปกติเมื่อพบหน้ากันแค่ยิ้มนิดหน่อย พยักหน้าน้อยๆ ก็ถือว่าเป็นการทักทายกันแล้ว แต่วันนี้ต่างออกไป เนื่องจากอวี๋กานกานไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายมีฟังจือหันอีกคน เมื่อทุกคนเห็นอวี๋กานกานเดินกลับบ้านพร้อมกับชายหนุ่มรูปงาม สายตาต่างจ้องมองไปที่พวกเขาเป็นตาเดียว


 


 


เพื่อนบ้านทุกคนล้วนส่งเสียงทักทายอวี๋กานกาน แต่สายตาของพวกเขากลับจดจ้องไปยังฟังจือหัน นัยน์ตาปกปิดความสงสัยใคร่รู้ไว้ไม่มิด มีแม้กระทั่งคนที่ถามออกมาตรงๆ ด้วยความอยากรู้


 


 


“กานกาน เลิกงานกลับบ้านแล้วเหรอ”


 


 


“กานกาน นี่แฟนของหนูเหรอจ๊ะ”


 


 


“หนุ่มหล่อสาวสวย กิ่งทองใบหยก”


 


 


“ใช่ๆ พ่อหนุ่มวัยรุ่นรูปหล่อ งานแต่งงานอย่าลืมเชิญลุงไปดื่มเหล้ามงคลล่ะ”


 


 


ถนนหนานเจิ้นกว้างขวางมาก นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋กานกานรู้สึกว่าถนนเส้นนี้แคบเกินไปแล้ว เธอต้องรับมือกับเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านจนหน้าแดงแปร๊ด เขินอายเป็นอย่างมาก


 


 


เธอตำหนิฟังจือหันเสียงเบา “ทำไมวันนี้นายไม่ขับรถมา”


 


 


ฟังจือหันตอบ “รถยังซ่อมไม่เสร็จ”


 


 


อวี๋กานกานนึกถึงเรื่องที่เขาขับรถพุ่งเข้าชนรถของเหอหว่านซินขึ้นมาได้ ถามทันที “พังเพราะตอนที่ชนรถของเหอหว่านซินตอนนั้นใช่ไหม ฉันบอกนายไปตั้งนานแล้วว่าการสังหารศัตรูหนึ่งพันนาย สูญเสียกำลังพลแปดร้อยนาย วิธีนี้มันเป็นดาบสองคม ปกตินายก็ออกจะฉลาดนะ ทำไมครั้งนั้นถึงสะเพร่าซะได้” 



ตอนที่ 135 จูบทางอ้อม


 


 


ฝ่ามือของฟังจือหันวางลงบนศีรษะของอวี๋กานกานจากนั้นลูบเบาๆ “วางใจเถอะ แค่เอาไปซ่อมบำรุงตามปกติ”


 


 


อวี๋กานกานสะดุ้งโหยงเดินออกจากฟังจือหันไปไกล ราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ตื่นตกใจ “นายอย่าโดนเนื้อต้องตัวสิ คนอื่นเห็นเข้ามันจะดูไม่ดี”


 


 


ฟังจือหันหันกลับไปมอง พวกเขาเดินผ่านร้านน้ำจับเลี้ยงยี่ห้อเก่าแก่ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นคุณลุงท่าทางใจดีคนหนึ่งกำลังยิ้มให้เขาและอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานพยายามข่มความอายที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า โบกมือทักทายคุณลุง


 


 


ฟังจือหันเอามือสอดเข้ากระเป๋ากางเกง ถามเสียงเรียบ “คุณสนิทกับคนพวกนี้ทุกคนเลยเหรอ”


 


 


“ฉันเติบโตจากที่นี่ หลายปีมานี้เจ้าของร้านบางร้านปล่อยที่ให้คนอื่นเช่า ถ้าสักสองสามปีก่อนละก็ร้านค้าตลอดทั้งถนนเส้นนี้ไม่มีเจ้าของร้านไหนที่ฉันไม่รู้จัก” อวี๋กานกานพูดพลางชี้ไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่อยู่ด้านหน้า “นั่นเป็นร้านของคุณน้าหลิว พูดได้ว่าเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่อร่อยที่สุดในเมืองไป๋หยาง”


 


 


“งั้นคุณก็พาผมไปลองกินสิ” 


 


 


“ไม่ล่ะ” ความสัมพันธ์ของเธอและฟังจือหันกำลังตกเป็นเป้าให้เหล่าบรรดาเพื่อนบ้านคาดเดา ซุบซิบและหยอกล้อกันไปต่างๆ นานา หากเธอยังพาฟังจือหันไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านน้าหลิวอีกคงจะยิ่งไปกันใหญ่


 


 


ฟังจือหันไม่สนใจคำปฏิเสธของอวี๋กานกานเดินตรงเข้าไปในร้าน ร้านค้าเล็กๆ ตกแต่งเรียบง่าย แต่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทางด้านซ้ายเป็นโต๊ะติดกับทางเข้า ด้านขวาเป็นตู้กระจกที่ด้านในวางวัตถุดิบจำพวกเท้าไก่ตุ๋น เต้าหู้ตุ๋นเป็นต้น


 


 


เมื่อน้าหลิวผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเห็นอวี๋กานกานก็คลี่ยิ้มให้ทันที “อ้าวกานกาน วันนี้กินอะไรดีจ๊ะ” สายตาของน้าหลิวเองก็จดจ้องไปที่ฟังจือหันเหมือนกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ รูปร่างสูงใหญ่ ขาเรียวยาว หล่อเหล่ามีเสน่ห์ ไม่เลวๆ


 


 


ฟังจือหันทักทายน้าหลิวอย่างไร้สุ้มเสียงโดยการพยักหน้าให้อย่างมีมารยาท อวี๋กานกานอดทนข่มความรู้สึกแปลกประหลาดที่อยู่ในใจกล่าวทักทายน้าหลิว จากนั้นสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อสองชาม


 


 


“นั่งก่อนๆ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วจ้ะ” น้าหลิวยิ้มกรุ้มกริ่มให้ทั้งคู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวลงมือทำก๋วยเตี๋ยวด้วยตัวเอง


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวร้อนปุดๆ ชามหนึ่งถูกยกมาเสิร์ฟ บนเส้นก๋วยเตี๋ยวสีเหลืองและน้ำซุปสีแดงถูกโปะไว้ด้วยเนื้อวัวและพริกสีแดงสด สีสันน่ารับประทาน กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทุกสารทิศ กระตุ้นความอยากอาหารจนน้ำลายสอ


 


 


  อวี๋กานกานรู้สึกว่าภายในปากเต็มไปด้วยน้ำลายจนแทบจะล้นออกมา เธอหยิบตะเกียบขึ้นเตรียมจะกินก่อนทว่ากลับถูกฟังจือหันคว้าข้อมือเอาไว้ “จะกินเผ็ดอีกแล้วนะ”


 


 


“จะครบเดือนอยู่แล้ว กินเผ็ดนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


“ไม่ได้ ร่างกายของคุณยังไม่หายดี” ฟังจือหันไม่ยอมให้เธอกินเผ็ด เขาดึงชามก๋วยเตี๋ยวมาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง จากนั้นหันไปพูดกับน้าหลิว “อีกชามรบกวนไม่ใส่พริกนะครับ”


 


 


น้าหลิวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติคืนกลับมา “อ้อ ได้จ้ะ”


 


 


“ก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวไม่ใส่พริกมันไม่อร่อย ร่างกายของฉัน ฉันรู้ดีหน่า กินนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก” ในขณะที่อวี๋กานกานพูด สายตาของเธอจดจ้องอยู่ที่พริกในชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัว


 


 


ฟังจือหันเห็นเธอน้ำลายสออยากจะกินเป็นอย่างยิ่ง เขาคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวและเนื้อวัว จิ้มกับพริกยื่นมาตรงปากของอวี๋กานกาน           


 


 


ณ ขณะนั้นอวี๋กานกานไม่ได้คิดอะไรมากอ้าปากกินก๋วยเตี๋ยว เคี้ยวไปด้วยบรรยายความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวน้าหลิวไปด้วย เนื้อวัวหอมหวานนุ่มละมุน เส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียวนุ่มหนึบหนับ เมื่อกลืนลงไปจะมีความรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในช่องท้อง ช่างเหมาะกับฤดูที่หนาวจัดอะไรขนาดนี้


 


 


ในวินาทีถัดมาเธอเห็นฟังจือหันใช้ตะเกียบที่อยู่ในมือกินก๋วยเตี๋ยวต่อ ปากของเธอที่กำลังเคี้ยวหยุบหยับพลันแข็งค้างไปในทันที


 


 


หมอนี้เป็นโรคเจ้าสำอางไม่ใช่เหรอ


 


 


ทำไมถึงไม่เปลี่ยนตะเกียบ


 


 


แบบนี้มันก็จูบกันทางอ้อมนะสิ!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 136 ไม่ทันตั้งตัว คำเตือนเนื้อหาต่อจากนี้สวีทหวานมาก


 


 


มือข้างที่ถือตะเกียบของฟังจือหันชะงักไปเล็กน้อย เขาเองก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าพวกเขาใช้ตะเกียบร่วมกัน เขาหลุบสายตาลงต่ำปกปิดนัยน์ตาล่อกแล่ก จากนั้นมองไปที่อวี๋กานกาน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ น้ำเสียงนุ่มละมุมราวกับไวน์ชั้นดีที่มอมเมาผู้คนให้ลุ่มหลง “อนุญาตให้คุณกินเผ็ดน้อยได้”


 


 


บรรยากาศเงียบนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาของอวี๋กานกานค่อยๆ เปล่งประกายวับแวววาว เธอรีบหันศีรษะไปทางห้องครัวพลันตะโกน “น้าหลิวคะ เผ็ดน้อยนะคะ…”


 


 


“ได้จ้า” น้าหลิวตะโกนตอบกลับมาจากในห้องครัว เพียงครู่เดียวก๋วยเตี๋ยวชามที่สองก็ถูกยกมาเสิร์ฟ


 


 


ในตอนที่พวกเขารับประทานก๋วยเตี๋ยวมีลูกค้าคนอื่นมาเพิ่ม น้าหลิวจึงง่วนอยู่กับงานของตัวเอง อวี๋กานกานเห็นว่าฟังจือหันกินไปเพียงแค่ครึ่งชามก็ออกอาการไม่อยากกินต่อแล้ว เขาเตรียมจะวางตะเกียบลงบนถ้วย เธอรีบพูดทันที “นายอย่ากินทิ้งกินขว้างสิ กินให้หมด”


 


 


ฟังจือหัน “…”


 


 


อวี๋กานกานกดเสียงต่ำกล่าวต่อ “นายดูก๋วยเตี๋ยวในชามของลูกค้าคนอื่นสิ ไม่ค่อยเหมือนกับของพวกเราใช่ไหม ฉันจะบอกอะไรนายให้ น้าหลิวเขาแถมเครื่องให้พวกเรา ถ้านายกินไม่หมด นั่นเป็นการหักหาญน้ำใจของน้าหลิว”


 


 


ฟังจือหันเหลือบไปมองก๋วยเตี๋ยวในชามของลูกค้าคนอื่นๆ ไม่เหมือนกับชามของพวกเขาจริงๆ ด้วย ชามของพวกเขาปริมาณเส้นก๋วยเตี๋ยวและเนื้อวัวเยอะกว่าชามลูกค้าคนอื่นมาก เขาคีบก๋วยเตี๋ยวกินต่อ กล่าวเสียงนิ่ง “พวกเขาดีกับคุณมาก”


 


 


“ของมันแน่อยู่แล้ว ลุงป้าน้าอาในถนนเส้นนี้ทุกคนชอบฉันทั้งนั้น” อวี๋กานกานกินก๋วยเตี๋ยวเข้าไปหนึ่งคำ ยิ้มไปพร้อมกับพูด “ที่จริงเป็นเพราะคุณปู่ของฉัน เพื่อนบ้านที่รู้จักกันมานานในถนนเส้นนี้แทบจะทุกคนเคยมาหาปู่ของฉันเพื่อรับการรักษาแบบแพทย์แผนจีน ต่อมาอาจารย์ของฉันเริ่มมีชื่อเสียง ตอนที่พวกเขาอยากจะหาแพทย์แผนปัจจุบันก็จะมาปรึกษาอาจารย์ของฉัน จริงๆ แล้วก็คือเมื่อมีอาการป่วยมนุษย์เราก็มักจะหาคนที่สนิทใจสักคนมาเป็นจุดยึดเหนี่ยวให้ตัวเองสบายใจ…”


 


 


เมื่อพูดถึงประโยคนี้ อวี๋กานกานพลันเศร้าหมองลงทันที “ไม่รู้ว่าอาจารย์ฉันตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน เมื่อไรจะกลับมา”


 


 


แววตาของฟังจือหันจ้องมองไปที่อวี๋กานกานอย่างลึกซึ้ง “คุณเคยคิดไหมว่า ถ้าอาจารย์ของคุณไม่กลับมาอีก…”


 


 


อวี๋กานกานพูดขัดเขาทันที “เป็นไปไม่ได้ คุณปู่ให้อาจารย์เป็นคนดูแลฉัน เขาไม่มีทางไม่กลับมา” ทันใดนั้นเธอพลันนึกถึงเรื่องที่ฟังจือหันเคยพูดว่าจะช่วยเธอตามหาอาจารย์ หรือว่าเขาสืบเจออะไรบางอย่างแล้ว เธอกุมหัวใจของตัวเองไว้แน่น ถามฟังจือหันด้วยความเป็นกังวล “ทำไมนายพูดแบบนี้ นายรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอาจารย์ของฉันแล้วใช่ไหม”


 


 


ฟังจือหันตอบ “ไม่แน่ใจว่ามีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับอาจารย์ของคุณหรือเปล่า ผมตรวจสอบไปได้นิดเดียวเท่านั้น อาจารย์ของคุณหายตัวไปในกลางทะเล บนท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลคนคนหนึ่งจู่ๆ ก็หายตัวไป คุณไม่เคยนึกถึง…ความน่าจะเป็นเลยเหรอ”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


คนคนหนึ่งหายตัวไปอย่างกะทันหัน ไม่มีข่าวคราวใดๆ ทั้งสิ้น อวี๋กานกานรู้ดีว่านี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงอะไร แต่เธอไม่อยากจะตีตนไปก่อนไข้


 


 


“แต่ว่าอาจารย์ของคุณน่าจะไม่เป็นอะไร เพราะว่าที่ทะเลตอนนั้นเกิดคดีฆาตกรรมคดีหนึ่งขึ้น ได้มีการปฏิบัติการงมค้นหาบริเวณโดยรอบเป็นรัศมีกว่าร้อยไมล์ แต่กลับไม่พบศพใครทั้งนั้น”


 


 


เมื่ออวี๋กานกานได้ยินฟังจือหันพูดเช่นนี้ เธอพ่นลมหายใจพรูอย่างโล่งอก หาไม่เจอนั่นก็หมายถึงอาจารย์ยังไม่เป็นอะไร


 


 


นิ้วมือของฟังจือหันเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะสองครั้ง “เรื่องทั้งสองเรื่องนี้เกิดขึ้นแทบจะในช่วงเวลาเดียวกัน คุณคิดว่าอาจารย์ของคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมคดีนี้หรือเปล่า”


 


 


อวี๋กานกานจำได้ว่าตอนที่เธอหาข้อมูลเกี่ยวกับการสัมมนาวันนั้น เธอไม่เจอข่าวอะไรที่เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมเลย “ตอนนี้ที่นายหมายถึงคืออาจารย์ของฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม มีคนตาย ส่วนอาจารย์ฉันหายตัวไป นายกำลังจะบอกว่าอาจารย์ฉันเป็นคนฆ่า…” อวี๋กานกานวิเคราะห์ประโยคที่ฟังจือหันพูด เมื่อเข้าใจในความหมายที่เขาจะสื่อแล้ว เธอก็โกรธขึ้นมาทันที “อาจารย์ฉันไม่มีทางฆ่าคน!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม