เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 129-135

 ตอนที่ 129 ฉันมีความฝัน


 


 


หลินเช่อยังไม่แน่ใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ชายหนุ่มคว้ามือเธอไปแล้ว


 


 


แล้วเขาก็ทำมัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเอนกายลงบนผืนทราย หงายร่างสู้แสงแดด ท่าทีผ่อนคลาย หลินเช่อรีบดึงมือตัวเองกลับและร้องออกไปด้วยความโกรธว่า “คะ คะ คะ คุณ…แล้วทีนี้ฉันต้องทำยังไงล่ะเนี่ย…”


 


 


แต่ชายหนุ่มยังคงล่องลอยอยู่ในภวังค์ ในห้วงความรู้สึกอื่นที่ไม่ใช่เรื่องตรงหน้า


 


 


หลินเช่อจึงทำได้เพียงวิ่งกลับลงไปในทะเลและเริ่มวักน้ำชำระล้างตัวเองอย่างบ้าคลั่ง


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออารมณ์ดี เสียงหัวเราะทุ้มลึกของเขาดังก้องไปทั่ว


 


 


ชายหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น


 


 


การที่มีหลินเช่อช่วยกับการที่ต้องทำด้วยตัวเองเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


 


เขายังรู้สึกได้ถึงมือที่เรียวเล็กและอ่อนนุ่มของเธอ


 


 


ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งผ่อนคลาย


 


 


เมื่อได้เห็นหลินเช่อที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับการล้างเนื้อล้างตัว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นและเดินลงทะเลไปหา ช้อนร่างเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน


 


 


หลินเช่อร้อง เมื่อกู้จิ้งเจ๋ออุ้มเธอหมุนไปรอบๆ ชายหาด


 


 


ผิวเนื้อของเธอเสียดสีกับเขา หญิงสาวหน้าแดงเรื่อ ลมทะเลพัดโชย ชวนให้รู้สึกสบายยิ่งนัก


 


 


เธอร้องขึ้นว่า “ปล่อยฉันนะ นี่คุณทำอะไรเนี่ย”


 


 


“ไม่ดีเหรอ”


 


 


“ก็ดีน่ะสิคะ!” เธอบอกแล้วยกแขนขึ้นโอบรอบคออีกฝ่าย


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออุ้มเธอไว้ “ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันนานขนาดนั้น ฉันพยายามแล้วที่จะทำให้มันเรียบร้อยเร็วๆ”


 


 


“หยุดเลย ใครบอกให้พูดกันคะ” หลินเช่อฟาดไหล่เขาอย่างโกรธๆ


 


 


ชายหนุ่มหัวเราะเสียงระรื่น เขามีความสุขมากจริงๆ


 


 


หลินเช่ออดคิดไม่ได้ นี่มันรู้สึกดีจริงๆ น่ะเหรอ ทำไมเขาถึงได้ดูสบายอารมณ์ขนาดนี้


 


 


ให้ตายเถอะ ผู้ชายนี่นะ…ไม่ว่าจะฉลาดสักแค่ไหน ยังไงไอ้ร่างกายส่วนนั้นมันก็ยังมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่ดี


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออุ้มหลินเช่อหมุนไปรอบๆ “เอาล่ะ เพื่อเป็นการให้รางวัลเธอ ฉันสัญญากับเธอได้หนึ่งอย่าง”


 


 


หลินเช่อถาม “อะไรละคะ”


 


 


“อะไรก็ได้ เธอว่ามาเลย”


 


 


หลินเช่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคิดไม่ออก เพราะตอนนี้ในหัวเธอว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยนอกจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อครู่นี้ “อืม ตอนนี้ฉันยังคิดไม่ออกหรอกค่ะ เอาไว้เดี๋ยวค่อยบอกได้ไหมคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มอย่างใจดี “ได้สิ ฉันสัญญาเลย”


 


 


เขาวางเธอลง แล้วทั้งสองก็เดินเคียงกันไปบนชายหาด เพลิดเพลินกับลมทะเลและบรรยากาศที่แตกต่างไปจากที่บ้านของตัวเอง หลินเช่อพูดขึ้นว่า “ที่นี่ดีจังเลยนะคะ”


 


 


“คราวหน้าฉันจะพาไปที่ที่ดีกว่านี้อีก”


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้ฉันก็ชอบมากแล้วละ” เธอบอก


 


 


“เธอนี่เป็นคนพอใจอะไรง่ายจริงๆ เลยนะ” เขาพูดพลางมองหน้าเธอ


 


 


“ก็แน่สิคะ” หลินเช่อว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการเสียเมื่อไหร่ล่ะ คนอย่างพวกเราที่ไม่อาจทำอะไรตามความฝันได้ ก็ต้องพอใจกับอะไรง่ายๆ แบบนี้แหละ นี่คือความสุขของคนอย่างเรา”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธอก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เธออยากได้อะไรล่ะ ฉันช่วยเธอได้ทุกอย่าง”


 


 


หลินเช่อนิ่งไปครู่หนึ่ง และพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณไม่ต้องช่วยหรอก”


 


 


“ฉันพูดจริงๆ นะ” กู้จิ้งเจ๋อยืนกราน


 


 


หลินเช่อหันมองเขา สิ่งที่เธอต้องการนั้นแสนจะเรียบง่าย แต่กลับได้มากยากเหลือเกิน เธออยากมีใครสักคนให้รักและรักเธอเท่านั้นเอง


 


 


แต่ความฝันง่ายๆ ที่ว่านี้แหละ ที่ไม่อาจเป็นจริงขึ้นมาได้ตลอดชั่วชีวิตของคนอีกมากมายในโลก


 


 


หญิงสาวส่ายหน้าและตอบว่า “ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ความฝันบางอย่างมันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อคุณพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมา ถ้าหากว่าได้มาง่ายไป มันก็อาจจะไม่มีความหมายอะไรอีกเลยก็ได้ค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอ และคิดว่าคำพูดของหลินเช่อก็มีเหตุผลไม่น้อยทีเดียว


 


 


 


 


ตอนที่ 130 ครอบครัวเราเกลียดคุณหนูโม่


 


 


“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะพูดอะไรเข้าท่ามากๆ แบบนี้ออกมาได้นะเนี่ย” เขาเอื้อมมือไปจับศีรษะหลินเช่ออย่างเอ็นดู


 


 


“ก็แน่สิคะ ตาบ๊อง ก็ฉันบอกแล้วไงล่ะว่าความจริงแล้วฉันน่ะฉลาด เพียงแค่ดูซื่อบื้อเท่านั้นแหละ”


 


 


“ฮ่า ก็ฉันเห็นแค่ตอน ‘ซื่อบื้อ’ นี่นา ส่วนตอน ‘ฉลาด’ น่ะ…” หัวเราะหึ


 


 


“ไปให้พ้นเลย ฉันไม่สนใจคุณแล้วล่ะ เฮอะ เห็นมั้ยพอใช้งานฉันเสร็จก็เขี่ยทิ้ง”


 


 


เมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เขาใช้ให้เธอทำ หลินเช่อก็นึกอยากจะมุดดินหนีด้วยความอาย


 


 


เป็นครั้งแรกที่เธอเคยทำอะไรแบบนี้ให้ผู้ชาย เป็นครั้งแรกที่เธอได้แตะต้องร่างกายส่วนที่สำคัญที่สุดของผู้ชายด้วย โอ๊ย คิดแล้วจิตตกชะมัด


 


 


เขามีสิทธิ์อะไรมาใช้ให้เธอต้องทำเพื่อความสุขของเขาแบบนี้นะ


 


 


แล้วสุดท้าย เธอก็ไม่ได้อะไรตอบแทน เธอต้องเสียสละให้เขาฟรีๆ


 


 


แต่พอได้ลองคิดดูอีกที กู้จิ้งเจ๋อก็ดูมีความสุขผ่อนคลาย และหลินเช่อก็รู้สึกว่าเธอได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วในตอนนั้น


 


 


การได้เห็นเขามีความสุขมันทำให้สิ่งนั้นมีความหมายกับเธอไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามที


 


 


เมื่อหลินเช่ออยากจะลงไปเล่นน้ำอีกรอบ ชายหนุ่มจึงกำชับว่า “เธอว่ายน้ำไม่เป็น เพราะงั้นอย่าเพิ่งลงไปเลย เรากลับไปเล่นสระที่รีสอร์ตกันดีกว่า เธอจะได้หัดว่ายน้ำให้เป็นเสียก่อนแล้วค่อยกลับมาเล่นน้ำทะเลกัน”


 


 


หลินเช่อไม่อยากรอ แต่คนตัวใหญ่กว่าก็รั้งตัวเธอไว้เสียได้ทัน


 


 


ตกกลางคืน ทุกคนพักผ่อนอยู่ในห้องของตัวเอง


 


 


หลินเช่อเพลียหนักจากกิจกรรมที่ทำมาตลอดทั้งวัน จึงเข้านอนแต่หัวค่ำ เมื่อตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา เธอก็พบว่ากู้จิ้งเจ๋อออกจากห้องไปแล้ว


 


 


เธอเดินออกไปมองหาเขาข้างนอก ก็ได้พบกับมู่หว่านฉิงที่กำลังเดินชื่นชมสวนดอกไม้ แม่สามีของเธออยู่ในชุดลำลองสบายๆ ดูแตกต่างจากคุณนายกู้ที่มักจะดูหรูหราสง่างามตามปกติ


 


 


“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแม่” หลินเช่อร้องทักอย่างร่าเริงก่อนจะรีบเดินเข้าไปหา


 


 


มู่หว่านฉิงเองก็ดีใจที่ได้เจอหลินเช่อ “หลินเช่อ ทำไมตื่นเช้านักล่ะจ๊ะ”


 


 


“ค่ะ เมื่อคืนหนูเข้านอนแต่หัวค่ำน่ะค่ะ” หลินเช่อตอบพลางส่งยิ้มให้


 


 


ทั้งสองเดินสนทนาเคียงกันไป “จิ้งเจ๋อออกไปจัดการธุระเรื่องงานแต่เช้าน่ะจ้ะ ลูกคนนี้น่ะงานยุ่งอยู่ตลอดเวลาจนแทบจะไม่มีชีวิตเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ฉันดีใจมากเลยนะที่เขาเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานรวมญาติครั้งนี้จนทำให้ทุกคนสนุกกันมาก ปกติแล้วเขาไม่เคยชอบเทศกาลแบบนี้แล้วก็ไม่ชอบเข้าไปวุ่นวายใกล้ชิดกับใครด้วย พอได้มาอยู่กับเธอแล้ว เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ เลยละจ้ะ”


 


 


หลินเช่อมองด้วยสายตางุนงง “เขาเป็นคนจัดการงานรวมญาติครั้งนี้เหรอคะ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ เขาโทรหาฉันแล้วก็ถามว่ามีแผนอะไรสำหรับงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงหรือยัง พอฉันบอกว่ายังไม่ได้วางแผนอะไรไว้ เขาก็เลยเสนอว่าทำไมเราไม่มาเที่ยวภูเก็ตกันล่ะ”


 


 


หลินเช่อนึกแปลกใจ ตอนที่กู้จิ้งเจ๋อบอกเธอเรื่องนี้ มันฟังดูราวกับว่าทุกอย่างถูกตระเตรียมโดยครอบครัวของเขา เธอก็เลยยอมมาด้วย


 


 


หญิงสาวจึงถามย้ำให้แน่ใจ “งั้นเขาก็เป็นคนวางแผนทริปนี้สินะคะ…”


 


 


ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงกลายเป็นคนที่เข้าใจยากมากขึ้นทุกทีนะ


 


 


มู่หว่านฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ถึงยังไง ก็ต้องขอบใจเธอนั่นแหละจ้ะ ถ้าเขาไม่ได้อยู่กับเธอละก็ เขาคงไม่มีทางเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้แน่”


 


 


หลินเช่อยิ้มอายๆ


 


 


ใช่สิ เวลาอยู่กับเธอน่ะ อีตานั่นบทบาทมากออกจะตาย ทำตัวเป็นลูกชายผู้แสนดีและสามีผู้รับผิดชอบ ก็ต้องดูเปลี่ยนไปอยู่แล้วละ


 


 


หลินเช่อหันไปหาแม่สามี “อันที่จริงแล้ว…ความสัมพันธ์ของกู้จิ้งเจ๋อกับคุณหนูโม่เองก็ไม่ได้แย่อะไร ใช่ไหมคะ”


 


 


ทันทีที่ได้ยินชื่อของโม่ฮุ่ยหลิง มู่หว่านฉิงก็รีบพูดขึ้นโดยไว “นี่จิ้งเจ๋อเล่าให้เธอฟังเรื่องโม่ฮุ่ยหลิงเหรอจ๊ะ ตายจริงลูกคนนี้ ทำไมเขาถึงเล่าให้เธอฟังนะ พวกเราน่ะไม่เคยชอบโม่ฮุ่ยหลิงเลย หล่อนเอาแต่ใจแล้วก็เจ้าบทบาทมากเกินไป ส่วนอีตาจิ้งเจ๋อจอมบื้อนี่ก็เอาแต่ทำงานงกๆ ไม่เคยได้คบหาผู้หญิงคนอื่นเลย เขาเลยไม่เคยรู้ว่าผู้หญิงน่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนที่สุดบนโลก ซับซ้อนยิ่งกว่าการเจรจาธุรกิจของเขามากนัก แล้วมันก็เป็นความผิดของเราด้วยแหละจ้ะที่ทิ้งภาระความรับผิดชอบของตระกูลกู้เอาไว้ให้เขาเพียงคนเดียว เพราะแบบนี้เขาก็เลยไม่ค่อยจะได้สนุกกับชีวิตมากนัก เขาไม่ค่อยได้มีโอกาสรู้จักผู้หญิงสักเท่าไหร่…”


 


 


หลินเช่อยังคงแปลกใจ “แต่ว่า…คุณแม่คะ หนูก็ยังคิดว่าครอบครัวอย่างตระกูลกู้นี่ น่าจะอยากคบหาแต่กลับคนที่มีสถานะทางสังคมเท่าๆ กันไม่ใช่เหรอคะ”


 


 


มู่หว่านฉิงยิ้ม “เท่าๆ กันมันก็ดีจ้ะ แต่ถ้ามันไปกันไม่รอด เราก็จะไม่บังคับ เรื่องนี้มันมีทั้งข้อดีแล้วก็ข้อเสีย มีผู้หญิงมากมายอยากจะแต่งงานเข้าตระกูลกู้ของเรา แต่ฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าพวกเธอแค่สนใจในเงินทองแล้วก็อำนาจของเราเท่านั้น การแต่งงานเข้าตระกูลมาก็เป็นเรื่องดีสำหรับเรา แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นลูกชายของฉัน ฉันจะปล่อยให้เขาต้องเผชิญกับชีวิตที่เลวร้ายไม่ได้หรอกจ้ะ”


 


 


มู่หว่านฉิงลูบไหล่หลินเช่อ “ตอนที่ฉันได้พบเธอเป็นครั้งแรกน่ะ ฉันรู้ในทันทีว่าเธอไม่เหมือนคนอื่นเธอเข้มแข็งกว่าโม่ฮุ่ยหลิงมาก ผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าจิ้งเจ๋อทำตัวเป็นคนหนึ่ง พอลับหลังก็เป็นอีกคน หล่อนคิดว่าฉันดูไม่ออก แต่ตลอดทั้งชีวิตฉันน่ะเคยเจอผู้หญิงมาแล้วทุกประเภท ทำไมหล่อนถึงคิดว่าฉันไม่รู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่ได้ยังไงนะ”


 


 


มู่หว่านฉิงยังคงพูดถึงโม่ฮุ่ยหลิงด้วยความไม่ชอบใจ “เมื่อก่อนน่ะ โม่ฮุ่ยหลิงจะทำตัวเป็นผู้หญิงเจ้าระเบียบเจ้ายศเจ้าอย่างเวลาอยู่บ้าน หล่อนจะจู้จี้จุกจิกกับบรรดาสาวใช้ในทุกเรื่อง ถ้าผู้หญิงแบบนี้เข้ามาในตระกูลกู้ละก็คงเกิดหายนะแน่”


 


 


เมื่อมู่หว่านฉิงหันมามองหลินเช่อ สายตาของเธอก็อ่อนโยนลง “แต่เธอน่ะแตกต่างออกไป เธอไม่เสแสร้ง จริงใจ รู้ว่าควรพูดจายังไง นอกจากตัวฉันแล้ว ทั้งคนดูแลบ้านแล้วก็คนใช้คนอื่นๆ ทุกคนก็ล้วนแต่ชอบเธอกันทั้งนั้น”


 


 


“คุณแม่คะ คุณแม่ใจดีเหลือเกินค่ะ ชมหนูจนตัวจะลอยอยู่แล้ว”


 


 


มู่หว่านฉิงบอก “ฉันจะบอกความจริงให้ก็ได้นะจ๊ะ พวกเราทุกคนน่ะเกลียดโม่ฮุ่ยหลิงกันจะตาย เพราะฉะนั้นเธอต้องรีบเข้ากับจิ้งเจ๋อให้ดีกว่านี้แล้วก็รีบมีลูกกันเร็วๆ …”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อคิด ถึงคนอื่นในครอบครัวจะเกลียดโม่ฮุ่ยหลิงแล้วยังไงล่ะ ตราบใดที่กู้จิ้งเจ๋อรักหล่อน ใครจะทำอะไรได้ จริงไหม


 


 


ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลยจนนิดเดียว


 


 


ในวันที่สองของทริปนี้ ประมุขประจำบ้านตระกูลกู้ก็ตามมาสมทบด้วย


 


 


เขามองดูสมาชิกของครอบครัวมาที่รวมกันอยู่พร้อมหน้าอย่างมีความสุข ก่อนจะแจงอั่งเปาให้กับทุกคน


 


 


หลินเช่อแง้มดูในซองแล้วก็ต้องกระโดดตัวลอยด้วยความยินดี


 


 


“โอ๊ยตายแล้ว คุณปู่ของคุณนี่สุดยอดไปเลยนะคะ เขาให้บ้านเราทั้งหลังหน้าตาเฉยแบบนี้เลย ต่อไปคุณควรจะจัดงานรวมญาติแบบนี้บ่อยๆ นะ”


 


 


“ดูความหน้าเงินของเธอเข้าสิ เธอมีสุดยอดสามีแห่งประเทศ C อยู่ตรงนี้ทั้งคน ยังมัวมาดีใจที่ได้บ้านหลังเดียวอยู่อีก ถ้าขืนให้คนอย่างเธอทำธุรกิจละก็มีหวังคงโดนเขาหลอกไปทั้งชีวิต”


 


 


หลินเช่อเงยหน้ามองอีกฝ่ายตาเขียว “ก็ฉันดีใจนี่!”


 


 


หลินเช่อมองดูชายหนุ่มแล้วก็นึกถึงคำพูดของมู่หว่านฉิงขึ้นมาได้ เธอจึงพูดขึ้นว่า “ว่าแต่คุณแม่บอกว่าคุณเป็นคนจัดงานรวมญาติครั้งนี้นี่คะ กู้จิ้งเจ๋อ ไหนคุณบอกว่าครอบครัวจะจัดงาน แล้วทำไมอยู่ๆ คุณถึงกลายเป็นคนจัดงานรวมญาติเสียเองแบบนี้ล่ะ”


 


 


ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังถือถ้วยชา


 


 


เขาหันมามองหน้าหลินเช่อ ก่อนจะวางถ้วยชาลงและตอบว่า “ก็เพื่อความกลมเกลียวของคนในครอบครัว นี่เป็นสิ่งที่หัวหน้าครอบครัวควรทำไม่ใช่เหรอ ทำไมล่ะ”


 


 


หลินเช่อคิดว่าคำแก้ตัวของเขาก็ไม่ได้มีอะไรผิด ถึงแม้ว่าจะฟังดูทะแม่งๆ อยู่บ้างก็ตาม


 


 


“แต่คุณแม่บอกว่าคุณไม่เคยสนใจทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เธอยังบอกอีกด้วยนะ ว่าคุณน่ะเกลียดงานรวมญาติออกจะตาย” หลินเช่อจาระไนฉอดๆ


 


 


สายตาของเขากวาดดูเธอ “เธอคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเธอที่โตแต่ตัว แต่ไม่มีหัวคิดรึไงล่ะ คนเราก็ต้องค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ฉัน…ฉันเองก็เติบโตขึ้นเหมือนกัน ตอนนี้ฉันเข้าใจความสำคัญของครอบครัวแล้ว แล้วมันไม่ดีตรงไหนกัน”


 


 


เมื่อเห็นหญิงสาวอ้าปากจะเถียงต่อ เขาก็ยกแขนขึ้นพาดคอเธอไว้และมองหน้าเธอให้หยุดพูด มือเขาบังเอิญสัมผัสถูกใบหน้าของหลินเช่อ เมื่อก้มลงมอง เขาก็รู้สึกได้ว่า ใบหน้านั้นทำให้เขารู้สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วอยู่ๆ ร่างกายเขาก็เริ่มคิดถึงความรู้สึกในตอนนั้น…


หลินเช่อมองเขา “โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”


 


 


เขาก็จัดการในสิ่งที่เขาอยากจะจัดการนั่นแหละ ผู้ชายคนนี้สามารถหาข้ออ้างได้สารพัดถ้าเขาอยากจะหาเหตุผลขึ้นมา


 


 


ด้วยเหตุนี้ หลินเช่อจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ


 


 


วันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างเตรียมตัวกลับบ้าน


 


 


มู่หว่านฉิงแทบทนไม่ได้ที่ต้องแยกกับหลินเช่อ เธอบ่นกระเง้ากระงอดกับหนุ่มสาวทั้งสองว่ามัวแต่ทำงานยุ่งอยู่ตลอดเวลาจนไม่ได้พบหน้ากันเลยทั้งที่อยู่ใกล้กันเพียงนิดเดียวแท้ๆ และยังย้ำให้หลินเช่อไปเยี่ยมบ่อยๆ ซึ่งหญิงสาวก็รับคำเป็นอันดี


 


 


จากนั้นผู้เป็นแม่สามีก็ขึ้นเครื่องไปก่อน หลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อตามไปทีหลัง


 


 


บนเครื่องบิน หลินเช่อเอาแต่เลือกดูภาพถ่ายบนชายหาดอย่างขะมักเขม้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า “สวยทุกรูปนั่นแหละน่า ไม่ต้องเลือกหรอก”


 


 


หลินเช่อบอกว่า “แหม ผิวฉันนี่ดีจังเลยนะคะ เลยออกมาดูดีทุกรูปเลย


 


 


นั่นเป็นความจริง


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อก็อดกระแนะกระแหนไม่ได้ว่า “นี่เธอกลายเป็นพวกหลงตัวเองไปแล้วนะ”


 


 


หญิงสาวเงยหน้ามองคนพูด “แหม ก็คิดว่าไงละคะ ถ้าฉันสามารถหาสามีดีๆ อย่างคุณได้ นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วไงล่ะว่าฉันเองก็ไม่เลวอยู่เหมือนกัน”


 


 


ดวงตาชายหนุ่มเป็นประกายวับเมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้นแต่ก็ไม่อาจจะหาถ้อยคำมาโต้แย้งได้ “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอกนะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังพูดต่อไปอีกว่า “นั่นอาจจะเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของเธอก็ได้”


 


 


“หือ”


 


 


“เธอเป็นคนโชคดีน่ะสิ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้เธอได้เจอฉันไงล่ะ”


 


 


“ไปให้พ้นเลยไป”


 


 


ในเวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้าน หลินเช่อเปิดดูข่าวและได้เห็นรายการเรียลลิตี้โชว์ที่เธอไปร่วมกำลังออกอากาศอยู่ มีผู้คนพากันเข้ามาแสดงความเห็นเกี่ยวกับท่าทางโก๊ะๆ บ๊องๆ แต่น่ารักของเธอกันมากมาย และมีกระทั่งภาพเธอตอนเปลือยหน้าสดต่อหน้าทุกคนแบบเต็มๆ เกือบทุกคนพากันชมชอบเธอ จะมีบ้างก็พวกที่อดหมั่นไส้ไม่ได้และพากันค่อนขอดว่าเธอทำศัลยกรรมพลาสติกมาเสียจนแทบดูไม่ได้ โดยเฉพาะจมูกที่ดูยังไงก็ปลอมเห็นๆ


 


 


หลินเช่อคิดเศร้าๆ คนพวกนี้นี่ใจร้ายกันเสียจริง ต่อให้เธอนึกอยากจะโกหกและอยากจะเห็นจริงๆ ว่าการศัลยกรรมจะช่วยเปลี่ยนโชคให้เธอได้ขนาดไหน เธอก็ไม่มีเงินจะไปทำอยู่ดีนั่นแหละ พวกเขาคิดว่าการทำศัลยกรรมนี่เป็นของที่ทำกันง่ายๆ หรือไงนะ กว่าจะได้หน้าสวยๆ ออกมานี่ต้องจ่ายเงินไม่น้อยนะยะ


 


 


ฉินหวานหว่านชวนเธอออกไปกินอาหารเย็นด้วยกันคืนนี้ หลินเช่อไม่ได้คิดอะไร การออกไปกับหล่อนคงจะช่วยให้เธอได้รู้จักสังคมให้กว้างขึ้นกว่าเดิม เพราะหลินเช่อยังเป็นหน้าใหม่ในวงการ แวดวงคนรู้จักของเธอยังแคบเหลือเกิน และเธอก็รู้จักคนเพียงไม่มาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีนักสำหรับอนาคตของตัวเธอเอง


 


 


นอกจากนี้ หลินเช่อยังคิดว่าฉินหวานหว่านเป็นคนดีทีเดียว หญิงสาวหวังว่าจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากหล่อนให้มากกว่านี้


 


 


ด้วยเหตุนี้ เมื่อตกกลางคืน หลินเช่อจึงตรงไปที่คลับ ลักษณะของคลับนี้เป็นแบบห้องสังสรรค์ส่วนตัว เธอได้เห็นผู้คนจากวงการบันเทิงมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่


 


 


ฉินหวานหว่านนั่งลงที่บาร์เครื่องดื่มแล้วพูดกับหลินเช่อว่า “ในนี้ไม่มีนักข่าวเข้ามาได้ เพราะฉะนั้นเธอสบายใจได้เลยจ้ะ คนในวงการส่วนใหญ่ก็มาสนุกกันที่นี่นี่แหละ เดี๋ยวเธอก็ค่อยๆ รู้จักคนมากขึ้นไปเอง”


 


 


ตรงกลางห้อง มีบรรดานักแสดงรุ่นใหญ่หลายคน บางคนเดินเข้ามาทักทายฉินหวานหว่าน


 


 


หลินเช่อหันมองอีกฝ่ายอย่างนึกอิจฉา “เธอนี่ดีจังเลยนะ ฉันไม่รู้จักใครที่นี่สักคน ฉันแย่มากเลยกับเรื่องนี้ เฮ้อ”


 


 


“แรกๆ ฉันเองก็เป็นคนไม่เข้าสังคมเหมือนกันนั่นแหละ แต่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากนั้นเอง ไม่เป็นไรน่า ฉันจะค่อยๆ สอนเธอนะ” ฉินหวานหว่านแตะไหล่หลินเช่ออย่างปลอบใจ


 


 


แต่แล้วก็มีเสียงใครบางคนร้องเรียกขึ้นมาจากทางด้านหลัง “หลินเช่อ มาทำไมที่นี่น่ะ”


 


 


หญิงสาวหันไปตามต้นเสียง แล้วเธอก็ได้เห็นกู้จิ้ิ้งอวี่กำลังเดินตรงเข้ามา


 


 


หลินเช่อร้องทักอย่างประหลาดใจ” ทำไมคุณถึงมาที่นี่ละคะ น่าแปลกจัง ฉันรู้สึกอย่างกับคุณเป็นเงาตามตัวฉันงั้นแหละ ถึงได้บังเอิญเจอกันอยู่เรื่อยแบบนี้”


 


 


กู้จิ้ิ้งอวี่นั่งลงก่อนจะตอบว่า “ฉันน่ะนานๆ จะมาที่นี่สักที ถ้าเธอได้เจอฉันแบบนี้ก็แปลว่าชะตาเรามันถูกลิขิตให้ต้องเจอกันต่างหากล่ะ จะแปลกใจไปทำไม”


 


 


“ใครจะไปอยากโดนลิขิตให้ต้องเจอคุณไม่ทราบคะ ให้ตายสิ”


 


 


การได้เจอกู้จิ้ิ้งอวี่หมายถึงการต้องตกเป็นข่าวพาดหัวและโดนรุมด่าทอจากบรรดาแฟนๆ ของเขา แค่คิด หลินเช่อก็เพลียจะแย่แล้ว


 


 


กู้จิ้ิ้งอวี่ถามต่อไปอีกว่า “แล้วเธอรู้จักที่นี่ได้ยังไง”


 


 


นั่นแหละหลินเช่อจึงนึกขึ้นได้และรีบหันไปแนะนำบุคคลที่เป็นผู้ชักพาเธอมา “นี่ฉินหวานหว่านค่ะ”


 


 


กู้จิ้ิ้งอวี่เหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างหลินเช่อและยิ้มให้ “โอ้ หวัดดี”


 


 


ฉินหวานหว่านรีบพูดทันที “กู้จิ้ิ้งอวี่คะ ฉันเป็นแฟนตัวยงของคุณเลยละค่ะ ฉันได้ดูทั้งหนังทั้งรายการทีวีของคุณมาเพียบ ฉันไม่แน่ใจว่าคุณได้ข่าวมาหรือยังนะคะ ว่าเราอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันแน่ะ”


 


 


กู้จิ้ิ้งอวี่ยิ้ม “อ้อ จริงเหรอ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับงาน ทางบริษัทจะเป็นคนจัดการให้น่ะ ฉันก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกัน”


 


 


ฉินหวานหว่านฉีกยิ้ม “งั้นฉันหวังว่าทุกอย่างจะลงตัวนะคะ”


 


 


“อืม”


 


 


ฉินหวานหว่านดูกระตือรือร้นอย่างยิ่ง หล่อนร้องสั่งเครื่องดื่มและอาสาเป็นเจ้ามือ กู้จิ้ิ้งอวี่พูดคุยต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะกระซิบกับหลินเช่อว่า “นี่จะไม่กลับบ้านเหรอ ฉันจะไปส่งเธอเอง” เมื่อหลินเช่อเห็นว่าเป็นเวลาดึกพอสมควรแล้ว เธอจึงหันไปบอกฉินหวานหว่านว่า “ฉันขอกลับก่อนละนะจ๊ะ” ฉินหวานหว่านมองทั้งสองคนแล้วพูดอย่างเสียดายว่า “พวกคุณนี่เป็นนักปาร์ตี้ที่ไม่เอาไหนเลยน้า ช่างเถอะ เอาไว้คราวหน้าเรานัดกันอีกนะคะ”


 


 


“โอเค”


 


 


ฉินหวานหว่านลุกขึ้นและเดินมาส่งคนทั้งสอง ขณะที่กู้จิ้ิ้งอวี่ไปเอารถ หล่อนก็แตะไหล่หลินเช่อและถามว่า “ดูเหมือนว่าเธอจะสนิทกับกู้จิ้ิ้งอวี่จังเลยนะ”


 


 


หลินเช่อตอบ “ก็คงงั้นแหละจ้ะ”


 


 


ฉินหวานหว่านว่า “ปกติแล้วกู้จิ้ิ้งอวี่เขาจะดูเย็นชา ไม่ค่อยจะเป็นเพื่อนกับใครง่ายๆ แม้แต่กับฉันเขาก็ยังไม่ค่อยจะแยแสเลย เห็นมั้ย”


 


 


หลินเช่อยิ้มแหย “เขาออกจะเป็นคนแปลกๆ น่ะ แต่ถ้าสนิทกันแล้วเขาก็เป็นมิตรใช้ได้อยู่นะ นี่เธอกำลังจะได้ร่วมงานกับเขาไม่ใช่เหรอ ตอนที่ถ่ายทำเสร็จ ตอนนั้นพวกเธออาจจะสนิทกันมากกว่านี้ก็ได้”


 


 


ฉินหวานหว่านยังบ่นต่อ “แหม แต่ฉันอิจฉาเธอจังที่ได้เป็นเพื่อนกับดาราดังระดับนี้ ไม่เลวเลยนะ”


 


 


“ก็ใช่แหละ แต่เราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แค่เคยคุยกันบ้างเท่านั้นเอง”


 


 


“นี่เธอยังไม่เข้าใจนะเนี่ย การได้รู้จักมักคุ้นกับดาราระดับนี้น่ะไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาชอบคบหาแต่เฉพาะคนในแวดวงระดับเดียวกัน ครอบครัวของกู้จิ้ิ้งอวี่เองก็ร่ำรวยมาก เฮ้ๆ แล้วนี่ข่าวลือของเธอกับกู้จิ้ิ้งอวี่ล่ะเป็นข่าวลวงจริงหรือเปล่า อันที่จริงเธอบอกฉันได้นะ ฉันไม่บอกใครหรอกจ้ะ”


 


 


“ก็ต้องเป็นข่าวลวงสิ เธอเองก็เห็นแล้วนี่จ๊ะ ว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน!” หลินเช่อรีบบอก


 


 


“ก็ได้ๆ ไปเถอะ อย่าให้เขารอนาน แล้วคราวหน้านัดกันก็พาเขามาด้วยนะ”


 


 


“โอเค…”


 


 


หลินเช่อบอกลาฉินหวานหว่าน ก่อนจะเดินแยกออกมาขึ้นรถของกู้จิ้ิ้งอวี่ เธอบอกชื่อถนนที่จะให้ไปส่ง แล้วจากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ทำไมเธอถึงมากับผู้หญิงคนนั้นล่ะ”


 


 


หลินเช่อตอบ “เราไปออกรายการเรียลลิตี้เดียวกันมาน่ะค่ะ แล้วเขาก็ดูแลฉันเป็นอย่างดีแถมยังต้อนรับฉันดีมาก มากชนิดนี่ฉันยังไม่สามารถทำได้ขนาดนั้นเลย”


 


 


กู้จิ้ิ้งอวี่ตอบ “นี่เธอพูดจิงหรือเปล่าเนี่ย…ด้วยระดับสติปัญญาอย่างเธอแล้ว จะเป็นการดีกว่าถ้าเธอไม่เข้าไปใกล้ชิดคนแบบนั้นนะ เพราะถ้าโดนหลอกขึ้นมาเธอก็คงไม่รู้ตัวหรอก”


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอกน่า…ฉันจะโดนหลอกได้ยังไงกัน แล้วพวกคุณทั้งหลายก็ช่วยเลิกพูดว่าฉันเป็นพวกไอคิวต่ำสักทีนะคะ”


 


 


กู้จิ้ิ้งอวี่ว่า “ยังมีคนอื่นที่เห็นตรงกับฉันด้วยเหรอเนี่ย งั้นแสดงว่าไอคิวเธอก็คงแย่จริงๆ …แต่ยังไงก็ตาม อย่าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้หญิงคนนั้นนักจะดีกว่านะ”


 


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เขาทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก ฉันรู้สึกไม่ค่อยชอบเลย”


 


 


หลินเช่อจึงสวนให้ว่า “ฉันก็ไม่เคยเห็นคุณจะชอบใครเลยนี่คะ…”

 

 

 


ตอนที่ 132 ความรักที่เรียบง่ายและงดงาม

 

“ฉันชอบคนซื่อบื้อแบบเธอมากกว่า” กู้จิ้ิ้งอวี่หันมาลูบหัวเธอ


 


 


“โอ๊ย คุณนั่นแหละซื่อบื้อ พวกคุณก็ซื่อบื้อกันทั้งบ้านนั่นแหละ!” หลินเช่อแหวออกมาเสียงดังสนั่น


 


 


ไม่ช้ารถก็มาถึงจุดหมาย กู้จิ้ิ้งอวี่ส่งเธอลงข้างถนนแล้วขับออกไป


 


 


เมื่อเข้าบ้านมา หญิงสาวก็พบว่ากู้จิ้งเจ๋อกำลังรอเธออยู่ เขานั่งอยู่บนโซฟา ยกเท้าขึ้นพาดโต๊ะ ก้มหน้าอ่านหนังสือ


 


 


เมื่อเห็นหลินเช่อกลับบ้านตั้งแต่เพิ่งจะสามทุ่ม เขาก็ลุกขึ้นแล้วถามขึ้น “ทำไมถึงกลับมาเร็วนักล่ะ ฉันคิดว่าจะต้องรอจนสี่ทุ่มเสียอีก”


 


 


หญิงสาวไม่รู้จะตอบยังไง เป็นความผิดของกู้จิ้ิ้งอวี่นั่นแหละ ที่อยู่ๆ ก็ลากเธอกลับบ้านอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อาหารไม่ค่อยอร่อยน่ะ ก็เลยกลับเร็ว”


 


 


“แล้วนี่ได้กินอะไรหรือยัง”


 


 


“กินแล้วละค่ะ ฉันไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปคว้าเสื้อโค้ตและพูดว่า “เดี๋ยวฉันไปเอารถ แล้วเราออกไปหาอะไรกินกัน”


 


 


“อา แต่นี่ดึกแล้วนะคะ…”


 


 


“ไปเถอะ” เขาออกเดินไปที่ประตูและลากหลินเช่อตามไปด้วย


 


 


เธอเดินตามไปพลางแหงนหน้ามองไปพลาง และถามว่า “เราจะไปกินอะไรกันคะ ฉันไม่รู้จะกินอะไรดี”


 


 


“คิดสิ เราจะกินอะไรก็ได้ที่เราอยากกิน” เขาตอบ


 


 


หลินเช่อนิ่งคิดอย่างไม่แน่ใจนัก “ฉัน…ฉันอยากกินซุปหมาล่าน่ะค่ะ คุณอาจจะไม่ชอบ…”


 


 


“อะไรนะ”


 


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “มันคืออะไรน่ะ”


 


 


หลินเช่ออธิบาย “มันเป็นอาหารว่างชนิดหนึ่ง”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังไม่หายสงสัย “ฟังดูไม่น่าจะเข้าท่าเลย…”


 


 


“งั้นก็ช่างเถอะค่ะ…” เธอก็คิดอยู่เหมือนกันแหละว่าเขาคงไม่กินอาหารแบบนี้ “กินอะไรก็ได้ค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธอนิ่งนานก่อนจะจูงเธอให้เดินต่อ “ไปกันเถอะ แล้วเราจะไปหาซุปหมาล่ากินได้ที่ไหนล่ะ ฉันเองก็อยากลองเหมือนกัน”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อก็รีบตอบด้วยความยินดี “โอเคเลย ตกลงค่ะ ฉันรู้จักร้านอร่อย ชอบไปกินบ่อยๆ ตอนที่ยังเรียนหนังสือ มันเป็นร้านริมถนนแถวโรงเรียนฉันน่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะและยอมตามเธอไปแต่โดยดี


 


 


เขาขับรถรวดเดียวก็มาถึงย่านขายอาหารริมถนนใกล้โรงเรียน พวกเขามองเห็นกลุ่มนักเรียนที่ยืนห้อมล้อมกันอยู่เต็มหน้าร้านได้แต่ไกล หลินเช่ออวดอย่างภูมิใจว่า “เจ๋งไปเลยใช่ไหมละคะ แค่มาอยู่ตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองตาม บรรยากาศบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัยเยาว์จริงๆ เสียด้วย เขาจอดรถเลยออกไปหน่อยเพื่อที่ผู้ติดตามของเขาจะได้สามารถตามมาห่างๆ ได้ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์แตกตื่นโกลาหลที่ได้เห็นบอดี้การ์ดคณะใหญ่


 


 


เมื่อจอดรถเรียบร้อย ทั้งสองก็พากันเดินไปตามถนน หลินเช่อเล่าว่า “โรงเรียนของฉันเคยอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ เห็นมั้ยคะ นั่นโรงละครของโรงเรียน นั่นมหาวิทยาลัยประจำเมือง ส่วนโน่นก็มหาวิทยาลัย H แล้วก็มหาวิทยาลัย Q ตั้งเรียงอยู่ตลอดถนนเส้นนี้ทั้งเส้น ที่นี่ก็เลยมีคนพลุกพล่านมาก”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้า ถนนแม้จะไม่ค่อยสะอาดนักแต่ก็มีชีวิตชีวาดี ขณะเดินเคียงกันไป พวกเขาก็แลเห็นบรรดานักศึกษาชายหญิงเดินพูดคุย กินอาหาร จับมือ หัวเราะคิกคักกัน ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศที่พิเศษมาก


 


 


หลินเช่อถามขึ้น “คุณคงไม่เคยเจออะไรแบบนี้ตอนที่ไปเรียนต่างประเทศสินะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ใช่ ส่วนใหญ่ฉันใช้เวลาอยู่แต่ในมหาวิทยาลัยน่ะ ไม่ค่อยได้ออกมาเดินเตร็ดเตร่นักหรอก”


 


 


หลินเช่อถากถาง “พวกเด็กเรียนก็แบบนี้แหละ อ่า…ฉันน่ะโดดเรียนออกไปหาอะไรกินเป็นประจำเลยค่ะ แล้วก็ไม่ได้สนใจจะกลับเข้าชั้นเรียนต่อด้วย” พูดจบหญิงสาวก็รีบยกมือปิดปาก ทำหน้าขัดเขิน “ฉันหมายถึง นานๆ ครั้งฉันก็โดดเรียนบ้างน่ะค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้า “เอาเถอะ ไม่ต้องมากลบเกลื่อนหรอก ด้วยสติปัญญาอย่างเธอน่ะ ฉันว่าถึงเรียนไปก็คงไม่ได้ซึมซับอะไรหรอก เสียเวลาเปล่าๆ”


 


 


“นี่ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยนะคะ…” หลินเช่อทำตาขวางใส่


 


 


แล้วหนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินผ่านมา เด็กสาวนั้นถือไอศกรีมและกำลังมองฝ่ายชายด้วยสายตาเว้าวอน ต่างฝ่ายต่างก็หัวเราะต่อกระซิกต่อกันไม่แคร์สายตาคนอื่น ราวกับไม่มีใครอื่นใดอีกแล้วในโลกนี้


 


 


สองมือสอดประสานเกาะกุมกันแนบแน่น


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง มือของหลินเช่อกำลังแกว่งไปมาอยู่ข้างตัวเขาไม่ยอมอยู่นิ่งๆ แถมบางครั้งเธอก็ยังเร่งฝีเท้าจนเร็ว บางทีก็ผ่อนจนช้า ท่าทางสบายอกสบายใจยิ่งนัก


 


 


มือของเขาแตะโดนมือเธอ ร่างกายของเขาสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะก้มลงมอง แต่แล้วในจังหวะต่อมา มือเธอก็ขยับห่างออกไปอีก


 


 


เขาอยากจับมือเธอ แต่ก็รู้สึกเขินอาย


 


 


ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของเธอและเขาก็ออกจะประหลาดอยู่ และการทำอะไรที่อบอุ่นนุ่มนวลแบบนี้ก็ดูจะไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่ หลินเช่อยังคงเหลียวซ้ายแลขวา โฉบไปดูโน่นมองนี่ขณะพยายามอธิบายถึงอาหารประเภทต่างๆ ให้เขาฟัง


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออยากจะเอื้อมไปจับมือเธอ แต่เขาก็ใจฝ่อเสียก่อน แถมยังไม่กล้าพยายามอีกเป็นครั้งที่สอง เมื่อจ้องมองหลินเช่อ สีหน้าของเขาจึงดูท้อแท้ทีเดียว


 


 


หลินเช่อร้องถาม “นี่ เป็นอะไรไปคะ คุณไม่ชอบที่นี่เหรอ ถ้าอย่างนั้นเราไปที่อื่นกันก็ได้นะคะ ที่นี่ออกจะหนวกหูไปหน่อยน่ะ”


 


 


“ไม่ใช่หรอก…ไปหาร้านที่เธอพูดถึงกันดีกว่า”


 


 


หลินเช่อรีบตอบ “อ้อ มันอยู่ข้างหน้านี่เองค่ะ ตามมาสิคะ”


 


 


เธอพูดพลางเดินพุ่งไปข้างหน้า


 


 


ทันใดนั้น รถคันหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามา ชายหนุ่มรีบคว้าตัวหลินเช่อที่กำลังรีบร้อนเดินจนไม่ทันได้สนใจอะไรไว้


 


 


หลินเช่อตกใจเมื่อถูกกระชากเข้าหาอ้อมแขนของกู้จิ้งเจ๋อและเหลียวมองรถที่พุ่งเฉียดเธอไปเพียงนิ้วมือเดียว หวุดหวิดจะชนเธอจนล้มลง


 


 


“โอ๊ยตายจริง เกือบไปแล้ว” เธอยกมือขึ้นทาบอก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วและมองดูเธอ “ทำไมเดินไม่รู้จักดูทางบ้าง ถ้ายังเดินแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เกิดเรื่องอีกหรอก”


 


 


“รถคันนั้นต่างหากละคะที่เป็นปัญหา ที่นี่มีคนเดินกันออกขวักไขว่ ทำไมถึงขับเร็วนักก็ไม่รู้”


 


 


“ถ้าเธอโดนชนจนล้มไป มันยังจะมีประโยชน์อยู่มั้ยที่จะมาเถียงกันว่าใครผิดน่ะ มาเถอะ อย่าวิ่งอีกล่ะ ระวังโดนชน” เขาบอกก่อนก้มลงแล้วจับมือเธอเอาไว้แน่น จากนั้นก็จูงให้เดินต่อ


 


 


หลินเช่อตกใจ จนกระทั่งข้ามถนนมาแล้วเรียบร้อย เขาก็ยังไม่ปล่อยมือ เพียงแต่ขยับเปลี่ยนตำแหน่งทว่ายังคงจับมือเธอไว้อย่างนั้น แล้วทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันไป


 


 


หลินเช่ออดไม่ได้ที่จะก้มลงมองมือใหญ่ที่กุมอยู่รอบมือเล็กๆ ของเธอเสียจนมิดแทบมองไม่เห็น ความอบอุ่นจากมือเขาเริ่มที่จะจู่โจมเข้ามาถึงหัวใจเธอด้วย มุมปากของหญิงสาวขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุข


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงจูงมือเธอเดินไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นและรู้สึกได้ถึงความรื่นรมย์รอบตัว ชายหนุ่มไม่อาจกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ได้ มันเหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ


 


 


สองหนุ่มสาวเดินไปราวกับว่าถนนเส้นนั้นช่างยาวไกลนัก และต่างฝ่ายต่างก็ไม่อยากให้มันสิ้นสุดลง พวกเขาหวังว่าถนนนั้นจะทอดยาวออกไปเรื่อยๆ และพวกเขาจะได้กุมมือกันเดินแบบนี้ตลอดไป…


 


 


ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันหันมอง และได้เห็นสองหนุ่มสาวเดินจูงมือกัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อที่เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่กลับยิ้มกว้างราวกับเด็กหนุ่ม ความอบอุ่นที่แผ่กระจายออกมาจากคนทั้งคู่นั้นดูจะมากมายเสียยิ่งกว่าคู่รักหนุ่มสาวที่เดินกันอยู่เต็มถนนเสียด้วยซ้ำ มันช่างเรียบง่าย บริสุทธิ์และงดงาม 

 

 


ตอนที่ 133 ฉันอยากให้เธอป้อน

 

เมื่อเดินกันมาราวกับเวลาอันนานแสนนาน กู้จิ้งเจ๋อก็ถามขึ้นว่า “นี่เรายังไม่ถึงอีกเหรอ”


 


 


หลินเช่อจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าในระหว่างการเดินอยู่ข้างเขา ได้เห็นรอยยิ้มของเขานั้น เธอลืมร้านซุปหมาล่าที่ว่าไปเสียสนิท แถมยังเดินเลยร้านมาแล้วเสียด้วย


 


 


“โอ๊ยตายจริง เราเดินเลยมาแล้วละค่ะ”


 


 


หลินเช่อบอกเขินๆ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบ่นพึมพำ “เธอนี่นะ…ใช่สิ เธอต้องพลาดอยู่แล้ว สมงสมองเธอนี่ไปไหนหมด”


 


 


“ก็โดนคุณกินเข้าไปหมดแล้วไงล่ะ เฮอะ” หลินเช่อทำตาเขียวใส่และคิดว่านี่เป็นความผิดของเขานั่นแหละ ถ้าอยู่ๆ เขาไม่มาจับมือเธอละก็ เธอก็คงไม่เผลอไผลจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทแบบนี้หรอก


 


 


เธอไม่กล้ามองตาเขา จึงได้แต่พูดว่า “เอาล่ะๆ เดินย้อนกลับไปกันเถอะค่ะ ไม่ไกลหรอก”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงยืนกรานที่จะจับมือเธอไว้ ส่วนหลินเช่อเองก็ไม่ได้พยายามที่จะถอนมือหนีเช่นกัน จนกระทั่งพวกเขามาถึงแผงขายซุปหมาล่าที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักเรียนนักศึกษา


 


 


ขณะหยุดยืนเธอก็ก้มลงมองมือตัวเองและคิดถึงการที่เธอและเขากำลังยืนกุมมือกันอยู่แบบนี้ จากนั้นหญิงสาวก็ยิ้มออกมาราวคนเสียสติ


 


 


ระหว่างที่รอ เธอก็เอาแต่หันกลับไปมองกู้จิ้งเจ๋อ ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะพลางเหลียวมองไปรอบๆ เขาดูโดดเด่นออกมาจากสถานที่แห่งนี้ราวกับภาพวาดอันสมบูรณ์แบบที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองยุคเรโทร


 


 


แต่แล้วก็มีเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกันเริ่มสังเกตเห็นกู้จิ้งเจ๋อ


 


 


“ว้าว ผู้ชายคนนั้นหล่อจังเลย”


 


 


“หล่อไปนะ เป็นเด็กโรงเรียนเราหรือเปล่า”


 


 


“ไม่น่าใช่หรอก เขาแต่งตัวเหมือนผู้ใหญ่นี่นา”


 


 


“อย่างกับดาราแน่ะ ไม่ไหวแล้วนะ ฉันมองเขาแล้วอยากเป็นลมหมดสติ อยากเดินเข้าไปทักเขาจัง”


 


 


“ฉันไม่กล้าหรอก เธอไปสิ”


 


 


หลินเช่อได้แต่คิดอยู่ในใจ เด็กผู้หญิงสมัยนี้นี่นะ… ช่างไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเองเสียบ้างเลย


 


 


เมื่อหญิงสาวเหลียวไปมอง เด็กผู้หญิงกลุ่มนั้นยังคงมองมาที่ชายหนุ่มพลางกระซิบกระซาบกันเบาๆ


 


 


หลินเช่อรีบรับบัตรคิวก่อนจะรีบเดินผ่านหน้านักศึกษาหญิงเหล่านั้นและนั่งลงตรงหน้ากู้จิ้งเจ๋อ


 


 


เมื่อหันกลับไปมอง เธอก็ได้เห็นสีหน้าผิดหวังของพวกสาวๆ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อแอบสังเกตเห็นว่าหลินเช่อยังคงยิ้มไม่หยุดจึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เธอยิ้มอะไรน่ะ”


 


 


“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่กำลังจะบอกว่าเด็กๆ สมัยนี้นี่ร้ายไม่ใช่เล่นเลยนะคะ”


 


 


เขาเหลียวไปมองเหล่านักศึกษาสาวแล้วพูดว่า “ก็ไม่ได้เด็กขนาดนั้นสักหน่อย พวกนั้นก็อายุไม่ได้ห่างจากเธอเท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ”


 


 


หลินเช่อตอบว่า “ฉันว่าคงประมาณสิบแปดสิบเก้าได้ ส่วนฉันน่ะยี่สิบสามแล้วนะคะ ในสายตาพวกเธอน่ะฉันอายุมากแล้ว เฮ้อ เป็นเด็กนี่มันดีจังเลยนะคะ ดูหนุ่มๆ สาวๆ พวกนั้นสิ พวกเขาดูเยาว์วัยกันเหลือเกิน” คนพูดลืมไปสนิทใจว่า ‘คนแก่’ ตัวจริงนั้นนั่งอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเริ่มหน้าตึง เขามองดูกลุ่มนักศึกษาที่เดินผ่านไป ก่อนจะหันมาถามเธอว่า “เด็กมันดีตรงไหนกัน ผู้ชายน่ะยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีคุณค่า เด็กหนุ่มๆ พวกนั้นจะรู้จักปฏิบัติวิธีกับผู้หญิงให้ถูกต้องได้ยังไง”


 


 


“คุณจะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ความเยาว์วัยน่ะหมายถึงความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุดไม่ใช่เหรอคะ เป็นเด็กก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วล่ะ” หลินเช่อไม่ทันสังเกตว่ายิ่งเธอพูดแบบนี้มากเท่าไหร่ ผู้ชายตรงหน้าเธอก็ยิ่งมีทีท่าว่าหัวเสียมากขึ้นเท่านั้น


 


 


“ยังไม่มีวุฒิภาวะกันด้วยซ้ำ เด็กแบบนั้นจะรู้จักทำให้เธอมีความสุขได้ยังไง แบบนั้นแล้วเป็นเด็กมันจะดีตรงไหนกัน”


 


 


“พวกเขายังหนุ่มแล้วก็แข็งแรงน่ะสิคะ ฮิๆ พวกเขาทั้งอึด แถมยังมีเรี่ยวแรงไม่จำกัดอีกต่างหาก “หลินเช่อเลิกคิ้วให้กู้จิ้งเจ๋อ คำพูดของเธอมีความหมายไปคนละอย่างกับที่เขาเข้าใจ


 


 


ในฐานะผู้ชาย กู้จิ้งเจ๋อจึงรู้สึกอ่อนไหวกับประเด็นนี้เป็นพิเศษ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะเข้าใจว่าเธอหมายความว่าอะไร


 


 


ใบหน้าบึ้งตึงของเขามองดูเธอพลางท้าทายว่า “เธออยากให้ฉันลองพิสูจน์กับเธอมั้ยล่ะ…ว่าผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่ก็มีเรี่ยวแรงไม่จำกัดเหมือนกันน่ะ แถมยังเก่งกว่า รู้จักดูแลความรู้สึกของผู้หญิงได้ดีกว่าน่ะ”


 


 


เมื่อหลินเช่อมองเห็นแววตาคุกคามของอีกฝ่ายนั่นแหละ เธอจึงได้รู้ว่าเผลอพูดจาทำร้ายอีโก้เขาเข้าให้แล้ว หญิงสาวจึงรีบหัวเราะแหยๆ และบอกว่า “ค่ะๆ คุณน่ะเลิศที่สุด หล่อที่สุด รวยที่สุด อ่อนโยนนุ่มนวลที่สุดในบรรดาผู้ชายทั้งหมดเล้ย ถึงแม้ว่าคุณจะปากเสีย เจ้าปัญหา เอาใจยาก แถมยังเรื่องเยอะ แต่ความจริงแล้วคุณก็ดีมากอยู่แหละค่ะ”


 


 


“…”


 


 


นี่ในสายตาเธอ เขามีข้อเสียมากมายขนาดนั้นเลยหรือ


 


 


แล้วซุปหมาล่าก็ถูกยกมาเสิร์ฟ


 


 


กลิ่นหอมโชยขึ้นแตะจมูกหลินเช่อ ทำเอาเธอลืมหมดทุกอย่าง “อา กินซุปหมาล่ากันเถอะค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูน้ำซุปเป็นมันย่องและเครื่องเคราต่างๆ ที่ประเคนรวมกันมาในหม้อเดียวแล้วก็แทบจะหมดความอยากอาหาร


 


 


แต่ท่าทางหลินเช่อดูจะกินด้วยความเอร็ดอร่อยเป็นอย่างยิ่ง ริมฝีปากของเธอบวมพองและแดงก่ำด้วยความเผ็ดร้อน


 


 


เธอดูสวยมาก


 


 


เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากอาหาร ก็ได้เห็นอีกฝ่ายกำลังมองเธออยู่อย่างเพลิดเพลินโดยไม่แตะต้องอะไร เธอมองดูชามใส่ซุปหมาล่าตรงหน้าเขาและพูดขึ้นว่า “คุณไม่อยากกินเหรอคะ ไม่เป็นไรค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันไปนั่งเป็นเพื่อนตอนคุณไปหาอย่างอื่นกินก็แล้วกัน”


 


 


“เปล่า ฉันอยากกิน แต่ฉันอยากให้เธอป้อนน่ะ” ชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉย


 


 


“หา” หลินเช่อจ้องหน้าเขา ชักเริ่มรู้สึกขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าสายตาคู่นั้นเริ่มมีแววเจ้าเล่ห์ซุกซน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อไปอีกว่า “ไม่เป็นไร เธอกินไปพลางป้อนฉันไปพลางก็ได้”


 


 


“แล้วฉันจะป้อนคุณไปด้วยได้ยังไงกันคะ” หลินเช่อถามทั้งที่อาหารยังเต็มปาก


 


 


อยู่ๆ กู้จิ้งเจ๋อก็เคลื่อนตัวข้ามโต๊ะเข้ามา ประคองใบหน้าเธอไว้ และกัดที่ริมฝีปากเธอเบาๆ


 


 


เมื่อลิ้นของเขาล่วงล้ำเข้ามา หญิงสาวก็ตกใจจนตัวแข็งทื่อ


 


 


ก่อนที่ลิ้นนั้นจะล้วงเอาอาหารที่อยู่ในปากเธอออกไป เลียริมฝีปากเธอ และถอยกลับไปนั่งที่เดิม


 


 


“นี่…คุณ” หน้าหลินเช่อแดงระเรื่อ บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะความเผ็ดของอาหารหรือเพราะเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อได้รู้เดี๋ยวนี้เองว่าการกินด้วยวิธีนี้ทำให้อาหารอร่อยยิ่งไปกว่าเดิม


 


 


เขาเลียปากตัวเองและพยักหน้า “อืม อร่อยดี มาสิ กินกันต่อเถอะ”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อรีบท้วง “ไม่เอาแล้วค่ะ ทำไมถึงได้ทำตัวแบบนี้เนี่ย อันธพาลชะมัด!”


 


 


ไม่เอาแล้วงั้นเหรอ


 


 


เขายังไม่ได้กินส่วนของเขาเลย


 


 


“ถ้าเธอไม่มาป้อน งั้นฉันจะป้อนเธอเอง”


 


 


เมื่อพูดจบเขาก็ตักอาหารเข้าปาก มันเผ็ดจัดทีเดียว แต่เขาไม่ได้สนใจหากว่าจะได้กินร่วมกันเธอ


 


 


เขาจับศีรษะของเธอให้อยู่นิ่ง แล้วประทับจูบลงไป


 


 


คราวนี้เขาดันอาหารในปากตัวเองใส่ปากเธอ ความเผ็ดร้อนของซุปกระจายไปทั่วปากของทั้งสองคน ริมฝีปากชาหนึบ หัวใจเต้นระรัว พวกเขาอยากกินอีก


 


 


หลินเช่อสับสนไปหมด


 


 


“ฉันไม่กินแล้ว ไม่กินแล้วค่ะ กู้จิ้งเจ๋อ หยุดเล่นเสียที”


 


 


“แต่ฉันยังไม่อิ่มนี่….” เขายังป้อนเธอต่อ หน้าของหลินเช่อแดงเสียไม่มีดีราวกับว่าจะถูกไหม้จนเกรียม เธอผลักเขาออกไป “คุณจะช่วยกินให้มันดีๆ ไม่ได้หรือไง หยุดทำแบบนี้นะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะ ก่อนสุดท้ายจะยอมนั่งกินอาหารในจานตัวเองดีๆ


 


 


หน้าตามันไม่ได้น่ากินหรอก แต่รสชาติก็ไม่เลวทีเดียว อาจเป็นเพราะใส่น้ำมันจนเป็นมันย่องไปหมด จึงทำให้หน้าตาดูไม่น่าจะดีต่อสุขภาพ แม้ว่ากลิ่นจะหอมเตะจมูกก็ตาม


 


 


หลังรับประทานเสร็จ ชายหนุ่มก็เริ่มปวดท้อง


 


 


เขายกมือกุมท้องและลูบไปมา หน้าเริ่มนิ่ว เขาบอกว่า “ฉันรู้สึกท้องไม่ค่อยดีน่ะ”


 


 


หลินเช่อตกใจ “อ้าว พูดจริงหรือเปล่าคะนี่… เกิดอะไรขึ้น ไหนให้ฉันดูหน่อยสิคะ” 

 

 


ตอนที่ 134 ขอกอดหน่อยก็ดี

 

กู้จิ้งเจ๋อยกมือห้ามไม่ให้หลินเช่อเข้ามาใกล้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร อาจเพราะมันเผ็ดไปก็ได้”


 


 


หลินเช่อนึกกลัว ถ้าเธอพาเขามากินซุปหมาล่าแล้วเกิดทำให้ประธานของบริษัทกู้อินดัสทรีต้องล้มป่วยขึ้นมาละก็ เธอต้องเจอปัญหาใหญ่แน่


 


 


แม้กู้จิ้งเจ๋อจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เธอก็บอกได้จากสีหน้าที่เริ่มซีดเผือดด้วยความปวดของเขา


 


 


หญิงสาวรีบพูด “ไม่ค่ะ เราต้องไปโรงพยาบาลกัน ถ้าเกิดอาหารเป็นพิษหรืออะไรอย่างอื่นขึ้นมาละคะ มันอันตรายเกินไป”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่อาจซ่อนอาการปวดได้อีกต่อไป เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมา “โทรหาเฉินอวี่เฉิง”


 


 


อ้อ จริงด้วยสินะ เขามีหมอประจำตัวนี่นา


 


 


[ประธานกู้ครับ เงียบหายไปนานเชียวนะครับ ผมคิดว่าคุณไล่ผมออกจริงๆ แล้วสิ] เฉินอวี่เฉิงส่งเสียงมาตามสาย


 


 


“ไม่ใช่ค่ะ…คุณหมอเฉิน กู้จิ้งเจ๋อป่วยน่ะค่ะ คุณจะช่วย…”


 


 


[อา… คุณ…คุณหลินเหรอครับ]


 


 


ไม่ช้าทั้งคู่ก็เดินทางไปถึงคลินิกของเฉินอวี่เฉิง


 


 


นายแพทย์ลงมือตรวจดูอาหารของกู้จิ้งเจ๋อก่อนจะมองเขาและพูดว่า “น่าแปลก ผมนึกว่าคุณไม่ชอบกินอะไรเผ็ดๆ เสียอีก แล้วทำไมถึงได้กินซุปหมาล่าเข้าไปตั้งมากขนาดนี้ล่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถลึงตาใส่ให้อีกฝ่ายหยุดพูด


 


 


เฉินอวี่เฉิงจึงหันไปหาหลินเช่อ แล้วก็ได้รู้ว่าคงเป็นเพราะหญิงสาวนี่เองที่เป็นต้นเหตุ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากแหย่ชายหนุ่มต่อ


 


 


เมื่อก่อนกู้จิ้งเจ๋อไม่เคยเป็นแบบนี้ ทว่าตั้งแต่ได้มาอยู่กับหลินเช่อ เขาก็กลายเป็นคนน่าแกล้งขึ้นมาทันตาเห็นทีเดียว ไม่ได้เป็นกู้จิ้งเจ๋อคนเดิมที่ทั้งน่าเบื่อแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไปแล้ว


 


 


เมื่อได้ยิน หลินเช่อก็หน้าแดง เธออดรู้สึกผิดไม่ได้ “ฉันขอโทษด้วยค่ะคุณหมอเฉิน เพราะฉันเป็นคนพาเขาไปกินเองแหละค่ะ อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบหรอก ว่าแต่แล้วตอนนี้เราต้องทำยังไงคะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือเปล่า”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรีบหันไปบอกหญิงสาวว่า “ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก”


 


 


ถ้าเขาไม่อยากกินอะไรแล้วละก็ ยังไงก็ไม่มีใครบังคับให้กินได้หรอก แต่ที่มันอร่อยก็เพราะได้กินกับเธอและเขาก็กำลังอารมณ์ดีเหลือเกินในตอนนั้น จึงเต็มใจกินเข้าไปเสียมากมาย


 


 


แต่เมื่อท้องไส้เริ่มปั่นป่วน ชายหนุ่มก็เริ่มได้คิดว่านั่นเป็นเรื่องไม่เข้าท่าเอาเลย


 


 


เฉินอวี่เฉิงอธิบายว่า “ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกครับ คุณผู้หญิง ทำใจให้สบายเถอะ ระบบย่อยอาหารของเขาค่อนข้างบอบบาง นี่เป็นแค่อาการกระเพาะอักเสบธรรมดาๆ เท่านั้น แค่ต้องกินยา พักผ่อน แล้วก็กินอาหารย่อยง่ายๆ สักสองสามวัน โชคดีที่นี่เป็นอาการระยะแรก ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะอาเจียนหรือว่าท้องเสียได้”


 


 


ปากของหลินเช่อคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม ตานี่กระเพาะอักเสบเพราะแค่กินซุปหมาล่าเนี่ยนะ


 


 


เธอหันไปบอกเขา “ฉันขอโทษนะคะ กู้จิ้งเจ๋อ คนอย่างพวกฉันโตมากับอาหารขยะแบบนี้ กระเพาะพวกเราก็เลยปรับตัวจนเคยชินกับมัน ถึงได้กินอะไรกันโดยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ คุณอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยนัก”


 


 


เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


เฉินอวี่เฉิงบอกต่อไป “ถ้าพรุ่งนี้ยังอาการไม่ดีขึ้นละก็ เราจะหาทางอื่นกัน แต่ตอนนี้ผมคิดว่าไม่เป็นไรแล้วละ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้า หลินเช่อรีบช่วยประคองเขาให้ลุกขึ้น


 


 


หญิงสาวหันไปบอกผู้เป็นนายแพทย์ว่า “ต้องขอโทษที่มารบกวนเวลานี้นะคะ คุณหมอเฉิน”


 


 


แต่คนป่วยกลับพูดว่า “ไม่เป็นไรน่า เขารับเงินจากฉัน แค่นี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร”


 


 


เฉินอวี่เฉิงทำหน้าง้ำ “คุณผู้หญิงน่ารักเสมอ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อควรจะหัดพูดจาดีๆ สุภาพอย่างหลินเช่อบ้าง


 


 


หญิงสาวยังไม่เลิกตำหนิตัวเองเมื่อมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของชายหนุ่ม แต่สีหน้าเขายังคงราบเรียบและเป็นปกติ เธอคิดว่าเขาคงกำลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ร้องออกมาด้วยความปวด เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อคะ ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายละก็ จะร้องออกมาก็ได้นะคะ ไม่จำเป็นต้องอดทนไว้หรอก” เธอบอกเขา


 


 


“ฉันสบายดี” เขาว่า


 


 


คราวนี้หลินเช่อรู้สึกแย่และรู้สึกผิดยิ่งไปกว่าเดิม เขาเป็นคนดีเหลือเกิน


 


 


ไม่ช้าพวกเขาก็กลับถึงบ้าน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนอนลงบนเตียงโดยมีหลินเช่อวิ่งหาน้ำชาและน้ำมาให้ เธอคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มขณะมองดูเธอวิ่งวุ่น


 


 


เป็นเรื่องยากที่จะหาผู้หญิงที่จริงใจไม่เสแสร้งได้แบบหลินเช่อ


 


 


เมื่อเธอกลับเข้ามาดูอาการเขาอีกครั้ง หลินเช่อก็ถามว่า “ยังปวดอยู่หรือเปล่าคะ ยาที่กินได้ผลรึเปล่า”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนิ่วหน้านิดๆ และตอบว่า “มันยังปวดอยู่เลย”


 


 


“อา งั้นทำไงดีละคะเนี่ย” หญิงสาวถามอย่างเป็นกังวล “ฉันควรจะโทรถามคุณหมอเฉินมั้ยคะ หรือว่าควรจะให้น้ำเกลือดี”


 


 


“ไม่ต้องหรอก” เขารั้งเธอไว้ “แค่มาตรงนี้แล้วก็ช่วยนวดท้องฉันหน่อยก็พอ”


 


 


“หา” หลินเช่องง “แค่นั้นจะพอเหรอคะ ฉันนวดไม่เป็นนะ”


 


 


เขาพูดซ้ำ “แค่มานั่งตรงนี้แล้วก็นวดให้หน่อยก็แล้วกัน”


 


 


หลินเช่อไม่ทันได้คิดอะไร เธอรีบเดินมานั่งข้างเขา ชายหนุ่มจับมือเธอไปวางลงบนหน้าท้อง


 


 


ตอนแรกหญิงสาวนึกลังเลอยู่เป็นครู่ ก่อนจะลงมือนวด “ยังเจ็บมั้ยคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับกำลังปลอบโยนเด็กน้อย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเพลิดเพลินเสียจนเผลอยกมือกอดอก และเริ่มออกคำสั่ง “ซ้ายหน่อย ขวาอีกนิด”


 


 


“ดีๆ ใช้ได้เลย”


 


 


หลินเช่อนวดและนวด แต่แล้วก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยเข้าที เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นสีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังรื่นรมย์ยิ่งนัก หลับตา เพลิดเพลินกับการนวดอย่างเต็มที่


 


 


หลินเช่อร้องออกมาทันที “กู้จิ้งเจ๋อ!”


 


 


เธอเกือบจะเผลอฟาดมือผัวะลงไปด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้กลัวว่ามันไม่มีเสื้อผ้าปิดเอาไว้ หญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียง ถลึงตาเขียวปั้ดเข้าใส่คนป่วย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “เกิดอะไรขึ้น นวดต่อสิ”


 


 


“นวดต่อกับผีคุณน่ะสิ คุณโกหกฉัน นี่ท่าทางไม่ได้ปวดอะไรแล้วด้วยซ้ำ!”


 


 


เขาหัวเราะเสียงดัง และดึงเธอมากอดไว้


 


 


“นี่เธอเป็นพยาธิในท้องฉันหรือไงกัน ถึงได้รู้ว่าฉันไม่ได้ปวดแล้วน่ะ”


 


 


หลินเช่อระดมมือฟาดเข้าใส่ยกใหญ่ทั้งที่ยังถูกกอดเอาไว้ “นี่คุณทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ ดูตัวเองมั่งเถอะ หน้าตาเหมือนปวดท้องที่ไหนกันล่ะ”


 


 


อีตานี่แย่กว่าที่คิดเสียอีก เขาเก่งกระทั่งโกหกคนอื่น


 


 


เขากอดเอวเธอไว้ และมองหน้าเธอ “มันปวดนะ ปวดมากจริงๆ”


 


 


หลินเช่อมองสีหน้านั้นแล้วก็ใจอ่อน


 


 


เสียงของเธอจึงอ่อนลงเมื่อบอกว่า “งั้นก็อย่ามัวแต่เล่นสิคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกว่า “เพราะแบบนี้ฉันถึงอยากให้เธอช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไงล่ะ พูดกับฉัน นวดท้องให้ฉัน แล้วก็ปล่อยให้ฉันกอดเธอไว้แบบนี้ มันช่วยให้ปวดน้อยลงได้นะ”


 


 


หลินเช่อหน้าแดง


 


 


กอดเธอไว้มันจะช่วยให้หายปวดได้ยังไง…เธอไม่ใช่ยาแก้ปวดสักหน่อย


 


 


แต่เธอก็ยอมให้เขากอดต่อไปแต่โดยดีโดยไม่ดิ้นรนอีก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกอดร่างนุ่มนิ่มนั้นไว้ในอ้อมแขน ในแง่หนึ่งเขาไม่ได้ปวดท้องมากอีกต่อไปแล้ว แต่อีกแง่หนึ่งก็มีความรู้สึกแสนสบายบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกายเขา…


 


 


เขาอยากให้เธอใช้อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยคลายความปวดให้เขาเหลือเกิน…


 


 


 


 


วันต่อมา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตื่นขึ้นและรู้สึกว่าอาการปวดได้ทุเลาลงไปมากแล้ว เขาจึงไปพบเฉินอวี่เฉิง


 


 


เฉินอวี่เฉิงพากู้จิ้งเจ๋อกับหลินเช่อไปที่คลินิกและสั่งให้ผู้ช่วยของเขาช่วยตรวจร่างกายชายหนุ่ม


 


 


หลินเช่อรออยู่ด้านนอก และพยายามที่จะคิดว่าการได้กอดเธอไว้ตลอดทั้งคืนคงจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาหรอกกระมัง


 


 


และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้น


 


 


เฉินโยวหรานนั่นเอง


 


 


เสียงอีกฝ่ายร้อนรนทีเดียว [หลินเช่อ ฉันเข้าบ้านไม่ได้น่ะ ฉันทิ้งกุญแจไว้ในห้อง แล้วตอนนี้ฉันก็ไม่มีที่อยู่ด้วย]


 


 


หลินเช่อถามอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้น แล้วคุณลุงคุณป้าล่ะ”


 


 


[เขาพาน้องสาวฉันไปเยี่ยมบ้านที่บ้านนอกน่ะ] 

 

 


ตอนที่ 135 โทรศัพท์ที่เข้ามาขัดจังหวะ

 

หลินเช่อไม่มีทางเลือกอื่นจึงตอบไปว่า “ทำไมถึงไม่รอบคอบอย่างนี้นะ เดี๋ยวฉันไปรับ คืนนี้เธอค้างกับฉันก็ได้” 


 


 


“ฮ่าๆๆ ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่จ๊ะ ดวงมันซวยน่ะ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะอีตาโจวหมินฮั่นนั่นแหละที่มายุ่มย่ามอยู่ที่ชั้นล่าง” 


 


 


หลินเช่อถามที่อยู่และหันไปถามเฉินอวี่เฉิง “ที่อยู่นี่เขตอะไรคะ พอดีฉันต้องไปรับเพื่อนน่ะค่ะ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงตอบว่า “คุณผู้หญิงรอเป็นเพื่อนท่านประธานกู้อยู่ที่นี่ดีกว่า เดี๋ยวผมช่วยไปรับเพื่อนของคุณให้เอง” 


 


 


หลินเช่อค้าน “คุณอาจจะหาบ้านไม่เจอก็ได้นะคะ…” 


 


 


“ใช่เพื่อนคุณคนที่เมาแอ๋อยู่ในบาร์เมื่อคราวก่อนหรือเปล่าละครับ” เฉินอวี่เฉิงถามเรียบๆ 


 


 


“ใช่ค่ะ” 


 


 


“ถ้างั้นผมรู้ว่าเธอพักอยู่ที่ไหน” ขณะที่พูดเขาก็เดินไปหยิบกุญแจรถและเดินออกไป 


 


 


ตอนนั้นหลินเช่อถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอเคยขอให้เขาช่วยพาเฉินโยวหรานไปส่งบ้านเมื่อครั้งก่อน 


 


 


ภายในคลินิก นางพยาบาลกำลังตรวจร่างกายให้กู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หลินเช่อก็ถามว่า “เขาเป็นยังไงบ้างคะ” 


 


 


นางพยาบาลตอบ “เรายังต้องรอให้คุณหมอเฉินกลับมาก่อนค่ะถึงจะรู้ได้ แต่จากที่ฉันตรวจดู นี่เป็นอาการกระเพาะอาหารอักเสบนะคะ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะคุณผู้หญิง” 


 


 


หลินเช่อถามอย่างหวั่นใจ “กระเพาะอักเสบนี่ปวดนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ ฉันไม่เคยปวดเพราะอะไรแบบนี้เลย” 


 


 


นางพยาบาลหัวเราะแล้วตอบว่า “ร่างกายของแต่ละคนก็ตอบสนองไม่เหมือนกันน่ะค่ะ ร่างกายของคุณผู้หญิงไม่เป็นอะไรเลยก็จริง แต่ระบบย่อยอาหารของคุณกู้ออกจะอ่อนแออยู่สักหน่อย” 


 


 


หลินเช่อหันไปมองชายหนุ่มอย่างรู้สึกผิด “ฉันจะไม่ให้คุณกินอาหารข้างทางอีกแล้วค่ะ ฉันลืมไปเลยว่าคุณไม่เคยกินอะไรแบบนี้มาก่อน คุณกินแต่อาหารสุขภาพก็เลยไม่คุ้นกับอะไรแบบนี้ อีกอย่างตอนนี้คุณก็อายุมากแล้ว เกือบจะสามสิบอยู่แล้วนะคะ…” 


 


 


“…” คนป่วยเงยหน้าทันควันเมื่อได้ยินเธอพูดถึงอายุของเขา 


 


 


เขาจ้องเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “เธอว่ายังไงนะ” 


 


 


หลินเช่อยังพูดต่อ “แหม ก็คุณจะสามสิบจริงๆ นี่! คุณต้องยอมรับอายุตัวเองสิคะ ว่าคุณไม่ใช่เด็กแล้วนะที่จะฟื้นตัวได้เร็วน่ะ คุณต้องระวังให้มากกว่านี้” 


 


 


เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอบ่นเรื่องอายุเขา! 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจ้องหน้าเธอเป๋ง หลินเช่อจึงรู้สึกตัวว่า เธอคงจะพูดมากเกินไปอีกแล้ว 


 


 


ให้ตายสิ ทำไมอีตานี่ถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้นักนะ 


 


 


ขี้ใจน้อยเสียจริงเลย 


 


 


แต่ถึงจะขัดใจอย่างไร หลินเช่อก็ยอมหุบปากแต่โดยดี 


 


 


เธอหัวเราะแห้งๆ และโชคดีที่โทรศัพท์ของกู้จิ้งเจ๋อดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน 


 


 


ชายหนุ่มก้มลงดูและเห็นชื่อที่กะพริบถี่ๆ บนหน้าจอ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงนั่นเอง… 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงถูกกักตัวไว้ในบ้านมาได้สองสามวันแล้ว แม้ว่าเธอจะยังคงโกรธและหัวเสีย แต่สุดท้ายเธอก็ได้เข้าใจอะไรหลายอย่าง 


 


 


พ่อของเธอพูดถูก ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่เอาแต่คอยตามติดเป็นเงาตามตัว ที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีคู่แข่ง กู้จิ้งเจ๋อจึงดีกับเธอเพียงผู้เดียว แต่ตอนนี้เธอจะทำตัวหัวดื้อเอาแต่ใจเหมือนเดิมอีกไม่ได้แล้ว โม่ฮุ่ยหลิงไม่คิดว่าเธอจะด้อยกว่าหลินเช่อตรงไหน เธอมาจากพื้นเพครอบครัวที่ดีกว่า ฐานะก็ร่ำรวย เธอเป็นคุณหนูผู้มั่งคั่ง ไม่มีทางเลยที่นังแมวจรจัดอย่างหลินเช่อจะมาเทียบเธอได้ 


 


 


อีกอย่าง หลินเช่อนั้นได้อยู่ใกล้ชิดเขามากกว่า กู้จิ้งเจ๋อจึงอาจคิดว่าเธอน่ารักอยู่ แต่ก็เพราะว่าเป็นของใหม่เท่านั้นแหละ หล่อนเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน แตกต่างจากเธอ เธอรู้จักกู้จิ้งเจ๋อมาหลายปี และความรู้สึกที่เธอและเขามีต่อกันก็เป็นของจริง หลินเช่อไม่มีทางสู้ได้ 


 


 


ด้วยเหตุนี้โม่ฮุ่ยหลิงจึงให้คำมั่นกับบิดาว่าเธอรู้แล้วว่าเธอควรจะต้องทำอย่างไร และเธอจะไม่ทำให้ตระกูลโม่ต้องเสื่อมเสียอีก 


 


 


ด้วยเหตุนี้บิดาของเธอจึงได้ยอมปล่อยตัวออกมา 


 


 


เมื่อเป็นอิสระ โม่ฮุ่ยหลิงก็นึกอยากจะโทรหาเขาทันที เธอไม่อาจห้ามตัวเองได้หลังจากที่ไม่ได้ติดต่อเขามาหลายวัน เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทอดทิ้ง 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรับโทรศัพท์และถามว่า “มีอะไรเหรอ” 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเขา เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลงว่า [จิ้งเจ๋อคะ ทำอะไรอยู่เหรอ] 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ฉันยุ่งอยู่น่ะ มีอะไรหรือเปล่า” 


 


 


หญิงสาวรีบตอบ [ไม่มีอะไรค่ะ แหม คุณพูดอย่างกับว่าฉันต้องมีอะไรเสียก่อนถึงโทรหาคุณอย่างงั้นแหละ ฉันแค่อยากจะขอโทษคุณ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันกังวลมากไปเอง ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาฉันได้ลองคิดทบทวนตัวเองอยู่ที่บ้าน แล้วก็ได้รู้ว่าฉันทำตัวราวกับคนบ้า เพราะแบบนี้ฉันถึงได้กลายเป็นคนหัวดื้อแล้วก็ไม่รู้จักเป็นผู้ใหญ่เสียที ต่อไปฉันจะไม่ทำตัวแบบนี้อีกแล้วนะคะ] 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจและบอกไปว่า “รู้ตัวเองก็ดีแล้วนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะวางสายล่ะ” 


 


 


[โอเคค่ะ ไปเถอะ ถ้าว่างก็ค่อยมาหาฉันนะคะ] 


 


 


“อืม” 


 


 


ชายหนุ่มวางสายแล้วหันไปมองหลินเช่อ “คราวก่อนเธออาละวาดเสียไม่มีดี แต่พอมาตอนนี้กลับมาบอกขอโทษ” 


 


 


หลินเช่อทำหูทวนลม เพราะไม่อย่างนั้นเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะตอบว่าอะไร เธอมักพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปอยู่เสมอ 


 


 


หลินเช่อเป็นคนไม่พูดถึงใครลับหลัง ถึงยังไงนี่ก็เป็นเรื่องระหว่างเขาสองคน ก็ต้องจัดการกันไปเองนั่นแหละ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงวางสายแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเสียงของกู้จิ้งเจ๋อออกจะเฉื่อยชาเซื่องซึมผิดปกติ ดูอารมณ์ไม่สู้ดีนัก 


 


 


เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ 


 


 


ด้วยเหตุนี้เธอจึงขอให้คนรู้จักช่วยสืบข่าว 


 


 


ตอนที่เธอและกู้จิ้งเจ๋อยังคบหากัน เธอพอจะมีสายอยู่บ้าง พวกเขารู้เรื่องความสัมพันธ์พิเศษระหว่างเธอและกู้จิ้งเจ๋อเป็นอย่างดี และในไม่ช้าพวกเขาก็คาบข้อมูลมาบอกว่ากู้จิ้งเจ๋อออกไปทานอาหารนอกบ้านกับหลินเช่อและลงเอยด้วยอาการปวดท้อง เขาเป็นกระเพาะอาหารอักเสบและตอนนี้กำลังเข้ารับการรักษาจากหมอเฉิน 


 


 


เมื่อฟังจบ โม่ฮุ่ยหลิงแทบจะปาโทรศัพท์ในมือทิ้ง 


 


 


“หลินเช่อ…นังหลินเช่ออีกแล้วเรอะ” เธอกำหมัดแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ 


 


 


เธอจะแล่นไปที่นั่นในตอนนี้เลยไม่ได้ เรื่องนี้ต้องใช้แผนการระยะยาว 


 


 


เธอจะต้องกลับไปเป็นโม่ฮุ่ยหลิงคนเดิมในสายตาเขาให้ได้เสียก่อน 


 


 


เธอต้องยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน และวางแผนเป็นอย่างดีสำหรับอนาคตครั้งนี้ 


 


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง 


 


 


เฉินอวี่เฉิงกลับมาแล้ว 


 


 


เขาเดินกลับเข้ามาพร้อมกับเฉินโยวหราน หญิงสาวหันมองอีกฝ่ายที่เดินก้าวเท้ายาวๆ โดยไม่แยแสเธอแม้แต่น้อยแล้วก็หน้าง้ำไป “นี่ นี่บ้านคุณเหรอคะ ใหญ่จังเลยนะ” เฉินอวี่เฉิงอึ้งไป เขาหันกลับมามองเธอ “นี่มันคลินิกของฉัน ใครจะพักอยู่ในที่แบบนี้กันล่ะ” 


 


 


ไม่มีตามองหรือไงนะ 


 


 


เฉินโยวหรานตอบอย่างไม่ลดละ “อ๋อเหรอ ก็ฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไงล่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อและหลินเช่อนั้นอยู่ด้านใน ทั้งสองได้ยินเสียงทุ่มเถียงดังมาแต่ไกลจากด้านนอก 


 


 


เมื่อเฉินโยวหรานก้าวเข้ามาและได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อนั่งอยู่ แม้ว่าชายหนุ่มจะกำลังให้น้ำเกลือและดูอ่อนเพลีย แต่เขาก็ยังดูโดดเด่นเป็นสง่าอย่างยิ่งราวกับมีแสงส่องประกายออกมาจากตัว 


 


 


เธอไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเขาที่นี่ 


 


 


หญิงสาวจึงร้องเสียงดังด้วยความประหลาดใจ “อา นั่นกู้…ประธานกู้ไม่ใช่เหรอ ในที่สุดก็ได้เจอกันตัวเป็นๆ สักทีนะเนี่ย” 


 


 


“…” 


 


 


หลินเช่อร้อง “เฉินโยวหราน!” 


 


 


หลินเช่อนึกอายกู้จิ้งเจ๋อ “นี่เพื่อนที่ฉันเล่าให้ฟังน่ะค่ะ เฉินโยวหราน” เฉินอวี่เฉิงยืนกลอกตาไปมาอยู่ทางด้านหลัง งี่เง่าเป็นบ้า มีผู้หญิงงี่เง่าแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอเนี่ย 


 


 


แต่จะว่าไปหลินเช่อก็ดูงี่เง่าไม่แพ้กัน 


 


 


พอลองคิดดูแล้ว ผู้หญิงสองคนนี้ก็เป็นเพื่อนรักกันนี่นะ 


 


 


เฉินโยวหรานตื่นเต้นอยู่เป็นครู่ก่อนที่จะอาการดีขึ้น เธอหันมายิ้มให้เพื่อนสาวและนึกทึ่งที่หลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อได้เป็นสามีภรรยากัน 


 


 


หลินเช่อลากแขนเพื่อนออกไปเพื่อถามว่า “เกิดอะไรขึ้นน่ะ แล้วทำไมเธอถึงลืมกุญแจไว้ในห้องได้ล่ะ” 


 


 


เฉินโยวหรานตอบ “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะลืมหรอก แต่ใครจะรู้ล่ะว่าอีตาโจวหมินฮั่นแฟนเก่าเฮงซวยของฉันจะโผล่เข้ามาก่อกวนอย่างไม่มีเหตุผลแบบนี้ล่ะ พ่อแม่ฉันพาน้องสาวไปเยี่ยมบ้านที่บ้านนอก ฉันไม่อยากตามไปให้โดนกระแนะกระแหน ไอ้ธรรมเนียมนี้มันแย่จริงๆ นะ ฉันเพิ่งอายุยี่สิบสามเองแต่ทุกคนก็เอาแต่เร่งให้แต่งงานเสียที ฉันไม่มีทางยอมไปที่นั่นแล้วก็ทนฟังอะไรแบบนี้หรอก แต่อยู่ๆ โจวหมินฮั่นก็มา ฉันตกใจเลยรีบพยายามวิ่งลงไปห้ามเขา ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านจะคิดยังไงถ้ามาเห็นเขาเข้า ใครจะรู้ล่ะ…” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม